ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Retail_56069 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความฝันสามารถเกิดขึ้นได้จริง หากเรามีความมุ่งมั่นและทุ่มเท | null | กล่องแห่งความฝัน: บทเพลงแห่งการเติบโต
สายลมยามเช้าพัดโชยผ่านเส้นผมของ "ณิชา" หญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยพลังไฟแห่งความฝัน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอมุ่งมองไปยังตึกสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า นั่นคือ "ศูนย์กระจายสินค้า Omnichannel แห่งใหม่" ของกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล สถานที่ซึ่งเปรียบเสมือนกล่องเก็บความฝันอันยิ่งใหญ่ของเธอ
ณิชาเริ่มต้นเส้นทางสายนี้จากการเป็นพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ด้วยความมุ่งมั่นและใฝ่ฝันอยากเติบโตในสายงานค้าปลีก เธอทุ่มเทเรียนรู้ทุกแง่มุมของธุรกิจ ดูดซับกลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง
เมื่อศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่เปิดตัว ณิชาได้รับโอกาสทองในการเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน เธอตื่นเต้นกับเทคโนโลยีล้ำสมัย ระบบจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติ และระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ
การทำงานในศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ณิชาเรียนรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการสินค้า การควบคุมสต๊อก การจัดส่งสินค้าแบบ Omnichannel
เธอมองเห็นภาพรวมของธุรกิจค้าปลีก เข้าใจถึงความสำคัญของโลจิสติกส์ที่มีต่อประสบการณ์ของลูกค้า
ยิ่งเธอทุ่มเททำงานมากเท่าไหร่ ความฝันของเธอก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ณิชาใฝ่ฝันอยากเป็นผู้บริหารหญิงที่ขับเคลื่อนกลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล
เธอมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี ด้านการตลาด และการวิเคราะห์ข้อมูล
ในเวลาว่าง ณิชาชอบอ่านบทความเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก ศึกษา案例จากบริษัทชั้นนำทั่วโลก
เธอมองหาแรงบันดาลใจจากผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ หวังสักวันหนึ่งเธอจะสามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับพวกเขา
บทเพลงแห่งการเติบโต ของณิชา ยังคงบรรเลงต่อไป เสียงเพลงนั้นดังก้องกังวาน สะท้อนถึงความฝัน ความมุ่งมั่น และความทุ่มเท
กล่องแห่งความฝัน "ศูนย์กระจายสินค้า Omnichannel" แห่งนี้ จะเป็นเวทีให้เธอได้แสดงศักยภาพและเฉิดฉายบนเส้นทางสายค้าปลีก | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56111 | Retail | THE GREATEST GRAND SALE ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือมีธุรกิจอะไรบ้าง ? | กลุ่มเซ็นทรัล ผนึกกำลัง 13 ธุรกิจในเครือ นำโดยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น พร้อมด้วยพันธมิตรธุรกิจ ร้านค้า พาร์ทเนอร์ ได้แก่ บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน, บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท มาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ยู เอ สปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ทุ่มงบกว่า500 ล้านบาท เปิดแคมเปญเขย่าวงการ “เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล 2019: SHOPPING ADDICTS เพราะชีวิตติดช้อป” ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งสำหรับการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี ผลักดันเป็นงานเซลระดับประเทศเทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ ชูจุดแข็งของพลังธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยกลยุทธ์ Powerful Central Group Synergy ลดกระหน่ำครบที่สุดทุกมิติ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ 24 ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และ JD Central สมกับเป็นตัวจริงทุกการช้อป ลดสูงสุด 70% กว่า 10,000 แบรนด์ ทุกศูนย์ฯ ทุกห้าง รวม 69 สาขาทั่วประเทศ อัดแคมเปญหนักรวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า 11 ล้านบาท เริ่ม 6 มิถุนายน – 17 กรกฎาคม 2562 รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.centralworld.co.th,www.centralplaza.co.th, www.centralfestival.co.th และ www.centralphuket.com กลุ่มเซ็นทรัล ผนึกกำลัง ธุรกิจในเครือ นำโดยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น พร้อมด้วยพันธมิตรธุรกิจ ร้านค้า พาร์ทเนอร์ ได้แก่ บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท มาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ยู เอ สปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ทุ่มงบกว่า ล้านบาท เปิดแคมเปญเขย่าวงการ เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล : เพราะชีวิตติดช้อป ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งสำหรับการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี ผลักดันเป็นงานเซลระดับประเทศเทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ ชูจุดแข็งของพลังธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยกลยุทธ์ ลดกระหน่ำครบที่สุดทุกมิติ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และ สมกับเป็นตัวจริงทุกการช้อป ลดสูงสุด กว่า แบรนด์ ทุกศูนย์ฯ ทุกห้าง รวม สาขาทั่วประเทศ อัดแคมเปญหนักรวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า ล้านบาท เริ่ม มิถุนายน – กรกฎาคม รายละเอียดเพิ่มเติมที่ และ THE GREATEST GRAND SALE เป็นอภิมหาเทศกาลเซลระดับชาติที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดแห่งปีด้วยพลังของกลุ่มเซ็นทรัลในฐานะผู้นำทางด้านธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือ 13ธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา (เซ็นทรัลเวิลด์-เซ็นทรัลพลาซา-เซ็นทรัลเฟสติวัล–เซ็นทรัลภูเก็ต), ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเซน, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ท็อปส์, ซุปเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท, เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป,โรงแรมเซ็นทารา, เดอะวันคาร์ด และเจดี เซ็นทรัล ลดราคาสินค้าและบริการต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ เป็นอภิมหาเทศกาลเซลระดับชาติที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดแห่งปีด้วยพลังของกลุ่มเซ็นทรัลในฐานะผู้นำทางด้านธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือ ธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา เซ็นทรัลเวิลด์-เซ็นทรัลพลาซา-เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัลภูเก็ต ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเซน ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ท็อปส์, ซุปเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, บีทูเอส ออฟฟิศเมท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป โรงแรมเซ็นทารา, เดอะวันคาร์ด และเจดี เซ็นทรัล ลดราคาสินค้าและบริการต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนากล่าวว่า “แคมเปญครั้งนี้ซีพีเอ็นได้ขานรับภาพรวมนโยบายรัฐทุกภาคส่วน ตั้งเป้าเป็น A Must VisitDestination for Mid-year Sale และมุ่งผลักดันให้เป็นเทศกาลเซลแห่งชาติในระดับเอเชีย เทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ สอดคล้องกับ 1) นโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็น Preferred Destination ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้านการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี 2) นโยบายภาครัฐที่ขยายเวลาการงดเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเดินทางเข้าประเทศไทยจนถึงเดือนตุลาคม 2562 ทำให้คาดว่าเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากกลุ่ม First Visitors และ Repeated visitors ที่เป็นกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งมีศักยภาพในการใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาช้อปสินค้าลดราคาในช่วงกลางปี และ 3) มาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายและเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ” ดร ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า แคมเปญครั้งนี้ซีพีเอ็นได้ขานรับภาพรวมนโยบายรัฐทุกภาคส่วน ตั้งเป้าเป็น และมุ่งผลักดันให้เป็นเทศกาลเซลแห่งชาติในระดับเอเชีย เทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ สอดคล้องกับ นโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็น ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้านการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี 2) นโยบายภาครัฐที่ขยายเวลาการงดเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเดินทางเข้าประเทศไทยจนถึงเดือนตุลาคม 2562 ทำให้คาดว่าเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากกลุ่ม และ ที่เป็นกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งมีศักยภาพในการใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาช้อปสินค้าลดราคาในช่วงกลางปี และ 3) มาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายและเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ “เราสร้างแรงสั่นสะเทือนระดับประเทศด้วย Powerful Central Group Synergy ลดกระหน่ำครบที่สุดทุกมิติ ทุก BUs ทั่วประเทศ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรมเซ็นทารา ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ 24 ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และ JD Central โดยเราเน้นตอบโจทย์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่ม Multi-generation Family คนทุกเพศทุกวัยและนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการที่หลากหลายแตกต่างกัน ตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่ม Mass และ Niche ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายของสินค้าและบริการ โปรโมชั่นที่ถูกใจและคุ้มค่าพร้อมลุ้นรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งฟรีมูลค่าสูงสุด 100,000 บาท รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 17% และสิทธิพิเศษมากมายจากบัตรเครดิตและพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ 2) กลุ่ม Generation Now คนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยไม่ชอบรอ อยากได้ต้องได้เดี๋ยวนี้ ด้วยการผสาน Omni-Channel ช้อปได้ทั้งที่ศูนย์ฯ ที่ห้าง และช่องทางออนไลน์ตลอด 24ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังนำทั้ง Influencer และ Micro-influencers มากระตุ้นอารมณ์การช้อป และ 3)เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง กับโปรโมชั่นสำหรับ Top Spenders ครั้งใหญ่แจกมากที่สุด โดย 448 ท่านแรก รับฟรีตั๋วเครื่องบินไป–กลับ กรุงเทพฯ–ฮ่องกง จากการบินไทย” ดร. ณัฐกิตติ์ กล่าว เราสร้างแรงสั่นสะเทือนระดับประเทศด้วย ลดกระหน่ำครบที่สุดทุกมิติ ทุก ทั่วประเทศ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรมเซ็นทารา ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และ โดยเราเน้นตอบโจทย์ กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม คนทุกเพศทุกวัยและนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการที่หลากหลายแตกต่างกัน ตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่ม และ ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายของสินค้าและบริการ โปรโมชั่นที่ถูกใจและคุ้มค่าพร้อมลุ้นรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งฟรีมูลค่าสูงสุด บาท รับเครดิตเงินคืนสูงสุด และสิทธิพิเศษมากมายจากบัตรเครดิตและพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ กลุ่ม คนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยไม่ชอบรอ อยากได้ต้องได้เดี๋ยวนี้ ด้วยการผสาน ช้อปได้ทั้งที่ศูนย์ฯ ที่ห้าง และช่องทางออนไลน์ตลอด ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังนำทั้ง และ มากระตุ้นอารมณ์การช้อป และ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง กับโปรโมชั่นสำหรับ ครั้งใหญ่แจกมากที่สุด โดย ท่านแรก รับฟรีตั๋วเครื่องบินไป กลับ กรุงเทพฯ ฮ่องกง จากการบินไทย ดร ณัฐกิตติ์ กล่าว จับกลุ่ม Multi-Generation Family ด้วย Big Impact Sale ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกระดับ ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จับกลุ่ม ด้วย ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกระดับ ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เทศกาลเซลระดับชาติที่นักช้อปตัวจริงต้องมา THE GREATEST GRAND SALE 2019: SHOPPING ADDICTS เพราะชีวิตติดช้อป ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ เทศกาลเซลระดับชาติที่นักช้อปตัวจริงต้องมา เพราะชีวิตติดช้อป ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ ติดช้อปปิ้ง มหกรรมสินค้าราคาพิเศษบนพื้นที่ภายในศูนย์การค้าและคอนเวนชั่นฮอลล์ ทุกร้าน ทั้งศูนย์ฯ ลดสูงสุด 70% กับกว่า 10,000 แบรนด์ชั้นนำ พลาดไม่ได้กับ Hot Brands Sale ที่ต้องมา อาทิ Asava Sale, Atmos, Central Phuket Sale ยกเกาะ, ส่วนลดพิเศษจาก IKEA สาขาเวสต์เกตเท่านั้น, ตั๋วเครื่องบินดีลดีที่สุดจากการบินไทย พร้อมเขย่าวงการรีเทลกับครั้งแรกของ ‘เซอร์ไพรส์เซลกลางปี 6/6 & 7/7’ วันที่ 6 เดือน 6 และ 7 เดือน 7 กับไอเท็มพิเศษที่จะทุบราคาสินค้าลดสุดๆ แค่สองวันเท่านั้น ติดช้อปปิ้ง มหกรรมสินค้าราคาพิเศษบนพื้นที่ภายในศูนย์การค้าและคอนเวนชั่นฮอลล์ ทุกร้าน ทั้งศูนย์ฯ ลดสูงสุด 70% กับกว่า 10 000 แบรนด์ชั้นนำ พลาดไม่ได้กับ ที่ต้องมา อาทิ ยกเกาะ, ส่วนลดพิเศษจาก สาขาเวสต์เกตเท่านั้น, ตั๋วเครื่องบินดีลดีที่สุดจากการบินไทย พร้อมเขย่าวงการรีเทลกับครั้งแรกของ เซอร์ไพรส์เซลกลางปี วันที่ เดือน และ เดือน กับไอเท็มพิเศษที่จะทุบราคาสินค้าลดสุดๆ แค่สองวันเท่านั้น ติดชิม สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า AIS และสมาชิก The 1 เมื่อทานอาหารตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป รับฟรี Privilege Menu ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ติดชิม สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า และสมาชิก เมื่อทานอาหารตั้งแต่ บาทขึ้นไป รับฟรี ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ติดสนุก สุดคุ้มกับโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับสวนน้ำลอยฟ้าโพโรโระ, เวิลด์คลาสแอทแทรคชั่น อาทิ ไตรภูมิ มหัศจรรย์สามโลก ธีมปาร์คผจญภัย แบบ 3D วอล์คทรูแห่งแรกของโลก และอควาเรีย อควาเรียมรูปแบบใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย ติดสนุก สุดคุ้มกับโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับสวนน้ำลอยฟ้าโพโรโระ, เวิลด์คลาสแอทแทรคชั่น อาทิ ไตรภูมิ มหัศจรรย์สามโลก ธีมปาร์คผจญภัย แบบ 3 วอล์คทรูแห่งแรกของโลก และอควาเรีย อควาเรียมรูปแบบใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย ติดโปร ยิ่งช้อปยิ่งคุ้ม เมื่อใช้จ่ายครบทุก 1,000 บาท ลุ้นรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งฟรี มูลค่าสูงสุด100,000 บาท, เมื่อใช้จ่ายครบทุก 7,000 บาท ต่อเซลล์สลิป กับบัตรเครดิตและพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ รับฟรีกระเป๋า Under Armour นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ จากบัตรเครดิตและพันธมิตรที่ร่วมรายการ อาทิ เครดิตเงินคืนสูงสุด 17% ติดโปร ยิ่งช้อปยิ่งคุ้ม เมื่อใช้จ่ายครบทุก บาท ลุ้นรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งฟรี มูลค่าสูงสุด บาท, เมื่อใช้จ่ายครบทุก บาท ต่อเซลล์สลิป กับบัตรเครดิตและพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ รับฟรีกระเป๋า นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ จากบัตรเครดิตและพันธมิตรที่ร่วมรายการ อาทิ เครดิตเงินคืนสูงสุด ตอบโจทย์กลุ่ม Generation Now ด้วย Omni-Channel ช้อปไร้รอยต่อดีลดีที่สุดได้ทั้งศูนย์ฯ ทั้งห้าง ทั้งออนไลน์ ตอบโจทย์กลุ่ม ด้วย ช้อปไร้รอยต่อดีลดีที่สุดได้ทั้งศูนย์ฯ ทั้งห้าง ทั้งออนไลน์ ดร. ณัฐกิตติ์ กล่าวเสริมว่า แคมเปญนี้เราตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยไม่ชอบรอ อยากได้ต้องได้เดี๋ยวนี้ หรือ Generation Now ด้วยการผสานความแข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัลในเรื่อง Omni-Channel ให้ช้อปด้วยดีลดีที่สุดแบบไร้รอยต่อไม่ว่าจะมาที่ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และออนไลน์ นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ อินเทรนด์ของคนเหล่านี้ ที่มีความคลั่งไคลในการช้อปปิ้ง และลงลึกในความชอบเฉพาะตัวของตนเอง ด้วยการเลือกใช้ Influencer และ Micro-influencers ที่ตรงใจเป็นตัวแทนเพื่อกระตุ้นอารมณ์การช้อป ไม่ว่าจะเป็นความเป็น Shopping Addict โดยเจมมี่เจมส์ ธีรดนย์ ดาราหนุ่มสุดฮอตที่เลือกของมามิกซ์แอนด์แมทซ์แฟชั่นได้โดนใจที่สุด, Fashion Addict โดยออกแบบ ชุติมณฑน์ นางแบบหน้าเก๋แฟชั่นเริ่ด, Beauty Addict โดยสรัย วัชรพล ผู้นำเทรนด์ด้านบิวตี้, และ Sport Addict โดยปิ๊น อนุพงศ์ ผู้หลงใหลในสนีกเกอร์ โดยตลอดแคมเปญยังตกแต่งศูนย์การค้าโดยใช้ Typography ที่โดนใจเพื่อกระตุ้นอารมณ์นักช้อป ดร ณัฐกิตติ์ กล่าวเสริมว่า แคมเปญนี้เราตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีนิสัยไม่ชอบรอ อยากได้ต้องได้เดี๋ยวนี้ หรือ ด้วยการผสานความแข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัลในเรื่อง ให้ช้อปด้วยดีลดีที่สุดแบบไร้รอยต่อไม่ว่าจะมาที่ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และออนไลน์ นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ อินเทรนด์ของคนเหล่านี้ ที่มีความคลั่งไคลในการช้อปปิ้ง และลงลึกในความชอบเฉพาะตัวของตนเอง ด้วยการเลือกใช้ และ ที่ตรงใจเป็นตัวแทนเพื่อกระตุ้นอารมณ์การช้อป ไม่ว่าจะเป็นความเป็น โดยเจมมี่เจมส์ ธีรดนย์ ดาราหนุ่มสุดฮอตที่เลือกของมามิกซ์แอนด์แมทซ์แฟชั่นได้โดนใจที่สุด โดยออกแบบ ชุติมณฑน์ นางแบบหน้าเก๋แฟชั่นเริ่ด โดยสรัย วัชรพล ผู้นำเทรนด์ด้านบิวตี้ และ โดยปิ๊น อนุพงศ์ ผู้หลงใหลในสนีกเกอร์ โดยตลอดแคมเปญยังตกแต่งศูนย์การค้าโดยใช้ ที่โดนใจเพื่อกระตุ้นอารมณ์นักช้อป คุณปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัดกล่าวว่า“ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มั่นใจได้เลยว่าเราเตรียมโปรโมชั่นที่ดีที่สุดเพื่อนักช้อป ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ที่ทุกวันนี้ห้างเซ็นทรัลได้ผสานเชื่อมเข้าด้วยกันเป็น Omni-Channel ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าลูกค้าจะช้อปสินค้าที่ห้างหรือผ่านช่องทางออนไลน์ ก็จะได้โปรโมชั่นที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน โดยหากลูกค้ามาช้อปปิ้งที่ห้างเซ็นทรัล ลูกค้าจะได้รับโปรโมชั่นลดราคาตั้งแต่ 10-50%นอกจากนั้นยังสามารถรับสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการทั่วประเทศ กว่า 13 บัตร มาเป็นส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 28% และหากช้อปผ่านบัตร MasterCard เมื่อช้อปครบ 3,000 บาท ยังรับคูปองแทนเงินสด 100 บาท ได้ทันที สำหรับลูกค้าที่สะดวกหรือรักการช้อปปิ้งออนไลน์ เราได้จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 6-13 มิ.ย.62 ผ่านเว็บไซต์ www.central.co.th ด้วยส่วนลดสูงสุด 80%!!และดีลพิเศษอื่นๆ เช่น Brand of the Day 8 วัน 8 แบรนด์, Greatest Deals 8 วัน 80 ดีล พร้อมคูปองส่วนลดเพิ่มจากเว็บไซต์และของสมนาคุณจากแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังมีบริการให้ลูกค้าได้ช้อปผ่าน Central Chat & Shop (เซ็นทรัล แชท แอนด์ช้อป) โดยสามารถแชทสอบถามพนักงานให้เช็คสินค้าผ่านทางไลน์ Central Line Official ที่มุมซ้ายของเมนู โดยสามารถรอรับสินค้าที่บ้านเลยได้ในวันรุ่งขึ้น หรือจะเลือกมารับเองที่ห้างเซ็นทรัลสาขาใกล้บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าจะได้โปรโมชั่นเช่นเดียวกับการมาห้าง ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่ว่าลูกค้าจะช้อปผ่านช่องทางไหนของห้างเซ็นทรัล จะได้รับโปรโมชั่นที่ดีที่สุด เพื่อตอกย้ำความพิเศษ! ของแคมเปญ The Greatest Grand Sale 2019 ซึ่งถือเป็นงานช้อปแห่งชาติ ดังนั้นดีลที่ให้ต้องดีที่สุดเพื่อลูกค้าคนพิเศษของเราอย่างแน่นอน” คุณปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า“ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล มั่นใจได้เลยว่าเราเตรียมโปรโมชั่นที่ดีที่สุดเพื่อนักช้อป ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ที่ทุกวันนี้ห้างเซ็นทรัลได้ผสานเชื่อมเข้าด้วยกันเป็น ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าลูกค้าจะช้อปสินค้าที่ห้างหรือผ่านช่องทางออนไลน์ ก็จะได้โปรโมชั่นที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน โดยหากลูกค้ามาช้อปปิ้งที่ห้างเซ็นทรัล ลูกค้าจะได้รับโปรโมชั่นลดราคาตั้งแต่ 10-50 นอกจากนั้นยังสามารถรับสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการทั่วประเทศ กว่า 13 บัตร มาเป็นส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 28% และหากช้อปผ่านบัตร เมื่อช้อปครบ 3,000 บาท ยังรับคูปองแทนเงินสด 100 บาท ได้ทันที สำหรับลูกค้าที่สะดวกหรือรักการช้อปปิ้งออนไลน์ เราได้จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 6-13 มิ.ย.62 ผ่านเว็บไซต์ ด้วยส่วนลดสูงสุด 80 และดีลพิเศษอื่นๆ เช่น 8 วัน 8 แบรนด์ 8 วัน 80 ดีล พร้อมคูปองส่วนลดเพิ่มจากเว็บไซต์และของสมนาคุณจากแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังมีบริการให้ลูกค้าได้ช้อปผ่าน เซ็นทรัล แชท แอนด์ช้อป) โดยสามารถแชทสอบถามพนักงานให้เช็คสินค้าผ่านทางไลน์ ที่มุมซ้ายของเมนู โดยสามารถรอรับสินค้าที่บ้านเลยได้ในวันรุ่งขึ้น หรือจะเลือกมารับเองที่ห้างเซ็นทรัลสาขาใกล้บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าจะได้โปรโมชั่นเช่นเดียวกับการมาห้าง ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่ว่าลูกค้าจะช้อปผ่านช่องทางไหนของห้างเซ็นทรัล จะได้รับโปรโมชั่นที่ดีที่สุด เพื่อตอกย้ำความพิเศษ ของแคมเปญ ซึ่งถือเป็นงานช้อปแห่งชาติ ดังนั้นดีลที่ให้ต้องดีที่สุดเพื่อลูกค้าคนพิเศษของเราอย่างแน่นอน ผนึก Group Synergy กับ Multiple Top-Up ช้อปจุใจ ‘ลดแล้วลดอีก ลุ้นแล้วลุ้นอีก’ พร้อมจับกลุ่มTop Spenders ทั่วประเทศ ผนึก กับ ช้อปจุใจ ลดแล้วลดอีก ลุ้นแล้วลุ้นอีก พร้อมจับกลุ่ม ทั่วประเทศ ดร. ณัฐกิตติ์กล่าวเสริมว่า ด้วยความที่ The Greatest Grand Sale เป็นอภิมหางานเซลพร้อมกันของทั้งกลุ่มเซ็นทรัลทั่วประเทศ เราจึงวางกลยุทธ์เฉพาะเพื่อสร้างอิมแพคไปทั่วประเทศ ไม่เฉพาะแค่กรุงเทพฯ เท่านั้น โดยเฉพาะสำหรับกลุ่ม Top Spenders ซึ่งครั้งนี้เราแจกรางวัลสำหรับ Top Spenders เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับฮ่องกงจากการบินไทย จำนวนมากที่สุดถึง 448 ท่าน กระจายทุกสาขาของซีพีเอ็น นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดพิเศษและโปรโมชั่นแบบ Multiple Top-Up อีกมากมายที่ลูกค้าจะได้รับจากบริษัทในเครือที่ร่วมรายการ และมารับ Top-Up promotion ของศูนย์การค้าได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังเอาใจคนชอบท่องเที่ยวด้วยโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราด้วยโปรโมชั่นเด็ดที่สุด จองโรงแรมในคืนที่ 3 เพียง 36 บาท เพื่อฉลองครบรอบ 36 ปี ดร ณัฐกิตติ์กล่าวเสริมว่า ด้วยความที่ เป็นอภิมหางานเซลพร้อมกันของทั้งกลุ่มเซ็นทรัลทั่วประเทศ เราจึงวางกลยุทธ์เฉพาะเพื่อสร้างอิมแพคไปทั่วประเทศ ไม่เฉพาะแค่กรุงเทพฯ เท่านั้น โดยเฉพาะสำหรับกลุ่ม ซึ่งครั้งนี้เราแจกรางวัลสำหรับ เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับฮ่องกงจากการบินไทย จำนวนมากที่สุดถึง ท่าน กระจายทุกสาขาของซีพีเอ็น นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดพิเศษและโปรโมชั่นแบบ อีกมากมายที่ลูกค้าจะได้รับจากบริษัทในเครือที่ร่วมรายการ และมารับ ของศูนย์การค้าได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังเอาใจคนชอบท่องเที่ยวด้วยโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราด้วยโปรโมชั่นเด็ดที่สุด จองโรงแรมในคืนที่ 3 เพียง 36 บาท เพื่อฉลองครบรอบ 36 ปี คุณภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เสริมว่า “เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ ผู้นำฟู้ดสโตร์และพรีเมี่ยมซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของไทย ได้ผนึกกำลังกับธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล จัดทำแคมเปญ The Greatest Grand Sale 2019 เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ และกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงกลางปีให้คึกคัก โดยได้จัดเตรียมโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าเมื่อช้อปสินค้าในเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ ได้แก่ สนุกช็อป สนุกลุ้น สมาชิกเดอะวัน ลุ้นรับ Dyson พัดลมกรองอากาศและเครื่องดูดฝุ่น (Pure Cool TP04 และDyson V11 Absolute) มูลค่า 56,800 บาท จำนวน 60 รางวัล รวมมูลค่า 3,408,000 บาท เมื่อช็อปครบทุก 600 บาท/ใบเสร็จ สแกน QR Code เพื่อรับสิทธิ์ลุ้น พิเศษ! รับเพิ่ม 10 สิทธิ์ เมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน LINE :TopsThailand และรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6% เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิตCentral The 1 ตั้งแต่วันนี้ – 9 กรกฎาคม 2562, ลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค สูงสุด 50% พบกับสินค้า Red Hot, ซื้อ 1 แถม 1, แลกซื้อสินค้าในราคาเพียง 1 บาท เมื่อใช้คะแนน The 1 แลกซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ, สะดวกสบายเมื่อช้อปผ่านออนไลน์ www.tops.co.th พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต Central The 1 ต่อที่ 1 รับทันที! ส่วนลดมูลค่า 150 บาท เมื่อช็อปครบ 2,000บาท/ใบเสร็จ (จำกัด 4 สิทธิ์/หมายเลขเดอะวัน ตลอดรายการ) ต่อที่ 2 รับเพิ่ม! เครดิตเงินคืน 100บาท เมื่อซื้อสินค้าหลังหักส่วนลดครบ 2,000 บาทขึ้นไป/รายการสั่งซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านเครดิตคาร์ดออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2562” คุณภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เสริมว่า เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ ผู้นำฟู้ดสโตร์และพรีเมี่ยมซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของไทย ได้ผนึกกำลังกับธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล จัดทำแคมเปญ 201 เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ และกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงกลางปีให้คึกคัก โดยได้จัดเตรียมโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าเมื่อช้อปสินค้าในเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ ได้แก่ สนุกช็อป สนุกลุ้น สมาชิกเดอะวัน ลุ้นรับ พัดลมกรองอากาศและเครื่องดูดฝุ่น ( และ ) มูลค่า 56,800 บาท จำนวน 60 รางวัล รวมมูลค่า 3,408,000 บาท เมื่อช็อปครบทุก 600 บาท/ใบเสร็จ สแกน เพื่อรับสิทธิ์ลุ้น พิเศษ รับเพิ่ม 10 สิทธิ์ เมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน และรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6 เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิต ตั้งแต่วันนี้ – 9 กรกฎาคม 2562, ลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค สูงสุด 50 พบกับสินค้า , ซื้อ 1 แถม 1, แลกซื้อสินค้าในราคาเพียง 1 บาท เมื่อใช้คะแนน แลกซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ, สะดวกสบายเมื่อช้อปผ่านออนไลน์ พร้อม สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต ต่อที่ รับทันที! ส่วนลดมูลค่า บาท เมื่อช็อปครบ บาท/ใบเสร็จ จำกัด สิทธิ์/หมายเลขเดอะวัน ตลอดรายการ) ต่อที่ รับเพิ่ม! เครดิตเงินคืน บาท เมื่อซื้อสินค้าหลังหักส่วนลดครบ บาทขึ้นไป/รายการสั่งซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านเครดิตคาร์ดออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ – กรกฎาคม คุณเออร์ลินดา เพชรพิสิฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับมหกรรมเซลแห่งชาติ ‘THE GREATEST GRAND SALE 2019’ โรบินสันได้ร่วมผนึกกำลังกับบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล มอบโปรโมชั่น และสิทธิพิเศษแบบจัดเต็มสำหรับลูกค้าโรบินสัน ไม่ว่าจะเป็นลดสินค้าทั้งห้างฯ สูงสุด 50% ทั้งกลุ่มสินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย แอคเซสเซอรี่ เครื่องสำอาง สินค้าเด็ก เครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน, ลดเพิ่ม สูงสุด 12.5% เมื่อใช้คะแนนเดอะวันเท่ายอดช้อป, ลุ้นรางวัลรวมมูลค่า 890,000 บาท ทั้งรถยนต์ ‘SUZUKI รุ่น CIAZ GLX’, บัตรห้องพักโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา รวม 25 รางวัล เมื่อช้อปทุก 1,000 บาท หรือใช้คะแนนเดอะวันทุก 30 คะแนน พร้อมแสดงใบเสร็จไม่จำกัดยอดช้อป พร้อมรับอภิสิทธิ์จากบัตรเครดิตชั้นนำ ลดและรับคืน รวมสูงสุด 35% ตั้งแต่วันที่ 6 -30 มิถุนายน 2562 ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 49 สาขา” คุณเออร์ลินดา เพชรพิสิฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับมหกรรมเซลแห่งชาติ ‘ โรบินสันได้ร่วมผนึกกำลังกับบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล มอบโปรโมชั่น และสิทธิพิเศษแบบจัดเต็มสำหรับลูกค้าโรบินสัน ไม่ว่าจะเป็นลดสินค้าทั้งห้างฯ สูงสุด 50% ทั้งกลุ่มสินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย แอคเซสเซอรี่ เครื่องสำอาง สินค้าเด็ก เครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน ลดเพิ่ม สูงสุด 12.5% เมื่อใช้คะแนนเดอะวันเท่ายอดช้อป ลุ้นรางวัลรวมมูลค่า 890,000 บาท ทั้งรถยนต์ ‘ รุ่น บัตรห้องพักโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา รวม 25 รางวัล เมื่อช้อปทุก 1,000 บาท หรือใช้คะแนนเดอะวันทุก 30 คะแนน พร้อมแสดงใบเสร็จไม่จำกัดยอดช้อป พร้อมรับอภิสิทธิ์จากบัตรเครดิตชั้นนำ ลดและรับคืน รวมสูงสุด 35% ตั้งแต่วันที่ 6 -30 มิถุนายน 2562 ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 49 สาขา” มร. ทอม ทรัสเซล รองประธานฝ่ายแบรนด์ การตลาด และดิจิทัล โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวปิดท้ายว่า “โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ The Greatest Grand Sale ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษและยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยปีนี้ เป็นปีที่ฉลองครบรอบ 36 ปี ของเรา ยกตัวอย่างเช่น จองโรงแรมในคืนที่ 3 เพียง 36 บาท หรือเพียงแอดไลน์ @mycentara เพื่อรับคูปองซื้อเครื่องดื่มและเบเกอรี่ ในราคา 36 บาท และสำหรับคนที่ชื่นชอบการนวดก็สามารถใช้บริการที่ SPA Cenvaree ได้ในราคาเพียง 360 บาทเท่านั้น รวมถึงยังมีโปรโมชั่นสุดเซอร์ไพรส์ทุกสัปดาห์ และพิเศษสุดกับกิจกรรมประกวดภาพถ่าย 10-YEAR TRAVEL IN STYLE CHALLENGE ที่มีรางวัลเตรียมไว้แจกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัตรห้องพัก ห้องอาหาร หรือสปา สามารถติดตามรายละเอียดโปรโมชั่นและกิจกรรมต่างๆได้ที่ มร. ทอม ทรัสเซล รองประธานฝ่ายแบรนด์ การตลาด และดิจิทัล โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวปิดท้ายว่า โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษและยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยปีนี้ เป็นปีที่ฉลองครบรอบ 36 ปี ของเรา ยกตัวอย่างเช่น จองโรงแรมในคืนที่ 3 เพียง 36 บาท หรือเพียงแอดไลน์ เพื่อรับคูปองซื้อเครื่องดื่มและเบเกอรี่ ในราคา 36 บาท และสำหรับคนที่ชื่นชอบการนวดก็สามารถใช้บริการที่ ได้ในราคาเพียง 360 บาทเท่านั้น รวมถึงยังมีโปรโมชั่นสุดเซอร์ไพรส์ทุกสัปดาห์ และพิเศษสุดกับกิจกรรมประกวดภาพถ่าย 10- ที่มีรางวัลเตรียมไว้แจกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัตรห้องพัก ห้องอาหาร หรือสปา สามารถติดตามรายละเอียดโปรโมชั่นและกิจกรรมต่างๆได้ที่ 36. พบกับแคมเปญ “เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล 2019: SHOPPING ADDICTS เพราะชีวิตติดช้อป” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัลภูเก็ต ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เซ็น โรบินสัน รวม 69 สาขาทั่วประเทศ ซูเปอร์สปอร์ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, พาวเวอร์บาย, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท และช้อปออนไลน์ 24 ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และเจดี เซ็นทรัล ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน – 17 กรกฎาคม 2562 พบกับแคมเปญ เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล : เพราะชีวิตติดช้อป ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล เซ็นทรัลภูเก็ต ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เซ็น โรบินสัน รวม สาขาทั่วประเทศ ซูเปอร์สปอร์ต, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, พาวเวอร์บาย, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท และช้อปออนไลน์ ชั่วโมง ผ่านทางเซ็นทรัลออนไลน์ และเจดี เซ็นทรัล ตั้งแต่วันที่ มิถุนายน – กรกฎาคม ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ‘เซ็นทรัล กรุ๊ป’ จัดแคมเปญ “เดอะ เกรทเทส แกรนด์ เซล 2019 In "PR News" ถอดบทเรียนกรณีไฟไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ (CentralWorld) ใครต้องรับผิดชอบความเสียหาย? In "News" ถึงเวลาเลิกพกเงินสดไป “ห้างเซ็นทรัล” เพราะต่อไปจะจ่ายผ่าน QR Code ได้ทุกร้านค้า In "News" | THE GREATEST GRAND SALE เป็นอภิมหาเทศกาลเซลระดับชาติที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดแห่งปีด้วยพลังของกลุ่มเซ็นทรัลในฐานะผู้นำทางด้านธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือ 13ธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา (เซ็นทรัลเวิลด์-เซ็นทรัลพลาซา-เซ็นทรัลเฟสติวัล–เซ็นทรัลภูเก็ต), ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเซน, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ท็อปส์, ซุปเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท, เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป,โรงแรมเซ็นทารา, เดอะวันคาร์ด และเจดี เซ็นทรัล ลดราคาสินค้าและบริการต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ
ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนากล่าวว่า “แคมเปญครั้งนี้ซีพีเอ็นได้ขานรับภาพรวมนโยบายรัฐทุกภาคส่วน ตั้งเป้าเป็น A Must VisitDestination for Mid-year Sale และมุ่งผลักดันให้เป็นเทศกาลเซลแห่งชาติในระดับเอเชีย เทียบชั้นฮ่องกง และสิงคโปร์ สอดคล้องกับ 1) นโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็น Preferred Destination ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้านการช้อปปิ้งสินค้าลดราคาช่วงกลางปี 2) นโยบายภาครัฐที่ขยายเวลาการงดเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเดินทางเข้าประเทศไทยจนถึงเดือนตุลาคม 2562 ทำให้คาดว่าเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากกลุ่ม First Visitors และ Repeated visitors ที่เป็นกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งมีศักยภาพในการใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาช้อปสินค้าลดราคาในช่วงกลางปี และ 3) มาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายและเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ” | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56114 | Retail | โครงการสามย่านมิตรทาวน์ตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร ? | “สามย่านมิตรทาวน์” นับถอยหลัง พร้อมเปิดกันยายนนี้ ฉีกตลาดชู Urban Life Library โชว์คอนเซ็ปต์โซนใหม่ “24 ชั่วโมง” เร่งเจาะกลุ่มเป้าหมาย นิสิตนักศึกษา ฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ นักท่องเที่ยว คนในพื้นที่สามย่าน จัดเต็มพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำให้บริการหลากหลาย รับความต้องการยามดึกมั่นใจตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้บริการ ทั้งกลางวัน และกลางคืน 24 ชั่วโมง ธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือโกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า โครงการมิกซ์ยูส “สามย่านมิตรทาวน์” ที่จะเสร็จสมบูรณ์เป็นแห่งแรกบนถนนพระราม 4 เพื่อเป็นนิว เดสติเนชั่น (New Destination) ของกรุงเทพฯ พร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนกันยายนนี้ โดยบริษัททุ่มเม็ดเงินและแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ โซน “24 ชั่วโมง” ซึ่งจะเป็นหัวใจหลักของโครงการค้าปลีกรูปแบบใหม่ ฉีกความแตกต่างจากรีเทลทั่วไป นับเป็นรีเทล 24 ชั่วโมงใจกลางเมืองแห่งแรก ทั้งนี้ โครงการสามย่านมิตรทาวน์ตั้งเป้าเป็น “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะโซน “24 ชั่วโมง” คือ จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ รองรับไลฟ์สไตล์ให้คนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มนักเรียน นิสิตนักศึกษา คนทำงาน ฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้อยู่อาศัยในย่านสามย่านและพื้นที่ใกล้เคียง เข้ามาใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ตลอด 24 ชั่วโมง “สามย่านมิตรทาวน์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อของสถานีรถไฟใต้ดินบริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการนำสินค้าและบริการต่าง ๆ มาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จัดเต็มนำบริการที่หลากหลายที่สุดมาเปิดให้บริการในโซน 24 ชั่วโมง โดยมีสัดส่วนที่ลงตัวของ 4 ส่วนหลัก คือ ร้านอาหาร (Dinning) ร้านค้า (Shopping) ธุรกิจบริการ (Service) และพื้นที่รองรับไลฟสไตล์ (Space Service) กล่าวคือมีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร สถาบันทางการเงิน บริการจัดส่งพัสดุ Co-working Space ร้านจำหน่ายสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น และร้านบอร์ดเกม ตอกย้ำการเป็น 24 ชั่วโมง Destination อย่างเต็มรูปแบบ” ตามแผนการจัดโซน “24 ชั่วโมง” จะมีพื้นที่ใน 4 ชั้นหลัก ได้แก่ ชั้น B1 ชั้น G ชั้น 1 และชั้น 2 ของโครงการมากกว่า 5,000 ตารางเมตร โดยขณะนี้สามารถปิดการขายพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 90% แล้ว และมั่นใจว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมดเร็ว ๆ นี้ ด้านพันธมิตรที่เข้าร่วมโครงการล้วนเป็นแบรนด์ยอดนิยมและมีความโดดเด่นด้านบริการ โดยมีร้านที่ตัดสินใจเปิดบริการแบบ 24 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกที่สามย่านมิตรทาวน์ อาทิ ร้านสินค้าไลฟ์สไตล์มินิโซ (Miniso), ชาบูชิ (Shabushi), สเวนเซ่นส์ (Swensens), ก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร ไวท์ สตอรี่ (White Story) และมายด์ สเปซ โดย ซี อาเซียน (Mind Space by C Asean) ที่ให้บริการอาหารเครื่องดื่มพร้อมร้านหนังสือทั้งไทยและต่างประเทศ รวมทั้งมีร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เปิดแบบ 24 ชั่วโมงอีกหลากหลายประเภท เช่น เคเอฟซี (KFC) เอ ราเมน (A Ramen) สตาร์คบัคส์ คอฟฟี่ (Starbucks Coffee) ร้านคาเฟ่อเมซอน (Cafe Amazon) สำหรับซูปเปอร์มาร์เก็ตนั้น บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มบีเจซี ตัดสินใจนำเสนอสาขาซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่และเป็นโมเดลที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในแพลตฟอร์มใหม่ภายใต้ชื่อ “บิ๊กซี ฟู้ดเพลส” เพื่อเป็น Food Store เต็มรูปแบบ เน้นพื้นที่จำหน่ายแผนกอาหารสดที่ใหญ่กว่าทุกแพลตฟอร์ม ชูจุดเด่นกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready Meal) และอาหารสุขภาพออร์แกนิก (Organic Food) ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นอกจากนี้ยังมีบริการส่งพัสดุด่วน Kerry Express บริการทางการเงิน ทั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย SCB Express รวมถึงมี Co-learning Space ร้านบอร์ดเกมส์ยอดนิยมอย่าง เชลดอน (Sheldon) และ เซเลบริตี้ ฟิตเนส (Celebrity Fitness) ภายใต้กลุ่ม ฟิตเนส เฟิรส์ท ประเทศไทย ที่เตรียมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย “การพัฒนาโซน 24 ชั่วโมง เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่แตกต่างจากในอดีต เราเชื่อมั่นว่า จำนวนของกลุ่มอาชีพอิสระที่มีเวลาการทำงานยืดหยุ่นจะเพิ่มมากขึ้น เราจึงต้องสร้างจุดขายใหม่ สร้างความแตกต่าง สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ สร้างไลฟ์สไตล์ที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้ชีวิตที่หลากหลาย ซึ่งโซน 24 ชั่วโมง จะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้โครงการสามย่านมิตรทาวน์เป็นเดสทิเนชั่นของคนรุ่นใหม่อย่างสมบูรณ์แบบมากกว่าโครงการค้าปลีกแห่งอื่น ๆ ของกรุงเทพฯ” ธีรนันท์กล่าว ที่สำคัญ บริษัทยังเตรียมกลยุทธ์การตลาด จัดอีเวนต์ในโซน “24 ชั่วโมง” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งกิจกรรมช่วงเช้าตรู่ กลางวันและช่วงค่ำ รวมทั้งการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ บริษัทเชื่อมั่นว่า ทันทีที่สามย่านมิตรทาวน์เปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2562 ตลอดทั้งวันจะมีกลุ่มลูกค้าเข้ามาใช้บริการประมาณ 30,000 คนต่อวัน ในจำนวนดังกล่าวจะเข้ามาใช้บริการในโซน “24 ชั่วโมง” ด้วย อนึ่ง โครงการสามย่านมิตรทาวน์อยู่บนทำเลหัวมุมถนนพญาไท-พระราม 4 เนื้อที่กว่า 14 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนที่อยู่อาศัย โซนอาคารสำนักงาน และโซนรีเทลหรือ Urban Life Library สูง 6 ชั้น พื้นที่ให้เช่ารวม 36,000 ตารางเมตร พัฒนาจากแนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นมิตร” โดยออกแบบให้พื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน (Smart) และ เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Friendly) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library” หรือ “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จะเติมเต็ม Urban Life Library ของทุก ๆ คน ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related “สามย่านมิตรทาวน์” มิกซ์ยูสแห่งใหม่ล่าสุดบนถนนพระราม 4 เติมเต็มเทรนด์รีเทล 24 ชั่วโมง สะดวกทุกการเดินทางด้วยทางเลือกมากมาย In "Featured" เปิดแนวคิด “สามย่านมิตรทาวน์” ปั้นค้าปลีกแห่งใหม่ทั้งที ต้อง “เป็นที่จดจำ” ให้มากที่สุด In "News" เผยโฉม MUJI สามย่านมิตรทาวน์ สาขาใหญ่สุดในไทย แถมมีมุมกาแฟ In "News" | โครงการสามย่านมิตรทาวน์ตั้งเป้าเป็น “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะโซน “24 ชั่วโมง” คือ จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ รองรับไลฟ์สไตล์ให้คนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มนักเรียน นิสิตนักศึกษา คนทำงาน ฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้อยู่อาศัยในย่านสามย่านและพื้นที่ใกล้เคียง เข้ามาใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ตลอด 24 ชั่วโมง
“สามย่านมิตรทาวน์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อของสถานีรถไฟใต้ดินบริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการนำสินค้าและบริการต่าง ๆ มาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จัดเต็มนำบริการที่หลากหลายที่สุดมาเปิดให้บริการในโซน 24 ชั่วโมง โดยมีสัดส่วนที่ลงตัวของ 4 ส่วนหลัก คือ ร้านอาหาร (Dinning) ร้านค้า (Shopping) ธุรกิจบริการ (Service) และพื้นที่รองรับไลฟสไตล์ (Space Service) กล่าวคือมีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร สถาบันทางการเงิน บริการจัดส่งพัสดุ Co-working Space ร้านจำหน่ายสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น และร้านบอร์ดเกม ตอกย้ำการเป็น 24 ชั่วโมง Destination อย่างเต็มรูปแบบ”
ตามแผนการจัดโซน “24 ชั่วโมง” จะมีพื้นที่ใน 4 ชั้นหลัก ได้แก่ ชั้น B1 ชั้น G ชั้น 1 และชั้น 2 ของโครงการมากกว่า 5,000 ตารางเมตร โดยขณะนี้สามารถปิดการขายพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 90% แล้ว และมั่นใจว่าจะปิดการขายได้ทั้งหมด | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56155 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เงินดิจิทัลมีข้อดีหลายประการ เช่น สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ | null | เงินดิจิทัล... ทางเลือกใหม่ในยุคดิจิทัล
ณ ร้านกาแฟเล็กๆ ใจกลางกรุงเทพ นลิน สาววัย 20 ปลายๆ กำลังนั่งจิบกาแฟยามบ่าย สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอ บนหน้าจอปรากฏแอปพลิเคชั่นใหม่ล่าสุดที่เธอเพิ่งโหลดมาใช้งาน นั่นคือ "เป๋าตังค์ดิจิทัล" ของธนาคารไทยพาณิชย์
นลินเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการทดสอบการใช้งานเงินสกุลดิจิทัล หรือ Retail CBDC ของธนาคารแห่งประเทศไทย โครงการนี้ริเริ่มขึ้นเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเงินดิจิทัลมาใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชน
นลินลองใช้ "เป๋าตังค์ดิจิทัล" ซื้อกาแฟแก้วโปรด ปรากฏว่าสะดวกและรวดเร็วกว่าการใช้เงินสดหรือบัตรเครดิตมาก เพียงแค่สแกน QR Code บนหน้าจอเครื่องรับชำระเงิน เงินดิจิทัลก็ถูกโอนออกจากบัญชีของเธอทันที
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าเงินดิจิทัลจะใช้งานง่ายและสะดวกขนาดนี้ คงจะดีถ้าทุกคนสามารถใช้เงินดิจิทัลได้" นลินคิดในใจ
หลังจากนั้น นลินเริ่มใช้ "เป๋าตังค์ดิจิทัล" แทนเงินสดและบัตรเครดิตในการซื้อของต่างๆ เธอรู้สึกประทับใจกับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยของเงินดิจิทัล
วันหนึ่ง นลินได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณลุงขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ คุณลุงบ่นว่าลำบากใจกับปัญหาเงินทอนไม่พออยู่บ่อยๆ นลินจึงแนะนำให้คุณลุงลองใช้ "เป๋าตังค์ดิจิทัล"
"ลองใช้แอปนี้ดูสิคะ สะดวกมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอนอีกต่อไป" นลินอธิบาย
คุณลุงลองใช้ "เป๋าตังค์ดิจิทัล" ตามคำแนะนำของนลิน ปรากฏว่าคุณลุงรู้สึกประทับใจมาก บอกว่าใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และลูกค้าก็เริ่มใช้เงินดิจิทัลมากขึ้น
จากประสบการณ์ของนลิน ทำให้เธอตระหนักว่า เงินดิจิทัลมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชำระเงินในอนาคต เงินดิจิทัลเป็นทางเลือกใหม่ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
นลินเชื่อว่า เงินดิจิทัลจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56160 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....โลตัส: ก้าวกระโดดสู่ยุค New SMART Retail โลกอนาคตที่สดใสของการค้าปลีก | null | โลตัส: ก้าวกระโดดสู่ยุค New SMART Retail
บทที่ 1: เสียงกระซิบจากสายลม
สายลมเย็นพัดโชยมาแตะใบหน้าของหญิงสาวนามว่า "พรรษวัลย์" พนักงานสาวไฟแรงของโลตัส หญิงสาวกำลังยืนมองท้องฟ้ากว้าง คิดทบทวนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลตัส ภายใต้กลยุทธ์ "New SMART Retail"
โลตัสกำลังก้าวกระโดดสู่ยุคใหม่ ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ยุคที่ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ยุคที่การช้อปปิ้งไม่ใช่แค่การซื้อของ แต่คือประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ
พรรษวัลย์นึกถึงคำพูดของสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย ที่กล่าวไว้ว่า "โลตัสจะใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อ Big Data กับสาขาต่างๆ ทั้ง 2,300 แห่ง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า และเสริมความเป็นผู้นำค้าปลีกของโลตัสให้แข็งแกร่ง"
บทที่ 2: การเดินทางสู่โลกใหม่
พรรษวัลย์ได้รับมอบหมายให้ดูแลแอปพลิเคชั่น Lotus's SMART App แอปพลิเคชั่นที่รวมแพลตฟอร์ม e-commerce และโปรแกรมขอบคุณลูกค้า MyLotus's เข้าไว้ด้วยกัน
หญิงสาวทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ออกแบบโปรโมชั่นที่ตรงใจ พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
บทที่ 3: บททดสอบแห่ง New SMART Retail
วันหนึ่ง พรรษวัลย์ได้รับแจ้งว่ามีลูกค้าท่านหนึ่งไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นได้ หญิงสาวรีบติดต่อลูกค้าเพื่อสอบถามปัญหา
"คุณป้าค่ะ พอดีแอปมีปัญหา ทางเราต้องขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ" พรรษวัลย์กล่าวด้วยความสุภาพ
"ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าเข้าใจ ป้าแก่แล้ว ไม่ค่อยเข้าใจเทคโนโลยีเท่าไหร่" คุณป้าตอบอย่างใจเย็น
พรรษวัลย์รู้สึกเห็นใจคุณป้า หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินทางไปหาคุณป้าที่บ้านเพื่อสอนวิธีใช้แอปพลิเคชั่น
บทที่ 4: รอยยิ้มแห่งความสำเร็จ
เมื่อพรรษวัลย์สอนคุณป้าจนใช้งานแอปพลิเคชั่นได้ คุณป้ายิ้มอย่างมีความสุข
"ขอบคุณหนูมากนะ หนูใจดีมากเลย ป้าไม่คิดว่าจะมีพนักงานมาสอนใช้แอปถึงบ้านแบบนี้" คุณป้ากล่าว
พรรษวัลย์รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือคุณป้า หญิงสาวรู้ว่านี่คือบทพิสูจน์ความสำเร็จของ New SMART Retail
บทที่ 5: โลกอนาคตที่สดใส
โลตัสกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ภายใต้กลยุทธ์ New SMART Retail
พรรษวัลย์มั่นใจว่าโลตัสจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56172 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด วางแผนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่น | null | บุกตะลุยอาเซียน ดินแดนแห่งโอกาส
ณ ใจกลางกรุงโซล แสงไฟสว่างไสวจากตึกสูงระฟ้าสะท้อนกับป้ายร้านสะดวกซื้อ CU สีแดงสดใส ภายในร้าน คิมซอน เด็กหนุ่มวัย 25 ปี กำลังยืนมองแผนที่อาเซียนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
"อาเซียน... ดินแดนแห่งโอกาส" เขาพึมพำกับตัวเอง
คิมซอน คือผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ CU เชนร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ เขาเพิ่งได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจาก CEO ให้ขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน
"นี่คือโอกาสทองของเรา" CEO พูดกับเขา "ตลาดอาเซียนมีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน เศรษฐกิจกำลังเติบโต ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับวัฒนธรรมเกาหลี เรามีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ"
คิมซอนรู้ดีว่าภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ร้านสะดวกซื้อในอาเซียนมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะเชนจากญี่ปุ่นที่ครองตลาดมานาน แต่เขาไม่เคยย่อท้อ เขาพร้อมเผชิญทุกอุปสรรคเพื่อนำ CU ไปสู่ความสำเร็จ
เขาเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน วัฒนธรรม พฤติกรรมผู้บริโภค กฎระเบียบทางการค้า เขาเดินทางไปเยือนเวียดนาม ประเทศที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวมากที่สุดในอาเซียน เขาเดินสำรวจตามท้องถนน สังเกตร้านสะดวกซื้อ พูดคุยกับผู้คน
หลังจากเก็บข้อมูลอย่างละเอียด คิมซอนก็วางแผนกลยุทธ์สำหรับการบุกตลาดอาเซียน เขาตัดสินใจปรับรูปแบบร้าน CU ให้เหมาะกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เน้นสินค้าเกาหลีที่กำลังได้รับความนิยม นำเสนอบริการที่สะดวก รวดเร็ว และราคาที่ย่อมเยา
เขาเริ่มเปิดสาขาแรกในนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ร้าน CU ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้บริโภค ชาวเวียดนามชื่นชอบสินค้าเกาหลี ดีไซน์ร้านที่ทันสมัย และบริการที่สะดวก รวดเร็ว
ภายในเวลาเพียง 1 ปี CU ขยายสาขาในเวียดนามได้กว่า 50 แห่ง กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของร้านสะดวกซื้อจากญี่ปุ่น
คิมซอนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขารู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของ CU ในอาเซียน เขามุ่งมั่นที่จะนำ CU ไปสู่ความสำเร็จในภูมิภาคนี้ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56204 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น | null | แสงสว่างแห่งอนาคต: บทเพลงแห่งร้านสะดวกซื้อไร้พนักงาน
ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืน ย่านชินจูกุ เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คน ร้านสะดวกซื้อ FamilyMart สาขาใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งกำลังเปล่งแสงสว่าง ดึงดูดสายตาผู้คนด้วยความแปลกใหม่ ปราศจากพนักงานขาย
ยูกิ หญิงสาววัย 25 ปี เดินผ่านร้านด้วยความสงสัย ไฟ LED สว่างไสว กระจกใสเผยให้เห็นสินค้าหลากหลายบนชั้นวาง เธอตัดสินใจลองเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่นี้
ภายในร้าน บรรยากาศเงียบสงบ ยูกิเดินสำรวจสินค้า หยิบขนมปังแซนด์วิชและน้ำดื่ม ระบบ AI ตรวจจับสินค้าโดยอัตโนมัติ รายการสินค้าปรากฏบนหน้าจอพร้อมราคา
ยูกิ หยิบสินค้าเพิ่มเติม เดินไปยังจุดชำระเงิน กล้องวงจรปิดจับภาพใบหน้าของเธอ ยืนยันตัวตนผ่านระบบจดจำใบหน้า โดยไม่ต้องใช้บัตรประชาชนหรือแอปพลิเคชันใดๆ
เพียงไม่กี่วินาที ยูกิก็ชำระเงินค่าสินค้าเสร็จสิ้น เสียงเพลงบรรเลงอย่างเบิกบาน เธอออกจากร้านด้วยรอยยิ้ม ประทับใจกับระบบที่รวดเร็ว สะดวกสบาย ปราศจากการสัมผัส
ยูกิ ครุ่นคิดถึงอนาคตของธุรกิจค้าปลีก เทคโนโลยี AI เข้ามาพลิกโฉมร้านสะดวกซื้อ ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
เธอนึกภาพ ร้านสะดวกซื้อในอนาคต เต็มไปด้วยระบบอัตโนมัติ ผู้คนสามารถเข้าถึงสินค้าที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ทว่า อนาคตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ย่อมสร้างคำถามถึงบทบาทของมนุษย์ ยูกิหวังว่า เทคโนโลยีจะช่วยเสริมศักยภาพของมนุษย์ ไม่ใช่มาแทนที่
เสียงเพลงจากร้านสะดวกซื้อ ยังคงก้องอยู่ในความคิด ยูกิเชื่อว่า อนาคตของธุรกิจค้าปลีกจะเป็นบทเพลงแห่งการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์
บทเพลงแห่งนี้ จะขับเคลื่อนสังคมสู่ยุคใหม่ ยุคที่เทคโนโลยีสร้างประโยชน์สูงสุด นำทางมนุษยชาติไปสู่อนาคตที่สดใส | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56244 | Retail | ช่วยสรุปบทความ นิวยอร์กกลับสู่ปกติ: จากระบาดหนักอันดับต้นๆ สู่การผ่อนคลายกฎ จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามเดิมแล้ว | ตอนนี้สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐดีขึ้นมาก ไม่เว้นแม้แต่ในเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นอย่าง นิวยอร์ก ทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ และทางมลรัฐเองก็ผ่อนคลายกฎในการควบคุมโควิดลงอย่างมาก ตอนนี้สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐดีขึ้นมาก ไม่เว้นแม้แต่ในเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นอย่าง ทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ และทางมลรัฐเองก็ผ่อนคลายกฎในการควบคุมโควิดลงอย่างมาก ถือว่านิวยอร์กฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดได้อย่างรวดเร็ว เพราะ 15 เดือนที่ผ่านมานิวยอร์กมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 2,164,574 คน และมีผู้เสียชีวิต 53,993 คน ถือว่านิวยอร์กฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดได้อย่างรวดเร็ว เพราะ 15 เดือนที่ผ่านมานิวยอร์กมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 2,164,574 คน และมีผู้เสียชีวิต 53,993 คน นิวยอร์กประกาศยกเลิกข้อบังคับโควิดเกือบหมด กลับสู่สภาวะปกติ นิวยอร์กประกาศยกเลิกข้อบังคับโควิดเกือบหมด กลับสู่สภาวะปกติ Andrew Cuomo ผู้ว่าการนิวยอร์กว่าตอนนี้ทางมลรัฐนิวยอร์กได้ยกเลิกข้อบังคับเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดไปเกือบหมดแล้ว โดยปรับให้สอดคล้องกับ แนวทาง ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดสหรัฐ ผู้ว่าการนิวยอร์กว่าตอนนี้ทางมลรัฐนิวยอร์กได้ยกเลิกข้อบังคับเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดไปเกือบหมดแล้ว โดยปรับให้สอดคล้องกับ แนวทาง ของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดสหรัฐ ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ว่าการนิวยอร์กทำการแถลงที่ตึก One World Trade Center ตึกที่ถูกสร้างแทนที่ตึกระฟ้าที่ถูกเครื่องบินพุ่งชนในเหตุการณ์ 9/11 เป็นความตั้งใจที่จะสร้างบรรยากาศของการประกาศชัยชนะเหนือการระบาดที่ยาวนาน โดยประกาศว่าวันที่ 15 คือหมุดหมายสำคัญของการต่อสู้กับโรคระบาด ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ว่าการนิวยอร์กทำการแถลงที่ตึก ตึกที่ถูกสร้างแทนที่ตึกระฟ้าที่ถูกเครื่องบินพุ่งชนในเหตุการณ์ 9/11 เป็นความตั้งใจที่จะสร้างบรรยากาศของการประกาศชัยชนะเหนือการระบาดที่ยาวนาน โดยประกาศว่าวันที่ 15 คือหมุดหมายสำคัญของการต่อสู้กับโรคระบาด “ขอให้ทุกคนจำวันที่ 15 มิถุนายนเอาไว้ จดจำวันนี้เอาไว้ เพราะนี่คือวันที่นิวยอร์กกลับมาอีกครั้ง” ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตได้ (เกือบจะ) เหมือนเดิม ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตได้ (เกือบจะ) เหมือนเดิม ตอนนี้ในนิวยอร์ก สัดส่วนของผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส มีมากถึง 70% เพียงพอที่จะยกเลิกมาตรการโควิดส่วนใหญ่ ตามคำแนะนำของหน่วยงานด้านสาธารณสุขสหรัฐ ตอนนี้ในนิวยอร์ก เพียงพอที่จะยกเลิกมาตรการโควิดส่วนใหญ่ ตามคำแนะนำของหน่วยงานด้านสาธารณสุขสหรัฐ ข่าวดีก็คือ แคลิฟอร์เนีย เมืองใหญ่อีกหนึ่งเมืองก็ได้รับวัคซีนในสัดส่วนสูงพอๆ กับนิวยอร์ก และเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มาตรการด้านต่างๆ ผ่อนคลายลง ข่าวดีก็คือ เมืองใหญ่อีกหนึ่งเมืองก็ได้รับวัคซีนในสัดส่วนสูงพอๆ กับนิวยอร์ก และเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มาตรการด้านต่างๆ ผ่อนคลายลง Andrew Cuomo กล่าวว่า “ตอนนี้เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เราคุ้นเคยได้แล้ว” ณ ตอนนี้ ข้อบังคับส่วนใหญ่ที่เคยถูกใช้ใน ร้านอาหาร โรงหนัง ร้านค้า งานแข่งขันกีฬา ที่ทำงาน และสถานที่อื่นๆ มากว่า 1 ปี จะถูกยกเลิก Andrew Cuomo กล่าวว่า “ตอนนี้เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เราคุ้นเคยได้แล้ว” ณ ตอนนี้ ข้อบังคับส่วนใหญ่ที่เคยถูกใช้ใน ร้านอาหาร โรงหนัง ร้านค้า งานแข่งขันกีฬา ที่ทำงาน และสถานที่อื่นๆ มากว่า 1 ปี จะถูกยกเลิก ภาคเอกชนในสหรัฐก็ตอบรับสถานการณ์ที่ดีขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ภาคเอกชนในสหรัฐก็ตอบรับสถานการณ์ที่ดีขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ค้าปลีกสหรัฐ เช่น Walmart, Costco หรือ Target อนุญาตให้ลูกค้าเข้าร้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์
ยอดจองบริการท่องเที่ยวในสหรัฐกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด
Disneyland แคลิฟอร์เนีย เปิดรับนักท่องเที่ยว ไม่มีข้อบังคับเรื่องโควิด
บริษัทต่างๆ เริ่มให้พนักงานกลับออฟฟิศ เช่น Morgan Stanley, Citi, JPMorgan, Goldman Sachs, Apple และ Amazon ค้าปลีกสหรัฐ เช่น Walmart, Costco หรือ Target อนุญาตให้ลูกค้าเข้าร้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์ ค้าปลีกสหรัฐ เช่น หรือ อนุญาต ให้ลูกค้าเข้าร้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์ ยอดจองบริการท่องเที่ยวในสหรัฐกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด ยอดจอง บริการท่องเที่ยวในสหรัฐกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด Disneyland แคลิฟอร์เนีย เปิดรับนักท่องเที่ยว ไม่มีข้อบังคับเรื่องโควิด เปิดรับ นักท่องเที่ยว ไม่มีข้อบังคับเรื่องโควิด บริษัทต่างๆ เริ่มให้พนักงานกลับออฟฟิศ เช่น Morgan Stanley, Citi, JPMorgan, Goldman Sachs, Apple และ Amazon บริษัทต่างๆ เริ่มให้พนักงานกลับออฟฟิศ
| สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐดีขึ้นมาก โดยเฉพาะในนิวยอร์กที่มีประชากรหนาแน่น การคืนความปกติเริ่มเกิดขึ้นช้าๆ และมีการผ่อนคลายกฎในการควบคุมโควิดมากขึ้น นิวยอร์กได้ฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้อย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 2.1 ล้านคนและผู้เสียชีวิต 53,993 คนในระยะเวลา 15 เดือนที่ผ่านมา
นิวยอร์กประกาศยกเลิกข้อบังคับโควิดเกือบหมด กลับสู่สภาวะปกติ
ผู้ว่าการนิวยอร์ก Andrew Cuomo ยกเลิกมาตรการป้องกันโควิดเกือบทั้งหมดตามแนวทางของศูนย์ควบคุมโรคระบาดสหรัฐ แถลงที่ตึก One World Trade Center เพื่อประกาศว่าวันที่ 15 มิถุนายนเป็นหมุดหมายสำคัญในการต่อสู้กับโรคระบาดและนิวยอร์กกำลังกลับมาในช่วงนี้
ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตได้ (เกือบจะ) เหมือนเดิม
ในนิวยอร์ก, มีผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสมีมากถึง 70% ทำให้สามารถยกเลิกมาตรการโควิดส่วนใหญ่ตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขสหรัฐ และเมืองแคลิฟอร์เนียก็ได้รับวัคซีนอย่างเพียงพอและมีมาตรการด้านต่างๆ ผ่อนคลายลง
Andrew Cuomo ประกาศยกเลิกมาตรการโควิดในสหรัฐ ทำให้ธุรกิจและสถานที่ต่างๆ เปิดให้บริการเหมือนเดิม ภาคเอกชนร่วมสอดคล้อง ร้านค้าใหญ่อนุญาตลูกค้าเข้าร้านโดยไม่ต้องใส่แมสก์, ยอดจองท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และบริษัทใหญ่เริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานที่สถานที่งานหลังจากทำงานที่บ้านในระยะเวลาโควิด | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56248 | Retail | Shinji Oe ระบุว่า การใช้ฝ้ายจากซินเจียงจะส่งผลต่อผู้คนอย่างไร | ก. ช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น
ข. ละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง
ค. ได้ผลประโยชน์จากการบังคับใช้แรงงานในซินเจียง
ง. ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในท้องถิ่น | ข้อที่ถูกต้องคือ ก. เนื่องจาก เพราะ Shinji Oe ระบุว่า การใช้ฝ้ายจากซินเจียงจะช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น
Mizuno ยุติการใช้ฝ้ายจากซินเจียง Mizuno คือบริษัทสินค้าอุปกรณ์กีฬา เช่น กอล์ฟ เทนนิส เบสบอล วอลเลย์บอล ฟุตบอล วิ่ง รักบี้ สกี ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ยูโด ปิงปอง แบดมินตัน ต่อยมวยและเสื้อผ้ากีฬาญี่ปุ่น ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1906 แล้ว เรื่องนี้ Nobuteru Suzuki ระบุว่า คาดว่าจะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง ไม่ควรโฆษณาหรือขายสินค้า (หรือฝ้ายที่มาจากซินเจียง) ทั้งบริษัท Mizuno และบริษัท Cox ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้
เมื่อต้นเมษายน 2021 Nikkei ได้เริ่มทำสำรวจบริษัทยักษ์ใหญ่ราว 50 แห่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมสินค้ากีฬาและเสื้อผ้าที่มีประเด็นเรื่องการใช้วัตถุดิบจากจังหวัดทางตะวันตกของจีน พบว่ามี 14 แห่งที่ใช้ฝ้ายจากซินเจียง มี 7 แห่งระบุว่ากำลังตรวจสอบอยู่ ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่จะมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรสหรัฐอเมริกาบล็อคสินค้าของ Fast Retailing ที่คาดว่ามีการใช้ฝ้ายจากซินเจียง (Fast Retailing เป็นบริษัทแม่ของแบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ด้วยกัน อาทิ Unioqlo, GU, Theory, PLST, Comptoir Des Cottonniers, Pricesse tam tam และ J Brand)
นอกจากนี้ บริษัทที่ผลิตชุดชั้นในอย่าง Wacoal และแบรนด์ MUJI ก็ระบุว่า อาจจะต้องใช้วัตถุดิบที่มาจากคู่แข่งแทนซึ่งเขาจะยุติการดำเนินธุรกิจด้วยหากมีการยืนยันว่ามีการบังคับใช้แรงงาน ซึ่งบริษัท Ryohin Keikaku บริษัทแม่ของแบรนด์ MUJI ที่มีหน้าร้านในญี่ปุ่นราว 479 แห่ง มีหน้าร้านนอกญี่ปุ่นอีก 550 แห่ง ดำเนินกิจการ 31 ประเทศทั่วโลกระบุว่า ได้ตรวจสอบอย่างดีที่สุดแล้ว หากยุติการใช้วัตถุดิบเหล่านี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในท้องถิ่นด้วย ใช้สินค้าที่เป็นฝ้ายผลิตจากอินเดียจำนวนมาก อาจจะดำเนินธุรกิจได้ต่อไปแม้ว่าจะหยุดใช้ฝ้ายจากซินเจียง | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56259 | Retail | แบรนด์แฟชั่นตะวันตกควรคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. ขาดหลักฐานที่ชัดเจน: แบรนด์แฟชั่นตะวันตกอ้างว่าคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงเพื่อต่อต้านการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ แต่หลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้ยังไม่ชัดเจน รัฐบาลจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาและสื่อตะวันตกบางสำนักก็ตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่มีอยู่
2. ส่งผลกระทบต่อแรงงาน: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงจะส่งผลกระทบต่อแรงงานในซินเจียงโดยตรง ซินเจียงเป็นผู้ผลิตฝ้ายรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก แรงงานหลายล้านคนในซินเจียงมีรายได้จากการผลิตฝ้าย การคว่ำบาตรจะทำให้พวกเขาสูญเสียงานและรายได้
3. ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วโลก ราคาเสื้อผ้าอาจเพิ่มสูงขึ้น
4. ละเมิดหลักการค้าเสรี: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงเป็นการกีดกันทางการค้า
5. ทางเลือกอื่น: มีวิธีอื่นที่แบรนด์แฟชั่นตะวันตกสามารถใช้เพื่อต่อต้านการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ได้ เช่น การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานอย่างเข้มงวด การทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน และการสนับสนุนโครงการริเริ่มด้านแรงงานอย่างยั่งยืน
6. ผลตอบรับจากชาวจีน: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงสร้างกระแสต่อต้านจากชาวจีน แบรนด์แฟชั่นตะวันตกหลายแห่งเผชิญกับการคว่ำบาตรจากผู้บริโภคชาวจีน
7. ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงสามารถส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
8. องค์กรอิสระ: องค์กรอิสระบางแห่ง เช่น Better Cotton Initiative (BCI) ยังคงทำงานในซินเจียงเพื่อส่งเสริมการผลิตฝ้ายอย่างยั่งยืน
9. ความโปร่งใส: รัฐบาลจีนควรเพิ่มความโปร่งใสในซินเจียงเพื่อให้แบรนด์แฟชั่นตะวันตกสามารถตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10. ทางออก: ทางออกที่ดีที่สุดคือการหาจุดร่วมระหว่างแบรนด์แฟชั่นตะวันตก รัฐบาลจีน และองค์กรอิสระ เพื่อพัฒนาระบบการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
สรุป: การคว่ำบาตรฝ้ายจากซินเจียงไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แบรนด์แฟชั่นตะวันตกควรหาทางเลือกอื่นเพื่อต่อต้านการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ การคว่ำบาตรจะส่งผลเสียต่อแรงงาน ผู้บริโภค และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56284 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจพลังงาน | null | พลังงานอนาคต: ไฟฟ้าปลายนิ้ว
ณ ร้านกาแฟใจกลางเมือง มินอา สาวออฟฟิศผู้รักเทคโนโลยี กำลังนั่งจิบกาแฟยามบ่าย สายตาจับจ้องไปที่สมาร์ทโฟนในมือ หน้าจอแสดงแอปพลิเคชั่น "พลังงานอนาคต" แพลตฟอร์มซื้อขายไฟฟ้าแบบใหม่ที่เธอเพิ่งสมัครใช้งาน
"ในที่สุดก็มาถึง!" มินอาอุทานด้วยความตื่นเต้น เธอกดปุ่มซื้อไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเพื่อน ในราคาที่ถูกกว่าค่าไฟปกติ แอปพลิเคชั่นแจ้งเตือนว่าไฟฟ้าจะถูกส่งตรงมายังปลั๊กไฟอัจฉริยะในบ้านของเธอภายใน 10 นาที
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน มินอาได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับ "พลังงานอนาคต" วิทยากรบรรยายถึง 3 เมกะเทรนด์ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการใช้ไฟฟ้า: โลกที่ชาร์จได้ พลังงานเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค และไฟฟ้าเป็นบริการ
เมกะเทรนด์แรก หมายถึงการพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ผู้คนสามารถกักเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ไว้ใช้เองได้ เมกะเทรนด์ที่สอง เปรียบเสมือนการปฏิวัติตลาดไฟฟ้า ผู้บริโภคจะสามารถซื้อขายไฟฟ้ากันเองได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างการไฟฟ้า เมกะเทรนด์ที่สาม นำเสนอบริการด้านพลังงานรูปแบบใหม่ เช่น การเช่าแผงโซลาร์เซลล์ หรือการจ้างบริษัทจัดการระบบไฟฟ้าภายในบ้าน
มินอา รู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น เธอตัดสินใจสมัครใช้งาน "พลังงานอนาคต" แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายไฟฟ้ากันเองได้โดยตรง แพลตฟอร์มนี้มีระบบจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายแบบเรียลไทม์ แสดงราคาไฟฟ้าที่โปร่งใส และรองรับการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์
หลังจากใช้งาน "พลังงานอนาคต" เพียง 1 สัปดาห์ มินอา พบว่าเธอสามารถประหยัดค่าไฟได้ถึง 15% เธอรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง แบ่งปันพลังงานสะอาดให้กับผู้อื่น และสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืน
ในอนาคต มินอา วาดฝันถึงโลกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างสะดวกและราคาประหยัด โลกที่ผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของพลังงาน โลกที่ "พลังงานอนาคต" อยู่ในมือของทุกคน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56324 | Retail | กลยุทธ์การแข่งขันของ GET FOODHALL ในตลาดบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ | GET (เก็ท) แอปพลิเคชันส่งอาหารประกาศร่วมมือกับเดอะมอลล์ กรุ๊ป และธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัวบริการฟู้ดเดลิเวอรี GET FOODHALL (เก็ท ฟู้ดฮอลล์) โดยการนำ insight ของผู้บริโภคมาผสานกับเทคโนโลยี Machine Learning ส่งมอบประสบการณ์การสั่งอาหารรูปแบบใหม่ ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากหลากหลายร้านดังในห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ผ่านแอปพลิเคชัน GET ได้สะดวกในออเดอร์เดียว ภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอปพลิเคชัน GET กล่าว GET ยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจากเดอะมอลล์ในโปรเจคนี้ โมเดล GET FOODHALL นี้ ช่วยเพิ่มทางเลือกทางอาหารที่หลากหลายในห้างดอะมอลล์แล้ว ยังมอบอความสะดวกกับผู้ใช้บริการ โดยเราพัฒนาบริการนี้จากอินไซต์ฟีเจอร์ Multi-Orders ของเรา ทำให้ทราบว่าลูกค้าจำนวนมากนิยมสั่งอาหารจากหลายร้านในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น สั่งข้าวแล้วสั่งชานมไข่มุกด้วย โดยระบบ Machine Learning จะ Personalized แนะนำเมนูให้กับผู้ใช้บริการแต่ละคนจากข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลา โลเคชัน และประวัติการสั่งซื้อที่ผ่านมา เพื่อให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ง่ายและสะดวกขึ้น ชุติเดช ผู้เจริญทั่ว ผู้อำนวยการใหญ่บริหารสินค้าซุปเปอร์มาร์เก็ต (FOOD) บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ระบุว่า GET แบ่งเป็น 4 หมวดหมู่คือ GET’s Picks ร้านแนะนำ Snacks & Bites ร้านของกินเล่น Popular Dish ร้านยอดฮิต Street Food ร้านสตรีทฟู้ด ตอนนี้เราเปิดตัวบริการ GET FOODHALL ที่ 5 สาขาหลัก ตั้งเป้าว่าจะขยายบริการให้ครบ 13 สาขาภายในสิ้นปี 2563 นี้ ด้านอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า เป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้งานบริการ GET FOODHALL ในช่วงเปิดตัว ธนาคารจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร SCB M VISA เพียงแลกคะแนน M Point จำนวน 50 คะแนน แลกรับโค้ดส่วนลดมูลค่า 120 บาท สำหรับสั่งอาหารจาก GET FOODHALL ขั้นต่ำ 400 บาท/ออเดอร์ ตั้งแต่วันที่ 1-30 มิถุนายน 2563 จำกัด 2,000 สิทธิ์ตลอดระยะเวลาส่งเสริมการขาย หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด GET FOODHALL ให้บริการแล้ววันนี้ในแอปพลิเคชัน GET สามารถเลือกสั่งอาหารจากหลากหลายร้านดังในห้างสรรพสินค้า พารากอน เอ็มควอเทียรื เอ็มโพเรียม เดอะมอลล์ บางแค และเดอะมอลล์ บางกะปิด ได้หลายร้านในออเดอร์เดียว พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม 3 ต่อ ต่อที่ 1 ส่งฟรี (ภายในระยะ 3 กิโลเมตร)
ต่อที่ 2 ส่วนลดค่าอาหารสูงสุด 50% จากร้านที่ร่วมรายการ
ต่อที่ 3 โปรโมชั่นส่วนลดเพิ่มจากทั้ง GET บัตร M CARD และบัตรเครดิต SCB M VISA อาทิ คูปองส่วนลดเพิ่ม 15% ในแอปฯ GET ทุกสัปดาห์ ต่อที่ 1 ส่งฟรี (ภายในระยะ 3 กิโลเมตร) ต่อที่ 2 ส่วนลดค่าอาหารสูงสุด 50% จากร้านที่ร่วมรายการ ต่อที่ 3 โปรโมชั่นส่วนลดเพิ่มจากทั้ง GET บัตร M CARD และบัตรเครดิต SCB M VISA อาทิ คูปองส่วนลดเพิ่ม 15% ในแอปฯ GET ทุกสัปดาห์ พร้อมกันนี้สมัครบัตร M CARD และผู้ถือบัตรเครดิต SCB M VISA รับส่วนลดสูงสุด 120 บาท เพื่อกดแลกคะแนนผ่าน M CARD แอปพลิเคชัน รับรหัสส่วนลดตั้งแต่ 1 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2563 ที่มา – ธนาคารไทยพาณิชย์ ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related บาร์บีคิวพลาซ่า เปิดบริการเดลิเวอรี่ เสิร์ฟอาหารถึงบ้านแถมรักษ์โลก In "News" LINE MAN ออกแคมเปญเคียงข้างกันไปทุกมื้อ ช่วยร้านอาหารและคนขับ ส่งฟรีในระยะ 3 กิโลเมตร In "Article" Eatable แพลตฟอร์มบริการสั่งอาหาร ที่ตอบโจทย์ทั้งกินที่ร้าน สั่งกลับบ้าน และเดลิเวอรี In "Article" | GET (เก็ท) แอปพลิเคชันส่งอาหารประกาศร่วมมือกับเดอะมอลล์ กรุ๊ป และธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัวบริการฟู้ดเดลิเวอรี GET FOODHALL เผยให้เห็นกลยุทธ์การแข่งขันของ GET FOODHALL ในตลาดบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ ดังนี้
1. ดึงดูดลูกค้าด้วยความหลากหลายของร้านอาหาร:
GET FOODHALL นำเสนอตัวเลือกอาหารที่หลากหลาย โดยรวบรวมร้านอาหารดังจากห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์กว่า 100 ร้าน ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการสั่งอาหารจากหลายร้านในออเดอร์เดียว
2. มอบประสบการณ์การสั่งอาหารที่สะดวก:
GET FOODHALL พัฒนาระบบการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน GET ที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว ลูกค้าสามารถค้นหาร้านอาหาร เลือกเมนู และชำระเงินได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสลับแอปพลิเคชัน
3. เพิ่มประสิทธิภาพด้วย Machine Learning:
GET FOODHALL นำเทคโนโลยี Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า แนะนำเมนูอาหารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ช่วยให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
4. ดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและส่วนลด:
GET FOODHALL เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดมากมาย เช่น ส่งฟรี ส่วนลดค่าอาหาร คูปองส่วนลด ดึงดูดลูกค้าใหม่ กระตุ้นยอดขาย และรักษาฐานลูกค้าเก่า
5. ร่วมมือกับธนาคาร:
GET FOODHALL ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต SCB M VISA เช่น ส่วนลดเพิ่ม แลกคะแนนรับส่วนลด ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
โดยสรุป: กลยุทธ์การแข่งขันของ GET FOODHALL มุ่งเน้นไปที่:
การนำเสนอตัวเลือกอาหารที่หลากหลาย: ดึงดูดลูกค้าด้วยร้านอาหารดังที่มีให้เลือกมากมาย
การมอบประสบการณ์การสั่งอาหารที่สะดวก: พัฒนาระบบการสั่งอาหารที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว บนแอปพลิเคชัน GET
การเพิ่มประสิทธิภาพด้วย Machine Learning: แนะนำเมนูอาหารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
การดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและส่วนลด: เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดมากมาย ดึงดูดลูกค้าใหม่ กระตุ้นยอดขาย และรักษาฐานลูกค้าเก่า
การร่วมมือกับธนาคาร: มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56352 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ผู้บริโภคในปัจจุบันมีตัวเลือกในการช้อปปิ้งมากมาย ร้านค้าปลีกต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย | null | ร้านแห่งอนาคต
"นี่มันอะไรกัน! ของที่ฉันอยากได้ดันหมดสต็อคอีกแล้ว" ฟ้าใส สาววัย 20 ต้นๆ พูดด้วยความโมโห เธอมุ่งหน้าไปที่ร้านขายเครื่องสำอางเพื่อซื้อลิปสติกสีใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว แต่กลับพบกับป้าย "สินค้าหมด" ที่แปะอยู่ตรงชั้นวาง
"ทำไมร้านนี้ถึงไม่จัดการเรื่องสต็อคสินค้าให้ดีกว่านี้?" ฟ้าใสคิดในใจ เธอรู้สึกเสียเวลาและผิดหวังมาก ประสบการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเธอหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่แค่กับร้านนี้ แต่กับร้านค้าอื่นๆ อีกด้วย
ฟ้าใสตัดสินใจลองหาซื้อลิปสติกสีเดียวกันนี้ผ่านร้านค้าออนไลน์ เธอค้นหาผ่านแอปพลิเคชันช้อปปิ้ง เปรียบเทียบราคาและรีวิวจากผู้ใช้งาน เพียงไม่กี่นาทีเธอก็ตัดสินใจซื้อลิปสติกจากร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่ง
"สะดวกและรวดเร็วกว่าเยอะเลย" ฟ้าใสพึมพำกับตัวเอง เธอรู้สึกประทับใจกับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่ร้าน แถมยังมีตัวเลือกสินค้าให้เลือกมากมาย
ในขณะเดียวกัน ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ผู้บริโภคหันไปช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ร้านค้าหลายแห่งต้องปิดตัวลง
"เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงดูดลูกค้ากลับมา" บอย เจ้าของร้านขายเสื้อผ้า พูดคุยกับพนักงานของเขา "เราต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย"
บอยตัดสินใจนำเทคโนโลยีมาใช้ในร้านของเขา เขาติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลสินค้า โปรโมชั่น และราคาสินค้าแบบเรียลไทม์ ลูกค้าสามารถใช้แท็บเล็ตเพื่อค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องผ่านพนักงาน
นอกจากนี้ บอยยังปรับปรุงระบบการจัดการสินค้าคงคลัง เขาใช้ระบบคลาวด์เพื่อติดตามสต็อคสินค้าแบบเรียลไทม์ ช่วยให้มั่นใจว่าสินค้ามีเพียงพอสำหรับลูกค้า
"การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ร้านของเราดูทันสมัยขึ้น ลูกค้าสะดวกสบายมากขึ้น และเราสามารถบริหารจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น" บอยกล่าว
ร้านค้าปลีกในยุคใหม่จำเป็นต้องผสมผสานระหว่างประสบการณ์ออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน ร้านค้าออฟไลน์ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและดึงดูดลูกค้า | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56355 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ต้องอาศัยความมุ่งมั่น อดทน และความกล้าเสี่ยง | null | เกมล่าเจ้าแห่งห้าง: บททดสอบของ "นที"
ท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องประชุม เสียงพูดคุยเจรจาของเหล่าผู้บริหารดังก้อง นที หนุ่มไฟแรงในวัย 30 ปี นั่งนิ่งอยู่ปลายโต๊ะ สายตาจับจ้องไปที่เอกสารในมือ เขากำลังเตรียมตัวสำหรับการประมูลครั้งยิ่งใหญ่ "เทสโก้ โลตัส" ห้างสรรพสินค้าเจ้าใหญ่ กำลังถูกวางขาย และนี่คือโอกาสทองที่เขาจะพาธุรกิจของครอบครัวก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด
นทีสืบทอดกิจการร้านขายของชำจากรุ่นพ่อ ปู่ของเขาสร้างอาณาจักรนี้ขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อและความอดทน นทีใฝ่ฝันที่จะขยายธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยทุนจำกัด เขาจึงทำได้เพียงมองดูคู่แข่งรายใหญ่เติบโตแซงหน้า การประมูลเทสโก้ โลตัส จึงเป็นเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
"เราต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้" นทีพูดกับตัวเอง เขาศึกษาข้อมูลของเทสโก้ โลตัส อย่างละเอียด วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน วางแผนกลยุทธ์ต่างๆ เขาเตรียมตัวอย่างทุ่มเท รู้ดีว่าคู่แข่งของเขาไม่ใช่แค่เจ้าสัวใหญ่ๆ แต่ยังมีบริษัทข้ามชาติที่พร้อมทุ่มเงินมหาศาล
การประมูลเริ่มขึ้น บรรยากาศตึงเครียด นทีนั่งนิ่ง กุมขมับด้วยความกังวล ตัวเลขราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก ท้ายที่สุด นทีตัดสินใจเสนอราคาสูงสุด แม้จะรู้ดีว่าอาจเป็นการเสี่ยง
เสียงประกาศผลดังก้อง นทีคือผู้ชนะการประมูล เขาดีใจจนน้ำตาคลอ ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงแสดงความยินดี นทีรู้ดีว่านี่คือจุดเริ่มต้นของบททดสอบที่ยิ่งใหญ่
การเทคโอเวอร์เทสโก้ โลตัส ไม่ใช่เรื่องง่าย นทีต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ปัญหาภายในองค์กร การแข่งขันที่รุนแรง และความคาดหวังจากผู้คน เขาต้องเรียนรู้และปรับตัวอย่างรวดเร็ว นำพาองค์กรฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ
ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ นทีพลิกโฉมเทสโก้ โลตัส เปลี่ยนห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมให้กลายเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งที่ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เขาสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร ผสมผสานสินค้าหลากหลาย เทคโนโลยีล้ำสมัย และบริการที่ประทับใจ
ธุรกิจของนทีเติบโตอย่างรวดเร็ว เทสโก้ โลตัส กลายเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ นทีได้รับการยกย่องจากสื่อและนักธุรกิจ เขาคือตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิดกล้าทำ พลิกโฉมธุรกิจแบบดั้งเดิมให้ก้าวทันยุคสมัย | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56384 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้และปรับตัว | null | ห้างสรรพสินค้าในยุคดิจิทัล: บททดสอบของพนักงานขาย
ณ ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่แห่งหนึ่ง กำลังเผชิญกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยอดขายซบเซา ผู้คนหันไปช้อปออนไลน์กันมากขึ้น พนักงานขายอย่าง "นลิน" รู้สึกถึงแรงกดดัน หลายแผนกถูกยุบรวม พนักงานหลายคนถูกปลดออก เธอหวาดกลัวว่าอนาคตของเธอจะเป็นอย่างไร
วันหนึ่ง นลินได้รับแจ้งให้เข้าร่วมการอบรมพัฒนาศักยภาพ พนักงานทุกคนต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล นลินรู้สึกกังวล เธอไม่เคยใช้เทคโนโลยีมาก่อน แต่เธอไม่มีทางเลือก
การอบรมเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับนลิน เธอได้เรียนรู้วิธีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ฝึกฝนการใช้โซเชียลมีเดีย พัฒนาการสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
นลินเริ่มปรับตัว เธอใช้ความรู้ที่ได้เรียนรู้มาประยุกต์ใช้กับงาน พัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ของแผนก เธอถ่ายวิดีโอแนะนำสินค้า ไลฟ์สดตอบคำถามลูกค้า แชร์เคล็ดลับการแต่งตัว
ผลลัพธ์ที่ได้น่าแปลกใจ ยอดขายของแผนกเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น ลูกค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น นลินได้รับคำชมเชยจากหัวหน้า เธอกลายเป็นพนักงานขายดาวเด่นของห้าง
เรื่องราวของนลินสะท้อนให้เห็นว่า ยุคดิจิทัลเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย พนักงานขายในยุคนี้จำเป็นต้องพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เรียนรู้การใช้เทคโนโลยี ปรับตัวให้เข้ากับโลกออนไลน์
อนาคตของห้างสรรพสินค้า:
ห้างสรรพสินค้าในยุคดิจิทัล จำเป็นต้องปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่พิเศษและดึงดูดใจลูกค้า
พนักงานขายจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ พวกเขาต้องมีทักษะที่หลากหลาย เข้าใจความต้องการของลูกค้า และสามารถให้บริการได้อย่างประทับใจ
ห้างสรรพสินค้าที่สามารถปรับตัวและพัฒนาได้อย่างทันสมัย จะสามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไปในยุคดิจิทัล | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56408 | Retail | โครงการCentral Village เอาท์เล็ตคืิออะไร | ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Central Village ลักชูรี่ เอาท์เล็ตจาก CPN มูลค่า 5,000 ล้านบาท ปักหมุดทำเลดีใกล้สุวรรณภูมิ ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Central Village ลักชูรี่ เอาท์เล็ตจาก CPN มูลค่า 5,000 ล้านบาท ปักหมุดทำเลดีใกล้สุวรรณภูมิ วงการรีเทลในปีนี้ได้เห็นอะไรแปลกใหม่นอกเหนือจากศูนย์การค้าเสียแล้ว นั่นก็คือ “เอาท์เล็ต” ศูนย์รวมจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมในราคาถูก ได้ข่าวมาว่า “สยามพิวรรธน์” ก็เตรียมเปิดโครงการ “สยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต แบงคอก” เช่นกัน เปิดบริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนกับไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป วงการรีเทลในปีนี้ได้เห็นอะไรแปลกใหม่นอกเหนือจากศูนย์การค้าเสียแล้ว นั่นก็คือ “เอาท์เล็ต” ศูนย์รวมจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมในราคาถูก ได้ข่าวมาว่า “สยามพิวรรธน์” ก็เตรียมเปิดโครงการ “สยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต แบงคอก” เช่นกัน เปิดบริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนกับไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ทั้งนี้ทางด้านของเครือเซ็นทรัลก็ไม่น้อยหน้า โดยที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้ปาดหน้าประกาศเปิดให้บริการโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ทางด้านของเครือเซ็นทรัลก็ไม่น้อยหน้า โดยที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้ปาดหน้าประกาศเปิดให้บริการโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ได้นำจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการรีเทล และอสังหาริมทรัพย์ ผนวกกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ดังระดับอินเตอร์รวมกว่า 130 สโตร์ที่เตรียมทยอยเปิด อาทิ CHLOE, CLUB 21 (OUTLET BY CLUB 21), COACH, ERMENEGILDO ZEGNA, KATE SPADE NEW YORK, KENZO, POLO RALPH LAUREN, SALVATORE FERRAGAMO, CALVIN KLEIN JEANS, JIM THOMPSON, L’OREAL LUXE, MAX & CO., MICHAEL KORS, PANDORA, SWAROVSKI, THE COSMETICS COMPANY STORE, VICTORIA’S SECRET ฯลฯ ได้นำจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการรีเทล และอสังหาริมทรัพย์ ผนวกกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ดังระดับอินเตอร์รวมกว่า 130 สโตร์ที่เตรียมทยอยเปิด อาทิ CHLOE, CLUB 21 (OUTLET BY CLUB 21), COACH, ERMENEGILDO ZEGNA, KATE SPADE NEW YORK, KENZO, POLO RALPH LAUREN, SALVATORE FERRAGAMO, CALVIN KLEIN JEANS, JIM THOMPSON, L’OREAL LUXE, MAX & CO., MICHAEL KORS, PANDORA, SWAROVSKI, THE COSMETICS COMPANY STORE, VICTORIA’S SECRET ฯลฯ โดยความพิเศษคือมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็น First Time Outlet Shop ในประเทศไทย ที่เปิดให้บริการในไทยเป้นครั้งแรก อีกทั้งกว่า 60 แบรนด์ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store ที่มีเพียงที่เซ็นทรัล วิลเลจ ที่เดียวเท่านั้น โดยความพิเศษคือมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็น First Time Outlet Shop ในประเทศไทย ที่เปิดให้บริการในไทยเป้นครั้งแรก อีกทั้งกว่า 60 แบรนด์ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store ที่มีเพียงที่เซ็นทรัล วิลเลจ ที่เดียวเท่านั้น ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ของซีพีเอ็น เผยว่า ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ของซีพีเอ็น เผยว่า “เซ็นทรัล วิลเลจ บุกเบิกเซ็กเมนต์ใหม่ Luxury Outlet ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย ซึ่งซีพีเอ็นตั้งใจสร้าง New Retail Platform นี้ขึ้นมาเติมเต็มช่องว่างในตลาด โดยสร้างมิติใหม่ให้เอาท์เล็ตเป็น Shopping Destination ที่สื่อถึงความเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก อย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ที่มีเอาท์เล็ตชั้นนำของเอเชีย เซ็นทรัล วิลเลจ บุกเบิกเซ็กเมนต์ใหม่ Luxury Outlet ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย ซึ่งซีพีเอ็นตั้งใจสร้าง New Retail Platform นี้ขึ้นมาเติมเต็มช่องว่างในตลาด โดยสร้างมิติใหม่ให้เอาท์เล็ตเป็น Shopping Destination ที่สื่อถึงความเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก อย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ที่มีเอาท์เล็ตชั้นนำของเอเชีย” ส่วนเซ็นทรัล วิลเลจ ก็ถือเป็น Bangkok Luxury Outlet ที่มีศักยภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าจะดึงดูดทราฟฟิก ได้ 6-10 ล้านคนตลอดทั้งปี แบ่งเป็นตลาดคนไทย 65% เน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ของนักช้อปชาวกรุงเทพฯ และชาวไทยทั่วประเทศ และกลุ่มนักท่องเที่ยว 35% ส่วนเซ็นทรัล วิลเลจ ก็ถือเป็น Bangkok Luxury Outlet ที่มีศักยภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าจะดึงดูดทราฟฟิก ได้ 6-10 ล้านคนตลอดทั้งปี แบ่งเป็นตลาดคนไทย 65% เน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ของนักช้อปชาวกรุงเทพฯ และชาวไทยทั่วประเทศ และกลุ่มนักท่องเที่ยว 35% โดยโฟกัสไปที่กลุ่มที่บินมายังกรุงเทพฯ สอดคล้องกับตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง (Middle Class) และกลุ่ม Young Affluent ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จด้วยอายุที่ยังน้อยทั่วโลก มีความชื่นชอบในการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่คุ้มค่า โดยโฟกัสไปที่กลุ่มที่บินมายังกรุงเทพฯ สอดคล้องกับตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง (Middle Class) และกลุ่ม Young Affluent ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จด้วยอายุที่ยังน้อยทั่วโลก มีความชื่นชอบในการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่คุ้มค่า นอกจากการช้อปปิ้งยังมีร้านอาหาร, ท็อปส์ มาร์เก็ต, สนามเด็กเล่น และจุดบริการนักท่องเที่ยว ได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางมายังโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยการจัด Shuttle Bus รับส่งใน 3 จุดที่เซ็นทรัลเวิลด์, BTS อุดมสุข และที่จุดขึ้นรถที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ นอกจากการช้อปปิ้งยังมีร้านอาหาร, ท็อปส์ มาร์เก็ต, สนามเด็กเล่น และจุดบริการนักท่องเที่ยว | เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ทางด้านของเครือเซ็นทรัลก็ไม่น้อยหน้า โดยที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้ปาดหน้าประกาศเปิดให้บริการโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ได้นำจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการรีเทล และอสังหาริมทรัพย์ ผนวกกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ดังระดับอินเตอร์รวมกว่า 130 สโตร์ที่เตรียมทยอยเปิด อาทิ CHLOE, CLUB 21 (OUTLET BY CLUB 21), COACH, ERMENEGILDO ZEGNA, KATE SPADE NEW YORK, KENZO, POLO RALPH LAUREN, SALVATORE FERRAGAMO, CALVIN KLEIN JEANS, JIM THOMPSON, L’OREAL LUXE, MAX & CO., MICHAEL KORS, PANDORA, SWAROVSKI, THE COSMETICS COMPANY STORE, VICTORIA’S SECRET | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56432 | Retail | จงสรุปบทความ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เปิดให้บริการครบทุกพื้นที่ในเฟสแรกแล้ว | ทรู ดิจิทัล พาร์ค (True Digital Park) ประกาศความพร้อมก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในไทยและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รุกปั้นยูนิคอร์นช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “One Roof, All Possibilities – ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้” Global Innovation Index: GII ซึ่งจัดทำโดย Cornell SC Johnson College of Business และ INSEAD WIPO ได้เปิดเผยผลการประเมินผลดัชนีนวัตกรรมโลกว่า ประเทศไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งใหม่ของภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 44 ในปี 2561 มีอันดับที่ดีขึ้น 7 อันดับ มีความโดดเด่นเป็นพิเศษด้านความก้าวหน้าของตลาด (Market Sophistication) ผลลัพธ์จากองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge and technology outputs) และอัตราส่วนประสิทธิภาพด้านนวัตกรรม (Innovation Efficiency Ratio) อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน 20 ประเทศในกลุ่มนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จ (Innovation Achievers) อีกด้วย อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ดังนั้น ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศสมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านดิจิทัล เพื่อร่วมสนับสนุนและเสริมศักยภาพของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทรู ดิจิทัล พาร์ค ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 101 สถานีบีทีเอสปุณณวิถี พร้อมเปิดให้บริการครบทุกพื้นที่ในเฟสแรก แล้ววันนี้ โดยแบ่งพื้นที่ให้บริการ 3 ส่วนหลัก คือ Work Space ขนาด 77,000 ตร.ม.
Lifestyle Space ขนาด 30,000 ตร.ม.
Living Space ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย Work Space ขนาด 77,000 ตร.ม. Lifestyle Space ขนาด 30,000 ตร.ม. Living Space ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย ฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค บอกว่า สถิตของผู้เข้าทำงานที่ WorkSpace สะท้อนถึงความเป็นระบบนิเวศสมบรูณ์ แบบเพื่อสตาร์ทอัพอย่างแท้จริง โดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้ใช้งานจากหลากหลายประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์, โซเชียลแพลตฟอร์ม, EnterprisePlatform, อี-คอมเมิร์ซ, หุ่นยนต์ รวมถึงธุรกิจเทคต่างๆ อาทิ ฟินเทค, ทราเวลเทค, มาร์เก็ตติ้งเทค, พร็อพเทค (PropTech) และ AgriTech เป็นต้น ฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค บอกว่า สำหรับสถิติด้านประชากรเป็นชายร้อยละ 57 และหญิงร้อยละ 43 โดยสาขาการทำงานของผู้ที่อยู่ใน True Digital Park ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งมีมากกว่า 60% ของคนทั้งหมด แบ่งตามสาขาการทำงานได้ดังนี้ กลุ่มวิศวกร ไอที เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร้อยละ 40, งานสนับสนุนทางเทคนิค ร้อยละ 15, ด้านการตลาดดิจิทัล ร้อยละ 6, ด้านบริหารและพัฒนาธุรกิจ ร้อยละ 25 และงานสนับสนุนด้านอื่นๆ เช่น บัญชี, บุคคล ร้อยละ 14 Work Space ประกอบด้วยพื้นที่ 4 โซน ดังนี้ Co-Working Spaceพื้นที่นั่งทำงาน มีบริการแพนทรี และโซนพักผ่อน Office Space พื้นที่สำนักงานที่มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ใช้เป็นห้องประชุม และจัดกิจกรรม ออกแบบเปิดโล่ง มีบันไดเชื่อมต่อกันทุกชั้น เอื้อต่อการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างคอมมูนิตี้ร่วมกัน Innovation Space แหล่งรวมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ศูนย์ทดลองนวัตกรรม และการเรียนรู้จากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทต่างๆ และองค์กรชั้นนำระดับโลก อาทิ NIA, DEPA, ETDA, ACE Singapore, KMITL, Google, AWS, Huawei, Ricoh, UOB, Wongnai, MuSpace, Thailand e-Center (TeC), CP Innovation และ True Digital Academy เป็นต้น Event and Business Services Spaceพื้นที่สำหรับจัดประชุม สัมมนา ศูนย์บริการทางธุรกิจ ศูนย์บริการครบวงจรจากภาครัฐ Work Space ของทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้ได้มากกว่าที่นั่งทำงานแบบเดิมๆ โดยสมาชิกทรู ดิจิทัล พาร์ค จะมีที่นั่งทำงานสไตล์ Open Space เลือกได้มากกว่า 400 ที่นั่ง ทุกที่เชื่อมต่อสู่โลกดิจิทัลได้ผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1 Gbps และเครือข่าย WiFi ที่ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก นอกจากนี้ ยังมีบริการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น VC Clinics และเพิ่มโอกาสการลงทุนให้แก่สตาร์ทอัพ, บริการให้คำปรึกษาและสนับสนุนการขอสมาร์ทวีซ่าสำหรับสตาร์ทอัพและชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทย, บริการที่ปรึกษาธุรกิจ กฎหมาย บริการสนับสนุนอื่นๆ และสิทธิพิเศษด้านภาษี รวมทั้งยังมีการเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาเพื่อเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพื่อสร้าง Tech Talent ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดบุคลากรด้านดิจิทัล เป็นต้น นอกจากจะนั่งทำงานในพื้นที่ Work Space แล้ว สมาชิกทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันแบบ Cashless Society สุดล้ำ ได้ที่ Lifestyle Space ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานพื้นที่ค้าปลีกเข้ากับธรรมชาติและเทคโนโลยี มีโซนที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่จัดสรรเวลาในการทำงานและใช้ชีวิตด้วยตัวเองอย่างอิสระ เชื่อมต่อทุกกิจกรรมของชีวิต เพื่อการใช้ชีวิตประจำวันและการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคนเมือง | ทรู ดิจิทัล พาร์ค (True Digital Park) เปิดให้บริการครบทุกพื้นที่ในเฟสแรกแล้ว ภายใต้แนวคิด One Roof, All Possibilities ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้ โดยแบ่งพื้นที่ให้บริการเป็น 3 ส่วนหลัก คือ Lifestyle Space โโซนค้าปลีกที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง, Living Space คอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย และ Work Space ที่นั่งทำงานสไตล์ Open Space ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1 Gbps พร้อมเครือข่าย WiFi ที่ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก อีกทั้งยังมีบริการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพด้านต่างๆ พร้อมเชื่อมโยงสถาบันการศึกษาเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ Work Space ประกอบด้วยพื้นที่ 4 โซน คือ
1) Co-Working Space พื้นที่นั่งทำงาน พร้อมบริการแพนทรี และโซนพักผ่อน
2) Office Space พื้นที่สำนักงานที่มีพื้นที่ส่วนกลางสามารถใช้เป็นห้องประชุม และจัดกิจกรรม
3) Innovation Space ศูนย์ทดลองนวัตกรรม และการเรียนรู้จากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทต่างๆ และองค์กรชั้นนำระดับโลก ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4) Event and Business Services Space พื้นที่สำหรับจัดประชุม สัมมนา นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการทางธุรกิจ และศูนย์บริการครบวงจรจากภาครัฐด้วย
สำหรับสถิติของผู้เข้าทำงานที่ WorkSpace มีหลากหลายประเภทธุรกิจ เช่น ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์, โซเชียลแพลตฟอร์ม, EnterprisePlatform, อี-คอมเมิร์ซ, หุ่นยนต์ รวมไปถึงธุรกิจอย่างฟินเทค, ทราเวลเทค, มาร์เก็ตติ้งเทค, พร็อพเทค (PropTech) และ AgriTech | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56437 | Retail | ช่วยสรุปบทความ Tesco Lotus ไม่น้อยหน้า ประกาศเลิกใช้แพ็คเกจจิ้งโฟมทุกชนิด เริ่ม 1 ก.ค. 62 | ยกเลิกใช้โฟม เป็นวัสดุรีไซเคิลทั้งหมด
เป็นทิศทางสำคัญของวงการค้าปลีกในประเทศไทยที่มีการตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติกมากขึ้น ตั้งแต่ต้นที่ผ่านมาได้เห็นผู้เล่นค้าปลีกหลายรายมีนโยบายลด หรืองดใช้ถุงพลาสติกมากขึ้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจค้าปลีกมีส่วนสำคัญในการสร้างขยะรายใหญ่รายหนึ่งเช่นกัน
อย่างที่เมื่อวันก่อนที่กลุ่มเซ็นทรัลได้ประกาศหักดิบ งดแจกถุงพลาสติกในทุกกลุ่มธุรกิจ เริ่ม 5 มิถุนายนที่จะถึงนี้ (อ่านเพิ่มเติม กลุ่มเซ็นทรัลหักดิบ! งดแจกถุงพลาสติกจริงจังทุกกลุ่มธุรกิจ ดีเดย์ 5 มิ.ย.นี้)
Tesco Lotus ที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นค้าปลีกรายใหญ่ในไทย มีการเริ่มนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมมาหลายปีแล้ว แต่เริ่มมาเพิ่มความเข้มขึ้นเมื่อปีที่แล้วเพราะคนไทยเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น
ในปีนี้ได้ประกาศยกเลิกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป พร้อมเพิ่มความเข้มข้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมด้วยโครงการแบบครบวงจรและมุ่งสู่การสร้างระบบปิดของบรรจุภัณฑ์ (closed loop packaging system) ต้องการลดขยะบรรจุภัณฑ์ประเภทใช้ครั้งเดียว (single-use packaging) และขยะพลาสติก
สลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส บอกว่า
“ในฐานะผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีร้านค้ากว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ มีความตระหนักดีถึงบทบาทของเราในการช่วยบรรเทาปัญหาขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารที่ทำจากโฟมทุกชนิดในทุกสาขา โดยเราได้เริ่มทยอยเปลี่ยนจากโฟมมาใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และจะยกเลิกบรรจุภัณฑ์โฟมทุกรูปแบบได้ 100% ภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้”
สิ่งที่ Tesco Lotus นำมาใช้แทนโฟมนั้น เรียกว่า “ถาดเธอร์โมฟอร์ม (Thermoform)” ขึ้นรูปจากวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% ถูกนำมาใช้แทนถาดพลาสติกและฟิล์มแบบเก่าสำหรับสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ตัดแต่งและผลไม้พร้อมทาน
โดยถาดเธอร์โมฟอร์มทำมาจากพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ใช้พลาสติกน้อยกว่าปกติ ช่วยลดใช้พลาสติกปีละกว่า 400 ตัน หรือเทียบเท่าขวดน้ำพลาสติกขนาด 600 มิลลิลิตรจำนวน 26.6 ล้านขวดเมื่อเทียบกับถาดพลาสติกแบบเก่าที่เคยใช้นอกจากนี้ถาดเธอร์โมฟอร์มยังมีความสะอาดถูกสุขอนามัยและช่วยคงความสดของสินค้าเป็นการช่วยลดขยะจากอาหารอีกทางหนึ่ง
อีกทั้งยังมี Green Corner จำหน่ายบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบรนด์เฟสท์ (Fest) จาก SCG ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบรรจุภัณฑ์ที่เป็นทางเลือก และเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานจากกล่องโฟมหรือบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ โดยมีจำหน่ายที่ Tesco Lotus ไฮเปอร์มาร์เก็ตทุกสาขาทั่วประเทศ
จากการที่ยกเลิกถาดโฟมทั้งหมดทุกสาขานั้น จะสามารถลดการใช้โฟมได้ถึง 51 ล้านตันต่อปี หรือ 11.24 ล้านถาดต่อปี | การตื่นตัวของวงการค้าปลีกในไทยต่อปัญหาขยะพลาสติกมีความสำคัญ หลายร้านค้าปลีกได้มีนโยบายลดหรืองดใช้ถุงพลาสติก เช่นเซ็นทรัลที่ประกาศหักดิบ! งดแจกถุงพลาสติกทุกกลุ่มธุรกิจตั้งแต่ 5 มิถุนายน นอกจากนี้ Tesco Lotus ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกใหญ่ในไทย ก็มีนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมมานานแล้ว แต่เริ่มเน้นมากขึ้นในปีที่ผ่านมา หลายร้านค้าเริ่มรับรู้ถึงปัญหาขยะพลาสติกมากขึ้นตามความตระหนักของคนไทยเพิ่มมากขึ้น
ได้ประกาศยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์ทำจากโฟมทุกประการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เพื่อเพิ่มความเข้มข้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่ระบบปิดของบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดขยะบรรจุภัณฑ์ประเภทใช้ครั้งเดียวและขยะพลาสติก โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยบรรเทาปัญหาขยะและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทเตรียมที่จะยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์โฟมทุกรูปแบบได้ 100% ภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
Tesco Lotus ได้ใช้ถาดเธอร์โมฟอร์มทำจากพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% เพื่อแทนถาดพลาสติกและฟิล์มเก่าในสินค้าเนื้อสัตว์และผลไม้ ถาดเธอร์โมฟอร์มลดใช้พลาสติกปีละกว่า 400 ตัน หรือเทียบเท่าขวดน้ำพลาสติกขนาด 600 มิลลิลิตรจำนวน 26.6 ล้านขวด เป็นมาตรการลดปริมาณขยะและช่วยคงความสดของสินค้า อีกทั้งยังมีความสะอาดถูกสุขอนามัย
Tesco Lotus ยกเลิกการใช้ถาดโฟมทั้งหมดทุกสาขาเพื่อลดการใช้โฟมถึง 51 ล้านตันต่อปี และเพิ่มตัวเลือกให้กับลูกค้าด้วยบรรจุภัณฑ์เฟสท์ (Fest) จาก SCG ที่มีการจำหน่ายที่ทุกสาขา Tesco Lotus ทั่วประเทศ โดย Green Corner ยังเป็นที่รวบรวมบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56438 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การขยายสาขาอย่างรวดเร็ว อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ | null | ศึกชิงบัลลังก์กาแฟ: บททดสอบแห่ง Retail
ท่ามกลางแสงสีของเมืองเซี่ยเหมิน เมืองท่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ไฟสว่างไสวจากร้านกาแฟ "Luckin Coffee" ดึงดูดผู้คนให้เข้ามา พนักงานแต่งกายด้วยชุดยูนิฟอร์มสีแดงสดใส ต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟคั่วบด ผสมผสานกับเสียงเพลงและเสียงพูดคุยอย่างคึกคัก
เบื้องหลังความคึกคักนี้ คือกลยุทธ์อันชาญฉลาดของ "เจิ้งหยวน" ซีอีโอหนุ่มไฟแรง ผู้ก่อตั้ง Luckin Coffee เขาเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดกาแฟจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจท้าทายบัลลังก์ของ "Starbucks" ยักษ์ใหญ่จากอเมริกา
เจิ้งหยวนใช้วิธีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ดึงดูดลูกค้าด้วยราคาที่ย่อมเยากว่า Starbucks ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อกาแฟผ่านแอปพลิเคชัน ชำระเงินออนไลน์ และรับกาแฟได้โดยไม่ต้องรอคิวนาน กลยุทธ์นี้ถูกใจคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความสะดวกรวดเร็ว
Starbucks ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับคู่แข่ง เริ่มต้นด้วยการขยายสาขาแบบ Delivery จับมือกับพันธมิตรท้องถิ่น พัฒนาเมนูใหม่ที่เหมาะกับรสนิยมคนจีน เพิ่มช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า
ศึกชิงบัลลังก์กาแฟในจีนดำเนินไปอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายต่างงัดกลยุทธ์เด็ดมาดึงดูดลูกค้า Luckin Coffee อาศัยความคล่องตัว ใช้วิธีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว นำเสนอราคาที่ย่อมเยา มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่
Starbucks อาศัยความแข็งแกร่งของแบรนด์ ประสบการณ์ และฐานลูกค้าที่ยาวนาน ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับตลาดจีน นำเสนอเมนูและบริการที่หลากหลาย
บททดสอบแห่ง Retail นี้ ไม่ได้วัดกันที่ขนาดของแบรนด์ แต่เป็นการวัดความสามารถในการปรับตัว เข้าใจความต้องการของลูกค้า และนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุด | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56463 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการทุ่มเทและทำงานหนัก | null | รอยยิ้มจากผืนผ้า: บทเพลงแห่ง Uniqlo
ทาดาชิ ยานาอิ เด็กหนุ่มผู้เติบโตมากับร้านตัดเสื้อสูทของพ่อในเมืองฮิโรชิม่า ใฝ่ฝันถึงชีวิตที่แตกต่าง เขาเบื่อหน่ายกับความซ้ำซาก จำเจ และใฝ่ฝันถึงโลกกว้าง โลกแห่งแฟชั่น โลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความตื่นเต้น
ด้วยความมุ่งมั่น ยานาอิทุ่มเทเรียนรู้ศาสตร์แห่งการค้า เขาเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ทำงานในห้างสรรพสินค้า เรียนรู้กลไกของธุรกิจค้าปลีก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และฝันถึงวันที่เขาจะมีอาณาจักรของตัวเอง
วันหนึ่ง โอกาสก็มาถึง ยานาอิตัดสินใจลาออกจากงานประจำและเปิดร้านขายเสื้อผ้าของตัวเอง ภายใต้ชื่อ "Unique Clothing Warehouse" ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้ เต็มไปด้วยความฝันและแรงปรารถนาของชายหนุ่ม
ยานาอิ มุ่งมั่นสร้างแบรนด์เสื้อผ้าที่ "เรียบง่าย สวมใส่สบาย และมีราคาจับต้องได้" เขาคัดสรรเนื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน ออกแบบดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความทันสมัย กลยุทธ์ของเขานั้นตรงข้ามกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำในยุคนั้น ที่มักเน้นความหรูหรา ราคาแพง และเข้าถึงได้ยาก
Uniqlo เติบโตอย่างรวดเร็ว ร้านเล็ก ๆ ขยายเป็นสาขาใหญ่ ขยายจากเมืองสู่เมือง ขยายจากประเทศญี่ปุ่นสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ยานาอิ ยึดมั่นในปรัชญา "LifeWear" เสื้อผ้าที่ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เสื้อผ้าที่ทุกคนสามารถสวมใส่ได้ เสื้อผ้าที่มอบความมั่นใจและรอยยิ้ม
Uniqlo ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์เสื้อผ้า แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ เป็นบทพิสูจน์ว่า ความฝันและความมุ่งมั่น สามารถพลิกผันชีวิต เปลี่ยนเด็กหนุ่มจากร้านตัดเสื้อสูท สู่เจ้าพ่อแห่งวงการค้าปลีก มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56464 | Retail | กรุณาสรุปบทความ Uniqlo ญี่ปุ่น ประกาศลดคาดการณ์กำไรทั้งปีลง 10,000 ล้านเยน | Uniqlo แบรนด์ Fast Fashion ชื่อดังจากแดนปลาดิบได้ประกาศว่าจะลดคาดการณ์กำไรทั้งปีลง 10,000 ล้านเยน หรือ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ มาจากรายได้ไม่เป็นตามเป้า เจอแบรนด์จีนตีตลาด ดูท่าว่าวิกฤตการณ์ค้าปลีกจะแพร่ระบาดไปยังแบรนด์ Fast Fashion ด้วยเช่นกัน ล่าสุด Uniqlo ได้ออกมาประกาศว่าปรับลดการณ์คาดการณ์ผลกำไรในปีนี้ลง ถึงแม้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 จะมีตำเลขกำไรที่ดีกว่าที่คาดการณ์ก็คือ 68 ล้านเยน หรือ 610 ล้านเหรียญสหรัฐ Uniqlo ได้คาดการณ์ผลกำไรปีนี้ใหม่จนถึงเดือนสิงหาคม 2019 คาดการณ์กำไร 260,000 ล้านเยน หรือ 2,340 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่วางเป้าไว้ที่ 270,000 ล้านเยน หรือ 2,420 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Uniqlo ปรับลดตัวเลขลงอย่างรุนแรงนั่นมาจากรายได้ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อีกทั้งยังถูกแบรนด์จากต่างประเทศตีตลาด อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อปลกำไรของ Uniqlo ก็คือเรื่องสภาพอากาศ และการจัดการสต็อกสินค้าไม่ดี ก่อนหน้านี้เคยประสบปัญหาเรื่องขาดสินค้าอุปกรณ์ในช่วงฤดูหนาว แต่เมื่อปีที่ผ่านมาได้มีสต็อกที่มากเกินไป และไม่สามารถขายได้ในช่วงที่อากาศอบอุ่นแล้ว | Uniqlo ญี่ปุ่น ประกาศลดคาดการณ์กำไรทั้งปีลง 10,000 ล้านเยน หรือ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ จากรายได้ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร การจัดการสต็อกสินค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังประสบปัญหาแบรนด์จีนตีตลาดด้วย | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56473 | Retail | ช่วยสรุปบทความเรื่อง "ค้าปลีกระดับโลกประกาศปิดสาขาแล้วกว่า 4,810 แห่ง ภายใน 2 เดือนของปี 2019" ให้หน่อยนะคะ | การปิดหน้าร้านในวงการค้าปลีกกลายเป็นหนึ่งในข่าวปกติไปแล้ว ตัวเลขล่าสุดของ 2 เดือนแรกในปีนี้ที่มีประกาศแผนปิดสาขาแล้วสูงถึง 4,810 แห่ง หน้าร้านค้าปลีกล่มสลายต่อเนื่อง ทยอยปิดกันเรื่อยๆ ในช่วงเดือนแรกๆ ของปี 2019 มีแบรนด์ค้าปลีกจำนวนไม่น้อยที่ได้ประกาศแผนปิดสาขาแล้ว ตัวอย่างเช่น Gap และ J.C. Penny แม้กระทั่ง Victoria’s Secret ที่ประกาศแผนปิดหลายสาขาในปีนี้ เพราะมียอดขายลดลง หรืออย่าง Tesla ที่ได้ประกาศปิดหน้าร้านจำนวนมาก เพื่อลดต้นทุน แล้วหันมาขายรถยนต์ไฟฟ้าผ่านออนไลน์แบบ 100% งานวิจัยของ Coresight Research ระบุว่า จนถึงวันนี้ผ่านมา 2 เดือน มีแบรนด์ค้าปลีกทั้งหมดที่ประกาศแผนปิดสาขาในปี 2019 สูงถึง 4,810 แห่ง (ตัวเลขนี้คือจำนวนสาขาที่ปิด ไม่ใช่จำนวนแบรนด์) งานวิจัยของ Coresight Research ระบุว่า จนถึงวันนี้ผ่านมา 2 เดือน มีแบรนด์ค้าปลีกทั้งหมดที่ประกาศแผนปิดสาขาในปี 2019 สูงถึง 4,810 แห่ง (ตัวเลขนี้คือจำนวนสาขาที่ปิด ไม่ใช่จำนวนแบรนด์) ที่น่าสนใจคือ กระแสการปิดหน้าร้านในวงการค้าปลีก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแบรนด์ค้าปลีกทั่วไปเท่านั้น ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ซึ่งเติบโตจากออนไลน์ และกระโดดลงมาเล่นในตลาดออฟไลน์ ก็ได้ประกาศปิดสาขาขนาดเล็ก หรือ pop-up store ที่ตั้งในห้างสรรพสินค้าเช่นกัน โดยจะเริ่มทยอยปิดตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม Marie Driscoll กรรมการผู้จัดการด้านแฟชั่นและสินค้าหรูของ Coresight Research บอกว่า แม้จะเกิดการทยอยปิดสาขาจำนวนมากของแบรนด์ค้าปลีก แต่ “นี่คือการทำให้จำนวนสาขาสมเหตุสมผลมากขึ้น” การทยอยปิดสาขาของหลายแบรนด์ระดับโลกเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดความคาดหมายแต่อย่างใด เนื่องจากคำถามสำคัญคือ สาขานั้นตั้งอยู่ที่ไหน เพราะหากตั้งอยู่ในพื้นที่เกรดเอ มีลูกค้าและยอดขายจำนวนมาก การปิดสาขาไม่ใช่คำตอบอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วภาพใหญ่ของการทยอยปิดสาขาของแบรนด์ค้าปลีกต่างๆ คือการทำให้จำนวนสาขาของแบรนด์เกิดความสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ที่มา – CNBC ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ล่มสลายต่อเนื่อง ค้าปลีกระดับโลกทยอยปิดสาขา ผ่านมา 3 เดือนแรกตกงานหลักหมื่น In "Article" ปิดทุกสาขา! Bebe ค้าปลีกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไล่ปิดทุกร้าน ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ In "News" H&M ประกาศปิดสาขา 250 แห่งทั่วโลก In "Article" | การปิดหน้าร้านในวงการค้าปลีกกำลังเป็นเหตุการณ์ที่พบมากในข่าวสารล่าสุด โดยตัวเลขล่าสุดใน 2 เดือนแรกของปีนี้รายงานว่ามีสาขาที่ประกาศปิดกว่า 4,810 แห่ง ทำให้ภาพรวมของการปิดสาขาค้าปลีกกลายเป็นเรื่องปกติ การปิดสาขาไม่เกี่ยวข้องเฉพาะกับแบรนด์ค้าปลีกทั่วไปเท่านั้น แม้กระทั่งบริษัทใหญ่อย่าง Amazon ก็ได้ประกาศปิดสาขาขนาดเล็กหรือ pop-up store ที่ตั้งในห้างสรรพสินค้า
ยิ่งไปกว่านั้น การปิดสาขานั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสาขาเป็นปัญหาเอง แต่มีความสัมพันธ์กับที่ตั้งของสาขา หากสาขาตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีลูกค้าและยอดขายมากมาย การปิดสาขาอาจไม่ใช่คำตอบที่แน่นอน การปิดสาขาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้จำนวนสาขาของแบรนด์เกิดความสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คาดหวังไว้ล่วงหน้า
นอกจากนี้ มีแบรนด์ค้าปลีกทั่วโลกมีจำนวนทั้งหมด 4,810 แห่งที่ประกาศแผนปิดสาขาใน 2 เดือนแรกของปี 2019 ซึ่งเป็นจำนวนสาขาที่ปิดและไม่ใช่จำนวนแบรนด์
ในทางอื่น ๆ ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ที่เติบโตจากออนไลน์ก็ได้ประกาศปิดสาขาขนาดเล็ก เป็นต้นไป การปิดสาขานี้เป็นเรื่องที่ทำให้จำนวนสาขาของแบรนด์เกิดความสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปได้ว่า กระแสการปิดหน้าร้านในวงการค้าปลีกไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับแบรนด์ค้าปลีกทั่วไปเท่านั้น แต่ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมออนไลน์ก็ถูกผลักดันให้ประกาศปิดสาขา เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในวงการค้าปลีกทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56517 | Retail | ช่วยสรุปบทความ เครื่องแต่งกายของสัตว์เลี้ยงกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในอเมริกาช่วง Halloween ให้หน่อยนะคะ | เทศกาลผีๆ ประจำปีอย่าง Halloween กลายเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างปี 2018 ที่ผ่านมา คนในประเทศสหรัฐอเมริกาเขาใช้จ่ายในเทศกาลนี้ถึง 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ แล้วปีนี้ เขาจะช็อปดุกันขนาดไหน? Halloween 2018 คาดยอดใช้จ่ายแตะ 9 พันล้านเหรียญฯ James Harrison CEO ของ Party City (บริษัทขายปลีกสินค้าปาร์ตี้รายใหญ่ของสหรัฐ) บอกว่า ปีนี้ทุกคนยังตื่นเต้นกับเทศกาล Halloween โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มโตแบบแข็งแกร่งขึ้น และประชากรสหรัฐ 179 ล้านคนเตรียมตัวฉลองกับเทศกาลนี้อย่างเต็มที่ เลยคาดว่าปีนี้การใช้จ่ายลูกค้าจะสูงถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (297,000 ล้านบาท) จากปีก่อน ข้อมูลจาก the National Retail Federation ระบุว่ายอดการใช้จ่ายช่วง Halloween ของชาวอเมริกาอยู่ที่ 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ (300,300 ล้านบาท) และแน่นอนว่าปี 2018 นี้ค่าใช้จ่ายต่อหัวน่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 86.70 เหรียญสหรัฐ (2,861 บาท) จากปีก่อนอยู่ที่ 86.13 เหรียญสหรัฐต่อหัว (2,842 บาท) ช่วงเทศกาล Halloween คนสหรัฐฯ เขาช้อปอะไรกันบ้าง ปี 2017 ที่ผ่านมา ยอดใช้จ่ายของชาวอเมริกาในช่วง Halloween แบ่งเป็น เครื่องแต่งกาย 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (105,600 ล้านบาท)
อุปกรณ์ตกแต่ง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (89,100 ล้านบาท)
ขนมและลูกกวาด 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (85,800 ล้านบาท)
การ์ด 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (13,200 ล้านบาท) เครื่องแต่งกาย 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (105,600 ล้านบาท) อุปกรณ์ตกแต่ง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (89,100 ล้านบาท) ขนมและลูกกวาด 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (85,800 ล้านบาท) การ์ด 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (13,200 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมีการเซอร์เวย์ เจอเรื่องที่เซอร์ไพรส์ การใช้จ่ายที่เติบโตมาที่สุดคือ เครื่องแต่งกายของสัตว์เลี้ยง และเกือบ 20% ของคนที่ตอบแบบสำรวจนี้บอกว่าปีนี้เขาวางแผนไว้แล้วว่าจะแต่งตัวให้น้องๆ (สัตว์เลี้ยง) ในวัน Halloween ปีนี้แบบไหน สรุป เทศกาลนอกจากแสดงถึงความสุข ความสนุกสนาน ยังเป็นช่วงเวลาทองของนักการตลาดที่จะคิดแคมเปญ โปรดักส์ใหม่ๆ มากระตุ้นยอดขาย ที่สำคัญเรายังเห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น ทำให้ข้าวของเครื่องใช้ และการรักษาพยาบาลน้องๆ (สัตว์เลี้ยง) มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไทยเราน่าจะไม่ต่างจากประเทศอื่นมานัก | ยอดการใช้จ่ายของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นแตะ 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเทศกาล Halloween โดยสินค้าที่ผู้คนนิยมซื้อคือ เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ตกแต่ง ขนมและลูกกวาด รวมไปถึงการ์ด และที่น่าแปลกใจคือเครื่องแต่งกายของสัตว์เลี้ยงเป็นสินค้าที่มียอดขายเติบโตมากที่สุดในเทศกาลนี้ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56531 | Retail | โปรดสรุปบทความ สปอร์ต รีโวลูชั่น พา Champion แบรนด์เสื้อผ้าสปอร์ตไลฟ์สไตล์จากสหรัฐกลับมาตีตลาดไทยอีกครั้ง | Champion แบรนด์เสื้อผ้าสปอร์ตไลฟ์สไตล์ได้กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้งหลังจากหายจากตลาดไปกว่า 16 ปี โดย “สปอร์ต รีโวลูชั่น” เป็นดิสทริบิวเตอร์ในการทำตลาด จับเทรนด์สปอร์ตไลฟ์สไตล์ที่กำลังเป็นที่นิยม Champion 16 “ ” พา Champion บุกตลาดไทยอีกครั้ง เติมพอร์ตไลฟ์สไตล์ให้แน่นขึ้น Champion แบรนด์ Champion เป็นแบรนด์เสื้อผ้าจากสหรัฐอเมริกาที่มีจุดยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างสปอร์ต และไลฟ์สไตล์ ก่อนหน้านี้ได้เคยเข้ามาทำตลาดในไทยอยู่ แต่ก็ได้หายไปจากตลาดราว 16 ปี แต่ในปีนี้ “สปอร์ต รีโวลูชั่น” ได้ทำการปัดฝุ่นนำเข้าแบรนด์มาในไทยอีกครั้งด้วยการเป็นดิสทริบิวเตอร์ Champion 16 “ ” สปอร์ต รีโวลูชั่นเป็นผู้นำเข้า จำหน่าย และบริหารธุรกิจร้านค้าปลีกในสินค้ากลุ่มสปอร์ต และไลฟ์สไตล์ ในพอร์ตโฟลิโอส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์กีฬา เช่น Nike, Under Armour, ASICS และยังมีแบรนด์กีฬาเฉพาะกลุ่มอย่างกอล์ฟ และวิ่งด้วย Nike, Under Armour, ASICS เพราะด้วย Passion ของ “พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา” CEO ของสปอร์ต รีโวลูชั่นที่ชื่นชอบกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ จึงเริ่มต้นจากการดิสทริบิวเตอร์ ไปจนถึงการนำเข้าสินค้าแบรนด์ใหญ่ๆ มาจำหน่าย เชี่ยวชาญทั้งการทำ Retail และ Wholesale Passion “ ” CEO Retail Wholesale แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือเมื่อปี 2558 ได้เป็นแฟรนไชส์หลักของแบรนด์ Yogurt Land ในประเทศไทย เป็นการแตกธุรกิจสู่ไลฟ์สไตล์มากขึ้น จนล่าสุดในปีนี้ได้นำแบรนด์ Champion เข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง 2558 Yogurt Land Champion ดีลนี้ได้มีการพูดคุยมาเป็นเวลา 2 ปี และได้เซ็นสัญญาเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมาโดยสปอร์ต รีโวลูชั่นจะเป็นดิสทริบิวเตอร์รายเดียวในไทย และเป็นรายแรกในอาเซียน 2 2560 พรศักดิ์ได้ให้เหตุผลที่ทางสปอร์ต รีโวลูชั่นเลือก Champion เข้ามาทำตลาดนั้น เพราะมองว่าสินค้ากลุ่มนี้มีการเติบโตสูง เนื่องจากเทรนด์ของสปอร์ตไลฟ์สไตล์กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรู หรือฟาสต์แฟชั่นก็ยังลงมาจับสินค้ากลุ่มสปอร์ต อีกทั้งแบรนด์ยังมีความแข็งแกร่ง คนยังชื่นชอบอยู่ Champion ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือต้องการเติมพอร์ตแบนด์ด้านไลฟ์สไตล์มากขึ้น แต่ยังคงจุดยืนในความเป็นสปอร์ตไลฟ์สไตล์อยู่ เน้นไลฟ์สไตล์มากว่าสปอร์ต ซึ่งการทำตลาดในครั้งนี้จะวางภาพลักษณ์ไปทางไลฟ์สไตล์มากกว่า จะแตกต่างจากภาพเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ภาพลักษณ์จะเป็นแนวสปอร์ตจ๋าจนเกินไป จับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น วัยทำงานที่ชื่นชอบความเท่ของแบรนด์ ชอบแบรนด์ใหม่ๆ รวมถึงกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไปที่รุ้จักแบรนด์มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว บางคนไปต่างประเทศแล้วรู้จักด้วย 40 สินค้าจะเป็นการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด มีราคาสูงกว่าที่ญี่ปุ่น 10-15% โดยราคาเฉลี่ย 3,200 บาท เริ่มต้นที่ 1,100 บาท และสูงสุดที่ 7,000 บาท 10-15% 3,200 1,100 7,000 “มองว่าพฤติกรรมลูกค้าตอนนี้สนใจแบรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอินเตอร์แบรนด์มีอินฟูลเอ็นเซอร์ที่ใช้แบรนด์นี้เยอะอยู่เหมือนกัน ยิ่งทำให้เป็นที่รู้จักได้ง่าย ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะมากกว่าการใช้สินค้าเหมือนๆ กัน “ และในเรื่องของแบรนด์ Champion เป็นหนึ่งในตำนานแบรนด์กีฬา แก่กว่า Nike และ adidas มีนวัตกรรมเปลี่ยนวงการกีฬา จึงเป็นโอกาสสำคัญในการทำตลาดแบรนด์นี้” Champion Nike adidas ” เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิล์ด Champion ได้เปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด ใช้งบลงทุนเฉลี่ย 20 ล้านบาท มีพื้นที่เฉลี่ย 80-100 ตารางเมตร ในปีนี้จะเปิดอีก 2 สาขา ได้แก่ ดิไอคอนสยาม และเมกะบางนาในช่วงปลายปี ลงทุนเฉลี่ย 20 ล้านบาท Champion 20 80-100 2 20 ส่วนในปี 2562 จะเปิดเพิ่มอีก 5-6 สาขา เน้นโลเคชั่นในศูนย์การค้า และไลฟ์สไตล์มอลล์ 2562 5-6 ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยน ทำให้แฟชั่นโตฟุ้ง ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทำให้การแต่งตัวก็เปลี่ยนด้วยเช่นกันมีการแต่งตัวที่สบายมากขึ้นไม่ได้เป็นทางการแบบเก่า ส่งผลให้ตลาดแฟชั่นในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ในปีนี้ว่ามีมูลค่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเสื้อผ้า 16,415 ล้านบาท มีการเติบโต 22.4% 30,000 16,415 22.4% และมีสัดส่วนผู้ใช้สินค้า 37.8% ในปี 2561 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 51.1% ภายในปี 2565 มีการใช้จ่ายเฉลี่ยน 1,044 บาท/ชิ้น 37.8% 2561 51.1% 2565 1,044 / ส่วนตลาดกีฬามีมูลค่า 30,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น รองเท้า 50% และเสื้อผ้า/อุปกรณ์เสริม 50% 30,000 50% / 50% สำหรับสปอร์ต รีโวลูชั่นตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้ที่ 2,600 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้วที่ 2,000 ล้านบาท โดยมี 4 แบรนด์ที่ทำรายได้หลัก ได้แก่ Nike, Under Armour, ASICS และ Crocs 2,600 2,000 4 Nike, Under Armour, ASICS Crocs ส่วนแบรนด์ Champion มีการตั้งเป้ารายได้ 500 ล้านบาทภายในปี 2563 หรือจะมีรายได้รวมทั้งบริษัทที่ 3,000 ล้านบาท มีแผนที่จะนำเข้าแบรนด์ใหญ่อีก 2-3 แบรนด์ Champion 500 2563 3,000 2-3 สรุป ตลาดแฟชั่นในประเทศไทยยังคงเติบโตได้ดี เพราะพฤติกรรมคนไทยชื่นชอบการแต่งตัว แต่ขณะเดียวกันก็มีการแข่งขันสูง ซึ่งทางสปอร์ต รีโวลูชั่นมีการวางจุดยืนชัดเจนว่าทำตลาดแบรนด์ในกลุ่มสปอร์ต และไลฟ์สไตล์ ทำให้ภาพลักษณ์ชัด สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายง่ายขึ้น | สปอร์ต รีโวลูชั่น ผู้นำเข้า จำหน่าย และบริหารธุรกิจร้านค้าปลีกในสินค้ากลุ่มสปอร์ต และไลฟ์สไตล์ พา Champion แบรนด์เสื้อผ้าสปอร์ตไลฟ์สไตล์จากสหรัฐอเมริกากลับมาตีตลาดไทยอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปกว่า 16 ปี เนื่องจากมองว่าสินค้ากลุ่มเทรนด์สปอร์ตไลฟ์สไตล์กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก มีการเติบโตสูง และแบรนด์ยังมีความแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นการเติมพอร์ตแบนด์ด้านไลฟ์สไตล์โดยยังคงจุดยืนในความเป็นสปอร์ตไลฟ์สไตล์อยู่ ซึ่งการทำตลาดจะต่างจาก 16 ปีก่อนที่เน้นแนวสปอร์ตจัดมาเน้นหนักทางไลฟ์สไตล์ พร้อมตั้งเป้าหมายที่กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานที่ชื่นชอบความเท่ของแบรนด์ ชอบแบรนด์ใหม่ๆ รวมไปถึงกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไปที่รู้จักแบรนด์มาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ทางสปอร์ต รีโวลูชั่น ยังเปิดตัวร้าน Champion Nike adidas สาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิล์ด โดยสินค้าของ Champion ทั้งหมดจะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และในปีนี้จะเปิดอีก 2 สาขา คือ ดิไอคอนสยาม กับเมกะบางนาในช่วงปลายปี | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56549 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....สินค้าคุณภาพดี บริการที่ประทับใจ กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด | null | บทเรียนชีวิตจากฟาร์มโชคชัย: บทพิสูจน์ของ "โชค บูลกุล"
ณ ใจกลางเมืองหลวงอันวุ่นวาย ร้านไอศกรีม Umm!…milk ของ "โชค บูลกุล" กำลังคึกคักไปด้วยลูกค้า เด็กๆ ยืนต่อคิวรอซื้อไอศกรีมหลากรส ผู้ใหญ่จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
เบื้องหลังความสำเร็จ น้อยคนนักที่จะรู้ว่า "โชค บูลกุล" เคยเผชิญวิกฤตหนี้สินกว่า 500 ล้านบาท ธุรกิจฟาร์มโชคชัยที่สืบทอดมาจากครอบครัว เกือบต้องล้มละลาย
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ฟาร์มโชคชัยประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก ธุรกิจนม UHT ที่เคยรุ่งเรือง เริ่มถูกท้าทายจากคู่แข่งรายใหญ่ โชคในวัยหนุ่มตัดสินใจกอบกู้ธุรกิจของครอบครัว เขาเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียด หาจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจ
โชคเล็งเห็นว่า ฟาร์มโชคชัยมีจุดแข็งคือ "วัว" สายพันธุ์ดี เขาจึงตัดสินใจปรับกลยุทธ์ มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจต้นน้ำ พัฒนาสายพันธุ์วัว เพิ่มคุณภาพน้ำนม และสร้างแบรนด์ "ฟาร์มโชคชัย" ให้เป็นที่รู้จัก
นอกจากนี้ โชคยังขยายธุรกิจไปยังธุรกิจปลายน้ำ เช่น ร้านอาหาร ไอศกรีม และร้านค้าปลีก เขาเลือกทำเลทองใจกลางเมือง ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม ดึงดูดลูกค้าด้วยสินค้าคุณภาพดีและบริการที่ประทับใจ
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ฟาร์มโชคชัยพลิกฟื้นจากวิกฤต กลายเป็นธุรกิจพันล้านที่ไร้หนี้สิน โชค บูลกุล กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่
เรื่องราวของฟาร์มโชคชัย สอนให้เรารู้ว่า วิกฤตคือโอกาส หากเรารู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ หาจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ที่สำคัญคือ ต้องกล้าตัดสินใจ เปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
สำหรับธุรกิจ Retail บทเรียนจากฟาร์มโชคชัย มีความสำคัญอย่างยิ่ง การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ จำเป็นต้องมีสินค้าคุณภาพดี บริการที่ประทับใจ และกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด
นอกจากนี้ การเลือกทำเลทอง ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม และสร้างบรรยากาศที่ดี ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดลูกค้า
สุดท้าย เรื่องราวของฟาร์มโชคชัย ยังสอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของ "Passion" การทำธุรกิจที่เรารัก จะช่วยให้เรามีกำลังใจ ผ่านพ้นอุปสรรค และประสบความสำเร็จในที่สุด | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56569 | Retail | กรุณาสรุปบทความ MUJI จับมือ JD.com เปิด Online Flagship Store ส่งสินค้าถึงหน้าบ้านภายใน 1 วัน | ในช่วงหลายปีมานี้ MUJI แบรนด์ญี่ปุ่นขวัญใจสาวกมินิมอลลิสต์ ลุยหนักตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีน ล่าสุด จับมือกับ JD.com ยักษ์โลจิสติกส์จีนส่ง Online Flagship Store เป็นครั้งแรกของแบรนด์ MUJI ในจีนกำลังจะเดลิเวอรี่ผ่าน JD.com สั่งของวันเดียวถึงหน้าบ้าน MUJI ในจีนกำลังจะเดลิเวอรี่ผ่าน JD.com สั่งของวันเดียวถึงหน้าบ้าน MUJI จับมือร่วมกับ JD.com เตรียมส่งร้านออนไลน์เรือธงในประเทศจีน ความร่วมมือนี้จะทำให้เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน อาหาร และของจิปาถะต่างๆ ในร้านของ MUJI สามารถส่งแบบเดลิเวอรี่ถึงหน้าบ้านได้โดย JD.com ยักษ์ใหญ่โลจิสติกส์ ที่สำคัญคือ ของที่สั่งผ่านออนไลน์จะส่งถึงหน้าบ้านภายใน 1 วัน (same-day delivery) ที่สำคัญคือ ของที่สั่งผ่านออนไลน์จะส่งถึงหน้าบ้านภายใน 1 วัน (same-day delivery) Naoyuki Yamamoto ประธานของ MUJI ที่เซี่ยงไฮ้ ระบุว่า ความร่วมมือนี้จะเริ่มให้บริการภายในแต่เดือนกันยายนที่จะถึงนี้ นโยบายของ MUJI ลุยออนไลน์ไม่ชัด ทำเป็นบางพื้นที่ บางประเทศ เมื่อปี 2017 Brand Inside เคยสัมภาษณ์ มาซาชิ โอกะ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายจัดซื้อบริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด โดยตั้งคำถามถึงนโยบายการดำเนินงานด้านออนไลน์ของแบรนด์ ในครั้งนั้น โอกะ บอกว่านโยบายของ MUJI ขณะนี้ยังไม่ลงเล่นในตลาดออนไลน์อย่างเต็มตัว เพราะโดยหลักแล้วยังเน้นไปที่การซื้อสินค้าที่หน้าร้าน “ตอนนี้เรายังไม่มีแผนโกออนไลน์แบบจริงจัง แต่ก็มีการทำในบางประเทศ เพราะเราเน้นให้คนที่จะซื้อสินค้า MUJI จำเป็นจะต้องมาซื้อที่ร้านค้า” สรุปได้ว่า นโยบายการลุยออนไลน์ของ MUJI ยังไม่ชัด เพราะเลือกทำในบางพื้นที่ บางประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือ ท่าทีหลังจากนี้ที่ MUJI ได้จับมือกับ JD.com ในจีน เพราะอาจทำให้ MUJI หันมาโฟกัสกับตลาดออนไลน์มากขึ้นก็เป็นได้ | MUJI ร้านค้ามินิมอลแบรนด์ญี่ปุ่น จับมือกับ JD.com ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโลจิสติกส์จีน เปิด Online Flagship Store เป็นครั้งแรกของแบรนด์ ให้ลูกค้าซื้อสินค้า เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน อาหาร และของจิปาถะต่างๆ ในร้านของ MUJI เผ่าน JD.com โดยมีนโยบายส่งสินค้าถึงหน้าบ้านภายใน 1 วัน | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56586 | Retail | เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่พนักงานขายในร้านค้าปลีกทั้งหมดในอนาคตหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
ความต้องการของผู้บริโภค: ผลสำรวจจาก HRC Retail Advisory พบว่า 95% ของผู้บริโภคต้องการพื้นที่อิสระในการเลือกซื้อของ ไม่ต้องการให้พนักงานเดินตาม แต่ผู้บริโภคก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากพนักงานในบางกรณี เช่น สินค้าประเภทเทคโนโลยีที่ต้องการความเชี่ยวชาญ หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม
บทบาทที่เปลี่ยนแปลง: เทคโนโลยีจะเข้ามาเสริมบทบาทของพนักงานขาย ไม่ได้แทนที่ทั้งหมด พนักงานขายจะเปลี่ยนจากการนำเสนอสินค้า มาเป็นผู้ให้คำแนะนำ ตอบคำถาม ช่วยเหลือลูกค้า และมอบประสบการณ์ที่ดีในการช้อปปิ้ง
ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: ร้านค้าปลีกต้องสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครเพื่อดึงดูดลูกค้า เทคโนโลยีสามารถช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดใจลูกค้า เช่น แอปพลิเคชั่น ห้องลองเสื้อผ้าอัจฉริยะ
งานบริการ: เทคโนโลยีไม่สามารถแทนที่งานบริการบางประเภท เช่น การต้อนรับ การบริการลูกค้า VIP การจัดการสินค้าคงคลัง การรักษาความปลอดภัย
ข้อจำกัด: เทคโนโลยียังมีข้อจำกัด เช่น ระบบอาจขัดข้อง ข้อมูลอาจไม่ถูกต้อง เทคโนโลยีบางชนิดอาจใช้งานยากสำหรับผู้สูงอายุ
ตัวอย่าง:
ร้านค้าปลีกสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องสแกนราคา แอปพลิเคชั่น kiosk เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลสินค้า เช็คราคา ชำระเงินได้ด้วยตัวเอง
พนักงานขายสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น แท็บเล็ต เพื่อเข้าถึงข้อมูลสินค้า แนะนำสินค้า เปรียบเทียบสินค้า ตอบคำถามลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ร้านค้าปลีกสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
สรุป: เทคโนโลยีจะเข้ามาเสริมบทบาทของพนักงานขาย ไม่ได้แทนที่ทั้งหมด ร้านค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จในอนาคตจะต้องผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการบริการลูกค้าอย่างลงตัว | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56623 | Retail | ช่วยสรุปบทความเรื่อง "เจาะลึก SCB Easy แม่มณี ความร่วมมือกับ Alipay และการต่อยอดในอนาคต ที่เปลี่ยนโฉมธนาคาร" ให้หน่อยคะ | ตั้งแต่ PromptPay ถึง QR Payment คือ นโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมาเปลี่ยนโฉมระบบการจ่ายเงิน เปลี่ยนโฉมธนาคาร และกำลังกลายเป็น Infrastructure เพื่อสร้างธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต และจะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นี่คือประเด็นที่ ธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Officer และ อภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการ ผู้บริหารสูงสุด Retail Product และ Retail Payments ของ SCB พร้อมด้วย พิภาวิน สดประเสริฐ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย Ant Financial Services Group ร่วมกันให้สัมภาษณ์กับ Brand Inside แบบ Exclusive และเป็นเรื่องที่ต้องบอกต่อทันที ความร่วมมือกับ Alipay เพื่อกระจายการใช้ QR Payment หลังจาก ธปท. อนุญาตให้ 5 ธนาคารแรก ซึ่งรวมถึง SCB ให้บริการ QR Payment ทั่วประเทศได้ โจทย์ที่ SCB มองคือ ทั้งร้านค้าที่ใช้ QR และผู้ซื้อ ต้องเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน แต่จะทำให้ร้านค้ามาเปิดรับชำระเงินด้วย QR ก็ต้องมีตัวอย่างที่จับต้องได้ Alipay เป็นสิ่งที่ร้านค้าคุ้นเคยดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะใน 3 เมืองหลัก คือ กรุงเทพ, ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวจีน ร้านค้าส่วนใหญ่เข้าใจระบบชำระเงินผ่าน QR อยู่แล้ว ดังนั้น ความร่วมมือของ SCB และ Alipay จะยิ่งช่วยให้ร้านค้าเปิดรับ QR เร็วขึ้น และผู้ใช้คนไทยก็มีร้านค้าที่รับชำระเงินด้วย “SCB Easy มีผู้ใช้ 5 ล้านรายไม่พอ แต่นักท่องเที่ยวจีนที่เข้าไทย 10 ล้านคนต่อปี 70-80% ใช้งาน Alipay จะสร้างการรับรู้ได้มหาศาล” การทำตลาดเชิงลึก แม่มณี คือ คาแรกเตอร์ตัวแทน หลังจากเปิดตัว SCB Easy แม่มณี มาได้ 2 สัปดาห์แล้ว ผลตอบรับเป็นอย่างไรยังยากจะบอกได้ แต่ในหลายพื้นที่ เช่น ยูเนียนมอลล์ พ่อค้าแม่ค้าตอบรับดีมาก มีการใช้จ่ายผ่าน QR หลักพันบาทต่อร้านค้า ถ้าเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่ SCB Easy App เปิดตัวกับแคมเปญ “เป็นทุกอย่างเพื่อคุณ” มาพร้อมเพลง เป็นทุกอย่าง ของ Room 39 กลายเป็นประโยคติดหู เพราะเป็นการตลาดที่เน้นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก เพื่อให้คนอยากใช้งาน แตกต่างกับการทำตลาดของแม่มณี ที่เป็นเรื่องของ คาแรกเตอร์ ทำให้คนจดจำได้ “ตอน SCB Easy App อยากให้คนรู้สึกร่วม แต่ แม่มณี คือต้องการสร้าง Visibility ให้คนเห็นมากๆ จดจำได้ว่า สัญลักษณ์แบบนี้ คือรับชำระเงินด้วย QR Payment ดังนั้นต่อไปเตรียมตัวได้เลย จะเห็นแม่มณีในทุกที่” จุดเด่นที่แตกต่าง ทำให้ร้านค้าต้องมี “แม่มณี” อยู่ด้วย ถ้าแอพจ่ายเงิน QR Payment ของทุกธนาคารใช้งานได้เหมือนกัน ทำให้ทุกธนาคารต้องแข่งขันเพื่อให้ บัญชีของตัวเอง เป็นบัญชีหลักของร้านค้า แล้วทำไมต้องใช้ SCB Easy แม่มณีด้วย SCB มีบริการ SCB Connect ผ่าน LINE ที่จะแจ้งเตือนเงินทุกบาทที่เข้ามาในบัญชี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน เมื่อรับชำระด้วย QR จะแจ้งเตือนทันที ร้านค้ามั่นใจได้ แม่มณี คือ นางกวักยุคดิจิทัล เป็นเรื่องของ emotional และไม่แน่ว่าในอนาคตจะพัฒนาเรื่อง functional เช่น ผ่านการทำบุญเพื่อให้มีผลทางใจกับการค้าขาย มี Promotion กระตุ้นให้เกิดการใช้งาน ซึ่งจะร่วมกับร้านค้าหลายแห่ง มี Customize App มาเพื่อให้บริการเสริม เช่น JJ Guide ให้ความช่วยเหลือคนเดินตลาดนัดจตุจักร และจะขยายผลไปพื้นที่อื่นๆ ทำให้คนซื้อคนขายมาเจอกัน “เมื่อเป็นบริการรับชำระ QR เหมือนกัน SCB Easy ต้องสร้าง คุณค่าและมูลค่า ให้กับร้านค้า ทำให้พ่อค้าแม่ค้าขายของได้ดียิ่งขึ้น และนางกวัก คือสัญลักษณ์ที่ดี ที่ทุกร้านมีอยู่แล้ว และพร้อมจะตั้งไว้ที่จุดเก็บเงิน ไม่เก็บไว้ที่อื่น” SCB เปลี่ยนกลยุทธ์ ลงพื้นที่จริง เรียนรู้ความต้องการจริง ถ้าถามถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา SCB เป็นธนาคารแรกที่ผู้บริหารลงไปเดินตลาดเพื่อโปรโมทบริการ QR Payment ซึ่งการไปพบกับผู้ใช้งานจริง ทำให้ได้รู้ความต้องการและปัญหาจากการใช้งานจริง ทำให้เกิดเป็น “แม่มณี” ที่มีความหมายดี คือ มณี ที่แปลว่า แก้วแหวนเงินทอง และยังออกเสียงคล้ายกับคำว่า “มานี่” หมายถึงการเรียกลูกค้า และยังคล้ายกับคำว่า มันนี่ หรือ Money ซึ่งแปลว่า เงิน และสะท้อนถึงการเป็นบริการ Money Solution สำหรับร้านค้า เรียกว่า แค่ชื่อ ก็โดนใจพ่อค้าแม่ค้าแล้ว รวมถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ คือ การใช้สัญลักษณ์รูปนางกวักแต่ดูน่ารัก ทำให้พ่อค้าแม่ค้าอยากวางโชว์ มีพื้นที่ใส่ชื่อร้านและเบอร์โทรศัพท์ ช่วยโฆษณาร้าน หรือการเดินตลาดทางภาคใต้ ซึ่งมีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ต้องใส่ใจเรื่องทางศาสนา การใช้นางกวัก อาจไม่เหมาะสม เป็นสิ่งที่รู้ได้จากการลงพื้นที่จริง ทำให้ SCB ได้สัมผัสในสิ่งที่คู่แข่งไม่ได้ทำ และได้รู้ว่าคู่แข่งทำอะไรบ้าง “บางครั้งการออกไปโดนตำหนิบ้าง ก็ทำให้รู้ข้อบกพร่องตัวเอง และนำมาปรับปรุง แค่ออกไปเดินแล้วได้ร้านค้าใช้ แม่มณีเพิ่มขึ้น ก็ถือว่า SCB ได้ลูกค้าใหม่แล้ว” ต้นเดือน ธ.ค. เตรียมขยายการใช้งาน QR ทุกตลาด เวลานี้การรับชำระด้วย QR ยังจำกัดอยู่ในระดับ C2C หรือ การโอนเงินระหว่างบุคคล ซึ่งร้านค้าทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า ก็ถือเป็นบุคคล เช่นกัน แต่ประมาณต้นเดือน ธ.ค. ถ้ามาตรฐานที่ใช้สำหรับนิติบุคคลผ่านการอนุมัติ การใช้งาน QR Payment จะขยายตัวเพิ่มขึ้น นั่นคือการจ่ายเงินแบบ C2B ซึ่ง SCB ได้ประกาศความร่วมมือกับ The Mall Group ไปแล้ว ทำให้เกิดการจ่ายระหว่างบุคคลกับนิติบุคคลได้ นั่นหมายถึง ร้านอาหารเชน, ร้านกาแฟเชน หรือร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-ELEVEN, Family Mart จะสามารถรับชำระ QR จากธนาคารได้ รวมถึง การรับชำระ QR ผ่านเครื่อง Vending Machine หรือตู้อัตโนมัติทั้งหลาย ซึ่ง SCB มีความร่วมมือกับ Sun108 ผู้ให้บริการตู้อัตโนมัติ ไม่ต้องห่วงเรื่องหยอดเหรียญ หรือเงินทอน เพราะใช้ QR จ่ายได้ง่ายๆ นอกจากนี้ จะต่อยอดไปถึงแบบ B2B คือ การรับชำระเงินระหว่างนิติบุคคล ซึ่ง SCB ได้ร่วมมือกับ โอสถสภา อนาคตเมื่อไปส่งสินค้าตามห้างร้านต่างๆ สามารถชำระเงินด้วย QR ได้ทันที หรือแม้แต่บริการ Cash on Delivery ก็สามารถใช้ QR ได้ ซึ่งจะสะดวก ปลอดภัยมากกว่าเดิม ไม่ต้องจำกัดจำนวนเงิน เมื่อพนักงานมาส่งสินค้า ก็แค่สแกน QR รับชำระเงินตรงไปที่บริษัทได้เลย พัฒนาสู่ Infrastructure สร้างธุรกิจใหม่ สตาร์ทอัพ ทาง SCB เชื่อว่า QR Payment จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ที่มาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ต่อไปไม่ต้องกดเงินจาก ATM เพราะสามารถสแกน QR จ่ายเงินได้ทันที สะดวกกว่า ปลอดภัยกว่า และจะส่งเสริมให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะ สตาร์ทอัพ ที่ผ่านมา สตาร์ทอัพ เกิดขึ้นได้ยากเพราะขาดโมเดลในการหารายได้ แต่ QR เป็นวิธีการชำระเงินระดับ Micro Payment จ่ายได้ทุกบาท ดังนั้น สตาร์ทอัพ หรือใครก็ตามที่มีไอเดียธุรกิจ สามารถคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ได้และมีวิธีในการเก็บเงิน เพิ่มโอกาสที่ธุรกิจจะอยู่รอดได้มากขึ้น ทั้งหมดคือ การเปลี่ยนแปลงของธนาคารที่เดินเข้าหาผู้บริโภค เพื่อรับรู้ความต้องการ และ SCB ถือเป็นธนาคารแรกๆ ที่เปลี่ยนอย่างชัดเจน ส่วนต้นปีหน้าจะมีอะไรที่เปลี่ยนอีก โปรดติดตาม ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ชวนเดินรอบเมืองเชียงใหม่ พิสูจน์ข้อเท็จจริง QR Payment แพร่หลายมากแค่ไหน In "News" ร้านอาหารมีเฮ SCB x Wongnai POS จัดโซลูชั่นครบวงจร ได้ระบบ Payment + ระบบร้านอาหาร In "News" เปิดสมรภูมิ QR Code เมื่อ SCB Easy Pay เปิดแคมเปญ “แม่มณี” เป็นทุกอย่างเพื่อพ่อค้าแม่ค้า In "News" | ในบทสัมภาษณ์นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (SCB) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบการจ่ายเงินของธนาคาร ตั้งแต่การใช้บริการ PromptPay จนถึง QR Payment ซึ่งเป็นนโยบายที่มีเป้าหมายในการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และเปลี่ยนโฉมระบบธนาคารเพื่อเป็น Infrastructure ที่สามารถสร้างธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคตได้ ร่วมกับ Alipay เพื่อกระจายการใช้ QR Payment หลังจากที่ 5 ธนาคารแรกได้รับอนุญาตให้ให้บริการ QR Payment ทั่วประเทศ ซึ่ง SCB เน้นว่าการร่วมมือกับ Alipay จะช่วยเพิ่มความคุ้นเคยในการใช้ QR Payment และช่วยให้ร้านค้าเปิดรับชำระเงินด้วย QR ได้รวดเร็วขึ้น
ในส่วนของการตลาด SCB กล่าวถึงการเปิดตัว SCB Easy แม่มณีที่เน้นการตลาดเชิงลึก โดยมุ่งเน้นการสร้างความรู้สึกและความร่วมมือกับร้านค้า ซึ่งมีความต่างจากตลาดแม่มณีที่เน้นคาแรกเตอร์ และ SCB เปลี่ยนกลยุทธ์โปรโมทบริการ QR Payment โดยลงพื้นที่จริงเพื่อเข้าใจความต้องการและปัญหาจากการใช้งานจริง ซึ่งทำให้ SCB สามารถปรับปรุงและสร้าง "แม่มณี" ที่มีความหมายดี และทำให้ร้านค้าสนใจในการใช้บริการ
นอกจากนี้ SCB ยังกล่าวถึงการขยายการใช้งาน QR ในตลาด C2B และ B2B ที่จะช่วยในการรับชำระเงินระหว่างบุคคลและนิติบุคคล โดย SCB เชื่อว่า QR Payment จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ส่งเสริมให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้นในอนาคต และเน้นว่า QR Payment จะทำให้การชำระเงินเป็นเรื่องสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น สรุปได้ว่า SCB ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจของตนเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและก้าวทันแนวโน้มในการใช้งาน QR Payment ในสังคมธุรกิจไทย | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56624 | Retail | เขียนความน่าสนใจเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง"เดินหน้าด้วยแผนการตลาดเชิงยอดนิยมสำหรับทำปตท. เป็นสถานีบริการน้ำมัน" | null | การวางแผนการตลาดที่เหมาะสมสำหรับทำปตท. เป็นสถานีบริการน้ำมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาเพื่อให้สามารถดึงดูดลูกค้าและสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงได้ ดังนี้
1. การศึกษาตลาด : การทำการวิเคราะห์ตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจภูมิปัญญาของตลาดและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่นั้น ๆ โดยการศึกษาตลาดจะช่วยในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมและการเลือกทิศทางที่เหมาะสมในการสร้างและติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายของท่าน
2. การวางกลยุทธ์ : การกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมเพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้าและให้บริการที่มีคุณภาพ เช่น การสร้างแบรนด์ที่มีเสถียรภาพและการสร้างสินค้าหรือบริการที่มีคุณค่าต่อลูกค้า
3. การใช้เทคโนโลยี : การใช้เทคโนโลยีในการตลาดเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือแอปพลิเคชันเพื่อสื่อสารและติดต่อกับลูกค้า
4. การสร้างประสบการณ์ : การสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับลูกค้าในทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งอาจเป็นการให้บริการที่มีคุณภาพสูง การสร้างพื้นที่ที่สะอาดและน่าสบาย หรือการให้บริการเพิ่มเติมที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ
5. การติดตามและประเมินผล : การติดตามและประเมินผลของกิจกรรมตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้สามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตลาดได้ตามความต้องการของตลาดและลูกค้าในขณะเดียวกัน
โดยการตระหนักถึงปัจจัยเหล่านี้และการนำเสนอแผนการตลาดที่ถูกต้องสำหรับทำปตท. เป็นสถานีบริการน้ำมัน จะช่วยให้สามารถสร้างธุรกิจที่มั่นคงและประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันอย่างหนาแน่นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56632 | Retail | การคาดการณ์ในปี 2561 ตลาด B2C-Online-Shopping เป็นอย่างไร? | จุดเริ่มต้นของธุรกิจ ‘ออนไลน์ช็อปปิ้ง’ ในไทย ทุกคนมีความอิสระและเข้าสู่ตลาดออนไลน์ช็อปปิ้งได้ง่าย โดยเฉพาะผ่านรูปแบบ Social Commerce (การซื้อขายสินค้าออนไลน์ผ่านช่องทาง Social Media ต่างๆ) ประกอบกับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยที่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น คนไทยสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือได้ง่ายกว่าอดีต จึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการผลักดันกิจกรรมการตลาดและการจับจ่ายซื้อสินค้าออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น ออนไลน์ช้อปปิ้ง ง่ายสำหรับค้าปลีกรายย่อย? ตัวเลขของตลาดออนไลน์ช็อปปิ้ง ในไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างโดดเด่น เฉลี่ย 15-20% ต่อปี หรือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 214,000 ล้านบาท ในทางกลับกันรายได้ของธุรกิจค้าปลีกผ่านช่องทางเดิมอย่าง Offline มีการเติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งมาจากการเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในบางกลุ่มสินค้าของออนไลน์ช็อปปิ้ง พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น ทำให้ทั้งผู้ประกอบการในไทยและต่างประเทศ หรือแบรนด์สินค้า หันมารุกตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากต่างชาติ (เช่น จีน เกาหลีใต้) ที่มาพร้อมกับรูปแบบของ e-Market Place ซึ่งมีจุดแข็งในเรื่องของเงินทุน พันธมิตร ห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร (ตั้งแต่รูปแบบของ Platform ระบบการชำระเงิน และการจัดส่งสินค้า) รวมถึงผู้ประกอบการค้าปลีกรายเดิม (เช่น กลุ่มค้าปลีก Modern Trade) ซึ่งมีฐานลูกค้าจากช่องทาง Offline อยู่แล้ว ก็ได้มีการขยายช่องทาง Online เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ Brand.com หรือ e-Market Place คาดว่า ภาพตลาดออนไลน์ช็อปปิ้งของไทยน่าจะมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและแข่งขันกันรุนแรงขึ้นในระยะข้างหน้า e-Market Place โอกาสทำตลาดและคู่แข่งในอนาคต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 2561 ตลาด B2C-Online-Shopping (เฉพาะสินค้า) จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 256,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 470,000 ล้านบาทในปี 2565 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 16% ต่อปี ทำให้ช่องทางออนไลน์ช็อปปิ้ง มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2560 เป็น 8.2% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทั้งระบบ โดยรูปแบบของ e-Market Place จะเป็น Online-Platform ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยสุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าผ่าน Platform ไหน จะซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือจะซื้อผ่านหน้าร้าน ขึ้นอยู่กับว่าช่องทางไหนที่สามารถอำนวยความสะดวก และสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด ณ ตอนนั้น ความเคลื่อนไหวสำคัญ คือ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยอาจจะต้องเผชิญการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่อยู่ใน e-Market Place จำนวนมาก และที่น่าสนใจคือ หากเจ้าของ e-Market Place กลายเป็นผู้นำสินค้าเข้ามาแข่งด้วยตนเอง โดยอาศัยการเข้าถึงฐานข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาใช้จ่ายผ่าน Platform ของตนเอง สามารถรับรู้พฤติกรรมเชิงลึกในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ของลูกค้า ว่าสินค้าอะไรขายดี ก็อาจจะกลายเป็นคู่แข่งที่นำสินค้าเข้ามาแข่งกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยได้ ทั้งนี้ แม้ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะยังเห็นไม่ชัดในปัจจุบัน แต่คาดว่าในระยะข้างหน้า ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ หากผู้ให้บริการ e-Market Place เล็งเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น ข้อได้เปรียบที่ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยเคยมี เช่น ราคา (ต้นทุนสินค้า) ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าที่อยู่หน้าร้าน ตลาดที่ยังไม่ขยายใหญ่มาก รวมถึงคู่แข่งที่ยังมีน้อยรายนั้น อาจจะไม่เพียงพอในการรับมือกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในปัจจุบันและอนาคต เพราะด้วยตลาดออนไลน์ช็อปปิ้ง ที่มีแนวโน้มขยายใหญ่ขึ้น คู่แข่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมไปจนถึงผู้ผลิตสินค้า หรือแม้แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความภักดีในแบรนด์หรือสินค้าน้อยลง กลายเป็นว่ารูปแบบการขายเดิมๆ อาจจะไม่สามารถดึงกลุ่มลูกค้าไว้ได้อีกต่อไป เพราะลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น สร้างความแตกต่างคือ ทางอยู่รอด ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยที่อยู่รอด คือ “คนที่คิดต่าง ทำต่าง” โดยในอดีตมักจะเน้นที่ความแตกต่างด้านสินค้าและราคา เช่น ความแตกต่างทางด้านการใช้งาน บรรจุภัณฑ์ และเรื่องเล่าหรือที่มาในตัวสินค้า เป็นต้น แต่ปัจจุบันการสร้างความแตกต่างดังกล่าวอาจจะไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้บริโภคต้องการความแปลกใหม่ทางด้านประสบการณ์มากขึ้น เช่น ประสบการณ์ในการเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสหรือเป็นเจ้าของสินค้า ประสบการณ์การรับรู้ทางด้านอารมณ์หรือความรู้สึกที่มีต่อสินค้า เป็นต้น การใช้กลยุทธ์สร้างประสบการณ์ที่พึงพอใจและทำให้เกิดความประทับใจแก่ลูกค้าในแต่ละราย (Customized Experience) จนทำให้เกิดการจดจำแบรนด์ และอยากใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และอาจเกิดการบอกเล่าความประทับใจให้กับคนรอบข้าง หรือคนอื่นๆ ผ่านการแชร์ข้อมูลหรือประสบการณ์ที่ได้รับมาจากการซื้อสินค้าออนไลน์บน Social Media ต่างๆ เช่น ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยในกลุ่มสินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า) โดยเฉพาะคนที่ซื้อมาขายไป อาจจะต้องปรับตัวไปเป็นผู้ออกแบบและจำหน่ายเอง โดยแนวคิดการออกแบบสินค้าอาจจะมาจากการสังเกตและศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าแต่ละราย และนำแนวคิดดังกล่าวมาออกแบบสินค้าที่สร้างประสบการณ์รับรู้ใหม่ให้กับลูกค้าเป็นรายบุคคล เช่น เสื้อผ้าที่ถูกดีไซน์ออกมาให้เข้ากับบุคลิกและรูปร่างของลูกค้าแต่ละราย รองเท้าที่ออกแบบมาให้เหมาะกับรูปร่างเท้าของลูกค้า หรือแม้แต่ตัวบรรจุภัณฑ์หรือแพคเกจจิ้งที่มาพร้อมกับสินค้า การ์ดหรือป้ายที่แสดงคำขอบคุณให้กับลูกค้าแต่ละราย โดยอาจจะระบุชื่อและใส่มาในกล่องสินค้า ก็สามารถสร้างความประทับใจทางด้านอารมณ์หรือความรู้สึกให้กับลูกค้ารายบุคคลได้เช่นกัน แต่อาจจะมีสินค้าบางกลุ่ม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ทางด้านไอที ซึ่งผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตสินค้าได้เอง จะเป็นลักษณะของตัวแทนจำหน่ายหรือซื้อมาขายไปมากกว่า ดังนั้น เพื่อไม่ให้ราคาเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าเพียงอย่างเดียว ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยสินค้ากลุ่มนี้ จะต้องสร้างการให้บริการเพิ่มขึ้น โดยเน้นไปที่ความจริงใจและการเอาใจใส่ต่อลูกค้า เช่น การดูแลลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขาย การให้คำแนะนำในการเลือกซื้อสินค้าที่ตรงวัตถุประสงค์การใช้งานกับลูกค้ามากที่สุดและจริงใจที่สุด คำแนะนำในการใช้งานและดูแลรักษาสินค้า รวมถึงการบริการจัดส่งฟรีทุกรายการ โดยไม่มียอดการสั่งซื้อขั้นต่ำ เป็นต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ด้วยสภาพตลาดออนไลน์ช็อปปิ้งที่แข่งขันกันรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรับตัวของผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยไม่ควรหยุดนิ่งเพียงเท่านี้ ผู้ประกอบการต้องพยายามปรับตัวให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละรายที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ห้างฯ ปรับตัวหนี “COVID-19” จัดโปรช้อปออนไลน์ คาดธุรกิจค้าปลีกกระทบ 2 แสนล้านบาทปีนี้ In "Analysis" ถอด 10 แนวคิด Omni Channel ของ Central Retail เดินเกมอย่างไรเพื่อเอาใจนักช็อป? In "News" TV Direct ขายบนทีวีไม่พอแล้ว บุกออนไลน์ อีคอมเมิร์ซเต็มที่ ปั้นรายได้ 10,000 ล้านในปี 67 In "News" | ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 2561 ตลาด B2C-Online-Shopping (เฉพาะสินค้า) จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 256,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 470,000 ล้านบาทในปี 2565 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 16% ต่อปี ทำให้ช่องทางออนไลน์ช็อปปิ้ง มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2560 เป็น 8.2% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทั้งระบบ โดยรูปแบบของ e-Market Place จะเป็น Online-Platform ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
โดยสุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าผ่าน Platform ไหน จะซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือจะซื้อผ่านหน้าร้าน ขึ้นอยู่กับว่าช่องทางไหนที่สามารถอำนวยความสะดวก และสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด ณ ตอนนั้น
ความเคลื่อนไหวสำคัญ คือ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยอาจจะต้องเผชิญการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่อยู่ใน e-Market Place จำนวนมาก และที่น่าสนใจคือ หากเจ้าของ e-Market Place กลายเป็นผู้นำสินค้าเข้ามาแข่งด้วยตนเอง โดยอาศัยการเข้าถึงฐานข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาใช้จ่ายผ่าน Platform ของตนเอง สามารถรับรู้พฤติกรรมเชิงลึกในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ของลูกค้า ว่าสินค้าอะไรขายดี ก็อาจจะกลายเป็นคู่แข่งที่นำสินค้าเข้ามาแข่งกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยได้ ทั้งนี้ แม้ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะยังเห็นไม่ชัดในปัจจุบัน แต่คาดว่าในระยะข้างหน้า ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ หากผู้ให้บริการ e-Market Place เล็งเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ข้อได้เปรียบที่ผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยเคยมี เช่น ราคา (ต้นทุนสินค้า) ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าที่อยู่หน้าร้าน ตลาดที่ยังไม่ขยายใหญ่มาก รวมถึงคู่แข่งที่ยังมีน้อยรายนั้น อาจจะไม่เพียงพอในการรับมือกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในปัจจุบันและอนาคต เพราะด้วยตลาดออนไลน์ช็อปปิ้ง ที่มีแนวโน้มขยายใหญ่ขึ้น คู่แข่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมไปจนถึงผู้ผลิตสินค้า หรือแม้แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความภักดีในแบรนด์หรือสินค้าน้อยลง กลายเป็นว่ารูปแบบการขายเดิมๆ อาจจะไม่สามารถดึงกลุ่มลูกค้าไว้ได้อีกต่อไป เพราะลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56647 | Retail | ช่วยสรุปบทความเรื่อง "ค้าปลีกรองเท้าจะอยู่อย่างไรไหว ในวันที่ Amazon ครองตลาด Foot Locker ไม่น่ารอด ยอดขายนิ่ง" ให้หน่อยนะคะ | ท่ามกลางการล่มสลายของวงการค้าปลีก ร้านขายรองเท้าได้รับผลกระทบหนักมาก รายที่รับสินค้าจากแบรนด์อื่นๆ มาขายต่อ ไม่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง จะอยู่ในตลาดต่อไปอย่างไร ในวันที่อีคอมเมิร์ซโตขึ้นเรื่อยๆ คนก็สั่งผ่าน Amazon กันทั้งนั้น ค้าปลีกมีหน้าร้าน แม้จะอยู่มานาน ก็อาจไม่รอด การล่มสลายของวงการค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าที่สหรัฐอเมริกาส่งผลประทบไปในหลายธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือร้านขายรองเท้าอย่าง Foot Locker และ Finish Line ที่มีแนวโน้มสูงว่าจะต้องปิดตัวและถอยออกไปจากตลาดในไม่ช้า ส่วนผู้ที่มาแทนที่ในตลาด ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่คืออีคอมเมิร์ซรายใหญ่ Amazon นั่นเอง จากเหตุการณ์ ค้าปลีกในอเมริกาทยอยปิดตัวอย่างเป็นทางการ ตัวเลขตอนนี้เอาแค่ปี 2017 นับเป็นจำนวน 6,300 รายแล้วที่ปิดตัวลงไป นอกจากนั้นนักวิเคราะห์จาก UBS ได้ระบุไว้ว่า “ค้าปลีกรองเท้าอย่าง Foot Locker กับ Finish Line จะเป็นรายต่อไป” เหตุผลที่นักวิเคราะห์จาก UBS ระบุไปแบบนั้นก็เพราะไปเปิดผลประกอบการดู เริ่มจาก Foot Locker ที่ไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว หุ้นร่วงไปเกือบ 30% แถมยอดขายก็ลดไปถึง 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในช่วง 3 เดือนมานี้เอง หุ้นก็ร่วงลงไปอีก 57% นับเป็นเป็นสัญญาณอันตราย Richard Johnson ซีอีโอของ Foot Locker บอกว่า “เราไม่ได้กังวลกับการมาของ Amazon เพราะเรายังจะมุ่งสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าต่อไป เราเชื่อว่าลูกค้าไม่ได้ต้องการดูสินค้าผ่านหน้าจอเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ลูกค้าต้องการเข้ามาสัมผัสในร้านค้า เข้ามามีประสบการณ์ บางครั้งอาจจะผ่านการใช้วีดิโอ Youtube ของเซเลบบ้าง แต่สิ่งสำคัญคือการได้สัมผัสสินค้า ฉะนั้น เราไม่เชื่อว่าผู้ขายสินค้ารายอื่นๆ ของเราจะเข้าไปขายใน Amazon เราเชื่อว่า ยิ่งถ้าเป็นลูกค้าระดับพรีเมี่ยม รองเท้าผ้าใบคู่นึงมากกว่า 100 เหรียญ อย่างไรแล้วเขาก็ต้องอยากสัมผัสสินค้าจากช่องทางต่างๆ อย่างแน่นอน” แต่ในความเป็นจริง มันเป็นอย่างที่ซีอีโอของ Foot Locker บอกไว้หรือไม่? Michael Binetti นักวิเคราะห์จาก UBS ได้ปรับลดธุรกิจของ Foot Locker กับ Finish Line ให้มาอยู่ในระดับ “น่าจะต้องปิดร้านแน่ๆ” เพราะนักวิเคราะห์รายนี้มองว่า Amazon ได้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไปเกือบหมดแล้ว เหตุผลของ Binetti มีดังนี้ ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Nike ตอนนี้พยายามจะเพิ่มยอดขายด้วยการส่งสินค้าไปหาผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น แต่เมื่อเปิดดูยอดขายของ Finish Line พบว่า ทำรายได้จากแบรนด์ Nike ถึง 68% เพราะฉะนั้นในสภาวะที่แพลตฟอร์มการขายเปลี่ยนไปเป็น “ออนไลน์” ไม่ใช่ “หน้าร้าน” แล้วตัวกลางที่กระจายสินค้าจะมีไว้ทำไม? สู้ขายผ่าน Amazon หรือทางแบรนด์ก็ส่งสินค้าขายเองผ่านทางออนไลน์ไปเลย จะไม่ดีกว่าหรือ?
จากข้อมูลของ UBS ในปีนี้เอง พบว่า เป็นครั้งแรกที่ “ผู้บริโภคสั่งซื้อ Nike จาก Amazon มากกว่าร้านขายรองเท้า Foot Locker” ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Nike ตอนนี้พยายามจะเพิ่มยอดขายด้วยการส่งสินค้าไปหาผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น แต่เมื่อเปิดดูยอดขายของ Finish Line พบว่า ทำรายได้จากแบรนด์ Nike ถึง 68% เพราะฉะนั้นในสภาวะที่แพลตฟอร์มการขายเปลี่ยนไปเป็น “ออนไลน์” ไม่ใช่ “หน้าร้าน” แล้วตัวกลางที่กระจายสินค้าจะมีไว้ทำไม? สู้ขายผ่าน Amazon หรือทางแบรนด์ก็ส่งสินค้าขายเองผ่านทางออนไลน์ไปเลย จะไม่ดีกว่าหรือ? จากข้อมูลของ UBS ในปีนี้เอง พบว่า เป็นครั้งแรกที่ “ผู้บริโภคสั่งซื้อ Nike จาก Amazon มากกว่าร้านขายรองเท้า Foot Locker” นักวิเคราะห์คิดว่า “ระหว่างสองร้านนี้ Finish Line มีความเสี่ยงสูงมากที่สุด เนื่องจากยอดขายต่ำลงเรื่อยๆ” UBS จึงปรับลดอันดับของ Foot Locker จากยังมียอดขายไปเป็นยอดขายนิ่ง ส่วน Finish Line จากยอดขายนิ่งไปเป็นระดับที่เรียกว่า “เจ๊ง” เรียบร้อยแล้ว ที่มา – Business Insider ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ล่มสลายไปไม่รอด! Best Buy ค้าปลีกรายใหญ่ของอเมริกา สั่งปิดร้านมือถือในห้างกว่า 250 แห่ง In "News" ค้าปลีกล่มสลาย ห้างกำลังตายจริงหรือ? เพราะพอเปิดตัวเลขดู เงินยังลงอยู่กับแหล่งการค้าไม่น้อย In "News" ล่มสลายต่อเนื่อง ค้าปลีกระดับโลกทยอยปิดสาขา ผ่านมา 3 เดือนแรกตกงานหลักหมื่น In "Article"
| ในขณะที่วงการค้าปลีกกำลังล่มสลายในห้างสรรพสินค้าที่สหรัฐอเมริกา ร้านขายรองเท้ามีผลกระทบมาก โดยร้านที่ไม่มีแบรนด์ของตัวเองและขายสินค้าจากแบรนด์อื่น ๆ อาจต้องปิดตัวหรือลงโอนออกจากตลาดเร็วๆ นี้ เหตุผลหลักมาจากการเปลี่ยนแพลตฟอร์มการขายที่มีการเข้าร่วมของ Amazon ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ร้านขายรองเท้าทั้ง Foot Locker และ Finish Line มีแนวโน้มต้องปิดตัวหรือลดขนาดกิจการ.
ผู้วิเคราะห์มองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อธุรกิจค้าปลีก, โดยเฉพาะ Finish Line ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากยอดขายลดลงเรื่อย ๆ และผู้บริโภคที่สั่งซื้อสินค้า Nike จาก Amazon เพิ่มมากขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าร้านค้าที่ไม่พร้อมที่จะปรับตัวสู่การขายออนไลน์ หรือไม่มีแบรนด์ของตัวเองอาจเผชิญกับความท้าทายในการอยู่รอดในวงการค้าปลีก.
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความสำคัญของประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยร้านค้าที่สามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและไม่ได้เพียงแค่ขายสินค้าออนไลน์จะมีโอกาสอยู่ในตลาดได้ ในทางตรงกัน, นักวิเคราะห์ระบุว่าร้านค้าที่พยายามสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและไม่ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มขายออนไลน์อาจมีโอกาสสูญเสียในการแย่งลูกค้ากับ Amazon ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไปเกือบหมด.
อย่างไรก็ตาม, การปรับตัวและทำความเข้าใจลูกค้าในแต่ละตลาดยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยให้ร้านค้าปลีกทำให้เป็นที่ยอมรับในยุคที่การซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว. | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56668 | Retail | โรงแรม Centara Ubon ใช้เอกลักษณ์ของจังหวัดในส่วนต่าง ๆ ของโรงแรม เพื่ออะไร | a. ตอบโจทย์ความเป็นเมืองของจังหวัดอุบลราชธานี
b. รองรับทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ และนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจสามเหลี่ยมมรกต
c. รองรับความต้องการที่มากขึ้น ผ่านความเป็นเมืองของจังหวัดอุบลราชธานีที่มากกว่าเดิม
d. รองรับการจัดอิเวนต์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น | คำตอบที่ถูกต้องคือ b. เพราะว่า เพราะโรงแรม Centara Ubon ประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 160 ห้อง ใช้เอกลักษณ์ของจังหวัดในส่วนต่าง ๆ ของโรงแรม เช่น การออกแบบห้องพัก, อาหาร รวมถึงห้องจัดเลี้ยง เพื่อรองรับทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย และต่างชาติ รวมถึงนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจสามเหลี่ยมมรกต
จังหวัดอุบลราชธานีไม่มีโรงแรมเชนใหญ่ และเซ็นทรัลพัฒนา เป็นรายแรกที่มายกระดับตลาดในพื้นที่ ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าผลตอบรับจะมากขนาดนี้ เพราะสัดส่วนลูกค้าต่างชาติขึ้นไปถึง 14% ของทั้งหมด นำโดยชาวสหรัฐอเมริกา รองลงมาเป็นลาว และอื่น ๆ ที่สำคัญเซ็นทรัลพัฒนามองว่า 160 ห้องอาจค่อนข้างน้อย และอยู่ระหว่างศึกษาการขยายเพิ่มเติม
ADR (Average Daily Rate) ของ Centara Ubon อยู่ที่ 1,850 บาท มี Occupancy Rate ที่ 65-70% ซึ่งบริษัทพอใจกับอัตรานี้ หากแบ่งเป็นประเภทลูกค้าจะพบว่า Retail อยู่ที่ 65%, Group 17% และที่เหลือเป็น Walk-in โดยโรงแรมมีแผนปรับ ADR ขึ้นผ่านการอ้างอิงชาวต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมาก | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56687 | Retail | ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) และเฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด จับมือร่วมสร้างโครงการ One Bangkok โดยต้องการจะทำให้พื้นที่เป็นอะไร | A. การผสมผสานประสบการณ์จากทั้งในและต่างประเทศ จากบริษัทวางผังเมืองและบริษัทสถาปัตยกรรมที่ทรงอิทธิพลสูงที่สุดในวงการ
B. จุดหมายปลายทางหรือแลนด์มาร์คที่ผู้คนทั่วโลกต้องมาเยี่ยมเยือนให้ได้แห่งหนึ่งของโลก
C. ใกล้กับระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้าใต้ดิน
D. ความเป็นธรรมชาติ | คำตอบได้แก่ B. เพราะว่า เพราะบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด (FCL) จับมือร่วมสร้างโครงการ One Bangkok บนพื้นที่ขนาด 104 ไร่ ใจกลางกรุงเทพบริเวณหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม 4 ติดกับสวนลุมพินี โดยประมูลเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ยังไม่ทราบราคา ทีซีซีระบุว่าเป็นความลับทางราชการ) โดยต้องการจะทำให้พื้นที่ทั้งหมดนี้เป็นจุดหมายปลายทางหรือแลนด์มาร์คที่ผู้คนทั่วโลกต้องมาเยี่ยมเยือนให้ได้แห่งหนึ่งของโลก
ด้วยมูลค่าการลงทุนที่ไม่น้อยกว่า 120,000 ล้านบาทบนพื้นที่กว่า 104 ไร่ ทีซีซีจะทำให้ 50 ไร่เป็นพื้นที่สีเขียวและเป็นพื้นที่เปิด ส่วนที่เหลือจะสร้างเป็นตึกอาคาร เช่น พื้นที่โรงแรม ร้านค้าปลีก (Retail) อาคารสำนักงาน ส่วนในอนาคตจะพัฒนาให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยระดับอัลตราลักชัวรี่ ประเมินโดยรวมแล้วพื้นที่อาคารทั้งหมดในโครงการจะอยู่ที่ 1,830,000 ตารางเมตร ส่วนการก่อสร้างจะเริ่มในปลายปี 2017 และจะเปิดใช้งานส่วนแรกของโครงการในปี 2564 ส่วนองค์ประกอบทั้งหมดของโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568
One Bangkok จะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์ที่มีสีสันและชีวิตชีวาที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เป็นสุดยอดปรารถนาที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ผู้คนอยากมาอยู่อาศัย มาทำธุรกิจ และมาเยี่ยมเยือน ตลอดจนดึงดูดบริษัททั้งในประเทศและบริษัทข้ามชาติชั้นนำจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเออีซี และแขกที่มาเยี่ยมเยือนจะได้รับประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกและประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรและหาไม่ได้จากที่ไหน | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56694 | Retail | What is TrueVisions's Internet TV set-top box that provides a premium content viewing experience without the need for satellite or traditional cable name ? | TrueVisions Launches TrueTV for Broadband Users | Brand Inside
Premium Internet TV Experience with Live HD Sports and Movie on Demand Thailand’s leading pay-TV operator True Visions officially launched True TV, the internet TV streaming set top box which promises premium content viewing experience without need for traditional satellite or cable set up. True TV offers 80 live TV channels, some 1,200 matches of international football and over 1,000 on demand titles on a promotion 6-month free trial, at a retail price of 2,990 baht. During the launch the price is discounted to 1,990 baht, and even special at only 990 baht when purchased along with a True Move post paid sim subscription. As the largest full-service operator in Thailand, True Visions has taken up the No.1 DVB market position for a long time and possessed rich Pay TV experience. However, along with the rise of OTT, user viewing behavior has changed significantly. The trend right now is the availability of video service at anytime, anywhere and on any devices. To embrace the Big Video era, True Visions decided to provide the OTT service using platform solutions from ZTE, which is the world’s leading provider of end-to-end video solution. During the Press Conference, K. Sueksith Cholasuek, Marketing Director of True Visions said, “We are seeing huge opportunities for OTT as the country’s broadband internet is improving in terms of speed and technological stability. Nearly 10 million households are now connected with fixed broadband services. True Visions is confident that the launch of the True TV will expand its pay TV user segment, especially targeting the younger Internet-savvy generations.” Mr. Han Zhiming, president from ZTE Thailand said, “Now the global trend of TV is moving towards the big video era, with big content, big data, bigger networks and bigger ecosystems. Big video allow people to watch TV at any place, in any time, and on any devices. True TV, therefore, is the answer of all the requirements, and it can offer much more possibilities in the future. We are very delighted to be True’s partner, who is the leader in Thailand TV industry. True Visions has outstanding content, and content is king in this industry. ZTE is also the leader in big video industry. All in all, the strategy collaboration between ZTE and True will help True get big success in IP video services.” ZTE is a globally-leading ICT enterprise, and ZTE Big Video market share continues to lead in the global video market. As of now, ZTE has more than 90 commercial cases with a total system capacity of 80 million users, and over 100 CDN commercial cases with a total throughput of 100+ Tbps. ZTE receives lots of world-wide prizes, such as at TV Connect London 2016. ZTE also received the Best Multi-Screen TV service or solution award, and the Best Home Media Device award. At TelecomAsia Singapore 2016, ZTE was awarded the Video Platform of the Year. That’s the reason why, the company keeps investing on the R&D of latest video technology. At the end of Feb 2017, in MWC Barcelona (Mobile World Congress), ZTE also launches the world first End to End VR Live solution.” | Thailand’s leading pay-TV operator True Visions officially launched True TV, the internet TV streaming set top box which promises premium content viewing experience without need for traditional satellite or cable set up. True TV offers 80 live TV channels, some 1,200 matches of international football and over 1,000 on demand titles on a promotion 6-month free trial, at a retail price of 2,990 baht. During the launch the price is discounted to 1,990 baht, and even special at only 990 baht when purchased along with a True Move post paid sim subscription.
As the largest full-service operator in Thailand, True Visions has taken up the No.1 DVB market position for a long time and possessed rich Pay TV experience. However, along with the rise of OTT, user viewing behavior has changed significantly. The trend right now is the availability of video service at anytime, anywhere and on any devices. To embrace the Big Video era, True Visions decided to provide the OTT service using platform solutions from ZTE, which is the world’s leading provider of end-to-end video solution. | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56714 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....สตาร์ทอัพที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ | null | บทเพลงแห่งอนาคต: บทเรียนจากชายหนุ่มผู้ท้าทายวงการค้าปลีก
ท่ามกลางแสงไฟสลัวของร้านกาแฟ hipster ใจกลางกรุงเทพ ชายหนุ่มนามว่า วินัย กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอแล็ปท็อปของเขา บนหน้าจอเต็มไปด้วยโค้ดและข้อมูลต่างๆ เขาคือผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ FinTech นามว่า "RetailVerse" ที่มุ่งหวังจะปฏิวัติวงการค้าปลีกด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน
วินัยเติบโตมากับครอบครัวที่ทำธุรกิจร้านขายของชำขนาดเล็ก เขาเห็น firsthand ถึงปัญหาต่างๆ ที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่สูง ระบบการจัดการที่ยุ่งยาก และปัญหาการโกง เขาใฝ่ฝันที่จะสร้างระบบใหม่ที่จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเหล่านี้สามารถแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และร้านค้าออนไลน์ได้
RetailVerse นำเสนอโซลูชั่นที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการจัดการข้อมูลสินค้าและระบบการชำระเงิน โซลูชั่นนี้ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความโปร่งใสให้กับธุรกิจค้าปลีก วินัยและทีมของเขาทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาโซลูชั่นนี้ พวกเขาเข้าร่วมโครงการ акселераторต่างๆ เพื่อเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและหาเงินทุนสนับสนุน
ในที่สุด ความพยายามของวินัยก็ได้รับผลตอบแทน เขาได้รับการติดต่อจาก "ASCEND Capital" บริษัท Venture Capital ของกลุ่ม ASCEND ผู้ให้ความสนใจในโซลูชั่นของ RetailVerse และพร้อมที่จะลงทุนสนับสนุน วินัยรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสนี้ เขารู้ดีว่า ASCEND Capital จะช่วยให้ RetailVerse เติบโตและขยายธุรกิจไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น
การลงทุนจาก ASCEND Capital เปรียบเสมือนบทเพลงแห่งอนาคตสำหรับวินัยและ RetailVerse มันเป็นบทเพลงที่ขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่น ความฝัน และเทคโนโลยี บทเพลงนี้บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ท้าทายวงการค้าปลีกด้วยวิสัยทัศน์และความกล้าหาญ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56725 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ | null | ร้านเล็ก ๆ ใจกลางเมือง
ณ ใจกลางเมืองหลวงอันวุ่นวาย มีร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่า "S&P Food & Bakery" ร้านนี้มีขนาดเพียง 100 ตารางเมตร ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น ภายในร้านมีโต๊ะเพียง 10 กว่าตัว เหมาะสำหรับการทานอาหารแบบด่วน ๆ หรือซื้อกลับบ้าน
พนักงานในร้านยิ้มแย้มแจ่มใส คอยให้บริการลูกค้าอย่างเป็นกันเอง เมนูอาหารมีให้เลือกหลากหลาย เน้นไปที่อาหารจานเดียวที่ทานง่ายและรวดเร็ว เช่น ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว สลัด แซนด์วิช และเบเกอรี่สดใหม่จากเตา
หนึ่งในลูกค้าประจำของร้านคือ "คุณนลิน" พนักงานออฟฟิศสาววัย 28 ปี คุณนลินชอบมาทานอาหารกลางวันที่ร้านนี้เป็นประจำ เพราะสะดวก รวดเร็ว และราคาไม่แพง
"ร้านนี้เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อยอย่างฉันมากค่ะ อาหารอร่อย สะอาด พนักงานก็บริการดี ที่สำคัญคือราคาไม่แพง" คุณนลินกล่าว
เจ้าของร้าน "คุณอรรถ" เล่าว่า เขาตัดสินใจเปิดร้าน S&P Food & Bakery เพราะเล็งเห็นถึงเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนในปัจจุบันใช้ชีวิตเร่งรีบ ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และมีทางเลือกในการทานอาหารมากขึ้น
"เราปรับขนาดร้านให้เล็กลง เน้นเมนูที่ทานง่าย รวดเร็ว และราคาเข้าถึงได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่" คุณอรรถกล่าว
นอกจากนี้ คุณอรรถยังให้ความสำคัญกับการบริการ เขาอบรมพนักงานให้บริการลูกค้าด้วยรอยยิ้ม และใส่ใจในรายละเอียด
"เราอยากให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจทุกครั้งที่มาทานอาหารที่ร้านเรา" คุณอรรถกล่าว
ร้าน S&P Food & Bakery เป็นตัวอย่างที่ดีของธุรกิจ Retail ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ร้านขนาดเล็ก เน้นความสะดวก รวดเร็ว ราคาเข้าถึงได้ บริการดี และมีสินค้าหลากหลาย ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56764 | Retail | ช่วยสรุปบทความเรื่อง "เศรษฐกิจการเงินที่ยืดหยุ่น: ธนาคารไทยพาณิชย์แบ่งปันความสำเร็จของโซลูชันทางการเงินดิจิทัลในยุคที่ท้าทาย" ให้หน่อยนะคะ | ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า จนช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 สามารถคว้า 5 รางวัลยอดเยี่ยมด้านลูกค้าบุคคลจากสถาบันชั้นนำด้านการเงินระดับโลก สะท้อนถึงความไม่หยุดยั้งในการนำขีดความสามารถทางเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมการเงินอันทันสมัย ผสานเข้ากับความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำที่มีความแข็งแกร่งในทุก Ecosystem เพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกเซ็กเมนต์ พร้อมยืดหยัดเคียงข้างให้ความช่วยเหลือลูกค้าในทุกสถานการณ์ผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่อประคับประคองพร้อมเป็นกำลังใจให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปด้วยกัน นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “บทบาทสำคัญของธนาคาร คือ การเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจการเงินของประเทศให้สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบอันหนักหน่วงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภาคส่วน ด้วยเหตุนี้เราจึงมุ่งมั่นนำขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมการเงินอันนำสมัย ผสานกับความร่วมมือในการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในทุก Ecosystem เพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชันทางการเงิน พร้อมต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าบุคคลทุกกลุ่ม ครอบคลุมทั้งพนักงานเงินเดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตลอดจนผู้ประกอบการรายย่อย (SSME) โดยมุ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินรวมถึงมาตรการด้านสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึงมากที่สุด ควบคู่ไปกับสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า (Customer Experience) และจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารสามารถคว้า 5 รางวัลยอดเยี่ยมด้านลูกค้าบุคคลจากสถาบันชั้นนำด้านการเงินระดับโลก สะท้อนถึงความไม่หยุดยั้งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่โดดเด่นในทุกมิติ พร้อมตอบโจทย์ในทุกสถานการณ์” โดย 5 รางวัล ยอดเยี่ยมชั้นนำด้านลูกค้าบุคคลที่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับประกอบไปด้วย -รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านธุรกิจลูกค้าบุคคล (Domestic Retail Bank of the Year – Thailand) จากการนำเสนอ SCB “Stand by You” มาตรการเสริมช่วยเหลือลูกค้าบุคคลทุกกลุ่มและลูกค้าที่เป็นเจ้าของธุรกิจรายย่อย ยืนหยัดเคียงข้างลูกค้า ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 จัดขึ้นโดยนิตยสาร Asian Banking and Finance ซึ่งได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 -รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านธุรกิจลูกค้าบุคคล (Best Retail Bank in Thailand) จากการนำเสนอ SCB “Stand by You” จัดขึ้นโดยนิตยสาร Alpha Southeast Asia -รางวัลผลิตภัณฑ์ประกันภัยดิจิทัลยอดเยี่ยมสำหรับลูกค้า (Best Digital Insurance Product for CX) จากการนำเสนอประกันโควิด-19 ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน SCB EASY จัดขึ้นโดย The Digital Banker เว็บไซต์ด้านการเงินการธนาคารระดับโลก -รางวัล Outstanding Digital CX – Payments จากบริการ QR Cross-border Payment จัดขึ้นโดย The Digital Banker เว็บไซต์ด้านการเงินการธนาคารระดับโลก -รางวัลความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แห่งปี(Strategic Partnership of the Year – Thailand) จากผลิตภัณฑ์ SCB M ซึ่งเกิดขึ้นจากการผสานดิจิทัลแบงก์กิ้งและไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งเข้าด้วยกัน จัดขึ้นโดยนิตยสาร Asian Banking and Finance | ในปี 2564, ธนาคารไทยพาณิชย์ก้าวไปข้างหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ผ่านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่เน้นทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการเงินอันทันสมัย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564, ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากสถาบันชั้นนำด้านการเงินระดับโลก 5 รางวัลนี้ประกอบไปด้วย:
1. รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านธุรกิจลูกค้าบุคคล (Domestic Retail Bank of the Year – Thailand) จาก Asian Banking and Finance ซึ่งได้รับการยกย่องเนื่องจากมาตรการ "SCB Stand by You" ที่เน้นการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มและเจ้าของธุรกิจรายย่อย ในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19.
2. รางวัลธนาคารยอดเยี่ยมด้านธุรกิจลูกค้าบุคคล (Best Retail Bank in Thailand) จาก Alpha Southeast Asia โดยนำเสนอมาตรการ "SCB Stand by You".
3. รางวัลผลิตภัณฑ์ประกันภัยดิจิทัลยอดเยี่ยมสำหรับลูกค้า (Best Digital Insurance Product for CX) จาก The Digital Banker ผ่านการนำเสนอประกันโควิด-19 ทางแอปพลิเคชัน SCB EASY.
4. รางวัล Outstanding Digital CX – Payments จาก The Digital Banker สำหรับบริการ QR Cross-border Payment.
5. รางวัลความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แห่งปี (Strategic Partnership of the Year – Thailand) จาก Asian Banking and Finance ผ่านผลิตภัณฑ์ SCB M ที่เกิดจากการผสานรวมดิจิทัลแบงก์กิ้งและไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้ง.
นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต, รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ของธนาคารไทยพาณิชย์, ยืนยันว่าธนาคารมุ่งมั่นในการพัฒนาและสร้างโซลูชันทางการเงินที่โดดเด่นและตอบโจทย์ในทุกสถานการณ์ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งในทุก Ecosystem. การคว้ารางวัลยอดเยี่ยมด้านลูกค้าบุคคลจากสถาบันชั้นนำยังเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการทำงานนี้. | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56845 | Retail | BRC เป็นผู้กระจายสินค้าให้กับผู้บริโภคด้วยรูปแบบของธุรกิจที่หลากหลายโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่ออะไร | 1. สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในประเทศไทยและในภูมิภาค
2. สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายอยู่ในกระแสนิยม มีความคุ้มค่าคุ้มราคา และกลายเป็นจุดหมายประจำสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย
3. สร้างโอกาสในการนำเสนอผลกำไรและการเติบโตได้อย่างมั่นคง
4. ส่งมอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใครด้วยความคุ้มค่าและการคัดสรรสินค้าอย่างดี | ข้อที่ถูกต้องคือ 1. เพราะว่า เพราะ BRC เป็นผู้กระจายสินค้าให้กับผู้บริโภคด้วยรูปแบบของธุรกิจที่หลากหลายโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ ของผู้บริโภค ในประเทศไทยและในภูมิภาคเป็นการก้าวสู่เส้นทางการเติบโตครั้งใหม่บนรากฐานอันแข็งแกร่งของธุรกิจที่ครอบคลุมและพรั่งพร้อมด้วยสินค้าที่คุ้มค่าและหลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการ และความชื่นชอบเพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้บริโภคและสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคม
“บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น” หรือ “BRC” ภายหลังการปรับโครงสร้างบริษัทฯ จะมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับศักยภาพในทุก ๆ ด้าน ให้เป็นผู้นำของภาคธุรกิจการค้าปลีกและค้าส่ง ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใครด้วยความคุ้มค่าและการคัดสรรสินค้าอย่างดี ซึ่งเป็นจุดหมายในการสร้างความสุขแบบบิ๊ก ๆ ให้กับลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติในการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างครบวงจร และเป็นสถานที่ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของชุมชนให้ผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียงสามารถเข้ามาเลือกซื้อสินค้า และเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร เป็นจุดนัดพบและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจได้โดยไม่เสียเวลาเดินทาง ควบคู่ไปกับการมุ่งตอบแทนสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากข้อมูลของ Euromonitor ในระหว่างปี 2556 ถึงปี 2565 ในกลุ่มผู้ค้าปลีกสมัยใหม่สามอันดับแรกในประเทศไทย BRC คือผู้ประกอบธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต และมีสถิติการเติบโตสูงสุด ในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ เมื่อพิจารณาจากการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาด (ซึ่งคำนวณจากรายได้จากการขายปลีก)
นอกจากนี้ BRC ยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีระบบนิเวศทางธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และในประเทศอื่น ๆ ที่เติบโตสูงในภูมิภาค ผ่านเครือข่ายร้านค้าหลากหลายรูปแบบและแบรนด์ทั่วประเทศ ด้วยรูปแบบธุรกิจแบบรวมศูนย์ซึ่งผสมผสานระหว่างธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่และธุรกิจให้เช่าพื้นที่ (Town Center Business) ซึ่งเป็นจุดแข็งอันโดดเด่นที่ทำให้ BRC สามารถสร้างโอกาสในการนำเสนอผลกำไรและการเติบโตได้อย่างมั่นคง
BRC ยังมีรูปแบบช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและครบวงจร เข้าถึงและตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ มีการพัฒนาการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลักผ่านฐานข้อมูลลูกค้าสมาชิกโปรแกรมสิทธิพิเศษบิ๊กพอยต์ซึ่ง BRC ได้มุ่งเน้นและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า
นอกจากนี้ BRC ยังมุ่งเน้นการคัดเลือกสัดส่วนของกลุ่มผู้เช่าและกลุ่มสินค้าในพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) อย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย อยู่ในกระแสนิยม มีความคุ้มค่าคุ้มราคา และกลายเป็นจุดหมายประจำ (Go-to Destination) สำหรับลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มคนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56854 | Retail | สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จับมือสมาคมผู้ค้าปลีกเวียดนาม เพื่ออะไร | A. ส่งเสริมโอกาสทางการค้า และการลงทุน โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความเป็นเลิศทางด้านการพัฒนาธุรกิจและการค้า
B. ยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจและสินค้าระหว่างประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ให้เป็นไปตามเป้าหมายของทั้งสองสมาคม
C. สนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs ให้เข้มแข็งและเติบโต
D. สนับสนุนให้สมาชิกในภาคีเครือข่ายร่วมปณิธานในการทำธุรกิจที่มีการเติบโตแบบยั่งยืน
E. ส่งเสริมความร่วมมือ และเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามให้แน่นแฟ้น | คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก สมาคมผู้ค้าปลีกไทยตั้งเป้าผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีหัวใจสำคัญคือการช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ไทยให้ฟื้นตัว และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สมาคมฯ ได้เดินหน้าแผนงานตามกลยุทธ์ TRA NEXT ให้เกิดขึ้นและเห็นผลจริงโดยการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งนี้ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ก็คือ การยกระดับสมาคมฯ และเครือข่ายภาคค้าปลีกไทยสู่ระดับสากล (Expand TRA to the Global Stage) เพื่อเป็นการขยายฐานสมาชิกเพิ่มช่องทางการขายและสร้างรายได้ให้ SMEs ไทย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จึงนับเป็นก้าวสำคัญของสมาคมฯ ที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับ สมาคมผู้ค้าปลีกเวียดนาม (Association of Vietnam Retailers - AVR) เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจและสินค้าระหว่างประเทศไทย และประเทศเวียดนาม ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่มุ่งหวังไว้ของทั้งสองสมาคมในความร่วมมือที่จะสร้างความแข็งแกร่งทางการค้า และเสริมศักยภาพให้แก่ภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะ SMEs ให้มีช่องทางการขายและเพิ่มรายได้มากขึ้น
สอดรับกับการลงนามข้อตกลง แผนปฏิบัติการและบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding - MOU) 5 ฉบับ ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเวียดนามในช่วงการประชุม APEC 2022 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 ได้มีการจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สมาคมผู้ค้าปลีกไทย (Thai Retailers Association) และ สมาคมผู้ค้าปลีกในประเทศเวียดนาม (Association of Vietnam Retailers) เพื่อร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือทางธุรกิจในการสนับสนุน และอำนวยความสะดวกด้านการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56867 | Retail | เขียนแนวคิดเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง "พันธมิตรสร้างภาพลักษณ์ กับเซ็นทรัลพัฒนา และ Klook ผนึกกำลังฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวไทย" | null | หัวข้อเรื่อง "เซ็นทรัลพัฒนา จับมือ Klook ลงนามความร่วมมือฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว หนุนต่างชาติเที่ยวไทย" นั้นเกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัลพัฒนา (Central Pattana) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย และ Klook ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการจัดการทริปและกิจกรรมท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในการร่วมมือเพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาเยือนประเทศไทยมากขึ้น
แนวคิดหลักของหัวข้อนี้อาจจะเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีและพลังของแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสร้างการเชื่อมโยงระหว่างนักท่องเที่ยวต่างชาติกับกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย การร่วมมือระหว่างเซ็นทรัลพัฒนาและ Klook อาจจะมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เรียบง่ายและน่าสนใจให้แก่นักท่องเที่ยว โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถค้นหาและจองทริปหรือกิจกรรมท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัลพัฒนาและ Klook ยังสามารถช่วยสร้างการเชื่อมโยงระหว่างภาคร้านค้าและธุรกิจท้องถิ่นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นการสร้างโอกาสธุรกิจและรายได้ให้กับภาคธุรกิจในพื้นที่นั้นๆ
ด้วยความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างเซ็นทรัลพัฒนาและ Klook อาจเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังจากการประสบภัยพิบัติหรือสถานการณ์ที่ทำให้ภาคการท่องเที่ยวลดลง และส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นที่การให้บริการที่มีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนประเทศไทยในช่วงเวลาต่างๆ ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวและเป็นการสร้างฐานที่เสถียรสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระยะยาว | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56898 | Retail | ช่วยสรุปบทความ SCB เปิดตัวบัตรเดบิตใหม่ หวังดึงฐานลูกค้าวัยรุ่น ไม่ต้องพกเงินสดก็ใช้จ่ายสบาย | คุณอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เบื้องหลังการพัฒนาบัตรเดบิต “LET’S SCB Mastercard”
มาจากความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่
-ความสะดวกสบาย ลูกค้าต้องการบัตรเดบิตที่ใช้ได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลา
-ความปลอดภัย เพราะนอกจากไม่ต้องการพกเงินสดติดตัว ในช่วงภาวะโรคระบาดแบบนี้ ยังไม่ต้องการสัมผัสเงินสด
-ช่วยสร้างวินัยทางการเงิน ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ต้องการเป็นหนี้
เพราะฉะนั้น ด้วยจุดเด่นของบัตรเดบิต ถ้าไม่มีเงินในบัญชีก็ไม่สามารถใช้จ่ายได้ เป็นหนึ่งในตัวช่วยสำหรับคนที่ไม่อยากสร้างหนี้ ที่สำคัญระบบยังช่วยบันทึกข้อมูลการใช้จ่ายให้อีกด้วย
สิทธิประโยชน์ ลูกค้าต้องการสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้บัตร
จาก 4 โจทย์ดังกล่าวนี้เอง กลายเป็นที่มาของบัตรเดบิตน้องใหม่
ซึ่งมาพร้อมแนวคิด “เลือกช้อยส์ที่ใช่ไว้ใช้ชีวิต”
โดย “LET’S SCB Mastercard” ถือเป็นเดบิตใบแรกของเมืองไทยที่ผู้ใช้บัตร สามารถเลือกสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ได้ด้วยตนเองใน 3 หมวดหมู่
ไม่ว่าจะเป็น “กิน-ชอป-เพลย์” พร้อมส่วนลดสุดพิเศษสูงสุดกว่า 10,000 บาท/ปี จากพาร์ตเนอร์
ที่ไม่ได้มอบแค่ส่วนลด แต่ครอบคลุมไปถึงความคุ้มครอง จากประกันภัยไทยวิวัฒน์
ใน 4 กลุ่มความคุ้มครอง ได้แก่ ประกันรถยนต์, ประกันโควิด 19, ประกันเดินทาง และประกันโจรกรรม
ซึ่งผู้ถือบัตร สามารถเลือกเปิด-ปิดตามใจ ได้ฟรี 20 ชั่วโมง หรือจะเติมชั่วโมงเพิ่มก็ได้ ในราคาพิเศษ
สำหรับกลยุทธ์หลักที่ SCB จะใช้เพื่อพิชิตเป้าหมายที่วางไว้ว่า จะมียอดบัตรใหม่ 3 ล้านใบ
และมียอดธุรกรรมและยอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 30% ภายในปี 2564
คือ กลยุทธ์ Music Marketing หรือ การทำการตลาดโดยนำเพลงเข้ามาใช้
ซึ่งครั้งนี้ SCB เลือกไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต นักร้อง-นักแสดงขวัญใจวัยรุ่น
มาเป็นพรีเซนเตอร์และถ่ายทอดเอ็กซ์คลูซีฟซิงเกิ้ล “นาทีนี้ LET’S LOVE”
เพื่อเป็นสื่อกลางในการเล่าสิทธิประโยชน์ ของบัตรเดบิตให้เข้าถึงกลุ่ม “Young-Gen” มากขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไม SCB ถึงเดินเกมรุกบุกตลาดบัตรเดบิตเต็มตัว
คุณอรรัตน์ เฉลยว่า บัตรเดบิตถือเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินขั้นพื้นฐาน ที่ลูกค้าทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงได้
และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง Engagement ระหว่างลูกค้าและธนาคาร
ดังนั้น บัตรเดบิต จึงเป็นเหมือนกุญแจดอกสำคัญ ที่จะปลดล็อกให้ธนาคารสามารถต่อยอดและนำไปสู่บริการทางการเงินอื่น ๆ ในอนาคตนั่นเอง | คุณอรรัตน์ ชุติมิต, รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ของกลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์, กล่าวถึงบัตรเดบิต "LET’S SCB Mastercard" ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เน้นความสะดวกสบายทุกที่ทุกเวลา, ความปลอดภัย และการสนับสนุนวินัยทางการเงินโดยไม่ต้องสร้างหนี้
"LET’S SCB Mastercard" จัดสิทธิประโยชน์ตามพฤติกรรมของผู้ใช้บัตร มาพร้อมแนวคิด "เลือกช้อยส์ที่ใช่ไว้ใช้ชีวิต"
ผู้ใช้สามารถเลือกสิทธิประโยชน์ในหมวด "กิน-ชอป-เพลย์" พร้อมส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท/ปี จากพาร์ทเนอร์
มีความคุ้มครองจากประกันภัยไทยวิวัฒน์ใน 4 กลุ่มความคุ้มครอง
SCB ใช้กลยุทธ์ Music Marketing ด้วยการนำเพลง "นาทีนี้ LET’S LOVE" ของไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุตเป็นสื่อกลางในการเล่าสิทธิประโยชน์ของบัตรเดบิต "LET’S SCB Mastercard" ให้กับกลุ่ม "Young-Gen"
บัตรเดบิตคือผลิตภัณฑ์การเงินพื้นฐานที่เหมาะกับลูกค้าทุกวัย ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของ Engagement ระหว่างลูกค้าและธนาคาร มีบทบาทเหมือนกุญแจที่ปลดล็อกทางสู่บริการการเงินอื่น ๆ ในอนาคตของธนาคารได้ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56957 | Retail | กลยุทธ์ Equality Marketing ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่านโครงการ Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัทอย่างไร? | บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เดินหน้าตอกย้ำการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความสุขส่งท้ายปีกับแคมเปญประจำปี เปิดตัวโครงการ ‘Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Happiness Forward
โดยปีนี้ใช้กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ Equality Marketing เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน ลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคม ไปพร้อมกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค (Customer Engagement) ให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น โดยนำเสนอเรื่องราวผ่านคลิปวิดีโอสั้น ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความเก่งของเด็กไทยผู้มีความฝัน
และเซ็นทรัล รีเทล พร้อมเป็นตัวกลางที่จะช่วยสร้างฝันของเยาวชนไทยให้เป็นจริง โดยจับมือร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. เชิญชวนคนไทยร่วมส่งต่อความสุข และสมทบทุน มอบโอกาสให้กับเยาวชนไทย เพื่อสร้าง ‘คน’ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากความตั้งใจของเซ็นทรัล รีเทล ในการมุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม พร้อมไปกับการสร้างความเท่าเทียมและสนับสนุนความหลากหลายในสังคมตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน Green & Sustainable Retail ในด้าน Navigate Society Wellbeing สร้างสังคมให้น่าอยู่ จึงได้ริเริ่มกลยุทธ์การตลาดแนวใหม่ Equality Marketing เปิดตัวโครงการ ‘Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ของการส่งต่อความสุข (Happiness Forward)
โดยการมอบโอกาสให้เยาวชนไทยได้ทำตามความฝัน เพราะเรามีเด็กเก่งๆ อีกมากมายทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพและทักษะความสามารถสูง แต่ยังขาดโอกาสและการส่งเสริมให้ไปถึงการแข่งขันในเวทีระดับสากล ทาง CRC จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายและทำฝันของเด็กไทยให้เป็นจริง เราได้คัดเลือกเด็ก gifted 4 คน ที่มีพรสวรรค์แตกต่างกัน มาเป็นตัวแทนของเด็กไทยที่มีความสามารถผ่านเรื่องราวในคลิปวีดีโอสั้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนอีกมากมาย พร้อมทั้งจับมือร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561
และช่วยเหลือนักเรียนยากจนแต่ด้อยโอกาสไปแล้วกว่า 3 ล้านคน ใน 3 ปี ด้วยการเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันสมทบทุน มอบโอกาสให้กับเยาวชนไทยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม เพราะการศึกษาคือพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างอนาคตที่ดีให้กับเด็กไทยทุกคน | กลยุทธ์ Equality Marketing ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่านโครงการ Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัทในแง่มุมต่างๆ ดังนี้:
1. เสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร:
โครงการ Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเซ็นทรัล รีเทล ในการส่งเสริมความเท่าเทียมและลดช่องว่างทางสังคม สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (Green & Sustainable Retail) ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่เป็นบวก น่าเชื่อถือ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคม
2. เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า:
กลยุทธ์ Equality Marketing มุ่งเน้นการสร้าง Engagement กับลูกค้าผ่านเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจจากเด็กเก่งผู้ด้อยโอกาส กระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับกิจกรรมของบริษัท เช่น การบริจาคเงิน หรือการแชร์เรื่องราวบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
3. ขยายฐานลูกค้า:
โครงการ Gift to Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด ดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีความสนใจในประเด็นทางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม
4. เสริมสร้างความภักดีของลูกค้า:
การที่เซ็นทรัล รีเทล แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า กระตุ้นให้ลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์
5. สร้างโอกาสทางธุรกิจ:
กลยุทธ์ Equality Marketing อาจนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคม
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Equality Marketing ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
ความจริงใจ: โครงการ CSR จะต้องมีความจริงใจ มุ่งหวังช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างภาพลักษณ์
ความยั่งยืน: โครงการ CSR จะต้องมีความยั่งยืน สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
การมีส่วนร่วม: โครงการ CSR จะต้องมีกลไกให้ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมได้
การสื่อสาร: โครงการ CSR จะต้องมีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56984 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การปรับตัวและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคได้ | null | แสงสว่างปลายอุโมงค์
ณ ใจกลางเมืองใหญ่ แสงไฟสว่างไสวจากตึกสูงระฟ้าสะท้อนกับผืนถนน สะท้อนให้เห็นถึงความคึกคักของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาจับจ่ายใช้สอย
หนึ่งในนั้นคือ 'ปาน' พนักงานขายสาวในร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม เธอทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในช่วงโควิด-19 ยอดขายตก ผู้คนต่างรัดเข็มขัด ร้านค้าหลายร้านต้องปิดตัวลง แต่ปานก็อดทน ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ด้วยความหวังและกำลังใจจากครอบครัว
วันนี้ ห้างสรรพสินค้ากลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงเพลงบรรเลง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ดังก้องไปทั่ว ผู้คนต่างจับจ่ายใช้สอยอย่างมีความสุข ใบหน้าของปานเปื้อนยิ้ม เธอรู้สึกดีใจที่ได้เห็นลูกค้ากลับมาช้อปปิ้งอีกครั้ง
ปานจำได้ว่าช่วงโควิด-19 นั้นยากลำบากแค่ไหน ยอดขายตกฮวบ ร้านค้าต้องปิดตัวลงหลายร้าน เธอเองก็เกือบถูกเลิกจ้าง แต่ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท ปานพยายามหาทางเพิ่มยอดขาย หาวิธีโปรโมทร้านค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ผลลัพธ์คือ ยอดขายเริ่มกลับมาดีขึ้น ลูกค้าเริ่มกลับมาช้อปปิ้งที่ร้านอีกครั้ง
ปานรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเซ็นทรัลเวิลด์ ห้างสรรพสินค้าที่ยืนหยัดผ่านวิกฤตมาได้ เธอรู้สึกขอบคุณบริษัทที่ให้โอกาสเธอได้ทำงานต่อ และขอบคุณลูกค้าที่ยังคงให้ความไว้วางใจ
แสงไฟสว่างไสวจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เปรียบเสมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ เป็นสัญลักษณ์ของความหวังและกำลังใจ เป็นแรงผลักดันให้ผู้คนเดินหน้าต่อไป | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57007 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมธุรกิจค้าปลีก แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง C-Verse ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถช้อปปิงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และสนุกสนาน โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างสรรพสินค้า | null | C-Verse โลกเสมือนจริง พลิกโฉมการช้อปปิง
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ท่ามกลางแสงสีเสียงที่คึกคัก หญิงสาววัย 20 ปลาย ๆ นามว่า "มายด์" กำลังนั่งจิบกาแฟในร้านกาแฟใจกลางห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่ สะท้อนให้เห็นภาพผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ มายด์เหม่อมองไปรอบ ๆ รู้สึกเบื่อหน่ายกับการช้อปปิงแบบเดิม ๆ ที่ต้องเดินวนไปวนมาตามชั้นต่าง ๆ ของห้างสรรพสินค้า
ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น แจ้งเตือนให้เธออัปเดตแอปพลิเคชัน "C-Verse" แอปพลิเคชันช้อปปิงสุดล้ำจากเซ็นทรัล รีเทล มายด์รีบกดอัปเดตแอปทันที ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเปิดแอปพลิเคชัน C-Verse ขึ้น โลกเสมือนจริงที่เต็มไปด้วยสีสันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามายด์ เธอสร้างตัวละครอวตารของตัวเอง แต่งตัวด้วยชุดสุดเก๋ และเริ่มต้นการผจญภัยในโลกเสมือนจริงแห่งนี้
มายด์เดินเล่นในห้างสรรพสินค้าเสมือนจริง ชมสินค้าต่าง ๆ มากมาย โดยไม่ต้องเดินไปไหน เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัสบนหน้าจอ เธอก็สามารถหยิบสินค้าขึ้นมาดูรายละเอียด หมุนดูได้ 360 องศา เปรียบเทียบสินค้ากับรุ่นอื่น ๆ
"นี่มันสุดยอดมาก!" มายด์อุทานด้วยความตื่นเต้น
เธอเดินต่อไปยังโซนเครื่องสำอาง แวะทักทาย "พะพราว" อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริงที่ยืนอยู่หน้าร้าน พะพราวแนะนำสินค้าใหม่ล่าสุด พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแต่งหน้าอย่างละเอียด
มายด์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในโลกแห่งอนาคต โลกที่การช้อปปิงกลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานและสะดวกสบาย
เธอตัดสินใจซื้อรองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องไซส์หรือสี เพราะ C-Verse มีระบบวัดขนาดเท้าและลองสวมรองเท้าเสมือนจริง ช่วยให้เธอตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจ
หลังจากช้อปปิงเสร็จ มายด์ก็กดสั่งซื้อสินค้า จ่ายเงิน และรอรับสินค้าที่บ้านได้ภายใน 2 วัน
C-Verse เปลี่ยนมุมมองของมายด์เกี่ยวกับการช้อปปิงไปอย่างสิ้นเชิง เธอไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป
C-Verse เปรียบเสมือนโลกเสมือนจริงที่มอบประสบการณ์การช้อปปิงที่เหนือระดับ สะดวก รวดเร็ว และสนุกสนาน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57061 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด แม้จะประกอบธุรกิจมานานก็ตาม การเปิดใจรับความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ จะช่วยพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาเจริญรุ่งเรือง | null | โอกาสทอง ของ 'ร้านขายของชำ'
สายลมร้อนยามบ่ายพัดโชยมาปะทะใบหน้าของ 'ลุงสมชาย' ชายวัยกลางคน เจ้าของร้านขายของชำเก่าแก่ 'ร้านลุงสมชาย' ที่ตั้งอยู่ริมถนนในชุมชนแออัด ร้านของเขามีสินค้าหลากหลายชนิด เรียงรายบนชั้นวางของเก่าๆ เต็มไปด้วยฝุ่น สะท้อนภาพความซบเซาของธุรกิจ
ลุงสมชายถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอดขายของร้านในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เปิดใหม่ไม่ไกลจากชุมชน ดึงดูดลูกค้าด้วยสินค้าราคาถูก แอร์เย็นฉ่ำ และบรรยากาศที่ทันสมัย ร้านขายของชำแบบดั้งเดิมอย่างร้านลุงสมชาย เริ่มถูกทอดทิ้ง
วันหนึ่ง ลุงสมชายได้รับจดหมายเชิญจาก 'เซ็นทรัลพัฒนา' เชิญชวนให้เข้าร่วมหลักสูตร 'LEAD' หลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ลุงสมชายลังเลอยู่ครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจสมัครเข้าร่วม ด้วยความหวังริบหรี่ว่า อาจจะได้แนวทางใหม่ ๆ ในการพลิกฟื้นธุรกิจ
หลักสูตร LEAD เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับลุงสมชาย เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการตลาด เทคนิคการจัดการร้านค้า และวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมธุรกิจ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากเซ็นทรัลพัฒนา และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แบ่งปันประสบการณ์และข้อคิดมากมาย
ลุงสมชายนำความรู้ที่ได้จากหลักสูตร LEAD มาปรับใช้กับร้านของเขา เขาเริ่มปรับปรุงหน้าร้านให้ดูสะอาด สว่างไสว จัดเรียงสินค้าใหม่ให้ดูเป็นระเบียบ เพิ่มสินค้าใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า นำเสนอโปรโมชั่นดึงดูดใจ และเปิดรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น
ผลลัพธ์ที่ได้น่าแปลกใจ ยอดขายของร้านลุงสมชายเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย ลูกค้าเริ่มกลับมาใช้บริการร้านมากขึ้น รอยยิ้มเริ่มกลับมาปรากฏบนใบหน้าของลุงสมชายอีกครั้ง | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1005 | Finance | ภาษี e-Service เป็นภาษีในหมวดของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งจัดเก็บจากการซื้อสินค้าและบริการ ใช่หรือไม่ | null | ใช่ ภาษี e-Service คืออะไร?
ภาษี e-Service เป็นภาษีในหมวดของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งจัดเก็บจากการซื้อสินค้าและบริการ แตกต่างจากภาษีเงินได้ที่เรายื่นและเสียภาษีกันในแต่ละปีที่จัดเก็บจากฐานรายได้
โดยทั่วไป ผู้ประกอบการที่กฎหมายกำหนดจะมีหน้าที่จัดเก็บและนำส่งภาษีที่ว่านี้ให้กับรัฐ โดยผู้ประกอบการสามารถเลือกผลักให้ผู้บริโภคเป็นผู้จ่าย VAT แทนได้
ซึ่งผู้บริโภคอาจสังเกตได้จากใบกำกับภาษีอย่างย่อที่จะได้รับเวลาที่ซื้อของว่าจะมีการแสดงราคาแยกกันระหว่างส่วนที่เป็นค่าสินค้าและบริการกับส่วนที่เป็นค่าภาษี VAT
แสดงให้เห็นว่าทุกครั้งที่เราซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการจด VAT ก็เท่ากับได้เป็นส่วนหนึ่งในการจ่ายภาษีให้กับรัฐเรียบร้อยแล้ว
ภาษี e-Service จึงเป็นภาษีที่กำหนดขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่างในการเก็บภาษี VAT จากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลจากต่างประเทศ
ภาษี e-Service เก็บจากใคร?
ในประเทศไทยมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลจากต่างประเทศมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, LINE, Google, Netflix, TikTok, Shopee, Zoom, Agoda ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้มีการดูดเงินค่าสมาชิกหรือค่าบริการจากคนไทยออกนอกประเทศไป โดยไม่ต้องจ่ายภาษีให้กับประเทศไทยเลย
การเก็บภาษี VAT จากแพลตฟอร์มต่าง ๆ เหล่านี้ หรือ ภาษี e-Service จึงเริ่มต้นเก็บเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยเมื่อผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลจากต่างประเทศเลือกที่จะให้บริการแก่ผู้บริโภคในไทย ก็จะต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจด VAT ในไทยด้วย
ภาษี e-Service กับการสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการจากต่างประเทศที่จดทะเบียน VAT ในไทยแล้ว 127 ราย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 ถึงเดือนมกราคม 2565 ภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนนี้ที่จัดเก็บได้คิดเป็นเงิน 3,120.03 ล้านบาท คาดว่าจะจัดเก็บภาษีจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ถึง 8,000 – 10,000 ล้านบาทภายใน 1 ปี
ภาษี e-Service จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย รวมถึงเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการชาวไทยที่ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลลักษณะเดียวกัน ไม่ให้เสียเปรียบผู้ให้บริการจากต่างประเทศ
การผลักภาระภาษีให้กับผู้บริโภค
ถึงแม้ว่าผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศจะมีหน้าที่ต้องจัดเก็บและนำส่งภาษี VAT ให้กับรัฐไทย
แต่เมื่อเป็นภาษี VAT ดังนั้นผู้ประกอบการจึงอาจผลักให้เป็นภาระของผู้บริโภคได้ผ่านการเพิ่มต้นทุนค่าภาษี VAT เข้าไปในค่าบริการ
แปลว่าแท้จริงแล้วก็อาจเป็นภาระของคนไทยที่ต้องเป็นคนจ่ายภาษีเหล่านี้เองอยู่ดี
เช่น การที่ผู้ซื้อบริการยิง AD จาก Facebook ซึ่งเป็นผู้ซื้อบริการทั่วไป ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจด VAT ก็จะได้เห็นว่า Facebook ได้เพิ่มค่าบริการยิง AD ผ่านการบวกเป็นค่า VAT 7%
ดังนั้น ถึงแม้จะดูเหมือนว่าภาครัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ไหลไปสู่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศ
หากคนไทยต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศไปเรื่อย ๆ ก็เท่ากับการขาดดุลดิจิทัลให้ต่างชาติไปเรื่อย ๆ เช่นกัน
ดังนั้น หากผู้ประกอบการชาวไทยได้รับการสนับสนุนที่มากพอจนสามารถผลิตแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ดึงดูดผู้ใช้บริการจากทั่วโลกได้บ้าง ก็คงเป็นช่องทางรายได้สู่ประเทศที่ทั้งมหาศาลและยั่งยืนกว่าเพียงแค่การจัดเก็บภาษี VAT จากแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติเท่านั้น | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1017 | Finance | Dior เป็นแบรนด์แฟชั่นฝรั่งเศส ก่อตั้งในปี 1946 ไม่ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อะไร | 1. รองเท้า
2. เสื้อผ้า
3. กระเป๋า
4. เครื่องสำอาง | คำตอบที่ถูกต้องคือ 1. เพราะว่า Dior คือแบรนด์แฟชั่นสัญชาติฝรั่งเศสที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จำหน่ายผลิตภัณฑ์กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์และนํ้าหอมเป็นหลัก ก่อตั้งในปี 1946 โดย Christian Dior
ปัจจุบัน Dior เป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้อาณาจักรของ LVMH และมีร้านค้าตั้งอยู่ 5,556 แห่งทั่วโลก ในปี 2021 Dior คือแบรนด์แฟชั่นสัญชาติฝรั่งเศสที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จำหน่ายผลิตภัณฑ์กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์และนํ้าหอมเป็นหลัก
ก่อตั้งในปี 1946 โดย Christian Dior ปัจจุบัน Dior เป็น แบรนด์ที่อยู่ภายใต้อาณาจักรของ LVMH และมีร้านค้าตั้งอยู่ 5,556 แห่งทั่วโลก ในปี 2021 จุดเด่นของ Dior คือเป็นแบรนด์ที่มีความคลาสสิก สินค้าหรูหรา มีคุณภาพแต่ก็ทำให้รู้สึกว่ายังเข้าถึงได้ง่าย
ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีแบรนด์สินค้าหรูหราเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แล้วทำไม Dior ถึงเป็นที่นิยมและเป็นที่รักของทุกคนอยู่เสมอ? จุดเด่นของ Dior คือเป็นแบรนด์ที่มีความคลาสสิก สินค้าหรูหรา มีคุณภาพแต่ก็ทำให้รู้สึกว่ายังเข้าถึงได้ง่าย ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีแบรนด์สินค้าหรูหราเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก | 5.ความรู้ทางการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1033 | Finance | สิ่งที่ใช้ในการคิดราคา หรือ NAV ของกองทุน คือสิ่งใด | a. ราคาปิดของตลาดหุ้นในแต่ละวัน
b. ความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุน
c. ผลตอบแทนระยะสั้นประมาณ 3-6 เดือน
d. การกระจายการลงทุนไปในหุ้นประเทศอื่นๆ | คำตอบ a. ราคาปิดของตลาดหุ้นในแต่ละวัน
ดังนั้น การดูภาพรวมตลาดจะเหมาะกับนักลงทุนที่ซื้อกองทุนดัชนี หากตอนเช้าตลาดเป็นขาลง แต่ตอนตลาดปิดพลิกกลับมาเป็นขาขึ้น จะทำให้ราคา NAV ของวันนี้จะสูงขึ้นกว่าเมื่อวาน
| 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1038 | Finance | “บิตคอยน์” (Bitcoin) เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 ใช่หรือไม่ | null | ใช่ Bitcoin (BTC) เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 โดยผู้สร้างที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) ซึ่งตัวตนที่แท้จริงของเขายังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1040 | Finance | Metaverse กับการใช้งานจริงเป็นอย่างไรในปี 2021 | จะเป็นอย่างไรหากเราสามารถท่องเที่ยวในอีกซีกโลกโดยไม่ต้องซื้อแม้แต่ตั๋วเครื่องบิน จัดงานแต่งงานที่รองรับแขกได้นับร้อยคนโดยไม่ต้องจองโรงแรม หรือพรีเซ้นต์งานในห้องประชุมแบบที่ไม่ต้องฝ่ารถติดมาที่ทำงาน… คลิปนี้จะชวนมารู้จักโลก Metaverse ที่สามารถมอบสัมผัสแห่งประสบการณ์เหล่านี้ให้กับเราได้
Metaverse คืออะไร?
ด้วยความที่ Metaverse ยังเป็นเพียงคอนเซ็ปต์ และเรายังไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่า Metaverse จะกลายเป็นอะไรได้บ้าง แต่หากจะให้นิยาม Metaverse สั้น ๆ ก็อาจจะเรียกได้ว่า Metaverse คือจักรวาลดิจิทัลที่มอบประสบการณ์แก่ผู้คนบนโลกออนไลน์ได้อย่างไม่จำกัดจำนวนคนและไม่จำกัดช่วงเวลา
ถึงแม้ Metaverse จะเป็นคำที่ถูกพูดถึงไว้นานแล้ว แต่ก็เพิ่งจะกลายเป็นกระแสที่คนทั้งโลกจับตามองเมื่อปลายปี 2021 ที่ผ่านมา หลัง Mark Zuckerberg ลุกขึ้นมาประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Meta สะท้อนวิสัยทัศน์ของบริษัทที่พร้อมจะเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์ม Metaverse อย่างเต็มตัว
เราอาจเข้าถึง Metaverse ได้ด้วยเทคโนโลยี AR หรือ VR
AR (Augmented Reality) คือเทคโนโลยีที่ผสานโลกความเป็นจริงเข้ากับโลกดิจิทัล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือเกม Pokemon GO ที่เคยฮิตสุด ๆ ก่อนหน้านี้ ก็เป็นการนำเสนอเกมตามล่าโปเกมอนในโลกความเป็นจริงผ่านหน้าจอมือถือ
VR (Virtual Reality) คือเทคโนโลยีแสดงภาพโลกดิจิทัลแบบ 360 องศาผ่านอุปกรณ์เสริม เช่น แว่นตาสำหรับเล่มเกม VR
Metaverse กับการใช้งานจริง
สังเกตได้ว่าโลกของเกมอาจเป็นสะพานเชื่อมโยงโลกจริงสู่ Metaverse ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากแพลตฟอร์มของเกมถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในแง่การให้บริการแบบถ่ายทอดสดที่เชื่อมโยงเกมเมอร์จำนวนมากสู่โลกแห่งประสบการณ์เดียวกัน อีกทั้งยังต่อยอดสู่การสร้างสรรค์กิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ง่าย
คอนเซ็ปต์ของเกมสู่ Metaverse จึงจะเปลี่ยนไปจากการเป็นเพียง Games-as-a-service สู่การเป็น Games-as-a-platform
กิจกรรมที่เกิดขึ้นได้ใน Metaverse จึงไม่จำกัดเฉพาะเกม เพียงแต่อาจมีจุดร่วมกันจากเกม เช่น Social media, การจัด Event ต่าง ๆ เช่น คอนเสิร์ต ห้องประชุมสัมมนา หรือทอล์คโชว์
ผู้เข้าร่วม Metaverse ก็จะไม่จำกัดเพียงเกมเมอร์เท่านั้น แต่จะรวมไปถึงผู้ต้องการเข้าถึงสื่อบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ และโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เช่นกัน
ถึงแม้ Mark Zuckerberg จะคาดการณ์ว่า Metaverse จะเข้าถึงผู้คนได้อย่างแท้จริงในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แต่หากเราสังเกตความตื่นตัวของธุรกิจต่าง ๆ ที่มองเห็นโอกาสจาก Metaverse แล้ว ก็อาจจุดประกายการแข่งขันจนทำให้ Metaverse เกิดขึ้นได้เร็วที่คาดการณ์ไว้ก็ได้ | การใช้งาน Metaverse ในปี 2021
การเล่นเกมเป็นสะพานเชื่อมสู่ Metaverse
โลกของเกมเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ Metaverse สามารถเข้ามามีบทบาทได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากแพลตฟอร์มเกมมีการพัฒนาเพื่อการให้บริการแบบถ่ายทอดสดและมีผู้เล่นจำนวนมากเข้าร่วมเกมออนไลน์ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น Fortnite หรือ Roblox ที่เปิดให้ผู้เล่นสร้างเนื้อหาของตัวเองและเข้าร่วมกิจกรรมเสมือนจริงหลากหลายรูปแบบ
การสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่เหนือกว่าเดิม
Metaverse ไม่ได้จำกัดแค่การเล่นเกมเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมเสมือนจริงต่าง ๆ เช่น การจัดงานคอนเสิร์ต การประชุมสัมมนา การจัดอีเวนต์ หรือการทอล์คโชว์ ตัวอย่างเช่น ในปี 2021 มีการจัดคอนเสิร์ตในโลกเสมือนจริงบนแพลตฟอร์มเกม Fortnite ที่มีผู้ชมหลายล้านคนเข้าร่วม
ความหลากหลายของการใช้งาน
นอกจากการใช้เพื่อความบันเทิงแล้ว Metaverse ยังสามารถรองรับการใช้งานทางธุรกิจและการศึกษาได้อีกด้วย เช่น การประชุมในห้องประชุมเสมือนจริง การจัดอบรมสัมมนาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือการสร้างสถานที่เสมือนจริงเพื่อการเรียนรู้และทำงานร่วมกัน
การพัฒนาเทคโนโลยี AR และ VR
เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Metaverse ได้อย่างเต็มที่ โดย AR ช่วยผสานโลกจริงเข้ากับโลกดิจิทัล ขณะที่ VR ช่วยสร้างประสบการณ์โลกดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ ตัวอย่างการใช้งานคือเกมหรือแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการสร้างประสบการณ์ที่สมจริง | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1043 | Finance | หนังสือ 20 เล่มที่คริปโตฯ ที่มือใหม่ต้องอ่าน ถ้าไม่อยากเศร้าใจทีหลัง มีอะไรบ้าง | แนะนำ 20 หนังสือคริปโตฯ ที่มือใหม่ต้องอ่านถ้าไม่อยากเศร้าใจทีหลัง
1.Bitcoin Billionaires: A True Story of Genius, Betrayal, and Redemption โดย Ben Mezrich
ฉบับแปลไทย: หนังสือเรื่องราวของสองพี่น้อง Tyler และ Cameron กับการเดิมพันครั้งใหญ่ในคริปโตเคอร์เรนซี มันคือการปฏิวัติครั้งใหญ่หรือไม่ก็เป็นของโง่ ๆ เท่านั้น ดังนั้นสองพี่น้องจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากพนันไปกับมัน
2.Cryptocurrency Investing for Dummies โดย Kiana Danial
ฉบับแปลไทย: หนังสือเอาใจสายเทรด ตัวหนังสือจะบอกถึงวิธีการทำเงินจากการเทรดและลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลสุดฮอต 200 อันดับแรก พาคุณไปทำความเข้าใจว่าตลาดคริปโตฯ ทำงานอย่างไร และเราจะหาโอกาสจากมันยังไง?
3.Digital Asset Investment 101 จาก Bitcoin สู่การลงทุนยุคใหม่ในสินทรัพย์ดิจิทัล โดย พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว,อัครเดช เดี่ยวพานิช (สนพ. สต็อคทูมอร์โรว์) หนังสือที่ถูกรีวิวโดยคุณ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ และ คุณ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ Digital Asset Investment 101 จาก Bitcoin สู่การลงทุนยุคใหม่ในสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นหนังสือที่จะพาทุกคนไปสำรวจการพัฒนาของเหรียญดิจิทัลหลากชนิด เพื่อให้คุณได้เข้าใจในสินทรัพย์มากขึ้น
4.BITCOIN 101 โดย สิราวรรณ สกุลมาลัยทอง, จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (สนพ. จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา) หนังสือที่จะพาทุกคนไปรู้จักบิตคอยน์ผ่านประสบการณ์ของผู้เขียน พาทุกคนไปเข้าใจบิตคอยน์แบบง่าย ๆ ด้วยภาษาที่อ่านง่ายและภาพประกอบที่น่าสนใจ
5.The Internet of Money โดย Andreas M. Antonopoulos
ฉบับแปลไทย: เป็นหนังสือที่จะพาคุณไปสำรวจปัจจัยทางเทคนิคของ Bitcoin ว่ามันมีศักยภาพแค่ไหนในการ Disrupt เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมดั้งเดิม และสร้างอิสระทางการเงินที่แท้จริงต่อคนนับพันล้าน
6.The Internet of Money Volume Two โดย Andreas M. Antonopoulos
ฉบับแปลไทย: ภาคต่อของหนังสือ The Internet of Money โดยในเล่มนี้จะเป็นการอัปเดตและสรุปการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ของเทคโนโลยีบิตคอยน์
7. The Bitcoin Standard: The Decentralized Alternative to Central Banking โดย Saifedean Ammous
ฉบับแปลไทย: หนังสือสุดฮอตเรียบเรียงโดยนักเศรษฐศาสตร์อย่างคุณ Saifedean Ammous ที่จะพาคุณไปเจาะประวัติศาสตร์ของเงินตรา และเชื่อมโยงถึงความเป็นไปได้รวมไปถึงความเจ๋งของ Bitcoin ผ่านศักยภาพในการดำเนินธุรกรรม การดำเนินนโยบายการเงินที่คาดการณ์ได้ การเป็น Store of Value และการกลายเป็นยอดสกุลเงินในท้ายที่สุด
8. Blockchain Revolution: How the Technology Behind Bitcoin Is Changing Money, Business, and the World โดย Don Tapscott และ Alex Tapscott
ฉบับแปลไทย: หนังสือที่จะตอบคำถามว่าทำไมบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีจะเข้ามาเปลี่ยนโลก ผ่านศักยภาพทางพื้นฐานทั้งในแง่ของความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในระดับสูง รวมถึงยกตัวอย่างอุตสาหกรรมที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นด้วย (นักลงทุนไม่ควรพลาด)
9.Digital Gold: Bitcoin and the Inside Story of the Misfits and Millionaires Trying to Reinvent Money โดย Nathaniel Popper
ฉบับแปลไทย: หนังสือที่จะพาคุณสำรวจประวัติศาสตร์การพัฒนาของ Bitcoin สกุลเงินที่สร้างความเคลื่อนไหวทางสังคมไปทั่วโลกและพาคุณไปสำรวจว่า ทำไม Bitcoin จะเข้ามาคุกคามระบบสถาบันดั้งเดิมของสังคม
10.Mastering Bitcoin: Unlocking Digital Cryptocurrencies โดย Andreas M. Antonopoulos
ฉบับแปลไทย: คู่หูคู่มือที่จะพาคุณสำรวจโลกอันซับซ้อนของ Bitcoin ให้ความรู้พื้นฐานก่อนที่คุณจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในสตาร์ทอัป สงสัยในเทคโนโลยีนี้หรือต้องการสร้างแอปพลิเคชั่นเจ๋ง ๆ ผ่านระบบการเงินนี้
11.Mastering Ethereum: Building Smart Contracts and DApps โดย Andreas M. Antonopoulos และ Gavin Wood
ฉบับแปลไทย: หนังสือที่จะพาคุณไปสำรวจว่าทำไม องค์กรระดับโลกอย่าง Microsoft IBM และ NASDAQ ถึงกระโดดเข้ามาทดลองในแพลตฟอร์ม Ethereum ที่มีคุณสมบัติอันโดดเด่น เช่น การรันระบบ dApps และ Smart Contract ซึ่งมีศักยภาพในการทำงานร่วมกันกับระบบการใช้จ่ายในโลกปัจจุบัน
12.The Infinite Machine: How an Army of Crypto-hackers Is Building the Next Internet with Ethereum โดย Camila Russo
ฉบับแปลไทย: หนังสือเจาะประวัติ Ethereum สินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ตั้งแต่เริ่มต้น จนจบด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาให้แพลตฟอร์มดังกล่าว “เติบโต” และ “แมส” เข้าถึงด้วยทั่วกันในท้ายที่สุด
13.Cryptoassets: The Innovative Investor’s Guide to Bitcoin and Beyond โดย Chris Burnisk และ Jack Tatar ฉบับแปลไทย: Cryptoassets (สนพ. โพสต์บุ๊กส์) หนังสือที่จะพาคุณไปสำรวจวิธีการลงทุนในสินทรัพย์คริปโตฯ ต่าง ๆ ตั้งแต่หลักคิด (Framework) ในการลงทุน การจัดการความเสี่ยงของพอร์ตให้คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่จะได้รับและอื่น ๆ
14. The Basics of Bitcoins and Blockchains: An Introduction to Cryptocurrencies and the Technology that Powers Them โดย Antony Lewis
ฉบับแปลไทย: หนังสือสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจในบิตคอยน์ บล็อกเชนและคริปโตฯ อย่างครอบคลุมแบบ 3 in 1 เพื่อให้คุณก้าวเข้าสู่โลกของคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมั่นใจ
15.Blockchain Bubble or Revolution: The Present and Future of Blockchain and Cryptocurrencies โดย Neel Mehta Aditya Agashe และ Parth Detroja
ฉบับแปลไทย: หนังสือโดยผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์จาก Google Microsoft และ Facebook ที่จะพาคุณไปสำรวจทั้งข้อดีและข้อเสียของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี และให้คุณตัดสินใจด้วยตัวคุณเองว่าสินทรัพย์นี้คือ ฟองสบู่ หรือ การปฏิวัติ กันแน่?
16.The Age of Cryptocurrency: How Bitcoin and Digital Money Are Challenging the Global Economic Order โดย Paul Vigna และ Michael Casey
ฉบับแปลไทย: คุณสามารถใช้ Bitcoin ในการซื้อสินค้าได้ในบางประเทศ แต่แท้จริงแล้วจะมีซักกี่คนกันที่เข้าใจมันจริง ๆ? หนังสือเล่มนี้จะพาทุกคนไปสำรวจว่าคริปโตฯ จะเปลี่ยนแปลงโลกการเงินได้อย่างไร รวมถึงตอบคำถามที่ว่าความผันผวนที่บิตคอยน์มีจะนำมาใช้เป็นสกุลเงินได้หรือไม่
17.An Altcoin Trader’s Handbook โดย Nik Patel
ฉบับแปลไทย: เมื่อตลาดการเงินในปัจจุบันกำลังเผชิญกับค่าธรรมเนียมซื้อขายที่แพงและผลตอบแทนที่ต่ำ หนังสือเล่มนี้จะมาเล่าถึงวิธีการเก็งไรกำไรในเหรียญทางเลือก ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด โดยหนังสือไม่ได้มีการสื่อสารในเชิงรวยทางลัดหรือรวยไวแต่อย่างใด
18.คู่มือทำกำไรใน ICO & Cryptocurrency โดย 2 The Mars (สนพ. เกรท ไอเดีย)
หนังสือรวบรวมกลยุทธ์การเทรดและข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ พร้อมด้วยวิธีประเมินมูลค่าและวิธีการทำกำไรจากเหรียญ ICO
19.การลงทุนใน Cryptocurrency ให้ได้เงินปลอดภัยไม่ถูกโกง โดย Get Smart (สนพ. เกรท ไอเดีย) เป็นที่รู้กันดีว่าสินทรัพย์อย่างคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่จะพาทุกคนไปสำรวจวิธีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย อีกทั้งยังสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ และวิธีการตรวจสอบมูลค่าอีกด้วย
20.Bitcoin & Blockchain 101 เงินดิจิทัลเปลี่ยนโลก โดย พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว, ณัฐชนน โพธิ์เงิน (สนพ. สต็อคทูมอร์โรว)
อีกหนึ่งหนังสือสัญชาติไทยที่จะเล่าประวัติความเป็นมาของบิตคอยน์และเรื่องพื้นฐานต่าง ๆ ใช้ภาษาที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย เป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจศึกษาบิตคอยน์และเทคโนโลยีบล็อกเชน
Mr. Serotonin Mr. Serotonin References | 20 หนังสือคริปโตฯ ที่มือใหม่ต้องอ่านถ้าไม่อยากเศร้าใจทีหลัง มีดังนี้
1. Bitcoin Billionaires: A True Story of Genius, Betrayal, and Redemption โดย Ben Mezrich
หนังสือเรื่องราวของสองพี่น้อง Tyler และ Cameron กับการเดิมพันครั้งใหญ่ในคริปโตเคอร์เรนซี มันคือการปฏิวัติครั้งใหญ่หรือไม่ก็เป็นของโง่ ๆ เท่านั้น ดังนั้น สองพี่น้องจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากพนันไปกับมัน
2. Cryptocurrency Investing for Dummies โดย Kiana Danial
หนังสือเอาใจสายเทรด ตัวหนังสือจะบอกถึงวิธีการทำเงินจากการเทรดและลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลสุดฮอต 200 อันดับแรก พาไปทำความเข้าใจว่าตลาดคริปโตฯ ทำงานอย่างไร และจะหาโอกาสจากมันยังไง?
3. Digital Asset Investment 101 จาก Bitcoin สู่การลงทุนยุคใหม่ในสินทรัพย์ดิจิทัล โดย พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว,อัครเดช เดี่ยวพานิช (สนพ. สต็อคทูมอร์โรว์)
หนังสือที่ถูกรีวิวโดยคุณ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ และ คุณ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ Digital Asset Investment 101 จาก Bitcoin สู่การลงทุนยุคใหม่ในสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นหนังสือที่จะพาทุกคนไปสำรวจการพัฒนาของเหรียญดิจิทัลหลากชนิด เพื่อให้ได้เข้าใจในสินทรัพย์มากขึ้น
4. BITCOIN 101 โดย สิราวรรณ สกุลมาลัยทอง, จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (สนพ. จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา)
หนังสือที่จะพาทุกคนไปรู้จักบิตคอยน์ผ่านประสบการณ์ของผู้เขียน และพาทุกคนไปเข้าใจบิตคอยน์แบบง่าย ๆ ด้วยภาษาที่อ่านง่ายและภาพประกอบที่น่าสนใจ
5. The Internet of Money โดย Andreas M. Antonopoulos
เป็นหนังสือที่จะพาไปสำรวจปัจจัยทางเทคนิคของ Bitcoin ว่ามันมีศักยภาพแค่ไหนในการ Disrupt เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมดั้งเดิม และสร้างอิสระทางการเงินที่แท้จริงต่อคนนับพันล้าน
6. The Internet of Money Volume Two โดย Andreas M. Antonopoulos
ภาคต่อของหนังสือ The Internet of Money โดยในเล่มนี้จะเป็นการอัปเดตและสรุปการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ของเทคโนโลยีบิตคอยน์
7. The Bitcoin Standard: The Decentralized Alternative to Central Banking โดย Saifedean Ammous
ฉบับแปลไทย: The Bitcoin Standard : ระบบการเงินทางเลือกใหม่ไร้ศูนย์กลาง (ซีเอ็ดยูเคชั่น)
เรียบเรียงโดยนักเศรษฐศาสตร์อย่างคุณ Saifedean Ammous ที่จะพาไปเจาะประวัติศาสตร์ของเงินตรา และเชื่อมโยงถึงความเป็นไปได้รวมไปถึงความเจ๋งของ Bitcoin ผ่านศักยภาพในการดำเนินธุรกรรม การดำเนินนโยบายการเงินที่คาดการณ์ได้ การเป็น Store of Value และการกลายเป็นยอดสกุลเงินในท้ายที่สุด
8. Blockchain Revolution: How the Technology Behind Bitcoin Is Changing Money, Business, and the World โดย Don Tapscott และ Alex Tapscott
หนังสือที่จะตอบคำถามว่าทำไมบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีจะเข้ามาเปลี่ยนโลก ผ่านศักยภาพทางพื้นฐานทั้งในแง่ของความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในระดับสูง รวมถึงยกตัวอย่างอุตสาหกรรมที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นด้วย (นักลงทุนไม่ควรพลาด)
9. Digital Gold: Bitcoin and the Inside Story of the Misfits and Millionaires Trying to Reinvent Money โดย Nathaniel Popper
หนังสือที่จะพาสำรวจประวัติศาสตร์การพัฒนาของ Bitcoin สกุลเงินที่สร้างความเคลื่อนไหวทางสังคมไปทั่วโลกและพาไปสำรวจว่า ทำไม Bitcoin จะเข้ามาคุกคามระบบสถาบันดั้งเดิมของสังคม
10. Mastering Bitcoin: Unlocking Digital Cryptocurrencies โดย Andreas M. Antonopoulos
คู่หูคู่มือที่จะพาสำรวจโลกอันซับซ้อนของ Bitcoin ให้ความรู้พื้นฐานก่อนที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในสตาร์ทอัป สงสัยในเทคโนโลยีนี้หรือต้องการสร้างแอปพลิเคชั่นเจ๋ง ๆ ผ่านระบบการเงินนี้
11. Mastering Ethereum: Building Smart Contracts and DApps โดย Andreas M. Antonopoulos และ Gavin Wood
หนังสือที่จะพาไปสำรวจว่าทำไม องค์กรระดับโลกอย่าง Microsoft IBM และ NASDAQ ถึงกระโดดเข้ามาทดลองในแพลตฟอร์ม Ethereum ที่มีคุณสมบัติอันโดดเด่น เช่น การรันระบบ dApps และ Smart Contract ซึ่งมีศักยภาพในการทำงานร่วมกันกับระบบการใช้จ่ายในโลกปัจจุบัน
12. The Infinite Machine: How an Army of Crypto-hackers Is Building the Next Internet with Ethereum โดย Camila Russo
หนังสือเจาะประวัติ Ethereum สินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ตั้งแต่เริ่มต้น จนจบด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาให้แพลตฟอร์มดังกล่าว “เติบโต” และ “แมส” เข้าถึงด้วยทั่วกันในท้ายที่สุด
13. Cryptoassets: The Innovative Investor’s Guide to Bitcoin and Beyond โดย Chris Burnisk และ Jack Tatar
ฉบับแปลไทย: Cryptoassets (สนพ. โพสต์บุ๊กส์)
หนังสือที่จะพาไปสำรวจวิธีการลงทุนในสินทรัพย์คริปโตฯ ต่าง ๆ ตั้งแต่หลักคิด (Framework) ในการลงทุน การจัดการความเสี่ยงของพอร์ตให้คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่จะได้รับและอื่น ๆ
14. The Basics of Bitcoins and Blockchains: An Introduction to Cryptocurrencies and the Technology that Powers Them โดย Antony Lewis
หนังสือสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจในบิตคอยน์ บล็อกเชนและคริปโตฯ อย่างครอบคลุมแบบ 3 in 1 เพื่อให้คุณก้าวเข้าสู่โลกของคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมั่นใจ
15. Blockchain Bubble or Revolution: The Present and Future of Blockchain and Cryptocurrencies โดย Neel Mehta Aditya Agashe และ Parth Detroja
หนังสือโดยผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์จาก Google Microsoft และ Facebook ที่จะพาไปสำรวจทั้งข้อดีและข้อเสียของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี และให้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าสินทรัพย์นี้คือ ฟองสบู่ หรือ การปฏิวัติ กันแน่?
16. The Age of Cryptocurrency: How Bitcoin and Digital Money Are Challenging the Global Economic Order โดย Paul Vigna และ Michael Casey
สามารถใช้ Bitcoin ในการซื้อสินค้าได้ในบางประเทศ แต่แท้จริงแล้วจะมีซักกี่คนกันที่เข้าใจมันจริง ๆ ?หนังสือเล่มนี้จะพาทุกคนไปสำรวจว่าคริปโตฯ จะเปลี่ยนแปลงโลกการเงินได้อย่างไร รวมถึงตอบคำถามที่ว่าความผันผวนที่บิตคอยน์มีจะนำมาใช้เป็นสกุลเงินได้หรือไม่
17. An Altcoin Trader’s Handbook โดย Nik Patel
เมื่อตลาดการเงินในปัจจุบันกำลังเผชิญกับค่าธรรมเนียมซื้อขายที่แพงและผลตอบแทนที่ต่ำ หนังสือเล่มนี้จะมาเล่าถึงวิธีการเก็งไรกำไรในเหรียญทางเลือก ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด โดยหนังสือไม่ได้มีการสื่อสารในเชิงรวยทางลัดหรือรวยไวแต่อย่างใด
18. คู่มือทำกำไรใน ICO & Cryptocurrency โดย 2 The Mars (สนพ. เกรท ไอเดีย)
หนังสือรวบรวมกลยุทธ์การเทรดและข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ พร้อมด้วยวิธีประเมินมูลค่าและวิธีการทำกำไรจากเหรียญ ICO
19. การลงทุนใน Cryptocurrency ให้ได้เงินปลอดภัยไม่ถูกโกง โดย Get Smart (สนพ. เกรท ไอเดีย)
เป็นหนังสือที่จะพาทุกคนไปสำรวจวิธีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย อีกทั้งยังสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ และวิธีการตรวจสอบมูลค่าอีกด้วย
20. Bitcoin & Blockchain 101 เงินดิจิทัลเปลี่ยนโลก โดย พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว, ณัฐชนน โพธิ์เงิน (สนพ. สต็อคทูมอร์โรว)
เล่าประวัติความเป็นมาของบิตคอยน์และเรื่องพื้นฐานต่าง ๆ ใช้ภาษาที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย เป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจศึกษาบิตคอยน์และเทคโนโลยีบล็อกเชน | 5.ความรู้ทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1047 | Finance | การปรับตัวขึ้นของหุ้นเป็น “ตลาดกระทิง” ตั้งแต่ปี 2009 ถึงสิ้นปี 2021 เป็นเวลาเกือบ 13 ปีนั้น น่าจะเป็นตลาดกระทิงที่รุนแรงและยาวนานมากที่สุดครั้งหนึ่งของตลาดหุ้นอเมริกา เพราะเหตุใด | A. ตลาดให้ผลตอบแทนจากดัชนีไม่รวมปันผลถึงปีละกว่า 15% แบบทบต้น
B. คนที่กระจายการลงทุนไปลงในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่คือ อเมริกา จีนและเวียดนาม
C. เงินหายากขึ้นและต้นทุนสูงขึ้น
D. เกิดจากการจับคนปั่นหุ้นและฉ้อโกงของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ A. เนื่องจาก ตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงตั้งแต่ปี 2009 หลังจากวิกฤติซับไพร์มที่ทำให้ดัชนีหุ้นตกลงมาประมาณ 40% นั้น เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาตลอดจนถึงสิ้นปี 2021
โดยที่มีการปรับตัว หรือหุ้นตกหนักถึงหนักมากเป็นระยะโดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2020 ที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ที่หุ้นตกหนักถึงกว่า 30% ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 3-4 เดือน
การปรับตัวขึ้นของหุ้นเป็น “ตลาดกระทิง” ตั้งแต่ปี 2009 ถึงสิ้นปี 2021 เป็นเวลาเกือบ 13 ปี นั้น น่าจะเป็นตลาดกระทิงที่รุนแรงและยาวนานมากที่สุดครั้งหนึ่งของตลาดหุ้นอเมริกา เพราะตลาดให้ผลตอบแทนจากดัชนีไม่รวมปันผลถึงปีละกว่า 15% แบบทบต้น
โดยที่เหตุผลที่แท้จริงของการปรับตัวขึ้นของหุ้นนั้น น่าจะเป็นเรื่องของสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นเหลือจากการทำ QE อย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างต่อเนื่องจนแทบจะเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเท่า ๆ กันในช่วงเวลาเดียวกัน
เมื่อเป็นกระทิงมานานขนาดนั้น ประวัติศาสตร์ก็มักจะบอกว่ามันจะต้องตามมาด้วย “ตลาดหมี” และนั่นก็เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2022 ที่ดัชนีหุ้นแนสดักตกลงมาอย่างต่อเนื่องถึง 28.3% นับถึงวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2022 เกินกว่า 20% ที่เป็นจุดที่ยอมรับกันว่าเป็น “ตลาดหมี” แล้ว ดัชนีหุ้น S&P ร่วงลงมา 18.7%
แม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดแต่ดูจากทิศทางแล้วก็คงจะตามไปในไม่ช้า เช่นเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ที่ลดลงมา 14.6% เหตุผลก็เพราะว่าปัจจัยที่ทำให้หุ้นตกหนักในช่วงแค่ไม่กี่เดือนนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อไปและอาจจะมากขึ้นนั่นก็คือ สภาพคล่องทางการเงินจะลดลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1063 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงเหรียญ THETA ได้ตรงที่สุด | a. เป็นเหรียญหลักสำหรับใช้ใน ‘Theta Network’
b. ถูกสร้างขึ้นบน Ethereum Blockchain ด้วยมาตรฐาน ERC-20
c. เป็นเงินสกุลหลักที่ใช้ทำธุรกรรมต่าง ๆ ภายในระบบนิเวศของ ‘Decentraland’
d. เป็นเหรียญหลักที่ใช้ทำธุรกรรมในระบบนิเวศของ ‘The Sandbox’
e. เป็น Governance Token ของระบบนิเวศ ‘Ontology’ | คำตอบ a. เหรียญ ‘THETA’ เปิดตัวเมื่อปี 2019 โดยเป็นเหรียญหลักสำหรับใช้ใน ‘Theta Network’ เครือข่ายแบบกระจายอำนาจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ถูกสร้างขึ้นสำหรับการสตรีมมิ่งวิดีโอ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแบ่งปันแบนด์วิดธ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์ร่วมกันบนแพลตฟอร์มได้
โดย Theta Network ตั้งเป้าที่จะเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านความบันเทิงชั้นนำในอุตสาหกรรมโดยการใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบกระจายศูนย์ ซึ่งช่วยให้นักสร้างคอนเทนต์ขจัดปัญหาคนกลางที่พบจากแพลตฟอร์มที่ใช้โครงสร้างแบบรวมศูนย์
เมื่อเดือนตุลาคมปี 2021 Theta Network ได้ร่วมมือกับ ‘Decentral Games’ จัดสตรีมสดไนท์คลับบนโลก Metaverse จัดโดย Amnesia ไนท์คลับชื่อดังระดับโลกที่ตั้งอยู่ในเมือง Ibiza ประเทศสเปน ซึ่งถือเป็นไนท์คลับบนโลกเสมือนจริงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
โดยมีดีเจชื่อดังระดับโลกอย่าง Benny Benassi และ Luciano เข้าร่วมงานด้วย นอกจากนี้ ยังมีแพลนร่วมมือกับ Dencentral Games ในโปรเจกต์อื่น ๆ อีกหลายโปรเจกต์ในอนาคตเพื่อขยายบทบาทของ Theta Network ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของ Metaverse
Market Cap: 1.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: 1,000,000,000 THETA | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1092 | Finance | ขอแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมในช่วง Doctor Markets in the Multiverse of (Rates) Madness | null | กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วง Doctor Markets in the Multiverse of (Rates) Madness ควรเน้นไปที่:
1. การกระจายความเสี่ยง:
- กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป
- ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์จับต้องได้ ไปจนถึงสินทรัพย์ดิจิทัล
- เลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนกระจายความเสี่ยง
2. เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง:
- เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ปันผลสูง
- เลือกบอนด์ที่มีอายุสั้น
- เลือกกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูง
3. ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์:
- ติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน และตลาดการเงินอย่างสม่ำเสมอ
- ปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามสถานการณ์
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำ
4. ตั้งเป้าหมายการลงทุนที่เหมาะสม:
- ตั้งเป้าหมายการลงทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่รับได้
- เน้นการลงทุนระยะยาว
- อดทนและไม่ใจร้อน
5. เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน:
- เข้าใจว่าตลาดการเงินมีความผันผวนอยู่เสมอ
- เตรียมเงินสำรองไว้สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
- ตั้งสติและใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน:
- ลงทุนในกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายลงทุนกระจายความเสี่ยงในหุ้นและบอนด์
- ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูง
- ลงทุนในทองคำ
- ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
ข้อควรระวัง:
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้
สรุป:
ในช่วงที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สิ่งสำคัญคือ นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาผลตอบแทนที่เหมาะสม กลยุทธ์การลงทุนที่ควรเน้นไปที่คือ การกระจายความเสี่ยง เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ ตั้งเป้าหมายการลงทุนที่เหมาะสม และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน
เพิ่มเติม:
นักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เว็บไซต์ของกลต. เว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์ และเว็บไซต์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน | 5.กลยุทธ์การลงทุน,6.การบริหารสินทรัพย์,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1101 | Finance | มูลค่าตัวเลขการโหวตเลือกตั้ง BNK48 12th Single Senbatsu General Election ในปี 2565 ตีมูลค่า Token ละ 80 บาท ได้มูลค่าเงินสะพัดราวกว่ากี่ล้านบาท | BNK Token กับเรื่องราวหลังการเลือกตั้ง BNK48 12th Single Senbatsu General Election
หลังจากกิจกรรม BNK48 12th Single Senbatsu General Election จบลงไปแล้ว วันเสาร์ที่ผ่านมา ขอแสดงความยินดีกับน้อง Mobile ที่ได้คะแนนโหวตรวมกว่า 124,138.11 Tokens ตีมูลค่า Token ละ 80 บาท รวมกว่า 9.9 ล้านบาทที่สนับสนุนน้องๆ คุณหมีขอแสดงความยินดีกับน้องอีกครั้งครับ (น้อง Miori ได้อันดับที่ 15 และคุณ Izurina ได้อันดับที่ 27 ที่คุณหมีเองได้เชียร์และมีส่วนร่วมพาทีมนิฮงจินชาวญี่ปุ่นไปไกลกว่าที่คิด ยิ้มแก้มปริ แฮปปี้มากๆ เช่นกันครับ) เป็นงานที่ดุเดือดมากอีกงานหนึ่งของ 48 Group เป็นวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสโอกาสให้สมาชิกในวงที่เราชื่นชอบได้เป็น Center ยืนหน้าเวทีมากที่สุดคนแรก โดยปกติทางวงจะเลือกสมาชิกที่เหมาะสมในการโปรโมทเพลง
โดยปีนี้ สำหรับงาน BNK48 12th Single Senbatsu General Election เป็นงานอีเวนต์ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ของวงไอดอลกรุ๊ป BNK48 ที่ให้เมมเบอร์สมาชิกของ BNK48 และ CGM48 ลงเข้าแข่งขัน เปิดโอกาสให้โอตะหรือแฟนคลับได้โหวตผ่านการซื้อ BNK48 11th Single โหวตเมมเบอร์ที่ตัวเองชอบเพื่อคว้าตำแหน่งเซนเตอร์ในซิงเกิ้ลนี้ โดยระดมคะแนนโหวตผ่าน Token แข่งขันกันเพื่อเฟ้นหาอันดับสมาชิกที่ได้รับคะแนนสูงสุดตามลำดับ โดย BNK48 12th Single นี้มีความพิเศษคือเป็นเพลง Original ที่ได้ Okada Nana เมมเบอร์ของ AKB48 Team 4 และ STU48 วงพี่ของ BNK48 (48 Group) มารับหน้าในการ Produce เพลง และ Murayama Yuiri เมมเบอร์ของ AKB48 Team 4 วงพี่ของ BNK48 (48 Group) เช่นกัน รับหน้าที่ในการ Produce ออกแบบท่าเต้นให้เพลงนี้ และเมมเบอร์สมาชิกทั้ง 16 อันดับแรกจะได้บินลัดฟ้าเดินทางไปถ่ายมิวสิกวิดีโอที่ประเทศญี่ปุ่น
คุณหมีเล่ามุมผ่านเลนส์โอตะเล็กๆ น้อยๆ กันไป มาในมุมผ่านเลนส์นักลงทุน มีข้อมูลหลายอย่างที่น่าสนใจ มาดูกันที่จำนวนเงินสะพัดในการเลือกตั้งครั้งนี้หลังจบ BNK48 12th Single Senbatsu General Election สรุปมูลค่าตัวเลขการโหวตเลือกตั้งในปีนี้ ตีมูลค่า Token ละ 80 บาท *** ได้มูลค่าเงินสะพัดราวกว่า 87.4 ล้านบาท ถึงแม้จะน้อยกว่ากิจกรรมก่อนหน้านี้มีเงินสะพัดราว 140 ล้านบาท ซึ่งยังถือว่าเยอะกว่าที่คาด เมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่ Stagflation ตัวเลขเงินเฟ้อมีนาคม 2565 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 5.73% สูงสุดในรอบ 13 ปี ผลกระทบจากราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ค่าไฟ รวมไปถึงราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังคงบ่งบอกได้ถึงวงการบันเทิง ไอดอลไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องอยู่ ในฐานะโอตะแฟนคลับชื้นใจเลยทีเดียวครับ
*** มูลค่าของ Token มาจาก Digital Goods Music Code มูลค่า 200 บาท ที่จำหน่ายโดยทาง BNK48 Official ได้ 2.4 Token เฉลี่ย 83 บาท และตลาดรองในกลุ่มแฟนคลับรับซื้อเฉลี่ย 80 บาท
คุณหมีมีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจหลังการเลือกตั้งมาสรุปกัน ดังนี้
1. Mobile BNK48 เป็นเมมเบอร์ที่ได้รับการโหวตมากที่สุดจำนวนทั้งสิ้น 125,138.11 Tokens หลังจากกิจกรรม BNK48 12th Single Senbatsu General Election จบลงไปแล้ว วันเสาร์ที่ผ่านมา ขอแสดงความยินดีกับน้อง Mobile ที่ได้คะแนนโหวตรวมกว่า 124,138.11 Tokens ตีมูลค่า Token ละ 80 บาท รวมกว่า 9.9 ล้านบาทที่สนับสนุนน้องๆ คุณหมีขอแสดงความยินดีกับน้องอีกครั้งครับ (น้อง Miori ได้อันดับที่ 15 และคุณ Izurina ได้อันดับที่ 27 ที่คุณหมีเองได้เชียร์และมีส่วนร่วมพาทีมนิฮงจินชาวญี่ปุ่นไปไกลกว่าที่คิด ยิ้มแก้มปริ แฮปปี้มากๆ เช่นกันครับ) เป็นงานที่ดุเดือดมากอีกงานหนึ่งของ 48 Group เป็นวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสโอกาสให้สมาชิกในวงที่เราชื่นชอบได้เป็น Center ยืนหน้าเวทีมากที่สุดคนแรก โดยปกติทางวงจะเลือกสมาชิกที่เหมาะสมในการโปรโมทเพลง โดยปีนี้ สำหรับงาน BNK48 12th Single Senbatsu General Election เป็นงานอีเวนต์ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ของวงไอดอลกรุ๊ป BNK48 ที่ให้เมมเบอร์สมาชิกของ BNK48 และ CGM48 ลงเข้าแข่งขัน เปิดโอกาสให้โอตะหรือแฟนคลับได้โหวตผ่านการซื้อ BNK48 11th Single โหวตเมมเบอร์ที่ตัวเองชอบเพื่อคว้าตำแหน่งเซนเตอร์ในซิงเกิ้ลนี้ โดยระดมคะแนนโหวตผ่าน Token แข่งขันกันเพื่อเฟ้นหาอันดับสมาชิกที่ได้รับคะแนนสูงสุดตามลำดับ โดย BNK48 12th Single นี้มีความพิเศษคือเป็นเพลง Original ที่ได้ Okada Nana เมมเบอร์ของ AKB48 Team 4 และ STU48 วงพี่ของ BNK48 (48 Group) มารับหน้าในการ Produce เพลง และ Murayama Yuiri เมมเบอร์ของ AKB48 Team 4 วงพี่ของ BNK48 (48 Group) เช่นกัน รับหน้าที่ในการ Produce ออกแบบท่าเต้นให้เพลงนี้ และเมมเบอร์สมาชิกทั้ง 16 อันดับแรกจะได้บินลัดฟ้าเดินทางไปถ่ายมิวสิกวิดีโอที่ประเทศญี่ปุ่น คุณหมีเล่ามุมผ่านเลนส์โอตะเล็กๆ น้อยๆ กันไป มาในมุมผ่านเลนส์นักลงทุน มีข้อมูลหลายอย่างที่น่าสนใจ มาดูกันที่จำนวนเงินสะพัดในการเลือกตั้งครั้งนี้หลังจบ BNK48 12th Single Senbatsu General Election สรุปมูลค่าตัวเลขการโหวตเลือกตั้งในปีนี้ ตีมูลค่า Token ละ 80 บาท *** ได้มูลค่าเงินสะพัดราวกว่า 87.4 ล้านบาท ถึงแม้จะน้อยกว่ากิจกรรมก่อนหน้านี้มีเงินสะพัดราว 140 ล้านบาท ซึ่งยังถือว่าเยอะกว่าที่คาด เมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่ Stagflation ตัวเลขเงินเฟ้อมีนาคม 2565 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 5.73% สูงสุดในรอบ 13 ปี ผลกระทบจากราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ค่าไฟ รวมไปถึงราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังคงบ่งบอกได้ถึงวงการบันเทิง ไอดอลไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องอยู่ ในฐานะโอตะแฟนคลับชื้นใจเลยทีเดียวครับ *** มูลค่าของ Token มาจาก Digital Goods Music Code มูลค่า 200 บาท ที่จำหน่ายโดยทาง BNK48 Official ได้ 2.4 Token เฉลี่ย 83 บาท และตลาดรองในกลุ่มแฟนคลับรับซื้อเฉลี่ย 80 บาท คุณหมีมีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจหลังการเลือกตั้งมาสรุปกัน ดังนี้ 1. Mobile BNK48 เป็นเมมเบอร์ที่ได้รับการโหวตมากที่สุดจำนวนทั้งสิ้น 125,138.11 Tokens 2. จำนวนโทเคนทั้งหมดที่ถูกใช้โหวตเป็น 1,093,074.36 Tokens 2. จำนวนโทเคนทั้งหมดที่ถูกใช้โหวตเป็น 1,093,074.36 Tokens อันดับ 1-16: 842,527.47 Tokens (คิดเป็น 77.08%) อันดับ 1-16: 842,527.47 Tokens (คิดเป็น 77.08%) อันดับ 17-32: 153,722.91 Tokens (คิดเป็น 14.06%) อันดับ 17-32: 153,722.91 Tokens (คิดเป็น 14.06%) อันดับ 33-48: 70,667.48 Token (คิดเป็น 6.47%) อันดับ 33-48: 70,667.48 Token (คิดเป็น 6.47%) อันดับ 49-62: 26,157 Tokens (คิดเป็น 2.39%) อันดับ 49-62: 26,157 Tokens (คิดเป็น 2.39%) 3. เมมเบอร์ที่มี Transactions การโหวตมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 3. เมมเบอร์ที่มี Transactions การโหวตมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 Namnueng BNK48: 5,244 Transactions อันดับ 1 Namnueng BNK48: 5,244 Transactions อันดับ 2 Noey BNK48: 4,504 Transactions อันดับ 2 Noey BNK48: 4,504 Transactions อันดับ 3 Music BNK48: 4,270 Transactions อันดับ 3 Music BNK48: 4,270 Transactions 4. จำนวน Transaction ที่โหวตทั้งหมด 68,279 Transactions 4. จำนวน Transaction ที่โหวตทั้งหมด 68,279 Transactions จำนวน Wallet ที่ใช้โหวตทั้งหมด 11,475 Wallets
ข้อที่ 5 ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวเพราะโอตะหรือแฟนคลับของ BNK48 มีวัฒนธรรมการโหวตผ่านด้อม/บ้าน หรือที่เรียกว่ากลุ่มแฟนคลับโดยตรงมากกว่า ทำให้ 11,475 Wallet เป็นบัญชี Wallet ที่น้อยกว่าที่คิดไว้
ข้อมูลที่น่าสนใจถัดไป มาพูดถึงจำนวน BNK Token ที่ถูกใช้ในการโหวตเลือกตั้งไปราว 2.28% จากจำนวน Token มีทั้งหมด 48 ล้าน Tokens หลังจากจบการเลือกตั้ง Token ที่ถูกโหวตไปแล้วจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน โดย 70% จะถูกเบิร์นทิ้งทั้งหมด และอีก 30% จะถูกแบ่งให้น้องๆ เมมเบอร์ BNK48 ได้คะแนนอันดับ 1-48 ตามสัดส่วนคะแนนที่ได้รับ โดยที่อันดับ 49 ลงไปจะถูกเบิร์นทิ้งทั้งหมด ไล่เรียง Token ที่น้องๆ เมมเบอร์ ได้รับทั้งหมดมีดังนี้ครับ จำนวน Wallet ที่ใช้โหวตทั้งหมด 11,475 Wallets ข้อที่ 5 ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวเพราะโอตะหรือแฟนคลับของ BNK48 มีวัฒนธรรมการโหวตผ่านด้อม/บ้าน หรือที่เรียกว่ากลุ่มแฟนคลับโดยตรงมากกว่า ทำให้ 11,475 Wallet เป็นบัญชี Wallet ที่น้อยกว่าที่คิดไว้ ข้อมูลที่น่าสนใจถัดไป มาพูดถึงจำนวน BNK Token ที่ถูกใช้ในการโหวตเลือกตั้งไปราว 2.28% จากจำนวน Token มีทั้งหมด 48 ล้าน Tokens หลังจากจบการเลือกตั้ง Token ที่ถูกโหวตไปแล้วจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน โดย 70% จะถูกเบิร์นทิ้งทั้งหมด และอีก 30% จะถูกแบ่งให้น้องๆ เมมเบอร์ BNK48 ได้คะแนนอันดับ 1-48 ตามสัดส่วนคะแนนที่ได้รับ โดยที่อันดับ 49 ลงไปจะถูกเบิร์นทิ้งทั้งหมด ไล่เรียง Token ที่น้องๆ เมมเบอร์ ได้รับทั้งหมดมีดังนี้ครับ 1. Mobile ได้รับ 37,241.433 Tokens 1. Mobile ได้รับ 37,241.433 Tokens 2. Music ได้รับ 36,015.582 Tokens 2. Music ได้รับ 36,015.582 Tokens 3. Noey ได้รับ 34,591.935 Tokens 3. Noey ได้รับ 34,591.935 Tokens 4. Namneung ได้รับ 26,802.309 Tokens 4. Namneung ได้รับ 26,802.309 Tokens 5. Pim ได้รับ 17,830.188 Tokens 5. Pim ได้รับ 17,830.188 Tokens 6. Kaning ได้รับ 15,970.44 Tokens 6. Kaning ได้รับ 15,970.44 Tokens 7. Tarwaan ได้รับ 15,542.622 Tokens 7. Tarwaan ได้รับ 15,542.622 Tokens 8. Pupe ได้รับ 12,190.215 Tokens 8. Pupe ได้รับ 12,190.215 Tokens 9. Fond ได้รับ 12,102.558 Tokens 9. Fond ได้รับ 12,102.558 Tokens 10. Minmin ได้รับ 10,830.663 Tokens 10. Minmin ได้รับ 10,830.663 Tokens 11. Wee ได้รับ 6,801.582 Tokens 11. Wee ได้รับ 6,801.582 Tokens 12. Gygee ได้รับ 5,900.562 Tokens 12. Gygee ได้รับ 5,900.562 Tokens 13. Marmink ได้รับ 5,888.232 Tokens 13. Marmink ได้รับ 5,888.232 Tokens 14. Kaimook ได้รับ 5,146.644 Tokens 14. Kaimook ได้รับ 5,146.644 Tokens 15. Miori ได้รับ 4,973.919 Tokens 15. Miori ได้รับ 4,973.919 Tokens 16. Aom ได้รับ 4,929.357 Tokens 17. Hoop ได้รับ 4,615.473 Tokens 17. Hoop ได้รับ 4,615.473 Tokens 18. Sita ได้รับ 4,101.552 Tokens 19. Phukkhom ได้รับ 4,058.673 Tokens 19. Phukkhom ได้รับ 4,058.673 Tokens 20. Stang ได้รับ 3,535.566 Tokens 20. Stang ได้รับ 3,535.566 Tokens 21. New ได้รับ 3,236.817 Tokens 21. New ได้รับ 3,236.817 Tokens 22. Fortune ได้รับ 2,963.394 Tokens 22. Fortune ได้รับ 2,963.394 Tokens 23. Champoo ได้รับ 2,933.46 Tokens 23. Champoo ได้รับ 2,933.46 Tokens 24. Paeyah ได้รับ 2,925.867 Tokens 24. Paeyah ได้รับ 2,925.867 Tokens 25. Pampam ได้รับ 2,835.075 Tokens 25. Pampam ได้รับ 2,835.075 Tokens 26. Mind ได้รับ 2,582.052 Tokens 26. Mind ได้รับ 2,582.052 Tokens 27. Izurina ได้รับ 2,217.687 Tokens 27. Izurina ได้รับ 2,217.687 Tokens 28. Earn ได้รับ 2,209.542 Tokens 28. Earn ได้รับ 2,209.542 Tokens 29. Popper ได้รับ 2,094.969 Tokens 29. Popper ได้รับ 2,094.969 Tokens 30. Jaa ได้รับ 2,028.192 Tokens 30. Jaa ได้รับ 2,028.192 Tokens 31. Kaiwan ได้รับ 1,946.244 Tokens 31. Kaiwan ได้รับ 1,946.244 Tokens 32. Fame ได้รับ 1,829.292 Tokens 32. Fame ได้รับ 1,829.292 Tokens 33. Mei ได้รับ 1,729.509 Tokens 33. Mei ได้รับ 1,729.509 Tokens 34. Jib ได้รับ 1,727.277 Tokens 34. Jib ได้รับ 1,727.277 Tokens 35. Grace ได้รับ 1,672.461 Tokens 35. Grace ได้รับ 1,672.461 Tokens 36. Niky ได้รับ 1,522.323 Tokens 36. Niky ได้รับ 1,522.323 Tokens 37. Angel ได้รับ 1,502.538 Tokens 37. Angel ได้รับ 1,502.538 Tokens 38. Yoghurt ได้รับ 1,460.463 Tokens 38. Yoghurt ได้รับ 1,460.463 Tokens 39 . Nine ได้รับ 1,451.997 Tokens 39 . Nine ได้รับ 1,451.997 Tokens 40. Jayda ได้รับ 1419.789 Tokens 41. Ratah ได้รับ 1,371.114 Tokens 41. Ratah ได้รับ 1,371.114 Tokens 42. Myyu ได้รับ 1,175.892 Tokens 42. Myyu ได้รับ 1,175.892 Tokens 43. Pancake ได้รับ 1,100.181 Tokens 43. Pancake ได้รับ 1,100.181 Tokens 44. Nenie ได้รับ 1,094.205 Tokens 44. Nenie ได้รับ 1,094.205 Tokens 45. Ping ได้รับ 1,082.469 Tokens 45. Ping ได้รับ 1,082.469 Tokens 46. Mean BNK48 ได้รับ 995.79 Tokens 46. Mean BNK48 ได้รับ 995.79 Tokens 47. Punch ได้รับ 961.794 Tokens 47. Punch ได้รับ 961.794 Tokens 48. Earth ได้รับ 932.442 Tokens
เมื่อคำนวนแล้ว BNK Token ถูกเบิร์นไป 773,002.017 Tokens คิดเป็นสัดส่วน 1.61% จากจำนวน Token มีทั้งหมด 48 ล้าน Tokens คำถามที่หลายคนอาจสงสัย ทำไมถึงต้องเบิร์นเหรียญหรือเผาเหรียญ ถ้าเรียกเป็นทางการคือ การนำเหรียญออกจากระบบ หรือ ทำลายเหรียญ (Coin Burn) ในระบบของ Cryptocurrency เป็นการปรับสัดส่วนของปริมาณของเหรียญให้น้อยลง ผ่านรูปแบบการโอนไปยัง Wallet ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้กระทั้งตัวตัวผู้พัฒนาเอง ทุกๆ ครั้งที่เกิดการเบิร์นเหรียญ ส่งผลต่อราคาขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายให้เหรียญในตลาดลดลง และมูลค่าสูงขึ้น หากมีการซื้อที่เพิ่มมากขึ้น ราคาก็จะขึ้น ถ้ามีการซื้อที่ลดลงราคาจะลดลงตามความต้องการอุปสงค์อุปทานและจำนวนเหรียญในตลาดนั่นเอง 48. Earth ได้รับ 932.442 Tokens เมื่อคำนวนแล้ว BNK Token ถูกเบิร์นไป 773,002.017 Tokens คิดเป็นสัดส่วน 1.61% จากจำนวน Token มีทั้งหมด 48 ล้าน Tokens คำถามที่หลายคนอาจสงสัย ทำไมถึงต้องเบิร์นเหรียญหรือเผาเหรียญ ถ้าเรียกเป็นทางการคือ การนำเหรียญออกจากระบบ หรือ ทำลายเหรียญ (Coin Burn) ในระบบของ Cryptocurrency เป็นการปรับสัดส่วนของปริมาณของเหรียญให้น้อยลง ผ่านรูปแบบการโอนไปยัง Wallet ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้กระทั้งตัวตัวผู้พัฒนาเอง ทุกๆ ครั้งที่เกิดการเบิร์นเหรียญ ส่งผลต่อราคาขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายให้เหรียญในตลาดลดลง และมูลค่าสูงขึ้น หากมีการซื้อที่เพิ่มมากขึ้น ราคาก็จะขึ้น ถ้ามีการซื้อที่ลดลงราคาจะลดลงตามความต้องการอุปสงค์อุปทานและจำนวนเหรียญในตลาดนั่นเอง ในมุมโอตะหรือแฟนคลับ ถ้าเราเป็นน้องๆ เมมเบอร์มีเหรียญในมือเต็มเลย จะขายหรือเทรดอย่างไร ณ ปัจจุบัน BNK Token ยังไม่ได้มีเทรดบนกระดานใดๆ ต้องรอทาง BNK Token ให้รายละเอียดอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าไตรมาส 3 BNK Token จะเข้ากระดานเทรด รอติดตามกันต่อไป ในมุมโอตะหรือแฟนคลับ ถ้าเราเป็นน้องๆ เมมเบอร์มีเหรียญในมือเต็มเลย จะขายหรือเทรดอย่างไร ณ ปัจจุบัน BNK Token ยังไม่ได้มีเทรดบนกระดานใดๆ ต้องรอทาง BNK Token ให้รายละเอียดอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าไตรมาส 3 BNK Token จะเข้ากระดานเทรด รอติดตามกันต่อไป ก่อนหน้านี้มีโอตะหรือแฟนคลับที่ยังเข้าไม่ถึง BNK Token ซึ่งบอกตามตรงว่าเข้าใจมุมหนึ่งที่เข้าถึงยากกว่าเมื่อเทียบการโหวตครั้งก่อนๆ ที่ระบบง่ายกว่าผ่านการ Redeem Code แต่หลังจบงาน BNK48 12th Single Senbatsu General Election มีเรื่องราวที่ทำให้เห็นถึงข้อดีของ Blockchain การเข้าถึงข้อมูลการโหวตคะแนนได้ถูกบันทึกลงบนระบบในทุกๆ Transaction ที่เกิดขึ้น เห็นถึงความโปร่งใสของข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นตลอดการแข่งขันการเลือกตั้ง BNK48 12th Single Senbutsu General Election เมื่อเกิดการตรวจสอบยอดรายการต่างๆ แล้วพบว่าไม่ตรงกับข้อมูลที่มีในมือ มีความจงใจในการปลอมแปลงหลักฐานคะแนนโหวต รวมถึงการยักยอกทรัพย์ ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับจากโอตะหรือแฟนคลับอย่างไม่เป็นทางการ มีมูลค่าความเสียหายราวหลายแสนบาท ทั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องไปฟ้องร้องแจ้งความทางกฎหมายกันต่อไป ก่อนหน้านี้มีโอตะหรือแฟนคลับที่ยังเข้าไม่ถึง BNK Token ซึ่งบอกตามตรงว่าเข้าใจมุมหนึ่งที่เข้าถึงยากกว่าเมื่อเทียบการโหวตครั้งก่อนๆ ที่ระบบง่ายกว่าผ่านการ Redeem Code แต่หลังจบงาน BNK48 12th Single Senbatsu General Election มีเรื่องราวที่ทำให้เห็นถึงข้อดีของ Blockchain การเข้าถึงข้อมูลการโหวตคะแนนได้ถูกบันทึกลงบนระบบในทุกๆ Transaction ที่เกิดขึ้น เห็นถึงความโปร่งใสของข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นตลอดการแข่งขันการเลือกตั้ง BNK48 12th Single Senbutsu General Election เมื่อเกิดการตรวจสอบยอดรายการต่างๆ แล้วพบว่าไม่ตรงกับข้อมูลที่มีในมือ มีความจงใจในการปลอมแปลงหลักฐานคะแนนโหวต รวมถึงการยักยอกทรัพย์ ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับจากโอตะหรือแฟนคลับอย่างไม่เป็นทางการ มีมูลค่าความเสียหายราวหลายแสนบาท ทั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องไปฟ้องร้องแจ้งความทางกฎหมายกันต่อไป โดยวิธีการตรวจสอบคะแนนจากกิจกรรม BNK48 12th Single Senbutsu General Election ผ่าน Blockchain สามารถทำได้ 2 วิธี เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของผลคะแนนที่ออกมา มีวิธีดังนี้ครับ โดยวิธีการตรวจสอบคะแนนจากกิจกรรม BNK48 12th Single Senbutsu General Election ผ่าน Blockchain สามารถทำได้ 2 วิธี เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของผลคะแนนที่ออกมา มีวิธีดังนี้ครับ 1. ตรวจสอบจากไฟล์ CSV ที่ดึงมาจาก Blockchain 2. ตรวจสอบจาก Smart Contract บน Blockchain 2. ตรวจสอบจาก Smart Contract บน Blockchain ในส่วนของ Smart Contract สามารถตรวจสอบความครบถ้วนของ transaction และจำนวนโทเคนที่โหวตจาก Smart Contract ของ Election Poll ได้ และตรวจสอบความถูกต้องของ Transaction ให้เมมเบอร์คนที่เราชื่นชอบได้จาก Smart Contract ของ Election Verify นั่นเอง ในส่วนของ Smart Contract สามารถตรวจสอบความครบถ้วนของ transaction และจำนวนโทเคนที่โหวตจาก Smart Contract ของ Election Poll ได้ และตรวจสอบความถูกต้องของ Transaction ให้เมมเบอร์คนที่เราชื่นชอบได้จาก Smart Contract ของ Election Verify นั่นเอง โดยสามารถตรวจสอบสามารถศึกษาวิธีการของทั้งสองวิธีได้ตามลิงก์ที่ระบุไว้ www.bnk48.com/ge ใครอยากอ่านศึกษา Whitepaper BNK Token แบบละเอียด สามารถไปอ่านกันได้เลยครับที่ลิงก์ที่ระบุตรงนี้เลยครับ โดยสามารถตรวจสอบสามารถศึกษาวิธีการของทั้งสองวิธีได้ตามลิงก์ที่ระบุไว้ www.bnk48.com/ge ใครอยากอ่านศึกษา Whitepaper BNK Token แบบละเอียด สามารถไปอ่านกันได้เลยครับที่ลิงก์ที่ระบุตรงนี้เลยครับ BNK Token กับ Fintertainment เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่เห็นถึงความบันเทิงผ่านวงการไอดอลได้มาบรรจบพบกันแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้คุณหมีเองก็คาดเดาได้ยากเช่นกัน แต่ความรู้สึกผ่านการเลือกตั้ง BNK48 12th Single Senbatsu General Election การแข่งขันในทุกๆ ครั้งมีผู้แพ้และผู้ชนะ มีผู้ที่ผิดหวังและสมหวังเสมอ BNK Token กับ Fintertainment เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่เห็นถึงความบันเทิงผ่านวงการไอดอลได้มาบรรจบพบกันแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้คุณหมีเองก็คาดเดาได้ยากเช่นกัน แต่ความรู้สึกผ่านการเลือกตั้ง BNK48 12th Single Senbatsu General Election การแข่งขันในทุกๆ ครั้งมีผู้แพ้และผู้ชนะ มีผู้ที่ผิดหวังและสมหวังเสมอ “ความฝันต้องเกิดหยาดเหงื่อจึงได้มา ใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไปดอกไม้จึงบาน คำว่าพยายามไม่เคยทำร้ายซักคนที่ตั้งใจ ความฝันเท่ากับหยาดเหงื่อรินรดไป เพื่อให้เหล่าเมล็ดพันธุ์นั้นเติบโตและสูงใหญ่ และคงต้องมีซักวันจะได้ดั่งใจสมปรารถนา” “ความฝันต้องเกิดหยาดเหงื่อจึงได้มา ใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไปดอกไม้จึงบาน คำว่าพยายามไม่เคยทำร้ายซักคนที่ตั้งใจ ความฝันเท่ากับหยาดเหงื่อรินรดไป เพื่อให้เหล่าเมล็ดพันธุ์นั้นเติบโตและสูงใหญ่ และคงต้องมีซักวันจะได้ดั่งใจสมปรารถนา” คุณหมีขอเป็นกำลังใจให้เมมเบอร์ น้องๆ BNK48 และ CGM48 ที่ผิดหวัง ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย รวมถึงแฟนคลับและโอตะทุกคนที่อยู่เคียงข้างน้องๆ ทุกคนครับSource : Facebook BNK Token
#KumaInvesto #BNK48GeneralElection #BNK4812thSingleGE_Final #BNK48 #CGM48 #AKB48 #Fintertainment #BNKToken คุณหมีขอเป็นกำลังใจให้เมมเบอร์ น้องๆ BNK48 และ CGM48 ที่ผิดหวัง ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย รวมถึงแฟนคลับและโอตะทุกคนที่อยู่เคียงข้างน้องๆ ทุกคนครับ Source : Facebook BNK Token #KumaInvesto #BNK48GeneralElection #BNK4812thSingleGE_Final #BNK48 #CGM48 #AKB48 # Fintertainment #BNKToken Kuma Investo Kuma Investo สามารถติดตามบทความสนุกๆ ทันเหตุการณ์ ได้ทั้งความบันเทิงและสาระสุดเร้าใจได้ที่ : | มูลค่าตัวเลขการโหวตเลือกตั้ง BNK48 12th Single Senbatsu General Election ในปี 2565 ตีมูลค่า Token ละ 80 บาท ได้มูลค่าเงินสะพัดราวกว่า 87.4 ล้านบาท ถึงแม้จะน้อยกว่ากิจกรรมอื่นๆ ที่มีเงินสะพัดราว 140 ล้านบาท ซึ่งยังถือว่าเยอะกว่าที่คาด เมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่ Stagflation ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมีนาคม 2565 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 5.73% สูงสุดในรอบ 13 ปี ผลกระทบจากราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ค่าไฟ รวมไปถึงราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังคงบ่งบอกได้ถึงวงการบันเทิง ไอดอลไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องอยู่ ในฐานะโอตะแฟนคลับชื้นใจเลยทีเดียว ส่วนมูลค่าของ Token มาจาก Digital Goods Music Code มูลค่า 200 บาท ที่จำหน่ายโดยทาง BNK48 Official ได้ 2.4 Token เฉลี่ย 83 บาท และตลาดรองในกลุ่มแฟนคลับรับซื้อเฉลี่ย 80 บาท
| 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1113 | Finance | ข้อใดไม่ใช่ 3 อันดับของกองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (2 – 8 เม.ย. 65) บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA
| ก. LHHEALTH-A / LHHEALTH-D / LHHEALTH-E
ข. PRINCIPAL VNEQ-A
ค. PRINCIPAL GHEALTH-A
ง. TGHDIGI | ตอบ ข.
กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (2 – 8 เม.ย. 65) มี 3 อันดับ ดังนี้
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (2 - 8 เม.ย. 65)
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 8 เม.ย. 2565)
1.TGHDIGI – กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้
• ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.12%
• ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -12.48%
2.PRINCIPAL GHEALTH-A – กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล เฮลธ์ อินโนเวชั่น ชนิดสะสมมูลค่า
• ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +8.30%
• ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -16.71%
3.LHHEALTH-A / LHHEALTH-D / LHHEALTH-E – กองทุนเปิด แอล เอช เฮลธ์ อินโนเวชั่น ชนิดสะสมมูลค่า / ชนิดจ่ายเงินปันผล / ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
• ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.59%
• ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -17.48%
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1122 | Finance | เหรียญคริปโตฯ น่าจับตามอง ประจำปี 2022 มีอะไรบ้าง | รวมโพย “เหรียญคริปโตฯ” น่าจับตามอง ประจำปี 2022
ปัจจุบันมีเหรียญคริปโตฯ มากกว่า 10,000 เหรียญ แต่ละเหรียญก็มีฟังก์ชันการใช้งานที่แตกต่างกันไป บทความนี้ขอพาทุกคนมาดู 10 เหรียญคริปโตฯ ที่น่าสนใจ จะมีเหรียญอะไรบ้าง แต่ละเหรียญมีรายละเอียดอย่างไร ติดตามไปพร้อมกันได้เลย! ปัจจุบันมีเหรียญคริปโตฯ มากกว่า 10,000 เหรียญ 10,000 เหรียญ 10,000 เหรียญ แต่ละเหรียญก็มีฟังก์ชันการใช้งานที่แตกต่างกันไป บทความนี้ขอพาทุกคนมาดู 10 เหรียญคริปโตฯ ที่น่าสนใจ จะมีเหรียญอะไรบ้าง แต่ละเหรียญมีรายละเอียดอย่างไร ติดตามไปพร้อมกันได้เลย! ก่อนที่จะไปดู 10 เหรียญคริปโตฯ น่าสนใจ ผู้เขียนต้องขอเรียนแจ้งไว้ก่อนว่า คอนเทนต์นี้ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนทุก ๆ ท่านควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะ ก่อนที่จะไปดู 10 เหรียญคริปโตฯ น่าสนใจ ผู้เขียนต้องขอเรียนแจ้งไว้ก่อนว่า คอนเทนต์นี้ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนทุก ๆ ท่านควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะ หากสนใจเปิดบัญชีคริปโต Zipmex ผ่าน FINNOMENA ดูรายละเอียดได้ที่ 👉 1. Bitcoin (BTC) บิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 โดยผู้สร้างที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) ปัจจุบันบิตคอยน์มีมูลค่าและส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในตลาดคริปโตฯ ด้วยปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาลในแต่ละวัน จำนวนบิตคอยน์มีอยู่จำกัดที่ประมาณ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2022 บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 18.97 ล้านเหรียญ หรือราว 90% ของจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมด โดยคาดว่าบิทคอยน์จะถูกขุดหมดประมาณปี 2140 บิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 โดยผู้สร้างที่ใช้นามแฝงว่า (Satoshi Nakamoto) ปัจจุบันบิตคอยน์มีมูลค่าและส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในตลาดคริปโตฯ ด้วยปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาลในแต่ละวัน จำนวนบิตคอยน์มีอยู่จำกัดที่ประมาณ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2022 บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 18.97 ล้านเหรียญ บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 18.97 ล้านเหรียญ บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 18.97 ล้านเหรียญ หรือราว 90% ของจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมด โดยคาดว่าบิทคอยน์จะถูกขุดหมดประมาณปี 2140 การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์จะเป็นอิสระจากรัฐบาลหรือตัวกลางใด ๆ โดยจะถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (DLT) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์จะเป็นอิสระจากรัฐบาลหรือตัวกลางใด ๆ โดยจะถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (DLT) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ศึกษาเกี่ยวกับ Bitcoin เพิ่มเติมได้ที่ Bitcoin คืออะไร?: รวมเรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนบิตคอยน์ ศึกษาเกี่ยวกับ Bitcoin เพิ่มเติมได้ที่ Bitcoin คืออะไร?: รวมเรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนบิตคอยน์ Bitcoin คืออะไร?: รวมเรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนบิตคอยน์ 2. Ethereum (ETH) อีเธอเรียม (Ethereum) ถูกสร้างขึ้นในปี 2013 โดยโปรแกรมเมอร์ที่มีชื่อว่า “วีตาลิค บูเจริน” (Vitalik Buterin) เป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยมีเหรียญ “อีเธอร์” (ETH) เป็นสกุลเงินหลักทำงานบน “Ethereum Blockchain” ซึ่งมีหลาย ๆ เหรียญในโลกคริปโตฯ ที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนนี้เช่นกัน และยังเป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดมากเป็นอันดับสองในตลาดคริปโตฯ รองจากบิทคอยน์ด้วย แต่ไม่ได้มีจำนวนจำกัดเหมือนบิทคอยน์ ซึ่งล่าสุดในเดือนมีนาคม 2022 มีเหรียญอีเธอร์หมุนเวียนในระบบกว่า 119 ล้านเหรียญแล้ว อีเธอเรียม (Ethereum) ถูกสร้างขึ้นในปี 2013 โดยโปรแกรมเมอร์ที่มีชื่อว่า (Vitalik Buterin) เป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยมีเหรียญ (ETH) เป็นสกุลเงินหลักทำงานบน ซึ่งมีหลาย ๆ เหรียญในโลกคริปโตฯ ที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนนี้เช่นกัน และยังเป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดมากเป็นอันดับสองในตลาดคริปโตฯ รองจากบิทคอยน์ด้วย แต่ไม่ได้มีจำนวนจำกัดเหมือนบิทคอยน์ ซึ่งล่าสุดในเดือนมีนาคม 2022 มีเหรียญอีเธอร์หมุนเวียนในระบบกว่า 119 ล้านเหรียญแล้ว นอกจากนี้อีเธอเรียมยังถูกใช้งานในรูปแบบของโทเคนที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ (Non-Fungible Token) หรือ เอ็นเอฟที (NFT) สำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะ รวมถึงไอเทมในเกมด้วย นอกจากนี้อีเธอเรียมยังถูกใช้งานในรูปแบบของโทเคนที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ (Non-Fungible Token) หรือ เอ็นเอฟที (NFT) สำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะ รวมถึงไอเทมในเกมด้วย 3. Tether (USDT) เทเธอร์ (Tether) เปิดตัวในชื่อ Realcoin ในเดือนกรกฎาคมปี 2014 เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกในกลุ่ม “Stablecoin” ที่อ้างอิงกับมูลค่าของสกุลเงิน Fiat อย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ในสัดส่วน 1:1 โดยถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสกุลเงิน Fiat และสกุลเงินดิจิทัล ในเรื่องของความมีเสถียรภาพ ความโปร่งใส และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำที่สุด ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้เทเธอร์สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเก็บมูลค่ามากกว่านำมาใช้ในรูปแบบของการลงทุนเพื่อเก็งกำไร เทเธอร์ (Tether) เปิดตัวในชื่อ Realcoin ในเดือนกรกฎาคมปี 2014 เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกในกลุ่ม ที่อ้างอิงกับมูลค่าของสกุลเงิน Fiat อย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ในสัดส่วน 1:1 โดยถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสกุลเงิน Fiat และสกุลเงินดิจิทัล ในเรื่องของความมีเสถียรภาพ ความโปร่งใส และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำที่สุด ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้เทเธอร์สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเก็บมูลค่ามากกว่านำมาใช้ในรูปแบบของการลงทุนเพื่อเก็งกำไร เทเธอร์เป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมและมีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลก โดยเป็นรองเพียงบิทคอยน์และอีเธอเรียมเท่านั้น เทเธอร์เป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมและมีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลก โดยเป็นรองเพียงบิทคอยน์และอีเธอเรียมเท่านั้น 4. Binance Coin (BNB) ไบแนนซ์ คอยน์ (Binance Coin) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นโดย “Binance” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มแรกเหรียญ BNB ทำงานบน Ethereum Blockchain ด้วยมาตรฐาน ERC-20 แต่ในระหว่างการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ในเดือนกรกฎาคม 2017 ก็ได้เปลี่ยนไปใช้ “Binance Chain” ที่พัฒนาโดย Binance เอง ไบแนนซ์ คอยน์ (Binance Coin) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นโดย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มแรกเหรียญ BNB ทำงานบน Ethereum Blockchain ด้วยมาตรฐาน ERC-20 แต่ในระหว่างการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ในเดือนกรกฎาคม 2017 ก็ได้เปลี่ยนไปใช้ ที่พัฒนาโดย Binance เอง ในทุก ๆ ไตรมาส Binance จะนำกำไร 20% ของบริษัทมาทำลายหรือ “เผา” เหรียญ BNB ทิ้ง เพื่อลดปริมาณการหมุนเวียนของ Binance Coin ในตลาด โดยจะซื้อคืนจนกว่าจะเหลือ 50% ของอุปทาน (Supply) ทั้งหมด ในทุก ๆ ไตรมาส Binance จะนำกำไร 20% ของบริษัทมาทำลายหรือ เหรียญ BNB ทิ้ง เพื่อลดปริมาณการหมุนเวียนของ Binance Coin ในตลาด โดยจะซื้อคืนจนกว่าจะเหลือ 50% ของอุปทาน (Supply) ทั้งหมด 5. USD Coin (USDC) USD Coin เปิดตัวในปี 2018 จากความร่วมมือกันระหว่าง Coinbase และ Circle ด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้คนทั้งโลกสามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ได้ USDC ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain โดยถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลกลุ่ม Stablecoin ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสองของตลาดคริปโตฯ และเช่นเดียวกันกับ USDT มูลค่าของ USDC ถูกอ้างอิงกับ USD ในอัตราส่วนคงที่ที่ 1:1 เสมอ จึงเหมาะกับการนำมาใช้ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดคริปโตฯ USD Coin เปิดตัวในปี 2018 จากความร่วมมือกันระหว่าง Coinbase และ Circle ด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้คนทั้งโลกสามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ได้ USDC ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain โดยถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลกลุ่ม Stablecoin ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสองของตลาดคริปโตฯ และเช่นเดียวกันกับ USDT มูลค่าของ USDC ถูกอ้างอิงกับ USD ในอัตราส่วนคงที่ที่ 1:1 เสมอ จึงเหมาะกับการนำมาใช้ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดคริปโตฯ อย่างไรก็ตาม เหรียญ USDC ไม่ได้ออกหรือได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิด (Open Source) ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ อย่างไรก็ตาม เหรียญ USDC ไม่ได้ออกหรือได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิด (Open Source) ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ 6. Ripple (XRP) เหรียญ “XRP” ถูกสร้างขึ้นโดยริปเปิล (Ripple) ซึ่งก่อตั้งในปี 2012 โดย “คริส ลาร์เซ่น” (Chris Larsen) และ “เจ็ด แมคคาเลบ” (Jed McCaleb) ริปเปิลเป็นโปรโตคอลการชำระเงินที่เปรียบเสมือนสะพานในการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยมีจุดเด่นคือการประมวลผลธุรกรรมที่รวดเร็ว สามารถทำธุรกรรมได้ภายใน 3-5 วินาที และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ เหรียญ ถูกสร้างขึ้นโดยริปเปิล (Ripple) ซึ่งก่อตั้งในปี 2012 โดย (Chris Larsen) และ (Jed McCaleb) ริปเปิลเป็นโปรโตคอลการชำระเงินที่เปรียบเสมือนสะพานในการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยมีจุดเด่นคือการประมวลผลธุรกรรมที่รวดเร็ว สามารถทำธุรกรรมได้ภายใน 3-5 วินาที และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ เหรียญ XRP ไม่เหมือนบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ตรงที่ไม่สามารถขุดได้ แต่เหมือนกันตรงที่มีจำนวนเหรียญจำกัดอยู่ที่ 1 แสนล้านเหรียญเท่านั้น เหรียญ XRP ไม่เหมือนบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ตรงที่ไม่สามารถขุดได้ แต่เหมือนกันตรงที่มีจำนวนเหรียญจำกัดอยู่ที่ 1 แสนล้านเหรียญเท่านั้น 7. Terra (LUNA) เหรียญ “LUNA” เป็นเหรียญที่พัฒนาโดยเทอร่าฟอร์ม แล็ปส์ (Terraform Labs) บริษัทบล็อกเชนสัญชาติเกาหลีใต้ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 โดย “แดเนียล ชิน” (Daniel Shin) และ “โด ควอน” (Do Kwon) ซึ่งเคยทำงานให้กับ MicroSoft และดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของ Terraform Labs คนปัจจุบัน เหรียญ เป็นเหรียญที่พัฒนาโดยเทอร่าฟอร์ม แล็ปส์ (Terraform Labs) บริษัทบล็อกเชนสัญชาติเกาหลีใต้ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 โดย (Daniel Shin) และ (Do Kwon) ซึ่งเคยทำงานให้กับ MicroSoft และดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของ Terraform Labs คนปัจจุบัน เหรียญ LUNA เป็น Governance Token ที่ทำงานบน Terra Blockchain โดยถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา Stablecoin ซึ่งในปี 2021 ที่ผ่านมา เหรียญ LUNA ถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลอีกหนึ่งเหรียญที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไรอย่างล้นหลาม ทำให้มูลค่าของ LUNA พุ่งขึ้นกว่า 13,000% เลยทีเดียว เหรียญ LUNA เป็น Governance Token ที่ทำงานบน Terra Blockchain โดยถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา Stablecoin ซึ่งในปี 2021 ที่ผ่านมา เหรียญ LUNA ถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลอีกหนึ่งเหรียญที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไรอย่างล้นหลาม ทำให้มูลค่าของ LUNA พุ่งขึ้นกว่า 13,000% เลยทีเดียว 8. Cardano (ADA) คาร์ดาโน (Cardano) ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดย “ชาร์ลส์ ฮอสกินสัน” (Charles Hoskinson) หนึ่งในผู้ก่อตั้งอีเทอเรียม โดยเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจ (Proof of Stake: PoS) รุ่นที่สาม ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทลายข้อจำกัดของ Proof of Work (PoW) ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง รวมถึงประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยมีเหรียญ “ADA” (เอดา) ที่เปิดตัวในปี 2017 เป็นเงินสกุลหลักบนเครือข่าย ซึ่งชื่อของเหรียญ ADA มีที่มาจาก “เอดา เลิฟเลซ” (Ada Lovelace) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษที่ถูกขนานนามว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก คาร์ดาโน (Cardano) ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดย (Charles Hoskinson) หนึ่งในผู้ก่อตั้งอีเทอเรียม โดยเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจ (Proof of Stake: PoS) รุ่นที่สาม ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทลายข้อจำกัดของ Proof of Work (PoW) ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง รวมถึงประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยมีเหรียญ (เอดา) ที่เปิดตัวในปี 2017 เป็นเงินสกุลหลักบนเครือข่าย ซึ่งชื่อของเหรียญ ADA มีที่มาจาก (Ada Lovelace) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษที่ถูกขนานนามว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก จำนวนเหรียญ ADA มีจำกัดทั้งหมด 4.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2022 มีเหรียญ ADA หมุนเวียนในตลาดแล้วกว่า 3.36 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 74% ของจำนวนเหรียญ ADA ทั้งหมด จำนวนเหรียญ ADA มีจำกัดทั้งหมด 4.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2022 มีเหรียญ ADA หมุนเวียนในตลาดแล้วกว่า 3.36 หมื่นล้านเหรียญ มีเหรียญ ADA หมุนเวียนในตลาดแล้วกว่า 3.36 หมื่นล้านเหรียญ มีเหรียญ ADA หมุนเวียนในตลาดแล้วกว่า 3.36 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 74% ของจำนวนเหรียญ ADA ทั้งหมด 9. Solana (SOL) โซลาน่า (Solana) เป็นบล็อกเชนที่ทำงานด้วยฉันทามติแบบ Proof of History (PoH) ร่วมกับฉันทามติแบบ Proof of Stake (PoS) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และสามารถคำนวณธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว ประมาณ 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที ในขณะที่ Ethereum Blockchain ทำได้เพียง 14 ธุรกรรมต่อวินาที โซลาน่าจึงได้รับสมญานามว่า “Ethereum Killer” โซลาน่า (Solana) เป็นบล็อกเชนที่ทำงานด้วยฉันทามติแบบ Proof of History (PoH) ร่วมกับฉันทามติแบบ Proof of Stake (PoS) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และสามารถคำนวณธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว ประมาณ 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที ในขณะที่ Ethereum Blockchain ทำได้เพียง 14 ธุรกรรมต่อวินาที โซลาน่าจึงได้รับสมญานามว่า สกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานบน Solana Blockchain เรียกว่า เหรียญ “SOL” เป็นเหรียญในกลุ่ม “DeFi” โดยมีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนมีนาคมปี 2020 มูลนิธิโซลาน่า (Solana Foundation) ได้ประกาศว่าจะมีการปล่อยเหรียญ SOL จำนวน 489 ล้านออกสู่ตลาด โดยปัจจุบัน 260 ล้านเหรียญได้เข้าสู่ตลาดเรียบร้อยแล้ว สกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานบน Solana Blockchain เรียกว่า เหรียญ เป็นเหรียญในกลุ่ม โดยมีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนมีนาคมปี 2020 มูลนิธิโซลาน่า (Solana Foundation) ได้ประกาศว่าจะมีการปล่อยเหรียญ SOL จำนวน 489 ล้านออกสู่ตลาด โดยปัจจุบัน 260 ล้านเหรียญได้เข้าสู่ตลาดเรียบร้อยแล้ว 10. Avalanche (AVAX) เหรียญ “AVAX” เป็นโทเคนดั้งเดิมของ “Avalanche” แพลตพอร์ตบล็อกเชนแบบโอเพนซอร์ส (Open Source) สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Decentralized Finance (DeFi) เหรียญ เป็นโทเคนดั้งเดิมของ แพลตพอร์ตบล็อกเชนแบบโอเพนซอร์ส (Open Source) สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Decentralized Finance (DeFi) ก่อตั้งโดยศาสตราจารย์ “Emin Gun Sirer” นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน-ตุรกี โดยเหรียญ AVAX มีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนกันยายนปี 2020 และมีอุปทานรวมอยู่ที่ 720 ล้านเหรียญ โดยมีสัดส่วนการกระจายโทเคนที่แตกต่างกันไป ก่อตั้งโดยศาสตราจารย์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน-ตุรกี โดยเหรียญ AVAX มีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนกันยายนปี 2020 และมี อุปทานรวมอยู่ที่ 720 ล้านเหรียญ อุปทานรวมอยู่ที่ 720 ล้านเหรียญ อุปทานรวมอยู่ที่ 720 ล้านเหรียญ โดยมีสัดส่วนการกระจายโทเคนที่แตกต่างกันไป อ่านบทความที่เกี่ยวกับ Cryptocurrency เพิ่มเติม Cryptocurrency คืออะไร? พามือใหม่เข้าใจครบจบในที่เดียว!
7 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนซื้อ Bitcoin
Ethereum 2.0 คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ?
Stablecoin คืออะไร? อธิบายแบบเข้าใจง่าย I POCKET MONEY EP17
เริ่มต้นลงทุนกับ DeFi ต้องเตรียมตัวอย่างไร
NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1
เริ่มต้นลงทุนกับ DeFi ต้องเตรียมตัวอย่างไร
ปรับ Mindset ก่อนลงทุนใน DeFi Cryptocurrency คืออะไร? พามือใหม่เข้าใจครบจบในที่เดียว! 7 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนซื้อ Bitcoin Ethereum 2.0 คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ? Stablecoin คืออะไร? อธิบายแบบเข้าใจง่าย I POCKET MONEY EP17 เริ่มต้นลงทุนกับ DeFi ต้องเตรียมตัวอย่างไร NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1 เริ่มต้นลงทุนกับ DeFi ต้องเตรียมตัวอย่างไร ปรับ Mindset ก่อนลงทุนใน DeFi — planet 46. — planet 46. — planet 46. หากสนใจเปิดบัญชีคริปโต Zipmex ผ่าน FINNOMENA ดูรายละเอียดได้ที่ 👉 อ้างอิง อ้างอิง
คำเตือน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | เหรียญคริปโตฯ น่าจับตามอง ประจำปี 2022 มีดังนี้
1. Bitcoin (BTC)
บิตคอยน์ (Bitcoin) เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 โดยผู้สร้างที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) บิตคอยน์มีมูลค่าและส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในตลาดคริปโตฯ ด้วยปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาลในแต่ละวัน จำนวนบิตคอยน์มีอยู่จำกัดที่ประมาณ 21 ล้านเหรียญ ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2022 บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 18.97 ล้านเหรียญ หรือราว 90% ของจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมด โดยคาดว่าบิทคอยน์จะถูกขุดหมดประมาณปี 2140 การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์จะเป็นอิสระจากรัฐบาลหรือตัวกลางใด ๆ โดยจะถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (DLT) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)
2. Ethereum (ETH)
อีเธอเรียม (Ethereum) ถูกสร้างขึ้นในปี 2013 โดยโปรแกรมเมอร์ที่มีชื่อว่า “วีตาลิค บูเจริน” (Vitalik Buterin) เป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยมีเหรียญ “อีเธอร์” (ETH) เป็นสกุลเงินหลักทำงานบน “Ethereum Blockchain” ซึ่งมีหลาย ๆ เหรียญในโลกคริปโตฯ ที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนนี้เช่นกัน และยังเป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดมากเป็นอันดับสองในตลาดคริปโตฯ รองจากบิทคอยน์ด้วย แต่ไม่ได้มีจำนวนจำกัดเหมือนบิทคอยน์ ซึ่งในเดือนมีนาคม 2022 มีเหรียญอีเธอร์หมุนเวียนในระบบกว่า 119 ล้านเหรียญแล้ว นอกจากนี้อีเธอเรียมยังถูกใช้งานในรูปแบบของโทเคนที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ (Non-Fungible Token) หรือ เอ็นเอฟที (NFT) สำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะ รวมถึงไอเทมในเกมด้วย
3. Tether (USDT)
เทเธอร์ (Tether) เปิดตัวในชื่อ Realcoin ในเดือนกรกฎาคมปี 2014 เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกในกลุ่ม “Stablecoin” ที่อ้างอิงกับมูลค่าของสกุลเงิน Fiat อย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ในสัดส่วน 1:1 โดยถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสกุลเงิน Fiat และสกุลเงินดิจิทัล ในเรื่องของความมีเสถียรภาพ ความโปร่งใส และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำที่สุด ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้เทเธอร์สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเก็บมูลค่ามากกว่านำมาใช้ในรูปแบบของการลงทุนเพื่อเก็งกำไร เทเธอร์เป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมและมีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลก โดยเป็นรองเพียงบิทคอยน์และอีเธอเรียมเท่านั้น
4. Binance Coin (BNB)
ไบแนนซ์ คอยน์ (Binance Coin) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นโดย “Binance” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มแรกเหรียญ BNB ทำงานบน Ethereum Blockchain ด้วยมาตรฐาน ERC-20 แต่ในระหว่างการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ในเดือนกรกฎาคม 2017 ก็ได้เปลี่ยนไปใช้ “Binance Chain” ที่พัฒนาโดย Binance เอง ในทุก ๆ ไตรมาส Binance จะนำกำไร 20% ของบริษัทมาทำลายหรือ “เผา” เหรียญ BNB ทิ้ง เพื่อลดปริมาณการหมุนเวียนของ Binance Coin ในตลาด โดยจะซื้อคืนจนกว่าจะเหลือ 50% ของอุปทาน (Supply) ทั้งหมด
5. USD Coin (USDC)
USD Coin เปิดตัวในปี 2018 จากความร่วมมือกันระหว่าง Coinbase และ Circle ด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้คนทั้งโลกสามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ได้ USDC ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain โดยถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลกลุ่ม Stablecoin ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสองของตลาดคริปโตฯ และเช่นเดียวกันกับ USDT มูลค่าของ USDC ถูกอ้างอิงกับ USD ในอัตราส่วนคงที่ที่ 1:1 เสมอ จึงเหมาะกับการนำมาใช้ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดคริปโตฯ อย่างไรก็ตาม เหรียญ USDC ไม่ได้ออกหรือได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิด (Open Source) ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้
6. Ripple (XRP)
เหรียญ “XRP” ถูกสร้างขึ้นโดยริปเปิล (Ripple) ซึ่งก่อตั้งในปี 2012 โดย “คริส ลาร์เซ่น” (Chris Larsen) และ “เจ็ด แมคคาเลบ” (Jed McCaleb) ริปเปิลเป็นโปรโตคอลการชำระเงินที่เปรียบเสมือนสะพานในการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยมีจุดเด่นคือการประมวลผลธุรกรรมที่รวดเร็ว สามารถทำธุรกรรมได้ภายใน 3-5 วินาที และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ เหรียญ XRP ไม่เหมือนบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ตรงที่ไม่สามารถขุดได้ แต่เหมือนกันตรงที่มีจำนวนเหรียญจำกัดอยู่ที่ 1 แสนล้านเหรียญเท่านั้น
7. Terra (LUNA)
เหรียญ “LUNA” เป็นเหรียญที่พัฒนาโดยเทอร่าฟอร์ม แล็ปส์ (Terraform Labs) บริษัทบล็อกเชนสัญชาติเกาหลีใต้ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 โดย “แดเนียล ชิน” (Daniel Shin) และ “โด ควอน” (Do Kwon) ซึ่งเคยทำงานให้กับ MicroSoft และดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของ Terraform Labs คนปัจจุบัน เหรียญ LUNA เป็น Governance Token ที่ทำงานบน Terra Blockchain โดยถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา Stablecoin ซึ่งในปี 2021 ที่ผ่านมา เหรียญ LUNA ถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลอีกหนึ่งเหรียญที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไรอย่างล้นหลาม ทำให้มูลค่าของ LUNA พุ่งขึ้นกว่า 13,000% เลยทีเดียว
8. Cardano (ADA)
คาร์ดาโน (Cardano) ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดย “ชาร์ลส์ ฮอสกินสัน” (Charles Hoskinson) หนึ่งในผู้ก่อตั้งอีเทอเรียม โดยเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจ (Proof of Stake: PoS) รุ่นที่สาม ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทลายข้อจำกัดของ Proof of Work (PoW) ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง รวมถึงประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยมีเหรียญ “ADA” (เอดา) ที่เปิดตัวในปี 2017 เป็นเงินสกุลหลักบนเครือข่าย ซึ่งชื่อของเหรียญ ADA มีที่มาจาก “เอดา เลิฟเลซ” (Ada Lovelace) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษที่ถูกขนานนามว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก จำนวนเหรียญ ADA มีจำกัดทั้งหมด 4.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2022 มีเหรียญ ADA หมุนเวียนในตลาดแล้วกว่า 3.36 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 74% ของจำนวนเหรียญ ADA ทั้งหมด
9. Solana (SOL)
โซลาน่า (Solana) เป็นบล็อกเชนที่ทำงานด้วยฉันทามติแบบ Proof of History (PoH) ร่วมกับฉันทามติแบบ Proof of Stake (PoS) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และสามารถคำนวณธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว ประมาณ 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที ในขณะที่ Ethereum Blockchain ทำได้เพียง 14 ธุรกรรมต่อวินาที โซลาน่าจึงได้รับสมญานามว่า “Ethereum Killer” สกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานบน Solana Blockchain เรียกว่า เหรียญ “SOL” เป็นเหรียญในกลุ่ม “DeFi” โดยมีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนมีนาคมปี 2020 มูลนิธิโซลาน่า (Solana Foundation) ได้ประกาศว่าจะมีการปล่อยเหรียญ SOL จำนวน 489 ล้านออกสู่ตลาด โดยจำนวน 260 ล้านเหรียญได้เข้าสู่ตลาดเรียบร้อยแล้ว
10. Avalanche (AVAX)
เหรียญ “AVAX” เป็นโทเคนดั้งเดิมของ “Avalanche” แพลตพอร์ตบล็อกเชนแบบโอเพนซอร์ส (Open Source) สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Decentralized Finance (DeFi) ก่อตั้งโดยศาสตราจารย์ “Emin Gun Sirer” นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน-ตุรกี โดยเหรียญ AVAX มีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนกันยายนปี 2020 และมีอุปทานรวมอยู่ที่ 720 ล้านเหรียญ โดยมีสัดส่วนการกระจายโทเคนที่แตกต่างกันไป | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1171 | Finance | สถาบันการเงินของรัสเซียก็ถูกแซงชั่นไม่ให้ใช้ระบบการโอนเงินสากล Swift ซึ่งทำให้รัสเซียมีปัญหาใด | ก. ความเสียหายจากการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศที่เป็นเผด็จการมากขึ้น
ข. การซื้อขายสินค้าที่จำเป็นหรือการค้าระหว่างประเทศ
ค. ความไม่ชอบธรรมของรัสเซียต่อการบุกยึดยูเครน
ง. สงครามระหว่างมนุษยชาติ | คำตอบคือ ข.
เนื่องจาก ในด้านของการเงิน สถาบันการเงินของรัสเซียก็ถูกแซงชั่นไม่ให้ใช้ระบบการโอนเงินสากล Swift ซึ่งทำให้รัสเซียมีปัญหาในการซื้อขายสินค้าที่จำเป็นหรือการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้น ถึงแม้ว่ารัสเซียเองจะมีเงินแต่ก็ซื้ออะไรไม่ได้
ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น เงินสำรองที่สามารถเอาไปแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการกับนานาชาติก็เป็นเงินของศัตรูคือเงินดอลลาร์ซึ่งสามารถถูกแช่แข็งเอาไปใช้ไม่ได้
ทั้งหลายทั้งปวงทำให้ผู้คนเฉพาะอย่างยิ่งคนรัสเซียขาดความมั่นใจในเงินรูเบิลอย่างหนักเพราะเงินนั้นไม่สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์ที่สามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ ผลก็คือ เงินรูเบิลตกลงมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในชั่วข้ามคืนและก็ส่งผลต่อไปถึงตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นที่ตกลงมากลายเป็นวิกฤติไม่สามารถทำงานได้
ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาแรงหลายสิบเปอร์เซ็นต์จนต้องปิดตลาด เช่นเดียวกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซียก็แทบจะล้มละลาย
ข้อสรุปก็คือ ประเทศรัสเซียแทบจะ “ล้มละลาย” | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_118 | Finance | รูปแบบการออมหรือลงทุนในทองคำ มีอะไรบ้าง | รักทอง ชอบทอง ลงทุนกับทองยังไงได้บ้าง “
• ออมทองหรือลงทุนในทองคำ เป็นทางเลือกที่คนให้ความสนใจ โดยสามารถทำได้ 4 รูปแบบคือ ซื้อทองคำตรงๆ ออมผ่านช่องทางออนไลน์(แอพพลิเคชั่น) ลงทุนผ่านกองทุนทองคำ และ ลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(โกลด์ฟิวเจอร์ส)
• การเลือกรูปแบบการออมหรือลงทุนทองที่เหมาะสม ควรดูในเรื่องของ อาชีพ รายได้ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ฯลฯ และควรอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับทองคำอยู่เป็นระยะ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนตลอดเวลา
“
จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ของแพง โรคระบาด ฯลฯ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากขึ้นมาอยู่ที่ 1995 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (ราคา ณ วันที่ 8/3/65) โดยนักวิเคราะห์แนะนำว่าควรมีสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ ติดพอร์ตไว้อย่างน้อย 5%-10% เพื่อกระจายความเสี่ยง สำหรับคนที่สนใจลงทุนในทองคำมีทางเลือกอะไรบ้าง ไปดูกัน “
• ออมทองหรือลงทุนในทองคำ เป็นทางเลือกที่คนให้ความสนใจ โดยสามารถทำได้ 4 รูปแบบคือ ซื้อทองคำตรงๆ ออมผ่านช่องทางออนไลน์(แอพพลิเคชั่น) ลงทุนผ่านกองทุนทองคำ และ ลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(โกลด์ฟิวเจอร์ส)
• การเลือกรูปแบบการออมหรือลงทุนทองที่เหมาะสม ควรดูในเรื่องของ อาชีพ รายได้ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ฯลฯ และควรอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับทองคำอยู่เป็นระยะ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนตลอดเวลา
“ “ “ “ • ออมทองหรือลงทุนในทองคำ เป็นทางเลือกที่คนให้ความสนใจ โดยสามารถทำได้ 4 รูปแบบคือ ซื้อทองคำตรงๆ ออมผ่านช่องทางออนไลน์(แอพพลิเคชั่น) ลงทุนผ่านกองทุนทองคำ และ ลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(โกลด์ฟิวเจอร์ส) • ออมทองหรือลงทุนในทองคำ เป็นทางเลือกที่คนให้ความสนใจ โดยสามารถทำได้ 4 รูปแบบคือ ซื้อทองคำตรงๆ ออมผ่านช่องทางออนไลน์(แอพพลิเคชั่น) ลงทุนผ่านกองทุนทองคำ และ ลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(โกลด์ฟิวเจอร์ส) • ออมทองหรือลงทุนในทองคำ เป็นทางเลือกที่คนให้ความสนใจ โดยสามารถทำได้ 4 รูปแบบคือ ซื้อทองคำตรงๆ ออมผ่านช่องทางออนไลน์(แอพพลิเคชั่น) ลงทุนผ่านกองทุนทองคำ และ ลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(โกลด์ฟิวเจอร์ส) • การเลือกรูปแบบการออมหรือลงทุนทองที่เหมาะสม ควรดูในเรื่องของ อาชีพ รายได้ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ฯลฯ และควรอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับทองคำอยู่เป็นระยะ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนตลอดเวลา • การเลือกรูปแบบการออมหรือลงทุนทองที่เหมาะสม ควรดูในเรื่องของ อาชีพ รายได้ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ฯลฯ และควรอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับทองคำอยู่เป็นระยะ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนตลอดเวลา • การเลือกรูปแบบการออมหรือลงทุนทองที่เหมาะสม ควรดูในเรื่องของ อาชีพ รายได้ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ฯลฯ และควรอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับทองคำอยู่เป็นระยะ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนตลอดเวลา • “ “ จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ของแพง โรคระบาด ฯลฯ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากขึ้นมาอยู่ที่ 1995 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (ราคา ณ วันที่ 8/3/65) โดยนักวิเคราะห์แนะนำว่าควรมีสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ ติดพอร์ตไว้อย่างน้อย 5%-10% เพื่อกระจายความเสี่ยง สำหรับคนที่สนใจลงทุนในทองคำมีทางเลือกอะไรบ้าง ไปดูกัน จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ของแพง โรคระบาด ฯลฯ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากขึ้นมาอยู่ที่ 1995 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (ราคา ณ วันที่ 8/3/65) โดยนักวิเคราะห์แนะนำว่าควรมีสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ ติดพอร์ตไว้อย่างน้อย 5%-10% เพื่อกระจายความเสี่ยง สำหรับคนที่สนใจลงทุนในทองคำมีทางเลือกอะไรบ้าง ไปดูกัน จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ของแพง โรคระบาด ฯลฯ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากขึ้นมาอยู่ที่ 1995 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (ราคา ณ วันที่ 8/3/65) โดยนักวิเคราะห์แนะนำว่าควรมีสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ ติดพอร์ตไว้อย่างน้อย 5%-10% เพื่อกระจายความเสี่ยง สำหรับคนที่สนใจลงทุนในทองคำมีทางเลือกอะไรบ้าง ไปดูกัน รูปแบบการออมหรือลงทุนในทองคำ รูปแบบการออมหรือลงทุนในทองคำ ปัจจุบันมีทางเลือกมากมายตอบโจทย์คนที่อยากออมทองหรือลงทุนในทองคำ ทั้งในรูปแบบใช้เงินก้อน หรือ แบบทยอยเก็บสะสมเงิน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นออมทอง ลองมาดู 4 วิธี ดังต่อไปนี้ 1) ซื้อทองคำตรงๆ 1) ซื้อทองคำตรงๆ คือการนำเงินก้อนไปซื้อทองคำมาออมจากร้านโดยตรงในรูปแบบของ ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ หรือการ์ดทองคำแท่งแบบแผ่น ที่สามารถเก็บออมก็ได้หรือให้เป็นของขวัญก็ได้ วิธีนี้เป็นการออมเงินโดยใช้เงินก้อนใหญ่ ทำให้อาจเกิดความเสี่ยงด้านราคาได้ เพราะทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ราคาค่อนข้างสูง และราคาที่ซื้อจะเป็นราคาที่ตายตัว ณ ช่วงเวลานั้น ข้อดีคือได้ทองคำที่เป็นทรัพย์สินจับต้องได้ แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่สะสมทองคำเป็นจำนวนมากคือ ต้องหาที่จัดเก็บให้ดีปลอดภัย อาจฝากไว้กับร้านทองที่ไว้ใจ หรือฝากกับตู้เซฟของธนาคาร (เงื่อนไขต้องเป็นไปตามที่ธนาคารนั้นๆ กำหนด) คือการนำเงินก้อนไปซื้อทองคำมาออมจากร้านโดยตรงในรูปแบบของ ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ หรือการ์ดทองคำแท่งแบบแผ่น ที่สามารถเก็บออมก็ได้หรือให้เป็นของขวัญก็ได้ วิธีนี้เป็นการออมเงินโดยใช้เงินก้อนใหญ่ ทำให้อาจเกิดความเสี่ยงด้านราคาได้ เพราะทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ราคาค่อนข้างสูง และราคาที่ซื้อจะเป็นราคาที่ตายตัว ณ ช่วงเวลานั้น ข้อดีคือได้ทองคำที่เป็นทรัพย์สินจับต้องได้ แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่สะสมทองคำเป็นจำนวนมากคือ ต้องหาที่จัดเก็บให้ดีปลอดภัย อาจฝากไว้กับร้านทองที่ไว้ใจ หรือฝากกับตู้เซฟของธนาคาร (เงื่อนไขต้องเป็นไปตามที่ธนาคารนั้นๆ กำหนด) 2) ออมทองผ่านช่องทางออนไลน์ 2) ออมทองผ่านช่องทางออนไลน์ ปัจจุบันเทรนด์การลงทุนที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ เป็นการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลที่ทั้งสะดวกและรวดเร็ว โดยเริ่มต้นสะสมที่เงินหลักร้อย ไปจนถึงหลักพัน เป็นการออมเงินไปเรื่อยๆ จนครบน้ำหนักทองคำตั้งแต่หนึ่งสลึงขึ้นไป โดยสามารถเลือกรับเป็นทองคำแท่งจริง หรือถอนเป็นเงินสดกรณีมีกำไรจากราคาทองในแต่ละช่วงเวลาได้ ข้อดี คือ เป็นการทยอยซื้อตามรายได้และทุนที่มี รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงเรื่องราคาทองคำ จากการทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ยราคาได้ในแต่ละครั้ง ตัวอย่างช่องทางออนไลน์ตัวอย่างผู้ให้บริการดังนี้ ปัจจุบันเทรนด์การลงทุนที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ เป็นการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลที่ทั้งสะดวกและรวดเร็ว โดยเริ่มต้นสะสมที่เงินหลักร้อย ไปจนถึงหลักพัน เป็นการออมเงินไปเรื่อยๆ จนครบน้ำหนักทองคำตั้งแต่หนึ่งสลึงขึ้นไป โดยสามารถเลือกรับเป็นทองคำแท่งจริง หรือถอนเป็นเงินสดกรณีมีกำไรจากราคาทองในแต่ละช่วงเวลาได้ ข้อดี คือ เป็นการทยอยซื้อตามรายได้และทุนที่มี รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงเรื่องราคาทองคำ จากการทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ยราคาได้ในแต่ละครั้ง ตัวอย่างช่องทางออนไลน์ตัวอย่างผู้ให้บริการดังนี้ ● ออมผ่าน Website โดยตรงของผู้ให้บริการ เช่น แม่ทองสุก (www.mtsblockchain.com) และ YLG (www.ylggoldsaving.com) ● ออมผ่าน Website โดยตรงของผู้ให้บริการ เช่น แม่ทองสุก (www.mtsblockchain.com) และ YLG (www.ylggoldsaving.com) ● ออมผ่าน Line Official ของผู้ให้บริการ เช่น ฮั่วเซ่งเฮง (Line @hshsocial) ● ออมผ่าน Line Official ของผู้ให้บริการ เช่น ฮั่วเซ่งเฮง (Line @hshsocial) ● ออมผ่าน Application เช่น แอพ Gold Now ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันระหว่างฮั่วเซ่งเฮง และธนาคารกสิกรไทย ให้ลูกค้าผู้ลงทุนทองคำหรือออมทองสามารถทำธุรกรรมและชำระเงินได้แบบเรียลไทม์ ● ออมผ่าน Application เช่น แอพ Gold Now ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันระหว่างฮั่วเซ่งเฮง และธนาคารกสิกรไทย ให้ลูกค้าผู้ลงทุนทองคำหรือออมทองสามารถทำธุรกรรมและชำระเงินได้แบบเรียลไทม์ 3) ลงทุนผ่านกองทุนทองคำ 3) ลงทุนผ่านกองทุนทองคำ การลงทุนผ่านกองทุนทองคำเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก มีผู้จัดการกองทุนดูแลให้โดยไม่ต้องกังวลราคาขึ้นลงของทองคำ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนระหว่างการลงทุนไม่ว่าจะในรูปของเงินปันผล หรือในรูปของกำไรจากส่วนต่างในมูลค่าของหน่วยลงทุน เช่น กองทุนรวม K-GOLD ที่ลงทุนในกองทุนหลัก SPDR Gold Trust (USD) ซึ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก มีความเสี่ยงระดับ 8 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี อยู่ที่ 4.29% 11.17% และ 7.02% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565) การลงทุนผ่านกองทุนทองคำเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก มีผู้จัดการกองทุนดูแลให้โดยไม่ต้องกังวลราคาขึ้นลงของทองคำ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนระหว่างการลงทุนไม่ว่าจะในรูปของเงินปันผล หรือในรูปของกำไรจากส่วนต่างในมูลค่าของหน่วยลงทุน เช่น กองทุนรวม K-GOLD ที่ลงทุนในกองทุนหลัก SPDR Gold Trust (USD) ซึ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก มีความเสี่ยงระดับ 8 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี อยู่ที่ 4.29% 11.17% และ 7.02% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565) 4) ลงทุนผ่านโกลด์ฟิวเจอร์ส 4) ลงทุนผ่านโกลด์ฟิวเจอร์ส โกลด์ฟิวเจอร์สหรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นักลงทุนสามารถลงทุน หรือ ทำกำไรได้ตามสภาวะราคาทองคำทั้งทองขาขึ้นและทองขาลง ซึ่งจะไม่มีการส่งมอบทองคำจริง ซื้อขายได้ง่าย สะดวก ผ่านระบบซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) โดยผู้ลงทุนเพียงแค่วางเงินประกันแค่ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาซื้อขาย เมื่อสิ้นวันระบบจะคำนวณกำไรขาดทุนออกมาแล้วปรับยอดเงินเข้าบัญชี ซึ่งต่างกับหุ้นที่ต้องใช้เงินเต็มจำนวนในการซื้อขาย ข้อควรระวังคือในกรณีที่ราคาผันผวนจนทำให้ขาดทุนต่ำกว่าราคาที่วางเงินประกันไว้ จะมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้ ปัจจุบันทางหลักทรัพย์กสิกรไทยเปิดให้มีการซื้อขาย GOLD TFEX 3 รูปแบบ ได้แก่ Gold Futures Gold-D Futures และ Gold Online Futures โกลด์ฟิวเจอร์สหรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นักลงทุนสามารถลงทุน หรือ ทำกำไรได้ตามสภาวะราคาทองคำทั้งทองขาขึ้นและทองขาลง ซึ่งจะไม่มีการส่งมอบทองคำจริง ซื้อขายได้ง่าย สะดวก ผ่านระบบซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) โดยผู้ลงทุนเพียงแค่วางเงินประกันแค่ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาซื้อขาย เมื่อสิ้นวันระบบจะคำนวณกำไรขาดทุนออกมาแล้วปรับยอดเงินเข้าบัญชี ซึ่งต่างกับหุ้นที่ต้องใช้เงินเต็มจำนวนในการซื้อขาย ข้อควรระวังคือในกรณีที่ราคาผันผวนจนทำให้ขาดทุนต่ำกว่าราคาที่วางเงินประกันไว้ จะมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้ ปัจจุบันทางหลักทรัพย์กสิกรไทยเปิดให้มีการซื้อขาย GOLD TFEX 3 รูปแบบ ได้แก่ Gold Futures Gold-D Futures และ Gold Online Futures การลงทุนในทองคำมักจะถูกมองว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความกังวล สภาวะเศรษฐกิจ ฯลฯ โดยสมาคมค้าทองคำ คาดการณ์ราคาทองคำในเดือนมีนาคม 2565 ให้กรอบเฉลี่ยอยู่ที่ 1,870 – 2,033 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และนักวิเคราะห์จากหลักทรัพย์กสิกรไทยคาดการณ์ราคาทองคำมีโอกาสทะลุ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยมองเป็นเทรนด์ขาขึ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เช่น ภาวะสงคราม เรื่องค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงในปีนี้ และ อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น การลงทุนในทองคำมักจะถูกมองว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความกังวล สภาวะเศรษฐกิจ ฯลฯ โดยสมาคมค้าทองคำ คาดการณ์ราคาทองคำในเดือนมีนาคม 2565 ให้กรอบเฉลี่ยอยู่ที่ 1,870 – 2,033 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และนักวิเคราะห์จากหลักทรัพย์กสิกรไทยคาดการณ์ราคาทองคำมีโอกาสทะลุ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยมองเป็นเทรนด์ขาขึ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เช่น ภาวะสงคราม เรื่องค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงในปีนี้ และ อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” หมายเหตุ : หมายเหตุ : หมายเหตุ : 1 ) กสิกรไทย ผนึก ฮั่วเซ่งเฮง เปิดเทรดทองคำออนไลน์ บนแอป GOLD NOW >>> 1 ) กสิกรไทย ผนึก ฮั่วเซ่งเฮง เปิดเทรดทองคำออนไลน์ บนแอป GOLD NOW >>> 1 ) กสิกรไทย ผนึก ฮั่วเซ่งเฮง เปิดเทรดทองคำออนไลน์ บนแอป GOLD NOW >>> 2) Gold Futures สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า โอกาสทองในการลงทุน >>> 2) Gold Futures สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า โอกาสทองในการลงทุน >>> 2) Gold Futures สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า โอกาสทองในการลงทุน >>> ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Ksecurities, KAsset, Prachachat ขอ ขอ ขอบคุณข้อมูลจาก : Ksecurities, KAsset, Prachachat ขอบคุณข้อมูลจาก : Ksecurities, KAsset, Prachachat บทความโดย K WEALTH GURU พธพร รัตนสิโรจน์กุล K WEALTH GURU พธพร รัตนสิโรจน์กุล | รูปแบบการออมหรือลงทุนในทองคำ
1) ซื้อทองคำตรงๆ
คือ การนำเงินก้อนไปซื้อทองคำมาออมจากร้านโดยตรงในรูปแบบของทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ หรือการ์ดทองคำแท่งแบบแผ่น ที่สามารถเก็บออมก็ได้หรือให้เป็นของขวัญก็ได้ วิธีนี้เป็นการออมเงินโดยใช้เงินก้อนใหญ่ ทำให้อาจเกิดความเสี่ยงด้านราคาได้ เพราะทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ราคาค่อนข้างสูง และราคาที่ซื้อจะเป็นราคาที่ตายตัว ณ ช่วงเวลานั้น ข้อดีคือ ได้ทองคำที่เป็นทรัพย์สินจับต้องได้ แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่สะสมทองคำเป็นจำนวนมากคือ ต้องหาที่จัดเก็บให้ดีปลอดภัย อาจฝากไว้กับร้านทองที่ไว้ใจ หรือฝากกับตู้เซฟของธนาคาร (เงื่อนไขต้องเป็นไปตามที่ธนาคารนั้นๆ กำหนด)
2) ออมทองผ่านช่องทางออนไลน์
ปัจจุบันเทรนด์การลงทุนที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ เป็นการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลที่ทั้งสะดวกและรวดเร็ว โดยเริ่มต้นสะสมที่เงินหลักร้อยไปจนถึงหลักพัน เป็นการออมเงินไปเรื่อยๆ จนครบน้ำหนักทองคำตั้งแต่หนึ่งสลึงขึ้นไป โดยสามารถเลือกรับเป็นทองคำแท่งจริง หรือถอนเป็นเงินสดกรณีมีกำไรจากราคาทองในแต่ละช่วงเวลาได้ ข้อดี คือ เป็นการทยอยซื้อตามรายได้และทุนที่มี รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงเรื่องราคาทองคำจากการทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ยราคาได้ในแต่ละครั้ง ตัวอย่างช่องทางออนไลน์ตัวอย่างผู้ให้บริการ ดังนี้
● ออมผ่าน Website โดยตรงของผู้ให้บริการ เช่น แม่ทองสุก (www.mtsblockchain.com) และ YLG (www.ylggoldsaving.com)
● ออมผ่าน Line Official ของผู้ให้บริการ เช่น ฮั่วเซ่งเฮง (Line @hshsocial)
● ออมผ่าน Application เช่น แอพ Gold Now ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันระหว่างฮั่วเซ่งเฮง และธนาคารกสิกรไทย ให้ลูกค้าผู้ลงทุนทองคำหรือออมทองสามารถทำธุรกรรมและชำระเงินได้แบบเรียลไทม์
3) ลงทุนผ่านกองทุนทองคำ
การลงทุนผ่านกองทุนทองคำเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก มีผู้จัดการกองทุนดูแลให้โดยไม่ต้องกังวลราคาขึ้นลงของทองคำ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนระหว่างการลงทุนไม่ว่าจะในรูปของเงินปันผล หรือในรูปของกำไรจากส่วนต่างในมูลค่าของหน่วยลงทุน เช่น กองทุนรวม K-GOLD ที่ลงทุนในกองทุนหลัก SPDR Gold Trust (USD) ซึ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก มีความเสี่ยงระดับ 8 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี อยู่ที่ 4.29% 11.17% และ 7.02% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565)
4) ลงทุนผ่านโกลด์ฟิวเจอร์ส
โกลด์ฟิวเจอร์สหรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เป็นอีกหนึ่งวิธีที่นักลงทุนสามารถลงทุน หรือ ทำกำไรได้ตามสภาวะราคาทองคำทั้งทองขาขึ้นและทองขาลง ซึ่งจะไม่มีการส่งมอบทองคำจริง ซื้อขายได้ง่าย สะดวก ผ่านระบบซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) โดยผู้ลงทุนเพียงแค่วางเงินประกันแค่ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาซื้อขาย เมื่อสิ้นวันระบบจะคำนวณกำไรขาดทุนออกมาแล้วปรับยอดเงินเข้าบัญชี ซึ่งต่างกับหุ้นที่ต้องใช้เงินเต็มจำนวนในการซื้อขาย ข้อควรระวังคือในกรณีที่ราคาผันผวนจนทำให้ขาดทุนต่ำกว่าราคาที่วางเงินประกันไว้ จะมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้ ปัจจุบันทางหลักทรัพย์กสิกรไทยเปิดให้มีการซื้อขาย GOLD TFEX 3 รูปแบบ ได้แก่ Gold Futures Gold-D Futures และ Gold Online Futures | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1186 | Finance | จงสรุปบทความ กำไรตลาดหุ้นไทยสุดแข็งแกร่ง | ผลประกอบการของตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4 ปี 2564 จากการรวบรวมจนถึงวันที่ 1 มี.ค. 65 มีการรายงานออกมาแล้ว 560 บริษัทหรือคิดเป็นสัดส่วน 95% ของ Market Cap รวม ทำกำไรสุทธิรวมได้อยู่ที่ 2.74 แสนล้านบาท +15% QoQ และ +50% YoY ส่งผลให้ผลประกอบการรวมทั้งปีสามารถทำได้ถึง 1.05 ล้านล้านบาท กำไรไตรมาส 4 ที่ 2.74 แสนล้านบาท เป็นผลประกอบการไตรมาส 4 ที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีอื่น ๆ และสูงเป็นอันดับ 3 เมื่อเทียบกับผลประกอบการทุก ๆ ไตรมาสที่ผ่านมา กระนั้นผลประกอบการปี 2564 ที่ 1.05 ล้านล้านบาท ถือเป็นกำไรรายปีที่สูงเป็นประวัติการณ์ของตลาดหุ้นไทย นอกจากภาพรวมการดำเนินของบริษัทต่าง ๆ จะดีขึ้นแล้ว การที่กำไรตลาดมากเป็นประวัติการณ์ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ 1-3 ปีที่ผ่านมามีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนเพิ่มในตลาดหุ้นไทยกันเป็นจำนวนมากเช่น AWC CRC SCGP OR เป็นต้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการไตรมาส 4 สูงที่สุด 10 อันดับแรกคือ คือ พลังงาน 7.16 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็น ธนาคารฯ 4.46 หมื่นล้านบาท ค้าปลีก 2.61 หมื่นล้านบาท อสังหาฯ 1.91 หมื่นล้านบาท สื่อสาร 1.91 หมื่นล้านบาท วัสดุก่อสร้าง 1.34 หมื่นล้านบาท โรงพยาบาล 1.34 หมื่นล้านบาท อาหารและเครื่องดื่ม 1.26 หมื่นล้านบาท ปิโตรฯ 1.16 หมื่นล้านบาท การเงิน 8.88 พันล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมือปีก่อน คือ แพคเกจจิ้ง +440% YoY โรงพยาบาล +186% YoY อสังหาฯ +100% YoY ค้าปลีก +97% YoY อาหาร +63% YoY พลังงาน +52% YoY ผลประกอบการปี 2564 ที่ 1.05 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 90 บาทต่อหุ้น +69% YoY สำหรับในปี 2565 คาดว่ากำไรตลาดจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากโมเมนตั้มการฟื้นตัวหลังจาก COVID-19 ที่กดดันผลประกอบการตลาดมาตลอดตั้งแต่ปี 2563 และหนักหน่วงที่สุดคือไตรมาส 3 ของปี 2564 ก่อนที่ผลประกอบการงวด 4Q64 จะแสดงภาพการเริ่มฟื้นตัวได้ชัดเจน ประเมินผลประกอบการปี 2565 ตลาดน่าจะมีกำไรสุทธิขึ้นมาเป็น 1.12 ล้านล้านบาทคือเป็น EPS ที่ 96 บาทต่อหุ้น หรือ EPS Growth +6% โดยมีความเป็นไปได้สูงกำไรในงวด 1Q65 จะขึ้น Peak ทำกำไรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3 แสนล้านบาท ทั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกลุ่มหุ้น Domestic Consumption ซึ่งเป็นช่วงเวลา High Season ของหลายๆอุตสาหกรรม และจากกลุ่มพลังงานที่จะมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูง (จากปัญหา Supply ไม่พอกับ Demand และวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน) ล่าสุดราคาน้ำมันเฉลี่ย ม.ค.-ก.พ.65 อยู่ที่ 88 เหรียญต่อบาร์เรล +14% QoQ +52% YoY EPS ปี 2565 มีโอกาสที่จะไปถึง 96 บาทต่อหุ้น ถือว่าดีกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 94 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม Valuation ของ SET ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับ EPS Growth ในปี 2565 ที่ต่ำเพียง 6% อีกทั้ง Momentum ของกำไรตลาดจะขึ้น Peak เพียงแค่งวด 1Q65 ก่อนจะแผ่วลงใน 2Q-4Q65 ทำให้ยังคงดัชนีเป้าหมายในปีนี้ไว้ที่ 1,786 จุด (PER 18.6 เท่า) ต่อไปตามเดิม | ผลประกอบการของตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4 ปี 2564 จากการรวบรวมจนถึงวันที่ 1 มี.ค. 65 มีการรายงานออกมาแล้ว 560 บริษัทหรือคิดเป็นสัดส่วน 95% ของ Market Cap รวม ทำกำไรสุทธิรวมได้อยู่ที่ 2.74 แสนล้านบาท +15% QoQ และ +50% YoY ส่งผลให้ผลประกอบการรวมทั้งปีสามารถทำได้ถึง 1.05 ล้านล้านบาท
กำไรไตรมาส 4 ที่ 2.74 แสนล้านบาท ผลประกอบการปี 2564 ที่ 1.05 ล้านล้านบาท ถือเป็นกำไรรายปีที่สูงเป็นประวัติการณ์ของตลาดหุ้นไทย
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการไตรมาส 4 สูงที่สุด 10 อันดับแรกคือ
1. พลังงาน รองลงมาเป็น
2. ธนาคารฯ
3. ค้าปลีก
4. อสังหาฯ
5. สื่อสาร
6. วัสดุก่อสร้าง 1
7. โรงพยาบาล
8. อาหารและเครื่องดื่ม
9. ปิโตรฯ
10. การเงิน
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมือปีก่อน คือ
- แพคเกจจิ้ง
- โรงพยาบาล
- อสังหาฯ
- ค้าปลีก
- อาหารพลังงาน
ผลประกอบการปี 2564 ที่ 1.05 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 90 บาทต่อหุ้น สำหรับในปี 2565 คาดว่ากำไรตลาดจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประเมินผลประกอบการปี 2565 :
- ตลาดน่าจะมีกำไรสุทธิขึ้นมาเป็น 1.12 ล้านล้านบาทคือเป็น EPS ที่ 96 บาทต่อหุ้น
- หรือ EPS Growth +6% โดยมีความเป็นไปได้สูงกำไรในงวด 1Q65 จะขึ้น Peak ทำกำไรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3 แสนล้านบาท
- EPS ปี 2565 มีโอกาสที่จะไปถึง 96 บาทต่อหุ้น ถือว่าดีกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 94 บาทต่อหุ้น | 3.ตลาดการเงิน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1197 | Finance | ไต้หวันเสียประโยชน์จากการที่สหรัฐและยุโรปคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย เนื่องจากอะไร | 1. มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการที่มีกรณีตัวอย่าง ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันได้เกิดขึ้นแล้วด้วยชาติที่มีผู้นำแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
2. การอ่อนข้อจากพันธมิตรสหรัฐ
3. การขยายอำนาจ Soft Power ของผู้นำรัสเซียให้เทียบเคียงกับผู้นำสหรัฐ
4. ระดับราคาน้ำมันดิบในอนาคต | คำตอบคือ 1. เนื่องจาก การที่ปูตินพยายามที่จะควบรวมเอายูเครนเข้ามาภายใต้การปกครองของรัสเซีย ซึ่งสหรัฐและยุโรปทำได้เพียงคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย
ซึ่งผลข้างเคียงของการคว่ำบาตรรอบนี้ ผู้ที่ได้รับผลเชิงลบทั้งราคาน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาก๊าซที่สูงขึ้น เห็นจะไม่พ้นจะเป็นชาติในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมัน นอกจากนี้ปริมาณการค้า การลงทุน และมูลค่าการแลกเปลี่ยนรายการด้านการเงินระหว่างกันที่ลดลง ก็เป็นยุโรปที่ได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญ ผู้อพยพที่อาจเกิดขึ้นในบางส่วนก็ตกเป็นของยุโรปเช่นกัน
นอกจากนี้ ไต้หวันถือว่าเสียประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากถือว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการที่มีกรณีตัวอย่างซึ่งมีความคล้ายคลึงกันได้เกิดขึ้นแล้วด้วยชาติที่มีผู้นำแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกต่างหาก | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1200 | Finance | บทเรียนการ Corner หุ้นที่มี Story น่าจะส่งผลอย่างไร | 1. ดัชนีตลาดหุ้นที่ย่ำแย่มาหลายปีปรับตัวขึ้น
2. นักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยและส่วนใหญ่ก็ไมได้สนใจในเรื่องของพื้นฐานและมูลค่าของกิจการในการลงทุน
3. นักลงทุนรายใหญ่บางคนในตลาดหุ้นไทย หรือรายที่ไม่ได้ใหญ่มากแต่เน้นแนวเก็งกำไรที่มีอยู่มากโดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 สนใจที่จะทำบ้าง
4. ทยอยขายหุ้นในราคาที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ | คำตอบที่ถูกต้องคือ 3. เพราะว่า บทเรียนการ Corner หุ้นที่มี Story หรือมีเรื่องราวว่าจะมีผลประกอบการเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” นั้น น่าจะทำให้นักลงทุนรายใหญ่บางคนในตลาดหุ้นไทย หรือรายที่ไม่ได้ใหญ่มากแต่เน้นแนวเก็งกำไรที่มีอยู่มากโดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 สนใจที่จะทำบ้าง เพราะเห็นแล้วว่าสามารถที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นได้มหาศาลแทบจะไม่จำกัด โดยที่กระบวนการและวิธีที่จะเข้าไปทำนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ผิดกฎหมายการปั่นหุ้น
ดังนั้น การ Corner หุ้นตัวเล็กก็เกิดขึ้น เพราะนี่เป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย ใช้เงินไม่มาก และมีโอกาสที่จะดึงดูดนักเล่นหุ้นรายย่อยรวมถึงที่เป็นคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาร่วมได้ง่าย ผลของการทำในช่วงแรกนั้นได้ผลตามคาดหรือต้องบอกว่าเกินคาดมาก หุ้นบางตัวที่ถูก Corner มีราคาหรือมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากที่เคยเป็นหุ้นตัวเล็กมีมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทระดับร้อยหรือพันล้านบาทกลายเป็น “หุ้นแสนล้าน” บาทในเวลาไม่กี่เดือน คนหรือกลุ่มคนที่เข้าไปทำปฏิบัติการนี้โดยใช้เงินแค่ 10 หรือ 100 ล้านบาท อาจจะกลายเป็นมหาเศรษฐีหุ้นพันหรือหมื่นล้านบาทไปแล้วก็ได้ และนั่นก็นำไปสู่หุ้นตัวต่อ ๆ ไปและโดยนักเล่นรายใหญ่ และ/หรือกลุ่มนักเล่นรายกลาง ๆ อื่น ๆ ที่เห็นว่าการทำ Corner หุ้นโดยเฉพาะที่เป็นตัวเล็กนั้น “ทำได้ไม่ยาก” และน่าจะได้กำไรมหาศาล ขอให้มีคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยให้ประสบความสำเร็จได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1204 | Finance | Web 3.0 คืออะไร | ก. คือ เว็บที่ผู้ใช้สามารถ “เขียน” หรือ “อัปโหลด” เนื้อหาขึ้นไปอยู่บนเว็บไซต์ได้ เช่น การโพสต์รูปภาพบน Instagram การแสดงความคิดเห็นบน Facebook หรือ Twitter เป็นต้น
ข. คือ เว็บที่นอกจากผู้ใช้จะสามารถ “อ่าน” “เขียน” ได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถ “เป็นเจ้าของ (Own)” ได้ด้วย
ค. คือ เว็บที่นอกจากผู้ใช้จะสามารถ “อ่าน” “เขียน” ได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถ “อัปโหลด” ได้ด้วย
ง. คือ ยุคแรกสุดของอินเทอร์เน็ต โดยเป็นเว็บไซต์ที่ผู้ใช้สามารถทำได้แค่ “อ่าน” หรือ “ดาวน์โหลด” เนื้อที่อยู่บนเว็บไซต์เท่านั้น ไม่สามารถโต้ตอบหรือสร้างเนื้อหาขึ้นบน Web ได้ ยกเว้นแต่คนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์เท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขเนื้อหาบนเว็บได้ | คำตอบที่ถูกต้องคือ ข. เว็บที่นอกจากผู้ใช้จะสามารถ “อ่าน” “เขียน” ได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถ “เป็นเจ้าของ (Own)” ได้ด้วย
- Web 1.0 นับเป็นยุคแรกสุดของอินเทอร์เน็ต โดยเป็นเว็บไซต์ที่ผู้ใช้สามารถทำได้แค่ “อ่าน” หรือ “ดาวน์โหลด” เนื้อที่อยู่บนเว็บไซต์เท่านั้น ไม่สามารถโต้ตอบหรือสร้างเนื้อหาขึ้นบน Web 1.0 ได้ ยกเว้นแต่คนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์เท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขเนื้อหาบนเว็บได้
- Web 2.0 คือเว็บที่เราน่าจะคุ้นเคยกันมากที่สุดในปัจจุบัน นั่นคือโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Twitter หรือ Instagram นั่นเอง โดย Web 2.0 คือเว็บที่ผู้ใช้สามารถ “เขียน” หรือ “อัปโหลด” เนื้อหาขึ้นไปอยู่บนเว็บไซต์ได้ เช่น การโพสต์รูปภาพบน Instagram การแสดงความคิดเห็นบน Facebook หรือ Twitter เป็นต้น
สรุปว่า Web 2.0 คือเว็บที่ผู้ใช้สามารถ “อ่าน” และ “เขียน” ได้นั่นเอง
- Web 3.0 ยังอยู่ในระหว่างพัฒนา แต่มีแนวคิดหลักคือ “เว็บไซต์กระจายศูนย์” หรือ Decentralized Web ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวกลางเป็นผู้คอยเก็บข้อมูลและดำเนินการเพียงผู้เดียวอีกต่อไป หมายความว่า ข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตจะไม่ได้ถูกเก็บไว้ที่ตัวกลางเพียงผู้เดียวอีกต่อไป แต่จะเป็นการเก็บข้อมูลแบบกระจายเครื่องเซิร์ฟเวอร์ออกไปหลาย ๆ เครื่อง แต่ละเครื่องจะมีการตรวจสอบข้อมูลให้ตรงกันเสมอ ทำให้ปลอดภัยต่อการปลอมแปลงหรือการแฮกข้อมูล
สรุปได้ว่า Web 3.0 คือเว็บที่นอกจากผู้ใช้จะสามารถ “อ่าน” “เขียน” ได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถ “เป็นเจ้าของ (Own)” ได้ด้วย | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1216 | Finance | อุตสาหกรรม AI จะสามารถเติบโตเป็นอย่างไรในปี 2030 | Big Idea 2022 มาแล้ว แต่ยังไม่ค่อยมีคนเขียนถึงเพราะยาวมากจริง ๆ รอบนี้ป้ามาให้กาวชุดใหญ่ถึง 132 หน้า!
แต่หน้าที่สำคัญที่สุดอยู่ที่หน้า 2 ซึ่งคนมักมองข้าม ซึ่ง ARK Invest เขียนคำเตือนไว้ว่า พวกเขาเชื่อว่า Disruptive Innovation จะมาทดแทน Technology เก่า รวมถึงสร้างตลาดใหม่ ๆ ที่ตอนนี้ยังไม่มีอยู่จริง ซึ่ง Present เป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนและอาจมีการปรับคาดการณ์ในอนาคตใหม่ได้
ดังนั้น ซู๊ดดดกาว กันอย่างมีสตินะครับ
ARK Invest เชื่อว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่เปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งนวัตกรรม ซึ่งเกิดขึ้นไม่ได้ในอดีต แต่เพราะการพัฒนาของนวัตกรรม 5 หมวดที่จะเติบโตอย่างรวดเร็จอย่างน้อยจนปี 2030 (ARK ใช้คำว่า Innovation Platform) ได้แก่
นวัตกรรม AI เติบโตจาก $10.5T→$108T คิดเป็น 26% CAGR
นวัตกรรม Battery เติบโตจาก $1.5T→32T คิดเป็น 35% CAGR
นวัตกรรม Blockchain เติบโตจาก $1.4T → $49T คิดเป็น 43% CAGR
นวัตกรรม Robotic เติบโตจาก $168B→$10T คิดเป็น 51% CAGR
นวัตกรรม Gene Sequencing เติบโตจาก $125B→$3.6T คิดเป็น 40% CAGR
โดยกลุ่มที่ไม่มี Innovation จะเติบโตได้น้อยมากจาก $94T→$126T คิดเป็น 3% CAGR เท่านั้น
นวัตกรรมข้างต้นจะเป็นตัวแปลงสำคัญที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ซึ่ง ARK เชื่อว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนในกลุ่ม Disrupt Innovation และ มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะลงทุนในกว่า 14 ไอเดีย เพราะ Innovation เหล่านี้กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากต้นทุนที่ลดลงรวดเร็ว และความต้องการที่มากขึ้นในหลากหลายธุรกิจปลายน้ำ
Artificial Intelligence (AI)
เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการฝึก AI เพื่อนำไปใช้งานต่อนั้น ลดลงปีละ 60% ARK เชื่อว่า AI จะเข้าไปแทนที่งานของเหล่าแรงงานในหลากหลายอุตสาหกรรม เร่งความเร็วในการผลิต และลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแรงงานได้ นอกจากนี้การเขียน Code และ พัฒนา AI ในปัจจุบัน ทำได้ง่ายและมีระบบช่วยเหลือ เขียน Code อัตโนมัติต่าง ๆ มากกว่าในอดีตมาก ๆ ARK จึงมองว่าทั้งบริษัท AI Hardware และ Software จะสามารถเติบโตได้ถึง 50% CAGR โดย AI Software จะเป็นตัวเร่งให้เกิด Demand ใน AI Hardware อีกที และอุตสาหกรรมจะสามารถเติบโตจาก $2.5T ในปัจจุบัน เป็น $87T ในปี 2030 | Artificial Intelligence (AI)
เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการฝึก AI เพื่อนำไปใช้งานต่อนั้น ลดลงปีละ 60%
- ARK เชื่อว่า AI จะเข้าไปแทนที่งานของเหล่าแรงงานในหลากหลายอุตสาหกรรม เร่งความเร็วในการผลิต และลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแรงงานได้
- นอกจากนี้การเขียน Code และ พัฒนา AI ในปัจจุบัน ทำได้ง่ายและมีระบบช่วยเหลือ เขียน Code อัตโนมัติต่างๆ มากกว่าในอดีตมากๆ
ARK จึงมองว่าทั้งบริษัท AI Hardware และ Software จะสามารถเติบโตได้ถึง 50%
- CAGR โดย AI Software จะเป็นตัวเร่งให้เกิด Demand ใน AI Hardware อีกที
- และอุตสาหกรรมจะสามารถเติบโตจาก $2.5T ในปัจจุบัน เป็น $87T ในปี 2030 | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1224 | Finance | key message ของ หุ้น ARK คืออะไร | 1. หุ้น Innovation จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้มนุษย์ และเปลี่ยนแปลงชีวิตคนเรื่อย ๆในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
2. หุ้น Innovation จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้มนุษย์ และเปลี่ยนแปลงชีวิตคนเรื่อย ๆในอีก 50-100 ปีข้างหน้า
3. หุ้น Innovation จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้มนุษย์ และเปลี่ยนแปลงชีวิตคนเรื่อย ๆในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
4. หุ้น Innovation ไม่สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาให้มนุษย์ | ข้อที่ถูกต้องคือ 1. เนื่องจาก ทางด้าน ARK ได้พยายามเตรียมรับมืออยู่แล้วด้วยการพยายามสื่อสารกับนักลงทุนต่อเนื่องผ่าน webinar บทความในเว็บไซต์ สัมภาษณ์กับสื่อภายนอก เพื่อให้เข้าใจมุมมองการลงทุนระยะยาว 5 ปี โดย key message ยังเหมือนเดิม คือ หุ้น Innovation จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้มนุษย์ และเปลี่ยนแปลงชีวิตคนเรื่อย ๆในอีก 5-10 ปีข้างหน้า “ทำให้ ARK ใช้โอกาสในช่วงที่หุ้น Innovation ถล่มแรง ไล่เก็บหุ้นตัวที่มั่นใจ เพื่อถือหุ้นตัวหลักมากขึ้น”
ARK ยังโชว์ความมั่นใจด้วยว่า จาก research ภายใน คาดการณ์ว่า upside ของหุ้นในพอร์ทที่มากแบบนี้ พอร์ทของ ARK อาจจะบวกได้ถึง 40%/ปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า
| 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1227 | Finance | ผลตอบแทนของหุ้นกู้ระดับ Investment Grade จะอยู่ที่ระดับกีี่%ต่อปี | A. 1%-5% ต่อปี
B. 3%-6% ต่อปี
C. 3%-5% ต่อปี
D. 1%-3% ต่อปี | คำตอบที่ถูกต้องคือ C. เพราะว่า
1. การลงทุนในหุ้นกู้ ส่วนมากจะจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายไตรมาส หรือทุก 6 เดือน ซึ่งผลตอบแทนของหุ้นกู้ระดับ Investment Grade จะอยู่ที่ระดับ 3%-5% ต่อปี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของหุ้นกู้แต่ละตัวด้วย
2. การลงทุนในกองทุนปันผล กองทุนจะจ่ายปันผลก็ต่อเมื่อกองทุนมีกำไร และไม่มีกำหนดจำนวนครั้งที่แน่นอนในการจ่ายปันผลแต่ละปี
ดังนั้น นักลงทุนควรพิจารณาเลือกกองทุนปันผลที่มีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และประมาณจำนวนเงินที่ต้องใช้เผื่อเอาไว้ในกรณีฉุกเฉินถ้าหากกองทุนไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_123 | Finance | ข้อมูลที่ ก.ล.ต. กำหนดเกณฑ์ประเภทของกองทุนรวม ต้องไม่เกินกี่ตัวอักษร | A. 250 ตัวอักษร
B. 300 ตัวอักษร
C. 600 ตัวอักษร
D. 500 ตัวอักษร | คำตอบ D. 500 ตัวอักษร
ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ได้กำหนดไว้ประเภทของกองทุนรวม ไว้ดังนี้
1. ข้อมูลต้องไม่เกิน 500 ตัวอักษร และจัดประเภทกองทุนรวมตามที่สมาคมบริษัทจัดการลงทุนกำหนด
2. นโยบายและกลยุทธ์การลงทุน ข้อมูลต้องสั้นและกระชับ ระบุกลยุทธ์การลงทุน และถ้ามีกองทุนหลักต้องเปิดเผยชื่อกองทุนหลักด้วย
3. ระดับความเสี่ยง ต้องใช้สีเดียวในการแสดงในช่องระดับความเสี่ยง เพื่อที่จะไม่ให้เป็นการชี้นำผู้ลงทุนให้เข้าใจผิดถึงความหมายของแต่ละระดับสี
4. การซื้อขายหน่วยลงทุน ให้ระบุวันและเวลาที่สามารถทำการซื้อขายได้ ขั้นต่ำการลงทุนแต่ละครั้ง รวมไปถึงขั้นต่ำของยอดการขายคืนและยอดคงเหลือ เป็นต้น | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1239 | Finance | การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เราจะแบ่ง stage การปรับฐานออกเป็น 3 ระดับ คืออะไรบ้าง | การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เราจะแบ่ง stage การปรับฐานออกเป็น 3 ระดับคือ
ระดับที่ 1 คือการพักฐาน (consolidation) คือการลงจากจุดสูงสุดไม่เกิน 10%
ระดับที่ 2 การปรับฐาน (correction) การลงในระดับเกิน 10% แต่ไม่เกิน 20%
ระดับที่ 3 เข้าสู่ขาลงเต็มตัว (Bear Market) คือลงมากกว่า 20%
ตั้งแต่เกิด Panic จาก COVID-19 เมื่อ มี.ค.63 ที่ NASDAQ เป็นขาลง -30% หลังจากตอนนั้นดัชนียังไม่เคยปรับฐานลึกเกินกว่า -15%
2 ปีที่ผ่านมารอบการพักตัวหรือปรับฐานจะเกิดตอน ก.ย.63 มี.ค.64 พ.ค.64 และ ก.ย.64 ทั้ง 5 จะอยู่ในช่วง -8% ถึง -15% และหลังจากปรับฐานจะตามมาด้วยการทำ All Time High ได้ทุกครั้ง
รอบนี้ลงมาแล้ว -10% จัดเป็นการปรับฐานลึกอันดับ 3 ในรอบ 2 ปี ดูน่ากลัวแต่ไม่ง่ายที่จะลงไปจนถึง -15%
จุดเปลี่ยนจะเกิดขึ้นเมื่อไร?
FOMC Meeting 26 ม.ค.65 นี้ คาดหลังผลประชุม ตลาดหุ้นสหรัฐจะฟื้นแรง
เพราะตอนนี้ตลาดกำลังตอบรับต่อผลการประชุมสุดโหดหรือ Price in ไปเยอะแล้ว และถ้าผลการประชุม มันไม่ได้เหี้ยมไปกว่า การยุติ QE ใน มี.ค. และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในเดือนเดียวกัน ก่อนจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องรวม 4 ครั้งในปี 2565 มันไม่มีอะไรแย่ไปกว่าตลาดคาด หุ้นสหรัฐก็ควรฟื้นตัว | การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เราจะแบ่ง stage การปรับฐานออกเป็น 3 ระดับคือ
ระดับที่ 1 คือการพักฐาน (consolidation) คือการลงจากจุดสูงสุดไม่เกิน 10%
ระดับที่ 2 การปรับฐาน (correction) การลงในระดับเกิน 10% แต่ไม่เกิน 20%
ระดับที่ 3 เข้าสู่ขาลงเต็มตัว (Bear Market) คือลงมากกว่า 20% | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1241 | Finance | ฟองสบู่มักจะเกิดขึ้นจาก 2 สิ่ง คือ เทคโนโลยีที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ และ โอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ๆ ใช่หรือไม่ | null | ใช่ ฟองสบู่มักจะเกิดขึ้นจาก 2 สิ่ง คือ
1. เทคโนโลยีที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ (เช่น ฟองสบู่ Tronics และ ฟองสบู่ Biotech)
2. โอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ๆ (เช่น ฟองสบู่ South Sea และ ฟองสบู่ดอกทิวลิป)
Internet เป็นทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน มันเป็นทั้งเทคโนโลยีใหม่และโอกาสในการทำธุรกิจแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นการปฏิวัติการสื่อสาร เข้าถึงข้อมูล รวมถึงรูปแบบการซื้อ-ขาย สินค้าและบริการต่าง ๆ
Web browser แรกที่เป็นที่นิยมในโลกคือ “Mosaic” ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1993 ก่อนที่ Microsoft จะซื้อ license ของ Mosaic มาพัฒนาเป็น Internet Explorer บน window 95 และปล่อยออกสู่สาธารณะในปี 1995
Internet มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ computer ส่วนบุคคลได้รับความนิยม เพราะมันช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลได้เป็นอย่างดี โดยพบว่าจำนวนของบ้านที่มี computer ส่วนบุคคลในสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 35% ในช่วง 1990-1997 เท่านั้น
การเข้ามาของเทคโนโลยี internet ในช่วงแรกดูจะเป็นที่ถกเถียงกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าเป็นแค่กระแสชั่วคราวเท่านั้น แต่กระแสถกเถียงดังกล่าวก็เงียบลงเรื่อย ๆ เมื่อดัชนี NASDAQ ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเทคได้วิ่งขึ้นมากกว่า 3 เท่าในเวลาไม่ถึง 2 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ดัชนี NASDAQ ก็เป็นขาขึ้นมาอย่างยาวนาน และทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ราว ๆ 15% ต่อปี (1974-1998) แต่นั้นเทียบไม่ได้เลยกับผลตอบแทน 3 เด้งใน 1 ปีนิด ๆ ระหว่างช่วง ต.ค. ปี 1998 – มี.ค. ปี 2000
จริง ๆ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในยุค “ฟองสบู่ Internet” นี้ ก็เหมือนฉายหนัง “ฟองสบู่ Tronics” ให้เราดูอีกรอบ เพียงแต่รอบนี้ หนังเรื่องนี้ระเบิดตูมตาม อลังการกว่าเดิมมาก
เดาได้ไม่ยาก ถ้าฟองสบู่ Tronics ในยุค 60 นั้น มาจากบริษัทจำนวนมากตั้งชื่อเกี่ยวกับ “Tronics” (แม้บริษัทอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอุตสาหกรรม Electronics ก็ตาม)
ฟองสบู่ Dot-com ก็มาจากความบ้าคลั่งใน Internet ที่ทุกบริษัทไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้หรือไม่ หันมาเปลี่ยนชื่อให้เข้ากับกระแส เช่นคำว่า Dot-com, Dot-net, Internet, Network แค่ปี 1998 ปีเดียว มีบริษัทในตลาดเปลี่ยนชื่อให้มีนัยยะกับเว็บไซต์ของบริษัทกว่า 63 บริษัท | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1243 | Finance | จงสรุปบทความ เจย์ พาวเวล เผลอให้ ‘เงินเฟ้อ’ พุ่ง เพราะ | ข่าวดังประจำสัปดาห์นี้ เห็นจะไม่พ้นตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พุ่งขึ้นมาสู่ระดับ 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นับว่าเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 40 ปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ ซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงานหรือ Core CPI ขึ้นมาเป็น 5.5% หลังจากที่เจย์ พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดให้การต่อคณะกรรมการสถาบันการเงิน สภาคองเกรส เพื่อการรับรองการเข้ารับตำแหน่งเป็นวาระที่สอง ว่าช่วงเวลาของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินของเฟดได้ผ่านพ้นไปแล้ว นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยของแบงก์ดังบางแห่งในสหรัฐ ยังขยับจำนวนครั้งการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ มาเป็น 4 ครั้ง คำถามคือเพราะเหตุใดพาวเวลถึงเผลอให้ ‘อัตราเงินเฟ้อ’ พุ่งขึ้นมาแบบรุนแรงมาก โดยบทความนี้ จะขอให้ความเห็นถึงเหตุผลต่าง ๆ ดังนี้ 1. พาวเวลดูเหมือนจะไม่ศรัทธาในเส้นโค้งฟิลลิปส์ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานซึ่งมีความผกผันกัน ว่าความร้อนแรงของเศรษฐกิจอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของภาวะเงินเฟ้อที่จะร้อนแรงขึ้นแบบต่อเนื่อง เลยอาจจะมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำนานจนเกินไป ด้วยความที่นายพาวเวลไม่ได้เรียนจบมาทางเศรษฐศาสตร์โดยตรง มีข้อดีคือ open-minded แต่มี ข้อเสีย คือเมื่อเรียนรู้ในช่วงเป็นผู้ใหญ่จะใช้วิจารณญาณในการเลือกเชื่อแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งแนวคิดเส้นโค้งฟิลลิปส์ที่เป็นหนึ่งในทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ขัดแย้งกับวิจารณญาณของคนทั่วไป ซึ่งจากการตอบคำถามกับกรรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐ เมื่อ 2 ปีก่อน ผมมองว่าพาวเวลดูจะเป็นเช่นนั้นเสียด้วย ยิ่งผมได้อ่านงานวิจัยของนักวิชาการชื่อดังล่าสุด จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว เส้นโค้งฟิลลิปส์ยังคงสามารถอธิบายเศรษฐกิจในโลกแห่งความจริงได้อยู่ไม่น้อย หากว่าได้ปรับมุมมองบางอย่างในตัวแปรทางเศรษฐกิจต่าง ๆให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ยิ่งทำให้ความเชื่อของพาวเวลดูเป็นจุดด้อยมากขึ้น โดยการที่พาวเวลไม่มองว่า เส้นโค้งฟิลลิปส์ที่จะส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะร้อนแรงจนส่งผลให้ภาวะอัตราเงินเฟ้อที่จะร้อนแรงขึ้นแบบต่อเนื่อง อาจจะทำให้เฟดยังคงทำ QE และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำนานเกินไป จนเศรษฐกิจเกิดร้อนแรงเกินไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว 2. เฟดได้เปลี่ยนจากวัตถุประสงค์ที่บริหารจัดการเศรษฐกิจเพื่อให้อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่เหมาะสม มาเป็นการทำให้อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด โดยพาวเวลได้ใช้คำว่าเพื่อให้มีการจ้างงานที่สูงสุดเมื่อปีที่แล้ว อันเนื่องมาจากความไม่เชื่อเส้นโค้งฟิลลิปส์ของพาวเวล ผมคิดว่าพาวเวลน่าจะเป็นประธานเฟดท่านแรกในประวัติศาสตร์ของเฟดที่มีมาเกือบ 100 ปี ที่กล้าพูดแบบแมนๆเช่นนี้ รวมถึงน่าจะเป็นนายธนาคารกลางของประเทศหลักในโลกเพียงท่านเดียว ณ ตอนนี้ ที่กล้าพูดเช่นนี้เช่นเดียวกัน หรืออาจกล่าวได้ว่า พาวเวลเชื่อว่าเส้นโค้งฟิลลิปส์ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานซึ่งมีความผกผันกัน ได้หมดไปจากโลกนี้ไปแล้ว 3. เฟดเปลี่ยนแนวทางการประเมินอัตราเงินเป้าหมาย โดยหันมาใช้ระดับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยแทนระดับอัตราเงินเฟ้อ ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง เป็นตัวเปรียบเทียบกับเป้าหมายร้อยละ 2 ตรงนี้ ทำให้เฟดยิ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ยากขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะอัตราเงินเฟ้อเดิมต่ำมาก ๆ มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ตรงนี้ ถือว่าจุดที่พาวเวลนำแนวคิดอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยมาใช้ในปีที่แล้วนั้น น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผิดพลาดก็น่าจะว่าได้ ซึ่งพาวเวลเน้นว่าไม่ใช่ว่าจะนำมาคิดคำนวณแบบคณิตศาสตร์เป๊ะ ๆ แต่ว่าจะใช้วิจารณญาณในการประเมิน ตรงนี้ เฟดถือว่าก็สามารถที่จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแม้ระดับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะเกินร้อยละ 2 ก็ตามที ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่กล่าวได้ว่า พาวเวลน่าจะเป็นประธานเฟดท่านแรกในประวัติศาสตร์เฟดยุคใหม่ รวมถึงน่าจะเป็นนายธนาคารกลางของประเทศหลักในโลกที่กล้าหันมาใช้รูปแบบอัตราเงินเฟ้อในลักษณะเช่นนี้ โดย ณ ปี 2022 สิ่งนี้ทำให้เฟดภายใต้พาวเวลเหมือนจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงขึ้นกว่าเดิมไปบางส่วนเสียแล้ว 4. พาวเวลไม่เชื่อหรือศรัทธาแนวคิดอัตราการว่างงานตามธรรมชาติ | อัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พุ่งขึ้นมาสู่ระดับ 7% นับว่าเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 40 ปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ ซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงานหรือ Core CPI ขึ้นมาเป็น 5.5%
เหตุผลต่าง ๆที่ ‘อัตราเงินเฟ้อ’ พุ่งขึ้นมาแบบรุนแรง
1. พาวเวลดูเหมือนจะไม่ศรัทธาในเส้นโค้งฟิลลิปส์ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน
ด้วยความที่นายพาวเวลไม่ได้เรียนจบมาทางเศรษฐศาสตร์ มีข้อดีคือ open-minded แต่มี ข้อเสีย คือเมื่อเรียนรู้ในช่วงเป็นผู้ใหญ่จะใช้วิจารณญาณในการเลือกเชื่อแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์
งานวิจัยของนักวิชาการชื่อดังล่าสุด จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว เส้นโค้งฟิลลิปส์ยังคงสามารถอธิบายเศรษฐกิจในโลกแห่งความจริงได้อยู่ไม่น้อย หากว่าได้ปรับมุมมองบางอย่างในตัวแปรทางเศรษฐกิจต่าง ๆให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ยิ่งทำให้ความเชื่อของพาวเวลดูเป็นจุดด้อยมากขึ้น
โดยการที่พาวเวลไม่มองว่า เส้นโค้งฟิลลิปส์ที่จะส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะร้อนแรงจนส่งผลให้ภาวะอัตราเงินเฟ้อที่จะร้อนแรงขึ้นแบบต่อเนื่อง อาจจะทำให้เฟดยังคงทำ QE และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำนานเกินไป จนเศรษฐกิจเกิดร้อนแรงเกินไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
2. เฟดได้เปลี่ยนจากวัตถุประสงค์ที่บริหารจัดการเศรษฐกิจเพื่อให้อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่เหมาะสม มาเป็นการทำให้อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด โดยพาวเวลได้ใช้คำว่าเพื่อให้มีการจ้างงานที่สูงสุดเมื่อปีที่แล้ว
3. เฟดเปลี่ยนแนวทางการประเมินอัตราเงินเป้าหมาย โดยหันมาใช้ระดับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยแทนระดับอัตราเงินเฟ้อ ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง เป็นตัวเปรียบเทียบกับเป้าหมายร้อยละ 2
4. พาวเวลไม่เชื่อหรือศรัทธาแนวคิดอัตราการว่างงานตามธรรมชาติ | 3.ตลาดการเงิน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน,1.สถาบันการเงิน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1244 | Finance | ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับการเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้น | ภาษีกำไรจากการขายหุ้นซึ่งยังไม่ได้มีการเสนอให้นำมาใช้นั้น ถ้าเกิดขึ้นก็น่าจะมีผลกระทบที่รุนแรงกับตลาดหุ้นไทยมากกว่ามาก เหตุผลก็เพราะว่านักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนระยะยาวที่ทุ่มเทกับการลงทุนและหลายคนนั้น “ลงทุนเพื่อชีวิต” คือลงทุนเพื่อให้หุ้นเติบโตขึ้นและหวังว่าจะเก็บไว้ใช้ยามเกษียณนั้น จะถูกภาษีกินไปมากจนยากที่จะสร้างพอร์ตให้โตเร็วอย่างที่คิด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เวลาหุ้นตัวไหนทำกำไรมากก็จะถูกหักภาษีมาก ในขณะที่หุ้นที่ขาดทุนก็ไม่สามารถจะนำมาลดภาษีลงได้ ผลก็คือ อัตราภาษีจริง ๆ ของการลงทุนทั้งพอร์ตน่าจะสูงมาก ซึ่งทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย “ไม่ค่อยคุ้ม” ทางแก้ก็คือ เลิกลงทุน หรือไม่ก็ไปลงทุนต่างประเทศซึ่งจะไม่มีภาระภาษีตัวนี้ นอกจากนั้น เจ้าของธุรกิจที่คิดจะเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดก็คงจะอยากเข้าน้อยลง เหตุผลก็เพราะว่าถ้าอยากจะขายหุ้นก็จะถูกภาษีกำไรจากการขายหุ้นสูงมากเพราะหุ้นเดิมมักจะมีราคาต้นทุนต่ำมากคือต้นทุนอาจจะเท่ากับราคาพาร์ในขณะที่ราคาตลาดมักจะสูงกว่ามาก บางทีเป็น 10 เท่าหรือ 100 เท่า ดังนั้น ตลาดหุ้นก็น่าจะโตยากเช่นเดียวกับการระดมเงินเพื่อการลงทุนในธุรกิจก็คงจะด้อยประสิทธิภาพลงมาก
ในกรณีของเหรียญคริปโตที่จะต้องเสียภาษีกำไรจากการขายเหรียญนั้น ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เหตุเพราะว่าราคาคริปโตขึ้นลงแกว่งตัวสูงมาก คนเล่นมักจะต้องขายถ้าราคาขึ้นไปแรง การขายทุกครั้งจะต้องเสียภาษี แต่เวลาขาดทุนไม่ได้คืน ผลก็คือ โดยเฉลี่ยอัตราภาษีจริงนั้นจะสูงลิ่วจนไม่คุ้มที่จะเล่น ดังนั้น ในความรู้สึกของผมก็คือ ถ้าทำจริง ๆ ก็มีโอกาสเกิด “หายนะ” ของตลาดซื้อขายคริปโตในเมืองไทย คนที่อยากจะเล่นก็ต้องหันไปใช้แพลตฟอร์มของต่างประเทศ เงินภาษีรัฐก็คงไม่ได้อยู่ดี | ภาษีกำไรจากการขายหุ้นซึ่งยังไม่ได้มีการเสนอให้นำมาใช้นั้น ถ้าเกิดขึ้นก็น่าจะมีผลกระทบที่รุนแรงกับตลาดหุ้นไทยมากกว่ามาก เหตุผลก็เพราะว่านักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนระยะยาวที่ทุ่มเทกับการลงทุนและหลายคนนั้น “ลงทุนเพื่อชีวิต” คือลงทุนเพื่อให้หุ้นเติบโตขึ้นและหวังว่าจะเก็บไว้ใช้ยามเกษียณนั้น จะถูกภาษีกินไปมากจนยากที่จะสร้างพอร์ตให้โตเร็วอย่างที่คิด
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เวลาหุ้นตัวไหนทำกำไรมากก็จะถูกหักภาษีมาก ในขณะที่หุ้นที่ขาดทุนก็ไม่สามารถจะนำมาลดภาษีลงได้ ผลก็คือ อัตราภาษีจริง ๆ ของการลงทุนทั้งพอร์ตน่าจะสูงมาก ซึ่งทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย “ไม่ค่อยคุ้ม” ทางแก้ก็คือ เลิกลงทุน หรือไม่ก็ไปลงทุนต่างประเทศซึ่งจะไม่มีภาระภาษีตัวนี้
นอกจากนั้น เจ้าของธุรกิจที่คิดจะเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดก็คงจะอยากเข้าน้อยลง เหตุผลก็เพราะว่าถ้าอยากจะขายหุ้นก็จะถูกภาษีกำไรจากการขายหุ้นสูงมากเพราะหุ้นเดิมมักจะมีราคาต้นทุนต่ำมากคือต้นทุนอาจจะเท่ากับราคาพาร์ในขณะที่ราคาตลาดมักจะสูงกว่ามาก บางทีเป็น 10 เท่าหรือ 100 เท่า ดังนั้น ตลาดหุ้นก็น่าจะโตยากเช่นเดียวกับการระดมเงินเพื่อการลงทุนในธุรกิจก็คงจะด้อยประสิทธิภาพลงมาก | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1246 | Finance | ข้อใดไม่ใช่รายละเอียดช้อปดีมีคืน ปี 2565 | A. ต้องเป็นการใช้จ่ายหรือใช้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2565 เท่านั้น ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นลงกว่าช้อปดีมีคืนในครั้งที่แล้วถึงเดือนนึง
B. ช้อปดีมีคืน คือมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เจาะกลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงช่วยเหลือผู้ประกอบการและร้านค้าที่จดทะเบียนในระบบ VAT
C. มูลค่าที่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ยังคงเป็นจำนวนสูงสุด 10,000 บาทเช่นเดิม
D. โดยภาพรวมแล้วรายละเอียดไม่ได้แตกต่างไปจากครั้งก่อนหน้าเมื่อปลายปี 2563 เท่าไร ยังคงเน้นกระตุ้นการใช้จ่ายสำหรับสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สินค้า OTOP และหนังสือ | คำตอบที่ถูกต้องคือ C. เพราะว่า ช้อปดีมีคืนกลับมาแล้ว ใครมีแผนซื้อของขวัญปีใหม่ต้องรีบศึกษาเงื่อนไขกันให้ดี ๆ เลย เพราะเราอาจจะได้ลดหย่อนภาษีกันตั้งแต่ต้นปี สูงสุดถึง 30,000 บาท!
รายละเอียดช้อปดีมีคืน ปี 2565
- ช้อปดีมีคืน คือมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เจาะกลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงช่วยเหลือผู้ประกอบการและร้านค้าที่จดทะเบียนในระบบ VAT
- โดยภาพรวมแล้วรายละเอียดไม่ได้แตกต่างไปจากครั้งก่อนหน้าเมื่อปลายปี 2563 เท่าไร ยังคงเน้นกระตุ้นการใช้จ่ายสำหรับสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สินค้า OTOP และหนังสือ
- ต้องเป็นการใช้จ่ายหรือใช้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2565 เท่านั้น ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นลงกว่าช้อปดีมีคืนในครั้งที่แล้วถึงเดือนนึง
- มูลค่าที่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ยังคงเป็นจำนวนสูงสุด 30,000 บาทเช่นเดิม
- หากเข้าร่วมโครงการช้อปดีมีคืน ปี 2565 แล้ว ก็สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 ได้เช่นกัน | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1248 | Finance | ขนาดงบดุลของ Fed ในปี 2565 อยู่ที่เท่าไหร่ | ก. อยู่ที่ 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ข. อยู่ที่ 3.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ค. อยู่ที่ 2.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ง. อยู่ที่ 8.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ | คำตอบที่ถูกต้อง คือ ง. 8.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1254 | Finance | จงสรุปบทความ มุมมองการลงทุนปี 2022 บนเศรษฐกิจยุค 4D | ในปี 2022 ผมมองว่าทิศทางการลงทุนของโลกจะขับเคลื่อนอยู่บนเศรษฐกิจยุค 4D ดังนี้ D ที่ 1 คือ การแบ่งขั้วออกเป็นระหว่างกลุ่มประเทศที่มีนโยบายการเงินที่เริ่มตึงตัว กับ กลุ่มที่มีนโยบายการเงินที่ยังผ่อนคลาย หรือ Monetary Policy Divide จากในปี 2021 ที่เราได้รับผลกระทบจากโควิด 19 แบบเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพและเศรษฐกิจ ซึ่งผลกระทบของโควิดต่อเศรษฐกิจที่หดตัวหรือชะลอตัวในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ได้รับการทำให้บรรเทาเบาบางลงโดยการใช้งบประมาณช่วยเหลือจากรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ และที่สำคัญ จากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจนอยู่ในระดับต่ำมาก หรือ จะเป็นมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE จากประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ ยุโรป หรือญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2021 ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์อุปทานที่ติดขัด (Supply Disruption) อุปทานของแรงงานที่หดตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐ (Great Resignation) รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ได้ส่งผลให้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ ยุโรป และอังกฤษ ได้ทะยานสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี สิ่งนี้ ได้ทำให้เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2021 ธนาคารกลางสหรัฐ ได้ตัดสินใจเปลี่ยนมุมมองของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจากที่เคยเห็นว่าเป็นเพียง ‘เรื่องชั่วคราว’ ให้เลิกใช้คำดังกล่าว รวมถึง ล่าสุด ได้ประกาศเร่งการหยุดการซื้อพันธบัตรสหรัฐภายใต้โครงการ QE ให้สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2022 เร็วขึ้นกว่าตารางเดิมเป็นเวลา 3 เดือน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จากนี้ ไป ธนาคารกลางสหรัฐจะเปลี่ยนมาเป็นอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีนโยบายการเงินที่เริ่มตึงตัว ตามหลังอังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ บราซิล และเกาหลีใต้ ที่ขึ้นดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยที่กลุ่มที่มีนโยบายการเงินที่ยังผ่อนคลายอยู่ ในตอนนี้ ประกอบด้วย ธนาคารกลางญี่ปุ่น อาเซียน และจีน การแบ่งขั้วของนโยบายการเงินออกเป็นสองฝั่งดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อทั้งตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และเงินสกุลคริปโทฯ ในปีนี้ D ที่ 2 คือ การแบ่งแยกออกเป็นระหว่างกลุ่มประเทศที่มีนโยบายการคลังที่เริ่มตึงตัว กับ กลุ่มที่มีนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลาย หรือ Fiscal Policy Divide โดยประเทศยักษ์ใหญ่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในโหมดนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลาย แม้กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จะไม่ใช่เป็นอย่างนั้นก็ตาม D ที่ 3 คือ การแบ่งแยกออกเป็นระหว่างกลุ่มประเทศที่มีการเข้าถึงวัคซีนโอมิครอนล่าสุดได้เร็ว กับ กลุ่มที่เข้าถึงวัคซีนโอมิครอนได้ช้า หรือ Vaccine Divide หากพิจารณา ณ ตรงนี้ น่าจะประเมินได้ว่า กลุ่มประเทศที่ผ่อนคลายนโยบายการเงิน ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และ อาเซียน กลุ่มประเทศที่ผ่อนคลายนโยบายการคลัง ได้แก่ สหรัฐ ยุโรป และ ญี่ปุ่น โดยประเทศที่ได้เปรียบจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง ได้แก่ ญี่ปุ่น โดยกองทุนที่แนะนำได้แก่ SCBNK225 SCBNK225 SCBNK225 กลุ่มประเทศที่ได้เปรียบการเข้าถึงวัคซีนล่าสุด ได้แก่ สหรัฐ ยุโรป และ จีน โดยประเทศที่ได้เปรียบจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการเข้าถึงวัคซีนล่าสุด ได้แก่ จีน โดยกองทุนที่แนะนำได้แก่ UOBSGC UOBSGC ส่วนประเทศที่ได้เปรียบจากการผ่อนคลายนโยบายการคลังและการเข้าถึงวัคซีนล่าสุด ได้แก่ สหรัฐ และ ยุโรป โดยกองทุนที่แนะนำได้แก่ SCBS&P500 และ K-EUROPE SCBS&P500 SCBS&P500 K-EUROPE สำหรับมุมมองการลงทุนของโลกในปี 2022 บนเศรษฐกิจยุค 4D แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ สถานการณ์แรก ได้แก่ Omicron จบเร็ว แล้วเลิกโควิด ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ถือว่ามองโลกในแง่ดีที่สุด โดยที่สถานการณ์โลกจะกลับเข้าสู่ภาวะเกือบปกติในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ในกรณีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ จะขึ้นดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้งเพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่จะเป็นช่วงขาขึ้นค่อนข้างแรง โดยที่จะมีงบกระตุ้นจากโครงการ Build Back Better คอยประคอง ในขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่นยังคงดำเนินนโยบายตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้า สถานการณ์ที่ 2 ได้แก่ Omicron จบช้า แล้วโควิดค่อย ๆ ซาลงไปเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ถือว่าเป็นกรณีฐาน ในกรณีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง โดยที่ เพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่จะเป็นช่วงขาขึ้นจากมาตรการผ่อนคลายของทางการสหรัฐตั้งแต่โควิดเกิดขึ้นมา แม้ฝั่งอุปสงค์จะถูกทำให้แผ่วลงบ้างจากโควิดโอมิครอนที่ไม่ซาลงเร็วมาก โดยที่จะมีงบกระตุ้นจากโครงการ Build Back Better คอยประคองสถานการณ์โควิด ในขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่นยังคงดำเนินนโยบายตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้า รวมถึงอาจจะเพิ่มการกระตุ้นมากขึ้นเล็กน้อย สถานการณ์ที่ 3 มีโควิดตัวใหม่หลัง Omicron หากเป็นเช่นนี้ ภาพการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการประเทศยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ จะกลับไปเหมือนกับตอนเริ่มต้นโควิดเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน หรือกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะยังอยู่ในโหมดผ่อนคลายแบบยาวมาก ๆ ท้ายสุด D ที่ 4 คือ การแบ่งแยกระหว่างเซกเตอร์หรือกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจเหมาะกับยุคโควิดในปัจจุบันหรือไม่ ที่เรียกว่า Sector Divide อาทิ หุ้นคุณค่าหรือ Value Stock น่าจะดูดีกว่าหุ้นเติบโต หรือ Growth Stock และ หุ้นเทคโนโลยี Tech Stock ที่โดดเด่นมากและมีกำไรที่สามารถจับต้องได้ในปัจจุบันเท่านั้น ที่ราคาหุ้นยังเติบโตต่อไปได้ในปีนี้ | ในปี 2022 ผมมองว่าทิศทางการลงทุนของโลกจะขับเคลื่อนอยู่บนเศรษฐกิจยุค 4D ดังนี้
1.) D ที่ 1 คือ การแบ่งขั้วออกเป็นระหว่างกลุ่มประเทศที่มีนโยบายการเงินที่เริ่มตึงตัว ในปี 2021 ที่เราได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ทำให้เศรษฐกิจที่หดตัวหรือชะลอตัวในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2021 ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์อุปทานที่ติดขัด (Supply Disruption) อุปทานของแรงงานที่หดตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐ (Great Resignation) รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ได้ส่งผลให้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ ยุโรป และอังกฤษ ได้ทะยานสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2021 ได้ประกาศเร่งการหยุดการซื้อพันธบัตรสหรัฐภายใต้โครงการ QE ให้สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2022 เร็วขึ้นกว่าตารางเดิมเป็นเวลา 3 เดือน
2.) D ที่ 2 คือ การแบ่งแยกออกเป็นระหว่างกลุ่มประเทศที่มีนโยบายการคลังที่เริ่มตึงตัว กับ กลุ่มที่มีนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลาย หรือ Fiscal Policy Divide
3.) D ที่ 3 คือ การแบ่งแยกออกเป็นระหว่างกลุ่มประเทศที่มีการเข้าถึงวัคซีนโอมิครอนล่าสุดได้เร็ว กับ กลุ่มที่เข้าถึงวัคซีนโอมิครอนได้ช้า หรือ Vaccine Divide
4.) D ที่ 4 คือ การแบ่งแยกระหว่างเซกเตอร์หรือกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจเหมาะกับยุคโควิดในปัจจุบันหรือไม่ ที่เรียกว่า Sector Divide
สำหรับมุมมองการลงทุนของโลกในปี 2022 บนเศรษฐกิจยุค 4D แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้
- สถานการณ์ที่ 1 ได้แก่ Omicron จบเร็ว แล้วเลิกโควิด ในกรณีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ จะขึ้นดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้งเพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่จะเป็นช่วงขาขึ้นค่อนข้างแรง
- สถานการณ์ที่ 2 ได้แก่ Omicron จบช้า แล้วโควิดค่อย ๆ ซาลงไปเรื่อยๆ ธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง โดยที่ เพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่จะเป็นช่วงขาขึ้นจากมาตรการผ่อนคลายของทางการสหรัฐตั้งแต่โควิดเกิดขึ้นมา
- สถานการณ์ที่ 3 มีโควิดตัวใหม่หลัง Omicron หากเป็นเช่นนี้ ภาพการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการประเทศยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ จะกลับไปเหมือนกับตอนเริ่มต้นโควิดเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน หรือกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะยังอยู่ในโหมดผ่อนคลายแบบยาวมาก ๆ
| 5.กลยุทธ์การลงทุน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1267 | Finance | กองทุน M-META หรือ MFC Metaverse Equity Fund จาก บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) มีนโยบายลงทุนใน Roundhill Ball Metaverse ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน M-META จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ใช่หรือไม่ | null | ใช่ กองทุน M-META หรือ MFC Metaverse Equity Fund จาก บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) มีนโยบายลงทุนใน Roundhill Ball Metaverse ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน M-META จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุน (ก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย) ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Ball Metaverse Index (ดัชนีอ้างอิง) ที่เป็นดัชนีแรกที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ทั่วโลกที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือการจัดหาผลิตภัณฑ์ บริการ เทคโนโลยี หรือความสามารถทาง เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึง Metaverse รวมถึงบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการสร้างรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse โดยจะคัดเลือกหุ้นที่อยูในธุรกิจที่จัดอยู่ใน Metaverse Market Map 7 ประเภท จากการวิจัย และการวิเคราะห์เชิงลึกของ Expert Council ที่มีความรู้ความชำนาญ
ทั้งนี้ กองทุนหลักอาจถือครองหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจและการดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency แต่จะไม่ลงทุนโดยตรงใน Cryptocurrency
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management / Index Tracking)
จุดเด่นของกองทุน M-META
- ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse ด้วยวิธีการประเมินอนาคตของบริษัทประเภทต่าง ๆ ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับ Metaverse และจัดสรรน้ำหนักลงทุนตามสัดส่วนของรายได้และผลกําไรที่โยงกับ Metaverse
- ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse Ecosystem
- โอกาสรับผลตอบแทนจากธุรกิจ Metaverse ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1268 | Finance | Matterport: (NASDAQ: MTTR) เป็น บริษัท SaaS อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา ใช่หรือไม่ | null | ใช่ Matterport: (NASDAQ: MTTR) เป็นบริษัท SaaS อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา ที่ใช้กล้องเปลี่ยนข้อมูลพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ให้เป็น 3D Model เพื่อให้ง่ายต่อ planning, construction, marketing
กลไกทำงานหลักของ Matterport คือใช้กล้องทำงานร่วมกับ Lidar ถ่ายไปรอบ ๆ และให้ software ประมวลผลว่าหน้าตา ระยะ เป็นอย่างไร
สิ่งที่ได้ออกมานอกจากจะเป็นไฟล์ 3D Visual คุณภาพสูงที่มีไม่เปลืองความจุมากนัก สะดวกในการนำส่งขึ้น website หรือ platform ต่าง ๆ เช่น Youtube, Google Street View แล้วยังสามารถ คำนวณแบบแปลนพื้นที่ แปลงเป็น ไฟล์ BIM ที่ใช้ในวงการวิศวกรรม และ ออกแบบต่าง ๆ นำ Data ที่ได้ทำ SDK และ API ต่อยอดในด้าน AI และพัฒนาโปรแกรม รวมถึงรองรับ AR และ VR Platform อีกด้วย
Use Case ที่ใช้อยู่ทั่วไป เช่น การนำ 3D Model ใช้เพื่อแสดงผล ให้ลูกค้าเห็นภาพรวมของพื้นที่ ส่งผลให้ลูกค้าเลือกพื้นที่ที่มีบริการ 3D Visual ของ matterport มากกว่าไม่มี ถึง 30%
Matterport ทำให้เรื่องที่เป็นแค่จินตนาการในเกมจากยุค 2000 กลายเป็นจริงได้ และยังอยู่ในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทางบริษัทคาด TAM จะใหญ่ถึง 240,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 7.4 ล้านล้านบาท | 5.ความรู้ทางการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_127 | Finance | ฟลูโรนา เป็นชื่ออาการของคนที่ติดเชื่้อโควิดกับโรคอะไร | ไขข้อข้องใจ ประกัน(สุขภาพ) ที่มี คุ้มครองโควิดแค่ไหน “
• คนที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้วควรทบทวนประกันว่าครอบคลุมการรักษา หรือคุ้มครองโควิดมากน้อยแค่ไหน ส่วนคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพควรเลือกแบบประกันที่คุ้มครองทุกการรักษาที่ตรงกับความต้องการได้
• สิ่งที่ควรดูคือประกันสุขภาพนั้น เป็นแบบเหมาจ่าย แยกค่าใช้จ่าย เงินชดเชยรายวันระหว่างนอนรักษา หรือแบบจ่ายเงินก้อน
“
การแพร่ระบาดของ Covid-19 ย้ำเตือนให้หลายคนมองเห็นว่าสุขภาพว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและต้องวางแผน อีกทั้งทุกวันนี้มีโรคใหม่ๆ เกิดอยู่ตลอดเวลาล่าสุดคือ ฟลูโรนา (Flurona) ซึ่งเป็นชื่ออาการของคนที่ติดเชื้อโควิด (Coronavirus) กับไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) พร้อมกัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบฟลูโรนาในไทยแต่ด้วยสถานการณ์ที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดหนักอยู่ ทำให้คนส่วนใหญ่มองหาประกันสุขภาพเพื่อให้พร้อมรับความเสี่ยงนี้มากขึ้น เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็มีประกันคอยช่วยดูแล “
• คนที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้วควรทบทวนประกันว่าครอบคลุมการรักษา หรือคุ้มครองโควิดมากน้อยแค่ไหน ส่วนคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพควรเลือกแบบประกันที่คุ้มครองทุกการรักษาที่ตรงกับความต้องการได้
• สิ่งที่ควรดูคือประกันสุขภาพนั้น เป็นแบบเหมาจ่าย แยกค่าใช้จ่าย เงินชดเชยรายวันระหว่างนอนรักษา หรือแบบจ่ายเงินก้อน
“ “ “ • คนที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้วควรทบทวนประกันว่าครอบคลุมการรักษา หรือคุ้มครองโควิดมากน้อยแค่ไหน ส่วนคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพควรเลือกแบบประกันที่คุ้มครองทุกการรักษาที่ตรงกับความต้องการได้ • คนที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้วควรทบทวนประกันว่าครอบคลุมการรักษา หรือคุ้มครองโควิดมากน้อยแค่ไหน ส่วนคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพควรเลือกแบบประกันที่คุ้มครองทุกการรักษาที่ตรงกับความต้องการได้ • คนที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้วควรทบทวนประกันว่าครอบคลุมการรักษา หรือคุ้มครองโควิดมากน้อยแค่ไหน ส่วนคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพควรเลือกแบบประกันที่คุ้มครองทุกการรักษาที่ตรงกับความต้องการได้ • สิ่งที่ควรดูคือประกันสุขภาพนั้น เป็นแบบเหมาจ่าย แยกค่าใช้จ่าย เงินชดเชยรายวันระหว่างนอนรักษา หรือแบบจ่ายเงินก้อน • สิ่งที่ควรดูคือประกันสุขภาพนั้น เป็นแบบเหมาจ่าย แยกค่าใช้จ่าย เงินชดเชยรายวันระหว่างนอนรักษา หรือแบบจ่ายเงินก้อน • สิ่งที่ควรดูคือประกันสุขภาพนั้น เป็นแบบเหมาจ่าย แยกค่าใช้จ่าย เงินชดเชยรายวันระหว่างนอนรักษา หรือแบบจ่ายเงินก้อน “ “ การแพร่ระบาดของ Covid-19 ย้ำเตือนให้หลายคนมองเห็นว่าสุขภาพว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและต้องวางแผน อีกทั้งทุกวันนี้มีโรคใหม่ๆ เกิดอยู่ตลอดเวลาล่าสุดคือ ฟลูโรนา (Flurona) ซึ่งเป็นชื่ออาการของคนที่ติดเชื้อโควิด (Coronavirus) กับไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) พร้อมกัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบฟลูโรนาในไทยแต่ด้วยสถานการณ์ที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดหนักอยู่ ทำให้คนส่วนใหญ่มองหาประกันสุขภาพเพื่อให้พร้อมรับความเสี่ยงนี้มากขึ้น เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็มีประกันคอยช่วยดูแล การแพร่ระบาดของ Covid-19 ย้ำเตือนให้หลายคนมองเห็นว่าสุขภาพว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและต้องวางแผน อีกทั้งทุกวันนี้มีโรคใหม่ๆ เกิดอยู่ตลอดเวลาล่าสุดคือ ฟลูโรนา (Flurona) ซึ่งเป็นชื่ออาการของคนที่ติดเชื้อโควิด (Coronavirus) กับไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) พร้อมกัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบฟลูโรนาในไทยแต่ด้วยสถานการณ์ที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดหนักอยู่ ทำให้คนส่วนใหญ่มองหาประกันสุขภาพเพื่อให้พร้อมรับความเสี่ยงนี้มากขึ้น เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็มีประกันคอยช่วยดูแล การแพร่ระบาดของ Covid-19 ย้ำเตือนให้หลายคนมองเห็นว่าสุขภาพว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและต้องวางแผน อีกทั้งทุกวันนี้มีโรคใหม่ๆ เกิดอยู่ตลอดเวลาล่าสุดคือ ฟลูโรนา (Flurona) ซึ่งเป็นชื่ออาการของคนที่ติดเชื้อโควิด (Coronavirus) กับไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) พร้อมกัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบฟลูโรนาในไทยแต่ด้วยสถานการณ์ที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดหนักอยู่ ทำให้คนส่วนใหญ่มองหาประกันสุขภาพเพื่อให้พร้อมรับความเสี่ยงนี้มากขึ้น เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็มีประกันคอยช่วยดูแล ประกัน(สุขภาพ) ที่มี คุ้มครองโควิดแค่ไหน ประกัน(สุขภาพ) ที่มี คุ้มครองโควิดแค่ไหน หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าประกันสุขภาพสามารถคุ้มครองโควิดได้ เพราะถือว่าการติดเชื้อโควิดเป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง และปัจจุบันก็มีประกันสุขภาพในท้องตลาดมากมายทั้งที่ให้ความคุ้มครองการเจ็บป่วยทั่วไป หรือ คุ้มครองเฉพาะบางกลุ่มโรค เช่น โรคร้ายแรง การติดเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ต่างๆ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าประกันสุขภาพที่มีอยู่คุ้มครองแค่ไหน ครอบคลุมทุกการรักษาทุกโรคภัยหรือไม่ และมีทางเลือกในการรับการรักษาแบบใดบ้าง เพื่อให้สามารถเข้าใจและนำไปสู่การเลือกประกันสุขภาพที่คุ้มครองโควิดได้คุ้มค่าที่สุด ขออธิบายโดยแบ่งเป็นทางเลือกดังนี้ 1) แบบแยกค่าใช้จ่าย : คือประกันสุขภาพที่กำหนดวงเงินความคุ้มครองให้แต่ละรายการแยกตามที่กำหนดไว้ เช่น ค่าห้อง ค่าผ่าตัด และค่ายา เป็นต้น การจ่ายค่ารักษาก็จะเป็นไปตามค่าใช้จ่ายจริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันแต่ละรายการ ซึ่งอาจมีส่วนต่างในกรณีมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินในแต่ละรายการ แต่มีข้อดีคือค่าเบี้ยประกันจะถูกกว่าแบบเหมาจ่ายด้วยวงเงินความคุ้มครองที่เท่ากัน เช่น สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย Health Care Plus 1) แบบแยกค่าใช้จ่าย : คือประกันสุขภาพที่กำหนดวงเงินความคุ้มครองให้แต่ละรายการแยกตามที่กำหนดไว้ เช่น ค่าห้อง ค่าผ่าตัด และค่ายา เป็นต้น การจ่ายค่ารักษาก็จะเป็นไปตามค่าใช้จ่ายจริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันแต่ละรายการ ซึ่งอาจมีส่วนต่างในกรณีมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินในแต่ละรายการ แต่มีข้อดีคือค่าเบี้ยประกันจะถูกกว่าแบบเหมาจ่ายด้วยวงเงินความคุ้มครองที่เท่ากัน เช่น สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย Health Care Plus 2) แบบเหมาจ่าย : คือประกันสุขภาพที่กำหนดเป็นวงเงินค่าใช้จ่ายโดยรวมไว้เป็นต่อปีหรือต่อครั้ง แต่มักมีการแยกค่าใช้จ่ายบางประเภท เช่น ค่าห้อง ฯลฯ ซึ่งมีทั้งแบบจำกัดค่าห้อง หรือจ่ายให้ตามจริงไม่เกินวงเงินความคุ้มครองสูงสุด โดยค่าเบี้ยประกันสูงกว่าแบบแยกค่าใช้จ่าย แต่มีข้อดีคือมั่นใจได้ว่าคุ้มครองทุกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นภายใต้วงเงินที่กำหนด เช่น สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ Elite Health และ Delight Health 2) แบบเหมาจ่าย : คือประกันสุขภาพที่กำหนดเป็นวงเงินค่าใช้จ่ายโดยรวมไว้เป็นต่อปีหรือต่อครั้ง แต่มักมีการแยกค่าใช้จ่ายบางประเภท เช่น ค่าห้อง ฯลฯ ซึ่งมีทั้งแบบจำกัดค่าห้อง หรือจ่ายให้ตามจริงไม่เกินวงเงินความคุ้มครองสูงสุด โดยค่าเบี้ยประกันสูงกว่าแบบแยกค่าใช้จ่าย แต่มีข้อดีคือมั่นใจได้ว่าคุ้มครองทุกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นภายใต้วงเงินที่กำหนด เช่น สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ Elite Health และ Delight Health 3) แบบชดเชยรายวัน : คือประกันสุขภาพที่มีเงินชดเชยให้ในจำนวนเงินที่แน่นอนตามจำนวนวันที่นอนโรงพยาบาล เช่น สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพวงเงินแน่นอน Health Benefit Plus 3) แบบชดเชยรายวัน : คือประกันสุขภาพที่มีเงินชดเชยให้ในจำนวนเงินที่แน่นอนตามจำนวนวันที่นอนโรงพยาบาล เช่น สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพวงเงินแน่นอน Health Benefit Plus 4) แบบจ่ายเงินก้อน : คือประกันสุขภาพที่จ่ายเป็นเงินก้อนเมื่อเข้าเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ตรวจพบโรคมะเร็ง ภาวะโคม่าจากการติดเชื้อ Covid-19 เป็นต้น 4) แบบจ่ายเงินก้อน : คือประกันสุขภาพที่จ่ายเป็นเงินก้อนเมื่อเข้าเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ตรวจพบโรคมะเร็ง ภาวะโคม่าจากการติดเชื้อ Covid-19 เป็นต้น รูปแบบในการรักษา กับ ประกันสุขภาพ และสวัสดิการที่มี รูปแบบในการรักษา กับ ประกันสุขภาพ และสวัสดิการที่มี กรณีที่ดีที่สุดคือไม่ติดเชื้อโควิด แต่ในทางตรงกันข้ามหากเกิดการติดเชื้อโควิดขึ้นมาสิ่งแรกที่ผู้ป่วยมักกังวลใจ คือ ประกันสุขภาพหรือสวัสดิการของที่ทำงานจะครอบคลุมการรักษากรณีไหนบ้าง เพราะหากเลือกได้คงอยากเลือกรูปแบบการรักษาบนพื้นฐานของแบบแผนความคุ้มครองที่แต่ละคนมีติดตัวไว้ ดังนี้ • การรักษาตัวที่บ้านหรือในชุมชน (Home & Community Isolation)
- กรณีไม่มีประกัน : สามารถใช้สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม หรือ สิทธิข้าราชการ จะให้ความดูแลในเรื่องค่าติดตาม ประเมิน อาการ ให้คำปรึกษา ค่ายาพื้นฐาน จ่ายแบบเหมาจ่ายแต่ไม่รวมค่าอาหาร เป็นต้น
- กรณีมีประกัน : ไม่สามารถเคลมประกัน
• การรักษาตัวในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ สถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel)
- กรณีไม่มีประกัน : สามารถใช้สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม หรือ สิทธิข้าราชการ จะให้ความดูแลในเรื่องค่าบริการ ทางการแพทย์ ตามราคากลางประกาศกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น
- กรณีมีประกัน : สามารถใช้สิทธิของประกันโควิดหรือประกันสุขภาพได้ หากต้องได้รับการรักษาตัวตามความจำเป็นทางการแพทย์
ทั้งนี้การที่จะเข้ารับการรักษาแบบใดนั้น ต้องดูความรุนแรงของอาการร่วมด้วยโดยแยกเป็น 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่มผู้ป่วยสีเขียว คือคนที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูก แต่ไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน สามารถเลือกได้ว่าจะเข้ารับการรักษาที่บ้าน ชุมชน โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel กลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง คือคนที่อาการไม่รุนแรง แต่อาจมีโรคแทรกซ้อนและปัจจัยเสี่ยงอื่นเพิ่ม ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้น ยกเว้นแพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถรักษาตัวที่บ้านได้ และ กลุ่มผู้ป่วยสีแดง คือกลุ่มที่มีอาการรุนแรงต้องรีบเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโดยเร็ว • การรักษาตัวที่บ้านหรือในชุมชน (Home & Community Isolation) • การรักษาตัวที่บ้านหรือในชุมชน (Home & Community Isolation) - กรณีไม่มีประกัน : สามารถใช้สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม หรือ สิทธิข้าราชการ จะให้ความดูแลในเรื่องค่าติดตาม ประเมิน อาการ ให้คำปรึกษา ค่ายาพื้นฐาน จ่ายแบบเหมาจ่ายแต่ไม่รวมค่าอาหาร เป็นต้น - กรณีไม่มีประกัน : สามารถใช้สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม หรือ สิทธิข้าราชการ จะให้ความดูแลในเรื่องค่าติดตาม ประเมิน อาการ ให้คำปรึกษา ค่ายาพื้นฐาน จ่ายแบบเหมาจ่ายแต่ไม่รวมค่าอาหาร เป็นต้น - กรณีมีประกัน : ไม่สามารถเคลมประกัน - กรณีมีประกัน : ไม่สามารถเคลมประกัน • การรักษาตัวในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ สถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) • การรักษาตัวในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ สถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) - กรณีไม่มีประกัน : สามารถใช้สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม หรือ สิทธิข้าราชการ จะให้ความดูแลในเรื่องค่าบริการ ทางการแพทย์ ตามราคากลางประกาศกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น - กรณีไม่มีประกัน : สามารถใช้สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม หรือ สิทธิข้าราชการ จะให้ความดูแลในเรื่องค่าบริการ ทางการแพทย์ ตามราคากลางประกาศกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น - กรณีมีประกัน : สามารถใช้สิทธิของประกันโควิดหรือประกันสุขภาพได้ หากต้องได้รับการรักษาตัวตามความจำเป็นทางการแพทย์ - กรณีมีประกัน : สามารถใช้สิทธิของประกันโควิดหรือประกันสุขภาพได้ หากต้องได้รับการรักษาตัวตามความจำเป็นทางการแพทย์ ทั้งนี้การที่จะเข้ารับการรักษาแบบใดนั้น ต้องดูความรุนแรงของอาการร่วมด้วยโดยแยกเป็น 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่มผู้ป่วยสีเขียว คือคนที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูก แต่ไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน สามารถเลือกได้ว่าจะเข้ารับการรักษาที่บ้าน ชุมชน โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel กลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง คือคนที่อาการไม่รุนแรง แต่อาจมีโรคแทรกซ้อนและปัจจัยเสี่ยงอื่นเพิ่ม ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้น ยกเว้นแพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถรักษาตัวที่บ้านได้ และ กลุ่มผู้ป่วยสีแดง คือกลุ่มที่มีอาการรุนแรงต้องรีบเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโดยเร็ว ทั้งนี้การที่จะเข้ารับการรักษาแบบใดนั้น ต้องดูความรุนแรงของอาการร่วมด้วยโดยแยกเป็น 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่มผู้ป่วยสีเขียว คือคนที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูก แต่ไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน สามารถเลือกได้ว่าจะเข้ารับการรักษาที่บ้าน ชุมชน โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel กลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง คือคนที่อาการไม่รุนแรง แต่อาจมีโรคแทรกซ้อนและปัจจัยเสี่ยงอื่นเพิ่ม ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้น ยกเว้นแพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถรักษาตัวที่บ้านได้ และ กลุ่มผู้ป่วยสีแดง คือกลุ่มที่มีอาการรุนแรงต้องรีบเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโดยเร็ว ประกันสุขภาพที่มีเพียงพอแล้วหรือควรซื้อเพิ่ม ประกันสุขภาพที่มีเพียงพอแล้วหรือควรซื้อเพิ่ม • เช็กค่าห้องของโรงพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษา รวมไปถึง Hospitel คู่สัญญาของโรงพยาบาล ว่าประกันสุขภาพที่มีครอบคลุมค่าห้องหรือไม่ • เช็กวงเงินความคุ้มครองสุขภาพที่มีอยู่ว่าเพียงพอหรือไม่ โดยปัจจุบันค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลเอกชน หรือ Hospitel อาจจะอยู่ที่หลักแสนบาท • เช็กวงเงินความคุ้มครองสุขภาพที่มีอยู่ว่าเพียงพอหรือไม่ โดยปัจจุบันค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลเอกชน หรือ Hospitel อาจจะอยู่ที่หลักแสนบาท • เช็กรายได้หรือความเสียหายที่เกิดขึ้น หากต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เพื่อเลือกประกันแบบชดเชยรายวันที่เหมาะสม สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่ำ สุขภาพร่างกายแข็งแรง และมองว่าประกันสุขภาพไม่ได้มีความจำเป็นต่อตนเองมากนัก อยากแนะนำให้มีประกันสุขภาพฉบับเล็กๆ หรือประกันคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการโควิดไว้ ซึ่งค่าเบี้ยมีตั้งแต่หลักร้อยไปหรือหลักพัน
สำหรับคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพหากจ่ายเบี้ยไหว แนะนำให้ทำประกันสุขภาพ เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้จริงเมื่อจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลจากการติดโควิด ซึ่งหลังจากทำประกันสุขภาพแล้วนั้นจะยังไม่คุ้มครองทันทีเนื่องจากมีระยะเวลารอคอย 30 วันสำหรับโรคทั่วไป ส่วนโรคร้ายแรงอาจมีระยะเวลารอคอยถึง 90 วัน
หมายเหตุ
เมืองไทยประกันชีวิตปรับลดระยะเวลารอคอย กรณีการเจ็บป่วยที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อโควิด 19 จากเดิม 30 วัน เหลือเพียง 14 วัน ถึงวันที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารกสิกรไทย, บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต • เช็กรายได้หรือความเสียหายที่เกิดขึ้น หากต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เพื่อเลือกประกันแบบชดเชยรายวันที่เหมาะสม สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่ำ สุขภาพร่างกายแข็งแรง และมองว่าประกันสุขภาพไม่ได้มีความจำเป็นต่อตนเองมากนัก อยากแนะนำให้มีประกันสุขภาพฉบับเล็กๆ หรือประกันคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการโควิดไว้ ซึ่งค่าเบี้ยมีตั้งแต่หลักร้อยไปหรือหลักพัน สำหรับคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพหากจ่ายเบี้ยไหว แนะนำให้ทำประกันสุขภาพ เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้จริงเมื่อจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลจากการติดโควิด ซึ่งหลังจากทำประกันสุขภาพแล้วนั้นจะยังไม่คุ้มครองทันทีเนื่องจากมีระยะเวลารอคอย 30 วันสำหรับโรคทั่วไป ส่วนโรคร้ายแรงอาจมีระยะเวลารอคอยถึง 90 วัน
หมายเหตุ
เมืองไทยประกันชีวิตปรับลดระยะเวลารอคอย กรณีการเจ็บป่วยที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อโควิด 19 จากเดิม 30 วัน เหลือเพียง 14 วัน ถึงวันที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารกสิกรไทย, บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต สำหรับคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพหากจ่ายเบี้ยไหว แนะนำให้ทำประกันสุขภาพ เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้จริงเมื่อจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลจากการติดโควิด ซึ่งหลังจากทำประกันสุขภาพแล้วนั้นจะยังไม่คุ้มครองทันทีเนื่องจากมีระยะเวลารอคอย 30 วันสำหรับโรคทั่วไป ส่วนโรคร้ายแรงอาจมีระยะเวลารอคอยถึง 90 วัน หมายเหตุ หมายเหตุ หมายเหตุ เมืองไทยประกันชีวิตปรับลดระยะเวลารอคอย กรณีการเจ็บป่วยที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อโควิด 19 จากเดิม 30 วัน เหลือเพียง 14 วัน ถึงวันที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 เมืองไทยประกันชีวิตปรับลดระยะเวลารอคอย กรณีการเจ็บป่วยที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อโควิด 19 จากเดิม 30 วัน เหลือเพียง 14 วัน ถึงวันที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 เมืองไทยประกันชีวิตปรับลดระยะเวลารอคอย กรณีการเจ็บป่วยที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อโควิด 19 จากเดิม 30 วัน เหลือเพียง 14 วัน ถึงวันที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารกสิกรไทย, บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารกสิกรไทย, บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารกสิกรไทย, บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต บทความโดย K WEALTH GURU พธพร รัตนสิโรจน์กุล K WEALTH GURU พธพร รัตนสิโรจน์กุล | ฟลูโรนา (Flurona) ซึ่งเป็นชื่ออาการของคนที่ติดเชื้อโควิด (Coronavirus) กับไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) พร้อมกัน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1277 | Finance | การลงทุนที่แย่ที่สุดช่วงวิกฤตปี 2540 | จากการลงทุนและใช้ชีวิตมายาวนานผมลองคิดดูว่าอะไรคือการลงทุนที่ “ดีที่สุด” และอะไรคือการลงทุนที่ “แย่ที่สุด” ของผม นี่ไม่ใช่ผลตอบแทนทางด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงผลตอบแทนทางด้านอื่นเช่นผลตอบแทนทางด้านจิตใจ อารมณ์ ความรู้และความสามารถที่จะเป็นฐานให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในอนาคตด้วย นอกจากนั้น เวลาผมพิจารณาหรือประเมิน ผมก็จะต้องดูด้วยว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้น มันจะอยู่ต่อเนื่องยาวนานมากน้อยแค่ไหน เหตุผลก็เพราะว่า การลงทุนในหลาย ๆ เรื่องนั้น ไม่ได้มี “ตลาด” ที่เราจะสามารถ ซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนได้ เราไม่สามารถรับผลตอบแทนทั้งหมดทันที ผลตอบแทนที่เราจะได้ก็คือ “ปันผล” ทั้งที่เป็นเม็ดเงินหรือการใช้สอยหรือเรื่องของความสุขที่จะได้รับต่อเนื่องยาวนานไปในอนาคต
การลงทุนที่คิดว่า “ดีที่สุด” ของผมนั้น ชัดเจนว่าคือการลงทุนในการศึกษาจาก “โรงเรียน” และการหาความรู้โดยเฉพาะจากการอ่านหนังสือตลอดชีวิต เพราะถ้าปราศจากสิ่งนี้ ชีวิตผมคงไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ได้เลย ผมเคยลองคิดดูว่าถ้าผมเรียนจบแค่ปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมและทำงานไปเรื่อย ๆ ในโรงงานขนาดใหญ่ โอกาสที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ 1) ผมอาจจะเริ่มมีครอบครัว มีลูก ซึ่งก็จะทำให้ “ยุ่ง” เกินไปที่จะคิดทำอย่างอื่นและก็คงรู้สึก “เสี่ยง” เกินไปที่จะหันไปทำธุรกิจ “ขนาดเล็ก” ที่ตนเองพอจะมีศักยภาพที่จะทำได้ ดังนั้น ผลก็คือ ผมก็คงทำงานเป็นผู้บริหารโรงงานจนถึงวันเกษียณ ชีวิตก็น่าจะอยู่ดีพอสมควรตามอัตภาพ
หรือ 2) ผมอาจจะพบว่าสามารถเริ่ม “ทำธุรกิจ” ควบคู่ไปกับการทำงานประจำในตอนแรกเพื่อสะสมเงินและประสบการณ์ และถ้าธุรกิจเริ่มไปได้ดี ก็อาจจะออกมาทำธุรกิจเต็มตัวอย่างที่เพื่อนนักเรียนเก่าหลายคนทำและก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ว่าที่จริงในช่วงที่ยังทำงานโรงงานผมก็เริ่ม “รับเหมางาน” ทำบ้างเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าผมทำต่อไปเรื่อย ๆ โอกาสที่จะมีธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นก็คงจะยากเพราะไม่ได้ทุ่มเทเต็มที่ และในกรณีนั้น ผมก็คิดว่ามันก็ไม่ได้ดีไปกว่าการเป็นผู้บริหารด้านการผลิตในโรงงานขนาดใหญ่มากนัก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ชีวิตก็คงจะ “เหนื่อย” พอสมควรทีเดียว
แต่การที่ผมศึกษาต่อจนถึงปริญญาเอกในสายบริหารธุรกิจนั้น ได้ “ขยายโลก” ให้กว้างขึ้นมาก มันเหมือนกับการลงทุนในการซื้อหรือถือ “กุญแจ” ที่จะสามารถเปิดเข้าไปสู่โลกใหม่ที่มีโอกาสมากกว่าเดิมมาก การได้เรียนและรู้จัก “ธุรกิจ” อย่างกว้างขวางในทุกมิติตั้งแต่การจัดตั้งและบริหารธุรกิจ การระดมทุนและการซื้อขายหลักทรัพย์ที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการรู้ว่าคุณค่าหรือมูลค่าของกิจการควรเป็นเท่าไรนั้น ทำให้ผมสามารถ “ลงทุน” ในตราสารทางการเงินเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ “หุ้น” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนั่นก็นำไปสู่การลงทุนที่ “ดีที่สุด” ในแง่ของผลตอบแทนทางการเงินนั่นก็คือ
การลงทุนในหุ้นกลุ่ม “ค้าปลีกสมัยใหม่” หลาย ๆ ตัวเมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา ในวันนั้นผมเริ่มตระหนักว่าประเทศไทยได้พัฒนามาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่มีรายได้และความมั่งคั่งเพียงพอที่จะบริโภคอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ที่มีคุณภาพสูงและมีความสะดวกที่จะซื้อซึ่งเสนอโดยบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม “Modern Trade” แทนที่จะซื้อจากร้านค้าแบบดั้งเดิมที่บริหารโดยครอบครัว หุ้นในกลุ่มนี้ครอบคลุมในแทบจะทุกสินค้าตั้งแต่การขายหนังสือไปจนถึงอุปกรณ์ตกแต่งซ่อมแซมบ้านไปจนถึงอาหารและสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันและสินค้าที่ “สะดวกซื้อ” ในแทบทุกแห่งของประเทศ และที่สำคัญในช่วงเวลานั้นผมเริ่มที่จะเห็น “ผู้ชนะ” ที่มีหุ้นซื้อ-ขายในราคาที่ “ไม่แพง” อานิสงค์จากการที่กำไรของบริษัทก็ยังไม่ดีนักเนื่องจากเป็นช่วงต้นของวงจรธุรกิจที่ยังต้องลงทุนสูงและการที่นักลงทุนเองก็ยัง “ไม่รู้จัก” รูปแบบทางธุรกิจหรือ “Business Model” ของกิจการเหล่านั้น
การลงทุนในหุ้นค้าปลีก ที่ในเวลาต่อมาผมเรียกว่าเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” จำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าเกิน 70% ของพอร์ตและถือไว้ยาวนานเป็น 10 ปีขึ้นไปและบางตัวจนถึงวันนี้นั้น ได้ “เปลี่ยนชีวิต” ผมไปอย่างสิ้นเชิง เพราะผลตอบแทนที่ได้นั้นสูง ยาวนาน และมั่นคงมาก จริงอยู่ หุ้นอีกหลาย ๆ ตัวที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มค้าปลีกในพอร์ตของผมก็ให้ผลตอบแทนไม่แพ้กันมากนักแต่หุ้นเหล่านั้นผมก็มักจะซื้อและก็ต้องขายไปในเวลาไม่นานนัก เช่นเดียวกับที่ไม่กล้าถือจำนวนมาก เหตุผลก็คือ มันมักจะให้ผลตอบแทนสูงเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ 2-3 ปีในช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังดีหรือบริษัทกำลัง “ขาขึ้น” ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดังนั้น เราก็ต้อง “เปลี่ยนตัว” เล่นเป็นระยะ ๆ ไม่เหมือนกับหุ้นกลุ่มโมเดิร์นเทรดที่สามารถซื้อแล้วถือไว้จนกว่าจะหมด “เมกาเทรนด์” หรือธุรกิจ “อิ่มตัว” ยอดขายไม่โตแล้ว
การลงทุนที่ “ดีที่สุด” ตัวที่สามก็คือ การลงทุนสร้าง “บ้าน” ที่มี Facility หรือสิ่งอำนวยประโยชน์พร้อม เช่น มีที่ออกกำลังกาย มีห้องบันเทิงและมีสวนอยู่ในบริเวณบ้านเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งก็อาจจะมาจากการที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งทำให้ต้องอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลานานจนถึงวันนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้ว บ้านกลายเป็นสถานที่ที่ผมใช้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นและเพื่อความรื่นรมย์ในชีวิตซึ่งในอดีตนั้นผมแทบจะทำไม่ได้เนื่องจากบ้านมีขนาดเล็กมากและแทบจะใช้เพื่อการนอน การกินอาหารและการทำงานเท่านั้น การมีบ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและให้ความรื่นรมย์เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยมี แต่เมื่อมีแล้วผมก็รู้สึกว่าผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มมาก และถึงแม้ว่าโควิดก็อาจจะหมดไปในไม่ช้า ผมก็คิดว่าบ้านหลังนี้ก็จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศอยู่แม้ว่าการลงทุนจะค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับทรัพย์สินอื่นแล้วก็ต้องถือว่าน้อยมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นี่ไม่ใช่ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินที่เราหาไม่ได้ง่ายนักจากการลงทุนแบบอื่น
การลงทุนที่ “แย่ที่สุด” สำหรับผมน่าจะเป็นการลงทุนซื้อ “ที่ดิน” ในโครงการจัดสรรย่านบางบัวทองช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 ที่เป็นช่วง “ยุคทอง” ของการซื้อขายบ้านจัดสรร ที่จริงผมเองไม่ได้ต้องการไปอยู่จริงแต่เป็นการซื้อทิ้งไว้เพื่อเอาไว้สร้าง “บ้านริมคลอง” ในอนาคต ตอนที่ตัดสินใจซื้อนั้น ผมมาคิดดูคงเป็นเรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดูละครเรื่อง “สองฝั่งคลอง” ที่กำลังดังในช่วงนั้น ดูแล้วคงจะ “อิน” กับการได้อยู่ในบรรยากาศ “โรแมนติก” ของคนที่อยู่บ้านริมน้ำแบบไทย ๆ สมัยก่อน ดังนั้น พอมีโครงการจัดสรรที่ดินริมคลองบางบัวทองและผมได้ไปชมโครงการยามที่คลองปริ่มไปด้วยน้ำฤดูฝน ผมจึงซื้อทันที แต่พอถึงวันที่จะโอน กรุงเทพก็เจอน้ำท่วมใหญ่ ที่ดินริมคลองบางบัวทองจมมิดหายไปทั้งหมด น้ำสูงเหนือพื้นดินหลายเมตร หลังจากนั้น แม้ว่าน้ำคงจะไม่ท่วมระดับนั้นอีกแล้ว ราคาที่ดินก็มีแต่ตกต่ำลง ไม่มีใครไปสร้างบ้าน ที่ดินรกร้างเต็มไปด้วยหญ้า ถ้าขายตอนนี้ก็คงไม่มีใครซื้อแม้ว่าจะขายครึ่งหรือ 1 ใน 3 ของราคาเดิมหลังจากเวลาผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว เป็น “หายนะ” ของการลงทุนโดยเฉพาะเมื่อคิดว่าตอนนั้นผมยังมีเงินน้อยมาก การลงทุนครั้งนั้นสอนให้รู้ว่า “อย่าใช้อารมณ์ในการลงทุนเด็ดขาด”
ทั้งหมดนั้นคือประสบการณ์ที่ผ่านมาของการลงทุนส่วนตัวของผม อนาคตเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ เช่น ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมก็อาจจะมาลบล้างสิ่งที่ผ่านมาในประเทศไทยก็ได้ อาจมีการลงทุนใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นที่อาจจะเปลี่ยนโฉมของเดิมได้ สำหรับคนอื่นแต่ละคนนั้น ผมคิดว่าเขาควรจะคิดหรือประเมินดูเช่นกันว่าอะไรคือการลงทุนที่ดีหรือแย่ที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมาเพื่อช่วยการตัดสินใจต่อไปในอนาคต สำหรับคนที่ยังมีประสบการณ์น้อยนั้น ที่ควรจะคำนึงถึงก็คือ เราอยากจะพบเจอสิ่งที่ดีที่สุดและหลีกเลี่ยงการลงทุนที่แย่ที่สุด วิธีที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นได้ก็คือการคิดและลงทุนในแบบ “VI ผู้มุ่งมั่น” ที่คำนึงถึงเหตุผลที่มั่นคงและหลีกเลี่ยงการลงทุนด้วยอารมณ์โดยเฉพาะในยามที่สังคมและสิ่งแวดล้อมชวนให้เราคล้อยตามมากที่สุด
หนุ่มสาวนักลงทุนหลายคนในวันนี้อาจจะหวังว่า อนาคตในอีก 10 หรือหลายสิบปีข้างหน้าจะบอกว่าการเลือกลงทุนในหุ้นดิจิทัลหรือไฮเทคได้เปลี่ยนชีวิตของตนเองในทางที่มหัศจรรย์ อีกหลายคนมากอาจจะเป็นเรื่องของการซื้อ-ขายคริปโทเคอเรนซี ไม่มีใครรู้ เช่นเดียวกับที่ไม่รู้ว่าอะไรที่จะล้มเหลวกลายเป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดในชีวิต ซึ่งในความคิดผมนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด บางทีอาจจะสำคัญยิ่งกว่าความสำเร็จในการลงทุนด้วยซ้ำ เพราะการไม่ได้ “แจ็คพ็อต” ในการลงทุนนั้น บ่อยครั้งก็ยังรวยได้อยู่ดีถ้าเลี่ยง “หายนะ” ได้ ตรงกันข้าม ถ้าพบกับการลงทุนที่เป็นหายนะและมันมีขนาดใหญ่เกินไป ทุกอย่างก็อาจจะจบได้ ไม่มีโอกาสได้พบกับการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิต | การลงทุนที่ “แย่ที่สุด” สำหรับผมน่าจะเป็นการลงทุนซื้อ “ที่ดิน” ในโครงการจัดสรรย่านบางบัวทองช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 ที่เป็นช่วง “ยุคทอง” ของการซื้อขายบ้านจัดสรร ที่จริงผมเองไม่ได้ต้องการไปอยู่จริงแต่เป็นการซื้อทิ้งไว้เพื่อเอาไว้สร้าง “บ้านริมคลอง” ในอนาคต ตอนที่ตัดสินใจซื้อนั้น ผมมาคิดดูคงเป็นเรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดูละครเรื่อง “สองฝั่งคลอง” ที่กำลังดังในช่วงนั้น ดูแล้วคงจะ “อิน” กับการได้อยู่ในบรรยากาศ “โรแมนติก” ของคนที่อยู่บ้านริมน้ำแบบไทย ๆ สมัยก่อน ดังนั้น พอมีโครงการจัดสรรที่ดินริมคลองบางบัวทองและผมได้ไปชมโครงการยามที่คลองปริ่มไปด้วยน้ำฤดูฝน ผมจึงซื้อทันที แต่พอถึงวันที่จะโอน กรุงเทพก็เจอน้ำท่วมใหญ่ ที่ดินริมคลองบางบัวทองจมมิดหายไปทั้งหมด น้ำสูงเหนือพื้นดินหลายเมตร หลังจากนั้น แม้ว่าน้ำคงจะไม่ท่วมระดับนั้นอีกแล้ว ราคาที่ดินก็มีแต่ตกต่ำลง ไม่มีใครไปสร้างบ้าน ที่ดินรกร้างเต็มไปด้วยหญ้า ถ้าขายตอนนี้ก็คงไม่มีใครซื้อแม้ว่าจะขายครึ่งหรือ 1 ใน 3 ของราคาเดิมหลังจากเวลาผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว เป็น “หายนะ” ของการลงทุนโดยเฉพาะเมื่อคิดว่าตอนนั้นผมยังมีเงินน้อยมาก การลงทุนครั้งนั้นสอนให้รู้ว่า “อย่าใช้อารมณ์ในการลงทุนเด็ดขาด” | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1283 | Finance | K-GPE19A-UI เป็น 1 ใน 3 อันดับ ของกองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (11 – 17 ธ.ค. 64) บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ใช่หรือไม่ | null | ใช่
กองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (11 - 17 ธ.ค. 64) 3 อันดับ มีดังนี้
1.K-GPE19A-UI – กองทุนเปิดเค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ 19A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +11.03%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +49.30%
2.Q-PORT – กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ควอนท์ – อินเทลลิเจ้นท์ พอร์ตฟอลิโอ ฟันด์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.11%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +11.19%
3.SCBGENOME(A) – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Genomic Revolution (ชนิดสะสมมูลค่า)
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.59%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -22.23% (เริ่มนับ NAV วันที่ 20/08/2021)
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
| 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1289 | Finance | ในปี 2021 ตลาดทายผิดแทบทั้งหมด เป็นผลมาจากอะไร ระหว่าง นโยบายที่กลับทิศ หรือ เงินดอลลาร์จะแข็งค่า | null | นโยบายที่กลับทิศ เพราะในปี 2021 ตลาดทายผิดแทบทั้งหมด เป็นผลมาจากนโยบายที่กลับทิศ และประมาทกับเงินเฟ้อ ปลายปี 2020 Consensus ทายว่าหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นนำโดย EM ยีลด์จะสูงไม่เกิน 1.2% และดอลลาร์จะอ่อนซึ่งผิดทั้งหมด ดีกว่าตลาดเล็กน้อยที่พยากรณ์ว่ายีลด์จะสูงกว่านั้น แต่ก็ผิดเรื่องการฟื้นตัวของจีน จนต้องกลับคำแนะนำตั้งแต่ต้นปีเช่นกัน ปัญหาหลักของตลาด คือ “Recency Bias” หรือการอิงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเป็นตัวคาดเดาอนาคตมากเกินไป เพราะที่จริง ทางการจีนส่งสัญญาณเตือนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 ว่าจะมีการควบคุมธุรกิจเทคโนโลยีมากขึ้นและกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง แต่ตลาดกลับไม่เชื่อว่าทางการจีนจะเลือกปรับสมดุลในช่วงที่เศรษฐกิจพึ่งฟื้นไข้ ขณะเดียวกัน ด้วยความที่ไม่เคยเจอภาวะเงินเฟ้อสูงมาตลอด 30 ปีจึงทำให้ไม่เชื่อว่าการอัดฉีดเงินเข้าในระบบจะสามารถเร่งเงินเฟ้อได้ บทเรียนที่ควรเรียนรู้สำหรับปี 2021 คือ อย่าเชื่อนโยบายของภาครัฐมากเกินไป และต้องลด Recency Bias ลงให้มาก
ส่วนเงินดอลลาร์จะแข็งค่า เป็นการพยากรณ์ตลาดการเงิน โดยตลาดกลับด้าน กลายเป็นมองว่า DM จะฟื้นตัวดีกว่า EM นโยบายการเงินจะเข้มงวดขึ้น และดอลลาร์จะแข็งค่า Consensus ประเมินกำไรของบริษัทใน S&P500 และ STOXX 600 จะเพิ่มขึ้นอีก 15-25% สวนทางกับฝั่ง EM ที่คาดว่ารายได้จะโตไม่ถึงสองหลัก บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุสิบปีจะปรับขึ้นไปที่ระดับ 2.1% (บวก 60bps) และเงินดอลลาร์แข็งค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1296 | Finance | ข้อใดเป็นกองทุน USA ที่เป็นกองทุน passive | A. KT-US-A
B. SCBUSAA
C. ABAG
D. ASP-S&P500 | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ D. เนื่องจาก เพราะกองทุน ASP-S&P500 เป็นกองทุน USA ที่เป็นกองทุน passive ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นกองทุน USA ที่เป็นกองทุน active
กองทุน USA ที่เป็นกองทุน passive ได้แก่
กลุ่ม S&P 500 ได้แก่
- ASP-S&P500
- KFUSINDX-A
- K-US500X
- SCBS&P500(A)
- SCBS&P500(D)
- SCBS&P500-SSF(D)
- SCBRMS&P500
- TISCOUS-A
- TUSEQ-UH
- TUSRMF-A
- TMBUS500
- TMBUS500RMF
กลุ่ม Dow Jones ได้แก่
SCBDJI(A)
- SCBDJI-SSF
กลุ่ม NASDAQ 100 ได้แก่
- BCAP-USND100
- SCBNDQ(A)
- K-USXNDQ-A(A)
- SCBNDQ-SSF (D)
- K-USXNDQ-A(D)
- TLUSNDQ-H
กลุ่ม Finance ได้แก่
TUSFIN-A | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1307 | Finance | เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยตกลงมากี่จุด | วิกฤติตลาดหุ้นและการฟื้นตัว
เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยตกลงมา 37.85 จุดหรือลดลง 2.3% และเป็นการปรับตัวลงแรงตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ลดลงมาในระดับเดียวกัน อย่างเช่นดัชนีดาวโจนส์ที่ลดลงมา 2.53% และดัชนีนิกเคอิก็ลดลงมา 2.53% เท่ากันพอดี การลดลงในลักษณะคล้าย ๆ กับ “แพนิก” หรือตกใจนั้น นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าเป็นเพราะนักลงทุนหวั่นวิตกว่าโรคโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ที่อาจจะร้ายแรงจนวัคซีนที่มีอยู่อาจจะไม่สามารถป้องกันได้ซึ่งอาจจะทำให้ต้องปิดเมืองกันทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง บางคนก็เสริมว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของสหรัฐอาจจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด ดังนั้นนักลงทุนจึงเทขายหุ้นกันจนกลายเป็นแพนิก แต่สิ่งที่นักลงทุนกลัวจริง ๆ นั้นน่าจะอยู่ที่ว่ามันจะนำไปสู่การตกลงของหุ้นจนอาจจะเป็นวิกฤติในช่วงต่อไปมากกว่า เพราะเหตุผลที่หุ้นจะลดลงต่อเนื่องและรุนแรงในระดับที่เป็นวิกฤตินั้นมีอยู่แล้วนั่นก็คือ หุ้นมีราคาปรับขึ้นไปสูงมากเป็น “All Time High” อานิสงค์สำคัญก็คือ สภาพคล่องทางการเงินล้นทั่วโลก และนี่ก็ใกล้วันที่จะมีการดูดเม็ดเงินกลับซึ่งจะทำให้สภาพคล่องลดลงต่อเนื่อง ว่าที่จริงจะมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ โอกาสที่หุ้นจะตกหนักก็มีอยู่แล้ว ลองมาดูประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวิกฤติของตลาดหุ้นกัน ผมจะใช้ตลาดหุ้นสหรัฐย้อนหลังไปประมาณ 20 ปีและเริ่มจากวิกฤติหุ้นไฮเทคในปี 2000 ซึ่งก็ก่อให้เกิดวิกฤติไปทุกตลาดรวมถึงหุ้นในดัชนีดาวโจนส์ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นยักษ์และหุ้นในดัชนี S&P ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นหลัก ๆ ทั้งประเทศของสหรัฐ สิ่งที่ผมพบนั้นน่าสนใจในแง่ที่ว่าวิกฤตินั้นมักจะเกิดขึ้นตอนที่ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงสุด ตลาดหุ้นร้อนแรงแบบ “ลุกเป็นไฟ” ซึ่งก็เป็นภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบัน นอกจากนั้น ผมก็จะแสดงให้เห็นการฟื้นตัวหลังวิกฤติทุกครั้งที่ดัชนีตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นไปต่อเนื่องยาวนานจนถึง Peak หรือถึงจุดสุดยอดอีกครั้งก่อนที่จะเกิดวิกฤติตามมา ส่วนเรื่องสาเหตุหรือเหตุผลที่ก่อให้เกิดวิกฤตินั้น เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้น ที่นักวิเคราะห์ก็มักจะสรุปเอาว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤติหลังจากที่หุ้นถล่มลงไปแล้ว แต่สำหรับผมเอง ลึก ๆ แล้ว ผมคิดว่าบางทีสิ่งที่พูดนั้นมันคล้าย ๆ กับเป็น “แพะ” ไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดขึ้นแต่บังเอิญ “โผล่” ออกมาตอนนั้น วิกฤติแรกก็คือวิกฤติหุ้นไฮเทคนั้นเกิดขึ้นเมื่อดัชนีแนสแด็กขึ้นถึงจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2000 ที่ประมาณ 7,651 จุด หลังจากนั้นดัชนีก็ปรับตัวลงมาอย่างแรง ใช้เวลาประมาณ 2 ปี 7 เดือนก่อนที่จะถึงจุดต่ำสุดในเดือนกันยายน 2002 ที่ดัชนี 1,791 จุด และเป็นการปรับตัวลดลงถึง 77% หุ้นไฮเทคที่ร้อนแรงแม้แต่หุ้นอย่างแอมะซอนก็ตกลงไปกว่า 90% เป็น “หายนะ” ก่อนที่จะกลายเป็นหุ้นยักษ์ในวันนี้ ดัชนีหุ้น S&P หรือก็คือตลาดหุ้นโดยรวมไม่ได้ตกลงตามทันทีแต่กลับขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในเดือนสิงหาคม 2000 ที่ 2,430 จุดก่อนที่จะตกลงมาอย่างแรงเป็นวิกฤติตามมาจนเหลือแค่ 1,246 จุดในเดือนกันยายน 2002 หรือลดลงถึง 48% ในช่วงเวลา 2 ปี 1 เดือน ในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ในดัชนีดาวโจนส์นั้นพีกไปก่อนตั้งแต่เดือนธันวาคม 1999 ที่ 18,890 จุด และตกลงมาต่อเนื่องจนถึง “พื้น” ที่ 11,600 จุดหรือลดลง 39% ในเดือนกันยายน 2002 ใช้เวลาในการตกลงมาประมาณ 2 ปี 9 เดือน ข้อสรุปก็คือ ในยามวิกฤตินั้น หุ้น “เก็งกำไรตัวเล็ก” ซึ่งมักจะ “โตเร็ว” เวลาวิกฤติจะตกหนักที่สุด หุ้นตัวใหญ่มั่นคงจะตกน้อยที่สุด และการตกลงมานั้นมักจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี โดยที่หุ้นทุกประเภทจะลงมาที่จุดต่ำสุดพร้อม ๆ กันเช่นเดียวกับช่วงเวลาที่หุ้นขึ้นถึงจุดสูงสุดก็อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน หลังจากหุ้นทั้งหมดตกลงไปถึงพื้นในเดือนกันยายน 2002 หุ้นทุกกลุ่มก็เริ่มฟื้นตัวพร้อม ๆ กันและดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 5 ปี 1 เดือนจนถึงเดือนตุลาคม 2007 ที่ 3,785 ซึ่งเป็นจุดสูงสุด หรือเป็นการปรับขึ้นถึง 111% ให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 15.9% ซึ่งถือว่าดีเยี่ยม แต่แล้วหลังจากนั้นหุ้นก็ถล่มเพราะ “วิกฤติซับไพร์ม” ดัชนี S&P ก็พีกในเดือนตุลาคม 2007 เช่นเดียวกันที่ 2,051 จุด ปรับเพิ่มขึ้นถึง 65% ในเวลา 5 ปี 1 เดือนหรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.3% ไม่เลวเลย ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์นั้นพีกไปก่อนเล็กน้อยในเดือนกันยายน 2007 ที่ 18,440 จุด เพิ่มขึ้น 59% ในช่วงเวลา 5 ปีหรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 9.7% ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ใช้ได้เมื่อเทียบกับการเป็นบริษัทขนาดยักษ์ที่มั่นคงมากในการลงทุนสำหรับคนทั่วไป วิกฤติซับไพร์มของปี 2008 นั้น ทำให้ดัชนีแนสแด็กตกลงมาอย่างแรงและต่อเนื่องจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2009 ดัชนีลดลงเหลือเพียง 1,795 จุด คิดเป็นการตกลงมาถึง 53% ในเวลา 1 ปี 4 เดือน ส่วนของ S&P ดัชนีก็ตกถึงพื้นพร้อมกันในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 ที่ 958 จุด หรือลดลง 53% เท่ากันพอดี ในช่วงเวลา 1 ปี 4 เดือนเช่นเดียวกัน ในด้านของดาวโจนส์เองนั้น ดัชนีตกลงมาเหลือ 9,203 จุดหรือลดลง 50% ในช่วงเวลา 1 ปี 5 เดือน ข้อสรุปก็คือ หุ้นใหญ่ก็ยังตกน้อยกว่าหุ้นเล็กแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้น้อยกว่ามาก ในขณะที่ช่วงเวลาหุ้นพีคและตกลงถึงพื้นนั้นแทบจะตรงกันหมดและลดลงเมื่อเทียบกับอดีต นี่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าวิกฤติซับไพร์มนั้นรัฐบาลได้เข้ามาช่วยเหลืออัดสภาพคล่องเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและตลาดหุ้นมหาศาลเทียบกับวิกฤติครั้งก่อน ๆ ซึ่งทำให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติเร็วขึ้นและทำให้ธุรกิจและหุ้นฟื้นตัวแรงและเร็วกว่าที่ควรจะเป็นมาก ดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลังซับไพร์มจนถึงเดือนมกราคม ปี 2020 ที่ 9,810 จุด คิดเป็นการปรับตัวขึ้นถึง 447% ในเวลา 10 ปี 11 เดือน ให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละประมาณ 16.8% และต้องเรียกว่าเป็น “ทศวรรษทอง” ของหุ้นไฮเทคโดยเฉพาะที่เป็นดิจิทัล ส่วนของดัชนี S&P เองก็ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นเช่นกันและไปพีกที่เดือนธันวาคม 2019 ที่ 3,476 จุด หรือเพิ่มขึ้น 263% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 12.6% ในช่วงเวลา 10 ปี 10 เดือน ในเวลาเดียวกัน ดัชนีดาวโจนส์ก็ปรับตัวขึ้นใกล้เคียงกันคือไปถึงจุดสูงสุดที่ 30,707 จุดหรือเพิ่มขึ้น 234% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.8% ในช่วงเวลา 10 ปี 10 เดือน และนี่ก็เป็นการยืนยันว่าหุ้นขนาดใหญ่มักจะโตช้ากว่าหุ้นที่เล็กกว่าและ/หรือเป็นธุรกิจสมัยใหม่กว่า ส่วนหุ้นทั้งประเทศก็จะอยู่ระหว่างกลางทั้งการตกและการขึ้นของหุ้น วิกฤติที่ตามมาหลังจากหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างร้อนแรงจนเป็นจุดสูงสุดในรอบล่าสุดนี้ก็เป็นอย่างที่รู้คือ วิกฤติโควิด-19 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อโลกโดยเฉพาะอเมริกาตระหนักว่ามันเป็น “Pandemic” คือโรคนั้นร้ายแรงและติดต่อและกระจายไปทั่วโลกตั้งแต่ช่วงต้นปี 2520 ดัชนีแนสแด็กปรับตัวลดลงอย่างแรงในช่วงสั้น ๆ 30-40% อย่างไรก็ตามถ้ามองเป็นเดือนก็พบว่าดัชนีหุ้นตกลงมาถึงพื้นในเดือนมีนาคม 2520 เหลือ 8,255 จุด หรือลดลง 16% เช่นเดียวกัน ดัชนี S&P ลดลงเหลือ 2,771 จุด หรือลดลง 20% และดัชนีดาวโจนส์ลดลงเหลือ 23,495 จุดหรือลดลง 23% ภายในเวลาเพียง 3 เดือน แต่หลังจากนั้น ด้วยมาตรการของรัฐบาลในการ “แจกเงินชดเชย” ให้กับประชาชนที่ต้องหยุดงานอยู่ที่บ้าน ประกอบกับการพัฒนาของแพลตฟอร์มการเทรดหุ้นที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนได้อย่างสะดวกและแทบจะไม่เสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขายส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรมหาศาลในหุ้น ตลาดก็ฟื้น ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นอย่างแรงและเร็วมากจนไม่น่าเชื่อโดยเฉพาะหุ้นดิจิทัลซึ่งไม่ถูกกระทบเลยจากการปิดเมือง แต่กลับได้ประโยชน์มหาศาลเมื่อคนหันมาใช้บริการของบริษัทดิจิทัลขนาดยักษ์ทั้งหลาย ดัชนีหุ้นทุกตัวฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและปรับตัวขึ้นเป็นสถิติสูงสุดใหม่หลังตกลงมาถึงพื้นในเดือนมีนาคม 2020 เฉพาะอย่างยิ่งดัชนีแนสแด็กปรับขึ้นเป็น 15,845 จุดในเดือนพฤศจิกายน 2021 คิดเป็นการเพิ่มถึง 92% ในเวลา 1 ปีกับ 7 เดือน ดัชนี S&P ขึ้นไปเป็น 4,605 จุดหรือเพิ่มขึ้น 66% ในเวลา 1 ปี 7 เดือน และดาวโจนส์ถึงจุดพีคในเดือนตุลาคม 2021 ที่ 35,820 จุดในช่วงเวลาเดียวกัน นี่เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นสั้นมากและฟื้นตัวเร็วมากที่สุดในประวัติศาสตร์จนแทบจะไม่เห็นเลยในเส้นกราฟที่ยาวนานหลายสิบปี ประเด็นก็คือ เป็นไปได้ไหมว่า “วิกฤติจริง” อาจจะใกล้เกิดขึ้นอีกรอบหนึ่ง และรอบนี้ก็อาจจะมีแพทเทิร์นหรือรูปแบบที่มักจะเกิดขึ้นในอดีตที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดจริงและใช้เวลาหลายปีก่อนที่จะฟื้นกลับมาใหม่และเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ และเมื่อเกิดขึ้น จะเป็นอย่างเดิมไหมที่หุ้นโตเร็วแบบหุ้นดิจิทัลยุคใหม่จะตกหนักที่สุด ดัชนีหุ้นทุกตัวฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและปรับตัวขึ้นเป็นสถิติสูงสุดใหม่หลังตกลงมาถึงพื้นในเดือนมีนาคม 2020 เฉพาะอย่างยิ่งดัชนีแนสแด็กปรับขึ้นเป็น 15 , 845 จุดในเดือนพฤศจิกายน 2021 คิดเป็นการเพิ่มถึง 92 % ในเวลา 1 ปีกับ 7 เดือน ดัชนี S&P ขึ้นไปเป็น 4 , 605 จุดหรือเพิ่มขึ้น 66 % ในเวลา 1 ปี 7 เดือน และดาวโจนส์ถึงจุดพีคในเดือนตุลาคม 2021 ที่ 35 , 820 จุดในช่วงเวลาเดียวกัน นี่เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นสั้นมากและฟื้นตัวเร็วมากที่สุดในประวัติศาสตร์จนแทบจะไม่เห็นเลยในเส้นกราฟที่ยาวนานหลายสิบปี ประเด็นก็คือ เป็นไปได้ไหมว่า “ วิกฤติจริง ” อาจจะใกล้เกิดขึ้นอีกรอบหนึ่ง และรอบนี้ก็อาจจะมีแพทเทิร์นหรือรูปแบบที่มักจะเกิดขึ้นในอดีตที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดจริงและใช้เวลาหลายปีก่อนที่จะฟื้นกลับมาใหม่และเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ และเมื่อเกิดขึ้น จะเป็นอย่างเดิมไหมที่หุ้นโตเร็วแบบหุ้นดิจิทัลยุคใหม่จะตกหนักที่สุด ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ: | เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยตกลงมา 37.85 จุด หรือลดลง 2.3% และเป็นการปรับตัวลงแรงตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ลดลงมาในระดับเดียวกัน อย่างเช่น ดัชนีดาวโจนส์ที่ลดลงมา 2.53% และดัชนีนิกเคอิก็ลดลงมา 2.53% เท่ากันพอดี
การลดลงในลักษณะคล้าย ๆ กับ “แพนิก” หรือตกใจนั้น นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าเป็นเพราะนักลงทุนหวั่นวิตกว่าโรคโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ที่อาจจะร้ายแรงจนวัคซีนที่มีอยู่อาจจะไม่สามารถป้องกันได้ซึ่งอาจจะทำให้ต้องปิดเมืองกันทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง บางคนก็เสริมว่าอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของสหรัฐอาจจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด
ดังนั้นนักลงทุนจึงเทขายหุ้นกันจนกลายเป็นแพนิก แต่สิ่งที่นักลงทุนกลัวจริง ๆ นั้นน่าจะอยู่ที่ว่ามันจะนำไปสู่การตกลงของหุ้นจนอาจจะเป็นวิกฤติในช่วงต่อไปมากกว่า เพราะเหตุผลที่หุ้นจะลดลงต่อเนื่องและรุนแรงในระดับที่เป็นวิกฤตินั้นมีอยู่แล้วนั่นก็คือ หุ้นมีราคาปรับขึ้นไปสูงมากเป็น “All Time High” อานิสงค์สำคัญก็คือ สภาพคล่องทางการเงินล้นทั่วโลก และก็ใกล้วันที่จะมีการดูดเม็ดเงินกลับ ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องลดลงต่อเนื่อง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1328 | Finance | นับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 เป็นต้นมา รัฐบาลประกาศนโยบายเปิดเมือง “เปิดประเทศ” 17 จังหวัดนำร่องระยะที่ 1 ดัชนี SET Index ก็ปรับตัวขึ้นมา ใช่หรือไม่ | null | ใช่ ดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นมาได้เบา ๆ ราว ๆ 30 จุด ขึ้นมาใกล้ทดสอบ 1,650 จุด นับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นมา ที่รัฐบาลประกาศนโยบายเปิดเมือง “เปิดประเทศ” 17 จังหวัดนำร่องระยะที่ 1
นับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. จนถึง 18 พ.ย. ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อเบา ๆ 3,200 ล้านบาทในตลาดหุ้นไทย และยังมียอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ในเดือนนี้สูงถึง 54,000 ล้านบาท สอดรับกับการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจาก 34 บาท/ดอลล่าร์ ตอนปลายเดือนก.ย. มาอยู่ที่ 32.64 บาท/ดอลล่าร์ ณ วันที่ 18 พ.ย. ซึ่งเกิดในช่วงที่ Dollar Index แข็งค่าทะลุ 95 จุด อยู่ใกล้ ๆ โซนจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. ปีที่แล้วเลยทีเดียว | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1334 | Finance | สำหรับตลาดการเงิน เมื่อโรคระบาด มุมมองเรื่อง Expected Returns และ Risks กำลังถูกท้าทายมากที่สุด เพราะเหตุใด | 1. ต้องปรับพอร์ตให้อยู่ในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายภาครัฐ
2. ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยไปมากกว่านี้ไม่ได้
3. จะก้าวผ่านยุค “Great Moderation” ไปสู่ยุค “Great Instability”
4. ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่สูงอยู่แล้วยิ่งสูงขึ้นไปอีก | ข้อที่ถูกต้องคือ 3. เพราะว่า สำหรับตลาดการเงิน เมื่อโรคระบาด มุมมองเรื่อง Expected Returns และ Risks กำลังถูกท้าทายมากที่สุด เพราะจะก้าวผ่านยุค “Great Moderation” ที่โลกาภิวัตน์ทำให้ความผันผวนลดลงและวัฏจักรธุรกิจยาวขึ้น ไปสู่ยุค “Great Instability” ที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจมีปัญหา เกิด Supply-Chain Disruption เงินเฟ้อสูง เทคโนโลยีและการเมืองบีบให้ Economic Cycle สั้นลง
รายได้ที่ชนะเงินเฟ้อ จะไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ การเลือกสินทรัพย์ จะเปลี่ยนจากการหาโอกาสเติบโตมากที่สุด ไปสู่สินทรัพย์ที่มีโอกาสปรับฐานลงน้อยที่สุด และสัดส่วนลงทุนที่เหมาะสม จะไม่ได้มาจากแค่ Mean-Variance Optimization แต่ต้องคิดกว้างไปถึงความเสี่ยงรูปแบบใหม่ เช่น เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของสังคม และกฎเกณฑ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงรวมเข้าไปด้วย แปลเป็น Investment Actions ว่าควรเริ่มด้วยการปรับแนวคิดตามเป้าหมายการลงทุนที่ตั้งใจไว้ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1336 | Finance | 4 ธีมการลงทุนที่ Baillie Gifford เชื่อว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นทุกภาคส่วน มีอะไรบ้าง | สรุปกองทุน K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF ลดหย่อนภาษีกับกองทุนมาแรงรับเทรนด์โลก I สรุป LIVE Market Talk
กองทุนแนว ESG อาจไม่ใช่กองทุนที่ทำผลตอบแทนเชื่องช้าอย่างที่ทุกคนคิด ในวันนี้กองทุน K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF ที่บริหารโดย Baillie Gifford กำลังทำผลงานได้โดดเด่น เรามาสำรวจไปพร้อม ๆ กันว่ากองทุนมีกลยุทธ์หรือเคล็ดลับอะไรที่ช่วยให้เกิดผลงานที่ดีเหนือค่าเฉลี่ยอย่างน่าทึ่ง ดูรีวิวกองทุนธีม ESG คุณภาพทั้ง K-CHANGE-SSF และ K-CHAGNERMF ได้ ที่นี่ ที่นี่ ที่นี่ 4 ธีมการลงทุนที่ Baillie Gifford เชื่อว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นทุกภาคส่วน สังคมและการศึกษา ปัญหาด้านการศึกษา – ทุกวันนี้ระดับทางการศึกษามีความเหลื่อมล้ำ รวมถึงมีคุณภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่ง Baillie Gifford ก็ได้เลือกลงทุนในบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้น เช่น Shopify หรือ Mercado Libre ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจ SME ค้าขายกับชาวโลกได้มากยิ่งขึ้น ซึ่ง อุตสาหกรรม E-commerce มีส่วนช่วยสร้างโอกาสให้ SME สามารถวางสินค้าขายได้ อีกทั้งยังมีบริการปล่อยกู้ทางการเงินให้กับผู้ค้าบนแพลตฟอร์มอีกด้วย สิ่งแวดล้อม ปัญหาสิ่งแวดล้อม – ถือเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก โดยตัวอย่างบริษัทที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวก็คือ Tesla บริษัทพัฒนารถยนต์พลังงานสะอาดที่เข้ามาช่วยสิ่งแวดล้อมรวมไปถึงบริษัทอย่าง Orsted บริษัท ผลิตพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งช่วยทดแทนการใช้พลังงานจากถ่านหินซึ่งสร้างมลภาวะ สุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น เฮลธ์แคร์ – เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันที่หากเราไม่มีเทคโนโลยีการรักษาจากบริษัท เช่น Pfizer หรือ Moderna อย่างเทคโนโลยีmRNAที่เข้ามาช่วยพวกเราในตอนนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราอาจเป็นไปอย่างยากลำบาก ปัจจัยพื้นฐานสำหรับประชากรกลุ่มรากหญ้า ความเท่าเทียม – บนโลกนี้มีประชากรมากกว่า 4 พันล้านคนที่มีรายได้ต่อปีไม่ถึง 100,000 บาทต่อปี (เกินครึ่งโลก) โดยบริษัทที่เข้ามาช่วยสร้างโอกาสในด้านดังกล่าวก็เช่น Bank Rakyat ที่ให้บริการทางการเงินขนาดย่อย หรือ Safaricom ที่ช่วยเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงระบบการสื่อสาร และช่วยให้คนเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีได้มากขึ้น กองทุนวิเคราะห์บริษัทที่จะเข้าลงทุนอย่างไร โจทย์แรกของการวิเคราะห์คือสินค้าหรือบริการของบริษัทนั้น ๆ จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร? ในด้านไหน?
มองปัจจัยด้านโอกาสการเติบโต กำไร
ผลิตภัณฑ์มีความได้เปรียบหรือมีสินค้าและบริการที่โดดเด่นกว่าของที่มีอยู่ในตลาดอยู่อย่างไร
วิเคราะห์มูลค่าจากข้อมูลทางการเงิน เพื่อหาแนวโน้มการเติบโต ปรัชญาและสไตล์การลงทุนของกองทุน ลงทุนระยะยาว
ลงทุนแบบ High Conviction หรือลงทุนแบบกระจุกตัว
เลือกหุ้นเฉพาะตัวตามความมั่นใจและเหมาะสมกับเป้าหมายของกองทุน
หุ้นที่เลือกสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกและสร้างผลกำไรเติบโตสูงได้
ต้องเป็นหุ้นที่ลงทุนแล้วได้กำไร สัดส่วนพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน น้ำหนักการลงทุนปัจจุบันเน้นไปที่หุ้นในธีมเฮลธ์แคร์และคุณภาพชีวิต เพราะทาง Baillie Gifford เชื่อว่านวัตกรรมที่เกิดขึ้นในธีมนี้กำลังได้รับความสนใจและเป็นธีมที่เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ค่อนข้างเยอะ ประกอบกับแนวทางที่ตรงกับความต้องการของโลกในอนาคต โดยเน้นหนักการลงทุนไปที่หุ้นอย่าง Moderna ซึ่งเป็นหุ้นที่ Baillie Gifford ลงทุนนับตั้งแต่ช่วง IPO เพราะมองเห็นโอกาสในเทคโนโลยี mRNA รวมถึงเป้าหมายของบริษัทด้านการสร้างยารักษาโรคหรือวัคซีนสำหรับโรคต่าง ๆ ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้ เช่น โรคเอดส์
ธีมปัญหาด้านการศึกษา – มีหุ้นหลักที่ลงทุนอย่าง ASML และ TSMC ผู้ผลิตชิปเบอร์ 1 ของโลกที่มีเทคโนโลยีผลิตชิปนำหน้ากว่า IBM ไปถึง 4-5 ปี โดยชิปเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเกิดขึ้นได้ สร้างโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้คน
ธีมความเท่าเทียม – อาจไม่มีหุ้นในส่วนนี้มากนัก เนื่องจากหุ้นในกลุ่มนี้มีขนาดเล็กจึงอาจทำให้ติดประเด็นเรื่องสภาพคล่องก่อนเข้าลงทุน อย่างไรก็ตามผู้จัดการกองทุนก็ยังพยายามเสาะหาโอกาสอยู่เสมอ การปรับพอร์ตลงทุนในปีนี้ ปรับ Alphabet ออกจากพอร์ตเนื่องจากได้บรรลุเป้าหมายอย่างการสร้างผลกระทบเชิงบวกผ่าน Google เต็มที่แล้ว ประกอบกับในช่วงหลังที่มีปัญหาเรื่อง Governance (ธรรมาภิบาล)
มีหุ้นตัวใหม่ที่ปรับเข้าพอร์ตอย่าง Peloton ที่ช่วยทำให้คนไม่ต้องรวมตัวออกกำลังกายในยิม มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้คนออกกำลังกายร่วมกันได้ รวมถึงมีเทรนเนอร์และคอร์สต่าง ๆ หรือจะเป็น Coursera ผู้ให้บริการสอนคอร์สต่าง ๆ บนระบบออนไลน์ผ่านการ Subscribe ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน Baillie Gifford Positive Change ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนแบบลงทุนทุก 1 ปี หรือ 3 ปีในระยะกลาง กองทุนหลักสามารถทำผลตอบแทนได้เหนือดัชนีชี้วัดรวมถึงคู่แข่งได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่กองทุน K-CHANGE-SSF ที่เริ่มจัดตั้งกองทุนมาประมาณปีกว่า ๆ สามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 48.90% ในขณะที่ดัชนีชี้วัดทำได้เพียง 30.24% รวมถึงทำผลตอบแทนในช่วงเวลาอื่น ๆ ได้ดีอย่างสม่ำเสมอ
ในขณะที่กองทุน K-CHANGE-RMF ที่เปิดมาประมาณ 1 ปีก็ทำผลตอบแทนได้ไล่เลี่ยกัน ความเสี่ยง มีความผันผวนและ Drawdown ค่อนข้างสูงในช่วงที่ผ่านมา แต่หากสามารถลงทุนได้ตั้งแต่ระยะกลาง (3-5 ปี) ขึ้นไป ยังสามารถลงทุนได้ สรุปโดยรวมแล้วกองทุน K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF เป็นกองทุนประหยัดภาษีแนว ESG ที่เลือกหุ้นแบบคัดเน้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในหุ้นเติบโตแต่ก็ยังต้องการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกของ เรา สำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุน K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF กองทุน K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF เป็นกองทุนประหยัดภาษีที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในธีม ESG ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง Megatrend แห่งอนาคต ที่เริ่มใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยกองทุน จะมีทั้งในรูปแบบสะสมมูลค่า K-CHANGE-A (A) และแบบประหยัดภาษี K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF หากต้องการซื้อสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. KAsset โทร 02 673 3888 และ สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับกองทุน SSF & RMF เพิ่มเติมได้ที่นี่คลิก > หรือ ติดต่อเข้ามาที่ FINNOMENA โทร 02 026 5100 (ซื้อผ่านแอป FINNOMENA ได้แล้ว เข้าไปที่หน้าพอร์ตกองทุน กดทำคำสั่งซื้อ และค้นหากองทุน) คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก
กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโดยตรงกับทาง KAsset โทร 02 672 1000 หรือ www.kasikornasset.com www.kasikornasset.com www.kasikornasset.com | 4 ธีมการลงทุนที่ Baillie Gifford เชื่อว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นทุกภาคส่วน มีดังนี้
1. สังคมและการศึกษา
ปัญหาด้านการศึกษา ทุกวันนี้ระดับทางการศึกษามีความเหลื่อมล้ำ รวมถึงมีคุณภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน
- ซึ่ง Baillie Gifford ก็ได้เลือกลงทุนในบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้น : เช่น Shopify หรือ Mercado Libre ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจ SME ค้าขายกับชาวโลกได้มากยิ่งขึ้น
- ซึ่งอุตสาหกรรม E-commerce มีส่วนช่วยสร้างโอกาสให้ SME: สามารถวางสินค้าขายได้ อีกทั้งยังมีบริการปล่อยกู้ทางการเงินให้กับผู้ค้าบนแพลตฟอร์มอีกด้วย
2. สิ่งแวดล้อม
ปัญหาสิ่งแวดล้อม ถือเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก โดยตัวอย่าง
- บริษัทที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวก็คือ Tesla บริษัทพัฒนารถยนต์พลังงานสะอาดที่เข้ามาช่วยสิ่งแวดล้อม
- รวมไปถึงบริษัทอย่าง Orsted บริษัท ผลิตพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งช่วยทดแทนการใช้พลังงานจากถ่านหินซึ่งสร้างมลภาวะ
3. สุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น:
เฮลธ์แคร์ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันที่หากไม่มีเทคโนโลยีการรักษาจากบริษัท เช่น Pfizer หรือ Moderna อย่างเทคโนโลยี mRNA ที่เข้ามาช่วย ชีวิตความเป็นอยู่อาจเป็นไปอย่างยากลำบาก
4. ปัจจัยพื้นฐานสำหรับประชากรกลุ่มรากหญ้าความเท่าเทียม : บนโลกนี้มีประชากรมากกว่า 4 พันล้านคนที่มีรายได้ต่อปีไม่ถึง 100,000 บาทต่อปี (เกินครึ่งโลก)
โดยบริษัทที่เข้ามาช่วยสร้างโอกาสในด้านดังกล่าวก็เช่น
- Bank Rakyat ที่ให้บริการทางการเงินขนาดย่อย หรือ
- Safaricom ที่ช่วยเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงระบบการสื่อสาร และช่วยให้คนเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีได้มากขึ้น | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1344 | Finance | K-GPE19A-UI เป็น 1 ใน 3 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (6 – 12 พ.ย. 64) บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ใช่หรือไม่ | null | ใช่ K-GPE19A-UI เป็น 1 ใน 3 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (6 – 12 พ.ย. 64) บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA
เหตุผล:
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 6 – 12 พ.ย. 2564 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (6 - 12 พ.ย. 64)
1.K-GPE19A-UI – กองทุนเปิดเค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ 19A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย
-ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +11.03%
-ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +49.30%
2.WE-EVOSEMI – กองทุนเปิด วี อีโวลูชั่น ออฟ เซมิคอนดักเตอร์
-ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.98%
-ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +13.91% (เริ่มนับ NAV วันที่ 24/06/2021)
3.SCBSEMI(E) – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Semiconductor (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์)
-ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.57%
-ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +19.18% (เริ่มนับ NAV วันที่ 15/06/2021)
หมายเหตุ:
ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1357 | Finance | กองทุนใดอยู่ใน 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA ประจำวันที่ 30 ต.ค. – 5 พ.ย. 64 | A. WE-TENERGY
B. TNEWENGY
C. ONE-UGG-RA
D. K-GPE19A-UI | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ C. เนื่องจาก เพราะ ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป อยู่ใน 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA ประจำวันที่ 30 ต.ค. – 5 พ.ย. 64
10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA ประจำวันที่ 30 ต.ค. – 5 พ.ย. 64
1. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.69%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: +30.28%
2. TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.25%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: +27.08%
3.PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +0.17%%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี: +75.55%%
อันดับ 4-10 : K-VIETNAM, K-CASH, K-CHANGE-A(A), B-INNOTECH, K-CHINA-A(A), KFGG-A, TMBCOF | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1372 | Finance | กองทุนดัชนีต่างประเทศ Top 3 Performance จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 20 ปี (2002-2020) คือกองทุนใดบ้าง | a. QQQ , 2823 และ SPY
b. QQQ, SPY และ DIA
c. 1329, 2823 และ DIA
d. QQQ , SPY และ 1329 | ข้อที่ถูกต้องคือ a. เนื่องจาก เพราะกองทุนดัชนีต่างประเทศ Top 3 Performance จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 20 ปี (2002-2020) คือ QQQ , 2823 และ SPY
การเปรียบเทียบกองทุนดัชชีต่างประเทศที่ บลจ. ไทยนำมาเป็น Master fund เพื่อนำเสนอกับนักลงทุน สำหรับการสร้าง Core portfolio กองทุนดัชนีอะไรที่แข็งแกร่งเหมาะแก่การเป็น Core ไม่เปลี่ยนแปลง
กองทุนดัชนีต่างประเทศ Top 3 Performance จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 20 ปี (2002-2020) คือ QQQ , 2823 และ SPY
กองทุนดัชนีต่างประเทศ Top 3 Performance จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 10 ปี (2012-2021) คือ QQQ , SPY และ 1329
กองทุนดัชนีต่างประเทศ Top 3 Performance จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 10 ปี (2017-2021) คือ QQQ, SPY และ DIA
จากผลตอบแทนย้อนหลัง เลือกให้ QQQ และ SPY เป็นกองทุนดัชนีที่แข็งแกร่งที่สุด
ข้อมูลเชิงปริมาณของ QQQ QQQ ชนะ ได้ทั้งกองทุนในกลุ่มเดียวกัน ( Large Growth) และ Index ( Russell 1000 Growth) แต่ Sharpe Ratio จะใกล้เคียงกับกลุ่มเดียวกัน ( Large Growth) และ Index ( Russell 1000 Growth) ซึ่งถึงแม้จะมีผลตอบแทนมากกว่า แต่ความผันผวนก็มากขึ้นตามไปด้วย
ข้อมูลเชิงปริมาณของ SPY SPY ชนะกองทุนในกลุ่มเดียวกัน ( Large Blend) และผลตอบแทนเท่ากับ Index ( Russell 1000 ) แต่ Sharpe Ratio จะใกล้เคียงกับกลุ่มเดียวกัน (Large Blend) และ Index ( Russell 1000)
ข้อแนะนำคือ QQQ และ SPY ควรจะเป็น Core Portfolio ในสัดส่วน 40-60% ตามแต่กลยุทธ์ของแต่ละคน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1376 | Finance | ใบ 50 ทวิ คือ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นเอกสารที่จะแสดงรายละเอียดให้เห็นว่า มีการหักภาษี ณ ที่ที่จ่ายเงินนำส่งให้รัฐไปก่อนเท่าไหร่ จากที่ต้องจ่ายจริงคือเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่ ใช่หรือไม่ | null | ใช่
ใบ 50 ทวิ คืออะไร :
มาจากหลักการทางภาษีที่พื้นฐานที่สุดเลยก็คือ “เมื่อมีรายได้ ก็ต้องจ่ายภาษี” เพียงแต่รัฐมองว่า ลำพังจะรอเก็บภาษีทีเดียวปีละครั้ง ก็อาจจะเป็นภาระก้อนใหญ่เกินไปสำหรับผู้จ่ายภาษีบางคน หรือถ้ามีใครเลี่ยงภาษีขึ้นมา รัฐก็จะเสียสภาพคล่อง
รัฐก็เลยให้ผู้ที่มีหน้าที่จ่ายรายได้ให้เขา เป็นตัวแทนของรัฐ ช่วยหักภาษีส่วนนึงจากรายได้ของเขาส่งให้รัฐ ก่อนจะจ่ายที่เหลือให้กับผู้มีสิทธิรับรายได้
เราเรียกภาษีที่ถูกหักไปก่อนส่วนนึงนี้ว่า “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” เพราะไหน ๆ ก็ต้องจ่ายภาษีกันอยู่แล้ว งั้นทยอยจ่ายตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่เป็นภาระก้อนใหญ่ทีหลัง รัฐก็ไม่เสียสภาพคล่องด้วย
ก็เลยเป็นที่มาของใบ 50 ทวิ
(หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย) คือ เอกสารที่จะแสดงรายละเอียดให้เห็นว่า มีการหักภาษี ณ ที่ที่จ่ายเงินนำส่งให้รัฐไปก่อนเท่าไหร่ จากที่ต้องจ่ายจริงคือเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่
ทำไมใบ 50 ทวิ ถึงสำคัญ?
เพราะเป็นตัวชี้ชะตาว่า เมื่อคำนวณรายได้ทั้งปีแล้ว เรามีภาระภาษีที่แท้จริงเท่าไหร่
ได้จ่ายผ่านการถูกหัก ณ ที่จ่ายไปก่อนแล้วเท่าไหร่
- รัฐจะต้องเรียกให้จ่ายค่าภาษีเพิ่ม กรณีภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปนั้นยังน้อยกว่าที่ต้องจ่ายจริง
- รัฐต้องคืนค่าภาษีให้ กรณีที่ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายมากกว่าที่ต้องจ่ายจริง
ใครมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และออกใบ 50 ทวิ?
ผู้รับบทบาทนี้คือผู้ที่มีหน้าที่จ่ายเงินให้เรา:
1. กรณีลูกจ้างบริษัท ผู้ที่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายออกให้ก่อน และออกใบ 50 ทวิให้เราเป็นหลักฐานยื่นภาษี ก็คือนายจ้างของเรา
2. กรณีของพนักงานเงินเดือน จะมีข้อสังเกตว่าค่าภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายแต่ละเดือน จะคำนวณจากการประมาณการรายได้ทั้งปี หักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนต่างๆ เท่าที่นายจ้างมีข้อมูล แล้วหารเฉลี่ยเพื่อหัก ณ ที่จ่ายเป็นรายเดือนไป
- ดังนั้น ถ้าปีไหนที่นายจ้างประเมินแล้วว่า รายได้ของเราทั้งปียังไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี ก็อาจไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่จะยังมีหน้าที่ออกใบ 50 ทวิให้เป็นหลักฐานอยู่เหมือนเดิม
- นอกจากนี้ ในใบ 50 ทวิของพนักงานเงินเดือน จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเงินสมทบประกันสังคม และเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถ้ามี ระบุเอาไว้ให้ด้วย ซึ่งก็ใช้เป็นหลักฐานการลดหย่อนภาษีด้วยประกันสังคม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ไปในตัว
3. กรณีฟรีแลนซ์ที่รับค่าจ้าง ก็จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแตกต่างกันไปตามเนื้องานแต่ละประเภท ตามที่กฎหมายกำหนด
- อย่างค่าจ้างบริการทั่วไป เช่น จ้างรีวิวสินค้า จ้างทำกราฟฟิค ก็จะถูกกำหนดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ 3% เป็นต้น
- และถ้ายอดที่จ่ายเป็นจำนวนไม่ถึง 1,000 บาท ก็ไม่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย | 5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1397 | Finance | เมื่อใดก็ตามที่ธนาคารกลางต้องการควบคุมเงินเฟ้อ ธนาคารกลางจะใช้วิธีขึ้นดอกเบี้ย เพื่ออะไร | a. ทำให้ตลาดคริปโตโดนเทขายตามไปด้วย
b. มีสภาพคล่องในการเข้าซื้อของดีราคาถูกมากขึ้น
c. มูลค่าของหุ้นจะถูกคำนวนออกมาได้น้อยลง
d. ลดความต้องการใช้เงินของระบบซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ | คำตอบที่ถูกต้องคือ d. เพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่ธนาคารกลางต้องการควบคุมเงินเฟ้อ ธนาคารกลางจะใช้วิธีขึ้นดอกเบี้ย เพื่อลดความต้องการใช้เงินของระบบซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้นั่นเอง
จากการที่เฟดออกมาพูดว่าเงินเฟ้อมันน่ากังวลกว่าที่คาด ก็ทำให้ตลาดกลัวการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนดในปี 2022 จากดอกเบี้ยเงินต่ำมากอยู่ที่ 0.25% แต่คาดว่าปี 2022 อาจขึ้นไปถึง 0.75% ต่อปี ทำให้ต้นทุนทางการเงินแพงขึ้นถึง 3 เท่า ทำให้แผนการลงทุนมันก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะอาจไม่คุ้มที่จะลงทุนแล้ว ด้วยเหตุนี้ตลาดจึงลดความเสี่ยงโดยการขายสินทรัยพ์เสี่ยงออกจากพอร์ตการลงทุนออกไปก่อน นี่คือหลักคิดตามตำราทางเศรษฐศาสตร์ทั่วไป
แน่นอนว่าเมื่อตลาดกลัวว่าต้นทุนทางการเงินจะสูงขึ้น ดังนั้น ตลาดจะหนีออกจากหุ้นที่มี PE สูง ๆ ก่อน เช่น กลุ่มเทคโนโลยีในตลาด NASDAQ ก็จะโดนเทขายออกไปเพราะมูลค่าของหุ้นจะถูกคำนวนออกมาได้น้อยลง เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น และเมื่อ NASDAQ โดนเทขายก็จะทำให้ตลาดคริปโตโดนเทขายตามไปด้วยเพราะเป็นกลุ่มเทคโนโลยีเหมือนกัน | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1398 | Finance | ข้อใดไม่ใช่ 3 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (25 ก.ย. – 1 ต.ค. 64) บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA | A. UOBSC
B. K-CASH
C. KWI USBANK-A
D. KT-ENERGY | คำตอบได้แก่ B. เพราะว่า 3 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (25 ก.ย. – 1 ต.ค. 64)
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (25 ก.ย. - 1 ต.ค. 64)
(ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 1 ต.ค. 2564)
1.KWI USBANK-A – กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ ยูเอส แบงค์ อิควิตี้ เอฟไอเอฟ ชนิดสะสมมูลค่า
• ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.13%
• ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +38.18%
2.UOBSC – กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้
• ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.74 %
• ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +49.32%
3.KT-ENERGY – กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์
• ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.57 %
• ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +47.84%
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1413 | Finance | ปี 2021 ในภาคอสังหาจีน ก่อนเกิดปัญหาหนี้ Evergrande ได้เกิด 5 เหตุการณ์สำคัญ มีอะไรบ้าง | ครึ่งปี 2021 พุ่งไปแล้วถึง 27% และถ้าย้อนดู 5 เหตุการณ์สำคัญของภาคอสังหาจีน ก่อนเกิดปัญหาหนี้ Evergrande มีดังนี้
1. บีบธนาคารให้ลดการปล่อยกู้เก็งกำไร (เมษายน 2020)
รัฐบาลจีนเห็นปัญหา สั่งธนาคารลดการปล่อยกู้อสังหาเพื่อการเก็งกำไรด้วยการกำหนดเงื่อนไขว่า หากผู้ขอกู้จะขอวงเงินเพิ่มจะได้ไม่เกินที่เคยกู้ในปีที่แล้ว ห้ามเพิ่มหนี้ต่ออีกนั่นเอง
2. สร้างกฏ 3 เส้นแดงที่อสังหาจีนห้ามผ่าน (ตุลาคม 2020)
เพื่อป้องกันการกู้ยืมที่มากเกินไปสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลจีนได้ออกการมาตรการสำหรับระดมทุนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องผ่านเกณฑ์ประเมิน 3 ข้อ
(i) เพดานหนี้ต่อทรัพย์สินไม่เกิน 70%
(ii) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิไม่เกิน 100%
(iii) อัตราส่วนเงินสด : เงินกู้ ต้องไม่เกิน 1
3. ธนาคารกลางจีนกำหนดสัดส่วนสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ให้ภาคอสังหาได้ (ธันวาคม 2020)
สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ห้ามปล่อยกู้เกิน 40% ให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์และห้ามปล่อยกู้เกิน 32.5% ให้ผู้กู้ซื้อบ้านสำหรับธนาคารขนาดกลาง สัดส่วนจะเหลือ 27.5% และ 20% ตามลำดับ
4. รองนายกรัฐมนตรีจีนประกาศ “บ้านเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ใช่ที่เก็งกำไร” (กรกฎาคม 2021)
รัฐบาลออกมาตรการลดความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์หลายทาง เช่น เพิ่มดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน, ระงับการประมูลที่ดินในเมืองใหญ่ชั่วคราว, ห้าม บริษัทบางกลุ่มหยุดการระดมทุนเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และจัดการ Beike แพลตฟอร์มอสังหาเบอร์ 1 ในจีน ในข้อหาผูกขาด
5. ดันให้เรื่องการลดหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นประเด็นสำคัญลำดับต้น ๆ ที่รับจีนจับตาจนถึงปี 2023
ดูท่าทีหลายอย่างของรัฐบาลแล้ว ราวกับจงใจให้ Evergrande ล้ม ๆ ไปเพื่อรักษามะเร็งร้ายที่กัดกินสังคมจีนมานาน ย้อนดู 5 เหตุการณ์สำคัญของภาคอสังหาจีน ก่อนเกิดปัญหาหนี้ Evergrande ทั้งหมดอาจสรุปได้ว่ารัฐบาลจงใจปล่อยให้ Evergrande ล้ม !!! ย้อนดู 5 เหตุการณ์สำคัญของภาคอสังหาจีน ก่อนเกิดปัญหาหนี้ Evergrande ทั้งหมดอาจสรุปได้ว่ารัฐบาลจงใจปล่อยให้ Evergrande ล้ม !!! 5 Evergrande อสังหาริมทรัพย์จีนขึ้นชื่อเรื่องการลงทุนเกินตัวมานาน ถ้าย้อนกลับไป หลายคนต้องเคยได้ยินเรื่อง “เมืองร้าง” เนื่องจากผู้พัฒนาไปลงทุนพยายามสร้างเมืองใหม่เกาะกระแสการเติบโตที่ร้อนแรงของ GDP ประเทศ แต่กลายเป็นว่าหาผู้ซื้อมาไม่พอจึงต้องปล่อยกลายเป็นเมืองร้างไป (โครงการใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าตึกร้าง) ในช่วงแรกรัฐบาลจีนเห็นชอบการลงทุนสร้างเมืองใหม่ เพราะมันหมายถึง GDP ประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่พอผ่านไปก็พบความจริงว่านี่เป็นเนื้อร้ายและพยายามออกนโยบายลดความร้อนแรงของภาคอสังหา จนกระทั่งมาเกิดปัญหาวิกฤตตลาดหุ้นจีนปี 2015-2016 ตลาดหุ้นจีนถล่มเกือบ -50% ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทำให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งมากมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนกลับมาซื้อสินทรัพย์อีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ไล่ทุบกลุ่ม short-seller และสั่งห้ามผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขายหุ้นออกมา (ฝรั่งแค้นมาถึงวันนี้) พอเป็นแบบนี้ราคาสินทรัพย์ทั้งหมดก็ฟื้น รวมถึงอสังหา (รัฐสนับสนุนให้ซื้อ แถมขัดขวางการขาย เม่าชอบ !!) หลังจากตลาดหุ้นและเศรษฐกิจจีนฟื้นกลับมาเป็นปกติ รัฐบาลรู้ตัวแล้วว่าเป้าหมายเน้น GDP โตแรงๆแบบในอดีตคงไม่รอด จึงเริ่มเปลี่ยนเป็นเป้าหมายนโยบายเป็น “การเติบโตอย่างมีคุณภาพ” ซึ่งเริ่มลดการสนับสนุนการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เกิดประโยชน์ และบีบไม่ให้ธนาคารปล่อยกู้ง่ายเหมือนเดิม พอเป็นแบบนี้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่การเงินไม่ดีก็ออกอาการแย่ จากข้อมูลพบว่าการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2018 การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่แค่ 5.8% ของการผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด
ปี 2019 เพิ่มเป็น 8.6%
ปี 2020 เพิ่มเป็น 16.5% ครึ่งปีนี้ 2021 พุ่งไปแล้วถึง 27% และถ้าย้อนไปดู 5 เหตุการณ์สำคัญก็เหมือนรัฐบาลจีนจงใจให้เป็นเช่นนั้น 1. บีบธนาคารให้ลดการปล่อยกู้เก็งกำไร (เมษายน 2020) รัฐบาลจีนเห็นปัญหา สั่งธนาคารลดการปล่อยกู้อสังหาเพื่อการเก็งกำไรด้วยการกำหนดเงื่อนไขว่า หากผู้ขอกู้จะขอวงเงินเพิ่มจะได้ไม่เกินที่เคยกู้ในปีที่แล้ว ห้ามเพิ่มหนี้ต่ออีกนั่นเอง 2. สร้างกฏ 3 เส้นแดงที่อสังหาจีนห้ามผ่าน (ตุลาคม 2020) เพื่อป้องกันการกู้ยืมที่มากเกินไปสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลจีนได้ออกการมาตรการสำหรับระดมทุนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องผ่านเกณฑ์ประเมิน 3 ข้อ (i) เพดานหนี้ต่อทรัพย์สินไม่เกิน 70%
(ii) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิไม่เกิน 100%
(iii) อัตราส่วนเงินสด : เงินกู้ ต้องไม่เกิน 1 3. ธนาคารกลางจีนกำหนดสัดส่วนสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ให้ภาคอสังหาได้ (ธันวาคม 2020) สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ห้ามปล่อยกู้เกิน 40% ให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์และห้ามปล่อยกู้เกิน 32.5% ให้ผู้กู้ซื้อบ้านสำหรับธนาคารขนาดกลาง สัดส่วนจะเหลือ 27.5% และ 20% ตามลำดับ 4. รองนายกรัฐมนตรีจีนประกาศ “บ้านเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ใช่ที่เก็งกำไร” (กรกฎาคม 2021) รัฐบาลออกมาตรการลดความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์หลายทาง เช่น เพิ่มดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน, ระงับการประมูลที่ดินในเมืองใหญ่ชั่วคราว, ห้าม บริษัทบางกลุ่มหยุดการระดมทุนเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และจัดการ Beike แพลตฟอร์มอสังหาเบอร์ 1 ในจีน ในข้อหาผูกขาด 5. ดันให้เรื่องการลดหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นประเด็นสำคัญลำดับต้น ๆ ที่รับจีนจับตาจนถึงปี 2023 ดูท่าทีหลายอย่างของรัฐบาลแล้ว ราวกับจงใจให้ Evergrande ล้ม ๆ ไปเพื่อรักษามะเร็งร้ายที่กัดกินสังคมจีนมานาน BottomLiner
| ย้อนดู 5 เหตุการณ์สำคัญของภาคอสังหาจีน ก่อนเกิดปัญหาหนี้ Evergrande ทั้งหมดอาจสรุปได้ว่ารัฐบาลจงใจปล่อยให้ Evergrande ล้ม !!!
อสังหาริมทรัพย์จีนขึ้นชื่อเรื่องการลงทุนเกินตัวมานาน ถ้าย้อนกลับไป หลายคนต้องเคยได้ยินเรื่อง “เมืองร้าง” เนื่องจากผู้พัฒนาไปลงทุนพยายามสร้างเมืองใหม่เกาะกระแสการเติบโตที่ร้อนแรงของ GDP ประเทศ แต่กลายเป็นว่าหาผู้ซื้อมาไม่พอจึงต้องปล่อยกลายเป็นเมืองร้างไป (โครงการใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าตึกร้าง)
ในช่วงแรกรัฐบาลจีนเห็นชอบการลงทุนสร้างเมืองใหม่ เพราะมันหมายถึง GDP ประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่พอผ่านไปก็พบความจริงว่านี่เป็นเนื้อร้ายและพยายามออกนโยบายลดความร้อนแรงของภาคอสังหา
จนกระทั่งมาเกิดปัญหาวิกฤตตลาดหุ้นจีนปี 2015-2016 ตลาดหุ้นจีนถล่มเกือบ -50% ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทำให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งมากมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนกลับมาซื้อสินทรัพย์อีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ไล่ทุบกลุ่ม short-seller และสั่งห้ามผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขายหุ้นออกมา (ฝรั่งแค้นมาถึงวันนี้)
พอเป็นแบบนี้ราคาสินทรัพย์ทั้งหมดก็ฟื้น รวมถึงอสังหา (รัฐสนับสนุนให้ซื้อ แถมขัดขวางการขาย เม่าชอบ !!)
หลังจากตลาดหุ้นและเศรษฐกิจจีนฟื้นกลับมาเป็นปกติ รัฐบาลรู้ตัวแล้วว่าเป้าหมายเน้น GDP โตแรงๆแบบในอดีตคงไม่รอด จึงเริ่มเปลี่ยนเป็นเป้าหมายนโยบายเป็น “การเติบโตอย่างมีคุณภาพ” ซึ่งเริ่มลดการสนับสนุนการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เกิดประโยชน์ และบีบไม่ให้ธนาคารปล่อยกู้ง่ายเหมือนเดิม
พอเป็นแบบนี้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่การเงินไม่ดีก็ออกอาการแย่ จากข้อมูลพบว่าการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปี 2018 การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่แค่ 5.8% ของการผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมด
ปี 2019 เพิ่มเป็น 8.6%
ปี 2020 เพิ่มเป็น 16.5%
ครึ่งปีนี้ 2021 พุ่งไปแล้วถึง 27%
ย้อนไปดู 5 เหตุการณ์สำคัญก็เหมือนรัฐบาลจีนจงใจให้เป็นเช่นนั้น มีดังนี้
1. บีบธนาคารให้ลดการปล่อยกู้เก็งกำไร (เมษายน 2020)
รัฐบาลจีนเห็นปัญหา สั่งธนาคารลดการปล่อยกู้อสังหาเพื่อการเก็งกำไรด้วยการกำหนดเงื่อนไขว่า หากผู้ขอกู้จะขอวงเงินเพิ่มจะได้ไม่เกินที่เคยกู้ในปีที่แล้ว ห้ามเพิ่มหนี้ต่ออีกนั่นเอง
2. สร้างกฏ 3 เส้นแดงที่อสังหาจีนห้ามผ่าน (ตุลาคม 2020)
เพื่อป้องกันการกู้ยืมที่มากเกินไปสำหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลจีนได้ออกการมาตรการสำหรับระดมทุนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องผ่านเกณฑ์ประเมิน 3 ข้อ
(i) เพดานหนี้ต่อทรัพย์สินไม่เกิน 70%
(ii) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิไม่เกิน 100%
(iii) อัตราส่วนเงินสด : เงินกู้ ต้องไม่เกิน 1
3. ธนาคารกลางจีนกำหนดสัดส่วนสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ให้ภาคอสังหาได้ (ธันวาคม 2020)
สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ห้ามปล่อยกู้เกิน 40% ให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์และห้ามปล่อยกู้เกิน 32.5% ให้ผู้กู้ซื้อบ้านสำหรับธนาคารขนาดกลาง สัดส่วนจะเหลือ 27.5% และ 20% ตามลำดับ
4. รองนายกรัฐมนตรีจีนประกาศ “บ้านเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ใช่ที่เก็งกำไร” (กรกฎาคม 2021)
รัฐบาลออกมาตรการลดความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์หลายทาง เช่น เพิ่มดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน, ระงับการประมูลที่ดินในเมืองใหญ่ชั่วคราว, ห้าม บริษัทบางกลุ่มหยุดการระดมทุนเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และจัดการ Beike แพลตฟอร์มอสังหาเบอร์ 1 ในจีน ในข้อหาผูกขาด
5. ดันให้เรื่องการลดหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นประเด็นสำคัญลำดับต้น ๆ ที่รับจีนจับตาจนถึงปี 2023
| 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1415 | Finance | ข้อใดไม่ใช่ Holding ของ iShares MSCI South Korea ETF | ก. HYUNDAI MOTOR
ข. NAVER
ค. KAKAO CORP
ง. CELLTRION
จ. SCBKEQTG | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ จ. เนื่องจาก เพราะ SCBKEQTG (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นเกาหลี) เป็นกองทุนที่ลงทุนใน iShare MSCI South Korea ETF (ชื่อย่อ EWY) บริหารงานโดยบริษัทย่อยของ BlackRock Fund มุ่งเน้นให้เคลื่อนไหวตาม MSCI South Korea 25/50
โดยปกติแล้วดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ จะใช้ชื่อว่า Korea Composite Stock Price Index (KOSPI) รวมหุ้นทั้งตลาดเอาไว้ด้วยกันและวัดว่า วันนี้ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้ากองทุนจะซื้อหุ้นทั้งตลาดมาดูแลก็คงไม่ไหว MSCI จึงได้ออกดัชนี MSCI Korea 25/50 Index ออกมาช่วยระบุ Basket และ Benchmark ของตลาดหุ้นเกาหลี และให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ดังกล่าว
อะไรคือ “25/50 Index”?
1. ห้ามไม่ให้มีน้ำหนักหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากกว่า 25%
2. หุ้นที่มีสัดส่วนมากกว่า 5% ทุกตัวต้องรวมกันไม่เกินสัดส่วน 50%
ทั้งนี้เพราะหุ้นบางตัวในตลาดมีขนาดใหญ่เกินกว่าใช้เกณฑ์จัดเรียงตาม Market Cap ปกติได้ เช่น Samsung ที่มีขนาด Market Cap ใหญ่มาก ทำให้มีสัดส่วนมากกว่าหุ้นตัวอื่น ๆ มากกว่าหลายเท่าตัว และบางประเทศอย่าง USA ก็มีความเข้มงวดไม่ให้กองทุนบางประเภทถือหลักทรัพย์กระจุกตัวเกินไป ดังนั้น การจัดหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะทำให้มีการกระจายตัวของหุ้น Large-Mid Cap ให้ดียิ่งขึ้น | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1420 | Finance | เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน LHSEMICON-A เท่าไหร่ | a. 3,000 บาท (ครั้งแรก), 300 บาท (ครั้งถัดไป)
b. 2,000 บาท (ครั้งแรก), 200 บาท (ครั้งถัดไป)
c. 1,000 บาท (ครั้งแรก), 100 บาท (ครั้งถัดไป)
d. 4,000 บาท (ครั้งแรก), 400 บาท (ครั้งถัดไป) | คำตอบที่ถูกต้องคือ c. เนื่องจาก LHSEMICON
กองทุน LHSEMICON หรือ LH SEMICONDUCTOR FUND จากบลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFUND) มีนโยบายลงทุนใน iShares Semiconductor ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน LHSEMICON จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7
กองทุนหลักจะลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการออกแบบ การจัดจำหน่าย การผลิต และการขายเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนที่สอดคล้องกับราคาและผลการ ดําเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของดัชนี ICE Semiconductor Index ที่เป็นดัชนีอ้างอิง
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management / Index Tracking)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และหมวดอุตสาหกรรม Semiconductor, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน)
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน LHSEMICON-A:
• ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.070%
• ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และ Switching-in: 1.25%
• ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.36318% (ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ)
• เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน LHSEMICON-A: 1,000 บาท (ครั้งแรก), 100 บาท (ครั้งถัดไป)
ข้อมูลจาก LHSEMICON-A Fund Factsheet ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564 | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1421 | Finance | ไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 ภาพเศรษฐกิจและมุมมองการลงทุนโดยรวม ของฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว (DM) เป็นอย่างไร | แล้วเรากำลังเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 บทความนี้ จะขอฉายภาพเศรษฐกิจของภูมิภาคหลักของโลกและมุมมองการลงทุนโดยรวม ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ดังนี้
ความเป็นไปของฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว (DM)
ธนาคารกลางสหรัฐ: เฟดมีแนวโน้มจะเริ่มลดการซื้อพันธบัตรหรือทำ QE Taper ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือว่าเร็วกว่าคาดเล็กน้อย โดยที่น่าจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนจนสิ้นสุด QE ของรอบนี้ ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า จากการที่หลายคนมองว่าจีดีพีสหรัฐจะเติบโตน้อยกว่าคาด และอัตราเงินเฟ้อจะออกมาสูงกว่าคาด อย่างไรก็ดี อย่างไรก็ดี หากมีการสะดุดในส่วนของเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐในกลางเดือนตุลาคมนี้ ก็อาจทำให้แผนเปลี่ยนไปจากนี้ได้
ธนาคารกลางยุโรป: แม้อีซีบีจะออกตัวลด QE ก่อนเฟด โดยคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี ประกาศลดมูลค่าการซื้อพันธบัตรต่อเดือนในโครงการ QE ในส่วนสู้โควิด (PEPP) จากการประชุมอีซีบี วันที่ 9 กันยายน 2021 ทว่าอีซีบีน่าจะยังต้องใช้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจนานกว่าเฟดไปอีกอย่างน้อย 1 ปี
เยอรมัน: การเลือกตั้งผู้นำเยอรมันใหม่ในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ มีโอกาสเพิ่มขึ้นที่พรรค SPD ภายใต้การนำของโอลาฟ โชลท์ซ รัฐมนตรีคลังเยอรมัน จะได้เก้าอี้ในสภาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ มีผลในเชิงลบต่อตลาดหุ้นของเยอรมันเล็กน้อย เนื่องจากพรรค SPD เน้นรัฐสวัสดิการมากกว่าพรรค CDU ของอังเจล่า แมร์เคิล ผู้นำเยอรมันและหัวหน้าพรรค CDU
อย่างไรก็ดี ผมยังมองว่าโอกาสที่อามิน ลาร์เช็ตต์ ทายาททางการเมืองของนางแมร์เคิลจะนำพรรค CDU ชนะการเลือกตั้งยังมีอยู่ไม่น้อย
ญี่ปุ่น: การสรรหาผู้นำใหม่ของญี่ปุ่นที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ แน่นอนว่าจะเป็นผลดีต่อนโยบายการกระตุ้นของภาครัฐและเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงต่อไป รวมถึงธนาคารกลางญี่ปุ่นน่าจะมีแรงจูงใจมากขึ้นที่จะออกมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินใหม่ ๆ ออกมาอีกชุดหนึ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่าจะออกมาภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าในช่วงต้นปีหน้า
ในภาพรวม เศรษฐกิจฝั่ง DM ค่อนข้างจะเป็นบวก โดยที่มีความเสี่ยงอยู่ตรงการปรับโทนลงจาก โหมดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินอย่างสุดโต่งท่ามกลางโควิด 19 ค่อย ๆ กลับเข้าสู่ โหมดการใช้ดอกเบี้ยเป็นอาวุธ อย่างที่เป็นเศรษฐกิจยามปกติที่เราคุ้นเคยกัน
ฝั่งประเทศกำลังพัฒนา (EM)
จีน: นโยบายเศรษฐกิจพยายามที่จะปรับโทนจากที่ใช้มาตรการกระตุ้นภายในประเทศ อาทิ การลด RRR หรือ อัตราส่วนสำรองต่อเงินฝากที่บังคับโดยทางการ และ มาตรการดอกเบี้ยต่ำในบางจุด จากธนาคารกลางจีน มาสู่การใช้มาตรการด้านต่างประเทศ อาทิ การเปิดให้เงินทุนต่างชาติและเงินทุนจากคนรวยในประเทศไหลเข้าออกจากจีนมากขึ้น เพื่อหลักเลี่ยงฟองสบู่
รวมถึงการเริ่มปล่อยให้มีการ default ของตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีนให้ไม่จ่ายดอกเบี้ย
ในภาพรวม เศรษฐกิจจีนไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากวิกฤตโควิดมากนัก จึงหันมาปรับนโยบายด้านสังคม โดยการออกกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเน้นความเท่าเทียมของประชาชนชาวจีนทั่วประเทศ
ด้านมุมมองในการลงทุน สำหรับในไตรมาสสี่ ปี 2021 ผมยังมองว่าความร้อนแรงของตลาดหุ้นในฝั่ง DM จะลดลงจากช่วงเกือบ 9 เดือนแรกของปีนี้ ที่ตลาดหุ้น DM โดยรวมขึ้นไปประมาณร้อยละ 14-18 ทั้งนี้ ผลกระทบจากวิกฤตโควิด 19 ต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในฝั่ง DM ได้ลดลงมาเป็นอย่างมาก แม้จะยังไม่นิ่งเสียทีเดียว ส่งผลให้มาตรการการกระตุ้นทั้งด้านนโยบายการเงิน และการคลังของธนาคารกลางและรัฐบาลค่อย ๆ มีการลดขนาดของโครงการลงเช่นกัน จะมากหรือน้อยแล้วแต่ว่าตัวเลขเศรษฐกิจรวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อ ในประเทศนั้น ๆ จะออกมาดีมากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ การที่กูรูหลายคนมองอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของสหรัฐและยุโรปแม้ว่าจะสูงขึ้นมากในปีนี้ ทว่ายังมองว่าปรากฏการณ์เงินเฟ้อดังกล่าวเป็นแค่เพียงชั่วคราว อันส่งผลมาจากปัจจัยราคาน้ำมัน ปัจจัยด้าน Supply Disruption และภาคบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวและค้าปลีก ที่เพิ่งเปิดเป็นครั้งแรกหลังปิดมากว่า 1 ปี โดยผลกระทบทั้งหมดต่อเงินเฟ้อที่สูงแบบผิดปกติในขณะนี้ น่าจะเริ่มซาลงราวในช่วงกลางปีหน้านั้น จนสถานการณ์เศรษฐกิจน่าจะกลับมาเป็นเหมือนช่วงปกติมากขึ้น ตรงนี้ จะส่งผลให้ธนาคารกลางหลักอย่างเฟดและอีซีบี กล้าที่จะออกจากโหมด QE เร็วขึ้น จนฝั่งสหรัฐภายใต้เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า อันเป็นผลให้ตลาดหุ้นฝั่ง DM อาจต้องลดค่า P/E เฉลี่ยของตลาดลงจากช่วงวิกฤตโควิด
หากเปรียบเทียบระหว่างกัน ต้องบอกว่าเศรษฐกิจยุโรปยังไม่ได้ออกจากวิกฤติโควิดแต่อย่างใด และยังต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรที่จะไปถึงจุดนั้น ทว่าวิวัฒนาการของการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรป เป็นไปในทิศทางและด้วยความเร็วที่ดีกว่าคาด ในขณะที่ ทางสหรัฐเองถือว่าเศรษฐกิจได้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นกว่าทางยุโรปไปหนึ่งขั้นแล้ว โดยอย่างน้อยโอกาสที่จะกลับไปสู่โหมดถดถอย ถือว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ ณ ตรงนี้
กระนั้นก็ดี ยังไม่แน่นอนว่าทิศทางเศรษฐกิจจะดีเช่นนี้ขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือไม่ โดยส่วนหลักต้องขึ้นกับคุณภาพการจัดการของ Delta Variants จากหน่วยงานสาธารณสุขฝั่งยุโรปในช่วงเวลาถัดไป ซึ่งตรงนี้ จะเป็นตัวบอกของแนวโน้มของตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 2022
ส่วนด้านการลงทุนของตลาด EM เอง ในภาพรวม ก็ยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก จากการที่สถานการณ์โควิดของฝั่ง EM ยังแรงกว่า DM
สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปี ยังน่าจะถูกโควิดระลอกนี้และต่อไป เป็นตัวดึงทำให้เกิดความผันผวน รวมถึงฟันด์โฟลว์จากต่างชาติไม่ได้ไหลเข้าฝั่งอาเซียนมากเท่าไรนัก จากการที่สถานการณ์โควิดที่ดูยังหนักกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก | ธนาคารกลางสหรัฐ: เฟดมีแนวโน้มจะเริ่มลดการซื้อพันธบัตรหรือทำ QE Taper ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือว่าเร็วกว่าคาดเล็กน้อย โดยที่น่าจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนจนสิ้นสุด QE ของรอบนี้ ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า จากการที่หลายคนมองว่าจีดีพีสหรัฐจะเติบโตน้อยกว่าคาด และอัตราเงินเฟ้อจะออกมาสูงกว่าคาด อย่างไรก็ดี อย่างไรก็ดี หากมีการสะดุดในส่วนของเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐในกลางเดือนตุลาคมนี้ ก็อาจทำให้แผนเปลี่ยนไปจากนี้ได้
ธนาคารกลางยุโรป: แม้อีซีบีจะออกตัวลด QE ก่อนเฟด โดยคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี ประกาศลดมูลค่าการซื้อพันธบัตรต่อเดือนในโครงการ QE ในส่วนสู้โควิด (PEPP) จากการประชุมอีซีบี วันที่ 9 กันยายน 2021 ทว่าอีซีบีน่าจะยังต้องใช้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจนานกว่าเฟดไปอีกอย่างน้อย 1 ปี
เยอรมัน: การเลือกตั้งผู้นำเยอรมันใหม่ในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ มีโอกาสเพิ่มขึ้นที่พรรค SPD ภายใต้การนำของโอลาฟ โชลท์ซ รัฐมนตรีคลังเยอรมัน จะได้เก้าอี้ในสภาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ มีผลในเชิงลบต่อตลาดหุ้นของเยอรมันเล็กน้อย เนื่องจากพรรค SPD เน้นรัฐสวัสดิการมากกว่าพรรค CDU ของอังเจล่า แมร์เคิล ผู้นำเยอรมันและหัวหน้าพรรค CDU
อย่างไรก็ดี มองว่าโอกาสที่อามิน ลาร์เช็ตต์ ทายาททางการเมืองของนางแมร์เคิลจะนำพรรค CDU ชนะการเลือกตั้งยังมีอยู่ไม่น้อย
ญี่ปุ่น: การสรรหาผู้นำใหม่ของญี่ปุ่นที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ แน่นอนว่าจะเป็นผลดีต่อนโยบายการกระตุ้นของภาครัฐและเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงต่อไป รวมถึงธนาคารกลางญี่ปุ่นน่าจะมีแรงจูงใจมากขึ้นที่จะออกมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินใหม่ ๆ ออกมาอีกชุดหนึ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่าจะออกมาภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าในช่วงต้นปีหน้า
ในภาพรวม เศรษฐกิจฝั่ง DM ค่อนข้างจะเป็นบวก โดยที่มีความเสี่ยงอยู่ตรงการปรับโทนลงจาก โหมดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินอย่างสุดโต่งท่ามกลางโควิด 19 ค่อย ๆ กลับเข้าสู่ โหมดการใช้ดอกเบี้ยเป็นอาวุธ อย่างที่เป็นเศรษฐกิจยามปกติที่เราคุ้นเคยกัน | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1424 | Finance | 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (11 – 17 ก.ย. 64) มีกองทุนใดบ้าง | สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (11 – 17 ก.ย. 64)
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 ก.ย. 2564 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 ก.ย. 2564 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (11 – 17 ก.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 17 ก.ย. 2564) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 17 ก.ย. 2564) 17 1.KT-mai – กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น เอ็ม เอ ไอ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.27% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.27% +5.27% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +29.48% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +29.48% +29.48% 2.TLMSEQ – กองทุนเปิดทาลิส MID-SMALL CAP หุ้นทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.70 % ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.70 +4.70 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +48.09% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +48.09% +48.09% 3.TMBOIL – กองทุนเปิดทหารไทยออย์ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.53 % ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.53 +4.53 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +68.98% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +68.98% +68.98% ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม: KT-mai, TLMSEQ, TMBOIL, K-OIL, KT-OIL, KF-OIL, SCBOIL, I-OIL, I-10, TLDIVEQ-D ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม: KT-mai, TLMSEQ, TMBOIL, K-OIL, KT-OIL, KF-OIL, SCBOIL, I-OIL, I-10, TLDIVEQ-D KT-mai, TLMSEQ, TMBOIL, K-OIL, KT-OIL, KF-OIL, SCBOIL, I-OIL, I-10, TLDIVEQ-D หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (11 – 17 ก.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 17 ก.ย. 2564) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 17 ก.ย. 2564) 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -3.05% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -3.05% -3.05% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +13.05% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +13.05% +13.05% 2.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -0.30% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -0.30% -0.30% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +15.84% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +15.84% +15.84% 3. KFGG-A : กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลโกรท ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -2.86% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -2.86% -2.86% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -1.41% (เริ่มนับ NAV วันที่ 2 ก.ย. 2564) ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -1.41% (เริ่มนับ NAV วันที่ 2 ก.ย. 2564) -1.41% (เริ่มนับ NAV วันที่ 2 ก.ย. 2564) (เริ่มนับ NAV วันที่ 2 ก.ย. 2564) ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, TMBGQG, KFGG-A, K-VIETNAM, PRINCIPAL VNEQ-A, K-CHANGE-A(A), TMBCOF, K-CHINA-A(A), B-INNOTECH, TMBAGLF ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, TMBGQG, KFGG-A, K-VIETNAM, PRINCIPAL VNEQ-A, K-CHANGE-A(A), TMBCOF, K-CHINA-A(A), B-INNOTECH, TMBAGLF ONE-UGG-RA, TMBGQG, KFGG-A, K-VIETNAM, PRINCIPAL VNEQ-A, K-CHANGE-A(A), TMBCOF, K-CHINA-A(A), B-INNOTECH, TMBAGLF ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (11 – 17 ก.ย. 64)
1. KT-mai – กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น เอ็ม เอ ไอ
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.27%
2. TLMSEQ – กองทุนเปิดทาลิส MID-SMALL CAP หุ้นทุน
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.70 %
3.TMBOIL – กองทุนเปิดทหารไทยออย์ฟันด์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.53 %
4. K-OIL – กองทุนเปิดเค ออยล์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.51 %
5. KT-OIL – กองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.49 %
6. KF-OIL – กองทุนเปิดกรุงศรี ออยล์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.32 %
7. SCBOIL – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ออยล์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.30 %
8. I-OIL – กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.27 %
9. I-10 – กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทน
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.17 %
10. TLDIVEQ-D – กองทุนเปิดทาลิส DIVIDEND STOCK หุ้นทุนปันผล
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +3.90 %
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2564
คำเตือน
- ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
- ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1431 | Finance | ข้อใดไม่ใช่วิธีการหาหุ้นหรือการลงทุนแบบ ‘Dhandho’ | 1. ลงทุนเฉพาะธุรกิจที่มีอยู่จริงแล้วเท่านั้น
2. ซื้อเมื่อเจอโอกาสครั้งใหญ่เท่านั้น
3. ลงทุนบนสิ่งที่ความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง
4. เลือกลงทุนบนธุรกิจที่กำลังมีปัญหา
5. ลงทุนบนธุรกิจที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 2. เพราะว่า เพราะเป็นลักษณะของ Dhandho ซึ่งวิถี ‘Dhandho’ มีลักษณะคือ ซื้อไม่บ่อย ซื้อเมื่อเจอโอกาสครั้งใหญ่เท่านั้น โดยจะเฟ้นหาหุ้นหรือการลงทุนที่ตลาดประเมินพลาดหรือยังไม่สะท้อนมูลค่าของมัน และซื้อมันในโอกาสเจ็บตัวจากการแพ้ต่ำ หรือ ความเสี่ยงต่ำหากเทียบกับผลตอบแทนที่คาดหวัง (Risk/Reward) ซึ่งโดยปกติจะเทียบ ความเสี่ยง:ต่อผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับที่ 1:3 ถึง 1:5
อธิบายง่าย ๆ คือ ถ้าคิดว่าการลงทุนครั้งนี้ เขาคิดว่าอาจขาดทุนได้ถึง 100% Pabrai จะซื้อเมื่อเทียบกันแล้ว เห็นว่าเขามีโอกาสสร้างกำไรได้ 300-500% เท่านั้น หรือถ้าการลงทุนครั้งนั้นมีโอกาสขาดทุน 20% เขาจะลงทุนเฉพาะเมื่อคาดว่าจะได้รับผลตอบแทน 60-100% เท่านั้น หากเขาแพ้ เขาก็จะปล่อยวางมันและหาเดิมพัน ‘dhandho’ ครั้งใหม่ เพราะถ้าชนะครั้งเดียวก็สามารถล้างขาดทุนได้แล้ว | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1458 | Finance | 1,850 ไม่ใช่เป้าหมายของ SET Index แต่มันคืออะไร | A. รายได้ของธุรกิจส่วนตัวที่ได้รับในแต่ละเดือน
B. ผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ
C. ยอดเงินในบัญชี Mobile Banking ส่วนตัวของคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ
D. รายได้จากการสอนพิเศษ | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ C. เพราะว่า 1,850 ไม่ใช่เป้าหมายของ SET Index แต่มันคือยอดเงินในบัญชี Mobile Banking ส่วนตัวของคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ
เขามองยอดเงินนี้ด้วยความชื่นใจ เพราะมันสามารถนำไปอุดหนุนอาหาร Delivery จากร้านอาหารที่อยากช่วยได้อีกหลายวัน และหลายร้าน (วันละมื้อ วันละร้าน)
เขาคิดคำนวณในใจเมื่อเงินก้อนนี้หมดลง ก็จะพอดีกับที่จะได้เงินก้อนใหม่ในอีก 5-7 วันข้างหน้า จากส่วนแบ่งรายได้ของ Facebook และเงินจากการสอนพิเศษ
เมื่อได้เงินก้อนใหม่มา จะประมาณการค่าใช้จ่ายส่วนตัวไปจนถึงวันเสาร์ถัดไปว่าเป็นเท่าไร ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะอยู่ที่ราว ๆ 2 พันบาทต่อรอบ เมื่อหักออกจากรายได้ของการสอนพิเศษที่จะได้ทุกวันเสาร์ จะยังคงมีเงินเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง เขาจะรีบทำการโอนเงินทั้งหมดไปยังบัญชีเงินเก็บประเภท offline เพื่อป้องก้นความเสี่ยงต่าง ๆ
เช่นเดียวกับรายได้อื่น ๆ ทั้งจากงานประจำ งานสอน งานบรรยาย จะมีแผนที่ชัดเจนว่าจะต้องเก็บเข้าบัญชีเงินเก็บเท่าไร ต้องแบ่งไปลงทุนสินทรัพย์ต่าง ๆ เท่าไร เมื่อได้รับเงินมา จะแยกส่วนและโอนทันที จนบัญชีเงินเดือนเหลือเงินไม่ถึง 10 บาทตลอดเวลา ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ในสินทรัพย์นั้น ๆ เพื่อให้เกิดการลงทุนทบต้นต่อเนื่อง
ส่วนรายได้ของธุรกิจส่วนตัวที่ได้รับในแต่ละเดือน เขาจะกันไว้ส่วนหนึ่งเป็นงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวใน 1 เดือนข้างหน้า ที่เหลือจะทำการโอนเข้าบัญชีภรรยา
ดังนั้นบัญชี Mobile Banking ของเขาและของครอบครัว จึงมียอดเงินที่พอดีกับค่าใช้จ่ายในอีก 1 สัปดาห์และ 1 เดือนข้างหน้าเท่านั้น หากจะต้องมีการใช้เงินนอกเหนือจากที่ประเมิน เขาเลือกที่จะใช้บัตรเครดิตเพื่อสะสมแต้มไว้แลกของ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1462 | Finance | กองทุน TMBAGLF กับ SCBAOA ต่างกันอย่างไร | TMBAGLF ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Schroder International Selection Fund – Emerging Asia Share Class A2 Acc USD
เน้นเอาชนะดัชนีหุ้นเอเชียสามัญอย่าง MSCI Emerging Market Asia (Net TR)
เน้นสร้างเงินทุนให้เติบโตในช่วง 3-5 ปี หลังหักค่าธรรมเนียม
ลงทุนในหุ้นหรือบริษัทในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Schroder International Selection Fund – Emerging Asia Share Class A2 Acc USD เน้นเอาชนะดัชนีหุ้นเอเชียสามัญอย่าง MSCI Emerging Market Asia (Net TR) เน้นสร้างเงินทุนให้เติบโตในช่วง 3-5 ปี หลังหักค่าธรรมเนียม ลงทุนในหุ้นหรือบริษัทในตลาดเกิดใหม่เอเชีย SCBAOA ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Morgan Stanley Investment Fund – Asia Opportunity Fund Share Class Z Accumulation USD
เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัท ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น
ลงทุนในจังหวะเวลาที่บริษัท นั้น ๆ มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงตามความเห็นของทีมงานด้านการลงทุน
ลงทุนในบริษัท ที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันและสามารถนำข้อได้เปรียบที่ว่ามาสร้างการเติบโตทำเงินได้
นอกจากนั้นยังคัดเลือกบริษัท ผ่านความยั่งยืนโดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงแบบ Disruptive และ ความแข็งแกร่งทางการเงิน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Morgan Stanley Investment Fund – Asia Opportunity Fund Share Class Z Accumulation USD เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัท ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น ลงทุนในจังหวะเวลาที่บริษัท นั้น ๆ มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงตามความเห็นของทีมงานด้านการลงทุน ลงทุนในบริษัท ที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันและสามารถนำข้อได้เปรียบที่ว่ามาสร้างการเติบโตทำเงินได้ นอกจากนั้นยังคัดเลือกบริษัท ผ่านความยั่งยืนโดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงแบบ Disruptive และ ความแข็งแกร่งทางการเงิน สรุปนโยบายกองทุนหลักเหมือนหรือต่าง อย่างไร? TMBAGLF มีจุดเด่นอย่างการเลือกใช้ผลตอบแทนหลังค่าธรรมเนียมมาวัดกับ benchmark ซึ่งถือได้ว่าตรง ๆ ไม่มีเล่นแง่ และตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทนในระยะกลางซึ่งถือได้ว่ามีความท้าทาย แต่ที่ผ่านมากองทุนก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด
SCBAOA มีจุดเด่นอย่างกลยุทธ์การลงทุนที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของการวิเคราะห์และความยั่งยืนของบริษัท เหมาะสำหรับการลงทุนแบบยาว ๆ
สรุปโดยรวม หากใครสนใจวัดกันระยะกลาง-ยาว TMBAGLF น่าจะตอบโจทย์ ในขณะที่ SCBAOA หากดูจากนโยบายจะเน้นการลงทุนแบบระยะยาวกันไปเลย TMBAGLF มีจุดเด่นอย่างการเลือกใช้ผลตอบแทนหลังค่าธรรมเนียมมาวัดกับ benchmark ซึ่งถือได้ว่าตรง ๆ ไม่มีเล่นแง่ และตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทนในระยะกลางซึ่งถือได้ว่ามีความท้าทาย แต่ที่ผ่านมากองทุนก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด SCBAOA มีจุดเด่นอย่างกลยุทธ์การลงทุนที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของการวิเคราะห์และความยั่งยืนของบริษัท เหมาะสำหรับการลงทุนแบบยาว ๆ สรุปโดยรวม หากใครสนใจวัดกันระยะกลาง-ยาว TMBAGLF น่าจะตอบโจทย์ ในขณะที่ SCBAOA หากดูจากนโยบายจะเน้นการลงทุนแบบระยะยาวกันไปเลย ประชันสัดส่วนประเทศกองทุนหลักเหมือนหรือต่าง? ภาพแสดงสัดส่วนประเทศหลักที่ลงทุน ที่มา: Schroders Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนประเทศหลักที่ลงทุน ที่มา: Schroders Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนประเทศหลักที่ลงทุน ที่มา: Morgan Stanley Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนประเทศหลักที่ลงทุน ที่มา: Morgan Stanley Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 TMBAGLF สัดส่วนเน้นหนักไปทางจีนว่าที่ประเทศมหาอำนาจคนใหม่ของโลก ตามมาด้วยไต้หวันและเกาหลี ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องของ Semiconductors อยู่แล้ว และมีบริษัท เทคโนโลยี ที่ไว้ใจได้อย่าง Samsung และ TSMC สัดส่วนเน้นหนักไปทางจีนว่าที่ประเทศมหาอำนาจคนใหม่ของโลก ตามมาด้วยไต้หวันและเกาหลี ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องของ Semiconductors อยู่แล้ว และมีบริษัท เทคโนโลยี ที่ไว้ใจได้อย่าง Samsung และ TSMC SCBAOA เน้นหนักจีนเช่นเดียวกัน แต่มีข้อแตกต่างอย่างอินเดียที่เข้ามาแทรกในสัดส่วนที่เยอะกว่า โดยอินเดียมีจุดเด่นคล้าย ๆ กับจีนตรงที่มีประชากรเยอะมาก ๆ มีแรงงานเยอะ บริโภคกันได้อู้ฟู่ซึ่งกำลังกลายมาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีตลาดการบริโภคใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐและจีน เน้นหนักจีนเช่นเดียวกัน แต่มีข้อแตกต่างอย่างอินเดียที่เข้ามาแทรกในสัดส่วนที่เยอะกว่า โดยอินเดียมีจุดเด่นคล้าย ๆ กับจีนตรงที่มีประชากรเยอะมาก ๆ มีแรงงานเยอะ บริโภคกันได้อู้ฟู่ซึ่งกำลังกลายมาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีตลาดการบริโภคใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐและจีน สรุปสัดส่วนประเทศที่ลงทุนของกองทุนหลักเหมือนหรือต่าง อย่างไร? TMBAGLF ดูจะเน้นการลงทุนในประเทศที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้วในตอนนี้โดยมีส่วนผสมทั้งจีน ไต้หวัน และเกาหลี ซึ่งสามารถเห็นผลการลงทุนได้ในระยะเวลาที่ไม่นานมาก ในขณะที่ตัว SCBAOA จะเน้นหนักไปทางจีนและอินเดีย ซึ่งมีการเติบโตในระยะยาวที่น่าสนใจ ชี้ให้เห็นอีกครั้งว่าทั้งสองกองทุน มีรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกัน TMBAGLF ดูจะเน้นการลงทุนในประเทศที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้วในตอนนี้โดยมีส่วนผสมทั้งจีน ไต้หวัน และเกาหลี ซึ่งสามารถเห็นผลการลงทุนได้ในระยะเวลาที่ไม่นานมาก ในขณะที่ตัว SCBAOA จะเน้นหนักไปทางจีนและอินเดีย ซึ่งมีการเติบโตในระยะยาวที่น่าสนใจ ชี้ให้เห็นอีกครั้งว่าทั้งสองกองทุน มีรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกัน ประชันสัดส่วนประเทศเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุนเหมือนหรือต่าง? ภาพแสดงสัดส่วนเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุน ที่มา: Schroders Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุน ที่มา: Schroders Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุน ที่มา: Morgan Stanley Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนเซ็กเตอร์หลักที่ลงทุน ที่มา: Morgan Stanley Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 TMBAGLF เน้นหนักลงทุนไปในเซ็กเตอร์เทคโนโลยีและ Consumer Discretionary หรือสินค้าฟุ่มเฟือย ที่แทบจะเรียกได้ว่า Blend รวมไปกับเทคโนโลยีเรียบร้อยแล้ว โดยมีกลุ่มการเงินให้เห็นบ้าง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรสำหรับตลาดเกิดใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโต ที่ธนาคารยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเงินทุนและยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้อยู่ เน้นหนักลงทุนไปในเซ็กเตอร์เทคโนโลยีและ Consumer Discretionary หรือสินค้าฟุ่มเฟือย ที่แทบจะเรียกได้ว่า Blend รวมไปกับเทคโนโลยีเรียบร้อยแล้ว โดยมีกลุ่มการเงินให้เห็นบ้าง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรสำหรับตลาดเกิดใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโต ที่ธนาคารยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเงินทุนและยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้อยู่ SCBAOA มาแบบอินดี้สักหน่อยโดยที่สัดส่วนของกลุ่มการเงินถือได้ว่าเยอะเป็นอันดับสองและสูงกว่า Index อีกทั้งยังมีส่วนของ Consumer Staples เข้ามาด้วย ซึ่งหามาดูที่สัดส่วน Sector ในตอนนี้ กองทุนอาจจะดูบู๊น้อยกว่าตัว TMBAGLF แต่ด้วยความที่เป็นกองทุนระยะยาว Sector พวกนี้ในตลาดเกิดใหม่ก็น่าจะมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกมาก มาแบบอินดี้สักหน่อยโดยที่สัดส่วนของกลุ่มการเงินถือได้ว่าเยอะเป็นอันดับสองและสูงกว่า Index อีกทั้งยังมีส่วนของ Consumer Staples เข้ามาด้วย ซึ่งหามาดูที่สัดส่วน Sector ในตอนนี้ กองทุนอาจจะดูบู๊น้อยกว่าตัว TMBAGLF แต่ด้วยความที่เป็นกองทุนระยะยาว Sector พวกนี้ในตลาดเกิดใหม่ก็น่าจะมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกมาก สรุปสัดส่วนประเทศที่ลงทุนของกองทุนหลักเหมือนหรือต่าง อย่างไร? ทั้งสองกองทุนลงทุนใน Sector หลักของโลก ณ ตอนนี้มีสัดส่วนเซ็กเตอร์หลักอย่าง Consumer Discretionary และ Information Technology ทั้งคู่ซึ่งถือได้ว่าเข้ามามีบทบาทกับโลกของเราค่อนข้างมาก หลังเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนแล้วเป็นที่เรียบร้อย และสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดีทั้งคู่
สัดส่วนเซ็กเตอร์ของ SCBAOA ดูจะบู๊น้อยกว่า TMBAGLF แต่ก็เน้นการเติบโตระยะยาวและตรงกับนโยบายของกองทุนแม่ที่เน้นเข้าลงทุนตามจังหวะที่บริษัทมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งสองกองทุนลงทุนใน Sector หลักของโลก ณ ตอนนี้มีสัดส่วนเซ็กเตอร์หลักอย่าง Consumer Discretionary และ Information Technology ทั้งคู่ซึ่งถือได้ว่าเข้ามามีบทบาทกับโลกของเราค่อนข้างมาก หลังเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนแล้วเป็นที่เรียบร้อย และสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดีทั้งคู่ สัดส่วนเซ็กเตอร์ของ SCBAOA ดูจะบู๊น้อยกว่า TMBAGLF แต่ก็เน้นการเติบโตระยะยาวและตรงกับนโยบายของกองทุนแม่ที่เน้นเข้าลงทุนตามจังหวะที่บริษัทมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ประชันสัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุนเหมือนหรือต่าง? ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน ที่มา: Schroders Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน ที่มา: Schroders Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน ที่มา: Morgan Stanley Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน ที่มา: Morgan Stanley Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 TMBAGLF หลัก ๆ แล้วลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่ทุกคุ้นน่าจะคุ้นหูกันอยู่แล้วอย่าง TSMC หุ้นผู้ผลิตชิปตัวเลือกหลักของ Apple ซึ่งอุตสาหกรรมผลิตชิปถือได้ว่าเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่เติบโตได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมกลางน้ำที่มีอัตราส่วนกำไรที่อยู่ในระดับสูง
มีหุ้นรุ่นเก๋าอย่าง Samsung ผู้ผลิตมือถือเลื่องชื่อ สัดส่วนยอดขายอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟน แซงหน้าพี่ใหญ่ที่หลายคนชื่นชอบเป็นที่เรียบร้อยในช่วงที่ผ่านมา
มีหุ้นเทคเลื่องชื่อจากเมืองจีนอย่าง Alibaba ที่แม้จะเจอมรสุมจากทางรัฐ แต่ด้วยความที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังคงมีความแข็งแกร่ง จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ Alibaba อย่าง Taobao และ Tmall ยังมียอดการเข้าชมที่สูงถึง 455.1 ล้านครั้งต่อเดือน และ 177.1 ล้านครั้งต่อเดือนตามลำดับ อีกทั้ง Alibaba ยังเป็นหุ้นที่ Charlie munger นักลงทุนรุ่นเก๋าคู่หู Warren Buffett เลือกลงทุนอีกด้วย หลัก ๆ แล้วลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่ทุกคุ้นน่าจะคุ้นหูกันอยู่แล้วอย่าง TSMC หุ้นผู้ผลิตชิปตัวเลือกหลักของ Apple ซึ่งอุตสาหกรรมผลิตชิปถือได้ว่าเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่เติบโตได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมกลางน้ำที่มีอัตราส่วนกำไรที่อยู่ในระดับสูง มีหุ้นรุ่นเก๋าอย่าง Samsung ผู้ผลิตมือถือเลื่องชื่อ สัดส่วน ยอดขายอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟน แซงหน้าพี่ใหญ่ที่หลายคนชื่นชอบเป็นที่เรียบร้อยในช่วงที่ผ่านมา มีหุ้นเทคเลื่องชื่อจากเมืองจีนอย่าง Alibaba ที่แม้จะเจอมรสุมจากทางรัฐ แต่ด้วยความที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังคงมีความแข็งแกร่ง จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ Alibaba อย่าง Taobao และ Tmall ยังมี ยอดการเข้าชมที่สูงถึง 455.1 ล้านครั้งต่อเดือน และ 177.1 ล้านครั้งต่อเดือน ตามลำดับ อีกทั้ง Alibaba ยังเป็นหุ้นที่ Charlie munger นักลงทุนรุ่นเก๋าคู่หู Warren Buffett เลือกลงทุนอีกด้วย SCBAOA มีหุ้นหลักเบอร์ 1 เป็น Meituan แอปพลิเคชั่นส่งอาหารชื่อดังจากจีน มียอดการสั่งอาหารออนไลน์สูงถึง 32.3 ล้านรายการ เติบโต 113.5% (YoY) ในไตรมาส 1 ปี 2021
ตามมาด้วยสัดส่วนหลักเบอร์ 2 อย่าง Hdfc Bank ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของอินเดีย ให้บริการครบวงจรทั้งในเชิงพาณิชย์และการลงทุน มีสินทรัพย์ในกลุ่ม Private Bank มากกว่า 15 ล้านล้านรูปี หรือคิดเป็นราว ๆ 2 แสนล้านเหรียญ ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในอินเดีย
นอกจากนั้นยังมีหุ้นที่หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักอย่าง Naver ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเสิร์ชเอนจิ้นออนไลน์ และเป็นเจ้าของแอปพลิเคชั่นคุ้นหูชาวไทยอย่าง Line มีหุ้นหลักเบอร์ 1 เป็น Meituan แอปพลิเคชั่นส่งอาหารชื่อดังจากจีน มียอดการสั่งอาหารออนไลน์สูงถึง 32.3 ล้านรายการ เติบโต 113.5% (YoY) ในไตรมาส 1 ปี 2021 ตามมาด้วยสัดส่วนหลักเบอร์ 2 อย่าง Hdfc Bank ธนาคารยักษ์ใหญ่ อันดับ 1 ของอินเดีย ให้บริการครบวงจรทั้งในเชิงพาณิชย์และการลงทุน มีสินทรัพย์ในกลุ่ม Private Bank มากกว่า 15 ล้านล้านรูปี หรือคิดเป็นราว ๆ 2 แสนล้านเหรียญ ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในอินเดีย นอกจากนั้นยังมีหุ้นที่หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักอย่าง Naver ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเสิร์ชเอนจิ้นออนไลน์ และเป็นเจ้าของแอปพลิเคชั่นคุ้นหูชาวไทยอย่าง Line สรุปสัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุนเหมือนหรือต่าง อย่างไร? ทั้งสองกองทุนยังมีสัดส่วนหุ้นหลักเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั้งคู่
ข้อแตกต่างอยู่ที่ Top Holdings 3 อันดับแรกของ SCBAOA มีหุ้น Value อย่างธนาคารติดมาให้เห็นบ้าง จึงอาจชี้ให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับมูลค่าที่มากกว่า ในขณะที่ TMBAGLF เน้นหนักหุ้นเทคและมีสัดส่วน Top Holdings หลัก ๆ เป็นหุ้นธนาคารเพียงเล็กน้อย ทั้งสองกองทุนยังมีสัดส่วนหุ้นหลักเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั้งคู่ ข้อแตกต่างอยู่ที่ Top Holdings 3 อันดับแรกของ SCBAOA มีหุ้น Value อย่างธนาคารติดมาให้เห็นบ้าง จึงอาจชี้ให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับมูลค่าที่มากกว่า ในขณะที่ TMBAGLF เน้นหนักหุ้นเทคและมีสัดส่วน Top Holdings หลัก ๆ เป็นหุ้นธนาคารเพียงเล็กน้อย เปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลังใครแกร่งกว่าใคร? เนื่องด้วยตัวดัชนี Benchmark ที่ใช้วัดศักยภาพของกองทุนเป็นคนละตัว ดังนั้นจึงขอนำผลตอบแทนของกองแม่ทั้ง 2 กองมาใช้ละกันครับ น่าจะแฟร์กว่า เนื่องด้วยตัวดัชนี Benchmark ที่ใช้วัดศักยภาพของกองทุนเป็นคนละตัว ดังนั้นจึงขอนำผลตอบแทนของกองแม่ทั้ง 2 กองมาใช้ละกันครับ น่าจะแฟร์กว่า ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน Schroder International Selection Fund – Emerging Asia ที่มา: Schroders Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน Schroder International Selection Fund – Emerging Asia ที่มา: Schroders Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน Morgan Stanley Investment Fund – Asia Opportunity Fund ที่มา: Morgan Stanley Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน Morgan Stanley Investment Fund – Asia Opportunity Fund ที่มา: Morgan Stanley Fund Fact Sheet วันที่: 30 มิถุนายน 2021 จากภาพเราก็จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนย้อนหลังของทั้ง 2 กองทุน สามารถเอาชนะ Benchmark ได้เป็นอย่างดี เป็นคุณค่าที่นักลงทุนหุ้นเอเชียคู่ควร จากภาพเราก็จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนย้อนหลังของทั้ง 2 กองทุน สามารถเอาชนะ Benchmark ได้เป็นอย่างดี เป็นคุณค่าที่นักลงทุนหุ้นเอเชียคู่ควร ปิดท้ายด้วยการเปรียบเทียบนโยบายการลงทุนกองทุน TMBAGLF และ SCBAOA TMBAGLF เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองเดียว (Master Fund) คือ Schroder International Selection Fund – Emerging Asia เพียงกองทุนเดียวในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองเดียว (Master Fund) คือ Schroder International Selection Fund – Emerging Asia เพียงกองทุนเดียวในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 SCBAOA เน้นลงทุนในกองทุนต่างประเทศอย่าง Morgan Stanley Investment Fund – Asia Opportunity Fund เพียงกองทุนเดียวในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 เน้นลงทุนในกองทุนต่างประเทศอย่าง Morgan Stanley Investment Fund – Asia Opportunity Fund เพียงกองทุนเดียวในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 บทสรุปการเปรียบเทียบกองทุน TMBAGLF และ SCBAOA TMBAGLF เป็นกองทุน Commit ตัวเองระดับหนึ่งว่าจะสร้างผลตอบแทนในระยะ 3-5 ปี และเน้นสร้างผลตอบแทนที่ดีในกรอบเวลาที่ไม่นานมากให้ได้ในระดับที่ดี ในขณะที่ตัว SCBAOA จะเน้นไปที่ผลการลงทุนในระยะยาว
ในด้านของค่าธรรมเนียม TMBAGLF ดูจะมีภาษีดีกว่า SCBAOA เล็กน้อย เพราะ มีค่าธรรมเนียมในส่วนที่เทียบกันได้ต่ำกว่า สังเกตได้จากรูปด้านล่างเลยครับ TMBAGLF เป็นกองทุน Commit ตัวเองระดับหนึ่งว่าจะสร้างผลตอบแทนในระยะ 3-5 ปี และเน้นสร้างผลตอบแทนที่ดีในกรอบเวลาที่ไม่นานมากให้ได้ในระดับที่ดี ในขณะที่ตัว SCBAOA จะเน้นไปที่ผลการลงทุนในระยะยาว ในด้านของค่าธรรมเนียม TMBAGLF ดูจะมีภาษีดีกว่า SCBAOA เล็กน้อย เพราะ มีค่าธรรมเนียมในส่วนที่เทียบกันได้ต่ำกว่า |
TMBAGLF
ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Schroder International Selection Fund – Emerging Asia Share Class A2 Acc USD เน้นเอาชนะดัชนีหุ้นเอเชียสามัญอย่าง MSCI Emerging Market Asia (Net TR) เน้นสร้างเงินทุนให้เติบโตในช่วง 3-5 ปี หลังหักค่าธรรมเนียม ลงทุนในหุ้นหรือบริษัทในตลาดเกิดใหม่เอเชีย
SCBAOA
ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Morgan Stanley Investment Fund – Asia Opportunity Fund Share Class Z Accumulation USD เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัท ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นลงทุนในจังหวะเวลาที่บริษัท นั้น ๆ มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงตามความเห็นของทีมงานด้านการลงทุนลงทุนในบริษัท ที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันและสามารถนำข้อได้เปรียบที่ว่ามาสร้างการเติบโตทำเงินได้นอกจากนั้นยังคัดเลือกบริษัท ผ่านความยั่งยืนโดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงแบบ Disruptive และ ความแข็งแกร่งทางการเงิน
สรุปนโยบายกองทุนหลักเหมือนหรือต่าง อย่างไร?
TMBAGLF มีจุดเด่นอย่างการเลือกใช้ผลตอบแทนหลังค่าธรรมเนียมมาวัดกับ benchmark ซึ่งถือได้ว่าตรง ๆ ไม่มีเล่นแง่ และตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทนในระยะกลางซึ่งถือได้ว่ามีความท้าทาย แต่ที่ผ่านมากองทุนก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด
SCBAOA มีจุดเด่นอย่างกลยุทธ์การลงทุนที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของการวิเคราะห์และความยั่งยืนของบริษัท เหมาะสำหรับการลงทุนแบบยาว ๆ
สรุปโดยรวม หากใครสนใจวัดกันระยะกลาง-ยาว TMBAGLF น่าจะตอบโจทย์ ในขณะที่ SCBAOA หากดูจากนโยบายจะเน้นการลงทุนแบบระยะยาว | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1468 | Finance | ช่วยสรุปบทความ เฟดลดวงเงิน QE แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น ให้หน่อย | QE Tapering รอบนี้ ต่างจากรอบที่แล้วปี 2013 อย่างไร?
อย่างแรก ขนาด Balance Sheet หรือ งบดุลของเฟด ต่างจากวันนั้นราวฟ้ากับเหว วันนี้ขนาดงบดุลของเฟดอยู่ที่ $8.1 Trillion หรือ 8.1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่างจากปี 2013 ที่เริ่มส่งสัญญาณคุยกับเรื่องลดขนาดงบดุล ตอนนั้นขนาดงบดุลอยู่ที่ $2.75 Trillion หรือ 2.75 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพียงเท่านั้น
อย่างที่สอง คือ รอบ QE3 ที่ประกาศมาตั้งแต่เดือน ก.ย. เฟดประกาศว่า จะทยอยซื้อพันธบัตรและ MBS รวมกันในวงเงินเดือนละ $85 Billion หรือ เดือนละ 85,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ขณะที่ QE Infinity ที่ประกาศมาตั้งแต่เดือน มี.ค. 2013 เฟดประกาศว่า จะทยอยซื้อพันธบัตรและ MBS รวมกันในวงเงินเดือนละ $120 Billion หรือ เดือนละ 120,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ มากกว่าตอนนั้นราว ๆ 35,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ทำให้การเร่งตัวของขนาดงบดุลอยู่ในระดับที่เร็วกว่าในอดีต
อย่างที่สาม คือ จากข้อสอง แปลว่า ถ้าเฟดเลือกลดวงเงินในอดัตราเท่ากับตอน QE Tapering ปี 2013 คือ ลดการเข้าซื้อเดือนละ $10 Billion เฟดจะยุติ QE รอบนี้ช้ากว่ารอบที่แล้ว ซึ่งอาจไม่เป็นไร เพราะตลาดก็คาดไว้แล้วว่า เฟดจะใช้เวลา อย่างเร็วสุดก็การประชุมครั้งสุดท้ายขของปี 2022 ในเดือน ธ.ค. ถึงค่อยพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก
แต่หากเฟดประกาศลดวงเงินเข้าซื้อเร็วกว่าครั้งนั้น (ลดวงเงินมากกว่าเดือนละ $10 Billion) ความไม่แน่นอนเรื่องระยะเวลาในการขึ้นดอกเบี้ย จะถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้งทันทีว่า มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ตอนแรกหรือเปล่า
ซึ่งประเด็นหลังนี้ ไม่ถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นเท่าไร เพราะหากขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ Cost of Fund ของทั้งระบบสูงขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้เดิม ดูดสภาพคล่องส่วนเกินที่อยู่ออกไปเร็วกว่าเดิม
และสภาพคล่องเหล่านั้น เป็นที่เข้าใจตรงกันว่า ส่วนหนึ่งวิ่งเข้ามาในตลาดหุ้นและทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอีกหลายๆตลาดดัชนีอยู่ในระดับ All Time High อยู่ตอนนี้
จะยกเว้นก็แค่ตลาดเกิดใหม่ ที่นับตั้งแต่วิกฤตซับไพรม์ปี 2008 เป็นต้นมา Underperform อย่างต่อเนื่องเลย | เฟดลดวงเงิน QE รอบนี้ต่างจากรอบปี 2013 คือ
1. งบดุล (Balance Sheet) ของเฟดมีขนาด $8.1 Trillion ตอนนี้ เทียบกับ $2.75 Trillion ในปี 2013
2.เฟดจะทยอยซื้อพันธบัตรและ MBS รวมกันในวงเงินเดือนละ $85 Billion เทียบกับ QE Infinity เดือนละ $120 Billion ในปี 2013 ทำให้การเร่งตัวของขนาดงบดุลอยู่ในระดับที่เร็วกว่าในอดีต
3.ถ้าเฟดลดวงเงินตามอัตราเดียวกับปี 2013 คือ ลดการเข้าซื้อเดือนละ $10 Billio เฟดจะยุติ QE ช้ากว่ารอบที่แล้ว ซึ่งไม่เกิดผลกระทบมาก
แต่ถ้าเฟดลดวงเงินเร็วกว่าในปี 2013 (ลดมากกว่า $10 พันล้านต่อเดือน) ความไม่แน่นอนเรื่องระยะเวลาขึ้นดอกเบี้ยจะกลับมาเป็นประเด็น มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งจะทำให้ Cost of Fund ของทั้งระบบสูงขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ ดูดสภาพคล่องส่วนเกินออกไปเร็วกว่าเดิม ไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เพราะสภาพคล่องเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอีกหลายๆตลาดดัชนีอยู่ในระดับ All Time High อยู่ตอนนี้ ยกเว้นแค่ตลาดที่เกิดใหม่ตั้งแต่วิกฤตซับไพรม์ปี 2008 เป็น Underperform อย่างต่อเนื่อง | 5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |