ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_2625
Finance
ในยุค Fintech บทบาทของที่ปรึกษาทางการเงินจะถูกลดบทบาทลงจนถูกแทนที่ด้วย Robot Advisor ทั้งหมดหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ข้อจำกัดของ Robot Advisor: Robot Advisor ไม่สามารถเข้าใจความต้องการและเป้าหมายทางการเงินของลูกค้าได้ลึกซึ้งเท่ากับที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นมนุษย์ Robot Advisor ไม่สามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลที่ปรับแต่งให้เหมาะกับสถานการณ์และความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้ Robot Advisor ไม่สามารถรับมือกับปัญหาทางการเงินที่ซับซ้อนหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ Robot Advisor ขาดความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจกับลูกค้า 2. จุดแข็งของที่ปรึกษาทางการเงิน: ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถเข้าใจความต้องการและเป้าหมายทางการเงินของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลที่ปรับแต่งให้เหมาะกับสถานการณ์และความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้ ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถรับมือกับปัญหาทางการเงินที่ซับซ้อนหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจกับลูกค้าได้ 3. บทบาทของที่ปรึกษาทางการเงินในยุค Fintech: ที่ปรึกษาทางการเงินจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ที่ปรึกษาทางการเงินจะต้องพัฒนาทักษะและความรู้ใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ปรึกษาทางการเงินจะต้องมุ่งเน้นไปที่การให้บริการที่มีคุณค่าสูงแก่ลูกค้า เช่น การให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ การวางแผนการเงินระยะยาว และการจัดการความเสี่ยง 4. ตัวอย่าง: ธนาคารชั้นนำหลายแห่งเริ่มนำเสนอบริการ Robot Advisor ควบคู่ไปกับบริการที่ปรึกษาทางการเงินแบบดั้งเดิม บริษัท Fintech หลายแห่งเริ่มให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินแบบออนไลน์ สรุป: ในยุค Fintech ที่ปรึกษาทางการเงินจะยังคงมีบทบาทสำคัญ แต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และมุ่งเน้นไปที่การให้บริการที่มีคุณค่าสูงแก่ลูกค้า
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2628
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของหลัก SIX JARS
null
หลัก SIX JARS หมายถึง หลักการจัดสรรการเงิน โดยเปรียบเทียบกับเหยือก 6 ใบ เปรียบเหมือนเงินที่จะแบ่งใส่ลงไปในเหยือก เพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน โดยหลัก SIX JARS จะมีการแบ่งเงินลงทุนเป็น 6 ส่วน ส่วนแรกคือ เงินลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ สามารถนำไปลงทุนในสินทรัพย์ตามความเสี่ยงได้ ส่วนที่สอง คือ เงินลงทุนเพื่อการเกษียณ ควรลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง ส่วนทที่สาม คือ เงินเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำร่วมกับการวางแผนการใช้จ่าย ส่วนที่สี่ คือ เงินเพื่อการพัฒนาตัวเอง อาจจะเป็นเงินสำหรับการซื้อสิ่งที่ตนเองสนใจ ส่วนที่ห้า คือ เงินเพื่อการให้ สร้างประโยชน์แก่สังคม และนำไปลดหย่อนภาษีได้ และส่วนสุดท้าย คือ เงินเพื่อการใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลตัวเอง เพื่อให้เราได้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป บทเรียนจากย่อหน้านี้ หลัก SIX JARS คือ วิธีการจัดสรรการเงินอย่างหนึ่ง ด้วยการเปรียบเทียบการจัดสรรเงินกับเหยือก 6 ใบ เปรียบเหมือนเงินที่มีคือน้ำที่จะแบ่งใส่ในเหยื่อก แต่ละเหยือกเก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ กัน ตามหลัก SIX JARS เราจะแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 6 ส่วน ดังนี้ 1. เงินลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ (Long-Term Saving for Spending Account) ~ ประมาณ 10-15% ของรายได้ เงินส่วนนี้อาจจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามความเสี่ยงและระยะเวลาที่จะใช้ 2. เงินลงทุนเพื่อการเกษียณ (Financial Freedom Account) ~ ประมาณ 10-20% ของรายได้ ส่วนนี้เป็นเงินลงทุนที่จำเป็นต้องใช้เมื่อเกษียณ ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว จึงควรจะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนสูงมากซักหน่อย อาจจะคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 6-10% เพื่อให้เงินลงทุนเติบโตในระยะยาว และอาจจะปรับสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงลงเมื่อใกล้เกษียณ 3. เงินเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (Necessity Account) ~ ประมาณ 40-55% ของรายได้ ส่วนนี้ควรทำร่วมกับการวางแผนการใช้จ่าย เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้จ่ายอย่างเหมาะสมกับฐานะการเงินก็เป็นวิธีที่ทำให้มีเงินเหลือพอสำหรับเหยือกใบอื่นด้วย 4. เงินเพื่อการพัฒนาตัวเอง (Education Account) ~ ประมาณ 10% ของรายได้ การพัฒนาตัวเองไม่ว่าจะด้านการทำงานหรือว่าทักษะอื่นๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะอาจจะช่วยทำให้หน้าที่การงานก้าวหน้าขึ้น ทำให้รายได้มากขึ้น หรือว่าเป็นทักษะเสริมอื่นๆ ที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวไป ที่ใช้หารายได้เสริมได้ เงินในส่วนนี้ อาจจะเป็นเงินสำหรับการซื้อหนังสือแนวที่ชอบ ลงคอร์สอบรมที่สนใจ หรือว่าการสอบใบอนุญาตต่างๆ ที่จำเป็นกับการประกอบอาชีพ เป็นต้น 5. เงินเพื่อการให้ (Give Account) ~ ประมาณ 5% ของรายได้ แน่นอนว่าเมื่อมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายด้านต่างๆ ควรมีการแบ่งปันให้กับคนที่ลำบากหรือมีโอกาสน้อยกว่า เพื่อให้สังคมน่าอยู่ขึ้น โดยอาจจะเลือกบริจาคให้โรงพยาบาล หรือมูลนิธิต่างๆ ก็ได้ นอกจากนี้เงินในส่วนนี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย 6. เงินเพื่อการใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลตัวเอง (Play Account) ~ ประมาณ 10% ของรายได้ หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานและภารกิจในชีวิตประจำวันแล้ว การพักผ่อนและการให้รางวัลตัวเองก็ทำให้มีกำลังใจในการก้าวต่อไปเช่นกัน โดยอาจจะแบ่งเงินเพื่อการไปเที่ยวพักผ่อนประจำปีกับครอบครัว ซึ่งนอกจากจะได้ประสบการณ์ในการไปท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ๆ แล้วยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวอีกด้วย หรือการซื้อของที่อยากได้ ร้านอาหารที่อยากกินซักครั้ง แต่ทั้งนี้การใช้เงินในส่วนนี้ควรอยู่ในสัดส่วนที่ไม่มากจนทำให้เงินเก็บในส่วนอื่นน้อยลงไปมาก
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2629
Finance
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มร้านอาหาร ควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มร้านอาหาร ควรพิจารณาปัจจัยหลักๆ ดังนี้: 1. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ: การเติบโตของเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจที่ดีส่งผลดีต่อธุรกิจร้านอาหาร โดยทั่วไปผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นและมีแนวโน้มออกไปทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น อัตราเงินเฟ้อ: เงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบของร้านอาหาร อัตราดอกเบี้ย: อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินของธุรกิจร้านอาหาร 2. ปัจจัยทางธุรกิจ: ประเภทของร้านอาหาร: ร้านอาหารแต่ละประเภทมีกลุ่มเป้าหมายและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน กลยุทธ์ทางธุรกิจ: กลยุทธ์การขยายสาขา การกำหนดราคา การทำการตลาด ฯลฯ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน: อัตรากำไรขั้นต้น อัตรากำไรสุทธิ การบริหารความเสี่ยง: การบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบ การบริหารสภาพคล่อง ฯลฯ 3. ปัจจัยทางการแข่งขัน: การแข่งขันในตลาด: ระดับการแข่งขันในตลาดร้านอาหาร กลยุทธ์ของคู่แข่ง: กลยุทธ์การขยายสาขา การกำหนดราคา การทำการตลาด ฯลฯ การเข้ามาของผู้เล่นใหม่: 4. ปัจจัยทางการเมือง: นโยบายภาครัฐ: นโยบายภาครัฐที่ส่งผลต่อธุรกิจร้านอาหาร เช่น นโยบายภาษี นโยบายด้านแรงงาน ฯลฯ ความมั่นคงทางการเมือง: 5. ปัจจัยทางสังคม: การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: พฤติกรรมการทานอาหารของผู้บริโภค เทรนด์ของตลาด: ตัวอย่าง: การลงทุนในหุ้นกลุ่มร้านอาหารที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง: ร้านอาหารที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง มักมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น และสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ดี การลงทุนในหุ้นกลุ่มร้านอาหารที่มีกลยุทธ์การขยายสาขาที่ชัดเจน: ร้านอาหารที่มีกลยุทธ์การขยายสาขาที่ชัดเจน มีโอกาสเติบโตสูง การลงทุนในหุ้นกลุ่มร้านอาหารที่มีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดี: ร้านอาหารที่มีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดี มักมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิที่สูง คำเตือน: การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน หุ้นกลุ่มร้านอาหารมีความผันผวนสูง: นักลงทุนควรมี risk appetite ที่เหมาะสม กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มร้านอาหาร ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เข้าใจความเสี่ยง และเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ good luck!
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_263
Finance
ขาดทุนสะสม คืออะไร
“ขาดทุนสะสม” คืออะไร ? ​ [ประเด็นสำคัญ] ขาดทุนสะสม คือ ผลรวมของทั้งกำไรและขาดทุนที่สะสมมาตั้งแต่วันแรกที่กิจการเริ่มประกอบธุรกิจ โดยที่ผลรวมดังกล่าวมีค่าเป็นลบ หากเราเป็นเจ้าของบริษัท ทำธุรกิจมีกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง ผลรวมของกำไรขาดทุนของเรา หากเรายังไม่ได้เอาไปทำอะไร เราจะเรียกเงินทั้งก้อนรวม ๆ กันว่า “กำไรสะสม” ทีนี้ หากธุรกิจขาดทุนต่อเนื่อง ซึ่งก็อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด จากกำไรสะสม ก็อาจจะกลายมาเป็นผลลบ หรือเราเรียกอีกอย่างว่า “ขาดทุนสะสม” ได้เหมือนกัน วันนี้เรามาดูกันว่าขาดทุนสะสม คำนวณอย่างไร กระทบอะไรต่อธุรกิจ และเราจะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง ? เราลองมาดูงบแสดงฐานะทางการเงินกันก่อน งบแสดงฐานะทางการเงิน ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น สามารถแทนเป็นสมการง่าย ๆ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งส่วนของผู้ถือหุ้น ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ - ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว - ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น - กำไร (ขาดทุน) สะสม ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สมมติว่า บริษัท A มีจำนวน 20,000,000 หุ้น ราคาพาร์ 0.50 บาท แสดงว่า บริษัท A มีทุนจดทะเบียน 10,000,000 บาท ซึ่งผู้ถือหุ้นได้ชำระค่าหุ้นทั้งหมด เพื่อให้บริษัทใช้ในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น บริษัท A จะมีเงินทุนเริ่มต้น 10,000,000 บาท ตรงนี้จะเรียกว่า ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ซึ่งเมื่อบริษัทได้เริ่มต้นธุรกิจ แล้วสามารถสร้างกำไร หรือขาดทุนก็ตาม ตรงนี้ จะถูกบันทึกในส่วนของ กำไร (ขาดทุน) สะสม ด้วย ถ้าบริษัททำธุรกิจแล้วมีกำไร จะทำให้ กำไร (ขาดทุน) สะสม เพิ่มขึ้น กลับกัน ถ้าขาดทุน จะทำให้ กำไร (ขาดทุน) สะสม ลดลง ผ่านมา 2 ปี บริษัท A สามารถทำผลกำไรได้ปีละ 1,000,000 บาท ดังนั้น บริษัท A จะมีกำไรสะสมอยู่ที่ 2,000,000 บาท เมื่อรวมทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว กับกำไรสะสม จะได้ว่า บริษัท A มีส่วนของผู้ถือหุ้น 12,000,000 บาท อย่างไรก็ตาม ปีที่ 3 บริษัทดันเกิดขาดทุนอย่างหนัก 7,000,000 บาท แปลว่า จากที่บริษัทมีกำไรสะสมอยู่ที่ 2,000,000 บาท จะกลายเป็นขาดทุนสะสม 5,000,000 บาท ในขณะที่ ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ ปีที่ 3 จะลดลงเหลือ 5,000,000 บาท โดยเกิดจาก ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 10,000,000 บาท หักกับขาดทุนสะสม 5,000,000 บาท นั่นเอง คำถามที่น่าสนใจคือ แล้วการขาดทุนสะสม จะส่งผลอย่างไรต่อบริษัทบ้าง ? ตามกฎหมาย แม้ว่าบริษัทจะขาดทุนในปีนั้น ๆ ถ้ายังคงมีกำไรสะสมอยู่ บริษัทก็ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ แต่ถ้าบริษัทมีขาดทุนสะสม บริษัทจะต้องมีการล้างขาดทุนสะสมให้หมดเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ในหลายบริษัท กว่าจะสามารถนำกำไร มาล้างขาดทุนสะสมจนหมดได้ อาจต้องใช้เวลานานหลายปี Close Ad พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงเกิดแนวคิด นำส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม ซึ่งส่วนเกินมูลค่าหุ้น คือ ส่วนต่างของราคาหุ้นกับราคาพาร์ ที่บริษัทได้มีการระดมทุนเพิ่ม ถ้าบริษัทสามารถระดมทุนที่ราคาหุ้นสูงกว่าราคาพาร์ จะทำให้เกิดส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น เพิ่มขึ้น กลับกัน ถ้าระดมทุนที่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาพาร์ จะทำให้ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น ลดลง แล้วส่วนเกินมูลค่าหุ้น มาล้างขาดทุนสะสมได้อย่างไร ? กลับมาที่ บริษัท A ได้มีการระดมทุนเพิ่มทุน 10,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ที่ราคาพาร์ 0.50 บาท แปลว่า บริษัทมีเงินทุนเพิ่มเข้ามา 10,000,000 บาท แบ่งได้เป็น ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 5,000,000 บาท และส่วนเกินมูลค่าหุ้น 5,000,000 บาท ดังนั้น บริษัทจากที่มี 20,000,000 หุ้น กลายเป็น 30,000,000 หุ้น ส่วนผู้ถือหุ้นจาก 5,000,000 บาท กลายเป็น 15,000,000 บาท ตรงนี้จะแบ่งได้เป็น - ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 15,000,000 บาท - ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น 5,000,000 บาท - กำไร (ขาดทุน) สะสม -5,000,000 บาท จะเห็นได้ว่า ส่วนเกินมูลค่าหุ้นทั้งหมด สามารถนำไปล้างขาดทุนสะสม ได้หมดพอดี หรือในกรณีบริษัทไม่มีส่วนเกินมูลค่าหุ้น เราอาจจะเห็นการใช้วิธีลดทุนจดทะเบียนได้เช่นกัน โดยจะมี 2 วิธี คือ 1. การลดจำนวนหุ้น 2. การลดราคาพาร์ คราวนี้ บริษัท A ตัดสินใจล้างขาดทุนสะสม 5,000,000 บาท ด้วยวิธีลดทุนจดทะเบียน เมื่อบริษัทเลือกที่จะใช้วิธีที่ 1 คือ ลดจำนวนหุ้นลงจาก 20,000,000 หุ้น เหลือ 10,000,000 หุ้น แต่ราคาพาร์ยังคงไว้ที่หุ้นละ 0.50 บาท หรือกรณีใช้วิธีที่ 2 บริษัทเลือกลดราคาพาร์ จาก 0.50 บาท เหลือ 0.25 บาท แต่จำนวนหุ้นยังคงไว้ 20,000,000 หุ้น จะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 วิธี จะทำให้เกิดส่วนเกินทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วขึ้นมา 5,000,000 บาท ซึ่งสามารถนำส่วนเกินทุนนี้ ไปล้างขาดทุนสะสมได้หมดพอดี ดังนั้น ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท A หลังเกิดการลดทุนจดทะเบียน จะอยู่ที่ 5,000,000 บาท โดยเกิดจาก ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัท A จาก 10,000,000 บาท ลดลงเหลือ 5,000,000 บาท ซึ่ง 5,000,000 บาทที่หายไปนั้น จะถูกนำไปล้างขาดทุนสะสม สุดท้าย ทั้งการใช้ส่วนเกินมูลค่าหุ้น และการลดทุนจดทะเบียน ก็สามารถทำให้บริษัท A ล้างขาดทุนสะสมได้เช่นกัน ถึงตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า การล้างขาดทุนสะสม ด้วยวิธีดังกล่าว เป็นเทคนิคทางบัญชีอย่างหนึ่ง โดยเป็นเพียงการย้ายรายการต่าง ๆ ที่อยู่ภายในส่วนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่อตัวเลขขาดทุนสะสมถูกล้างจนหมด และบริษัทเริ่มมีกำไร ก็จะสามารถจ่ายปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นได้ในอนาคตนั่นเอง..
ขาดทุนสะสม คือ ผลรวมของทั้งกำไรและขาดทุนที่สะสมมาตั้งแต่วันแรกที่กิจการเริ่มประกอบธุรกิจ โดยที่ผลรวมดังกล่าวมีค่าเป็นลบ หากเป็นเจ้าของบริษัท ทำธุรกิจมีกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง ผลรวมของกำไรขาดทุน หากยังไม่ได้เอาไปทำอะไร จะเรียกเงินทั้งก้อนรวม ๆ กันว่า “กำไรสะสม” หากธุรกิจขาดทุนต่อเนื่อง ซึ่งก็อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด จากกำไรสะสม ก็อาจจะกลายมาเป็นผลลบ หรือเรียกอีกอย่างว่า “ขาดทุนสะสม” ได้เหมือนกัน งบแสดงฐานะทางการเงิน ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น สามารถแทนเป็นสมการง่าย ๆ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งส่วนของผู้ถือหุ้น ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ - ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว - ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น - กำไร (ขาดทุน) สะสม แล้วการขาดทุนสะสม จะส่งผลอย่างไรต่อบริษัทบ้าง ? ตามกฎหมาย แม้ว่าบริษัทจะขาดทุนในปีนั้น ๆ ถ้ายังคงมีกำไรสะสมอยู่ บริษัทก็ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ แต่ถ้าบริษัทมีขาดทุนสะสม บริษัทจะต้องมีการล้างขาดทุนสะสมให้หมดเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ในหลายบริษัท กว่าจะสามารถนำกำไร มาล้างขาดทุนสะสมจนหมดได้ อาจต้องใช้เวลานานหลายปี พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงเกิดแนวคิดนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม ซึ่งส่วนเกินมูลค่าหุ้น คือ ส่วนต่างของราคาหุ้นกับราคาพาร์ ที่บริษัทได้มีการระดมทุนเพิ่ม ถ้าบริษัทสามารถระดมทุนที่ราคาหุ้นสูงกว่าราคาพาร์ จะทำให้เกิดส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น เพิ่มขึ้น กลับกัน ถ้าระดมทุนที่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาพาร์ จะทำให้ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น ลดลง หรือในกรณีบริษัทไม่มีส่วนเกินมูลค่าหุ้น เราอาจจะเห็นการใช้วิธีลดทุนจดทะเบียนได้เช่นกัน โดยจะมี 2 วิธี คือ 1. การลดจำนวนหุ้น 2. การลดราคาพาร์ การล้างขาดทุนสะสม เป็นเทคนิคทางบัญชีอย่างหนึ่ง โดยเป็นเพียงการย้ายรายการต่าง ๆ ที่อยู่ภายในส่วนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่อตัวเลขขาดทุนสะสมถูกล้างจนหมด และบริษัทเริ่มมีกำไร ก็จะสามารถจ่ายปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นได้ในอนาคตนั่นเอง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2630
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ การขายตัดขาดทุน
null
การขายตัดขาดทุน หมายถึง การบริหารความเสี่ยงจากการลงทุน ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ตรงข้ามกับสิ่งที่เราได้คาดหวังเอาไว้ แนวทางในการบรรเทาความเสียใจที่เกิดจากการสภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้ ซึ่งนักลงทุนสายปัจจัยเทคนิค จะกำหนดการขายตัดขาดทุนจากระดับผลขาดทุนที่ยอมรับได้เป็นค่าตายตัว หรือไม่ก็กำหนดจากราคาหุ้นหลุดแนวรับสำคัญ ส่วนนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานจะไม่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น แต่จะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐาน บทเรียนจากย่อหน้านี้ “การขายตัดขาดทุน” หรือ “Cut Loss” เป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บจากภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เป็นไปตามคาด แต่การจะตัดสินใจทำให้ได้จริงๆ ในสถานการณ์ที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง บางครั้งก็เป็นเรื่องยาก นักลงทุนเองก็อาจยังลังเลเพราะยังมีคำถามในใจว่าควรจะทำจริงหรือเปล่า การขายตัดขาดทุน คือ การบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดหวังไว้ สำหรับนักลงทุนสายปัจจัยเทคนิคอาจกำหนดการขายตัดขาดทุนจากระดับผลขาดทุนที่ยอมรับได้เป็นค่าตายตัว เช่น -3% , -5% หรือ -10% เป็นต้น โดยหากเกิดผลขาดทุนแตะระดับดังกล่าวแล้ว จะตัดสินใจขายตัดขาดทุน ขณะที่บางท่านอาจจะกำหนดการขายตัดขาดทุน จากการที่ราคาหุ้นหลุดแนวรับสำคัญ หรือเครื่องชี้ทางเทคนิคเกิดสัญญาณขายก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดสิ่งที่ต้องตระหนักไว้เสมอ คือ 1. ต้องมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนล่วงหน้าเสมอ 2. ไม่มีเทคนิควิธีไหนที่ดีที่สุดหรือได้ผล 100% 3. ต้องมีวินัยการลงทุนเพราะจะทำให้อยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หากเป็นนักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน การขายตัดขาดทุนจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นที่ขึ้นหรือลงในแต่ละวัน แต่จะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่มองไว้ เพราะฉะนั้นแม้ราคาหุ้นปรับตัวลงแต่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลงหรือเป็นเพียงผลกระทบที่เกิดขึ้นชั่วคราวก็ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจขายตัดขาดทุน แต่อาจมองเป็นจังหวะซื้อเพิ่มก็ได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2633
Finance
"The pre-mortem" เป็นวิธีรับมือกับความเครียด เทรดเดอร์สามารถนำหลักการนี้ไปประยุกต์ใช้กับการเทรดหุ้นได้อย่างไรบ้าง? อธิบายขั้นตอนและยกตัวอย่างประกอบ
null
การประยุกต์ใช้ "The pre-mortem" กับการเทรดหุ้น: The pre-mortem หรือ การวางแผน ตรวจสอบสิ่งผิดพลาดที่อาจจะเกิดเพื่อรับมือล่วงหน้า เป็นแนวคิดที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดหุ้นได้ เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์รับมือกับความเครียด ตัดสินใจได้ดีขึ้น และลดผลกระทบจากความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ขั้นตอน: กำหนดสถานการณ์: เริ่มต้นด้วยการระบุสถานการณ์ที่อาจสร้างความเครียด ตัวอย่างเช่น ตลาดผันผวนรุนแรง พอร์ตฟอลิโอขาดทุนติดต่อกัน พลาดโอกาสในการทำกำไร เผชิญกับข่าวลือหรือข้อมูลข่าวสารที่ไม่แน่นอน วิเคราะห์ผลที่ตามมา: คาดการณ์ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์นั้นๆ both good and bad ผลกระทบต่อเงินทุน ผลกระทบต่ออารมณ์และความเครียด ผลกระทบต่อกลยุทธ์การเทรด วางแผนรับมือ: แผนรับมือสำหรับสถานการณ์ที่ดี: กำหนดกลยุทธ์การเก็งกำไร กำหนดจุดขายเพื่อทำกำไร วางแผนบริหารความเสี่ยง แผนรับมือสำหรับสถานการณ์เลวร้าย: กำหนดจุดตัดขาดทุน ปรับขนาดการลงทุน หยุดพักการเทรดชั่วคราว ทบทวนและปรับปรุง: จดบันทึกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง วิเคราะห์ว่าแผนรับมือมีประสิทธิภาพหรือไม่ ปรับปรุงแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตัวอย่าง: สถานการณ์: ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรง ดัชนีร่วงลง 5% ในหนึ่งวัน ผลที่ตามมา: ผลกระทบต่อเงินทุน: พอร์ตฟอลิโอขาดทุน 5% ผลกระทบต่ออารมณ์: รู้สึกเครียด กังวล กลัว ผลกระทบต่อกลยุทธ์: อาจตัดสินใจผิดพลาด แผนรับมือ: แผนรับมือสำหรับสถานการณ์ที่ดี: เทรดหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ เพิ่มการกระจายความเสี่ยง ตั้งเป้าหมายทำกำไรระยะสั้น แผนรับมือสำหรับสถานการณ์เลวร้าย: ตั้งจุดตัดขาดทุนที่ 10% ลดขนาดการลงทุนลง 50% หยุดพักการเทรด 1 วัน ทบทวนและปรับปรุง: วิเคราะห์ว่าจุดตัดขาดทุนเหมาะสมหรือไม่ พิจารณาเพิ่มกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง ฝึกฝนการควบคุมอารมณ์ ข้อดีของการใช้ "The pre-mortem": ช่วยให้เทรดเดอร์รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและรอบคอบ ช่วยลดผลกระทบจากความผิดพลาด ช่วยให้พัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ ข้อควรระวัง: ไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ แผนรับมืออาจไม่มีประสิทธิภาพในบางสถานการณ์ จำเป็นต้องมีการฝึกฝนและปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล สรุป: The pre-mortem เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ในการรับมือกับความเครียดและตัดสินใจได้ดีขึ้น
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2634
Finance
ข้อใดกล่าวถึงความคิดเกี่ยวกับการที่ญี่ปุ่นเหมือนกำลังจะถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีดิจิตอล ได้ถูกต้อง
ก. ญี่ปุ่นพยายามต่อสู้ในเรื่องหุ้น Super Stock แต่ติดขัดเรื่องวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง แต่ปรับตัวยาก ข. ญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะ ที่มีคนชาติพันธุ์อื่นเข้าไปผสมผสานน้อย ค. คนญี่ปุ่นอยู่ในระบบการเมืองขนบธรรมเนียมประเพณีและสังคม ที่มีเสถียรภาพมายาวนาน ง. คนญี่ปุ่นมีวินัยและมีความคิดร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
คำตอบได้แก่ ก. เพราะความคิดที่ว่า ญี่ปุ่นน่าจะเคยเป็นหุ้น Super Stock อยู่ช่วงหนึ่งจนอิ่มตัว และต่อมาดูเหมือนกำลังจะถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีดิจิตอล ญี่ปุ่นพยายามต่อสู้แต่ก็ติดขัดเรื่องวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งแต่ก็ปรับตัวยาก หากทำได้ก็เป็นหุ้นที่น่าสนใจมาก แต่หากทำไม่ได้ อนาคตก็น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าคนรุ่นใหม่เกิดน้อยลงเรื่อย ๆ และคนแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นก็อาจจะกลายเป็นแค่ “ตำนาน” คล้าย ๆ กับหุ้นแนวเทสโก้ของอังกฤษก็เป็นได้ ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวถึงความคิดที่ว่า คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีความสามารถวัดจาก IQ ที่สูงและความแตกต่างระหว่างคนเองไม่มาก เหตุผลคือ ญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะที่มีคนชาติพันธุ์อื่นเข้าไปผสมผสานน้อย พวกเขาอยู่ในระบบการเมืองขนบธรรมเนียมประเพณีและสังคมที่มีเสถียรภาพมายาวนาน ซึ่งทำให้คนมีวินัยและมีความคิดร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ค่อยมีใครทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม คนญี่ปุ่นนั้นจะแคร์ความคิดของคนอื่นในสังคมมาก พวกเขาจะต้องทำตัวให้ดูดีในสายตาของคนอื่น และเกรงว่าจะถูกคนอื่นติเตียนมาก การคิดและทำต่างจากคนอื่นอาจจะถูกมองว่าแปลกแยกและอาจจะทำให้คนอื่นไม่อยากคบค้าซึ่งจะทำให้ความก้าวหน้าช้าลง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้คนญี่ปุ่นนั้นมีคุณภาพเป็นเลิศในทุกด้าน ยกเว้น ความคิดสร้างสรรค์ที่ค่อนข้าง “หลุดโลก” หรือนอกกรอบสิ่งที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าจะเป็นผู้นำของ “โลกยุคใหม่”
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2635
Finance
ช่วยสรุปบทความ ความหมายของค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ให้หน่อยนะคะ
ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คือค่าใช้จ่ายประเภทหนึ่งในทางบัญชี โดยค่าใช้จ่ายทั้งสองไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นเงินสด แต่เป็นรายการที่คำนวณขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่แท้จริงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการใช้สินทรัพย์ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนในกิจการ คือค่าใช้จ่ายประเภทหนึ่งในทางบัญชี โดยค่าใช้จ่ายทั้งสองไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นเงินสด แต่เป็นรายการที่คำนวณขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่แท้จริงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการใช้สินทรัพย์ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนในกิจการ ยกตัวอย่างเช่นเราซื้ออาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งมาทำธุรกิจในราคา 10 ล้าน หากเราคำนวณกำไรจากเงินสดจะพบว่าปีแรกนั้นธุรกิจน่าจะขาดทุนมากเพราะมีค่าตึกถึง 10 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเวลาหลังจากนั้น กำไรก็น่าจะสูงผิดปรกติเพราะเหมือนไม่มีต้นทุนค่าสถานที่เลย ในทางบัญชีจึงจำเป็นต้องคำนวณค่าใช้จ่ายของสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 1 รอบบัญชีให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากที่สุด ทำให้เกิดเป็นค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่นเราซื้ออาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งมาทำธุรกิจในราคา 10 ล้าน หากเราคำนวณกำไรจากเงินสดจะพบว่าปีแรกนั้นธุรกิจน่าจะขาดทุนมากเพราะมีค่าตึกถึง 10 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเวลาหลังจากนั้น กำไรก็น่าจะสูงผิดปรกติเพราะเหมือนไม่มีต้นทุนค่าสถานที่เลย ในทางบัญชีจึงจำเป็นต้องคำนวณค่าใช้จ่ายของสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 1 รอบบัญชีให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากที่สุด ทำให้เกิดเป็นค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั่นเอง ค่าเสื่อมราคารวม/ค่าตัดจำหน่ายรวม = ราคาทุน – ราคาซาก
ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คือค่าใช้จ่ายประเภทหนึ่งในทางบัญชี โดยค่าใช้จ่ายทั้งสองไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นเงินสด แต่เป็นรายการที่คำนวณขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่แท้จริงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการใช้สินทรัพย์ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนในกิจการ โดยเป็นการคำนวณค่าใช้จ่ายของสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 1 รอบ ตามสูตร คือ ค่าเสื่อมราคารวม/ค่าตัดจำหน่ายรวม = ราคาทุน – ราคาซาก
การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2636
Finance
บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA เป็นธุรกิจอะไร
null
SPA เป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านสปาเพื่อสุขภาพ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสปา ธุรกิจของ SPA แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) ธุรกิจสปา ส่วนนี้สร้างรายได้ให้ SPA มากที่สุด 2) ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ส่วนนี้ SPA ไม่ได้เน้นมากนัก 3) ธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สปา ส่วนนี้คือการใช้พื้นที่ภายในร้านให้เกิดประโยชน์ นอกจากจะให้แ ขกนั่งรอแล้วยังทำเป็นพื้นที่ขายของไปในตัวด้วย 4) กิจการโรงเรียนเกี่ยวกับการนวดแผนไทย ส่วนนี้ทำเพื่อให้หมอนวดของ SPA มีใบประกาศว่าได้ผ่านการเรียนนวดแล้ว และเพื่อควบคุมคุณภาพต่อไป ในปัจจุบัน SPA มีสปาเปิดให้บริการรวมด้วยกันทั้งหมด 41 สาขา ธุรกิจของ SPA แบ่งออกเป็น 3 แบรนด์ คือ 1) Let’s Relax 27 สาขา 2) RarinJinda Wellness Spa 3 สาขา 3) บ้านสวนมาสสาจ 11 สาขา SPA ถือเป็นธุรกิจที่ได้ใช้ความเป็นไทย แล้วขายบริการที่มีคุณภาพได้ดีมาก ปัจจุบัน SPA มีสาขา 41 สาขา และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกินหมื่นล้านเป็นที่เรียบร้อย SPA ถือเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ ตอนนี้มีการขยายสาขาในรูปแบบ Franchise ทำให้สามารถขยายสาขาได้มากขึ้นและเร็วกว่าเมื่อก่อน ทำให้นอกจากจะได้รับความนิยมโดยคนที่รักการนวดแล้ว SPA ยังเป็นที่นิยมของนักลงทุนอีกด้วย
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2637
Finance
โปรดสรุปบทความ ทำอย่างไรกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อเราลาออกจากบริษัท
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่? ที่ลาออกจากงานก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บางคนลาออกไปไม่กี่เดือน ก็นำเงินไปใช้จ่ายจนเกือบหมดสิ้น บางคนลาออกไปไม่กี่เดือน ก็นำเงินไปใช้จ่ายจนเกือบหมดสิ้น แล้วแบบนี้เราจะทำอย่างไรกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถ้าเราลาออกจากบริษัท? มาดู 3 ทางเลือก ถ้าคุณลาออก คุณจะจัดการกับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อย่างไรบ้าง? มาดู 3 ทางเลือก ถ้าคุณลาออก คุณจะจัดการกับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อย่างไรบ้าง? 1. ยังคงไว้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างต่อได้อีก 1 ปี คุณยังได้รับเงินผลประโยชน์ในการลงทุนต่อ แต่จะไม่มีเงินสมทบ แล้วรอจนกระทั่งคุณพร้อมกับการทำงานที่ใหม่ซึ่งคุณอาจจะโอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่ได้ 2. โอนย้ายไปยังกองทุนรวม RMF ข้อดีคือ เพื่อช่วยให้ลูกจ้างสามารถออมเงินต่อเนื่องได้เท่าที่ต้องการ สามารถที่จะเลือกนโยบายการลงทุนได้เอง และช่วยเรื่องภาษีอีกด้วยคือ ใช้ลดหย่อนภาษีได้ ข้อดีคือ เพื่อช่วยให้ลูกจ้างสามารถออมเงินต่อเนื่องได้เท่าที่ต้องการ สามารถที่จะเลือกนโยบายการลงทุนได้เอง และช่วยเรื่องภาษีอีกด้วยคือ ใช้ลดหย่อนภาษีได้ Update: นักลงทุนสามารถซื้อกองทุน SSF-RMF กับ FINNOMENA ได้แล้ว อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและเริ่มต้นลงทุนได้ที่ https://finno.me/tax-saving-fund1452 Update: นักลงทุนสามารถซื้อกองทุน SSF-RMF กับ FINNOMENA ได้แล้ว Update อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและเริ่มต้นลงทุนได้ที่ https://finno.me/tax-saving-fund1452 https://finno.me/tax-saving-fund1452 https://finno.me/tax-saving-fund1452 3. นำเงินไปลงทุนต่อเอง ถ้าเป็นทางเลือกนี้จะต้องดูว่าท่านเสียภาษีอย่างไรและเท่าไร และที่สำคัญ คุณต้องสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ชนะทั้งผลตอบแทนของ SET Index และ กองทุนประเภทหุ้น แบบ Active Fund ถ้าเป็นทางเลือกนี้จะต้องดูว่าท่านเสียภาษีอย่างไรและเท่าไร และที่สำคัญ 3.1) อายุงานน้อยกว่า 5 ปี ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี จะต้องยื่นรวมไปกับเงินได้ประจำปีภาษี โดยเงินที่จะต้องคำนวณการเสียภาษี คือ เงินที่นายจ้างสมทบและผลประโยชน์จากการลงทุน โดยเงินที่จะต้องคำนวณการเสียภาษี คือ เงินที่นายจ้างสมทบและผลประโยชน์จากการลงทุน เช่น ทำงานมา 4 ปี ได้รับเงินจากกองทุน 150,000 บาท โดยมีเงินสะสมของตัวเอง 70,000 บาท เช่น ทำงานมา 4 ปี ได้รับเงินจากกองทุน 150,000 บาท โดยมีเงินสะสมของตัวเอง 70,000 บาท และมีเงินสมทบจากนายจ้าง 70,000 บาท พร้อมผลประโยชน์จากการลงทุน 10,000 บาท และมีเงินสมทบจากนายจ้าง 70,000 บาท พร้อมผลประโยชน์จากการลงทุน 10,000 บาท ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ เงินสมทบจากนายจ้าง 70,000 + ผลประโยชน์ 10,000 = 80,000 ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ เงินสมทบจากนายจ้าง 70,000 + ผลประโยชน์ 10,000 = 80,000 จะเสียเงินสำหรับภาษีเท่าไร ก็ให้คำนวณจากฐานการเสียภาษีอีกครั้ง จะเสียเงินสำหรับภาษีเท่าไร ก็ให้คำนวณจากฐานการเสียภาษีอีกครั้ง 3.2) อายุงาน 5 ปีขึ้นไป แต่อายุไม่เกิน 55 ปี จะต้องยื่นแยกในการเสียภาษี ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ คือ [(เงินสมทบจากนายจ้าง+เงินผลประโยชน์การลงทุน) – (7,000 x อายุงาน)] / 2 [ (เงินสมทบจากนายจ้าง+เงินผลประโยชน์การลงทุน ) – (7,000 x อายุงาน )] / 2 โดยเงินก้อนนี้นำไปแยกยื่นได้ ไม่ต้องไปรวมกับ เงินได้ประจำปีภาษี เช่น ทำงานมาแล้ว 6 ปี ได้รับเงินจากกองทุน 250,000 โดยเป็นเงินสะสมของตัวเอง 100,000 และมีเงินสมทบจากนายจ้าง 100,000 พร้อมผลประโยชน์จากการลงทุน 50,000 และมีเงินสมทบจากนายจ้าง 100,000 พร้อมผลประโยชน์จากการลงทุน 50,000 ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ 150,000 = เงินสมทบจากนายจ้าง 100,000 + ผลประโยชน์ 50,000 = 150,000 ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ 150,000 = เงินสมทบจากนายจ้าง 100,000 + ผลประโยชน์ 50,000 = 150,000 เงินที่จะต้องนำไปคิดเสียภาษี คือ [ (150,000 – (6×7,000)]/2 = 54,000 บาท เงินที่จะต้องนำไปคิดเสียภาษี คือ [ ( 150,000 – (6×7,000)]/2 = 54,000 บาท จะเสียเงินสำหรับภาษีเท่าไร ก็ให้คำนวณจากฐานการเสียภาษีอีกครั้ง จะเสียเงินสำหรับภาษีเท่าไร ก็ให้คำนวณจากฐานการเสียภาษีอีกครั้ง 3.3) อายุสมาชิกของกองทุน 5 ปีขึ้นไป และ อายุ 55 ปีขึ้นไป ไม่ต้องเสียภาษี แม้จะมีหลายทางเลือก แต่ทางเลือกที่ดี คือ ทางเลือกที่จะทำให้คุณมีออมต่อเนื่อง และเลือกนโยบายการลงทุนเองได้ คือ โอนย้ายไปยัง กองทุนรวม RMF หรือ โอนไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทใหม่ แม้จะมีหลายทางเลือก
วิธีบริหารเงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อเราลาออกจากบริษัท มี 3 ทางเลือก คือ 1) เก็บไว้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างต่อได้อีก 1 ปี โดยยังได้รับเงินผลประโยชน์ในการลงทุนต่อ แต่จะไม่มีเงินสมทบ เพื่อรอการโอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่ 2) โอนย้ายไปยังกองทุนรวม RMF ซึ่งจะช่วยให้ลูกจ้างออมเงินต่อเนื่องได้ตามที่ต้องการ โดยเราสามารถเลือกนโยบายการลงทุนได้ และใช้ลดหย่อนภาษีได้ 3) นำเงินไปลงทุนต่อเอง โดยจะต้องสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ชนะทั้งผลตอบแทนของ SET Index และ กองทุนประเภทหุ้น แบบ Active Fund ซึ่งพิจารณาจาก 3.1) อายุงานน้อยกว่า 5 ปี ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี ต้องยื่นรวมกับเงินได้ประจำปี โดยเงินที่จะต้องนำมาคำนวณการเสียภาษี คือ เงินที่นายจ้างสมทบและผลประโยชน์จากการลงทุน 3.2) อายุงาน 5 ปีขึ้นไป แต่อายุไม่เกิน 55 ปี จะต้องยื่นแยกในการเสียภาษี ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ คือ [(เงินสมทบจากนายจ้าง+เงินผลประโยชน์การลงทุน) – (7,000 x อายุงาน)] / 2 [ (เงินสมทบจากนายจ้าง+เงินผลประโยชน์การลงทุน ) – (7,000 x อายุงาน )] / 2 โดยเงินก้อนนี้สามารถนำไปยื่นแยกได้ โดยไม่ต้องนำไปรวมกับเงินได้ประจำปีภาษี 3.3) อายุสมาชิกของกองทุน 5 ปีขึ้นไป และ อายุ 55 ปีขึ้นไป ไม่ต้องเสียภาษี
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2638
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ประเภทของ Market Neutral
null
Market Neutral แบ่งออกเป็น 2 ประเภท โดยประเภทแรกก็คือ Market Neutral ที่ใช้ความผิดปกติด้านราคาในเชิงสถิติหากำไร โดยเป็นการวิเคราะห์ที่ต้องใช้ข้อมูลเชิงปริมาณมาคำนวณเป็นสินทรัพย์ ปริมาณ และสถานะเราที่ควรถือ ส่วนประเภทที่สอง นั่นก็คือ Market Neutral ที่ใช้ความผิดปกติด้านปัจจัยพื้นฐานหากำไร เป็นการวิเคราะห์โดยตั้งเป้าหมายการซื้อหุ้นที่แข็งแกร่ง และ Short หุ้นที่มีสัญญาณอ่อนตัวจากข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐาน บทเรียนจากย่อหน้านี้ สามารถแบ่ง Market Neutral ออกได้เป็น 2 แบบโดยง่าย หนึ่งคือกลยุทธ์ Market Neutral ที่ใช้ความผิดปรกติด้านราคาในเชิงสถิติหากำไร และ สองคือ Market Neutral ที่ใช้ความผิดปรกติด้านปัจจัยพื้นฐานหากำไร ซึ่งมีแนวการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันออกไป โดยในเชิงสถิตินั้น ต้องอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น ราคาย้อนหลัง การวิเคราะห์กราฟเทคนิค หรือโมเดลทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อคำนวณออกมาเป็นสินทรัพย์ ปริมาณ และสถานะที่ควรถือ ในขณะที่ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน โดยมากจะตั้งเป้าหมายในการซื้อไปที่หุ้นแข็งแกร่ง และ Short หุ้นที่มีสัญญาณของการอ่อนตัวจากข้อมูลทางด้านปัจจัยพื้นฐาน เช่น ยอดขาย กระแสเงินสดคิดลด ฯลฯ ซึ่ง Market Neutral ทั้ง 2 แบบนั้นอาจทำได้หลายกลยุทธ์ เช่น ในสินทรัพย์เดียวกัน กลุ่มเดียวกัน เช่น Long หุ้นโรงพยาบาล A แล้ว Short หุ้นโรงพยาบาล B สินทรัพย์เดียวกัน คนละกลุ่ม เช่น Long หุ้นโรงไฟฟ้า Short หุ้นการท่องเที่ยวและร้านอาหาร คนละสินทรัพย์ เช่น Long หุ้นกู้แปลงสภาพ แต่ Short หุ้นที่อ้างอิง และอีกมากมาย หลากปริมาณ เช่น Long / Short 50:50 คือการใช้สถานะ Long และ Short เพื่อลดความเสี่ยงด้านการใช้ Leverage Long / Short 100:100 Long / Short 3-400%:3-400% เพื่อให้พอร์ตการลงทุนนั้นๆ มีค่า Beta ต่ำลงมา ตามแต่จุดประสงค์ของผู้จัดการกองทุน ว่าต้องการกำจัดความเสี่ยงออกไปมากน้อยแค่ไหน หรือ กำจัดความเสี่ยงรูปแบบใด ซึ่งจะช่วยกำหนดสินทรัพย์ที่ต้องลงทุน อุปกรณ์ทางการเงินที่ต้องใช้ หรือโมเดลทางคณิตศาสตร์แบบใดที่ควรคำนึงถึง ซึ่งในกรณีของ Market Neutral แบบ Zero Beta นั้นเป้าหมายก็คือทำให้ต่ำลงมาใกล้เคียง 0 ที่สุด นอกจากนั้นแล้วยังมีการประยุกต์ใช้แบบลูกครึ่ง เช่น กลยุทธ์ Long/Short Hedge ที่มีเป้าหมายคือการสร้างผลตอบแทนแบบหุ้นภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า, 130/30 ที่ให้ความสนใจของผลกำไรที่มากขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมือนๆ กันกับตลาดทั่วไป ฯลฯ
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2639
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ รายได้ตามไลน์สินค้าของเถ้าแก่น้อย ในปี 2560
null
สำหรับรายได้ตามไลน์สินค้าของเถ้าแก่น้อย ในปี 2560 ประกอบไปด้วย สินค้าประเภทสาหร่ายทอด มีสัดส่วนจากรายได้รวมเป็น 46.1% ต่อด้วยสินค้าประเภทสาหร่ายย่าง มีสัดส่วนจากรายได้รวมเป็น 43.1% ส่วนสินค้าประเภทสาหร่ายแบบเทมปุระ มีสัดส่วนจากรายได้รวมอยู่ที่ 1.9% สินค้าประเภทสาหร่ายอบ สัดส่วนจากรายได้รวมเป็น 2.9% และสุดท้าย สินค้าประเภทอื่น ๆ ของเถ้าแก่น้อย สัดส่วนจากรายได้รวมอยู่ที่ 6.4% ซึ่งสินค้าหลักของแบรนด์นั่นก็คือ สาหร่ายทอด ยังคงเป็นสินค้าที่มีสัดส่วนจากรายได้รวมมากที่สุดของแบรนด์ บทเรียนจากย่อหน้านี้ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่ายแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพประเภทอื่นๆ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ถือเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีการเติบโตในแง่ของรายได้มาโดยตลอด บริษัทก่อตั้งในปี 2004 ในโรงงานเล็กๆ ไม่กี่ ตรม. มาถึงวันนี้ TKN มีมูลค่าตามราคาตลาดเกิน 20,000 ล้านบาท และสร้างรายได้หลักพันล้านบาท ถือว่าเป็นการเติบโตที่น่าประทับใจมาก ในระยะเวลาเพียง 10 ปีกว่า แม่ทัพใหญ่ของ TKN นั้นถือว่าเป็นต้นแบบในการทำธุรกิจของหลายๆ คนเช่นกัน เขาก็คือ คุณอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ หรือ คุณต๊อบ ผู้อยู่กับบริษัทนี้มาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจตอนอายุ 19 ปี ประวัติชีวิตและธุรกิจของเขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “วัยรุ่นพันล้าน” รายได้ตามไลน์สินค้าของเถ้าแก่น้อย ในปี 2560 สาหร่ายทอด มีสัดส่วนจากรายได้รวม 46.1% สาหร่ายย่าง มีสัดส่วนจากรายได้รวม 43.1% สาหร่ายแบบเทมปุระ มีสัดส่วนจากรายได้รวม 1.9% สาหร่ายอบ มีสัดส่วนจากรายได้รวม 2.9% อื่นๆ มีสัดส่วนจากรายได้รวม 6.4% TKN มีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่นกัน ในตอนแรก TKN เน้นการขายสาหร่ายทอดเท่านั้น แต่ในตอนหลังมีการพัฒนาสินค้าใหม่ เช่น สาหร่ายย่างและสาหร่ายอบ ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี จนเกือบจะมาแทนที่สาหร่ายทอดอีกด้วย ถือเป็นการพัฒนาสินค้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จมาก
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2640
Finance
จงสรุปบทความ กลยุทธ์ดีๆ ในการซื้อ LTF
กลยุทธ์ที่ดีในการซื้อ LTF คืออะไร? คำตอบคือทยอยซื้อทุกเดือน เดือนละเท่าๆ กันน่าจะเหมาะสมที่สุด แน่นอนว่าราคากองทุนที่เราได้จะไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุดหรือแพงที่สุดในรอบปี เพราะการทยอยซื้อคือการซื้อที่ราคาเฉลี่ย ตัดปัญหาการได้ของแพงมากหรือถูกมากออกไป คำตอบคือทยอยซื้อทุกเดือน เดือนละเท่าๆ กันน่าจะเหมาะสมที่สุด แน่นอนว่าราคากองทุนที่เราได้จะไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุดหรือแพงที่สุดในรอบปี เพราะการทยอยซื้อคือการซื้อที่ราคาเฉลี่ย ตัดปัญหาการได้ของแพงมากหรือถูกมากออกไป ข้อเสียคือหมดโอกาสซื้อกองทุนในช่วงถูกสุดๆ ข้อดีคือหมดโอกาสซื้อกองทุนในช่วงแพงสุดๆ ด้วยเช่นกัน การลงทุน LTF มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาวและประหยัดภาษีเป็นหลัก ดังนั้น เอาเวลาที่พยายามจับจังหวะตลาดไปทำมาหากินเอาเงินมาเติมพอร์ตดีกว่า เพราะสุดท้าย ไม่ว่าตลาดจะเขียวหรือจะแดง เราก็ไม่มีทางรู้ว่าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นจะไปทางไหนอยู่ดี การลงทุน LTF มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาวและประหยัดภาษีเป็นหลัก ดังนั้น เอาเวลาที่พยายามจับจังหวะตลาดไปทำมาหากินเอาเงินมาเติมพอร์ตดีกว่า เพราะสุดท้าย ไม่ว่าตลาดจะเขียวหรือจะแดง เราก็ไม่มีทางรู้ว่าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นจะไปทางไหนอยู่ดี เพราะตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดเดาได้อยู่แล้ว
กลยุทธ์ที่ดีในการซื้อ LTF คือ การทยอยซื้อทุกเดือน เดือนละเท่าๆ กัน แม้ราคากองทุนที่เราได้จะไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุดหรือแพงที่สุดในรอบปี เนื่องจากการทยอยซื้อคือการซื้อที่ราคาเฉลี่ย ถึงอย่างนั้นกลยุทธ์นี้ก็มีข้อเสียคือ การหมดโอกาสซื้อกองทุนในช่วงราคาถูกที่สุด แต่เพราะการลงทุน LTF คือการมุ่งเน้นการลงทุนระยะยาวและประหยัดภาษีเป็นหลัก
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2641
Finance
นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ที่มีความน่าเชื่อถือและใช้งานได้จริง โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือหรือทักษะทางเทคนิคขั้นสูง มีวิธีการอะไรบ้าง?
null
วิธีการเข้าถึงข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) สำหรับนักลงทุนรายย่อย 1. แหล่งข้อมูลทางเลือกที่เปิดกว้าง - เว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ - เว็บไซต์ขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก องค์การสหประชาชาติ - เว็บไซต์ของบริษัทเอกชนที่รวบรวมข้อมูลเฉพาะทาง เช่น Nielsen, Statista - เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลรีวิวสินค้าและบริการ เช่น TripAdvisor, Wongnai - โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter 2. เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น - โปรแกรม Microsoft Excel - โปรแกรม Google Sheets - เว็บไซต์ Tableau Public - เว็บไซต์ Power BI 3. แหล่งข้อมูลการวิเคราะห์ Alternative Data - บทความและบล็อกจากนักวิเคราะห์การเงิน - เว็บไซต์และช่อง YouTube ที่สอนการใช้ Alternative Data - หลักสูตรออนไลน์เกี่ยวกับ Alternative Data 4. ตัวอย่างการใช้ Alternative Data - วิเคราะห์จำนวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นของบริษัท เพื่อประเมินแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ - วิเคราะห์รีวิวสินค้าบนเว็บไซต์ เพื่อประเมินความพึงพอใจของลูกค้า - วิเคราะห์ข้อมูลการจราจรบนเว็บไซต์ เพื่อประเมินความสนใจของผู้บริโภค - วิเคราะห์ราคาสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อเปรียบเทียบราคาของคู่แข่ง - วิเคราะห์ความรู้สึกของผู้บริโภคบนโซเชียลมีเดีย เพื่อประเมินภาพลักษณ์ของบริษัท ข้อควรระวัง - ข้อมูลทางเลือกบางแหล่งอาจไม่น่าเชื่อถือ - การวิเคราะห์ข้อมูลทางเลือกต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ - การตีความผลลัพธ์ของการวิเคราะห์ข้อมูลทางเลือกต้องอาศัยวิจารณญาณ คำแนะนำ - เริ่มต้นจากข้อมูลทางเลือกที่เข้าถึงง่าย - เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลทางเลือกด้วยเครื่องมือพื้นฐาน - ศึกษาตัวอย่างการใช้ Alternative Data จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ - เริ่มต้นด้วยการลงทุนจำนวนน้อย - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ได้หลายวิธี โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือหรือทักษะทางเทคนิคขั้นสูง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและเรียนรู้วิธีการวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนนำไปใช้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2642
Finance
ในปี 2028 บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG มีโอกาสแซงหน้า บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ในแง่ของรายได้รวมหรือไม่?
null
เป็นไปได้ เหตุผล: 1. การเติบโตของรายได้: CBG มีการเติบโตของรายได้ที่สูงกว่า OSP อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2020-2023) CBG มีการขยายตลาดไปต่างประเทศอย่าง積極 ในขณะที่ OSP มุ่งเน้นไปที่ตลาดในประเทศเป็นหลัก ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง แต่ตลาดต่างประเทศยังมีศักยภาพสูง 2. กลยุทธ์ทางธุรกิจ: CBG มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสินค้าใหม่และขยายช่องทางจำหน่าย CBG มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน OSP ยังคงมุ่งเน้นไปที่ตลาดในประเทศเป็นหลัก และยังไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายตลาดต่างประเทศ 3. โครงสร้างทางการเงิน: CBG มีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ต่ำกว่า OSP CBG มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง OSP มีอัตราหนี้สินต่อทุนที่สูง และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่อ่อนแอ 4. ความเสี่ยง: CBG เผชิญกับความเสี่ยงจากการขยายตลาดต่างประเทศ CBG เผชิญกับความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรง OSP เผชิญกับความเสี่ยงจากการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัว OSP เผชิญกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและข้อบังคับ 5. สรุป: CBG มีโอกาสแซงหน้า OSP ในแง่ของรายได้รวมในอีก 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2643
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่รัฐบาลพยายามศึกษาความเป็นไปได้ในการยืดอายุเกษียณ
null
เหตุผลที่รัฐบาลพยายามศึกษาความเป็นไปได้ในการยืดอายุเกษียณ คือ มีการใช้งบประมาณที่ต้องจ่ายให้กับบำนาญของข้าราชการที่เกษียณอายุมากที่สุด จึงเป็นเหตุที่รัฐบาลอาจจะมีความเป็นไปได้ในการยืดอายุเกษียณ ด้วยวัตถุประสงค์ที่ว่า จะเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลประหยัดงบจากการใช้จ่ายนี้ แต่ในทางกลับกัน สิ่งนี้คือดาบสองคม ถ้าในอนาคตรัฐบาลเอามาใช้จริง ๆ จะส่งผลกระทบให้งบประมาณทางภาครัฐมีปัญหาได้ บทเรียนจากย่อหน้านี้ ภาครัฐบาลได้พยายามศึกษาความเป็นไปได้ในการยืดอายุเกษียณ เพราะอะไรทำไมถึงเป็นแบบนั้น? จากแหล่งข่าว ระบุว่า ในปัจจุบัน พบว่างบกลางที่ใช้จ่ายมากที่สุด คือ งบประมาณที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ของข้าราชการที่เกษียณอายุ การยืดอายุเกษียณ จะทำให้ภาครัฐบาลประหยัดสามารถประหยัดงบในส่วนนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแนวคิดที่อยากจะทำ แต่ถ้าทำจริง ก็จะเกิดปัญหาด้านงบประมาณ และต้องการให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าสู่ระบบราชการ ทำให้ภาครัฐคงต้องศึกษารายละเอียดหลักเกณฑ์และความชัดเจนอีกครั้ง ประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว จะขยายอายุการเกษียณไปยัง 65 ปี ภาครัฐ จะมีอายุเกษียณอยู่ที่ 60 ปี แต่ภาคเอกชน จะมีอายุเกษียณอยู่ที่ 55 ปี
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2644
Finance
การลงทุนแบบ DCA กับการวางแผนเกษียณโสด มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
null
การลงทุนแบบ DCA มีบทบาทสำคัญในการวางแผนเกษียณโสด เหตุผลหลักๆ มีดังนี้ 1. DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด: ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง การลงทุนแบบ DCA ช่วยให้เราทยอยซื้อหน่วยลงทุนในราคาเฉลี่ย ช่วยลดความเสี่ยงจากการซื้อในราคาสูงสุดและขายในราคาต่ำสุด เหมาะสำหรับคนโสดที่ไม่มีลูกหลานคอยดูแล 2. DCA ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้: การวางแผนเกษียณโสด จำเป็นต้องมีเงินออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคต DCA ช่วยให้เราเก็บออมเงินได้อย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินก้อน 3. DCA ช่วยให้ลงทุนได้โดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่: คนโสดหลายคนอาจไม่มีเงินก้อนใหญ่เพื่อลงทุน DCA ช่วยให้เราลงทุนได้โดยใช้เงินจำนวนน้อย สะดวก ง่าย เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ 4. DCA ช่วยให้วินัยทางการเงิน: การลงทุนแบบ DCA ช่วยให้เราสร้างวินัยทางการเงิน ฝึกนิสัยการออมเงิน ตัวอย่าง: สมมติว่าเราต้องการเงิน 1 ล้านบาท สำหรับใช้หลังเกษียณ อายุ 30 ปี วางแผนเกษียณตอน 60 ปี ลงทุนแบบ DCA: ลงทุนทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8% เงินลงทุนรวม 1,800,000 บาท เงินออมหลังเกษียณ 1,950,000 บาท ไม่ลงทุน: เงินออม 0 บาท เงินออมหลังเกษียณ 0 บาท เห็นได้ชัดว่า การลงทุนแบบ DCA ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ ข้อควรระวัง: DCA ไม่ได้การันตีผลตอบแทน ควรเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง ควรลงทุนระยะยาว บทความนี้ แสดงให้เห็นว่า การลงทุนแบบ DCA เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการวางแผนเกษียณโสด ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ สรุป: - DCA ช่วยลดความเสี่ยง - DCA ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย - DCA ช่วยให้ลงทุนโดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ - DCA ช่วยให้วินัยทางการเงิน - DCA เหมาะกับการวางแผนเกษียณโสด ลงทุนตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคง
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2645
Finance
บริษัทที่มี ROIC สูงกว่า WACC อยู่เสมอ garant ว่าจะสามารถรักษาผลตอบแทนส่วนเกิน (Excess Return) ได้ในระยะยาว
null
ไม่ เหตุผล: 1. การแข่งขัน: ในระยะยาว บริษัทที่มี ROIC สูงกว่า WACC ย่อมดึงดูดคู่แข่งใหม่ ๆ เข้ามาในตลาด leading ไปสู่การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น 2. สินค้าทดแทน: เทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถสร้างสินค้าทดแทน disrupting โมเดลธุรกิจเดิม และลด ROIC ของบริษัท 3. การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม: ปัจจัยภายนอก เช่น กฎระเบียบ นโยบายของรัฐบาล หรือ วิกฤตเศรษฐกิจ ล้วนส่งผลต่ออุตสาหกรรม และ อาจจะทำให้ ROIC ของบริษัทเปลี่ยนแปลงได้ 4. การจัดการ: แม้จะมี Moat แต่ประสิทธิภาพในการจัดการ กลยุทธ์ และ การตัดสินใจของผู้บริหาร ล้วนส่งผลต่อ ROIC ของบริษัท 5. การเข้าซื้อกิจการ: บริษัทอาจจะเข้าซื้อกิจการที่มี ROIC ต่ำ ซึ่งจะดึง ROIC โดยรวมของบริษัทลง ตัวอย่าง: - บริษัท Coca-Cola: เคยมี ROIC สูงกว่า WACC มาเป็นเวลานาน แต่ในปัจจุบัน บริษัทกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น จาก คู่แข่ง ใหม่ ๆ และ สินค้าทดแทน - บริษัท Nokia: เคยเป็นผู้นำตลาดโทรศัพท์มือถือ แต่ ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ได้ ส่งผลให้ ROIC ของบริษัท ลดลง อย่างมาก ดังนั้น แม้ว่าบริษัทที่มี ROIC สูงกว่า WACC จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเกินได้ในระยะยาว แต่ ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลตอบแทนส่วนเกินนั้นไว้ได้เสมอไป นักลงทุนควรวิเคราะห์ ปัจจัย ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ ROIC ของบริษัท พิจารณากลยุทธ์และการจัดการของบริษัท ติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม กระจายความเสี่ยง โดยลงทุนในบริษัทหลาย ๆ แห่ง สรุป: การวิเคราะห์ ROIC และ WACC เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินมูลค่าของบริษัท แต่ไม่ได้เป็น เครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ นักลงทุนควรวิเคราะห์ปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติมประกอบด้วย
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2646
Finance
ข้อใดกล่าวถึงการคำนวณผลตอบแทนแบบ TWRR ไม่ถูกต้อง
A. ใช้หลักการคำนวณผลตอบแทนแบบ GM B. เป็นการคิดผลตอบแทนเฉลี่ยแบบไม่ทบต้น C. เป็นการคิดผลตอบแทนทุกๆ ช่วงเวลา D. เป็นวิธีที่ใช้คำนวณผลตอบแทนการลงทุนของผู้จัดการกองทุน
คำตอบคือ B. เพราะว่า เพราะการคิดผลตอบแทนเฉลี่ยแบบไม่ทบต้น เป็นวิธีคิดผลตอบแทนแบบเลขคณิต (Arithmetic Average Rate of Return หรือ AM) ซึ่งผลของ AM มาจากผลรวมของผลตอบแทนแต่ละช่วงเวลา หารด้วยจำนวนช่วงเวลาที่ลงทุน ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นการคำนวณผลตอบแทนแบบ TWRR (Time-Weighted Rate of Return) หมายถึง วิธีที่ใช้คำนวณผลตอบแทนการลงทุนของผู้จัดการกองทุน จะใช้หลักการคำนวณผลตอบแทนแบบเรขาคณิต (Geometric Average Rate of Return หรือ GM) ซึ่งเป็นวิธีคิดผลตอบแทนแบบเฉลี่ยทบต้น แต่เป็นการคิดผลตอบแทนทุกๆ ช่วงเวลา เช่น ทุกๆ 1 เดือน หรือ 1 วัน ไม่รวมผลกำไรขาดทุนจาก การเพิ่มหรือว่าลดเงินลงทุน และมีการนำกระแสเงินสดที่ได้รับมาคำนวณด้วย (กระแสเงินสด เช่น เงินปันผล) ตัวอย่างการคำนวณ TWRR เช่น ลงทุนด้วยเงินลงทุน 100 บาท ตอนเดือน ม.ค. 61 ถึงเดือน พ.ค. 61 มีกำไร 20% เงินลงทุนเพิ่มมาเป็น 120 บาท จากนั้นลงทุนเพิ่ม 100 ทำให้มูลค่าเงินลงทุนกลายเป็น 220 บาท พอถึงเดือน มิ.ย. 61 ขาดทุน 10% จากเดือน พ.ค. ทำให้มูลค่าเงินลดลงเหลือ 198 บาท เลยถอนเงินลงทุนออกมา 50 บาท เหลือเงินลงทุน 148 บาท พอถึงเดือน ธ.ค. 61 ตลาดปรับตัวขึ้นทำให้ได้กำไร 50% มูลค่าเงินลงทุนกลายเป็น 222 บาท และหุ้นที่ลงทุนมีการจ่ายเงินปันผลออกมาในเดือน มี.ค. 61 จำนวน 10 บาท การคำนวณมูลค่าเงินลงทุนแบบ TWRR เป็นการคำนวณกำไร/ขาดทุน จากการลงทุนได้อย่างแม่นยำ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2648
Finance
มือที่มองไม่เห็นในตลาดหุ้นคืออะไร?
null
สภาวะของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันนี้ จะพบได้ว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นและลงได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในยุคใหม่ที่เรียกได้ว่ามีอิทธิพลอย่างมาก ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจที่จะต้องรู้ให้เท่าทันเช่นกัน อิทธิพลบล็อกเทรด โดยวิธีการก็คือ หากนักลงทุนต้องการเปิดสถานะซื้อล่วงหน้า (Long) เพราะมองว่าราคาหุ้นอ้างอิงของ SSF จะปรับตัวขึ้น โบรกเกอร์ก็จะมารับหน้าที่เป็นคู่สัญญาด้วยการเปิดสถานะขายล่วงหน้า (Short) หลังจากนั้นเมื่อราคาหุ้นขยับขึ้น SSF ก็จะปรับตัวขึ้นด้วย ซึ่งนักลงทุนที่ประเมินทิศทางถูกต้องด้วยการเปิดสถานะ Long ก็จะมีกำไร แต่ตรงกันข้ามหากคาดการณ์ผิด นอกจากนักลงทุนจะขาดทุนแล้ว ยังอาจนำมาซึ่งปรากฎการณ์บางอย่างด้วย “สาเหตุที่ตลาดหุ้นขึ้นหรือลงผิดปกติได้มากในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า เป็นผลจากบล็อกเทรด ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งวิธีการทำบล็อกเทรดยกตัวอย่าง เช่น เราไป Long หุ้นบริษัทหนึ่งไว้ และหวังว่าราคาจะขึ้นไป 100 บาท บังเอิญว่าราคาไม่เป็นไปตามคาด แต่ปรับตัวลดลงมา แล้วพอมันลดลงมาถึงระดับหนึ่ง โบรกเกอร์ก็โทรให้เอาเงินมาเติม ไม่เติมก็ถูกบังคับขาย (ฟอสเซล) มันก็เลยกลายเป็นบล็อกเทรดเอฟเฟคด้วย หุ่นยนต์เทรดหุ้น การลงทุนผ่าน “Program Trading” หรือ “Robot Trading” ซึ่งเป็นชุดคำสั่งการซื้อขายหุ้นในคอมพิวเตอร์นั้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการปรับตัวขึ้นสุด และลงแรงของดัชนีหุ้น เพราะ “Robot” หรือ “หุ่นยนต์” เหล่านี้ ได้ถูกตั้งโปรแกรมให้ซื้อขายอัตโนมัติ ตามระดับราคาและเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งในยุคก่อนๆ นักลงทุนสถาบันใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการลงทุน แต่ในยุคนี้ นักลงทุนรายใหญ่ก็ได้เข้ามาใช้บริการกันมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะโปรแกรม “หุ่นยนต์” เทรดหุ้น มีจุดเด่นตรงที่ “ไม่อ่อนไหวทางความรู้สึก” ดังนั้นเมื่อหุ้นในพอร์ตปรับตัวขึ้นไป ก็พร้อมที่จะ “ขาย” หรือ เมื่อราคาหุ้นในพอร์ตปรับตัวลดลงจนถึงระดับที่ตั้งโปรแกรมไว้ หุ่นยนต์ก็พร้อมที่จะขายทันทีโดยไม่ลังเลเช่นกัน ขณะเดียวกันในด้านการตัดสินใจ “ซื้อ” หุ่นยนต์ก็สามารถซื้อหุ้นได้ทันที หากหุ้นบริษัทนั้นมีคุณสมบัติตามที่นักลงทุนตั้งโปรแกรมไว้ ซึ่งวิธีการการตัดสินใจที่มีวินัยทั้งในด้านการซื้อและขายหุ้นในลักษณะนี้ “มนุษย์” อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าหุ่นยนต์ สำหรับนักลงทุนในยุคนี้ ต้องรู้ว่า Robot จะทำอะไร พอหลุดจากระดับประมาณไหนแล้วต้องรู้ว่าโรบอตจะขาย แล้วคุณต้องอย่าไปสวนมัน เวลาการเกิดสัญญาณแบบนั้นต้องออก คุณจะสวนมันไม่ได้ ต้องรอสัก 1 อาทิตย์ แล้วค่อยเข้ามาเก็บ ซึ่งนับจากนี้ต่อไป ก็ต้องความเข้าใจ เพราะเราจะเห็นเหตุการณ์แบบนี้ในตลาดหุ้น ประเภทที่เวลาหุ้นขึ้นก็จะขึ้นผิดปกติ เวลาตกก็จะตกผิดปกติ ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการทำบล็อกเทรด และโรบอตเทรดดิ้ง ซึ่งตอนนี้มีการใช้มากขึ้น ดังนั้นสถานการณ์ทั้งโลกก็จะเป็นแบบนี้ เทคนิคโต้ความเสี่ยงลงทุนไตรมาส 2 นอกจากปัจจัยที่เล่ามาข้างต้น ในช่วงไตรมาส 2/2561 ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องให้ความสนใจ
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2649
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ หุ้น Sure Thing
null
หุ้น Sure Thing คือ หุ้นที่เป็นที่ชื่นชอบของสถาบันการเงิน รวมทั้งตำนานนักลงทุนอย่าง Warren Buffett ด้วย เป็นหุ้นที่เปรียบเสมือนร้านสะดวกซื้อที่คลอบคลุมสินค้าในชีวิตประจำวันแทบทุกอย่าง ถ้าเปรียบเทียบหุ้น Sure Thing ในประเทศไทยก็คือ หุ้น CPALL ซึ่งเป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อยอดนิยมอย่าง 7-Eleven นั่นเอง ถ้าจะให้นึกภาพแบรนด์ที่เป็นหุ้น Sure Thing ก็ลองนึกถึงแบรนด์ที่พวกเรารู้จักกันอย่างดี เช่น Pepsi, Coca Cola, Unilever, Colgate หรือ Nestle บทเรียนจากย่อหน้านี้ หุ้นโลกเกิด Sector Rotation ที่น่าสนใจท่ามกลางตลาดหุ้นโลกที่ร่วง 10-20% กันถ้วนหน้า มีหุ้นอยู่สามกลุ่ม ที่วิ่งสวนทะลุขึ้นมา โดยมีความเกี่ยวข้องกัน ในขณะที่ดื่ม Coke รสกาแฟ อันใหม่ที่เพิ่งออก หรือซื้อยาสระผม สบู่ ใช้กันตามปกติ เชื่อหรือไม่ว่าหุ้นเหล่านี้กำลังถล่มทลาย…. มันเป็นไปได้ฤๅ? พวกนี้หุ้น Defensive ชัดๆ ตลาดลงต้อง Outperform มาดูผลตอบแทนจากยอดดอย ปลายเดือนมกราคม จนถึงศุกร์ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา เฉพาะแบรนด์ที่มักคุ้นตา เช่น Procter and Gamble (-18%) , Pepsi (-17%) , Coca Cola (-13%) , Nestle (-10%) อันนี้นับให้แต่ต้นปี เพราะจริงๆ ตัวนี้ดอยข้ามปี, Unilever (-3%) แข็งแกร่ง all time high ไปปลายปีที่แล้ว , Kraft Heinz (-30%) นี่ก็ดอยข้ามปี ซอสไม่อร่อยแล้วเหรอ, Colgate (-17%), British and American Tobacco (-23%) VI หลายๆ ท่าน คงเคยได้ยิน เคยศึกษาหุ้น Consumer Goods เหล่านี้กันมาบ้าง หุ้นกลุ่มนี้เป็นที่โปรดปรานของเหล่าสถาบัน และนักลงทุน VI อย่าง Warren Buffett มาเนิ่นนาน หุ้นเหล่านี้จึงมีสมญานามว่า หุ้น Sure Thing หากจะเปรียบให้ง่ายขึ้น มีนักลงทุน VI บางท่าน เอาหุ้น Sure Thing ไปเปรียบเหมือนหุ้นอย่าง CPALL ในบ้านเรา โดยอิงตาม Common Sense ว่าบริษัทเหล่านี้ควบคุมแทบจะทุกอย่างที่ต้องกินต้องใช้เลยทีเดียวเช่น แชมพู (Pantene, Head and Shoulder, Sunsilk) แปรงสีฟัน (Oral) ที่โกนหนวด (Gillette) น้ำยาปรับผ้านุ่ม (Downy) กาแฟ (Nescafe)
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2650
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ เหมาะสมกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยง: หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีความผันผวนของราคาหุ้นที่สูง (High Volatility) นักลงทุนควรมีวินัยในการลงทุน มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนาน และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง ผลตอบแทน: ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีศักยภาพสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอไป ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต ความรู้: นักลงทุนควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ธุรกิจ และกลยุทธ์ของบริษัทที่ลงทุน สัดส่วนการลงทุน: การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุน ไม่ควรลงทุนทั้งหมด เนื่องจากควรกระจายความเสี่ยง ตัวอย่าง: นักลงทุนวัยเกษียณที่มีเงินออมจำกัด อาจไม่เหมาะสมที่จะลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ เพราะมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น อาจไม่เหมาะสมที่จะลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ เพราะมีความผันผวนของราคาหุ้นที่สูง นักลงทุนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาจไม่เหมาะสมที่จะลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ เพราะอาจนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาด ข้อแนะนำ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อขอคำแนะนำในการลงทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงของนักลงทุน นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ ไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทุกประเภท นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยง ผลตอบแทน ความรู้ และสัดส่วนการลงทุนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2651
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Inverted Yield Curve
null
Inverted Yield Curve หมายถึง ภาวะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นนั้น มีค่ามากกว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเงินมาลงทุนในพันธบัตรด้วยระยะเวลานานแล้วได้รับผลตอบแทนมากกว่า สิ่งนี้จะสามารถบอกนักลงทุนได้ว่า ต้องการลงทุนในพันธบัตรที่อายุยาวกว่าจน Yield นั้นมีค่าต่ำลงมากๆ แม้จะไม่สมเหตุสมผล แต่นักลงทุนก็พอใจมาก เพราะการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยลง และความต้องการ Yield สูงๆ เพื่อเก็บไว้ในช่วงที่ดอกเบี้ยลง บทเรียนจากย่อหน้านี้ Inverted Yield Curve คือ สภาวะที่อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น “มากกว่า” อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว ปกติจะเกิดขึ้นกับพันธบัตรรัฐบาล ตัวอย่างเช่น Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี สิ่งที่ควรจะเป็นคือ Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวควรมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น เพราะการนำเงินมาลงทุนไว้ในพันธบัตรด้วยระยะเวลาที่นานกว่า ควรได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า แล้ว Inverted Yield Curve สื่ออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? สิ่งๆ นี้บ่งบอกว่านักลงทุนมีความต้องการลงทุนในพันธบัตรที่อายุยาวกว่าจน Yield ต่ำลงไปมากๆ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นดูจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง แต่สถานการณ์นี้หมายความว่า นักลงทุนพอใจกับการลงทุนถือพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น เพราะนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยลง ซึ่งเตือนว่าสภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมา สัญญาณเตือนวิกฤตเริ่มขึ้น ความกังวลว่าเศรษฐกิจระยะสั้นจะผันผวน อีกทั้งต้องการ Yield ที่สูงเก็บเอาไว้ในช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง ดังนั้น นักลงทุนจะเข้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุยาวกว่าไปเรื่อยๆ Yield ลดลงจนต่ำกว่า Yield ของพันธบัตรที่มีอายุสั้นกว่า เรียกว่า Inverted Yield Curve
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2652
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ เหมาะสมกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยง: หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีความผันผวนของราคาหุ้นที่สูง (High Volatility) เหมาะกับนักลงทุนที่มีวินัยในการลงทุน มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนาน และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง ผลตอบแทน: ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีศักยภาพสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอไป ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต ความรู้: นักลงทุนควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ธุรกิจ และกลยุทธ์ของบริษัทที่ลงทุน สัดส่วนการลงทุน: การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุน ไม่ควรลงทุนทั้งหมด เนื่องจากควรกระจายความเสี่ยง ตัวอย่าง: นักลงทุนวัยเกษียณที่มีเงินออมจำกัด: ไม่เหมาะสมที่จะลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ เพราะมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น: ไม่เหมาะสมที่จะลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ เพราะมีความผันผวนของราคาหุ้นที่สูง นักลงทุนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี: ไม่เหมาะสมที่จะลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ เพราะอาจนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาด ข้อแนะนำ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อขอคำแนะนำในการลงทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงของนักลงทุน นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ สรุป การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีล้วนๆ ไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทุกประเภท นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยง ผลตอบแทน ความรู้ และสัดส่วนการลงทุนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2653
Finance
กองทุน K-ART เหมาะกับนักลงทุนประเภทไหน?
null
กองทุน K-ART เหมาะกับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้: 1. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง: กองทุน K-ART เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ที่มีความซับซ้อน 2. นักลงทุนที่มองหากองทุนที่มีผลตอบแทนไม่ผันผวนตามตลาด: กองทุน K-ART ใช้กลยุทธ์ Market Neutral Strategy 3. นักลงทุนที่มีเงินลงทุนสูง: กองทุน K-ART เป็นกองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย (Non-Retail Investor) 4. นักลงทุนที่เข้าใจกลยุทธ์การลงทุนแบบ Long/Short: กองทุน K-ART ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Long/Short 5. นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: กองทุน K-ART ลงทุนในหุ้นในหลายประเทศ 6. นักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว: กองทุน K-ART เหมาะกับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม กองทุน K-ART ไม่เหมาะกับนักลงทุนประเภทดังต่อไปนี้: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น นักลงทุนที่ไม่เข้าใจกลยุทธ์การลงทุนแบบ Long/Short นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนรวมที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ คำแนะนำ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน K-ART อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม สรุป กองทุน K-ART เหมาะกับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ต้องการกระจายความเสี่ยง และต้องการผลตอบแทนระยะยาว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2657
Finance
อะไรคือความเสี่ยงหลักด้านการเงินที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม?
null
ความเสี่ยงหลักด้านการเงินที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมีดังนี้: 1. หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่สูง: เวียดนามมีหนี้สาธารณะสูงถึง 61.3% ของ GDP หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 21% ของ GDP หนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 8 แสนล้านบาท รัฐบาลมีภาระผ่อนหนี้จำนวนมาก ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารกลางเวียดนามอาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน 2. ปัญหาหนี้เน่า (NPL) ในระบบธนาคาร: หนี้เน่าในระบบธนาคารเวียดนามสูงถึง 8 แสนล้านบาท รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาโดยตั้งหน่วยงาน VAMC แต่ VAMC ประสบปัญหาในการจัดการหนี้เน่า ธนาคารเวียดนามมี NPL สูง ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน ธนาคารอาจต้องตั้งสำรองหนี้สูญเสีย ส่งผลกระทบต่อกำไรและเงินทุนของธนาคาร 3. ธนาคารเวียดนาม 10 แห่งมีความเสี่ยงล้มละลาย: รัฐบาลเวียดนามออกกฎหมายให้ธนาคารสามารถยื่นล้มละลายได้ ธนาคาร 10 แห่งจาก 39 แห่งมีความเสี่ยงล้มละลาย เงินฝากประกันสูงสุด 3,300 ดอลลาร์ ความเสี่ยงต่อเงินฝากของประชาชน ธนาคารต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ออกจากเวียดนาม ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงิน 4. การตรึงค่าเงินดองกับดอลลาร์สหรัฐ: ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เงินดองอ่อนค่าลง ส่งผลกระทบต่อ daya saing ของสินค้าเวียดนาม เงินเฟ้อในเวียดนามเพิ่มสูงขึ้น ธนาคารกลางเวียดนามอาจต้องใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงิน 5. การพึ่งพาการส่งออก: เวียดนามพึ่งพาการส่งออก เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความต้องการสินค้าเวียดนามลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเวียดนาม กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามลดลง 6. ความเสี่ยงด้านการเมือง: เวียดนามปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลมีอำนาจควบคุมเศรษฐกิจ ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและนักลงทุน 7. ความเสี่ยงด้านตลาด: ตลาดหุ้นเวียดนามมีขนาดเล็ก สภาพคล่องต่ำ ความผันผวนสูง นักลงทุนต่างชาติอาจขายหุ้น ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น 8. ความเสี่ยงด้านข้อมูล: ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามมีจำกัด ภาษาเวียดนาม ความยากลำบากในการวิเคราะห์ข้อมูล ความเสี่ยงในการตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2658
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก
null
คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก มีทั้งหมด 4 ข้อ อันประกอบไปด้วย ข้อที่ 1 ต้องเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถสูงในระยะยาว สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงเมื่อเทียบกับมาตรวัดที่กำหนดได้ ข้อที่ 2 คือ ต้องเป็นผู้นำ และประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับในแนวคิดการลงทุน ข้อที่ 3 คือ มีพอร์ตการลงทุนที่ใหญ่และมีสถิติที่เปิดเผยต่อหน้าสาธารณะ และสุดท้าย ข้อที่ 4 คือ ต้องเป็นคนที่สร้างตนเองจากการลงทุน บทเรียนจากย่อหน้านี้ คนที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติบางอย่างดังต่อไปนี้ ข้อแรก ก็คือ เขาจะต้องเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถสูง ในระยะยาวแล้วสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงเมื่อเทียบกับมาตรวัดที่กำหนดเช่น ถ้าเป็นนักลงทุนในหุ้นก็ต้องเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นว่าจะต้องสูงที่สุดหรือสูงลิบลิ่วแม้ว่าคนที่ทำอย่างนั้นได้ก็อาจจะเข้าข่ายเป็นนักลงทุนระดับโลกได้ ข้อสอง เขามักจะต้องเป็น “ผู้นำ” และ “ประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับ” ในแนวความคิดและการลงทุน “ใหม่” ที่ต่อมาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง นี่ก็มักทำให้คนที่มีทฤษฎีหรือมีความเป็นนักวิชาการเข้าข่ายได้รับการยอมรับว่าเป็นนักลงทุนเอกของโลกได้ง่ายกว่าคนที่ปฏิบัติอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม นักวิชาการแท้ ๆ เช่นฟามาหรือนักวิชาการที่ทำงานการลงทุนบ้างอย่างมัลคีลที่เขียนหนังสือ Random Walk Down Wall Street จะไม่ถูกจัดอยู่ในรายชื่อนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของโลก ข้อสาม นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกส่วนใหญ่ก็มักจะมีพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่และมีสถิติที่เปิดเผยหรือใหญ่พอที่จะเป็นที่สังเกตได้ในที่สาธารณะและจากการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญหรือสื่อมวลชนที่มีมาตรฐานสูง ข้อสี่ ก็คือ นักลงทุนเอกของโลกนั้นมักจะเป็นคนที่ “สร้างตนเอง” จากการลงทุน หลายคนหรือส่วนใหญ่นั้น มาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ถ้ามาจากครอบครัวที่มั่งคั่งนั้นก็มักจะไม่ได้อาศัยเงินต้นทุนจากทางบ้าน อย่างไรก็ตาม คนที่รวยมาก ๆ อย่างเจ้าชาย Alwaleed แห่งซาอุดิอาระเบียซึ่งบริหารเงินลงทุน Kingdom Holding และประสบความสำเร็จมากนั้น ก็มักจะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ระดับต้น ๆ ของโลก
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_266
Finance
Poison Pill คืออะไร ?
Poison Pill เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ป้องกันการถูกครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร การซื้อและควบรวมกิจการนั้น สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์ต่อองค์กร หากผู้ซื้อและผู้ขายนั้น รับรู้และมีความคิดเห็นที่ตรงกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีบางเหตุการณ์ที่กิจการถูกทยอยไล่ซื้อหุ้นจากบุคคลภายนอก เพื่อกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่มีผลต่อการบริหารและกำหนดทิศทางขององค์กร แต่ผู้ถือหุ้นเดิมอาจจะไม่เต็มใจที่จะให้บริษัทถูกซื้อหรือถูกควบรวมกิจการ นั่นจึงทำให้เกิดกลยุทธ์ป้องกันการถูกครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร คือ Poison Pill ด้วยการออกหุ้นจำนวนมาก เช่น การให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิม สามารถซื้อหุ้นในราคาส่วนลด ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนและอุปสรรคให้แก่ผู้ที่จะเข้ามาครอบงำกิจการ โดย Poison Pill แบ่งได้ 2 ประเภท 1. Flip-in เป็นการให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิม สามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ในราคาลดพิเศษ โดยสิทธิในการซื้อนี้ จะมอบให้แก่ผู้ถือหุ้นก่อนที่จะสิ้นสุดการเข้าซื้อกิจการ 2. Flip-Over เป็นการให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิม สามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ในราคาลดพิเศษ หากบริษัทถูกควบรวมกิจการสำเร็จ อย่างไรก็ดี แม้ว่า Poison Pill จะทำให้กิจการมีความน่าสนใจน้อยลง และเพิ่มอุปสรรคให้แก่ผู้ที่เข้ามาซื้อกิจการ แต่เรื่องนี้ก็อาจทำร้ายตัวเองได้เช่นกัน เพราะเมื่อมีหุ้นจำนวนมากขึ้น แต่กิจการมีมูลค่าเท่าเดิม แปลว่าราคาต่อหุ้นของบริษัท ก็จะลดลงเป็นอย่างมาก
Poison Pill คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ป้องกันการถูกครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร ตัวอย่างเช่น กิจการถูกทยอยไล่ซื้อหุ้นจากบุคคลภายนอก เพื่อกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่มีผลต่อการบริหารและกำหนดทิศทางขององค์กร แต่ผู้ถือหุ้นเดิมอาจจะไม่เต็มใจที่จะให้บริษัทถูกซื้อหรือถูกควบรวมกิจการ โดย Poison Pill แบ่งได้ 2 ประเภท 1. Flip-in เป็นการให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิม สามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ในราคาลดพิเศษ โดยสิทธิในการซื้อนี้ จะมอบให้แก่ผู้ถือหุ้นก่อนที่จะสิ้นสุดการเข้าซื้อกิจการ 2. Flip-Over เป็นการให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิม สามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ในราคาลดพิเศษ หากบริษัทถูกควบรวมกิจการสำเร็จ อย่างไรก็ดี
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2660
Finance
ช่วงชีวิตที่มีปัญหาถาโถมเข้ามามากที่สุดคือช่วง Mid-Life หรือวัยกลางคน ซึ่งก็คือคนอายุ 35-50 ปี ใช่หรือไม่
null
ใช่ สาเหตุก็เพราะร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกหนุ่มสาวที่เคยมีหายไป เข้าสู่รอยต่อของการเป็นผู้สูงอายุ เกิดความเสื่อมของร่างกาย ฮอร์โมนเปลี่ยน ผ่านความสำเร็จมามากกว่าที่เคย สั่งสมประสบการณ์มามาก เหลือเวลาในชีวิตไม่มากเท่าที่เคยรู้สึก เงินเริ่มไม่มีความหมายมากเท่าเวลา คุณเริ่มรู้สึกว่าต้องแลก “เงิน” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เวลา” ในช่วงชีวิตที่ต่างกันของแต่ละคนก็มีความต้องการหลายๆ อย่างที่แตกต่างกัน หนึ่งในช่วงชีวิตที่มีปัญหาถาโถมเข้ามามากที่สุดคือช่วง Mid-Life หรือวัยกลางคน ซึ่งก็คือคนอายุ 35-50 ปี สาเหตุก็เพราะร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกหนุ่มสาวที่เคยมีหายไป เข้าสู่รอยต่อของการเป็นผู้สูงอายุ เกิดความเสื่อมของร่างกาย ฮอร์โมนเปลี่ยน ผ่านความสำเร็จมามากกว่าที่เคย สั่งสมประสบการณ์มามาก เหลือเวลาในชีวิตไม่มากเท่าที่เคยรู้สึก เงินเริ่มไม่มีความหมายมากเท่าเวลา คุณเริ่มรู้สึกว่าต้องแลก “เงิน” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เวลา” เมื่อคุณเริ่มละเลยการให้ความสำคัญกับเงิน เพื่อให้มีเวลามากขึ้นกับคนที่คุณรัก เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้คุณมีเวลาเพิ่ม ข่าวดีคือคุณจะมีเวลาอย่างที่คุณอยากได้ แต่ข่าวร้ายก็คือคุณจะเริ่ม “เสียโอกาส” ในการสร้างผลตอบแทนจากเงินของคุณ มากน้อยอยู่ที่ว่าเงินเก็บของคุณมีมากแค่ไหน และคุณละเลยการจัดการเงินของคุณมากแค่ไหน เมื่อคุณเริ่มละเลยการให้ความสำคัญกับเงิน เพื่อให้มีเวลามากขึ้นกับคนที่คุณรัก เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้คุณมีเวลาเพิ่ม ข่าวดีคือคุณจะมีเวลาอย่างที่คุณอยากได้ แต่ข่าวร้ายก็คือคุณจะเริ่ม “เสียโอกาส” ในการสร้างผลตอบแทนจากเงินของคุณ มากน้อยอยู่ที่ว่าเงินเก็บของคุณมีมากแค่ไหน และคุณละเลยการจัดการเงินของคุณมากแค่ไหน คนส่วนใหญ่ในวัยกลางคนเลือกวิธีรับดอกเบี้ยจากเงินฝากธนาคารที่หลายๆ ครั้งให้ดอกเบี้ยไม่ถึง 50 สตางค์ต่อเงิน 100 บาทของคุณ (ประมาณ 0.5%) ดอกเบี้ยที่ได้มาน้อยจนเหมือนไม่ได้ ที่ซ้ำร้ายกว่าคือ แม้คุณฝากเงินได้ดอกเบี้ยแต่คุณจะยัง “จนลง” อยู่ดีด้วยอำนาจของเงินเฟ้อ คนส่วนใหญ่ในวัยกลางคนเลือกวิธีรับดอกเบี้ยจากเงินฝากธนาคารที่หลายๆ ครั้งให้ดอกเบี้ยไม่ถึง 50 สตางค์ต่อเงิน 100 บาทของคุณ (ประมาณ 0.5%) ดอกเบี้ยที่ได้มาน้อยจนเหมือนไม่ได้ ที่ซ้ำร้ายกว่าคือ แม้คุณฝากเงินได้ดอกเบี้ยแต่คุณจะยัง “จนลง” อยู่ดีด้วยอำนาจของเงินเฟ้อ แล้วจะทำอย่างไร? เพราะคุณประสบความสำเร็จในสายงานของคุณ แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการลงทุน การฝากเงินออมทรัพย์ดูเหมือนเป็นทางออกเดียวที่มี แล้วจะทำอย่างไร? เพราะคุณประสบความสำเร็จในสายงานของคุณ แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการลงทุน การฝากเงินออมทรัพย์ดูเหมือนเป็นทางออกเดียวที่มี แม้การฝากออมทรัพย์จะเป็นทางออกที่คนส่วนใหญ่เลือก แต่ฝันร้ายก็คือคุณจะไม่มีวันบรรลุวัตถุประสงค์ทางการลงทุนและการเงินของคุณเลย มีเวลาให้คนที่รักแต่อนาคตดูไม่มั่นคง ระดับความมั่งคั่งที่เคยฝันไว้แน่นอนว่าไปไม่ถึง ไม่มีมหาเศรษฐีคนไหนในโลกรวยจากการฝากออมทรัพย์ นั่นหมายความว่าถ้าคุณยังไม่อยากเสียโอกาส คุณยังคงต้องลงทุนแต่ต้องหาวิธีลงทุนที่ไม่ต้องใช้เวลา แม้การฝากออมทรัพย์จะเป็นทางออกที่คนส่วนใหญ่เลือก แต่ฝันร้ายก็คือคุณจะไม่มีวันบรรลุวัตถุประสงค์ทางการลงทุนและการเงินของคุณเลย มีเวลาให้คนที่รักแต่อนาคตดูไม่มั่นคง ระดับความมั่งคั่งที่เคยฝันไว้แน่นอนว่าไปไม่ถึง ไม่มีมหาเศรษฐีคนไหนในโลกรวยจากการฝากออมทรัพย์ นั่นหมายความว่าถ้าคุณยังไม่อยากเสียโอกาส คุณยังคงต้องลงทุนแต่ต้องหาวิธีลงทุนที่ไม่ต้องใช้เวลา
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2664
Finance
ในยุคปัจจุบันที่มีเครื่องมือและเทคโนโลยีมากมาย นักลงทุนรายย่อยมีวิธีการอย่างไรในการวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้น Fundamental ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง
null
วิธีการวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้น Fundamental ที่มีประสิทธิภาพ 1. เข้าใจพื้นฐานการลงทุน ศึกษาหลักการวิเคราะห์งบการเงิน เรียนรู้วิธีการใช้อัตราส่วนทางการเงิน เข้าใจกลยุทธ์การลงทุนแบบ Fundamental 2. เลือกเครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่เหมาะสม เว็บไซต์ดูข้อมูลหุ้น เช่น <URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว> เครื่องมือวิเคราะห์หุ้น เช่น Finviz.com, Stock Rover ข้อมูลเชิงลึกจากบริษัทหลักทรัพย์ บทความและบล็อกจากนักวิเคราะห์การเงิน 3. พัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่สนใจ วิเคราะห์โมเดลธุรกิจ กลยุทธ์ และโอกาสของธุรกิจ ประเมินความเสี่ยงและอุปสรรคของธุรกิจ 4. คัดเลือกหุ้นที่ตรงกับสไตล์การลงทุน หุ้นเติบโต (Growth Stocks) หุ้นคุณค่า (Value Stocks) หุ้นปันผล (Dividend Stocks) 5. กระจายความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นหลายตัว ลงทุนในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย 6. ตรวจสอบผลการดำเนินงานและปรับกลยุทธ์ ทบทวนผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เรียนรู้จากประสบการณ์ ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม คำแนะนำเพิ่มเติม เริ่มต้นจากการลงทุนจำนวนน้อย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เรียนรู้และพัฒนาทักษะการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่าง นักลงทุนรายย่อยสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์หุ้น Fundamental ฟรี เช่น <URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว> ในการดูข้อมูลเชิงตัวเลขย้อนหลัง 10 ปี วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เปรียบเทียบกับคู่แข่ง และดูข้อมูลสถิติต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีเว็บไซต์และบล็อกมากมายที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหุ้น Fundamental นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลจากหลายแหล่ง และพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจด้วยตัวเอง ข้อควรระวัง การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป นักลงทุนรายย่อยสามารถวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้น Fundamental ที่มีประสิทธิภาพได้โดยใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี และข้อมูลที่มีอยู่มากมาย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเข้าใจพื้นฐานการลงทุน พัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ และกระจายความเสี่ยง เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2667
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่ PlanB ถึงเลือกลงทุนใน BNK48
null
เหตุผลที่ PlanB ถึงเลือกลงทุนใน BNK48 คือ วง BNK48 ซึ่งมีต้นแบบมาจากวง AKB48 ของประเทศญี่ปุ่น สร้างปรากฏการณ์ให้วงการบันเทิงไทยมากมาย ซึ่งวง BNK48 มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนวงเกิร์ลกรุ๊ปทั่วไป คือ เป็นวงที่มีระบบวงมาจากวง AKB48 ภายใต้มี Concept “Idol you can meet ที่ทุกคนสามารถพบปะเข้าถึงไอดอลได้” ซึ่งความพยายามของสมาชิกในวงมาจากแรงผลักดันของโอตะ ซึ่งเป็นกลุ่มแฟนคลับของวง ได้เห็นการแข่งขันภายในวง และมีสินค้าที่เป็นจุดเด่นคือ บัตรจับมือ ที่สามารถเข้าไปจับมือกับสมาชิกภายในเวลา 8 วินาที รวมทั้งการแถมรูปสุ่มสมาชิก 1 ใบ และบัตรเข้าร่วมงานจับมือภายใน CD single นอกจากนี้ยังมี BNK48Cafe ร้านคาเฟ่ที่มีการสุ่มได้ที่รองแก้วลายสมาชิกจากการสั่ง Signature Drink หรือซื้อเครื่องดื่มเกิน 250 บาทต่อใบเสร็จ แล้วก็ยังมีการแสดงในโรงละครอีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ ทำไม PlanB ถึงเลือกลงทุนใน BNK48 PlanB เห็นศักยภาพและโอกาสอะไรในการลงทุนครั้งนี้ ? BNK48 ได้สร้างปรากฏการณ์ในอุตสาหกรรมบันเทิงไทยอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น MV คุกกี้เสี่ยงทาย หรือ Koisuru Fortune Cookie ที่มียอดคนดูทะลุ 100 ล้านวิว ภายใน 4 เดือน MV เพลง River ที่มีวิวยอดชม 1 ล้านวิว ภายใน 14 ชม. ยอดขาย Single ที่ 3 Shonichi จำนวน 213,500 แผ่น ราคาแผ่นละ 350 บาท สามารถสร้างยอดขายซีดีทั้งหมดโดยมีมูลค่ามากถึง 75 ล้านบาท ในยุคที่อุตสาหกรรมเพลงที่ซบเซาและเน้นขายผ่าน Digital download หรือฟังออนไลน์ในปัจจุบัน จุดแข็งที่วง BNK48 มี นั้นคือ ไม่ใช่วงเกิร์ลกรุ๊ป หรือวงไอดอลธรรมดาทั่วไป เป็นวงที่มีโมเดลที่น่าสนใจมาก ๆ โดยไอระบบวงไอดอลที่มีต้นแบบมากจากวง AKB48 นั้นเอง โดยมี Concept คือ “Idol you can meet ทุกคนสามารถพบปะเข้าถึงไอดอลได้” ต่างจากดารานักร้องโดยทั่วไป ที่ดูสมบูรณ์แบบ จะเห็นพัฒนาการความพยายามที่สร้างบุคลิกหรือความสามารถในด้านการร้องเพลง การแสดง และด้านอื่นๆ ที่ให้แฟนคลับ หรือที่เรียกกันว่า “โอตะ” ผลักดัน สนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ และเมื่อมีจำนวนสมาชิกที่มีจำนวนมาก ทุกคนสามารถเข้าถึงบุคลิกของแต่ละสมาชิกที่หลากหลายได้ง่าย เมื่อไอดอลมีชื่อเสียง รวมถึงมีการแข่งขันกันภายในวง สร้างบุคลิก ความสนใจ เพื่อให้ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกหลัก จึงเกิดการแข่งขัน พัฒนากันอยู่ตลอดเวลา เกิดความผูกพันธ์กันระหว่างสมาชิกวงกับแฟนคลับ ต่อสู้และพัฒนาตัวเองไปด้วยกัน ทำให้ตัวแบรนด์วง BNK48 มีความแข็งแกร่ง และเมื่อใดที่สมาชิกมีการออกจากวง หรือที่เรียกกันว่า “จบการศึกษา” จะมีการสร้างไอดอลหรือสมาชิกวงรุ่นต่อๆ ไปขึ้นมาทดแทน เห็นได้จากการประกาศ BNK48 Generation 2 เมื่อปลายเดือน เมษายน ที่ผ่านมา หากเปรียบคงเปรียบได้กับ โรงเรียนที่เข้ามาค้นหา ฝึกศักยภาพ พร้อมเติบโตต่อไป แฟนคลับก็ยังคงสนับสนุนสมาชิกที่ออกไปแล้ว สมาชิกที่ยังอยู่ และตัววง BNK48 ด้วย เห็นได้ว่า Concept นี้ประสบความสำเร็จและอยู่มาอย่างยาวนาน เห็นได้จาก AKB48 ก่อตั้งมาแล้ว 13 ปีนับตั้งแต่เริ่มในปี 2005 โดย AKB มีวงในเครือทั้งในและต่างประเทศ ทั้งสิ้น 10 วง จุดแข็งต่อมาที่น่าสนใจมากๆ คือ สินค้าที่ BNK48 จำหน่าย ที่พูดถึงเป็น Talk of the town มากที่สุดคือ “บัตรจับมือ” เมื่อไอดอลที่ ทุกๆคนในวงเป็นไอดอลที่คุณสามารถไปพบได้ทำให้แฟนคลับมีส่วนร่วมอยากไปพบ นั้นคือการไป “จับมือ” จะมีเวลา 8 วินาที ได้พูดคุยกับไอดอลที่เราเลือกอย่างใกล้ชิด แต่ว่าจะหาบัตรจับมือได้จากที่ไหน สามารถหาได้จาก CD single ซึ่ง สิ่งสำคัญที่แถมมาในกล่องซีดีก็คือ รูปสุ่มของไอดอล 1 ใบ และ บัตรเข้าร่วมงานจับมือของ BNK48 ทำให้ของแถมเป็นตัวชูโรงหรือมีคุณค่า ทำให้ซีดีที่แทบจะขายไม่ได้เพราะเพลงถูกนำไปจ่ายแจก หมดไป ซึ่งแฟนคลับซื้อซีดีจำนวนมาก ด้วยเหตุผล 1. สะสมไอดอลที่ตัวเองชอบ ยิ่งซื้อมากยิ่งมีโอกาสเจอรูปไอดอลที่ตัวเองชอบมากขึ้น เพราะมาจากการซึ่งบางรูปก่อนหน้านี้ มีราคาหลักหมื่น บางรูปที่มีลายเซนต์ของไอดอล มีมูลค่าถึงหลักแสนบาทก็มี เมื่อมีราคาที่สูงเมื่อสะสมย่อมมีผู้คนที่สนใจเข้ามาสะสมและเก็งกำไรอีกด้วย 2. บัตรจับมือ มีเวลา 8 วินาที หากเป็นไปได้แฟนคลับอยากมีเวลาพูดคุยที่นานขึ้น และยิ่งชอบหลายคนยิ่งต้องมีหลายๆ ใบอีกด้วย ในปัจจุบันราคาที่ขายกันในตลาดกลุ่มแฟนคลับมีมูลค่า 350 บาท ซึ่งเท่ากับซีดีที่ทาง BNK48 จำหน่าย นอกจาก CD ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น BNK48Cafe เป็นสถานที่ขายกาแฟและของที่ระลึก โดยจำกัดไว้เพียง 1,250 คิวต่อวัน หากอยากวัดดวง สุ่มได้ที่รองแก้วลายไอดอล 1 ใน 26 สมาชิก สามารถสั่ง Signature Drink หรือซื้อเกิน 250 บาทต่อใบเสร็จ หากโชคดีจะได้ลายไอดอลที่ชอบ และโชคดียิ่งกว่าหากได้พร้อมลายเซ็นจึงเกิดปรากฏการณ์ไปตั้งแคมป์ เข้าแถวรอตั้งแต่ก่อนห้างเปิด และเอาแต่ที่รองแก้ว แล้ววางเครื่องดื่มทิ้งไว้ เหมือนสมัยก่อนที่ซื้อแล้วทิ้งขนมถุงไว้เก็บแต่ของแถมสะสมข้างใน หากค่าเฉลี่ยต่อวัน มีคนมาต่อคิวทาน 500 คน สั่ง Signature drink รายได้ต่อวันอยู่ที่ 125,000 บาท หรือปีละ 45 ล้านบาท เมื่อรวมกับการแสดงในโรงละครของ BNK48 จัดแสดงสัปดาห์ละ 3 รอบ วันเสาร์ 1 รอบ และวันอาทิตย์ 2 รอบ ซึ่งมีจำนวน 350 ที่นั่งให้แฟนคลับได้มาติดตาม โดยคิดค่าเข้าชมอยู่ที่ 400 บาทต่อที่นั่ง 1 รอบจะมีรายได้ 140,000 บาท อาทิตย์ละ 420,000 1 ปี จะมีรายได้ 21 ล้านบาท ไม่นับรวม BNK48shop และโฆษณา หรืออีเว้นท์และโฆษณาที่ไหลเข้ามาเรื่อยๆ ใน 1 ปี จะมีการออก 4 single จะมีรายได้รวม 300 ล้านบาท รวมกับ ค่าเข้าโรงละคร และ BNK48cafe เป็นรายได้รวม 366 ล้านบาท ต่อปี
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2668
Finance
โปรดสรุปบทความเรื่อง รถยนต์ EV เปลี่ยนโลกอย่างไร
อุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงานกำลังเคลื่อนไหว การกำเนิดขึ้นของรถยนต์ EV (Electric Vehicles) หรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงกระแสพลังงานโลกไปอย่างมาก จากประเด็นเรื่องพลังงานน้ำมันจะหมดโลก กลายเป็นตอนนี้แทบไม่ต้องกังวลเสียแล้ว เพราะถ้ารถยนต์สมัยใหม่ใช้ไฟฟ้าแทน โลกเรายังคงเหลือพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะสามารถเปลี่ยนมาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมากมายมหาศาล ความเสี่ยงหนึ่งที่จะเกิดขึ้นคือสถานีเชื้อเพลิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปั๊มแก๊ส ปั๊มน้ำมันที่เคยเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากของโลกก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะเมื่อไม่มีน้ำมันให้ต้องเติมอีกต่อไปแล้ว สถานีมากมายเหล่านั้นจะนำไปใช้ทำอะไรต่อ โดยสถานีจำนวนมากก็ขยับตัวหันมาจะทำปั๊มสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Elon Musk ผู้บริหารระดับสูงของ TESLA บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลกเปิดเผยว่า ล่าสุดรถยนต์ไฟฟ้า TESLA model S สามารถวิ่งได้ระยะทางกว่า 670 ไมล์หรือเทียบเท่ากับ 1,078 กิโลเมตร ด้วยการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว อธิบายเรื่องการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าก่อน ปรกติการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าแบ่งเป็น 3 ลักษณะหลัก คือ Wake up fully charged หรือชาร์จไปจากที่บ้าน Supercharging หรือการแวะชาร์จระหว่างเดินทาง และ Destination charging หรือการไปชาร์จที่เป้าหมายของการเดินทาง แน่นอนว่าปั๊มชาร์จไฟฟ้าของรถยนต์ไฟฟ้าย่อมจัดเป็นประเภทที่ 2 คือ Supercharging หรือการแวะชาร์จระหว่างทาง แต่ในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างการขับรถได้ระยะไกล 1,000 กิโลเมตรจากการชาร์จครั้งเดียว หมายถึง หากเราชาร์จรถไปจากที่บ้านแล้ว เราก็สามารถขับรถจากกรุงเทพไปไกลถึงเชียงใหม่ได้อย่างสบายๆ ขากลับก็ใช้วิธีชาร์จที่บ้านหรือโรงแรมปลายทางเอา แบบนี้การใช้ Supercharging แทบจะหายออกไปจากการเดินทางเลย ยิ่งรถยนต์ไฟฟ้าพัฒนาไปมากเท่าไหร่ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จะมารองรับก็ต้องยิ่งพัฒนามากขึ้น อย่างโรงแรมหรือคอนโดมีเนียมเองก็ต้องหันมาพิจารณาเรื่องนี้หากต้องมีการชาร์จไฟรถไว้ค้างคืน หรือปั๊มน้ำมันเดิมก็คงต้องหันมาทางด้าน non-oil มากขึ้น โดยโฟกัสไปที่การเป็น mini-community area มากกว่าที่จะเป็นสถานีเชื้อเพลิงอย่างเต็มตัว Supercharging จะสำคัญต่ออุตสาหกรรมนี้มากขนาดไหน ยิ่งรถยนต์พัฒนามากขึ้นไปเท่าไหร่ เราคงยิ่งเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นไปเท่านั้น
การถือกำเนิดของรถยนต์ EV (Electric Vehicles) หรือรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เปลี่ยนแปลงกระแสพลังงานโลกอย่างมาก โลกเรายังคงเหลือพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะสามารถเปลี่ยนมาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมากมาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำมันจะหมด เพียงแต่ปั๊มแก๊สกับปั๊มน้ำมันที่เคยเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากของโลก และได้รับผลกระทบโดยตรง อาจต้องหันมาทำปั๊มสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแทน เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างการขับรถได้ระยะไกล 1,000 กิโลเมตรจากการชาร์จครั้งเดียว โรงแรมและคอนโดมีเนียมเองก็ต้องหันมาพิจารณาเรื่องนี้เช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2669
Finance
จากบทความ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO มีโอกาสที่จะทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ในปี 2566 นี้หรือไม่? อธิบายและวิเคราะห์ปัจจัยที่สนับสนุนและคัดค้านโอกาสนี้
null
โอกาสที่ XO จะทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ : 1. ปัจจัยสนับสนุน: - การเติบโตของตลาดซอส: ตลาดซอสทั่วโลกมีขนาดใหญ่และยังมีศักยภาพการเติบโตอีกมาก XO มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับตลาด - การขยายตลาดส่งออก: XO มีแผนขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใหม่ๆ - การพัฒนาสินค้าใหม่: XO มีแผนพัฒนาสินค้าใหม่ๆ - การย้ายโรงงาน: การย้ายโรงงานเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้อย่างเต็มที่ และลดค่าใช้จ่าย - การมีแบรนด์ของตัวเอง: XO ขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ไม่ได้พึ่งพิงรายได้จากการรับจ้างผลิต (OEM) 2. ปัจจัยคัดค้าน : - การแข่งขัน: ตลาดซอสมีการแข่งขันสูง - ค่าเงินบาท: ค่าเงินบาทที่แข็งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออก - ปัญหาการผลิต: ปัญหาการผลิตที่เกิดขึ้นในอดีตอาจเกิดขึ้นอีก - ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อยอดขาย สรุป: XO มีโอกาสที่จะทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 แต่ต้องติดตามปัจจัยสนับสนุนและคัดค้านอย่างใกล้ชิด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: - ติดตามผลประกอบการของ XO อย่างใกล้ชิด - วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจของ XO เช่น เศรษฐกิจโลก ค่าเงินบาท และการแข่งขัน - ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดซอส - เปรียบเทียบ XO กับบริษัทคู่แข่ง
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2670
Finance
วิธีสอนลูก เรื่องเงิน ทำอย่างไร?
null
การสอนลูก..เรื่องเงิน ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีสำหรับอนาคต 1. คุณค่าของเงิน สอนให้ลูก รู้จักคุณค่าของเงิน “เงินใช้ง่าย แต่การหาเงินยากกว่า” เงินที่ลูกใช้มาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อกับแม่ เมื่อวันนี้ลูกยังหาเงินเองไม่ได้ สิ่งที่ลูกช่วยพ่อกับแม่ได้ คือ การใช้จ่ายอย่างประหยัด ใช้จ่ายสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ฟุ่มเฟือย 2. ความคุ้มค่า สิ่งของที่ลูกใช้ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋านักเรียน ต้องรักษา..ใช้อย่างคุ้มค่า หากยังใส่ได้อยู่ หรือหากซ่อมได้ ก็ควรใช้ของเดิม อุปกรณ์การเรียนหรือเครื่องเขียน ปากกา ดินสอ ยางลบ เก็บรักษาให้ดี ไม่ควรทำหาย และ หากของเดิมยังใช้ได้ ต้องใช้ให้คุ้มค่า ก่อนจะซื้อของใหม่ เสื้อผ้าและของที่ใช้ ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพงเสมอไป เพราะด้วย ลูกโตเร็ว เสื้อผ้า หรือของใช้ บางอย่างใช้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนใหม่ 3. บันทึก รับ – จ่าย ซื้อสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ไว้ให้ลูก ทุกครั้งที่รับเงิน หรือ จ่ายอะไรไป ลูกต้องบันทึกทุกครั้ง ฝึกเป็นนิสัย เช็คกันทุกสัปดาห์ ว่าลูกใช้จ่าย อะไรไปบ้าง 4. กำหนดเงินออมขั้นต่ำ โดยเงินที่ให้ไปโรงเรียนจะเป็นเฉพาะค่าขนม ส่วนเงินค่าข้าวและของว่าง ทางโรงเรียนจัดการให้อยู่แล้ว 5. แยกกระปุกออมสิน แบ่งกระปุก แต่ละกระปุกตามเป้าหมายการใช้เงิน กระปุกหนึ่ง เก็บไว้เพื่อซื้อของที่อยากได้ และต้องเป็นของที่เป็นประโยชน์ เช่น หนังสือการ์ตูนความรู้ ของ EQ Plus หรือ Readcomics เล่มละประมาณ 150 – 200 บาท เดือนละ 1 เล่ม อีกกระปุกเป็นเงินออมระยะยาว 6. รู้จักให้ และแบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือของใช้ ที่ลูกไม่ใช้แล้ว เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ที่เคยใส่แล้วเล็กไป ใส่ไม่ได้แล้ว แต่ยังใช้ได้อยู่ บริจาคให้กับเด็กกำพร้า หรือเด็กที่ด้อยโอกาส ยังนำไปใช้ประโยชน์ได้อยู่ ฝึกให้รู้จักการมีน้ำใจกับเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งขนม หรือ หนังสือการ์ตูนที่ลูกมี แบ่งปันให้เพื่อนอ่าน และการพาลูกไปทำบุญเป็นประจำ ฝึกให้รู้จักการให้และแบ่งปัน 7. ความเหมาะสม และพอดี เพื่อนของลูก อาจใช้ของที่แพง ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ที่ราคาแพง กระเป๋าของใช้ที่แพงๆ เราไม่จำเป็นต้องใช้ตามเพื่อน หรือซื้อของแพงๆ ใช้ เพราะลูกยังอยู่ในวัยเรียน จึงยังไม่เหมาะ และไม่จำเป็นกับใช้ของพวกนี้ คนเราย่อมมีความอยากได้ อยากมี และอยากเป็น แต่ลูกต้องรู้จักประมาณตน อย่ามีหนี้ หากไม่จำเป็น เงินฝากธนาคาร คุณแม่มีไว้สำหรับให้ใช้จ่ายในครอบครัว ส่วนเงินเก็บที่ได้ทุกเดือน เป็นเงินเก็บระยะยาวให้ลูกเรียนต่อระดับปริญญา 8. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การเงิน ฝากไว้ในกองทุนรวมตราสารทุน กองทุนรวมต่างประเทศ และหุ้น ให้ลูก เพื่อเพิ่มโอกาสของผลตอบแทนในระยะยาว อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงความเสี่ยงและข้อแตกต่างของกองทุนแต่ละประเภท รวมถึง หุ้น สอนลูก “อย่าเก็บเงินไว้ในที่ ๆ เดียว” เพราะนั่นคือ ความเสี่ยง เราควรกระจายแหล่งเก็บเงินของเรา 9. วินัย และสม่ำเสมอ วินัย เป็นสิ่งสำคัญ การจดรายรับ รายจ่าย ทุกวัน หรือ การเก็บเงินเป็นประจำ สม่ำเสมอ อนาคตจะสามารถทำให้ลูกมีเงินเก็บตามเป้าหมายที่ลูกวางไว้ หากลูกโตขึ้น การหาเงินได้มากเท่าไหร่ ไม่สำคัญเท่า ลูกจัดสรรเงินเป็น 10. “จงอย่าใช้ชีวิตบนความประมาท” ทำประกัน ไม่ว่าจะเป็น ประกันชีวิต เพื่อเป็นหลักประกันให้กับครอบครัว ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกจงอย่าใช้ชีวิตบนความประมาท
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2671
Finance
ข้อใดเป็นบทเรียนสู่การเป็นเทรดเดอร์อาชีพ จาก Mike Bellafiore
ก. ไม่ต้องทำงานหนัก ข. ไม่ต้องมีแผนการเทรด ค. มีความอดทน ง. ไม่ต้องบังคับตัวเองให้ตัดสินใจลงมือทำตามแผน จ. การเทรดเป็นแค่งานอดิเรก
คำตอบคือ ค. เนื่องจาก เพราะความอดทน อยู่ในบทเรียนสู่การเป็นเทรดเดอร์อาชีพ จาก Mike Bellafiore ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง บทเรียน 5 ข้อ สู่การเป็นเทรดเดอร์อาชีพ จาก Mike Bellafiore 1. เตรียมตัวให้พร้อม Mike Bellafiore สอนให้มองว่าการเทรดนั้นเป็นงานไม่ใช่กิจกรรมอดิเรก (แม้จะนั่งเทรดอยู่ในห้องนอนที่บ้านก็ตาม) ดังนั้นเทรดเดอร์ต้องจริงจัง เตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุด ทั้งการหาข้อมูล การทำความเข้าใจแผนระบบเทรด เตรียมร่างกาย และจิตใจ เพื่อรับมือกับสิ่งที่จะเกิดในตลาด แน่นอนว่าจะมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึง นอกจากนั้นเทรดเดอร์ต้องเตรียมรับมือกับความผิดพลาด ความผิดหวังล้มเหลว เพราะนั้นคือส่วนหนึ่งของเกมส์ สิ่งสำคัญคือการรับมือกับมัน ใช้ประโยชน์เรียนรู้จากสถานการณ์ที่เกิด แล้วก้าวต่อไป 2. ทำงานหนัก เทรดเดอร์เป็นงานที่มีผลตอบแทนสูง รายได้สูง แม้ไม่ต้องทำงานหนัก 100 ชั่วโมงต่อส้ปดาห์แบบบางอาชีพหรือไม่ต้องหักโหมทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำแต้มเอาใจเจ้านาย แต่ในระยะแรกของการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเอง เทรดเดอร์มือใหม่ก็จำเป็นต้องทุ่มเท ทำงานหนักโดยเฉพาะเรื่องการศึกษาหาความรู้ เช่นการอ่านหนังสือ การติดตามข่าวสาร รวมไปถึงการฝึกฝนการวิเคราะห์พฤติกรรมข้อมูลราคาของสินค้า เพื่อให้เกิดทักษะ เกิดการสั่งสมความรู้ที่มากเพียงพอในการพัฒนาต่อยอดต่อไป 3. มีความอดทน ตลาดหุ้นมีความผันผวนเสมอเป็นธรรมชาติ เทรดเดอร์ต้องเทรดบนราคาที่เปลี่ยนแปลงไปมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณสมบัติเรื่องความอดทนจำเป็นต้องมีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การเทรดที่ดี บางกรณีอาจจะอดทนเพื่อรอโอกาส รอจังหวะที่ดีที่คุ้มค่ากับการเสี่ยง ถ้าเทรดเดอร์มีความอดทนต่ำ รอไม่เป็นการรีบเข้าตามอารมณ์ ตามกระแส สุดท้ายก็ผิดพลาด เช่นเดียวกันแม้มองทิศทางราคาถูก เปิดสถานะได้เข้าถูกทางได้กำไรแต่ถ้าอดทนรอไม่เป็น ใจไม่นิ่งแกว่งไปตามราคาที่ผันผวนระหว่างวัน สุดท้ายไม่เทรดตามแผน รีบออก ถือสถานะได้ไม่นาน แบบนี้ก็เสียโอกาสและทำให้ไม่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน 4. ต้องมีแผนการเทรด การเทรดหรือการเก็งกำไร ไม่ใช่การเสี่ยงโชควัดดวงหรือซื้อขายไปตามอารมณ์ ไปตามข่าวลือ เทรดเดอร์มืออาชีพจะต้องมีแผนการเทรด มีการวางแผนการเทรดล่วงหน้าก่อนเข้าไปซื้อขายในตลาดเสมอ เพราะการพัฒนาระบบเทรด การสร้างแผนการเทรดขึ้นมาจะทำให้รู้ว่าควรจะตัดสินใจรับมือกับพฤติกรรมราคาอย่างไร อย่างน้อยต้องรู้จุดเข้า/จุดออก และการประเมินความเสี่ยง เพื่อคำนวณขนาด position size ที่แน่นอนก่อนเข้าไปเทรด แผนการเทรดจำเป็นเพราะอาจจะพบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด เจอเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าไม่มีแผน หรือปล่อยให้ทุกอย่างตัดสินใจไปตามอารมณ์ ความผิดพลาดก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย และนำมาซึ่งการขาดทุนสูญเสียเงินหนัก 5. มีวินัย เมื่อพัฒนาแผนการเทรด หรือระบบเทรดขึ้นมาแล้ว สิ่งสำคัญคือเทรดเดอร์ต้องมีวินัยในการบังคับตัวเองให้ตัดสินใจลงมือทำตามแผนให้ได้ แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ในข้ามคืน โดยเฉพาะมือใหม่ ประสบการณ์น้อย เนื่องจากราคาสินค้าที่เคลื่อนไหวไปมาแต่ละวัน บวกกับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมีผลต่ออารมณ์ของเทรดเดอร์ อาจจะทำให้เกิดความโลภ ความกลัว การตัดสินใจไปตามอารมณ์เกิดขึ้นได้ง่าย แม้กระทั่งเรื่องของการจดบันทึกผลการเทรด งานพิเศษที่เป็นกิจวัตรหลังตลาดปิดที่เทรดเดอร์ต้องทำเพื่อทบทวนการเทรดของตัวเอง สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของกระบวนการฝึกฝนที่ต้องทำต่อเนื่องทำทุกวันในระยะเวลายาว อาจจะไม่เห็นผลอันสั้น จึงทำให้น้อยคนที่จะสามารถมีวินัยบังคับตัวเองให้ทำต่อเนื่องจนสำเร็จได้
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2674
Finance
คำถามที่ 1: อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้ Lehman Brothers ล้มละลาย คำถามที่ 2: อะไรคือผลกระทบของ Lehman Brothers ล้มละลายต่อเศรษฐกิจโลก คำถามที่ 3: บทเรียนสำคัญจากกรณี Lehman Brothers ล้มละลายคืออะไร คำถามที่ 4: อะไรคือบทบาทของอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (CDS) ในการล้มละลายของ Lehman Brothers
null
คำตอบที่ 1 สาเหตุหลักที่ทำให้ Lehman Brothers ล้มละลายคือการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (Subprime Mortgage-Backed Securities หรือ MBS) MBS เป็นตราสารหนี้ที่ระดมทุนจากผู้ลงทุนเพื่อนำไปซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากผู้กู้ที่มีเครดิตต่ำ เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มถดถอย ส่งผลให้ผู้กู้ที่มีเครดิตต่ำเริ่มผิดชำระหนี้ ส่งผลให้มูลค่าของ MBS ลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้ Lehman Brothers ขาดทุนมหาศาล คำตอบที่ 2 ผลกระทบของ Lehman Brothers ล้มละลายต่อเศรษฐกิจโลก คือ ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาดการเงินทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างรุนแรง และต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลก ทำให้หลายประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย คำตอบที่ 3 บทเรียนสำคัญจากกรณี Lehman Brothers ล้มละลาย คือ สถาบันการเงินควรระมัดระวังในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง รัฐบาลควรมีมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างเข้มงวด ประชาชนควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเงิน คำตอบที่ 4 อนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (CDS) เป็นตราสารอนุพันธ์ที่ทำหน้าที่เป็นประกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ โดยการชำระเบี้ยประกันให้กับผู้ออก CDS ในกรณีที่ตราสารหนี้ที่อ้างอิงเกิดการผิดนัดชำระหนี้ Lehman Brothers มีการซื้อขาย CDS จำนวนมากเพื่อประกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของ MBS ที่บริษัทลงทุนอยู่ การที่ Lehman Brothers มีการซื้อขาย CDS จำนวนมาก ส่งผลให้ตลาด CDS เกิดความตึงเครียด เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มถดถอย ส่งผลให้ผู้กู้ที่มีเครดิตต่ำเริ่มผิดชำระหนี้ ส่งผลให้มูลค่าของ MBS ลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้ Lehman Brothers ขาดทุนมหาศาล บทบาทของ CDS ในการล้มละลายของ Lehman Brothers สรุปได้ดังนี้ - CDS ทำหน้าที่เป็นช่องทางในการกระจายความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถกระจายความเสี่ยงจากการถือครองตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงไปยังสถาบันการเงินอื่น - CDS ทำให้เกิดความตึงเครียดในตลาดการเงิน เมื่อตลาด CDS เกิดความตึงเครียด ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินอื่นๆ ในตลาด - CDS ช่วยให้ Lehman Brothers ปกปิดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ Lehman Brothers มีการซื้อขาย CDS จำนวนมากเพื่อประกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของ MBS ที่บริษัทลงทุนอยู่ ส่งผลให้ Lehman Brothers สามารถปกปิดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ได้ในระยะสั้น ในกรณีของ Lehman Brothers การที่ Lehman Brothers มีการซื้อขาย CDS จำนวนมาก ส่งผลให้ตลาด CDS เกิดความตึงเครียด เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มถดถอย ส่งผลให้ผู้กู้ที่มีเครดิตต่ำเริ่มผิดชำระหนี้ ส่งผลให้มูลค่าของ MBS ลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้ Lehman Brothers ขาดทุนมหาศาล ประกอบกับ Lehman Brothers ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนใหม่มาทดแทนเงินทุนที่ขาดไป ทำให้ Lehman Brothers ต้องประกาศล้มละลายในที่สุด บทเรียนสำคัญที่ได้จากกรณีนี้ คือ สถาบันการเงินควรระมัดระวังในการใช้ CDS เพื่อประกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจาก CDS อาจทำให้เกิดความตึงเครียดในตลาดการเงิน และอาจปกปิดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ได้ในระยะสั้น
สถาบันการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2675
Finance
มีวิธีการอะไรอีกบ้างที่สามารถช่วยให้เราเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อได้?
null
มีวิธีการมากมายที่สามารถช่วยให้เราเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อได้ 1. ปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย: - วางแผนการใช้จ่าย: จดบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด วิเคราะห์ว่าเงินของเราไปไหนบ้าง ตัดสินใจก่อนซื้อของ เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็น เปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนซื้อ มองหาสินค้าราคาประหยัด เลือกซื้อสินค้าที่คุ้มค่า - ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น: ยกเลิกบริการที่ไม่จำเป็น หารายได้เสริม - หารายได้เสริม: หางานเสริม ทำธุรกิจส่วนตัว - ลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: ลงทุนในทองคำ ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในหุ้น ลงทุนในกองทุนรวม 2. เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ: - ศึกษาสาเหตุของภาวะเงินเฟ้อ - ศึกษาผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ - ศึกษาวิธีการป้องกันตัวจากภาวะเงินเฟ้อ 3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: - ปรึกษานักวางแผนการเงิน - ปรึกษานักลงทุน - ปรึกษานักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ตัวอย่างเพิ่มเติม: - ลงทุนในตัวเอง: พัฒนาทักษะ เพิ่มพูนความรู้ - เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง: เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของอาชีพ - สร้างความมั่นคงให้กับชีวิต: สร้างความมั่นคงด้านการเงิน สร้างความมั่นคงด้านอาชีพ สรุป: ภาวะเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถเตรียมตัวและหาทางป้องกันตัวได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ ปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย ลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โดยทำตามวิธีการเหล่านี้ เราจะสามารถเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อได้อย่างมั่นใจ หมายเหตุ: - ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน - ผลตอบแทนจากการลงทุนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต - การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2676
Finance
ข้อใดเป็นลักษณะกิจการที่พึ่งพาผู้บริหารมากเกินไป
a. กิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการแข่งขันสูง b. กิจการที่อาศัย Connection ในการทำธุรกิจ c. กิจการไม่ค่อยควบรวมธุรกิจบ่อยนัก d. กิจการที่พึ่งพิงนวัตกรรมต่ำ e. กิจการที่ผู้บริหารไม่ใช้คนเป็นแบรนด์
คำตอบได้แก่ b. เนื่องจาก เพราะกิจการที่อาศัย Connection ในการทำธุรกิจ เป็นหนึ่งใน 5 ลักษณะกิจการที่พึ่งพาผู้บริหารมากเกินไป ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง 5 ลักษณะกิจการที่พึ่งพาผู้บริหารมากเกินไป 1. กิจการควบรวมธุรกิจบ่อย ต้องใช้ความสามารถของผู้บริหารมาก เนื่องจากต้องใช้การอ่านธุรกิจและการเจรจาต่อรองสูง ส่วนใหญ่ใช้เงินลงทุนมาก และมีผลต่อกิจการสูง ยกตัวอย่างใเช่น Berkshire Hathaway ที่พึ่งพิงความสำเร็จของวอร์เรน บัฟเฟตมาก 2. กิจการที่อาศัย Connection ในการทำธุรกิจ มักอาศัยความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้ามาใช้ในการเจรจาต่อรอง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่โปร่งใสเท่าไหร่นัก แต่ก็คงต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ธุรกิจเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับงานประมูลต่างๆ เช่น งานรับเหมา งานสัมปทาน 3. กิจการที่พึ่งพิงนวัตกรรมสูง มักเป็นกิจการที่มีพลวัตหรือ Dynamics ในตัวเองสูง อาศัยการเคลื่อนไหวให้ทันการวิ่งแข่งของอุตสาหกรรม ธุรกิจแบบนี้ผู้บริหารต้องวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีหัวก้าวนำอุตสาหกรรมเสมอ ธุรกิจกลุ่มนี้จึงพึ่งพิง “คน” ค่อนข้างมาก 4. กิจการที่ผู้บริหารใช้คนเป็นแบรนด์ อาจจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ได้ เพียงแต่มีลักษณะสำคัญคือผู้บริหารใช้ตัวเองเป็นแบรนด์หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Personal Branding” แน่นอนว่า “คน” นั่นย่อมมีความยั่งยืนน้อยกว่า “องค์กร” อยู่แล้ว นอกจากความเสี่ยงที่จะเกิดจากคนที่อาจจะผิดพลาดด้านการสร้างภาพลักษณ์แล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการที่ผู้บริหารจะออกจากธุรกิจจนทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียอีกด้วย 5. กิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง มักเป็นธุรกิจที่คู่แข่งแต่ละรายไม่สามารถเรียกกำไรสูงๆ จากการสร้างแบรนด์ได้ ส่วนใหญ่กำไรของกิจการจึงมาจากการที่ผู้บริหารดำเนินงานอย่างชาญฉลาดมากกว่า เช่น การใช้โมเดลธุรกิจที่เหนือกว่าคู่แข่ง การพัฒนาองค์กรให้เป็น Cost Leadership ลักษณะทั้ง 5 อย่างนี้ไม่ใช่ข้อเสียของกิจการ แต่เป็นความเสี่ยงของกิจการ กล่าวคือ ไม่ใช่ว่าห้ามลงทุนในกิจการที่พึ่งพิงผู้บริหารมาก แต่นักลงทุนที่ลงทุนต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะแน่นอนว่าพลวัตของคนย่อมเปลี่ยนเร็วกว่าองค์กรเสมอ
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2677
Finance
การขายทางโทรศัพท์จากหนังสือ Way of the Wolf มีเทคนิคและขั้นตอนอย่างไร
null
Jordan Belfort ผู้เขียนได้เผยเคล็ดลับในการขายว่ามีลักษณะป็นเส้นตรง มีจุดเริ่มต้นการขาย มีจุดปิดการขาย มีขั้นตอนที่เป็นแบบแผนที่ชัดเจน ควบคุมไม่ให้ออกทะเลและเสียเวลา แม้แรงต้านมีล้านแปด แต่คือ “ข้ออ้าง" โดยมีลำดับเนื้อหาแบ่งเป็น 4 ช่วง 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ช่วงแรก คือ ขั้นตอนที่ 1: แนะนำตัวใน 4 วินาทีแรกให้ลูกค้าถูกใจ ทำให้รู้สึกว่า - แก้ปัญหาให้เขาได้อย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลาคุย - มอบพลัง กระตือรือร้นที่ดีให้ลูกค้า - เป็นผู้รู้จริง ผู้เชี่ยวชาญ (มีชื่อเสียงยิ่งดี) ข้อสำคัญคือ ห้ามทำน้ำเสียงแบบคนขายประกัน Cold Call คือเสียงเรียบๆ เนิบๆ เร็วๆ ที่ทำให้คนรู้สึกไม่ชอบใจ 2. ช่วงที่สอง คือ ขั้นตอน 2: เก็บข้อมูลลูกค้าที่มีประโยชน์ สร้างไมตรีจิต (Rapport) ด้วยการขายแบบ “ฟังเยอะพูดน้อย” จุดนี้เป็นการเริ่มต้นการขายแล้ว ไม่ใช่เพียงทำความรู้จักลูกค้า แต่กำลังสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับลูกค้า 3. ช่วงที่สาม คือขั้นตอนที่ 3: นำเสนอสินค้าและให้ลูกค้ามั่นใจในสินค้า ถึงขนาดที่ลูกค้าประทับใจทั้งในแง่อารมณ์ (Emotional Certainty) และเหตุผล (Logical Certainty) เวลาขาย จะผลักให้ลูกค้าเชื่อใน 5 สิ่งนี้ ตามลำดับ คือ 1) ความชอบในสินค้า 2) ความชอบและเชื่อมั่นในตัวคนขาย (ตัวเรา) 3) ความเชื่อมั่นในตัวบริษัท 4) Action Threshold จุดที่ลูกค้าได้ประโยชน์มากกว่าแรงต้านจนยอมซื้อ 5) Pain Threshold จุดที่ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นปัญหาที่ต้องปัดเป่าจนยอมซื้อ 4. ช่วงที่สี่ คือขั้นตอนที่ 4-6: การรับมือเมื่อลูกค้าแสดงแรงต้าน ซึ่งมีทั้งการใช้คำพูดจัดการแรงต้าน (Deflection Script), ประเมินความประทับใจ, การใช้คำถามชี้นำให้ลูกค้าคล้อยตาม, การสร้างความไว้ใจ (Forrest Gump Pattern) และการลดแลกแจกแถม
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2678
Finance
สิ่งใดของ Moat ในธุรกิจปัจจุบัน ที่มีความหมายว่า บริษัทมีองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งมาก ระหว่าง ความได้เปรียบทางด้านต้นทุน หรือ ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย
null
ความได้เปรียบทางด้านต้นทุน เพราะความได้เปรียบทางด้านต้นทุน คือ บริษัทมีองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งมาก เช่น การมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า ทำให้มี Economy of Scale หรือการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตบางอย่าง เช่น เป็นเจ้าของเหมืองที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าของบริษัท เป็นต้น ซึ่งจะมีผลให้บริษัททมีความได้เปรียบในระยะยาว หรือแม้กระทั่งในระยะสั้น ถ้าบริษัทมีการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตได้ดีกว่า ทำให้มีต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่า ก็ทำให้มี Moat ประเภทนี้ ทว่าประสิทธิภาพในการผลิตเป็นสิ่งที่คู่แข่งสามารถพัฒนาจนตามทันได้ แค่อาจจะต้องใช้เวลาเท่านั้น แต่สำหรับการเป็นเจ้าของแหล่งผลิตหรือการมีขนาดที่ใหญ่กว่า การที่คู่แข่งจะตามให้ทันนั้นยากและใช้เวลามากกว่า บริษัทแบบนี้ในเวลาปกติจะมีอัตรากำไรสูงกว่าคู่แข่ง และในการแข่งขันด้านราคา ก็สามารถตั้งราคาต่ำกว่าหรือว่าเท่ากับคู่แข่งที่ใช้กลยุทธ์ลดราคาได้ ส่วนต้นทุนการเปลี่ยนย้าย (Switching Cost) เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าย้ายไปใช้สินค้าหรือบริการของคู่แข่งได้ยาก เพราะว่ามีต้นทุน หรือมีความยุ่งยากในการเปลี่ยนมาก ตัวอย่างบริษัทแบบนี้ เช่น Apple ที่มีระบบนิเวศของตัวเอง หากคนใช้ Apple จู่ๆ จะเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์ยี่ห้ออื่น ก็ทำได้ยากเพราะว่าข้อมูลทุกอย่างฝากอยู่ใน iCloud และใน iTunes เป็นต้น หรืออีกตัวอย่างบริษัทที่เป็นเจ้าของระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ในบริษัทต่างๆ ยกตัวอย่าง SAP ก็มี Moat เพราะต้องติดตั้งและเชื่อมโยงระบบ หรืออาจจะต้องปรับตัวระบบให้เหมาะสมกับบริษัท ต้องฝึกอบรมให้คนใช้งานระบบ และทดลองใช้จนกระทั่งทุกอย่างเข้าที่ ก็ต้องใช้เวลา ดังนั้นลูกค้าใช้ที่ SAP แล้วก็ไม่อยากจะเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์อื่น เพราะว่ามีต้นทุนด้านเวลาในการเริ่มต้นระบบใหม่ หรือตัวอย่างที่ง่ายกว่านั้นคือการย้ายค่ายมือถือ ก่อนหน้าที่จะมีบริการย้ายค่ายเบอร์เดิม ลูกค้าที่จะเปลี่ยนค่ายก็ต้องเปลี่ยนเบอร์ ทำให้ต้องไปอัปเดตเบอร์ใหม่กับเพื่อน หรือ คู่ค้าทางธุรกิจใหม่ ซึ่งทำได้ยากในสมัยก่อน ก็ทำให้ลูกค้าไม่อยากเปลี่ยนไปใช่บริการเครือข่ายอื่น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2679
Finance
5 งานประจำของนักลงทุุนมือใหม่ควรเริ่มต้นศึกษาและฝึกฝนทักษะด้านใดก่อน? อธิบายความสำคัญและลำดับขั้นตอน
null
ทักษะที่นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นศึกษาและฝึกฝน: 1. การศึกษาหาความรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่เป็นประจำ: ความสำคัญ: การลงทุนมีความเสี่ยง จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจกลไกตลาด วิเคราะห์ความเสี่ยง ตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ 2. พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ลำดับขั้นตอน: - เริ่มต้นจากศึกษาพื้นฐานการเงิน ประเภทของการลงทุน - ศึกษาแนวทางการลงทุน กลยุทธ์ เทคนิคต่างๆ - เรียนรู้จากประสบการณ์ของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ - พัฒนาความรู้ด้านอื่นๆ เช่น จิตวิทยา ปรัชญา การตลาด การบริหาร 3. การมีสังคมนักลงทุน และพบปะพูดคุยกับนักลงทุนด้วยกัน: - ให้ความสำคัญ แลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง แนวคิด - เรียนรู้ประสบการณ์เทคนิค สร้างเครือข่าย ลำดับขั้นตอน: - เข้าร่วมกลุ่มนักลงทุน เว็บบอร์ด - เข้าร่วมงานสัมมนา พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ - ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท: - เข้าใจสถานะ ผลประกอบการ - วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ประเมินศักยภาพ ลำดับขั้นตอน: - เรียนรู้วิธีอ่านงบการเงิน วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน - ติดตามข่าวสาร ผลประกอบการ เปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่ง 4. การพบปะผู้บริหาร หรือเยี่ยมเยียนบริษัท (Company Visit): - ความสำคัญ: เข้าใจกลยุทธ์ แผนงาน ประเมินวิสัยทัศน์ ความน่าเชื่อถือ - สร้างความมั่นใจ - ศึกษาข้อมูลบริษัท - เตรียมคำถาม - วิเคราะห์ข้อมูล - เปรียบเทียบกับข้อมูลอื่นๆ 5. หมั่นสังเกตสิ่งรอบตัว และติดตามเทรนธุรกิจอยู่เสมอ: - เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค - ค้นหาโอกาส - ประเมินแนวโน้ม - ลำดับขั้นตอน: - สังเกตุสิ่งรอบตัว - ติดตามข่าวสาร - วิเคราะห์ข้อมูล - เชื่อมโยงกับธุรกิจ สรุป: นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นศึกษาและฝึกฝนทักษะทั้ง 5 ด้านควบคู่กันไป โดยเริ่มจากการศึกษาหาความรู้ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างเครือข่าย ติดตามข้อมูล วิเคราะห์อย่างละเอียด และหมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_268
Finance
Impossible Trinity คืออะไร
null
Impossible Trinity คือ ทฤษฎีที่กล่าวว่า นโยบายทางเศรษฐศาสตร์ 3 อย่าง ได้แก่ 1. การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ 2. การอนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี และ 3. การกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ โดยแต่ละประเทศนั้นเลือกใช้ได้ 2 ใน 3 เท่านั้น ถูกพัฒนาโดย Robert Mundell และ Marcus Fleming สองนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในช่วงระหว่างปี 1960-1963 โดยทฤษฎีกล่าวว่า นโยบายทางเศรษฐศาสตร์ 3 อย่าง คือ 1. การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ 2. การอนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี 3. การกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ สามารถเลือกใช้ได้เพียง 2 อย่างเท่านั้น ภายใต้ 3 คู่เหตุการณ์ คู่ที่ 1 การใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ และการอนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี แต่ธนาคารกลางจะไม่มีอิสระในการกำหนดนโยบายการเงิน - ตัวอย่างคือ กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปที่ใช้เงินยูโรร่วมกัน โดยให้อัตราแลกเปลี่ยนมีค่าคงที่ ขณะเดียวกันก็ยังเปิดให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าและออกประเทศได้อย่างเสรี เพื่อเอื้อต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ อย่างไรก็ดี - ข้อเสียคือ ประเทศสมาชิกจะไม่สามารถกำหนดนโยบายการเงินได้อย่างอิสระ เนื่องจากประเทศในกลุ่มนี้ จะมีธนาคารกลางยุโรปทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการกำหนดนโยบายการเงินให้แก่ประเทศสมาชิก คู่ที่ 2 การใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ และการกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ แต่เงินทุนจะไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้แบบเสรี - จีน คือหนึ่งในตัวอย่างของประเทศที่ใช้นโยบายเศรษฐกิจคู่นี้ โดยจีนจะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float Exchange Rate Regime) พร้อมทั้งสามารถกำหนดนโยบายทางการเงินของประเทศได้อย่างอิสระ ดังนั้น จึงเห็นธนาคารกลางของจีน ประกาศลดค่าเงินหยวนเพื่อช่วยภาคการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดสงครามทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา แต่กรณีนี้ จีนต้องมีการควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุน ซึ่ง - ข้อเสียคือ การขาดความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การที่จีนเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้พอสมควร จึงยังคงสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ คู่ที่ 3 การอนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี และการกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ แต่อัตราแลกเปลี่ยนต้องเป็นแบบลอยตัว เป็นนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการค้า และการลงทุนในระบบทุนนิยม ซึ่งหลายประเทศนิยมใช้ หนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทย ที่อนุญาตให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายแบบเสรี และการกำหนดนโยบายการเงินอย่างอิสระ แต่ในกรณีนี้ อัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นไปตามกลไกของตลาด ขึ้นอยู่กับอุปสงค์-อุปทาน ของสกุลเงินนั้น อย่างไรก็ตาม หากมีการฝ่าฝืนกฎโดยเลือกใช้นโยบายทั้ง 3 อย่างในเวลาเดียวกัน จะเป็นการเปิดช่องโหว่ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน จนอาจจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังลง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2680
Finance
นักลงทุนควรอ่านบทความเกี่ยวกับการลงทุนทุกบทความที่เจอหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: มีบทความเกี่ยวกับการลงทุนมากมาย: ปัจจุบันมีบทความเกี่ยวกับการลงทุนเผยแพร่บนโลกออนไลน์จำนวนมาก เป็นไปไม่ได้ที่นักลงทุนจะอ่านได้ครบทุกบทความ คุณภาพของบทความไม่เท่ากัน: บทความเกี่ยวกับการลงทุนมีคุณภาพหลากหลาย ขึ้นอยู่กับผู้เขียน ความรู้ ประสบการณ์ และความน่าเชื่อถือ การอ่านบทความทุกบทความอาจทำให้สับสน: การอ่านบทความที่ขัดแย้งกันหรือมีข้อมูลไม่ตรงกัน อาจทำให้สับสนและตัดสินใจผิดพลาด การอ่านบทความมากเกินไปอาจทำให้เสียเวลา: การอ่านบทความใช้เวลา นักลงทุนควรใช้เวลาศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ และตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนของตัวเอง: นักลงทุนควรศึกษาและสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรอ่านบทความเกี่ยวกับการลงทุนอย่างชาญฉลาด ดังนี้: เลือกอ่านบทความจากแหล่งที่เชื่อถือได้: เลือกอ่านบทความจากเว็บไซต์ บล็อก หรือผู้เขียนที่มีความรู้ ประสบการณ์ และน่าเชื่อถือ อ่านอย่างมีวิจารณญาณ: วิเคราะห์ข้อมูลในบทความ พิจารณาความน่าเชื่อถือ เปรียบเทียบกับข้อมูลจากแหล่งอื่น อ่านเพื่อหาความรู้และไอเดีย: อ่านบทความเพื่อหาความรู้ แนวคิด และมุมมองใหม่ ๆ ไม่ควรเชื่อข้อมูลในบทความทั้งหมด: ตรวจสอบข้อมูล วิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตัวเอง อ่านบทความเพื่อประกอบการตัดสินใจ: ใช้ข้อมูลจากบทความประกอบการตัดสินใจ ไม่ควรใช้ข้อมูลจากบทความเพียงแหล่งเดียว สรุป: นักลงทุนไม่จำเป็นต้องอ่านบทความเกี่ยวกับการลงทุนทุกบทความ ควรเลือกอ่านอย่างชาญฉลาดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ วิเคราะห์ข้อมูล และตัดสินใจด้วยตัวเอง คำแนะนำเพิ่มเติม: นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนจากแหล่งที่หลากหลาย เช่น หนังสือ คอร์สออนไลน์ สัมมนา นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำ นักลงทุนควรฝึกฝนการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจด้วยตัวเอง
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2681
Finance
จงแต่งนิยายเรื่อง "แสงสว่างในเงา กับการเติบโตของนักลงทุนที่เติบโตจากภายใน"
null
ในโลกของการลงทุนหุ้น มักมีการพูดถึงนักลงทุนที่เติบโตจากภายในอย่างมาก เหมือนเป็นความลับที่เก่าแก่แล้วว่าความสำเร็จของการลงทุนไม่ได้มาจากความรู้หรือเทคนิคทางการเงินเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยจิตวิทยาที่มีอิทธิพลอย่างมากในการทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวด้วย ในห้องนั่งเล่นของตึกสำนักงานที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงของกรุงเทพมหานคร มีคุณป้าแก่ชาวไทยท่านหนึ่งชื่อ "สุดา" ที่เป็นนักลงทุนที่เติบโตขึ้นมาจากภายในตนเองอย่างแท้จริง ไม่มีวัฒนธรรมการลงทุนใดๆ เข้ามาอุปแรงหรือเลี้ยงลูกเสียด้วย น้องชายของป้าสุดายังได้รับการศึกษาในต่างประเทศด้วยทุนที่ทำเอง และในวันหนึ่ง ป้าสุดาได้รับข่าวที่ทำให้ต้องเศร้าสลด น้องชายของป้าสุดาเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถชน ทั้งโลกของป้าสุดาที่เต็มไปด้วยความยินดีและความสำเร็จก็กลายเป็นเงามืดเศร้า ป้าสุดารู้สึกว่าหัวใจจะแตกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ก็รู้ดีว่าการแสดงออกที่เธอต้องทำต่อสายตาทั้งหลายต้องเป็นเหตุผล วันนั้นก็มาถึง ป้าสุดาได้รับข้อคิดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างสิ้นเชิง มาจากหนึ่งในเพื่อนร่วมงานของป้าสุดา ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อนเข้ามาเป็นมือสำคัญในการลงทุนของป้าสุดา และเพื่อนของป้าสุดาได้ให้คำแนะนำและเสนอแนวทางในการเผชิญหน้ากับความเสียหายและความเสี่ยงที่ป้าสุดาต้องเผชิญอย่างมากในขณะนี้ "การเจริญเติบโตของเรามาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราแข็งแกร่งที่สุด" ป้าสุดากล่าวด้วยเสียงที่ร้อนแรง และจากนั้นป้าสุดาก็ตั้งใจที่จะใช้ความเศร้าใจนั้นให้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองและคนรอบข้าง นี่คือการเติบโตที่แท้จริงมาจากภายใน และมันก็จะเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจและพลังให้กับสุดาในการต่อสู้ต่อไปในโลกของการลงทุน ที่รู้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงอยู่ภายในตัวเราเอง
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2682
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรใช้ TWRR ในการวัดผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนหรือไม่
null
ใช่ เหตุผล: TWRR เป็นวิธีการวัดผลตอบแทนที่สะท้อนผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน TWRR คำนวณผลตอบแทนรวมของการลงทุนเมื่อเทียบกับเงินต้นในแต่ละวัน TWRR รวมคำนวณทั้งกำไรขาดทุนที่รับรู้ไปแล้ว เงินปันผล และกำไรขาดทุนที่ยังไม่รับรู้ TWRR เป็นวิธีการวัดผลตอบแทนที่เป็นไปตามหลักสากล ข้อดีของการใช้ TWRR: วัดผลตอบแทนได้อย่างถูกต้อง เปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับนักลงทุนคนอื่นได้ ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อเสียของการใช้ TWRR: คำนวณค่อนข้างซับซ้อน โปรแกรมสำหรับคำนวณ TWRR ยังมีไม่มาก สรุป: นักลงทุนรายย่อยควรใช้ TWRR ในการวัดผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน เพราะ TWRR เป็นวิธีการวัดผลตอบแทนที่สะท้อนผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน และเป็นวิธีการวัดผลตอบแทนที่เป็นไปตามหลักสากล จำนวนตัวอักษร: 1523 หมายเหตุ: TWRR ย่อมาจาก Time Weighted Rate of Return TWRR ต่างจาก CAR (Compounded Annual Return) ซึ่ง CAR ไม่ได้คำนวณผลตอบแทนจากเงินต้นในแต่ละวัน ตัวอย่าง: สมมติว่านักลงทุนรายหนึ่งลงทุนในกองทุนรวม 100,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2566 กองทุนรวมมีผลตอบแทน 10% ในปี 2566 นักลงทุนขายกองทุนรวมในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 การคำนวณผลตอบแทนด้วย CAR: CAR = (1 + 10%)^1 - 1 = 10% การคำนวณผลตอบแทนด้วย TWRR: TWRR = [(1 + 0.00274)^365] - 1 = 10.47% จะเห็นได้ว่า TWRR ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า CAR เพราะ TWRR คำนวณผลตอบแทนจากเงินต้นในแต่ละวัน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2683
Finance
ช่วยสรุปบทความ เมื่อเด็ก Gen Y เห็นปัญหาหนี้สินของครอบครัว จึงลุกขึ้นมาบริหารเงินกงสี
ที่บ้านปลูกฝังเรื่องการเงินมาแบบไหน จริงๆ ก็ไม่ได้ปลูกฝังอะไรเท่าไหร่ครับ แต่ส่วนตัวเป็นคนค่อนข้างประหยัดมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะทางบ้านมีฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยมากมาย เวลาตรุษจีนได้เงินแต๊ะเอียแต่ละทีก็มักจะไม่ค่อยใช้ เงินแต๊ะเอียปีล่าสุดที่ได้มาก็แบ่งสัดส่วนไปซื้อกองทุนหมดไม่ได้ใช้เลย จุดเปลี่ยนสำคัญจริงๆ คือ การที่ผมเห็นบุคคลอันเป็นที่รักเป็นหนี้บัตรเครดิตจนถึงขั้นถูกฟ้องร้องขึ้นศาล เหตุการณ์นี้จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่า “ชีวิตนี้จะไม่เป็นแบบนี้เด็ดขาด ผมจะต้องใช้บัตรเครดิตให้เป็นประโยชน์ ต้องมีเงินเก็บ มีเงินใช้ตอนแก่” ตอนนี้มีการจัดการเงินของตัวเองอย่างไรบ้าง ด้วยความที่เป็นมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่รายรับไม่ได้มีเข้ามาสม่ำเสมอเหมือนมนุษย์เงินเดือน การจัดการเงินก็จะยากกว่าหน่อย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมได้เริ่มใช้วิธีการ “ออมก่อนใช้” คือ หักเงินทันทีที่มีรายได้เพื่อเก็บไปออมหรือลงทุน ผมได้รู้มานานแล้วว่าเป็นวิธีการที่ดีมากในการเก็บเงิน เมื่อก่อนผมจะใช้เงินก่อน เหลือแล้วค่อยแบ่งเก็บไปหยอดเข้าแบงค์ หลังจาก “ออมก่อนใช้” แล้วพอครบเดือนผมก็จะนำเงินที่เก็บได้แบ่ง % ไปซื้อกองทุนต่างๆ โดยลงทุนในกองทุนรวม 2 ถึง 3 กอง เพื่อกระจายความเสี่ยงดังคำกล่าวที่ว่า “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” ทำไมถึงสนใจเรื่องการจัดการเงินของที่บ้าน ก่อนผมจะเริ่มเข้ามาช่วยงานและดูแลผลประโยชน์จากการลงทุนของที่บ้าน ก็ได้รับรู้ว่าทางบ้านได้มีนำเงินกงสีไปลงทุนบ้างอยู่แล้วครับ แต่เป็นส่วนน้อย ซึ่งตอนแรกๆ ที่เข้ามาในโลกของการลงทุนใหม่ๆ ผมก็รู้สึกว่าควรเอาเงินไปลงทุนมากกว่านี้ เพื่อให้มันมีผลตอบแทนกลับมาชดเชยกับผลประกอบการธุรกิจที่ซบเซาลงไปมาก ทรัพย์สินที่มีจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะรุ่นอากงอาม่าสร้างขึ้นมา ผมในฐานะทายาทรุ่นหลาน ก็ควรจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามันเอาไว้ให้ได้ เรื่องธุรกิจผมรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างขึ้นมาแล้วประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่ผมช่วยได้คือใช้เงินช่วยทำงานให้เรา
ที่บ้านปลูกฝังเรื่องการเงินมาแบบไหน จริงๆ ก็ไม่ได้ปลูกฝังอะไรมาก เป็นคนค่อนข้างประหยัดมาตั้งแต่เด็กๆ ที่บ้านมีฐานะปานกลาง เวลาตรุษจีนได้เงินก็ไม่ค่อยใช้ ได้มาก็แบ่งสัดส่วนไปซื้อกองทุนหมด จุดเปลี่ยนสำคัญจริงๆ คือ การบุคคลอันเป็นที่รักเป็นหนี้บัตรเครดิตถูกฟ้องร้องขึ้นศาล จึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่า “ชีวิตนี้จะไม่เป็นแบบนี้เด็ดขาด ผมจะต้องใช้บัตรเครดิตให้เป็นประโยชน์ ต้องมีเงินเก็บ มีเงินใช้ตอนแก่” ตอนนี้มีการจัดการเงินของตัวเองอย่างไรบ้าง มนุษย์ฟรีแลนซ์รายรับไม่เสมอเหมือนเงินเดือน การจัดการเงินลำบากกว่านิดหน่อย ผมใช้วิธี "ออมก่อนใช้" คือ หักเงินทันทีที่ได้รายได้เพื่อเก็บไปออมหรือลงทุน หลังจากนั้น ผมแบ่งเงินที่เก็บได้เป็น % ไปลงทุนในกองทุนต่าง ๆ กระจายความเสี่ยงตามหลัก "อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว" ทำไมถึงสนใจเรื่องการจัดการเงินของที่บ้าน ก่อนเข้ามาช่วยงานและดูแลการลงทุนในบ้าน ทราบว่าบ้านได้ลงทุนน้อยมาก ตั้งใจเพิ่มการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ทรัพย์สินที่มีมาจากความมั่งคั่งของรุ่นอากงอาม่าที่สร้างขึ้น เป็นทายาทต้องรักษามันไว้ดี เข้าใจว่าธุรกิจไม่ง่าย แต่สามารถใช้เงินช่วยทำงานได้
การบริหารสินทรัพย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2685
Finance
ช่วยสรุปบทความ รีวิว The Big Short – หนังดีที่หลายคนดูไม่รู้เรื่อง
ภาพยนตร์เริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ในปี 2005 เมื่ออดีตนายแพทย์ผู้ผันตัวมาเป็นผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ นามว่า ไมเคิล เบอร์รี่ (Michael Burry) พบว่าในตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการก่อตัวของฟองสบู่ขนาดมหึมาอันเกิดจากความเสี่ยงของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีเครดิตต่ำ (Subprime) ซึ่งซ่อนอยู่ใน Collateralized Debt Obligation (CDO) หรือหลักทรัพย์ที่เกิดจากการมัดรวมหนี้สินเชื่อเข้าด้วยกัน เขาจึงเปิดเกมเข้าซื้อตราสารอนุพันธ์ที่ชื่อว่า Credit default swaps (CDS) กับสถาบันการเงินต่างๆ ไปทั่ว ตราสารตัวนี้ทำหน้าที่เสมือนประกันว่าตลาดอสังหาฯ จะพินาศลง ซึ่งคล้ายกับการเปิดโอกาสให้เขาสามารถ short ตลาดอสังหาฯ นั่นคือเขาเดิมพันว่ามูลค่าของตลาดอสังหาฯ จะลดลง โดยยอมจ่ายค่าเบี้ยประกัน (CDS spread) ในแต่ละปี เท่านั้นแหละครับ!! ลูกค้ากองทุนของเขาด่ายับเลย เนื่องจากสถาบันทางการเงินและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างออกมาบอกว่าตลาดอสังหาฯ ยังคงแข็งแรง หนักๆ ลูกค้าก็แห่ถอนเงินออก แต่เขาก็ได้ระงับการถอนเงินชั่วคราวไปเลย ตรงนี้บางคนอาจงงว่าอะไรคือ short หลายคนคงคิดว่าการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนต้องเกิดจากการซื้อถูกขายแพง ใช่ครับ นักลงทุนที่ทำ short ก็ซื้อถูกขายแพงเหมือนกัน เพียงแต่ว่าพวกเขายืมของมาขายแพงก่อนแล้วค่อยซื้อถูกเอากลับไปคืนที่ยืมมา นักลงทุนที่ทำแบบนี้คือคนที่เดาว่าราคาสินทรัพย์นั้นจะลง Mortgage-Backed Security (MBS) ก่อนจะไปมากกว่านี้ ภาพยนตร์เริ่มอธิบายตราสารทางการเงินตัวหนึ่งที่เรียกว่า Mortgage-Backed Security (MBS) ในฉากที่มีสาวสวยแช่ตัวในอ่างอาบน้ำดื่มแชมเปญ โดย MBS เกิดจากการที่ธนาคารได้นำสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันมามัดรวมๆ กันแล้วขายต่อกับนักลงทุน โดยภายในนั้นอาจเป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีเครดิตสูง (Prime) หรือสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีเครดิตต่ำ (Subprime) ก็ได้
ภาพยนตร์เริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ในปี 2005 เมื่ออดีตนายแพทย์ผู้ผันตัวมาเป็นผู้จัดการกองทุน ชื่อ ไมเคิล เบอร์รี่ (Michael Burry) พบว่าในตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการก่อตัวของฟองสบู่ใหญ่ เกิดจากความเสี่ยงของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีเครดิตต่ำ (Subprime) ซึ่งซ่อนอยู่ใน CDO เขาจึงเข้าซื้อตราสารอนุพันธ์ที่ชื่อว่า CDS เป็นการเปิดโอกาสให้เขาสามารถ short ตลาดอสังหาฯ นั่นคือเขาเดิมพันว่ามูลค่าของตลาดอสังหาฯ จะลดลง โดยยอมจ่ายค่าเบี้ยประกัน (CDS spread) ในแต่ละปี เท่านั้นแหละครับ!! ลูกค้าด่ายับเนื่องจากบริษัททางการเงินบอกว่าตลาดแข็งแรง แต่เขายังรักษาการถอนเงินชั่วคราวได้ มีคนที่งงกับคำว่า "short" คือการลงทุนโดยการทำขายก่อนซื้อ นักลงทุนทำ short คือการยืมสินทรัพย์มาขายก่อนแล้วค่อยซื้อถูกเพื่อคืนที่ยืม คนที่ทำแบบนี้เชื่อว่าราคาสินทรัพย์นั้นจะลดลง Mortgage-Backed Security (MBS) ภาพยนตร์อธิบาย;jkเป็นตราสารทางการเงินที่ธนาคารรวมสินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันแล้วขายต่อให้นักลงทุน สินเชื่ออาจเป็น Prime หรือ Subprime
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2686
Finance
SAPPE มีสินค้า 4 ประเภทหลัก คืออะไรบ้าง
null
บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) ใช้ชื่อเทรดว่า SAPPE จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มหลากหลายประเภท SAPPE มีสินค้า 4 ประเภทหลัก คือ 1) ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ได้แก่ เซ็ปเป้ บิวติ ดริงค์ 2) ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำผลไม้ เครื่องดื่มแต่งกลิ่นผลไม้ ได้แก่ เซ็ปเป้ อโลเวร่า, เซ็ปเป้ ฟอร์ วัน เดย์, โมกุ โมกุ 3) ผลิตภัณฑ์ประเภทผงพร้อมชงเพื่อสุขภาพ และความงาม ได้แก่ เพรียว คอฟฟี่ 4) ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มปรุงสำเร็จพร้อมดื่มอื่น ๆ ได้แก่ เพรียว คอฟฟี่แบบกระป๋อง รายได้ของ SAPPE (ปี 2558 - 2558) ปี พ.ศ. รายได้รวม (ล้านบาท) กำไร (ล้านบาท) 2558 2,556 301 2559 2,792 (เติบโต 9%) 410 (เติบโต 36%) 2558 2,747 (ลดลง 2%) 401 (ลดลง 2%) SAPPE เป็นบริษัทที่อนุรักษ์นิยม (Conservative) พอสมควร เวลาขยายและออกสินค้าใหม่จะไม่ได้ทุ่มสุดตัวเหมือนบริษัทผลิตเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ SAPPE สามารถที่จะรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ 10% ตั้งแต่ปี 2557 ได้อย่างมั่นคง SAPPE ยังมียอดขายจากต่างประเทศสูงกว่าในประเทศ มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออก 70 ประเทศทั่วโลก คิดเป็น 66% ของรายได้ทั้งหมด ประเทศที่ SAPPE ส่งออกไปเยอะที่สุดคือ ประเทศอินโดนีเซีย โดยสินค้าขายดีคือ โมกุ โมกุ นอกจากนี้ SAPPE ยังเป็นเจ้าของร้าน All COCO ร้านน้ำมะพร้าวที่มีราคาขายระดับบนอีกด้วย ซึ่ง SAPPE ได้มีการขายแฟรนไชส์ All COCO ไปยังต่างประเทศด้วยเช่นกัน ด้วยจุดแข็งที่ว่า All COCO เป็นร้านค้าแต่กลับไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากและไม่ต้องใช้ทักษะของแม่ครัวมากนัก เนื่องจากแม่ครัวไม่ต้องมานั่งปรุงหน้าร้าน ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ All COCO เป็นโมเดลทางธุรกิจที่สามารถขยายออกไปได้ง่าย อีกอย่างที่น่าสนใจคือ SAPPE เป็นบริษัทหนี้ต่ำที่มีอัตราหนี้สินต่อทุน (DE Ratio) เพียง 0.22 เท่า ทำให้บริษัทอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างแข็งแรง ดังนั้น เมื่อบริษัทต้องการขยายหรือลงทุนอะไรสักอย่าง ก็จะมีความได้เปรียบเพราะกู้ได้มากกว่าคนอื่น เนื่องจาก DE Ratio ยังมีช่องว่างเหลือให้เพิ่มอีกเยอะ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2688
Finance
จงเขียนแนวคิดเกี่ยวกับ " มนุษย์เงินเดือนลงทุนแบบ VI ดีไหม?"
null
"มนุษย์เงินเดือนลงทุนแบบ VI" หมายถึงการลงทุนในการพัฒนาความสามารถและทักษะของตนเอง เช่นการเรียนรู้ภาษาใหม่, การเรียนรู้ทักษะใหม่, หรือการฝึกฝนทักษะเชิงอารมณ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางอาชีพและเพิ่มรายได้ในอนาคต แนวคิดของ "มนุษย์เงินเดือนลงทุนแบบ VI" เป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจากมีประโยชน์ในหลายด้านด้วยกัน 1. การเพิ่มมูลค่าในตลาดแรงงาน: การพัฒนาทักษะและความสามารถใหม่ๆ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งในตลาดแรงงาน เพิ่มโอกาสในการได้งานที่ดีและรายได้ที่สูงขึ้น 2. การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต: การเรียนรู้ทักษะใหม่ ช่วยเตรียมความพร้อมให้กับอนาคตที่ไม่แน่นอน โดยที่สามารถทำงานในอาชีพหรือธุรกิจที่มีความต้องการทักษะใหม่ๆ ได้ 3. การพัฒนาตนเอง: การลงทุนในตนเองเป็นการพัฒนาทักษะที่จะมีประโยชน์ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ภาษา, ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์, หรือการพัฒนาทักษะสื่อสารระหว่างบุคคล 4. การเพิ่มคุณค่าในองค์กร: มนุษย์เงินเดือนที่ลงทุนในตนเองมักจะมีความสามารถที่ดีขึ้น ทำให้เป็นที่ต้องการในองค์กรและมีโอกาสในการเลื่อนขั้นและเพิ่มรายได้ 5. การสร้างสังคมที่แข็งแกร่ง: การลงทุนในตนเองไม่เพียงแต่มีประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังสร้างสังคมที่มีมนุษย์ที่มีทักษะและความสามารถที่ดีขึ้นด้วย ดังนั้น "มนุษย์เงินเดือนลงทุนแบบ VI" เป็นทางเลือกที่ดีในการเตรียมความพร้อมและเพิ่มโอกาสในชีวิตทั้งในด้านอาชีพและส่วนตัว
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2694
Finance
บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้ชื่อย่อว่าอะไร
a. MALEE b. MELEE c. MALI d. MALEI
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ a. บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ใช้ชื่อย่อว่า MALEE ในการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธุรกิจของ MALEE คือ การเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลไม้กระป๋องกับน้ำผลไม้ โดยใช้ยี่ห้อว่า MALEE ที่มีการส่งออกไปยังต่างประเทศอีกด้วย กลุ่มสินค้าของ MALEE (ที่มา: SET Opp Day) โดยรายได้ของ MALEE ถูกแบ่งออกเป็น 4 ทาง 1) ยี่ห้อในประเทศ คือ สินค้ายี่ห้อ MALEE ที่ถูกผลิตและขายในประเทศไทย 2) ยี่ห้อส่งออก คือ สินค้ายี่ห้อ MALEE ที่ผลิตในประเทศแต่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ 3) Contract Manufacturing Domestic คือ สินค้า OEM ที่ MALEE รับจ้างผลิตให้คนอื่นซึ่งเป็นลูกค้าที่อยู่ในประเทศไทย 4) Contract Manufacturing Export คือ สินค้า OEM ที่ MALEE รับจ้างผลิตให้ลูกค้าซึ่งส่งออกไปยังต่างประเทศ รายได้ของ MALEE แบ่งเป็นสัดส่วน ในประเทศและส่งออก ดังนี้ 61% 64% 39% 36% รายได้ของ MALEE แบ่งเป็นสัดส่วนยี่ห้อตัวเองและ OEM ดังนี้ 45% 46% 55% 54% รายได้ของ MALEE สูงถึงห้าพันล้านเลยทีเดียว 5,512 331 6,579 530 5,988 286 หากดูรายได้รวม ก็ถือว่า MALEE โตมากในปี 2559 แต่รายได้ก็ลดลงมาในปี 2560 ที่ผ่านมา ยิ่งถ้าดูกำไรของ MALEE แล้ว จะเห็นว่ากำไรรูดลงหนักจากปี 2559 สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะในปี 2559 มีกระแสฮิตน้ำมะพร้าวกันทั่วโลก ถ้าเราสังเกตดูดี ๆ เมื่อปี 2559 ก็มีแต่น้ำมะพร้าวเข้ามาเล่นในตลาดน้ำผลไม้กันทั้งนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าความฮิตของน้ำมะพร้าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่เป็นกระแสไปทั่วโลก
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2695
Finance
จากประสบการณ์ของ Larry Hite กลยุทธ์การเทรดแบบ Trend Following เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
null
กลยุทธ์การเทรดแบบ Trend Following ของ Larry Hite เหมาะกับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้: 1. มีวินัยและอดทน: กลยุทธ์ Trend Following อาศัยเวลาในการพิสูจน์ผลลัพธ์ นักลงทุนต้องมีวินัยในการปฏิบัติตามระบบเทรดอย่างเคร่งครัด อดทนรอจังหวะที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจน ไม่ใจร้อนเข้าเทรดบ่อยๆ 2. เข้าใจและยอมรับความเสี่ยง: การเทรดทุกประเภทมีความเสี่ยง กลยุทธ์ Trend Following ก็เช่นกัน นักลงทุนต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ศึกษา backtest วิเคราะห์ผลลัพธ์ในอดีต วางแผนบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม 3. มีเงินทุนสำรองเพียงพอ: กลยุทธ์ Trend Following อาศัยเวลาในการพิสูจน์ผลลัพธ์ นักลงทุนต้องมีเงินทุนสำรองเพียงพอ รองรับการขาดทุนระยะสั้น มุ่งเน้นผลลัพธ์ระยะยาว 4. เข้าใจกลไกตลาดและพฤติกรรมราคา: กลยุทธ์ Trend Following อาศัยความเข้าใจกลไกตลาดและพฤติกรรมราคา นักลงทุนควรศึกษา วิเคราะห์ เรียนรู้รูปแบบราคา พฤติกรรมของนักลงทุนประเภทต่างๆ เพื่อเข้าใจสถานการณ์ตลาด 5. มีระบบเทรดที่ชัดเจน: กลยุทธ์ Trend Following มีระบบเทรดหลากหลาย นักลงทุนต้องเลือกระบบที่เหมาะกับตัวเอง เข้าใจหลักการและวิธีการใช้งาน ทดสอบ backtest วิเคราะห์ผลลัพธ์ ปรับแต่งให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด ตัวอย่างเพิ่มเติม: นักลงทุนที่มีกรอบเวลาลงทุนระยะยาว นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง นักลงทุนที่ต้องการใช้กลยุทธ์แบบ Passive อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Trend Following ไม่ได้เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท: นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น นักลงทุนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ นักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามตลาด สรุป: กลยุทธ์ Trend Following เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้อย่างชาญฉลาด นักลงทุนควรศึกษา วิเคราะห์ เข้าใจกลไกตลาด พัฒนาความรู้ ทักษะ และมีวินัยในการเทรด
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2696
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเรื่อง "สำรวจเบื้องหลัง ROE: เส้นทางสู่การเข้าใจและสร้างกำไรที่ยั่งยืน"
null
แคมเปญ: เจาะลึกเบื้องหลัง ROE ศึกษา ROE ไม่ใช่เพียงการมองเฉพาะด้านผลตอบแทนเท่านั้น! โอกาสของการลงทุนไม่มาพร้อมกับคำตอบที่ชัดเจนเสมอไป การทำให้เข้าใจเบื้องหลังของ ROE (Return on Equity) จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ทีมวิจัยของเราได้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของ ROE ให้คุณได้รับข้อมูลที่มีคุณค่า เพื่อให้คุณตัดสินใจการลงทุนอย่างมั่นใจ สิ่งที่ทุกคนจะได้รับจากแคมเปญนี้ 1. เข้าใจ ROE อย่างลึกซึ้ง:เราระบุสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของ ROE ไม่ใช่เพียงผลตอบแทนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการทรัพยากรและกำไรของบริษัท 2. วิเคราะห์ทรัพยากรและกำไร: เราจะสามารถช่วยให้คุณเข้าใจการใช้ทรัพยากรและกำไรอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่ม ROE ของธุรกิจของคุณ 3. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของ ROE: เราจะทำการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของ ROE และสร้างแผนการทำงานที่เหมาะสมเพื่อให้คุณมีความเข้าใจและสามารถปรับปรุงได้อย่างมั่นใจ เมื่อคุณเข้าร่วมแคมเปญ "เจาะลึกเบื้องหลัง ROE", จะได้รับความรู้ที่จำเป็นในการตัดสินใจลงทุนอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เราพร้อมจะเป็นพันธมิตรในการสร้างโอกาสการลงทุนที่ยั่งยืนและมั่นคง ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมวันนี้! แคมเปญ "เจาะลึกเบื้องหลัง ROE" เน้นการให้ความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับ ROE (Return on Equity) โดยไม่จำกัดเพียงผลตอบแทนเท่านั้น แต่ยังเน้นไปที่การจัดการทรัพยากรและกำไรของธุรกิจ โดยมุ่งเน้นที่การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของ ROE เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าใจและปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนของตนอย่างมั่นใจ และเน้นให้เห็นความสำคัญของการมีข้อมูลที่มีค่าเพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น โดยเชื่อมโยงการลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนความสนใจในแคมเปญนี้ โดยรวมแล้วเน้นการให้ความรู้และความเข้าใจเพื่อการตัดสินใจที่มั่นคงในการลงทุนในอนาคต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2698
Finance
ข้อใดเป็นวิธีการใช้จ่ายและการออมเงิน ให้ได้เงินเก็บแสนแรกตอนอายุ 20 ปี
a. จดรายรับ-รายจ่าย b. ซื้อน้ำเปล่า c. นำเงินไปเที่ยว d. เพิ่มค่าใช้จ่ายหลัก e. ไม่ซื้อของขวัญให้ตัวเอง
ตอบข้อ a. เพราะว่า การจดรายรับ-รายจ่าย เป็นวิธีการใช้จ่ายและการออมเงิน ให้ได้เงินเก็บแสนแรกตอนอายุ 20 ปี ส่วนข้ออื่นๆ กล่าวไม่ถูกต้อง วิธีการใช้จ่ายและการออมเงิน ให้ได้เงินเก็บแสนแรกตอนอายุ 20 ปี จากการใชเงินไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท 1. จดรายรับ-รายจ่าย จดมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมฯ ตอนนี้พอมีสมาร์ตโฟนแล้วสะดวกขึ้นมาก เนื่องจากในแอปฯ สามารถแยกประเภทรายรับ-รายจ่ายได้ ทำให้เห็นว่าในแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายหลักๆ อยู่ที่ส่วนไหน และจะลดค่าใช้จ่ายได้อย่างไรบ้าง 2. ลดค่าใช้จ่ายหลัก จากการจดรายรับรายจ่าย ทำให้เห็นชัดๆ เลยว่าค่าใช้จ่ายหลักกว่า 50% คือ ค่าอาหาร หนึ่งวันจะใช้ค่าอาหารไปราวๆ 150 บาท หนึ่งเดือนก็ 4,500 บาท จึงหาวิธีลดรายจ่ายโดยการซื้อข้าวและกับข้าวแยกกัน รวมถึงอุ่นอาหารทานในมื้อเช้าและมื้อเย็น ส่วนมื้อกลางวันยังทานที่โรงอาหารปกติ ทำให้ลดลงมาอยู่ที่ 3,000 บาทต่อเดือนได้ สุดท้ายวิธีที่ทำให้ประหยัดได้ที่สุดคือ ทำอาหารทานเอง ในเมื่อมีตู้เย็น มีไมโครเวฟแล้ว สามารถหุงข้าวและทำอาหารทานเองได้ นอกจากจะประหยัดลงไปได้อีกเท่าตัว ยังได้อาหารที่ถูกใจอีกด้วย ค่าใช้จ่ายรองลงมาคือ ค่าเดินทาง ค่าเดินทางไป-กลับมหาวิทยาลัย อยู่ที่ประมาณ 100 บาทต่อครั้ง โดยที่ต้องเดินทาง 3 ต่อ คือ ค่าวินมอเตอร์ไซค์ 30 บาท ค่ารถไฟฟ้า 34 บาท (ตอนนี้ 37 บาท) และค่ารถตู้ 30 บาท (ตอนนี้ 37 บาท) แถมยังค่อนข้างกลับบ้านบ่อยเพราะติดบ้าน แต่ที่ไม่ได้ซื้อบัตรรถไฟฟ้าเป็นเที่ยวเพราะไปกลับไม่ถึง 15 ครั้ง โดนค่าเดินทางไป 1,200 บาทต่อเดือน ตอนแรกลองลดจากรถไฟฟ้าเป็นรถเมล์ฟรี แต่รู้สึกว่าการอยู่บนรถเมล์ 2 ชั่วโมง กับเงินที่ประหยัดไปได้ 34 บาท ไม่คุ้มเท่าไหร่ จนสุดท้ายมาเจอรถไฟ ความโชคดีที่บ้านอยู่ในจุดที่สามารถกลับได้หลายทาง และมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก นั่งมาลงสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ก็มีรถเมล์ต่อกลับบ้านได้หลายสาย และใช้เวลาพอๆ กับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าและรถตู้ เพียงแค่ไม่มีแอร์ จาก 1,200 บาทเหลือแค่ไม่เกิน 50 บาทต่อเดือน 3. ไม่ซื้อน้ำเปล่า ที่บ้านมีเครื่องกรองน้ำ และเวลาไปเติมน้ำมัน เติมแก๊ส จะได้น้ำเปล่าฟรีมามาก ทั้งขวดเล็ก ขวดใหญ่ การพกขวดน้ำและนำไปเติมที่ตู้กดน้ำ ทำให้ประหยัดเงินหลักหลายสิบบาทต่อวันไปได้แบบง่ายๆ 4. ไม่เที่ยวเลย เพราะเวลาถึงวันหยุด จะอยากอยู่บ้านพักผ่อนมากกว่าออกไปเที่ยวข้างนอก จะไปก็ต่อเมื่อไปเที่ยวด้วยกันทั้งบ้านเท่านั้น และไม่ค่อยแต่งหน้า แต่งตัว ดังนั้นก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายจากการซื้อเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง 5. ซื้อของขวัญให้ตัวเองปีละหน ประหยัดเงินในเรื่องค่าใช้จ่ายทั่วไป แต่จะยอมเสียเงินในเรื่องของสุขภาพ และเคยเกิดอุบัติเหตุกล้ามเนื้อฉีกบริเวณขาข้างขวา ทำให้ไม่สามารถใส่รองเท้าพื้นแข็งเดินได้ เพราะจะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อส่วนที่ฉีกมาก ดังนั้นจึงซื้อรองเท้าที่มีการ support ที่ดี ปีเว้นปี สลับกับกระเป๋าเป้ เพราะแบกของหนัก ขาดไปหลายใบ ดังนั้นรองเท้ากับกระเป๋า จะเป็นของแค่สองสิ่งที่ยอมจ่ายเงินหลักพัน 6. การเก็บออม การเก็บเงินแสนแรกมาจากการออมปกติ โดยตอนแรก จะนำเงินที่เก็บมาได้ทั้งเทอมไปซื้อสลากออมสินและสลากธ.ก.ส. ตอนขึ้นปี 2 ได้รู้จักวิธีการออมก่อนใช้ จึงตัดเงินอัตโนมัติเข้าบัญชีเงินฝากประจำ เดือนละ 5,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาท เป็นการกันเงินเอาไว้ เผื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้เกิน 3,000 บาท หากมีเงินเหลือ จะนำเข้าไปที่บัญชีฝากออมทรัพย์
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_270
Finance
หุ้นกู้ คืออะไร
หุ้นกู้ คืออะไร ? 10 มิ.ย. 2022 [ประเด็นสำคัญ] หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง ที่มีผู้ออกคือบริษัทเอกชน โดยมีจุดประสงค์คือ ต้องการกู้ยืมเงิน จากผู้ที่มาซื้อหุ้นกู้ และจ่ายผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง โดยมีผู้ออกคือบริษัทเอกชน ซึ่งมีจุดประสงค์คือ นำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้นั้น ไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ลงทุนเพื่อขยายกิจการ, ซื้อเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงการผลิต หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การที่บริษัทออกหุ้นกู้ ก็คือการที่บริษัทต้องการ “ยืมเงิน” จากผู้ที่มาซื้อหุ้นกู้นั่นเอง โดยหลังจากที่เราซื้อหุ้นกู้แล้ว - เราจะมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” ของบริษัท - ส่วนบริษัทก็จะมีสถานะเป็น “ลูกหนี้” ของเรา และผลตอบแทนที่เราจะได้รับจากการที่ให้บริษัทยืมเงิน จะอยู่ในรูปของ ดอกเบี้ย ซึ่งจะแตกต่างจากหุ้นสามัญ ตรงที่ผู้ถือครองจะมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการตามสัดส่วนที่ถือ และได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลจากกิจการ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยที่เราได้รับจากหุ้นกู้ ก็จะขึ้นอยู่กับ 2 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน คือ 1. ระยะเวลาในการกู้ยืม ยิ่งระยะเวลาในการกู้ยืมมาก อัตราดอกเบี้ยก็จะยิ่งสูง เพราะฉะนั้น หุ้นกู้ระยะยาวก็จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า หุ้นกู้ระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกู้ที่มีกำหนดชำระภายใน 7 ปี ก็จะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า หุ้นกู้ที่มีกำหนดชำระภายใน 1 ปี 2. Credit Rating ของผู้ออกหุ้นกู้ โดยทั่วไปแล้วบริษัทที่มีเครดิตเรตติงสูง หมายถึง บริษัทมีความน่าเชื่อถือมาก มีโอกาสในการผิดนัดชำระน้อย อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้จะอยู่ในระดับต่ำ ในทางกลับกัน บริษัทที่มีเครดิตเรตติงที่ต่ำ ก็จะหมายถึง บริษัทมีความน่าเชื่อถือน้อย โอกาสในการผิดนัดชำระก็จะมีมากกว่า ดังนั้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้ยอมแลกกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ก็จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ให้สูงตามไปด้วย ซึ่งเครดิตเรตติง ก็จะไล่ไปตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำสุด ซึ่งก็คือ AAA ไปจนถึงความเสี่ยงสูงสุด ซึ่งก็คือระดับ D หรือระดับที่บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ย เช่น ประเภทของหุ้นกู้ที่ออกว่ามีข้อกำหนดสิทธิพิเศษ (Option) เพิ่มเติม หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือไม่ ถึงตรงนี้ ก็พอสรุปได้ว่า “หุ้นกู้” คือตราสารที่ออกโดยบริษัทเอกชน โดยมีจุดประสงค์ในการกู้ยืมเงิน ส่วนผลตอบแทนที่เราจะได้รับจากการให้ยืมเงินก็คือ ดอกเบี้ย นั่นเอง..
หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง ที่มีผู้ออกคือบริษัทเอกชน โดยมีจุดประสงค์คือ ต้องการกู้ยืมเงิน จากผู้ที่มาซื้อหุ้นกู้ และจ่ายผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง โดยมีผู้ออกคือบริษัทเอกชน ซึ่งมีจุดประสงค์คือ นำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้นั้น ไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ลงทุนเพื่อขยายกิจการ, ซื้อเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงการผลิต หรือถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การที่บริษัทออกหุ้นกู้ ก็คือการที่บริษัทต้องการ “ยืมเงิน” จากผู้ที่มาซื้อหุ้นกู้นั่นเอง โดยหลังจากที่ซื้อหุ้นกู้แล้ว - จะมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” ของบริษัท - ส่วนบริษัทก็จะมีสถานะเป็น “ลูกหนี้” ของตนเอง และผลตอบแทนที่จะได้รับจากการที่ให้บริษัทยืมเงินจะอยู่ในรูปของ ดอกเบี้ย ซึ่งจะแตกต่างจากหุ้นสามัญ ตรงที่ผู้ถือครองจะมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการตามสัดส่วนที่ถือและได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลจากกิจการ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ก็จะขึ้นอยู่กับ 2 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน คือ 1. ระยะเวลาในการกู้ยืม ยิ่งระยะเวลาในการกู้ยืมมาก อัตราดอกเบี้ยก็จะยิ่งสูง เพราะฉะนั้น หุ้นกู้ระยะยาวก็จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า หุ้นกู้ระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกู้ที่มีกำหนดชำระภายใน 7 ปี ก็จะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า หุ้นกู้ที่มีกำหนดชำระภายใน 1 ปี 2. Credit Rating ของผู้ออกหุ้นกู้ โดยทั่วไปแล้วบริษัทที่มีเครดิตเรตติงสูง หมายถึง บริษัทมีความน่าเชื่อถือมาก มีโอกาสในการผิดนัดชำระน้อย อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้จะอยู่ในระดับต่ำ ในทางกลับกัน บริษัทที่มีเครดิตเรตติงที่ต่ำ ก็จะหมายถึง บริษัทมีความน่าเชื่อถือน้อย โอกาสในการผิดนัดชำระก็จะมีมากกว่า ดังนั้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้ยอมแลกกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ก็จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ให้สูงตามไปด้วย ซึ่งเครดิตเรตติง ก็จะไล่ไปตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำสุด ซึ่งก็คือ AAA ไปจนถึงความเสี่ยงสูงสุด ซึ่งก็คือระดับ D หรือระดับที่บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ย เช่น ประเภทของหุ้นกู้ที่ออกว่ามีข้อกำหนดสิทธิพิเศษ (Option) เพิ่มเติม หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือไม่ สรุปได้ว่า “หุ้นกู้” คือ ตราสารที่ออกโดยบริษัทเอกชน โดยมีจุดประสงค์ในการกู้ยืมเงิน ส่วนผลตอบแทนที่จะได้รับจากการให้ยืมเงินก็คือ ดอกเบี้ย นั่นเอง
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2700
Finance
ข้อใดกล่าวถึง Money Stone ได้ถูกต้อง
1. อย่าลืมที่จะรักษาความรักและความสัมพันธ์คนใกล้ตัวไว้ให้ดี 2. ยิ่งช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นมากเท่าไหร่ ชีวิตก็จะยิ่งมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น 3. ไม่จำเป็นต้องมีเงินล้นฟ้า แค่มีเงินมากพอที่จะหมดกังวลในชีวิตก็เพียงพอ 4. ควรหางานที่รักมันอย่างจริงๆ 5. การทำสิ่งใดแล้วเติมเต็มจิตวิญญาณหรือเติมเต็มความฝันมากที่สุด
คำตอบคือ 3. เนื่องจาก เพราะเป็นนิยามที่กล่าวถึงอัญมณีแห่งชีวิต Money Stone ส่วนข้ออื่น ๆ ไม่เกี่ยวข้อง Infinity Stone of Life (อัญมณีแห่งชีวิต) ทั้ง 6 เม็ด ประกอบด้วย 1. Mind Stone ในด้านของจิตใจ หรือด้านจิตวิญญาณ เป็นคำถามที่มีได้หลากหลายคำตอบมากๆ และคำตอบนั้นไม่มีถูก ไม่มีผิด โดยคำตอบจะขึ้นกับแต่ละบุคคล เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล เป็นการตอบคำถามภายในจิตใจส่วนลึกของตนเอง ว่าทำสิ่งใดแล้วเติมเต็มจิตวิญญาณหรือเติมเต็มความฝันของเรามากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่ทำแล้ว เติมเต็มจิตใจ และมีความสุขอย่างแท้จริง 2. Health Stone สุขภาพที่ดีไม่มีขายในเซเว่น หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ความไม่มีโรค คือ ลาภอันประเสริฐ” ซึ่งคนที่ไม่เคยเจ็บป่วยหนักอาจจะไม่เข้าใจ หรือบางคนแค่เจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น เป็นไข้ เป็นหวัด ท้องเสีย หรือมีโรคประจำตัวต่างๆ จะใช้ชีวิตปกติได้อย่างมีความสุขก็ทำได้ยากแล้ว ถ้าหากป่วยเป็นโรคร้ายแรง หรือป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายตลอดชีวิต การจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อย่างแน่นอน และทำให้สมดุลในชีวิตก็คงเสียไป หลายๆ คนคงยอมเสียเงินเท่าไหร่ก็ได้ แค่ให้ตัวเองกลับมาสุขภาพดีแข็งแรง ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ดังนั้น อย่าลืมที่จะรักษาสุขภาพให้ดีตั้งแต่แรก ออกกำลังการเป็นประจำสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดี และรักษาสุขภาพจิตใจตัวเองให้ดี จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง แถมยังเสียเงินอีกด้วย 3. Work Stone หลายๆ คนใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการทำงาน บางคนใช้ชีวิตในที่ทำงานมากกว่าที่บ้านซะอีก แล้ว ถ้าหากทำงานที่ตัวเราเองไม่ชอบไม่รักมันจริงๆ ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ชีวิตคงจะมีความทุกข์เป็นอย่างมาก หากต้องเป็นทุกข์กับการทำงานทุกๆ วัน ก็คงยากที่จะมีความสุขได้อย่างมั่นคง ดังนั้น ควรจะหางานที่รักมันอย่างจริงๆ มี Passion กับงาน ตอบโจทย์ชีวิต และที่สำคัญต้องเลี้ยงชีวิตได้อย่างมั่นคง 4. Money Stone “เงิน” เป็นเรื่องหลักๆ ในชีวิตที่นึกถึงและให้ความสำคัญอันดับต้นๆ ในชีวิต เพราะถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากๆ ต่อการดำรงชีวิต แต่เงินก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด หลายๆ คนทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาเงิน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่รักษาสมดุลให้ดีอาจส่งผลเสียต่อชีวิตในด้านอื่นๆ ตามมา ดังนั้น อย่าหักโหมทำงานมากจนเกินไปจนสูญเสียความสมดุลด้านต่างๆ ในชีวิต ไม่จำเป็นต้องมีเงินล้นฟ้า แต่แค่มีเงินมากพอที่จะหมดกังวลในชีวิตก็เพียงพอแล้ว และที่สำคัญ อย่าสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นเด็ดขาด แค่ไม่มีหนี้สิน (ที่ไม่ดี) ความกังวลทางการเงินก็หายไปมากแล้ว 5. Love Stone ความรักในที่นี้ หมายถึง ความรักทั้งในรูปแบบ ครอบครัว พ่อแม่ ลูก คนรัก เพื่อน หรือคนรอบๆ ตัว หลายคนเคยเจอกับคนที่อุทิศตัวเองให้กับงาน ทุ่มเททำงานเป็นอย่างมาก จนสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ตัว หรือสุขภาพเสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก จนกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว ดังนั้น อย่าลืมที่จะรักษาความรักและความสัมพันธ์คนใกล้ตัวไว้ให้ดีด้วย 6. Social Stone มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่รวมกันในสังคมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ชีวิตก็จะมีความสุขไปด้วย การที่ได้ช่วยเหลือสังคม หรือการช่วยให้ผู้อื่นได้มีชีวิตที่ดีขึ้น โดยใช้ความสามารถที่มี โดยที่ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน หรือบางคนที่สุขภาพแข็งแรงรู้วิธีดูแลสุขภาพ ก็อาจออกมาแบ่งปันเคล็ดลับหรือวิธีการรักษาและดูแลสุขภาพให้ดี หรือจะเป็นการนำสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว ไปบริจาคให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน เป็นต้น ซึ่งนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนมักจะชอบบอกว่า ยิ่งช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นได้มากเท่าไหร่ ชีวิตก็จะยิ่งมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น แล้วสุดท้ายเงินก็จะตามมาเอง
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2702
Finance
"การลงทุนที่ดี...ต้องใส่อะไรมากกว่าเงิน" 3 สิ่งที่นักลงทุนมักมองข้ามไปนอกเหนือจากเงินลงทุน คือ เวลา จิตใจ และโอกาส แต่ละสิ่งมีความสำคัญอย่างไรต่อการลงทุน และนักลงทุนควรมีวิธีจัดการกับ 3 สิ่งนี้อย่างไร
null
1. เวลา ความสำคัญ: เวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด การใช้เวลากับการลงทุนมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อด้านอื่นๆ ของชีวิต เช่น การทำงาน ความสัมพันธ์ สุขภาพ นักลงทุนควรใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ระยะเวลา และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ วิธีจัดการ: กำหนดเวลาสำหรับการลงทุนอย่างชัดเจน ศึกษาข้อมูลและเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม กระจายความเสี่ยง ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีช่วยในการวิเคราะห์ ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ 2. จิตใจ ความสำคัญ: การลงทุนมีความเสี่ยง การควบคุมอารมณ์ ความโลภ ความกลัว เป็นสิ่งที่สำคัญ นักลงทุนควรมีวินัย ใจเย็น และอดทน วิธีจัดการ: ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน กำหนดกลยุทธ์และแผนการลงทุนที่ชัดเจน ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ กระจายความเสี่ยง ไม่ลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น ควบคุมอารมณ์ หยุดพักเมื่อรู้สึกเครียด 3. โอกาส ความสำคัญ: การลงทุนเป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีในการบรรลุเป้าหมายทางการเงิน นักลงทุนควรพิจารณาทางเลือกอื่นๆ เช่น การเพิ่มรายได้ การลดค่าใช้จ่าย การพัฒนาตนเอง วิธีจัดการ: ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของตัวเอง กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน พิจารณาทางเลือกต่างๆ เลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอง สรุป การลงทุนที่ดี ไม่ได้หมายถึงการทุ่มเทเวลา เงิน และพลังงานทั้งหมดที่มี แต่หมายถึงการลงทุนอย่างชาญฉลาด โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ทั้งเงินทุน เวลา จิตใจ และโอกาส นักลงทุนควรมีวิธีจัดการกับ 3 สิ่งนี้อย่างเหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินและความสุขในชีวิต เพิ่มเติม นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับตลาดการเงิน นักลงทุนควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2703
Finance
เขียนเรื่องสั้นเรื่อง "Investing Infinity: การเดินทางของชัญญาในการค้นพบความร่ำรวยแห่งชีวิต"
null
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความสามารถและความหลากหลายของหลายๆ กลุ่มผู้ลงทุนที่มุ่งมั่นที่จะควบคุมการตลาดทั้งหมด เรามาพบกับ "Infinity Stones ทั้ง 6 แห่งโลกการลงทุน" ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัยของนักลงทุนคนหนึ่งที่มุ่งหน้าไปสู่การค้นพบความสามารถ ในสมัยหนึ่ง มีนักลงทุนชื่อว่าชัญญา ผู้มีความสามารถในการค้นหาโอกาสลงทุนอันล้ำค่ามากมาย แต่ความคุ้นเคยที่ได้รับในการค้นพบกลุ่มของ Infinity Stones ทั้ง 6 ที่เชื่อว่าจะมีความสำคัญต่อการลงทุนทั่วไป ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีคุณสมบัติพิเศษที่อยู่นอกเหนือจากความเข้าใจของมนุษย์ โดยมี Infinity Stones ทั้งหกเหล่านี้ประกอบไปด้วย Space Stone, Mind Stone, Reality Stone, Power Stone, Time Stone, และ Soul Stone แต่ละแห่งมีความสามารถในการควบคุมและเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในสิ่งต่างๆ ในโลกของการลงทุน ชัญญาได้เริ่มต้นการผจญภัยด้วยการต่อสู้กับความท้าทายของการหาทุกชิ้นของ Infinity Stones โดยเขาต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันกับนักลงทุนอื่นๆ ที่กำลังมองหา Stones เหล่านี้เช่นกัน เรื่องราวของชัญญาจึงเป็นการผจญภัยที่ตื่นเต้นผ่านภัยคับคั่งและความลับของโลกการลงทุน ในการค้นพบและควบคุม Stones ทั้งหกเหล่านี้ ชัญญาต้องใช้ความชาญฉลาดและความกล้าหาญที่มีอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กับอุปสรรคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อชัญญาได้ครอบครอง Infinity Stones ทั้งหกแห่งได้สำเร็จ จึงเข้าใจว่าความสำเร็จและความร่ำรวยที่แท้จริงอยู่ในความสามารถในการเสริมและสร้างสรรค์จากที่อยู่ในใจชัญญาเอง และว่าการค้นพบต่อยอดของเขาที่ไม่จำกัดในวิธีการคิดและการพยายามในการลงทุนที่สำคัญที่สุด นอกจากนี้ เรื่องราวยังสามารถเชื่อมโยงกับความสำคัญของการมีเป้าหมายและความฝันในชีวิต แม้ว่าการต่อสู้เพื่อเอาชนะในการลงทุนอาจทำให้เราพบความสำเร็จ แต่บางครั้งการเดินทางก็มีความสำคัญมากกว่าเพียงแค่ผลลัพธ์ที่ได้ อาจพบความร่ำรวยและความสำเร็จที่แท้จริงในการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2704
Finance
ข้อใดไม่ได้กล่าวถึงบทเรียนความผิดพลาดทางจิตใจในการลงทุน เกี่ยวกับความมั่นใจในตัวเองจนเกินขนาด
ก. เป็นธรรมชาติของนักลงทุน เมื่อมีความสำเร็จในอดีตซึ่งยิ่งก่อให้เกิดความมั่นใจที่มากจนเกินไป ข. ความมั่นใจมักนำไปสู่การลงทุนที่เสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ และขาดการจัดพอร์ตการลงทุน ค. กลงทุนมักคิดเข้าข้างตัวเองว่าสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย ง. สิ่งที่หวังก็ไม่เคยมาอีกเลย เพราะไม่ลืมอดีต
คำตอบที่ถูกต้องคือ ง. เพราะกล่าวถึงบทเรียนความผิดพลาดทางจิตใจในการลงทุน เกี่ยวกับการไม่ลืมอดีต หลายครั้งที่นักลงทุนไม่คว้าโอกาสทองตรงหน้ารอบแล้วรอบเล่า เพราะคำว่า “อดีต” ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หุ้นตัวหนึ่งที่เคยเห็นราคาที่ 10 บาท แต่ไม่คว้าไว้ มาเห็นอีกทีที่ 13 บาท ซึ่งรอนิ่งๆ ให้คว้ามัน แต่ก็ไม่คว้า รอว่าวันหนึ่งราคาจะลงมาที่เดิม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หวังก็ไม่เคยมาอีกเลย เพราะไม่ลืมอดีต ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวถึงกล่าวถึงบทเรียนความผิดพลาดทางจิตใจในการลงทุน เกี่ยวกับความมั่นใจในตัวเองจนเกินขนาด ความมั่นใจจนประเมินความรู้ของตัวเองจนสูงเกินไปนั้นมักเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ โดยพฤติกรรมนี้เป็นธรรมชาติของนักลงทุน และจะยิ่งมีมากขึ้นเมื่อนักลงทุนคนนั้นมีความสำเร็จในอดีตซึ่งยิ่งก่อให้เกิดความมั่นใจที่มากจนเกินไป สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมักคิดเข้าข้างตัวเองว่าสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อผสมรวมกับความสำเร็จในอดีตแล้วยิ่งไปกันใหญ่ มากกว่านั้นสิ่งนี้ส่งผลไปถึงการตัดสินใจซื้อขายที่บ่อยขึ้น ยิ่งมั่นใจยิ่งซื้อขายบ่อย โดยเฉพาะในช่วงตลาดกระทิง ยิ่งรีบตัดสินใจคว้าหุ้นแย่ๆ เข้าพอร์ต ผลตอบแทนรวมอาจไม่แตกต่างจากการซื้อขายน้อยๆ อีกทั้งยังเสียค่าคอมมิชชั่นไปอีก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่จำเป็นเลย ความมั่นใจนี้มักนำไปสู่การลงทุนที่เสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ และขาดการกระจายความเสี่ยงที่เรียกกันว่า “การจัดพอร์ตการลงทุน” ซึ่งสำคัญกว่าการซื้อขายบ่อยๆ มาก
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2705
Finance
สินค้าแบรนด์ไทยอะไรบ้าง ที่ชาวจีนนิยมซื้อ นอกจากทุเรียน
การปรับตัวของผู้ประกอบการ หลังการมาของอาลีบาบา ​ สองสัปดาห์ที่แล้ว (วันที่ 19 เม.ย.) นายแจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหาร อาลีบาบา กรุ๊ป ได้เดินทางมาประเทศไทย เพื่อลงนามความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการพัฒนาด้านการลงทุนและเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงมีการลงนามความร่วมมือด้านการลงทุนในการสร้างศูนย์ Smart Digital Hub ในพื้นที่ EEC ด้านการพัฒนาธุรกิจ SME และบุคลากรด้านดิจิทัล รวมถึงความร่วมมือด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ประเด็นคือ เรื่องนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนหลายอย่างในระยะยาวสำหรับเมืองไทยนะครับ เอาแค่สั้นๆ รมว.อุตสาหกรรม นายอุตตม สาวนายน ได้ชี้แจ้งว่า โครงการลงทุนสร้างศูนย์ Smart Digital Hub จะมีมูลค่า 11,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้แล้วเสร็จเปิดดำเนินการได้ในปีหน้า ซึ่งจะมีธุรกิจรายย่อยได้ประโยชน์ราว 30,000 รายในระยะแรก นอกจากนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับอาลีบาบา เพื่อสนับสนุนการขายผลผลิตทางการเกษตรของไทย ผ่านเว็บไซต์ Tmall.com ไปสู่ลูกค้าในจีนอีกด้วย พลังของ Tmall.com ได้แสดงให้กับชาวไทยประจักษ์แก่สายตาทันที หลังมีการประกาศลงนาม โดย Tmall.com ได้โปรโมททุเรียนหมอนทอง ผ่าน Platform ภายในเพียงแค่ 1 นาที ก็มีชาวจีนสั่งซื้อทุเรียนไปถึง 80,000 ลูก หรือกว่า 200,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านหยวน หรือ 478 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว ผู้ประกอบการในไทย เห็นสัญญาณ 60 วินาทีที่ Tmall.com แสดงให้เห็นครั้งนี้ ก็ชัดเจนว่า มันเปิดโอกาสอะไรอีกหลายๆ อย่างให้กับผู้ประกอบการในไทยทีเดียวนะครับ สินค้าแบรนด์ไทยอะไร ที่ชาวจีนนิยมซื้อ นอกจากทุเรียน ในเวลานี้? ที่เห็นก็มี ยกตัวอย่างเช่น นมอัดเม็ดสวนจิตรลดาที่ชาวจีนรู้กันในฐานะสินค้าพระกษัตริย์ไทย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ไม่มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว มีเท่าไหร่ก็ขายหมดยอดซื้อไม่เคยลดลงเลย โฟมล้างหน้าน้ำนมวัว Beauty Buffet ซึ่งไปดังที่เมืองจีนเป็นอย่างมากในกลุ่มหนุ่มสาว ยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุชาวจีน เห็นที่ไหนเรียกว่า กวาดซื้อเรียบที่นั่นเลย สินค้าหลายอย่างในไทย ซึ่งตัวบริษัทผู้ผลิตก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่แล้ว ได้เข้าไปรุกทำตลาดในจีนมาอย่างยาวนาน ไปกรุยทางให้ผู้ประกอบการในรุ่นปัจจุบันและรุ่นหลัง ได้ใช้โอกาสตรงนี้เข้าไปเสริมทัพเพื่อขายสินค้าให้ชาวจีนมาเพิ่มเติม ดังนั้น กลุ่มธุรกิจค้าปลีก จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นทันที ที่มีความร่วมมือกันเกิดขึ้นหลังจากนี้ ในฐานะของนักลงทุนในตลาดหุ้นคนหนึ่ง ก็ขอเอาใจช่วยผู้ประกอบการไทยให้ประสบความสำเร็จในการรุกตลาดจีน ที่เปิดกว้างมากขึ้นขนาดนี้นะครับ สำหรับสินค้าเกษตร หากพิจารณาไม่เพียงเฉพาะทุเรียน จะพบว่า เกษตรกรไทย คงต้องพัฒนาและใช้นวัตกรรมเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มผลผลิต และเพิ่มคุณภาพมากขึ้นไปอีกนะครับ เพราะอย่างกรณีขายทุเรียน 80,000 ลูกใน 1 นาที พอข่าวออกแบบนี้ปั๊บ ชาวสวนที่ปลูกผลไม้ชนิดอื่น อาจจะหันมาปลูกทุเรียนกันหมด และเร่งตัดทุเรียน ทำให้คุณภาพลดลง และไปกระทบกับชาวสวนในภาพรวม ปัญหาแบบนี้ การสร้างแบรนด์ที่ชัดเจนให้รู้ว่าสวนของเราคุณภาพดีกว่าสวนอื่นๆ ก็จะแก้ไขปัญหานี้ได้ หรือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตก็จะช่วยได้ก็เช่นกัน เช่น การนำ Internet of things (IoT) มาใช้ เพื่อควบคุมปริมาณน้ำ และรดน้ำให้ต้นไม้ในเวลาที่เหมาะสม , ติดตามสภาพหน้าดิน ความชื้น แร่ธาจุ และอุณหภูมิ ให้เหมาะสมกับพืชที่เกษตรกรปลูก ด้านอุตสาหกรรมหนัก อย่างที่เราทราบกันว่าไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จำนวนแรงงานในระบบจะลดลง ความหมายคือ แรงงานจะมีอำนาจการต่อรองกับผู้ประกอบการมากขึ้น ค่าจ้างแรงงานก็เริ่มขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เราไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตต้นทุนต่ำมาซักระยะเวลาหนึ่งแล้วนะครับ ผู้ประกอบการก็ต้องแข่งในแง่ของคุณภาพสินค้า หรือ ราคาขายที่ถูกกว่า ซึ่งแน่นอนว่า เทคโนโลยีช่วยเราได้เช่นกัน ด้านเทคโนโลยีที่เห็นว่าน่าจะทำให้ภาคการผลิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เห็นจะเป็นการนำหุ่นยนต์อุตสาหกรรมเข้ามาทดแทนแรงงานคน เพราะหุ่นยนต์สามารถควบคุมคุณภาพของงานบางชนิดได้ดีกว่า เหมาะกับงานที่มีลักษณะทำซ้ำๆ วนไปเรื่อยๆ หรืองานที่ต้องการความแม่นยำเป็นพิเศษ ถามว่า ถ้าไม่ปรับตัว จะเป็นอย่างไร? ต้องอย่าลืมว่า ไม่ใช่แค่เราที่ขายสินค้าให้คนจีนเพิ่มขึ้นนะครับ แต่ผู้ประกอบการชาวจีน ก็สามารถเข้าถึงลูกค้าชาวไทยได้มากขึ้นผ่าน Platform E-Commerce ทั้งหลายที่มีมา และจะมากขึ้นในอนาคต ดังนั้น คำตอบต่อคำถามที่ว่า ถ้าไม่ปรับตัว จะเป็นอย่างไร? คำตอบคือ ถ้าคุณไม่ทำให้สินค้าและบริการของตัวเองคุณภาพดีขึ้น หรือ ราคาถูกลง ในอนาคตจะมีผู้ประกอบการคนอื่นมาทำสิ่งนี้ให้กับลูกค้าของคุณแทน และเมื่อนั้น หากเราคิดจะปรับตัว ก็คงสายไปเสียแล้ว ไม่ต้องรอให้หุ่นยนต์มาแย่งงานเราหรอกครับ สินค้าจากจีนนี่ละ ที่จะมาแย่งลูกค้าเรา แล้วอาจทำให้เราว่างงานไปก่อน … ก็เป็นไปได้ ดังนั้น ปรับตัวครับ นอกจากจะอยู่รอดแล้ว ยังมีโอกาสพุ่งทะยานด้วย ขอเอาใจช่วยผู้ประกอบการไทยทุกคน ที่มา :
สินค้าแบรนด์ไทยที่ชาวจีนนิยมซื้อ นอกจากทุเรียน ได้แก่ - นมอัดเม็ดสวนจิตรลดาที่ชาวจีนรู้กันในฐานะสินค้าพระมหากษัตริย์ไทย (รัชกาลที่ 9) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ไม่มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว มีเท่าไหร่ก็ขายหมดยอดซื้อไม่เคยลดลงเลย - โฟมล้างหน้าน้ำนมวัว Beauty Buffet ซึ่งไปดังที่เมืองจีนเป็นอย่างมากในกลุ่มหนุ่มสาว - ยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุชาวจีน เห็นที่ไหนเรียกว่า กวาดซื้อเรียบที่นั่นเลย สินค้าหลายอย่างในไทย ซึ่งตัวบริษัทผู้ผลิตก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่แล้ว ได้เข้าไปรุกทำตลาดในจีนมาอย่างยาวนาน ไปกรุยทางให้ผู้ประกอบการในรุ่นปัจจุบันและรุ่นหลัง ได้ใช้โอกาสตรงนี้เข้าไปเสริมทัพเพื่อขายสินค้าให้ชาวจีนมาเพิ่มเติม ดังนั้น กลุ่มธุรกิจค้าปลีก จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นทันที ที่มีความร่วมมือกันเกิดขึ้นหลังจากนี้ ในฐานะของนักลงทุนในตลาดหุ้นคนหนึ่ง ก็ขอเอาใจช่วยผู้ประกอบการไทยให้ประสบความสำเร็จในการรุกตลาดจีน ที่เปิดกว้างมากขึ้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2707
Finance
ถ้าไม่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต ตั้งแต่ Level 1 (วิกฤตสภาพคล่องและหนี้สิน) จะต้องทำอย่างไร
1. ควรจะเพิ่มการเติบโตของเงิน 2. ควรจะวางแผนประกันให้ครอบคลุม 3. ควรจะวางแผนออมเงิน ลดหนี้สิน 4. ควรจะวางแผนลงทุน
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 3. เพราะว่า เพราะการทดสอบภาวะวิกฤต เป็นการทดสอบความอึด ความอดทน ความสามารถรับวิกฤตและความท้าทายในรูปแบบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ว่าจะสามารถรับไว้ได้ โดยไม่ล้มหรือเสียหายลงไปหรือไม่ มี 3 Level ได้แก่ Level 1 ทดสอบวิกฤตสภาพคล่องและหนี้สิน ถ้าเจ้านายเดินมาบอกว่า บริษัทต้องการลดคน และเป็นคนที่โชคดี โดนไล่ออกกะทันหัน โดยไม่ได้เงินชดเชย สามารถอยู่ได้อย่างน้อยกี่เดือนด้วยเงินสดที่มีอยู่ ถ้าในขณะนั้นก็ไม่มีเงินเดือน วิธีคิด จำนวนเดือน = สภาพคล่องที่มีอยู่ (เงินสด) / ค่าใช้จ่ายต่อเดือน ผ่าน ถ้าได้ จำนวนเดือน 6 เดือน หรือ ระยะเวลาที่จะหางานใหม่ได้ ถ้าเจ้าหนี้พวกบัตรเครดิต หรือ เจ้าหนี้ที่ผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี เรียกหนี้คืนทันที มีเงินสดที่จะจ่ายหนี้คืน เป็นกี่ % ของจำนวนเงินหนี้ที่เรียกคืน (เช่นมีเงินสด 8,000 บาท จาก หนี้ระยะสั้น 10,000 บาทก็คิดเป็น 80% ของจำนวนเงินหนี้) วิธีคิด % = สภาพคล่องที่มีอยู่ (เงินสด) / จำนวนหนี้ระยะสั้น ผ่าน ถ้าได้ขั้นต่ำ 100% ยิ่งมากยิ่งดี มีรายจ่ายผ่อนชำระเรื่องหนี้สินต่อเดือน เป็นกี่ % ของรายได้ต่อเดือน วิธีคิด % = รายจ่ายผ่อนหนี้สินต่อเดือน / รายได้ต่อเดือน ผ่าน ถ้าได้ %ผ่อนชำระต้องไม่เกิน 40-45% ของรายได้ต่อเดือน ยิ่งน้อยยิ่งดี Level 2 ทดสอบวิกฤตความเสี่ยง หากเกิดทุพพลภาพ ไม่สามารถทำงานต่อไปได้เนื่องจากอุบัติเหตุร้ายแรง หรือ เจ็บป่วยเรื้อรัง คิดว่าจะสามารถดำรงชีวิตไปตลอดได้หรือไม่ วิธีคิด รายได้สินทรัพย์การลงทุนต่อเดือน / ค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่อเดือน ผ่าน ต้องมากกว่า 1 หากมีโรคมะเร็ง คุณหมอบอกว่า ต้องทำคีโมด่วนมากๆ ต้องเตรียมเงินรักษามะเร็ง 5 ล้านบาท สามารถหาเงินสด หรือ ประกัน หรือแปลงสินทรัพย์ต่างๆ เป็นเงินสด เพื่อเป็นค่ารักษาได้หรือไม่ วิธีคิด (เงินสด + เงินประกัน + สินทรัพย์การลงทุนที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ไม่ยาก) >= ค่ารักษา ผ่าน ต้องมีอย่างน้อย 1.5 ล้านบาท หรือ ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย หากเสียชีวิตแบบกะทันหัน มีสินทรัพย์ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของครอบครัวและหนี้สินต่างๆ ที่มีอยู่ จะครอบคลุมได้กี่ปี วิธีคิด จำนวนปี = (เงินสด + เงินประกัน + สินทรัพย์การลงทุน – หนี้สินที่มีอยู่ ) / (ค่าใช้จ่ายครอบครัวต่อเดือน x 12) ผ่าน ถ้าได้อย่างน้อย 5 ปี (ไม่มีตัวเลขที่เป็น Standard ขึ้นกับแต่ละคน แต่ควรครอบคลุมถึงบุตรเรียนจบ) Level 3 ทดสอบอิสรภาพ ถ้าบริษัทอยากให้เกษียณล่วงหน้า เข้าโครงการ Early Retirement แต่ก็เบื่องานมากๆ จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ มีสินทรัพย์เพียงพอต่อการเกษียณอายุหรือไม่ วิธีคิด สินทรัพย์การลงทุนที่ควรมี = รายจ่ายต่อปีคิดเงินเฟ้อ ณ ปีที่เกษียณ x ( 80 – อายุที่จะเกษียณ) ผ่าน ถ้าสินทรัพย์การลงทุนที่มี > สินทรัพย์การลงทุนที่ควรมี ถ้าไม่ผ่านตั้งแต่ Level 1 วิกฤตสภาพคล่องและหนี้สิน >>> ควรจะวางแผนออมเงิน ลดหนี้สิน ถ้าผ่าน Level 1 วิกฤตสภาพคล่องและหนี้สิน แต่ไม่ผ่าน Level 2 วิกฤตความเสี่ยง >>> ควรจะวางแผน Risk Management หรือ วางแผนประกันให้ครอบคลุม ถ้าผ่าน Level 1 วิกฤตสภาพคล่องและหนี้สิน และ Level 2 วิกฤตความเสี่ยง แต่ไม่ผ่าน Level 3 ทดสอบ อิสรภาพ >>> ควรจะวางแผน Investment หรือ วางแผนลงทุน เพิ่มการเติบโตของเงิน ถ้าผ่าน Level 1 วิกฤตสภาพคล่องและหนี้สิน Level 2 วิกฤตความเสี่ยง และ ผ่าน Level 3 ทดสอบ อิสรภาพ >>> มีอิสรภาพทางการเงิน อย่างแท้จริง
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2708
Finance
เขียนเรื่องสั้นเรื่อง "เดินทางสู่ความรู้ กับการเตรียมตัวของเอมม่าในการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหาร"
null
ก่อนที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) มีเรื่องสำคัญหลายอย่างที่ควรรู้เพื่อให้การลงทุนของคุณเป็นไปได้ด้วยความรู้และความเข้าใจที่เพียงพอ ในเรื่องสั้นนี้จะเล่าเรื่องของนักลงทุนชาวเมืองหนึ่งที่ได้เรียนรู้บางสิ่งอย่างในวันที่หนึ่งที่ผ่านมา เอมม่า หญิงสาวมีความมุ่งมั่นที่ต้องการที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยความตั้งใจที่ดีและความกระตือรือร้นที่จะสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ แต่ก่อนที่เอมม่าจะเข้าไปในโลกของการลงทุน เอมม่ารู้ว่าต้องรู้จักทำความเข้าใจกับอุตสาหกรรมนี้ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป "ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของอาหารและสินค้าโภคภัณฑ์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด" เอมม่าคิดแบบนี้ เริ่มต้นด้วยการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการการผลิต การแจกจ่าย และความต้องการของตลาด และรู้จักกับแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต และวิเคราะห์เส้นทางการจัดจำหน่ายที่เป็นไปได้ เมื่อเอมม่าได้รับความเข้าใจในด้านทฤษฎีแล้ว เอมม่าต้องการที่จะเข้าไปดูแลสถานการณ์ในภาพรวมจริง ๆ ของตลาด ดังนั้นเอมม่าตัดสินใจที่จะเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานและฟาร์มต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร การเยี่ยมชมนี้ทำให้เธอเห็นภาพรวมของกระบวนการ และเข้าใจถึงความซับซ้อนและความยากลำบากในการผลิตสินค้าอาหาร นอกจากนี้ เอมม่ายังได้ทำการวิเคราะห์ตลาดโดยรอบ เอมม่าเรียนรู้เกี่ยวกับการแข่งขันในตลาด ความต้องการและการแนะนำของลูกค้า และแนวโน้มของตลาดในอนาคต เธอเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์เอกสารตลาดและศึกษาแบรนด์ต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมในตลาด เมื่อเอมม่ารู้ความซับซ้อนของอุตสาหกรรมและเห็นภาพรวมของตลาด และมีความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า เอมม่าตัดสินใจที่จะลงทุนในบริษัทที่ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและมีแบรนด์ที่เป็นที่นิยมในตลาด สิ่งที่เอมม่าเรียนรู้จากการศึกษาและการวิเคราะห์เหล่านี้ คือการรู้ว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องและการศึกษาที่ดี สามารถมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมั่นใจ
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2709
Finance
นักลงทุนควรใช้กฎ 72 ในการประมาณการผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กฎ 72 เป็นเครื่องมือที่ใช้ง่ายและสะดวก: กฎ 72 ช่วยให้นักลงทุนสามารถประมาณการผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน กฎ 72 ให้ภาพรวมคร่าวๆ ของผลตอบแทน: แม้ว่ากฎ 72 จะไม่ใช่สูตรที่แม่นยำ แต่สามารถให้นักลงทุนเห็นภาพรวมคร่าวๆ ของผลตอบแทนที่คาดหวังได้ ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสม กฎ 72 ช่วยให้นักลงทุนติดตามผลการลงทุน: นักลงทุนสามารถใช้กฎ 72 ติดตามผลการลงทุนของตัวเอง เปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่คาดหวัง ช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ กฎ 72 ช่วยสร้างแรงจูงใจ: กฎ 72 ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพความมั่งคั่งในอนาคต กระตุ้นให้นักลงทุนมีวินัยในการออมและลงทุน อย่างไรก็ตาม กฎ 72 มีข้อจำกัดบางประการ: กฎ 72 ไม่ได้คำนึงถึงเงินเฟ้อ: ผลตอบแทนที่คำนวณจากกฎ 72 เป็นผลตอบแทนแบบ Nominal โดยไม่ได้หักเงินเฟ้อ กฎ 72 ไม่ได้คำนึงถึงความผันผวนของตลาด: ผลตอบแทนที่คำนวณจากกฎ 72 เป็นเพียงผลตอบแทนเฉลี่ย ไม่ได้反映ความผันผวนของตลาด กฎ 72 ไม่ได้คำนึงถึงภาษี: ผลตอบแทนที่คำนวณจากกฎ 72 เป็นผลตอบแทนก่อนหักภาษี ดังนั้น นักลงทุนควรใช้กฎ 72 ควบคู่กับเครื่องมืออื่นๆ เช่น การวิเคราะห์ทางการเงิน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ตัวอย่างการใช้กฎ 72: นักลงทุนลงทุน 1 ล้านบาท คาดหวังผลตอบแทน 10% ต่อปี นักลงทุนใช้กฎ 72 หาร 72 / 10 = 7.2 ปี นักลงทุนคาดหวังว่าเงินลงทุนจะเพิ่มเป็น 2 ล้านบาทภายใน 7.2 ปี สรุป: กฎ 72 เป็นเครื่องมือที่ใช้ง่าย สะดวก ช่วยให้นักลงทุนประมาณการผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่กฎ 72 ก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การลงทุน ติดตามผลการลงทุน และสร้างแรงจูงใจในการออมและลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_271
Finance
คำถาม: นักลงทุนสามารถใช้วิธีการอะไร เพื่อวิเคราะห์ Credit Spread ของหุ้นกู้ ให้ลึกซึ้งและแม่นยำมากขึ้ นอกเหนือจากการเปรียบเทียบผลตอบแทนกับพันธบัตรรัฐบาล
null
นอกเหนือจากการเปรียบเทียบผลตอบแทนกับพันธบัตรรัฐบาล นักลงทุนสามารถใช้วิธีการเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ เพื่อวิเคราะห์ Credit Spread ของหุ้นกู้ให้ลึกซึ้งและแม่นยำมากขึ้น: 1. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท: - วิเคราะห์งบการเงินของบริษัท - ประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจ - วิเคราะห์กลยุทธ์และแผนงานของบริษัท - ศึกษาความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหาร 2. เปรียบเทียบ Credit Spread กับหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตเดียวกัน: - วิเคราะห์ว่า Credit Spread ของหุ้นกู้นั้น ๆ อยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ - พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อ Credit Spread เช่น อายุของหุ้นกู้ สภาพคล่องของตลาด 3. วิเคราะห์ความเสี่ยงของตลาด: - วิเคราะห์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย - ประเมินความเสี่ยงของเศรษฐกิจ - ศึกษาความเสี่ยงจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น สงคราม การเมือง 4. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์: - ใช้โมเดลการวิเคราะห์ Credit Spread - ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ความเสี่ยง - ศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท: - บริษัท A มีอัตราหนี้สินต่อทุนสูง - บริษัท A อยู่ในธุรกิจที่มีความผันผวนสูง - บริษัท A มีกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่ชัดเจน - ผู้บริหารบริษัท A มีประสบการณ์ยาวนาน ตัวอย่างการเปรียบเทียบ Credit Spread กับหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตเดียวกัน: - หุ้นกู้บริษัท A มี Credit Spread 0.8% - หุ้นกู้บริษัท B มี Credit Spread 1.0% - บริษัท A และ B อยู่ในธุรกิจเดียวกัน - หุ้นกู้บริษัท A และ B มีอายุคงเหลือเท่ากัน ตัวอย่างการวิเคราะห์ความเสี่ยงของตลาด: - อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น - เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยง - มีความตึงเครียดทางการเมืองในบางภูมิภาค ตัวอย่างการใช้เครื่องมือวิเคราะห์: - ใช้โมเดล Credit Spread Model - ใช้เครื่องมือ Value at Risk (VaR) - ศึกษาข้อมูลจาก Bloomberg, Reuters ข้อควรระวัง: - การวิเคราะห์ Credit Spread เป็นเพียงการคาดการณ์ - ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อ Credit Spread - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสรุป: การวิเคราะห์ Credit Spread อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2711
Finance
จงเขียนสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "การเรียนรู้เพื่อชีวิตที่มั่นคง: สอนลูกหลานใช้เงินอย่างฉลาด"
null
งานเสวนา "คุย Money x CBS" ตอน "สอนลูกหลานฉลาดใช้เงิน" เป็นงานที่น่าสนใจมาก เนื่องจากมีประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับการเรียนรู้การจัดการเงินในชีวิตประจำวันของเราและลูกหลานที่จะเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคต ในงานเสวนาครั้งนี้ ได้เห็นถึงความสำคัญของการสอนลูกหลานเรื่องการใช้เงินอย่างฉลาด โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากธนาคารสามารถให้คำแนะนำและแนวทางในการสอนลูกหลานใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ในเสวนานี้ ผู้เชี่ยวชาญได้เน้นข้อสรุปที่สำคัญที่สุดเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นไปที่เรื่องต่างๆ เช่น การออมเงิน การวางแผนการใช้จ่าย การลงทุน เป็นต้น และการเสนอแนะวิธีการทำให้เด็กเข้าใจและนำความรู้ไปใช้ในการเติบโตและเรียนรู้เรื่องการเงินอย่างเหมาะสมตามวัย นอกจากนี้ ยังได้เห็นถึงความสำคัญของการเริ่มต้นการศึกษาเกี่ยวกับการเงินตั้งแต่เด็กเล็กอย่างแรกเริ่ม และการสร้างนิสัยที่ดีในการจัดการเงินอย่างมีสติ สรุปงานเสวนานี้เป็นที่สำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการเงินเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้มีชีวิตที่เป็นระเบียบและมั่นคงในอนาคต และการสอนลูกหลานใช้เงินอย่างฉลาดมีผลกระทบต่อชีวิตอย่างมากในระยะยาว
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2712
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "แผนลวงโลกของ Madoff" ให้หน่อยค่ะ
Bernard Madoff (เบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์) คือหนึ่งในบุคคลที่ก่อเรื่องอื้อฉาวตบตาชาวโลกเป็นเวลากว่า 30 ปี Bernard Madoff (เบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์) คือหนึ่งในบุคคลที่ก่อเรื่องอื้อฉาวตบตาชาวโลกเป็นเวลากว่า 30 ปี เมดอฟฟ์คือพ่อมดการเงินแห่งตลาดหุ้นแนสแด็ก (Nasdaq) ครั้งหนึ่งเขาเคยมีบริษัทหลักทรัพย์เป็นของตัวเองที่ชื่อว่า Bernard L. Madoff Investment Securities, LLC. เมดอฟฟ์คือพ่อมดการเงินแห่งตลาดหุ้นแนสแด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยมีบริษัทหลักทรัพย์เป็นของตัวเองที่ชื่อว่า Bernard L. Madoff Investment Securities, LLC. เขาร่วมก่อตั้งและยังเป็นถึงอดีตประธานตลาดหุ้นแนสแด็ก สุดท้ายลงเอยด้วยการถูกตัดสินจำคุก 150 ปี ด้วยวัย 71 ปี จากคดีฉ้อโกงสุดฉาวในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา สร้างความเสียหายประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญ เขาร่วมก่อตั้งและยังเป็นถึงอดีตประธานตลาดหุ้นแนสแด็ก สุดท้ายลงเอยด้วยการถูกตัดสินจำคุก 150 ปี ด้วยวัย 71 ปี จากคดีฉ้อโกงสุดฉาวในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา สร้างความเสียหายประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญ Bernard Madoff ผู้นี้คือใคร? เรามาเริ่มกันด้วยความเป็นมาของอัจฉริยะจอมโฉดผู้นี้กันสักหน่อย เรามาเริ่มกันด้วยความเป็นมาของอัจฉริยะจอมโฉดผู้นี้กันสักหน่อย เมดอฟฟ์ถือกำเนิดในย่านควีนส์ กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อแม่ของเขาทำธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ แต่จากนั้นก็ถูก กลต. สั่งปิดจากการทุจริต ทำให้บ้านต้องถูกขายทอดตลาด ซึ่งตอนนั้นเองทำให้เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทซื้อขายหุ้นถูกๆ ท่ามกลางยุคเริ่มแรกของการใช้คอมพิวเตอร์ในการซื้อขายหุ้นแบบออนไลน์ เมดอฟฟ์ถือกำเนิดในย่านควีนส์ กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อแม่ของเขาทำธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ จากนั้นก็ถูก กลต. สั่งปิดจากการทุจริต ทำให้บ้านต้องถูกขายทอดตลาด ซึ่งตอนนั้นเองทำให้เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทซื้อขายหุ้นถูกๆ ท่ามกลางยุคเริ่มแรกของการใช้คอมพิวเตอร์ในการซื้อขายหุ้นแบบออนไลน์ เมดอฟฟ์ได้เป็นกลุ่มผู้พัฒนาการซื้อขายออนไลน์ จนในปี 1971 ได้ช่วยริเริ่มตลาดหุ้นแนสแด็ก (Nasdaq) และได้ก้าวขึ้นไปเป็นประธานตลาดหุ้นแนสแด็ก สร้างเสริมให้มีภาพลักษณ์ให้ดูดีและน่าเชื่อถือ เมดอฟฟ์ได้เป็นกลุ่มผู้พัฒนาการซื้อขายออนไลน์ จนในปี 1971 ได้ช่วยริเริ่มตลาดหุ้นแนสแด็ก ( Nasdaq) และได้ก้าวขึ้นไปเป็นประธานตลาดหุ้นแนสแด็ก สร้างเสริมให้มีภาพลักษณ์ให้ดูดีและน่าเชื่อถือ จากนั้นเรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นในปี 1987 เมื่อบริษัทย้ายเข้ามาตั้งออฟฟิศอยู่ในเกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ก และได้แยกแผนกเงินทุนเอกชนซึ่งเป็นธุรกิจที่ปรึกษาด้านการลงทุน เมดอฟฟ์จึงได้ใช้แผนการอันแยบยลที่ชื่อว่า Ponzi จากนั้นเรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นในปี 1987 เมื่อบริษัทย้ายเข้ามาตั้งออฟฟิศอยู่ในเกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ก และได้แยกแผนกเงินทุนเอกชนซึ่งเป็นธุรกิจที่ปรึกษาด้านการลงทุน เมดอฟฟ์จึงได้ใช้แผนการอันแยบยลที่ชื่อว่า เจ้า Ponzi นี้คืออะไร? ชื่อที่ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วยแน่ๆ เพราะนี่คือชื่อเจ้าของตำนานอันฉาวโฉ่ นั่นก็คือ ชาร์ล พอนซี (Charles Ponzi) ชื่อที่ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วยแน่ๆ เพราะนี่คือชื่อเจ้าของตำนานอันฉาวโฉ่ นั่นก็คือ ชาร์ล พอนซี (Charles Ponzi) ในปี 1920 หมอนี่ได้โกงเงินนักลงทุน 6 พันราย เป็นเงินราว 20 ล้านเหรียญ จุดชนวนการล้มละลายของธนาคาร 6 แห่ง ในปี 1920 หมอนี่ได้โกงเงินนักลงทุน 6 พันราย เป็นเงินราว 20 ล้านเหรียญ จุดชนวนการล้มละลายของธนาคาร 6 แห่ง แม้จะล่อนักลงทุนด้วยผลตอบแทนที่สูงลิ่ว แต่พอนซีกลับใช้สูตรยกกำลังง่ายๆ ในการหาเหยื่อ พูดง่ายๆ ก็คือ หากกล่อมให้คน 2 คนลงทุน 100 เหรียญ โดยรับประกันผลตอบแทนเป็นเท่าตัวในเดือนถัดไป เมื่อสิ้นสุดเดือนแรกจะต้องลวงนักลงทุนมาเพิ่มอีก 4 ราย เพื่อนำเงินไปคืน 2 คนแรก และทำไปเรื่อยๆ จำนวนนักลงทุนต้องยกกำลังไปทุกเดือน ในเดือนที่ 17 จะมีนักลงทุนราวๆ 250,000 คน แม้จะล่อนักลงทุนด้วยผลตอบแทนที่สูงลิ่ว แต่พอนซีกลับใช้สูตรยกกำลังง่ายๆ ในการหาเหยื่อ พูดง่ายๆ ก็คือ หากกล่อมให้คน 2 คนลงทุน 100 เหรียญ โดยรับประกันผลตอบแทนเป็นเท่าตัวในเดือนถัดไป เมื่อสิ้นสุดเดือนแรกจะต้องลวงนักลงทุนมาเพิ่มอีก 4 ราย เพื่อนำเงินไปคืน 2 คนแรก และทำไปเรื่อยๆ จำนวนนักลงทุนต้องยกกำลังไปทุกเดือน ในเดือนที่ 17 จะมีนักลงทุนราวๆ 250,000 คน พูดง่ายๆ นี่คือ แชร์ลูกโซ่ จึงทำให้พอนซีสามารถล่อเหยื่อด้วยผลตอบแทนที่สูงลิ่วได้ไงล่ะ พูดง่ายๆ นี่คือ แชร์ลูกโซ่ จึงทำให้พอนซีสามารถล่อเหยื่อด้วยผลตอบแทนที่สูงลิ่วได้ไงล่ะ กลับมาที่แผนของ Madoff เมดอฟฟ์มีชื่อเสียง ภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ หัวการค้า และอีโก้ในการทำแผนลวงที่โลกต้องจารึก เขาหลอกลูกค้าด้วยการการันตีผลตอบแทน และยังบอกอีกว่าเขามีสูตรทางคอมพิวเตอร์ที่จะการันตีผลตอบแทนไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร เมดอฟฟ์มีชื่อเสียง ภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ หัวการค้า และอีโก้ในการทำแผนลวงที่โลกต้องจารึก เขาหลอกลูกค้าด้วยการการันตีผลตอบแทน และยังบอกอีกว่าเขามีสูตรทางคอมพิวเตอร์ที่จะการันตีผลตอบแทนไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร Steven Spielberg, Kevin Bacon, Kyra Sedgwick และเหล่าดาราคนดังมากมายตกเป็นเหยื่อของเขาหมด แผนการหลอกลวงดำเนินไปกว่า 20 ปี เมดอฟฟ์ทำเงินได้หลายพันล้าน เขากินอยู่อย่างสบาย และเหล่าดาราคนดังมากมายตกเป็นเหยื่อของเขาหมด แผนการหลอกลวงดำเนินไปกว่า 20 ปี เมดอฟฟ์ทำเงินได้หลายพันล้าน เขา กินอยู่อย่างสบาย หนึ่งในเหยื่อของเขาคือ องค์กรที่ไม่หวังผลกำไร (มูลนิธิ) เพราะว่าองค์กรเหล่านี้มีเงินทุนให้แต่จะไม่ขอคืน หนึ่งในเหยื่อของเขาคือ องค์กรที่ไม่หวังผลกำไร (มูลนิธิ) เพราะว่าองค์กรเหล่านี้มีเงินทุนให้แต่จะไม่ขอคืน จุดจนของแผนลวงโลก ความเริ่มมาแตกในช่วงวิกฤตซัมไพรม์ปี 2008 เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ เงินที่เข้ามาก็น้อยลง ลูกค้าเข้ามาเพื่อขอเงินคืนจำนวน 7 พันล้านเหรียญ ความเริ่มมาแตกในช่วงวิกฤตซัมไพรม์ปี 2008 เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ เงินที่เข้ามาก็น้อยลง ลูกค้าเข้ามาเพื่อขอเงินคืนจำนวน 7 พันล้านเหรียญ …แล้วยังไงเนี่ย ก็มันไม่มีธุรกิจ ไม่มีการลงทุนจริงๆ จะหาเงินที่ไหนไปคืนได้? ประมาณช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม ปี 2008 เมดอฟฟ์เริ่มบอกกับพนักงานระดับอาวุโส ซึ่งก็คือลูกชายของเขาว่าธุรกิจทั้งหมดเป็นเรื่องต้มตุ๋น ที่ผ่านมาได้ดำเนินไปแบบแชร์ลูกโซ่ ประมาณช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม ปี 2008 เมดอฟฟ์เริ่มบอกกับพนักงานระดับอาวุโส ซึ่งก็คือลูกชายของเขาว่าธุรกิจทั้งหมดเป็นเรื่องต้มตุ๋น ที่ผ่านมาได้ดำเนินไปแบบแชร์ลูกโซ่ จนในวันที่ 10 ธันวาคม ปี 2008 ทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยและถูกจับกุม ไม่กี่วันหลังจากนั้นชื่อของเหยื่อก็ทยอยเปิดเผยออกมา มีทั้งเศรษฐี คนดัง และมูลนิธิ รวมไปถึงธนาคารและสถาบันการเงินอีกด้วย อาทิ กลุ่ม UBS ธนาคาร Union Bancaire Privée และธนาคาร Bénédict Hentsch ธนาคารเหล่านี้อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ Santander ของสเปน HSBC ของอังกฤษ และยังรวมไปถึง Royal Bank of Scotland จนในวันที่ 10 ธันวาคม ปี 2008 ทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยและถูกจับกุม ไม่กี่วันหลังจากนั้นชื่อของเหยื่อก็ทยอยเปิดเผยออกมา มีทั้งเศรษฐี คนดัง และมูลนิธิ รวมไปถึงธนาคารและสถาบันการเงินอีกด้วย อาทิ กลุ่ม UBS ธนาคาร Union Bancaire Privée และธนาคาร Bénédict Hentsch ธนาคารเหล่านี้อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ Santander ของสเปน HSBC ของอังกฤษ และยังรวมไปถึง Royal Bank of Scotland นอกจากนี้ยังมีกองทุนที่ได้รับความเสียหายอันเป็นกองทุนที่มีเมดอฟฟ์เป็นผู้จัดการกองทุน เช่น กองทุน Hedge Fund กองทุน Fairfield Sentry กองทุนบริหาร Fairfield Greenwich Group ของ Walter Noel หรือกองทุน Kingate Global Fund นอกจากนี้ ยังมีกองทุนที่ได้รับความเสียหายอันเป็นกองทุนที่มีเมดอฟฟ์เป็นผู้จัดการกองทุน เช่น กองทุน Hedge Fund กองทุน Fairfield Sentry กองทุนบริหาร Fairfield Greenwich Group ของ Walter Noel หรือกองทุน Kingate Global Fund สุดท้ายแผนการก็พังลง สร้างความเสียหายกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ ทำลายความฝันของนักลงทุนหลายคน ทำลายเงินเกษียณ และเงินบริจาค สุดท้ายแผนการก็พังลง สร้างความเสียหายกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ ทำลายความฝันของนักลงทุนหลายคน ทำลายเงินเกษียณ และเงินบริจาค ในวันที่ 12 มีนาคม ปี 2009 เบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์ ยอมรับสารภาพว่าได้ก่อคดีอันฉาวโฉ่ และถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกเป็นเวลา 150 ปี จบสิ้นการลวงโลกกว่า 30 ปี
Bernard Madoff เกิดที่ย่านควีนส์ กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อแม่ทำธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์แต่ถูก กลต. สั่งปิดจากการทุจริต ทำให้บ้านถูกขายทอดตลาด ทำให้เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทซื้อขายหุ้นถูกๆ ในปี 1971 ได้เริ่มตลาดหุ้นแนสแด็กและได้เป็นประธานตลาดหุ้น เพื่อสร้างเสริมให้มีภาพลักษณ์ให้ดูดีและน่าเชื่อถือ ในปี 1987 เรื่องราวของแผนลวงโลกเริ่มขึ้น มีการย้ายมาตั้งออฟฟิศในเกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ก และแยกแผนกเงินทุนเอกชนโดยได้ใช้แผนการอันแยบยลว่า Ponzi ซึ่งมีที่มาจากชาร์ล พอนซี ผู้ที่โกงเงินนักลงทุน 6 พันราย เป็นเงินราว 20 ล้านเหรียญ ทำให้ธนาคาร 6 แห่งล้มละลาย ในปี 1920 โดยพอนซีใช้สูตรยกกำลังในการหาเหยื่อ กล่อมให้คนลงทุน 100 เหรียญ โดยรับประกันผลตอบแทนเป็นเท่าตัวในเดือนถัดไป เมื่อสิ้นสุดเดือนแรกจะลวงนักลงทุนเพิ่มเพื่อนำเงินไปคืนและทำไปเรื่อยๆ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการแชร์ลูกโซ่ เมดอฟฟ์ใช้แผนในการหลอกลูกค้าด้วยการการันตีผลตอบแทน และมีสูตรทางคอมพิวเตอร์ที่จะการันตีผลตอบแทน เหล่าคนดังตกเป็นเหยื่อมากมาย หนึ่งในนั้นเป็นมูลนิธิ ในปี 2008 จุดจบของแผนลวงโลกนี้เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตซัมไพรม์ ทุกอย่างทยอยเปิดเผยออกมาและเมดอฟฟ์ถูกจับกุมในวันที่ 10 ธันวาคม 2008 ในปี 2009 ในวันที่ 12 มีนาคม 2009 เขาก็ยอมรับว่าได้ก่อคดีอันฉาวโฉ่ และถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกเป็นเวลา 150 ปี
ตลาดการเงิน,กฎหมายการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2713
Finance
จัดพอร์ตลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพียงพอจริงไหม?
null
นอกจากปัจจัยเรื่อง ความเสี่ยงที่ยอมรับได้แล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหรือไม่ มีอีก 3 ปัจจัยหลักที่นำมาพิจารณาในการจัดพอร์ตลงทุน 1. ความพร้อมในการรับความเสี่ยง หากมีสถานะการเงินดี หนี้สินน้อย สภาพคล่องเพียงพอสำหรับการดำเนินชีวิตในยามปกติ และ มีหน้าที่การงานรวมทั้งรายได้มั่นคงและเติบโตอย่างสม่ำเสมอ นับได้ว่ามีความพร้อมในการรับความเสี่ยงสูง สามารถที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นได้เยอะ เนื่องจากถ้าหุ้นขาดทุน หรือ ราคาปรับลดตัวลง จะไม่เดือดร้อนมาก ในทางกลับกัน ถ้ายังมีหนี้สินอยู่เยอะ เงินสดสภาพคล่องน้อย ก็นับว่ายังไม่มีความพร้อมในการรับความเสี่ยงสูง ถ้าลงทุนใน สินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นเยอะ อาจจะเดือนร้อนได้ถ้าหุ้นขาดทุน หรือ ราคาปรับลดตัวลง อาจจำเป็นต้องขายขาดทุนเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ และที่สำคัญ ต้องมีแผนปกป้องความเสี่ยงที่จะมามีผลกระทบเงิน เช่น การเจ็บป่วย ก็ควรจะมีแผนประกันสุขภาพ เพราะระหว่างที่ลงทุน ถ้าลงทุนพอร์ตความเสี่ยงสูง เกิดเจ็บป่วยต้องการใช้เงิน อาจจำเป็นต้องดึงเงินลงทุนมาใช้ ถ้าขณะนั้นราคาหุ้นลดลง อาจจำเป็นต้องขายขาดทุนเพื่อนำเงินมา ชำระค่ารักษาพยาบาล 2. เป้าหมายทางการเงิน เป้าหมายให้เงินลงทุนเติบโต เช่น การศึกษาบุตร หรือเกษียณอายุ ก็จัดพอร์ตแบบเสี่ยงสูงได้ แต่ถ้าเป้าหมายสร้างกระแสเงินสด เช่นเพื่อใช้หลังเกษียณ ก็จัดพอร์ตแบบเสี่ยงระดับกลาง หรือถ้าต้องการปกป้องเงิน ก็อาจจะจัดพอร์ตแบบเสี่ยงต่ำ 3. ระยะเวลาของเป้าหมาย หากระยะเวลาของเป้าหมายยาว เช่นการเกษียณอายุ อีก 20 ปี ก็สามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงเช่นหุ้น ได้สัดส่วนที่เยอะได้ แต่ถ้าระยะเวลาเป้าหมายสั้น เช่น เก็บเงินดาวน์บ้านอีก 2 ปี ก็ให้เก็บเงินไว้ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำให้เยอะ คือยิ่งระยะเวลาเป้าหมายยาว ก็ยิ่งสามารถจัดพอร์ตแบบเสี่ยงสูงได้ ตัวอย่างการนำไปประยุกต์ใช้งาน นาย ก อายุ 35 ปี ต้องการเกษียณอายุ 60 ปี รับความเสี่ยงได้ปานกลาง 1) ความพร้อมในการรับความเสี่ยง มีเงินสดมากกว่า 10 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน อัตราผ่อนหนี้สินต่างๆ อยู่ที่ 20% ของรายได้ต่อเดือน มีแผนประกันสำหรับสุขภาพ แสดงว่า มีความพร้อมในการรับความเสี่ยงได้ดี 2) ความสำคัญของเป้าหมายทางการเงิน เป็นเรื่องเกษียณ เน้นเรื่องเงินเติบโต 3) ระยะเวลาของเป้าหมาย เป้าหมายของนาย ก อีก 25 ปีจะต้องใช้เงิน เป็นเป้าหมายระยะยาวเกิน 10 ปี แม้ว่า นาย ก จะรับความเสี่ยงได้ปานกลาง แต่ นาย ก มีความพร้อมในการรับความเสี่ยงและระยะเวลาของเป้าหมาย “ยาว” เป็นเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายการเงินเน้นการเติบโต ดังนั้น นาย ก ย่อมสามารถจัดพอร์ตการลงทุนแบบเสี่ยงสูงได้ นาย ข อายุ 25 ปี ต้องการเก็บเงิน 500,000 บาท เป็นค่าดาวน์บ้านอีก 2 ปีข้างหน้า รับความเสี่ยงได้สูง 1) ความพร้อมในการรับความเสี่ยง มีเงินสดมากกว่า 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนอัตราผ่อนหนี้สินต่างๆ อยู่ที่ 10% ของรายได้ต่อเดือนมีแผนประกันสำหรับสุขภาพ แสดงว่า มีความพร้อมในการรับความเสี่ยงได้ดี 2) ความสำคัญของเป้าหมายทางการเงิน เน้นปกป้องเงินต้น 3) ระยะเวลาของเป้าหมาย เป้าหมายของนาย ข อีก 2 ปีจะต้องใช้เงิน เป็นเป้าหมายระยะ”สั้น” แม้ว่า นาย ข จะรับความเสี่ยงได้สูง และนอกจากนี้ นาย ข มีความพร้อมในการรับความเสี่ยงได้ แต่ความสำคัญของเป้าหมายสำคัญ แต่ระยะเวลาของเป้าหมาย “สั้น” และเป้าหมายเน้นเรื่องการปกป้องเงิน ดังนั้น นาย ข ควรจัดพอร์ตการลงทุนแบบเสี่ยงต่ำ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2715
Finance
จากกระแสความนิยมของละคร "บุพเพสันนิวาส" นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้าง ก่อนตัดสินใจลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับละครเรื่องนี้
null
ปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับละคร "บุพเพสันนิวาส" 1. กระแสความนิยม: กระแสความนิยมของละคร "บุพเพสันนิวาส" เป็นเพียงกระแสชั่วคราวหรือไม่ กระแสความนิยมจะส่งผลต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องระยะยาวหรือไม่ ธุรกิจสามารถต่อยอดกระแสความนิยมได้อย่างไร 2. ศักยภาพของธุรกิจ: ธุรกิจมีศักยภาพเติบโตในระยะยาวหรือไม่ ธุรกิจมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนและยั่งยืนหรือไม่ ธุรกิจมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์หรือไม่ 3. ความเสี่ยง: ธุรกิจมีความเสี่ยงอะไรบ้าง ธุรกิจสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้อย่างไร นักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน 4. มูลค่าการลงทุน: ราคาหุ้นของธุรกิจอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ นักลงทุนควรลงทุนในธุรกิจนี้เมื่อใด ตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับละคร "บุพเพสันนิวาส" ธุรกิจสื่อและบันเทิง ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจอาหาร คำแนะนำ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงของธุรกิจ นักลงทุนควรลงทุนอย่างมีสติ สรุป: กระแสความนิยมของละคร "บุพเพสันนิวาส" เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่ก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจอย่างละเอียด วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน พิจารณาความเสี่ยง และลงทุนอย่างมีสติ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2716
Finance
จงเขียนเรื่องสั้นเรื่อง"เลือกทางการลงทุน กับมุมมองที่กว้างขึ้นของชัญญา"
null
ใต้ท้องฟ้าของกรุงเทพมหานครที่คึกคักเต็มไปด้วยสีสันแห่งความเจริญ มีเรื่องราวเล็กๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมในวงกว้างของนักลงทุน นั่นก็คือการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรยากาศทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ลงทุนอยู่ ในเรื่องราวนี้ จะไปรู้จักกับ "ชัญญา" นักลงทุนที่มีหน้าตาธรรมดาและบุคลิกที่ไม่โดดเด่น แต่ความคิดและความสนใจก็ไม่ได้เรียกว่าธรรมดาเลยทีเดียว "ชัญญา"เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ทว่า "ชัญญา" ไม่ได้มองเฉพาะด้านผลตอบแทนของกองทุนหรือการซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับทางการเงินเท่านั้น ในแง่ของ "ชัญญา" การที่เอาใจใส่และเข้าใจถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบตัวเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ "ชัญญา" ตัดสินใจที่จะเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการอาคารอพาร์ทเม้นต์ใหม่ที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ที่ลงทุนอยู่ โครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นโอกาสทางการเงินที่ดี แต่ยังเป็นโอกาสที่ดีในการมองเห็นส่วนร่วมในการสร้างสังคม โครงการนี้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพสำหรับชุมชนในย่านที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ "ชัญญา" ถึงที่โครงการในช่วงบ่าย ๆ ที่แสงแดดเงามากๆ และเขาได้พบกับกลุ่มคนที่กำลังทำงานกับโครงการ ไม่แค่เพียงช่างและลูกจ้างก่อสร้าง แต่ยังมีกลุ่มคนที่ช่วยเหลือในการจัดทำสวนสาธารณะและพื้นที่เล่นของเด็กๆ นี่คือการสร้างสังคมในแง่มุมที่ต่างออกไปจากเรื่องการเงินและกำไรเพียงอย่างเดียว เมื่อ"ชัญญา" พบกับบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากโลกของการลงทุนเพียงอย่างเดียว "ชัญญา" ได้รับความรู้สึกที่อบอุ่นและรู้สึกเอื้อเฟื้อใจมากขึ้นกับการลงทุนของตนเอง ในสิ่งที่ "ชัญญา" เรียนรู้วันนั้น คือว่าการลงทุนไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่กับการทำกำไรและขาดทุน แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างสังคมและส่งเสริมความเป็นเลิศในทุกด้านของชีวิต ** เรื่องนี้นำเสนอให้คิดเรื่องการลงทุนในแง่มุมที่กว้างขึ้น ไม่เพียงแค่เรื่องผลตอบแทนทางการเงิน แต่ยังให้ความสำคัญกับผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย การมองเห็นการลงทุนในแง่นี้อาจช่วยให้เรามีมุมมองที่หลากหลายและรวดเร็วต่อการตัดสินใจในการลงทุน เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ที่สำคัญไม่เพียงแค่ต่อตนเอง แต่ยังต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่รอบตัวด้วย การเตรียมตัวก่อนการลงทุนอาจไม่เพียงพอถ้าหากเราไม่พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้นการมองเห็นและพิจารณาทั้งด้านการเงินและด้านสังคม-สิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจทางการลงทุนในอนาคต.
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2717
Finance
ข้อใดเป็นวิธีเตรียมแผนการเงินเพื่อจะได้อยู่รอดในยุคของ Sandwich Generation
A. จ่ายค่าการศึกษาของลูกจนเกินไป B. ไม่จัดการหนี้สิน C. เข้าไปช่วยวางแผนการเงินให้พ่อแม่ D. ไม่ต้องคิดถึงตัวเองตอนแก่
คำตอบที่ถูกต้องคือ C. เนื่องจาก เพราะการเข้าไปช่วยวางแผนการเงินให้พ่อแม่ เป็นวิธีเตรียมแผนการเงินเพื่อจะได้อยู่รอดในยุคของ Sandwich Generation ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง วิธีการเตรียมแผนการเงินเพื่อจะได้อยู่รอดในยุคของ Sandwich Generation 1. เข้าไปช่วยวางแผนการเงินให้พ่อแม่ ควรจะเข้าไปช่วยบริหารจัดการเงินของคุณพ่อแม่ ตั้งแต่ท่านยังไม่เกษียณ จะต้องช่วยท่านจัดการอะไรบ้าง - จัดการหนี้สิน เรื่องนี้ด่วนที่สุดเนื่องจากถ้ายังมีหนี้สินอยู่ นอกจากพ่อแม่ลำบาก จะทำให้ตัวเองลำบากด้วย - ค่ารักษาพยาบาลที่ต้องใช้หลังเกษียณ ค่าใช้จ่ายเรื่องนี้จะเยอะที่สุด มีแผนการจัดการค่ารักษาพยาบาลอย่างไร - จัดพอร์ตการลงทุนหลังเกษียณให้พ่อแม่แบ่งเงินให้เหมาะสมกับช่วงอายุหลังการเกษียณ 2. คิดถึงตัวเองตอนแก่ ดังนั้นจะต้องวางแผนการเงินเกษียณอายุของตัวเอง จะต้องลงทุนและมีแผนประกันสุขภาพก่อนและหลังเกษียณ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลสำคัญมาก เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่มากที่สุด 3. ไม่จ่ายค่าการศึกษาลูกจนเกินไป ให้แยกเงินเกษียณของตัวเองกับเงินเพื่อการศึกษาบุตร ออกกันให้อย่างชัดเจน ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า จะส่งลูกถึงระดับชั้นอะไร และเรียนแบบใด เอกชน หรือเป็น International เงินลงทุนจะต้องครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยเช่น ค่าเรียนพิเศษ
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2718
Finance
อะไรคือปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการประสบความสำเร็จในระยะยาวในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์?
null
ปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการประสบความสำเร็จในระยะยาวในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ ไม่ใช่ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือการลงทุน แต่เป็น Mindset หรือระบบความคิด ของนักลงทุนเอง เหตุผล - ความรู้ เกี่ยวกับเครื่องมือการลงทุน เช่น ปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยเทคนิค ช่วยให้นักลงทุนมี "ข้อได้เปรียบ" ในการวิเคราะห์ตลาดและตัดสินใจลงทุน Mindset ควบคุมอารมณ์ ของนักลงทุน ช่วยให้นักลงทุน "ทำตามระบบ" และ "รักษาความสม่ำเสมอ" ตัวอย่าง Mindset ที่สำคัญสำหรับนักลงทุน: - เข้าใจธรรมชาติของตลาด: ตลาดมี "ความผันผวน" นักลงทุนต้อง "ยอมรับ" ความเสี่ยง - มีวินัย: ทำตาม "ระบบการเทรด" ที่วางไว้ "ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์" - ควบคุมความเสี่ยง: "บริหารเงินทุน" อย่างเหมาะสม "ไม่เสี่ยงมากเกินไป" - อดทน: การลงทุนต้องใช้ "เวลา" ผลตอบแทนระยะยาว "คุ้มค่า" กับการรอคอย ข้อแนะนำเพิ่มเติม : - เรียนรู้ "เข้าใจตัวคุณเอง" ก่อนลงทุน "จุดแข็ง" "จุดอ่อน" "อารมณ์" ฝึกฝน "ควบคุมอารมณ์" "มีวินัย" "รักษาความสม่ำเสมอ" - เริ่มต้น ลงทุนด้วย "เงินจำนวนน้อย" "เรียนรู้" "พัฒนา" "ค่อยๆ เติบโต" สรุป: Mindset สำคัญกว่า "ความรู้" สำหรับการประสบความสำเร็จในระยะยาว นักลงทุนควร "เรียนรู้" "ฝึกฝน" พัฒนา "Mindset" ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการ "ศึกษา" ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือการลงทุน
ตลาดการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2720
Finance
รายได้ผ่านช่องทางการเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายของ KOOL ปี 2560 เท่ากับเท่าไหร่
A. 32.3% B. 11.7% C. 36.4% D. 19.6% E. 38.8%
ข้อที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก เพราะในปี 2560 รายได้ผ่านช่องทางการเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายของ KOOL เท่ากับ 11.7% รายได้ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของ KOOL ปี 2560 มีดังนี้ -การขายตรง 36.4% -Modern Trade 32.3% -ส่งออก 19.6% -ตัวแทน 11.7% รายได้ของ KOOL ที่ผ่านมา เป็นดังนี้ -ปี 2558 รายได้ 641 ล้านบาท กำไร +8 ล้านบาท -ปี 2559 รายได้ 890 ล้านบาท (เติบโต 38.8%) กำไร +87 ล้านบาท (เติบโต 988%) -ปี 2560 รายได้ 553 ล้านบาท (ลดลง 60.9%) กำไร -84 ล้านบาท รายได้และกำไรของ KOOL ตกลงอย่างหนักในปี 2560 เพราะ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) การแข่งขันที่รุนแรง เพราะคู่แข่งเข้าไปขอให้โรงงานผลิตแล้วใส่แบรนด์ตัวเองได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ KOOL ทำอยู่ แต่พอคู่แข่งทำสงครามราคา KOOL ก็ต้องลงไปแข่งด้วย 2) อากาศที่ไม่เป็นใจ เพราะปีที่แล้วอากาศไม่ได้ร้อนมาก และมีฝนตก 3) ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นมาก เพราะขายแข่งที่ราคา ค่าใช้จ่ายเข้าช่องทาง Modern Trade เยอะมาก แต่ยอดขายไม่ได้มาอย่างที่คิด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2721
Finance
ในไตรมาส 2 ของทุกปี ธุรกิจอะไรที่ได้ประโยชน์
1. ธุรกิจค้าปลีก 2. กลุ่มสื่อ 3. โรงพยาบาล 4. การท่องเที่ยว 5. กลุ่มเครื่องดื่ม
ข้อที่ถูกต้องคือ 5. เพราะว่า เพราะธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่ม ที่ได้ประโยชน์ในไตรมาส 2 ของทุกปี เนื่องจากเป็นไตรมาสที่มีสภาพอากาศที่ร้อน ไตรมาสไหน กำไรของหุ้นอะไรจะมาบ้าง? ไตรมาส 1 : ช่วงเวลาของการจับจ่ายใช้สอย ไตรมาส 1 ถือเป็นช่วงพีคของภาคบริโภคภายในประเทศ เพราะเป็นช่วงที่คนใช้จ่ายกันเยอะต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี ทั้งโบนัสจากปีที่แล้วที่เพิ่งได้มา รวมไปถึงเทศกาลตรุษจีนที่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมาก ธุรกิจที่ได้ประโยชน์คือ ธุรกิจค้าปลีก เช่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ร้านขายส่ง ร้านอาหาร ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค การท่องเที่ยวก็ถือว่าเป็นช่วงที่โดดเด่น เพราะมีวันหยุดเยอะต่อเนื่องมาจากปลายปี แถมมีวันตรุษจีนที่คนจีนจะออกมาท่องเที่ยวเป็นพิเศษ หุ้นที่ได้รับประโยชน์ก็คือกลุ่มท่องเที่ยว ตั้งแต่ท่าอากาศยาน สายการบิน โรงแรม เป็นต้น ไตรมาส 2 : กลับบ้านสงกรานต์กันเถอะ ไตรมาส 2 ถือเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวและกระทบกับภาคการผลิตโดยตรง เพราะปรกติพนักงานโรงงานมักจะกลับบ้านในช่วงสงกรานต์ยาวกว่าปีใหม่เสมอ ทำให้โรงงานส่วนใหญ่ปิดไลน์การผลิต ผลิตสินค้าได้น้อยจนเป็นช่วงโลวของปี ธุรกิจอะไรก็ตามที่อิงกับวันทำงานเยอะๆ รายได้จะน้อยในไตรมาสนี้ นขณะที่จุดเด่นของไตรมาสนี้คืออากาศที่ร้อน ส่งผลให้หุ้นที่ช่วยดับร้อนมักจะมีผลประกอบการที่ดีในไตรมาสนี้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มเครื่องดื่ม ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องทำความเย็น รวมไปถึงร้านสะดวกซื้อที่ขายเครื่องดื่มด้วย ไตรมาส 3 : เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย จุดเด่นของไตรมาส 3 คือฤดูฝนและอากาศที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น ธุรกิจที่ได้ประโยชน์คือโรงพยาบาลที่จะมีรายได้จากการที่ผู้ที่ป่วยจากฤดูฝนจะเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ยิ่งปีไหนมีโรคระบาด หรืออากาศย่ำแย่มากๆ กำไรของโรงพยาบาลก็จะดีเป็นพิเศษ ธุรกิจที่แย่คือพวกรับเหมาก่อสร้าง เพราะฝนที่ตกมากทำให้วันทำงานลดลงและทำงานกลางแจ้งไม่ได้มาก รับเหมาส่วนมากจึงหันไปทำงานในร่มแทน ทำให้ธุรกิจรับเหมาตกแต่งหรือวางโครงสร้างระบบมีงานทำและรายได้เติบโตได้ดี ไตรมาส 4 : Thanks God It’s New Year! ความสำคัญของไตรมาส 4 คือเป็นช่วงเวลาเข้าสู่ปีใหม่ บรรยากาศการบริโภคภายในประเทศจะคึกคักมาก เพราะผู้คนรู้สึกถึงการเฉลิมฉลองและอยากใช้เงิน การท่องเที่ยวก็เติบโตดีเพราะอากาศหนาวเหมาะแก่การเที่ยวและวันหยุดก็เยอะ แถมคนจำนวนมากยังเร่งใช้วันลาให้หมดก่อนครบปีปฎิทินอีกด้วย ธุรกิจที่ได้ประโยชน์จึงเป็นกลุ่มบริโภคภายในประเทศและกลุ่มท่องเที่ยวคล้ายกับไตรมาส 1 กลุ่มสื่อก็เป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์ในไตรมาสนี้ เพราะส่วนใหญ่กิจกรรมต่างการตลาดหรือแคมเปญการตลาดจะมาอัดอยู่ในไตรมาสนี้เยอะ เพราะผู้คนนิยมจับจ่ายใช้สอย รวมไปถึงจะเร่งปิดงบปีด้วย
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2722
Finance
นักลงทุนควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการรับมือกับความผันผวนของตลาดที่เกิดขึ้นจากเกม "Trade War Dilemma"?
null
1. เข้าใจธรรมชาติของเกม "Trade War Dilemma": สหรัฐฯ ต้องการผลประโยชน์สูงสุด (upmost priority) จีนต้องการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ (main priority) กลยุทธ์ "ขึ้นภาษี" ของทั้งสองฝ่าย ส่งผลเสียต่อทั้งคู่ (lose-lose situation) ทางออกที่ดีที่สุดคือ "การเจรจา" หาจุดสมดุล (win-win situation) 2. วิเคราะห์ผลกระทบต่อตลาด: ตลาดหุ้น: ผันผวนสูง ตอบสนองต่อข่าวสารอย่างรุนแรง ตลาดค่าเงิน: เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า เงินหยวนอ่อนค่า สินค้าโภคภัณฑ์: ราคาสินค้าเกษตรและพลังงานผันผวน 3. กลยุทธ์การลงทุน: 3.1 กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลงทุนในต่างประเทศ ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ 3.2 ลงทุนระยะยาว: มองข้ามความผันผวนระยะสั้น เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เลือกบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง 3.3 เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้าย: ตั้งสำรองเงินฉุกเฉิน มีแผนสำรองสำหรับการลงทุน ศึกษาข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ 4. ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing): ซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง การลงทุนแบบเน้นการเติบโต (Growth Investing): ซื้อหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง การลงทุนแบบเน้นปันผล (Dividend Investing): ซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลสูง "Trade War Dilemma" ส่งผลต่อตลาดการเงินอย่างมาก นักลงทุนควรมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับความผันผวน กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้าย ศึกษาข้อมูลข่าวสาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นอกจากกลยุทธ์ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ได้ เช่น: การใช้กลยุทธ์ Option: ใช้ Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือเก็งกำไรจากความผันผวน การใช้กลยุทธ์ Hedging: ใช้กลยุทธ์ Hedging เพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคา การใช้กลยุทธ์ Technical Analysis: ใช้ Technical Analysis เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของราคา นักลงทุนควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2723
Finance
อัตราส่วน Current Ratio 2 เท่า และ Quick Ratio 1.5 เท่า บ่งบอกถึงสภาพคล่องที่ดีของบริษัทหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: Current Ratio: อัตราส่วน Current Ratio 2 เท่า หมายความว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน 2 เท่าของหนี้สินหมุนเวียน ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้ระยะสั้นได้ดี โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วน Current Ratio ที่มากกว่า 1 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย Quick Ratio: อัตราส่วน Quick Ratio 1.5 เท่า หมายความว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ 1.5 เท่าของหนี้สินหมุนเวียน ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพคล่องที่สูงกว่า Current Ratio ความสัมพันธ์ระหว่าง Current Ratio และ Quick Ratio: Quick Ratio เป็นตัววัดสภาพคล่องที่เข้มงวดกว่า Current Ratio เพราะ Quick Ratio ไม่รวมสินค้าคงคลัง ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ยากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนประเภทอื่น สรุป: อัตราส่วน Current Ratio 2 เท่า และ Quick Ratio 1.5 เท่า บ่งบอกถึงสภาพคล่องที่ดีของบริษัท Quick Ratio เป็นตัววัดสภาพคล่องที่เข้มงวดกว่า Current Ratio บริษัทที่มี Current Ratio และ Quick Ratio สูง มีโอกาสน้อยที่จะผิดนัดชำระหนี้ ข้อควรระวัง: อัตราส่วน Current Ratio และ Quick Ratio ไม่ได้เป็นตัววัดสภาพคล่องเพียงตัวเดียวที่ควรพิจารณา นักลงทุนควรวิเคราะห์ปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ประเภทของธุรกิจ โครงสร้างหนี้ และสภาพเศรษฐกิจ การเปรียบเทียบอัตราส่วน Current Ratio และ Quick Ratio ของบริษัทกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกัน จะช่วยให้นักลงทุนได้มุมมองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่าง: บริษัท A มีสินทรัพย์หมุนเวียน 100 ล้านบาท และหนี้สินหมุนเวียน 50 ล้านบาท Current Ratio: 100 / 50 = 2 Quick Ratio: (100 - 20) / 50 = 1.6 จากตัวอย่างข้างต้น บริษัท A มี Current Ratio 2 เท่า และ Quick Ratio 1.6 เท่า ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพคล่องที่ดี
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2724
Finance
ข้อใดไม่ใช่วิธีการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าหุ้น
A. อัตราผลตอบแทนเงินปันผล B. อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (P/E) C. อัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B) D. การพิจารณาว่าธุรกิจนั้น ๆ กำลังอยู่ฝั่งใด E. มูลค่ากิจการจากการทดแทน (Replacement Approach)
คำตอบคือ D. เพราะเป็นวิธีการแยกธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หลายธุรกิจปรับตัวไม่ทัน และเสียโอกาสไปมาก บางรายถึงขั้นต้องปิดกิจการ ทั้ง ๆ ที่ในอดีต ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่งคง และเป็นกิจการที่เติบโตดี ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็สร้างโอกาสใหม่ ๆ และธุรกิจใหม่ขึ้นมาอีกมากมาย ถ้ายังไม่แน่ใจ หรือยังแยกธุรกิจได้ไม่ชัดเจนว่าธุรกิจใดอยู่ฝั่งพระอาทิตย์ขึ้นหรือฝั่งพระอาทิตย์ตก อาจจะใช้เกณฑ์การพิจารณาธุรกิจที่มีความได้เปรียบในอุตสาหกรรม หรือมีความได้เปรียบในมิติอื่น ๆ ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าหุ้น ซึ่งมีอยู่มากมายหลายวิธี โดยทั่วไปแล้ววิธีที่เป็นที่นิยมในการใช้ ได้แก่ ส่วนลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow), อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (P/E), อัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B) มูลค่ากิจการจากการทดแทน (Replacement Approach), และอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) โดยใช้ตัวเลขในอดีตและปัจจุบันมาคำนวณ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมแต่ละตัวมีโครงสร้างและรูปแบบธุรกิจแตกต่างกัน จึงควรแยกแยะและคัดกรองไปทีละอุตสาหกรรม
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2726
Finance
นอกจากปันผลที่สูง หุ้นปันผลที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร
a. ไม่ต้องดูความแข็งแกร่งของธุรกิจ b. ซื้อหุ้นปันผลที่ปันผลเสร็จแล้วแยกทาง c. ดูอัตราการปันผลเทียบกับ Pay-Out Ratio เพียงอย่างเดียว d. ปันผลหุ้นที่สูงเกินจริง e. ต้องมองที่ปันผลที่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
คำตอบได้แก่ e. เนื่องจาก เพราะหุ้นปันผลที่ดี นอกจากปันผลอย่างต่อเนื่องและปันผลที่สูงแล้ว ควรปันผลมากขึ้นด้วย เพราะการปันผลที่มากขึ้นจะแสดงออกถึงสุขภาพทางการเงินและการดำเนินงานของบริษัทว่าหุ้น/บริษัทนี้ยังมีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เงินสดก็มีไม่ขาดมือเลยเอามาปันผลเพิ่มได้ทุกปี แบบนี้จะทำให้การถือหุ้นปันผลระยะยาวขมีความเสี่ยงลดลง เพราะกำลังลงทุนในหุ้นปันผลที่มีการเติบโต ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2727
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรให้เงินของเราเติบโตอย่างยั่งยืน?
null
จากบทความ "ค่า PE: เกณฑ์วัดราคาหุ้นที่เหมาะสม" นำเสนอแนวทางการลงทุนดังนี้ 1. ลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง: เลือกหุ้นที่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนเหนือคู่แข่ง เน้นหุ้นที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เลือกหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง หนี้สินน้อย 2. เลือกหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง: วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียด ศึกษางบการเงิน กลยุทธ์ธุรกิจ โอกาสการเติบโต ฯลฯ เลือกหุ้นที่มี Margin of Safety เพียงพอ 3. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นประเภทเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นหลากหลายประเภท เลือกหุ้นจากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม กระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของแต่ละกลุ่ม ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อกระจายเงินลงทุนไปยังหุ้นหลายตัวโดยอัตโนมัติ 4. ลงทุนระยะยาว: มองข้ามความผันผวนระยะสั้น มุ่งเน้นไปที่ผลตอบแทนระยะยาว อดทน รอคอยจังหวะซื้อและขายหุ้นอย่างชาญฉลาด ไม่ควรตื่นเต้นหรือกลัวจนตัดสินใจผิดพลาด 5. ศึกษาหาความรู้: พัฒนาความรู้และทักษะด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ศึกษาจากหนังสือ บทความ เว็บบินาร์ ฯลฯ เรียนรู้จากประสบการณ์ของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน การลงทุนแบบ Value Investing: เน้นลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง มุ่งเน้นไปที่การซื้อหุ้นที่มี Margin of Safety สูง การลงทุนแบบ Growth Investing: เน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง มุ่งเน้นไปที่การซื้อหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นอย่างสม่ำเสมอ การลงทุนแบบ Dividend Investing: เน้นลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ มุ่งเน้นไปที่การสร้างรายได้จากเงินปันผล ข้อควรระวัง ไม่มีกลยุทธ์ใดที่ไร้ความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต ควรลงทุนด้วยเงินเย็น ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดที่มี สรุป การลงทุนในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นักลงทุนควรเน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง เลือกหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว ศึกษาหาความรู้ และระมัดระวังความเสี่ยง กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนและเงินของเราเติบโตอย่างยั่งยืน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2728
Finance
ข้อใดเป็นขั้นตอนกรองข่าวสารก่อนการลงทุน ไม่ให้มั่ว
A. ดูระยะเวลาที่ส่งผลกระทบ B. ไม่ดูโอกาสที่จะเกิดขึ้น C. ไม่ดูผลกระทบของข่าว D. ไม่กำหนดกลยุทธ์
ตอบข้อ A. เนื่องจาก เพราะการดูระยะเวลาที่ส่งผลกระทบ เป็นวิธีกรองข่าวสารก่อนการลงทุน ไม่ให้มั่ว ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง 4 ขั้นตอนกรองข่าวสารก่อนการลงทุน ไม่ให้มั่ว 1. ดูผลกระทบของข่าว ตัวกรองชั้นแรกนี้จะช่วยคัดกรองให้เหลือแต่ข้อมูลข่าวสารที่กระทบกับผลประกอบการแบบมีนัยยะสำคัญ หลักการง่ายๆ คือดูว่ารายการนั้นเป็นสัดส่วนเท่าไรของรายได้ หรือสินทรัพย์ จะต้องไปดูว่าสัดส่วนของรายได้ค่าโอนเป็นร้อยละเท่าไรของรายได้รวม ถ้ารายได้ส่วนนี้มีสัดส่วนที่มากถึงจะต้องกังวล แต่ถ้ารายได้ส่วนนี้มีสัดส่วนไม่มากนักไม่มีนัยยะกับผลประกอบการ จะมองผ่านไป 2. ดูโอกาสที่จะเกิดขึ้น ขั้นที่สองจะต้องดูว่าโอกาสเกิดขึ้นนั้นมีมากแค่ไหน ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับบริษัทมากแม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ต้องวางแผนเผื่อไว้ก่อน แต่สำหรับหรือเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับบริษัทน้อยและโอกาสเกิดขึ้นน้อยกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเพราะถึงแม้จะเกิดขึ้นยังกระทบกับผลประกอบการไม่มาก 3. ระยะเวลาที่ส่งผลกระทบ ในการวิเคราะห์ข่าวสารด้านการลงทุนนอกจากดูผลกระทบและโอกาสที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องดูเรื่องของระยะเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นด้วย - ในส่วนแรกจะต้องดูว่าเหตุการณ์นั้นใช้เวลาอีกนานหรือไม่ - ส่วนที่สองต้องดูว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้วกระทบกับผลประกอบกอบในระยะสั้นหรือระยะยาว ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่กระทบในระยะสั้น ส่วนใหญ่จะกระทบกับราคาตลาดแค่ครั้งเดียวแล้วก็จบ แต่กรณีที่ดูยากที่สุดคือข่าวที่เข้ามากระทบเกี่ยวกับความสามารถในการแข่งข้นแล้วส่งผลกระทบยาวต่อผลประกอบการ ซึ่งต้องใช้ทั้งความรู้ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทั้งทางคุณภาพและปริมาณประกอบกัน 4. กำหนดกลยุทธ์ หุ้นที่ขึ้นได้ต่อเนื่องหลายปีมักมีข่าวที่มีผลกระทบกับบริษัทมาก โอกาสเกิดขึ้นสูง และระยะเวลาเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายๆ ปี ในขณะที่หุ้นที่กำลังเสียเปรียบทางการแข่งขัน รายได้กำไรไม่มีการเติบโตมากนักในช่วงแรกๆ ทิศทางราคามักจะค่อยๆ ซึมลง หรือไม่ไปไหน
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2730
Finance
คนหลายคนออมทอง เพราะเหตุใด
ออมในทองคำดีไหม? ​ ช่วงนี้มีหลายคนมาปรึกษาผมเรื่องการออมในทองดีไหม มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องนะ แต่ผมจะพูดเสมอว่า ผมไม่เลือกออมในทองเลย เพราะสำหรับผม ทองเป็นสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนึ่ง คาดเดาราคาในอนาคตได้ยากเต็มทน สิบปีข้างหน้าราคาจะประมาณไหนนั้นตอบยาก แต่หุ้นผมมองเห็นภาพ! ผมเข้าใจมันว่ามันมีกลไกอย่างไร และผมพอจะบอกได้ว่ามูลค่าของมันเป็นเท่าไหร่ สิบปีข้างหน้ามันจะอยู่ประมาณไหน ดังนั้น ผมมักจะแนะนำให้ลงทุนในหุ้น ถ้ามีความรู้หรือมีเวลาจะศึกษาหาความรู้ ถ้าไม่มีเวลามาก กองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่ดี ยิ่ง LTF RMF ยิ่งดี เวลาน้อยลงมาอีกก็แนะนำตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน น้อยลงมาถึงขีดสุด ควรเป็นเงินฝากธนาคารที่ดอกเบี้ยสูง ขีดเส้นใต้ตรงนี้!! หลายคนออมทองเพราะหวังว่าทองจะมีราคาก้าวกระโดดในอนาคต อยากได้ส่วนต่างกำไรมากกว่ารักษามูลค่าเงินต้น ผมมองว่ามันก้าวข้ามจุดของคำว่าออมมาสู่การลงทุนหรือเก็งกำไรแล้ว ดังนั้น แอคชันที่ลงมือจะต้องเป็นอีกแบบ การศึกษาหาความรู้จะเป็นอีกแบบ คนที่มีความรู้เรื่องการลงทุนดีแล้ว ผมไม่ก้าวล่วงเข้าไปสอนแล้วกัน บางคนถือทองเยอะ เก็งกำไรบ้าง กระจายความเสี่ยงบ้าง ผมมองว่าคงรู้พื้นฐานของทองหมดแล้ว แต่มือใหม่มากๆ และอยากออมในทอง ผมแนะนำให้มองภาพให้รอบคอบ อย่ามองว่าทองมีแต่ขาขึ้นอย่างเดียว พยายามวิเคราะห์ใจเราเองก่อนว่าอยากออมหรือเก็งกำไรหรือลงทุนกันแน่ มันต่างกัน สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรถูกอะไรผิด แต่ศึกษาหาความรู้ให้รอบคอบ เงินทองหามายาก อย่าเสียไปง่ายๆ ด้วยการละเลยการศึกษาหาความรู้ ลงทุนศาสตร์ –
คนหลายคนออมทอง เพราะหวังว่าทองจะมีราคาก้าวกระโดดในอนาคต อยากได้ส่วนต่างกำไรมากกว่ารักษามูลค่าเงินต้น มันก้าวข้ามจุดของคำว่าออมมาสู่การลงทุนหรือเก็งกำไรแล้ว ดังนั้น แอคชันที่ลงมือจะต้องเป็นอีกแบบ การศึกษาหาความรู้จะเป็นอีกแบบ คนที่มีความรู้เรื่องการลงทุนดีแล้ว จะไม่ก้าวล่วงเข้าไปสอนแล้วกัน บางคนถือทองเยอะ เก็งกำไรบ้าง กระจายความเสี่ยงบ้าง คงรู้พื้นฐานของทองหมดแล้ว แต่มือใหม่มากๆ และอยากออมในทอง แนะนำให้มองภาพให้รอบคอบ อย่ามองว่าทองมีแต่ขาขึ้นอย่างเดียว พยายามวิเคราะห์ใจตนเองก่อนว่าอยากออมหรือเก็งกำไรหรือลงทุนกันแน่ มันต่างกัน ไม่มีอะไรถูกอะไรผิด แต่ศึกษาหาความรู้ให้รอบคอบ เงินทองหามายาก อย่าเสียไปง่ายๆ ด้วยการละเลยการศึกษาหาความรู้
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2731
Finance
จงเขียนเรื่องสั้นเรื่อง "เส้นทางสู่ความล้มเหลวของการลงทุนและ 7 พฤติกรรมที่น่าเตือน"
null
"เส้นทางของการลงทุน: 7 พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อความล้มเหลว" เรื่องเริ่มต้นเมื่อหนึ่งกลุ่มผู้ลงทุนหนุนการเปิดตัวของธุรกิจเทรดดิ้งใหม่ที่กำลังพัฒนาซอฟต์แวร์และอัลกอริทึมที่เรียกว่า "AI-Trade". หลังจากที่เข้าไปในโลกของการลงทุนดิ้งดังกล่าว เหล่านักลงทุนรุ่นใหม่ได้พบกับความตื่นตระหนกอย่างทันท่วงทีว่าการลงทุนไม่ได้มีเพียงแค่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและอัลกอริทึมเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับการพึ่งพาต่อสมองและพฤติกรรมของมนุษย์เอง นำเสนอในนิยายนี้คือ 7 พฤติกรรมเสี่ยงลงทุนที่ส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนนี้ประสบความล้มเหลวในการลงทุนของพวกเขา: 1. ความสมหวังที่ไม่เหมาะสม: หลงใหลในความสมหวังที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับผลตอบแทนที่เป็นไปได้จากการลงทุน โดยมองข้ามความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและความเสี่ยงที่อาจเสียหายได้ 2. การศึกษาและการเข้าใจที่ไม่เพียงพอ: การลงทุนโดยไม่มีความเข้าใจเพียงพอเกี่ยวกับตลาดและกฎเกณฑ์ทางการเงิน 3. ความขี้เกียจในการวางแผน: การขาดความพยายามในการวางแผนการลงทุนอย่างเป็นระบบ และการเปิดเผยต่อความเสี่ยงอย่างไม่เหมาะสม 4. การเอาเปรียบผู้เชี่ยวชาญ: การเผยแพร่ความเชื่อว่าความรู้และประสบการณ์ส่วนบุคคลสามารถแทนที่ความเชี่ยวชาญที่แท้จริง 5. การตัดสินใจโดยอารมณ์: การตัดสินใจในการลงทุนโดยใช้อารมณ์แทนการวิเคราะห์ทางกฎเกณฑ์ 6. การละเลยความเสี่ยง: การเข้าใจความเสี่ยงอย่างไม่เพียงพอและการปกป้องตัวเองไม่เพียงพอต่อความเสี่ยง 7. ความเห็นแก่ตนเองที่ผิด:การไม่ยอมรับความผิดพลาดและการเก็บความเสียหายในการลงทุนเป็นเวลานาน ผ่านการต่อสู้กับพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อความล้มเหลวนี้ นักลงทุนเหล่านี้ได้เรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์ของพวกเขา ซึ่งให้พวกเขามองเห็นและปรับตัวให้เหมาะสมกับโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุนอย่างมีเหตุผลและมั่นคงยิ่งขึ้นโดยรวม โดยเรื่องนี้จึงสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านที่สนใจในการเข้าใจและการปรับตัวในโลกของการลงทุนอย่างมีสติและมั่นคง
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2732
Finance
กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนามกองทุนใด ที่เน้นการกระจายความเสี่ยงโดยเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศและมีการเลือกหุ้นเองบางส่วน
1. ONE-VIETNAM-RA 2. PRINCIPAL VNEQ-A 3. KT-CLMVT-A 4. ASP-VIET
ข้อที่ถูกต้องคือ 4. เพราะว่า เพราะกองทุนเวียดนาม ASP-VIET เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนาม ที่เน้นการกระจายความเสี่ยงโดยเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศและมีการเลือกหุ้นเองบางส่วนด้วย รายชื่อกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนาม กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนาม มีอยู่ทั้งหมด 4 กองทุน ได้แก่ - KT-CLMVT-A เป็นกองทุนที่ตั้งใจว่าจะมีการลงทุนในหุ้นเวียดนามประมาณ 40% - PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนามเป็นหลักกองทุนแรกในประเทศไทย โดยมีความตั้งใจ พยายามเลือกหุ้นเองเป็นสัดส่วนประมาณ 40-90% ของพอร์ตลงทุน - ASP-VIET กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนาม เน้นการกระจายความเสี่ยงโดยเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศหลายแห่ง และมีการเลือกหุ้นเองบางส่วน - ONE-VIETNAM-RA กองทุนที่มีการลงทุนในประเทศเวียดนามกองล่าสุด เน้นกระจายการลงทุนผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ และเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูงสุดในปัจจุบัน นโยบายการลงทุนในแต่ละกองทุนใกล้เคียงกัน โดยมีการเลือกลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในประเทศเวียดนาม และอาจมีการเลือกหุ้นเองบ้าง มีเฉพาะกองทุน KT-CLMVT-A เท่านั้นที่มีนโยบายกระจายออกไปยังประเทศอื่นเช่น กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และประเทศไทยร่วมด้วย นอกจากนี้หากพิจารณาในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในการคำนวณ NAV ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับความผันผวนจะเห็นได้ว่ามีเฉพาะกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A และกองทุน ONE-VIETNAM-RA เท่านั้นที่มีการระบุว่าใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็น Spot Rate จาก Bloomberg ในการคำนวณ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2733
Finance
ปัจจัยที่มีผลทำให้เงินเฟ้อมาจากอาหารสำเร็จรูป อาหารสด ยานพาหนะและเชื้อเพลิงเกือบ 50% มีอะไรบ้าง
เงินเฟ้อไม่มา ดอกเบี้ยไม่ขึ้น – ชำแหละองค์ประกอบเงินเฟ้อ ​ เงินเฟ้อสำคัญอย่างไร มีหรือไม่มีถึงจะดี แล้วดีอย่างไร พูดตามประสาชาวบ้านกันเลย โดยปกติเศรษฐกิจที่ดีจะเกิดในช่วงเงินเฟ้ออ่อนๆ หรือราคาสินค้าเพิ่มขึ้นค่อยเป็นค่อยไป ช่วยเพิ่มอัตราการใช้เงินและเพิ่มการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว พูดตามประสาชาวบ้านกันเลย โดยปกติเศรษฐกิจที่ดีจะเกิดในช่วงเงินเฟ้ออ่อนๆ หรือราคาสินค้าเพิ่มขึ้นค่อยเป็นค่อยไป ช่วยเพิ่มอัตราการใช้เงินและเพิ่มการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว วันนี้ผมไปซื้อของกินของใช้ เพิ่งสังเกตว่าบางรายการมีราคาเพิ่มขึ้น แต่ทำไมเงินเฟ้อไม่ค่อยมานะ ก็เลยหาสัดส่วนว่ารัฐบาลสำรวจราคาสินค้าที่เราใช้จ่ายแล้วแบ่งออกเป็นประเภทสัดส่วนหนักเบาอย่างไร ก็เลยถึงบางอ้อขึ้นมากับเขาบ้างสักนิด วันนี้ผมไปซื้อของกินของใช้ เพิ่งสังเกตว่าบางรายการมีราคาเพิ่มขึ้น แต่ทำไมเงินเฟ้อไม่ค่อยมานะ ก็เลยหาสัดส่วนว่ารัฐบาลสำรวจราคาสินค้าที่เราใช้จ่ายแล้วแบ่งออกเป็นประเภทสัดส่วนหนักเบาอย่างไร ก็เลยถึงบางอ้อขึ้นมากับเขาบ้างสักนิด อ้างอิงตัวเลขจาก: กองสารสนเทศและดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าปัจจัยที่มีผลทำให้เงินเฟ้อมาจากอาหารสำเร็จรูป อาหารสด ยานพาหนะและเชื้อเพลิงเกือบ 50% วันนี้จะขอยกตัวอย่างปัจจัยที่น่าเอ่ยถึงกัน จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าปัจจัยที่มีผลทำให้เงินเฟ้อมาจากอาหารสำเร็จรูป อาหารสด ยานพาหนะและเชื้อเพลิงเกือบ 50% วันนี้จะขอยกตัวอย่างปัจจัยที่น่าเอ่ยถึงกัน ปัจจัยแรก อาหารสำเร็จรูปและอาหารสด เป็นปัจจัยหลักๆ ของการกินการอยู่ของเราชาวไทย มีน้ำหนักในองค์ประกอบอยู่เกือบ 35% ดังนั้นเมื่อไรที่ราคาแก๊สหุงต้มมีการปรับราคาขึ้น ราคาข้าวแกง ไก่สด หมูสด ผักสด เครื่องดื่มที่ไม่ใช่ของมึนเมา รวมไปถึงมาม่าจะถูกรัฐบาลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมันคือองค์ประกอบใหญ่พอสมควรในการคิดเงินเฟ้อของประเทศไทย เป็นปัจจัยหลักๆ ของการกินการอยู่ของเราชาวไทย มีน้ำหนักในองค์ประกอบอยู่เกือบ 35% ดังนั้นเมื่อไรที่ราคาแก๊สหุงต้มมีการปรับราคาขึ้น ราคาข้าวแกง ไก่สด หมูสด ผักสด เครื่องดื่มที่ไม่ใช่ของมึนเมา รวมไปถึงมาม่าจะถูกรัฐบาลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมันคือองค์ประกอบใหญ่พอสมควรในการคิดเงินเฟ้อของประเทศไทย ปัจจัยที่สอง ยานพาหนะ เชื้อเพลิง และสาธารณูปโภค สาธารณูปโภคในที่นี้ก็คือพวกไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้ำประปา และแสงสว่าง ส่วนยานพาหนะและเชื้อเพลิงก็ใช้ในการขนส่ง แม้เมื่อรวมกันทั้งหมดอาจไม่มีน้ำหนักมากเท่าปัจจัยแรกที่ได้พูดกันไป แต่ก็สำคัญมากในแง่ที่ว่าหากราคาปรับตัวขึ้นเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งนี้เป็นต้นทุนหลักของเกษตรกรและผู้ประกอบการ ซึ่งอาจทำให้ราคาอาหารสำเร็จรูปและอาหารสดเพิ่มขึ้น สาธารณูปโภคในที่นี้ก็คือพวกไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้ำประปา และแสงสว่าง ส่วนยานพาหนะและเชื้อเพลิงก็ใช้ในการขนส่ง แม้เมื่อรวมกันทั้งหมดอาจไม่มีน้ำหนักมากเท่าปัจจัยแรกที่ได้พูดกันไป แต่ก็สำคัญมากในแง่ที่ว่าหากราคาปรับตัวขึ้นเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งนี้เป็นต้นทุนหลักของเกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งอาจทำให้ราคาอาหารสำเร็จรูปและอาหารสดเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่สาม เหล้าและบุหรี่ จะสังเกตว่ามีน้ำหนักน้อย เลยทำให้ขึ้นราคาได้อย่างที่รัฐบาลไม่ต้องควบคุมมาก ไม่ค่อยมีผลต่อเงินเฟ้อ อีกทั้งยังเพิ่มรายได้จากการขึ้นภาษีอีกด้วย จะสังเกตว่ามีน้ำหนักน้อย เลยทำให้ขึ้นราคาได้อย่างที่รัฐบาลไม่ต้องควบคุมมาก ไม่ค่อยมีผลต่อเงินเฟ้อ อีกทั้งยังเพิ่มรายได้จากการขึ้นภาษีอีกด้วย เช่นเดียวกันกับค่าสื่อสารที่จริงๆ แล้วอาจปรับตัวลงด้วยซ้ำ เลยอาจทำให้เงินเฟ้อของเราไม่ค่อยขึ้นด้วย เช่นเดียวกันกับค่าสื่อสารที่จริงๆ แล้วอาจปรับตัวลงด้วยซ้ำ เลยอาจทำให้เงินเฟ้อของเราไม่ค่อยขึ้นด้วย สุดท้าย ค่าเช่าบ้าน มาเงียบๆ เกือบ 15% ระวังส่วนนี้ด้วยนะครับมนุษย์เงินเดือนที่เช่าห้องอยู่กัน มาเงียบๆ เกือบ 15% ระวังส่วนนี้ด้วยนะครับมนุษย์เงินเดือนที่เช่าห้องอยู่กัน สรุปความสงสัยจากค่าของกินของใช้ได้ว่า ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นมาไม่จำเป็นต้องทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ต้องดูด้วยว่าสินค้าที่ราคาขึ้นนั้นอยู่ในสัดส่วนไหน อัตราเงินเฟ้อยังมีสัดส่วนในการคิด แล้วท่านมีสัดส่วนในการลงทุนเป็นพอร์ตแล้วหรือยัง รีบคิดรีบทำก่อนที่เงินเฟ้อจะกัดกินเงินในกระเป๋าคุณจนหายไปเองนะครับ อัตราเงินเฟ้อยังมีสัดส่วนในการคิด แล้วท่านมีสัดส่วนในการลงทุนเป็นพอร์ตแล้วหรือยัง รีบคิดรีบทำก่อนที่เงินเฟ้อจะกัดกินเงินในกระเป๋าคุณจนหายไปเองนะครับ ข้อมูลอ้างอิง
ปัจจัยที่มีผลทำให้เงินเฟ้อมาจากอาหารสำเร็จรูป อาหารสด ยานพาหนะและเชื้อเพลิงเกือบ 50% ได้แก่ ปัจจัยแรก อาหารสำเร็จรูปและอาหารสด เป็นปัจจัยหลักๆ ของการกินการอยู่ของชาวไทย มีน้ำหนักในองค์ประกอบอยู่เกือบ 35% ดังนั้นเมื่อไรที่ราคาแก๊สหุงต้มมีการปรับราคาขึ้น ราคาข้าวแกง ไก่สด หมูสด ผักสด เครื่องดื่มที่ไม่ใช่ของมึนเมา รวมไปถึงมาม่าจะถูกรัฐบาลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมันคือองค์ประกอบใหญ่พอสมควรในการคิดเงินเฟ้อของประเทศไทย ปัจจัยที่สอง ยานพาหนะ เชื้อเพลิง และสาธารณูปโภค ในที่นี้ก็คือพวกไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้ำประปา และแสงสว่าง ส่วนยานพาหนะและเชื้อเพลิงก็ใช้ในการขนส่ง แม้เมื่อรวมกันทั้งหมดอาจไม่มีน้ำหนักมากเท่าปัจจัยแรก แต่ก็สำคัญมากในแง่ที่ว่าหากราคาปรับตัวขึ้น ต้องไม่ลืมว่าสิ่งนี้เป็นต้นทุนหลักของเกษตรกรและผู้ประกอบการ ซึ่งอาจทำให้ราคาอาหารสำเร็จรูปและอาหารสดเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่สาม เหล้าและบุหรี่ จะสังเกตว่ามีน้ำหนักน้อย เลยทำให้ขึ้นราคาได้อย่างที่รัฐบาลไม่ต้องควบคุมมาก ไม่ค่อยมีผลต่อเงินเฟ้อ อีกทั้งยังเพิ่มรายได้จากการขึ้นภาษีอีกด้วย เช่นเดียวกันกับค่าสื่อสารที่จริงๆ แล้วอาจปรับตัวลงด้วยซ้ำ เลยอาจทำให้เงินเฟ้อไม่ค่อยขึ้นด้วย สุดท้าย ค่าเช่าบ้าน มาเงียบๆ เกือบ 15% มนุษย์เงินเดือนที่เช่าห้องอยู่ระวังส่วนนี้ด้วย
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2735
Finance
โปรดสรุปบทความ ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้
เมื่อนักลงทุนทั่วไปเริ่มคิดที่จะนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ นอกจากเงินฝากธนาคารเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ตัวเลือกแรกๆ ในความคิดก็อาจจะนึกถึงตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ พันธบัตร หรือ กองทุนตราสารหนี้ ซึ่งก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นต้น โดยนักลงทุนที่มีการลงทุนในตราสารหนี้หรือกองทุนตราสารหนี้ส่วนใหญ่มักจะมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการลงทุนดังกล่าวดังนี้ 1. กองทุนตราสารหนี้ คล้ายการฝากเงิน ไม่ขาดทุน นักลงทุนหลายท่านมักมีความเข้าใจผิดๆ ว่า กองทุนตราสารหนี้ลงทุนแล้วคล้ายเงินฝาก ไม่ขาดทุน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กองทุนตราสารหนี้มีความแตกต่างจากการฝากเงิน มีโอกาสขาดทุนได้จากหลายสาเหตุ เช่น การผันผวนของมูลค่าหน่วยลงทุนจากการ Mark to Market หรือการตีมูลค่าตราสารหนี้ในกองทุนตามมูลค่าตลาด หรือ ตราสารหนี้ในกองทุนอาจมีการผิดนัดชำระ (Default) ซึ่งอาจทำให้ตราสารหนี้ หรือ กองทุนตราสารหนี้ ขาดทุนได้ 2. ลงทุนตราสารหนี้เดี่ยวๆ ไม่ขาดทุน เหมือน กองทุนตราสารหนี้ นักลงทุนหลายท่าน โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่ที่ได้มีการลงทุนในตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้รายตัว มักจะติดภาพว่าหุ้นกู้เหล่านั้นมีการจ่ายดอกเบี้ยให้ขาเดียว การถือครองหุ้นกู้ จะไม่เผชิญภาวะการขาดทุนจากราคาเหมือนกองทุนตราสารหนี้ ทำให้คิดว่าการลงทุนในหุ้นกู้รายตัวจะดีกว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เสมอ ซึ่งไม่จริง เนื่องจากว่าการที่นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารหนี้เดี่ยวๆ ไม่เห็นการขาดทุนจากการ Mark to Market ราคาหุ้นกู้รายตัว ไม่ได้แปลว่า เขาจะไม่ขาดทุน แค่ว่าเขาไม่ได้ขาดทุนจากการนำราคาไป Mark to Market เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าจะดูกันอย่างเป็นธรรมแล้ว เราควรนำราคาหุ้นกู้รายตัวเหล่านั้นไป Mark to Market ในตลาดรองตราสารหนี้ ที่มีการซื้อขายหุ้นกู้รายตัวกัน ถ้าทำด้วยวิธีดังกล่าว นักลงทุนก็จะเห็นราคาหุ้นกู้รายตัวที่ตัวเองถือลงทุนอยู่มีการผันผวนของราคา ขึ้นหรือลง ไม่แพ้ราคาของมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนตราสารหนี้เช่นกัน ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าตราสารหนี้เดี่ยวๆก็ขาดทุนได้ไม่ต่างจากกองทุนตราสารหนี้ หรืออาจเห็นการขาดทุนที่มากกว่าก็ได้ในบางเวลาที่มีการ Mark to Market 3. ลงทุนตราสารหนี้เดี่ยวๆ ดีกว่ากองทุนตราสารหนี้ นักลงทุนหลายรายมักเข้าใจผิดว่าการได้รับการเสนอขายหุ้นกู้หรือตราสารหนี้เดี่ยวๆ หลายตัว มักจะดูมีความพิเศษ ทำให้คิดว่าจะได้รับตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดีเสมอ ซึ่งไม่จริงเสมอไปอีกเช่นกัน หากเราลองคิดในความเป็นจริงแล้ว กองทุนหรือนักลงทุน สถาบันเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีความสามารถในการต่อรองสูง เนื่องจากมีมูลค่าเงินลงทุนมาก ทำให้นักลงทุนสถาบันมักจะมีสิทธิ์หรือสามารถเลือกตราสารที่มีคุณภาพได้ก่อนนักลงทุนรายย่อย ทำให้การลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ มีการคัดกรองคุณภาพตราสารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพมาให้แล้วอีกชั้นหนึ่ง การลงทุนตราสารหนี้เดี่ยวๆ เอง นักลงทุนจึงควรมีความสามารถที่มากพอในการวิเคราะห์คัดเลือกตราสารเองได้ มากไปกว่านั้น การลงทุนในหุ้นกู้เดี่ยวๆ ผู้ลงทุนจะมีการกระจุกตัวของความเสี่ยงในหุ้นกู้รายตัว สูงกว่า การลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ หากไม่สามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้ได้จำนวนที่มากพอ เพราะฉะนั้นหากหุ้นกู้ที่นักลงทุนถือลงทุนอยู่มีการผิดนัดชำระ (Default) เกิดขึ้น นักลงทุนอาจจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในขั้นตอนถัดมามากกว่าการลงทุนผ่านกองทุนรวม เนื่องจากอาจจะต้องไปติดตาม ฟ้องร้อง เพื่อขอคืนเงินต้นด้วยตนเองในหลายกรณี ในขณะที่การลงทุนผ่านกองทุนรวมจะมีตัวแทนจากกองทุนรวมดำเนินการติดตามฟ้องร้อง เพื่อขอเงินต้นคืนให้ อีกทั้งจำนวนเงินที่สูญหายจากการผิดนัดชำระหนี้ผ่านหุ้นกู้รายตัว อาจได้รับผลกระทบที่มากกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ เนื่องจากกองทุนรวมมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนผ่านจำนวนตราสารหนี้ที่มากกว่า 4. ผลตอบแทนสูงๆ ขึ้นชื่อว่าตราสารหนี้ต้องไม่เสี่ยง ตราสารหนี้หรือหุ้นกู้รายตัว หรือ กองทุนตราสารหนี้ บางประเภทมีการเสนอผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจมาก เช่น ผลตอบแทนในระดับ 6-7% ขึ้นไป แต่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ที่ต่ำกว่า Investment Grade ในขณะที่อายุตราสารอาจไม่ยาวมากนัก ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลหรือเงินฝาก ทำให้นักลงทุนหลายรายหลงไปกับผลตอบแทนโดยมองข้ามความเสี่ยงทางด้านการผิดนัดชำระ หรือ Credit Risk นั่นเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความเสี่ยงทางด้าน Credit Risk มีความน่ากลัวอยู่มาก เนื่องจากหากบริษัทผู้ออกตราสารผิดนัดชำระ ก็มีโอกาสที่เงินต้นของผู้ลงทุนจะสูญหายหมดได้เลยเช่นกัน และทั้งหมดนี้ก็เป็นความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการลงทุนในตราสารหนี้ที่อยากให้นักลงทุนได้ตระหนักคิดหรือพิจารณาให้ดีก่อนจะเลือกลงทุนในหุ้นกู้รายตัวหรือกองทุนรวมตราสารหนี้นั่นเอง
นักลงทุนที่มีการลงทุนในตราสารหนี้หรือกองทุนตราสารหนี้ส่วนใหญ่ มักมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการลงทุนดังกล่าว คือ 1) กองทุนตราสารหนี้คล้ายการฝากเงิน และไม่มีทางขาดทุน ทั้งที่กองทุนตราสารหนี้แตกต่างจากการฝากเงิน และมีโอกาสขาดทุนจากการผันผวนของมูลค่าหน่วยลงทุน จากการตีมูลค่าตราสารหนี้ในกองทุนตามมูลค่าตลาด รวมไปถึงการผิดนัดชำระ 2) ลงทุนตราสารหนี้เดี่ยวๆ ไม่ขาดทุน เหมือน กองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากการที่นักลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้เดี่ยวๆ จะไม่เห็นการขาดทุนจากการ Mark to Market จึงควรนำราคาตราสารหนี้เดี่ยวๆ รายตัวเหล่านั้นไป Mark to Market ในตลาดรองตราสารหนี้ที่มีการซื้อขายหุ้นกู้รายตัวเสียก่อน 3) ลงทุนตราสารหนี้เดี่ยวๆ ดีกว่ากองทุนตราสารหนี้ ความจริงกองทุนหรือนักลงทุนสถาบันเป็นกลุ่มนักลงทุนที่สามารถต่อรองได้สูง เนื่องจากมีมูลค่าเงินลงทุนมาก จึงมีสิทธิ์เลือกตราสารที่มีคุณภาพได้ก่อนนักลงทุนรายย่อย การลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ จึงเหมือนมีการคัดกรองคุณภาพตราสารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพมาก่อนแล้ว ส่วนการลงทุนตราสารหนี้เดี่ยวๆ เอง นักลงทุนควรมีความสามารถที่มากพอในการวิเคราะห์คัดเลือกตราสารเองได้ นอกจากนี้การลงทุนผ่านกองทุนรวม จะมีตัวแทนจากกองทุนรวมดำเนินการติดตามฟ้องร้องขอเงินต้นคืนให้ในกรณีมีปัญหา รวมทั้งมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนผ่านจำนวนตราสารหนี้ที่มากกว่าด้วย 4) ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนสูง ตราสารหนี้หรือหุ้นกู้รายตัว หรือกองทุนตราสารหนี้บางประเภทมีการเสนอผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจมาก แต่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ที่ต่ำกว่า Investment Grade ทำให้นักลงทุนหลายรายหลงไปกับผลตอบแทนโดยมองข้ามความเสี่ยงทางด้านการผิดนัดชำระ หรือ Credit Risk ซึ่งถ้าบริษัทผู้ออกตราสารผิดนัดชำระ ก็มีโอกาสที่เงินต้นของผู้ลงทุนจะสูญหายทั้งหมด
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เครื่องมือทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน,การบริหารสินทรัพย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2736
Finance
ข้อใดไม่ใช่ความหมายของ Competitive Advantage (CA)
A. สิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้แพ้และผู้ชนะ B. ความสามารถในการแข่งขัน C. ความได้เปรียบอะไรที่สามารถทำให้บริษัทสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าตลาดได้ D. จำเป็นต้องชนะในทุกการแข่งขัน
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ D. เนื่องจาก เพราะ Competitive Advantage (CA) มีมากมายหลายความหมายและไม่มีอะไรตายตัว เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องมองหาในบริษัทให้เจอ มันเป็นความสามารถในการแข่งขัน คือ สิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้แพ้และผู้ชนะ คือความได้เปรียบอะไรสักอย่างที่สามารถทำให้บริษัทสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าตลาดได้ แน่นอนว่าการชนะตลาดคือการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นได้ในระยะยาว ทั้งในแง่ของผลประกอบการและมูลค่าบริษัท CA ของการลงทุนคือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนคนหนึ่งเหนือกว่าตลาดได้ ไม่ใช่เป็นที่หนึ่ง แต่ดูในภาพรวมแล้ว ผลตอบแทนของนักลงทุนคนนั้นเหนือกว่าตลาดในระยะยาวก็พอ นักลงทุนบางคนอ่านงบเก่งมาก คนเหล่านี้จะเข้าใจโครงสร้างทางบัญชีอย่างดี หลายครั้งที่บริษัทเกิดขาดทุนพิเศษ นักลงทุนกลุ่มนี้จะสามารถเข้าลงทุนในเวลาที่ราคาหุ้นถูกมาก ผลตอบแทนงดงาม นักลงทุนบางคนวิเคราะห์ธุรกิจเก่งมาก มองขาดว่าบริษัทไหนไปรอด ไปไม่รอด ในระยะยาวชนะหรือแพ้ เข้าใจแต่ละอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง นักลงทุนบางคนขยันมาก อ่านข้อมูลกิจการอย่างมากมายมหาศาล ติดตามบริษัท อ่าน 56-1 ดู opp day ไป AGM ไป CV อัพเทคข้อมูลมากมายมหาศาลเพื่อคัดสรรบริษัทที่ดี นักลงทุนบางคนเข้าใจกิจการบางประเภทอย่างลึกซึ้ง บางคนอยู่ในวงการเชิงลึก เข้าใจโครงสร้างราคาปิโตรเคมี เข้าใจกลไกการหารายได้ของธุรกิจประกันภัย เข้าใจต้นทุนของโทรคมนาคมอย่างละเอียด วิเคราะห์และประมาณงบได้อย่างแม่นยำ เรื่องเหล่านี้ต่างเป็น CA ของนักลงทุนทั้งสิ้น และ CA จะสามารถเป็นทักษะหรือความสามารถแบบไหนก็ได้ ขอแค่มันทำให้ชนะตลาดได้ก็พอ นักลงทุนทุกคนควรกลับมานั่งทบทวนว่าอะไรเป็นทักษะที่ทำให้เอาชนะตลาดได้ มันสามารถสร้างผลกำไรได้ในระยะยาวซึ่งไม่ได้มาจากดวงใช่หรือไม่ และมันจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีได้หรือเปล่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนระยะยาวทุกคนต้องคำนึงถึง หากคำตอบยังไม่ชัดเจน ให้รีบสร้าง CA ขึ้นมา รีบหาให้เจอว่าอะไรคือข้อได้เปรียบที่น่าจะมี หาให้เจอว่าจุดเด่นจุดด้อยอยู่ตรงไหน เมื่อพบข้อได้เปรียบของตัวเองแล้ว จงอยู่แต่ในเกมที่ได้เปรียบเท่านั้น อย่าออกนอกความเชี่ยวชาญของตนเอง ไม่จำเป็นต้องชนะในทุกการแข่งขัน แต่ขอให้ชนะในการแข่งขันที่เราอยากจะชนะก็พอ
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2739
Finance
สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจของโลก ซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกากับจีน ใช่หรือไม่
null
ใช่ สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจของโลก ซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกากับจีน ผลของมันจะตามมาอย่างไร เวลาเท่านั้นจะตอบได้ หรือแท้จริงมันมีคำตอบอยู่แล้วในอดีตเพียงแต่เราลืมมันไป? จึงขอย่อยเหตุการณ์ครั้งนั้นออกมาเป็นภาษาง่ายๆ ให้ได้เห็นผลอันเลวร้ายกันดีกว่า จึงขอย่อยเหตุการณ์ครั้งนั้นออกมาเป็นภาษาง่ายๆ ให้ได้เห็นผลอันเลวร้ายกันดีกว่า ย้อนรอยสงครามการค้าในอดีต : สงครามการค้าเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าทีชื่อว่า Smoot-Hawley Act หรือ Smoot–Hawley Tariff ซึ่งตั้งตามชื่อวุฒิสมาชิกสองท่านที่ผลักดันร่างกฎหมายขึ้นภาษีนี้ขึ้นมา เพื่อตอบสนองต่อการหดตัวครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจในช่วงนั้น แต่กลับถูกมองว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ยิ่งทำให้เกิดการหดตัวมากขึ้นไปอีก สงครามการค้าเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าที่ชื่อว่า Smoot-Hawley Act หรือ ซึ่งตั้งตามชื่อวุฒิสมาชิกสองท่านที่ผลักดันร่างกฎหมายขึ้นภาษีนี้ขึ้นมา เพื่อตอบสนองต่อการหดตัวครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจในช่วงนั้น แต่กลับถูกมองว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ยิ่งทำให้เกิดการหดตัวมากขึ้นไปอีก Willis Hawley (ซ้าย) และ Reed Smoot (ขวา) ในเดือนเมษายน 1929 Willis Hawley (ซ้าย) และ Reed Smoot (ขวา) ในเดือนเมษายน 1929 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายประเทศเป็นหนี้และต้องชดเชยค่าเสียหาย โดยเฉพาะในยุโรป จนสุดท้ายเศรษฐกิจทั้งโลกพังทลายลงในช่วงทศวรรษ 1930 และต้องทำความเข้าใจสักนิดว่าช่วงนั้นเป็นการตั้งนโยบายตามใจแต่ละประเทศโดยไม่มีการเจรจาในระดับโลกเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นแต่ละประเทศตัดสินใจกันเองเลย หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายประเทศเป็นหนี้และต้องชดเชยค่าเสียหาย โดยเฉพาะในยุโรป จนสุดท้ายเศรษฐกิจทั้งโลกพังทลายลงในช่วงทศวรรษ 1930 และ ต้องทำความเข้าใจสักนิดว่าช่วงนั้นเป็นการตั้งนโยบายตามใจแต่ละประเทศโดยไม่มีการเจรจาในระดับโลกเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นแต่ละประเทศตัดสินใจกันเองเลย ช่วงนั้นการเกษตรในยุโรปเริ่มฟื้นตัว แต่ในทางกลับกัน…เกษตรกรในสหรัฐฯ ประสบปัญหาจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและราคาที่ลดลงจากการผลิตที่ล้นตลาด ทำให้เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้จัดการปัญหานี้โดยขึ้นภาษีนำเข้าเลยสิ ช่วงนั้นการเกษตรในยุโรปเริ่มฟื้นตัว แต่ในทางกลับกัน…เกษตรกรในสหรัฐฯ ประสบปัญหาจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและราคาที่ลดลงจากการผลิตที่ล้นตลาด ทำให้เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้จัดการปัญหานี้โดยขึ้นภาษีนำเข้าเลยสิ ว่าแล้วก็จัดไปร้อยกว่ารายการ… จุดประสงค์ก็เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและตอบโต้ประเทศอื่นๆ ด้วย ทีนี้การสวนกลับก็เกิดขึ้นจากประเทศทางยุโรป แต่ถึงอย่างนั้นการตอบโต้ที่สาหัสที่สุดก็มาจากประเทศแคนาดา ซึ่งจัดการขึ้นภาษีนำเข้าไข่จาก 3 เซนต์เป็น 10 เซนต์! จุดประสงค์ก็เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและตอบโต้ประเทศอื่นๆ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2741
Finance
การปรับลดเบี้ยประกันชีวิตตามตารางมรณะไทยปี 2560 ส่งผลดีต่อผู้บริโภคทุกคนหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ผู้บริโภคบางกลุ่มจะได้รับประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่น ผู้บริโภคที่อายุน้อยและสุขภาพดี เบี้ยประกันชีวิตจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผู้บริโภคที่มีอายุมากหรือมีโรคประจำตัว เบี้ยประกันชีวิตอาจลดลงเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่ลดลงเลย 2. ผู้บริโภคต้องเตรียมเงินเพื่อการเกษียณมากขึ้น อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยที่ยาวขึ้น หมายถึง ผู้บริโภคต้องมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณเป็นระยะเวลายาวนานขึ้น เงินเฟ้อจะทำให้ค่าใช้จ่ายในอนาคตสูงขึ้น ผู้บริโภคต้องเผื่อเงินเฟ้อไว้ในการวางแผนการเงิน 3. ผู้บริโภคอาจต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคควรเตรียมเงินสำรองไว้สำหรับค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ประกันสุขภาพอาจไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลทั้งหมด ผู้บริโภคควรศึกษาแผนประกันอย่างละเอียด 4. ผู้บริโภคอาจต้องเกษียณอายุเร็วกว่าที่คาดไว้ เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีแนวโน้มเข้ามาแทนที่งานบางประเภท ผู้บริโภคควรเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงในการว่างงาน ผู้บริโภคควรวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอย่างรอบคอบ เผื่อกรณีต้องเกษียณอายุเร็วกว่าที่คาดไว้ 5. ผู้บริโภคต้องมีความรู้ด้านการเงินเพื่อบริหารเงินออม การออมเงินในบัญชีธนาคารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ผู้บริโภคควรศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ผู้บริโภคควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อวางแผนการเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตน สรุป: การปรับลดเบี้ยประกันชีวิตตามตารางมรณะไทยปี 2560 ส่งผลดีต่อผู้บริโภคบางกลุ่ม แต่ผู้บริโภคต้องตระหนักถึงผลกระทบอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ผู้บริโภคควรมีความรู้ด้านการเงินและวางแผนการเงินอย่างรอบคอบเพื่อการเกษียณอย่างมั่นคง
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2744
Finance
ช่วยสรุปบทความ ทำความรู้จักวงจรเงินสด Cash Cycle (CC) ให้หน่อยนะคะ
วงจรเงินสด หรือ Cash Cycle (CC) คือ จำนวนวันที่กิจการจะได้รับเงินสดจากการดำเนินงาน เช่น ถ้าเป็นโรงงานผลิตสินค้าก็นับตั้งแต่วันแรกที่สั่งวัตถุดิบเข้ามาจนถึงวันที่ได้เงินสดจากลูกค้าว่าเป็นกี่วัน Cash Cycle = Inventory Conversion Period (ICP) + Receivable Conversion Period (RCP) – Payable Conversion Period (PCP) โดยนักลงทุนสามารถดูค่า CC ได้จากตลาดหลักทรัพย์โดยตรงโดยกดที่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียน >>> สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน ถ้า CC มีค่า 60 วันแปลว่ากิจการใช้เวลาตั้งแต่เริ่มทำงานไป 60 วันถึงจะได้เงินกลับมาจากการทำงานหนึ่งรอบกระบวนการ กิจการไหนได้ให้เครดิตลูกค้ายาว CC จะยาว บริษัทไหนได้เครดิตเจ้าหนี้ยาว CC จะสั้น และบริษัทไหนบริหารคลังสินค้าดี CC จะสั้นเช่นกัน ในการวิเคราะห์ไม่มี CC ที่เหมาะสมว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมที่ขายส่งเป็นหลัก เช่น ชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ บรรจุภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง CC มักจะยาว ในขณะที่อุตสาหกรรมที่ลูกค้ารายย่อยเยอะ เช่น ค้าปลีก โรงพยาบาล สื่อสาร โรงแรม ร้านอาหาร CC มักจะสั้น สำหรับผม การวิเคราะห์ CC ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมเป็นหลัก แต่ถ้าค่าต่ำว่า 90 วันก็ถือว่าหมุนเวียนเงินได้ดี ถ้าติดลบด้วยถือว่าสวยงามมาก แต่ถ้าเกิน 90 วันไปอาจต้องระวังว่าโอกาสเงินสดจะขาดมือง่ายถ้าธุรกิจสะดุด บริษัทแบบนี้ควรมีสถานะทางการเงินที่ดีเพื่อลดความเสี่ยง CC บอกถึงเงินลงทุนในอนาคตได้บางส่วน เนื่องจากบริษัทที่ CC ยาวจำเป็นต้องใส่เงินลงไปในกิจการก่อนเพื่อไปหมุนทำธุรกิจ ทำให้ยิ่งขยายกิจการ กระแสเงินสดจะลดลง เมื่อวิเคราะห์มูลค่าแบบ DCF อาจต้องคำนึงถึงปัจจัยตรงนี้ประกอบด้วยค่อนข้างสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือ CC ควรมีค่าใกล้เคียงเดิมหรือลดลง หากกิจการไหน CC สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลที่สมควรก็ต้องระวังไว้ว่าเหตุใดเงินจึงไหลเข้ากิจการช้าลง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการเก็บหนี้ไม่ได้ ซึ่งอาจจะมาจากธุรกิจมีปัญหา หรือเกิดพฤติธรรมไม่โปร่งใสในบริษัทก็เป็นได้
วงจรเงินสด หรือ Cash Cycle (CC) คือ จำนวนวันที่กิจการจะได้รับเงินสดจากการดำเนินงาน เช่น ถ้าเป็นโรงงานผลิตสินค้าก็นับตั้งแต่วันแรกที่สั่งวัตถุดิบเข้ามาจนถึงวันที่ได้เงินสดจากลูกค้าว่าเป็นระยะเวลากี่วัน โดยนักลงทุนสามารถดูค่า CC ได้จากตลาดหลักทรัพย์ กิจการไหนให้เครดิตลูกค้ายาว CC จะยาว บริษัทไหนได้เครดิตเจ้าหนี้ยาว CC จะสั้น และบริษัทไหนบริหารคลังสินค้าดี CC จะสั้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่มี CC ที่เหมาะสมว่าควรเป็นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม แต่โดยทั่วไปถ้าค่าต่ำว่า 90 วันก็ถือว่าหมุนเวียนเงินได้ดี ถ้าติดลบด้วยถือว่าสวยงามมาก แต่ถ้าเกิน 90 วันไปอาจต้องระวังว่าโอกาสเงินสดจะขาดมือง่ายถ้าธุรกิจสะดุด สิ่งสำคัญที่สุดคือ CC ควรมีค่าใกล้เคียงเดิมหรือลดลง หากกิจการไหน CC สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลที่สมควรก็ต้องระวังไว้ว่าเหตุใดเงินจึงไหลเข้ากิจการช้าลง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการเก็บหนี้ไม่ได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2745
Finance
ช่วยบอกแนวคิด เรื่อง "นำเสนอ 4+1 ข้อน่ารู้ก่อนลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า"
null
การลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) เป็นหนึ่งในแนวคิดที่มีความน่าสนใจอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีการเร่งเคลื่อนไหวเพื่อลดการใช้พลังงานที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวดเร็ว ดังนั้น การลงทุนใน EVs ต้องพิจารณาด้านต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด นี่คือ "4+1 ข้อน่ารู้" ที่ควรพิจารณาก่อนที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า 1. นโยบายและกฎหมาย: การลงทุนใน EVs ควรพิจารณานโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การส่งเสริมการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ เครื่องหมายสภาพแวดล้อมที่ต้องการของรถยนต์ เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และข้อกำหนดการผลิตของรถยนต์ที่เป็นไปได้ในอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนของคุณสอดคล้องกับนโยบายและกฎหมายที่กำหนดไว้ 2. พื้นฐานเทคโนโลยี: การทราบเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ใน EVs มีความสำคัญอย่างมาก เช่น ระยะทางการขับที่เท่าไหร่ที่ EVs สามารถขับได้หลังจากการชาร์จแบตเตอรี่ ระบบชาร์จและการเก็บพลังงาน เทคโนโลยีขับเคลื่อน และความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า เพื่อให้คุณสามารถทำการเปรียบเทียบระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าต่าง ๆ และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการและการใช้งานของคุณ 3. โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ: ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ EVs มีผลต่อความสะดวกสบายในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า การทราบถึงสถานที่ชาร์จ EVs ที่ใกล้เคียง รูปแบบการชาร์จ (เช่น ชาร์จด่วนหรือชาร์จเช้า) และค่าใช้จ่ายในการชาร์จ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะพิจารณาในการลงทุน 4. ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน: การทราบถึงค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ของ EVs เช่น ราคาซื้อ ค่าดูแลรักษา และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถประเมินผลตอบแทนของการลงทุนได้อย่างถูกต้อง +1. ความต้องการและพฤติกรรมของตลาด: ความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการและพฤติกรรมของตลาดในอุตสาหกรรม EVs เช่น ความสนใจของผู้บริโภค แนวโน้มในการเลือกใช้ EVs และการสนับสนุนจากภาครัฐ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนในรูปแบบที่เหมาะสมกับตลาดได้อย่างแม่นยำ การศึกษาและการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้อย่างถ่องแท้จะช่วยให้คุณทำการตัดสินใจในการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยควรคำนึงถึงความเหมาะสมของการลงทุนกับวัตถุประสงค์และความต้องการของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม.
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2748
Finance
การหาเงินไม่ใช่เพื่อจะนำเงินไปใช้เป็นหลัก แต่หาเงินเพื่ออะไร
แนวคิดของคนถือหุ้นระยะยาว ​ การลงทุนระยะยาวนั้นมีสิ่งหนึ่งที่ต้องปรับคือทัศนคติต่อทรัพย์สินและการลงทุน ไม่อย่างนั้น การลงทุนจะทำได้ยากมาก คำถามที่นักลงทุนเคยคิดคือ “ถือยาวแล้วเมื่อไหร่จะขายได้เงินออกมาใช้?” ทัศนคติผมเป็นแบบนี้ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าเงินที่นำมาลงทุนควรเป็นเงินเย็น หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่มีแผนจะใช้ เงินที่จะใช้ในระยะสั้นคือเงินหมุน เงินที่จะใช้ในเวลาข้างหน้าที่ไม่สั้นมากคือเงินออม แต่เงินที่แทบจะไม่มีแผนต้องใช้เลยคือ… เงินลงทุน ดังนั้น ผมมองว่าเราหาเงินไม่ใช่เพื่อจะนำเงินไปใช้เป็นหลัก แต่เราหาเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งอาจจะมีผลตอบแทนออกมาในรูปกระแสเงินสดบ้าง แต่ไม่ใช่กระทบกับต้นทุนทั้งก้อน สิ่งสำคัญคือ เงินก็มีค่า หุ้นก็มีค่า ไม่ใช่ว่าถือหุ้นแล้วต้องขายออกมาเป็นเงินสดเท่านั้น ผมแนะนำให้มองว่าเงินสดคือสินทรัพย์ผลตอบแทนต่ำ และหุ้นคือสินทรัพย์ผลตอบแทนสูง เราอาจมีการปรับจัดดัดแปลงบ้างตามความเหมาะสม แต่ไม่ใช่เพื่อใช้ สินทรัพย์เหล่านี้เพื่อหาผลตอบแทน ถือหุ้นไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อขายออกมาใช้ไม่ได้? คำถามคือขายออกมาก็ควรจะไม่ได้ใช้ เพราะมันเป็นเงินเย็น เงินไม่ใช่เพื่อใช้ แต่เพื่อสร้างความมั่งคั่ง เราขายออกมาถือเงินสด สุดท้ายก็ต้องหาทางลงให้เงินโดยการถือหุ้นใหม่อยู่ดี ดังนั้น ถ้าบริษัทยังดี เราจะขายออกมาทำไม เงินมีค่า หุ้นก็มีค่า นี่คือสิ่งสำคัญที่ต้องมองให้ขาด นักลงทุนพอร์ตใหญ่ๆ ไม่ให้จำเป็นต้องขายหุ้นพันล้านออกมาเพื่อใช้จ่าย เพื่อมันคนละส่วนกัน นี่มันส่วนของการต่อยอดความมั่งคั่ง อยากใช้จ่ายควรหารายได้ทางอื่น รับปันผลหรือดอกเบี้ย หรือแบ่งขายออกมาเล็กน้อย ไม่ใช่ขายออกมาทั้งหมด เวลามีคนมาปรึกษาว่ามีเงินเก็บรอซื้อรถ มีเงินเก็บรื้อบ้านอยู่จะลงทุนหุ้นดีไหม? ผมจะไม่แนะนำเลย ผมแนะนำเงินฝากไม่ประจำดอกเบี้ยสูง มากหน่อยก็ตราสารหนี้เท่านั้น คนชอบมองว่ามีเงินล้าน รอใช้ 5 ปี เอาไปลงทุนได้ปีละ 15% 5 ปีก็ 2 ล้านแล้ว ทำไมไม่ควรลงทุน ตังหายไปตั้งเยอะ คำตอบคือ แล้วถ้า 5 ปีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจตลาดหุ้นตกมา 50% หละ ตอนนั้นเงินเหลือ 5 แสน ซื้อบ้านได้ข้างฝาเดียวรับได้ไหม ถ้ารับได้ก็โอเค แยกให้ออกว่าก้อนไหนเพื่อใช้ ก้อนไหนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง เงินเย็นจริงจะถือได้ยาว ขายเมื่อเต็มมูลค่า มาผิดทาง หรือเห็นโอกาสการลงทุนที่ดีกว่า ไม่ใช่เพื่อจับเงินสด เงินสดไม่ใช่ทั้งหมดของความมั่งคั่ง แต่เงินสดเป็นแค่รูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง และหุ้นก็เป็นอีกรูปแบบเช่นกัน ลงทุนศาสตร์ –
ต้องเข้าใจก่อนว่า เงินที่นำมาลงทุนควรเป็นเงินเย็น หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่มีแผนจะใช้ เงินที่จะใช้ในระยะสั้นคือ เงินหมุน เงินที่จะใช้ในเวลาข้างหน้าที่ไม่สั้นมากคือ เงินออม แต่เงินที่แทบจะไม่มีแผนต้องใช้เลยคือ เงินลงทุน ดังนั้น การหาเงินไม่ใช่เพื่อจะนำเงินไปใช้เป็นหลัก แต่หาเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งอาจจะมีผลตอบแทนออกมาในรูปกระแสเงินสดบ้าง แต่ไม่ใช่กระทบกับต้นทุนทั้งก้อน สิ่งสำคัญ คือ เงินก็มีค่า หุ้นก็มีค่า ไม่ใช่ว่าถือหุ้นแล้วต้องขายออกมาเป็นเงินสดเท่านั้น แนะนำให้มองว่าเงินสดคือสินทรัพย์ผลตอบแทนต่ำ และหุ้นคือสินทรัพย์ผลตอบแทนสูง อาจมีการปรับจัดดัดแปลงบ้างตามความเหมาะสม แต่ไม่ใช่เพื่อใช้สินทรัพย์เหล่านี้ เพื่อหาผลตอบแทน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2750
Finance
อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนมือใหม่?
null
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนมือใหม่ คือ การทำความเข้าใจตัวเอง 1.เป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนแต่ละคนมีเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุนที่แตกต่างกัน การเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของตัวเอง 2.ความเสี่ยงที่รับได้: แต่ละคนมีระดับความเสี่ยงที่รับได้ไม่เท่ากัน การลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงเกินไป อาจนำไปสู่ความวิตกกังวล และอาจตัดสินใจผิดพลาด 3.วินัยและอารมณ์: การลงทุนต้องใช้เวลาและวินัย นักลงทุนต้องควบคุมอารมณ์ ไม่ใจร้อน ไม่ตัดสินใจผิดพลาดเพราะความกลัวหรือความโลภ วิธีทำความเข้าใจตัวเอง ถามตัวเอง: -ลงทุนเพื่ออะไร? -ต้องการผลตอบแทนระยะสั้นหรือระยะยาว? -รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน? -มีวินัยในการลงทุนมากแค่ไหน? ศึกษาข้อมูล: -ศึกษาประเภทของกองทุนรวม -ศึกษาความเสี่ยงของกองทุนรวม -ศึกษาผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนรวม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: -ปรึกษาตัวแทนขายกองทุนรวม -ปรึกษา CFP (Certified Financial Planner) ข้อควรระวัง: 1. อย่าลงทุนตามกระแส: เลือกกองทุนที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ควรลงทุนตามกระแส ไม่ควรลงทุนเพราะเห็นคนอื่นได้กำไร 2. อย่าเชื่อคำโฆษณา: ศึกษาข้อมูลด้วยตัวเอง ไม่ควรเชื่อคำโฆษณา ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต สรุป: การทำความเข้าใจตัวเอง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนมือใหม่ คำแนะนำเพิ่มเติม: -เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย -เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุน -ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ -ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ -อดทน รอคอยผลตอบแทน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2751
Finance
จงสรุปเรื่อง คุณเป็นนักออมเงินสายไหน ให้หน่อยค่ะ
หัวข้อ คุณเป็นนักออมเงินสายไหน? ทุกวันนี้มีวิธีการออมเงินออกมาหลายหลายวิธีมาก แต่ละคนจะมีนิสัยการออมเงินแตกต่างกันไป ขึ้นกับรายรับ-รายจ่ายและรูปแบบการดำเนินชีวิต แล้วเราเป็นนักออมเงินสายไหนกันใน 6 สายนี้ ไปดูกันเลยค่ะ ทุกวันนี้มีวิธีการออมเงินออกมาหลายหลายวิธีมาก แต่ละคนจะมีนิสัยการออมเงินแตกต่างกันไป ขึ้นกับรายรับ-รายจ่ายและรูปแบบการดำเนินชีวิต แล้วเราเป็นนักออมเงินสายไหนกันใน 6 สายนี้ ไปดูกันเลยค่ะ สายออมก่อนใช้ สายนี้จะเป็นสายที่เมื่อได้รายรับมาจะหักเงินออมออกทันที เหลือเท่าไหร่ ใช้เท่านั้น มักจะหักในจำนวนที่เท่าๆ กันทุกเดือน เพื่อนำเงินไปใช้ในจุดประสงค์ต่างๆ เช่น เก็บเงินซื้อของ นำเงินไปลงทุนแบบ DCA (ลงทุนในจำนวนที่เท่าๆ กันทุกเดือน) เป็นต้น สายนี้จะเป็นสายที่เมื่อได้รายรับมาจะหักเงินออมออกทันที เหลือเท่าไหร่ ใช้เท่านั้น มักจะหักในจำนวนที่เท่าๆ กันทุกเดือน เพื่อนำเงินไปใช้ในจุดประสงค์ต่างๆ เช่น เก็บเงินซื้อของ นำเงินไปลงทุนแบบ DCA (ลงทุนในจำนวนที่เท่าๆ กันทุกเดือน) เป็นต้น สายเหลือค่อยเก็บ สายนี้จะขอใช้ก่อน เหลือเท่าไหร่ค่อยว่ากัน บางเดือนอาจจะมีรายจ่ายมาก ทำให้ไม่เหลือเก็บ สายนี้จะขอใช้ก่อน เหลือเท่าไหร่ค่อยว่ากัน บางเดือนอาจจะมีรายจ่ายมาก ทำให้ไม่เหลือเก็บ สายไม่ยืมชาวบ้านก็บุญแล้วจ้า สายที่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน อย่าถามว่าออมเงินแบบไหนเลย แค่ใช้แบบไม่ต้องไปยืมคนอื่นก็ลำบากแล้วจ้า สายที่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน อย่าถามว่าออมเงินแบบไหนเลย แค่ใช้แบบไม่ต้องไปยืมคนอื่นก็ลำบากแล้วจ้า สายเก็บตามใจฉัน สายนี้อาจจะรู้สึกว่า “สายออมก่อนใช้” ลำบากไป เพราะอาจจะมีรายรับหรือรายจ่ายต่อเดือนที่ไม่แน่นอน เลยชอบเก็บแบบตามใจฉัน เช่น เก็บแบงค์ 20 แบงค์ 50 เก็บเงินตามวันที่ เก็บเงินเมื่อกระทำความผิด!!! (กินของหวานเกินกำหนด, กลับบ้านไม่ตรงเวลา, ออกกำลังกายไม่ครบตามเป้าหมาย เป็นต้น) สายนี้อาจจะรู้สึกว่า ลำบากไป เพราะอาจจะมีรายรับหรือรายจ่ายต่อเดือนที่ไม่แน่นอน เลยชอบเก็บแบบตามใจฉัน เช่น เก็บแบงค์ 20 แบงค์ 50 เก็บเงินตามวันที่ เก็บเงินเมื่อกระทำความผิด!!! (กินของหวานเกินกำหนด, กลับบ้านไม่ตรงเวลา, ออกกำลังกายไม่ครบตามเป้าหมาย เป็นต้น) สายให้เพื่อนยืม สายใจอ่อน รู้สึกว่าเงินเราก็เหมือนเงินเขา เขามาขอยืมก็ให้ไป และตัวเองก็จะไม่ค่อยเหลือใช้เพราะเขาไม่คืน ไปทวงก็รู้สึกผิด ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้าหนี้นะ!!! สายใจอ่อน รู้สึกว่าเงินเราก็เหมือนเงินเขา เขามาขอยืมก็ให้ไป และตัวเองก็จะไม่ค่อยเหลือใช้เพราะเขาไม่คืน ไปทวงก็รู้สึกผิด ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้าหนี้นะ!!! สายติดหนี้ยืมสิน สายที่รายรับ ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จำเป็นต้องยืมคนอื่นมาเพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละเดือน ซึ่งจะไม่ค่อยเหลือเงินไปคืนเจ้าหนี้หรอก เพราะเราชอบยืมไปเที่ยว ไปกินอาหารหรูๆ สายที่รายรับ ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จำเป็นต้องยืมคนอื่นมาเพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละเดือน ซึ่งจะไม่ค่อยเหลือเงินไปคืนเจ้าหนี้หรอก เพราะเราชอบยืมไปเที่ยว ไปกินอาหารหรูๆ จะเห็นว่าแต่ละสายนั้นมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละคน แต่ถ้าอยากสร้างวินัยการออมเงิน สิ่งแรกที่ต้องทำคือจดรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้เห็นว่าเรามีรายจ่ายอะไรบ้าง ใช้จ่ายมากเกินรายรับหรือไม่ รายจ่ายหลักของเราอยู่ที่ส่วนไหน ถ้ามองหาวิธีการลดรายจ่ายได้ จะทำให้เหลือเงินออมมากขึ้น และทำให้เราเป็นนักออมเงินที่มีวินัยในที่สุดค่ะ จะเห็นว่าแต่ละสายนั้นมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละคน แต่ถ้าอยากสร้างวินัยการออมเงิน สิ่งแรกที่ต้องทำคือจดรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้เห็นว่าเรามีรายจ่ายอะไรบ้าง ใช้จ่ายมากเกินรายรับหรือไม่ รายจ่ายหลักของเราอยู่ที่ส่วนไหน ถ้ามองหาวิธีการลดรายจ่ายได้ จะทำให้เหลือเงินออมมากขึ้น และทำให้เราเป็นนักออมเงินที่มีวินัยในที่สุดค่ะ ​
การออมเงินถือเป็นเรื่องที่ดีและควรทำ แต่ละคนก็จะมีนิสัยการออมเงินแตกต่างกัน การออมเงินก็มีหลากหลายวิธีมาก แล้วเราเป็นนักออมเงินแบบไหน มาดูกัน 1.สายออมก่อนใช้ ขอใช้ก่อน เหลือเท่าไหร่ค่อยว่ากัน บางเดือนอาจจะมีรายจ่ายมาก ทำให้ไม่เหลือเก็บ 2.สายไม่ยืมคนอื่นก็ถือว่าดีแล้ว ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน อย่าถามเรื่องการออม แค่ไม่ไปยืมคนอื่นใช้ก็ดีมากแล้วหล่ะ 3.สายให้เพื่อนยืม ใจอ่อน เพื่อนมาขอก็ให้ยืม ตัวเองก็จะไม่ค่อยเหลือใช้เพราะเขาไม่คืน ไปทวงก็รู้สึกผิด สายนี้เสียเพื่อนกันมาเยอะแล้ว 4.สายเก็บตามใจฉัน รายรับหรือรายจ่ายต่อเดือนที่ไม่แน่นอน เลยชอบเก็บแบบตามใจฉัน เช่นเก็บตามแบงค์ เช่น เก็บ แบงค์ 50 แบงค์ 100 แต่ยังไงก็ดี ยังถือว่าได้เก็บล่ะนะ 5.สายติดหนี้ยืมสิน รายรับ ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จำเป็นต้องยืมคนอื่นมาเพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละเดือน ยืมไปทั่ว มักจะเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งจะไม่ค่อยเหลือเงินไปคืนเจ้าหนี้หรอก ถ้าอยากสร้างวินัยการออมเงิน สิ่งแรกที่ต้องทำคือจดรายรับรายจ่าย เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพรวมทั้งหมดของค่าใช้จ่ายเรา ถ้ามองหาวิธีการลดรายจ่ายได้ จะทำให้เหลือเงินออมมากขึ้น และทำให้เราเป็นนักออมเงินที่มีวินัยนะจ๊ะ
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2753
Finance
ข้อใดกล่าวถึงสิ่งที่แปรผันผกผันกับจำนวนเงินที่จะต้องเตรียม คือ ยิ่งเยอะ ยิ่งต้องเตรียมเงินน้อย ได้ถูกต้อง
A. ผลต่างของอายุขัยและอายุที่เกษียณ B. เงินเฟ้อ C. Lifestyle ที่ต้องการจะใช้ D. ผลตอบแทน ภายหลังมีอิสรภาพทางการเงิน E. หนี้สินที่ยังต้องจ่ายอยู่
คำตอบคือ D. เพราะว่า เพราะผลตอบแทน ภายหลังมีอิสรภาพทางการเงิน กล่าวถึงสิ่งที่แปรผันผกผันกับจำนวนเงินที่จะต้องเตรียม คือ ยิ่งเยอะ ยิ่งต้องเตรียมเงินน้อย ได้ถูกต้อง ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวถึงสิ่งที่แปรผันตรงกับ จำนวนเงินที่จะต้องเตรียม คือ ยิ่งเยอะ ยิ่งต้องเตรียมเงินเยอะ สิ่งที่แปรผันตรงกับ จำนวนเงินที่จะต้องเตรียม คือ ยิ่งเยอะ ยิ่งต้องเตรียมเงินเยอะ - ผลต่างของอายุขัยและอายุที่เกษียณ เช่น อายุเกษียณ 50 อายุขัย 80 - Lifestyle ที่ต้องการจะใช้ ถ้ายังต้องการกินหรู ยิ่งต้องเตรียมเยอะ - หนี้สินที่ยังต้องจ่ายอยู่ ถ้ายิ่งมาก ยิ่งต้องเตรียมเงินมากขึ้น - เงินเฟ้อ ยิ่งสูง ยิ่งต้องเตรียมเงินมากขึ้น สิ่งที่แปรผันผกผันกับ จำนวนเงินที่จะต้องเตรียม คือ ยิ่งเยอะ ยิ่งต้องเตรียมเงินน้อย - สุขภาพของตนเองหลังมีอิสรภาพทางการเงิน ยิ่งสุขภาพดี ยิ่งเตรียมเงินน้อย - ผลตอบแทน ภายหลังมีอิสรภาพทางการเงิน ยิ่งผลตอบแทนเยอะ ยิ่งเตรียมเงินน้อย
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2754
Finance
อยากเป็น นักลงทุนแบบ VI ต้องทำอย่างไร?
null
อยากเป็นนักลงทุนแบบ VI ต้องทำอย่างไร? ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจ Value Investment (VI) กันก่อน VI คือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า โดยมุ่งเน้นการศึกษาและวิเคราะห์หา "มูลค่าที่แท้จริง" ของ "ธุรกิจ" ไม่ใช่ราคาหุ้น มูลค่าที่แท้จริง คือ กระแสเงินสดทั้งหมดที่จะได้รับจากเงินปันผลหรือผลตอบแทนอื่น ๆ ในอนาคตของบริษัท โดยคำนึงถึงต้นทุนของเงินที่เราลงทุน วิธีการ 1. ศึกษาธุรกิจ: - บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร? - มียอดขาย กำไรเท่าไร? - จ่ายปันผลได้เท่าไร? - บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่สม่ำเสมอหรือไม่? - บริษัทมีความแข็งแกร่งในด้านการตลาดหรือไม่? 2. วิเคราะห์การเติบโต: - อุตสาหกรรมจะโตต่อไปอีกนานแค่ไหน? - บริษัทจะโตต่อไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน? - บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่งมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่? 3. ประเมินคุณภาพของกิจการ: - บริษัทที่แข็งแกร่งมากและโตเร็วมาก = Great Company - บริษัทที่แข็งแกร่งมากแต่ไม่โต = Good Company - บริษัทที่ไม่แข็งแกร่งแต่โตเร็ว = Growth Company 4. เรียนรู้เรื่องราคาหุ้น: - วิเคราะห์หา "มูลค่าที่แท้จริง" - ใช้ค่า PE ค่า PB Dividend Yield และ Market Cap. เป็นตัวช่วย - เปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่น ๆ ในตลาดโดยเฉลี่ย 5. เปรียบเทียบคุณภาพกับราคา: - หุ้นที่แข็งแกร่งและเติบโตดีอาจจะมีราคาสูง - หุ้นที่มีราคาถูกมากอาจจะไม่คุ้มถ้าคุณภาพของกิจการแย่มาก คุณสมบัติของนักลงทุน VI ที่ดี ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ตั้งคำถามเสมอ มีความสามารถในการวิเคราะห์ตัวกิจการหรือบริษัทได้ถูกต้อง ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าพื้นฐานที่แท้จริงมากพอ ข้อควรระวัง ตลาดหุ้นเต็มไปด้วย "อวิชชา" และ "ข่าวลวง" ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่แพงเกินคุณภาพ สรุป การเป็นนักลงทุน VI ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ในการเรียนรู้และสะสมความรู้เกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2755
Finance
จงสรุป "ปัจจัย 20 ที่ผู้ลงทุนควรพิจารณา: การวิเคราะห์บทบาทของปัจจัยที่สำคัญในการลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพและยังคงเติบโต" ให้หน่อยคะ
ปกติเวลาผมลงทุนผมมักจะมองหาธุรกิจที่มีคุณภาพดี และที่สำคัญควรจะดีกว่าตลาดด้วย หลังจากลงทุนมาระยะเวลาหนึ่งก็พบว่าลักษณะธุรกิจที่ชอบและสนใจมักจะมีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกัน จนพอจะมาจุดร่วมมาคิดเป็นหลักคิด เพื่อความรวดเร็วในการหาหุ้นครั้งต่อไปได้ หลักที่ว่ามีดังนี้ บริษัทเติบโตไปกับ mega trend ได้แก่ urbanization, aging society และ tourism hub บริษัทมีแบรนด์คือลูกค้ารับรู้ได้ถึงความแตกต่างในการใช้สินค้าและบริการของบริษัทเทียบกับบริษัทอื่น ถ้านำชื่อแบรนด์ออก ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะไม่ใช้สินค้าอีกต่อไป บริษัทไม่ใช่โภคภัณฑ์ บริษัทตั้งราคาสินค้าได้โดยอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าโลก นโยบายรัฐบาล หรือสนามการแข่งขันที่รุนแรง บริษัทขายบริการเป็นหลัก ผลประกอบการอิงอยู่กับต้นทุนสินค้าน้อย อัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่ บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันไม่รุนแรง หรือถ้าแข่งขันจะไม่เน้นแข่งขันด้านราคา แต่พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการมากกว่า บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งหรือสองแต่มีแนวโน้มจะเป็นหนึ่ง ในกรณีที่ตลาดมี segmentation มาก บริษัทต้องเป็นอันดับหนึ่งในตลาด niche ของตนเอง ลูกค้ามีความภักดีต่อบริษัทปานกลางถึงสูง ลูกค้าต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะย้ายไปใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทอื่น สินค้าหรือบริการที่ขายต้องมีอายุการใช้งานไม่เกิน 3 ปี บริษัทขายสินค้าหรือบริการที่ลูกค้ามีความเต็มใจที่จะจ่าย หรือไม่มีความรู้สึกผิดที่จะจ่าย หาสินค้าทดแทนได้ยาก บริษัทมีอำนาจเหนือซัพพลายเออร์อย่างชัดเจน หากไม่ใช่ความสามารถด้านการต่อรองราคาก็เป็นความเกรงใจในการทำธุรกิจ คู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามาทำได้ยาก หรือทำได้ไม่ยากแต่จะขยายขนาดให้เท่ากับบริษัทได้ยาก สินค้าหรือบริการที่ขายมีแนวโน้มที่จะต้องใช้ต่อไปอย่างต่อเนื่องถึงแม้เศรษฐกิจจะซบเซา บริษัทมีแนวโน้มยอดขายที่แข็งแรง ผันผวนต่ำ หากสร้างรายได้แล้ว ยากที่จะลดลงในระยะยาว สินค้าและบริการช่วยชดเชยหรือสร้างมูลค่าในสิ่งที่ตีราคาเป็นเงินได้ยากจนผู้บริโภคไม่สามารถตัดสินได้ชัดเจนว่าสินค้าและบริการนั้นถูกหรือแพง ส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง หรือรักษาไว้ได้ในระดับสูงแต่คุณภาพการทำกำไรดีขึ้น กำไรของธุรกิจเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ตลาดของสินค้าและบริการกว้างและยังไม่มีทีท่าจะอิ่มตัวหรือถดถอย ยิ่งมีแนวโน้มจะขยายฐานไปต่างประเทศได้ยิ่งดี บริษัทอยู่ในอุตสากรรมที่เติบโตดีกว่า GDP ผู้บริหารมองเห็นผู้ถือหุ้นเป็นเจ้าของร่วมคนหนึ่ง มีศักดิ์และศรีเทียบเท่ากับเจ้าของที่สร้างบริษัทมา ไม่ใช่แค่มองเห็นผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นเพียงแค่แหล่งระดมทุนราคาถูก ผมเองมองหาปัจจัยทั้ง 20 ข้อในการลงทุนเสมอ หากบริษัทไหนมีปัจจัยเหล่านี้มาก มูลค่าหุ้นที่ให้เวลาประเมินมักจะสูงเพราะถือว่ามีคุณภาพดี แต่ถ้าหากบริษัทไหนมีปัจจัยเหล่านี้น้อย มูลค่าที่ประเมินได้ก็จะตรงกันข้ามกัน ถือว่า 20 เรื่องพื้นฐานที่ผมมองจนติดเป็นนิสัยเลยทีเดียว ลงทุนศาสตร์ –
สรุปได้ดังนี้นะคะ ผู้ลงทุนมองหาธุรกิจที่มีคุณภาพดีและเน้นให้ดีกว่าตลาด พบว่าธุรกิจที่ชอบมักมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกัน 1. เลือกลงทุนในธุรกิจที่เติบโตไปกับ mega trend เช่น urbanization, aging society, และ tourism hub 2. แต่ละธุรกิจมีแบรนด์ที่ลูกค้ารับรู้ถึงความแตกต่าง ถ้านำชื่อแบรนด์ออก ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะไม่ใช้สินค้าอีก 3. ไม่ใช่ธุรกิจโภคภัณฑ์ 4. สามารถตั้งราคาสินค้าอิสระและไม่ขึ้นอยู่กับตลาดโลก, นโยบายรัฐบาล, หรือการแข่งขันที่รุนแรง 5. ขายบริการเป็นหลัก, มีต้นทุนสินค้าน้อย, อัตรากำไรคงที่ 6. ไม่อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันรุนแรง 7. มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่แข็งแรง 8. ลูกค้ามีความภักดีต่อบริษัท 9. สินค้าหรือบริการมีอายุการใช้งานไม่เกิน 3 ปี 10. ขายสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าเต็มใจจ่าย หรือไม่รู้สึกผิดที่จะจ่าย 11. มีอำนาจเหนือซัพพลายเออร์ 12. คู่แข่งรายใหม่เข้ามาทำได้ยาก 13. สินค้าหรือบริการต้องใช้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง 14. มีแนวโน้มยอดขายที่แข็งแรง, ผันผวนต่ำ 15. สินค้าและบริการช่วยชดเชยหรือสร้างมูลค่า 16. ส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง 17. กำไรของธุรกิจเป็นขาขึ้น 18. ตลาดของสินค้าและบริการกว้างและยังไม่มีทีท่าจะอิ่มตัวหรือถดถอย 19. บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตดีกว่า GDP 20. ผู้บริหารมองเห็นผู้ถือหุ้นเป็นเจ้าของร่วม ** ผู้ลงทุนให้ความสำคัญกับปัจจัยเหล่านี้เพื่อประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทและทำการลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพดี.
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2757
Finance
ตลาดเครื่องสำอางจีนมีมูลค่ามหาศาล โดยถูกขับเคลื่อนด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่อะไรบ้าง
หรือตลาดเครื่องสำอางจะใหญ่กว่าที่คิด? ​ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเครื่องสำอางกลายเป็นของใช้จำเป็นสำหรับหลายๆคนโดยเฉพาะคนยุค Millennial ที่ปัจจุบันจะมีอายุตั้งแต่ 17-37ปี วันนี้เราเริ่มเห็นเด็กมัธยมใช้เครื่องสำอางกันมากขึ้น สุภาพสตรีหรือแม้กระทั่งสุภาพบุรุษก็หันมาใช้เครื่องสำอางกันมากขึ้น จนกลายเป็น Beauty Trend ที่คนแทบทุกคนต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง ที่สำคัญคือ Beauty Trend กลายเป็น ธีมการลงทุนของนักลงทุนหุ้นหลายคนไปแล้วด้วย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราได้เห็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยหลายบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องสำอางตั้งแต่เริ่ม และ บริษัทที่เปลี่ยน Business Model จากการทำธุรกิจอื่นมาทำธุรกิจเครื่องสำอาง กลายเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงจากการเติบโตของราคา กำไรและการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท หลายบริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหลายหมื่นล้านบาทเลยเช่นกัน แต่เมื่อพูดถึงตลาดเครื่องสำอางของโลกแล้ว ตลาดจะใหญ่กว่าของไทยอีกหลายเท่าตัว และมีบริษัทหลายบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยซึ่งมี รายได้ กำไร และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่าบริษัทไทยเป็นร้อยเท่าตัวที่เป็น Key Player ในตลาด ในปี 2015 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอุปสงค์ของเครื่องสำอางเยอะที่สุดในโลกโดยคิดเป็น 36% ของอุปสงค์โลก รองลงมาคือ ยุโรปตะวันตกที่ 21% โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อุปสงค์หลักมาจากประเทศจีนและญี่ปุ่น Highlight: ตลาดเครื่องสำอางจีนมูลค่ามหาศาล โดยตลาดเครื่องสำอางจีนถูกขับเคลื่อนด้วย 5 ปัจจัยหลักดังนี้ 1) จำนวนประชากร ตลาดที่มีอัตราการเติบโตเร็วมากและใหญ่มากคือประเทศจีนที่มีประชากรยุค Millennial กว่า 400ล้านคนซึ่งเป็นสุภาพสตรีถึง 200ล้านคน ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทย เฉพาะคนยุค Millenial ในจีนมีจำนวนประชากรเยอะกว่าประชากรทั้งประเทศของไทยเกือบ 6 เท่าตัว 2) ชาวจีนยังซื้อเครื่องสำอางน้อยมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น ประเทศจีนยังมีโอกาศโตอีกสูงมากเนื่องจากข้อมูลจาก Euromonitor บอกว่าหญิงชาวจีนอายุมากกว่า 15ปี ใช้จ่ายซื้อเครื่องสำอางเพียง 1,400บาทต่อปีเท่านั้น เปรียบเทียบกับหญิงชาวญี่ปุ่นที่ใช้เกือบ 13,000บาทต่อปีและไม่ได้มีการเติบโตมาก ในขณะที่จีนมีการเติบโตสูงมากมาตลอด 3) ชาวจีนชอบของคุณภาพดีจากต่างประเทศ โดยลักษณะนิสัยของลูกค้าชาวจีนคือ ชอบเครื่องสำอางที่เป็นแบรนด์จากต่างประเทศมาก โดยปัจจุบันมีบริษัทต่างประเทศที่เข้าไปบุกตลาดจีนมาเยอะแล้ว บริษัทใหญ่ๆ เช่น L’Oréal, Shiseido, Amore Pacific, Proctor & Gamble และอีกมากมาย บริษัทเหล่านี้สร้างรายได้จากชาวจีนได้สูงมากจนลูกค้าชาวจีนกลายเป็นกลุ่มรายได้หลักให้กับหลายๆบริษัทเลยทีเดียว 4) E-Commerce สำหรับเครื่องสำอางโตเร็วก้าวกระโดด ชาวจีนนิยมสั่งซื้อเครื่องสำอางจากช่องทาง E-Commerce มากขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลจาก Euromonitor ให้ข้อมูลว่าในปี 2010 มีเพียง 10% ของยอดขายเครื่องสำอางในจีนที่ขายผ่านทาง E-Commerce เท่านั้น แต่ในปี 2016 กลับโตขึ้นมาเป็น 20% ของยอดขาย จนไปแย่งของช่องทาง Offline ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่บริษัทเครื่องสำอางเน้นมากๆ โดยต้องทำให้ Online Platform ของตัวเองให้แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับของชาวจีนให้ได้ 5) ชาวจีนชอบ Shopping Dutyfree เวลาเที่ยวต่างประเทศ นอกจากบริษัทเหล่านี้จะนำสินค้าเข้าไปขายในจีนแล้ว บริษัทเหล่านี้ยังนำสินค้าขยายไปยังช่องทางการจัดจำหน่ายอย่าง Duty Free อีกด้วย ซึ่งคนจีนเริ่มมีการท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นแล้ว และทุกครั้งที่เที่ยวต่างประเทศ คนจีนจะ Shopping เต็มที่โดยเฉพาะใน Duty Free โดย บริษัท Amore Pacific เจ้าของแบรนด์อย่าง ETUDE Innisfree และ Sulwhasoo มีรายได้จากช่องทาง Duty Free เกิน 40% ของรายได้รวมเพราะคนจีนซื้อไปใช้เป็นจำนวนมาก ตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดที่ใหญ่ที่มีคู่แข่งพร้อมที่จะเข้าไปแย่ง Market Share โดยเฉพาะในตลาดที่มีการเติบโต และมีโอกาศที่จะเติบโตสูงขึ้นไปอีก ซึ่งประเทศจีนเป็นหนึ่งในนั้น ที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เราเคยได้ยินชื่อเข้าไปบุกตลาดเหล่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากบริษัทต่างชาติที่เข้าไปในตลาดชาวจีนแล้ว ยังมีบริษัทในไทยหลายบริษัทเช่นกันที่สามารถสร้างรายได้และผลกำไรจากชาวจีนได้สูงมาก ซึ่งไม่ใช่แค่บริษัทที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางเท่านั้นแต่ขายอย่างอื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นอีก Trend นึงที่น่าติดตามคือ Trend ลูกค้าชาวจีนนั่นเอง
ตลาดเครื่องสำอางจีนมีมูลค่ามหาศาล โดยถูกขับเคลื่อนด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่ 1) จำนวนประชากร ตลาดที่มีอัตราการเติบโตเร็วมากและใหญ่มากคือประเทศจีนที่มีประชากรยุค Millennial กว่า 400 ล้านคนซึ่งเป็นสุภาพสตรีถึง 200 ล้านคน ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทย เฉพาะคนยุค Millenial ในจีนมีจำนวนประชากรเยอะกว่าประชากรทั้งประเทศของไทยเกือบ 6 เท่าตัว 2) ชาวจีนยังซื้อเครื่องสำอางน้อยมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น ประเทศจีนยังมีโอกาสโตอีกสูงมากเนื่องจากข้อมูลจาก Euromonitor บอกว่าหญิงชาวจีนอายุมากกว่า 15 ปี ใช้จ่ายซื้อเครื่องสำอางเพียง 1,400 บาทต่อปีเท่านั้น เปรียบเทียบกับหญิงชาวญี่ปุ่นที่ใช้เกือบ 13,000 บาทต่อปีและไม่ได้มีการเติบโตมาก ในขณะที่จีนมีการเติบโตสูงมากมาตลอด 3) ชาวจีนชอบของคุณภาพดีจากต่างประเทศ โดยลักษณะนิสัยของลูกค้าชาวจีนคือ ชอบเครื่องสำอางที่เป็นแบรนด์จากต่างประเทศมาก โดยปัจจุบันมีบริษัทต่างประเทศที่เข้าไปบุกตลาดจีนมาเยอะแล้ว บริษัทใหญ่ๆ เช่น L’Oréal, Shiseido, Amore Pacific, Proctor & Gamble และอีกมากมาย บริษัทเหล่านี้สร้างรายได้จากชาวจีนได้สูงมากจนลูกค้าชาวจีนกลายเป็นกลุ่มรายได้หลักให้กับหลายๆ บริษัทเลย 4) E-Commerce สำหรับเครื่องสำอางโตเร็วก้าวกระโดด ชาวจีนนิยมสั่งซื้อเครื่องสำอางจากช่องทาง E-Commerce มากขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลจาก Euromonitor ให้ข้อมูลว่าในปี 2010 มีเพียง 10% ของยอดขายเครื่องสำอางในจีนที่ขายผ่านทาง E-Commerce เท่านั้น แต่ในปี 2016 กลับโตขึ้นมาเป็น 20% ของยอดขาย จนไปแย่งของช่องทาง Offline ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่บริษัทเครื่องสำอางเน้นมากๆ โดยต้องทำให้ Online Platform ของตัวเองให้แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับของชาวจีนให้ได้ 5) ชาวจีนชอบ Shopping Dutyfree เวลาเที่ยวต่างประเทศ นอกจากบริษัทเหล่านี้จะนำสินค้าเข้าไปขายในจีนแล้ว บริษัทเหล่านี้ยังนำสินค้าขยายไปยังช่องทางการจัดจำหน่ายอย่าง Duty Free อีกด้วย ซึ่งคนจีนเริ่มมีการท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นแล้ว และทุกครั้งที่เที่ยวต่างประเทศ คนจีนจะ Shopping เต็มที่โดยเฉพาะใน Duty Free โดย บริษัท Amore Pacific เจ้าของแบรนด์อย่าง ETUDE Innisfree และ Sulwhasoo มีรายได้จากช่องทาง Duty Free เกิน 40% ของรายได้รวมเพราะคนจีนซื้อไปใช้เป็นจำนวนมาก
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2759
Finance
เหตุการณ์อะไรบ้าง ที่จะทำให้เงินเกษียณหายไป
ระวังสะดุดก้อนหินล้ม ทำให้แผนเกษียณพังไปด้วย!!! ​ ทุกคนมีฝันและมีเป้าหมายทางการเงินแตกต่างกันไป เช่น คนมีลูกทุกคนอยากให้ลูกมีอนาคตดี ก็ยอมจ่ายแพงเพื่อจะให้ลูกเขาเรียนที่ดี บ้างคนอยากมีชีวิตเกษียณที่เป็นสุข มีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดมือพยายามเกษียณ เวลาเจ็บป่วย ก็มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่ระหว่างทางเดินของชีวิตของคุณเรามันจะมีทั้งสุขและทุกข์ ผสมกันไป ทางการของการเงินก็เช่นกัน ระหว่างที่คุณสะสมเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินเพื่อเกษียณของคุณอยู่นั้น คุณอาจเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เงินคุณหายไป เหตุการณ์ที่คุณไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด ทำให้แผนการเงินของคุณที่ฝันไว้ ไม่พบกับความสำเร็จที่คาดหวังไว้ เหตุการณ์อะไรบ้างละที่จะทำให้เงินเกษียณของคุณหายไป 1. ความเจ็บป่วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคกล้ามเนื้อเสื่อม หรือไตวาย โรคที่คุณไม่รู้จัก โรคเหล่านี้เกิดจากความผิดปกติของ DNA หรือการถ่ายถอดจากพ่อแม่ โรคพวกนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก หลายล้านบาท 2. ความเสียหายด้านสินทรัพย์ เช่นไฟไหม้บ้าน ไฟไหม้คลังสินค้า เร็วๆ มีลูกค้าของผมคนหนึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจ ไฟฟ้าร้านค้าที่มีคลังสินค้า เสียหายไป 30 ล้านบาท คนงาน 2 คนต้องเข้าโรงพยาบาล ธุรกิจที่วางแผนว่าจะขยายต้องหยุดชะงัก แม้ว่าเขาจะมีประกันไฟ แต่ก็เก่ามากไม่ได้กลับมาทบทวนว่า เหมาะสมกับเหตุการณ์ในปัจจุบันหรือไม่ 3. อุบัติเหตุ เช่น รถชน ทำให้สินทรัพย์และชีวิตเสียหาย ทำให้คุณจะต้องเสียเงินเพื่อรักษาตัว หรือ อาจจะร้ายแรงถึงเป็นทุพพลภาพ ดังนั้นถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดกับคุณ เหตุการณ์เหล่านี้จะทำให้เงินของคุณหายไป จะมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ เราเรียกว่า ความเสี่ยงของเหตุการณ์ที่คุณจะต้องพบเจอ ชีวิตของคุณเจอความเสี่ยงตลอดเวลาจะมากหรือน้อย ขึ้นกับการใช้ชีวิตของคุณ ผมมีแนวคิดในการจัดการเหตุการณ์เหล่านี้ทางการเงินดังนี้ อย่ายอมให้แผนการเงินปราศจากแผนปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection) โอกาสเหตุการณ์เหล่านี้ เกิดน้อย แต่กระทบกับการเงินของคุณเยอะให้รีบป้องกันความเสี่ยงก่อน เช่น เหตุการณ์อะไรที่โอกาสเกิดน้อยแต่ผลกระทบเยอะ อย่าง มะเร็ง โรคร้ายแรง อุบัติเหตุแล้วเป็นทุพพลภาพ หรือเหตุการณ์อะไรที่โอกาสมากแต่ผลกระทบน้อย เช่น เป็นหวัด เป็นต้น หลีกเลี่ยงและป้องกันความเสี่ยงนั้น เช่น มั่นตรวจสอบระบบระบบไฟฟ้าภายในบ้านและติดตั้งระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร จัดการโอนความเสี่ยงให้ประกันเป็นคนรับผิดชอบความเสียหาย ความเสี่ยงยังคงอยู่ที่คุณแต่ความรับผิดชอบความเสียหายอยู่ที่คนอื่น ความประมาทเป็นหนทางของความตาย แต่ความประมาททางการเงิน ไม่จัดการความเสี่ยง เป็นหนทางของความจน สมพจน์ พัดสุวรรณ ‪#wealthguru
1. ความเจ็บป่วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคกล้ามเนื้อเสื่อม หรือไตวาย โรคที่ไม่รู้จัก โรคเหล่านี้เกิดจากความผิดปกติของ DNA หรือการถ่ายถอดจากพ่อแม่ โรคพวกนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก หลายล้านบาท 2. ความเสียหายด้านสินทรัพย์ เช่น ไฟไหม้บ้าน ไฟไหม้คลังสินค้า - ตัวอย่างเช่น มีลูกค้าคนหนึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจ ไฟฟ้าร้านค้าที่มีคลังสินค้า เสียหายไป 30 ล้านบาท คนงาน 2 คนต้องเข้าโรงพยาบาล ธุรกิจที่วางแผนว่าจะขยายต้องหยุดชะงัก แม้ว่าเขาจะมีประกันไฟ แต่ก็เก่ามากไม่ได้กลับมาทบทวนว่า เหมาะสมกับเหตุการณ์ในปัจจุบันหรือไม่ 3. อุบัติเหตุ เช่น รถชน ทำให้สินทรัพย์และชีวิตเสียหาย ทำให้จะต้องเสียเงินเพื่อรักษาตัว หรือ อาจจะร้ายแรงถึงเป็นทุพพลภาพ ดังนั้น ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดกับตนเอง เหตุการณ์เหล่านี้จะทำให้เงินหายไป จะมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ เรียกว่า ความเสี่ยงของเหตุการณ์ที่จะต้องพบเจอ ชีวิตเจอความเสี่ยงตลอดเวลาจะมากหรือน้อย ขึ้นกับการใช้ชีวิต
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2760
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง นวัตกรรมและแนวคิดเปลี่ยนโลกที่น่าจับตามอง ให้หน่อยค่ะ
นวัตกรรมและแนวคิดเปลี่ยนโลกที่น่าจับตามอง ​ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลังการใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย เป็นตัวเร่งการเกิดนวัตกรรมและแนวคิดการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ๆในปัจจุบัน “เกี่ยวอะไรกับเรา” ฉบับนี้ ขอแบ่งปันมุมมอง นวัตกรรมที่อาจมีบทบาทการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมอนาคตผ่านการต่อยอดทางธุรกิจในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นบทความ 2 ตอนโดยฉบับนี้เป็นตอนที่ 1 1. Graphene วัสดุสำหรับศตวรรษที่ 21 รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2553 เป็นของ2 นักฟิสิกส์รัสเซียซึ่งเป็นผู้คิดค้น วัสดุ 2มิติ แรกของโลกที่มีชื่อว่า กราฟีน (Graphene) ซึ่งทำมาจากแร่ กราไฟท์ พบในดินสอ เป็นธาตุพิเศษแสดงคุณสมบัติได้หลากหลายตามการเรียงตัวของอะตอมเป็นชั้นๆโดยแต่ละชั้นเกิดเป็นรูป6เหลี่ยมคล้ายรังผึ้ง กราฟีนมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เป็นวัสดุที่บางที่สุดเท่าที่มีการค้นพบแต่มีความแข็งแกร่ง สูงกว่าเหล็กหลายเท่า และแม้จะแข็ง กลับสามารถบิดงอม้วนหรือพับได้โดยไม่ทำให้โมเลกุลเสียหาย กราฟีน มีความต้านทานไฟฟ้าต่ำสามารถเป็นตัวนำที่นำไฟฟ้า ได้ดีเทียบเท่า ตัวนำยิ่งยวด (Superconductor) แต่นำไฟฟ้าได้ที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งต่างจาก ตัวนำยิ่งยวด ที่ต้องลดอุณหภูมิจนติดลบกว่าร้อยองศาเซียลเซียส ถึงจะแสดงคุณสมบัตินั้นได้ กราฟีนมี ความสามารถในการนำความร้อนจำเพาะ ได้สูงกว่าวัสดุประเภทอื่น ซึ่งช่วยในระบบระบายความร้อน นอกจากนี้ กราฟีน มีค่าความสามารถในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนสูงจึงเป็นประโยชน์ในการสร้างทรานซิสเตอร์ที่ทำงานได้รวดเร็ว คุณสมบัติข้างต้นทำให้กราฟีนถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรมที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เช่น เทคโนโลยีการผลิตน้ำจืดจากความชื้นในอากาศสำหรับประเทศที่ขาดน้ำ สามารถลดต้นทุนระบบขนส่งที่ใช้เทคโนโลยีการลอยตัวด้วยแรงแม่เหล็ก เช่น Hyperloop โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลในระบบการลดอุณหภูมิ เหมือน ตัวนำยิ่งยวดทั่วไป และ ยังเป็นวัสดุใหม่ที่น่าจะมาแทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความทนทานที่ทั้งSamsung และIBMได้ทุ่มทุนพัฒนาอยู่ 2. การเก็บข้อมูลใน DNA การเก็บข้อมูลใน DNA เป็นเรี่องที่ได้รับความสนใจผ่านการศึกษามาหลายปีเพราะมีคุณสมบัติสำคัญในการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความเสถียรเป็นหลักพันหรืออาจหมื่นปี ซึ่งพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุล นั้น มีขนาดที่เล็กมากจนมีการประมาณการว่าข้อมูลทั้งโลก ณ ปัจจุบันจะสามารถบรรจุใน DNA เพียง 10 ตันซึ่งมีขนาดเท่ากับรถบรรทุกคันเดียวเท่านั้น การเก็บข้อมูลในDNAถึงแม้ว่าฟังดูอาจเป็นเรื่องซับซ้อนแต่การแทนค่า 0 และ1 สามารถแปลงค่าเป็น คู่ผ่านสมการDNA ได้ดังนี้ A (00) G (01) C (10) T (11) ซึ่งเมื่อแทนค่าแล้วก็สามารถสร้างเก็บและถอดรหัส DNA เพื่อการใช้งานในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ การสังเคราะห์DNAยังมีความซับซ้อนและต้นทุนที่สูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการใช้งานเชิงพาณิชย์เพราะปัจจุบันการเก็บข้อมูลเพียง 12 MB มีต้นทุนถึง 100,000 เหรียญสหรัฐ 3. คอมพิวเตอร์ระบบควอนตัม (Quantum Computing) คอมพิวเตอร์ควอนตัม มีระบบฮาร์ดแวร์ที่ใช้หลักการของฟิสิกส์ควอนตัม ซึ่งแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง โดยสามารถประมวลผลข้อมูล “บางอย่าง” ได้เร็วกว่าเป็นทวีคูณ คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะมีหน่วยแทนข้อมูลที่เล็กที่สุดคือ บิตโดยในข้อมูลหนึ่งบิตจะมีอยู่สองสถานะได้แก่0และ1แต่ในกรณีของคอมพิวเตอร์ควอนตัมข้อมูลบิตจะมีสถานะพิเศษที่เรียกว่า Superposition เป็นสถานะที่บิตเป็นทั้ง0และ1ในเวลาเดียวกัน เรียกว่าคิวบิต (Qubit) โดยมาจาก ควอนตัมบิต (Quantum Bit) สถานะ Superposition บนคิวบิตทำให้ อัลกอริทึม ควอนตัม เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปมาก ซึ่งในอนาคตการค้นหาข้อมูลอย่างรวดรวดเร็วก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้นแต่อาจมีความเสี่ยงของการเข้ารหัสหากถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดแต่อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่ายเพราะสถานะทางควอนตัมเปราะบางต่อสภาพแวดล้อมและไม่สามารถคงสถานะ Superposition ได้ระยะยาว จึงเป็นงานวิจัยที่ต้องค้นคว้ากันต่อไป ปัจจุบันทั้งIBM และ Google เร่งพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมสำหรับงานพัฒนาระบบการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) คำนวนโครงสร้างเคมี (Quantum Chemistry) และ คำนวนโครงสร้างของวัสดุ (Quantum Simulation) 4. Hyperloop ระบบขนส่งแห่งโลกอนาคต แนวคิดการขนส่งทางบกนี้เริ่มได้รับความสนใจในปี 2555 เมื่อ Elon Musk นำเสนอยานแคปซูลที่สามารถเดินผ่านท่อสูญญากาศด้วยความเร็วกว่า 1,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งยานแคปซูลจะลอยตัวโดยใช้เทคโนโลยีการลอยตัวด้วยแรงแม่เหล็ก (Magnetic Levitation) เนื่องจากตัวท่อมีแรงดันต่ำบนการเสียดทานน้อยมากทำให้แคปซูลสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแคปซูลในช่วงแรกจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก่อนใช้เทคโนโลยีการลอยตัว แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีรางแบบ Maglev มีต้นทุนสูงบนความท้าทายของการสร้างสถานะท่อให้มีแรงดันต่ำในระยะการเดินทางระหว่างเมืองที่ไกลจึงเป็นโจทย์ที่ต้องตีให้แตกหากนวัตกรรมนี้จะส่งผลต่อการคมนาคมในเชิงพาณิชย์ ฉบับหน้าเราจะมาพิจารณาแนวคิดการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ๆที่อาจส่งผลต่อค่านิยมสังคมในอนาคตครับ ที่มาบทความ :
นวัตกรรมและแนวคิดเปลี่ยนโลกที่น่าจับตามอง 1. Graphene นวัตกรรมที่รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2553 เป็นวัสดุ 2 มิติ แรกของโลก ซึ่งทำมาจากแร่ กราไฟท์ พบในดินสอ เป็นธาตุพิเศษแสดงคุณสมบัติได้หลากหลายตามการเรียงตัวของอะตอมเป็นชั้นๆ โดยแต่ละชั้นเป็นรูป 6 เหลี่ยมคล้ายรังผึ้ง มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เป็นวัสดุที่บางที่สุดเท่าที่มีการค้นพบแต่มีความแข็งแกร่ง สูงกว่าเหล็กหลายเท่า และแม้จะแข็ง แต่กลับสามารถบิดงอม้วนหรือพับได้ โดยไม่ทำให้โมเลกุลเสียหาย กราฟีนมีความต้านทานไฟฟ้าต่ำสามารถเป็นตัวนำที่นำไฟฟ้าได้ดีเทียบเท่าตัวนำยิ่งยวด แต่นำไฟฟ้าได้ที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งต่างจากตัวนำยิ่งยวดที่ต้องลดอุณหภูมิจนติดลบกว่าร้อยองศาเซียลเซียส ถึงจะแสดงคุณสมบัตินั้นได้ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการนำความร้อนจำเพาะ ได้สูงกว่าวัสดุประเภทอื่น ซึ่งช่วยในระบบระบายความร้อน มีค่าความสามารถในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนสูง จึงเป็นประโยชน์ในการสร้างทรานซิสเตอร์ที่ทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้กราฟีนถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรมที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เช่น เทคโนโลยีการผลิตน้ำจืดจากความชื้นในอากาศสำหรับประเทศที่ขาดน้ำ สามารถลดต้นทุนระบบขนส่งที่ใช้เทคโนโลยีการลอยตัวด้วยแรงแม่เหล็ก และเป็นวัสดุใหม่ที่น่าจะมาแทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความทนทานที่ทั้ง Samsung และIBM ได้ทุ่มทุนพัฒนาอยู่ 2. การเก็บข้อมูลใน DNA เป็นเรี่องที่ได้รับความสนใจผ่านการศึกษามาหลายปี เพราะมีคุณสมบัติสำคัญในการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความเสถียรเป็นหลักพันหรืออาจหมื่นปี ซึ่งพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุล มีขนาดเล็กมาก จนมีการประมาณการว่าข้อมูลทั้งโลก จะสามารถบรรจุใน DNA เพียง 10 ตัน ซึ่งมีขนาดเท่ากับรถบรรทุกคันเดียวเท่านั้น แม้ว่าฟังดูเป็นเรื่องซับซ้อน แต่การแทนค่า 0 และ1 สามารถแปลงค่าเป็นคู่ผ่านสมการ DNA ได้ เมื่อแทนค่าแล้วสามารถสร้างเก็บและถอดรหัส DNA เพื่อการใช้งานในลำดับต่อไป ในทางปฏิบัติ การสังเคราะห์ DNA ยังมีความซับซ้อนและต้นทุนที่สูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการใช้งานเชิงพาณิชย์ เพราะการเก็บข้อมูลเพียง 12 MB มีต้นทุนถึง 100,000 เหรียญสหรัฐ 3. คอมพิวเตอร์ระบบควอนตัม (Quantum Computing) มีระบบฮาร์ดแวร์ที่ใช้หลักการของฟิสิกส์ควอนตัม แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง โดยสามารถประมวลผลข้อมูลบางอย่างได้เร็วกว่าเป็นทวีคูณ คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะมีหน่วยแทนข้อมูลที่เล็กที่สุดคือ บิต โดยข้อมูลหนึ่งบิตจะมีอยู่สองสถานะ ได้แก่ 0 และ1 แต่คอมพิวเตอร์ควอนตัมข้อมูลบิตจะมีสถานะพิเศษที่เรียกว่า Superposition เป็นสถานะที่บิตเป็นทั้ง 0 และ 1ในเวลาเดียวกัน เรียกว่าคิวบิต (Qubit) โดยมาจาก ควอนตัมบิต (Quantum Bit) สถานะ Superposition บนคิวบิตทำให้ อัลกอริทึม ควอนตัม เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปมาก ในอนาคตการค้นหาข้อมูลอย่างรวดรวดเร็วก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้น แต่อาจมีความเสี่ยงของการเข้ารหัสหากถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด อย่างไรก็ตาม คอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่าย เพราะสถานะทางควอนตัมเปราะบางต่อสภาพแวดล้อมและไม่สามารถคงสถานะ Superposition ได้ระยะยาว จึงเป็นงานวิจัยที่ต้องค้นคว้ากันต่อไป 4. Hyperloop แนวคิดการขนส่งทางบก เริ่มได้รับความสนใจในปี 2555 เมื่อ Elon Musk นำเสนอยานแคปซูลที่สามารถเดินผ่านท่อสูญญากาศด้วยความเร็วกว่า 1,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งยานแคปซูลจะลอยตัวโดยใช้เทคโนโลยีการลอยตัวด้วยแรงแม่เหล็ก (Magnetic Levitation) เนื่องจากตัวท่อมีแรงดันต่ำบนการเสียดทานน้อยมาก ทำให้แคปซูลสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแคปซูลในช่วงแรกจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก่อนใช้เทคโนโลยีการลอยตัว แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีรางแบบ Maglev มีต้นทุนสูงบนความท้าทายของการสร้างสถานะท่อให้มีแรงดันต่ำในระยะการเดินทางระหว่างเมืองที่ไกลจึงเป็นโจทย์ที่ต้องตีให้แตก หากนวัตกรรมนี้จะส่งผลต่อการคมนาคมในเชิงพาณิชย์
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2761
Finance
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ควรเริ่มศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
null
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ควรเริ่มศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มีดังนี้ 1. ศึกษาหลักการพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ศึกษาประเภทของกราฟ เช่น กราฟแท่ง กราฟเส้น กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น ศึกษาตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น Indicator Oscillator Pattern ศึกษาแนวคิดและกลยุทธ์การเทรด เช่น แนวโน้ม การแกว่งตัว 2. ฝึกฝนการใช้เครื่องมือทางเทคนิค เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรด ฝึกฝนการใช้เครื่องมือบนโปรแกรมกราฟต่างๆ ทดสอบกลยุทธ์การเทรดบนบัญชีทดลอง 3. เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนน้อย เริ่มต้นด้วยเงินที่สามารถสูญเสียได้ บริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม เรียนรู้จากประสบการณ์ 4. พัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ติดตามข่าวสาร ข้อมูล การเปลี่ยนแปลงของตลาด ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ 5. เลือกแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง ตัดสินใจว่าต้องการเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือระยะสั้น เลือกกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะกับบุคลิกและเป้าหมาย ลงทุนอย่างมีสติ ไม่ใจร้อน คำแนะนำเพิ่มเติม การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเพียงเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ไม่มีกลยุทธ์การเทรดใดที่สมบูรณ์แบบ การลงทุนมีความเสี่ยง
กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน,การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2762
Finance
ช่วยสรุปบทความ กลยุทธ์ในการเลือกหุ้นเปลี่ยนชีวิต ให้หน่อยนะคะ
การลงทุนหุ้นถ้าอยากจะเปลี่ยนชีวิตทางการเงินสำหรับผมแล้ว “หุ้นเติบโต” หรือหุ้นโตเร็ว คือคำตอบเสมอมา … และหากต้องการพลิกชีวิตแบบเห็นหน้าเห็นหลัง ก็ควรลงทุนแบบมองหาหุ้นเปลี่ยนชีวิต และลงทุนยาว ๆ เอาแบบ “สิบเท่าในสิบปี” ผมเชื่อมั่นในแนวทางหุ้นเปลี่ยนชีวิต แบบโตสิบเท่าในสิบปี และดำเนินตามารอยทางนี้มาตลอด จนมาวันหนึ่งผมได้พบกับหุ้นเปลี่ยนชีวิตตัวหนึ่งเมื่อราว 4 ปีก่อน หุ้นตัวนั้นก็คือ BEM ซึ่งผมเองแม้จะทำกำไรไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังถือตัวนี้เอาไว้บางส่วนรอวันเติบใหญ่ ภาพใหญ่ที่มองเอาไว้ยังไม่เกิดขึ้น ณ.ตอนนี้ หลังจากนั้นผมเองก็เข้า ๆ ออก ๆ หุ้นหลายตัวแต่ไม่จริงจังซักตัว จนผมกลับมาทบทวนว่า ผมควรมองหาหุ้นเปลี่ยนชีวิตตัวที่สอง และสิ่งนั้นมันมาจากพื้นฐานดังต่อไปนี้ ประการแรก “นักลงทุนระยะยาวควรมีความคิดที่เป็นเอกเทศ” ในความรู้สึกของผม ความคิดของนักลงทุนระยะยาวควรมีความเป็นตัวของตัวเองสูง และไม่ควรตามใคร ยกตัวอย่างเช่น หากเราเห็น อาจารย์นิเวศน์ เหมวิชรวรากร เซียนนักลงทุนหุ้นคุณค่าลงทุนตีแตกเปลี่ยนชีวิตคิดใหม่กับ CPALL เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว และเราไปทำตาม นั่นคล้าย ๆ กับว่าเราไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง และอาจไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีนัก เปรียบเหมือนเรา “เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง” นั่นเอง จากแนวคิดข้างต้น ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า การเป็นนักลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตแบบ “โตสิบเท่าในสิบปี” นั้น เราต้องมีความคิดที่เป็นตัวของตัวเอง ต้องมองเห็นหุ้นที่คนอื่นยังไม่เห็น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหุ้นเปลี่ยนชีวิตตัวที่สองของผม ประการที่สอง “เราต้องมองหาหุ้นตั้งแต่มันยังเป็นต้นกล้าเล็ก ๆ” สำหรับหุ้นที่จะมาพลิกชีวิตของเรา ควรเป็นหุ้นที่ยังไม่ใช่หุ้นมหาชน หมายความว่า เป็นหุ้นที่คนยังไม่ค่อยจะรู้จัก ยังเป็นบริษัทเล็ก ๆ แต่มีดีเอ็นเอภายในองค์กรที่ยิ่งใหญ่ และมีความสามารถพัฒนาธุรกิจ กิจการให้เติบโต เติบใหญ่ได้ในอนาคต โดยเราวางเป้าไว้ 5-10 ปี เพื่อให้เห็นภาพกว้าง จากนั้นเราก็ต้องเฟ้นหาหุ้นที่มีแววเติบโต แต่ยังเป็นต้นกล้าเล็ก ๆ โดยพิจารณาจากภาพใหญ่ว่ากิจการนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตหรือไม่ และตัวมันเองมีความสามารถในการแข่งขันสูงมากน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น หุ้น BEM ผมคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนมาใช้รถไฟฟ้าในระบบเกิน 1 ล้านคนต่อวัน จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของหุ้นกลุ่มรถไฟฟ้า และจะทำให้การเติบโตนั้นรวดเร็วมาก เปรียบเหมือนกับมันได้ “อัดพลังงาน” เอาไว้ สะสมเอาไว้ รอวันระเบิดออกมา แต่หุ้นตัวนี้มีจุดสลบตรงที่การต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนซึ่งนักลงทุนต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนลงทุน ประการที่สาม “หุ้นเปลี่ยนชีวิต เราต้องมีในปริมาณที่มากพอที่จะพลิกชีวิตของเราได้” ประการที่สามก็คือ หุ้นที่จะเปลี่ยนชีวิต เราต้องมีในปริมาณที่มากพอที่จะพลิกชีวิตของเราได้ หากเราเจอหุ้นเปลี่ยนชีวิตที่เราสามารถ “ทนถือ” มันไปได้นาน ๆ แต่มีจำนวนน้อยเกินไป มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเราเลยเช่นกัน อย่างหุ้นรถไฟฟ้าผมเองพยายามสะสมให้ได้มากที่สุดเท่าที่ความสามารถทางการเงินของตัวเองจะทำได้ในขณะนั้น ในความคิดของผม ถ้าหุ้นราคาหลักเดียว เราควรเก็บให้ได้ซักหลักแสนหุ้น ถ้าหุ้นราคาสองหลักควรเก็บให้ได้หลักหมื่นหุ้น สำหรับคนงบน้อย ก็เก็บเท่าที่เราทำได้ก็พอครับ อย่าเร่งความสำเร็จเพราะมันจะทำให้เราเครียดไปเปล่า ๆ และเพิ่มความเสี่ยงหากมันผิดพลาดโดยไม่จำเป็น เมื่อเก็บหุ้นได้ตามปริมาณที่คิดว่ามากพอแล้ว เป้าหมายของเราก็คือ ต้องถือจนกว่ามันจะเห็นเดือนเห็นตะวัน โดยผมขอย้ำว่า เราต้องเลือกหุ้นถูกต้องเหมาะสมจริง ๆ นะครับ ไม่ใช่ไปเลือกหุ้นปั่นไม่มีพื้นฐาน แล้วหวังจะเปลี่ยนชีวิต อันนั้นอาจได้กลับด้านกัน คือ เปลี่ยนชีวิตให้แย่ลง ข้อคิดสำหรับตอนนี้ก็คือ … การลงทุนหุ้นแท้จริงมันไม่ได้ยากอย่างที่ใครหลายคนคิด แต่มันก็ไม่ได้ง่าย สิ่งที่ยากก็คือ “ความอดทนรอคอยความสำเร็จให้เป็น” แต่ก่อนที่เราจะอดทนกับอะไร เราก็ต้องศึกษาหาความรู้ในสิ่งเหล่านั้นให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เมื่อเราลงทุนหุ้นถูกตัว และอดทนกับมันได้ ความสำเร็จที่ซ่อนตัวอยู่ก็จะเผยออกมาให้เราได้ชื่นใจในที่สุดครับ … ลองมองหาหุ้นเปลี่ยนชีวิตของคุณเองนะครับ
“หุ้นเติบโต” หรือหุ้นโตเร็ว คือคำตอบของการค้นหาหุ้นเปลี่ยนชีวิต สำหรับลงทุนระยะยาวแบบ “สิบเท่าในสิบปี” โดยการเฟ้นหาควรมาจากพื้นฐานต่อไปนี้ 1) นักลงทุนระยะยาวควรมีความคิดที่เป็นเอกเทศ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และไม่ควรตามใคร รวมไปถึงต้องมองเห็นหุ้นที่คนอื่นยังไม่เห็น 2) มองหาหุ้นตั้งแต่มันยังเป็นต้นกล้าเล็กๆ เป็นหุ้นที่ยังไม่ใช่หุ้นมหาชน แต่เป็นบริษัทเล็กที่มีความสามารถในการพัฒนาธุรกิจ โดยพิจารณาด้วยว่ากิจการนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตหรือไม่ และตัวมันเองมีความสามารถในการแข่งขันสูงมากน้อยแค่ไหน 3) หุ้นต้องมีปริมาณที่มากพอที่จะพลิกชีวิตของเราได้ โดยถ้าเป็นหุ้นราคาหลักเดียว ก็ควรเก็บให้ได้หลักแสนหุ้น ถ้าหุ้นราคาสองหลักควรเก็บให้ได้หลักหมื่นหุ้น แต่สำหรับคนที่มีงบน้อย ก็ควรเก็บเท่าที่เราทำได้ จากนั้นก็แค่ต้องถือหุ้นจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2763
Finance
ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กลยุทธ์การลงทุนแบบไหนที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเอาชนะ "หุ้นปั่น" และ "อวสานของหุ้นปั่น" ได้?
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า มุ่งเน้นไปที่การค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท กลยุทธ์นี้ใช้หลักการพื้นฐานในการวิเคราะห์ธุรกิจ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ผลประกอบการ งบการเงิน โครงสร้างธุรกิจ ทีมผู้บริหาร กลยุทธ์ธุรกิจ ฯลฯ เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท เหตุผลที่กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าสามารถเอาชนะ "หุ้นปั่น" ได้ หุ้นปั่นมักมีราคาสูงเกินจริง : กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะช่วยให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นที่มีราคาสูงเกินจริง หุ้นปั่นมักมีพื้นฐานทางธุรกิจที่อ่อนแอ: กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะช่วยให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง หุ้นปั่นมักมีผลประกอบการที่ไม่แน่นอน: กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะช่วยให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีผลประกอบการที่ยั่งยืน ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า การลงทุนในหุ้นที่มี P/E Ratio ต่ำ: P/E Ratio เป็นตัววัดความคุ้มค่าของหุ้น โดยเปรียบเทียบราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น หุ้นที่มี P/E Ratio ต่ำ แสดงว่ามีราคาถูก การลงทุนในหุ้นที่มี Dividend Yield สูง: Dividend Yield เป็นตัววัดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หุ้นที่มี Dividend Yield สูง แสดงว่าจ่ายเงินปันผลมาก การลงทุนในหุ้นที่มี Net Asset Value สูง: Net Asset Value (NAV) เป็นตัววัดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของบริษัท หุ้นที่มี NAV สูง แสดงว่ามีทรัพย์สินมาก ข้อควรระวัง กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่รับประกันผลตอบแทนเสมอไป กลยุทธ์นี้ต้องการเวลาและความอดทน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน เพิ่มเติม นอกจากกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้ว ยังมีกลยุทธ์การลงทุนอื่นๆ ที่สามารถช่วยให้นักลงทุนเอาชนะ "หุ้นปั่น" ได้ เช่น กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นการเติบโต (Growth Investing) กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าผสมผสาน (Blend Investing) อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับความชอบ เป้าหมาย และความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนยอมรับได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0