ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Finance_1470 | Finance | จงสรุปบทความ On semiconductor เจ้าของเทคโนโลยีชิปรถยนต์ไฟฟ้า | บริษัทผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ที่เป็น Supplier สำคัญให้บริษัทรถยนต์แบรนด์ดังเกือบทุกเจ้า “On” เชี่ยวชาญด้านการผลิตชิป power หรือระบบส่งกำลังไฟฟ้าในรถยนต์ เสาสัญญาณโทรศัพท์ เครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก
โตตามกระแสชิปผลิตไม่ทันความต้องการ
รายได้ไตรมาส 2/2021 รวม 1,669.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38% YoY โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ตามการนำชิปไปใช้ได้ตามนี้
33% จาก Automotive 555.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 69% YoY
26% จาก Industrial 433.7 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 24% YoY
15% จาก Computing 257.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 59% YoY
15% จาก Communication 256.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% YoY
10% จาก Consumer 166.5 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38% YoY
รถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคตของ ON
จะเห็นว่า Core Business คือฝั่ง Autonomotive หรือชิปที่ใช้ในรถ EV เนื่องจากการพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าต้องการชิปเพิ่มขึ้นกว่ารถยนต์น้ำมันมาก รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ADAS ต้องติดตั้ง sensor, radar ด้วย ยิ่งเป็นการใช้ชิปเพิ่ม นั่นคือรายได้หลักของ Onsemi จะโตตามอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แม้จะติดปัญหา Chip Shortage แต่ CEO ออกมาบอกว่ามีคำสั่งซื้อเพิ่มถึง 2 เท่า ยังมีความต้องการมากกว่ากำลังการผลิตอยู่มาก
ลูกค้าต้องเปลี่ยนแปลง
“ลูกค้าต้องเปลี่ยนแปลง” เป็นคำพูด CEO ของ Onsemi กล่าวไว้ในตอนที่อุตสาหกรรมรถยนต์ขาดเเคลนชิปว่า พวกผู้ผลิตรถยนต์ต้องเลิกสั่งชิปแบบใกล้จะใช้ค่อยสั่ง (Just-in-Time) ไม่งั้นรายชื่อพวกเขาจะอยู่ล่าง ๆ ของรายชื่อลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ เหล่าโรงงานผลิตชิปไม่สามารถรับคำสั่งซื้อเพิ่มเยอะ ๆ ในเวลาสั้น ๆ ของผู้ผลิตรถยนต์ได้ทั้งหมด เคยเห็นคนขายของสั่งให้ลูกค้าทำตามได้มั้ยครับ นี่ไง55555
ความเสี่ยง
ความเสี่ยงตอนนี้ต้องดูว่าปัญหาขาดแคลนชิปจะทำให้ On เสียโอกาสการเติบโตในอนาคตหรือไม่ เพราะโรงงานใหม่คงอีกนานกว่าจะสร้างเสร็จ (ก่อนหน้านี้ CEO ออกมาบอกว่าปัญหาขาดเเคลนชิพจะอยู่จนถึงไตรมาส 2 ปีหน้า)
BottomLiner
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/4806876735994089 บริษัทผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ที่เป็น Supplier สำคัญให้บริษัทรถยนต์แบรนด์ดังเกือบทุกเจ้า “On” เชี่ยวชาญด้านการผลิตชิป power หรือระบบส่งกำลังไฟฟ้าในรถยนต์ เสาสัญญาณโทรศัพท์ เครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก โตตามกระแสชิปผลิตไม่ทันความต้องการ รายได้ไตรมาส 2/2021 รวม 1,669.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38% YoY โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ตามการนำชิปไปใช้ได้ตามนี้ 33% จาก Automotive 555.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 69% YoY
26% จาก Industrial 433.7 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 24% YoY
15% จาก Computing 257.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 59% YoY
15% จาก Communication 256.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% YoY
10% จาก Consumer 166.5 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38% YoY รถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคตของ ON จะเห็นว่า Core Business คือฝั่ง Autonomotive หรือชิปที่ใช้ในรถ EV เนื่องจากการพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าต้องการชิปเพิ่มขึ้นกว่ารถยนต์น้ำมันมาก รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ADAS ต้องติดตั้ง sensor, radar ด้วย ยิ่งเป็นการใช้ชิปเพิ่ม นั่นคือรายได้หลักของ Onsemi จะโตตามอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แม้จะติดปัญหา Chip Shortage แต่ CEO ออกมาบอกว่ามีคำสั่งซื้อเพิ่มถึง 2 เท่า ยังมีความต้องการมากกว่ากำลังการผลิตอยู่มาก ลูกค้าต้องเปลี่ยนแปลง “ลูกค้าต้องเปลี่ยนแปลง” เป็นคำพูด CEO ของ Onsemi กล่าวไว้ในตอนที่อุตสาหกรรมรถยนต์ขาดเเคลนชิปว่า พวกผู้ผลิตรถยนต์ต้องเลิกสั่งชิปแบบใกล้จะใช้ค่อยสั่ง (Just-in-Time) ไม่งั้นรายชื่อพวกเขาจะอยู่ล่าง ๆ ของรายชื่อลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ เหล่าโรงงานผลิตชิปไม่สามารถรับคำสั่งซื้อเพิ่มเยอะ ๆ ในเวลาสั้น ๆ ของผู้ผลิตรถยนต์ได้ทั้งหมด เคยเห็นคนขายของสั่งให้ลูกค้าทำตามได้มั้ยครับ นี่ไง55555 ความเสี่ยง ความเสี่ยงตอนนี้ต้องดูว่าปัญหาขาดแคลนชิปจะทำให้ On เสียโอกาสการเติบโตในอนาคตหรือไม่ เพราะโรงงานใหม่คงอีกนานกว่าจะสร้างเสร็จ (ก่อนหน้านี้ CEO ออกมาบอกว่าปัญหาขาดเเคลนชิพจะอยู่จนถึงไตรมาส 2 ปีหน้า) | On Semiconductor (หรือ Onsemi) เป็นบริษัทผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญในการผลิตชิปสำหรับระบบส่งกำลังไฟฟ้าในรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) เสาสัญญาณโทรศัพท์ และเครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก โดยมีบทบาทสำคัญในฐานะ Supplier ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ดังหลายเจ้า
ภาพรวมการเติบโตทางธุรกิจ: รายได้ของ Onsemi ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 อยู่ที่ 1,669.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (YoY) โดยรายได้หลักมาจาก 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่:
33% จาก Automotive (รถยนต์ไฟฟ้า) ซึ่งมีรายได้ 555.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 69% YoY
26% จาก Industrial (อุตสาหกรรม) รายได้ 433.7 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 24% YoY
15% จาก Computing (คอมพิวเตอร์) รายได้ 257.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 59% YoY
15% จาก Communication (การสื่อสาร) รายได้ 256.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% YoY
10% จาก Consumer (สินค้าอุปโภคบริโภค) รายได้ 166.5 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38% YoY
ความสำคัญของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า: รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอนาคตสำคัญของ Onsemi เนื่องจากการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าต้องการชิปจำนวนมากกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์น้ำมัน ทั้งนี้รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (ADAS) ที่ต้องใช้เซ็นเซอร์และเรดาร์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Onsemi มีรายได้หลักที่โตขึ้นตามอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ความท้าทาย: แม้จะมีปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลก แต่ Onsemi ยังคงมีความต้องการสูง โดยคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ซึ่งยังคงมากกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ CEO ของบริษัทได้เตือนว่าผู้ผลิตรถยนต์ควรเปลี่ยนแปลงวิธีการสั่งซื้อชิปจากการใช้แนวคิด Just-in-Time มาเป็นการสั่งซื้อล่วงหน้าเพื่อรักษาตำแหน่งสำคัญในการได้รับสินค้าจากบริษัท
ความเสี่ยง: Onsemi ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนชิปที่อาจส่งผลให้เสียโอกาสในการเติบโตในอนาคต เนื่องจากการก่อสร้างโรงงานใหม่อาจใช้เวลานาน คาดว่าปัญหาการขาดแคลนชิปนี้อาจยาวนานจนถึงไตรมาส 2 ของปีหน้า
โดยสรุป Onsemi เป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูงในการเติบโตตามอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ แม้จะเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนชิปในปัจจุบัน | 2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1481 | Finance | หุ้นที่ถือของกองทุน LHESPORT, WEPLAY (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ก.ค. 2564 จาก ESPO ETF) มีอะไรบ้าง | ลงลึกธีมลงทุน E-sports พร้อมส่องหุ้นในกองทุน LHESPORT & WE-PLAY
ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา การเล่นเกม และแข่งขัน E-sports กำลังเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจอย่างมาก มีการบรรจุลงในการแข่งขันกีฬาระดับชาติอย่าง SEA Game และ Asian Game ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา การเล่นเกม และแข่งขัน E-sports กำลังเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจอย่างมาก มีการบรรจุลงในการแข่งขันกีฬาระดับชาติอย่าง SEA Game และ Asian Game เกมไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กแบบในอดีตอีกแล้ว จากสถิติพบว่า อายุเฉลี่ยของผู้เล่นเกมสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้นหมายความว่า จะคนวัยไหนก็เล่นเกมกันทั้งนั้น นักกีฬา E-sport และนักแคสท์เกมที่ในอดีตเคยมองเป็นอาชีพที่ไร้สาระ แต่ปัจจุบันนั้นได้รับความนิยมและยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนมีอิทธิพลไม่แพ้ดาราและนักร้องเลยทีเดียว รวมถึงสามารถทำเงินได้มหาศาลจาก Sponser ที่เข้ามาอีกด้วย เกมไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กแบบในอดีตอีกแล้ว จากสถิติพบว่า อายุเฉลี่ยของผู้เล่นเกมสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้นหมายความว่า จะคนวัยไหนก็เล่นเกมกันทั้งนั้น นักกีฬา E-sport และนักแคสท์เกมที่ในอดีตเคยมองเป็นอาชีพที่ไร้สาระ แต่ปัจจุบันนั้นได้รับความนิยมและยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนมีอิทธิพลไม่แพ้ดาราและนักร้องเลยทีเดียว รวมถึงสามารถทำเงินได้มหาศาลจาก Sponser ที่เข้ามาอีกด้วย สิ่งที่ทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรม E-sports ได้รับความสนใจเป็นพิเศษก็คือ ปี 2020 ผู้คนทั้งโลกไม่สามารถออกไปทำกิจกรรม หรือพบปะกันในโลกแห่งความเป็นจริงได้ในช่วงการระบาดของ covid-19 คนจึงหันมาเล่นเกมและดูการแข่งขัน E-sports กันมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทในอุตสาหกรรม E-sports กำไรโตกระฉูดและสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรม E-sports ได้รับความสนใจเป็นพิเศษก็คือ ปี 2020 ผู้คนทั้งโลกไม่สามารถออกไปทำกิจกรรม หรือพบปะกันในโลกแห่งความเป็นจริงได้ในช่วงการระบาดของ covid-19 คนจึงหันมาเล่นเกมและดูการแข่งขัน E-sports กันมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทในอุตสาหกรรม E-sports กำไรโตกระฉูดและสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี เกริ่นนำมามากพอแล้วงั้นเราไปเจาะลึกอุตสาหกรรม E-sports กันเถอะ! เกริ่นนำมามากพอแล้วงั้นเราไปเจาะลึกอุตสาหกรรม E-sports กันเถอะ! Game Platform เมื่อแบ่งประเภทอุปกรณ์เล่นเกมจะมี 3 platform หลัก ๆ คือ PC Console และ Mobile เมื่อแบ่งประเภทอุปกรณ์เล่นเกมจะมี 3 platform หลัก ๆ คือ PC Console และ Mobile PC platform: คือการเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คส่วนตัว ซึ่งผู้ที่เล่น platform นี้ถือว่าเป็นนักเล่นเกมที่ Hardcore ที่สุด เนื่องจากต้องลงทุนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสเปคสูง และมักจะแพงกว่าอุปกรณ์ใน platform อื่นอยู่เสมอ
Console platform: คือการเล่นเกมบนเครื่องเล่นเกม เช่น PS5, Xbox One, Nintendo Switch
Mobile platform: คือการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือหรือ ipad ที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก จึงมีจำนวนผู้เล่นผ่าน platform นี้ใหญ่ที่สุด ซึ่งตั้งแต่ปี 2015 Mobile gaming มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี สูงกว่า platform อื่นชัดเจน PC platform: คือการเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คส่วนตัว ซึ่งผู้ที่เล่น platform นี้ถือว่าเป็นนักเล่นเกมที่ Hardcore ที่สุด เนื่องจากต้องลงทุนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสเปคสูง และมักจะแพงกว่าอุปกรณ์ใน platform อื่นอยู่เสมอ Console platform: คือการเล่นเกมบนเครื่องเล่นเกม เช่น PS5, Xbox One, Nintendo Switch Mobile platform: คือการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือหรือ ipad ที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก จึงมีจำนวนผู้เล่นผ่าน platform นี้ใหญ่ที่สุด ซึ่งตั้งแต่ปี 2015 Mobile gaming มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี สูงกว่า platform อื่นชัดเจน อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมคือ บรรดาผู้ผลิตเกมได้เปลี่ยน business model จากเดิมที่ขายแผ่นเกมเป็นหลัก (ลูกค้าซื้อครั้งเดียว) แต่ในปัจจุบันเน้นไปที่การขายแบบ Subscription และ in game purchase มากขึ้น เพื่อให้เกิดรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมคือ บรรดาผู้ผลิตเกมได้เปลี่ยน business model จากเดิมที่ขายแผ่นเกมเป็นหลัก (ลูกค้าซื้อครั้งเดียว) แต่ในปัจจุบันเน้นไปที่การขายแบบ Subscription และ in game purchase มากขึ้น เพื่อให้เกิดรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บริษัท EA ได้เสนอ “EA Play” โดยเก็บเงินรายเดือนประมาณ 150 บาท เพื่อให้ผู้สมัครได้สิทธิเล่นเกมในเครือของ EA ทั้งหมด รวมทั้งได้ item พิเศษในเกมอีกด้วย ตัวอย่างเช่น บริษัท EA ได้เสนอ “EA Play” โดยเก็บเงินรายเดือนประมาณ 150 บาท เพื่อให้ผู้สมัครได้สิทธิเล่นเกมในเครือของ EA ทั้งหมด รวมทั้งได้ item พิเศษในเกมอีกด้วย เล่าให้เห็นภาพก็ เช่น เกมฟุตบอล FIFA ถ้าต้องการได้ตัวผู้เล่นดี ๆ ก็ต้องซื้อ point เพื่อมาลุ้นการ์ดนักเตะ และมีกิจกรรมให้ผู้เล่นได้ร่วมสนุกและเสียเงินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา (ผลดีก็ตกไปถึงบริษัทผู้ผลิตเกม ที่เก็บรายได้เข้ากระเป๋าเรื่อย ๆ) เล่าให้เห็นภาพก็ เช่น เกมฟุตบอล FIFA ถ้าต้องการได้ตัวผู้เล่นดี ๆ ก็ต้องซื้อ point เพื่อมาลุ้นการ์ดนักเตะ และมีกิจกรรมให้ผู้เล่นได้ร่วมสนุกและเสียเงินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา (ผลดีก็ตกไปถึงบริษัทผู้ผลิตเกม ที่เก็บรายได้เข้ากระเป๋าเรื่อย ๆ) บริษัทที่เกี่ยวกับ E-sports มีอะไรบ้าง? อุตสาหกรรม E-Sport เราจะสรุปบริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้ดังนี้ อุตสาหกรรม E-Sport เราจะสรุปบริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้ดังนี้ Publishers และ Developers: ผู้ผลิตและพัฒนาเกมบน platform ต่าง ๆ ทั้ง Mobile, Console และ PC เช่น บริษัท Electronic Arts / Activision Blizzard / Ubisoft / Tencent / Sea / Take-Two Interactive / Nintendo
Console makers: ผู้ผลิตและพัฒนาเครื่องเกม เช่น บริษัท Nintendo / Sony / Microsoft
Chip makers: ผู้ผลิตและพัฒนาชิปเซตเพื่อประมวลผลภาพกราฟฟิค เช่น บริษัท Nvidia / AMD
E-Sports: ผู้จัดการแข่งขัน E-Sport รายได้มักจะมาจากการจัด event และเงิน sponsorship เช่น บริษัท Konami / Electronic Arts / Activision Blizzard / NetEase / Take-Two Interactive
Hardware: ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเล่นเกม เช่น คีย์บอร์ด หูฟัง และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น บริษัท / Micro Star International / Asus / Kingstons / Razer / Logitech
Live streaming: ผู้ให้บริการ platform ในการถ่ายทอดสดการเล่นเกม เช่น Twitch ของเครือ Amazon และ Bilibili Publishers และ Developers: ผู้ผลิตและพัฒนาเกมบน platform ต่าง ๆ ทั้ง Mobile, Console และ PC เช่น บริษัท Electronic Arts / Activision Blizzard / Ubisoft / Tencent / Sea / Take-Two Interactive / Nintendo Console makers: ผู้ผลิตและพัฒนาเครื่องเกม เช่น บริษัท Nintendo / Sony / Microsoft Chip makers: ผู้ผลิตและพัฒนาชิปเซตเพื่อประมวลผลภาพกราฟฟิค เช่น บริษัท Nvidia / AMD E-Sports: ผู้จัดการแข่งขัน E-Sport รายได้มักจะมาจากการจัด event และเงิน sponsorship เช่น บริษัท Konami / Electronic Arts / Activision Blizzard / NetEase / Take-Two Interactive Hardware: ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเล่นเกม เช่น คีย์บอร์ด หูฟัง และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น บริษัท / Micro Star International / Asus / Kingstons / Razer / Logitech Live streaming: ผู้ให้บริการ platform ในการถ่ายทอดสดการเล่นเกม เช่น Twitch ของเครือ Amazon และ Bilibili สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับเกม ปี 2020 มีผู้เล่นเกมทั้งหมด 2,600 ล้านคน หรือคิดเป็น ⅓ ของประชากรทั้งโลก
อายุเฉลี่ยของ global gamer คือ 34 ปี
โดยผู้เล่นที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และ มากกว่า 50 ปีนั้นมีสัดส่วนแทบไม่ต่างกัน คือ 17% และ 15% ตามลำดับ
เกมจาก smart phone และ smart watch ครองสัดส่วนรายได้ 50% จากเกมทุกประเภทรวมกัน
70% ของผู้ปกครองใน US บอกว่าเกมนั้นส่งอิทธิผลในแง่บวกให้ลูก ๆ ของเขา นอกจากนี้มากกว่า 67% เล่นเกมกับลูก ๆ สัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย
83% ของการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมเกมอยู่ในรูปแบบ digital ปี 2020 มีผู้เล่นเกมทั้งหมด 2,600 ล้านคน หรือคิดเป็น ⅓ ของประชากรทั้งโลก อายุเฉลี่ยของ global gamer คือ 34 ปี โดยผู้เล่นที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และ มากกว่า 50 ปีนั้นมีสัดส่วนแทบไม่ต่างกัน คือ 17% และ 15% ตามลำดับ เกมจาก smart phone และ smart watch ครองสัดส่วนรายได้ 50% จากเกมทุกประเภทรวมกัน 70% ของผู้ปกครองใน US บอกว่าเกมนั้นส่งอิทธิผลในแง่บวกให้ลูก ๆ ของเขา นอกจากนี้มากกว่า 67% เล่นเกมกับลูก ๆ สัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย 83% ของการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมเกมอยู่ในรูปแบบ digital LHESPORT & WE-PLAY กองทุนทั้ง 2 กองเป็น Feeder Fund ที่ลงทุนใน ESPO-VanEck Vectors Video Gaming and eSports ETF (Master Fund) ทรัพย์สินที่ลงทุนจึงหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ แตกต่างกันที่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ค่าธรรมเนียม โดย ESPO สร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี สูงถึง 40% และตั้งแต่ IPO วันที่ 18 ต.ค. 2561 สร้างผลตอบแทนไปแล้วกว่า 137% โดยรวมแล้วถือว่าเป็นกองทุนที่ลงทุนใน E-Sports Ecosystem ได้ค่อนข้างครบ (แต่มีน้ำหนักลงทุนในกลุ่ม hardware ไม่มาก เพราะกลุ่มนี้น่าสนใจสู้กลุ่มอื่นไม่ได้) กองทุนทั้ง 2 กองเป็น Feeder Fund ที่ลงทุนใน ESPO-VanEck Vectors Video Gaming and eSports ETF (Master Fund) ทรัพย์สินที่ลงทุนจึงหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ แตกต่างกันที่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ค่าธรรมเนียม โดย ESPO สร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี สูงถึง 40% และตั้งแต่ IPO วันที่ 18 ต.ค. 2561 สร้างผลตอบแทนไปแล้วกว่า 137% โดยรวมแล้วถือว่าเป็นกองทุนที่ลงทุนใน E-Sports Ecosystem ได้ค่อนข้างครบ (แต่มีน้ำหนักลงทุนในกลุ่ม hardware ไม่มาก เพราะกลุ่มนี้น่าสนใจสู้กลุ่มอื่นไม่ได้) ต่อจากนี้เราจะพาเจาะ หุ้นที่ถือของกองทุน LHESPORT, WEPLAY ว่าแต่ละตัวน่าสนใจอย่างไรบ้าง (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ก.ค. 2564 จาก ESPO ETF) ต่อจากนี้เราจะพาเจาะ หุ้นที่ถือของกองทุน LHESPORT, WEPLAY ว่าแต่ละตัวน่าสนใจอย่างไรบ้าง (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ก.ค. 2564 จาก ESPO ETF) NVIDIA (Chip makers) (NASDAQ: NVDA)
Holding: 9.0% (NASDAQ: NVDA) Holding: 9.0% เจ้าแห่ง AI ผู้ผลิต GPU ที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย เพราะประมวลผลได้รวดเร็ว ทั้งในอุตสาหกรรม game, data center, AI training & inferece รวมถึงการทำเหมือง cryptocurrency ในช่วงโควิด-19 ระบาด ทำให้ความต้องการใช้จากเทคโนโลยีสูงขึ้น ทำให้ GPU ของ Nvidia ขาดตลาดและราคาขึ้นไปสูงกว่าราคาปกติหลายเท่าตัว Nvidia ยังเติบโตได้ดี โดยปีที่ผ่านมารายได้เติบโตกว่า 60% และปัจจุบันยังไม่มีบริษัทคู่แข่งที่สู้ได้ ทำให้ตลาดนี้ค่อนข้างถูกผูกขาดโดย Nvidia เลยทีเดียว เจ้าแห่ง AI ผู้ผลิต GPU ที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย เพราะประมวลผลได้รวดเร็ว ทั้งในอุตสาหกรรม game, data center, AI training & inferece รวมถึงการทำเหมือง cryptocurrency ในช่วงโควิด-19 ระบาด ทำให้ความต้องการใช้จากเทคโนโลยีสูงขึ้น ทำให้ GPU ของ Nvidia ขาดตลาดและราคาขึ้นไปสูงกว่าราคาปกติหลายเท่าตัว Nvidia ยังเติบโตได้ดี โดยปีที่ผ่านมารายได้เติบโตกว่า 60% และปัจจุบันยังไม่มีบริษัทคู่แข่งที่สู้ได้ ทำให้ตลาดนี้ค่อนข้างถูกผูกขาดโดย Nvidia เลยทีเดียว ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 106% ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 106% AMD (Chip makers) Holding: 8.0%
(NASDAQ: AMD) Holding: 8.0% (NASDAQ: AMD) ผู้ผลิตชิพ CPU เบอร์ 1 ของโลกในปัจจุบัน หลังสามารถล้ม Intel ที่เป็นเจ้าตลาด CPU เดิมได้ ทำให้ปัจจุบัน ถ้าซื้อ notebook, pc หรือเล่น game cosole ต่าง ๆ จะพบว่าใช้ CPU จาก AMD แทบทั้งสิ้น และในฝั่ง Data Center ก็ตาม Intel มาติด ๆ ในปีที่ผ่านมารายได้เติบโตกว่า 50% ผู้ผลิตชิพ CPU เบอร์ 1 ของโลกในปัจจุบัน หลังสามารถล้ม Intel ที่เป็นเจ้าตลาด CPU เดิมได้ ทำให้ปัจจุบัน ถ้าซื้อ notebook, pc หรือเล่น game cosole ต่าง ๆ จะพบว่าใช้ CPU จาก AMD แทบทั้งสิ้น และในฝั่ง Data Center ก็ตาม Intel มาติด ๆ ในปีที่ผ่านมารายได้เติบโตกว่า 50% ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 70% ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 70% TENCENT (Publishers, Developers, Live streaming และ ผู้จัด E-Sports) Holding: 7.6%
(SEHK: 0700) Holding: 7.6% (SEHK: 0700) Big Tech เจ้าแห่ง platform แดนมังกร ก่อตั้งเมื่อปี 1998 มีบริการสื่อความบันเทิงออนไลน์แทบทุกชนิด Big Tech เจ้าแห่ง platform แดนมังกร ก่อตั้งเมื่อปี 1998 มีบริการสื่อความบันเทิงออนไลน์แทบทุกชนิด จุดเด่นของ Tencent คือ ส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจมีการสนับสนุนกันและสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้หมด ผ่านแอปหลักอย่าง QQ และ WeChat ที่เป็น Social Media หลักที่คนจีนใช้ โดยบริษัทวาง position เป็น One-Stop Online Lifestyle จุดเด่นดังกล่าวทำให้บริษัทจากทั่วโลกที่ต้องการเข้าบุกตลาดจีนนิยมที่จะสร้างแอพของตนบน platform ของ tencent มากกว่า ไปสร้าง platform เอง เพราะมีผู้ใช้งานรองรับอยู่แล้ว รายได้หลักของบริษัทจะมาจากเกม โซเชียลเน็ตเวิร์ค โฆษณาออนไลน์ และบริการทางการเงิน จุดเด่นของ Tencent คือ ส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจมีการสนับสนุนกันและสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้หมด ผ่านแอปหลักอย่าง QQ และ WeChat ที่เป็น Social Media หลักที่คนจีนใช้ โดยบริษัทวาง position เป็น One-Stop Online Lifestyle จุดเด่นดังกล่าวทำให้บริษัทจากทั่วโลกที่ต้องการเข้าบุกตลาดจีนนิยมที่จะสร้างแอพของตนบน platform ของ tencent มากกว่า ไปสร้าง platform เอง เพราะมีผู้ใช้งานรองรับอยู่แล้ว รายได้หลักของบริษัทจะมาจากเกม โซเชียลเน็ตเวิร์ค โฆษณาออนไลน์ และบริการทางการเงิน นอกจากนี้ Tencent มีลักษณะเป็น Holding ที่ลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ online platform รวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรม E-sports หลายร้อยบริษัททั่วโลก ตัวอย่างบริษัทในอุตสาหกรรม E-Sports ที่ Tencent ลงทุนเช่น SEA, Activision Blizard, Riot Games, Gluu, Epic Games, Ubisoft, Take-Two Interactive, bilibil, huyai และ บริษัทที่จัด E-Sports Tourament จำนวนมาก นอกจากนี้ Tencent มีลักษณะเป็น Holding ที่ลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ online platform รวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรม E-sports หลายร้อยบริษัททั่วโลก ตัวอย่างบริษัทในอุตสาหกรรม E-Sports ที่ Tencent ลงทุนเช่น SEA, Activision Blizard, Riot Games, Gluu, Epic Games, Ubisoft, Take-Two Interactive, bilibil, huyai และ บริษัทที่จัด E-Sports Tourament จำนวนมาก SEA (Publishers และ Developers) Holding: 6.6%
(NYSE: SE) Holding: 6.6% (NYSE: SE) ถ้าบอกชื่อ SEA อาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่า Shopee กับ Garena คุ้นหูแน่นอน Garena เป็นเจ้าของเกมสุดฮิตบนโทรศัพท์อย่าง FREE FIRE, ROV ซึ่งเกมเหล่านี้ติด Top 1-3 download ในหลายประเทศทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 2 แล้ว และรายได้เติบโตมากกว่า 100% ในปีที่ผ่านมา ถ้าบอกชื่อ SEA อาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่า Shopee กับ Garena คุ้นหูแน่นอน Garena เป็นเจ้าของเกมสุดฮิตบนโทรศัพท์อย่าง FREE FIRE, ROV ซึ่งเกมเหล่านี้ติด Top 1-3 download ในหลายประเทศทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 2 แล้ว และรายได้เติบโตมากกว่า 100% ในปีที่ผ่านมา Shopee กลายเป็น platform E-Comerce ที่ปัจจุบันครองตลาด South East Asia และ Latin America เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (นับจากจำนวนผู้ใช้) แซงหน้า Alibaba ที่เป็น #1 อยู่ก่อนในหลาย ๆ ประเทศ ในปีที่ผ่านมารายได้เติบโตมากกว่า 100% เช่นกัน นับว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาดเป็นนาทีทองของ SEA เลยทีเดียว เพราะธุรกิจหลักทั้ง 2 ส่วนเติบโตได้ดีมาก Shopee กลายเป็น platform E-Comerce ที่ปัจจุบันครองตลาด South East Asia และ Latin America เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (นับจากจำนวนผู้ใช้) แซงหน้า Alibaba ที่เป็น #1 อยู่ก่อนในหลาย ๆ ประเทศ ในปีที่ผ่านมารายได้เติบโตมากกว่า 100% เช่นกัน นับว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาดเป็นนาทีทองของ SEA เลยทีเดียว เพราะธุรกิจหลักทั้ง 2 ส่วนเติบโตได้ดีมาก ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 137% ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 137% NINTENDO (Publishers, Developers และ Console makers) Holding: 5.5% Holding: 5.5% บริษัทแดนปลาดิบ ผู้ผลิต Game Console ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันอย่าง Nintendo Switch กับ Wii U และ Game Software ในตระกูล mario และ Pokemon บริษัทแดนปลาดิบ ผู้ผลิต Game Console ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันอย่าง Nintendo Switch กับ Wii U และ Game Software ในตระกูล mario และ Pokemon บริษัทเคยอยู่ในจุดลำบาก เพราะการมาของ smart phone ทำให้ game console อย่าง gameboy ที่เคยเป็นสินค้าหลักของบริษัทขายไม่ได้ ทำให้หุ้นร่วงจากจุดสูงสุดในปีในปี 2017 กว่า 85% ก่อนจะค่อย ๆ หาทางไปต่อได้ และ turnaround ในที่สุด บริษัทเคยอยู่ในจุดลำบาก เพราะการมาของ smart phone ทำให้ game console อย่าง gameboy ที่เคยเป็นสินค้าหลักของบริษัทขายไม่ได้ ทำให้หุ้นร่วงจากจุดสูงสุดในปีในปี 2017 กว่า 85% ก่อนจะค่อย ๆ หาทางไปต่อได้ และ turnaround ในที่สุด ช่วงปีที่ผ่านมา nintendo switch ได้รับความนิยมมาก จากการนำไปต่ออุปกรณ์เสริมเล่น game สำหรับออกกำลังกาย โดยในปี 2020 มียอดขายเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ PS5 จาก sony (นับจากจำนวนเครื่อง) และมียอดขายจากทั้ง Game Console และ Game Software เติบโตมากกว่า 30% ช่วงปีที่ผ่านมา nintendo switch ได้รับความนิยมมาก จากการนำไปต่ออุปกรณ์เสริมเล่น game สำหรับออกกำลังกาย โดยในปี 2020 มียอดขายเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ PS5 จาก sony (นับจากจำนวนเครื่อง) และมียอดขายจากทั้ง Game Console และ Game Software เติบโตมากกว่า 30% ACTIVISION BLIZZARD (Publishers, Developers + ผู้จัด E-Sports) Holding 5.3%
(NASDAQ: ATVI) Holding 5.3% (NASDAQ: ATVI) ค่ายเกมอันดับ 1 จากอเมริกาที่เป็นผู้สร้างเกมสุดฮิตมาทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่างเช่น Guitar Hero, StarCraft, World of Warcraft, Call of Duty, Diablo, Candy Crush บริษัทจะเน้นพัฒนาเกมบน PC มากกว่า ส่วนในโทรศัพท์จะเน้นขายลิขสิทธิ์ให้บริษัทอื่นไปพัฒนาต่อ ตัวอย่างเกมที่ให้ partner อย่าง netease ไปพัฒนาต่อ เช่น Diablo III, World of Warcraft, Hearthstone, Overwatch ค่ายเกมอันดับ 1 จากอเมริกาที่เป็นผู้สร้างเกมสุดฮิตมาทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่างเช่น Guitar Hero, StarCraft, World of Warcraft, Call of Duty, Diablo, Candy Crush บริษัทจะเน้นพัฒนาเกมบน PC มากกว่า ส่วนในโทรศัพท์จะเน้นขายลิขสิทธิ์ให้บริษัทอื่นไปพัฒนาต่อ ตัวอย่างเกมที่ให้ partner อย่าง netease ไปพัฒนาต่อ เช่น Diablo III, World of Warcraft, Hearthstone, Overwatch NETEASE (Publishers, Developers และ Live streaming) Holding: 5.1%
(NASDAQ: NTES) Holding: 5.1% (NASDAQ: NTES) ค่ายพัฒนาเกมมือถือและ pc แดนมังกร มีลักษณะธุรกิจเกม 2 แบบคือเกมที่พัฒนาเองและ ซื้อลิขสิทธิ์จาก partner มาทำต่อเอง บริษัทที่ Netease เป็นไปซื้อลิขสิทธิมาทำต่อ หรืออยู่เบื้องหลังการผลิต เช่น Activision Blizzard, Microsoft, Marvel Studio, Konami, Tencent สรุปได้ว่า Netease คือเบื้องหลังเกมดัง ๆ ทั่วโลกจำนวนมาก หากเล่นเกมค่ายไหนแล้วเห็นสัญลักษณ์ลูกไฟสีแดงบนแอปฯ ให้รู้ไว้ว่า Netease เป็นเจ้าของ ค่ายพัฒนาเกมมือถือและ pc แดนมังกร มีลักษณะธุรกิจเกม 2 แบบคือเกมที่พัฒนาเองและ ซื้อลิขสิทธิ์จาก partner มาทำต่อเอง บริษัทที่ Netease เป็นไปซื้อลิขสิทธิมาทำต่อ หรืออยู่เบื้องหลังการผลิต เช่น Activision Blizzard, Microsoft, Marvel Studio, Konami, Tencent สรุปได้ว่า Netease คือเบื้องหลังเกมดัง ๆ ทั่วโลกจำนวนมาก หากเล่นเกมค่ายไหนแล้วเห็นสัญลักษณ์ลูกไฟสีแดงบนแอปฯ ให้รู้ไว้ว่า Netease เป็นเจ้าของ BILIBILI (Publishers, Developers และ Live streaming) Holding: 5.0%
(NASDAQ: BILI) Holding: 5.0% (NASDAQ: BILI) บริษัท video platform ที่เปรียบเหมือน youtube เวอร์ชั่นจีน บริษัทเป็นม้ามืดที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวัฒนธรรมโอตาคุแบบจีน โดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย Gen Z+ อายุต่ำกว่า 35 ลงไป ที่มีความสนใจใน Game, Anime, Cosplay, Technology, Lifestyle, Fashion และ Entertainment ซึ่งในตอนแรกนั้น Bilibili เป็น platform เพื่อคนเฉพาะกลุ่มมาก แต่ปัจจุบันกลายเป็นกระแสหลักของจีนไปแล้ว บริษัท video platform ที่เปรียบเหมือน youtube เวอร์ชั่นจีน บริษัทเป็นม้ามืดที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวัฒนธรรมโอตาคุแบบจีน โดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย Gen Z+ อายุต่ำกว่า 35 ลงไป ที่มีความสนใจใน Game, Anime, Cosplay, Technology, Lifestyle, Fashion และ Entertainment ซึ่งในตอนแรกนั้น Bilibili เป็น platform เพื่อคนเฉพาะกลุ่มมาก แต่ปัจจุบันกลายเป็นกระแสหลักของจีนไปแล้ว นอกจากเป็น video platform แล้วบริษัทยังพัฒนาเกมเป็นของตัวเองอีกด้วย ปัจจุบันมีผู้ใช้งานต่อเดือนบน platform กว่า 223 ล้านคน และใช้งานเฉลี่ยกว่า 82 นาทีต่อวัน ในปีที่ผ่านมารายได้โตว่า 89% และรายได้จากโฆษณาเติยโตถึง 234% นอกจากเป็น video platform แล้วบริษัทยังพัฒนาเกมเป็นของตัวเองอีกด้วย ปัจจุบันมีผู้ใช้งานต่อเดือนบน platform กว่า 223 ล้านคน และใช้งานเฉลี่ยกว่า 82 นาทีต่อวัน ในปีที่ผ่านมารายได้โตว่า 89% และรายได้จากโฆษณาเติยโตถึง 234% ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 122% ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 122% TopLiner TopLiner ที่มาบทความ: ที่มาบทความ: | หุ้นที่ถือของกองทุน LHESPORT, WEPLAY (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ก.ค. 2564 จาก ESPO ETF) มีดังนี้
1. NVIDIA (Chip makers) (NASDAQ: NVDA) Holding: 9.0%
เจ้าแห่ง AI ผู้ผลิต GPU ที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย เพราะประมวลผลได้รวดเร็ว ทั้งในอุตสาหกรรม game, data center, AI training & inferece รวมถึงการทำเหมือง cryptocurrency ในช่วงโควิด-19 ระบาด ทำให้ความต้องการใช้จากเทคโนโลยีสูงขึ้น ทำให้ GPU ของ Nvidia ขาดตลาดและราคาขึ้นไปสูงกว่าราคาปกติหลายเท่าตัว Nvidia ยังเติบโตได้ดี โดยปี 2020 รายได้เติบโตกว่า 60% และยังไม่มีบริษัทคู่แข่งที่สู้ได้ ทำให้ตลาดนี้ค่อนข้างถูกผูกขาดโดย Nvidia เลยทีเดียว
ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 106%
2. AMD (Chip makers) (NASDAQ: AMD) Holding: 8.0%
ผู้ผลิตชิพ CPU เบอร์ 1 ของโลกในปัจจุบัน หลังสามารถล้ม Intel ที่เป็นเจ้าตลาด CPU เดิมได้ ทำให้ปัจจุบัน ถ้าซื้อ notebook, pc หรือเล่น game cosole ต่าง ๆ จะพบว่าใช้ CPU จาก AMD แทบทั้งสิ้น และในฝั่ง Data Center ก็ตาม Intel มาติด ๆ ในปี 2020 รายได้เติบโตกว่า 50%
ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 70%
3. TENCENT (Publishers, Developers, Live streaming และ ผู้จัด E-Sports) (SEHK: 0700) Holding: 7.6%
Big Tech เจ้าแห่ง platform แดนมังกร ก่อตั้งเมื่อปี 1998 มีบริการสื่อความบันเทิงออนไลน์แทบทุกชนิด จุดเด่นของ Tencent คือ ส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจมีการสนับสนุนกันและสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้หมด ผ่านแอปหลักอย่าง QQ และ WeChat ที่เป็น Social Media หลักที่คนจีนใช้ โดยบริษัทวาง position เป็น One-Stop Online Lifestyle จุดเด่นดังกล่าวทำให้บริษัทจากทั่วโลกที่ต้องการเข้าบุกตลาดจีนนิยมที่จะสร้างแอพของตนบน platform ของ tencent มากกว่าไปสร้าง platform เอง เพราะมีผู้ใช้งานรองรับอยู่แล้ว รายได้หลักของบริษัทจะมาจากเกม โซเชียลเน็ตเวิร์ค โฆษณาออนไลน์ และบริการทางการเงิน
นอกจากนี้ Tencent มีลักษณะเป็น Holding ที่ลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ online platform รวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรม E-sports หลายร้อยบริษัททั่วโลก ตัวอย่างบริษัทในอุตสาหกรรม E-Sports ที่ Tencent ลงทุนเช่น SEA, Activision Blizard, Riot Games, Gluu, Epic Games, Ubisoft, Take-Two Interactive, bilibil, huyai และ บริษัทที่จัด E-Sports Tourament จำนวนมาก
4. SEA (Publishers และ Developers) (NYSE: SE) Holding: 6.6%
ถ้าบอกชื่อ SEA อาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่า Shopee กับ Garena คุ้นหูแน่นอน Garena เป็นเจ้าของเกมสุดฮิตบนโทรศัพท์อย่าง FREE FIRE, ROV ซึ่งเกมเหล่านี้ติด Top 1-3 download ในหลายประเทศทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 2 แล้ว และรายได้เติบโตมากกว่า 100% ในปี 2020
ส่วน Shopee กลายเป็น platform E-Comerce ที่ปัจจุบันครองตลาด South East Asia และ Latin America เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (นับจากจำนวนผู้ใช้) แซงหน้า Alibaba ที่เป็น #1 อยู่ก่อนในหลาย ๆ ประเทศ ในปี 2020 รายได้เติบโตมากกว่า 100% เช่นกัน นับว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาดเป็นนาทีทองของ SEA เลยทีเดียว เพราะธุรกิจหลักทั้ง 2 ส่วนเติบโตได้ดีมาก
ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 137%
5. NINTENDO (Publishers, Developers และ Console makers) Holding: 5.5%
บริษัทแดนปลาดิบ ผู้ผลิต Game Console ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันอย่าง Nintendo Switch กับ Wii U และ Game Software ในตระกูล mario และ Pokemon บริษัทเคยอยู่ในจุดลำบาก เพราะการมาของ smart phone ทำให้ game console อย่าง gameboy ที่เคยเป็นสินค้าหลักของบริษัทขายไม่ได้ ทำให้หุ้นร่วงจากจุดสูงสุดในปีในปี 2017 กว่า 85% ก่อนจะค่อย ๆ หาทางไปต่อได้ และ turnaround ในที่สุด
ช่วงปี 2020 nintendo switch ได้รับความนิยมมาก จากการนำไปต่ออุปกรณ์เสริมเล่น game สำหรับออกกำลังกาย โดยในปี 2020 มียอดขายเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ PS5 จาก sony (นับจากจำนวนเครื่อง) และมียอดขายจากทั้ง Game Console และ Game Software เติบโตมากกว่า 30%
6. ACTIVISION BLIZZARD (Publishers, Developers + ผู้จัด E-Sports) (NASDAQ: ATVI) Holding 5.3%
ค่ายเกมอันดับ 1 จากอเมริกาที่เป็นผู้สร้างเกมสุดฮิตมาทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่างเช่น Guitar Hero, StarCraft, World of Warcraft, Call of Duty, Diablo, Candy Crush บริษัทจะเน้นพัฒนาเกมบน PC มากกว่า ส่วนในโทรศัพท์จะเน้นขายลิขสิทธิ์ให้บริษัทอื่นไปพัฒนาต่อ ตัวอย่างเกมที่ให้ partner อย่าง netease ไปพัฒนาต่อ เช่น Diablo III, World of Warcraft, Hearthstone, Overwatch
7. NETEASE (Publishers, Developers และ Live streaming) (NASDAQ: NTES) Holding: 5.1%
ค่ายพัฒนาเกมมือถือและ pc แดนมังกร มีลักษณะธุรกิจเกม 2 แบบคือเกมที่พัฒนาเองและ ซื้อลิขสิทธิ์จาก partner มาทำต่อเอง บริษัทที่ Netease เป็นไปซื้อลิขสิทธิมาทำต่อ หรืออยู่เบื้องหลังการผลิต เช่น Activision Blizzard, Microsoft, Marvel Studio, Konami, Tencent สรุปได้ว่า Netease คือ เบื้องหลังเกมดัง ๆ ทั่วโลกจำนวนมาก หากเล่นเกมค่ายไหนแล้วเห็นสัญลักษณ์ลูกไฟสีแดงบนแอปฯ ให้รู้ไว้ว่า Netease เป็นเจ้าของ
8. BILIBILI (Publishers, Developers และ Live streaming) (NASDAQ: BILI) Holding: 5.0%
บริษัท video platform ที่เปรียบเหมือน youtube เวอร์ชั่นจีน บริษัทเป็นม้ามืดที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวัฒนธรรมโอตาคุแบบจีน โดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย Gen Z+ อายุต่ำกว่า 35 ลงไป ที่มีความสนใจใน Game, Anime, Cosplay, Technology, Lifestyle, Fashion และ Entertainment ซึ่งในตอนแรกนั้น Bilibili เป็น platform เพื่อคนเฉพาะกลุ่มมาก แต่ปัจจุบันกลายเป็นกระแสหลักของจีนไปแล้ว
นอกจากเป็น video platform แล้วบริษัทยังพัฒนาเกมเป็นของตัวเองอีกด้วย ณ ปี 2021 มีผู้ใช้งานต่อเดือนบน platform กว่า 223 ล้านคน และใช้งานเฉลี่ยกว่า 82 นาทีต่อวัน ในปี 2020 รายได้โตว่า 89% และรายได้จากโฆษณาเติบโตถึง 234%
ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง: 122% | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1506 | Finance | Ethereum 2.0 แตกต่างจาก Ethereum อย่างไร | Ethereum 2.0 คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ?
ในอีกไม่นานนี้ Ethereum ซึ่งเป็น Blockchain Platform ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันนั้นจะมีการเริ่มต้นพัฒนาเข้าสู่ Ethereum 2.0 ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขความสามารถในการรองรับธุรกรรมและความปลอดภัยของเครือข่ายผ่านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนจากกลไก consensus ไปสู่ proof of stake Ethereum 2.0 proof of stake การพัฒนา Ethereum และปัญหาคอขวด ในปัจจุบันนั้น Ethereum นั้นเป็น Blockchain Platform ที่เป็นนิยมที่สุดโดยมันเป็น Platform ที่ผู้ใช้งานสามารถพัฒนา Application ต่าง ๆ ลงไปได้ ซึ่งปัจจุบันมี App และ Project จำนวนมากทำงานอยู่ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน Ethereum นั้นสามารถรองรับธุรกรรมได้เพียง 30 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอ การที่ Ethereum จะกลายเป็น World computer ได้มันจะต้องรับธุรกรรมจำนวนมากกว่านี้ได้ Ethereum 2.0 คืออะไร? Ethereum 2.0 หรือ ETH2 หรือ “Serenity” เป็นซึ่งเป็นการอัพเกรดในส่วนสุดท้ายหลังจาก Frontier, Homestead และ Metropolis โดยในเวอร์ชันนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความเร็ว ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับขนาดของเครือข่าย Ethereum เพื่อให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากขึ้นและลดปัญหาคอขวด Ethereum 2.0 แตกต่างจาก Ethereum อย่างไร? Ethereum 1.0 นั้นใช้กลไก consensus ที่เรียกว่า Proof of work (PoW) แต่ Ethereum 2.0 จะเปลี่ยนไปใช้กลไก Proof of Stake (PoS) Blockchains เช่น Ethereum จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมฉันทามติ เช่นเดียวกับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ในปัจจุบันที่ใช้กลไกที่เรียกว่า Proof of Work (PoW) ในระบบ PoW นักขุดจะใช้พลังประมวลผลของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เพื่อไขปริศนาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและตรวจสอบธุรกรรมใหม่ โดยนักขุดคนแรกที่ไขปริศนาได้ และบันทึกธุรกรรมทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นบล็อกเชน จากนั้นพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็น ETH อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้อาจต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากพอสมควร ขณะที่ Proof of Stake (PoS) นั้นแตกต่างกันออกไป โดยแทนที่จะเป็นผู้ขุดที่เป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรมจะเป็น validator ที่จะทำการ stake crypto เพื่อสิทธิ์ในการตรวจสอบการทำธุรกรรมโดยพิจารณาจากจำนวนเงินที่พวกเขาถือครองและระยะเวลาที่เก็บไว้ จากนั้น validator อื่น ๆ จะต้องยืนยันได้ว่าพวกเขาเห็นบล็อก เมื่อมีการยืนยันเพียงพอก็สามารถเพิ่มบล็อกลงใน blockchain ได้ จากนั้น validator จะได้รับรางวัลสำหรับบล็อกที่ประสบความสำเร็จ กระบวนการนี้เรียกว่า “forging” หรือ “minting” ข้อได้เปรียบหลักของ PoS คือประหยัดพลังงานกว่า PoW มาก เนื่องจากแยกการประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่ใช้พลังงานมากออกจาก consensus อัลกอริทึม นอกจากนี้ยังหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้พลังในการประมวลผลมากนักเพื่อรักษาความปลอดภัยของบล็อกเชน Ethereum 2.0 จะรองรับธุรกรรรมได้ดีกว่า Ethereum 1.0 อย่างไร? สาเหตุหลักประการหนึ่งของการอัปเกรดเป็น Ethereum 2.0 คือความสามารถในการรองรับธุรกรรม ด้วย Ethereum 1.0 เครือข่ายสามารถรองรับธุรกรรมได้ประมาณ 30 รายการต่อวินาทีเท่านั้น ทำให้เกิดความล่าช้าและความแออัด แต่เมื่อ Ethereum 2.0 พัฒนาเสร็จสิ้นมันจะสามารถทำได้ถึง 100,000 รายการต่อวินาที ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้จะทำได้โดยการใช้ shard chains Ethereum 2.0 จะปลอดภัยมากขึ้นได้อย่างไร? Ethereum 2.0 ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เครือข่าย proof of stake ส่วนใหญ่มี set of validator ขนาดเล็กซึ่งทำให้ระบบ centralized มากขึ้นและความปลอดภัยของเครือข่ายลดลง แต่ Ethereum 2.0 ต้องการ validator ขั้นต่ำ 16,384 ราย ทำให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้นและด้วยเหตุนี้จึงปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตามที่ Lior Yaffe ผู้ร่วมก่อตั้ง Jelurida และหัวหน้าผู้พัฒนาหลักของ Ardor และ Nxt blockchains กล่าวว่า ยังมีช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องระดับอัตราการมีส่วนร่วมในเครือข่าย Jelurida Ardor Nxt การตรวจสอบความปลอดภัยของ code Ethereum 2.0 มีการดำเนินการโดยองค์กรต่าง ๆ รวมถึง Least Authority บริษัทรักษาความปลอดภัยบน blockchain Ethereum Foundation กำลังจัดตั้งทีมรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะสำหรับ Ethereum 2.0 เพื่อค้นหาปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นในสกุลเงินดิจิทัล โดยในทวีตนักวิจัยของ Ethereum 2.0 Justin Drake ระบุว่างานวิจัยดังกล่าวจะรวมถึง “การ fuzzing, bounty hunting, pager duty, การสร้างแบบจำลองเศรษฐกิจ, applied cryptanalysis, การตรวจสอบอย่างเป็นทางการ” ทวีต การอัปเกรด Ethereum 2.0 จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? หลังจากการทดสอบ testnet ที่เปิดตัวไป ได้แก่ Topaz, Medalla, Spadina และ Zinken การเปิดตัว Ethereum 2.0 แบบเต็มตัวจะเกิดขึ้นในสามช่วง ได้แก่ เฟส 0, 1 และ 2 (นักพัฒนาต้องการนับจากศูนย์) โดยเฟส 0 มีเป้าหมายเปิดตัวในวันที่ 1 ธันวาคม 2020 และเฟสอื่น ๆ จะมาในปีต่อ ๆ ไป เฟส 0 จะได้เห็นการใช้งานของ Beacon Chain; ซึ่งจะจัดเก็บและจัดการรีจิสตรีของ validators ตลอดจนปรับใช้กลไก consensus Proof of Stake (PoS) สำหรับ Ethereum 2.0 ขณะที่ Ethereum PoW ดั้งเดิมก็จะยังทำงานควบคู่ไปด้วย ดังนั้นจึงไม่มีการหยุดชะงักของข้อมูล ดังนั้นแล้วการเริ่มต้นเฟส 0 ในเดือนธันวาคมนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่มีผลใด ๆ ต่อการทำงานของ Ethereum 1.0 เฟส 1 กำหนดไว้ในปี 2021 โดยจะเห็นการรวม proof of stake shard chains ซึ่งคาดว่าเครือข่ายจะเปิดตัวด้วย 64 shards (ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้มากกว่า Ethereum 1.0 ถึง 64 เท่า) แม้ว่าในตอนเปิดตัวจะไม่รองรับบัญชีหรือ smart contract เฟส 1.5 เป็นการอัปเดตชั่วคราวในปี 2021 โดยจะได้เห็นว่า Ethereum mainnet กลายเป็น shard อย่างเป็นทางการ และเปลี่ยนไปใช้ proof of stake เฟส 2 จะเปิดตัวในปี 2021/22 โดยจะได้เห็น shard ที่ใช้งานได้เต็มรูปแบบ และเข้ากันได้กับ smart contract นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการเพิ่มบัญชี Ether และการเปิดใช้งานการโอนและถอน รวมถึงการ cross-shard transfers และ contract calls และจะสร้างสภาพแวดล้อมการดำเนินการสำหรับแอปที่ปรับขนาดได้ ซึ่งสร้างขึ้นจาก Ethereum 2.0 กันยายน 2020 มีข่าวว่า Spadina testnet ประสบปัญหาในการเปิดตัว จึงทำให้ต้องมีการ “ซ้อมใหญ่” อีกอย่างน้อย 1 ครั้งก่อนเปิดตัว โดย Spadina เป็นเครือข่าย testnet ระยะสั้นที่ออกแบบมาเพื่อทดลอง genesis หรือการสร้างบล็อกแรกบน Ethereum 2.0 ซึ่งแตกต่างจาก Medalla testnet ที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งเป็น sandbox ทั่วไปที่แสดงถึงเครือข่ายเวอร์ชันที่พร้อมใช้งาน โดยปัญหาเกี่ยวกับ Spadina testnet รวมถึงการมีส่วนร่วมที่ต่ำควบคู่ไปกับ “ความสับสน” และ “เงินฝากที่ไม่ถูกต้อง” ในเดือนตุลาคมปี 2020 Ben Edgington เจ้าของผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้า ETH 2.0 Teku ที่ ConsenSys กล่าวว่า Medalla testnet “มีปัญหาจากการมีส่วนร่วมที่ต่ำมาก” โดยเขาเสริมว่า ผู้คนเริ่มเบื่อกับ testnet และ “ถึงเวลาแล้วที่จะต้องไปต่อ” อนาคตของ Ethereum 2.0 Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้วาง roadmap ว่าอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้าจะพัฒนา Ethereum 2.0 ได้อย่างไร เขากล่าวว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมามี “การเปลี่ยนแปลงจากการวิจัย ‘Blue Sky’ โดยพยายามทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นไปได้ในการไปสู่การวิจัยและพัฒนาที่เป็นรูปธรรม โดยพยายามเพิ่มประสิทธิภาพดั้งเดิม เฉพาะที่เรารู้ว่าสามารถนำไปใช้ได้จริง” เขากล่าวว่าความท้าทายส่วนใหญ่ในขณะนี้คือ “การพัฒนาที่มากขึ้นเรื่อย ๆ และส่วนแบ่งการพัฒนาจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป” ในเดือนมิถุนายนปี 2020 Buterin ตั้งข้อสังเกตว่า Ethereum 2.0 จะต้องอาศัยวิธีการปรับขนาดในปัจจุบันเช่น ZK-rollups เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปีก่อนที่จะใช้งาน Shard chain Ethereum 2.0 มีผลต่อราคาของ Ethereum อย่างไร? สำหรับบางคนการเปิดตัว Ethereum 2.0 เป็นสิ่งที่สกุลเงินดิจิทัลต้องการ “เมื่อ Ethereum มีความสามารถในการปรับขนาดได้ผ่านเทคโนโลยีเลเยอร์ 2 หรือ ETH 2.0 ทุกคำถามจะได้รับคำตอบ” Jamie Anson ผู้ก่อตั้ง Nifty Orchard และผู้จัดงาน Ethereum London กล่าว อีกนัยหนึ่งก็คือ ความสามารถในการปรับขนาดได้มากขึ้น หมายถึงการใช้งานที่มากขึ้นเพื่อรอบรับความต้องการที่มากขึ้น ซึ่งอย่างน้อยก็ในทางทฤษฎีมันก็ควรขับเคลื่อนราคาของ Ethereum ให้สูงขึ้น “เมื่อ ETH 2.0 รองรับ 100,000 รายการต่อวินาที นั่นหมายถึงประสบการณ์ที่ราบรื่นอย่างสมบูรณ์สำหรับผู้คนนับพันล้านคน” Anson กล่าวเสริม Matt Cutler ซีอีโอของ Blocknative ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นไปที่ความซับซ้อนของ mempool นั้นมองโลกในแง่ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าธรรมเนียม GAS อาจลดลงเมื่อเปิดตัว Ethereum 2.0 “ฐานลูกค้าของเราเห็นว่า การลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและการเพิ่มปริมาณงานในเครือข่าย ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในการก้าวไปข้างหน้า” Cutler กล่าวเสริมว่า “สิ่งนี้จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อราคาของ ETH แม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น” Bitcoin Addict ที่มาบทความ: คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | Ethereum 1.0 นั้น ใช้กลไก consensus ที่เรียกว่า Proof of work (PoW) แต่ Ethereum 2.0 จะเปลี่ยนไปใช้กลไก Proof of Stake (PoS) Blockchains เช่น Ethereum จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมฉันทามติ เช่นเดียวกับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ในปัจจุบันที่ใช้กลไกที่เรียกว่า Proof of Work (PoW)
ในระบบ PoW นักขุดจะใช้พลังประมวลผลของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เพื่อไขปริศนาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและตรวจสอบธุรกรรมใหม่ โดยนักขุดคนแรกที่ไขปริศนาได้ และบันทึกธุรกรรมทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นบล็อกเชน จากนั้นพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็น ETH อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้อาจต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากพอสมควร
ขณะที่ Proof of Stake (PoS) นั้นแตกต่างกันออกไป โดยแทนที่จะเป็นผู้ขุดที่เป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรมจะเป็น validator ที่จะทำการ stake crypto เพื่อสิทธิ์ในการตรวจสอบการทำธุรกรรมโดยพิจารณาจากจำนวนเงินที่พวกเขาถือครองและระยะเวลาที่เก็บไว้ จากนั้น validator อื่น ๆ จะต้องยืนยันได้ว่าพวกเขาเห็นบล็อก เมื่อมีการยืนยันเพียงพอก็สามารถเพิ่มบล็อกลงใน blockchain ได้ จากนั้น validator จะได้รับรางวัลสำหรับบล็อกที่ประสบความสำเร็จ กระบวนการนี้เรียกว่า “forging” หรือ “minting”
ข้อได้เปรียบหลักของ PoS คือ ประหยัดพลังงานกว่า PoW มาก เนื่องจากแยกการประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่ใช้พลังงานมากออกจาก consensus อัลกอริทึม นอกจากนี้ยังหมายความว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังในการประมวลผลมากนัก เพื่อรักษาความปลอดภัยของบล็อกเชน | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_151 | Finance | อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนคืออะไร | ก. ตัวเลขที่ใช้เทียบเคียงผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำประกันภัย
ข. ตัวเลขที่ใช้เทียบเคียงผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำประกัน
ค. ตัวเลขที่ใช้เทียบเคียงผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำงบ
ง. ตัวเลขที่ใช้เทียบเคียงผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำธุรกิจ | คำตอบคือ ข. เพราะว่า อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน หรือ IRR ( Internal Rate of Return ) คือ ตัวเลขที่ใช้เทียบเคียงผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำประกัน คำนวณจากเงินที่จ่ายค่าเบี้ยประกันกับผลประโยชน์ทั้งหมดที่ได้รับ หรือก็คือตัวเลขที่บอกว่าการเลือกเก็บเงินผ่านประกันนั้นได้ผลตอบแทนอยู่ ที่ร้อยละเท่าใดต่อปี
• การใช้ IRR เพื่อดูอัตราผลตอบแทนเป็นเพียงตัวแปรหนึ่งในการตัดสินใจเลือกลงทุนหรือซื้อประกัน นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาถึงวัตถุประสงค์อื่นประกอบด้วย เช่น ต้องการความคุ้มครองชีวิตหรือสุขภาพ หรือเพิ่มโอกาสในการลงทุน
• กองทุนตราสารหนี้ อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บสะสมเงินเพื่อผลตอบแทนระยะยาว ที่มีความคล่องตัวกว่าประกันสะสมทรัพย์ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1515 | Finance | สภาวะดอกเบี้ยต่ำ เป็นอย่างไร? | วันนี้ขอชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับสภาวะดอกเบี้ยต่ำ ศัตรูตัวร้ายของเงินออม ที่อาจให้แนวคิดการบริหารเงินออมของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สิ่งนี้จะส่งผลกระทบกับเงินออมของเราอย่างไรบ้าง
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร?
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ธนาคารกลางทั่วโลกมักใช้กระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว
การลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยทำให้ต้นทุนของแต่ละธนาคารต่ำลง นำไปสู่การลดดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้คนกล้ากู้เงินไปลงทุนกันมากขึ้น และฝากเงินในธนาคารกันน้อยลง
แต่เมื่อมาตรการนี้ถูกนำมาใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็จะตามมาด้วยผลกระทบข้างเคียงที่เรียกกันว่าสภาวะดอกเบี้ยต่ำนั่นเอง
สภาวะดอกเบี้ยต่ำ เป็นอย่างไร?
จริง ๆ แล้วสภาวะดอกเบี้ยต่ำทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณมาตั้งแต่สมัย Hamburger crisis ในช่วงปี 2008 – 2009 แล้ว
สำหรับประเทศไทยเองก็มีแนวโน้มลดต่ำลงมาเรื่อย ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะช่วงปลายปี 62 ที่ประสบปัญหาสงครามการค้า กระทบการส่งออก และการท่องเที่ยวในประเทศ แล้วยิ่งเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติโควิด-19 ก็ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบัน ลดต่ำลงที่สุดในประวัติศาสตร์นับแต่มีการกำหนดดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมา ที่ 0.5% ต่อเนื่องกันจนถึงปัจจุบัน
เมื่อดอกเบี้ยนโยบายลดต่ำลง ก็ส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำมาด้วย โดยในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 0.3-0.5% ถ้าเป็นเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัลก็อาจอยู่ที่ประมาณ 1% นิด ๆ ซึ่งก็มีแนวโน้มปรับลดลงได้อีกเช่นกัน ล้อกันไปกับผลตอบแทนของสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างเช่นตราสารหนี้ก็มีแนวโน้มลดต่ำลงด้วยเช่นกัน
สิ่งที่น่ากังวล
นี่จึงเป็นจุดที่น่ากังวลใจสำหรับการวางแผนออมเงินระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับกองทุนบำเหน็จบำนาญทั่วโลก ที่มีหน้าที่บริหารเงินเกษียณให้กับประชากรผู้เป็นสมาชิกในแต่ละประเทศ เพราะเงินเกษียณเป็นเงินเก็บส่วนที่ต้องการความมั่นคงสูงกว่าเงินเก็บก้อนอื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถรองรับรายจ่ายช่วงหลังเกษียณของสมาชิกได้โดยที่ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของเงินออมระหว่างทางมากจนเกินไป แต่ด้วยสภาวะดอกเบี้ยต่ำที่เกิดขึ้น การบริหารเงินในพอร์ตให้มั่นคงเพียงอย่างเดียว ก็อาจไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่เพียงพอกับรายจ่ายที่รออยู่ในอนาคตได้อีกต่อไปแล้วนั่นเอง
สำหรับประเทศไทย ระบบบำเหน็จบำนาญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินเกษียณของประชากรจำนวนมาก คงหนีไม่พ้นกองทุนประกันสังคม ซึ่งก็ได้มีหลายองค์กรที่เคยออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเสถียรภาพของกองทุนมาตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งเรื่องความสามารถในการบริหารเงินลงทุน รวมไปถึงผลกระทบที่จะได้รับจากสังคมสูงวัย ที่จะทำให้มีคนรอรับเงินจากกองทุน มากกว่าคนที่จะช่วยสมทบเงินเข้ากองทุนเพิ่ม และการกำหนดอายุเริ่มเกษียณที่ 55 ปี ซึ่งนับว่าเป็นอายุเริ่มรับเงินเกษียณที่เร็วกว่าในประเทศอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาสังคมสูงอายุเหมือน ๆ กัน เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนสำหรับเราทุกคนในฐานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบแผนเกษียณของตัวเอง ว่าเราอาจต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น และเริ่มต้นวางแผนการเงิน รวมถึงศึกษาการลงทุนให้เร็วขึ้น เพื่อมั่นใจได้ว่าเงินออมตั้งใจเก็บมาตลอดช่วงวัยทำงาน จะเพียงพอกับรายจ่ายในช่วงวัยเกษียณ | การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ธนาคารกลางทั่วโลกมักใช้กระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งจะช่วยทำให้ต้นทุนของแต่ละธนาคารต่ำลง นำไปสู่การลดดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้คนกล้ากู้เงินไปลงทุนกันมากขึ้น และฝากเงินในธนาคารกันน้อยลง
แต่เมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผลกระทบข้างเคียงที่ตามมา คือ สภาวะดอกเบี้ยต่ำนั่นเอง
สภาวะดอกเบี้ยต่ำ
สำหรับประเทศไทยเองก็มีแนวโน้มลดต่ำลงมาเรื่อย ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะช่วงปลายปี 62 ที่ประสบปัญหาสงครามการค้า กระทบการส่งออก และการท่องเที่ยวในประเทศ แล้วยิ่งเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติโควิด-19 ก็ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบัน ลดต่ำลงที่สุดในประวัติศาสตร์นับแต่มีการกำหนดดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมา ที่ 0.5% ต่อเนื่องกันจนถึงปัจจุบัน
เมื่อดอกเบี้ยนโยบายลดต่ำลง ก็ส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำมาด้วย โดยในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 0.3-0.5% ถ้าเป็นเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัลก็อาจอยู่ที่ประมาณ 1% นิด ๆ ซึ่งก็มีแนวโน้มปรับลดลงได้อีกเช่นกัน ล้อกันไปกับผลตอบแทนของสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างเช่นตราสารหนี้ก็มีแนวโน้มลดต่ำลงด้วยเช่นกัน
การลดอัตราดอกเบี้ยจึงน่ากังวลสำหรับการวางแผนออมเงินระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับกองทุนบำเหน็จบำนาญ แต่ด้วยสภาวะดอกเบี้ยต่ำที่เกิดขึ้น การบริหารเงินในพอร์ตให้มั่นคงเพียงอย่างเดียว ก็อาจไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่เพียงพอกับรายจ่ายที่รออยู่ในอนาคตได้อีกต่อไป
สำหรับประเทศไทย ระบบบำเหน็จบำนาญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินเกษียณของประชากรจำนวนมาก คงหนีไม่พ้นกองทุนประกันสังคม ซึ่งก็ได้มีหลายองค์กรที่เคยออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเสถียรภาพของกองทุนมาตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งเรื่องความสามารถในการบริหารเงินลงทุน รวมไปถึงผลกระทบที่จะได้รับจากสังคมสูงวัย ที่จะทำให้มีคนรอรับเงินจากกองทุน มากกว่าคนที่จะช่วยสมทบเงินเข้ากองทุนเพิ่ม และการกำหนดอายุเริ่มเกษียณที่ 55 ปี ซึ่งนับว่าเป็นอายุเริ่มรับเงินเกษียณที่เร็วกว่าในประเทศอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาสังคมสูงอายุเหมือน ๆ กัน เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนสำหรับเราทุกคนในฐานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบแผนเกษียณของตัวเอง ว่าเราอาจต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น และเริ่มต้นวางแผนการเงิน รวมถึงศึกษาการลงทุนให้เร็วขึ้น เพื่อมั่นใจได้ว่าเงินออมตั้งใจเก็บมาตลอดช่วงวัยทำงาน จะเพียงพอกับรายจ่ายในช่วงวัยเกษียณ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1525 | Finance | ฟีเจอร์ค้นหาข้อมูลกองทุนทุกกองในประเทศไทยที่ดูได้ทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โดยข้อใดไม่ใช่จุดเด่นของฟีเจอร์นี้ | A. Fund Compare
B. 4D Diagram
C. Fund Filter
D. FINNOMENA Pick | คำตอบคือ B. เพราะว่า FINNOMENA.COM/FUND
ฟีเจอร์ค้นหาข้อมูลกองทุนทุกกองในประเทศไทยที่ดูได้ทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โดยจุดเด่นของฟีเจอร์นี้ เช่น
Fund Filter – คัดกรองกองทุนตามคุณลักษณะที่นักลงทุนต้องการ เช่น เรียงลำดับตามผลตอบแทน เลือกดูตามประเภทกองทุน หรือ เลือกดูเฉพาะกองทุน SSF/RMF เป็นต้น
Fund Compare – ฟีเจอร์เปรียบเทียบกองทุนที่สามารถเปรียบเทียบได้สูงสุดถึง 10 กองทุน โดยเปรียบเทียบได้ทั้งภาพรวมกองทุน ผลการดำเนินงาน พอร์ตการลงทุน ค่าธรรมเนียม ฯลฯ
FINNOMENA Pick – กองทุนแนะนำจากฟินโนมีนา โดยเป็นกองทุนที่ถูกคัดเลือกมาแล้วว่าทำผลงานได้ดีในกลุ่มสินทรัพย์นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้ กลุ่มตลาดเงิน กลุ้มหุ้นไทย กลุ่มหุ้นสหรัฐฯ ฯลฯ
3D Diagram – สามเหลี่ยมสรุปสถิติสำคัญอย่าง Past Performance, Risk-Adjusted Return และ Maximum Drawdown ที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ๆ ได้ ยิ่งสามเหลี่ยมใหญ่เท่าไรยิ่งดี | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1535 | Finance | อะไรคือความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนใน ASML? | null | 1. การพึ่งพาเทคโนโลยี EUV: ASML พึ่งพาเทคโนโลยี EUV อย่างมาก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและมีบริษัทเดียวที่สามารถผลิตได้ หากเกิดปัญหาขึ้นกับเทคโนโลยี EUV อาจส่งผลต่อธุรกิจของ ASML อย่างมาก
2. การแข่งขัน: แม้ว่า ASML จะเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน แต่คู่แข่งอย่าง Canon และ Nikon กำลังพัฒนาเทคโนโลยี EUV ของตัวเองอยู่ หากคู่แข่งสามารถพัฒนาเทคโนโลยี EUV ที่ประสบความสำเร็จได้ อาจส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของ ASML
3. ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจส่งผลต่อความต้องการชิปและเครื่องจักรผลิตชิป ส่งผลต่อผลประกอบการของ ASML
4. ความเสี่ยงด้านการเมือง: ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกเครื่องจักรของ ASML
5. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: รัฐบาลต่างๆ อาจออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง ส่งผลต่อธุรกิจของ ASML
6. ความเสี่ยงด้านราคา: ราคาเครื่องจักร EUV ของ ASML นั้นสูงมาก หากราคาสูงเกินไปอาจส่งผลต่อความต้องการซื้อจากโรงงานชิป
7. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน: เงินยูโรที่แข็งค่าอาจส่งผลต่อผลประกอบการของ ASML เนื่องจาก ASML มีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ
8. ความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการ: การบริหารจัดการที่ผิดพลาดอาจส่งผลต่อผลประกอบการของ ASML
9. ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง: เหตุการณ์ที่ส่งผลต่อชื่อเสียงของ ASML อาจส่งผลต่อความต้องการซื้อจากลูกค้า
10. ความเสี่ยงด้านการลงทุน: การลงทุนในหุ้น ASML นั้นมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | 5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1551 | Finance | ปัจจุบัน Stablecoin เองอาจถูกแยกออกเป็น 3 ประเภท มีอะไรบ้าง | ก. 1. Fiat-Collateralized Stablecoins 2. Non-Collateralized Stablecoins 3. Non-Collateralized Stablecoins
ข. 1. Fiat-Collateralized Stablecoins 2. Crypto-Collateralized Stablecoins 3. Non-Collateralized Stablecoins
ค. 1. Collateralized Stablecoins 2. Crypto-Collateralized Stablecoins 3. Non-Collateralized Stablecoins
ง. 1. Fiat-Collateralized Stablecoins 2. Crypto-Collateralized Stablecoins 3. Collateralized Stablecoins | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ข. เพราะว่า Stablecoin เกิดขึ้นมาเพื่อทำให้ราคาของสกุลเงินดิจิทัลมีความเสถียรมากขึ้น ด้วยการอ้างอิงมูลค่าของเหรียญเข้ากับอะไรบางอย่าง เพื่อให้ความผันผวนของราคาเหรียญลดน้อยลงนั่นเอง ปัจจุบัน Stablecoin เองอาจถูกแยกออกเป็น 3 ประเภท มีอะไรบ้างไปดูกัน
1. Fiat-Collateralized Stablecoins
เป็นเหรียญถูกหนุนหลังเอาไว้ด้วยสินทรัพย์ในโลกอนาล็อก อย่างดอลล่าร์สหรัฐ ปอนด์ ยูโร รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ ในกรณีจะเรียกว่า Commodity-Collaterized Stablecoin นั่นเอง
โดยเหรียญที่นับว่าเป็น Stablecoin เป็นที่รู้จักมากและมีมูลค่าในตลาดมากที่สุดในปัจจุบันก็คือ Tether (USDT) ที่ถูกหนุนหลังด้วย USD ในอัตราส่วน 1:1
ข้อจำกัดของเหรียญประเภทนี้คือจำเป็นต้องมีองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดเก็บสินทรัพย์อนาล็อกที่ใช้หนุนเหรียญดิจิทัลอีกที ซึ่งขัดกันกับคอนเซ็ปต์สำคัญของเหรียญดิจิทัลที่ต้องการขจัดตัวกลางออก
2. Crypto-Collateralized Stablecoins
ถูกหนุนหลังด้วยเหรียญดิจิทัลสกุลเงินหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่เหรียญดิจิทัลที่นำมาหนุนหลังเองก็มีความผันผวน
กลไกการออก Stablecoin นี้ จึงมีลักษณะ Over-Collaterized คือการออก Stablecoin 1 เหรียญ จะต้องค้ำประกันด้วยสกุลเงินดิจิตอลในสัดส่วนที่มากกว่านั้น เพื่อให้ Stablecoin ยังใช้งานได้ แม้ราคาของ Crypto ที่เอามาหนุนหลังจะร่วงหนัก
ตัวอย่าง
Stablecoin ประเภทนี้ก็คือ DAI
คุณลักษณะสำคัญของ Crypto-Collaterized Stablecoin คือยังคงความ Decentralized ของเหรียญเอาไว้ได้ ทำให้ถูกนำมาใช้ใน Decentralized Finance (DeFi)
ข้อจำกัดก็คือ Stablecoin กลุ่มนี้จะยังคงมีความผันผวนที่สูงอยู่ เพราะก็ใช้ Cryptocurrency ซึ่งมีความผันผวนสูงมาก ๆ อยู่แล้วมาหนุนหลัง และมีความซับซ้อนสูง อาจทำความเข้าใจได้ยากสำหรับนักลงทุนทั่วไป
3. Non-Collateralized Stablecoins
ไม่ได้ถูกหนุนหลังด้วยสินทรัพย์ใด แต่ใช้กลไกพิเศษในการควบคุมความเสถียรของเหรียญ เช่น กลไกลดจำนวนเหรียญ เมื่อเหรียญเริ่มด้อยราคาลง หรือเพิ่มจำนวนเหรียญ เมื่อเหรียญเริ่มมีราคาสูงเกินไป | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1554 | Finance | วิธีตรวจสอบว่ามี NDID กับธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีขั้นตอนคือ | ก. 1. เข้าสู่ระบบผ่านแอปพลิเคชัน Bualuang mBanking 2. เลือกเมนู “เพิ่มเติม” และกด “บริการ NDID”
ข. 1. เข้าสู่ระบบผ่านแอปพลิเคชัน KKP Mobile 2. เลือกเมนู “บริการอื่น” และเลือก “NDID Services”
ค. 1. เข้าสู่ระบบผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS 2. เลือกเมนู “บริการอื่น” และกด “บริการ NDID”
ง. 1. เข้าสู่ระบบผ่านแอปพลิเคชัน KMA-Krungsri Mobile App 2. เลือกเมนู “บริการ NDID” | คำตอบได้แก่ ค. 1. เข้าสู่ระบบผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS 2. เลือกเมนู “บริการอื่น” และกด “บริการ NDID”
• ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)
วิธีตรวจสอบว่ามี NDID กับ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีดังนี้
1) เข้าสู่ระบบผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS
2) เลือกเมนู “บริการอื่น” และกด “บริการ NDID”
3) หากลงทะเบียนบริการ NDID เรียบร้อยแล้วระบบจะแสดงรายละเอียดการลงทะเบียน
4) หากยังไม่ได้ลงทะเบียนบริการ NDID จะขึ้นให้กดลงทะเบียน
แล้วถ้ายังไม่มี NDID จะลงทะเบียนรับบริการได้อย่างไร? สามารถศึกษาขั้นตอนการขอรับบริการได้ที่ วิธีการสมัครและลงทะเบียนรับบริการ NDID ธนาคารกสิกรไทย
** หากไม่มั่นใจว่าคุณมี NDID กับธนาคารกสิกรไทยหรือไม่ ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า K-Contact Call Centerโทร. 02-888-8888 | 5.ความรู้ทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1583 | Finance | ข้อใดกล่าวถึง Koyfin ได้ถูกต้อง | A. ไม่สามารถเปรียบเทียบแกน X และ แกน Y ได้ตามที่ต้องการ
B. สามารถเปรียบเทียบ performance กับหุ้น หรือ ETF ได้
C. ไม่มีข้อมูลการคาดการของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับ Sale, EBIDA, EBIT และ EPS ให้
D. ไม่มี Sec Filings ซึ่งเป็นข้อมูลดิบให้ download ได้ | คำตอบได้แก่ B. เพราะว่า เพราะเว็บไซต์ Koyfin มี feature Performance ซึ่งสามารถเปรียบเทียบ performance กับหุ้น หรือ ETF ได้
Feature สำคัญของเว็บไซต์ Koyfin
Market Scatter
สามารถเปรียบเทียบแกน X และ แกน Y ได้ตามที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น การเปรียบเทียบหุ้นในกลุ่ม Nasdaq 100 โดยใช้ ROE และ PEG คือ หาหุ้นที่ในผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูง และ PEG ไม่สูงมาก ตัวเลือกของ Market Scatter มีให้เลือกมากมาย
Price Target
จะเห็น Price Target แบบสูง เฉลี่ย และ ต่ำ จะมี rating ที่นักวิเคราะห์ให้กับหุ้นด้วยว่าให้ซื้อ ถือ หรือขายอีกด้วย
Estimate Trend
จะมีข้อมูลการคาดการของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับ Sale, EBIDA, EBIT และ EPS ให้ โดยรวบรวมเป็น Trend ให้ดูง่าย ๆ สามารถพอจะประเมินได้ว่า หุ้นจะมีโอกาสเติบโตไปข้างหน้าหรือไม่ ตามมุมมองของนักวิเคราะห์
Financial Analysis
อัดแน่นไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการเงินของหุ้น ไม่ว่าจะเป็น งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด และมีตัวเลข ratio ทางการเงินให้ดูอีกมากมาย ไม่ว่าจะอยู่ในส่วน Enterprise Value, Profitability หรือ Solvency
News & Filings
จะทำให้ไม่พลาดโอกาสในรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ โดยทาง Koyfin จะรวบรวมมาให้ มี Sec Filings ซึ่งเป็นข้อมูลดิบให้ download กันได้
Performance
สามารถเปรียบเทียบ performance กับหุ้น หรือ ETF ได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1590 | Finance | รายละเอียดกองทุน MN-USBANK-A ช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 2 ปี 2021 เป็นอย่างไร | เผลอแปปเดียวก็เข้าสู่ช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 2 ปี 2021 แล้ว ในบทความนี้จึงขอทำคอนเทนต์สำหรับเดือน 6 สักหน่อย โดยการจับ กองทุนที่มีผลตอบแทนดีในรอบ 6 เดือนจาก 6 หมวดกองทุน มามัดรวมกันไว้ที่นี่ จะมีกองทุนไหนบ้าง? และจะใช่กองทุนที่คุณมีอยู่รึเปล่า? เชิญทุกท่านติดตามได้ในบทความนี้
กองทุนผลตอบแทนดีในรอบ 6 เดือนจาก 6 หมวดกองทุน
กลุ่มหุ้นสหรัฐฯ
1. MN-USBANK-A (+42.08%)
MN-USBANK-A — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Advanced Fund SPC – U.S. Bank Equity Segregated Portfolio (the “U.S. Bank Equity Fund”) (Class AA USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MN-USBANK-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7
สำหรับกองทุน Manulife Advanced Fund SPC – U.S. Bank Equity Segregated Portfolio (the “U.S. Bank Equity Fund”) (Class AA USD) ที่เป็นกองทุนหลัก มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุน และ/หรือตราสารทางการเงินที่อ้างอิงกับตราสารทุนที่ออกโดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคาร และ/หรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมธนาคาร, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท
2. TUSFIN-A (+33.57%)
TUSFIN-A — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน TUSFIN-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7
สำหรับกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund ที่เป็นกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Financial Select Sector ซึ่งเป็นดัชนีที่มีส่วนประกอบเป็นหลักทรัพย์ซึ่งถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน (Financial) ที่อยู่ในดัชนี S&P 500
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในผู้ออกตราสารรายใดรายหนึ่ง, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท
3. ABAGS (+23.88%)
ABAGS — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Aberdeen Standard SICAV I – North American Smaller Companies Fund Class Z เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน ABAGS จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
สำหรับกองทุน Aberdeen Standard SICAV I – North American Smaller Companies Fund Class Z ที่เป็นกองทุนหลักมีการลงทุนอย่างน้อยสองในสามของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้ง หรือประกอบกิจการในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว โดยบริษัทข้างต้นมีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดน้อยกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ วันที่ลงทุน
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท | MN-USBANK-A — มีนโยบายลงทุนในกองทุน Manulife Advanced Fund SPC – U.S. Bank Equity Segregated Portfolio (the “U.S. Bank Equity Fund”) (Class AA USD) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน MN-USBANK-A จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 7
สำหรับกองทุน Manulife Advanced Fund SPC – U.S. Bank Equity Segregated Portfolio (the “U.S. Bank Equity Fund”) (Class AA USD) ที่เป็นกองทุนหลัก มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุน และ/หรือตราสารทางการเงินที่อ้างอิงกับตราสารทุนที่ออกโดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคาร และ/หรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมธนาคาร, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน)
- มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 10,000 บาท
- มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1616 | Finance | Ethereum คือสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่าตลาดรวม (Market cap) ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2021 สูงถึงเท่าไหร่ | 1. 70 ล้านล้านบาท
2. 14 ล้านล้านบาท
3. 50 ล้านล้านบาท
4. 5 ล้านล้านบาท | คำตอบที่ถูกต้อง ได้แก่ 2. 14 ล้านล้านบาท
เพราะว่า :
Ethereum คือสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่าตลาดรวม (Market cap) ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2021 สูงถึง 14 ล้านล้านบาท เป็นรองเพียง Bitcoin ที่มีมูลค่าตลาดรวม 34 ล้านล้านบาท อ้างอิงจากเว็บไซต์ Coinmarketcap
ความแตกต่างระหว่าง Bitcoin และ Ethereum คือ
1. Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเหมือนสกุลเงินทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการบันทึกและตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม ถึงแม้ปัจจุบัน Bitcoin จะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์สำหรับเก็บรักษามูลค่า (Store of value) เนื่องจากจำนวนเหรียญที่มีจำกัดและความยิ่งใหญ่ของเครือข่ายมากกว่าก็ตาม
2. ในขณะที่ Ethereum ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครือข่ายบล็อกเชน :
- ที่สามารถรองรับแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Application) และทำให้แอปฯ เหล่านี้ทำงานร่วมกันได้อย่างอิสระและโปร่งใส
โดยมี Ether (ETH) เป็นสกุลเงินกลางของเครือข่าย
- จึงเกิดเป็นแอปพลิเคชันต่าง ๆ ขึ้นบนเครือข่าย Ethereum ไม่ว่าจะเป็น แอปฯ สำหรับแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล การกู้ยืม การระดมทุน และอื่น ๆ อีกมากมาย | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1617 | Finance | 4 กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไปในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 จากการ work from home มีอะไรบ้าง | วิกฤตการณ์โควิดในประเทศไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลาย ๆ ท่านพยายามหาทางปรับตัวสู้สถานการณ์ให้ได้มากที่สุด อย่างการทำงานที่บ้าน หรือ Work from home มีบางธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ คลิปนี้เลยมัดรวม 4 กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไปในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 มาเล่าให้ฟังกัน
1. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน/เรียนทางไกล
เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องงดกิจกรรมทางสังคมของคนหมู่มาก แต่การงานและการเรียนยังต้องเดินหน้าต่อ สิ่งหนึ่งที่ออฟฟิศและโรงเรียนต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้อย่างแน่นอนคือ
โปรแกรม Video Conference เช่น Zoom, Google Meet หรือ Microsoft Teams
บริษัทที่ให้บริการระบบ Cloud Computing อย่าง Amazon
บริษัทบริการการเซ็นสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง DocuSign
บริษัทที่ให้บริการความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ อย่างบริษัท Norton Lifelock เจ้าของโปรแกรมแอนตี้ไวรัสชื่อดัง อย่าง Norton Antivirus
2. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง เดลิเวอรี่ ร้านค้าออนไลน์
เมื่อออกนอกบ้านไม่ได้ แต่ต้องกินต้องใช้ ธุรกิจเหล่านี้ก็เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกได้มาก ไม่ว่าจะเป็น
ธุรกิจขนส่งอย่าง Kerry
ธุรกิจบริการจัดส่งสินค้าถึงที่อย่าง Grab
ธุรกิจร้านค้าออนไลน์ จะซื้ออะไรก็เสิร์ช อย่าง Lazada
3. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ พักผ่อนหย่อนใจ
ก็เพราะว่าอยู่แต่ในบ้าน ทำงานจนเครียดก็ไม่รู้จะผ่อนคลายที่ไหน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงในบ้านก็ได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ไม่ว่าจะ
บริษัทเกมส์ออนไลน์ อย่าง Tencent
บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาในบ้าน อย่าง Fitbit, Peloton
บริษัทบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Spotify
บริษัทผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และที่หลายคนอาจประหลาดใจก็คือธุรกิจ High fashion อย่างบริษัทเจ้าของหลุยส์ วิตตอง อย่าง LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton SE
4. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ / สุขอนามัย
เมื่อโควิดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ก็ส่งผลให้เกิดความกังวลในเรื่องความสะอาด สุขอนามัย และปัญหาสุขภาพ กลุ่มบริษัทที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้จึงได้แก่
บริษัทที่ให้บริการทางการแพทย์ระยะไกล หรือ Telemedicine อย่างบริษัท Teladoc
บริษัทผลิตยาและวัคซีน อย่าง Pfizer, Moderna
บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น Reckitt Reckitt Benckiser เจ้าของแบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดีอย่าง Dettol
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อลงทุน
ในปัจจุบันสถานการณ์โควิดในแต่ละประเทศหนักเบาไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกับช่วงเริ่มต้นที่สถานการณ์รุนแรงใกล้เคียงกันหมด ดังนั้นในบางประเทศที่สถานการณ์คลี่คลาย กลุ่มธุรกิจที่เคยได้ประโยชน์มาก ๆ ในวันนั้น ก็อาจเป็นคนละธุรกิจกันกับที่กำลังขยายตัวในเวลานี้ | 1. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน/เรียนทางไกล
เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องงดกิจกรรมทางสังคมของคนหมู่มาก แต่การงานและการเรียนยังต้องเดินหน้าต่อ สิ่งหนึ่งที่ออฟฟิศและโรงเรียนต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้อย่างแน่นอนคือ
โปรแกรม Video Conference เช่น Zoom, Google Meet หรือ Microsoft Teams
บริษัทที่ให้บริการระบบ Cloud Computing อย่าง Amazon
บริษัทบริการการเซ็นสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง DocuSign
บริษัทที่ให้บริการความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ อย่างบริษัท Norton Lifelock เจ้าของโปรแกรมแอนตี้ไวรัสชื่อดัง อย่าง Norton Antivirus
2. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง เดลิเวอรี่ ร้านค้าออนไลน์
เมื่อออกนอกบ้านไม่ได้ แต่ต้องกินต้องใช้ ธุรกิจเหล่านี้ก็เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกได้มาก ไม่ว่าจะเป็น
ธุรกิจขนส่งอย่าง Kerry
ธุรกิจบริการจัดส่งสินค้าถึงที่อย่าง Grab
ธุรกิจร้านค้าออนไลน์ จะซื้ออะไรก็เสิร์ช อย่าง Lazada
3. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ พักผ่อนหย่อนใจ
ก็เพราะว่าอยู่แต่ในบ้าน ทำงานจนเครียดก็ไม่รู้จะผ่อนคลายที่ไหน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงในบ้านก็ได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ไม่ว่าจะ
บริษัทเกมส์ออนไลน์ อย่าง Tencent
บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาในบ้าน อย่าง Fitbit, Peloton
บริษัทบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Spotify
บริษัทผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และที่หลายคนอาจประหลาดใจก็คือธุรกิจ High fashion อย่างบริษัทเจ้าของหลุยส์ วิตตอง อย่าง LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton SE
4. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ / สุขอนามัย
เมื่อโควิดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ก็ส่งผลให้เกิดความกังวลในเรื่องความสะอาด สุขอนามัย และปัญหาสุขภาพ กลุ่มบริษัทที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้จึงได้แก่
บริษัทที่ให้บริการทางการแพทย์ระยะไกล หรือ Telemedicine อย่างบริษัท Teladoc
บริษัทผลิตยาและวัคซีน อย่าง Pfizer, Moderna
บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น Reckitt Reckitt Benckiser เจ้าของแบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดีอย่าง Dettol | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1629 | Finance | แม้ ดร.อูเกอร์ ซาฮิน จะเป็นเจ้าของบริษัท BioNTech ทว่าเขาเองไม่เคยที่จะมาเช็คว่าราคาหุ้นของบริษัทขึ้นหรือลงมากน้อยแค่ไหนแล้ว เพราะงานหลักของเขาคืออะไร | null | แม้ ดร.อูเกอร์ ซาฮิน จะเป็นเจ้าของบริษัท BioNTech ทว่าเขาเองไม่เคยที่จะมาเช็คว่าราคาหุ้นของบริษัทขึ้นหรือลงมากน้อยแค่ไหนแล้ว เพราะงานหลักของเขาคือ การเตรียมและเขียนรายงานการวิจัย เพื่อส่งให้กับทางการและสถาบันการเงิน เพื่อตรวจสอบในการที่จะรับรองโครงการทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของบริษัท
ซาฮินยังคงทำงานในตึกที่มีห้องปฏิบัติการ แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทแล้วก็ตาม ซึ่งไม่เคยมีใครที่ทำเช่นนี้มาก่อน แม้เขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์และเป็นหมอโดยสายเลือด ทว่าเขาก็เรียนรู้การทำธุรกิจด้วยตนเอง ในเวลาต่อมา ซาฮินเก่งด้านธุรกิจขึ้นมากจนกระทั่งสามารถหาเงินเข้าบริษัทได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์จากการขายธุรกิจด้านพันธุกรรมให้กับบริษัท Novartis
ซาฮินทุ่มเทเวลาไปกับการคิดค้นวิธีเอาชนะโรคมะเร็งตลอด ทว่าความพยายามนั้น แม้จะไม่บรรลุผลแบบเต็มที่ ทว่าความชำนาญและประสบการณ์ดังกล่าว ก็ทำให้เขาสามารถต่อสู้กับโควิดได้ดีกว่านักวิทยาศาสตร์เกือบทุกคนในโลกนี้ หากมองย้อนกลับไป คงจะไม่มีบริษัทยาแห่งไหนในโลก ที่มีความเร็วในการพัฒนานวัตกรรมวัคซีนโควิด ความเร็วในการตัดสินใจ ความกล้าเสี่ยงด้วยระดับขนาดนี้ และปราศจากการเมืองในองค์กร เท่ากับ BioNTech ของซาฮิน รัฐบาลเยอรมันก็มีส่วนไม่น้อยในการพัฒนาวัคซีนโควิด โดยได้ทุ่มเงิน 4 หมื่นล้านยูโร เพื่อพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ไว้ป้อนให้กับห้องทดลองของภาคเอกชน รวมถึง BioNTech | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1630 | Finance | Fiverr คืออะไรและมีต้นกำเนิดจากประเทศไหน? | ก. Fiverr เป็น E-commerce Platform จากประเทศอังกฤษ
ข. Fiverr เป็น E-commerce Platform จากประเทศอินเดีย
ค. Fiverr เป็น E-commerce Platform จากประเทศไทย
ง. Fiverr เป็น E-commerce Platform จากประเทศอิสราเอล | คำตอบที่ถูกต้องคือ ง. Fiverr เป็น E-commerce Platform จากประเทศอิสราเอล
Fiverr คือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการการทำงานฟรีแลนซ์ หรือการบริการต่างๆ โดยผู้ที่ต้องการใช้บริการสามารถค้นหานักบริการหรือผู้รับจ้างที่มีทักษะต่างๆ ตามที่ต้องการ จากนั้นสามารถจ้างงานตามที่ต้องการได้ การบริการใน Fiverr ครอบคลุมหลายประเภท เช่น การออกแบบกราฟิก, การเขียนเนื้อหา, การแปลภาษา, การสร้างเว็บไซต์ และอื่นๆ อีกมากมาย
บน Fiverr ผู้ให้บริการสามารถสร้างโปรไฟล์และเสนอราคาเป็น “Gig” หรือบริการของตนเอง ส่วนลูกค้าสามารถเลือกและจ้างบริการตามความต้องการของพวกเขา โดยปกติการทำงานจะเริ่มต้นที่ราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ แต่สามารถมีราคาแพงกว่านั้นได้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของงานและประสบการณ์ของผู้ให้บริการ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1631 | Finance | ดัชนี Health Care ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ MSCI World Health Care Index และ MSCI ACWI Health Care Index ซึ่งวัดผลตอบแทนกลุ่ม Health Care ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และรวมประเทศทั่วโลกตามลำดับ แบ่งประเภทและสัดส่วนของธุรกิจได้อย่างไรบ้าง | กลุ่มการดูแลสุขภาพ (Health Care) เป็นธีมการลงทุนที่ Boom มากในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการ outperform ผ่านช่วงโควิด ที่ต้องการการดูแลรักษามากขึ้น กลุ่ม Health Tech ก็มีผลตอบแทนที่ดีในปีที่ผ่านมาเช่นกัน ถ้าไม่นับว่าเป็นวิกฤตจากการแพร่ระบาดของไวรัสแล้ว Health Tech และ Health Care ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของ Megatrend ในเรื่อง Health and Society เนื่องจากประชากรมีอายุมากขึ้น รักการออกกำลังกาย และเอาใจใส่ต่อสุขภาพมากขึ้น และเลี่ยงไม่ได้แน่นอนที่คนเราจะป่วยและเจ็บ และเข้ารับการรักษาที่ที่มี Facility ที่สะดวกสบาย
วันนี้เด็กการเงินขอพามาจัดกลุ่มกองทุน Health Care ซึ่งทั้ง Universe มีประมาณ 50 กอง สามารถแยกลงไปได้มากกว่า ว่าอะไรคือ Health Care และ Health Tech เสียอีก อะไรคือความพิเศษ เรามาค่อย ๆ ทำความเข้าใจกันเลย
เริ่มต้นที่ดัชนี Health Care ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ MSCI World Health Care Index และ MSCI ACWI Health Care Index ซึ่งวัดผลตอบแทนกลุ่ม Health Care ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และรวมประเทศทั่วโลกตามลำดับ แบ่งประเภทและสัดส่วนของธุรกิจในกลุ่มดังกล่าวดังนี้
1. กลุ่มประเภทยาทั่วไป (Pharmaceuticals) (38%) เป็น กลุ่มบริษัทผู้ผลิตยาที่สามารถจ่ายได้โดยแพทย์และเภสัชกรทั่วไป หาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านสะดวกซื้อ ยาบางประเภทพิเศษและต้องการใบสั่งแพทย์
2. กลุ่ม Health Care Equipment (21 %) เป็นกลุ่มบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ และฟื้นฟูสุขภาพ
3. กลุ่ม Biotechnology (13%) เป็น กลุ่มบริษัทที่วิจัย และคิดค้นผลิตภัณฑ์ยาจากชีวภาพ เช่น วัคซีน เซรุ่ม ยาพิเศษจากพืชและสัตว์ กระบวนการผลิตยาโดยกระบวนการทางชีวภาพ รวมถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับพันธุกรรม หรือ ยีนส์
4. กลุ่ม Managed Health Care (8%) เป็นกลุ่มบริษัทที่รวมการรักษาครบวงจรไว้ในที่เดียว เพื่อเป็นศูนย์การแพทย์ที่เพิ่มมูลค่าในกับคนมีฐานะ และต้องการดูแลเป็นพิเศษ
5. กลุ่มอื่น ๆ เช่น Life Science และ Health Technology เป็นต้น | แบ่งประเภทและสัดส่วนของธุรกิจในกลุ่มดังกล่าวดังนี้
1. กลุ่มประเภทยาทั่วไป (Pharmaceuticals) (38%) เป็น กลุ่มบริษัทผู้ผลิตยาที่สามารถจ่ายได้โดยแพทย์และเภสัชกรทั่วไป หาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านสะดวกซื้อ ยาบางประเภทพิเศษและต้องการใบสั่งแพทย์
2. กลุ่ม Health Care Equipment (21 %) เป็นกลุ่มบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ และฟื้นฟูสุขภาพ
3. กลุ่ม Biotechnology (13%) เป็น กลุ่มบริษัทที่วิจัย และคิดค้นผลิตภัณฑ์ยาจากชีวภาพ เช่น วัคซีน เซรุ่ม ยาพิเศษจากพืชและสัตว์ กระบวนการผลิตยาโดยกระบวนการทางชีวภาพ รวมถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับพันธุกรรม หรือ ยีนส์
4. กลุ่ม Managed Health Care (8%) เป็นกลุ่มบริษัทที่รวมการรักษาครบวงจรไว้ในที่เดียว เพื่อเป็นศูนย์การแพทย์ที่เพิ่มมูลค่าในกับคนมีฐานะ และต้องการดูแลเป็นพิเศษ
5. กลุ่มอื่น ๆ เช่น Life Science และ Health Technology เป็นต้น | 5.ความรู้ทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1645 | Finance | จอห์น วิลเลียมสัน คือใคร | A. นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ
B. นักเศรษฐศาสตร์ชาวจีน
C. นักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย
D. นักเศรษฐศาสตร์ชาวอาหรับ | ข้อที่ถูกต้องคือ A. เนื่องจาก จอห์น วิลเลียมสัน กันบ้าง นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ วัย 83 ปี เจ้าของวลี Washington Consensus ที่ติดปากชาวโลกในเวลาต่อมา
วิลเลียมสัน ในวัยเด็กอยากจะเป็นวิศวกรโยธา ทว่าครูของเขาได้แนะนำให้หันมาเรียนเศรษฐศาสตร์แทนเนื่องจากคณิตศาสตร์ที่ไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ หลังจากที่ได้แรงบันดาลใจจากวิลเลียม ฟิลลิปส์ นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นผู้ค้นคิดความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน หรือ เส้นโค้งฟิลลิปส์ จนกระทั่งมาจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน รุ่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์ระดับตำนาน อย่างวิลเลียม บาวโม และ ออสการ์ มอร์เกนสเติร์น จนกระทั่งได้กลายมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ถือว่าทรงอิทธิพลท่านหนึ่งต่อการเมืองอังกฤษ
ว่ากันว่าความละเอียดด้านการนับและวิเคราะห์ข้อมูลถือเป็นจุดเด่นของเขาในวิชาชีพ เนื่องจากงานอดิเรกในวัยเด็กของเขาคือวิชานับสปีชีส์ของนกเช่นเดียวกับคุณพ่อของเขา อันเป็นที่มาของการแนะนำให้ประเทศต่าง ๆ ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Crawling Peg หรือค่อย ๆ ให้อัตราแลกเปลี่ยนขยับไปทีละนิด แทนที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงแบบเสรี เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
หลังจากยุคทศวรรษ 1970 ที่ประเทศในละตินอเมริกาได้กู้เงินจากแบงค์ต่าง ๆ ในสหรัฐ และเริ่มส่อแววว่าจะเบี้ยวหนี้ รัฐบาลสหรัฐจึงหันมาใช้องค์กรวิจัยให้ออกบทความที่แนะนำหลักการให้ประเทศลูกหนี้นำไปปฏิบัติ ซึ่งวิลเลียมสันได้เป็นผู้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ โดยได้แนะนำให้หันเหจากการใช้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมมาเน้นด้านการศึกษาและสุขอนามัยแทน ให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบที่สามารถแข่งขันได้ ทว่าไม่ใช่ปล่อยให้ลอยตัวแบบเสรี ให้เศรษฐกิจมีการเปิดกว้างด้วยการยอมรับการนำเข้าและการลงทุนทางตรง ทว่าไม่ใช่ปล่อยให้การไหลออกเงินทุนแบบเสรี ให้การผ่อนคลายกฎเกณฑ์หมายถึงยกเลิกการปกป้องอุตสาหกรรมที่อุ้มหรือช่วยเหลืออยู่ ไม่ใช่การยกเลิกมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและแรงงาน ทั้งหมดคือสิ่งที่เรียกว่า Washington Consensus ที่ติดปากชาวโลกในเวลาต่อมา อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่วิลเลียมสันย้ำว่า เขาไม่ได้เป็นคนเสนอคือ การรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่หลายคนกล่าวว่า IMF นำมาใช้แบบผิดทางในยุคต้มยำกุ้งของบ้านเรา
นอกจากนี้ หลายคนมักจะโยงแนวคิดดังกล่าวของวิลเลียมสันกับแนวทางนโยบายของการปล่อยให้เศรษฐกิจเป็นไปตามกลไกตลาด โดยปราศจากการแทรกแซงจากรัฐบาลของโรนัลด์ เรแกนและมาร์กาเร็ต แธชเชอร์ ซึ่งต่อมาถูกมองว่ามีส่วนทำให้เกิดฟองสบู่ต่อเศรษฐกิจโลก ว่าทั้งคู่เป็นสิ่งเดียวกัน
ท้ายสุด วิลเลียมสันถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความคิดล้ำหน้าในการเสนอให้มีการเก็บภาษีก๊าซคาร์บอนในปี 2012 ซึ่ง ณ วันนี้ หัวข้อ Climate Change ได้รับความสนใจในลำดับต้น ๆ ของวงการเศรษฐศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_165 | Finance | วงเงินให้ยืม LINE BK, วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK และ K Pay Later แตกต่างกันอย่างไรบ้าง | เงินกู้(ในระบบ) รวดเร็ว ทันใจ มีจริง “
• เป็น Freelance คนค้าขาย อยากกู้เงินธนาคาร แต่ไม่มีสลิปเงินเดือน ไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีคนค้ำประกัน เลยจำใจกู้สินเชื่อออนไลน์ หรือสินเชื่อนอกระบบที่ดอกเบี้ยแสนแพง แถมเสี่ยงโดนมิจฉาชีพหลอกเอาเงินและข้อมูล
• สินเชื่อจาก LINE BK สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ยุ่งยาก ขอเป็นวงเงินพร้อมใช้ก็ได้ หรือจะผ่อนชำระก็ดี เหมาะกับการใช้จ่ายส่วนตัว หรือธุรกิจที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน
• สินเชื่อบุคคลดิจิทัล K Pay Later สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ต้องใช้เอกสาร การชำระเงินเพียงสแกนจ่ายร้านค้าผ่าน QR code แถมเลือกผ่อนชำระเองได้ด้วย
“ “ “ • เป็น Freelance คนค้าขาย อยากกู้เงินธนาคาร แต่ไม่มีสลิปเงินเดือน ไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีคนค้ำประกัน เลยจำใจกู้สินเชื่อออนไลน์ หรือสินเชื่อนอกระบบที่ดอกเบี้ยแสนแพง แถมเสี่ยงโดนมิจฉาชีพหลอกเอาเงินและข้อมูล • เป็น Freelance คนค้าขาย อยากกู้เงินธนาคาร แต่ไม่มีสลิปเงินเดือน ไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีคนค้ำประกัน เลยจำใจกู้สินเชื่อออนไลน์ หรือสินเชื่อนอกระบบที่ดอกเบี้ยแสนแพง แถมเสี่ยงโดนมิจฉาชีพหลอกเอาเงินและข้อมูล • เป็น Freelance คนค้าขาย อยากกู้เงินธนาคาร แต่ไม่มีสลิปเงินเดือน ไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีคนค้ำประกัน เลยจำใจกู้สินเชื่อออนไลน์ หรือสินเชื่อนอกระบบที่ดอกเบี้ยแสนแพง แถมเสี่ยงโดนมิจฉาชีพหลอกเอาเงินและข้อมูล • สินเชื่อจาก LINE BK สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ยุ่งยาก ขอเป็นวงเงินพร้อมใช้ก็ได้ หรือจะผ่อนชำระก็ดี เหมาะกับการใช้จ่ายส่วนตัว หรือธุรกิจที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน • สินเชื่อจาก LINE BK สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ยุ่งยาก ขอเป็นวงเงินพร้อมใช้ก็ได้ หรือจะผ่อนชำระก็ดี เหมาะกับการใช้จ่ายส่วนตัว หรือธุรกิจที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน • สินเชื่อจาก LINE BK สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ยุ่งยาก ขอเป็นวงเงินพร้อมใช้ก็ได้ หรือจะผ่อนชำระก็ดี เหมาะกับการใช้จ่ายส่วนตัว หรือธุรกิจที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน • สินเชื่อบุคคลดิจิทัล K Pay Later สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ต้องใช้เอกสาร การชำระเงินเพียงสแกนจ่ายร้านค้าผ่าน QR code แถมเลือกผ่อนชำระเองได้ด้วย • สินเชื่อบุคคลดิจิทัล K Pay Later สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ต้องใช้เอกสาร การชำระเงินเพียงสแกนจ่ายร้านค้าผ่าน QR code แถมเลือกผ่อนชำระเองได้ด้วย • สินเชื่อบุคคลดิจิทัล K Pay Later สมัครง่าย อนุมัติไว ไม่ต้องใช้เอกสาร การชำระเงินเพียงสแกนจ่ายร้านค้าผ่าน QR code แถมเลือกผ่อนชำระเองได้ด้วย “ “ วิกฤติสถานการณ์ COVID 19 เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา หลายคนประสบปัญหาทางการเงินกันไม่มาก ก็น้อย ไล่ตั้งแต่พนักงานประจำที่อาจถูกปรับลดเงินเดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Freelance) ที่งานหดหาย รายได้ลดไปตามสภาพเศรษฐกิจ รวมทั้งคนค้าขาย เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ต่างก็ประสบปัญหาไปตามๆกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก หากต้องมีการจ่ายเงิน เพื่อซื้อของชิ้นใหญ่สักชิ้น หรือหาเงินมาต่อทุน พอให้มีสายป่านต่อลมหายใจของชีวิตไปได้ ทางเลือกในสถานการณ์แบบนี้ ก็คงมีตัวเลือกอยู่ไม่มาก นอกจากการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินต่างๆ แต่ก็คงไม่ง่ายนัก เนื่องจากจะถูกขอเอกสารมากมายที่หลายคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่รู้จะไปหามาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นสลิปเงินเดือน หลักประกันต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน จึงจำใจหันหน้าเข้าหาสินเชื่อออนไลน์ หรือการกู้นอกระบบ ที่นอกจากดอกเบี้ยจะแสนแพง แถมยังอาจถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงิน และข้อมูลของเราไปด้วย วันนี้เลยอยากแนะนำสินเชื่อออนไลน์ที่เป็นของสถาบันการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ ดอกเบี้ยสมเหตุสมผล และที่สำคัญเข้าถึงง่าย อนุมัติไว ไม่ยุ่งยาก อีกด้วย วิกฤติสถานการณ์ COVID 19 เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา หลายคนประสบปัญหาทางการเงินกันไม่มาก ก็น้อย ไล่ตั้งแต่พนักงานประจำที่อาจถูกปรับลดเงินเดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Freelance) ที่งานหดหาย รายได้ลดไปตามสภาพเศรษฐกิจ รวมทั้งคนค้าขาย เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ต่างก็ประสบปัญหาไปตามๆกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก หากต้องมีการจ่ายเงิน เพื่อซื้อของชิ้นใหญ่สักชิ้น หรือหาเงินมาต่อทุน พอให้มีสายป่านต่อลมหายใจของชีวิตไปได้ ทางเลือกในสถานการณ์แบบนี้ ก็คงมีตัวเลือกอยู่ไม่มาก นอกจากการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินต่างๆ แต่ก็คงไม่ง่ายนัก เนื่องจากจะถูกขอเอกสารมากมายที่หลายคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่รู้จะไปหามาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นสลิปเงินเดือน หลักประกันต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน จึงจำใจหันหน้าเข้าหาสินเชื่อออนไลน์ หรือการกู้นอกระบบ ที่นอกจากดอกเบี้ยจะแสนแพง แถมยังอาจถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงิน และข้อมูลของเราไปด้วย วันนี้เลยอยากแนะนำสินเชื่อออนไลน์ที่เป็นของสถาบันการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ ดอกเบี้ยสมเหตุสมผล และที่สำคัญเข้าถึงง่าย อนุมัติไว ไม่ยุ่งยาก อีกด้วย วิกฤติสถานการณ์ COVID 19 เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา หลายคนประสบปัญหาทางการเงินกันไม่มาก ก็น้อย ไล่ตั้งแต่พนักงานประจำที่อาจถูกปรับลดเงินเดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Freelance) ที่งานหดหาย รายได้ลดไปตามสภาพเศรษฐกิจ รวมทั้งคนค้าขาย เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ต่างก็ประสบปัญหาไปตามๆกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก หากต้องมีการจ่ายเงิน เพื่อซื้อของชิ้นใหญ่สักชิ้น หรือหาเงินมาต่อทุน พอให้มีสายป่านต่อลมหายใจของชีวิตไปได้ ทางเลือกในสถานการณ์แบบนี้ ก็คงมีตัวเลือกอยู่ไม่มาก นอกจากการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินต่างๆ แต่ก็คงไม่ง่ายนัก เนื่องจากจะถูกขอเอกสารมากมายที่หลายคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่รู้จะไปหามาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นสลิปเงินเดือน หลักประกันต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน จึงจำใจหันหน้าเข้าหาสินเชื่อออนไลน์ หรือการกู้นอกระบบ ที่นอกจากดอกเบี้ยจะแสนแพง แถมยังอาจถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงิน และข้อมูลของเราไปด้วย วันนี้เลยอยากแนะนำสินเชื่อออนไลน์ที่เป็นของสถาบันการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ ดอกเบี้ยสมเหตุสมผล และที่สำคัญเข้าถึงง่าย อนุมัติไว ไม่ยุ่งยาก อีกด้วย อยากได้เงินก้อน ไปใช้จ่ายหรือทำธุรกิจ อยากได้เงินก้อน ไปใช้จ่ายหรือทำธุรกิจ สามารถขอสินเชื่อง่ายๆ ผ่าน LINE BK ที่อยู่บนแอปพลิเคชัน LINE โดยสินเชื่อ LINE BK มี 2 ประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้เงิน ยอดเงินที่ต้องการ รายได้ขั้นต่ำ และปัจจัยต่างๆ เช่น • เงินก้อนสำหรับธุรกิจ แนะนำ”วงเงินให้ยืมนาโน ที่ให้วงเงินตั้งแต่ 3,000 - 50,000 บาท ผ่อนสบาย 12 เดือน กับดอกเบี้ย 33% ต่อปี ทั้งนี้ผู้ขอสินเชื่อต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 5,000 บาทต่อเดือน
• เงินก้อนสำหรับใช้จ่ายทั่วไป แนะนำ “วงเงินให้ยืม” ที่ให้วงเงิน ตั้งแต่6,000 บาทขึ้นไป (สูงสุด 1.5 หรือ 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน) ผ่อนสบาย เลือกได้ตั้งแต่ 12 – 60 เดือน กับดอกเบี้ย 25% ต่อปี ทั้งนี้ผู้มีรายได้ประจำต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 7,000 บาทต่อเดือน ส่วน Freelance เจ้าของธุรกิจ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 9,000 บาทต่อเดือน • เงินก้อนสำหรับธุรกิจ แนะนำ”วงเงินให้ยืมนาโน ที่ให้วงเงินตั้งแต่ 3,000 - 50,000 บาท ผ่อนสบาย 12 เดือน กับดอกเบี้ย 33% ต่อปี ทั้งนี้ผู้ขอสินเชื่อต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 5,000 บาทต่อเดือน • เงินก้อนสำหรับธุรกิจ แนะนำ”วงเงินให้ยืมนาโน ที่ให้วงเงินตั้งแต่ 3,000 - 50,000 บาท ผ่อนสบาย 12 เดือน กับดอกเบี้ย 33% ต่อปี ทั้งนี้ผู้ขอสินเชื่อต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 5,000 บาทต่อเดือน • เงินก้อนสำหรับใช้จ่ายทั่วไป แนะนำ “วงเงินให้ยืม” ที่ให้วงเงิน ตั้งแต่6,000 บาทขึ้นไป (สูงสุด 1.5 หรือ 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน) ผ่อนสบาย เลือกได้ตั้งแต่ 12 – 60 เดือน กับดอกเบี้ย 25% ต่อปี ทั้งนี้ผู้มีรายได้ประจำต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 7,000 บาทต่อเดือน ส่วน Freelance เจ้าของธุรกิจ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 9,000 บาทต่อเดือน • เงินก้อนสำหรับใช้จ่ายทั่วไป แนะนำ “วงเงินให้ยืม” ที่ให้วงเงิน ตั้งแต่6,000 บาทขึ้นไป (สูงสุด 1.5 หรือ 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน) ผ่อนสบาย เลือกได้ตั้งแต่ 12 – 60 เดือน กับดอกเบี้ย 25% ต่อปี ทั้งนี้ผู้มีรายได้ประจำต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 7,000 บาทต่อเดือน ส่วน Freelance เจ้าของธุรกิจ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 9,000 บาทต่อเดือน อยากได้วงเงินพร้อมใช้ อยากได้วงเงินพร้อมใช้ ในสถานการณ์ COVID 19 ที่มีความไม่แน่นอน ถ้ามีวงเงินสำรองพร้อมใช้ ในกรณีฉุกเฉิน ไม่ว่าจะใช้จ่ายส่วนตัว หรือเพื่อให้เป็นสายป่านธุรกิจก็ตาม คงอุ่นใจไม่น้อย แนะนำสินเชื่อ LINE BK แบบ”วงเงินสินเชื่อนาโน” สำหรับธุรกิจ หรือ “วงเงินให้ยืม”สำหรับการใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งหากยังไม่ใช้ ก็ยังไม่ถูกคิดดอกเบี้ย และเมื่อยามฉุกเฉินต้องใช้ ขั้นต่ำในการกดก็แค่ครั้งละ 200 บาท เวลาคืนก็สามารถจ่ายขั้นต่ำเดือนละ 2% ของยอดคงค้าง แต่ไม่น้อยกว่า 200 บาทได้ ส่วนถ้าอยากโปะ อยากปิด เสียดอกเบี้ยน้อยลงก็ทำได้ วงเงินก็จะกลับมาพร้อมใช้งานเหมือนเดิม อยากซื้อสินค้าผ่อน อยากซื้อสินค้าผ่อน ต้องบอกว่า LINE BK สามารถเลือกผ่อนชำระได้ ทั้ง 2 รูปแบบตามที่ระบบเลือกให้กับเรา แต่ก็ยังมีสินเชื่ออีกประเภทอย่าง K Pay Later บนแอปพลิเคชัน K PLUS ที่สมัครง่าย อนุมัติไวสุดภายใน 3 นาที กับวงเงินสูงสุด 20,000 บาท โดยถ้าแบ่งการใช้งานตามความเหมาะสม • สินเชื่อ LINE BK เหมาะสำหรับผ่อนชำระร้านค้าที่รับเงินสด หรือโอนเลขที่บัญชีธนาคาร พร้อมเพย์ ตามจำนวนวงเงินที่เราได้รับ • สินเชื่อ LINE BK เหมาะสำหรับผ่อนชำระร้านค้าที่รับเงินสด หรือโอนเลขที่บัญชีธนาคาร พร้อมเพย์ ตามจำนวนวงเงินที่เราได้รับ สินเชื่อ LINE BK • สินเชื่อ K Pay Later เหมาะสำหรับร้านค้าที่มี QR Code ร้านค้า หรือเครื่องรูดบัตรที่สแกนได้ โดยสามารถเลือกชำระผ่าน K Pay Later แล้วเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระ 1,3,5 เดือนก็ได้ กับดอกเบี้ยลดต้นลดดอก 25% ต่อปี รวมทั้งยังโปะ หรือปิด ก่อนครบกำหนดก็ได้เช่นกัน • สินเชื่อ K Pay Later เหมาะสำหรับร้านค้าที่มี QR Code ร้านค้า หรือเครื่องรูดบัตรที่สแกนได้ โดยสามารถเลือกชำระผ่าน K Pay Later แล้วเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระ 1,3,5 เดือนก็ได้ กับดอกเบี้ยลดต้นลดดอก 25% ต่อปี รวมทั้งยังโปะ หรือปิด ก่อนครบกำหนดก็ได้เช่นกัน สินเชื่อ K Pay Later สมัครได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก สมัครได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก • สินเชื่อ LINE BK สามารถกดสมัครได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน LINE โดยระบบจะแจ้งผลให้ทราบภายในวัน แต่อาจมีบางกรณีที่จะขอเอกสารเพิ่มเติมอย่าง E-Statement ย้อนหลัง 6 เดือน โดยสามารถดาวน์โหลดผ่านแอปพลิเคชันธนาคารได้ สามารถยื่นได้ถึง 5 บัญชี และจะทราบผลภายใน 7 วัน • สินเชื่อ K Pay Later ที่ไม่ต้องยื่นเอกสารใดๆ สามารถกดสมัครได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS ที่เมนู”สินเชื่อ” และเลือก“K Pay Later” ทราบผลไวที่สุดภายใน 3 นาที เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถใช้งานได้ทันที • สินเชื่อ K Pay Later ที่ไม่ต้องยื่นเอกสารใดๆ สามารถกดสมัครได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS ที่เมนู”สินเชื่อ” และเลือก“K Pay Later” ทราบผลไวที่สุดภายใน 3 นาที เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถใช้งานได้ทันที สำหรับใครที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วรู้สึกสับสนข้อมูล แนะนำตารางเปรียบเทียบด้านล่าง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่า ควรสมัครสินเชื่อประเภทใด ที่ตรงใจและที่ใช่สำหรับเรา สำหรับใครที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วรู้สึกสับสนข้อมูล แนะนำตารางเปรียบเทียบด้านล่าง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่า ควรสมัครสินเชื่อประเภทใด ที่ตรงใจและที่ใช่สำหรับเรา วงเงินให้ยืม LINE BK
วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK
K Pay Later
วัตถุประสงค์
แหล่งเงินสำรอง ในการใช้จ่าย
แหล่งเงินทุน ในการทำธุรกิจ
ผ่อนสินค้าหรือบริการ
เอกสารประกอบ การขอสินเชื่อ
อาจมีบ้าง
อาจมีบ้าง
ไม่มี
เอกสารประกอบ การขอสินเชื่อ
ได้
ได้
ไม่ได้ ต้องสแกน QR Code จ่ายเท่านั้น
อัตราดอกเบี้ย
ไม่เกิน 25% ต่อปี
ไม่เกิน 33% ต่อปี
ไม่เกิน 25% ต่อปี
การผ่อนชำระ
เลือกผ่อนชำระได้
เลือกผ่อนชำระได้
เลือกผ่อนชำระได้
การจ่ายขั้นต่ำ
จ่ายขั้นต่ำ 2 % หรือ 200 บาท
จ่ายขั้นต่ำ 2 % หรือ 200 บาท
ไม่ได้
ระยะเวลาการผ่อนชำระ
12 – 60 เดือน
12 เดือน
สูงสุด 5 เดือน
ค่าธรรมเนียม
ฟรีค่าธรรมเนียมและ ค่าอากรแสตมป์
ฟรีค่าธรรมเนียมและ ค่าอากรแสตมป์
ฟรีค่าธรรมเนียม แต่มีค่าอากรแสตมป์ 1 บาทต่อทุกๆ วงเงินสินเชื่อ 2,000 บาท วงเงินให้ยืม LINE BK วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK K Pay Later วัตถุประสงค์ แหล่งเงินสำรอง ในการใช้จ่าย แหล่งเงินทุน ในการทำธุรกิจ ผ่อนสินค้าหรือบริการ เอกสารประกอบ การขอสินเชื่อ อาจมีบ้าง อาจมีบ้าง ไม่มี เอกสารประกอบ การขอสินเชื่อ ได้ ได้ ไม่ได้ ต้องสแกน QR Code จ่ายเท่านั้น อัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน 25% ต่อปี ไม่เกิน 33% ต่อปี ไม่เกิน 25% ต่อปี การผ่อนชำระ เลือกผ่อนชำระได้ เลือกผ่อนชำระได้ เลือกผ่อนชำระได้ เลือกผ่อนชำระได้ การจ่ายขั้นต่ำ จ่ายขั้นต่ำ 2 % หรือ 200 บาท จ่ายขั้นต่ำ 2 % หรือ 200 บาท ไม่ได้ ระยะเวลาการผ่อนชำระ 12 – 60 เดือน 12 เดือน 12 เดือน สูงสุด 5 เดือน ค่าธรรมเนียม ฟรีค่าธรรมเนียมและ ค่าอากรแสตมป์ ฟรีค่าธรรมเนียมและ ค่าอากรแสตมป์ ฟรีค่าธรรมเนียม แต่มีค่าอากรแสตมป์ 1 บาทต่อทุกๆ วงเงินสินเชื่อ 2,000 บาท ฟรีค่าธรรมเนียม แต่มีค่าอากรแสตมป์ 1 บาทต่อทุกๆ วงเงินสินเชื่อ 2,000 บาท ขอบคุณข้อมูลจาก : LINE BK , KBANK ขอบคุณข้อมูลจาก : LINE BK , KBANK บทความโดย K WEALTH GURU มนัสวี เด็ดอนันต์กุล K WEALTH GURU มนัสวี เด็ดอนันต์กุล | วงเงินให้ยืม LINE BK, วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK และ K Pay Later แตกต่างกันดังนี้
1. วัตถุประสงค์
- วงเงินให้ยืม LINE BK : แหล่งเงินสำรองในการใช้จ่าย
- วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK : แหล่งเงินทุนในการทำธุรกิจ
- K Pay Later : ผ่อนสินค้าหรือบริการ
2. เอกสารประกอบการขอสินเชื่อ
- วงเงินให้ยืม LINE BK : อาจมีบ้าง
- วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK : อาจมีบ้าง
- K Pay Later : ไม่มี
3. อัตราดอกเบี้ย
- วงเงินให้ยืม LINE BK : ไม่เกิน 25% ต่อปี
- วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK : ไม่เกิน 33% ต่อปี
- K Pay Later : ไม่เกิน 25% ต่อปี
4. การผ่อนชำระ
- วงเงินให้ยืม LINE BK : เลือกผ่อนชำระได้
- วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK : เลือกผ่อนชำระได้
- K Pay Later : เลือกผ่อนชำระได้
5. การจ่ายขั้นต่ำ
- วงเงินให้ยืม LINE BK : จ่ายขั้นต่ำ 2 % หรือ 200 บาท
- วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK : จ่ายขั้นต่ำ 2 % หรือ 200 บาท
- K Pay Later : ไม่ได้
6. ระยะเวลาการผ่อนชำระ
- วงเงินให้ยืม LINE BK : 12 – 60 เดือน
- วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK : 12 เดือน
- K Pay Later : สูงสุด 5 เดือน
7. ค่าธรรมเนียม
- วงเงินให้ยืม LINE BK : ฟรีค่าธรรมเนียมและ ค่าอากรแสตมป์
- วงเงินให้ยืมนาโน LINE BK : ฟรีค่าธรรมเนียมและ ค่าอากรแสตมป์
- K Pay Later : ฟรีค่าธรรมเนียม แต่มีค่าอากรแสตมป์ 1 บาทต่อทุกๆ วงเงินสินเชื่อ 2,000 บาท | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1665 | Finance | Asset Allocation คืออะไร ? | หลายคนคงเคยได้ยินว่าถ้าคิดจะลงทุน “อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว”
เพราะคงเสี่ยงเกินไปที่จะนำเงินทั้งหมดไปไว้กับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง แน่นอนแหละว่าหากฟลุคได้กำไรก็ดีไป แต่ถ้าเกิดขาดทุนขึ้นมา ตลาดไม่เป็นดั่งใจคิด แบบนี้ก็คงหมดตัวได้ง่าย ๆ
เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง หลีกเลี่ยงความผันผวน นักลงทุนส่วนใหญ่จึงมักจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย หรือที่เรียกว่า Asset Allocation นั่นเอง
เพราะเชื่อกันว่าไม่มีการลงทุนไหนสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดตลอดเวลา
คำถามคือแล้ว Asset Allocation คืออะไร ? ถ้าเป็นมือใหม่ที่อยากจะเริ่มจัดพอร์ตเองต้องเริ่มแบบไหน วันนี้เราจะพาไปรู้จักแนวคิด และเข้าใจวิธีการลงทุนแบบนี้กัน
Asset Allocation คืออะไร ?
Asset Allocation คือ แนวคิดจัดพอร์ตลงทุน ซึ่งผสมผสานหลากหลายสินทรัพย์เข้าด้วยกัน ทั้ง เงินฝาก ตราสารหนี้ กองทุน หุ้น ทองคำ อนุพันธ์ เป็นต้น
โดยมีจุดประสงค์หลักในการกระจายความเสี่ยง กระจายโอกาสสร้างผลตอบแทน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของเรามากที่สุด
ตัวอย่าง
เรามีเงิน 100,000 บาท หากนำเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้นเพียงอย่างเดียว เพราะหวังผลตอบแทนสูงสุด แสดงว่าถ้าตลาดหุ้นเป็นขาลง เงินก้อนนั้นก็อาจสูญหายไปเลยก็ได้ กลับกันหากเราเลือกจัดพอร์ตลงทุน แบ่งไปลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ดังนั้น เวลาที่ตลาดไหนตกต่ำ ก็ยังมีอีกตัวที่คอยพยุงพอร์ตของเราไว้
ทำไมต้อง Asset Allocation
1. ไม่มีสินทรัพย์ไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุดตลอดเวลา โลกการลงทุนไม่มีใครเป็นพระเอกตลอดกาล บางปีหุ้นขึ้น บางปีทองคำดี บางปีการลงทุนในสินทรัพย์อย่างเงินฝากก็อาจคุ้มค่าที่สุดก็ได้ เพราะฉะนั้น การกระจายเงินลงทุนอย่างเหมาะสม จึงช่วยให้เราไม่พลาดทั้งโอกาสสร้างผลตอบแทน และบริหารความเสี่ยง
2. กระจายความเสี่ยง ถัวเฉลี่ยผลตอบแทน ข้อดีที่ชัดเจนมาก ๆ ของการจัดพอร์ตลงทุน คือ สามารถปกป้องการขาดทุนหนัก ๆ รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเป็นการเลือกสินทรัพย์ Asset Allocation ที่เหมาะสมด้วย
3. สร้างแผนลงทุนที่เหมาะกับเป้าหมายตัวเอง กฎการลงทุน คือ “High risk High return” แน่นอนว่าการกระจายพอร์ต จึงช่วยให้เราสมดุลความเสี่ยง และผลตอบแทนที่เหมาะสมกับเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น ด้วยการผสมผสานสินทรัพย์แต่ละประเภท
เรื่องต้องรู้ ก่อนทำ Asset Allocation
1. รู้จักเป้าหมายตัวรู้จักเป้าหมายของตัวเอง
2. รู้ความเสี่ยงของแต่ละสินทรัพย์
3. รู้วิธีกระจายลงทุนอย่างเหมาะสม
4. รู้ระยะเวลาการลงทุน
5. รู้ว่าเงินทุนมีเท่าไหร่
6. รู้วินัย รู้จักอดทน | Asset Allocation คือ แนวคิดจัดพอร์ตลงทุน ซึ่งผสมผสานหลากหลายสินทรัพย์เข้าด้วยกัน ทั้ง เงินฝาก ตราสารหนี้ กองทุน หุ้น ทองคำ อนุพันธ์ เป็นต้น
จุดประสงค์หลักในการกระจายความเสี่ยง กระจายโอกาสสร้างผลตอบแทน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของเรามากที่สุด
ทำไมต้อง Asset Allocation
1. ไม่มีสินทรัพย์ไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุดตลอดเวลา การกระจายเงินลงทุนอย่างเหมาะสม จึงช่วยให้เราไม่พลาดทั้งโอกาสสร้างผลตอบแทน และบริหารความเสี่ยง
2. กระจายความเสี่ยง ถัวเฉลี่ยผลตอบแทน สามารถปกป้องการขาดทุนหนัก ๆ รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเป็นการเลือกสินทรัพย์ Asset Allocation ที่เหมาะสมด้วย
3. สร้างแผนลงทุนที่เหมาะกับเป้าหมายตัวเอง กฎการลงทุน คือ “High risk High return” แน่นอนว่าการกระจายพอร์ต จึงช่วยให้เราสมดุลความเสี่ยง และผลตอบแทนที่เหมาะสมกับเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น ด้วยการผสมผสานสินทรัพย์แต่ละประเภท
เรื่องต้องรู้ ก่อนทำ Asset Allocation
1. รู้จักเป้าหมายตัวรู้จักเป้าหมายของตัวเอง
2. รู้ความเสี่ยงของแต่ละสินทรัพย์
3. รู้วิธีกระจายลงทุนอย่างเหมาะสม
4. รู้ระยะเวลาการลงทุน
5. รู้ว่าเงินทุนมีเท่าไหร่
6. รู้วินัย รู้จักอดทน
| 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1668 | Finance | การคิดหามูลค่าหุ้นแบบเบนจามิน เกรแฮม เป็นอย่างไร | การคิดหามูลค่าหุ้นแบบเบนจามิน เกรแฮม
ต้องเกริ่นก่อนว่าเบนจามิน เกรแฮม เชื่อในข้อมูลเชิงปริมาณเนื่องจากข้อมูลเชิงคุณภาพอย่างเช่นพวกผู้บริหารเป็นสิ่งที่วัดได้ยาก นอกจากนั้นเขายังเชื่อว่าศักยภาพของผู้บริหารจะสะท้อนออกมาผ่านตัวเลทในงบการเงินเอง เช่น ถ้าผู้บริหารคนนั้นมีความสามารถ กำไรขั้นต้นหลังหักต้นทุนการขาย (Gross Margin) ก็จะเพิ่มขึ้นเอง
ดังนั้นสูตรการคิดมูลค่าหุ้นของเกรแฮมที่เป็นที่โด่งดัง และเป็นสูตรที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้ในช่วงแรกของการลงทุนก็คือสูตรการมูลค่าของหุ้นจากสินทรัพย์จริง ๆ ที่จับต้องได้ โดยใช้สมมติฐานที่ว่าหากบริษัทนั้น ๆ ล้มละลาย จะมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าไร
โดยเบนจามิน เกรแฮมตั้งชื่อกลยุทธ์นี้ว่า net-net investment หรือถ้าหากจะเป็นคำที่ผู้คนใช้เรียกกันในปัจจุบันก็จะเป็น cigar butt หรือหุ้นก้นบุหรี่
หลักกลยุทธ์ net-net investment
บริษัทต้องมีมูลค่าตลาดหรือ market cap หรือการนำจำนวนหุ้นมาคุณกับราคาในตอนนั้น ในระดับที่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของมูลค่าเนื้อแท้หากกิจการล้มละลาย
NCAV Net current asset value
หลักการที่นำหนี้สินทั้งหมดมาหักลบกับสินทรัพย์ ณ ปัจจุบัน และนำมาหารกับมาเกตแคปอีกทีเพื่อหามูลค่า
สูตรคืนำสินทรัพย์หมุนเวียนมาลบกับสินทรัพย์ที่ใช้ลดภาษี หนี้สินทั้งหมด ดอกเบี้ย หุ้นบุริมสุทธิ ทรัพย์สินนอกบัญชีทรัพย์สิน
NWC หรือการนำสินทรัพย์หมุนเวียนมาลบหนี้สินหมุนเวียน
นำเงินสดและสินทรัพย์ลงทุนระยะสั้น บวกกับ (0.75x บัญชีลูกหนี้ ) + (0.5x สินค้าในคลัง ) – หนี้สินทั้งหมด
นำมูลค่าตลาดต่อหุ้นมาหารกับตัวเลขที่ได้
เงินสดต่อหุ้น NET CASH
(เงินสดหรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงิสดลบกับหนี้สินทั้งหมด)/(จำนวนหุ้นทั้งหมด)
นำมูลค่าตลาดต่อหุ้นหารด้วยมูลค่าเงินสดต่อหุ้น
Sum of the parts
คือ การนำมูลค่ารวมของธุรกิจมาบวกรวมกันเพื่อหามูลค่าทั้งหมดจากบริษัทที่แยกส่วนออกมาหรือควบรวมมา
แต่เทคนิคต่าง ๆ ที่ว่ามา จากคำกล่าวของ Warren Buffett และ Charlie Munger เขาคิดว่าการทำตามกลยุทธ์ที่ว่าอย่างเคร่งครัดอาจจะไม่เหมาะสม อาจจะต้องมีการนำมาประยุกต์ใช้กับการดูธุรกิจเพิ่มเติม | สูตรการคิดมูลค่าหุ้นของเกรแฮม คือสูตรการคิดมูลค่าของหุ้นจากสินทรัพย์จริง ๆ ที่จับต้องได้ โดยใช้สมมติฐานที่ว่าหากบริษัทนั้น ๆ ล้มละลาย จะมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าไร โดยเขาตั้งชื่อกลยุทธ์นี้ว่า net-net investment หรือถ้าหากจะเป็นคำที่ผู้คนใช้เรียกกันในปัจจุบันก็จะเป็น cigar butt หรือหุ้นก้นบุหรี่
เนื่องจาก เบนจามิน เกรแฮม เชื่อในข้อมูลเชิงปริมาณ เนื่องจากข้อมูลเชิงคุณภาพอย่างเช่นพวกผู้บริหารเป็นสิ่งที่วัดได้ยาก และเชื่อว่าศักยภาพของผู้บริหารจะสะท้อนออกมาผ่านตัวเลขในงบการเงินเอง เช่น ถ้าผู้บริหารคนนั้นมีความสามารถ กำไรขั้นต้นหลังหักต้นทุนการขาย (Gross Margin) ก็จะเพิ่มขึ้นเอง | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1685 | Finance | อ้างอิงจากข้อมูลของ Infineon คาดว่าภายในปี 2025 อย่างน้อยกี่เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์ทั้งโลกจะอยู่ level 1 และ 2 กันเอง | ก. 50%
ข. 25%
ค. 34%
ง. 70% | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ง. เพราะว่า อ้างอิงจากข้อมูลของ Infineon ผู้ผลิต Semiconductor เจ้าดังของเยอรมัน คาดว่าภายในปี 2025 อย่างน้อย 70% ของรถยนต์ทั้งโลกจะอยู่ level 1 และ 2 กันเองครับ คือ เพิ่งเริ่มใช้ ADAS กัน เช่น เบรกให้อัตโนมัติ และ Lane keeping โดยผู้บริหารก็โม้ไว้เช่นเคยว่า ที่ Autonomous Car lv 2 รายได้ของ ON จะเพิ่มจาก $10 เป็น $150 แน่นอนว่า จีนมาแรงแซงโค้ง ทำให้เรื่องนี้อาจจะไปได้เร็วขึ้น
โดยในแง่ของ ADAS ระบบช่วยเหลือคนขับ ON Semiconductor จะขึ้นชื่อในเรื่องของ CMOS sensor พวก lane keeping และยังซุ่มพัฒนา Lidar อยู่ด้วย เรื่องนี้นอกจากจะใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้ถึง 34% ใน 4Q20 แล้ว ยังไปใช้กับเรื่อง Industrial ได้ด้วยจากกระแส smart factory ที่กำลังเริ่ม ๆ กัน
หากคิดสัดส่วนรายได้ตามกลุ่มธุรกิจ จะพบว่า 50% ของรายได้มาจาก Power Solution Group ซึ่งรวมถึงใน end market ที่เป็นยานยนต์ด้วย ซึ่ง market share ก็จัดว่าเป็นน้อง ๆ ของ Infineon ที่เป็นเบอร์ 1 ด้าน Power Semiconductor (ราว ๆ 25% ส่วน On อยู่ที่ 5% แต่ก็ติด top 5) ซึ่ง Power Semiconductor นั้น จะเป็นสิ่งที่ช่วยชุบชีวิต ON ก็ว่าได้ เพราะมันก็คือกลุ่ม EV และ EV Charger นั่นเอง ชิ้นส่วนในรถยนต์จะต้องเปลี่ยนเยอะมากเมื่อเป็น EV
ในแง่เทคโนโลยีของ Power Semiconductor ทางบริษัทเคลมว่า rating ได้ที่ 2 ของโลก โดยมีค่า Rdson ต่ำ จะได้เห็นสินค้าของ ON ซึ่งเน้นที่ระดับ 650 V Sic MOSFET ก่อน ส่งเข้าสู่ตลาดในปี 2021 และในปีถัด ๆ ไปจะเริ่มเห็น 900 V และ 1200 V | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1697 | Finance | กองทุน TMB-ES-AUTOMATION ในปี 2564 คืออะไร | ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุน TMB-ES-AUTOMATION
กองทุน TMB-ES-AUTOMATION จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD): >25% (สูง)
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว
ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: 20-50% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Information Technology
ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: 20-50% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ https://www.finnomena.com/port/
ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกองทุน TMB-ES-AUTOMATION
ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.070%
ค่าธรรมเนียมการขายและ Switching-in: 1.00%
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.2585%
เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท
สรุป 5 ข้อ กองทุน TMB-ES-AUTOMATION
มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรม (disruptive innovation theme) ทางด้านเทคโนโลยีการทำงานอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ (autonomous technology and robotics companies)
เน้นการลงทุนใน ARKQ โดยเป็นกองทุนแรกในไทยที่มีนโยบายลงทุนใน ARKQ
ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Information Technology
จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ
ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาทก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกสู่ระบบอัตโนมัติไปพร้อมกับ TMB-ES-AUTOMATION ได้
กองทุน TMB-ES-AUTOMATION เหมาะกับใคร ?
ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม Autonomous Technology and Robotics
ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ
ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ | สรุป 5 ข้อ กองทุน TMB-ES-AUTOMATION
1. มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรม (disruptive innovation theme) ทางด้านเทคโนโลยีการทำงานอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ (autonomous technology and robotics companies)
2. เน้นการลงทุนใน ARKQ โดยเป็นกองทุนแรกในไทยที่มีนโยบายลงทุนใน ARKQ
3. ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Information Technology
4. จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ
5. ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาทก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกสู่ระบบอัตโนมัติไปพร้อมกับ TMB-ES-AUTOMATION ได้ | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1705 | Finance | บริจาคที่ไหนให้ได้ลดหย่อนภาษี 2 เท่า | บริจาคที่ไหน ได้ลดหย่อนภาษี 2 เท่าบ้าง?
บริจาคอะไร ลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า ! I TAX เพื่อนๆ EP8
สถานศึกษา: ไม่ว่าเป็นโรงเรียนรัฐ โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษา โดยจะต้องเป็นการบริจาคเพื่อใช้จ่ายสำหรับอาคารสถานที่ สื่อการเรียนการสอน และบุคลากร โดยจะต้องเป็นการบริจาคผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะลดหย่อนได้แค่เท่าเดียว
สถานพยาบาลของรัฐ: โดยทั่วไป ถ้าเป็นการบริจาคให้ “โรงพยาบาล” โดยตรง กรณีนี้จะลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่ถ้าเป็นการบริจาคให้ “มูลนิธิโรงพยาบาล” กรณีนี้จะลดหย่อนภาษีได้เท่าเดียว แนะนำให้เช็กจากใบเสร็จที่ได้จะชัวร์สุด
หน่วยงานด้านกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย / กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้ง / องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเด็กเล็ก / สถานพักฟื้น บำบัด และฟื้นฟูเด็ก / กองทุนยุติธรรม / เงินบริจาคเพื่อคนพิการเพื่อการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ แล้วก็สภากาชาด ที่จะลดหย่อน 2 เท่าได้ ต่อเมื่อบริจาคผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น
การจัดหาหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน: สามารถบริจาคให้ทั้งโรงเรียนรัฐ โรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน หอสมุด ห้องสมุด หรือแหล่งหนังสืออื่น ๆ ที่ให้บริการแก่ประชาชน ไปจนถึงห้องสมุดของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่าง ๆ ด้วย
การบริจาคให้แต่ละหน่วยงาน ในแต่ละปี อาจจะลดหย่อนภาษีได้ไม่เท่ากัน
อย่างการบริจาคให้สถานศึกษา หลายปีก่อนหน้านี้ก็บริจาคแล้วลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ต่อมาก็มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้นำมาลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าไปจนถึงสิ้นปี 2564 ซึ่งก็อาจมีการขยายอายุออกไปอีกก็ได้
แนะนำว่า ในแต่ละปีถ้าอยากจะเช็กว่าบริจาคที่ไหนลดหย่อนได้ 2 เท่าบ้าง แนะนำให้เข้าไปตรวจสอบรายชื่อองค์กรรับบริจาคที่เว็บไซต์สรรพากร www.rd.go.th จะชัวร์ที่สุด
การบริจาคที่ลดหย่อนได้ 2 เท่า อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่เราบริจาคเงินให้อย่างเดียว แต่อยู่ที่วิธีการด้วย
อย่างเช่น การบริจาคให้สถานศึกษา และสภากาชาด จะต้องเป็นการบริจาคผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น ถ้าบริจาคด้วยวิธีการปกติ ก็จะลดหย่อนได้ตามที่บริจาคจริงเท่านั้น เป็นต้น | บริจาคอย่างไรให้ได้ลดหย่อนภาษี 2 เท่า
1. สถานศึกษา โรงเรียนรัฐ โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษา โดยจะต้องเป็นการบริจาคเพื่อใช้จ่ายสำหรับอาคารสถานที่ สื่อการเรียนการสอน และบุคลากร โดยจะต้องเป็นการบริจาคผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น
2. สถานพยาบาลของรัฐ เป็นการบริจาคให้ “โรงพยาบาล” โดยตรง แต่ถ้าเป็นการบริจาคให้ “มูลนิธิโรงพยาบาล” กรณีนี้จะลดหย่อนภาษีได้เท่าเดียว แนะนำให้เช็กจากใบเสร็จที่ได้จะชัวร์สุด
3. หน่วยงานด้านกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเด็กเล็ก สถานพักฟื้น บำบัด และฟื้นฟูเด็ก กองทุนยุติธรรม เงินบริจาคเพื่อคนพิการเพื่อการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ และสภากาชาด ที่จะลดหย่อน 2 เท่าได้ ต่อเมื่อบริจาคผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น
4. การจัดหาหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน : สามารถบริจาคให้ทั้งโรงเรียนรัฐ เอกชน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน หอสมุด ห้องสมุด หรือแหล่งหนังสืออื่น ๆ ที่ให้บริการแก่ประชาชน ไปจนถึงห้องสมุดของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่าง ๆ
เช็กว่าบริจาคที่ไหนลดหย่อนได้ 2 เท่าบ้าง ตรวจสอบรายชื่อองค์กรรับบริจาคที่เว็บไซต์สรรพากร www.rd.go.th
และวิธีการบริจาคให้สถานศึกษา และสภากาชาด จะต้องเป็นการบริจาคผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น ถ้าบริจาคด้วยวิธีการปกติ ก็จะลดหย่อนได้ตามที่บริจาคจริงเท่านั้น เป็นต้น
| 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_171 | Finance | ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที | 2 เหตุผลที่คนยุคนี้ต้องมีประกันสุขภาพ " • คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นจากความกังวลโรคโควิด-19 เห็นได้จากจำนวนกรมธรรม์การประกันภัยสุขภาพที่โตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 62 มาปี 63 ซึ่งเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทย • ประกันสุขภาพจะทำให้เราไม่ถูกซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และยังช่วยให้เราและคนที่เรารักได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงิน • ประกันสุขภาพจะทำให้เราไม่ถูกซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และยังช่วยให้เราและคนที่เรารักได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงิน " เมื่อพูดถึงโควิด หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นโรคประจำถิ่นโรคหนึ่งคล้ายๆ กับการเป็นหวัดธรรมดาที่เป็นแล้วก็สามารถหายได้ และรู้สึกเคยชินเพราะเรารู้จักและใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้มาไม่ต่ำกว่า 3 ปีแล้ว แต่หากติดโควิดแล้วไปรักษาตัวในโรงพยาบาลนอกสิทธิก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลย ซึ่งค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและโรงพยาบาลที่เข้ารักษา เช่น หากอาการไม่รุนแรง เป็นผู้ป่วยสีเขียว และเข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน ค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายในการรักษาอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท แต่หากเป็นผู้ป่วยสีเหลืองหรือสีแดง ค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายในการรักษาอยู่ที่ประมาณ 92,000 บาท และ 375,000 บาท ตามลำดับ หากต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาหลักหมื่น หลักแสนในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้คงไม่ดีแน่ แล้วจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ติดตามได้จากบทความนี้ เมื่อพูดถึงโควิด หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นโรคประจำถิ่นโรคหนึ่งคล้ายๆ กับการเป็นหวัดธรรมดาที่เป็นแล้วก็สามารถหายได้ และรู้สึกเคยชินเพราะเรารู้จักและใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้มาไม่ต่ำกว่า 3 ปีแล้ว แต่หากติดโควิดแล้วไปรักษาตัวในโรงพยาบาลนอกสิทธิก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลย ซึ่งค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและโรงพยาบาลที่เข้ารักษา เช่น หากอาการไม่รุนแรง เป็นผู้ป่วยสีเขียว และเข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน ค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายในการรักษาอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท แต่หากเป็นผู้ป่วยสีเหลืองหรือสีแดง ค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายในการรักษาอยู่ที่ประมาณ 92,000 บาท และ 375,000 บาท ตามลำดับ หากต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาหลักหมื่น หลักแสนในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้คงไม่ดีแน่ แล้วจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ติดตามได้จากบทความนี้ สถานการณ์กลับมาปกติ
ทุกวันนี้จะเห็นว่าเรากลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ทำงานที่บ้านน้อยลง การจราจรหนาแน่นขึ้น มีการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยมากขึ้น หลังจากที่จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 โดยเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 66 และตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 66 เป็นต้นไป ทางการจีนได้อนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์เดินทางพานักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยในปี 66 ราว 4.65 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปี 66 รวมอยู่ที่ราว 25.5 ล้านคน ในส่วนของคนไทยเองก็มีการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเช่นกันหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของคนไทย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น
เมื่อโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ต่อไป โอกาสที่เราจะเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยที่ปกติไม่เคยเป็นหรือด้วยโรคที่มีความรุนแรงและต้องการการรักษาที่ดี ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายและเกิดได้กับทุกคน
สถิติการทำประกันปี 62-64
คราวนี้ลองมาดูสถิติการทำประกันของคนไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กันบ้างว่าตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิดและหลังเกิดโควิดมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ประกันชีวิต
ในส่วนของประกันชีวิต ปี 62-64 ที่ผ่านมา จะพบว่า ในปี 63 ซึ่งเป็นปีแรกที่เกิดโควิด-19 มีผลอย่างมากที่ทำให้เกิดความกังวลกับชีวิตและคนที่อยู่ข้างหลัง ด้วยจำนวนกรรมธรรม์เติบโตถึง 8% และขยับลดลงในปีถัดมา ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความคลี่คลายของสถานการณ์โควิด หรือแม้แต่ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจทำประกันเพิ่มขึ้น
ประกันวินาศภัย
ในส่วนของประกันวินาศภัย หากพิจารณาเฉพาะการประกันภัยสุขภาพในปี 62-64 จะเห็นว่าจำนวนกรมธรรม์การประกันภัยสุขภาพโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 62 มาปี 63 ซึ่งเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรา โดยโตถึง 616% สะท้อนความต้องการการได้รับการดูแลและรักษาพยาบาลที่สะดวก รวดเร็ว รวมถึงความกังวลใจต่อค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องเลือกการรักษาพยาบาลนอกเหนือไปจากสวัสดิการทั้งของรัฐหรือสวัสดิการที่เคยมีอยู่เดิมได้อย่างชัดเจน
ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที
ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที และเหมาะกับใคร
- ประกันสุขภาพจะทำให้เราไม่ถูกซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
หากมีเงินเก็บไม่มาก รายได้ไม่สม่ำเสมอ หรือมีสวัสดิการไม่เพียงพอ แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง หรือมีคนต้องดูแล แล้วยังต้องมาจ่ายค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วยอีกก็มีโอกาสเป็นหนี้ได้เลยเช่นกัน ดังนั้น นี่คือโอกาสที่จะทำให้เราไม่โดนซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาปัจจุบัน โดยการกันเงินไว้จำนวนหนึ่งเพื่อทำประกันสุขภาพ เพราะเทียบกับเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วต้องมาเป็นหนี้ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ทำประกันสุขภาพไว้ดีกว่า ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ
• ที่มีเงินเก็บไม่มาก เช่น ไม่มีเงินก้อนหรือเงินสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
• คนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ประกอบอาชีพอิสระ เป็นฟรีแลนซ์
• คนที่ไม่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาลหรือมีไม่เพียงพอ ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาหรือจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น
- ประกันสุขภาพช่วยให้เราและคนที่เรารักได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงิน
การได้รับการรักษาที่รวดเร็วทันที โดยไม่ต้องมานั่งตัดสินใจในนาทีวิกฤตว่าจะไปรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดดีไหมเพราะกลัวเงินไม่พอจ่ายค่ารักษา การมีประกันสุขภาพไว้ทำให้เราตัดสินใจได้เร็วขึ้นและทันท่วงทีในการดูแลตัวเองและคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ ลูก เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ
• คนที่ต้องการการรักษาที่รวดเร็วทันที
ดังนั้น อย่าคิดเยอะ กันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ รีบทำประกันสุขภาพเอาไว้เลย
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประกันสุขภาพ
ความเข้าใจผิด
• ยังแข็งแรงอยู่ ไม่ต้องทำประกันสุขภาพหรอก
ตอนนี้ยังอายุน้อย แข็งแรงดีจึงยังไม่ทำประกันสุขภาพ แต่คิดจะทำตอนเจ็บป่วย มีโรคเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึง บริษัทประกันอาจไม่รับประกัน หรือมีเงื่อนไขในการรับประกันสุขภาพได้ เช่น ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อน เพิ่มเบี้ยประกัน เป็นต้น
• ค่าเบี้ยแพง ไม่คุ้ม
คงไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรือนอนโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อเคลมประกันสุขภาพให้คุ้มกับค่าเบี้ยที่จ่ายไปในแต่ละปี แต่หากเจ็บป่วยขึ้นมา เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ค่าเบี้ยมักจะถูกกว่าค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริง เช่น หากป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและนอนโรงพยาบาล 2 คืน ค่ารักษาโรคนี้อยู่ที่ 59,000 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม Elite Health Plus สำหรับคนอายุ 30 ปี ซึ่งค่าเบี้ยปีแรกอยู่ที่ 26,460 บาท* ถึง 2 เท่า
• เก็บเงินจ่ายค่ารักษาเองได้
สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีเงินเก็บมากพอและสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้เมื่อเจ็บป่วย โดยที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็สามารถทำได้ แต่หากมีเงินเก็บไม่มากพอแล้วโชคร้ายเกิดเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านอย่างโรคร้ายแรง ก็มีความเสี่ยงที่อาจต้องไปกู้ยืมจนเป็นหนี้ได้ง่ายๆ เช่นกัน เกิด แก่ เจ็บ(ป่วย) ตาย เป็นสิ่งที่เราทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยที่มีโอกาสเกิดขึ้นในชีวิตเราและคนที่เรารักหลายครั้ง ดังนั้น การดูแลตัวเองและวางแผนสุขภาพเป็นสิ่งที่ควรทำทันที เพื่อปกป้องเงินในกระเป๋าไว้จากเหตุฉุกเฉินที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน *เบี้ยประกันสำหรับเพศชายและหญิง อายุ 30 ปี กลุ่มอาชีพ 1-2 แผน 20 ล้าน พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย
คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, เมืองไทยประกันชีวิต, สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย, สปริงนิวส์ สถานการณ์กลับมาปกติ สถานการณ์กลับมาปกติ ทุกวันนี้จะเห็นว่าเรากลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ทำงานที่บ้านน้อยลง การจราจรหนาแน่นขึ้น มีการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยมากขึ้น หลังจากที่จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 โดยเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 66 และตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 66 เป็นต้นไป ทางการจีนได้อนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์เดินทางพานักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยได้ ทุกวันนี้จะเห็นว่าเรากลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ทำงานที่บ้านน้อยลง การจราจรหนาแน่นขึ้น มีการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยมากขึ้น หลังจากที่จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 โดยเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 66 และตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 66 เป็นต้นไป ทางการจีนได้อนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์เดินทางพานักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยได้ ทุกวันนี้จะเห็นว่าเรากลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ทำงานที่บ้านน้อยลง การจราจรหนาแน่นขึ้น มีการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยมากขึ้น หลังจากที่จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 โดยเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 66 และตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 66 เป็นต้นไป ทางการจีนได้อนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์เดินทางพานักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยได้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยในปี 66 ราว 4.65 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปี 66 รวมอยู่ที่ราว 25.5 ล้านคน ในส่วนของคนไทยเองก็มีการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเช่นกันหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของคนไทย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยในปี 66 ราว 4.65 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปี 66 รวมอยู่ที่ราว 25.5 ล้านคน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยในปี 66 ราว 4.65 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยปี 66 รวมอยู่ที่ราว 25.5 ล้านคน ในส่วนของคนไทยเองก็มีการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเช่นกันหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของคนไทย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น เมื่อโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ต่อไป โอกาสที่เราจะเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยที่ปกติไม่เคยเป็นหรือด้วยโรคที่มีความรุนแรงและต้องการการรักษาที่ดี ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายและเกิดได้กับทุกคน เมื่อโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ต่อไป โอกาสที่เราจะเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยที่ปกติไม่เคยเป็นหรือด้วยโรคที่มีความรุนแรงและต้องการการรักษาที่ดี ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายและเกิดได้กับทุกคน เมื่อโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ต่อไป โอกาสที่เราจะเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยที่ปกติไม่เคยเป็นหรือด้วยโรคที่มีความรุนแรงและต้องการการรักษาที่ดี ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายและเกิดได้กับทุกคน สถิติการทำประกันปี 62-64 สถิติการทำประกันปี 62-64 คราวนี้ลองมาดูสถิติการทำประกันของคนไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กันบ้างว่าตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิดและหลังเกิดโควิดมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร คราวนี้ลองมาดูสถิติการทำประกันของคนไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กันบ้างว่าตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิดและหลังเกิดโควิดมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร คราวนี้ลองมาดูสถิติการทำประกันของคนไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กันบ้างว่าตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิดและหลังเกิดโควิดมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ประกันชีวิต ในส่วนของประกันชีวิต ปี 62-64 ที่ผ่านมา จะพบว่า ในปี 63 ซึ่งเป็นปีแรกที่เกิดโควิด-19 มีผลอย่างมากที่ทำให้เกิดความกังวลกับชีวิตและคนที่อยู่ข้างหลัง ด้วยจำนวนกรรมธรรม์เติบโตถึง 8% และขยับลดลงในปีถัดมา ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความคลี่คลายของสถานการณ์โควิด หรือแม้แต่ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจทำประกันเพิ่มขึ้น ในส่วนของประกันชีวิต ปี 62-64 ที่ผ่านมา จะพบว่า ในปี 63 ซึ่งเป็นปีแรกที่เกิดโควิด-19 มีผลอย่างมากที่ทำให้เกิดความกังวลกับชีวิตและคนที่อยู่ข้างหลัง ด้วยจำนวนกรรมธรรม์เติบโตถึง 8% และขยับลดลงในปีถัดมา ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความคลี่คลายของสถานการณ์โควิด หรือแม้แต่ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจทำประกันเพิ่มขึ้น ในส่วนของประกันชีวิต ปี 62-64 ที่ผ่านมา จะพบว่า ในปี 63 ซึ่งเป็นปีแรกที่เกิดโควิด-19 มีผลอย่างมากที่ทำให้เกิดความกังวลกับชีวิตและคนที่อยู่ข้างหลัง ด้วยจำนวนกรรมธรรม์เติบโตถึง 8% และขยับลดลงในปีถัดมา ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความคลี่คลายของสถานการณ์โควิด หรือแม้แต่ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจทำประกันเพิ่มขึ้น ประกันวินาศภัย
ในส่วนของประกันวินาศภัย หากพิจารณาเฉพาะการประกันภัยสุขภาพในปี 62-64 จะเห็นว่าจำนวนกรมธรรม์การประกันภัยสุขภาพโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 62 มาปี 63 ซึ่งเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรา โดยโตถึง 616% สะท้อนความต้องการการได้รับการดูแลและรักษาพยาบาลที่สะดวก รวดเร็ว รวมถึงความกังวลใจต่อค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องเลือกการรักษาพยาบาลนอกเหนือไปจากสวัสดิการทั้งของรัฐหรือสวัสดิการที่เคยมีอยู่เดิมได้อย่างชัดเจน
ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที
ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที และเหมาะกับใคร
- ประกันสุขภาพจะทำให้เราไม่ถูกซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
หากมีเงินเก็บไม่มาก รายได้ไม่สม่ำเสมอ หรือมีสวัสดิการไม่เพียงพอ แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง หรือมีคนต้องดูแล แล้วยังต้องมาจ่ายค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วยอีกก็มีโอกาสเป็นหนี้ได้เลยเช่นกัน ดังนั้น นี่คือโอกาสที่จะทำให้เราไม่โดนซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาปัจจุบัน โดยการกันเงินไว้จำนวนหนึ่งเพื่อทำประกันสุขภาพ เพราะเทียบกับเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วต้องมาเป็นหนี้ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ทำประกันสุขภาพไว้ดีกว่า ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ
• ที่มีเงินเก็บไม่มาก เช่น ไม่มีเงินก้อนหรือเงินสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
• คนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ประกอบอาชีพอิสระ เป็นฟรีแลนซ์
• คนที่ไม่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาลหรือมีไม่เพียงพอ ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาหรือจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น
- ประกันสุขภาพช่วยให้เราและคนที่เรารักได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงิน
การได้รับการรักษาที่รวดเร็วทันที โดยไม่ต้องมานั่งตัดสินใจในนาทีวิกฤตว่าจะไปรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดดีไหมเพราะกลัวเงินไม่พอจ่ายค่ารักษา การมีประกันสุขภาพไว้ทำให้เราตัดสินใจได้เร็วขึ้นและทันท่วงทีในการดูแลตัวเองและคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ ลูก เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ
• คนที่ต้องการการรักษาที่รวดเร็วทันที
ดังนั้น อย่าคิดเยอะ กันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ รีบทำประกันสุขภาพเอาไว้เลย
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประกันสุขภาพ
ความเข้าใจผิด
• ยังแข็งแรงอยู่ ไม่ต้องทำประกันสุขภาพหรอก
ตอนนี้ยังอายุน้อย แข็งแรงดีจึงยังไม่ทำประกันสุขภาพ แต่คิดจะทำตอนเจ็บป่วย มีโรคเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึง บริษัทประกันอาจไม่รับประกัน หรือมีเงื่อนไขในการรับประกันสุขภาพได้ เช่น ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อน เพิ่มเบี้ยประกัน เป็นต้น
• ค่าเบี้ยแพง ไม่คุ้ม
คงไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรือนอนโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อเคลมประกันสุขภาพให้คุ้มกับค่าเบี้ยที่จ่ายไปในแต่ละปี แต่หากเจ็บป่วยขึ้นมา เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ค่าเบี้ยมักจะถูกกว่าค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริง เช่น หากป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและนอนโรงพยาบาล 2 คืน ค่ารักษาโรคนี้อยู่ที่ 59,000 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม Elite Health Plus สำหรับคนอายุ 30 ปี ซึ่งค่าเบี้ยปีแรกอยู่ที่ 26,460 บาท* ถึง 2 เท่า
• เก็บเงินจ่ายค่ารักษาเองได้
สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีเงินเก็บมากพอและสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้เมื่อเจ็บป่วย โดยที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็สามารถทำได้ แต่หากมีเงินเก็บไม่มากพอแล้วโชคร้ายเกิดเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านอย่างโรคร้ายแรง ก็มีความเสี่ยงที่อาจต้องไปกู้ยืมจนเป็นหนี้ได้ง่ายๆ เช่นกัน เกิด แก่ เจ็บ(ป่วย) ตาย เป็นสิ่งที่เราทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยที่มีโอกาสเกิดขึ้นในชีวิตเราและคนที่เรารักหลายครั้ง ดังนั้น การดูแลตัวเองและวางแผนสุขภาพเป็นสิ่งที่ควรทำทันที เพื่อปกป้องเงินในกระเป๋าไว้จากเหตุฉุกเฉินที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน *เบี้ยประกันสำหรับเพศชายและหญิง อายุ 30 ปี กลุ่มอาชีพ 1-2 แผน 20 ล้าน พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย
คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, เมืองไทยประกันชีวิต, สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย, สปริงนิวส์ ประกันวินาศภัย ในส่วนของประกันวินาศภัย หากพิจารณาเฉพาะการประกันภัยสุขภาพในปี 62-64 จะเห็นว่าจำนวนกรมธรรม์การประกันภัยสุขภาพโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 62 มาปี 63 ซึ่งเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรา โดยโตถึง 616% สะท้อนความต้องการการได้รับการดูแลและรักษาพยาบาลที่สะดวก รวดเร็ว รวมถึงความกังวลใจต่อค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องเลือกการรักษาพยาบาลนอกเหนือไปจากสวัสดิการทั้งของรัฐหรือสวัสดิการที่เคยมีอยู่เดิมได้อย่างชัดเจน ในส่วนของประกันวินาศภัย หากพิจารณาเฉพาะการประกันภัยสุขภาพในปี 62-64 จะเห็นว่าจำนวนกรมธรรม์การประกันภัยสุขภาพโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 62 มาปี 63 ซึ่งเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรา โดยโตถึง 616% สะท้อนความต้องการการได้รับการดูแลและรักษาพยาบาลที่สะดวก รวดเร็ว รวมถึงความกังวลใจต่อค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องเลือกการรักษาพยาบาลนอกเหนือไปจากสวัสดิการทั้งของรัฐหรือสวัสดิการที่เคยมีอยู่เดิมได้อย่างชัดเจน ในส่วนของประกันวินาศภัย หากพิจารณาเฉพาะการประกันภัยสุขภาพในปี 62-64 จะเห็นว่าจำนวนกรมธรรม์การประกันภัยสุขภาพโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 62 มาปี 63 ซึ่งเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรา โดยโตถึง 616% สะท้อนความต้องการการได้รับการดูแลและรักษาพยาบาลที่สะดวก รวดเร็ว รวมถึงความกังวลใจต่อค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องเลือกการรักษาพยาบาลนอกเหนือไปจากสวัสดิการทั้งของรัฐหรือสวัสดิการที่เคยมีอยู่เดิมได้อย่างชัดเจน ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที และเหมาะกับใคร ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที และเหมาะกับใคร ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที และเหมาะกับใคร - ประกันสุขภาพจะทำให้เราไม่ถูกซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน หากมีเงินเก็บไม่มาก รายได้ไม่สม่ำเสมอ หรือมีสวัสดิการไม่เพียงพอ แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง หรือมีคนต้องดูแล แล้วยังต้องมาจ่ายค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วยอีกก็มีโอกาสเป็นหนี้ได้เลยเช่นกัน ดังนั้น นี่คือโอกาสที่จะทำให้เราไม่โดนซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาปัจจุบัน โดยการกันเงินไว้จำนวนหนึ่งเพื่อทำประกันสุขภาพ เพราะเทียบกับเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วต้องมาเป็นหนี้ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ทำประกันสุขภาพไว้ดีกว่า ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ หากมีเงินเก็บไม่มาก รายได้ไม่สม่ำเสมอ หรือมีสวัสดิการไม่เพียงพอ แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง หรือมีคนต้องดูแล แล้วยังต้องมาจ่ายค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วยอีกก็มีโอกาสเป็นหนี้ได้เลยเช่นกัน ดังนั้น นี่คือโอกาสที่จะทำให้เราไม่โดนซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาปัจจุบัน โดยการกันเงินไว้จำนวนหนึ่งเพื่อทำประกันสุขภาพ เพราะเทียบกับเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วต้องมาเป็นหนี้ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ทำประกันสุขภาพไว้ดีกว่า ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ หากมีเงินเก็บไม่มาก รายได้ไม่สม่ำเสมอ หรือมีสวัสดิการไม่เพียงพอ แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง หรือมีคนต้องดูแล แล้วยังต้องมาจ่ายค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วยอีกก็มีโอกาสเป็นหนี้ได้เลยเช่นกัน ดังนั้น นี่คือโอกาสที่จะทำให้เราไม่โดนซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาปัจจุบัน โดยการกันเงินไว้จำนวนหนึ่งเพื่อทำประกันสุขภาพ เพราะเทียบกับเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วต้องมาเป็นหนี้ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ทำประกันสุขภาพไว้ดีกว่า ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ • ที่มีเงินเก็บไม่มาก เช่น ไม่มีเงินก้อนหรือเงินสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน • ที่มีเงินเก็บไม่มาก เช่น ไม่มีเงินก้อนหรือเงินสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน • ที่มีเงินเก็บไม่มาก เช่น ไม่มีเงินก้อนหรือเงินสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน • คนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ประกอบอาชีพอิสระ เป็นฟรีแลนซ์ • คนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ประกอบอาชีพอิสระ เป็นฟรีแลนซ์ • คนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ประกอบอาชีพอิสระ เป็นฟรีแลนซ์ • คนที่ไม่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาลหรือมีไม่เพียงพอ ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาหรือจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น • คนที่ไม่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาลหรือมีไม่เพียงพอ ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาหรือจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น • คนที่ไม่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาลหรือมีไม่เพียงพอ ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาหรือจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น - ประกันสุขภาพช่วยให้เราและคนที่เรารักได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงิน การได้รับการรักษาที่รวดเร็วทันที โดยไม่ต้องมานั่งตัดสินใจในนาทีวิกฤตว่าจะไปรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดดีไหมเพราะกลัวเงินไม่พอจ่ายค่ารักษา การมีประกันสุขภาพไว้ทำให้เราตัดสินใจได้เร็วขึ้นและทันท่วงทีในการดูแลตัวเองและคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ ลูก เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ การได้รับการรักษาที่รวดเร็วทันที โดยไม่ต้องมานั่งตัดสินใจในนาทีวิกฤตว่าจะไปรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดดีไหมเพราะกลัวเงินไม่พอจ่ายค่ารักษา การมีประกันสุขภาพไว้ทำให้เราตัดสินใจได้เร็วขึ้นและทันท่วงทีในการดูแลตัวเองและคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ ลูก เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ การได้รับการรักษาที่รวดเร็วทันที โดยไม่ต้องมานั่งตัดสินใจในนาทีวิกฤตว่าจะไปรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดดีไหมเพราะกลัวเงินไม่พอจ่ายค่ารักษา การมีประกันสุขภาพไว้ทำให้เราตัดสินใจได้เร็วขึ้นและทันท่วงทีในการดูแลตัวเองและคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ ลูก เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ • คนที่ต้องการการรักษาที่รวดเร็วทันที • คนที่ต้องการการรักษาที่รวดเร็วทันที • คนที่ต้องการการรักษาที่รวดเร็วทันที ดังนั้น อย่าคิดเยอะ กันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ รีบทำประกันสุขภาพเอาไว้เลย ดังนั้น อย่าคิดเยอะ กันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ รีบทำประกันสุขภาพเอาไว้เลย ดังนั้น อย่าคิดเยอะ กันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ รีบทำประกันสุขภาพเอาไว้เลย ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประกันสุขภาพ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประกันสุขภาพ ความเข้าใจผิด ความเข้าใจผิด ความเข้าใจผิด • ยังแข็งแรงอยู่ ไม่ต้องทำประกันสุขภาพหรอก • ตอนนี้ยังอายุน้อย แข็งแรงดีจึงยังไม่ทำประกันสุขภาพ แต่คิดจะทำตอนเจ็บป่วย มีโรคเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึง บริษัทประกันอาจไม่รับประกัน หรือมีเงื่อนไขในการรับประกันสุขภาพได้ เช่น ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อน เพิ่มเบี้ยประกัน เป็นต้น ตอนนี้ยังอายุน้อย แข็งแรงดีจึงยังไม่ทำประกันสุขภาพ แต่คิดจะทำตอนเจ็บป่วย มีโรคเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึง บริษัทประกันอาจไม่รับประกัน หรือมีเงื่อนไขในการรับประกันสุขภาพได้ เช่น ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อน เพิ่มเบี้ยประกัน เป็นต้น ตอนนี้ยังอายุน้อย แข็งแรงดีจึงยังไม่ทำประกันสุขภาพ แต่คิดจะทำตอนเจ็บป่วย มีโรคเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึง บริษัทประกันอาจไม่รับประกัน หรือมีเงื่อนไขในการรับประกันสุขภาพได้ เช่น ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อน เพิ่มเบี้ยประกัน เป็นต้น • ค่าเบี้ยแพง ไม่คุ้ม • คงไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรือนอนโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อเคลมประกันสุขภาพให้คุ้มกับค่าเบี้ยที่จ่ายไปในแต่ละปี แต่หากเจ็บป่วยขึ้นมา เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ค่าเบี้ยมักจะถูกกว่าค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริง เช่น หากป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและนอนโรงพยาบาล 2 คืน ค่ารักษาโรคนี้อยู่ที่ 59,000 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม Elite Health Plus สำหรับคนอายุ 30 ปี ซึ่งค่าเบี้ยปีแรกอยู่ที่ 26,460 บาท* ถึง 2 เท่า คงไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรือนอนโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อเคลมประกันสุขภาพให้คุ้มกับค่าเบี้ยที่จ่ายไปในแต่ละปี แต่หากเจ็บป่วยขึ้นมา เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ค่าเบี้ยมักจะถูกกว่าค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริง เช่น หากป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและนอนโรงพยาบาล 2 คืน ค่ารักษาโรคนี้อยู่ที่ 59,000 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม Elite Health Plus สำหรับคนอายุ 30 ปี ซึ่งค่าเบี้ยปีแรกอยู่ที่ 26,460 บาท* ถึง 2 เท่า คงไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรือนอนโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อเคลมประกันสุขภาพให้คุ้มกับค่าเบี้ยที่จ่ายไปในแต่ละปี แต่หากเจ็บป่วยขึ้นมา เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ค่าเบี้ยมักจะถูกกว่าค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริง เช่น หากป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและนอนโรงพยาบาล 2 คืน ค่ารักษาโรคนี้อยู่ที่ 59,000 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม Elite Health Plus สำหรับคนอายุ 30 ปี ซึ่งค่าเบี้ยปีแรกอยู่ที่ 26,460 บาท* ถึง 2 เท่า • เก็บเงินจ่ายค่ารักษาเองได้ • สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีเงินเก็บมากพอและสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้เมื่อเจ็บป่วย โดยที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็สามารถทำได้ แต่หากมีเงินเก็บไม่มากพอแล้วโชคร้ายเกิดเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านอย่างโรคร้ายแรง ก็มีความเสี่ยงที่อาจต้องไปกู้ยืมจนเป็นหนี้ได้ง่ายๆ เช่นกัน เกิด แก่ เจ็บ(ป่วย) ตาย เป็นสิ่งที่เราทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยที่มีโอกาสเกิดขึ้นในชีวิตเราและคนที่เรารักหลายครั้ง ดังนั้น การดูแลตัวเองและวางแผนสุขภาพเป็นสิ่งที่ควรทำทันที เพื่อปกป้องเงินในกระเป๋าไว้จากเหตุฉุกเฉินที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน *เบี้ยประกันสำหรับเพศชายและหญิง อายุ 30 ปี กลุ่มอาชีพ 1-2 แผน 20 ล้าน พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีเงินเก็บมากพอและสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้เมื่อเจ็บป่วย โดยที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็สามารถทำได้ แต่หากมีเงินเก็บไม่มากพอแล้วโชคร้ายเกิดเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านอย่างโรคร้ายแรง ก็มีความเสี่ยงที่อาจต้องไปกู้ยืมจนเป็นหนี้ได้ง่ายๆ เช่นกัน สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีเงินเก็บมากพอและสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้เมื่อเจ็บป่วย โดยที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็สามารถทำได้ แต่หากมีเงินเก็บไม่มากพอแล้วโชคร้ายเกิดเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านอย่างโรคร้ายแรง ก็มีความเสี่ยงที่อาจต้องไปกู้ยืมจนเป็นหนี้ได้ง่ายๆ เช่นกัน เกิด แก่ เจ็บ(ป่วย) ตาย เป็นสิ่งที่เราทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยที่มีโอกาสเกิดขึ้นในชีวิตเราและคนที่เรารักหลายครั้ง ดังนั้น การดูแลตัวเองและวางแผนสุขภาพเป็นสิ่งที่ควรทำทันที เพื่อปกป้องเงินในกระเป๋าไว้จากเหตุฉุกเฉินที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน *เบี้ยประกันสำหรับเพศชายและหญิง อายุ 30 ปี กลุ่มอาชีพ 1-2 แผน 20 ล้าน พื้นที่ความคุ้มครองประเทศไทย คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ขอขอบคุณข้อมูลจาก : • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, เมืองไทยประกันชีวิต, สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย, สปริงนิวส์ • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, เมืองไทยประกันชีวิต, สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย, สปริงนิวส์ • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, เมืองไทยประกันชีวิต, สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย, สปริงนิวส์ บทความโดย K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP® K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP® | ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพทันที
- ประกันสุขภาพจะทำให้ไม่ถูกซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน หากมีเงินเก็บไม่มาก รายได้ไม่สม่ำเสมอ หรือมีสวัสดิการไม่เพียงพอ แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง หรือมีคนต้องดูแล แล้วยังต้องมาจ่ายค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วยอีกก็มีโอกาสเป็นหนี้ได้เลยเช่นกัน ดังนั้น นี่คือโอกาสที่จะทำให้ไม่โดนซ้ำด้วยการเป็นหนี้จากค่ารักษาปัจจุบัน โดยการกันเงินไว้จำนวนหนึ่งเพื่อทำประกันสุขภาพ เพราะเทียบกับเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วต้องมาเป็นหนี้ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ทำประกันสุขภาพไว้ดีกว่า
ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับ
• ที่มีเงินเก็บไม่มาก เช่น ไม่มีเงินก้อนหรือเงินสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
• คนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ประกอบอาชีพอิสระ เป็นฟรีแลนซ์
• คนที่ไม่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาลหรือมีไม่เพียงพอ ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาหรือจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น
- ประกันสุขภาพช่วยให้ตัวเองและคนที่รักได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงิน การได้รับการรักษาที่รวดเร็วทันที โดยไม่ต้องมานั่งตัดสินใจในนาทีวิกฤตว่าจะไปรักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดดีไหม เพราะกลัวเงินไม่พอจ่ายค่ารักษา การมีประกันสุขภาพไว้ทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและทันท่วงทีในการดูแลตัวเองและคนที่รัก เช่น พ่อแม่ ลูก เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกันสุขภาพจึงเหมาะกับคนที่ต้องการการรักษาที่รวดเร็วทันที
ดังนั้น อย่าคิดเยอะ กันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ รีบทำประกันสุขภาพเอาไว้เลย | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1733 | Finance | ข้อดีของการทำ DCA มีอะไรบ้าง | DCA คืออะไร? ดีสำหรับเราจริงหรือ? I POCKET MONEY EP7
นักลงทุนหลายคนมีมุมมองที่ผิด ว่าการ DCA (Dollar-Cost Averaging) เป็นการออมที่หวังว่าวันหนึ่งจะช่วยให้เราเป็นอิสระทางการเงิน โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการลงทุน ซึ่งเป็นความเชื่อที่น่ากลัวมาก เพราะจะทำให้ไม่ระมัดระวังในการเลือกหุ้น หรือกองทุน ที่จะลงทุน ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ขาดทุน ก่อนจะพูดถึงข้อดี, ข้อเสีย และสิ่งที่นักลงทุนมือใหม่มักจะเข้าใจผิด เกี่ยวกับการทำ Dollar-Cost Averaging เรามาทบทวนความเข้าใจกันสักหน่อยว่าการ DCA คืออะไร ? DCA คืออะไร? การ DCA คืออีกรูปแบบหนึ่งของการลงทุน ซึ่งจะลงทุนอย่างสม่ำเสมอในสินทรัพย์ที่เราเลือกเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือกองทุนก็ตาม เป็นจำนวนเงินเท่า ๆ กันทุกครั้ง โดยไม่สนใจว่าทรัพย์สินที่เลือกไว้จะราคาเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ราคาของสินทรัพย์ที่เราได้ในภาพรวมนั้นก็จะเฉลี่ย ๆ กันไป ซึ่งโดยปกติแล้วความถี่ของการ DCA ของหลาย ๆ คนก็มักจะอยู่ที่รายเดือน เป็นอีกหนึ่งวิธียอดนิยมที่ใช้สร้างวินัยการลงทุนกัน ยกตัวอย่างเช่น อย่างตัวอย่างในรูปข้างบนนี้คือ การ DCA ในกองทุน ก. เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ทุกๆ เดือน หรือจะเป็น การ DCA ในหลายสินทรัพย์เช่นการลงทุนใน กองทุน ข. และหุ้น ค. โดยลงทุนอย่างละ 3,000 บาท ทุกๆ 2 เดือน ก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า จำนวนสินทรัพย์, ประเภทสินทรัพย์, และระยะเวลาความสม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา เพราะสิ่งที่สำคัญของ DCA คือการลงทุนอย่างเป็นประจำ โดยไม่สนใจเรื่องของราคา เมื่อเริ่มเข้าใจแล้วว่าการทำ DCA เป็นอย่างไร เราก็มาดูกันเลยดีกว่า ว่าข้อดีและข้อเสีย ของ DCA มีอะไรบ้าง แล้วตบท้ายด้วยสิ่งที่ DCA ไม่ใช่ หรือสิ่งที่นักลงทุนมือใหม่จะเข้าใจผิดกับ DCA โดยเริ่มจากข้อดีก่อนเนอะ 🙂 สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: ข้อดีของการทำ DCA • DCA มัน D ต่อใจ การ DCA ทำให้ช่วยปรับมุมมองของเราที่มีต่อตลาด จากการที่มองว่า ราคาสินทรัพย์ที่เราลงทุนมีการปรับตัวลดลงทำให้เราขาดทุน เป็นโอกาสที่ดีในการช้อนซื้อสินทรัพย์นั้นๆได้มากขึ้น เพราะจำนวนเงินที่ลงทุนเท่าเดิม แต่ราคาต่อหน่วยลดลง เลยทำให้ซื้อได้มากขึ้น เปลี่ยนจากนอนหลับฝันร้ายจากการขาดทุน เป็นหลับฝันดีเพราะได้ของที่ชอบเพิ่มขึ้นมา • DCA สร้างวินัย การ DCA เป็นการทำสัญญาใจกับตัวเราเองว่าจะลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ใช้อารมณ์ที่เรามีต่อตลาด เป็นปัจจัยในการตัดสินใจ ซึ่งการมีวินัยเนี่ย นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่เราควรมีกับการลงทุน เพราะการลงทุนอย่างไม่มีวินัยจะทำให้เราเป็นคนมักง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวินัยในการเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุน หรือการ cut-loss ที่อาศัยวินัยของเราในการลงมือทำจริง • DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด การทำ DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากการที่เราเข้าซื้อสินทรัพย์ผิดจังหวะและส่งผลให้เกิดการติดดอย เพราะ การ DCA คือการทยอยลงทุนเรื่อย ๆ ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและเลวร้าย แตกต่างจากการลงทุนเป็นก้อนซึ่งหากลงทุนผิดจังหวะอาจทำให้พอร์ตของเราติดลบได้มาก ซึ่งอาจมีตัวอย่างให้เห็นได้จากการเข้าลงทุนในกองทุนเทคโนโลยีเติบโตสูงต่าง ๆ ที่มีความผันผวนค่อนข้างมาก ข้อเสียของการทำ DCA • DCA ให้ผลตอบแทนน้อยหากเราเป็นนักลงทุนที่มีทักษะ การ DCA เป็นการทยอยซื้อสินทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของนักลงทุนมือใหม่ แต่เพราะสินทรัพย์ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่ราคาจะปรับตัวขึ้นในระยะยาว เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการซื้อสินทรัพย์ด้วยเงินก้อนตั้งแต่วันแรก เทียบกับการทยอยซื้อที่จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยสูงขึ้นเนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นตามเวลา ทำให้การซื้อด้วยเงินก้อนตั้งแต่วันแรกสร้างกำไรที่สูงกว่า สิ่งที่ DCA ไม่ใช่ • DCA ไม่ได้ลดความเสี่ยง นักลงทุนหลายคน หรือแม้แต่กูรูหลายท่าน มักจะมองว่าการ DCA คือวิธีการลดความเสี่ยง แต่ในความเป็นจริงนั้น DCA ช่วยลดเฉพาะความเสี่ยงด้าน Market Timing หรือการกะจังหวะในการลงทุน ไม่ใช่ความผันผวนของมูลค่าพอร์ตลงทุน และที่สำคัญคือ มันช่วยแค่ในช่วงแรกของการลงทุนเท่านั้นเนื่องจากสาเหตุที่ว่า ยิ่งจำนวนครั้งในการลงทุนเพิ่มขึ้น เงินลงทุนก็เพิ่มตาม ทำให้เปอร์เซ็นต์ความเปลี่ยนแปลงของต้นทุนในแต่ละครั้งที่ซื้อก็จะลดลง เพราะสัดส่วนของมูลค่าที่ซื้อเพิ่มมันเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับเงินที่ลงทุนไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ในกราฟที่ยกมานี้เป็นการ DCA บนกองทุนที่จำลองการเคลื่อนไหวของ SET50 โดยลงทุนครั้งละ 1,000 บาท ทุกๆต้นเดือน นั่นหมายความว่าพอลงทุนไปแล้ว 60 ครั้ง เราจะมีเงินที่ลงทุนไปแล้วเป็นจำนวน 60,000 บาท (1,000 บาท x 60 ครั้ง) ซึ่งมากกว่าเงินที่จะลงทุนเพิ่มถึง 60 เท่า จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนช่วงแรกของการลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับกราฟที่ยิ่งจำนวนครั้งการลงทุนเพิ่ม เปอร์เซ็นต์ความเปลี่ยนแปลงของต้นทุนเฉลี่ยลดลงเกือบเป็น 0% และเป็นเหตุผลเดียวกันที่ว่า ทำไมตอนเรียนมหา’ลัยปี 1 เกรดเฉลี่ยเปลี่ยนง่าย ในขณะที่ตอนเรียนปี 4 เกรดเฉลี่ยไม่ค่อยเปลี่ยนแล้ว เพราะช่วงปี 1 จำนวนหน่วยกิจรวม น้อยกว่าช่วงปี 4 นั่นเอง ความผันผวน • DCA ไม่ได้เหมาะกับสินทรัพย์ทุกชนิด DCA เป็นเพียงเทคนิคหนึ่งในการลงทุนเท่านั้น ซึ่งก็เหมือนกับเทคนิคอื่นๆในการลงทุน คือควรใช้บนพื้นฐานของความรู้ และความเข้าใจ การ DCA โดยที่ไม่ได้เลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับเทคนิคที่ใช้ ก็จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มานั้น แตกต่างจากสิ่งที่เราคาดหวังไว้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าเราลงทุน DCA กับกองทุนน้ำมันแล้วล่ะก็… ดูแค่กราฟก็พอ อย่าไปพูดถึงเลยเนอะ ส่วนเหตุผลที่การ DCA ไม่เหมาะกับกองทุนน้ำมันก็เพราะสินค้าโภคภัณฑ์มักปรับตัวตามวัฏจักรขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในแต่ละช่วง ซึ่งถ้าเรามีทักษะที่เหนือกว่านักลงทุนทั่ว ๆ ไปในการเฟ้นหาข้อมูลดังกล่าวและมีความเข้าใจในสินทรัพย์ประเภทนี้อย่างแท้จริง การทยอยสะสมในช่วงต้นของวัฏจักรก็อาจจะไม่ได้ผิดแปลกแต่อย่างใด ถ้างั้นเราควร DCA กับอะไร ? สงสัยแล้วหละสิ ว่าถ้างั้นสินทรัพย์อะไรที่เหมาะแก่การ DCA ? อย่างที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ว่า DCA คือการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ที่ช่วยลดความเสี่ยงด้าน Market Timing ในช่วงแรกของการลงทุน นั่นหมายความว่า สินทรัพย์ ที่เหมาะกับการ DCA จะมีผลมากคือ สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงด้านจังหวะเข้าซื้อ หรือมีความผันผวนนั่นเอง และที่สำคัญคือมีพฤติกรรมที่ราคาจะปรับตัวขึ้นในระยะยาว เช่น ดัชนีหุ้นหรือหุ้นต่าง ๆ ที่ตราบใดประเทศหรือบริษัทยังสามารถสร้าวงการเติบโตได้เรื่อย ๆ ในระยะยาวแล้วราคาของสินทรัพย์นั้น ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่นดัชนีหุ้นของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น S&P500, DAX30, FTSE100, หรือ SET ของบ้านเราก็ตาม แต่เพราะหัวใจสำคัญของ DCA คือควรที่จะเป็นสินทรัพย์ที่ราคาจะปรับตัวขึ้นในระยะยาว กองทุนตราสารหนี้ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน ความผันผวน แล้วเราควร DCA ยังไง ? เพราะว่าการ DCA ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงอย่างที่หลายคนเข้าใจ แปลว่าเราต้องบริหารจัดการความเสี่ยงเอง สำหรับคนที่ไม่อยากบริหารความเสี่ยงเองทั้งหมด ก็มีทางเลือกที่จะแบ่งภาระในจุดนี้ไปให้ผู้บริหารกองทุนได้ โดยการ DCA ในกองทุนนั่นเอง แต่การเลือกกองทุนที่จะลงทุนก็ไม่ควรลงทั้งหมดในกองใดกองหนึ่ง เราก็ควรจะกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหลายๆกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าไปแบ่งครึ่งหนึ่งไปลง กองทุน SET50 ของ บลจ ก. แล้วอีกครึ่งไปลง กองทุน SET50 ของ บลจ ข. เพราะสุดท้ายแล้วกองทุนทั้ง 2 นี้ ถึงจะต่าง บลจ. แต่เพราะมีนโยนายในการลงทุนเหมือนกันจึงมีการเคลื่อนไหวที่เหมือนกัน หรือ ที่เรียกว่า Correlation สูง ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์ที่มี Correlation สูง ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงแต่อย่างใด กระจายความเสี่ยง Correlation Correlation ความเสี่ยง สรุป แล้วถ้าอยาก DCA จะเริ่มไงดี ? เริ่มจากการ DCA ในกองทุนตราสารหนี้ก่อน เพราะว่าเป็นกองทุนที่มีนโยบายในการลงทุนที่สามารถเข้าใจได้ง่ายที่สุด และมีความเสี่ยงต่ำ บวกกับมีพฤติกรรมที่ราคาจะปรับตัวขึ้นในระยะยาว ซึ่งเหมาะกับการเริ่ม DCA และเรียนรู้เรื่องการลงทุนไปในตัว จนกว่าจะมีความรู้และความเข้าใจในสินทรัพย์อื่นๆ จึงควรจะเริ่มปรับพอร์ตไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นตามสมควร เช่น สินทรัพย์อย่าง หุ้น หรือกองทุนรวมตราสารทุน เพิ่มเติม หากใครสนใจที่จะทำ DCA ทาง FINNOMENA มีบริการให้คำปรึกษาการจัดพอร์ตลงทุน ถ้าสนใจการบริการนี้ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ที่นี่ ที่มาบทความ:
ที่มาบทความ | ข้อดีของการทำ DCA มีดังนี้
• DCA มันดีต่อใจ
การ DCA ทำให้ช่วยปรับมุมมองที่มีต่อตลาด จากการที่มองว่า ราคาสินทรัพย์ที่ลงทุนมีการปรับตัวลดลงทำให้เราขาดทุน เป็นโอกาสที่ดีในการช้อนซื้อสินทรัพย์นั้นๆ ได้มากขึ้น เพราะจำนวนเงินที่ลงทุนเท่าเดิม แต่ราคาต่อหน่วยลดลง เลยทำให้ซื้อได้มากขึ้น เปลี่ยนจากนอนหลับฝันร้ายจากการขาดทุน เป็นหลับฝันดีเพราะได้ของที่ชอบเพิ่มขึ้นมา
• DCA สร้างวินัย
การ DCA เป็นการทำสัญญาใจกับตัวเองว่าจะลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ใช้อารมณ์ที่มีต่อตลาด เป็นปัจจัยในการตัดสินใจ ซึ่งการมีวินัยเนี่ย นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ควรมีกับการลงทุน เพราะการลงทุนอย่างไม่มีวินัยจะทำให้เป็นคนมักง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวินัยในการเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุน หรือการ cut-loss ที่อาศัยวินัยของตนเองในการลงมือทำจริง
• DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด
การทำ DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากการที่เข้าซื้อสินทรัพย์ผิดจังหวะและส่งผลให้เกิดการติดดอย เพราะการ DCA คือ การทยอยลงทุนเรื่อย ๆ ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและเลวร้าย แตกต่างจากการลงทุนเป็นก้อนซึ่งหากลงทุนผิดจังหวะอาจทำให้พอร์ตติดลบได้มาก ซึ่งอาจมีตัวอย่างให้เห็นได้จากการเข้าลงทุนในกองทุนเทคโนโลยีเติบโตสูงต่าง ๆ ที่มีความผันผวนค่อนข้างมาก | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1740 | Finance | หลายคนอาจจะมีความเชื่อว่า การซื้อประกันสุขภาพและประกันภัยโรคร้ายแรง เป็นการจ่ายเงินที่ไม่คุ้มค่า เพราะต้องจ่ายเบี้ยเป็นประจำทุกปีในลักษณะจ่ายเบี้ยทิ้ง แต่อยากให้เปลี่ยนความคิด นั่นเป็นเพราะเหตุใด | เปลี่ยนได้เปลี่ยน! ความเข้าใจผิดเรื่องประกันฯ ที่ต้องรู้
มีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ประกันสุขภาพ” ซึ่งคุณกำลังเข้าใจผิด และแน่นอนหากปล่อยให้บทความนี้เลื่อนหายไปจากหน้าจอ คุณอาจจะไม่พบคำตอบที่ควรรู้อีกเลย ความจริงแล้ว “ประกันสุขภาพ” สำคัญไม่น้อยไปกว่าการลงทุน และ “ควรเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนการเงินของคุณด้วย” แต่ความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ มักจะสร้างความสับสนให้กับคนไทยอยู่เสมอ เพราะต้องยอมรับว่าในอดีต มีประกันสุขภาพหลากหลายรูปแบบมาก ดังนั้นเราจะพาไปทำความรู้จักประกันในแต่ละยุค เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจกันก่อนค่ะ คุณมีประกันสุขภาพในยุคไหน ? ยุคแรก : ประกันชีวิตที่ “ต้องเสียชีวิตก่อนถึงได้เงิน” ในยุคแรก ๆ คนยังไม่รู้จักประกันสุขภาพ นวัตกรรมการรักษาสุขภาพก็ยังไม่ค่อยมี บริษัทประกันจึงเน้นความคุ้มครองเมื่อเสียชีวิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยุคที่ 2 ประกันสุขภาพพ่วงประกันชีวิต ในยุคนี้เริ่มมีประกันสุขภาพเข้ามา แต่ก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์มากนัก เพราะว่าประกันสุขภาพต้องซื้อพ่วงกับประกันชีวิต เบี้ยประกันโดยรวมค่อนข้างสูงมาก แต่ได้ความคุ้มครองค่อนข้างน้อย ยุคที่ 3 : ประกันสุขภาพแบบแยกประเภท เมื่อนวัตกรรมทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ประกันสุขภาพก็มีวิวัฒนาการกลายมาเป็นประกันสุขภาพแบบแยกประเภท ซึ่งประกันสุขภาพแบบแยกประเภท จะมีการกำหนดค่าใช้จ่าย และวงเงินที่ชัดเจนภายใต้กรมธรรม์ แต่ปัญหาก็คือ หากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง สูงกว่าค่าใช้จ่ายที่กรมธรรม์กำหนดไว้ ผู้เอาประกันต้องจ่ายส่วนต่างเหล่านี้เอง ดังนั้นประกันประเภทนี้ จึงยังไม่ครอบคลุม และตอบโจทย์ประกันคุ้มครองสุขภาพมากนัก ยุคปัจจุบัน : ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ในยุคนี้พัฒนาการของประกันสุขภาพดีขึ้นอย่างมาก เพราะเมื่อกรมธรรม์เป็นประกันแบบ “เหมาจ่าย” นั่นหมายความว่า บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ภายใต้วงเงินความคุ้มครองสูงสุดของกรมธรรม์นั้น ๆ ซึ่งมีความคุ้มค่า และครอบคลุมอย่างมากในยุคปัจจุบัน แล้วประกันสุขภาพของคุณ เป็นแบบไหนกันบ้าง ? เป็นโรคร้ายแรงฯ มีโอกาสจ่ายแพงสูงสุดเท่าไหร่ ? รู้ไหมว่า…เราทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งอาจจะต้องจ่ายค่ารักษาแพงถึงหลักล้านก็ได้ !!! สถิติจากองค์การอนามัยโลก ชี้ว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เป็นสาเหตุหลักในการเสียชีวิตของคนทั่วโลกมากกว่า 60% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด ฯลฯ ซึ่งการป่วยเป็นโรค NCDs เหล่านี้ มักเกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ไม่ได้เกิดจากการติดต่อจากผู้อื่น ในประเทศไทยเอง โรค NCDs ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง โดยมีสัดส่วนผู้เสียชีวิตจากโรค NCDs สูงถึง 75% ของการเสียชีวิตทั้งหมด หรืออาจกล่าวได้ว่า ทุก ๆ 1 ชั่วโมง จะมีคนไทย 37 รายที่ต้องเสียชีวิตลงจากการป่วยเป็นโรค NCDs สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ตัวเลขดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง… ในขณะที่ค่ารักษาพยาบาลในโรคกลุ่มนี้หลายโรค ก็มีค่าใช้จ่ายสูงมากและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งมักจะมีค่ารักษาโดยรวมที่สูงกว่าโรงพยาบาลรัฐราว 2-3 เท่า นอกจากนี้ เมื่ออายุมากขึ้น คุณก็มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคกลุ่ม NCDs มากขึ้นด้วย ซึ่งหากเกิดเป็นโรคนี้หลังวัยเกษียณ ที่คนส่วนใหญ่ มักจะขาดรายได้ประจำไปแล้ว … นี่จะเป็นปัญหาที่ใหญ่มากทีเดียว ดังนั้น หากไม่อยากให้การเจ็บป่วยทางด้านสุขภาพ กลายเป็นหายนะทางด้านการเงิน การทำประกันสุขภาพจึงเป็นวิธีการปิดความเสี่ยงเหล่านี้ที่ง่ายที่สุด…คุณปิดความเสี่ยงตรงนี้แล้วหรือยัง ? ไม่ค่อยป่วย จำเป็นต้องทำประกันสุขภาพหรือเปล่า ? หลายคนอาจจะมีความเชื่อว่า การซื้อประกันสุขภาพและประกันภัยโรคร้ายแรง เป็นการจ่ายเงินที่ไม่คุ้มค่า เพราะต้องจ่ายเบี้ยเป็นประจำทุกปีในลักษณะจ่ายเบี้ยทิ้ง แต่เราอยากให้คุณ “เปลี่ยนความคิด” นั่นก็เป็นเพราะ 1. หากคุณมีประวัติการป่วยด้วยโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่อง จะมีผลต่อการทำประกันฯ บริษัทประกันอาจจะปฏิเสธ หรือเพิ่มข้อยกเว้นในการรับประกัน เมื่อคุณมีประวัติการป่วยด้วยโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่อง และถ้าบริษัทรับประกัน คุณอาจจะต้องจ่ายค่าเบี้ยมากกว่าคนทั่วไปราว 25-50% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก ๆ 2. ประวัติบุคคลในครอบครัวมีผลต่อการรับประกันของบริษัทประกัน ถ้าปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่ของคุณมีสุขภาพที่แข็งแรงคุณก็ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง การทำประกันของคุณก็จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าหากวันใดวันหนึ่งคุณพ่อคุณแม่ของคุณป่วยด้วยโรคมะเร็ง หรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ การทำประกันของคุณ ก็จะมีข้อจำกัดทันที เช่น วงเงินความคุ้มครอง ก็อาจจะน้อยกว่าคนทั่วไป ดังนั้นถ้าลองนึกถึงบุคคลในครอบครัวที่มีอายุมากขึ้นและเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายได้ ตอนนี้คุณคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนความคิดเรื่องทำประกันแล้วหรือยัง ? ควรทำประกันมะเร็งตอนอายุเท่าไหร่? อายุยังน้อย จะรีบทำประกันมะเร็งไปทำไม ? เป็นคำถามที่พบได้บ่อยที่สุด ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่า “ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น” แต่หากแยกวิเคราะห์ตามเพศแล้วจะพบว่าผู้หญิงที่เข้าสู่ช่วงอายุ 30-39 ปีจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดมากที่สุดหรือเพิ่มขึ้นกว่า 223% เมื่อเทียบกับช่วงอายุก่อนหน้าในขณะที่ผู้ชายกลุ่มอายุระหว่าง 40-49 ปีนับเป็นมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดมากที่สุด หรือ เพิ่มขึ้นมากกว่า 195% เมื่อเทียบกับช่วงอายุก่อนหน้า ดังนั้นจากสถิติ จึงอาจสรุปได้ว่า อายุที่ควรทำประกันมะเร็ง สำหรับผู้หญิง คือ ช่วงก่อนวัย 30 ปี
สำหรับผู้ชาย คือ ช่วงอายุก่อน 40 ปี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากเน้นย้ำมากที่สุดจากสถิตินี้ ก็คือ “คนอายุน้อย” ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งได้เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าไม่อยากมีใครเป็นผู้โชคร้าย แต่สถิติก็แสดงให้เห็นแล้วว่าความเสี่ยงเหล่านี้มีอยู่จริง ดังนั้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการทำประกันมะเร็ง จึงควรเป็นในขณะที่อายุยังน้อย สุขภาพยังแข็งแรงอยู่ ซึ่งจะทำให้เราจ่ายเบี้ยประกันได้ถูกและปิดความเสี่ยงตรงนี้ได้ จากวันนี้เป็นต้นไป TISCO Advisory ที่มา : | การซื้อประกันสุขภาพและประกันภัยโรคร้ายแรงเป็นการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายอย่างแน่นอน แต่การพิจารณาความคุ้มค่าและประโยชน์จากการทำประกันอาจช่วยเปลี่ยนความคิดได้ ดังนี้
1. ปิดความเสี่ยงทางการเงิน: ค่ารักษาพยาบาลของโรคร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังสามารถสูงถึงหลักล้านบาท ซึ่งอาจเป็นภาระทางการเงินที่หนักหน่วง โดยเฉพาะหากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐมาก การมีประกันสุขภาพที่ดีจะช่วยปิดความเสี่ยงนี้และลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้
2. ประวัติสุขภาพและการรับประกัน: หากคุณมีประวัติสุขภาพดีในปัจจุบัน การทำประกันตอนนี้อาจทำให้คุณได้รับเบี้ยประกันที่ต่ำกว่าในอนาคต เพราะหากคุณมีปัญหาสุขภาพในอนาคต บริษัทประกันอาจมีข้อกำหนดหรือข้อยกเว้นที่ทำให้ค่าเบี้ยสูงขึ้น หรืออาจปฏิเสธการรับประกัน
3. การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต: แม้ว่าคุณจะมีสุขภาพดีในปัจจุบัน แต่การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น การทำประกันสุขภาพตั้งแต่อายุน้อยจะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองในราคาที่เหมาะสม และปิดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
4. ลดความเครียดทางจิตใจ: การรู้ว่าคุณมีการคุ้มครองที่ดีในกรณีที่เกิดโรคร้ายแรงหรืออุบัติเหตุสามารถช่วยลดความเครียดและความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทำให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่การรักษาและการฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างเต็มที่
การมีประกันสุขภาพและประกันภัยโรคร้ายแรงเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางการเงินและความสบายใจในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1747 | Finance | จุดเด่นของกองทุนเปิด ทิสโก้ Genomic Revolution หรือ TGENOME มีอะไรบ้าง | รีวิวกองทุน TGENOME และ ARKG: เมื่อสุขภาพและเทคโนโลยีถึงคราวมาบรรจบกัน
ร้อนแรงพอสมควรกับกองทุนตระกูล ARK ที่วินาทีนี้หลาย ๆ คนน่าจะกำลังสนใจกัน หนึ่งในนั้นคือกองทุน ARKG ซึ่งลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านจีโนม (Genomics) โดยมีกองทุนไทยอย่าง TGENOME ไปลงทุนอีกที ล่าสุดก็เพิ่งผ่านช่วง IPO ไปสด ๆ ร้อน ๆ มีนักลงทุนให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม วันนี้เลยอยากพาทุกคนมาทำความรู้จักกับกองทุน TGENOME และ ARKG สักหน่อย แต่ก่อนที่จะไปดูเนื้อหาเกี่ยวกับกองทุน เราจะต้องเข้าใจพื้นฐานของสิ่งที่กองทุนจะไปลงทุนเสียก่อน เอาล่ะ… มาทวนพื้นฐานชีววิทยาไปพร้อม ๆ กันเลย หมายเหตุ: ออกตัวก่อนว่าเราไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยา ข้อมูลในบทความเป็นเพียงการสรุปรวบรวมจากเนื้อหาหลาย ๆ แห่ง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ทีนี้ และสามารถทักมาแจ้งกันได้นะ หมายเหตุ: ออกตัวก่อนว่าเราไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยา ข้อมูลในบทความเป็นเพียงการสรุปรวบรวมจากเนื้อหาหลาย ๆ แห่ง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ทีนี้ และสามารถทักมาแจ้งกันได้นะ สารบัญ จีโนม (GENOME) คืออะไร
แล้วความก้าวหน้าด้านจีโนม จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างไรบ้าง?
การหาลำดับเบสดีเอ็นเอ (DNA Sequencing)
การตัดแต่งจีโนม (Genome Editing)
การรักษาด้วยชีววิทยาของร่างกาย (Living Therapies)
ชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics)
รายละเอียดกองทุน TGENOME
ARKG ลงทุนในอะไรบ้าง?
ผลการดำเนินงานย้อนหลังของ ARKG
ความเสี่ยงของกองทุน TGENOME
สรุปความน่าสนใจของการลงทุนในธีม Genomics
ข้อมูลอื่น ๆ ของกองทุน TGENOME
Appendix: รายได้ และกำไรต่อหุ้น ของบริษัท 5 อันดับแรก พร้อมคาดการณ์ 2 ไตรมาสหน้า (ข้อมูลจาก Bloomberg) จีโนม (GENOME) คืออะไร แล้วความก้าวหน้าด้านจีโนม จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างไรบ้าง? การหาลำดับเบสดีเอ็นเอ (DNA Sequencing)
การตัดแต่งจีโนม (Genome Editing)
การรักษาด้วยชีววิทยาของร่างกาย (Living Therapies)
ชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics) การหาลำดับเบสดีเอ็นเอ (DNA Sequencing) การตัดแต่งจีโนม (Genome Editing) การรักษาด้วยชีววิทยาของร่างกาย (Living Therapies) ชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics) รายละเอียดกองทุน TGENOME ARKG ลงทุนในอะไรบ้าง?
ผลการดำเนินงานย้อนหลังของ ARKG
ความเสี่ยงของกองทุน TGENOME ARKG ลงทุนในอะไรบ้าง? ผลการดำเนินงานย้อนหลังของ ARKG ความเสี่ยงของกองทุน TGENOME สรุปความน่าสนใจของการลงทุนในธีม Genomics ข้อมูลอื่น ๆ ของกองทุน TGENOME Appendix: รายได้ และกำไรต่อหุ้น ของบริษัท 5 อันดับแรก พร้อมคาดการณ์ 2 ไตรมาสหน้า (ข้อมูลจาก Bloomberg) สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: จีโนม (GENOME) คืออะไร? ขอแปะรูปอธิบายลักษณะของเซลล์สักหน่อย เพื่อจะได้เข้าใจกันง่ายขึ้นนะ Source: MayoClinic MayoClinic เริ่มต้นเล่าแบบนี้ก่อนดีกว่า คำว่า GENOME เนี่ย เป็นส่วนผสมระหว่าง GENE + CHROMOSOME …อืม เหมือนจะง่าย แต่เอ๊ะ แล้ว GENE กับ CHROMOSOME คืออะไร? หลายคนอาจจะไม่รู้ หรือเคยรู้แต่คืนครูไปหมดแล้ว มา…เดี๋ยวเราจะทบทวนให้ฟังกันสั้น ๆ อ่านแล้วดูรูปประกอบข้างบนไปพร้อม ๆ กันได้นะ ใน DNA ของเราเนี่ย จะมีข้อมูลทางพันธุกรรม ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ว่าง่าย ๆ คือ กำหนดว่าเราจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร จนไปถึงขั้นว่าเรามีแนวโน้มจะเป็นโรคอะไร ยีน (Genes) หรือพันธุกรรม คือชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของ DNA ที่จะเป็นตัวระบุลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เช่น ยีนที่เป็นสีของดวงตา ยีนสีผม ยีนสีผิว ฯลฯ ก็ว่ากันไป โครโมโซม (Chromosomes) สร้างมาจาก DNA ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นเกลียวบาง ๆ ไขว้ ๆๆๆ กัน ซึ่งในร่างกายมนุษย์นั้น โครโมโซมจะอยู่ในนิวเคลียส (Nucleus) ของเซลล์ ตัวนิวเคลียสเนี่ยเรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ของเซลล์ เปรียบเสมือนศูนย์กลางของเซลล์ก็ว่าได้ เพราะรวบรวมข้อมูลสำคัญ ๆ ด้านพันธุกรรมอยู่ในนี้หมด และยังมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ด้วย เมื่อจับรวมยีนกับโครโมโซมเข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นจีโนม (Genome) ซึ่งก็คือข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดในโครโมโซม 1 ชุดของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง (มนุษย์เรามี 46 โครโมโซม ที่จับคู่กันเป็น 23 คู่) จีโนมจำเป็นต่อการสร้างและดำรงชีวิตอย่างปกติ ถ้าให้เปรียบง่าย ๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นพิมพ์เขียวของสิ่งมีชีวิต เลยละ การทำความเข้าใจจีโนมของมนุษย์อย่างถ่องแท้ลึกซึ้งนั้น จะช่วยให้เราสามารถหายีนที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการรักษาโรคทางพันธุกรรม รวมถึงการย้อนรอยพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบันได้ด้วย พิมพ์เขียวของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เคยมีการทดลองหายีนก่อโรคพวกนี้มาแล้วผ่านการตรวจสอบจีโนมของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบ DNA ของครอบครัวที่มีคนเป็นโรคมะเร็งเต้านมจากพันธุกรรม โดยเปรียบเทียบ DNA ของคนที่ไม่ได้เป็น และคนที่เป็น เพื่อดูว่าความแตกต่างของ DNA ซึ่งในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถระบุยีนที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ นั่นก็คือยีน BRCA1 และ BRCA2 …ทีนี้อาจจะพอเห็นภาพกันแล้ว เมื่อเรารู้ว่ายีนประเภทไหนอาจก่อให้เกิดโรคอะไรบ้าง หากเราสามารถตรวจยีนของเราได้ และค้นหาได้ทันการณ์ก่อนที่ยีนพวกนั้นจะกลายพันธุ์กลายเป็นมะเร็ง เราก็จะได้หาทางรักษาหรือแก้ไขได้นั่นเอง แล้วความก้าวหน้าด้านจีโนม จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างไรบ้าง? จะดีแค่ไหน ถ้าเราไม่ต้องใช้เคมีบำบัดในการรักษามะเร็ง? แล้วถ้าเรารู้ได้ล่วงหน้าว่าเราเสี่ยงจะเป็นโรคอะไรในอนาคต? หากลูกเกิดมาตาบอด สามารถรักษาให้มองเห็นเหมือนคนทั่วไปได้? ฟังดูเหลือเชื่อ แต่สิ่งเหล่านี้มีโอกาสเป็นไปได้! แค่เข้าใจจีโนมมนุษย์ ก็เกิดประโยชน์ระดับหนึ่งแล้ว ดังที่เขียนไว้ข้างต้น ทีนี้ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนายิ่งใหญ่ในด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับจีโนมล่ะ? แน่นอนว่าเราแทบจะยกระดับคุณภาพชีวิตขึ้นมาเป็นอีกเลเวลหนึ่งเลยทีเดียว ลองมาดูตัวอย่างกันว่าความก้าวหน้าด้านจีโนม จะช่วยให้เกิดกลวิธีทางวิทยาศาสตร์อะไรใหม่ ๆ ขึ้นบ้าง แล้วจะส่งผลกับเราอย่างไร? การหาลำดับเบสดีเอ็นเอ (DNA Sequencing) DNA Sequencing คือการตรวจการเรียงลำดับของสารเคมี (เบส) ที่ก่อร่างเป็น DNA ขึ้นมา วิธีนี้จะช่วยให้สามารถตรวจกรองการกลายพันธุ์ (Mutation) ของ DNA ได้ ล่าสุดมีการพัฒนาขึ้นใหม่เป็น Next Generation Gene Sequencing (NGS) ซึ่งทำให้การตรวจหานั้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ว่าง่าย ๆ คือ วิธีการนี้จะช่วยให้เราสามารถตรวจได้ล่วงหน้าเลยว่า เรามีโอกาสเป็นมะเร็งตรงไหน กี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะได้ทำการป้องกันได้ทันท่วงที ลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ นอกจากนั้น ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ยังใช้วิธีการนี้ในการสร้างวัคซีนป้องกันโควิด-19 อีกด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์ใช้วิธี Sequencing นี้ศึกษาตัวไวรัส ทำให้รู้จัก Spike Protein ซึ่งอยู่ในไวรัสที่ก่อให้เกิดโควิด-19 นำมาซึ่งการสร้างวัคซีน mRNA ซึ่งจะสั่งการให้ร่างกายเราสร้าง Spike Protein ขึ้นมาเอง (โดยไม่ต้องเจอไวรัสโควิด-19 จริง ๆ) เมื่อระบบภูมิคุ้มกันเจอโปรตีนนี้ ก็จะหาทางกำจัดและสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนชนิดนี้ ทำให้เมื่อร่างกายเจอไวรัสจริง ๆ ก็จะสามารถรับมือได้ ต้นทุนของ Sequencing นั้นได้ลดฮวบจากตัวเลข 9 หลัก เหลือเพียงไม่กี่ร้อยดอลล่าร์เท่านั้น และมีการคาดการณ์ว่าทางคลินิกจะทำ NGS มากขึ้นในอนาคต โดยจำนวนอาจสูงกว่า 100 ล้านจีโนมเลยทีเดียวในปี 2024 คาดการณ์จำนวนจีโนมที่ผ่านการทำ Sequencing
ที่มา: TISCO, ARK Investment Management LLC การตัดแต่งจีโนม (Genome Editing) เมื่อกี้เราพูดถึงการทำ Sequencing ไปแล้ว ซึ่งจะทำให้เราเห็นการเรียงลำดับของ DNA และระบุได้ว่ามีตรงไหนที่ส่งผลอะไรบ้าง ทีนี้แหละ Genome Editing หรือการปรับแต่งจีโนมก็จะเป็นตัวที่เข้ามาช่วยปรับแต่ง DNA ให้เป็นไปตามที่ต้องการ นี่เป็นเทคนิคที่นำมาใช้เพื่อแก้ไขยีนเป้าหมาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะตำแหน่งอย่างแม่นยำ โดย Genome Editing นี่ทำได้หลายวิธี แต่ที่ได้รับความนิยมสุดคือ CRISPR/Cas9 เพราะทำได้รวดเร็ว ราคาถูก แม่นยำ มีประสิทธิภาพกว่าวิธีอื่น ๆ ถ้าให้เปรียบเทียบ CRISPR/Cas9 เหมือน Microsoft Word ที่เปลี่ยนแปลงยีนได้ เหมือนเปลี่ยนแปลงเอกสาร โดยผู้ที่คิดค้นวิธีนี้ก็คือ 2 นักวิทยาศาสตร์หญิงจากฝรั่งเศส-สหรัฐอเมริกา ได้แก่ Emmanuelle Charpentier และ Jennifer A. Doudna ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี 2020 จากผลงาน CRISPR/Cas9 ดังกล่าวด้วย CRISPR/Cas9 ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนายาใหม่ ๆ การเกษตร การวินิจฉัยโรค ฯลฯ ในทางการแพทย์นั้นตัว CRISPR/Cas9 จะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรค ส่วนในแง่การเกษตร ก็จะเป็นการปรับแก้ตกแต่งพืชพรรณให้มีคุณสมบัติตามต้องการ ซึ่งต้องบอกก่อนว่า CRISPR/Cas9 นั้นไม่เหมือนกับ GMO นะ เพราะ GMO จะเป็นการนำ DNA ต่างสปีชีส์เข้ามาใส่ ในขณะที่ CRISPR/Cas9 นั้นสามารถทำได้แค่สิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกันเท่านั้น ขั้นตอนของการทำ CRISPR/Cas9
ที่มา: TISCO, GAO การรักษาด้วยชีววิทยาของร่างกาย (Living Therapies) Living Therapies คือวิธีการรักษาที่ใช้ประโยชน์จากกระบวนการทางชีววิทยาของร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันของเรา ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักกันในฐานะวิธีการต่อต้านมะเร็ง แต่ตอนนี้สามารถนำไปรักษาโรคอื่น ๆ ได้ด้วย ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออก เราก็มีตัวอย่างให้เห็น ชนิดที่เราน่าจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้าง ก็อย่างเช่น สเต็มเซลล์ (Stem Cells) หรือเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต หลัก ๆ จะอยู่ในไขกระดูกของเรา คุณสมบัติหลักของมันคือมันสามารถแบ่งตัวได้ไม่จำกัด สามารถแบ่งตัวเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเดิมได้ และสามารถแบ่งตัวเป็นเซลล์ชนิดอื่น ๆ ได้ ซึ่งทางการแพทย์นั้นสามารถนำเซลล์ต้นกำเนิดนี้ไปทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพแล้ว หรือนำไปรักษาโรคก็ได้
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immune Cell Therapy) เป็นการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย สามารถนำไปต่อต้านหรือรักษาโรคมะเร็งได้
การรักษาแบบเฉพาะจุด (Targeted Therapeutics) คือการใช้ยาหรือสารเพื่อไปจัดการแบบตรงจุดที่ควบคุมการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ผลข้างเคียงน้อยกว่าการให้เคมีบำบัด ตัวอย่างที่น่าสนใจของ Living Therapies ก็เช่น การใช้ CAR T Cells ในการกำจัดมะเร็ง โดยสร้าง CAR T Cells ในห้องทดลอง แล้วฉีดเข้าไปในร่างกายมนุษย์ เพื่อให้มันเข้าไปกำจัดมะเร็ง จากนั้นก็ค่อยเจาะลึกดูดมันออกมาเพื่อใช้ต่อไปเรื่อย ๆ โดยคาดว่ามูลค่าตลาดของการรักษาด้วย CAR T-Cell จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีก หากใช้กับมะเร็งระยะเริ่มต้นได้ แม้ว่าต้นทุนจะแพง แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีอื่น ๆ เปรียบเทียบต้นทุนและประโยชน์ของการรักษามะเร็งทั่วไป กับการใช้ Living Therapies
Source: TISCO, ARK Investment Management LLC ชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics) Bioinformatics (ชีวสารสนเทศศาสตร์) คือการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้กับข้อมูลทางด้านชีววิทยา ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ คำนวณ และประเมินผลข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาล ลองคิดภาพว่าถ้าหากเราไม่มีการจัดระบบข้อมูลทางด้านพันธุกรรมเลย ก็จะเป็นการยากมากที่จะสามารถวิเคราะห์ แยกแยะ วิจัยเกี่ยวกับความซับซ้อนของพันธุกรรมมนุษย์ได้ (แค่ในตัวมนุษย์คนเดียวก็มีลำดับเบสของ DNA อยู่ 3,000 ล้านคู่เบสแล้ว) ซึ่งการมี Bioinformatics ก็จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำนายตำแหน่งของสารพันธุกรรมว่าตำแหน่งไหนมีหน้าที่อะไร หรือหาความแตกต่างระหว่างพันธุกรรมได้ นอกจากในแง่ของการถอดรหัสพันธุกรรมแล้ว Bioinformatics ยังสามารถใช้คาดการณ์ผลการทดลองก่อนที่จะเริ่มทำจริง เพื่อให้ประหยัดเวลาในการวิจัยอีกด้วย กล่าวคือมีข้อมูลอยู่แล้ว ก็เริ่มทดลองทำแบบจำลองในคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลดิจิทัลก่อน จากนั้นพอได้ผลลัพธ์จึงค่อยไปพิสูจน์ในห้องทดลองจริง ไม่อย่างนั้นการทดลองก็จะไม่ต่างจากการเหวี่ยงแหไปเรื่อย ๆ ใช้เวลานานและไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ คาดการณ์ว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดโรคเหล่านี้ จะมีมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดเพิ่มขึ้น 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2024!
ที่มา: TISCO, ARK Invest หลังจากที่ทำความรู้จักเรื่องความก้าวหน้าทางจีโนมกันไประดับหนึ่งแล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะเริ่มเชื่อแล้วละว่านี่คือการแพทย์แห่งอนาคตที่มีแนวโน้มมาแรงมาก ๆ ทีนี้เรามาทำความรู้จักกองทุน TGENOME กับ ARKG ที่ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้กันเลยดีกว่า รายละเอียดกองทุน TGENOME TGENOME หรือกองทุนเปิด ทิสโก้ Genomic Revolution เป็นกองทุนที่จะไปลงทุนในกองทุน ARK Genomic Revolution ETF (ARKG) ซึ่งเป็นอีทีเอฟที่บริหารแบบเชิงรุก (Active) จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Cboe ประเทศสหรัฐอเมริกา ย้ำอีกครั้งว่าแม้จะเป็น ETF แต่ก็บริหารเชิงรุก ไม่ใช่เชิงรับแบบ ETF โดยส่วนใหญ่ ซึ่งการบริหารแบบเชิงรุกนั้นทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถคัดเลือกหุ้นที่สนใจได้อย่างมีอิสระมากขึ้น ไม่ต้องอิงกับดัชนี 100% เอาล่ะ เมื่อกองทุนหลักคือ ARKG เราจึงควรไปเจาะกองทุนนี้กันสักหน่อย ข้อมูลพื้นฐานของ ARKG เป็นกองทุน ETF บริหารเชิงรุก ที่มุ่งหวังการเติบโตในระยะยาว
ในสถานการณ์ทั่วไป กองทุนจะลงทุนอย่างน้อย 80% ในบริษัททั่วโลกที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับธีมการปฏิวัติทางจีโนม (Genomic Revolution)
กองทุนจะลงทุนกระจุกตัวในภาคส่วน Health Care รวมถึงธุรกิจที่ข้องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) จุดเด่นของ ARKG เข้าถึงนวัตกรรม: กองทุนมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจหลายขนาดที่มีธีมด้านนวัตกรรมด้าน Genomics อย่างเช่นยีนบำบัด ชีวสารสนเทศ การคำนวณโดยใช้แบบจำลองทางชีววิทยา เวชศาสตร์ระดับโมเลกุล และนวัตกรรมด้านเภสัชศาสตร์ เรียกได้ว่าใครอิน ๆ กับ Genomics ลงกองนี้กองเดียวก็น่าจะพอใจกับประเภทนวัตกรรมที่ครอบคลุม
มีแนวโน้มการเติบโต: มุ่งหวังการเติบโตระยะยาว ด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่ากลยุทธ์การเติบโตทั่ว ๆ ไป และสวนทางกับกลยุทธ์ที่เน้นมูลค่า (Value Strategies)
กระจายความเสี่ยง: เพราะกองทุนเป็น Active ETF จึงไม่ได้ถือหุ้นที่ทับซ้อนกับดัชนีทั่ว ๆ ไปเท่าไรนัก หากถือกองนี้ร่วมกับกองอื่น ๆ ที่เป็นหุ้นตามดัชนีทั่วไป ก็ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี
วิจัยมาอย่างละเอียด: มีการทำวิจัยทั้งแบบ Top-Down และ Bottom-Up เพื่อค้นหาธุรกิจที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมได้ ขั้นตอนการเลือกหุ้นของ ARKG Ideation: เป็นการค้นหานวัตกรรมที่จะมา Disrupt ของเดิม ผ่าน ARK Open Research System ซึ่งไม่ได้พึ่งพิงแค่ข้อมูลทางการเงินทั่วไป แต่ยังมีการควบรวมข้อมูลจาก Social Media และ Crowdsourcing ด้วย สมกับเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการหาข้อมูล
Sizing The Opportunity: ประเมินว่าโอกาสนั้น ๆ โตได้ขนาดไหน ผ่านการดูว่ามีความสามารถในการลดต้นทุนไหม หรือมีโอกาส Disrupt ธุรกิจเก่า ๆ ขนาดไหน
Stock Selection & Valuation: คัดเลือกบริษัทดาวเด่น แต่ก็ไม่ลืมที่จะดู Valuation ด้วยว่าถูกแพงแค่ไหน
Portfolio & Risk Management: ปรับกลยุทธ์ตามสภาพตลาด หาจังหวะในช่วงตลาดผันผวน ติดตามพอร์ตอย่างใกล้ชิดและจัดตั้งการประชุม ARKG ลงทุนในอะไรบ้าง? หุ้น 10 อับดับแรกที่ ARKG ลงทุน
ข้อมูล ณ วันที่ 15 ม.ค. 2021
ที่มา: ขอแนะนำบริษัท 10 อันดับแรกให้รู้จักกันแบบคร่าว ๆ ว่าทำอะไรกันบ้าง 1) Pacific Biosciences of California (6.57%): อีกหนึ่งบริษัทจาก Silicon Valley โดย Pacific Biosciences of California เป็นบริษัทด้าน Biotech ของอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 2004 โดดเด่นด้านการพัฒนาและคิดค้นระบบสำหรับการทำ DNA Sequencing โดยรายได้ของบริษัทมาจากเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการทำ DNA Sequencing 2) Teladoc Health (6.40%): บริษัทด้านโทรเวชกรรม ที่จะเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการพบแพทย์และขอคำปรึกษาด้านสุขภาพ ผู้ใช้งานสามารถพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ได้แบบ Real-Time ซึ่ง Teladoc ก็ให้บริการกันแบบ 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว 3) Twist Bioscience (6.18%): บริษัทด้าน Bioinformatics ที่ไว้เก็บข้อมูลการสังเคราะห์ DNA (Synthetic DNA) ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลายอุตสาหกรรม เช่น เคมี อาหาร การแพทย์ การเก็บข้อมูล ฯลฯ 4) CRISPR Therapeutics AG (4.95%): ผู้นำด้านการตัดต่อพันธุกรรม (Gene Editing) ก่อตั้งในปี 2013 โดยผู้ร่วมก่อตั้งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ Dr. Emmanuelle Charpentier นักจุลชีววิทยาหญิงผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี 2020 จากเทคโนโลยี CRISPR เพื่อการตัดต่อพันธุกรรมนั่นเอง 5) CareDx (4.05%): บริษัทที่นำเทคโนโลยีมาช่วยคิดค้นพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ ไล่ตั้งแต่ขั้นตอนแรก ๆ อย่างกับจับคู่พันธุกรรมที่เข้ากับเราที่สุด ไปจนถึงขั้นตอนการดูแลหลังการปลูกถ่าย ปัจจุบัน CareDx ถือได้ว่าเป็นพาร์ตเนอร์หลักของศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะทั่วสหรัฐฯ เลย 6) Regeneron Pharmaceuticals (3.75%): บริษัท Biotech ที่คิดค้นยารักษาหลาย ๆ โรค ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคติดต่อ โรคภูมิแพ้ ฯลฯ โดยบริษัทนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1988 ก็เป็นเวลากว่า 30 ปี มาแล้ว 7) Fate Therapeutics (3.73%): เป็นบริษัท Biopharma ที่เน้นการพัฒนาการรักษาด้วยเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัด เพื่อรักษาโรคมะเร็ง และภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง 8) EXACT Sciences Corporation (3.50%): บริษัทที่โดดเด่นด้านการวินิจฉัยโมเลกุล มีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบค้นพบมะเร็งได้ไว 9) Iovance Biotherapeutics (3.40%): บริษัทที่เน้นการพัฒนาและให้บริการการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด 10) Roche Holding AG (3.17%): บริษัทด้านยาและเวชภัณฑ์จากสวิตเซอร์แลนด์ ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจาก Pfizer และ Novatis หลัก ๆ จะแบ่งเป็น 2 ธุรกิจคือยากับการตรวจวินิจฉัย ทาง FINNOMENA Investment Team ได้รวบรวมข้อมูลรายได้และกำไรของบริษัท 5 อันดับแรกไว้ใน Appendix ได้เลย ผลการดำเนินงานย้อนหลังของ ARKG เนื่องจาก TGENOME เป็นกองทุนเปิดใหม่ จึงยังไม่มีข้อมูลผลการดำเนินงานย้อนหลัง แต่เราสามารถไปดูข้อมูลผลการดำเนินงานจาก ARKG ได้ ผลการดำเนินงานย้อนหลังแบบปักหมุด
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2020
ที่มา: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาถือว่าโดดเด่นเลยทีเดียว โดยเฉพาะหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ขึ้นมากว่า 122% เอาชนะดัชนีเปรียบเทียบอื่น ๆ ได้อย่างขาดลอย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาช่วงเวลาต่าง ๆ ก็จะพบว่าผลตอบแทนของ ARKG สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบอื่น ๆ อย่างมีนัยเช่นกัน สมกับการเป็น Active ETF การเติบโตของเงิน $10,000 หากลงทุนใน ARKG ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2020
ที่มา: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เพื่อให้เห็นภาพกันอีกนิด ลองมาดูกราฟนี้ที่จำลองว่าหากเราลงทุนใน ARKG ด้วยเงิน $10,000 (ประมาณ 300,000 บาท) ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ซึ่งก็คือตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2014 ผ่านมาเป็นเวลา 6 ปี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2020 เงินลงทุนจะโตขึ้นจนเกือบแตะระดับ $35,000 (ประมาณ 1,050,000 บาท) เลยทีเดียว การเคลื่อนไหวของ NAV ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน
ข้อมูล ณ วันที่ 19 ม.ค. 2021
ที่มา: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การเคลื่อนไหวของ NAV หนึ่งปีที่ผ่านมา
ข้อมูล ณ วันที่ 19 ม.ค. 2021
ที่มา: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ความเสี่ยงของกองทุน TGENOME เห็นว่าทุกอย่างดูดีแสนดีไปหมด แต่ช้าก่อน! ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง การลงทุนใน TGENOME และธีม Genomics ก็เช่นกัน ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ซึ่งจะป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน โดย TGENOME ปัจจุบันป้องกันความเสี่ยงอยู่ที่ 90% (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2020)
ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของอุตสาหกรรม เพราะกองทุนเน้นลงทุนในธีม Genomics Revolution ที่เกี่ยวข้องกับ Healthcare จึงอาจจะเจอความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่ได้กระจายการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น ๆ หากใครกลัวความเสี่ยง อาจจะต้องใช้วิธี Asset Allocation กระจายเงินลงทุนในภาคส่วนอื่น ๆ ด้วย (แต่ถ้าใครสายซิ่ง จะลงกองนี้เน้น ๆ ก็ไม่ว่ากัน)
ความเสี่ยงด้านประเภทของบริษัท เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วบริษัทในอุตสาหกรรมนี้จะเป็นแนว Research & Development (เน้นวิจัยและพัฒนา) บริษัทกลุ่มนี้จึงไม่มีกำไร หรือถ้ามีก็ต่ำ (ดูได้จาก Appendix ที่หลาย ๆ บริษัทยังขาดทุน) แต่หากสามารถผ่าน อย. ได้ จะได้สิทธิบัตรมา ซึ่งทำให้มีรายได้มั่นคง สม่ำเสมอ และผูกขาดในสิทธิบัตรยา หรือ การรักษานั้น ๆ ต่อจากนั้นเป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี ซึ่งเราก็ต้องมาลุ้นกันว่าสิ่งที่บริษัทพัฒนามานานแสนนานนั้นจะได้รับการจดสิทธิบัตรหรือไม่ จะมีการใช้อย่างแพร่หลายจริง ๆ หรือไม่ เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่แท้จริง สรุปความน่าสนใจของการลงทุนในธีม Genomics กองทุน ARKG ซึ่งเราสามารถลงทุนได้ผ่านกองทุน TGENOME นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่สนใจอยากเกาะกระแสเทรนด์การรักษาสุขภาพรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและความก้าวหน้าด้านจีโนมมาช่วยยกระดับ แม้จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี จึงมีโอกาสที่ต้นทุนในการวิจัยและพัฒนาจะมีแนวโน้มถูกลง ในขณะที่การรักษาก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เทคโนโลยีนี้อาจจะถูกนำไปใช้ต่อยอด ใช้ประโยชน์ได้ในอีกหลายอุตสาหกรรม (ไม่ใช่แค่ Healthcare) เท่านั้น จึงมีโอกาสที่บริษัทธีม Genomics จะเติบโตสูงในอนาคต และเป็นโอกาสการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจ (ย้ำว่า “ระยะยาว”) ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน จึงอยากขอย้ำให้ทุกคนศึกษารายละเอียดสิ่งที่จะไปลงทุนให้ดี ๆ ก่อนนะ ข้อมูลอื่น ๆ ของกองทุน TGENOME มูลค่าขั้นต่ำการซื้อ = 1,000 บาท
ค่าธรรมเนียมขาเข้า = สูงสุดไม่เกิน 2.5% เก็บจริง 1%
ค่าธรรมเนียมขาออก = สูงสุดไม่เกิน 2.5% เก็บจริง 0.15%
ค่าธรรมเนียมการจัดการ = 1.07% ต่อปี
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด = 1.43719% ต่อปี Appendix: รายได้ และกำไรต่อหุ้น ของบริษัท 5 อันดับแรก พร้อมคาดการณ์ 2 ไตรมาสหน้า (ข้อมูลจาก Bloomberg) Pacific Bioscience Teladoc Twist Bioscience CRISPR CAREDX เพื่อนผู้ใจดี สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: ข้อมูลอ้างอิง
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวด Genomics ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | จุดเด่นของกองทุนเปิด ทิสโก้ Genomic Revolution หรือ TGENOME มีดังนี้
1. เข้าถึงนวัตกรรม: กองทุนมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจหลายขนาดที่มีธีมด้านนวัตกรรมด้าน Genomics อย่างเช่น ยีนบำบัด ชีวสารสนเทศ การคำนวณโดยใช้แบบจำลองทางชีววิทยา เวชศาสตร์ระดับโมเลกุล และนวัตกรรมด้านเภสัชศาสตร์ เรียกได้ว่าใครอิน ๆ กับ Genomics ลงกองนี้กองเดียวก็น่าจะพอใจกับประเภทนวัตกรรมที่ครอบคลุม
2. มีแนวโน้มการเติบโต: มุ่งหวังการเติบโตระยะยาว ด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่ากลยุทธ์การเติบโตทั่ว ๆ ไป และสวนทางกับกลยุทธ์ที่เน้นมูลค่า (Value Strategies)
3. กระจายความเสี่ยง: เพราะกองทุนเป็น Active ETF จึงไม่ได้ถือหุ้นที่ทับซ้อนกับดัชนีทั่ว ๆ ไปเท่าไรนัก หากถือกองนี้ร่วมกับกองอื่น ๆ ที่เป็นหุ้นตามดัชนีทั่วไป ก็ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี
4. วิจัยมาอย่างละเอียด: มีการทำวิจัยทั้งแบบ Top-Down และ Bottom-Up เพื่อค้นหาธุรกิจที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมได้ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1750 | Finance | แนวโน้มของตลาดคืออะไร หลังจากความเสี่ยงตลาดกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากภาวะวิกฤตที่หนักข้อมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมปี 2020 | การเดินทางมาถึงของผู้เปลี่ยนเกม
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีจุดจบ” — L. Frank Baum, The Marvelous Land of Oz — L. Frank Baum, The Marvelous Land of Oz เกมพลิกหลังจากบริษัท Pfizer (Moderna ก็ประกาศตามมาแบบติด ๆ) ออกมาประกาศเกี่ยวกับวัคซีนที่ทางบริษัทอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการรักษามากถึง 95% ซึ่งก็เหมือนกับการประกาศจุดจบให้กับ COVID-19 แบบกลาย ๆ ก่อนหน้านี้หลาย ๆ คนอาจนึกภาพไม่ออกว่าโลกนี้จะตกอยู่ในการแพร่ระบาดของโรคร้ายได้อย่างไร แต่หลังจากนี้ทุกคนคงจะไม่สามารถนึกภาพโลกที่ไม่มี COVID-19 ได้อีกแล้ว วัคซีนคิดค้นได้สำเร็จในเวลาที่เหมาะสมเพราะ COVID-19 กำลังกระจายออกไปทั่วโลก ยุโรปสั่งล็อคดาวน์รอบใหม่ในหลายพื้นที่ สหรัฐฯ เองก็กำลังพิจารณาการล็อคดาวน์แบบไม่ให้มีการเดินทางข้ามรัฐ เป็นความโชคดีที่อัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราผู้ติดเชื้อกลับสูงเป็นภูเขาทำให้ยังคงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ในบทบาทนักลงทุน ความท้าทายเราคือชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์ของอนาคตที่ไม่มี COVID-19 ด้วยความยากลำบากที่จะพาเราไปจุดนั้นได้ เกมพลิกหลังจากบริษัท Pfizer (Moderna ก็ประกาศตามมาแบบติด ๆ) ออกมาประกาศเกี่ยวกับวัคซีนที่ทางบริษัทอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการรักษามากถึง 95% ซึ่งก็เหมือนกับการประกาศจุดจบให้กับ COVID-19 แบบกลาย ๆ ก่อนหน้านี้หลาย ๆ คนอาจนึกภาพไม่ออกว่าโลกนี้จะตกอยู่ในการแพร่ระบาดของโรคร้ายได้อย่างไร แต่หลังจากนี้ทุกคนคงจะไม่สามารถนึกภาพโลกที่ไม่มี COVID-19 ได้อีกแล้ว วัคซีนคิดค้นได้สำเร็จในเวลาที่เหมาะสมเพราะ COVID-19 กำลังกระจายออกไปทั่วโลก ยุโรปสั่งล็อคดาวน์รอบใหม่ในหลายพื้นที่ สหรัฐฯ เองก็กำลังพิจารณาการล็อคดาวน์แบบไม่ให้มีการเดินทางข้ามรัฐ เป็นความโชคดีที่อัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราผู้ติดเชื้อกลับสูงเป็นภูเขาทำให้ยังคงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ในบทบาทนักลงทุน ความท้าทายเราคือชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์ของอนาคตที่ไม่มี COVID-19 ด้วยความยากลำบากที่จะพาเราไปจุดนั้นได้ รูปที่ 1 กราฟแสดงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐฯ และยุโรป
ที่มา: Bloomberg, Western Asset. As of 11 Nov 20 รูปที่ 1 กราฟแสดงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐฯ และยุโรป ที่มา: Bloomberg, Western Asset. As of 11 Nov 20 แนวโน้มของตลาดคือการมองการณ์ไกล หลังจากความเสี่ยงตลาดกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากภาวะวิกฤตที่หนักข้อมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ทุกคนต่างเชื่อและคาดหวังว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จะสามารถช่วยให้เราชนะในสงครามที่หนักหนานี้กับ COVID-19 ได้ ถึงแม้ว่าการกลับมาของ COVID-19 จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางเศรษฐกิจที่ระมัดระวังมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจโลกซบเซายังคงอยู่ในระดับที่อันตราย แต่ตลาดต่าง ๆ ก็ต่างพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับอนาคตที่คาดว่าจะแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างมีนัยสำคัญ แนวโน้มของตลาดคือการมองการณ์ไกล หลังจากความเสี่ยงตลาดกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากภาวะวิกฤตที่หนักข้อมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ทุกคนต่างเชื่อและคาดหวังว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จะสามารถช่วยให้เราชนะในสงครามที่หนักหนานี้กับ COVID-19 ได้ ถึงแม้ว่าการกลับมาของ COVID-19 จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางเศรษฐกิจที่ระมัดระวังมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจโลกซบเซายังคงอยู่ในระดับที่อันตราย แต่ตลาดต่าง ๆ ก็ต่างพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับอนาคตที่คาดว่าจะแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือไทม์ไลน์ หน่วยปฎิบัติการเฉพาะกิจไวรัสโคโรน่าของเราเชื่อว่ามันยังมีความลำบากอยู่ในการที่จะผลิตวัคซีน การยอมรับ การแจกจ่าย และการที่ทุกคนทั่วโลกจะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงคงจะใช้เวลาเป็นครึ่งปี แต่หลังจากที่ทางการแพทย์ให้วัคซีนกับผู้ที่ทำงานในแนวหน้า คนที่มีอาการอยู่ก่อนแล้ว และคนชราไปแล้ว การฉีดวัคซีนก็จะแผ่วงกว้างไปเรื่อย ๆ และนั่นน่าจะทำให้ความวิตกกังวลทางเศรษฐกิจของสังคม และความคิดที่จะล็อคดาวน์นั้นหายไป สิ่งที่เปลี่ยนไปคือไทม์ไลน์ หน่วยปฎิบัติการเฉพาะกิจไวรัสโคโรน่าของเราเชื่อว่ามันยังมีความลำบากอยู่ในการที่จะผลิตวัคซีน การยอมรับ การแจกจ่าย และการที่ทุกคนทั่วโลกจะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงคงจะใช้เวลาเป็นครึ่งปี แต่หลังจากที่ทางการแพทย์ให้วัคซีนกับผู้ที่ทำงานในแนวหน้า คนที่มีอาการอยู่ก่อนแล้ว และคนชราไปแล้ว การฉีดวัคซีนก็จะแผ่วงกว้างไปเรื่อย ๆ และนั่นน่าจะทำให้ความวิตกกังวลทางเศรษฐกิจของสังคม และความคิดที่จะล็อคดาวน์นั้นหายไป เราคิดว่าความเสี่ยงต่าง ๆ ในภาคตราสารหนี้ถูกนำไปพูดเกินจริงจนทำให้ผู้คนตระหนกจากการระบาดใหญ่ของโรคนี้ แต่พวกเราเชื่อว่าในสุดท้ายแล้วด้วยนโยบายช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อฟื้นตัวจากสถาการณ์อันน่าเศร้านี้จะเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วน ต่อไปจากนี้ พวกเรารู้สึกว่าตลาดจะมองตราสารหนี้ในแง่ที่ดีมากขึ้น เราคาดว่าหนี้สินของประเทศกำลังพัฒนา (EM) จะดีขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเหล่าประเทศกำลังพัฒนาจะกำลังเจอกับความท้าทายที่ใหญ่หลวงทางด้านการแพทย์และการคลังแต่การเติบโตที่ดูเหมือนจะมั่นคงของเศรษฐกิจโลกจะดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ของ EM เราคิดว่าความเสี่ยงต่าง ๆ ในภาคตราสารหนี้ถูกนำไปพูดเกินจริงจนทำให้ผู้คนตระหนกจากการระบาดใหญ่ของโรคนี้ แต่พวกเราเชื่อว่าในสุดท้ายแล้วด้วยนโยบายช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อฟื้นตัวจากสถาการณ์อันน่าเศร้านี้จะเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วน ต่อไปจากนี้ พวกเรารู้สึกว่าตลาดจะมองตราสารหนี้ในแง่ที่ดีมากขึ้น เราคาดว่าหนี้สินของประเทศกำลังพัฒนา (EM) จะดีขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเหล่าประเทศกำลังพัฒนาจะกำลังเจอกับความท้าทายที่ใหญ่หลวงทางด้านการแพทย์และการคลังแต่การเติบโตที่ดูเหมือนจะมั่นคงของเศรษฐกิจโลกจะดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ของ EM วิกฤตโควิดคงจะยังไม่จบลงง่าย ๆ และอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอันใกล้อนาคต แต่หลังจากที่เรามีการใช้วัคซีนกันอย่างแพร่หลายแล้วนโยบายช่วยเหลือทางการคลังมากมายคงจะค่อย ๆ ลดลง ส่วนในระยะยาวอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดความจำเป็นในการผ่อนปรนทางการคลัง และการเก็บภาษีที่สูงขึ้น วิกฤตโควิดคงจะยังไม่จบลงง่าย ๆ และอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอันใกล้อนาคต แต่หลังจากที่เรามีการใช้วัคซีนกันอย่างแพร่หลายแล้วนโยบายช่วยเหลือทางการคลังมากมายคงจะค่อย ๆ ลดลง ส่วนในระยะยาวอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดความจำเป็นในการผ่อนปรนทางการคลัง และการเก็บภาษีที่สูงขึ้น แล้วอะไรบ้างที่จะไม่เปลี่ยนไปเลย? สิ่งนั้นคือความไม่สมดุลในนโยบายทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ พวกเขาอาจจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมาก ๆ เป็นปี ๆ นักธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วต่าง ๆ ทั่วโลกเองก็แสดงออกกันอย่างชัดเจนว่าอยากให้เก็บภาษี ในอัตราที่ “น้อย ๆ แต่นาน ๆ” สิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดและสำคัญที่สุดตอนนี้คืออัตราการว่างงานที่ดูเหมือนจะคงที่และไม่ลดลงเลย ผู้คนยังคง “หวาดกลัว” ต่อการไม่ได้งานเก่าหรืองานเสริมคืน รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงานคนก็จะยิ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการจ้างแรงงานแบบเดิมอีกด้วย แล้วอะไรบ้างที่จะไม่เปลี่ยนไปเลย? สิ่งนั้นคือความไม่สมดุลในนโยบายทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ พวกเขาอาจจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมาก ๆ เป็นปี ๆ นักธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วต่าง ๆ ทั่วโลกเองก็แสดงออกกันอย่างชัดเจนว่าอยากให้เก็บภาษี ในอัตราที่ “น้อย ๆ แต่นาน ๆ” สิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดและสำคัญที่สุดตอนนี้คืออัตราการว่างงานที่ดูเหมือนจะคงที่และไม่ลดลงเลย ผู้คนยังคง “หวาดกลัว” ต่อการไม่ได้งานเก่าหรืองานเสริมคืน รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงานคนก็จะยิ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการจ้างแรงงานแบบเดิมอีกด้วย สหรัฐฯ คงจะเป็นประเทศที่ใช้นโยบายทางด้านการเงินได้ชัดเจนมากที่สุดแล้วในตอนนี้ จากเหตุการณ์เงินเฟ้ออย่างเรื้อรังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจต้องใช้เวลาอีกเป็น 10 ปีเพื่อขยายตัวทางเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ขยายบัญชีงบดุลแบบมากมายมหาศาลโดย 3 เดือนที่ผ่านมาพวกเขาใช้งบไปมากกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลก Fed เผยว่า “พวกเราจะยอมแลกด้วยทุกอย่าง” และพวกเขาได้ทบทวนนโยบายระยะยาวในการเปลี่ยนแปลงบทบาทการตอบสนองต่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ (dovish) ที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นอีกด้วย Fed ยอมรับว่ามีแนวโน้มที่เงินจะเฟ้ออย่างน้อย 2% และจะไต่ระดับขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ แต่ถึงยังไงมันก็คงจะต้องถูกจัดให้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าสูงกว่าเกณฑ์อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ (อาจจะ 1 ปี? 2 ปี?) หากเกิดภาวะเงินเฟ้อระดับสูงร่วมด้วยแบบนี้ Fed ก็คงต้องยกระดับของอัตราการว่างงานเช่นกัน การจ้างงานเต็มที่จะต้องเกิดขึ้นในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวไว้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจนี้ใช้เวลาไปแล้วกว่า 6-7 ปี แน่นอนว่าถ้ามีอะไรติดขัด Fed ก็จะต้องรีบแก้ไขและหากการฟื้นตัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว Fed น่าจะต้อง “คิดให้ถี่ถ้วนมาก ๆ ก่อนที่จะขึ้นค่าภาษีต่าง ๆ” สหรัฐฯ คงจะเป็นประเทศที่ใช้นโยบายทางด้านการเงินได้ชัดเจนมากที่สุดแล้วในตอนนี้ จากเหตุการณ์เงินเฟ้ออย่างเรื้อรังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจต้องใช้เวลาอีกเป็น 10 ปีเพื่อขยายตัวทางเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ขยายบัญชีงบดุลแบบมากมายมหาศาลโดย 3 เดือนที่ผ่านมาพวกเขาใช้งบไปมากกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลก Fed เผยว่า “พวกเราจะยอมแลกด้วยทุกอย่าง” และพวกเขาได้ทบทวนนโยบายระยะยาวในการเปลี่ยนแปลงบทบาทการตอบสนองต่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ (dovish) ที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นอีกด้วย Fed ยอมรับว่ามีแนวโน้มที่เงินจะเฟ้ออย่างน้อย 2% และจะไต่ระดับขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ แต่ถึงยังไงมันก็คงจะต้องถูกจัดให้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าสูงกว่าเกณฑ์อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ (อาจจะ 1 ปี? 2 ปี?) หากเกิดภาวะเงินเฟ้อระดับสูงร่วมด้วยแบบนี้ Fed ก็คงต้องยกระดับของอัตราการว่างงานเช่นกัน การจ้างงานเต็มที่จะต้องเกิดขึ้นในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวไว้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจนี้ใช้เวลาไปแล้วกว่า 6-7 ปี แน่นอนว่าถ้ามีอะไรติดขัด Fed ก็จะต้องรีบแก้ไขและหากการฟื้นตัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว Fed น่าจะต้อง “คิดให้ถี่ถ้วนมาก ๆ ก่อนที่จะขึ้นค่าภาษีต่าง ๆ” ทั้งข่าวดีจากการคิดค้นวัคซีน การเคลื่อนไหวอย่างมีเหตุผลของเศรษฐกิจปัจจุบัน และความเป็นไปได้ของมาตราการช่วยเหลือทางการคลังเพิ่มขึ้นมาจะสามารถช่วยพยุงตลาดสเปรดตราสารหนี้ไว้ได้ Fed ตั้งความหวังไว้ว่าพวกเขาจะสามารถลดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงนี้ได้ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นไปได้ยากก็ตาม ความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ของ Fed ในแนวทางการจัดการกับความไม่สมดุลของพวกเขานั้นดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนถึงแม้ว่าจะต้องเจอกับวิกฤตโควิดที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม แถมนโยบาย ”น้อย ๆ แต่นาน ๆ” ยังช่วยให้เห็นอีกว่าอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ (Treasury duration) สามารถช่วยเสริมให้พอร์ตของสินทรัพย์ดูสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งข่าวดีจากการคิดค้นวัคซีน การเคลื่อนไหวอย่างมีเหตุผลของเศรษฐกิจปัจจุบัน และความเป็นไปได้ของมาตราการช่วยเหลือทางการคลังเพิ่มขึ้นมาจะสามารถช่วยพยุงตลาดสเปรดตราสารหนี้ไว้ได้ Fed ตั้งความหวังไว้ว่าพวกเขาจะสามารถลดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงนี้ได้ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นไปได้ยากก็ตาม ความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ของ Fed ในแนวทางการจัดการกับความไม่สมดุลของพวกเขานั้นดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนถึงแม้ว่าจะต้องเจอกับวิกฤตโควิดที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม แถมนโยบาย ”น้อย ๆ แต่นาน ๆ” ยังช่วยให้เห็นอีกว่าอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ (Treasury duration) สามารถช่วยเสริมให้พอร์ตของสินทรัพย์ดูสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เนื้อหาต้นฉบับโดย Ken Leech
Chief Investment Officer, Western Asset เนื้อหาต้นฉบับโดย Ken Leech
Chief Investment Officer, Western Asset เนื้อหาต้นฉบับโดย Ken Leech
Chief Investment Officer, Western Asset เนื้อหาต้นฉบับโดย Ken Leech
Chief Investment Officer, Western Asset เรียบเรียงโดย FINNOMENA Admin ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล | เกมพลิกหลังจากบริษัท Pfizer ออกมาประกาศเกี่ยวกับวัคซีนที่ทางบริษัทอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการรักษามากถึง 95% ซึ่งก็เหมือนกับการประกาศจุดจบให้กับ COVID-19 แบบกลาย ๆ ก่อนหน้านี้หลาย ๆ คนอาจนึกภาพไม่ออกว่าโลกนี้จะตกอยู่ในการแพร่ระบาดของโรคร้ายได้อย่างไร แต่หลังจากนี้ทุกคนคงจะไม่สามารถนึกภาพโลกที่ไม่มี COVID-19 ได้อีกแล้ว วัคซีนคิดค้นได้สำเร็จในเวลาที่เหมาะสมเพราะ COVID-19 กำลังกระจายออกไปทั่วโลก ยุโรปสั่งล็อคดาวน์รอบใหม่ในหลายพื้นที่ สหรัฐฯ เองก็กำลังพิจารณาการล็อคดาวน์แบบไม่ให้มีการเดินทางข้ามรัฐ เป็นความโชคดีที่อัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราผู้ติดเชื้อกลับสูงเป็นภูเขาทำให้ยังคงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ในบทบาทนักลงทุน ความท้าทายคือ ชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์ของอนาคตที่ไม่มี COVID-19 ด้วยความยากลำบากที่จะพาไปจุดนั้นได้
แนวโน้มของตลาดคือ การมองการณ์ไกล หลังจากความเสี่ยงตลาดกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากภาวะวิกฤตที่หนักข้อมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมปี 2020 ทุกคนต่างเชื่อและคาดหวังว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จะสามารถช่วยให้เราชนะในสงครามที่หนักหนานี้กับ COVID-19 ได้ ถึงแม้ว่าการกลับมาของ COVID-19 จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางเศรษฐกิจที่ระมัดระวังมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจโลกซบเซายังคงอยู่ในระดับที่อันตราย แต่ตลาดต่าง ๆ ก็ต่างพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับอนาคตที่คาดว่าจะแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ไทม์ไลน์ หน่วยปฎิบัติการเฉพาะกิจไวรัสโคโรน่า เชื่อว่ามันยังมีความลำบากอยู่ในการที่จะผลิตวัคซีน การยอมรับ การแจกจ่าย และการที่ทุกคนทั่วโลกจะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงคงจะใช้เวลาเป็นครึ่งปี แต่หลังจากที่ทางการแพทย์ให้วัคซีนกับผู้ที่ทำงานในแนวหน้า คนที่มีอาการอยู่ก่อนแล้ว และคนชราไปแล้ว การฉีดวัคซีนก็จะแผ่วงกว้างไปเรื่อย ๆ และนั่นน่าจะทำให้ความวิตกกังวลทางเศรษฐกิจของสังคม และความคิดที่จะล็อคดาวน์นั้นหายไป | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1761 | Finance | นิยามของ Yield ในเชิงคำนวณ (อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล / ตราสารหนี้) คืออะไร | “Yield” นั้นสำคัญไฉน
หลาย ๆ ท่านที่เป็นนักลงทุนคงติดตามปัจจัย และตัวแปรต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโต GDP, เงินเฟ้อ, ค่าเงิน, ดอกเบี้ย วันนี้ผมขอนำเสนออีกตัวแปรหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวแปรอื่นที่ กล่าวมาข้างต้น นั่นคือ “ยิลด์ (Yield)” Yield คืออะไร? Yield หากแปลอย่างตรงไปตรงมาก็คือ “ผลตอบแทน” ของสินทรัพย์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างคาดหวังและให้ความสำคัญจากการลงทุน ซึ่งอาจจะยกตัวอย่าง Yield ผ่านสินทรัพย์รูปแบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1) หุ้นสามัญ (Common stock) คือ หุ้นที่ถือครองแล้วมีสิทธิในการออกเสียงร่วมกับบริษัท โดยหุ้นที่คนส่วนใหญ่พูดถึงและซื้อขายจะเป็นหุ้นในส่วนนี้ซักส่วนใหญ่ ตราสารชนิดนี้อาจให้ Yield ในรูปแบบของ “การปันผล” หรือ Dividend yield 2) หุ้นบุริมสุทธิ (Preferred stock) คือ หุ้นที่หากถือครองแล้วไม่ได้สิทธิในการออกเสียง แต่จะได้รับ “เงินปันผล” ต่อเนื่องในอัตราที่ตกลงไว้ และได้รับการจ่ายปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ ตราสารชนิดนี้อาจให้ Yield ในรูปแบบของ “การปันผล” หรือ Dividend yield 3) หุ้นบุริมสุทธิแปลงสภาพ (Convertible preferred stock) คือ หุ้นบุริมสุทธิที่เพิ่มสิทธิให้กับผู้ถือครองในการเปลี่ยนหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นสามัญภายใต้เวลาที่กำหนด และอาจมีเงื่อนไขอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่นผู้ออกตราสารอาจออกข้อกำหนดในการ “บังคับเปลี่ยนแปลงสภาพ” เพิ่มเติมได้ ตราสารชนิดนี้อาจให้ Yield ในรูปแบบของ “การปันผล” หรือ Dividend yield ดังเช่น หุ้นบุริมสุทธิ 4) หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible bond) คือ หุ้นกู้ที่สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นหุ้นที่บริษัทนั้น ๆ ออกได้ และอาจมีเงื่อนไขอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่นผู้ออกตราสารอาจออกข้อกำหนดในการ “บังคับเปลี่ยนแปลงสภาพ” เพิ่มเติมได้ ตราสารชนิดนี้อาจให้ Yield ในรูปแบบของ “Bond yield” ที่อาจแตกต่างกันออกไปตามอายุของตราสาร 5) ตราสารหนี้ต่าง ๆ (Fixed income) คือ การออกตราสารเพื่อเพิ่มทุนจากรัฐบาลหรือบริษัท โดยตราสารหนี้จากภาครัฐ จะถูกเรียกว่า “พันธบัตรรัฐบาล” ในขณะที่ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทจะถูกเรียกว่า “หุ้นกู้เอกชน” ตราสารชนิดนี้อาจให้ Yield ในรูปแบบของ “Bond yield” หรือผลตอบแทนหุ้นกู้ในส่วนของหุ้นกู้เอกชน และ “Treasury yield” หรือผลตอบแทนพันธบัตรในส่วนของพันธบัตร โดยผลตอบแทนอาจแตกต่างกันออกไปตามอายุของตราสาร เช่นกัน อย่างไรก็ตามนับจากนี้เป็นการอธิบาย Yield ในส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล ในเชิงคำนวณ นิยามของ Yield (อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล / ตราสารหนี้)แบบเข้าใจง่าย คือผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือพันธบัตรนั้น ๆ ในกรณีที่ถือจนครบอายุ (Hold to maturity) พันธบัตรแต่ละตัวจะมีคูปองหน้าตั๋วของตัวมันเอง เช่น พันธบัตร LB145B (ครบอายุปี 2014 รุ่น B หรืออายุคงเหลือประมาณ 5 ปี) มีคูปองหน้าตั๋วอยู่ที่ 5.25% นั่นคือถ้าซื้อพันธบัตรที่ราคาพาร์ 1,000 บาท จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 5.25% แต่ปัจจุบัน Yield ของพันธบัตรดังกล่าวที่ซื้อขายในตลาดอยู่ที่ระดับ 3.50% ถ้าไปดูราคาตลาดของพันธบัตรใบนี้จะพบว่าปัจจุบันอยู่ในระดับ 1,100 บาท นั่นคือราคาซื้อขายของตราสารใบนี้สูงกว่าราคาพาร์ (Premium) โดยนักลงทุนที่ซื้อต้องจ่ายเงินลงทุน 1,100 บาท และได้คูปองปีละ 5.25% (คิดเป็น 52.5 บาทต่อปี) โดยเมื่อพันธบัตรครบอายุในปี 2014 ก็สามารถนำไปไถ่ถอนคืนเงินต้นได้ที่ราคา 1,000 บาท คิด เป็นตัวเลขคร่าว ๆ คือ ลงทุนวันนี้ 1,100 บาท อีก 5 ปีไถ่ถอนได้เงินคืน 1,000 บาท ก็คือขาดทุนปีละ 20 บาท เมื่อมารวมกับดอกเบี้ยปีละ 52.5 บาท Net แล้วคือได้ดอกเบี้ยประมาณ 32.5 บาท (เมื่อคิดรวมกับหลัก Present Value แล้วจะได้เป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีหรือ Yield 3.50% พอดี) ความสำคัญของ Yield Yield นับเป็นดอกเบี้ยตัวหนึ่งที่สะท้อนการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคตของตลาด เช่นในปี 2008 ช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย. ที่ Yield พันธบัตร 2 ปี ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากประมาณ 3% ไปถึงระดับเกือบ 5% (ตามรูป) เนื่องจากในช่วงนั้นเงินเฟ้อของไทยขึ้นไปถึงประมาณ 9% ทำให้นักลงทุนคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่แบงค์ชาติจะขึ้นดอกเบี้ยได้มาก ซึ่งหลังจากนั้นในช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค. แบงค์ชาติก็ได้ขึ้นดอกเบี้ยจาก 3.25% ไปสู่ 3.75% โดยสรุปคือ Yield มักจะเป็น Leading indicator ที่ดีของทิศทางดอกเบี้ยของประเทศนั่นเอง นัยต่อการลงทุน และการทำธุรกิจ ใน ภาวะปัจจุบันที่ Yield 2 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 2% นำหน้าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยมีแนวโน้มจะปรับตัว เพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ หาก เห็นว่า Yield เป็นแนวโน้มขาขึ้นการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ก็ควรลงทุนในระยะสั้น เพื่อรอให้ Yield ขึ้นไปจนถึงระดับที่สูงกว่านี้ค่อยล็อคเงินลงทุนยาวและได้ผลตอบแทนที่สูง ขึ้น (ถ้าถือตราสารหนี้ระยะยาวแล้ว Yield ปรับขึ้น จะทำให้มูลค่าตามราคาตลาดลดลง หรือขาดทุน) ในแง่ของการลงทุนในตลาดหุ้น ถ้าแนวโน้มดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เราก็ควรนำไปเป็นปัจจัยลบตัวหนึ่งสำหรับบริษัทที่มีภาระหนี้สินเยอะ หรือแม้แต่ภาคอสังหาที่ภาวะดอกเบี้ยขึ้นจะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และสุดท้ายในมุมของผู้ประกอบการที่ต้องใช้สินเชื่อ เมื่อเห็นดังนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะทำการขอสินเชื่ออายุค่อนข้างยาว หรือพยายามจัดสินเชื่อให้เป็นดอกเบี้ยคงที่เพื่อกันความเสี่ยงของต้นทุน ดอกเบี้ยในอนาคต
สรุป แล้ววันนี้ผมจะมาบอกว่า “Yield” เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนควรติดตามและใช้ในการวิเคราะห์การลงทุน ยิ่งรู้ได้มากกว่าก็ยิ่งได้เปรียบนะครับ (ติดตามการเคลื่อนไหวของ Yield และรายงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ใน และ โดย เจษฎา สุขทิศ,CFA. | นิยามของ Yield ในเชิงคำนวณ คือ ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือพันธบัตรนั้น ๆ ในกรณีที่ถือจนครบอายุ (Hold to maturity) พันธบัตรแต่ละตัวจะมีคูปองหน้าตั๋วของตัวมันเอง เช่น พันธบัตร LB145B (ครบอายุปี 2014 รุ่น B หรืออายุคงเหลือประมาณ 5 ปี) มีคูปองหน้าตั๋วอยู่ที่ 5.25% นั่นคือ ถ้าซื้อพันธบัตรที่ราคาพาร์ 1,000 บาท จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 5.25%
แต่ ณ ปี 2564 Yield ของพันธบัตรดังกล่าวที่ซื้อขายในตลาดอยู่ที่ระดับ 3.50% ถ้าไปดูราคาตลาดของพันธบัตรใบนี้จะพบว่าอยู่ในระดับ 1,100 บาท นั่นคือ ราคาซื้อขายของตราสารใบนี้สูงกว่าราคาพาร์ (Premium) โดยนักลงทุนที่ซื้อต้องจ่ายเงินลงทุน 1,100 บาท และได้คูปองปีละ 5.25% (คิดเป็น 52.5 บาทต่อปี) โดยเมื่อพันธบัตรครบอายุในปี 2014 ก็สามารถนำไปไถ่ถอนคืนเงินต้นได้ที่ราคา 1,000 บาท
คิดเป็นตัวเลขคร่าว ๆ คือ ลงทุนวันนี้ 1,100 บาท อีก 5 ปีไถ่ถอนได้เงินคืน 1,000 บาท ก็คือ ขาดทุนปีละ 20 บาท เมื่อมารวมกับดอกเบี้ยปีละ 52.5 บาท Net แล้วคือ ได้ดอกเบี้ยประมาณ 32.5 บาท (เมื่อคิดรวมกับหลัก Present Value แล้วจะได้เป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีหรือ Yield 3.50% พอดี) | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1768 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงแกนธุรกิจได้ถูกต้อง | a. คนในครอบครัวเริ่มเข้าสู่ธุรกิจ ก็เริ่มมีปัญหา
b. มี 4 ระยะ
c. ธุรกิจที่กำลังจะส่งต่อ ส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะที่เติบโตเต็มที่แล้ว
d. ยิ่งครอบครัวใหญ่ ปัญหาก็ยิ่งตามมา
e. แต่ละระยะบ่งบอกถึงขนาดของครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น | คำตอบที่ถูกต้องคือ c. ธุรกิจที่กำลังจะส่งต่อ ส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะที่เติบโตเต็มที่แล้ว
เนื่องจาก แกนธุรกิจมี 3 ระยะ ได้แก่ เริ่มต้นธุรกิจ ธุรกิจกำลังเติบโต และเติบโตเต็มที่แล้ว ซึ่งโดยทั่วไป เจ้าของที่เป็นรุ่นที่ 1 มักจะทำผ่านช่วงเริ่มต้นมาและเติบโตมาหมดแล้ว ธุรกิจที่กำลังจะส่งต่อส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะที่ “เติบโตเต็มที่แล้ว”
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นสำหรับธุรกิจที่กำลังจะส่งต่อ คือ
- กลยุทธ์ที่จะสร้าง S-Curve เพื่อให้ธุรกิจเติบโตขึ้น ซึ่งอาจจะลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกันหรือไม่เกี่ยวกัน
- ขาดมืออาชีพมาช่วยบริหารในกิจการเติบโต
- ขาดโครงสร้างธุรกิจที่จะ Scale Out ได้
- บริหารสินทรัพย์ครอบครัวอย่างไรให้เติบโตทันสมาชิกครอบครัว เมื่อจำนวนสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น ทำอย่างไรให้เงินกงสีที่ได้จากธุรกิจเพิ่มทันการใช้จ่ายเงินของสมาชิกในครอบครัว | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1771 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงบทเรียน Winning traders have a specific methodology จากหนังสือ Unknown Market Wizards: The best traders you’ve never heard of ได้ถูกต้อง | A. ไม่มีเส้นทางในการประสบความสำเร็จแค่ทางเดียว
B. Market Wizard แต่ละคน ไม่มีใครใช้รูปแบบที่เหมือนกัน
C. จงรู้จักความสามารถและแนวทางที่ตัวเองถนัด
D. Market Wizard ทุกคนเริ่มจากความพ่ายแพ้
E. การรอคอยเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน | ข้อที่ถูกต้องคือ B. เพราะว่า บทเรียน Winning traders have a specific methodology จากหนังสือ Unknown Market Wizards: The best traders you’ve never heard of กล่าวว่า Market Wizard แต่ละคน ไม่มีใครใช้รูปแบบที่เหมือนกัน ยกตัวอย่างสัก 2 คน ให้ได้เห็นภาพ
คนที่หนึ่ง Chris Camillo: Neither
ผู้ซึ่งไม่ใช้ทั้งปัจจัยด้านเทคนิคและพื้นฐาน เขาใช้รูปแบบที่เรียกกว่า social arbitrage เขาเป็นเจ้าของ Tickertags เขาให้เจ้าสิ่งนี้รับข้อมูลจาก Twitter และ social media อื่น ๆ มาวิเคราะห์เพื่อทำนายแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เขาเองได้ลงสำรวจตลาดด้วยตัวเองอีกด้วย ดังนั้นเหล่า fund manager ใน Wall Street ยังไม่รับรู้ว่าจะมีอะไรขึ้นขึ้น หนังสือที่เขาชอบอ่านเป็นหนังสือของ Peter Lynch ผู้จัดการกองทุนระดับตำนาน ซึ่งเขาใช้หลักการของ Peter Lynch ในการหาหุ้น แต่เปลี่ยนจากการเดินสำรวจตลาดปกติ เป็นใน social media และ data analytic ในการช่วยวิเคราะห์ เขาได้เขียนหนังสือ “Laughing at Wall Street” อีกด้วย
คนที่สอง Jeffrey Neumann : Penny Wise , Dollar Wise
คนนี้เริ่มต้นเป็น Day trade โดยเน้นไปที่ Penny Stock (หุ้นเศษสตางค์ หรือ หุ้นต่ำบาท) จากนั้นเปลี่ยนแนวไปเป็น swing trader โดยแนวทางจะคล้ายกับ Jesse Livermore เลือกหุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยนแปลง มีตัวเร่งของกำไร โดยจะใช้ปัจจัยด้านเทคนิค เขาจะสำรวจตลาดและเลือกในสินค้าและลองใช้สินค้าด้วยตัวเองเสมอ ซึ่งก็เหมือน สูตร “Ten Baggers” หุ้นสิบเด้งของ Peter Lynch
จากตัวอย่างแค่ 2 คน จะเห็นได้ว่า Trader ผู้ชนะจะมีกระบวนการและรูปแบบการลงทุนเฉพาะของตัวเอง อาจจะผสมทั้งด้านปัจจัยเทคนิคและพื้นฐาน หรือ ใช้แค่ปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1791 | Finance | กองทุน KFGBRANSSF และ KFGBRANRMF ลงทุนในอะไรบ้าง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563) | ประชันกองทุน KFGBRANSSF vs KFGBRANRMF vs KFGTECHRMF คู่หูกองประหยัดภาษีที่ต้องมีไว้ประดับพอร์ต
ปลายปีกันแล้วก็ไม่แคล้วต้องพูดถึงเรื่องกองประหยัดภาษี หลังจากได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ หรือพี่เลี๊ยก ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือกของ บลจ.กรุงศรี เรื่องการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศผ่านกองทุนประหยัดภาษีทั้ง 3 กองทุนที่เรียกได้ว่ามีความโดดเด่น มีความเก่งคนละอย่าง KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ลงทุนในผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ดังที่อยู่รอบตัวเราเช่น Dettol, Strepsils และ Durex รวมไปถึงสินค้าในชีวิตประจำวันต่าง ๆ สำหรับคุณผู้ชายอย่าง Gillette หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่แม่บ้านต้องมีติดตัวอย่าง Vanish ส่วน KFGTECHRMF ก็เป็นกองทุนที่ลงทุนเน้นหุ้นเทคโนโลยีสาย Software, Internet และ Semiconductor ชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Amazon, Netflix และ Salesforce กองไหนดีกว่า เด่นกว่ายังไง ผมขออนุญาตเป็นตัวแทนนักลงทุนในการเจาะลึกข้อมูล เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อกองทุนประหยัดภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปีครับ กองทุนแรก KFGBRANSSF และ KFGBRANRMF หลายๆท่านน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะถือเป็นกองทุนที่มี Theme การลงทุนหลักคือ “แบรนด์” ลงทุนในบริษัทข้าวของแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียง เลียนแบบยากและมีฐานลูกค้าทั่วโลก อีกทั้งยังลงทุนในบริษัทที่มีสินค้าที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้กระแสรายได้ของบริษัท มีความมั่นคงกว่า และผันผวนต่ำกว่าหากเกิดวิกฤติ กลยุทธ์การลงทุนของ KFGBRANSSF และ KFGBRANRMF KFGBRANSSF และ KFGBRANRMF มีกลยุทธ์ในการเลือกลงทุน 3 อย่างด้วยกันคือ ลงทุนในบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและมี Loyalty – ข้อดีของการมีแบรนด์แข็งแกร่ง และ Loyalty สูงคือ ลูกค้าจะติดสินค้าของบริษัทมากๆ จนราคาไม่ใช่ประเด็นหลักในการเลือกซื้อ และทำให้สุดท้ายแม้บริษัทจะขึ้นราคาสินค้าก็ยังขายดีอยู่ ลงทุนในบริษัทที่ทำสินค้าหรือบริการที่คนใช้ในชีวิตประจำวัน – สินค้าที่คนใช้ในชีวิตประจำวันหมายความว่าไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีคนก็ยังต้องใช้ เศรษฐกิจดีหรือไม่คนก็ยังต้องใช้สบู่อาบน้ำ คนก็ยังต้องซื้อน้ำยาถูพื้นมาถูพื้น เลือกหุ้นคุณภาพสูง แบบ High Conviction – กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นเน้น ๆ เพียง 32 ตัวเท่านั้นนะครับ โดยหุ้น 10 ตัวแรกของกองทุนมีสัดส่วนสูงถึง 57.4% KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ลงทุนในอะไรบ้าง? KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ลงทุนใน Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund ซึ่งลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นแบรนด์ที่เราคุ้นหูกันดีอยู่แล้ว มีสัดส่วนหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 ลำดับแรกตามนี้ครับ KFGBRANSSF Reckitt Benckiser 9% – ยักษ์ใหญ่ Consumer Product แบรนด์ดังจากสหราชอาณาจักร
Microsoft 8.5% – บริษัท IT ที่แทบทุกคนในไทยต้องรู้จัก เจ้าของซอฟท์แวร์ชื่อดังอย่าง Windowsและ Office
Phillip Morris 7.6%- เจ้าของบุหรี่ Marlboro, L&M, Phillip Morris และบุหรี่ไฟฟ้าอย่าง IQOS
Visa 5.3% – หนึ่งในสองของผู้นำตลาดบัตรเครดิตที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,100 ล้านคนทั่วโลก
Procter & Gamble 4.9% – ยักษ์ใหญ่ Consumer Product อีกรายที่มีแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง มีดโกน Gillette, แชมพู Head & Shoulders และยาสีฟัน Oral-B จะเห็นว่าไม่ว่าจะทั้งแบรนด์หรือสินค้าที่บริษัทผลิตล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่ต้องใช้ทุกวัน และมีการทำตลาดไปทั่วโลก ความแข็งแกร่งของแบรนด์นั้นสูงมากๆ สัดส่วนการลงทุนของ Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund ที่มา: บลจ.กรุงศรี ณ 30 ก.ย. 2563 คุณภาพสูงในสไตล์แบบ KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ไม่ได้มีแค่แบรนด์ เพราะการมี “แบรนด์” ไม่ใช่แค่การมี “เครื่องหมายการค้า” การจะบอกได้ว่าแบรนด์นั้นทรงพลังหรือไม่อยู่ที่การที่สินค้าของบริษัทเรียกกำไรจากลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน กำไรมากแปลว่าแบรนด์แข็งแกร่งมาก กำไรน้อยก็อาจจะแปลได้ว่าแบรนด์ไม่แข็งแรงพอ ทำให้เกิดการแข่งขันและลูกค้าตัดสินใจด้วยราคา ใครถูกกว่าเอาอันนั้น การจะรู้ว่าแบรนด์นั้นดีจริงหรือไม่สามารถดูได้ผ่านอัตราส่วนทางการเงิน ROOCE (Return on Operating Capital Employed) – ผลตอบแทนจากเงินลงทุน ยิ่งสูงยิ่งดี หุ้นที่กองทุนลงทุนมี ROOCE เฉลี่ยที่ 54.7% เทียบกับค่าเฉลี่ยในตลาดโลกผ่านดัชนีหุ้นโลกอย่าง MSCI World Index GPM (Gross Profit Margin) – อัตรากำไรขั้นต้นยิ่งสูงยิ่งดี ซึ่งหุ้นที่กองทุนลงก็มีกำไรขั้นต้นในระดับ 52.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 27.4% Capex/Sales – หรือมูลค่าการลงทุนต่อรายได้ อันนี้ยิ่งน้อยยิ่งดีแปลว่าแบรนด์ติดแล้วไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติมมากก็สามารถทำยอดขายได้ Capex/Sales ของกองทุนอยู่ที่ 4.4 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดที่ 6.9 เท่า ซึ่งประสิทธิภาพทางการเงินเหล่านี้ส่งผลต่อมาที่ราคาหุ้น ทำให้เมื่อต้องเผชิญกับความผันผวนในตลาด หุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นที่ปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงที่เป็นตลาดขาลง สังเกตได้จากภาพประกอบด้านล่างไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤติปี 2008 หรือช่วงที่ตลาดมีการปรับฐาน ทางกองทุนก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีผลตอบแทนลดลงที่น้อยกว่าเยอะมาก ๆ แถมบางปีตลาดหุ้นติดลบแต่กองทุนนี้กลับเป็นบวกได้ สมแล้วที่เรียกว่าเป็นกองทุนที่นักลงทุนลงทุนแล้ว “ร่มเย็น เป็นสุข” ผลตอบแทนย้อนหลังของ Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund ที่มา: บลจ.กรุงศรี ณ 30 ก.ย. 2563 KFGBRANSSF/KFGBRANRMF เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน? กองทุนทั้งสองจะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากการลงทุนในไทย อาจจะเพิ่งเริ่มต้นลงทุนต่างประเทศไม่นาน ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเสี่ยงไป เพราะกองทุนนี้ไม่ได้ผันผวนมาก รวมไปถึงนักลงทุนที่ยังไม่มีพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) สามารถถือกองทุนนี้เป็นพอร์ตหลักได้เลย ต่อมาอีกกองทุนหนึ่งที่ผลตอบแทนโดดเด่นมากๆ เป็นกองทุนกลุ่มเทคโนโลยีที่มีผลตอบแทนมากกว่า 50% และเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มกองทุน RMF ในปีนี้ กองทุนนี้เหมาะกับการถือคู่กับKFGBRANSSF/KFGBRANRMF เพราะเป็นกองทุนที่มีความดุดัน เน้นการทำผลตอบแทนผ่าน Mega Trend ระยะยาวอย่าง Technology ลงทุนกับ Technology Mega Trend กับกองทุนของผู้ชนะ KFGTECHRMF ที่บอกว่าเป็นกองทุนผู้ชนะเพราะว่าปีนี้กองทุน KFGTECHRMF เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนอันดับ 1 ของกลุ่ม RMF (ที่มา: Morningstar ณ 24 พ.ย. 63) Theme ลงทุนที่น่าสนใจสำหรับ KFGTECHRMF ก็คือ Technology Mega Trend ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และแทบจะเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางวิกฤต COVID-19 เมื่อต้นปี สิ่งที่น่าสนใจคือหากวัดผลตอบแทนของดัชนี S&P500 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนกว่าครึ่งที่ดัชนี S&P500 ทำได้มาจากกลุ่ม Technology ซึ่งเทรนด์การเติบโตแบบนี้คาดว่าจะยังดำเนินต่อไปอีกหลายปี ผลตอบแทนของดัชนี S&P500 มาจากกลุ่ม Technology เป็นส่วนใหญ่ KFGTECHRMF ลงทุนในอะไร? KFGTECHRMF ลงทุนในกองทุนหลัก T.Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund ซึ่งมีจุดเด่นหลักๆ 4 อย่างด้วยกันคือ เป็นกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน
มุ่งหาการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอ
ไม่ยึดติดกับดัชนีชี้วัด ลงทุนในหุ้นที่เชื่อมั่นอย่างเต็มที่
ปรับพอร์ตอย่างรวดเร็ว และเช่นเดียวกันกับ KFGBRANSSF / KFGBRANRMF กองทุน KFGTECHRMF เป็นกองทุนที่มีการลงทุนแบบ High Conviction เช่นกัน ทั้งกองถือหุ้นเพียง 50 บริษัทเท่านั้น และลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี 3 กลุ่มเป็นหลักคือกลุ่ม Software, Internet และ Semiconductors โดยมีหุ้นที่ลงทุนเป็นหลัก 5 ตัวแรกดังนี้ Alibaba 5.8% – ยักษ์ใหญ่ E-Commerce จากเมืองจีน ผู้ครองสถิติตัวเลข Gross Merchandise Value หรือขายสินค้าเป็นมูลค่ามากที่สุดในโลก ว่ากันว่ามากกว่า Amazon และ Ebay รวมกัน Amazon 5.6% – ยักษ์ใหญ่ E-Commerce ฝั่งสหรัฐฯ ที่ไม่ได้มีดีแค่ E-Commerce แต่ยังมีธุรกิจ Cloud ที่เป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งกำไรดีมากๆด้วยครับ SEA 4.7% – เจ้าของเกมส์มือถือชื่อดังที่คนไทยเล่นกันจนติดกันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง ROV Shopify 4.4% – บริษัททำระบบการบริหารงาน E-commerce ครบวงจรจากประเทศแคนาดา Netflix 3.9% – เจ้าของแพลตฟอร์มรับชมซีรี่ย์ ภาพยนตร์ ชื่อดัง จะเห็นว่ากองทุนลงทุนในหุ้นที่หลากหลายแต่ก็มีความ Specific อย่างชัดเจนว่าเน้น Internet, Softwareและ Semiconductors และสิ่งนี้เองทำให้กองทุนนี้มีความแตกต่างจากกองทุนหุ้น Technology อื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุน RMF นี้ดีที่สุดในปีนี้ด้วย (ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) การปรับพอร์ตการลงทุนที่รวดเร็วและแม่นยำ ข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจลงทุนในกองทุนคือการปรับพอร์ตของผู้จัดการกองทุน การปรับพอร์ตของ T.Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund ที่มา: บลจ.กรุงศรี ณ 30 มิ.ย. 2563 หุ้น Technology เป็นหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงมากๆ ถ้าผู้จัดการกองทุนปรับพอร์ตไม่ทัน ไม่ใช่แค่ผลตอบแทนจะไม่ดีแต่อาจจะต้องเจอกับการขาดทุนได้ จะเห็นว่ากองทุนมีการปรับพอร์ตที่มีความ Dynamic พอสมควร และเห็นเทรนด์การปรับเปลี่ยนที่ชัดเจน ทำให้อุ่นใจได้ระดับนึงว่าปรับเปลี่ยนรับการเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน ตอนนี้ใช่จังหวะเวลาในการลงทุนในกองทุน Technology หรือไม่? หลายคนคงมีคำถามเหล่านี้อยู่ในใจ ด้วยราคาหุ้นที่ขึ้นมาดูเหมือนจะสูง แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่บ่งบอกว่าในระยะยาวหุ้น Technology ยังคงสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาดได้ หุ้น Technology มีการเติบโตในระยะยาวที่ดีกว่าหุ้นทั่วๆไป
อัตราการเติบโตของกำไรในหุ้นในกองทุน KFGTECHRMF ในปีหน้ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 22.9% เทียบกับ MSCI All Country Information Technology Index ที่ 12.5% แล้วสูงกว่ามาก
พอเติบโตดีนักลงทุนก็พร้อมที่จะให้ Premium กับราคาหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ราคาขึ้นไปได้เรื่อยๆ
ยิ่งในสภาวะดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องล้น ธนาคารกลางอัดฉีดสภาพคล่องอย่างไม่ยั้ง ยิ่งเป็นผลดีกับหุ้น Technology
ที่ผ่านมาแม้จะมีการปรับฐานบ้าง 10-20% แต่ก็ใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวเร็ว และสามารถทำราคา New High ได้เกือบทุกครั้ง
ยุคนี้กลายเป็นยุคของปลายักษ์กินปลาใหญ่ เกิดปรากฏการณ์ของหุ้น Tech ขนาดยักษ์ เติบโตดี สถานะการเงินแข็งแกร่ง มีคู่แข่งรายใหม่ขึ้นมาก็จับ Takeover กลืนกินมาเป็นส่วนหนึ่งของตน ทำให้การแข่งขันกับหุ้น Tech ขนาดยักษ์เหล่านี้ยากมาก จนหลายๆครั้งกลายเป็น Winner-Take-All คือผู้ชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง KFGTECHRMF เหมาะกับใคร? กองทุนนี้จะเหมาะกับนักลงทุนที่เชื่อมั่นในการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยี สามารถทนความผันผวนได้เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในระยะยาว เรียกได้ว่าถ้าเทียบกับ KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ที่เป็น Core Port กองทุน KFGTECHRMF ถือเป็นกองหน้าทะลุทะลวง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมให้พอร์ตการลงทุนโดยรวม เกร็ดความรู้กับการเลือกลงทุน SSF/RMF ขอแชร์ประสบการณ์เลือก บลจ. สำหรับการลงทุน SSF/RMF เวลาผมเลือก ผมมักจะเลือก บลจ.ใหญ่ที่มีกองทุนหลากหลายประเภทมาก่อน เพราะการลงทุนใน SSF/RMF ระยะยาวนั้นเราสามารถปรับพอร์ตการลงทุนเปลี่ยนไปมาระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ ได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม บลจ.กรุงศรี ถือเป็นอีกหนึ่ง บลจ.ที่มีกองทุนคุณภาพ และค่อนข้างครบถ้วนในมุมมองของผม SSF เพิ่งออกมาแต่ก็มีถึง 8 กองทุนแล้ว ส่วน RMF มีถึง 24 กองทุน ค่าธรรมเนียมก็ถือว่าไม่ได้สูง อาจจะคุ้มค่ากว่าการไปลงทุนกองทุนธรรมดาในบางมุมด้วยซ้ำไป ถือเป็นโอกาสดีของการลงทุนในต่างประเทศครับ ตอนนี้ใครมีบัตรเครดิตกรุงศรีฯเอา Point ไปแลกเป็นกองทุนได้ด้วยผ่าน @ccess Online Service ถือเป็นอีก Gimmick หนึ่งที่ดีมากๆ สุดท้ายขอให้ทุกคนอย่าลืมว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่เดือนธันวาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของการลดหย่อนภาษีด้วย SSF และ RMF อย่ามัวแต่รอเวลาจนลืมซื้อกันนะครับ หากสนใจลงทุนในกองประหยัดภาษีตัวท็อป จาก บลจ.กรุงศรี KFGBRANSSF, KFGBRANRMF และ KFGTECHRMF” สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ บลจ.กรุงศรี www.krungsriasset.com โทร. 026575757 หรือ FINNOMENA ได้เลยครับ คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การจัดอันดับของ Morningstar ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด SSF เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออม I RMF ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | KFGBRANSSF , KFGBRANRMF ระดับความเสี่ยง: 6-เสี่ยงสูง KFGTECHRMF ระดับความเสี่ยง: 7-เสี่ยงสูง กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนการลงทุน | กองทุน KFGBRANSSF และ KFGBRANRMF ลงทุนใน Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund ซึ่งลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นแบรนด์ที่คุ้นหูกันดีอยู่แล้ว มีสัดส่วนหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 ลำดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563) ดังนี้
1. Reckitt Benckiser 9% – ยักษ์ใหญ่ Consumer Product แบรนด์ดังจากสหราชอาณาจักร
2. Microsoft 8.5% – บริษัท IT ที่แทบทุกคนในไทยต้องรู้จัก เจ้าของซอฟท์แวร์ชื่อดังอย่าง Windowsและ Office
3. Phillip Morris 7.6%- เจ้าของบุหรี่ Marlboro, L&M, Phillip Morris และบุหรี่ไฟฟ้าอย่าง IQOS
4. Visa 5.3% – หนึ่งในสองของผู้นำตลาดบัตรเครดิตที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,100 ล้านคนทั่วโลก
5. Procter & Gamble 4.9% – ยักษ์ใหญ่ Consumer Product อีกรายที่มีแบรนด์ที่คุ้นเคยกันดีอย่าง มีดโกน Gillette, แชมพู Head & Shoulders และยาสีฟัน Oral-B
จะเห็นว่า ไม่ว่าจะทั้งแบรนด์หรือสินค้าที่บริษัทผลิตล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่ต้องใช้ทุกวัน และมีการทำตลาดไปทั่วโลก ความแข็งแกร่งของแบรนด์นั้นสูงมากๆ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1797 | Finance | คำถามที่ 1: นโยบายการเงินของ Janet Yellen ในฐานะประธาน Fed ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างไรบ้าง?
คำถามที่ 2: แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของ Janet Yellen ในฐานะว่าที่ผู้นำคลังสหรัฐ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างไรบ้าง?
คำถามที่ 3: Janet Yellen เคยให้มุมมองไว้ว่า "เราอาจจะไม่เจอวิกฤติทางการเงินอีกต่อไปในช่วงชีวิตนี้" แต่ภายหลังเธอได้ปรับเปลี่ยนมุมมอง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? | null | คำตอบที่ 1 นโยบายการเงินของ Janet Yellen ในฐานะประธาน Fed มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐหลังวิกฤตการเงินปี 2008 โดยเธอได้ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง เช่น การคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ การซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (QE) และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ภาคธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2013-2015
คำตอบที่ 2 แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของ Janet Yellen ในฐานะว่าที่ผู้นำคลังสหรัฐ คาดว่าจะยังคงมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจและลดการว่างงาน โดยเธอได้เรียกร้องให้การคลังสหรัฐออกมาตรการกระตุ้นต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐในระยะสั้น แต่อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในระยะยาว
คำตอบที่ 3 Janet Yellen เคยให้มุมมองไว้ว่า "เราอาจจะไม่เจอวิกฤติทางการเงินอีกต่อไปในช่วงชีวิตนี้" เนื่องจากสถานะทางการเงินของธนาคารต่าง ๆ แข็งแกร่งมากขึ้น แต่ภายหลังเธอได้ปรับเปลี่ยนมุมมองหลังจากที่เธอได้ลงจากตำแหน่งหลังมองเห็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ในระบบ เช่น ความเสี่ยงจากสินทรัพย์ดิจิทัล การกระจุกตัวทางการเงิน และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤติทางการเงินได้ในอนาคต | 1.สถาบันการเงิน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1798 | Finance | ข้อมูลที่น่าสนใจในหลากหลายมุมของ Bitcoin มีอะไรบ้าง | Bitcoin แค่ความฝัน ความหวัง หรือ คือความจริงแห่งอนาคต
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นไปที่ $18,687 ทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่เคยไปแตะเมื่อเดือนธ.ค. ปี 2017 ซึ่งหากมองย้อนกลับที่ราคาตอนต้นปี จะพบว่าราคาของ Bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าทีเดียว สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนที่มองราคา Bitcoin ผ่านกราฟในอดีต แล้วอาจจะเริ่มเสียวไส้อีกครั้ง เพราะ ที่ระดับราคานี้เมื่อ 3 ปีก่อน พอราคา Bitcoin ไปต่อไม่ได้ ก็มีแรงปรับฐานลงมา โดยร่วงหลังจากนั้นถึง -70% ทีเดียว ตอนนี้ใครที่มีอยู่ ก็อาจจะเริ่มสงสัยว่า ทำขายทำกำไรบ้างเลยไหม? ส่วนใครที่ยังไม่มีในพอร์ตเลย ก็คงมีคำถามว่า เข้าตอนนี้ยังทันหรือเปล่า? ผมพาไปดูข้อมูลที่น่าสนใจในหลากหลายมุม ให้เราทุกคนได้พิจารณารอบด้านกันครับ 1. วันที่ Bitcoin เกิดขึ้นมาบนโลก ต้องยอมรับว่า เหมือนจะเป็นศัตรูกับระบบการเงินเดิมของโลก ทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกต่างเป็นกังวลและยังไม่ยอมรับ แต่จนถึงตอนนี้ กลายเป็นว่า Central bank digital currency (CBDC) นั่นเริ่มแพร่หลายและถูกพัฒนาในหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน อังกฤษ สวีเดน แคนาดา อุรกวัย สิงคโปร์ หรือ แม้แต่ประเทศไทยเราเอง ก็ซุ่มศึกษาและพัฒนาอยู่ 2. ในขณะที่สกุล Bitcoin เอง ก็เป็นที่ยอมรับว่าถูกกฎหมายในหลายประเทศเลย ณ ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เยอรมัน ฝรั่งเศส มอลต้า แคนาดา เบลารุส เนเธอแลนด์ สิงคโปร์ อินเดีย รัสเซีย และ ไทยเรา (แต่ไทย ห้ามธนาคารพาณิชย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวนะครับ) ในขณะที่มีมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกแล้วตอนนี้ที่ Cryptocurrency ทุกสกุลที่ได้รับการยอมรับว่าถูกกฎหมาย เมื่อรวมกับเหตุผลข้อ 1. มันสะท้อนแล้วว่า สกุลเงินดิจิตอล น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตแน่ ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 3. การเกิดขึ้นมาของ Bitcoin เบื้องหลังของมันคือการเข้ามา Disrupt สกุลเงินดอลล่าร์ ที่ผู้ให้กำเนิด Bitcoin มองว่า มันจะค่อย ๆ ด้อยค่าลงเรื่อย ๆ จากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องที่มีมาตั้งแต่หลังวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 ซึ่งจะเห็นว่า Bitcoin กำลังพยายามจะเสนอว่า ตัวเองคือ Alternative Currency เช่นเดียวกับที่ทองคำถูกคนพูดถึงให้เป็นเช่นนั้นด้วยกัน 4. แต่ความต่างกันก็คือ ธนาคารกลางทั่วโลกเก็บทองคำในเงินทุนสำรองคิดเป็นสัดส่วน 20% ของปริมาณทองทั้งหมด หรือมูลค่าราว ๆ $9 trillion ซึ่งมากมายมหาศาลเมื่อเทียบกับ Market Value ของ Bitcoin ที่ถึงแม้จะวิ่งขึ้นมาทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาลอยู่ตอนนี้ ก็มีมูลค่าเพียงแค่ $339 billion เท่านั้น ยังเล็กกว่าหุ้น Tesla ที่เพิ่งมีข่าวจะเข้าคำนวนในดัชนี S&P 500 เสียอีก 5. ขนาดของ Market Value ที่เล็กขนาดนี้ เป็นอุปสรรคต่อนักลงทุนสถาบันที่มีขนาดเงินก้อนโต ๆ ที่ต้องการจะเข้ามาผสมโรงร่วมลงขันกับสกุลเงินดิจิตอลสกุลนี้อยู่พอสมควร ดังนั้นถ้าพิจารณาในมุมว่า ทุกคนเข้ามาร่วมวงใน Bitcoin จนเกิดฟองสบู่ในแง่ Demand แล้วไหม? หรือจะมองในแง่ว่า Bitcoin มาสุดทางหรือยัง? ต้องบอกว่า มีแต่นักลงทุนรายย่อย และรายเล็กเท่านั้นในตอนนี้ที่เข้ามามีส่วนร่วมจนถึงตอนนี้นะครับ 6. จุดที่ดูเหมือนว่า Bitcoin จะได้รับการยอมรับมากขึ้น เห็นจะเป็นข่าวเรื่องการที่บริษัท Paypal ได้ออกมาประกาศว่าผู้ใช้งาน Paypal จะสามารถซื้อขาย Bitcoin ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทได้โดยใช้ Wallet Digital ของ Paypal เอง เมื่อปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่ต้นเดือนต.ค.นั้น Square บริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลก ได้ออกมาประกาศว่า ทำการเข้าซื้อ Bitcoin มูลค่า $50 million ไปก่อนหน้านี้ ยิ่งมีคนยอมรับ Bitcoin มากขึ้น ความต้องการของนักลงทุนก็มากขึ้นตามไปด้วย 7. ร้อนแรงขนาดนี้ แต่ก็ยังมีนักลงทุนระดับตำนานตั้งคำถามกับ Bitcoin และคนล่าสุดก็คือ Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater กองทุน Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งให้มุมมองผ่านทวิตเตอร์ว่า Bitcoin ไม่ใช่ตัวกลางแลกเปลี่ยนหรือตัวเก็บมูลค่าที่มีประสิทธิภาพเนื่องจากความผันผวนของมัน โดยบอกต่อว่า นึกภาพไม่ออกว่า ธนาคารกลาง นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ องค์กรธุรกิจ หรือบริษัทข้ามชาติ จะใช้ Bitcoin จริง ๆได้อย่างไร? นอกจากนี้ ปู่เรย์เชื่อว่า รัฐบาลหลายประเทศ อาจสั่งห้ามสินทรัพย์คริปโตหากมันคุกคามสกุลเงินตราเก่าที่เคยมีมามากขึ้นเรื่อย ๆ 8. ซึ่งปู่เรย์ อาจจะไม่ทันสังเกตเห็นว่า เหล่าองค์กรธุรกิจอย่าง Fidelity Digital Assets, Square หรือล่าสุดคือ Paypal รวมถึงนักลงทุนในสหรัฐฯระดับตำนานอย่าง Paul Tudor Jones, Bill Miller และ Stanley Druckenmiller ต่างเข้ามาร่วมวงใน Bitcoin รอบนี้เป็นที่เรียบร้อย (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะออกจากวงเมื่อไหร่นะครับ) 9. คนที่ให้ความเห็นถึงสถานะของ Bitcoin ไว้น่าสนใจอีกคน ผมคิดว่า คือ คนคนนี้ครับ Mike Novogratz มหาเศรษฐีผู้เป็นอดีต Hedge Fund Manager ให้กับ Fortress Investment Group และเป็นอดีต Partners ของ Goldman Sachs ให้มุมมองกับ Bitcoin ว่า มันคือที่ที่เก็บมูลค่าเช่นเดียวกับ “ทองคำ” ในอดีต แต่สะสมในรูปแบบของ Digital Asset และ Bitcoin จะไม่ถูกนำมาใช้แทนสกุลเงินดั้งเดิมในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นนักลงทุนจะเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อการกระจายความเสี่ยง คำถามจึงไม่ใช่ว่า Bitcoin จะกลายเป็นอนาคตได้ไหม แต่ควรเปลี่ยนคำถามเป็นว่า “เมื่อไหร่” และทุกองค์กรก็ควรเตรียมตัว 10. ซึ่งถ้ามองแบบที่คุณไมค์ให้ความเห็น ก็น่าสนใจตรงที่ หากเหล่าคนทำ ETFs เห็นโอกาสและเห็น Demand ว่าจะมาจริง แล้วจัดตั้งกองทุน ETFs ที่ลงทุนใน Cryptocurrency หรือ เจ้า Bitcoin ตัวเดียวแบบเน้นๆได้ ก็อาจจะเหมือนกับตอนที่ SPDR Gold Trust จัดตั้งกองทุน ETFs ครั้งแรกเมื่อปี 2004 ซึ่งตอนนั้น ราคาทองอยู่แถวๆ $400 เอง และก็เพราะ Investment Demand จากนักลงทุนนี่ละครับ ที่ทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นมาอยู่แถวๆ $1,870 ณ ปัจจุบัน 11. มีคน Bull กับราคาทองมาก ๆ อีกคนหนึ่ง ที่อยากบอกหน่อย ก็คือ Tom Fitzpatrick ซึ่งปัจจุบันเป็น Chief Technical FX Strategist อยู่ที่ Citigroup ซึ่งติดตามการเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มาตั้งแต่แรก ๆ มองว่า รอบนี้ของ Bitcoin หากรูปแบบราคาเหมือนกับในอดีต จะเป็นไปได้ว่า ภายในสิ้นปี 2022 เราอาจได้เห็นราคา Bitcoin ทดสอบ $318,000 (ถ้าไปถึงจริง ๆ ก็เว่อร์วังมาก ๆ) สุดท้าย คุณจะร่วมวง Bitcoin กับเขาด้วยหรือไม่ หรือจริง ๆ จะเป็นอย่างที่ปู่เรย์ตั้งคำถามว่า ความเหวี่ยงแบบนี้ มันจะใช้อย่างแพร่หลายได้จริง ๆ หรือ นั่นคือ สิ่งที่คุณต้องไปคิดต่อ ส่วนผม ซึ่งลงทุนและถือ Bitcoin มา 4 ปี ต้องบอกเลยว่า ….รู้งี้ ขายบ้าน ขายรถมาซื้อก็ดี … แต่ก็นะ ใครมันจะไปรู้เนอะครับ 😊 แหล่งที่มาข้อมูล :- Mr.Messenger รายงาน | 1. วันที่ Bitcoin เกิดขึ้นมาบนโลก ต้องยอมรับว่า เหมือนจะเป็นศัตรูกับระบบการเงินเดิมของโลก ทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกต่างเป็นกังวลและยังไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้ Central bank digital currency (CBDC) เริ่มแพร่หลายและถูกพัฒนาในหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน อังกฤษ สวีเดน แคนาดา อุรกวัย สิงคโปร์ หรือ แม้แต่ประเทศไทยเองก็ศึกษาและพัฒนาอยู่
2. สกุลเงิน Bitcoin เป็นที่ยอมรับว่าถูกกฎหมายในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เยอรมัน ฝรั่งเศส มอลต้า แคนาดา เบลารุส เนเธอแลนด์ สิงคโปร์ อินเดีย รัสเซีย และ ไทย (ไทย ห้ามธนาคารพาณิชย์เข้าไปยุ่งเกี่ยว) ในขณะที่มีมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกที่ Cryptocurrency ทุกสกุลที่ได้รับการยอมรับว่าถูกกฎหมาย เมื่อรวมกับเหตุผลข้อ 1. จึงสะท้อนว่า สกุลเงินดิจิตอลจะเกิดขึ้นในอนาคตแน่ ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
3. การเกิดขึ้นมาของ Bitcoin เบื้องหลังคือการเข้ามา Disrupt สกุลเงินดอลล่าร์ ที่ผู้ให้กำเนิด Bitcoin มองว่า มันจะค่อย ๆ ด้อยค่าลงเรื่อย ๆ จากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องที่มีมาตั้งแต่หลังวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 จะเห็นว่า Bitcoin พยายามเสนอว่าตัวเองคือ Alternative Currency เช่นเดียวกับที่ทองคำถูกคนพูดถึงให้เป็นเช่นนั้นด้วยกัน
4. ธนาคารกลางทั่วโลกเก็บทองคำในเงินทุนสำรองคิดเป็นสัดส่วน 20% ของปริมาณทองทั้งหมด หรือมูลค่าราว ๆ $9 trillion ซึ่งมากมายมหาศาลเมื่อเทียบกับ Market Value ของ Bitcoin ที่ถึงแม้จะวิ่งขึ้นมาทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาล ก็มีมูลค่าเพียงแค่ $339 billion เท่านั้น ยังเล็กกว่าหุ้น Tesla ที่เพิ่งมีข่าวจะเข้าคำนวนในดัชนี S&P 500 เสียอีก
5. ขนาดของ Market Value ที่เล็กขนาดนี้ เป็นอุปสรรคต่อนักลงทุนสถาบันที่มีขนาดเงินก้อนโต ที่ต้องการจะเข้ามาผสมโรงร่วมลงขันกับสกุลเงินดิจิตอลสกุลนี้อยู่พอสมควร ดังนั้นถ้าพิจารณาในมุมว่า ทุกคนเข้ามาร่วมวงใน Bitcoin จนเกิดฟองสบู่ในแง่ Demand แล้วไหม หรือจะมองในแง่ว่า Bitcoin มาสุดทางหรือยัง ต้องบอกว่า มีแต่นักลงทุนรายย่อย และรายเล็กเท่านั้นในตอนนี้ที่เข้ามามีส่วนร่วม
6. จุดที่ดูเหมือนว่า Bitcoin จะได้รับการยอมรับมากขึ้น เห็นจะเป็นข่าวเรื่องการที่บริษัท Paypal ได้ออกมาประกาศว่าผู้ใช้งาน Paypal จะสามารถซื้อขาย Bitcoin ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทได้โดยใช้ Wallet Digital ของ Paypal เอง เมื่อปลายเดือนต.ค. 2020 หลังจากที่ต้นเดือนต.ค. 2020 บริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลก อย่าง Square ได้ออกมาประกาศว่า ทำการเข้าซื้อ Bitcoin มูลค่า $50 million ไปก่อนหน้านี้ ยิ่งมีคนยอมรับ Bitcoin มากขึ้น ความต้องการของนักลงทุนก็มากขึ้นตามไปด้วย
7. แต่ยังมีนักลงทุนระดับตำนานตั้งคำถามกับ Bitcoin โดย Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater กองทุน Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้มุมมองผ่านทวิตเตอร์ว่า Bitcoin ไม่ใช่ตัวกลางแลกเปลี่ยนหรือตัวเก็บมูลค่าที่มีประสิทธิภาพเนื่องจากความผันผวนของมัน นึกภาพไม่ออกว่า ธนาคารกลาง นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ องค์กรธุรกิจ หรือบริษัทข้ามชาติ จะใช้ Bitcoin จริง ๆ ได้อย่างไร นอกจากนี้ ปู่เรย์เชื่อว่า รัฐบาลหลายประเทศ อาจสั่งห้ามสินทรัพย์คริปโตหากมันคุกคามสกุลเงินตราเก่าที่เคยมีมามากขึ้นเรื่อย ๆ
8. เหล่าองค์กรธุรกิจอย่าง Fidelity Digital Assets, Square หรือล่าสุดคือ Paypal รวมถึงนักลงทุนในสหรัฐฯ ระดับตำนานอย่าง Paul Tudor Jones, Bill Miller และ Stanley Druckenmiller ต่างเข้ามาร่วมวงใน Bitcoin รอบนี้เป็นที่เรียบร้อย
9. คนที่ให้ความเห็นถึงสถานะของ Bitcoin ไว้น่าสนใจอีกคน คือ Mike Novogratz มหาเศรษฐีผู้เป็นอดีต Hedge Fund Manager ให้กับ Fortress Investment Group และเป็นอดีต Partners ของ Goldman Sachs ให้มุมมองกับ Bitcoin ว่า มันคือที่ที่เก็บมูลค่าเช่นเดียวกับ “ทองคำ” ในอดีต แต่สะสมในรูปแบบของ Digital Asset และ Bitcoin จะไม่ถูกนำมาใช้แทนสกุลเงินดั้งเดิมในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นนักลงทุนจะเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อการกระจายความเสี่ยง คำถามจึงไม่ใช่ว่า Bitcoin จะกลายเป็นอนาคตได้ไหม แต่ควรเปลี่ยนคำถามเป็นว่า “เมื่อไหร่” และทุกองค์กรก็ควรเตรียมตัว
10. ซึ่งถ้ามองแบบที่คุณไมค์ให้ความเห็น ก็น่าสนใจตรงที่ หากเหล่าคนทำ ETFs เห็นโอกาสและเห็น Demand ว่าจะมาจริง แล้วจัดตั้งกองทุน ETFs ที่ลงทุนใน Cryptocurrency หรือ เจ้า Bitcoin ตัวเดียวแบบเน้นๆ ได้ ก็อาจจะเหมือนกับตอนที่ SPDR Gold Trust จัดตั้งกองทุน ETFs ครั้งแรกเมื่อปี 2004 ซึ่งตอนนั้น ราคาทองอยู่แถวๆ $400 เอง และก็เพราะ Investment Demand จากนักลงทุนนี่ละครับ ที่ทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นมาอยู่แถวๆ $1,870 ณ ปัจจุบัน
11. มีคนเปรียบเทียบกับราคาทองมาก ๆ อีกคนหนึ่ง คือ Tom Fitzpatrick ซึ่งเป็น Chief Technical FX Strategist อยู่ที่ Citigroup ซึ่งติดตามการเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มาตั้งแต่แรก ๆ มองว่า รอบนี้ของ Bitcoin หากรูปแบบราคาเหมือนกับในอดีต จะเป็นไปได้ว่า ภายในสิ้นปี 2022 อาจได้เห็นราคา Bitcoin ทดสอบ $318,000 | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1808 | Finance | นโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ระหว่าง Donald Trump กับ Joe Biden เป็นอย่างไรบ้าง | เจาะลึกนโยบาย ไบเดน vs. ทรัมป์: หุ้นขึ้นหรือลง?
ถึงเวลาเลือกตั้งกันแล้ว มาดูกันว่าหากทรัมป์ หรือ ไบเดน เข้าวินจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น! ทำความรู้จักพรรคการเมืองหลัก ๆ ของสหรัฐกันก่อน หลัก ๆ แล้วพรรคการเมืองสหรัฐมีอยู่สองพรรคที่ห้ำหั่นกันมาอย่างช้านานอย่าง “เดโมแครต” (Democrat) ซึ่งมีตัวอย่างประธานาธิบดีเด่น ๆ อย่าง บารัค โอบามา (Barack Obama), โคตรตระกูลคลินตันอย่าง ฮิลารี คลินตัน (Hillary Clinton), บิล คลินตัน (Bill Clinton) กับ “รีพับลิคกัน” (Republican) ที่มีประธานาธิบดีหัวโจกเลือดร้อนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หรือจะเป็น จอร์จ บุช (George Bush) เทียบนโยบายหลักจัดเต็มโจ ไบเดน (Joe Biden) กับ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) 1. นโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ Donald Trump ให้คำมั่นว่าจะสร้างงานจำนวน 10 ล้านตำแหน่งใน 10 เดือน และเร่งการสร้างธุรกิจขนาดเล็กอีก 1 ล้านธุรกิจเพิ่มเติม
ใช้นโยบายลดภาษีเพิ่มเติม และ ให้เครดิตภาษี (ใช้สำหรับลดภาษี) กับบริษัทต่าง ๆ เพื่อรักษาการจ้างงานเอาไว้ Joe Biden เก็บภาษีเพิ่มสำหรับผู้มีรายได้สูง และนำมาใช้ลงทุนในระบบสาธารณะ โดยจะเพิ่มการเก็บภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี
เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงจากเดิมที่ 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์อาจหนุนนำให้ตลาดหุ้นเดินหน้าต่อไป จากการลดภาษี การเร่งการจ้างงาน และสร้างธุรกิจ
หากโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีตลาดหุ้นอาจตอบสนองเชิงลบกับนโยบายการเก็บภาษี และการเพิ่มค่าแรงอาจทำให้ต้นทุนของบริษัทต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และอาจส่งผลต่อหุ้นใหญ่ ๆ ในตลาด 2. นโยบายเกี่ยวกับการจัดการ COVID-19 Donald Trump ตั้งเป้าเดดไลน์ให้โควิดจบภายในสิ้นเดือน มกราคมปีหน้า และเริ่มเปิดประเทศ
เร่งพัฒนาการพัฒนาวัคซีนแบบเร่งด่วน และใช้งบถึง 1 หมื่นล้านเหรียญ Joe Biden ร่างสัญญาระดับชาติ ผ่าน 10 ศูนย์วิจัยวัคซีนในทุกรัฐ พร้อมแจกชุดตรวจโควิดฟรี
ออกกฎและสนับสนุนให้คนใส่หน้ากาก สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นตลาดอาจจะจับตามองไปที่การเร่งพัฒนาวัคซีนต่อไป
หากโจ ไบเดนได้เป็นตลาดอาจจับตามองไปที่การควบคุมยอดผู้ติดเชื้อ
นโยบายของทรัมป์มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนสูงเช่นกันหากทำได้
นโยบายของโจไบเดนอาจดูไม่รวดเร็วทันใจ แต่อาจจะควบคุมโรคได้อยู่หมัดมากขึ้น
สรุปแล้วทรัมป์อาจสร้างความคาดหวังในอนาคตที่ตีความได้สองแง่และไม่แน่นอน แต่เป็นผลดีหากทได้ ส่วนไบเดนอาจทำให้เกิดการตีความแบบสมเหตุสมผล มีความแน่นอนมากกว่า 3. นโยบายเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม Donald Trump ไม่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนให้ผู้คนใช้พลังงาน เช่น น้ำมันและก๊าสต่าง ๆ ต่อไป และผ่อนกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
มุ่งเน้นและยึดมั่นการถอนตัวออกจาก “สัญญาตกลงปารีส” (Paris accord) ซึ่งเป็นสัญญาเกี่ยวกับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทางสหรัฐจะมีการถอนตัวในปีนี้ Joe Biden สนับสนุนให้ทางสหรัฐเข้าร่วม “สัญญาตกลงปารีส” อีกครั้ง
ตั้งเป้าพาสหรัฐเข้าสู่ยุคไร้มลพิษภายในปี 2050 และแบนการใช้พื้นที่สำหรับขุดเจาะน้ำมันและก๊าส รวมถึงสนับสนุนเม็ดเงินลงทุน 2 ล้านล้านเหรียญในโครงการพลังงานสะอาด สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พวกหุ้นกลุ่มพลังงานอาจได้ผลเชิงบวกหากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และอาจได้ผลเชิงลบหาก โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี 4. นโยบายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข Donald Trump อาจปรับเปลี่ยนนโยบาย Affordable Care Act (ACA) ของประธานาธิบดีโอบามา ที่สร้างกฎเกณฑ์ข้อบังคับเพิ่มเติมให้กับระบบประกันสุขภาพรัฐ เช่น ข้อบังคับในการให้สิทธิกับคนที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันว่ามีอาการป่วย
ตั้งเป้าลดราคายา และนำเข้ายาในราคาที่ถูกกว่าจากต่างประเทศ Joe Biden ปกป้องและพัฒนานโยบาย Affordable Care Act (ACA) เพิ่มเติม
ลดเงื่อนไขอายุขั้นต่ำสำหรับโครงการ Medicare (โครงการประกันสุขภาพผู้สูงอายุ) จากเดิมที่ 60-65 ปี
มีความมุ่งมั่นที่จะให้ชาวอเมริกันทั้งหมดมีโอกาสเข้าร่วมโครงการ Medicare สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี อาจส่งผลเชิงลบกับหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยอาจได้รับผลกระทบจากการนำเข้ายาจากต่างชาติ และการลดกฎเกณฑ์เงื่อนไขการเข้าระบบรัฐที่อาจทำให้ผู้คนมารับการรักษาผ่านรัฐมากขึ้น
หากโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี อาจส่งผลเชิงกลาง ๆ กับหุ้นกลุ่ม Healthcare เนื่องจากนโยบายโดยรวมสนับสนุนระบบ Healthcare ของรัฐ 5. นโยบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Donald Trump แข่งขันกับชาติพันธมิตรต่อไป และคงนโยบายขึ้นการขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน
ลดการตั้งมั่นกองกำลังในต่างประเทศ และลงทุนเกี่ยวกับการทหารเพิ่มเติม Joe Biden สร้างความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของสหรัฐใหม่อีกครั้ง
ยกเลิกการขึ้นภาษีกับจีนแบบเห็นชอบฝ่ายเดียว และเปลี่ยนเป็นข้อตกลงร่วมกันแทน แต่เพิ่มข้อต่อรองที่อาจทำให้ทางจีนเองปฏิเสธไม่ได้ สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี หุ้นประเทศต่าง ๆ อาจได้รับแรงกดดันต่อไป
หากโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี หุ้นประเทศต่าง ๆ ในหลายภูมิภาคอาจตอบสนองในเชิงบวกมากขึ้น 6. นโยบายเกี่ยวกับศาลสูงสุด (Supreme Court) Donald Trump เคลมว่าตนมีสิทธิ์ที่จะนั่งตำแหน่งที่ว่างในศาลสูงสุดต่อไป ตามสิทธิรัฐธรรมนูญที่ยังมีระยะเวลาเหลืออยู่ และสนับสนุน Amy Coney Barrett ผู้ตัดสินแนวอนุรักษ์นิยม
ไม่สนับสนุนการทำแท้งในสหรัฐ ร่วมกับ Amy Coney Barrett Joe Biden ต้องการให้ตำแหน่งที่ว่างในศาลสูงสุดถูกเติมเต็มจนครบที่นั่ง
ถ้าดำรับเลือกตั้งจะผลักดันให้การทำแท้งถูกกฎหมาย สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเดินเกมเข้าข้าง Amy Coney Barrett เพื่อให้ตนมีสิทธิเสียงในศาลสูงสุดต่อไป ในขณะที่ โจ ไบเดน ใช้นโยบายตรงกันข้ามและผลักดันให้ที่นั่งในศาลสูงสุดเต็ม เพื่อกดดันสิทธิการออกเสียงของอีกฝ่าย
ผลกระทบต่อตลาดหุ้นอาจขึ้นอยู่กับการตีความของตลาดโดยรวมต่อประธานาธิบดีแต่ละคน โดยนโยบายในส่วนนี้อาจสนับสนุนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดินหน้าบริหารได้สะดวกยิ่งขึ้น ไบเดนเป็นหุ้นลงแน่ ๆ ทรัมป์เป็นหุ้นขึ้นแน่ ๆ จริงหรือ? ต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับว่าตลาดหุ้นก็คือตลาดที่อุดมไปด้วยเหล่านักลงทุนที่มีความเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา ๆ และในความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “อารมณ์” เข้ามาเกี่ยวเนื่อง ดังนั้นเราอาจจะเรียกได้ว่าตลาดหุ้นมีความไม่สมเหตุสมผลอยู่นั่นเอง การที่เราจะการันตีว่าใครได้เป็นและหุ้นขึ้นแน่ ๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ยากครับ แต่เราอาจจะใช้ข้อมูลที่เรามีในอดีตมาและหลักการมาช่วยตัดสินใจได้ ซึ่งการตีความความคิดของผู้คนนั้นมีเป็นอะไรที่มีโอกาสพลิกโผได้ เพราะ คนทุกคนไม่สามารถมองอะไรเป็นมุมเดียวกันได้หมด ตัวอย่างเช่น หาก โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี แทนที่ตลาดจะตีความว่า ไบเดน จะขึ้นภาษีทำให้กำไรของบริษัทลดลงตลาดหุ้นลงแน่ ๆ ตลาดก็อาจจะตีความไปในเชิงอีกแบบหนึ่งอย่างเช่น “ถ้า ไบเดน ได้เป็นการเมืองน่าจะนิ่งขึ้น ความสัมพันธ์กับจีนดีขึ้น คิดดูอีกที… ในระยะยาวน่าจะดี เราลงทุนดีกว่า” อะไรแบบนี้ก็เป็นได้ครับ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ผมขอให้ทุกคนโชคดี มีความสุขกับชีวิตและการลงทุนครับ… Mr. Serotonin | นโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ Donald Trump
- ให้คำมั่นว่าจะสร้างงานจำนวน 10 ล้านตำแหน่งใน 10 เดือน และเร่งการสร้างธุรกิจขนาดเล็กอีก 1 ล้านธุรกิจเพิ่มเติม
- ใช้นโยบายลดภาษีเพิ่มเติม และ ให้เครดิตภาษี (ใช้สำหรับลดภาษี) กับบริษัทต่าง ๆ เพื่อรักษาการจ้างงานเอาไว้
นโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ Joe Biden
- เก็บภาษีเพิ่มสำหรับผู้มีรายได้สูง และนำมาใช้ลงทุนในระบบสาธารณะ โดยจะเพิ่มการเก็บภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี
- เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงจากเดิมที่ 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
- หากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์อาจหนุนนำให้ตลาดหุ้นเดินหน้าต่อไป จากการลดภาษี การเร่งการจ้างงาน และสร้างธุรกิจ
- หากโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีตลาดหุ้นอาจตอบสนองเชิงลบกับนโยบายการเก็บภาษี และการเพิ่มค่าแรงอาจทำให้ต้นทุนของบริษัทต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และอาจส่งผลต่อหุ้นใหญ่ ๆ ในตลาด | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1850 | Finance | Financial Advisor PODCAST SS2 เป็นรายการที่จะมาพูดคุยกันในเรื่องของ เทคนิค ประสบการณ์ ความรู้ และอีกหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานในสายอาชีพใด | 1. Advisor
2. ที่ปรึกษาทางการเงิน
3. ทีมงาน Finnomena
4. ผู้แนะนำการลงทุนอิสระ | คำตอบคือ 2. เนื่องจาก Financial Advisor PODCAST SS2 เป็นรายการที่จะมาพูดคุยกันในเรื่องของ เทคนิค ประสบการณ์ ความรู้ และอีกหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานในสายอาชีพ “ที่ปรึกษาทางการเงิน” หรือ (FA – Financial Advisor) ที่ไม่ควรพลาด
“ไม่ใช่ Financial Advisor ทุกคนเป็นผู้แนะนำการลงทุนอิสระ แต่…ผู้แนะนำการลงทุนอิสระทุกคนเป็น Financial Advisor”
| 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1887 | Finance | ข้อแตกต่างระหว่างกองทุน K-USA-A (A) กับกองทุน K-USA-A (D) คืออะไร | รีวิว 3 กองทุนหุ้นสหรัฐ ฯ ปรับตัวอย่างโดดเด่น
หลังหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงมาอย่างรุนแรง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดหุ้นอเมริกายังคงเป็นตลาดที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและโดดเด่นหลังวิกฤติ รวมถึงเป็นผู้นำในการสร้างผลตอบแทนที่มองข้ามไม่ได้ ในระยะยาวพิสูจน์ผ่านช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงมาอย่างรุนแรง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดหุ้นอเมริกายังคงเป็นตลาดที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและโดดเด่นหลังวิกฤติ รวมถึงเป็นผู้นำในการสร้างผลตอบแทนที่มองข้ามไม่ได้ ในระยะยาวพิสูจน์ผ่านช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำถามถัดมาที่ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยก็คือหลังช่วงวิกฤติที่ผ่านมามีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ กองไหนบ้างที่โดดเด่นวันนี้จึงถือว่าเป็นโอกาสอันดี ที่ผมจะมาทำกันรีวิวกองทุนหุ้นสหรัฐ ฯ ที่ดีดตัวจากวิกฤติที่ผ่านมาได้อย่างโดดเด่น คำถามถัดมาที่ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยก็คือหลังช่วงวิกฤติที่ผ่านมามีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ กองไหนบ้างที่โดดเด่นวันนี้จึงถือว่าเป็นโอกาสอันดี ที่ผมจะมาทำกันรีวิวกองทุนหุ้นสหรัฐ ฯ ที่ดีดตัวจากวิกฤติที่ผ่านมาได้อย่างโดดเด่น เปิดบัญชีกองทุน FINNOMENA วันนี้ รับฟรี! กองทุนมูลค่า 100 บาท เปิดบัญชีกองทุน FINNOMENA วันนี้ รับฟรี! กองทุนมูลค่า 100 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 1) K-USA-A (A) หรือ K-USA-A (D) K-USA-A (A) K-USA-A (D) กองทุนแรกที่ทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นหลังวิกฤติคงหนีไม่พ้นกองทุนอย่าง K-USA-A (A) ผู้ชนะในกองทุนกลุ่มหุ้นอเมริกาที่สร้างผลตอบแทนไปได้ถึง 50.99%! (นับจาก 3 เดือนย้อนหลังในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2020 โดยหุ้นเริ่มฟื้นตัวจากจุดตํ่าที่สุดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2020) เฉลี่ยเทียบกับกองทุนในกลุ่มเดียวกันที่ 32.13% ซึ่งเรียกได้ว่าถึงแม้จะนับผลตอบแทนย้อนหลังมา 5 วันก็ยังฟื้นตัวกลับมาได้อย่างน่าทึ่งและเหลือเชื่อ กองทุนแรกที่ทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นหลังวิกฤติคงหนีไม่พ้นกองทุนอย่าง K-USA-A (A) ผู้ชนะในกองทุนกลุ่มหุ้นอเมริกาที่สร้างผลตอบแทนไปได้ถึง 50.99%! (นับจาก 3 เดือนย้อนหลังในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2020 โดยหุ้นเริ่มฟื้นตัวจากจุดตํ่าที่สุดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2020) เฉลี่ยเทียบกับกองทุนในกลุ่มเดียวกันที่ 32.13% ซึ่งเรียกได้ว่าถึงแม้จะนับผลตอบแทนย้อนหลังมา 5 วันก็ยังฟื้นตัวกลับมาได้อย่างน่าทึ่งและเหลือเชื่อ ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน K-USA-A (A) ที่มา: www.finnomena.com ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน K-USA-A (A) ที่มา: www.finnomena.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน K-USA-A (D) ที่มา: www.finnomena.com ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน K-USA-A (D) ที่มา: www.finnomena.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ข้อแตกต่างระหว่าง K-USA-A (A) กับ K-USA-A (D) ข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวระหว่างสองกองทุนนี้ก็คือ K-USA-A (D) นั้นมีการจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนระหว่างที่ถือครองอยู่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรับกระแสเงินสดระหว่างการลงทุนออกมาบ้าง ข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวระหว่างสองกองทุนนี้ก็คือ K-USA-A (D) นั้นมีการจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนระหว่างที่ถือครองอยู่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรับกระแสเงินสดระหว่างการลงทุนออกมาบ้าง ในขณะที่ K-USA-A (A) นั้นไม่มีการจ่ายปันผลออกมา เหมาะสำหรับสายสะสมเงินทุนเติบโตแบบเน้น ๆ ในขณะที่ K-USA-A (A) นั้นไม่มีการจ่ายปันผลออกมา เหมาะสำหรับสายสะสมเงินทุนเติบโตแบบเน้น ๆ ส่วนอันไหนดีกว่าอีกอันยังไง ก็คงต้องบอกว่าดีคนละแบบครับ อยู่ที่ความต้องการของแต่ละ คนว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน แต่ก็ต้องบอกก่อนว่า K-USA-A (D) อาจมีผลตอบแทนที่ต่างกันเล็กน้อยจากการที่แบ่งส่วนมาจ่ายปันผล ส่วนอันไหนดีกว่าอีกอันยังไง ก็คงต้องบอกว่าดีคนละแบบครับ อยู่ที่ความต้องการของแต่ละ คนว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน แต่ก็ต้องบอกก่อนว่า K-USA-A (D) อาจมีผลตอบแทนที่ต่างกันเล็กน้อยจากการที่แบ่งส่วนมาจ่ายปันผล ภาพแสดงประวัติการปันผลย้อนหลังกองทุน K-USA-A (D) ที่มา: www.finnomena.com ภาพแสดงประวัติการปันผลย้อนหลังกองทุน K-USA-A (D) ที่มา: www.finnomena.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ปันผลมาเรื่อย ๆ สร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องหรือจะเรียกเป็นภาษาสุดคูลว่า “Passive Income!!” ปันผลมาเรื่อย ๆ สร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องหรือจะเรียกเป็นภาษาสุดคูลว่า “Passive Income!!” K-USA-A (A) / K-USA-A (D) ลงทุนในอะไร? ลงทุนใน Morgan Stanley US Advantage Fund ซึ่งเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นอเมริกา ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ลงทุนใน Morgan Stanley US Advantage Fund ซึ่งเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นอเมริกา ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว โดยมีปรัชญาหลักในการลงทุนอย่างการเฟ้นหาหุ้นหรือบริษัทที่มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่งในหมวดหมู่ธุรกิจเดียวกัน มีแบรนด์ที่แข็งเเกร่ง มีกระแสเงินสดหมุนเวียนอย่างเข้มแข็ง แสดงถึงศักยภาพในการขยับขยายธุรกิจเพิ่มเติมรวมถึงสภาพคล่องที่ต่อเนื่อง และมีผลตอบแทนอยู่ในหมวดหมู่หุ้นกลุ่มผู้นำ โดยมีปรัชญาหลักในการลงทุนอย่างการเฟ้นหาหุ้นหรือบริษัทที่มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่งในหมวดหมู่ธุรกิจเดียวกัน มีแบรนด์ที่แข็งเเกร่ง มีกระแสเงินสดหมุนเวียนอย่างเข้มแข็ง แสดงถึงศักยภาพในการขยับขยายธุรกิจเพิ่มเติมรวมถึงสภาพคล่องที่ต่อเนื่อง และมีผลตอบแทนอยู่ในหมวดหมู่หุ้นกลุ่มผู้นำ ผลตอบแทนในระยะยาว ผลตอบแทนย้อนหลังของ Morgan Stanley US Advantage Fund เทียบเคียงดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนย้อนหลังของ Morgan Stanley US Advantage Fund เทียบเคียงดัชนี S&P 500 ที่มา: เอกสารสรุปข้อมูลกองทุน www.morganstanley.com ที่มา: เอกสารสรุปข้อมูลกองทุน www.morganstanley.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ตัวกองทุนเน้นการเทียบเคียง (Benchmark) กับดัชนี S&P 500 เป็นหลัก ซึ่งช่วงล่าสุดเองก็เน้นหนักการลงทุนไปหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่สอดคล้องล้อไปกับปรัชญาการเลือกหุ้นของกองในการเลือกหุ้นที่โดดเด่นและแข็งแกร่งที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้นได้รับผลกระทบในช่วงขาลงที่ค่อนข้างน้อย และสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ตัวกองทุนเน้นการเทียบเคียง (Benchmark) กับดัชนี S&P 500 เป็นหลัก ซึ่งช่วงล่าสุดเองก็เน้นหนักการลงทุนไปหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่สอดคล้องล้อไปกับปรัชญาการเลือกหุ้นของกองในการเลือกหุ้นที่โดดเด่นและแข็งแกร่งที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้นได้รับผลกระทบในช่วงขาลงที่ค่อนข้างน้อย และสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือหากเทรนด์ธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป (อาจไม่ใช่กลุ่มเทคโนโลยี) ทางกองทุนเองก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดและรุกหนักในกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเดียว และพร้อมที่จะโยกย้ายไปลงทุนในกลุ่มธุรกิจกระแสใหม่ในอนาคตที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการลงทุนในระยะยาว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหนือชั้น แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือหากเทรนด์ธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป (อาจไม่ใช่กลุ่มเทคโนโลยี) ทางกองทุนเองก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดและรุกหนักในกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเดียว และพร้อมที่จะโยกย้ายไปลงทุนในกลุ่มธุรกิจกระแสใหม่ในอนาคตที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการลงทุนในระยะยาว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหนือชั้น ซึ่งหากจะเปรียบเทียบง่าย ๆ การลงทุนใน K-USA-A ก็คงจะเหมือน… ซึ่งหากจะเปรียบเทียบง่าย ๆ การลงทุนใน K-USA-A ก็คงจะเหมือน… “การที่ผู้จัดการกองทุนเป็นนักชิมที่เลือกและสรรหาการทานอาหารรสเลิศ วัตถุดิบคุณภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการในร้านอาหารดี ๆ แต่ก็ยังมีการเปิดโอกาสให้ร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อาจเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นร้านอาหารชั้นยอดได้ในอนาคต” (ความเห็นส่วนตัวผู้เขียน) ความเห็นส่วนตัวผู้เขียน) สัดส่วนหมวดธุรกิจหลักที่ลงทุนในปัจจุบัน ที่มา: เอกสารสรุปข้อมูลกองทุน www.morganstanley.com สัดส่วนหมวดธุรกิจหลักที่ลงทุนในปัจจุบัน ที่มา: เอกสารสรุปข้อมูลกองทุน www.morganstanley.com “เน้นหนักกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มผู้นำที่แท้จริง” 2) SCBBLN หรือ SCBBLNP SCBBLN SCBBLNP มาถึงกองทุนที่สองที่กลับตัวมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ซึ่งกองทุนนั้นก็คือ… SCBBLN หรือ SCBBLNP นั่นเอง ซึ่งที่ผ่านมาก็พลิกโผกลับมาได้ด้วยการสร้างผลตอบแทนแบบไม่ธรรมดาเช่นกัน และสร้างผลงานไว้ที่ 48.03% สำหรับ SCBBLNP ตามมาด้วย SCBBLN ที่สร้างผลตอบแทนได้ 47.59% เทียบเคียงกับกองทุนในกลุ่มเดียวกันที่ทำผลตอบแทนได้อยู่ที่ 30.28% มาถึงกองทุนที่สองที่กลับตัวมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ซึ่งกองทุนนั้นก็คือ… SCBBLN หรือ SCBBLNP นั่นเอง ซึ่งที่ผ่านมาก็พลิกโผกลับมาได้ด้วยการสร้างผลตอบแทนแบบไม่ธรรมดาเช่นกัน และสร้างผลงานไว้ที่ 48.03% สำหรับ SCBBLNP ตามมาด้วย SCBBLN ที่สร้างผลตอบแทนได้ 47.59% เทียบเคียงกับกองทุนในกลุ่มเดียวกันที่ทำผลตอบแทนได้อยู่ที่ 30.28% ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน SCBBLN ที่มา: www.finnomena.com ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน SCBBLN ที่มา: www.finnomena.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน SCBBLNP ที่มา: www.finnomena.com ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน SCBBLNP ที่มา: www.finnomena.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ข้อแตกต่างระหว่าง SCBBLN กับ SCBBLNP ความจริงหนึ่งเดียวของข้อแตกต่างระหว่างสองกองทุนนี้ก็คือ SCBBLNP เป็นกองทุนที่ขายให้กับ Provident fund หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งหากเรา ๆ เป็นนักลงทุนรายย่อยจะไม่สามารถซื้อขายได้ เพราะฉะนั้น คำตอบเดียวของเราก็คือ SCBBLN ซึ่งไส้ในกองก็เหมือนกัน เป๊ะ ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงวางใจได้ ความจริงหนึ่งเดียวของข้อแตกต่างระหว่างสองกองทุนนี้ก็คือ SCBBLNP เป็นกองทุนที่ขายให้กับ Provident fund หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งหากเรา ๆ เป็นนักลงทุนรายย่อยจะไม่สามารถซื้อขายได้ เพราะฉะนั้น คำตอบเดียวของเราก็คือ SCBBLN ซึ่งไส้ในกองก็เหมือนกัน เป๊ะ ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงวางใจได้ SCBBLN/SCBBLNP ลงทุนในอะไร? SCBBLN เป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นหนักไปที่การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เช่นกัน แต่ SCBBLN มีจุดพิเศษอย่างการกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ Sector และที่สังเกตุได้ก็คือ Sector หลักของกองทุนตามข้อมูลล่าสุดล้วนเป็นกลุ่มผู้นำทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Healthcare หรือจะเป็นกลุ่ม Software & Services ที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งคงไม่เป็นที่น่ากังขาสำหรับผลตอบแทนที่สามารถกลับมาได้อย่างโดดเด่น SCBBLN เป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นหนักไปที่การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เช่นกัน แต่ SCBBLN มีจุดพิเศษอย่างการกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ Sector และที่สังเกตุได้ก็คือ Sector หลักของกองทุนตามข้อมูลล่าสุดล้วนเป็นกลุ่มผู้นำทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Healthcare หรือจะเป็นกลุ่ม Software & Services ที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งคงไม่เป็นที่น่ากังขาสำหรับผลตอบแทนที่สามารถกลับมาได้อย่างโดดเด่น SCBBLN หรือ SCBBLNP จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนในหลาย ๆ ภาคส่วนอย่างทั่วถึงเพื่อกระจายความเสี่ยงรวมถึงผลตอบแทน โดยเลือกตัวชูโรงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง SCBBLN หรือ SCBBLNP จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนในหลาย ๆ ภาคส่วนอย่างทั่วถึงเพื่อกระจายความเสี่ยงรวมถึงผลตอบแทน โดยเลือกตัวชูโรงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง ภาพแสดงสัดส่วนการลงทุนหลักของ SCBBLN ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ภาพแสดงสัดส่วนการลงทุนหลักของ SCBBLN ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ที่มา: เอกสารข้อมูลสรุปของกองทุน เว็บไซต์ scbam.com ที่มา: เอกสารข้อมูลสรุปของกองทุน เว็บไซต์ scbam.com ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้ง เนื่องด้วยการลงทุนแบบยั่งยืนที่แท้จริง อาจจะเป็นการลงทุนในระยะยาว ดังนั้นในส่วนนี้จะขอย้อนผลตอบแทนกลับไปตั้งแต่จัดตั้งกันเลย เนื่องด้วยการลงทุนแบบยั่งยืนที่แท้จริง อาจจะเป็นการลงทุนในระยะยาว ดังนั้นในส่วนนี้จะขอย้อนผลตอบแทนกลับไปตั้งแต่จัดตั้งกันเลย แต่จะเรียกว่าผลตอบแทนระยะยาว ก็คงจะไม่ใช่ เพราะ ทางกองทุนเองจัดตั้งมาได้ราว ๆ 3 ปีกับอีกนิดหน่อย ดังนั้นใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจกันด้วยนะครับ แต่จะเรียกว่าผลตอบแทนระยะยาว ก็คงจะไม่ใช่ เพราะ ทางกองทุนเองจัดตั้งมาได้ราว ๆ 3 ปีกับอีกนิดหน่อย ดังนั้นใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจกันด้วยนะครับ ภาพแสดงผลการดำเนินงานกองทุน SCBBLN ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ภาพแสดงผลการดำเนินงานกองทุน SCBBLN ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ที่มา: เอกสารข้อมูลสรุปของกองทุน เว็บไซต์ scbam.com ที่มา: เอกสารข้อมูลสรุปของกองทุน เว็บไซต์ scbam.com *เกณฑ์มาตรฐานอิงจากดัชนี Solactive US Top Billionare Investors Index (ดัชนีรวมหุ้น 30 ตัวจากพอร์ตโฟลิโอ ของผู้มีเงินทุนระดับหมื่นล้านขึ้นมาได้จากการลงทุนหรือการจัดการสินทรัพย์) *เกณฑ์มาตรฐานอิงจากดัชนี Solactive US Top Billionare Investors Index (ดัชนีรวมหุ้น 30 ตัวจากพอร์ตโฟลิโอ ของผู้มีเงินทุนระดับหมื่นล้านขึ้นมาได้จากการลงทุนหรือการจัดการสินทรัพย์) ต่อไปก็มาถึงกองทุนอันดับ 3 ที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้คิดว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะมีการพลิกโผติดอันดับของเราขึ้นมาได้ ต่อไปก็มาถึงกองทุนอันดับ 3 ที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้คิดว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะมีการพลิกโผติดอันดับของเราขึ้นมาได้ กองทุนนั้นก็คือ! SCBUSSM หรือ SCBUSSMP กองทุนหุ้นกลุ่ม Small cap หรือหุ้นที่มีขนาดเล็กนั่นเอง กองทุนนั้นก็คือ! SCBUSSM หรือ SCBUSSMP กองทุนหุ้นกลุ่ม Small cap หรือหุ้นที่มีขนาดเล็กนั่นเอง 3) SCBUSSM หรือ SCBUSSMP SCBUSSM SCBUSSMP ในช่วงที่ผ่านมาทางกองทุนหุ้นจิ๋วแต่แจ๋ว ก็สร้างผลตอบแทนกลับมาได้ไม่แพ้สองกองทุนข้างต้น และติดโผเป็นอันดับที่ 3 ในช่วงที่ผ่านมาทางกองทุนหุ้นจิ๋วแต่แจ๋ว ก็สร้างผลตอบแทนกลับมาได้ไม่แพ้สองกองทุนข้างต้น และติดโผเป็นอันดับที่ 3 โดยทั้ง SCBUSSM/SCBUSSMP ทำผลตอบแทนไว้ที่ 43.25% เทียบกับกองทุนในกลุ่มเดียวกันที่ 25.80% นับจากรอบขาลงเมื่อเดือนมีนาคม โดยทั้ง SCBUSSM/SCBUSSMP ทำผลตอบแทนไว้ที่ 43.25% เทียบกับกองทุนในกลุ่มเดียวกันที่ 25.80% นับจากรอบขาลงเมื่อเดือนมีนาคม ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน SCBUSSM ที่มา: www.finnomena.com ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน SCBUSSM ที่มา: www.finnomena.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ข้อแตกต่างระหว่าง SCBUSSM กับ SCBUSSMP เป็นข้อแตกต่างเช่นเดียวกับกองทุน SCBBLN โดยการเติม P เข้าไปสื่อถึงว่า สำหรับกองทุน Provident fund ซึ่งถ้าหากเราเป็นนักลงทุนรายย่อย ก็จะลงทุนใน SCBUSSM แทน เป็นข้อแตกต่างเช่นเดียวกับกองทุน SCBBLN โดยการเติม P เข้าไปสื่อถึงว่า สำหรับกองทุน Provident fund ซึ่งถ้าหากเราเป็นนักลงทุนรายย่อย ก็จะลงทุนใน SCBUSSM แทน เจาะลึก SCBUSSM/SCBUSSMP ลงทุนในอะไร? ในส่วนนี้อาจจะค่อนข้างพิเศษกว่ากองทุนต่าง ๆ ข้างต้นด้วยความที่กองทุนลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก และถ้าถามว่าความพิเศษของหุ้นขนาดเล็กคืออะไร? คำตอบก็คือในบางช่วงเวลาหุ้นขนาดเล็กอาจเป็นหุ้นที่ทุกคนมองข้าม ซึ่งก็หมายความว่าหากถึงช่วงเวลาที่มูลค่าของมันน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หุ้นขนาดเล็กจะกลับมาซิ่งเพื่อคืนมูลค่าเดิมของมันนั่นเอง! ในส่วนนี้อาจจะค่อนข้างพิเศษกว่ากองทุนต่าง ๆ ข้างต้นด้วยความที่กองทุนลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก และถ้าถามว่าความพิเศษของหุ้นขนาดเล็กคืออะไร? คำตอบก็คือในบางช่วงเวลาหุ้นขนาดเล็กอาจเป็นหุ้นที่ทุกคนมองข้าม ซึ่งก็หมายความว่าหากถึงช่วงเวลาที่มูลค่าของมันน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หุ้นขนาดเล็กจะกลับมาซิ่งเพื่อคืนมูลค่าเดิมของมันนั่นเอง! มาเจาะกันต่อในส่วนของไส้กองทุนที่มีการบริหาร / ลงทุนใน Dimensional funds plc – us small companies fund ซึ่งเป็นกองทุนที่คัดหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก แต่คุณภาพคับแก้ว โดยเน้นการเติบโตในระยะยาว มาเจาะกันต่อในส่วนของไส้กองทุนที่มีการบริหาร / ลงทุนใน Dimensional funds plc – us small companies fund ซึ่งเป็นกองทุนที่คัดหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก แต่คุณภาพคับแก้ว โดยเน้นการเติบโตในระยะยาว ผลตอบแทนในระยะยาว ในส่วนของผลตอบแทนในระยะยาวหากย้อนหลังนับไปตั้งแต่จัดตั้งราว ๆ 10 ปี ก็อาจจะดูไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ทางกองทุนเองก็ยังจัดการให้ผลตอบแทนยืนหยัดอยู่เหนือ Benchmark (ดัชนี Russell 2000 ได้) โดยทำผลตอบแทนไว้ที่ 9.23% นับตั้งแต่จัดตั้งเทียบกับเกณฑ์ที่ 8.46% ในส่วนของผลตอบแทนในระยะยาวหากย้อนหลังนับไปตั้งแต่จัดตั้งราว ๆ 10 ปี ก็อาจจะดูไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ทางกองทุนเองก็ยังจัดการให้ผลตอบแทนยืนหยัดอยู่เหนือ Benchmark (ดัชนี Russell 2000 ได้) โดยทำผลตอบแทนไว้ที่ 9.23% นับตั้งแต่จัดตั้งเทียบกับเกณฑ์ที่ 8.46% ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน Dimensional funds plc – us small companies นับตั้งแต่จัดตั้ง ที่มา: www.us.dimensional.com ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน Dimensional funds plc – us small companies นับตั้งแต่จัดตั้ง ที่มา: www. us.dimensional.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต หากถามความเห็นส่วนตัวผู้เขียนกองทุนกลุ่มนี้เล่นรอบน่าจะดีกว่า ลงทุนแบบระยะยาวนะครับ… หากถามความเห็นส่วนตัวผู้เขียนกองทุนกลุ่มนี้เล่นรอบน่าจะดีกว่า ลงทุนแบบระยะยาวนะครับ… ก็จบกันไปนะครับ สำหรับรีวิว 3 กองทุนที่ลงทุนในสหรัฐฯ เป็นหลักและปรับตัวได้โดดเด่น ยังไงก็ลองนำไปปรับใช้ประกอบการตัดสินใจกันดูได้ครับ ก็จบกันไปนะครับ สำหรับรีวิว 3 กองทุนที่ลงทุนในสหรัฐฯ เป็นหลักและปรับตัวได้โดดเด่น ยังไงก็ลองนำไปปรับใช้ประกอบการตัดสินใจกันดูได้ครับ เปิดบัญชีกองทุน FINNOMENA วันนี้ รับฟรี! กองทุนมูลค่า 100 บาท เปิดบัญชีกองทุน FINNOMENA วันนี้ รับฟรี! กองทุนมูลค่า 100 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม Jessada Sookdhis Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ ตรวจทานบทความ คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ References | ข้อแตกต่างระหว่างกองทุน K-USA-A (A) กับกองทุน K-USA-A (D) มีเพียงหนึ่งเดียว คือ กองทุน K-USA-A (D) นั้นมีการจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนระหว่างที่ถือครองอยู่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรับกระแสเงินสดระหว่างการลงทุนออกมาบ้าง ในขณะที่กองทุน K-USA-A (A) นั้นไม่มีการจ่ายปันผลออกมา เหมาะสำหรับสายสะสมเงินทุนเติบโตแบบเน้น ๆ
ส่วนอันไหนดีกว่าอีกอันยังไง ก็คงต้องบอกว่าดีคนละแบบ อยู่ที่ความต้องการของแต่ละคนว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน แต่ก็ต้องบอกก่อนว่า K-USA-A (D) อาจมีผลตอบแทนที่ต่างกันเล็กน้อยจากการที่แบ่งส่วนมาจ่ายปันผล
กองทุน K-USA-A (A) กับกองทุน K-USA-A (D) ลงทุนใน Morgan Stanley US Advantage Fund ซึ่งเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นอเมริกา ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว โดยมีปรัชญาหลักในการลงทุนอย่างการเฟ้นหาหุ้นหรือบริษัทที่มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่งในหมวดหมู่ธุรกิจเดียวกัน มีแบรนด์ที่แข็งเเกร่ง มีกระแสเงินสดหมุนเวียนอย่างเข้มแข็ง แสดงถึงศักยภาพในการขยับขยายธุรกิจเพิ่มเติมรวมถึงสภาพคล่องที่ต่อเนื่อง และมีผลตอบแทนอยู่ในหมวดหมู่หุ้นกลุ่มผู้นำ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_19 | Finance | Machine Learning ประเภทใด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คอมพิวเตอร์หากฎเกณฑ์หรือแบบจำลองที่จะเชื่อมข้อมูล Input ไปสู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ระหว่าง Supervised Learning หรือ Unsupervised Learning | null | Supervised Learning Machine Learning ประเภท Supervised Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่คอมพิวเตอร์จะได้รับข้อมูล 2 ชุด ได้แก่ ชุดข้อมูลที่เป็น Input และ ชุดข้อมูลที่เป็น Output (ผลลัพธ์) โดยวัตถุประสงค์ของกระบวนการเรียนรู้แบบนี้นั้น เพื่อให้คอมพิวเตอร์หากฎเกณฑ์หรือแบบจำลองที่จะเชื่อมข้อมูล Input ไปสู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอง
ส่วน Machine Learning ประเภท Unsupervised Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่คอมพิวเตอร์จะได้รับข้อมูลมาโดยที่ไม่ได้มีการแบ่งข้อมูลเป็น Input หรือ Output เหมือนในวิธีแรก แต่จะให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ที่จะหาโครงสร้างหรือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลด้วยตนเองและมีความซับซ้อนในการสร้างระบบที่มากกว่าแบบแรก
ในปัจจุบันกองทุนเริ่มมีการนำ Machine Learning หรือ AI เข้ามาช่วยในการบริหารพอร์ตการลงทุนมากขึ้น ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีวิธีการในการนำเครื่องมีเหล่านี้มาใช้ในส่วนต่างๆ ของการลงทุน เช่น ช่วยในการคัดกรองหุ้นและจัดสรรน้ำหนักการลงทุนตามสภาวะตลาดในแบบต่างๆ เป็นต้น ถ้านักลงทุนสนใจลงทุนควรจะต้องเข้าไปศึกษาในหนังสือชี้ชวนของกองทุนว่าได้มีการนำ Machine Learning ไปใช้ในรูปแบบใด ใช้ factor อะไรเข้ามาวิเคราะห์ และมีกระบวนการในการทำงานอย่างไร จะได้เข้าใจว่า Machine ตัวนี้มีการ Learning ในแบบใด เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุน ถึงแม้ว่ากองทุนที่ใช้ Machine Learning ในปัจจุบันยังมีไม่มากนัก แต่คาดว่าในอนาคตจะเห็นการเติบโตของกองทุนประเภทนี้อย่างมาก ดังนั้นการเริ่มศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนที่ใช้ Machine Learning จะเป็นประโยชน์และเพิ่มโอกาสในการลงทุนของนักลงทุนได้อย่างแน่นอน | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_191 | Finance | Dollar Cost Averaging (DCA) เป็นวิธีลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในยามตลาดผันผวนได้ และช่วยให้มีโอกาสถึงเป้าหมายการเงินได้ สำหรับผู้ที่อยากออมเป็นรายเดือน หรือ ผู้มีเงินได้ประจำ ใช่หรือไม่ | null | ใช่ เก็บเงินได้ตามเป้า เริ่มต้นง่าย ด้วย DCA
Dollar Cost Averaging (DCA) เป็นวิธีลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในยามตลาดผันผวนได้ และช่วยให้มีโอกาสถึงเป้าหมายการเงินได้ สำหรับผู้ที่อยากออมเป็นรายเดือน หรือ ผู้มีเงินได้ประจำ
Wealth Plus ทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยวางแผนการลงทุน เหมาะกับคนที่ต้องการมีรายได้เสริมจากการลงทุน นักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามการลงทุน นักลงทุนที่จับจังหวะการลงทุนไม่ถูก หรือ นักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุน ด้วยเงินจำกัด
ถึงแม้ Wealth Plus จะช่วยติดตามการลงทุนให้ รวมถึงช่วยปรับสัดส่วนการลงทุนให้ (Rebalance) นักลงทุนควรหมั่นเข้าไปติดตามผลการดำเนินงานทุกๆ 6 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อปรับเปลี่ยนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย
แนวทางการสร้างความมั่งคั่งด้วย Dollar Cost Averaging (DCA)
ผู้ลงทุนที่มีรายได้ประจำหรืออยากออมเป็นประจำ ในสถานการณ์ความไม่แน่นอน ได้แต่รอซื้อของถูก ไม่เจอของถูกในสายตาเรา สรุปไม่ได้ลงทุนซักที การลงทุนด้วยวิธี Dollar Cost Averaging (DCA) ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน และยังถือเป็นการตัดสินใจให้ลงมือลงทุนได้ โดยแนวทางมีดังนี้
เริ่มกำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ได้ก่อน
การกำหนดเป้าหมายการลงทุน ดูเป็นคำพูดแบบวิชาการ แต่ก็เป็นหลักการเบื้องต้นของการคำนวณความเป็นไปได้ทางตัวเลข เพื่อประเมินทางเลือกการลงทุน เช่น ลักษณะกำหนดเป้าหมายชัดๆว่า อยากมีเงินดาวน์บ้านในอีก 2 ปีข้างหน้า จำนวนเงิน 500,000 บาท ซึ่งระบบจะประเมินคำแนะนำ(สัดส่วนการลงทุน)ให้สอดคล้องกับกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาการลงทุน เพื่อให้กำหนดเป้าหมายการลงทุนได้
ประเมินทางเลือกของตนเองในการลงทุน
กลับมาดูว่าแต่ละบุคคลมีตัวเลือกในการลงทุนอย่างไรบ้าง เช่น มีเงินก้อนเท่าไหร่ มีเงินออมรายเดือนเท่าไหร่ เมื่อมาขมวดกับเป้าหมายทางการเงิน เช่น มีผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี ด้วยระดับความเสี่ยงสูงมาก จะทำให้ประเมินได้ว่า สัดส่วนลงทุนเป็นช่วงๆตามคำแนะนำจากแบบประเมินความเสี่ยงของ ก.ล.ต. เงินฝาก/ตราสารหนี้ระยะสั้น ไม่เกิน 5% ตราสารหนี้ระยะยาว ไม่เกิน 30% ตราสารทุน มากกว่า 60% และการลงทุนทางเลือกไม่เกิน 30% แบ่งทั้งเงินก้อน และเงินออมรายเดือน | 5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1927 | Finance | Fund Supermart เป็นแพลตฟอร์มที่อำนวยให้ผู้ใช้สามารถซื้อขายกองทุนได้ จะต้องเปิดกี่บัญชี | เคยไหมกับการต้องเปิดบัญชีกองทุนกับหลาย ๆ บลจ. เพื่อที่จะได้ซื้อขายกองทุนจากหลาย ๆ แห่งได้? ไหนจะต้องคอยอัปเดตสถานะการลงทุนด้วยตัวเอง เพราะเงินลงทุนกระจายอยู่ในหลายๆ ที่? ปัญหานี้จะหมดไปหากเราใช้ Fund Supermart
ในอีพีนี้เราจะมาพูดคุยกับคุณฟ้า Associate Product Manager เกี่ยวกับระบบ Fund Supermart กัน ว่าที่ FINNOMENA มีจุดเด่นอย่างไร และจะช่วยให้การลงทุนในกองทุนนั้นสะดวกขึ้นอย่างไรบ้าง
คลิกเพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น FINNOMENA เพื่อใช้บริการ Fund Supermart ผ่านมือถือ/Tablet
สรุปเนื้อหา
Fund Supermart คืออะไร? ดีกับผู้ใช้งานอย่างไรบ้าง
Fund Supermart เป็นแพลตฟอร์มที่อำนวยให้ผู้ใช้สามารถซื้อขายกองทุนได้ เพียงเปิดบัญชีครั้งเดียว ก็สามารถเลือกลงทุนกองทุนจากแต่ละ บลจ. ได้เลย ไม่ต้องเปิดแยกทีละ บลจ.
เมื่อซื้อขายครั้งหนึ่ง ก็ซื้อขายกองทุนจากหลาย ๆ บลจ. ได้ นอกจากนั้น พอเริ่มลงทุนแล้ว เราก็สามารถติดตามข้อมูลผลการดำเนินงาน / ซื้อขาย / สับเปลี่ยน ง่ายดายในบัญชีเดียว ซึ่งดูในเว็บหรือในแอปฯ ก็ได้
ทำไมถึงสามารถเปิดแค่บัญชีเดียวแล้วซื้อขายหลาย บลจ. ได้
เพราะ Fund Supermart ใช้ระบบ Omnibus Account เป็นบัญชีแบบไม่เปิดเผยรายชื่อ ทำให้ทุกการซื้อขาย อยู่ภายใต้ Agent คือ FINNOMENA
ซื้อ SSF และ RMF ได้รึเปล่า
ตอนนี้ FINNOMENA ยังไม่สามารถซื้อ SSF / RMF ได้ แต่ตอนนี้ทางทีมงานกำลังพัฒนาระบบ Segregated Account หรือบัญชีแบบเปิดเผยชื่อ ที่จะช่วยให้ซื้อขายได้ ติดตามกันต่อไปนะ
ปัจจุบันเป็นบัญชีแบบไม่เปิดเผยชื่อ หากเกิดเหตุอะไรขึ้นกับ FINNOMENA บลจ. จะรู้ได้ยังไงว่าแต่ละคนมีหน่วยลงทุนเท่าไร เงินจะปลอดภัยไหม
ปลอดภัยเพราะเงินอยู่ที่ บลจ. ไม่ได้อยู่กับ FINNOMENA หากเกิดเหตุขึ้นจริง ๆ FINNOMENA จะนำส่งข้อมูลผู้ลงทุนให้ทาง บลจ. ดูแลต่อไป สามารถมั่นใจในความปลอดภัยของระบบได้ โดยทาง FINNOMENA ได้ขึ้นทะเบียนกับ กลต. และอยู่ในโครงการ 5 ขั้นมั่นใจลงทุนของกลต. เช่นกัน ส่วนระบบงานเบื้องหลังเวลาส่งคำสั่งซื้อขาย FINNOMENA ใช้ระบบ FundConnext ซึ่งเป็นระบบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
มี่กี่ บลจ. ตอนนี้ กำลังจะมีเพิ่มไหม
ตอนนี้ 19 บลจ. และในอนาคตก็กำลังจะมีเพิ่มอีก มีรายชื่อทั้ง 19 บลจ. ดังนี้
บลจ. ไทยพาณิชย์
บลจ. บัวหลวง
บลจ. กสิกรไทย
บลจ. กรุงศรี
บลจ. กรุงไทย
บลจ. ทหารไทย
บลจ. อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย)
บลจ. ธนชาต
บลจ. ทิสโก้
บลจ. ยูโอบี
บลจ. พรินซิเพิล
บลจ. วรรณ
บลจ. ภัทร
บลจ. เอ็มเอฟซี
บลจ. แอสเซท พลัส
บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
บลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย)
บลจ. ทาลิส
บลจ. วี
FINNOMENA มีเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มไหม
ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เก็บเท่ากับลงทุนโดยตรงกับ บลจ. เลย แถมถ้าลงทุนกับ FINNOMENA เรามีแถมคำแนะนำการลงทุนให้ด้วย
แล้วอย่างนี้ FINNOMENA มีรายได้จากไหน
ทาง FINNOMENA แบ่งค่าธรรมเนียมจาก บลจ. อีกที ไม่ได้หักจากนักลงทุนแต่อย่างใด
ถ้าจะเริ่มเปิดบัญชี ต้องทำยังไงบ้าง
เปิดได้หลายช่องทาง ทางแรกคือการกรอกเอกสารสำหรับใครที่ไม่สะดวกช่องทางออนไลน์ ทางที่สองคือกรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์ FINNOMENA แล้วส่งเอกสารผ่านทางอีเมลหรือให้ทาง Messenger รับส่งได้ แต่ที่สะดวกสุดคือผ่านแอปฯ FINNOMENA เพราะถ้าเป็นในแอปฯ ขั้นตอนจะเป็นแบบ Paperless เลย คือไม่ใช้กระดาษ กรอกข้อมูลในมือถือได้เลย ไม่ต้องใช้เอกสาร ใช้เพียงบัตรประชาชนยืนยันตัวตน เซ็นต์ E-Signature โดยถ้าสมัครเปิดบัญชีวันนี้ เร็วสุดคือสามารถซื้อขายได้วันทำการต่อไป สามารถโหลดแอปฯ FINNOMENA ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย | Fund Supermart เป็นแพลตฟอร์มที่อำนวยให้ผู้ใช้สามารถซื้อขายกองทุนได้ เพียงเปิดบัญชีครั้งเดียว ก็สามารถเลือกลงทุนกองทุนจากแต่ละ บลจ. ได้เลย ไม่ต้องเปิดแยกทีละ บลจ.
เมื่อซื้อขายครั้งหนึ่ง ก็ซื้อขายกองทุนจากหลาย ๆ บลจ. ได้ นอกจากนั้น พอเริ่มลงทุนแล้ว เราก็สามารถติดตามข้อมูลผลการดำเนินงาน / ซื้อขาย / สับเปลี่ยน ง่ายดายในบัญชีเดียว ซึ่งดูในเว็บหรือในแอปฯ ก็ได้
ทำไมถึงสามารถเปิดแค่บัญชีเดียวแล้วซื้อขายหลาย บลจ. ได้
เพราะ Fund Supermart ใช้ระบบ Omnibus Account เป็นบัญชีแบบไม่เปิดเผยรายชื่อ ทำให้ทุกการซื้อขาย อยู่ภายใต้ Agent คือ FINNOMENA
ซื้อ SSF และ RMF ได้รึเปล่า
ตอนนี้ FINNOMENA ยังไม่สามารถซื้อ SSF / RMF ได้ แต่ตอนนี้ทางทีมงานกำลังพัฒนาระบบ Segregated Account หรือบัญชีแบบเปิดเผยชื่อ ที่จะช่วยให้ซื้อขายได้ ติดตามกันต่อไปนะ
ปัจจุบันเป็นบัญชีแบบไม่เปิดเผยชื่อ หากเกิดเหตุอะไรขึ้นกับ FINNOMENA บลจ. จะรู้ได้ยังไงว่าแต่ละคนมีหน่วยลงทุนเท่าไร เงินจะปลอดภัยไหม
ปลอดภัยเพราะเงินอยู่ที่ บลจ. ไม่ได้อยู่กับ FINNOMENA หากเกิดเหตุขึ้นจริง ๆ FINNOMENA จะนำส่งข้อมูลผู้ลงทุนให้ทาง บลจ. ดูแลต่อไป สามารถมั่นใจในความปลอดภัยของระบบได้ โดยทาง FINNOMENA ได้ขึ้นทะเบียนกับ กลต. และอยู่ในโครงการ 5 ขั้นมั่นใจลงทุนของกลต. เช่นกัน ส่วนระบบงานเบื้องหลังเวลาส่งคำสั่งซื้อขาย FINNOMENA ใช้ระบบ FundConnext ซึ่งเป็นระบบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
มี่กี่ บลจ. ตอนนี้ กำลังจะมีเพิ่มไหม
ตอนนี้ 19 บลจ. และในอนาคตก็กำลังจะมีเพิ่มอีก มีรายชื่อทั้ง 19 บลจ. | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1946 | Finance | ข้อใดถูกต้องกับ 5 สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ The Perennials | A. เกษียณ = การเริ่มต้นใหม่
B. 60% อยากใช้ชีวิตกับคน Gen อื่น ๆ
C. ชอบซื้อของที่ระบุว่า “สำหรับคนสูงอายุ”
D. เกษียณ = การหยุดทำงาน | คำตอบที่ถูกต้องคือ A. เพราะว่า The Perennials คือ กลุ่มคนที่มีอายุเกษียณแต่ยังอยู่ใน Stage 1 คือ Go Crazy และยังสื่อหมายถึงผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญในการทำงาน และสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นต่อไปได้
5 สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ The Perennials
1. เกษียณ = การเริ่มต้นใหม่
2. ไม่ได้เป็น Tech-Savvy แต่ชอบซื้อของ Online
3. 83% อยากใช้ชีวิตกับคน Gen อื่น ๆ
4. ไม่ชอบให้ใครเรียกกว่า “ผู้สูงอายุ”
5. ไม่อยากซื้อของที่ระบุว่า “สำหรับคนสูงอายุ”
จาก The Perennials นี้ทำให้อายุเกษียณมีแนวโน้มที่จะถูกขยายออกไป เพราะยังทำงานได้ ยังไปท่องเที่ยวได้อยู่ นอกจากนี้อายุของมนุษย์ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งมีแนวโน้มถึง 100 ปีได้ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1951 | Finance | Alpha ในโลกของการลงทุน หมายถึงอะไร | ก. การสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าตลาด
ข. ศักยภาพทางการเงิน
ค. ผลตอบแทนทบต้น
ง. ความสุขทางการเงิน | ข้อที่ถูกต้องคือ ก. เนื่องจาก Alpha ในโลกของการลงทุน หมายถึง การสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าตลาด เช่น ถ้าเน้นสร้างผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ทางเลือกของการลงทุนก็มีได้ตั้งแต่การฝากออมทรัพย์ ฝากประจำ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1963 | Finance | Bitcoin มีความใกล้เคียงกับทองคำอย่างไร | ก. ระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ลดข้อจำกัดเดิม ๆ
ข. ราคามักถูกขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่น
ค. เป็นสินทรัพย์ที่ปกป้องความมั่งคั่งจากเงินเฟ้อหรือการด้อยค่าของสกุลเงินทั่วไป
ง. สภาพคล่องในตลาดหดหายไปจำนวนมาก | คำตอบที่ถูกต้องคือ ข. เพราะว่า Bitcoin มีความใกล้เคียงกับทองคำ คือ ราคามักถูกขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่น เชื่อมั่นในระบบ เชื่อมั่นในอนาคตและเชื่อมั่นในความโปร่งใสของมันที่หาจากสกุลเงินอื่น ๆ ได้ยาก
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นก็คือ ในช่วงเวลาที่สินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิดถูกเทขายพร้อม ๆ กัน แน่นอนว่าอาจจะเกิดจากความ “จำเป็น” บางอย่างที่ต้องขาย
แต่สิ่งที่แยกได้เบื้องต้นว่าสินทรัพย์ชนิดใดถูกมองว่าแข็งแกร่งหรือมีความเชื่อมั่นมากกว่าสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ ราคาของมันจะวิ่งกลับขึ้นมาก่อนสินทรัพย์อื่น
หากเปรียบเทียบ Bitcoin กับดัชนีหุ้นไทยหรือ SET Index หุ้นไทยถูกเทขายตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 จนลดลงต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
ส่วน Bitcoin ในช่วงเดือนมกราคม 2020 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ราคา Bitcoin ได้บวกไปกว่า 50 % ภายใน 1 เดือน และเพิ่งมาถูกแรงเทขายจริงจังช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เอง หลังจากนั้นไม่นานราคา Bitcoin ก็ได้วิ่งกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดช่วงต้นเดือนมีนาคม 2020 บวกไปกว่า 70% แต่หุ้นไทยยังไม่คงสร้างฐานราคาอยู่ด้านล่าง ซึ่งไม่แน่ใจว่าตรงนี้คือจุดต่ำสุดของรอบแล้วหรือยัง | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1967 | Finance | ทางแบงก์ชาติปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2563 เป็นเท่าไหร่ | 1. -5.3%
2. -1.3%
3. -2.3%
4. -3.3% | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 1. เพราะว่า รวมไปถึงการลดดอกเบี้ยที่คาดว่าน่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในอนาคต เพราะทางแบงก์ชาติล่าสุดปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2563 อยู่ที่ -5.3% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอาจมีผลมาจากการส่งออกที่ลดลงมากกว่าการนำเข้า ซึ่ง ณ จุดนี้หากไม่มีการกระตุ้นเพิ่มเติมก็คงจะแปลกเอามาก ๆ
นอกจากนั้น ในเชิงเทคนิคอลค่าเงินบาทก็ได้จบแพตเทิร์นเวฟขาลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แสดงให้เห็นถึงการกลับตัวของค่าเงินบาทจาก “แข็งค่า” เป็น “อ่อนค่า”
โดยรวม ทั้งการเพิ่มสภาพคล่อง การลดดอกเบี้ย และภาวะเศรษฐกิจนั้น จะเป็นปัจจัยหนุนนำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1969 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงเว็บไซต์ Investing.com ได้ถูกต้อง | A. ให้ข้อมูลเชิงลึกที่หาได้ยากเกี่ยวกับความตึงเครียดในตลาดการเงินโลก
B. แสดงมาตรวัดความกลัว / ความโลภ ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
C. แหล่งข้อมูลสำหรับอัปเดต Fund flows ของตลาดกองทุน ETF โดยเฉพาะ
D. มีปฏิทินประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่มาพร้อมกับคาดการณ์ของตลาดและข้อมูลย้อนหลัง | คำตอบได้แก่ D. เนื่องจาก เว็บไซต์ Investing.com เป็นเว็บไซต์ข่าวและดัชนีตลาดการเงินทั่วโลก โดยเป็นทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นที่อัปเดตข่าว ซึ่งรวบรวมมาจากสำนักข่าวชื่อดัง
นอกจากข่าวแล้วยังสามารถติดตามดัชนีตลาดการเงินที่อัปเดตตลอดเวลาได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหุ้น, ราคาหุ้น ETFs, ตลาดตราสารหนี้, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และ Cryptocurrency
นอกจากนี้ ยังมีปฏิทินประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่มาพร้อมกับคาดการณ์ของตลาดและข้อมูลย้อนหลัง เรียกได้ว่าหากมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีแล้วต้องการแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วน Investing.com ตอบโจทย์นี้อย่างแน่นอน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1976 | Finance | Fear & Greed Index Fear & Greed Index คืออะไร | null | Fear & Greed Index พัฒนาขึ้นมาโดย CNN Money ของอเมริกา: หน้าตาของ Fear & Greed Index ความหมายของ “ดัชนี (Index)” คือ ตัวเลขที่คำนวณขึ้นมาเพื่อบ่งชี้ถึงอะไรบางอย่าง เช่น S&P500 บ่งชี้ถึงผลการดำเนินการของบริษัทใหญ่ 500 บริษัทแรกของอเมริกา หรือ PMI บ่งชี้เศรษฐกิจของภาคการผลิตและบริการ เป็นต้น (ตัวเลข index พวกนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีหน่วย)
สำหรับ Fear & Greed Index ก็สร้างขึ้นมาเพื่อบ่งชี้ว่า: คนส่วนใหญ่ที่มีส่วนรวมในตลาด ณ ขณะนั้น กำลังโลภหรือกลัว โดยแบ่งเป็น 4 ช่วงเวลา คือ
- รายวัน
- รายสัปดาห์
- รายเดือน
- รายปี
นักลงทุนควรดู Fear & Greed Index ไว้ประกอบการการตัดสินใจด้วยเหตุผล 3 ข้อ คือ
- จากที่เกริ่นไว้ตอนต้น ว่าความโลภ
- ความกลัวเป็นอารมณ์ที่รุนแรงที่ชักนำการตัดสินใจของคน และ
- ความเป็นเหตุเป็นผล
อาจจะใช้ไม่ได้กับตลาดอีกต่อไปเมื่อคนโลภมากๆ หรือกลัวมากๆ | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1981 | Finance | Moral Hazard คืออะไร | การดำเนินนโยบายของ Fed ทำให้เกิด Moral Hazard หรือเปล่า?
อธิบายเพิ่มเติมสักนิด Moral Hazard คืออะไร?
Moral Hazard คือ การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนกำหนดความเสี่ยง แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดหากเกิดข้อผิดพลาด หากอธิบายง่ายๆก็เหมือนกับที่เวลา Fed ส่งสัญญาณกระตุ้นอย่างการลดดอกเบี้ยเรื่อยๆ อาจทำให้คนคิดว่าการกู้ยืมนี่มันถูกลงเรื่อยๆเลยนะ จนกู้เกินตัว จนคนลืมไปว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งอาจจะไม่จ่ายไม่ไหว โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบ ก็จะเป็นสถาบันปล่อยกู้ ส่วนคนกำหนดความเสี่ยงก็คือผู้กู้นั่นเอง
บทสัมภาษณ์จาก Howard Mark….
หน้าที่หลักของธนาคารกลาง (ในที่นี่ Howard Mark ยกตัวอย่างเป็น Fed)
Fed มีหน้าที่หลักๆ 3 อย่าง
สร้างอัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ในระดับที่เหมาะสม
สร้างอัตราการจ้างงานให้เหมาะสม
ทำให้แน่ใจว่าตลาดหุ้นขึ้นต่อไปได้
ความเห็นจาก Mr. Serotonin….
อธิบายเพิ่มเติมสักนิด อัตราการจ้างงานทำให้เกิดเงินเฟ้อ เพราะ เมื่อคนมีรายได้มากขึ้นก็จะใช้จ่ายมากขึ้น และหากใช้จ่ายมากขึ้น ผู้ขายก็จะรู้สึกว่าสินค้าตนมีคนต้องการที่จะซื้อ ทำให้ขึ้นราคาได้ (เกิดเงินเฟ้อ)
ดังนั้นหากอัตราการจ้างงานสูง อัตราเงินเฟ้อ (ราคาสินค้า) ก็จะสูงตามไปด้วย
ส่วนในเรื่องของการทำให้ตลาดหุ้นดำเนินต่อไปได้ ทาง Fed ก็มีเครื่องมืออย่าง การทำ QE (อัดฉีดเงินเข้าระบบ) รวมถึงอัตราดอกเบี้ย และการร่วมมือในการใช้งบประมาณของรัฐบาลอย่าง “การใช้จ่ายจากการคลัง” (Fiscal Spending)
บทสัมภาษณ์จาก Howard Mark….
ตัวอย่างของผู้ดำเนินนโยบายที่ดีก็คือ “Alan Greenspan”
มีบางช่วงเวลาที่ Alan Greenspan ช่วยตลาดหุ้นไว้ จนคนเริ่มคิดว่าลงๆเงินไปก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยว Greenspan ก็ช่วยพวกเขาเองแหละ ด้วยเหตุนี้เองจนทำให้ผู้คนลืมนึกถึงความเสี่ยง และลงเงินไปเรื่อยๆจนทำให้เกิด Moral Hazard
ความเห็นจาก Mr. Serotonin….
ในช่วงการดำเนินงานของ Alan Greenspan (ช่วงปี 1987-2006) ช่วงนั้นตลาดเป็นช่วงขาขึ้นมาโดยตลอดจนถึงช่วงวิกฤติ Subprime (2007) ซึ่งเรียกได้ว่าในยุคของเขาตลาดกระทิง อยู่ยืนยาวถึง 19 ปีเลยทีเดียว ซึ่งในมุมมองของผมมันจะเป็นไปไม่ได้เลยหากทาง Fed ไม่ดำเนินนโยบายอย่างเหมาะสม
ลองนึกภาพง่ายๆเช่น หากช่วงที่ตลาดร้อนแรงแล้ว Fed ไปลดดอกเบี้ยหรือทำ QE เพิ่มเติม (ทำให้มันร้อนแรงขึ้นไปอีก) ราคาหุ้นก็จะผันผวนตามไปด้วย ความร้อนแรงอาจทำให้เงินเฟ้อที่เกิดจากการเติบโตของเศรษฐกิจผันผวนไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเมื่อเงินเฟ้อร้อนแรงเกินไป จุดจบสุดท้ายที่ธนาคารกลางจะทำก็คือการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความร้อนแรงของตลาด และการที่ต้องขึ้นอย่างต่อเนื่องนี่เองก็อาจทำให้ Correction หรือการพักฐานของตลาดลงรุนแรงเข้าไปอีก | Moral Hazard คือ การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนกำหนดความเสี่ยง แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดหากเกิดข้อผิดพลาด หากอธิบายง่ายๆก็เหมือนกับที่เวลา Fed ส่งสัญญาณกระตุ้นอย่างการลดดอกเบี้ยเรื่อยๆ อาจทำให้คนคิดว่าการกู้ยืมนี่มันถูกลงเรื่อยๆเลยนะ จนกู้เกินตัว จนคนลืมไปว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งอาจจะไม่จ่ายไม่ไหว โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบ ก็จะเป็นสถาบันปล่อยกู้ ส่วนคนกำหนดความเสี่ยงก็คือผู้กู้นั่นเอง | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1994 | Finance | BOFFICE คืออะไร | สถานที่ทำงานในฝันของคุณเป็นแบบไหน?
ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเศรษฐีอายุน้อยร้อยล้านเกิดขึ้นมามากมาย เราอาจจะเห็นเด็กอายุ 9 ขวบมีรายได้หลักล้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น มีจำนวนมหาศาลที่ยังเป็นพนักงานประจำอยู่ และสิ่งที่มาคู่กับการเป็นพนักงานประจำก็คือ “สถานที่ทำงาน”
หากคุณจะเลือกที่ทำงานสักที่หนึ่ง อะไรเป็นปัจจัยในการตัดสินใจของคุณบ้าง? ผมเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเนื้องานและผู้คน ก็คงไม่พ้นทำเลที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก และร้านค้าต่าง ๆ
หากลองนึกภาพตามว่าคุณต้องลงจากรถไฟฟ้าในเมือง ในช่วงเช้าที่คนแน่นขนัด จนแทบจะแย่งกันหายใจ และคุณต้องนั่งรถอีกต่อหนึ่ง เพื่อไปทำงาน คุณรู้สึกอย่างไรครับ? เหนื่อยใช่ไหมครับ ยังไม่ทันได้ทำงานก็เหนื่อยแล้ว และหากที่ทำงานของคุณ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เป็นอาคารสำนักงานเก่า ๆ เปิดไฟสลัว ๆ และยังหาอาหารการกินได้ยาก คุณยังอยากจะไปทำงานอยู่ไหมครับ?
แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำสถานที่ทำงานสุดลํ้าที่ตอบทุกปัญหาข้างต้น ที่ในใจผมก็คือ “อาคารสำนักงานภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์” สำนักงานออฟฟิศเกรด A ระดับ Prime ภายใต้การจัดการของ BOFFICE กองทรัสต์เติบโตร้อนแรงที่ตอบโจทย์ทั้งพนักงานออฟฟิศและนักลงทุน
BOFFICE คืออะไร? ทำไมต้อง BOFFICE
BOFFICE (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ภิรัชออฟฟิศ) เป็นกองทรัสต์ที่เริ่มเทรดในตลาดครั้งแรกเมื่อต้นปี 2018 ในเรื่องของผลตอบแทนนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่โดดเด่น โดยตั้งแต่เปิดตัวมา ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ BOFFICE สามารถให้คุณได้ทั้งอัตราผลตอบแทนจากราคาที่เติบโตโดดเด่นเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมและตลาด!! รวมถึงการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ!!
อีกทั้งผลการดำเนินงานของทรัพย์สินที่กองทรัสต์เข้าลงทุนในปัจจุบัน ทั้งการเติบโตของรายได้แบบก้าวกระโดดจากวันที่เปิดดำเนินการ และอัตราการเช่าพื้นที่ที่สูง จึงทำให้เป็นกอง REIT ที่น่าจับตามอง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน ทั้งบริษัทหลักทรัพย์และหน่วยงานองค์กรชั้นนำที่เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นจำนวนมาก และหลังจากนี้ เราจะพาทุกคนมาพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ ผ่านทางข้อมูลกันครับ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไม BOFFICE ถึงเป็นทางเลือกที่น่าจับตามองและไม่ควรพลาดสำหรับนักลงทุนทุกคน!!
BOFFICE นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2018 มีการเติบโตของราคาที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเหนือกว่า SET ทั้งตลาด รวมถึงในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างอุตสาหกรรมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT) ด้วย ที่สำคัญการปรับตัวขึ้นของราคานี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น!!
และแม้แต่ช่วงปลายปี 2019 และต้นปี 2020 ที่ราคาของ REIT มีการชะลอตัวและลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทาง BOFFICE ก็ยังให้ผลตอบแทนราคาที่โดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมและตลาด แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทรัพย์สินที่กองทรัสต์เข้าลงทุนและความมั่นใจจากนักลงทุนต่อ BOFFICE
อัตราปันผลที่เหนือกว่าตลาด
อันดับแรก เราจะพามาดูอัตราปันผลเฉลี่ยของ REIT กันก่อน โดยอัตราปันผลปีแรกเฉลี่ยของ REIT อยู่ที่ 6-7% ต่อปีแล้วโดยในตอนนี้ BOFFICE จ่ายปันผลที่ 5.49%! ซึ่งถือได้ว่ายังสามารถให้ปันผลได้สูงกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ท่ามกลางช่วงวิกฤติที่มีความผันผวน สังเกตได้จากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลทั้งแบบ 1 ปี และ 2 ปีข้างต้นที่ไม่สมเหตุสมผล (พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่อายุมากกว่าควรให้ผลตอบแทนมากกว่า) โดยอัตราการจ่ายเงินแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ย้อนหลัง 1 ปี ของ BOFFICE อยู่ที่ 0.7275 บาทต่อหน่วยทรัสต์ และเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 BOFFICE ได้ประกาศจ่ายประโยชน์ตอบแทนในอัตรา 0.2497 บาทต่อหน่วยทรัสต์ สำหรับผลการดำเนินงาน 4 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 63 – 30 มิ.ย. 63) และ กำไรสะสม
อีกสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับ REIT ก็คืออัตราการเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นมีคุณค่ามากแค่ไหน เพราะรายได้หลักของ REIT มาจากการเก็บค่าเช่า และอัตราค่าเช่าที่ตํ่าก็ส่งผลกระทบต่อเงินปันผลของนักลงทุนเช่นกัน หากเปรียบเทียบง่าย ๆ สินทรัพย์ REIT ที่ไม่มีคนเช่าก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คุณซื้อแทงค์นํ้า แต่ไม่ใส่นํ้าลงไป ซึ่งไม่ว่าคุณจะพยายามเปิดก๊อกนํ้าแค่ไหน passive income อย่างเงินปันผลของคุณก็ไม่มีทางออกมา | BOFFICE (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ภิรัชออฟฟิศ) เป็นกองทรัสต์ที่เริ่มเทรดในตลาดครั้งแรกเมื่อต้นปี 2018 ในเรื่องของผลตอบแทนนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่โดดเด่น โดยตั้งแต่เปิดตัวมา ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ BOFFICE สามารถให้คุณได้ทั้งอัตราผลตอบแทนจากราคาที่เติบโตโดดเด่นเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมและตลาด รวมถึงการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ
อีกทั้งผลการดำเนินงานของทรัพย์สินที่กองทรัสต์เข้าลงทุนในปัจจุบัน ทั้งการเติบโตของรายได้แบบก้าวกระโดดจากวันที่เปิดดำเนินการ และอัตราการเช่าพื้นที่ที่สูง จึงทำให้เป็นกอง REIT ที่น่าจับตามอง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน ทั้งบริษัทหลักทรัพย์และหน่วยงานองค์กรชั้นนำที่เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นจำนวนมาก และหลังจากนี้ เราจะพาทุกคนมาพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ ผ่านทางข้อมูลกันครับ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไม BOFFICE ถึงเป็นทางเลือกที่น่าจับตามองและไม่ควรพลาดสำหรับนักลงทุนทุกคน
BOFFICE นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2018 มีการเติบโตของราคาที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยเหนือกว่า SET ทั้งตลาด รวมถึงในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างอุตสาหกรรมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT) ด้วย ที่สำคัญการปรับตัวขึ้นของราคานี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น
และแม้แต่ช่วงปลายปี 2019 และต้นปี 2020 ที่ราคาของ REIT มีการชะลอตัวและลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทาง BOFFICE ก็ยังให้ผลตอบแทนราคาที่โดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมและตลาด แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทรัพย์สินที่กองทรัสต์เข้าลงทุนและความมั่นใจจากนักลงทุนต่อ BOFFICE | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2002 | Finance | ครั้งแรกที่ Bill Gates พบกับ Warren Buffett มีคำถามหนึ่งบนโต๊ะอาหารค่ำ ถามทั้งคู่ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมาถึงจุดนี้คืออะไร คำตอบที่ตรงกันคือ | ทั้งคู่ตอบตรงกันว่า “FOCUS” หรือ ถ้าจะแปลง่ายๆ ก็คือ การมุ่งมั่นจดจ่อในสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง แล้วทำให้ดีที่สุด
ในเรื่องของการลงทุน เรามาลองคิดกันดูว่า เราโฟกัสแค่ไหน
เป้าหมายชัดเจนแค่ไหน
เราเคยตั้งเป้าหมายไหมว่า แต่ละปีต้องมีผลตอบแทนกี่เปอร์เซ็นต์ อีก 5 ปี เป็นอย่างไร อีก 10 ปี เป็นอย่างไร สุดท้ายที่ปลายทาง เราคาดหวังจะมีเงินเท่าไหร่ และทำไมต้องเป็นเท่านั้น
แผนการลงทุนเป็นอย่างไร
ก่อนซื้อหุ้นแต่ละตัว เราวางแผนอย่างไร หลักการในการซื้อคืออะไร จะซื้อราคาเท่าไหร่ จะขายราคาเท่าไหร่ มีเกณฑ์อะไรเป็นตัววัดว่าเรามาถูกทาง แล้วถ้าเกิดผิดทางจะจัดการแก้ไขอย่างไร เราต้องมีแผนเพื่อโฟกัสวิธีการลงทุนให้ชัดเจน
ดูหุ้นได้กี่ตัวไหว
หลายคนซื้อหุ้นที 40-50 ตัว เห็นข่าวตัวไหนดี เห็นใครพูดตัวไหนน่าสนใจ เราก็ซื้อหมด บางทีตัวไหนแดง เราเก็บไว้ก่อน ซื้อตัวใหม่มาเพิ่มเผื่อมันจะเขียวบ้าง ไปๆ มาๆ จากที่ตั้งใจถือไม่กี่ตัว กลายเป็นหลายสิบตัว ผมอยากแนะนำให้โฟกัสเอาจำนวนเท่าที่เราดูไหว ติดตามข่าวสารความคืบหน้าของบริษัทไหว เช่น 10 ตัว พอ มากกว่านี้ดูไม่ทัน ก็โฟกัสแค่นี้
นอกเหนือไปจากการลงทุนแล้ว ผมคิดว่า การงาน สุขภาพ และครอบครัว ก็เป็นสิ่งที่คุณต้องโฟกัสด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าคุณเลือกไม่ถูกว่าจะโฟกัสอย่างไรดี เพราะมีอะไรหลายอย่างที่อยากทำไปหมด อาจจะลองทำตามคำแนะนำของ Steve Jobs ที่บอกว่า
“ความหมายของ โฟกัส ไม่ใช่การตอบว่า ‘YES’ กับสิ่งที่ต้องโฟกัส
แต่คือการตอบว่า ‘NO’ ให้กับร้อยไอเดียดีๆ ที่มีอยู่” | ครั้งแรกที่ Bill Gates พบกับ Warren Buffett มีคำถามหนึ่งบนโต๊ะอาหารค่ำ ถามทั้งคู่ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมาถึงจุดนี้คืออะไร คำตอบที่ตรงกันคือ
ทั้งคู่ตอบตรงกันว่า “FOCUS” หมายถึงการมุ่งมั่นจดจ่อในสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง แล้วทำให้ดีที่สุด
ในเรื่องของการลงทุน การมุ่งมั่นจดจ่อ เช่น
1. เป้าหมายชัดเจนแค่ไหน
เราเคยตั้งเป้าหมายไหมว่า แต่ละปีต้องมีผลตอบแทนกี่เปอร์เซ็นต์ อีก 5 ปี เป็นอย่างไร อีก 10 ปี เป็นอย่างไร สุดท้ายที่ปลายทาง เราคาดหวังจะมีเงินเท่าไหร่ และทำไมต้องเป็นเท่านั้น
2. แผนการลงทุนเป็นอย่างไร
ก่อนซื้อหุ้นแต่ละตัว เราวางแผนอย่างไร หลักการในการซื้อคืออะไร จะซื้อราคาเท่าไหร่ จะขายราคาเท่าไหร่ มีเกณฑ์อะไรเป็นตัววัดว่าเรามาถูกทาง แล้วถ้าเกิดผิดทางจะจัดการแก้ไขอย่างไร เราต้องมีแผนเพื่อโฟกัสวิธีการลงทุนให้ชัดเจน
3. ดูหุ้นได้กี่ตัว
หลายคนซื้อหุ้นที 40-50 ตัว เห็นข่าวตัวไหนดี เห็นใครพูดตัวไหนน่าสนใจ เราก็ซื้อหมด บางทีตัวไหนแดง เราเก็บไว้ก่อน ซื้อตัวใหม่มาเพิ่มเผื่อมันจะเขียวบ้าง ไปๆ มาๆ จากที่ตั้งใจถือไม่กี่ตัว กลายเป็นหลายสิบตัว ผมอยากแนะนำให้โฟกัสเอาจำนวนเท่าที่เราดูไหว ติดตามข่าวสารความคืบหน้าของบริษัทไหว เช่น 10 ตัว พอ มากกว่านี้ดูไม่ทัน ก็โฟกัสแค่นี้
สรุป นอกเหนือไปจากการลงทุนแล้ว การงาน สุขภาพ และครอบครัว ก็เป็นสิ่งที่คุณต้องโฟกัสด้วยเช่นกัน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2016 | Finance | ทำไมเราถึงไม่ควรเอาเงินมาเป็นเป้าหมายชีวิต | a. การมีเงินมากเกินความจำเป็น ไม่ได้เพิ่มความสุข
b. สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้
c. ปลายทางมันคือความร่ำรวย
d. การมีเงินมากเกินความจำเป็น เป็นการเพิ่มความสุข | คำตอบที่ถูกต้องคือ a.
เพราะว่า นี่คือ 3 เหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ควรเอาเงินมาเป็นเป้าหมายชีวิต
1. ปลายทางมันคือความว่างเปล่า
มีคำพูดนึงของนักแสดงชื่อดัง กล่าวไว้ว่า
“I think everybody should get rich and famous and do everything they ever dreamed of so they can see that it’s not the answer.”
– Jim Carrey
จริงๆ แล้วจำนวนเงินมันไม่ได้มีความหมายในตัวเอง มันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเราใช้มันไปซื้อในสิ่งที่เราต้องการ ใช้มันเพื่อให้เราได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หรือเอามาแบ่งปันคนที่เราอยากแบ่งปัน ตอนนั้นแหละ คือตอนที่เงินมันมีประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ คนที่ตั้งเป้าไว้แค่จะมีเงินเยอะๆ โดยไม่ได้คิดมาก่อนว่าอยากเอาเงินไปทำอะไร พอมีเงินขึ้นมาจริงๆ แล้วก็คงจะรู้สึกว่างเปล่า เพราะตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะเอามันไปทำอะไร เหมือนกับที่ Jim Carrey บอกว่า It’s not the answer
แล้วทำไมคนส่วนใหญ่ยังชอบคิดแค่อยากจะมีเงินเยอะๆ อยู่?
- ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะสมองของเรามีนิสัยทีไม่ค่อยดี คือ สมองชอบทำอะไรง่ายๆ การตอบคำถามว่าเราต้องการอะไรในชีวิตมันเป็นคำถามที่ตอบยาก ต้องใช้พลังงานในการคิดและการสังเกตตัวเองพอสมควร แต่การตั้งเป้าหมายไว้ที่การมีเงินมากๆ แล้วคิดแค่ว่าถ้ามีเงินแล้วเดี๋ยวก็มีความสุขเอง มันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่า จะเรียกว่ามันเป็น “ความมักง่าย” ของสมองก็ได้ ที่ชอบยึดติดกับคำตอบแรกที่นึกขึ้นได้ แล้วก็ไม่สนใจมองหาคำตอบอื่นเลย
- สำหรับบางคนถ้ายังติดใจกับคำพูดของ Jim Carrey ว่า “ก็เค้ารวย รวยแล้วก็พูดได้ว่าเงินมันไม่สำคัญ” อยากให้ลองดูเหตุผลข้อต่อไป
2. การมีเงินมากเกินความจำเป็น ไม่ได้เพิ่มความสุข
ยิ่งมีเงินเยอะ ยิ่งมีความสุข เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่…มันเป็นจริงเฉพาะช่วงแรกเท่านั้น
หลังจากที่เรามีเงินมากพอเลี้ยงปากท้องและความอยากต่างๆ ของตัวเองได้แล้ว จำนวนเงินส่วนเกินที่เพิ่มมากขึ้นนั้นไม่ได้ทำให้ความสุขเรามากขึ้นตามแต่อย่างใด
เหตุผล ทำไมไม่ควรเอา “เงิน” มาเป็นเป้าหมายของชีวิต :
มีคนทำงานวิจัยไว้ เค้าทดลองวัดความสุขของคนเทียบกับรายได้ต่อหัวประชากรของประเทศนั้นๆ ผลการวิจัยนี้ได้ข้อสรุปว่า
- โดยเฉลี่ยประเทศที่มีรายได้เยอะกว่าจะมีความสุขมากกว่าประเทศที่รายได้น้อยกว่า
- แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งความร่ำรวยที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้ความสุขเพิ่มขึ้นเสมอไป
สรุปก็คือ เงินช่วยเพิ่มความสุขจริง เพราะมันช่วยแก้ปัญหาหลายอย่างในชีวิต แต่หลังจากที่ชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้ว การมีจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมันไม่มีความหมายอะไร ความหมายของชีวิตหลังจากนั้นมันจะไปตกอยู่ที่การตอบตัวเองให้ได้ว่า เราจะเอาเงินที่หามาได้ไปใช้ทำอะไร ต่างหาก
3. ไม่สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้
- เหตุผลข้อสุดท้ายว่าทำไมไม่ควรเอาเรื่องเงนมาเป็นเป้าหมาย คือ คนที่คาดหวังกับเรื่องเงินมากๆ มักจะลงทุนได้ไม่ดี
- อย่างที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ ว่าการลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนที่เก่งๆ จะเข้าใจดี ว่าการลงทุนไม่ว่าอะไรก็ตามไม่สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนได้ 100% มันมีความเสี่ยงที่เงินต้นของเราจะเกิดความผันผวนอยู่เสมอ
- สำหรับคนที่ยึดติดว่าการมีเงินเพิ่มขึ้นคือเป้าหมายของชีวิต เค้าจะไม่สามารถทนเห็นความผันผวนที่เกิดจากการลงทุนได้ พอเห็นหุ้นเหวี่ยง หรือกองทุนที่ถืออยู่ราคาลดลง ก็เกิดผลกระทบกับจิตใจโดยตรง พอเงินลด ความสุขก็ลดตาม เพราะเค้าเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกไว้กับจำนวนเงิน สุดท้ายก็จะถือสิ่งที่ลงทุนอยู่ได้ไม่นาน แล้วก็ออกจากเกมนี้ไป | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2024 | Finance | Happiness Set Point คืออะไร | 1. เป็นเส้นวัดระดับความรวย ซึ่งแต่ละคนมากน้อยไม่เท่ากัน
2. เป็นเส้นวัดระดับความยากจน ซึ่งแต่ละคนมากน้อยไม่เท่ากัน
3. เป็นเส้นวัดระดับกำไร ซึ่งแต่ละคนมากน้อยไม่เท่ากัน
4. เป็นเส้นวัดระดับความสุข ซึ่งแต่ละคนสุขมากหรือสุขน้อยไม่เท่ากัน | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 4. เนื่องจาก ในทางจิตวิทยา อธิบายว่า มนุษย์เรามี “Happiness Set Point” เหมือนเป็นเส้นวัดระดับความสุข ซึ่งแต่ละคนสุขมากหรือสุขน้อยไม่เท่ากัน
เรื่องแปลกแต่จริง คือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เช่น ถูกล็อตเตอรี่ ได้หุ้นเด้ง เงินเดือนขึ้น น้ำท่วม ไฟไหม้ รถชน แฟนทิ้ง เราจะทุกข์หรือสุขมากเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ระดับความสุขของเราจะกลับไปอยู่ที่เดิม คือ ที่จุด Set Point นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ปีนี้ตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวนมาก ไหนจะเรื่องเศรษฐกิจที่ดูไม่ค่อยดี ไหนจะเรื่องความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ไหนจะสงครามการค้า ทำให้บางวันเรากำไรอยู่ดีๆ อีกวันขาดทุนซะละ แต่เชื่อมั้ย ว่าพอเวลาผ่านไป ความสุขของเราก็กลับมาที่เดิมอีก แล้วก็วนไปวนมาอยู่แบบนี้
เพราะฉะนั้น วิธีเพิ่มความสุขแบบง่ายๆ เราก็ต้องยกระดับ Happiness Set Point ขึ้นมา
มีงานวิจัยบอกว่าวิธีการที่จะทำแบบนั้นได้คือ “การนั่งสมาธิ” เพราะวิธีนี้จะไปพัฒนาสมองส่วนที่เรียกว่า Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นสมองที่รับรู้ความรู้สุขและทุกข์
บางคนบอกว่า ยากเกินไป เป็นคนไม่ค่อยมีสมาธิ ฟุ้งซ่าน นั่งไป 5 นาที ก็ไม่ไหวแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ ต้องลองอีกวิธีคือ “เลือกวิธีการใช้เงินให้ถูกต้อง”
ผลจากการวิจัยบอกว่า การที่เรามีเงินเพิ่มขึ้น มันก็ไม่ได้แปลว่าจะเอาไปซื้อให้มีความสุขได้มากขึ้น มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาไปซื้ออะไรมากกว่า ถ้าเราเอาไปซื้อสิ่งของ เครื่องประดับ เสื้อผ้า แหวนเพชร เราอาจจะมีความสุขน้อยกว่า เราเอาไปบริจาค ไปทริปกับครอบครัว | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2033 | Finance | ปี 2563 AIS (ADVANC) มีเลขหมายประมาณกี่เลขหมาย | 1. กว่า 10 ล้านเลขหมาย
2. กว่า 40 ล้านเลขหมาย
3. กว่า 20 ล้านเลขหมาย
4. กว่า 30 ล้านเลขหมาย | คำตอบ คือ 2. โดยเรียงลำดับหุ้นตามจำนวนเลขหมาย
อันดับหนึ่ง คือ AIS (ADVANC) ที่มีกว่า 40 ล้านเลขหมาย
อันดับสอง TRUE มีกว่า 30 ล้านเลขหมาย
อันดับสาม DTAC ที่มีราว 20 กว่าล้านเลขหมาย
แล้วจำนวนเลขหมายเยอะ ๆ มันดียังไง ?
คำตอบ คือ สร้างกระแสเงินสด เพราะหนึ่งเลขหมาย หมายถึงค่าบริการที่ต้องจ่าย
นอกจากนั้น กิจการเหล่านี้ต้องรู้พฤติกรรมการจ่ายบิลค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ตอย่างแน่นอน คิดว่าสิ่งนี้เป็น BIG DATA แบบหนึ่งที่นำมาประยุกต์ใช้ได้
ยกตัวอย่าง เช่น ถ้ารู้ข้อมูลการจ่ายบิลกว่า 40 ล้านบิล และนำข้อมูลมาประมวลผล ในอนาคตอาจใช้ข้อมูลดังกล่าว “ปล่อยสินเชื่อ” ก็เป็นไปได้
อย่าลืมว่าคนไทยกว่า 70 ล้านคน ไม่ได้มีบัญชีธนาคารทุกคน หรือขอสินเชื่อในระบบได้ทุกคน นั่นเป็นเพราะสถาบันการเงินไม่มีข้อมูลมาวิเคราะห์ลูกหนี้ว่าน่าเชื่อถือที่จะปล่อยเงินกู้ให้หรือไม่นั่นเอง | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_204 | Finance | กระแส Plant-based ในประเทศไทย เป็นอย่างไรในปี 2024 ? | Plant-Based เทรนด์ใหม่การกิน ที่น่าลงทุน
• นวัตกรรมอาหารแบบ Plant-Based กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก รับกับกระแสการดูแลสุขภาพ ทำให้มีหลายบริษัทหันมาจับธุรกิจนี้เพิ่มมากขึ้น
• กระแสความนิยมสะท้อนผ่านราคาหุ้น บริษัท Beyond Meat ผู้นำ Plant-Based ฝั่งอเมริกา ที่เพิ่งจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น NASDAQ โดยราคาซื้อขายวันแรก เปิดตัวพุ่งไปถึง 163%
• Plant-Based จึงไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นโอกาสใหม่ สำหรับการลงทุนที่น่าสนใจ ทั้งในไทย และต่างประเทศ
ทำไม Plant-Based ถึงน่าสนใจ
กระแสการกินเนื้อสัตว์ทดแทนจากพืช (Plant-Based) กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ทั่วโลก เป็นเทรนด์ดูแลสุขภาพและใส่ใจในอาหารการกินไปด้วย จากที่บริโภคเนื้อสัตว์ก็เริ่มมองหาสิ่งอื่นมาทดแทนแต่ได้คุณประโยชน์ เช่น เนื้อบด สเต็ก หรือไส้กรอก ซึ่งเหล่านี้ทำมาจากพืชแต่รูปร่างหน้าตาสีสันค่อนข้างคล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์ดั้งเดิมนั่นเอง
ยกตัวอย่าง Beyond Meat บริษัทจากสหรัฐอเมริกาถือเป็นเจ้าแรกๆ ของโลกที่หันมาบุกตลาด Plant-Based อย่างจริงจัง จากการเปิดตัวเนื้อวัวที่ทำจากพืชที่มีรสชาติ สีสัน และเนื้อสัมผัสเหมือนกับเนื้อวัวมาก ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในตลาดสหรัฐฯ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเรือธงคือ Beyond Burger นั่นเอง
ทำไมต้อง Beyond Meat
Beyond Meat ถือว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอาหารจากพืชอยู่ที่ 10% (รองจาก Morningstar Farms และ Conagra’s) และมีมูลค่าตลาด (Market Cap) อยู่ที่ USD 6,682.2 Million อ้างอิงข้อมูลในเดือน ตุลาคม 2021 และเริ่มเข้า IPO ในตลาดหุ้น NASDAQ ชื่อย่อว่า BYND เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2019 ด้วยราคา USD 25 (ประมาณ 800 บาท)ต่อหุ้น ราคาก็พุ่งไปถึง 163% ในวันซื้อขายวันแรก ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการ IPO หุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นมา จนปัจจุบันราคาอยู่ที่ USD 98.98 (ประมาณ 3,300 บาท)ต่อหุ้น (ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2021) ที่ราคาปรับขึ้นเกือบ 400% เพราะ Beyond Meat ขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปและเอเชีย ไม่เพียงเท่านี้บริษัทยังเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ และวางขายสินค้าตามร้านสะดวกซื้อทั่วสหรัฐฯ รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด โดยในปี 2020 มีรายได้อยู่ที่ USD 406.8 Million และมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ USD-0.60 โดย Bloomberg คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้ในปี 2021-2022 อยู่ที่ USD 540.9 Million และ USD 828.6 Million ตามลำดับ และคาดว่าจะมีกำไรต่อหุ้นในปี 2021-2022 อยู่ที่ USD -1.21 และ USD -0.39 ตามลำดับ
กระแส Plant-based ในไทย
ปัจจุบันคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นโดยการออกกำลังกายและเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จนเกิดเทรนด์อาหารทางเลือกใหม่ ที่ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทดแทนจากพืช (Plant-Based) ที่ทำมาจาก พืช ผัก ผลไม้ เห็ด เมล็ดพืช ธัญพืช และอาหารตระกูลถั่ว ที่เป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านอาหารที่เข้ามาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคนั่นเอง ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทดแทนจากพืชนี้ ยังเหมาะกับคนที่ทานเจ ทานมังสวิรัต ไม่ทานหรือแพ้เนื้อสัตว์ คนที่กำลังลดน้ำหนัก เป็นต้น จากกระแสทำให้ตอนนี้ในประเทศไทยของเราได้เห็นเมนู Plant-based กันบ้างแล้วตามร้านอาหารชื่อดัง เช่น Sizzler กับเมนูบียอนด์เบอร์เกอร์ซอสบาร์บีคิว และ Starbucks กับเมนูบียอนด์มีทแซนด์วิช อีกทั้งแบรนด์ต่างๆ ที่เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบในไทยไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบสำหรับการทำอาหาร หรือ อาหารสำเร็จรูปก็หันมาบุกตลาดทำการตลาด Plant-Based และจัดจำหน่ายหลากหลายช่องทางมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Foodland Makro Top Supermarket และ Villa Market เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทยคาดว่ามูลค่าตลาด Plant-Based อาจแตะระดับ 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2024 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10%* โดยประเมินจากผู้ผลิตอาหารที่มีศักยภาพในการต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอาหาร เช่น ธุรกิจแปรรูปเนื้อสัตว์ หรือ ธุรกิจผลิตอาหารสำเร็จรูปแบบพร้อมปรุงและพร้อมทาน และสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ตลาด Plant-Based ในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด คือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบโจทย์เรื่องรสชาติ เนื้อสัมผัส และกลิ่น ใกล้เคียงกับอาหารเดิมมากที่สุดโดยยังทรงคุณค่าทางโภชนาการไว้
เราจะทำเงินจากกระแส Plant-Based ยังไงได้บ้าง
จากกระแสเทรนด์ทางเลือกในการกินอาหารจากพืชทดแทนเนื้อสัตว์ที่กำลังมาแรงในบ้านเรานี้ เรายังสามารถสร้างโอกาสในการทำเงินได้อีกด้วย เช่น
• หากเราเป็นคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ควรจับตามองกระแส Plant-Based เป็นพิเศษเพื่อโอกาสทางการขายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้า หรือ การต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมให้ดียิ่งขึ้น
• หากเราเป็นกลุ่มคนทั่วไปที่ใส่ใจสุขภาพและชอบทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่แล้ว อาจหันมาลงทุนในหุ้นไทยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตตอบรับกับกระแส Plant-Based
• หากเราสนใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารหรือ Plant-Based ก็สามารถลงทุนได้เช่นเดียวกัน เบื้องต้นแนะนำเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางหลักทรัพย์กสิกรไทย
ในทางกลับกันหากเราไม่ได้อินเทรนด์จากกระแสดูแลสุขภาพเพื่อลดโรคภัย และอยากเตรียมพร้อมค่ารักษาพยาบาลไว้เนิ่นๆ แนะนำให้ทำประกันสุขภาพไว้ หรือเตรียมเงินสำรองจะได้อุ่นใจเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน | ปัจจุบันคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นโดยการออกกำลังกายและเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จนเกิดเทรนด์อาหารทางเลือกใหม่ ที่ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทดแทนจากพืช (Plant-Based) ที่ทำมาจาก พืช ผัก ผลไม้ เห็ด เมล็ดพืช ธัญพืช และอาหารตระกูลถั่ว ที่เป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านอาหารที่เข้ามาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคนั่นเอง
ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทดแทนจากพืชนี้ ยังเหมาะกับคนที่ทานเจ ทานมังสวิรัต ไม่ทานหรือแพ้เนื้อสัตว์ คนที่กำลังลดน้ำหนัก เป็นต้น จากกระแสทำให้ตอนนี้ในประเทศไทยของเราได้เห็นเมนู Plant-based กันบ้างแล้วตามร้านอาหารชื่อดัง เช่น Sizzler กับเมนูบียอนด์เบอร์เกอร์ซอสบาร์บีคิว และ Starbucks กับเมนูบียอนด์มีทแซนด์วิช อีกทั้งแบรนด์ต่างๆ ที่เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบในไทยไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบสำหรับการทำอาหาร หรือ อาหารสำเร็จรูปก็หันมาบุกตลาดทำการตลาด Plant-Based และจัดจำหน่ายหลากหลายช่องทางมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Foodland Makro Top Supermarket และ Villa Market เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทยคาดว่ามูลค่าตลาด Plant-Based อาจแตะระดับ 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2024 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10%* โดยประเมินจากผู้ผลิตอาหารที่มีศักยภาพในการต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอาหาร เช่น ธุรกิจแปรรูปเนื้อสัตว์ หรือ ธุรกิจผลิตอาหารสำเร็จรูปแบบพร้อมปรุงและพร้อมทาน และสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ตลาด Plant-Based ในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด คือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบโจทย์เรื่องรสชาติ เนื้อสัมผัส และกลิ่น ใกล้เคียงกับอาหารเดิมมากที่สุดโดยยังทรงคุณค่าทางโภชนาการไว้ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2050 | Finance | ทำไมยิ่งออมเงินเร็ว ยิ่งสบาย | เกี่ยวกับคำแนะนำในเรื่องของการออม ต้องบอกว่ามีการแนะนำให้ทุกคนเริ่มออมเงินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากเหตุผลที่ว่า ถ้าเราออมเงินได้เร็วเท่าไรจะทำให้ภาระในการออมเงินลดน้อยลงเท่านั้น ในบทความนี้จึงขอนำเสนอตัวอย่างของการคำนวณที่จะทำให้ทุกคนเห็นภาพว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ปัจจัยที่ทำให้คนที่เริ่มออมเงินยิ่งเร็วจะมีภาระในการออมเงินลดน้อยลง คือเรื่องของ “พลังของอัตราผลตอบแทนแบบทบต้น” หรือบางคนอาจจะใช้คำว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” ก็ได้
ความหมายของอัตราผลตอบแทนแบบทบต้นหมายความว่า ผลตอบแทนที่เราได้รับจากการนำเงินออมไปลงทุนในงวดก่อนหน้า จะถูกนำมาลงทุนซ้ำด้วยในงวดถัดไป เช่น สมมติให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่จะได้รับจากการลงทุนเท่ากับ 6% ต่อปี ถ้าในปีแรกเรานำเงินมาลงทุน 100 บาท ตอนสิ้นปีเราจะได้ผลตอบแทนกลับมา 6 บาท รวมเป็นเงินออมตอนสิ้นปีแรกที่ 106 บาท
และในปีต่อไปถ้าเรายังลงทุนต่อเนื่อง เงินต้นของการลงทุนในปีที่สอง จะเท่ากับ 106 บาท ซึ่งถ้าเราได้รับผลตอบแทนที่ 6% จะได้ผลตอบแทนกลับมาเท่ากับ 6.36 บาท รวมเป็นเงินออมตอนสิ้นปีที่สอง เท่ากับ 112.36 บาท
และยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ผลตอบแทนของปีหลัง ๆ ที่ได้รับจากการนำผลตอบแทนของปีก่อนหน้ามารวมเป็นเงินต้นด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้เองเงินออมของเราจึงเติบโตด้วยอัตราที่เร่งมากขึ้น หากเราไปดูกราฟของเงินออมสะสมจะมีรูปร่างเป็นเส้นโค้งที่มีความชันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เราลองไปดูตัวอย่าง ว่าถ้าคนเริ่มต้นออมเงินเร็วกว่าจะสบายกว่าอย่างไร โดย สมมติคนขึ้นมา 2 คนที่อายุเท่ากัน โดยให้คนแรกเริ่มออมเงินตั้งแต่อายุ 25 ปี เดือนละ 2,000 บาท (ปีละ 24,000) เป็นระยะเวลา 10 ปี จากนั้นก็หยุดออม แต่เงินที่ออมทั้งหมดยังลงทุนต่อไปโดยไม่นำเงินออมมาใช้ ส่วนคนที่สองเริ่มออมเงินตอนอายุ 35 ปี เดือนละ 2,000 บาท เป็นระยะเวลา 25 ปี และกำหนดให้ผลตอบแทนจากการนำเงินออมไปลงทุนเท่ากับ 6% ต่อปี เรามาลองดูกันว่าเมื่อคนทั้ง 2 คนนี้เมื่อมีอายุ 60 ปี จะมีเงินออมเท่าไร
จะเห็นได้ว่าเมื่อทั้งสองคนอายุ 60 ปี คนแรกที่เริ่มออมเงินเร็วกว่าตั้งแต่อายุ 25 ปี และออมเงินเพียง 10 ปี จะมีเงินออมรวม 1,525,496 บาท ส่วนคนที่สองที่ออมเงินช้ากว่าเพราะเริ่มออมเงินตอนอายุ 35 ปี ถึงแม้จะออมเงินนานกว่าถึง 25 ปี กลับมีเงินออมรวมเพียง 1,479,498 บาทเท่านั้น
จากตัวอย่างการคำนวณข้างต้น อยากนำเสนอภาพให้เห็นเป็นรูปธรรมถึงประโยชน์ของการออมเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ ตอนที่อายุยังน้อย ว่ามันจะช่วยให้เราสบายขึ้นมากกว่าการเริ่มออมเงินหลังจากที่อายุมากแล้ว ดังนั้น เรามาเริ่มต้นออมเงินกันตั้งแต่วันนี้กันเถอะ ชีวิตของเราจะได้เข้ากับสโลแกนที่บอกว่า “ออมก่อนสบายกว่า” นั่นเอง | การเริ่มต้นออมเงินเร็วมีข้อดีมากมายที่เห็นได้จากตัวอย่างการคำนวณที่คุณนำเสนอ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:
1. พลังของดอกเบี้ยทบต้น: การออมเงินเร็วทำให้เรามีโอกาสให้เงินที่ออมได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยทบต้นนานขึ้น ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในปีแรกจะถูกนำมาลงทุนซ้ำในปีถัดไปและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลา ความเร็วในการเริ่มออมจึงมีผลต่อการเติบโตของเงินออมอย่างมาก
2. การออมระยะสั้นแต่เริ่มต้นเร็ว: ตัวอย่างที่คุณยกมาแสดงให้เห็นว่า การออมเพียง 10 ปี โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 25 ปี สามารถสร้างเงินออมรวมที่มากกว่า การออม 25 ปี โดยเริ่มต้นตอนอายุ 35 ปี นั่นหมายความว่า การเริ่มออมเร็วมีข้อดีในเรื่องของการใช้ประโยชน์จากการทบต้น
3. ผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นตามเวลา: การออมตั้งแต่อายุยังน้อยช่วยให้เรามีเวลาให้เงินออมเติบโตได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เรามีความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
การออมเงินตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นการวางแผนทางการเงินที่ดีที่ช่วยให้เรามีความมั่นคงและสบายขึ้นในอนาคต ดังนั้น การเริ่มต้นออมเงินเร็วคือการลงทุนในอนาคตของเราเองอย่างชาญฉลาด | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2070 | Finance | ในปี 2562 เราจะจัดพอร์ตอย่างไรกับเงิน 1 แสนบาท | ย้อนความกลับไปตอนผมอยู่ชั้นประถม เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีที่แล้ว จำได้ว่าคุณนาย พรพรรณ (ชื่อ คุณแม่) นำเงินจำนวน 1 แสนบาทมาให้ช่วยเก็บไว้ ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้ถามคุณนายเค้าว่าเอาเงินมาฝากไว้ที่เด็กอายุ 9 ขวบอย่างผมทำไม ไฉนไม่เอาไปเก็บในตู้เซฟเอง
การได้จับเงิน 1 แสนบาทในตอนอายุ 9 ขวบ ตอนนั้นมันเป็นเงินจำนวนมากจริงๆ ผมยังจำความหนาของธนบัตรใบละ 500 บาทได้เป็นอย่างดี ยังคิดตามประสาเด็กเลยว่าเงินก้อนนี้มันสามารถไปซื้อของเล่น และเครื่องเล่นเกมต่างๆ ที่อยากได้ทุกอย่างที่อยากได้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวคุณนายเค้าก็ต้องมาเอาเงินคืนอยู่ดี
นั่นคือความทรงจำกับเงิน 1 แสนครั้งแรกของผม หลังจากวันนั้นผมต้องรออีกกว่า 15 ปีถัดมา หรืออายุย่างเข้า 25 หลังจากเรียบจบ ผมเริ่มเข้าทำงานด้วยดีกรี ป.ตรี วิศวกรรมศาสตร์ และ ป.โท อีก 2 ใบด้วยเงินเดือนเริ่มต้น 1.6 หมื่นบาท ผมยกเงินเดือนทั้งหมดของผมให้คุณนายพรพรรณทุกเดือน และผมไปหารายได้อื่นเพิ่มจากการสอนพิเศษ ผมเก็บเงินและได้จับเงินแสนอีกครั้ง หลังจากสอนพิเศษอย่างหนักหน่วงกว่าปีครึ่ง
ความรู้สึกในเงินแสนตอนอายุ 9 ขวบคือซื้อได้ทุกอย่างที่ต้องการ ส่วนตอนอายุ 25 มันอาจซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่มันก็ยังเป็นจำนวนเงินที่มาก และให้ความรู้สึกถึงความยากลำบากในการหามาได้ มาถึงวันนี้ผมมีอายุย่างเข้า 40 ปี ได้จับเงินแสนมาหลายครั้ง ทั้งหามาและใช้ไป สิ่งหนึ่งที่ผมตกใจก็คือค่าของเงินมันลดลงเร็วและรุนแรงมาก แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 30 ปีที่ผ่านมาจะอยู่ที่ปีละ 3.1% (เท่ากับว่าราคาของสินค้าจะต้องเพิ่มขึ้นแบบทบต้นถึง 149% จากราคาเมื่อ 30 ปีก่อน) ก๋วยเตี๋ยวจากชามละ 10 บาท ต้องกลายเป็น 24.9 บาทในวันนี้ แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก๋วยเตี๋ยว 1 ชามตอนนี้อยู่ที่ 45-50 บาท หรือเพิ่มขึ้นมากว่า 350-400%
เงิน 1 แสนบาทในตอนนี้จึงมีค่าที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับ 30 ปีที่แล้ว และมันจะต่ำลงไปมากกว่านี้ ในอีก 30 ปีข้างหน้า (เมื่อนำมาเทียบกับปัจจุบัน) ดังนั้นการจัดการการเงินในวันนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากไม่ทำอะไรมันมีแต่จะด้อยค่าลง
ทางออกของการจัดการเงิน 1 แสนบาทมันอยู่ที่ตรงไหน ซึ่งความเป็นจริงมันไม่ใช่แค่ 1 แสนบาทแต่มันรวมถึงการจัดการเงินที่เรามีอยู่ทั้งหมดว่าควรต้องบริหารให้มันงอกเงยเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อยังไง
แน่นอนว่าการฝากเงินในธนาคาร โดยเฉพาะการฝากประจำมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะเงินฝากที่เราได้รับในแต่ละปีมันต่ำกว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยแน่นอน จึงต้องมองไปที่ทางเลือกอื่นๆ ทั้งการลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้ และตราสารทุน
สำหรับเงิน 1 แสนบาท มันเป็นจำนวนที่ไม่ได้สูงมากนักในปัจจุบัน ดังนั้นหากคิดจะเลือกลงทุน ควรเน้นไปที่การลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่ากระจายลงทุน แนวทางที่น่าสนใจทางหนึ่งคือการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรผสมกับตราสารหนี้เอกชน ซึ่งกองทุนประเภทนี้จะให้ความเสี่ยงต่ำ (เงินต้นไม่ลดลง) และให้ผลตอบแทนในแต่ละปีสูงกว่าการฝากเงินประจำ (แต่ไม่มากนัก)
แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้มากขึ้น อาจเน้นไปที่กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ของเอกชน ที่อันดับเครดิตไม่ได้สูงไปกว่า BBB กลุ่มนี้จะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนักลงทุนก็ต้องยอมรับความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงมากขึ้นตามด้วย
อีกทางเลือกที่ น่าสนใจที่สุด คือการลงทุนในตราสารทุน โดยเฉพาะการลงทุนในกิจการที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน มีอัตราการจ่ายปันผล และมีราคาที่เหมาะสม ส่วนตัวแล้วเงิน 1 แสน หากเอาไปแค่ฝากประจำหรือลงทุนกองทุนตราสารหนี้ ผลตอบแทนต่อปีมันจะไม่สูง แต่หากเราไปเลือกลงทุนในกิจการที่ดี นอกจากจะได้ปันผลแล้ว ในวันที่เศรษฐกิจดี กิจการทำกำไรได้มากขึ้น ราคาหุ้นก็จะปรับเพิ่มขึ้นตาม เราก็อาจได้ส่วนต่างของราคามากอย่างไม่คาดฝัน แต่ในเรื่องนี้ต้องระวังด้วยว่าถ้าคิดผิดไปอยู่ในกิจการที่ย่ำแย่ ราคาหุ้นก็ลงหนักเป็นเงาตามตัว ความเสียหายของเงินต้นก็จะเกิดขึ้นได้
มีหลักการง่ายๆ ว่า ควรเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นที่สามารถรักษาระดับรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 5 ถึง 10 ปีที่ผ่านมา แม้บางปีรายได้อาจตกลงตามสภาวะเศรษฐกิจ แต่กิจการก็สามารถที่จะเร่งฟื้นตัวกลับมาได้ภายใน 2 ปี เช่นเดียวกับการทำกำไรทั้งขั้นต้น และกำไรสุทธิ หากกิจการสามารถรักษาระดับทำกำไรให้เติบโตได้อย่างสม่ำเสมอก็ถือว่าเป็นกิจการชั้นยอด ในที่นี้อาจดูที่ค่า ROE ไม่ควรต่ำกว่า 15% และแน่นอนว่ากิจการนั้นๆ ควรต้องจ่ายปันผลในอัตราที่สูงกว่า 4% และระดับราคาไม่ควรแพงเกินไปกว่าค่า PE Ration ที่ 10 หรือ 12 เท่า
การลงทุนในตราสารทุน ควรเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ควรอ่อนไหวกับการขึ้นลงของราคา แต่ควรให้ความสำคัญไปที่ผลการดำเนินงานของกิจการ ทิศทางของกิจการว่ายังเป็นไปในทางที่ดีอยู่หรือไม่ มีข้อสังเกตว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20 ปีอยู่ที่ราวๆ 5.9% ต่อปี ดังนั้นหากเลือกกิจการที่ดีให้ปันผลสูง 4% ผลตอบแทนที่คาดหวัง (รวมปันผล) ต่อปีอาจสูงถึง 10% เงิน 1 แสนในวันนี้ อาจขยายกลายเป็น 2 แสนได้ในอีก 7 ปีกับอีก 4 เดือนข้างหน้า | 1. กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรผสมกับตราสารหนี้เอกชน
ลักษณะ: กองทุนประเภทนี้ให้ความเสี่ยงต่ำกว่าและให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินประจำ แต่ยังคงความปลอดภัยของเงินต้นเป็นหลัก
ข้อดี: ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินประจำและมีความเสี่ยงต่ำกว่า
ข้อเสีย: ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าการลงทุนในตราสารทุนหรือกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ของเอกชน (อันดับเครดิต BBB):
ลักษณะ: กองทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ข้อดี: อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตดี
ข้อเสีย: ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้สูงกว่ากองทุนที่มีอันดับเครดิตดี
การลงทุนในตราสารทุน:
ลักษณะ: ลงทุนในกิจการที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันและมีการจ่ายปันผลสูง
ข้อดี: ผลตอบแทนสูงในระยะยาว ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาและปันผล
ข้อเสีย: ความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคาหุ้นและผลการดำเนินงานของกิจการ
หลักการเลือกหุ้น:
2. เลือกหุ้นที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องใน 5-10 ปีที่ผ่านมา
ตรวจสอบค่า ROE (Return on Equity) ไม่ต่ำกว่า 15%
เลือกหุ้นที่จ่ายปันผลมากกว่า 4%
ราคาหุ้นควรอยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไป (PE Ratio ควรไม่เกิน 10-12 เท่า)
กลยุทธ์การลงทุน:
ลงทุนในตราสารทุนควรเป็นการลงทุนระยะยาวและไม่อ่อนไหวกับการขึ้นลงของราคา
ให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานของกิจการและทิศทางการเติบโตในอนาคต
การจัดพอร์ตการลงทุนจึงควรพิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้และระยะเวลาที่ต้องการลงทุนเป็นสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเงินของคุณในอนาคต | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2074 | Finance | หุ้นที่น่าจะเข้าข่ายเป็นหุ้นร้าว มีหุ้นอะไรบ้าง | หุ้นร้าว
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการประกาศงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่นักลงทุนต้อง “ลุ้น” กันว่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่นั้นจะประกาศผลงานที่ดีขึ้นหรือแย่ลงมากน้อยแค่ไหน เพราะผลงานที่ดีขึ้นโดยเฉพาะที่ดีเกินกว่าที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนคาดจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม ผลงานที่น่าผิดหวังจะทำให้หุ้นตกลง ในกรณีของหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่ไม่มีนักวิเคราะห์ติดตาม กำไรที่ดีขึ้นก็มักจะเป็นสัญญาณให้นักเก็งกำไรหรือ “นักปั่นหุ้น” เข้าไปไล่ราคาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับหุ้นที่ตนเองถือ สำหรับ VI การติดตามผลประกอบการรายไตรมาศเป็นสิ่งสำคัญที่นอกจากจะช่วยให้เราวิเคราะห์หุ้นที่ตนเองถือต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นเวลาที่จะติดตามดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่น่าลงทุนหรือไม่ ไตรมาส 3 ปี 2562 นี้ดูเหมือนว่าการประกาศงบการเงินจะมีผลกระทบกับหุ้นโดยเฉพาะขนาดกลางและเล็กหลาย ๆ ตัวที่เคยเป็นหุ้นเด่นและนักเล่นหุ้นนิยมเล่นกันมาก หลังจากประกาศ หุ้นเหล่านั้นก็ตกลงมาน่าจะประมาณ 10% บวกลบทั้ง ๆ ที่ตัวเลขกำไรก็ไม่ได้เป็น “หายนะ” บางบริษัทกำไรเพิ่มมากด้วยซ้ำแต่ก็มักจะเป็นกำไรพิเศษในขณะที่ผลประกอบการปกตินั้นแย่ลง อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นกำไรเพียงไตรมาสเดียวและผมเองก็คิดว่าบริษัทไม่ได้แย่ขนาดนั้น ส่วนใหญ่อาจจะเป็นแค่เรื่อง “ชั่วคราว” ถึงไตรมาส 4 ก็อาจจะเปลี่ยนไปโดยเฉพาะถ้าภาวะเศรษฐกิจของไทยดีขึ้นราคาของสินค้าดีขึ้น คำถามก็คือ อะไรทำให้หุ้นตกลงมาแรงเป็น 10% บางตัวตกลงมา 2-3 วัน ถึง 20-30% ก็มี คำตอบของผมก็คือ ช่วงเวลานี้ ตลาดหลักทรัพย์กำลังอยู่ในช่วงของการปรับมูลค่าหุ้นให้เหมาะสมกับพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นแต่ละตัวที่ในอดีตนั้นมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือมีราคาที่สูงเกินกว่าพื้นฐานหรือพูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือค่า PE สูงเกินกว่าความสามารถในการทำกำไรระยะยาวแต่มี Story และมีกำไรเติบโตโดดเด่นในระยะสั้น หุ้นเหล่านี้มีนักวิเคราะห์และผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากช่วยกันเชียร์และสร้างภาพว่าเป็น กิจการชั้นเยี่ยมและเติบโตดีโดยที่ค่า PE นั้นไม่มีความสำคัญ และที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ แรงซื้อเก็งกำไรของนักเล่นหุ้นทั้งขาเล็กและขาใหญ่นั้น มีมากพอที่จะสนับสนุนและดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้ตราบใดที่ “กำไรยังโตขึ้นโดดเด่น” ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงช่วงนี้ได้ทำให้กำไรโตขึ้นยาก กำไรที่โตช้าลงหรือน้อยลงมากหรือกำไรที่ลดลงนั้น คงทำให้คนบางคนที่มีหุ้นอยู่ลดความเสี่ยงโดยการเทขายหุ้นที่ยังได้กำไรอยู่พอสมควร การขายหุ้นของพวกเขานั้นทำให้หุ้นตกลงมาเพราะแรงซื้อน้อยลงไปกว่าเดิม นั่น “จุดชนวน” ให้คนอื่นที่มีหุ้นอยู่เทขายตามมาซึ่งทำให้หุ้นตกลงไปอีก จนถึงจุดหนึ่งที่ราคาหุ้นไป “Trigger” หรือจุดชนวนให้คนที่เล่นหุ้นตัวนั้นโดยการใช้ Leverage หรือการกู้เงินมาซื้อหุ้นหรือเล่นอนุพันธ์หรือตราสารการเงินที่มีอัตราทดสูงมาก ๆ เช่น การทำ Block Trade โดยผู้เล่นรายใหญ่และการเล่น DW โดยนักลงทุนรายย่อย ต้องเทขายหุ้นออกมาจำนวน “มโหฬาร” เพราะถูก “บังคับขาย” โดยโบรกเกอร์ ผลก็คือ หุ้นตกลงมาถึง 10% ในวันเดียวสำหรับหุ้นหลาย ๆ ตัว และในบางกรณีที่มีการซื้อหุ้นด้วยการกู้เงินที่สูงมากที่สุด หุ้นก็อาจจะตกถึงฟลอร์หรือต่ำสุดที่ 30% ภายในวันเดียวโดยที่เมื่อพูดถึงพื้นฐานของบริษัทเองก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก “เมื่อ 2-3 วันก่อน” ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ผมคิดว่าหุ้นจำนวนมากในตลาดทุกวันนี้เป็น “หุ้นร้าว” เหมือนกับแก้วน้ำหรือโครงสร้างคอนกรีตของอาคารที่ร้าว ตราบที่มันยังไม่ “แตก” ทุกอย่างก็เป็นปกติ แต่เมื่อไรที่มีอะไรมากระทบ มันก็อาจจะแตกหรือทรุดลงทันที บางทีก็อาจจะถล่มทลายได้ การ “ร้าว” นั้นบางครั้งก็พอมองเห็นจากภายนอก แต่บางครั้งก็อาจจะร้าวจากภายในจำเป็นต้องอาศัยการ “วิเคราะห์” โดยผู้เชี่ยวชาญ ในกรณีของหุ้นก็ต้องอาศัยความสามารถและความคิดที่เป็นอิสระมีเหตุผลปราศจากความลำเอียงและไม่สนใจกับ “จิตวิทยาหมู่” ในตลาดหุ้นรวมถึง “ราคาหุ้น” ที่มักจะทำให้เราไขว้เขวได้มากที่สุด หุ้นที่ “ร้าว” นั้น จำนวนมากก็คือหุ้นที่มีราคา “แพงผิดปกติ” ค่า PE อาจจะเป็น 4-50 เท่าหรือบางตัวสูงเป็น 100 เท่า โดยที่สามารถแบ่งได้อีกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ร้อนแรงหรือเคยร้อนแรง มีราคาขึ้นไปมากอาจจะเป็นหลาย ๆ เท่าในเวลาไม่นาน มีปริมาณการซื้อขายคึกคัก มีนักเล่นหุ้นและนักวิเคราะห์ติดตามจำนวนมาก ราคาหุ้นขึ้นลงผันผวนแทบจะตลอดเวลา และบ่อยครั้งมีคนทำหรือดูแลหุ้นที่เป็นขาใหญ่หรือสปอนเซอร์หลัก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้น เป็นหุ้นขนาดเล็กหรือกลางเล็กที่เงียบเหงา บ่อยครั้งก็เป็นหุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนซื้อขายหุ้นไม่นาน ผลประกอบการตั้งแต่เข้าตลาดก็ไม่น่าประทับใจ หุ้นมีราคาค่อนข้างนิ่งเพราะไม่มีคนเล่น ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น้อย อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นก็ยังคงอยู่ในระดับที่แพงวัดจากค่า PE ที่ยังอยู่สูงเป็น 40-50 เท่า หุ้นร้าวทั้งสองกลุ่มนี้ ส่วนหนึ่งที่ราคาสูงมากได้นั้นก็เพราะว่ามักจะถูก “Corner” หรือเป็นหุ้นที่มีหุ้น Free Float น้อย อานิสงค์จากการที่เจ้าของยังถือหุ้นอยู่อาจจะเกิน 50% และมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่กวาดซื้อหุ้นไว้มากจนทำให้เหลือหุ้นหมุนเวียนในมือรายย่อยน้อย ซึ่งทำให้การ “ควบคุมราคา” หรือการ “ประคองราคา” สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเข้าข่ายเป็นหุ้นร้าวก็คือ หุ้นที่ผลประกอบการดูดีและโตเร็วใช้ได้ซึ่งทำให้ตลาดให้มูลค่าที่สูงกว่าค่า PE เฉลี่ยของตลาดที่ประมาณ 17 เท่ามาก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ทำอยู่นั้น ถ้าดูโดยเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว ก็น่าจะถูก Disrupt หรือถูกทำลายในไม่ช้า บริษัทมีโอกาสสูญเสียทั้งยอดขายและกำไรได้อย่างรุนแรงถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้น ซึ่งก็แน่นอนว่ามันจะทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสตกต่ำลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วได้เมื่อรอยร้าวนั้นแตกออกมา หุ้นร้าวกลุ่มสุดท้ายที่ผมคิดว่าเราต้องระวังด้วยก็คือหุ้นที่ “ดูดีเกินไป” โดยเหตุผลทางด้านเศรษฐศาสตร์ไม่รองรับ เช่น เป็นกิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันสูงหรือสมบูรณ์แต่บริษัททำกำไรได้เหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมมากโดยไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ ในกรณีแบบนี้ก็ต้องระวังว่าวันหนึ่งรอยร้าวก็อาจจะแตกออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัวและหุ้นตกลงมาอย่างแรงได้ ในภาวะที่ทุกอย่างดูไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ราคาหุ้นที่ “แพงมาก” นั้น มักจะเป็นหุ้นที่มีอันตรายสูงที่สุด เพราะความแพงที่ระดับค่า PE เป็น 40 เท่าขึ้นไปหรือบางทีเป็น 100 เท่านั้น หุ้นที่จะรองรับราคาได้ขนาดนั้นในระยะยาวจะต้องเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” เท่านั้น ซึ่งซุปเปอร์สต็อกนั้น ถ้าจะนิยามอย่างง่าย ๆ ก็น่าจะต้องเป็นบริษัทที่จะ “ครองโลก” ในอนาคตหรือในที่สุดเช่นหุ้นกลุ่มไฮเทคของโลกเช่น หุ้นกูเกิล อามะซอน อาลีบาบา หรือเฟซบุค เป็นต้น แต่ถ้าเป็นซุปเปอร์สต็อกระดับประเทศของไทยก็น่าจะต้องเป็นบริษัทที่เป็น “Undisputed Leader” คือเป็นผู้นำที่โดดเด่นและไม่มีทางที่ใครจะมาท้าทายได้รวมถึงสามารถที่จะต่อต้านการทำลายล้างโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างน้อยในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าหุ้นไม่ได้เข้าข่ายดังที่ว่า ก็จะต้องมีการเติบโตมากและสามารถต่อสู้กับคู่แข่งทั้งในปัจจุบันและอนาคตและที่สำคัญ มันจะต้องมีช่องว่างที่จะให้เติบโตอย่างมีกำไรงดงามจนค่า PE ลดลงได้จนเหลือค่า PE ปกติของอุตสาหกรรมที่อาจจะแค่ 10-20 เท่าในเวลา 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ยากพอสมควรในระบบเศรษฐกิจของไทยที่คนแก่ตัวลงและโตช้าลงมาก ดังนั้น หุ้นที่แพงจัดมาก ๆ นั้น น่าจะมีโอกาสเป็นหุ้นร้าวได้ หุ้นที่ร้าวนั้น บางส่วนได้แตกออกมาแล้ว หุ้นที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันหรือใกล้เคียงกันและมีพฤติกรรมทางด้านการดำเนินงานและราคาหุ้นใกล้เคียงกันในไม่ช้าก็อาจจะ “แตก” ตามกันไป หุ้นบางกลุ่มนั้นถึงร้าวแล้วก็อาจจะยังไม่แตกด้วยเหตุผลบางอย่าง อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะแตกก็น่าจะสูงในอนาคตโดยเฉพาะในภาวะที่สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย ดังนั้น นักลงทุนที่ระมัดระวังจึงควรต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะลงทุนในหุ้นเหล่านี้ เพราะโอกาสที่จะได้กำไรสูงอาจจะมีน้อยกว่าโอกาสที่หุ้นจะตกแรงมาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: | หุ้นที่ร้าวนั้น จำนวนมากก็คือ หุ้นที่มีราคาแพงผิดปกติ ค่า PE อาจจะเป็น 4-50 เท่าหรือบางตัวสูงเป็น 100 เท่า โดยที่สามารถแบ่งได้อีกเป็นสองกลุ่ม คือ
-กลุ่ม1 เป็นกลุ่มที่ร้อนแรงหรือเคยร้อนแรง มีราคาขึ้นไปมากอาจจะเป็นหลาย ๆ เท่าในเวลาไม่นาน มีปริมาณการซื้อขายคึกคัก มีนักเล่นหุ้นและนักวิเคราะห์ติดตามจำนวนมาก ราคาหุ้นขึ้นลงผันผวนแทบจะตลอดเวลา และบ่อยครั้งมีคนทำหรือดูแลหุ้นที่เป็นขาใหญ่หรือสปอนเซอร์หลัก
-กลุ่มที่ 2 เป็นหุ้นขนาดเล็กหรือกลางเล็กที่เงียบเหงา บ่อยครั้งก็เป็นหุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนซื้อขายหุ้นไม่นาน ผลประกอบการตั้งแต่เข้าตลาดก็ไม่น่าประทับใจ หุ้นมีราคาค่อนข้างนิ่งเพราะไม่มีคนเล่น ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น้อย
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นก็ยังคงอยู่ในระดับที่แพงวัดจากค่า PE ที่ยังอยู่สูงเป็น 40-50 เท่า หุ้นร้าวทั้งสองกลุ่มนี้ ส่วนหนึ่งที่ราคาสูงมากได้นั้นก็เพราะว่ามักจะถูก “Corner” หรือเป็นหุ้นที่มีหุ้น Free Float น้อย อานิสงค์จากการที่เจ้าของยังถือหุ้นอยู่อาจจะเกิน 50% และมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่กวาดซื้อหุ้นไว้มากจนทำให้เหลือหุ้นหมุนเวียนในมือรายย่อยน้อย ซึ่งทำให้การ “ควบคุมราคา” หรือการ “ประคองราคา” สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเข้าข่ายเป็นหุ้นร้าว คือ
1. หุ้นที่ผลประกอบการดูดีและโตเร็วใช้ได้
ซึ่งทำให้ตลาดให้มูลค่าที่สูงกว่าค่า PE เฉลี่ยของตลาดที่ประมาณ 17 เท่ามาก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ทำอยู่นั้น ถ้าดูโดยเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว ก็น่าจะถูก Disrupt หรือถูกทำลายในไม่ช้า บริษัทมีโอกาสสูญเสียทั้งยอดขายและกำไรได้อย่างรุนแรงถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้น ซึ่งก็แน่นอนว่ามันจะทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสตกต่ำลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วได้เมื่อรอยร้าวนั้นแตกออกมา
2. หุ้นที่ “ดูดีเกินไป”
โดยเหตุผลทางด้านเศรษฐศาสตร์ไม่รองรับ เช่น เป็นกิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันสูงหรือสมบูรณ์แต่บริษัททำกำไรได้เหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมมากโดยไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ ในกรณีแบบนี้ก็ต้องระวังว่าวันหนึ่งรอยร้าวก็อาจจะแตกออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัวและหุ้นตกลงมาอย่างแรงได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2085 | Finance | อะไรคือบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุน VI จากรอบของหุ้นในอดีต? | null | บทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุน VI จากรอบของหุ้นในอดีต มีดังนี้:
1. รอบของหุ้นนั้นเกิดขึ้นจริง:
จากบทความ เราเห็นตัวอย่างของรอบของหุ้นในอดีตที่เกิดขึ้นจริง เช่น หุ้นกลุ่มการเงิน หุ้นอสังหาริมทรัพย์ หุ้นส่งออก หุ้นโทรคมนาคม หุ้นค้าปลีก หุ้นโรงเรือน ฯลฯ แต่ละรอบกินเวลายาวนานหลายปี
2. รอบของหุ้นมักเกิดขึ้นเมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมเอื้ออำนวย:
รอบของหุ้นมักเกิดขึ้นเมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมเอื้ออำนวย ซึ่งมักจะอิงอยู่กับภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศ ตัวอย่างเช่น รอบของหุ้นอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นหลังวิกฤติปี 2540 เมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว
3. รอบของหุ้นไม่ใช่ "วัฏจักร":
รอบของหุ้นไม่ใช่ "วัฏจักร" ที่จะวนกลับมาเป็นรอบ ๆ แต่เป็นลักษณะที่มาแล้วก็อาจจะหายไปเลยไม่หมุนเวียนกลับมาอีกหรือกว่าจะกลับมาก็นานจนลืมไปเลย
4. นักลงทุน VI ต้องวิเคราะห์เหตุผลของรอบของหุ้น:
นักลงทุน VI ต้องวิเคราะห์เหตุผลของรอบของหุ้นว่ามันมีเหตุผลหรือยังมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ มีหุ้น "ตัวปลอม" ที่อาจจะแฝงเข้ามาอยู่ในกลุ่มหรือไม่
5. นักลงทุน VI ต้องดูราคาของหุ้น:
นักลงทุน VI ต้องดูราคาของหุ้นที่วิ่งขึ้นไปว่าสูงเกินไปหรือไม่ จำไว้เสมอว่า ไม่มีหุ้นที่ "ซื้อได้ทุกราคา"
6. นักลงทุน VI ต้องหา Margin Of Safety:
นักลงทุน VI ต้องหา Margin Of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัย
7. ตัวอย่างของ Margin Of Safety:
ตัวอย่างของ Margin Of Safety เช่น
ซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ซื้อหุ้นที่มี P/E ratio ต่ำ
ซื้อหุ้นที่มี Dividend Yield สูง
ซื้อหุ้นที่มี Net Cash มาก
ซื้อหุ้นที่มี Book Value สูง
8. สรุป:
นักลงทุน VI ต้องเรียนรู้จากรอบของหุ้นในอดีต เพื่อนำไปใช้ในการลงทุนอย่างชาญฉลาด
9. บทเรียนเพิ่มเติม:
ไม่ควรลงทุนตามกระแส
ไม่ควรกลัวที่จะซื้อหุ้นที่ "ตกต่ำ"
ไม่ควรโลภที่จะซื้อหุ้นที่ "กำลังขึ้น"
ควรลงทุนในระยะยาว
ควรกระจายความเสี่ยง | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2103 | Finance | ข้อใดถือว่าเป็น 4 วิธีง่ายๆ ให้มีเงินใช้ยามแก่ | a. มีรายได้ทางเดียว
b. ไม่ต้องกำหนดเป้าหมายในชีวิต
c. ไม่ต้องมีเงินออมไว้สำหรับใช้ยามจำเป็น
d. ลงทุนให้เงินงอกเงย | คำตอบ คือ d. ลงทุนให้เงินงอกเงย
วิธีง่ายๆ ให้มีเงินใช้ยามแก่ มี 4 วิธี คือ
1. กำหนดเป้าหมายในชีวิต
จะต้องกำหนดเป้าหมายของตัวเองให้ชัดและเป็นรูปธรรม ซึ่งจะทำให้ตัวเองจะต้องนำเงินไปลงทุน และเก็บออมเพื่อให้เป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้สำเร็จได้เร็วขึ้น
2. มีรายได้ 2 ทาง ดีกว่ามีทางเดียว
ทุกคนสามารถสร้างเงินได้ มีแหล่งทำเงินมากมายอยู่รอบตัว เช่น รู้ว่าตัวเองชอบและถนัดอะไร ให้นำสิ่งที่ตัวเองมี “คุณค่า” มาสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับตัวเอง มีรายได้เสริม
3. มีเงินออม
ต้องมี “เงินออม” ไว้สำหรับใช้ยามจำเป็น ซึ่งเงินออมที่ว่าก็ไม่ใช่ว่ามีเท่าไหร่ก็ได้ จำนวนเงินที่ออมต้องมีมากกว่า 6 เท่าของรายได้ เช่น ถ้าตอนนี้เงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท ก็จะต้องมีเงินออม 180,000 บาท เผื่อใช้ยามฉุกเฉิน เช่น ตกงานกะทันหัน หรือป่วยเข้าโรงพยาบาล ซึ่งตรงนี้คือการวางแผนทางการเงินในอนาคตของตัวเองด้วยว่า ถ้าจะเกษียณจะต้องมีเงินใช้เท่าไหร่ โดยที่ไม่เป็นภาระลูกหลานในอนาคต
4. ลงทุนให้เงินงอกเงย
สามารถทำให้เงินงอกเงยได้ด้วยการลงทุน ที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวดีกว่านำเงินไปนอนเล่นในธนาคาร แต่ได้ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ซึ่งในปัจจุบันมีกองทุนรวมให้เลือกมากมายสำหรับลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้น ควรเลือกรูปแบบการลงทุนที่ความเสี่ยงแตกต่างกันไปเพื่อเพิ่มมูลค่าเงินออมนั่นเอง | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2112 | Finance | จากวิธีสร้างเงินล้านแบบ “เรย์ ดาลิโอ” ด้วยกลยุทธ์แบบ “ชาวสวน” หนึ่งในวิธีที่จะสวนคนอื่นให้ประสบความสำเร็จ คืออะไร | ก. การมีข้อมูลที่คนอื่นไม่มี
ข. มีวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ค. กล้าที่จะสวนคนกลุ่มใหญ่
ง. สามารถฝึกฝนการเป็นชาวสวนให้สร้างผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เนื่องจาก จากวิธีสร้างเงินล้านแบบ “เรย์ ดาลิโอ” ด้วยกลยุทธ์แบบ “ชาวสวน” หนึ่งในวิธีที่จะสวนคนอื่นให้ประสบความสำเร็จ คือ การมีข้อมูลที่คนอื่นไม่มี และนี่คือ 4 วิธีที่จะทำให้ได้ข้อมูลเด็ด ๆ
1. สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่บรรลุเป้าหมายแบบที่ต้องการ
เมื่อไรก็ตามที่สร้างความสัมพันธ์ด้วยพื้นฐานที่มาจากความเชื่อใจและความเคารพ ผู้คนก็จะอยากให้ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นพวกเขาก็จะแบ่งปันข้อมูลลับ ๆ ที่อาจจะไม่ได้บอกใครที่ไหน จุดสำคัญคือ ควรใช้ใจแลกใจจริง ๆ ไม่ใช่การเข้าหาแบบผิวเผินเพื่อหวังผล ด้วยเหตุนี้จึงนักลงทุนหลายคนมีสังคมการลงทุนเป็นกลุ่ม ๆ ไป ยิ่งสนิทกันมากเท่าไร ก็มีโอกาสได้ข้อมูลเด็ด ๆ มากขึ้นเท่านั้น
2. เรียนรู้จากคนในแวดวงอื่น ๆ และนำข้อมูลนั้นมาประยุกต์ใช้
ส่วนใหญ่คนมักจะโฟกัสการเรียนรู้ในแวดวงของตัวเอง แม้ว่าแวดวงอื่น ๆ จะมีข้อมูลน่าสนใจที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น อาจจะเป็นนักลงทุนที่เก่งมาก แถมยังมีความรู้เรื่องเทคโนโลยี ก็จะกลายเป็นนักลงทุนที่ใช้ประโยชน์จาก Machine Learning ได้ การเป็นผู้เชี่ยวชาญในแวดวงของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็รอบรู้ในแวดวงอื่น ๆ ด้วยนั้นจะช่วยให้มีมุมมองสดใหม่ที่ไม่เหมือนใคร
3. อย่าทำแค่การทดลอง ให้สร้างห้องทดลองไปเลย
การทดลองคือ การทดสอบแค่ไอเดียหนึ่งไอเดีย แต่การสร้างห้องทดลองนั้นจะทำให้ได้ทดลองหลาย ๆ ไอเดีย ซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งการเรียนรู้นี้ก็จะช่วยให้ได้ข้อมูลใหม่ ๆ ที่จะกลายเป็นจุดแข็ง ผู้ประกอบการที่มองธุรกิจตัวเองเป็นเพียงการทดลองไอเดียเดียวนั้นมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวมากกว่าผู้ประกอบการที่มองธุรกิจตัวเองเป็นห้องทดลอง เพื่อทดสอบหลาย ๆ ไอเดีย
4. สามารถดึงความรู้ของคนอื่น ๆ ออกมาได้
คนเก่ง ๆ หลายคนไม่สามารถอธิบายได้ว่าพวกเขาทำแบบที่เขาทำได้อย่างไร ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ที่ต้องหาทางเค้นเคล็ดลับของพวกเขาออกมาให้ได้ ด้วยการถามคำถามที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น คุณ Peter Thiel นักลงทุนสายเทคฯ มักจะถามเจ้าของกิจการที่เขาสนับสนุนเงินทุนว่า “อะไรคือสิ่งที่เชื่อมั่นสุด ๆ ในขณะที่ไม่มีคนอื่นเชื่อเลย” | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2133 | Finance | ผู้ขอยืมเงินออกตราสารหนี้ให้กับผู้ที่ให้ยืมเงิน ดังนั้น ตราสารหนี้เปรียบเหมือนข้อใด
| A. ผลตอบแทนจากการฝากเงิน
B. ดอกเบี้ยสูงสุด
C. เอกสารแสดงหลักฐานของสัญญาการกู้ยืมเงิน
D. เงินในบัญชีออมทรัพย์ | คำตอบ คือ C. ตราสารหนี้เปรียบเสมือนเอกสารแสดงหลักฐานของสัญญาการกู้ยืมเงิน ที่ผู้ขอยืมเงินออกให้กับผู้ที่ให้ยืมเงิน
ในที่นี้ผู้ขอยืมเงินอาจจะเป็นรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชนก็ย่อมได้ทั้งนั้น โดยสัญญานี้ก็จะกำหนดระยะเวลาว่าผู้ยืมต้องคืนเงินผู้ให้ยืมภายในระยะเวลาเท่าไร และระหว่างนั้นผู้ยืมต้องจ่ายดอกเบี้ยผู้ให้ยืมเท่าไร
แต่การจะไปไล่ซื้อตราสารหนี้ทีละฉบับ ๆ ก็อาจไม่ใช่เรื่องสะดวกสำหรับคนทั่วไป เพราะต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะโดยขั้นต่ำของพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่ 1,000 บาท ส่วนหุ้นกู้อยู่ที่ 50,000 – 100,000 บาท นอกจากนี้ ก็ไม่รู้ด้วยว่าควรลงทุนในตราสารหนี้ตัวไหน ดังนั้น ทางเลือกสำหรับมือใหม่ก็คือ “กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น” | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2134 | Finance | การเก็บเงินแบบระบบ 6 JARS System (By T. Harv EKer) คืออะไร | โดยการแบ่งเงิน เป็น 6 ส่วน
1. ใช้ตามจำเป็น (55%)
2. ให้รางวัลตัวเอง (10%)
3. อิสรภาพการเงิน (10%)
4. การศึกษา พัฒนาตัวเอง (10%)
5. เพื่อใช้จ่ายระยะยาว (10%)
6. มอบให้ส่วนรวม บริจาค (5%)
“ใช้ตามจำเป็น”
พวกค่าใช้จ่ายประจำวัน กิน ใช้ เดินทาง ค่าน้ำค่าไฟ
“ให้รางวัลตัวเอง”
กินมื้ออาหารหรูๆ ดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เปย์ให้ตัวเอง (แต่อย่าใช้เกินนะ 555)
“อิสรภาพการเงิน”
เงินต่อเงิน ลงทุนให้เงินงอกเงย สร้างห่านทองคำในชีวิต ลงทุนหุ้น กองทุนรวม ประกันสะสมทรัพย์ พันธบัตร
“การศึกษาพัฒนาตัวเอง”
ขวานจะดีต้องลับให้คมเสมอ เหมือนกับตัวเราจะต้องพัฒนาตัวเอง หาความรู้ใส่ตัว หนังสือ คอร์สเรียนต่างๆ
“เงินเก็บสำรองจ่ายระยะยาว”⛑
ในอนาคตอาจจะต้องใช้จ่ายอะไร เช่น ค่าซ่อมบ้าน ดาวน์บ้าน & รถ ประกันสุขภาพ ค่าเล่าเรียนลูก เป็นต้น
“ได้แล้วต้องให้คืน”
แบ่งปันให้กับผู้อื่นต่อไป บริจาค อาสาสมัคร ของขวัญให้คนสำคัญ
ลองทำตามกันดู เป็นอีกไอเดีย ในการจัดสรรเงินให้ชัดเจน | โดยการแบ่งเงิน เป็น 6 ส่วน
1. ใช้ตามจำเป็น (55%)
พวกค่าใช้จ่ายประจำวัน กิน ใช้ เดินทาง ค่าน้ำค่าไฟ
2. ให้รางวัลตัวเอง (10%)
กินมื้ออาหารหรูๆ ดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เปย์ให้ตัวเอง
3. อิสรภาพการเงิน (10%)
เงินต่อเงิน ลงทุนให้เงินงอกเงย สร้างห่านทองคำในชีวิต ลงทุนหุ้น กองทุนรวม ประกันสะสมทรัพย์ พันธบัตร
4. การศึกษา พัฒนาตัวเอง (10%)
ขวานจะดีต้องลับให้คมเสมอ เหมือนกับตัวเราจะต้องพัฒนาตัวเอง หาความรู้ใส่ตัว หนังสือ คอร์สเรียนต่างๆ
5. เพื่อใช้จ่ายระยะยาว (10%)
ในอนาคตอาจจะต้องใช้จ่ายอะไร เช่น ค่าซ่อมบ้าน ดาวน์บ้าน & รถ ประกันสุขภาพ ค่าเล่าเรียนลูก เป็นต้น
6. มอบให้ส่วนรวม บริจาค (5%)
แบ่งปันให้กับผู้อื่นต่อไป บริจาค อาสาสมัคร ของขวัญให้คนสำคัญ
| 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2135 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นปี 2563 ด้านกำไรโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนทั้งตลาด | A. มักจะอิงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของอเมริกา
B. เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยากมาก แต่มักจะเกิดขึ้นเป็นระยะประมาณทุก 10 ปีจะมีครั้งหนึ่ง
C. การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหรือลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมแบบปิดประตูแพ้
D. ทุกปีที่กำไรเติบโตขึ้นแรง ดัชนีตลาดก็มักจะปรับตัวขึ้นดีกว่าปกติมาก | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ D. เนื่องจาก ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นปี 2563 ด้านกำไรโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนทั้งตลาด เป็นปัจจัยสำคัญมากตัวหนึ่ง ทุกปีที่กำไรเติบโตขึ้นแรง ดัชนีตลาดก็มักจะปรับตัวขึ้นดีกว่าปกติมาก
ดังนั้น ถ้ามั่นใจว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะดีขึ้นมาก การเข้าไปซื้อหุ้นหรือกองทุนอิงดัชนีก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในปี 2563 ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ บ่อยครั้งคาดการณ์ผลประกอบการหรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนผิดพลาดทำให้กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ค่อยได้
การที่จะใช้ปัจจัยตัวนี้ คิดว่าควรจะมีประเด็นที่ทำให้มั่นใจว่ากำไรโดยรวมของบริษัทน่าจะดีขึ้นมากอย่างชัดเจน เช่น มีการลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงมาก หรือราคาพลังงานเช่นน้ำมันปรับตัวขึ้นมากซึ่งจะทำให้บริษัทขนาดใหญ่ทำกำไรเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทขนาดใหญ่กำลัง “ฟื้นตัว” จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นต้น | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2165 | Finance | อุปสรรคที่ขัดขวางของนักลงทุนระยะยาว คืออะไร | ในเส้นทางของการลงทุน การมีเพื่อนจะช่วยให้เรารู้สึก “อุ่นใจ” ได้ไม่ยากเย็นนัก และการมีเพื่อนคู่คิดสำหรับนักลงทุน ถือเป็นอะไรที่เป็นยาใจยามตลาดผันผวน … นักลงทุนระยะยาวเองก็มีเพื่อนเช่นกัน เพื่อนของเราจะมีสองคน ได้แก่ ความผันผวน และเวลา
1) ความผันผวนเป็น “เพื่อน” ของพวกเราอย่างแท้จริง
เพราะตลาดมีความผันผวน จึงทำให้เราได้โอกาสในการเก็บหุ้นดีในราคาที่มีส่วนลด นักลงทุนระยะยาวเก่ง ๆ ที่ประสบความสำเร็จจะใช้ประโยชน์จากความผันผวนนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
2) “เวลา” เป็นเพื่อนของเราเช่นกัน …
เมื่อเราเก็บหุ้นดีในราคาที่เหมาะสมได้แล้ว ที่เหลือคือหน้าที่ของ เวลา … การเป็นนักลงทุนระยะยาว ก็คือ การเป็นนักรอคอยที่ดี ความสำเร็จมาจากความอดทนรอคอยจนหุ้นสะท้อนพื้นฐานที่ควรจะเป็นออกมา เมื่อเวลาผ่านไป หรือถึงเวลาของมันนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม … สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางของนักลงทุนระยะยาวได้แก่ความคิดที่ไม่เข้าท่า จะเรียกว่ามันคือ “ศัตรู” ที่แท้จริงของเราก็ว่าได้ ความคิดเหล่านั้น ได้แก่
ความคิดที่อยากรวยเร็ว ๆ อยากรวยทางลัด …
ความคิดแบบนี้จะทำให้เราหันเหตัวเองเข้าไปซื้อหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี เพราะเราคิดว่าหุ้นพื้นฐานที่ไม่ดี หรือซ้ำร้ายกลายเป็นหุ้นปั่นจะทำให้เรารวยได้ และนั่นคือการติดกับดักที่เจ้ามือหุ้นได้วางล่อเหย่อเอาไว้
ความคิดที่ขี้กลัวจนเกินเหตุ …
ความคิดที่อยากรวยเร็ว ๆ ทำให้เรากล้าทำในสิ่งที่ไม่ควรจะกล้า เช่น ไปซื้อหุ้นปั่น แต่ความขี้กลัวจนเกินเหตุก็จะทำให้เราพลาดโอกาสดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย ผมขอบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงของผมเองเลยครับ ผมกลัวเวลาที่หุ้นตกลงมาแรง ๆ ทำให้รีบขายหุ้นไปก่อนเวลาอันควรบ่อยมาก หรือเวลาหุ้นขึ้นแรง ผมก็กลัวจนเกินไป ทำให้ขาดทุนกำไรไปหลายครั้ง
การกลัวที่จริงเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้เรารอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายบางอย่าง แต่เราควรกลัวให้ถูกที่ถูกทาง เช่น กลัวที่จะลงทุนในหุ้นที่แพงเกินไป กลัวที่จะไปซื้อหุ้นปั่น ความกลัวแบบนี้มีประโยชน์ยิ่ง แต่เราไม่ควรกลัวที่จะถือหุ้นดีมีอนาคต ควรถือไว้ให้นานตราบเท่าที่มันยังดีอยู่
ทางสายกลางแห่งความคิด … เมื่อเราไม่กลัวจนเกินเหตุ และไม่กล้าจนเกินงาม เราก็จะกลายเป็นนักลงทุนที่มีเหตุมีผลมากขึ้น และยิ่งเรามี “เพื่อนแท้” นั่นคือ เวลา กับ ความผันผวนในตลาดหุ้น เราก็จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ในฐานะนักลงทุนระยะยาว
ความผันผวน คือ เพื่อนที่ดีที่สุดเพราะนั่นจะทำให้เราสามารถซื้อหุ้นดีในราคาที่มีส่วนลด และ “เวลา” คือเพื่อนแท้อีกคนของเราที่จะทำให้การลงทุนของเรางอกเงยขึ้นตามกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ …
เพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุนระยะยาว คือ ความผันผวน และเวลา ส่วนความคิดที่แย่ ๆ คือ ศัตรูที่เราควรหลีกเลี่ยง มิใช่เข้าปะทะ และที่สำคัญเราควรยึดทางสายกลางในการลงทุน เพื่อไม่ให้เราพลาดโอกาสทำกำไรดี ๆ โดยเฉพาะในช่วงตลาดที่ดี | ในเส้นทางการลงทุน การมีเพื่อนคู่คิดจะช่วยให้เรารู้สึก “อุ่นใจ” ถือเป็นยาใจยามตลาดผันผวน นักลงทุนระยะยาวเองก็มีเพื่อนเช่นกัน คือ ความผันผวน และเวลา
1) ความผันผวนเป็น “เพื่อน”อย่างแท้จริง
เพราะตลาดมีความผันผวน จึงทำให้ได้โอกาสในการเก็บหุ้นดีในราคาที่มีส่วนลด นักลงทุนระยะยาวเก่ง ๆ ที่ประสบความสำเร็จจะใช้ประโยชน์จากความผันผวนนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
2) “เวลา” เมื่อเราเก็บหุ้นดีในราคาที่เหมาะสมได้แล้ว ที่เหลือคือหน้าที่ของเวลา การเป็นนักลงทุนระยะยาว ก็คือ การเป็นนักรอคอยที่ดี ความสำเร็จมาจากความอดทนรอคอยจนหุ้นสะท้อนพื้นฐานที่ควรจะเป็นออกมา เมื่อเวลาผ่านไป หรือถึงเวลาของมันนั่นเอง
สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางของนักลงทุนระยะยาวได้แก่ความคิดที่ไม่เข้าท่า ซึ่งเป็นศัตรูแท้จริง
1. ความคิดที่อยากรวยเร็ว ๆ อยากรวยทางลัด
ทำให้เราหันเหตัวเองเข้าไปซื้อหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี หรือหุ้นปั่น และนั่นคือการติดกับดักที่เจ้ามือหุ้นได้วางล่อเหย่อเอาไว้
2. ความคิดที่ขี้กลัวจนเกินเหตุ
ทำให้เรากล้าทำในสิ่งที่ไม่ควรจะกล้า เช่น ไปซื้อหุ้นปั่น แต่ความขี้กลัวจนเกินเหตุก็จะทำให้เราพลาดโอกาสดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
เพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุนระยะยาว คือ ความผันผวน และเวลา ส่วนความคิดที่แย่ ๆ คือ ศัตรูที่เราควรหลีกเลี่ยง มิใช่เข้าปะทะ และที่สำคัญเราควรยึดทางสายกลางในการลงทุน เพื่อไม่ให้เราพลาดโอกาสทำกำไรดี ๆ โดยเฉพาะในช่วงตลาดที่ดี | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2180 | Finance | เงินออมคำนวณอย่างไร | 1. รายได้ – รายจ่าย + หนี้สิน
2. รายได้ + รายจ่าย
3. รายได้ – สินทรัพย์
4. รายได้ – รายจ่าย | ข้อที่ถูกต้องคือ 4. เพราะว่า เงินออม = รายได้ – รายจ่าย Pay yourself first สมการ รายจ่าย = รายได้ – เงินออม
| 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2184 | Finance | ราคาค่าก่อสร้างคำนวณได้อย่างไร | A. ราคาค่าก่อสร้างบ้านแต่ละประเภท x ขนาดของบ้านที่ต้องการ
B. ราคาค่าก่อสร้างบ้านแต่ละประเภท x ขนาดของบ้าน
C. ราคาค่าก่อสร้างบ้าน x ขนาดของบ้านที่ต้องการ
D. ราคาค่าก่อสร้างรั้ว x ขนาดของบ้านที่ต้องการ | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ A. เพราะว่าเชื่อว่าหลายๆ คนมีความฝันอยากจะมีบ้านสักหลัง ทางเลือกคือจะซื้อบ้านหรือสร้างบ้านเอง บางคนก็เลือกสร้างบ้านเพราะจะได้ตรงตามแบบที่อยากได้จริงๆ
ทีนี้เราลองมาดูกันดีกว่าว่าถ้าจะสร้างบ้านสักหลัง ในขนาดแต่ละแบบ ต้องเตรียมเงินไว้เท่าไร ?
อยากสร้างบ้าน ต้องใช้เงินเท่าไร?
ค่าก่อสร้างบ้าน เบื้องต้นสามารถคำนวณได้คร่าวๆ ด้วยสมการนี้
ราคาค่าก่อสร้างบ้านแต่ละประเภท x ขนาดของบ้านที่ต้องการ = ราคาค่าก่อสร้าง
ทีนี้ ลองมาดูค่าก่อสร้างต่อตารางเมตร สำหรับบ้านแต่ละประเภทกันเถอะ อันนี้เป็นราคาประเมินราคาวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง และเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น ยังไม่รวมค่าที่ดินและค่าใช้จ่ายอื่นๆ นะครับ
1. บ้านเดี่ยว = 14,500 บาท
2. บ้านแฝดชั้นเดียว = 12,600 บาท
3. บ้านแฝด 2-3 ชั้น = 11,000 บาท
4. ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น กว้าง 4 เมตร = 10,500 บาท
5. ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น กว้าง 5-6 เมตร = 12,100 บาท | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2194 | Finance | ผู้เขียนเสนอแนะให้ผู้อ่านฝึกฝนการคิดเลขในใจเพื่ออะไร? | เพราะคณิตคิดในใจ เลยนอกใจใครไม่เป็น
ผมจำได้อยู่เสมอว่าในสมัยที่คุณปู่ของผมยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมองหน้าจอทีวีและจะมีตัวเลขหุ้นคาดตรงแถบทีวีด้านล่าง และตัวเลขนั้นก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตอนนั้นท่านจะอายุ 90 กว่าปีแล้ว ท่านก็ยังจำได้อยู่ว่าตัวเลขที่วิ่งบนหน้าจอทีวี (ในสมัยนั้นยังไม่มีแอป) นั้น ท่านซื้อตัวไหนที่ราคาใดและตอนนี้ราคามันเท่าไรแล้ว ซึ่งผมไม่ได้สนใจหรอกครับว่าท่านได้กำไรหรือขาดทุน แต่ที่น่าสนใจคือพลังของตัวเลขนั้น ทำให้สมองแข็งแรงและมีประสิทธิภาพอยู่ได้ถึงขนาดนี้เลย
วันนี้จึงเป็นเรื่องเบาๆ ถึงเรื่องราวของการฝึกฝนสมองของเราให้คิดเลขเก่ง คิดเลขไว โดยผมอยากจะมาเล่าประสบการณ์จากการฝึกฝนและสังเกตจากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวันของเรา ใครจะรู้ครับว่านักคณิตศาสตร์ประกันภัยก็เคยตกเลขมาก่อน ในช่วงนั้นเอง ผมอยู่ชั้น ม.4 และก็ต้องไปสอบซ่อมเพราะสอบวิชาเลขตก!!!
อย่างนิสัยประจำที่ผมติดมาก็คือ การบวกลบเลขในใจ โดยเฉพาะที่เมื่อเวลารถติดแล้วเราไม่รู้จะมองอะไร มองไปทางไหนก็เจอแต่รถ รถยนต์ รถเมล์ รถมอเตอร์ไซด์ ที่ติดอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตัวเลขที่ผมมองหาบนท้องถนนได้ก็คงจะมีเพียงแต่ “เลขทะเบียนรถ” เท่านั้น
แรกๆ ก็บอกว่าเรามันก็บ้าอยู่เหมือนกัน ที่มานั่งบวกเลขแบบนี้ แต่อาจเพราะตอนนั้นมันเบื่อรถติด ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยสร้างเกมที่เล่นไว้ในใจ (เมื่อก่อนไม่มีเกมบนมือถือให้เล่น) ขึ้นมาเล่นอย่างลับๆ ด้วยตัวเอง จึงเป็นที่มาของการที่ผมชอบบวกเลขทะเบียนรถ เวลารถติด และมันก็กลายพันธุ์จนมาเป็นเวลารถวิ่งผ่านเราเมื่อไร เราท้าทายกับตัวเองไว้ว่าจะต้องบวกเลขได้คำตอบให้ทันก่อนรถวิ่งพ้นสายตาไปให้ได้ จนหลังๆ มันเริ่มคล่องขึ้น รถวิ่งผ่านตา มันก็บวกเลขได้คำตอบของมันเอง ใครจะเอาไปใช้เล่นก็ได้นะครับ ถ้าอยากให้ท้าทายหน่อย ก็จากบวกเลขทะเบียนรถกันธรรมดา ก็เริ่มมีการคูณเข้ามาบ้างก็ได้
เทคนิคทะเบียนรถนี้ ก็ยังเอาไปใช้ประยุกต์กับอย่างอื่นได้เช่นกันครับ เช่น ฝึกอ่านเลขในใจเป็นภาษาอังกฤษ เป็นต้น โดยแรกๆ ก็อ่านได้แค่ 2 เลขท้าย แต่ต่อมาพอฝึกคล่องขึ้นก็กลายเป็น 3 เลขท้ายและมากขึ้นตามลำดับ เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่อ่านภาษาอังกฤษไม่คล่อง ต้องคอยแปลจากภาษาไทยไปก่อนแล้วค่อยแปลงเป็นภาษาอังกฤษอีกทีและเพื่อก้าวข้ามกำแพงนี้ไปให้ได้ ผมจึงแปลงเทคนิคนี้เพื่อให้อ่านตัวเลขออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมันก็ได้ผลดีจนเข็มขัดสั้นเกินไปเลยครับ (เข็มขัดสั้น จนคาดไม่ถึง) เพราะมันเริ่มทำให้เราเข้าใจการทำงานของสมองตัวเอง และจากนั้นการเรียนรู้การใช้ภาษาอังกฤษของผมกับคำศัพท์อื่นๆ ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเราเริ่มจับจุดได้แล้ว โดยถ้าจะฝึกภาษาอังกฤษก็ต้องสั่งตรงจากสมองของเราเป็นภาษาอังกฤษเลย การจะมาแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษนั้นจะทำให้มีปัญหาตามมาทีหลัง หลังจากนั้นการท่องศัพท์ภาษาอังกฤษของผมจึงไม่มีปัญหาอีกเลย เพราะผมจะไม่ท่องศัพท์จากไทยไปเป็นอังกฤษอีกต่อไป แต่จะใช้เทคนิคจำเป็นประโยคภาษาอังกฤษและนึกเป็นภาพพร้อมบริบทของมันออกมา ซึ่งมันได้ผลมากครับ
จนแล้วจนรอด ประเด็นสำคัญของเคล็ดลับของการบริหารสมองมันอยู่ที่การทำให้เป็นนิสัย ถ้าอยากเก่งเลข ฝึกเลข ฝึกฝนสมอง ก็จะต้องอยู่อย่างเป็นธรรมชาติกับตัวเลข เพราะตัวเลขอยู่รอบเราอยู่แล้ว
กล่าวมานั้น เพื่อจะบอกว่า พอเราเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้แล้ว มันทำให้ตระหนักถึงจุดๆ หนึ่งเลยก็คือ วิชาคณิตศาสตร์นั้น ก็คือภาษาชนิดหนึ่งนั่นเอง มันใช้สมองซีกเดียวกัน (คือสมองด้านซ้าย) กับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่นๆ เพียงแต่ไวยกรณ์ของภาษาคณิตศาสตร์นั้นจะมีลักษณะเฉพาะ เป็นตรรกะ เป็นสมการ และต้องอาศัยการฝึกฝน เพียงแค่เรารู้จักไวยกรณ์หรือ grammar ของมัน มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากอีกต่อไป
สรุปแล้ว การคิดเลขในใจนั้น ฝึกเราได้หลายๆ อย่างครับ ดีกว่านั่งเล่นเกมมือถือบนรถ แถมเวลาเราคิดเลขในใจ มันก็ฝึกให้เราคิดนอกใจใครไม่เป็นนะครับ
สุดท้ายนี้ การทดเลขไปด้วย วิ่งไปด้วย นั้นไม่แนะนำครับ จะเป็นอันตรายมากถึงชีวิต… เพราะมันทำให้ชีวิต “รัน (run) ทด” | ผู้เขียนเสนอแนะให้ผู้อ่านฝึกฝนการคิดเลขในใจเพื่อ
1. พัฒนาสมอง:
การฝึกคิดเลขในใจช่วยให้สมองแข็งแรงและมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับที่คุณปู่ของผู้เขียนสามารถจำตัวเลขหุ้นได้แม้อายุจะมากแล้ว
2. เพิ่มความคล่องแคล่วในการคิดเลข:
การฝึกบวกเลขทะเบียนรถทำให้ผู้เขียนสามารถบวกเลขได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
3. ฝึกฝนสมาธิ:
การคิดเลขในใจช่วยให้มีสมาธิและความจดจ่อในสถานการณ์ที่อาจน่าเบื่อหรือมีความเครียด เช่น เวลารถติด
4. พัฒนาทักษะทางภาษา:
การฝึกอ่านเลขในใจเป็นภาษาอังกฤษช่วยให้ผู้เขียนเข้าใจและใช้ภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
5. ส่งเสริมนิสัยที่ดี:
การฝึกคิดเลขในใจเป็นการสร้างนิสัยในการใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลและมีตรรกะ
6. ป้องกันการนอกใจ:
การคิดเลขในใจทำให้ไม่มีเวลาหรือความสนใจในการคิดนอกใจใคร | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_22 | Finance | การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ผสมผสานในหลายสินทรัพย์มีกี่ประเภท | 1. 5 ประเภท
2. 2 ประเภท ได้แก่ กองทุนรวมผสมหรือเรียกอีกชื่อว่า บาลานซ์ ฟันด์ และ กองทุนรวมผสมยืดหยุ่นหรือเฟล็กซิเบิ้ล พอร์ตโฟลิโอ ฟันด์ (Flexible Portfolio Fund)
3. 10 ประเภท
4. 1 ประเภท | ข้อที่ถูกต้องคือ 2.
เพราะว่ากองทุนรวมที่ผสมผสานในหลายสินทรัพย์มี 2 ประเภท ได้แก่
1.กองทุนรวมผสมหรือเรียกอีกชื่อว่า บาลานซ์ ฟันด์
2.กองทุนรวมผสมยืดหยุ่นหรือเฟล็กซิเบิ้ล พอร์ตโฟลิโอ ฟันด์ (Flexible Portfolio Fund)
1. กองทุนรวมผสมหรือเรียกอีกชื่อว่า บาลานซ์ ฟันด์
เป็นกองทุนรวมที่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทต่างๆ ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น หรือตราสารอื่นๆ แต่จะต้องมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นในขณะใดขณะหนึ่งไม่น้อยกว่า 35% และไม่เกินกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมนั้น
กองทุนรวมประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง
2.กองทุนรวมผสมยืดหยุ่นหรือเฟล็กซิเบิ้ล พอร์ตโฟลิโอ ฟันด์ (Flexible Portfolio Fund)
คือกองทุนรวมที่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทต่างๆ ได้ทุกประเภทเช่นเดียวกับกองทุนรวมผสม แต่ไม่มีข้อจํากัดเรื่องสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ดังนั้นการจัดสรรเงินลงทุนระหว่างเงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น หรือตราสารอื่นๆ จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจลงทุนของผู้จัดการกองทุนตามสภาวะตลาดในขณะนั้นๆ
กองทุนรวมประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง
ทั้งนี้การลงทุนในพอร์ตผสมที่กระจายลงไปในหลายสินทรัพย์ตอบโจทย์ได้ 3 เรื่องหลักๆ ดังนี้
• ทำให้เข้าถึงสินทรัพย์ลงทุนหลากหลายได้ง่ายขึ้นด้วยกองทุนเดียว ไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์เอง
• กระจายลงทุนหลายประเภทสินทรัพย์เท่ากับกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปในตัว
• เป็นการเพิ่มผลตอบแทนในยุคดอกเบี้ยต่ำ จะเห็นได้ว่าผู้มีเงินออมยอมรับความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อหาทางเลือกใหม่ๆ ที่ดีกว่าการฝากเงินหรือการลงทุนตราสารหนี้แบบเดิมๆ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2202 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกระจายความเสี่ยง | 1. การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน คือ การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่แตกต่างกันออกไป
2. ควรวางแผนจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมตามเป้าหมาย
3. คนส่วนมากไม่มีเป้าหมายทางการเงิน แค่รู้ว่า ซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ทำให้เลือกซื้อกองทุน ที่มีนโยบายการลงทุนที่ไม่ตรงกับเป้าหมายการเงิน
4. คนส่วนใหญ่คิดว่า ราคา NAV ของกองทุนสูง หมายถึง กองทุนนั้นมีราคาแพงเกินไป ไปซื้อกองทุนที่มี NAV ถูก | คำตอบที่ถูกต้องคือ 1. เนื่องจาก ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกระจายความเสี่ยง
การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน คือ การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่แตกต่างกันออกไปการลงทุนในกองทุนรวมนั้น หลายคนอาจกำลังเข้าใจผิดว่า การที่มีกองทุนรวมหลายๆ กองในพอร์ต ก็ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีอยู่แล้ว
แต่ในความเป็นจริงนั้น กองทุนแต่ละกองที่นักลงทุนถืออยู่ อาจจะลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมือนกันหรืออยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันก็ได้
| 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2219 | Finance | ะระบบแอพลิเคชั่นใหม่ที่ชื่อ Calibra ในประเทศใด | a. เกาหลี
b. ฮ่องกง
c. ไทย
d. สวิสเซอร์แลนด์ | ข้อที่ถูกต้องคือ d. เนื่องจากระบบแอพลิเคชั่นใหม่ที่ชื่อ Calibra ในสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยที่สุดในโลกการเงิน โดยผู้ใช้จะมั่นใจกว่าคริปโตสกุลอื่นๆ ด้วยการใช้เงินสกุลหลักของโลก อาทิ
- ดอลลาร์
- ยูโร
- เยน
ในการสำรองเพื่อใช่หนุนหลัง (Tethering ในภาษาของบล็อกเชน) ทั้งนี้ Libra จะถูกกำกับดูแลโดย หน่วยงานอิสระชื่อ Libra Association ผ่าน Founding Members ในหลายกลุ่มธุรกิจ
โดยตอนแรกจะเริ่มจาก 27 หน่วยงาน ที่มี Market Capitalization มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ร่วมลงขันบริษัทละ 10 ล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ในปีหน้า | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2220 | Finance | ข้อใดไม่ใช่คีย์หลักที่ทำให้เงินต่างชาติเข้ามายังไทยมากที่สุดในภูมิภาค | 1. ตลาดกำลังบูม
2. สภาพคล่องโลกที่กำลังจะกลับมาดีอีกครั้ง
3. การเปลี่ยนถ่ายจากรัฐบาลทหารเป็นรัฐบาลพลเรือน
4. การเก็งกำไรค่าเงินบาท | คำตอบที่ถูกต้องคือ 1. เนื่องจาก เพราะตลาดกำลังบูม เป็นเหตุผลที่วงเงิน Block Trade จะทะยานขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
วงเงิน Block Trade เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีบทบาทในการเพิ่มการลงทุน แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการดึงดูดเงินต่างชาติ การเพิ่มขึ้นของวงเงิน Block Trade มักเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนต้องการทำธุรกรรมใหญ่ ๆ ด้วยราคาและเงื่อนไขที่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของโบรกเกอร์ เช่น การเน้นการปล่อย Margin ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบ
ดังนั้น แม้ตลาดที่กำลังบูมและการเติบโตของวงเงิน Block Trade จะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ยังมีหลายปัจจัยที่ร่วมกันทำให้การลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2226 | Finance | ข้อใดเป็นเหตุผลที่ทำให้แผนเกษียณล้มเหลว | 1. คาดการณ์อายุขัยมากเกินไป
2. คิดถึงอัตราเงินเฟ้อ
3. คาดการณ์ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณน้อยไป โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ
4. ไม่อยากเกษียณเร็วก่อนกำหนด
5. พึ่งพาการออมกับภาครัฐน้อยเกินไป | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 3. เพราะว่า เพราะการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณน้อยไป โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ เป็นเหตุผลที่ทำให้แผนเกษียณล้มเหลว คนมีรายได้ประจำส่วนใหญ่อยากได้เงินเกษียณอยู่ประมาณเดือนละ 40,000 – 50,000 บาท แล้วแต่ฐานรายได้ในปัจจุบัน
แต่ส่วนใหญ่จะมองข้ามค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ และ คนมาช่วยดูแลยามอายุมาก ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งมีโอกาสเข้าโรงพยาบาล โอกาสเสียค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น ยิ่งอายุเยอะ ความสามารถเคลื่อนไหวร่างกายลำบาก ยิ่งมีปัญหาด้านสุขภาพ ยิ่งต้องมีคนค่อยดูแลโดยเฉพาะคนโสดและไม่มีลูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนที่มีรายได้ประจำเป็นลูกจ้าง ลืมคิดไปว่าสวัสดิการด้านสุขภาพของบริษัทเป็นสวัสดิการติดโต๊ะ ไม่ใช่สวัสดิการติดตัว เมื่อเกษียณไปแล้ว มิได้วางแผนจัดการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพหลังเกษียณ หรือเรียกว่า แผน long term care (LTC) เพื่อสู้เงินเฟ้อในอนาคต การคำนวณผิดเรื่องค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ลืมนึกไปว่า ค่าใช้จ่ายมากที่สุดหลังเกษียณ คือ ค่ารักษาพยาบาล แผนเกษียณจึงล้มเหลว | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2228 | Finance | การที่บริษัทผลิตไฟฟ้าของไทยสามารถขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะเหตุใด | ก. กำไรของบริษัทจะสูงขึ้นจนทำให้ค่า PE ลดลง
ข. สภาพคล่องทางการเงินที่ล้นเหลือในสถาบันการเงิน
ค. บริษัทอาจจะไม่สามารถขยายโครงการเพิ่มขึ้นตามแผน
ง. หุ้นโรงไฟฟ้ามักจะเป็นหุ้นที่ไม่แพง
จ. ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปเป็นฟองสบู่ | ข้อที่ถูกต้องคือ ข. เนื่องจาก การที่บริษัทผลิตไฟฟ้าของไทยสามารถขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วนั้น เป็นเพราะสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นเหลือในสถาบันการเงินและตลาดเงินซึ่งทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยของไทยต่ำมาก
ดังนั้น พวกเขาก็สามารถไปประมูลหรือเสนอผลตอบแทนการลงทุนที่ต่ำให้กับผู้ซื้อไฟฟ้าได้ ในอีกด้านหนึ่ง การระดมเงินเพื่อทำโครงการก็สามารถทำได้มาก อัตราหนี้สินต่อทุนของโครงการนั้นสามารถทำได้ถึง 3 เท่า ซึ่งก็ยิ่งทำให้บริษัทสามารถทำโครงการที่ให้ผลตอบแทนโครงการไม่สูง แต่ยังสามารถทำกำไรให้กับส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพียงพอได้
ในประเด็นนี้ ในตลาดอย่างประเทศเวียตนามนั้น เวลากู้เงิน บริษัทของเวียตนามอาจจะต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง 10% ต่อปี ในขณะที่บริษัทไทยอาจจะจ่ายแค่ 5% และยังกู้ได้มากกว่า
ดังนั้น บริษัทไทยจึงน่าจะสามารถเข้าไปทำโครงการในเวียตนามได้ไม่ยาก และก็ไปกัน และนี่ก็คือการบูม “รอบสอง” ของธุรกิจโรงไฟฟ้าที่เกิดขึ้นกับบริษัทผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สามารถขยายตัวเติบโตค่อนข้างเร็วในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยนั้นหา “หุ้นเติบโต” ยากขึ้นเรื่อย ๆ | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_223 | Finance | เงินได้พึงประเมินแบ่งออดเป็นกี่ประเภท | a. 4 ประเภท
b. 6 ประเภท
c. 8 ประเภท
d. 10 ประเภท | คำตอบ คือ c. สามารถแบ่งได้เป็น 8 ประเภท
เงินได้พึงประเมิน คือ เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่เราต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
ภาษีเงินได้ ถือเป็นภาษีชนิดหนึ่งที่รัฐเรียกเก็บจากผู้มีเงินได้ทุกคนในประเทศ โดยการเก็บภาษีก็จะมีอัตราการเรียกเก็บที่แตกต่างกันไปตามประเภทของรายได้ ซึ่งรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น จะถูกเรียกว่า เงินได้พึงประเมิน หรือก็คือ เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่เราต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ยกเว้นว่าจะมีการระบุไว้ว่าเป็นเงินที่ได้รับการยกเว้นภาษี | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2237 | Finance | ข้อใดไม่ใช่เหตุผลของการเสื่อมถอยและล่มสลายของธุรกิจครอบครัว ตามทฤษฎี Buddenbrooks Syndrome กับวัฏจักรธุรกิจครอบครัว | A. การทำธุรกิจจะต้องให้ทันกับการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอายุเกษียณ
B. ความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจลดลงตามรุ่น
C. ความเป็นผู้ประกอบการไม่เหมือนรุ่นแรก รุ่นลูก รุ่นหลานของผู้ก่อตั้ง
D. ความเปลี่ยนแปลงในปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจ อาจจะทำให้การแข่งขันเปลี่ยนแปลงไปได้ | คำตอบที่ถูกต้องคือ A. เนื่องจาก เพราะการทำธุรกิจจะต้องให้ทันกับการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอายุเกษียณ กล่าวถึงความเสี่ยงถ้าเจ้าของธุรกิจไม่วางแผนเกษียณ ที่เกี่ยวกับสังขารไม่เที่ยงแท้
เจ้าของธุรกิจจะต้องยอมรับความจริงว่า “สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้” การทำธุรกิจจะต้องให้ทันกับการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอายุเกษียณแบ่งเป็น 3 ระยะ
ช่วง Active อายุ 60-70 ปี ยังคงทำงานได้ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เริ่มจะไปเที่ยวมากขึ้น ทำงานน้อยลง เริ่มมีปัญหาสุขภาพ
ช่วง Passive อายุ 71-80 ปี เริ่มทำงานได้น้อยลง มีปัญหาสุขภาพมากขึ้น ความคิดไม่ไวเหมือนสมัยก่อน ต้องการการพักผ่อนมากขึ้น
ช่วง Sleep อายุมากกว่า 80 ปี ต้องการพักผ่อนอย่างมาก ทำทุกอย่างช้าลงอย่างเห็นได้ชัด มีปัญหาสุขภาพมาก บางครั้งจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
จะเห็นได้ว่า ความสามารถในการหารายได้ของเจ้าของธุรกิจจะขึ้นอยู่กับอายุของเจ้าของเช่นเดียวกัน การที่อายุมากขึ้น สังขารไม่เที่ยงแท้ เป็นความเสี่ยงลำดับแรก | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_224 | Finance | ROA (Return on Assets) คืออะไร | a. ตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการใช้หนี้สินของบริษัท
b. ตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการใช้สินทรัพย์ของบริษัท
c. ตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการใช้บุคลากรของบริษัท
d. ตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการใช้สินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท | คำตอบที่ถูกต้องคือ b. ตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการใช้สินทรัพย์ของบริษัท
เพราะว่า ROA (Return on Assets) เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการใช้สินทรัพย์ของบริษัท โดยคำนวณจากการเอากำไรสุทธิ มาหารด้วยสินทรัพย์รวม
• ROA จะมีค่าเฉลี่ยที่แตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม เนื่องจากแต่ละธุรกิจมีการใช้ทรัพยากรหรือสินทรัพย์ในการสร้างรายได้ที่แตกต่างกัน
• ROA ย่อมาจาก Return on Assets เป็นอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม โดยคำนวณจากการเอากำไรสุทธิมาหารด้วยสินทรัพย์รวม
ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าบริษัท A มีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 1,500 ล้านบาท จะได้ว่า บริษัท A จะมีค่า ROA = 150/1,500 = 0.10 หรือ 10% | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2241 | Finance | จากบทความข้างต้น อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเกษียณอายุ sớmอย่างยั่งยืน? | null | กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเกษียณอายุ sớmอย่างยั่งยืน:
1. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ:
กำหนดเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน
ประมาณการค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ
คำนวณจำนวนเงินออมที่ต้องการ
เลือกวิธีการออมที่เหมาะสม
2. ลงทุนระยะยาว:
ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง
เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีปันผล
ลงทุนในกองทุนรวม
กระจายความเสี่ยง
3. สร้างรายได้หลายทาง:
ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
ทำธุรกิจส่วนตัว
ทำงาน freelance
4. ควบคุมค่าใช้จ่าย:
ใช้ชีวิตอย่างสมถะ
ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ
ลงทุนในประกัน
5. เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด:
มีเงินสำรองฉุกเฉิน
ทำประกันสุขภาพ
ทำประกันชีวิต
ตัวอย่างกลยุทธ์:
ออมเงิน 30% ของรายได้
ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี
ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า
ทำงาน freelance ในเวลาว่าง
ข้อควรระวัง:
การลงทุนมีความเสี่ยง
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำเพิ่มเติม:
นักลงทุนควรปรึกษานักวางแผนการเงิน
ควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับการเงินอย่างสม่ำเสมอ
ควรมีวินัยในการลงทุน
การเกษียณอายุนั้น เป็นเป้าหมายที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งด้านการเงิน และด้านจิตใจ มีแผนสำรองเผื่อไว้สำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2263 | Finance | คำศัพท์ประเภทเศรษฐกิจ/การเงินทั่วไป มีอะไรบ้าง | ศัพท์เศรษฐกิจที่มือใหม่ต้องรู้!
มือใหม่คนไหนอ่านข่าวแล้วรู้สึกงงงวยและสับสนบ้าง? วันนี้เรามารวบรวมคำศัพท์ทางเศรษฐกิจที่มือใหม่จำเป็นต้องรู้! พร้อมคำอธิบายและตัวอย่างให้ได้เรียนรู้กัน ประเภทแรก: คำศัพท์ประเภทเศรษฐกิจ/การเงินทั่วไป ประเภทที่สอง: คำศัพท์ประเภทข่าวระหว่างประเทศ ประเภทที่สาม: คำศัพท์ประเภทการประกาศนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed | คำศัพท์ประเภทเศรษฐกิจ/การเงินทั่วไป
- YoY, QoQ, MoM คือ เป็นการเปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลาหนึ่งกับอีกช่วงเวลาหนึ่ง
ตัวอย่าง: YoY = การเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น ไตรมาสแรกของปี 2560 กับ 2561
QoQ = การเทียบระหว่างไตรมาสกับไตรมาสที่ผ่านมา เช่น ไตรมาส 3 กับ 2
MoM = การเทียบระหว่างเดือนที่ผ่านมา เช่น เดือนสิงหาคมกับเดือนกรกฎาคม
- GDP ขยายตัว/หดตัว คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ซึ่งนับจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศ
ตัวอย่าง: ถ้า GDP เป็นบวก คือ เศรษฐกิจมีการเติบโต
ถ้า GDP ติดลบ คือ ภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักหรือชะลอตัว
ผลกระทบ: ถ้า GDP ติดลบ นักลงทุนก็จะไปลงทุนในประเทศที่เสถียรภาพมากกว่า ทําให้เศรษฐกิจขาดสภาพคล่อง และถ้า GDP เป็นบวก ก็จะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามา
- Consumer Price Index (CPI) คือ วัดการเปลี่ยนแปลงทางด้านราคาสินค้าและบริการของผู้บริโภค
ตัวอย่าง: บ่งบอกอัตราเงินเฟ้อของประเทศ ใช้สําหรับการวางแผนนโยบายทางการเงินของธนาคาร รวมไปถึงวางแผนธุรกิจและวางแผนการเงินของผู้ผลิตและผู้บริโภคด้วย
PMI เพิ่ม/ลด คือ ดัชนีชี้นําสภาพเศรษฐกิจในอนาคต
ตัวอย่าง: ถ้าค่าสูงกว่าระดับ 50.0 จุด แสดงถึงมุมมองเชิงบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะเวลา 6-12 เดือนข้างหน้า แต่การปรับลดลงของดัชนีเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2276 | Finance | 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมกราคม 2023 ได้แก่กองทุนใดบ้าง | รวม 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนปี 2023
กองทุนไหนดี? รวบรวม 10 อันดับกองทุนผลตอบแทนดีในแต่ละเดือนของปี 2566 มาไว้ที่นี่แล้ว! สารบัญ 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมกราคม 2023
10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2023
10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมีนาคม 2023
10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนเมษายน 2023
10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนพฤษภาคม 2023
10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมิถุนายน 2023
10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนกรกฎาคม 2023
10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนสิงหาคม 2023
10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนกันยายน 2023 FINNOMENA FUNDS ให้คุณได้ลงทุนในกองทุนรวมชั้นนำของประเทศไทยจากหลากหลาย บลจ.
ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะลงกองเดี่ยว จัดพอร์ต วางแผนลงทุน หรือลดหย่อนภาษี
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก FINNOMENA FUNDS ให้คุณได้ลงทุนในกองทุนรวมชั้นนำของประเทศไทยจากหลากหลาย บลจ.
ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะลงกองเดี่ยว จัดพอร์ต วางแผนลงทุน หรือลดหย่อนภาษี
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมกราคม 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: ASP-DIGIBLOC, KFINNO-A, TMB-ES-INTERNET, T-ES-GINNO, TMB-ES-GINNO, SCBNEXT(A), SCBINNO(A), ONE-GECOM, SCBFINTECH(A), TMB-ES-FINTECH ASP-DIGIBLOC, KFINNO-A, TMB-ES-INTERNET 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: MEGA10-A, BCAP-DISRUPT, KT-WTAI-A, TNEXTGEN-A, SCBFST, ABAG, TCYBER, T-ES-GTECH, KWI EE EURO, KF-EUROPE อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน MEGA10: โอกาสลงทุนใน 10 บริษัท ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมีนาคม 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: DAOL-GOLD, LHESPORT-A, LHESPORT-D, DAOL-PLAY, SCBGOLDH, KT-PRECIOUS, UOBSG – H, PRINCIPAL IGOLD-A, K-GOLD-C(A), KF-HGOLD, KT-GOLD 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนเมษายน 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: ONE-GLOBFIN-RD, ONE-GLOBFIN-RA, ASP-DIGIBLOC, ASP-OIL, KT-ENERGY, TUSOIL, TOIL6, TFINTECH, KWI EE EURO, I-OIL, KT-OIL 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนพฤษภาคม 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: KKP SEMICON-H, SCBSEMI(A), KFGTECH-A, KKP TECH-H, ONE-METAVERSE, ASP-DIGIBLOC, ES-USTECH, M-META, KKP NDQ100-H, K-USXNDQ-A(A), K-USXNDQ-A(D) 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมิถุนายน 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: TMB-ES-INTERNET, SCBNEXT(A), PRINCIPAL VNEQ-A, SCBINNO(A), T-ES-GINNO, KT-VIETNAM-A, TMB-ES-GINNO, KFINNO-A, ONE-GECOM, K-VIETNAM 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนกรกฎาคม 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: ASP-DIGIBLOC, LHBLOCKCHAIN, TMB-ES-INTERNET, KT-BLOCKCHAIN-A, DAOL-CYBER, T-ES-GINNO, KFINNO-A, TMB-ES-FINTECH, TMB-ES-GINNO, TUSOIL 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนสิงหาคม 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: KKP SM CAP, KKP TQG, TLMSEQ-A, TLFLEX, TLEQ, UTSME, TISCOFLEXP, ABTED, KMSLTF-A(A), K-MIDSMALL 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนกันยายน 2023 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: DAOL-CANAB, MCANN, TMBOIL, KT-OIL, I-OIL, TOIL6, K-OIL, SCBOIL, TISCOOIL, KF-OIL สามารถกรองการจัดอันดับได้เอง พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่ FINNOMENA Fund Filter สามารถกรองการจัดอันดับได้เอง พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่ FINNOMENA Fund Filter รับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA FUNDS ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> รับบริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจาก FINNOMENA FUNDS ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาทเท่านั้น
👉 ลงทะเบียน คลิก >>> คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | 10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดี ประจำเดือนมกราคม 2023 มีดังนี้:
1. กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ดิจิทัล บล็อกเชน (ASP-DIGIBLOC) ผลตอบแทน +39.66%
2. กองทุนเปิดกรุงศรี Disruptive Innovation ชนิดสะสมมูลค่า (KFINNO-A) ผลตอบแทน +29.72%
3. กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Internet (TMB-ES-INTERNET) ผลตอบแทน +29.64%
4. กองทุนเปิดธนชาต อีสท์สปริง Global Innovation (T-ES-GINNO) ผลตอบแทน +28.87%%
5. กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Global Innovation (TMB-ES-GINNO) ผลตอบแทน +28.64%
6. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Next Generation Internet (ชนิดสะสมมูลค่า) (SCBNEXT(A)) ผลตอบแทน +27.86%
7. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Innovation (ชนิดสะสมมูลค่า) (SCBINNO(A)) ผลตอบแทน +27.77%
8. กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล อีคอมเมิร์ซ (ONE-GECOM) ผลตอบแทน +24.90%
9. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Fintech Innovation (ชนิดสะสมมูลค่า) (SCBFINTECH(A)) ผลตอบแทน +23.74%
10. กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Fintech Innovation (TMB-ES-FINTECH) ผลตอบแทน +23.43%
คำเตือน:
- ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
- ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2296 | Finance | Fisher Effect คืออะไร | บทความนี้จะขอพาไปรู้จักกับทฤษฎี Fisher Effect และ International Fisher Effect ก่อนจะกล่าวถึงทฤษฎี International Fisher Relation กันหน่อย มาดูกันว่าทฤษฎีนี้จะอธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อและค่าเงินระหว่างประเทศอย่างไร
Fisher Effect อธิบายผ่านสมการ…
อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) = อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) + อัตราเงินเฟ้อที่คาดหมาย (Expected Inflation Rate)
ยกตัวอย่างเช่น
ดอกเบี้ยเงินฝาก คืออัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) = 4%
อัตราเงินเฟ้อที่คาดหมาย (Expected Inflation Rate) = 3%
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) = 1%
Fisher Effect คืออะไร? บอกอะไรเกี่ยวกับค่าเงินและเงินเฟ้อ?
นอกจาก Nominal Interest Rate จะบอกถึงผลตอบแทนที่ได้จากการฝากเงินแล้ว Fisher Effect ยังอธิบายต่อไปว่าการเติบโตทางการเงินส่งผลกระทบ Nominal Interest Rate และ Expected Inflation Rate อย่างไร ด้วยการขยายตัวของปริมาณเงินในระบบ เช่น ธนาคารกลางมีนโยบายการเงิน (เพิ่มปริมาณเงิน (Money Supply) ในระบบ) ทำให้ Expected Inflation Rate ปรับขึ้น 10% จากนั้น Nominal Interest Rate ก็จะปรับตัวขึ้นตามไป 10%
ภายใต้สมมติฐานว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินในระบบจะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) แต่ Real Interest Rate จะสะท้อนผลของ purchasing power ตลอดระยะเวลาที่ฝากเงินหรือกู้ยืมเงิน
แล้วทฤษฎี International Fisher Effect คืออะไร?
ทฤษฎี International Fisher Effect กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) กับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (change in the exchange rate) ระหว่าง 2 ประเทศ ผ่านสมการ
Picture Source : Investopedia.com
โดย :
E คือ การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินระหว่างสองประเทศ
i1 คือ อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงินประเทศ A (Nominal Interest Rate)
i2 คือ อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงินประเทศ B (Nominal Interest Rate)
จะเห็นได้ว่าความแตกต่างกันของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงินสามารถนำมาใช้คาดการณ์ความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ยกตัวอย่างเช่น
ประเทศ A มีอัตราดอกเบี้ย 12% ประเทศ B มีอัตราดอกเบี้ย 5% จากสมการแสดงให้เห็นว่าค่าเงินของประเทศ B จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศ A เท่ากับ 7%
Fisher Effect คืออะไร? บอกอะไรเกี่ยวกับค่าเงินและเงินเฟ้อ?
Fisher Effect คืออะไร? บอกอะไรเกี่ยวกับค่าเงินและเงินเฟ้อ?
ในอีกมุมหนึ่งทฤษฎีนี้ครอบคลุมไปถึง Relative Purchasing Power Parity ผ่านอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ในสมการของ Fisher Effect
เช่นเดียวกับทฤษฎี International Fisher Effect ที่สามารถหาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยกับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง 2 ประเทศ ทฤษฎี International Fisher Relation เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อที่คาดหมาย (Expected Inflation Rate) กับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) ผ่านสมการ
Local Expected Inflation Rate in the Future / Foreign Expected Inflation Rate in the Future
= (1+Local Nominal Interest Rate) / (1+Foreign Nominal Interest Rate)
ตัวอย่างเช่น
อัตราเงินเฟ้อที่คาดหมาย (Expected Inflation Rate)
ประเทศไทย (Local) = 3% ต่อปี ประเทศสหรัฐอเมริกา (Foreign) = 2% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate)
ประเทศไทย (Local) = 1% สามารถคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จาก
(2 / 3) x (1+0.01) = 0.673%
Fisher Effect คืออะไร? บอกอะไรเกี่ยวกับค่าเงินและเงินเฟ้อ?
Fisher Effect คืออะไร? บอกอะไรเกี่ยวกับค่าเงินและเงินเฟ้อ?
สรุป
Fisher Effect อธิบายว่า Nominal Interest Rate ครอบคลุมผลของ purchasing power และอัตราเงินเฟ้อ
International Fisher Effect อธิบายว่าประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ค่าเงินจะอ่อนค่ากว่า
International Fisher Relation ใช้เพื่อคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่คาดหมาย (Expected Inflation Rate) ระหว่าง 2 ประเทศ | Fisher Effect อธิบายผ่านสมการ
อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) = อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) + อัตราเงินเฟ้อที่คาดหมาย (Expected Inflation Rate)
ยกตัวอย่างเช่น
ดอกเบี้ยเงินฝาก คืออัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน (Nominal Interest Rate) = 4%
อัตราเงินเฟ้อที่คาดหมาย (Expected Inflation Rate) = 3%
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) = 1%
นอกจาก Nominal Interest Rate จะบอกถึงผลตอบแทนที่ได้จากการฝากเงินแล้ว Fisher Effect ยังอธิบายต่อไปว่าการเติบโตทางการเงินส่งผลกระทบ Nominal Interest Rate และ Expected Inflation Rate อย่างไร ด้วยการขยายตัวของปริมาณเงินในระบบ เช่น ธนาคารกลางมีนโยบายการเงิน (เพิ่มปริมาณเงิน (Money Supply) ในระบบ) ทำให้ Expected Inflation Rate ปรับขึ้น 10% จากนั้น Nominal Interest Rate ก็จะปรับตัวขึ้นตามไป 10%
ภายใต้สมมติฐานว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินในระบบจะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) แต่ Real Interest Rate จะสะท้อนผลของ purchasing power ตลอดระยะเวลาที่ฝากเงินหรือกู้ยืมเงิน | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2297 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง "ทำความรู้จัก Beyond Meat" ให้หน่อยค่ะ | บริษัท Beyond Meat ฟู้ดเทคสตาร์ตอัพสัญชาติอเมริกัน ท้าทายความเชื่อเดิมๆ ด้วยไลน์สินค้า “เนื้อที่ไม่ได้ทำจากเนื้อ แต่ทำจากพืชล้วนๆ!” ไม่ว่าจะเป็นสเต็ก ไส้กรอก หรือเนื้อบด ทุกอย่างสามารถแทนที่เนื้อสัตว์ในเมนูต่างๆ ได้ โดยที่ยังคงหน้าตาได้เหมือนเนื้อสัตว์จริงๆ แล้วเผลอๆ อาจจะรสชาติใกล้เคียงมากๆ ด้วย สินค้าต่างๆ ของ Beyond Meat มีทั้งสเต็ก ไส้กรอก และเนื้อบด (Source: Livekindly) ไม่แปลกหากเราจะฉงนใจว่ามันมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ในประเทศไทย ธุรกิจประเภทนี้อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นเคยนัก แต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันตก สินค้าจำพวกโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์นั้นค่อนข้างแพร่หลาย คงเพราะผู้คนส่วนใหญ่เริ่มนิยมการทานอาหารแบบวีแกน (Vegan) หรืออาหารประเภทที่ไม่ข้องเกี่ยวกับสัตว์แม้ในทางใดก็ตาม ไม่แปลกหากเราจะฉงนใจว่ามันมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ในประเทศไทย ธุรกิจประเภทนี้อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นเคยนัก แต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันตก สินค้าจำพวกโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์นั้นค่อนข้างแพร่หลาย คงเพราะผู้คนส่วนใหญ่เริ่มนิยมการทานอาหารแบบวีแกน (Vegan) หรืออาหารประเภทที่ไม่ข้องเกี่ยวกับสัตว์แม้ในทางใดก็ตาม การเข้าตลาดหุ้นของ Beyond Meat: ราคาพุ่งฉุดไม่อยู่ ล่าสุด Beyond Meat ได้ทำการ IPO หรือก็คือการเสนอขายหุ้นตัวย่อ BYND ต่อสาธารณชนครั้งแรก บนตลาด NASDAQ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา สร้างปรากฏการณ์ด้วยอัตราการพุ่งของราคาที่ 163% ในวันซื้อขายวันแรก ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการ IPO หุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นมา ล่าสุด Beyond Meat ได้ทำการ IPO หรือก็คือการเสนอขายหุ้นตัวย่อ BYND ต่อสาธารณชนครั้งแรก บนตลาด NASDAQ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา สร้างปรากฏการณ์ด้วยอัตราการพุ่งของราคาที่ 163% ในวันซื้อขายวันแรก ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการ IPO หุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นมา จากราคา IPO ที่ $25 (~800 บาท) ต่อหุ้น
เปิดตลาดที่ $46 (~1,470 บาท) ต่อหุ้น
พุ่งขึ้นไปถึง $72 (~2,300 บาท) ต่อหุ้น
และปิดที่ $65.75 (~2,100 บาท) ต่อหุ้น จากราคา IPO ที่ $25 (~800 บาท) ต่อหุ้น เปิดตลาดที่ $46 (~1,470 บาท) ต่อหุ้น พุ่งขึ้นไปถึง $72 (~2,300 บาท) ต่อหุ้น และปิดที่ $65.75 (~2,100 บาท) ต่อหุ้น แถมระหว่างวันยังผันผวนมากเสียจน NASDAQ ต้องเบรกการซื้อขายชั่วคราวในช่วงหนึ่ง พอสิ้นวัน มูลค่าตลาดของบริษัทก็กลายเป็น $3.8 พันล้าน (~1.2 แสนล้านบาท) แถมระหว่างวันยังผันผวนมากเสียจน NASDAQ ต้องเบรกการซื้อขายชั่วคราวในช่วงหนึ่ง พอสิ้นวัน มูลค่าตลาดของบริษัทก็กลายเป็น $3.8 พันล้าน (~1.2 แสนล้านบาท) Beyond Meat ถือเป็นบริษัทโปรตีนทางเลือกบริษัทแรกที่เข้าตลาดหุ้น เห็นได้ชัดว่าผลตอบรับดีขนาดไหน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามุมมองของนักลงทุนที่มีต่อเทรนด์การทานอาหารแบบไร้เนื้อสัตว์นั้นกำลังมาแรง และอาจปูทางไปสู่การเข้าตลาดหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ทำธุรกิจนี้ก็เป็นได้ Beyond Meat ถือเป็นบริษัทโปรตีนทางเลือกบริษัทแรกที่เข้าตลาดหุ้น เห็นได้ชัดว่าผลตอบรับดีขนาดไหน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามุมมองของนักลงทุนที่มีต่อเทรนด์การทานอาหารแบบไร้เนื้อสัตว์นั้นกำลังมาแรง และอาจปูทางไปสู่การเข้าตลาดหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ทำธุรกิจนี้ก็เป็นได้ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ Beyond Meat จะนำไปลงทุนในขั้นตอนการผลิตและพัฒนาสินค้าเพื่อสู้กับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดอันแน่นหนา จากข้อมูลของ Nielsen บอกว่าช่วงปีที่แล้วถึงต้นปีนี้ ยอดขายของสินค้าโปรตีนทางเลือกในซูเปอร์มาร์เก็ตพุ่งขึ้น 19.2% สู่ระดับ $878 ล้าน (~2.8 หมื่นล้านบาท) ถือว่าเป็นตลาดที่คึกคักมากทีเดียว เต็มไปด้วยผู้เล่นต่างๆ เช่น บริษัทจากซิลิคอน วัลเล่ย์อย่าง Impossible Foods ที่จัดส่งเบอร์เกอร์ไร้เนื้อของตนไปยังร้านอาหารต่างๆ นับพันร้าน รวมถึงร้านดังอย่าง Burger King เมื่อเดือนที่แล้วด้วย ฝั่งบริษัทที่ทำธุรกิจพัฒนาโปรตีนทางเลือก อย่าง Memphis Meat และ Sustainable Bioproducts ก็กำลังจะออกสินค้าใหม่สู่ตลาดเช่นกัน โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ Beyond Meat จะนำไปลงทุนในขั้นตอนการผลิตและพัฒนาสินค้าเพื่อสู้กับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดอันแน่นหนา จากข้อมูลของ Nielsen บอกว่าช่วงปีที่แล้วถึงต้นปีนี้ ยอดขายของสินค้าโปรตีนทางเลือกในซูเปอร์มาร์เก็ตพุ่งขึ้น 19.2% สู่ระดับ $878 ล้าน (~2.8 หมื่นล้านบาท) ถือว่าเป็นตลาดที่คึกคักมากทีเดียว เต็มไปด้วยผู้เล่นต่างๆ เช่น บริษัทจากซิลิคอน วัลเล่ย์อย่าง Impossible Foods ที่จัดส่งเบอร์เกอร์ไร้เนื้อของตนไปยังร้านอาหารต่างๆ นับพันร้าน รวมถึงร้านดังอย่าง Burger King เมื่อเดือนที่แล้วด้วย ฝั่งบริษัทที่ทำธุรกิจพัฒนาโปรตีนทางเลือก อย่าง Memphis Meat และ Sustainable Bioproducts ก็กำลังจะออกสินค้าใหม่สู่ตลาดเช่นกัน ความพิเศษของเนื้อจาก Beyond Meat: ดีกว่าเนื้อสัตว์อย่างไร? Beyond Meat เองก็ไม่น้อยหน้า เพราะบริษัทก็วางขายสินค้าตามร้านสะดวกซื้อทั่วสหรัฐฯ รวมถึงได้รับการนำไปประกอบเมนูต่างๆ ของร้านอาหารชื่อดัง เช่น TGI Fridays, Carl’s Jr. และกำลังตกลงสัญญาใหม่กับ Del Taco Restaurants Inc. โดยชิ้นเบอร์เกอร์ของ Beyond Meat นั้นไม่มีคอเลสเตอรอล (เพราะทำจากพืช) และมีไขมันอิ่มตัวเพียง 5 กรัมเท่านั้น เพราะทำมาจากโปรตีนถั่วกับน้ำบีทรูท ซึ่งช่วยให้ตัวเนื้อเบอร์เกอร์ออกสีแดงเมื่อนำไปโดนความร้อน ลองเอาไปเทียบกับชิ้นเบอร์เกอร์เนื้อวัวนำ้หนัก 4 ออนซ์ (~113 กรัม) ดูสิ มีคอเรสเตอรอลตั้ง 80 มิลลิกรัมและไขมันอิ่มตัวอีก 9 กรัม เห็นตัวเลขแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าเนื้อของ Beyond Meat ดูน่าจะถูกใจคนรักสุขภาพมากกว่า Beyond Meat เองก็ไม่น้อยหน้า เพราะบริษัทก็วางขายสินค้าตามร้านสะดวกซื้อทั่วสหรัฐฯ รวมถึงได้รับการนำไปประกอบเมนูต่างๆ ของร้านอาหารชื่อดัง เช่น TGI Fridays, Carl’s Jr. และกำลังตกลงสัญญาใหม่กับ Del Taco Restaurants Inc. โดยชิ้นเบอร์เกอร์ของ Beyond Meat นั้นไม่มีคอเลสเตอรอล (เพราะทำจากพืช) และมีไขมันอิ่มตัวเพียง 5 กรัมเท่านั้น เพราะทำมาจากโปรตีนถั่วกับน้ำบีทรูท ซึ่งช่วยให้ตัวเนื้อเบอร์เกอร์ออกสีแดงเมื่อนำไปโดนความร้อน ลองเอาไปเทียบกับชิ้นเบอร์เกอร์เนื้อวัวนำ้หนัก 4 ออนซ์ (~113 กรัม) ดูสิ มีคอเรสเตอรอลตั้ง 80 มิลลิกรัมและไขมันอิ่มตัวอีก 9 กรัม เห็นตัวเลขแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าเนื้อของ Beyond Meat ดูน่าจะถูกใจคนรักสุขภาพมากกว่า เปรียบเทียบชิ้นเบอร์เกอร์ของ Beyond Meat กับเนื้อปกติ (Source: www.beyondmeat.com) นอกจากความกังวลที่มากขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคสมัยนี้ก็เริ่มคำนึงถึงความเป็นอยู่ของสัตว์ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมองหาสินค้าทางเลือกสำหรับเนื้อสัตว์ที่ทำมาจากพืช การผลิตโปรตีนทางเลือกของ Beyond Meat นั้นส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางธรรมชาติน้อยกว่าการผลิตเนื้อสัตว์ทั่วไปมาก | Beyond Meat เป็นบริษัทฟู้ดเทคสตาร์ตอัพของสหรัฐอเมริกา ผ่านแนวคิด เนื้อที่ไม่ได้ทำจากเนื้อ แต่ทำจากพืชล้วนๆ โดยหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์จริงๆ อาจจะมีรสชาติใกล้เคียงมากๆ ด้วย ในต่างประเทศนิยมทานสินค้าจำพวกโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มนิยมการทานอาหารแบบวีแกน หรืออาหารประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2019 Beyond Meat ได้ทำการเสนอขายหุ้นตัวย่อ BYND บนตลาด NASDAQ ต่อสาธารณชนครั้งแรก มีอัตราการพุ่งของราคาที่ 163% ในวันแรกที่ซื้อขาย ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2019 แม้ในระหว่างวันจะผันผวนมากจน NASDAQ ต้องเบรกการซื้อขายชั่วคราว แต่พอสิ้นวันมูลค่าตลาดของบริษัทกลายเป็น 3.8 พันล้านดอลลาร์
Beyond Meat เป็นบริษัทโปรตีนทางเลือกบริษัทแรกที่เข้าตลาดหุ้นและได้รับผลตอบรับดี แสดงให้เห็นว่ามุมมองของนักลงทุนที่มีต่อเทรนด์การทานอาหารแบบไร้เนื้อสัตว์กำลังมาแรง และอาจปูทางไปสู่การเข้าตลาดหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ทำธุรกิจนี้ได้ โดยจะนำไปลงทุนในขั้นตอนการผลิตและพัฒนาสินค้าเพื่อสู้กับคู่แข่งรายอื่นๆ
Beyond Meat วางขายสินค้าตามร้านสะดวกซื้อทั่วสหรัฐอเมริกา รวมถึงการนำไปประกอบเมนูต่างๆ ของร้านอาหาร การผลิตโปรตีนทางเลือกส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางธรรมชาติน้อยกว่าการผลิตเนื้อสัตว์ทั่วไป | 2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2312 | Finance | เคล็ดลับ 10 ข้อที่ช่วยให้ร่ำรวย ของTony Robbins ประกอบด้วยอะไรบ้าง | หลายคนวิ่งร่วมงานสัมมนาการเงินการลงทุนเพื่อให้ชีวิตร่ำรวยขึ้น หลายคนบ่นด่าชีวิตของตัวเองว่า ทำไมไม่มีโอกาสร่ำรวย หลายคนหาหนังสือเกี่ยวกับวิธีคิดของคนประสบความสำเร็จมาอ่าน แต่หลายคนยังหาไม่ได้ว่า บทสรุป หรือ อะไรคือเคล็ดที่นำไปสู่ความร่ำรวย Tony Robbins ได้คุยและเก็บข้อมูลในการคุยกับคนประสบความสำเร็จและร่ำรวย เขาสรุปว่า 1. จงมีฝัน เมื่อมีฝัน มีภาพตัวคุณในอนาคตให้ชัดเจน เป้าหมายของคุณจะเกิดขึ้น ดังนั้นจงชัดเจนกับเป้าหมายนั้น ทำเป้าหมายให้ยิ่งใหญ่ พลังงานทุกอย่างในตัวคุณเกิดจากความฝันที่คุณอยากจะได้ มันจะผลักดันให้เราทำสิ่งต่างๆ เมื่อคุณไร้ฝัน คุณไม่เคยเชื่อมต่อกับมัน คุณก็จะไม่มีพลังงาน สุดท้ายชีวิตคุณก็จะไปเรื่อยๆ ไม่มีเป้าหมาย 2. หยุดซื้อขายเวลาแลกกับเงิน ถ้าคุณทำงานเพื่อการมีชีวิต คุณกำลังซื้อขายเวลาของคุณเพื่อเงิน คุณสามารถได้รับเงินมากขึ้น แต่คุณไม่สามารถได้รับเวลามากขึ้น เวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด เวลาไม่สามารถเก็บเอาไว้ใช้ได้ และไม่ไหลย้อนกลับ คุณจะต้องคิดให้ได้ว่า จะต้องทำสิ่งที่ได้เงินมากขึ้น ในช่วงเวลาที่เท่าเดิมได้อย่างไร คุณจะต้องคิดให้ได้ว่า จะทำอย่างไร คุณจะต้องทำงานเพื่อเป้าหมายของคุณ ไม่ใช่แค่การมีชีวิตอยู่ไปวันๆ 3. เคารพ กตัญญู และ รักตัวเอง แม้คุณจะไม่มีเงินมากมาย แต่รู้จักคุณค่าในตัวเอง เคารพตัวเอง และรักตัวเอง คุณก็เป็นคนรวยได้ ความมั่งคั่ง เป็น อารมณ์ความรู้สึก
ความมั่งคั่ง เริ่มจากวิธีคิดในจิตใจ ไม่สามารถทำให้ความมั่งคั่งทางการเงินสำคัญไปกว่าความมั่งคั่งของสุขภาพ อารมณ์ ความสัมพันธ์ และ เวลา 4. เป็นนักลงทุนที่มีวินัย “อย่าคิดว่า การรับความเสี่ยงได้อย่างมาก คุณจะรับรางวัลได้เยอะ” ให้คิดว่า ทำอย่างไรจะทำความเสี่ยงให้น้อยที่สุดเพื่อให้ได้รางวัลเยอะ หลักใหญ่ในการลงทุน คือคุณจะต้องรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงสิ่งที่คุณลงทุนลงไป การกระจายความเสี่ยงเป็นหลักการสำคัญในการลงทุน รู้จักเลือกสินทรัพย์ที่ดี จับจังหวะของการซื้อขาย วินัยในการเรียนรู้ และลงทุนต่อเนื่องระยะยาว 5. อย่ากลัวแพ้ อย่ากลัวผิดหวัง น่าเสียดายนักที่เรากำลังตั้งโปรแกรมที่จะต้องกลัวความผิดพลาด กลัวการโดนปฏิเสธ คนที่ร่ำรวยคิดว่าความล้มเหลวมักจะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ แต่ถ้ายังกลัวความผิดหวัง กลัวเจ๊ง กลัวเหนื่อย แนะนำให้นอนอยู่บ้าน ให้พ่อแม่เลี้ยง จนแก่ตายไปเอง ไม่เหลือให้ลูกให้หลานได้จดจำว่าครั้งหนึ่งเคยทำอะไรให้คนรอบข้างครับ 6. ทำงานหนักขึ้น เพิ่มสร้างคุณค่าตัวเอง มากกว่าสิ่งอื่นใด จงหาหาวิธีที่จะเพิ่มมูลค่าของคุณให้มากขึ้นกว่าคนอื่น คุณค่าของคุณจะต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการ เงินและความมั่งคั่งจะไหลตามคุณค่าที่คุณมีอยู่ 7. ออมโดยอัตโนมัติ ถ้าการออมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติโดยที่คุณไม่คิดเกี่ยวกับมัน เงินก็จะเริ่มสะสมและหวังว่าจะเติบโต เนื่องจากพลังของดอกเบี้ยทบต้น 8. ให้ในสิ่งที่คุณไม่คิดว่าคุณสามารถให้ เป็นคนมีเมตตา ใจกว้าง เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญในชีวิต ถ้าคุณไม่เคยให้ใครเงินเลยซักบาท คุณจะไม่มีทางได้เงิน 1 ล้าน 10 ล้านได้เลย การมีเมตตา การให้ ทำให้คุณรู้จักพอ เมื่อคุณรู้จักพอ คุณก็จะเป็นอิสระจากเงิน เมื่อคุณเป็นอิสระจากเงิน เมื่อคุณไม่คิดเรื่องเงิน คุณก็จะสัมผัสได้ถึงความมีอิสรภาพทางการเงิน 9. มีจิตใจที่แข็งแรงและมั่นคง คนหลายคนไม่สามารถก้าวหน้าและเดินไปข้างหน้าได้ เนื่องจาก Mindset เป็นสำคัญ หากคุณแข็งแกร่งทางจิตใจมากพอ คุณจะไม่เพียงอยู่รอดได้ แต่คุณสามารถเจริญเติบโตได้ เมื่อคุณเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก ความแข็งแรงภายในตัวเองมีเพื่อให้คุณสามารถพิชิตโลกภายนอกรอบตัวคุณ 10. จงมีความสุขกับความคืบหน้า ถ้าคุณต้องการที่จะมีความสุข แต่คุณมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตอันเนื่องมาจาก ปัญหาส่วนตัว หรือข้อมูลทางการเงิน มันเป็นสิ่งสำคัญ คุณค่อยๆ ทำทีละขั้นตอน แบ่งซอยเป้าหมายเป็นชิ้นเล็กๆ พยายามทำให้สำเร็จทีละเล็กทีละน้อย และสุดท้าย เป้าหมายใหญ่ จึงบรรลุเป้าหมาย เช่นคุณอยากจะมีเงิน 10 ล้านบาท ภายใน 5 ปี คุณจะแบ่งเป้าหมายว่า ขอเก็บ 1 ล้านแรก ก่อนภายใน 1 ปีก่อน นี่คือการแบ่งซอยเป้าหมายในแต่ละเป้าหมายย่อยที่คุณบรรลุ จงมีความสุขไปกับผลสำเร็จนั้นๆในแต่ละขั้น | เคล็ดลับ 10 ข้อที่ช่วยให้ร่ำรวย ของTony Robbins ประกอบด้วย
1. จงมีฝัน
เมื่อมีฝัน มีภาพตัวคุณในอนาคตให้ชัดเจน เป้าหมายของคุณจะเกิดขึ้น ดังนั้นจงชัดเจนกับเป้าหมายนั้น ทำเป้าหมายให้ยิ่งใหญ่ พลังงานทุกอย่างในตัวคุณเกิดจากความฝันที่คุณอยากจะได้ มันจะผลักดันให้เราทำสิ่งต่างๆ
เมื่อคุณไร้ฝัน คุณไม่เคยเชื่อมต่อกับมัน คุณก็จะไม่มีพลังงาน สุดท้ายชีวิตคุณก็จะไปเรื่อยๆ ไม่มีเป้าหมาย
2. หยุดซื้อขายเวลาแลกกับเงิน
ถ้าคุณทำงานเพื่อการมีชีวิต คุณกำลังซื้อขายเวลาของคุณเพื่อเงิน คุณสามารถได้รับเงินมากขึ้น แต่คุณไม่สามารถได้รับเวลามากขึ้น
เวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด เวลาไม่สามารถเก็บเอาไว้ใช้ได้ และไม่ไหลย้อนกลับ คุณจะต้องคิดให้ได้ว่า จะต้องทำสิ่งที่ได้เงินมากขึ้น ในช่วงเวลาที่เท่าเดิมได้อย่างไร
คุณจะต้องคิดให้ได้ว่า จะทำอย่างไร คุณจะต้องทำงานเพื่อเป้าหมายของคุณ ไม่ใช่แค่การมีชีวิตอยู่ไปวันๆ
3. เคารพ กตัญญู และ รักตัวเอง
แม้คุณจะไม่มีเงินมากมาย แต่รู้จักคุณค่าในตัวเอง เคารพตัวเอง และรักตัวเอง คุณก็เป็นคนรวยได้
ความมั่งคั่ง เป็น อารมณ์ความรู้สึก
ความมั่งคั่ง เริ่มจากวิธีคิดในจิตใจ
ไม่สามารถทำให้ความมั่งคั่งทางการเงินสำคัญไปกว่าความมั่งคั่งของสุขภาพ อารมณ์ ความสัมพันธ์ และ เวลา
4. เป็นนักลงทุนที่มีวินัย
“อย่าคิดว่า การรับความเสี่ยงได้อย่างมาก คุณจะรับรางวัลได้เยอะ”
ให้คิดว่า ทำอย่างไรจะทำความเสี่ยงให้น้อยที่สุดเพื่อให้ได้รางวัลเยอะ
หลักใหญ่ในการลงทุน คือคุณจะต้องรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงสิ่งที่คุณลงทุนลงไป การกระจายความเสี่ยงเป็นหลักการสำคัญในการลงทุน
รู้จักเลือกสินทรัพย์ที่ดี จับจังหวะของการซื้อขาย วินัยในการเรียนรู้ และลงทุนต่อเนื่องระยะยาว
5. อย่ากลัวแพ้ อย่ากลัวผิดหวัง
น่าเสียดายนักที่เรากำลังตั้งโปรแกรมที่จะต้องกลัวความผิดพลาด กลัวการโดนปฏิเสธ
คนที่ร่ำรวยคิดว่าความล้มเหลวมักจะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ แต่ถ้ายังกลัวความผิดหวัง กลัวเจ๊ง กลัวเหนื่อย แนะนำให้นอนอยู่บ้าน ให้พ่อแม่เลี้ยง จนแก่ตายไปเอง ไม่เหลือให้ลูกให้หลานได้จดจำว่าครั้งหนึ่งเคยทำอะไรให้คนรอบข้างครับ
6. ทำงานหนักขึ้น เพิ่มสร้างคุณค่าตัวเอง มากกว่าสิ่งอื่นใด
จงหาหาวิธีที่จะเพิ่มมูลค่าของคุณให้มากขึ้นกว่าคนอื่น คุณค่าของคุณจะต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการ เงินและความมั่งคั่งจะไหลตามคุณค่าที่คุณมีอยู่
7. ออมโดยอัตโนมัติ
ถ้าการออมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติโดยที่คุณไม่คิดเกี่ยวกับมัน เงินก็จะเริ่มสะสมและหวังว่าจะเติบโต เนื่องจากพลังของดอกเบี้ยทบต้น
8. ให้ในสิ่งที่คุณไม่คิดว่าคุณสามารถให้
เป็นคนมีเมตตา ใจกว้าง เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญในชีวิต ถ้าคุณไม่เคยให้ใครเงินเลยซักบาท คุณจะไม่มีทางได้เงิน 1 ล้าน 10 ล้านได้เลย
การมีเมตตา การให้ ทำให้คุณรู้จักพอ เมื่อคุณรู้จักพอ คุณก็จะเป็นอิสระจากเงิน เมื่อคุณเป็นอิสระจากเงิน เมื่อคุณไม่คิดเรื่องเงิน คุณก็จะสัมผัสได้ถึงความมีอิสรภาพทางการเงิน
9. มีจิตใจที่แข็งแรงและมั่นคง
คนหลายคนไม่สามารถก้าวหน้าและเดินไปข้างหน้าได้ เนื่องจาก Mindset เป็นสำคัญ หากคุณแข็งแกร่งทางจิตใจมากพอ คุณจะไม่เพียงอยู่รอดได้ แต่คุณสามารถเจริญเติบโตได้ เมื่อคุณเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก ความแข็งแรงภายในตัวเองมีเพื่อให้คุณสามารถพิชิตโลกภายนอกรอบตัวคุณ
10. จงมีความสุขกับความคืบหน้า
ถ้าคุณต้องการที่จะมีความสุข แต่คุณมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตอันเนื่องมาจาก ปัญหาส่วนตัว หรือข้อมูลทางการเงิน มันเป็นสิ่งสำคัญ คุณค่อยๆ ทำทีละขั้นตอน แบ่งซอยเป้าหมายเป็นชิ้นเล็กๆ พยายามทำให้สำเร็จทีละเล็กทีละน้อย
และสุดท้าย เป้าหมายใหญ่ จึงบรรลุเป้าหมาย
เช่นคุณอยากจะมีเงิน 10 ล้านบาท ภายใน 5 ปี
คุณจะแบ่งเป้าหมายว่า ขอเก็บ 1 ล้านแรก ก่อนภายใน 1 ปีก่อน นี่คือการแบ่งซอยเป้าหมายในแต่ละเป้าหมายย่อยที่คุณบรรลุ จงมีความสุขไปกับผลสำเร็จนั้นๆในแต่ละขั้น | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_233 | Finance | โดยทั่วไปงบกระแสเงินสดจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน คืออะไรบ้าง | งบกระแสเงินสด เป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นว่าบริษัท หาเงินสดได้มากเท่าไร มาจากช่องทางไหน นำเงินสดไปใช้กับอะไรบ้าง ซึ่งเป็นตัวชี้วัด “สภาพคล่อง” ของบริษัท
หลายคนอาจคิดว่า งบกำไรขาดทุน เพียงอย่างเดียว
ก็อาจเพียงพอแล้วที่จะทำให้เราเข้าใจบริษัทใดบริษัทหนึ่งดีพอ
แต่งบกำไรขาดทุนเพียงอย่างเดียว ไม่อาจฉายภาพรวมของบริษัทได้ทั้งหมด
เช่นในบางกรณีบริษัทอาจจะขายสินค้าได้ และรับรู้เป็นกำไรเข้ามาในงบกำไรขาดทุน แต่ยังไม่ได้รับเงินสดจริง ๆ เข้ามาในบริษัท หรือที่เรียกว่ามีลูกหนี้การค้า
หากเป็นเหตุการณ์เช่นนี้ อาจจะทำให้บริษัทนั้นขาดสภาพคล่อง และมีปัญหาในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ซึ่งเครื่องมือที่จะช่วยให้อธิบายในจุดนี้ได้ ก็คือ “งบกระแสเงินสด”
แล้วงบกระแสเงินสดสำคัญอย่างไร ?
คำตอบคือ งบกระแสเงินสด ทำให้เรารู้สภาพคล่องของบริษัทว่าเป็นอย่างไร
โดยทั่วไปแล้วงบกระแสเงินสดจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ
1. กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow From Operation)
เป็นกระแสเงินสดที่เกิดจากกิจกรรมหลักของธุรกิจ
หรืออาจพูดง่าย ๆ ได้ว่า กระแสเงินสดจากการทำมาค้าขายของธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็น การซื้อวัตถุดิบ, การขายสินค้า รวมถึงเงินเดือนของพนักงาน ก็จะรวมอยู่ในกระแสเงินสดจากการดำเนินงานทั้งหมด
โดยทั่วไปแล้ว หากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก ก็หมายความว่าบริษัทมีเงินสดจากการขายสินค้าและบริการ มากกว่าเงินสดที่จ่ายออกไป
ในกรณีที่ติดลบ นั่นก็หมายความว่า
บริษัทมีรายจ่ายที่เป็นเงินสดในการดำเนินงาน เช่น ค่าวัตถุดิบหรือค่าจ้างพนักงาน มากกว่าเงินสดที่ได้รับจากการขายสินค้าในช่วงเวลานั้นนั่นเอง
2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน (Cash Flow From Investing)
เป็นกระแสเงินสดที่แสดงให้เห็นถึงการได้มา หรือจ่ายออกไปจากการซื้อหรือขายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่น ๆ
เช่น การซื้อตึกหรืออาคาร เพื่อใช้เป็นสำนักงานของบริษัท
รวมถึงการควบรวมกิจการก็จะรวมอยู่ในงบส่วนนี้ด้วยเช่นกัน
โดยส่วนใหญ่แล้ว หากกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน “ติดลบ” นั่นหมายความว่าบริษัทกำลังนำเงินไปลงทุน เพื่อขยายกิจการเพิ่ม
แม้การลงทุนเพิ่มเติมอาจทำให้บริษัทเติบโตได้
อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป
เพราะฉะนั้นเราจึงควรติดตามว่าผลตอบแทนที่ได้นั้น คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่
ในทางตรงกันข้าม หากกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุนมีค่าเป็นบวก ก็จะหมายถึงการที่บริษัทได้เงินสดจากการขายทรัพย์สินออกไป เช่น อาคารสำนักงาน เป็นต้น
การที่บริษัทต้องขายทรัพย์สินออกไป ก็อาจจะบอกได้ว่าบริษัทเริ่มจะไม่มีการเติบโตแล้ว หรือสภาพคล่องกำลังมีปัญหาอย่างหนัก ก็เป็นไปได้เช่นกัน
3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Cash Flow From Financing)
คือ กระแสเงินสดที่เกี่ยวกับการจัดหาเงินของบริษัท
เช่น การกู้ยืมจากนักลงทุน, การจ่ายปันผลให้นักลงทุน, การซื้อหุ้นคืน
หากตัวเลขเป็นบวก อาจหมายความว่าบริษัทมีการหาเงินเข้าบริษัทมากขึ้น
เช่น จากการกู้ยืมธนาคาร, การออกหุ้นกู้ และการขอเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้น
หากตัวเลขเป็นลบ นั่นหมายความว่าบริษัทกำลังจ่ายมากกว่าเงินที่ได้รับ
ตัวอย่างของกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินที่เป็นลบ เช่น การคืนเงินต้นเงินกู้, การจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น รวมถึงการซื้อหุ้นคืน
ทั้งหมดนี้อาจสรุปได้ว่า “งบกระแสเงินสด” เป็นตัวช่วยในการบอกเราว่าบริษัทหาเงินได้เท่าไร
หามาด้วยวิธีไหน แล้วมีการนำเงินสดไปใช้จ่ายกับอะไรบ้าง
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือช่วยให้เรารู้สภาพคล่องของบริษัทนั่นเอง
ซึ่งหากเราเข้าใจ และนำไปใช้วิเคราะห์ร่วมกับงบกำไรขาดทุน และงบดุล
ก็จะทำให้เราเห็นภาพของบริษัทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น | โดยทั่วไปแล้วงบกระแสเงินสดจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ
1. กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow From Operation)
เป็นกระแสเงินสดที่เกิดจากกิจกรรมหลักของธุรกิจ หรืออาจพูดง่าย ๆ ได้ว่า กระแสเงินสดจากการทำมาค้าขายของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น การซื้อวัตถุดิบ, การขายสินค้า รวมถึงเงินเดือนของพนักงาน ก็จะรวมอยู่ในกระแสเงินสดจากการดำเนินงานทั้งหมด
โดยทั่วไปแล้ว หากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก ก็หมายความว่าบริษัทมีเงินสดจากการขายสินค้าและบริการ มากกว่าเงินสดที่จ่ายออกไป ในกรณีที่ติดลบ นั่นก็หมายความว่า บริษัทมีรายจ่ายที่เป็นเงินสดในการดำเนินงาน เช่น ค่าวัตถุดิบหรือค่าจ้างพนักงาน มากกว่าเงินสดที่ได้รับจากการขายสินค้าในช่วงเวลานั้นนั่นเอง
2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน (Cash Flow From Investing)
เป็นกระแสเงินสดที่แสดงให้เห็นถึงการได้มา หรือจ่ายออกไปจากการซื้อหรือขายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่น ๆ เช่น การซื้อตึกหรืออาคาร เพื่อใช้เป็นสำนักงานของบริษัท รวมถึงการควบรวมกิจการก็จะรวมอยู่ในงบส่วนนี้ด้วยเช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้ว หากกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน “ติดลบ” นั่นหมายความว่าบริษัทกำลังนำเงินไปลงทุน เพื่อขยายกิจการเพิ่ม
แม้การลงทุนเพิ่มเติมอาจทำให้บริษัทเติบโตได้ อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะฉะนั้นเราจึงควรติดตามว่าผลตอบแทนที่ได้นั้น คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ ในทางตรงกันข้าม หากกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุนมีค่าเป็นบวก ก็จะหมายถึงการที่บริษัทได้เงินสดจากการขายทรัพย์สินออกไป เช่น อาคารสำนักงาน เป็นต้น การที่บริษัทต้องขายทรัพย์สินออกไป ก็อาจจะบอกได้ว่าบริษัทเริ่มจะไม่มีการเติบโตแล้ว หรือสภาพคล่องกำลังมีปัญหาอย่างหนัก ก็เป็นไปได้เช่นกัน
3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Cash Flow From Financing)
คือ กระแสเงินสดที่เกี่ยวกับการจัดหาเงินของบริษัท เช่น การกู้ยืมจากนักลงทุน, การจ่ายปันผลให้นักลงทุน, การซื้อหุ้นคืน หากตัวเลขเป็นบวก อาจหมายความว่าบริษัทมีการหาเงินเข้าบริษัทมากขึ้น เช่น จากการกู้ยืมธนาคาร, การออกหุ้นกู้ และการขอเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้น หากตัวเลขเป็นลบ นั่นหมายความว่าบริษัทกำลังจ่ายมากกว่าเงินที่ได้รับ ตัวอย่างของกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินที่เป็นลบ เช่น การคืนเงินต้นเงินกู้, การจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น รวมถึงการซื้อหุ้นคืน | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2343 | Finance | ใน 10 ปี ลักษณะหุ้นที่จะเติบโต 10 เท่า จะมีลักษณะอย่างไร | สิ่งที่นักลงทุนระยะยาวชื่นชอบที่สุด คือการที่เราจะได้ประสบพบเจอกับหุ้นโปรด ที่สามารถถือได้อย่างยาวนาน แบบไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่ถือเฉย ๆ และรอให้มันเติบโตเองตามธรรมชาติ เอาแบบ “สิบเท่าในสิบปี”
การจะหาหุ้นอะไรที่มันจะสามารถเติบโตสิบเท่าในสิบปีได้ ก็คือ มันพอจะมี “เบาะแส” บางอย่างที่จะนำไปถึงฝั่งฝันได้ ดังนี้
ประการแรก “กระแสเงินสดเป็นบวกติดต่อกันมาโดยตลอด”
เบาะแสที่น่าติดตาม และชวนให้นักลงทุนระยะยาวเข้าไปขุดหุ้นหาผลกันเพราะกิจการที่กระแสเงินสดเป็นบวกติดต่อกันมานาน ถ้าไม่ใช่กิจการที่ขายสินค้าเป็นเงินสด ก็ต้องมีการเก็บหนี้ที่ดีงาม ถ้าเข้าไปดูบัญชีลูกหนี้ของกิจการเหล่านี้จะรู้สึกได้เลยว่า “การขายของที่ดี ต้องเก็บเงินได้ดีด้วย”
กระแสเงินสดที่ชอบดูก็คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และถ้ากระแสเงินสดจากการลงทุนมีไม่มาก หรือมีแค่รักษาสภาพของกิจการ รักษาอำนาจการแข่งขัน จะยิ่งดี เพราะนั่นหมายความว่ากิจการนั้นไม่ต้องลงทุนเยอะๆ เพื่อสร้างยอดขาย
ประการที่สอง “วงจรเงินสดติดลบหลายวัน และอยู่นาน ๆ”
สิ่งที่จะทำให้สนใจอีกประการก็คือ “วงจรเงินสด” หรือ Cash Cycle ถ้าติดลบหลายๆ วัน แปลความหมายได้ว่า ขายของได้เงิน แต่เครดิตกับ Supplier เอาไว้ ยิ่งติดลบมาก แสดงว่า เก็บเงินได้เร็ว แต่จ่ายเงินออกไปช้า
ตัวเลขนี้จะว่าไปก็คล้ายๆ กับกระแสเงินสด แต่จะเป็นตัวบอกที่ชัดเจนมากๆ ว่า กิจการนี้มีเงินเข้าออกอย่างไร บางกิจการขายของได้มากก็จริง แต่ลูกค้าขอเครดิตเทอมนานๆ บางรายขอ 60 – 90 วัน แบบนี้ก็ไม่ไหวจะเคลียร์เหมือนกัน เพราะระหว่างรอเก็บเงิน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ จิปาถะมากมาย ทั้งต้นทุนขาย ค่าแรงงานลูกน้อง อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง
แต่สำหรับกิจการที่เขาบริหารจัดการได้ดีมานาน การที่วงจรเงินสดติดลบน้อย หรือเป็นบวกก็อาจไม่ใช่ปัญหาของเขา นักลงทุนควรทำการบ้านให้รอบด้านก่อนไปตัดสินว่ากิจการไหนดี ไหนแย่ แต่เบาะแสสำหรับหุ้นเติบโตสิบเท่าในสิบปี ก็ควรมีวงจรเงินสดที่ดี และควบคุมได้
ประการที่สาม “กำไรสะสมเติบโต”
กำไรสะสมแม้ไม่ใช่เงินสดๆ เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็บ่งบอกได้ว่า กิจการนี้ทำมาหาได้ และสามารถมีทุนรอนสะสมเก็บเอาไว้ และถ้าสินทรัพย์ของเขาเติบโต และสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์หมุนเวียนที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ก็จะดูน่าสนใจเหมือนกัน
บางคนอาจบอกว่า การที่กิจการเก็บเงินสดไว้กับตัวเองเยอะๆ เป็นเรื่องไม่ดี เพราะหมายถึงกิจการนั้นมีเงินเหลือไม่รู้จะเอาไปลงทุนอะไร และมันทำให้ด้อยค่า เพราะเงินสดเก็บไว้เฉยๆ มันแพ้เงินเฟ้อ แต่ถ้ากิจการใดมีกำไรสะสมเติบโต คิดว่ามันคุ้มกับการเข้าไปขุดหุ้นเหมือนกัน
ข้อสรุป และข้อคิด คือ
หุ้นที่มีแววจะเติบโตนั้น ที่จริงแล้วต้องดูที่ “คุณภาพ” ของกิจการเป็นหลัก ดูว่ากิจการเขาอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตหรือไม่ และดูความแข็งแกร่งทนทานต่อคู่แข่ง แต่ในเชิงเทคนิคแล้ว ต้องคอยเฝ้าติดตามการเติบโตของรายได้ กระแสเงินสด วงจรเงินสด และกำไรสะสม เพื่อดูว่าในเชิงตัวเลขแล้วมันรองรับการเติบโตได้จริงแท้แค่ไหน ที่สำคัญจงเลือกบริษัทที่มีหนี้สินน้อย ๆ ก็จะดีขึ้นไปอีก STEP | ลักษณะหุ้นที่จะเติบโต 10 เท่า จะมีลักษณะ ดังนี้
ประการแรก “กระแสเงินสดเป็นบวกติดต่อกันมาโดยตลอด”
เบาะแสที่น่าติดตาม และชวนให้นักลงทุนระยะยาวเข้าไปขุดหุ้นหาผลกัน เพราะกิจการที่กระแสเงินสดเป็นบวกติดต่อกันมานาน ถ้าไม่ใช่กิจการที่ขายสินค้าเป็นเงินสด ก็ต้องมีการเก็บหนี้ที่ดีงาม ถ้าเข้าไปดูบัญชีลูกหนี้ของกิจการเหล่านี้จะรู้สึกได้เลยว่า “การขายของที่ดี ต้องเก็บเงินได้ดีด้วย”
กระแสเงินสดที่ชอบดูก็คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และถ้ากระแสเงินสดจากการลงทุนมีไม่มาก หรือมีแค่รักษาสภาพของกิจการ รักษาอำนาจการแข่งขัน จะยิ่งดี เพราะนั่นหมายความว่ากิจการนั้นไม่ต้องลงทุนเยอะๆ เพื่อสร้างยอดขาย แบบนี้จงรีบเข้าไปแกะงบโดยเร็วเลย
ประการที่สอง “วงจรเงินสดติดลบหลายวัน และอยู่นาน ๆ”
สิ่งที่จะทำให้สนใจอีกประการก็คือ “วงจรเงินสด” หรือ Cash Cycle ถ้ามันติดลบหลายๆ วัน แปลว่า ขายของได้เงิน แต่เครดิตกับ Supplier เอาไว้ ยิ่งติดลบมาก แสดงว่า เก็บเงินได้เร็ว แต่จ่ายเงินออกไปช้า
ตัวเลขนี้จะว่าไปก็คล้ายๆ กับกระแสเงินสด แต่จะเป็นตัวบอกที่ชัดเจนมากๆ ว่า กิจการนี้มีเงินเข้าออกอย่างไร บางกิจการขายของได้มากก็จริง แต่ลูกค้าขอเครดิตเทอมนานๆ บางรายขอ 60 – 90 วัน แบบนี้ก็ไม่ไหวจะเคลียร์เหมือนกัน เพราะระหว่างรอเก็บเงิน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ จิปาถะมากมาย ทั้งต้นทุนขาย ค่าแรงงานลูกน้อง อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง
แต่สำหรับกิจการที่บริหารจัดการได้ดีมานาน การที่วงจรเงินสดติดลบน้อย หรือเป็นบวกก็อาจไม่ใช่ปัญหา นักลงทุนควรทำการบ้านให้รอบด้านก่อนไปตัดสินว่ากิจการไหนดี ไหนแย่ แต่เบาะแสสำหรับหุ้นเติบโตสิบเท่าในสิบปี ก็ควรมีวงจรเงินสดที่ดี และควบคุมได้
ประการที่สาม “กำไรสะสมเติบโต”
กำไรสะสมแม้ไม่ใช่เงินสดๆ เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็บ่งบอกเราได้ว่า กิจการนี้ทำมาหาได้ และสามารถมีทุนรอนสะสมเก็บเอาไว้ และถ้าสินทรัพย์ของเขาเติบโต และสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์หมุนเวียนที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ก็จะดูน่าสนใจเหมือนกัน
บางคนอาจบอกว่า การที่กิจการเก็บเงินสดไว้กับตัวเองเยอะๆ เป็นเรื่องไม่ดี เพราะหมายถึงกิจการนั้นมีเงินเหลือไม่รู้จะเอาไปลงทุนอะไร และมันทำให้ด้อยค่า เพราะเงินสดเก็บไว้เฉยๆ มันแพ้เงินเฟ้อ แต่ถ้ากิจการใดมีกำไรสะสมเติบโตทุกที มันคุ้มกับการเข้าไปขุดหุ้นเหมือนกัน | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2346 | Finance | หุ้น Snapchat ในปี 2017 ถูกประเมินอยู่ที่กี่ล้านดอลลาร์ | ก. 44,000 ล้านดอลลาร์
ข. 24,000 ล้านดอลลาร์
ค. 64,000 ล้านดอลลาร์
ง. 54,000 ล้านดอลลาร์ | คำตอบที่ถูกต้องคือ ข. เนื่องจาก หุ้น Snapchat ในปี 2017 ถูกประเมินอยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์ โดยที่ส่วนทุนใกล้หมดและยิ่งไปกว่านั้น อำนาจในการควบคุมบริษัทยังอยู่แค่กับเจ้าของเท่านั้นเนื่องจากหุ้นอื่นๆไม่มีสิทธิ์ในการโหวตเลย
ทุกคนต่างหวังว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถจ่ายเงินไปเรื่อยๆเพื่อที่จะสร้าง Network Effects และสามารถที่จะกลายเป็นธุรกิจแบบ Winner take all เหมือนกับที่ Google, Facebook และ Amazon แต่ความเป็นจริงนั้นยังห่างไกลมากนัก
พฤติกรรมเหล่านี้บ่งบอกได้ว่าวิธีการประเมินมูลค่าพื้นฐานหุ้นยังคงถูกละเลยและถูกแทนที่ด้วยวิธีการประเมินการเติบโตมหาศาล ซึ่งก็ดูเหมือนจะใช้ได้ถ้าบริษัทไม่เจ๊งไปเสียก่อน | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_235 | Finance | Stagnation ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเติบโตน้อยจะน้อยกว่ากี่% ต่อปี | a. จะน้อยกว่า 8% ต่อปี
b. จะน้อยกว่า 5% ต่อปี
c. จะน้อยกว่า 3% ต่อปี
d. จะน้อยกว่า 2% ต่อปี | คำตอบที่ถูกต้องคือ d. จะน้อยกว่า 2% ต่อปี
เนื่องจาก
- Stagnation ที่หมายถึง ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือเติบโตน้อย (ซึ่งโดยทั่วไปจะน้อยกว่า 2% ต่อปี)
- Inflation ที่หมายถึง ภาวะเงินเฟ้อ [ซึ่งคำว่า Stagnation จะต่างจาก Recession ตรงที่ Stagnation คือสภาพเศรษฐกิจเติบโตน้อยไปจนถึงไม่เติบโต ส่วน Recession คือสภาพเศรษฐกิจถดถอย หรือติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส]
โดย Stagflation ต้องมี 3 องค์ประกอบนี้
1. ภาวะเงินเฟ้อ
2. เศรษฐกิจเติบโตน้อย
3.รายได้ของผู้ประกอบการ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2353 | Finance | เป้าหมายของการเก็บเงินล้านแรก ถ้าทยอยฝากธนาคารเดือนละ 2,000 บาท และขอดอกเบี้ยเฉลี่ยในระยะยาว 3% ต่อปี จะได้เงินล้านแรกในปีที่เท่าไร | ล้านแรก ฝันแรกของทุกคน ในการตั้งเป้าหมายทางการเงิน
ถ้าทยอยฝากธนาคารเดือนละ 2,000 บาท ขอดอกเบี้ยเฉลี่ยในระยะยาว 3% ต่อปี
จะได้เงินล้านแรกในปีที่ 27
ถ้าทยอยลงทุนเดือนละ 2,000 บาท
ขอผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาว 10% ต่อปี
จะได้เงินล้านแรกในปีที่ 16 ตารางแสดง จำนวนปีที่นักลงทุนจะมีเงินก้อน 1 ล้านบาทแรก หากลงทุนตามเงื่อนไขในแต่ละแบบ
ข้อที่ 1 ที่คิดได้ พอเห็นตัวเลขจำนวนปีที่เราจะมีล้านแรก ถ้าเราเอาแต่ฝากธนาคาร จะมีเงินล้านในบัญชีตอนอายุ 51 ปี ดังนั้น ถ้าเงินออมอยู่ผิดที่ผิดทาง จะรวยยากมากๆ ยังไงก็ต้องใส่เงินกลับเข้าไปในการลงทุนอะไรซักอย่าง
ข้อที่ 2 คือ จะเอาแต่ทยอยลงทุนเดือนละ 2,000 บาท ตลอดไปไม่ได้ เพราะ ถึงจะเอาไปลงทุนได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่ก็ต้องใช้เวลาอีก 16 ปี เงินเก็บถึงจะแตะ 1 ล้าน ต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น และเอาเงินลงทุนมาทยอยลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย
นี่คือ โจทย์ใหญ่ ของเป้าหมายเล็กๆ ที่ชื่อว่า “ล้านแรก” ของตนเอง แล้วทุกคนวางเป้าหมายเก็บเงินให้ได้ล้านแรกกันไว้ยังไง ตรวจสอบความเป็นไปได้แล้วหรือยัง ถ้าทำแล้ว ก็เริ่มลงทุนกันเถอะ ฝันว่ากำลังจะมีเงินล้าน มันยังไม่ใช่จุดเริ่มต้น จะพูดได้ว่า เริ่มต้นแล้ว มันต้องเกิดสิ่งนี้ก่อน นั่นคือ “การลงมือทำ”
คำเตือน
- ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
| เป้าหมายเก็บเงินล้านแรก
ถ้าทยอยฝากธนาคารเดือนละ 2,000 บาท และขอดอกเบี้ยเฉลี่ยในระยะยาว 3% ต่อปี จะได้เงินล้านแรกในปีที่ 27
แต่ถ้าทยอยลงทุนเดือนละ 2,000 บาท และขอผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาว 10% ต่อปี จะได้เงินล้านแรกในปีที่ 16
ข้อที่ 1 พอเห็นตัวเลขจำนวนปีที่จะมีล้านแรก ถ้าเอาแต่ฝากธนาคาร จะมีเงินล้านในบัญชีตอนอายุ 51 ปี แล้วก็ขนลุกขึ้นมาทันที ดังนั้น ถ้าเงินออมอยู่ผิดที่ผิดทาง จะรวยยากมากๆ ยังไงก็ต้องใส่เงินกลับเข้าไปในการลงทุนอะไรซักอย่าง
ข้อที่ 2 คือ จะเอาแต่ทยอยลงทุนเดือนละ 2,000 บาท ตลอดไปไม่ได้ เพราะถึงจะเอาไปลงทุนได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่ก็ต้องใช้เวลาอีก 16 ปี เงินเก็บถึงจะแตะ 1 ล้าน ต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น และเอาเงินลงทุนมาทยอยลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย
นี่คือ โจทย์ใหญ่ ของเป้าหมายเล็กๆ ที่ชื่อว่า “ล้านแรก” ของตนเอง แล้วทุกคนวางเป้าหมายเก็บเงินให้ได้ล้านแรกกันไว้ยังไง ตรวจสอบความเป็นไปได้แล้วหรือยัง ถ้าทำแล้ว ก็เริ่มลงทุนกันเถอะ ฝันว่ากำลังจะมีเงินล้าน มันยังไม่ใช่จุดเริ่มต้น จะพูดได้ว่า เริ่มต้นแล้ว มันต้องเกิดสิ่งนี้ก่อน นั่นคือ “การลงมือทำ”
คำเตือน
- ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2355 | Finance | กำไรไตรมาส 4 ปี 2561 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลดลงอย่างมากถึงประมาณเท่าไร | a. 10%
b. 12%
c. 5%
d. 40% | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ d. เพราะว่า กำไรไตรมาส 4 ปี 2561 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลดลงอย่างมากถึงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2560 และไตรมาส 3 ปี 2561
โดยตัวเลขก็คือกำไรลดเหลือประมาณ 157,400 ล้านบาทเทียบกับกำไร 253,235 ในปี 2560 หรือลดลงถึง 95,835 ล้านบาท และนี่ก็ทำให้ผลประกอบการโดยรวมของปี 2561 ปรับตัวลงมาเหลือใกล้เคียงกับกำไรของปี 2560 ที่ประมาณเกือบ 1 ล้านล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่ต้นปี 2561 นักวิเคราะห์ต่างก็คาดการณ์ว่ากำไรน่าจะโตขึ้นมากใกล้ ๆ 10% และตัวเลขถึงไตรมาส 3 ปี 2561 ก็ชี้ว่ากำไรโตถึง 12% เมื่อเทียบกับช่วง 3 ไตรมาสของปี 2560
การลดลงของกำไรในไตรมาส 4 ปี 2561 อย่าง “ไม่คาดคิด” ได้ทำให้นักวิเคราะห์ “หน้าแตก” อีกเช่นเคยในแง่ของการคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมในแต่ละปี และก็ช่วยยืนยันความเห็นและ “ตัวเลขจากประวัติศาสตร์” ที่ว่ากำไรโดยรวมของบริษัทจดทะเบียน “โดยปกติ” นั้นมักจะโตอย่างช้า ๆ โดยที่อัตราการโตจะประมาณเท่ากับอัตราการเติบโตของ GDP บวกด้วยอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว
ซึ่งในกรณีของไทยและอาจจะต่อ ๆ ไปก็คือ อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะประมาณ 5% ต่อปีเท่านั้น | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2361 | Finance | สถานะของร้าน After you เดือนธันวาคม 2561 เป็นอย่างไร | ถ้าคิดถึง “ร้านขนมหวาน” เชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องอยู่ในใจของใครหลายคน ร้านที่ว่าก็คือ After You ร้านขนมหวานที่คนส่วนใหญ่ก็รู้จัก แต่คนส่วนน้อยที่ยังไม่เคยใช้บริการก็มี หรืออาจจะอยากกินแต่รู้สึกว่ามันแพง ??
สมมติเล่น ๆ ว่า เจ้าของกิจการ After You เข้ามาชวนคุณเป็นร่วมเจ้าของร้านขนมที่แสนจะโด่งดังเจ้านี้ คุณก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีว่า … เราควรจะร่วมเป็นเจ้าของกิจการกับเขาดีหรือเปล่า?
ใช่แล้วครับ การร่วมเป็นเจ้าของกิจการก็คือ เราเข้าไปถือหุ้นของกิจการนั้น ๆ นั่นเอง และเราสามารถซื้อหุ้น AU ได้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกิจการของเขา … แต่ก่อนที่เราจะซื้อหุ้น เรามาดูกันหน่อยดีกว่าว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้มกันแน่ ให้ #นายแว่นลงทุน เล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
“สถานะปัจจุบันของเขาเป็นอย่างไร”
ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 32 สาขา (ตัวเลขเดือนธันวาคม 2561) มีขนาดกิจการ 7,000 ล้านบาท ถ้าเราซื้อหุ้น After You ตอนนี้เท่ากับเราใช้เงินซื้อสาขาของเขาที่ 7,000 / 32 = สาขาละ 218 ล้านบาท (โดยประมาณ)
ยอดขายในปัจจุบันทำได้ 880 ล้านบาทต่อปี เท่ากับทำได้สาขาละ 27.5 ล้านบาทต่อปี ส่วนกำไรในปัจจุบันทำได้ 147.43 ล้านบาท เท่ากับกำไรต่อสาขาที่ 4.6 ล้านบาทโดยการเติบโตของรายได้ ทำได้ 20% ต่อปี ถ้าโตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ รายได้จะโตเป็นสองเท่าภายใน 3.5 ปี (ตามกฎ 72)
หาหุ้นทำเงินสไตล์วีไอ ... “อยากเป็นเจ้าของ After You ตอนนี้คุ้มหรือไม่ ?”
ส่วนของรายได้ในปัจจุบัน
รายละเอียดในส่วนของรายได้ในปัจจุบัน ปี 2561 ทำได้กว่า 880 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 735 ล้านบาท หรือโตขึ้นกว่า 19.77%
ถ้าเรามองลึกเข้าไปจะพบว่า … ส่วนที่โตขึ้นมากนั้นเป็นส่วนของรายได้จากการจัดงานนอกสถานที่ รับจ้างผลิต และการขายผ่านสำนักงานใหญ่ ที่โตขึ้นกว่า 67.06%
รายได้จากส่วนนี้โตขึ้นมากเนื่องจากบริษัทได้ขยายงานในส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 ที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ชื่อการค้า “ขนมปังเนยโสด” และ “ขนมปังนมโสด” (ชื่อเก๋ไก๋ดีจัง) ซึ่งจำหน่ายผ่านทางสำนักงานใหญ่ตั้งแต่เริ่ม และต่อมาก็ได้มีการกระจายวางขายที่สาขาร้านต่าง ๆ เรียกว่ามีสินค้า “เรือธง” ตัวใหม่นั่นเอง
หาหุ้นทำเงินสไตล์วีไอ ... “อยากเป็นเจ้าของ After You ตอนนี้คุ้มหรือไม่ ?”
ส่วนของต้นทุนขาย และกำไรขั้นต้น
ในส่วนของกำไรขั้นต้นของกิจการในปี 2561 ทำได้ 582.12 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 66.83% ซึ่งต้องบอกว่าสูงขึ้นเล็กน้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยสาเหตุที่กำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาจากการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุดิบที่บริหารจัดการได้เป็นอย่างดี
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขาย จะประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายพนักงานประจำสาขา ค่าเช่าสถานที่ ค่าเช่าอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยค่าใช้จ่ายในการขายของปี 2561 อยู่ที่ 271.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 19.12% เพราะจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น ก็ต้องจ้างพนักงานเพิ่มเติม แต่ก็แลกมาด้วยยอดขายที่สูงขึ้นนั่นเองครับ
ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ… ถ้าเราอยากลงทุนทำร้านขนมหวานแบบนี้ เราก็ต้องมานั่งคิดเล่น ๆ ว่า หากเราไปทำด้วยตัวเองจะติดตลาดได้อย่างที่เขาทำหรือไม่ ? แต่ถ้ามองดูตัวเลขแล้วยังรู้สึกว่ามันแพงเกินไป ก็ข้ามไปก่อนก็ได้ครับ หุ้นในตลาดยังมีอีกหลายร้อยตัวให้เราเลือกลงทุน จริงมั้ยล่ะครับ? | มีขนาดกิจการ 7,000 ล้านบาท ถ้าเราซื้อหุ้น After You ตอนนี้เท่ากับเราใช้เงินซื้อสาขาของเขาที่ 7,000 / 32 = สาขาละ 218 ล้านบาท (โดยประมาณ)
ยอดขายในปัจจุบันทำได้ 880 ล้านบาทต่อปี เท่ากับทำได้สาขาละ 27.5 ล้านบาทต่อปี ส่วนกำไรในปัจจุบันทำได้ 147.43 ล้านบาท เท่ากับกำไรต่อสาขาที่ 4.6 ล้านบาทโดยการเติบโตของรายได้ ทำได้ 20% ต่อปี ถ้าโตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ รายได้จะโตเป็นสองเท่าภายใน 3.5 ปี (ตามกฎ 72)
ส่วนของรายได้ในปัจจุบัน
รายละเอียดในส่วนของรายได้ในปัจจุบัน ปี 2561 ทำได้กว่า 880 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 735 ล้านบาท หรือโตขึ้นกว่า 19.77%
ถ้าเรามองลึกเข้าไปจะพบว่า … ส่วนที่โตขึ้นมากนั้นเป็นส่วนของรายได้จากการจัดงานนอกสถานที่ รับจ้างผลิต และการขายผ่านสำนักงานใหญ่ ที่โตขึ้นกว่า 67.06%
รายได้จากส่วนนี้โตขึ้นมากเนื่องจากบริษัทได้ขยายงานในส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 ที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ชื่อการค้า “ขนมปังเนยโสด” และ “ขนมปังนมโสด” (ชื่อเก๋ไก๋ดีจัง) ซึ่งจำหน่ายผ่านทางสำนักงานใหญ่ตั้งแต่เริ่ม และต่อมาก็ได้มีการกระจายวางขายที่สาขาร้านต่าง ๆ เรียกว่ามีสินค้า “เรือธง” ตัวใหม่นั่นเอง
ส่วนของต้นทุนขาย และกำไรขั้นต้น
ในส่วนของกำไรขั้นต้นของกิจการในปี 2561 ทำได้ 582.12 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 66.83% ซึ่งต้องบอกว่าสูงขึ้นเล็กน้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยสาเหตุที่กำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาจากการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุดิบที่บริหารจัดการได้เป็นอย่างดี
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขาย จะประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายพนักงานประจำสาขา ค่าเช่าสถานที่ ค่าเช่าอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยค่าใช้จ่ายในการขายของปี 2561 อยู่ที่ 271.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 19.12% เพราะจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น ก็ต้องจ้างพนักงานเพิ่มเติม แต่ก็แลกมาด้วยยอดขายที่สูงขึ้นนั่นเอง | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2363 | Finance | การลงทุนหลังอัตราดอกเบี้ยขึ้น หมายถึงอะไร | 1. การถือสินทรัพย์จนกระทั่งอัตราดอกเบี้ยขึ้นในครั้งถัดไป
2. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง
3. ซื้อสินทรัพย์หลังจากแบงก์ชาติประกาศขึ้นดอกเบี้ย
4. การซื้อสินทรัพย์เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 3. เนื่องจาก การลงทุนหลังอัตราดอกเบี้ยขึ้น หมายถึง การซื้อสินทรัพย์หลังจากแบงก์ชาติประกาศขึ้นดอกเบี้ย ทำการลงทุนตราบเท่าที่อัตราดอกเบี้ยยังขึ้นหรืออย่างน้อยก็คงที่ และทำการขายสินทรัพย์เมื่อแบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก
ส่วนการลงทุนหลังจากอัตราดอกเบี้ยลดลง หมายถึง การซื้อสินทรัพย์เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง แล้วถือสินทรัพย์ดังกล่าวจนกระทั่งอัตราดอกเบี้ยขึ้นในครั้งถัดไป
จากการศึกษาข้อมูลสหรัฐ ระหว่างปี 1913 ถึงปี 2015 ตลาดสหรัฐอยู่ภายใต้โหมดอัตราดอกเบี้ยขึ้นร้อยละ 44 ของช่วงเวลาทั้งหมด ส่วนอยู่ภายใต้โหมดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 56 ของช่วงเวลาทั้งหมด ส่วนข้อมูลอังกฤษ ระหว่างปี 1930 ถึงปี 2015 อยู่ภายใต้โหมดอัตราดอกเบี้ยขึ้นร้อยละ 30 ของช่วงเวลาทั้งหมด ส่วนอยู่ภายใต้โหมดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 70 | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2373 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงแผนการลงทุน FINNOMENA PORT GOAL ได้อย่างถูกต้อง | 1. เป็นแผนการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดกลับมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
2. คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นปีละ 2.5%
3. เป็นแผนการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็บเงินก้อนตามวัตถุประสงค์ต่างๆ
4. ทุกๆ ช่วงอายุในตาราง จะมีเงินในพอร์ตประมาณ 20,000 บาท | คำตอบ คือ 3. เพราะว่า แผนการลงทุน FINNOMENA PORT GOAL เป็นแผนการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็บเงินก้อนตามวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพื่อเรียนต่อปริญญาโท ซื้อบ้าน/ซื้อรถ เพื่อการศึกษาลูก หรือ เพื่อการเกษียณ ทุกๆ ช่วงอายุในตาราง จะใช้เงินลงทุนก้อนแรกจำนวน 20,000 บาท ตามจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกของ FINNOMENA PORT GOAL โดยลงทุนที่ระดับความเสี่ยง 7 คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นปีละ 10% ทุกๆ ช่วงอายุในตาราง จะมีเงินในพอร์ตประมาณ 10 ล้านบาท ณ วันเกษียณที่อายุ 60 ปี
เมื่อเกษียณอายุแล้ว จะนำเงินก้อนจากแผนการลงทุน FINNOMENA PORT GOAL มาลงทุนต่อในแผนการลงทุน FINNOMENA PORT GIF ซึ่งเป็นแผนการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดกลับมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 5% ต่อปี ได้คำนวณโดยหักเงินเฟ้อ 2.5% ต่อปีแล้ว | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2384 | Finance | การวางแผนการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท ควรใช้การจัดพอร์ตลงทุนระยะยาวเข้ามาช่วย เพื่ออะไร | วางแผนการศึกษาลูกตั้งแต่เกิดจนจบ “ป.โท” ต้องใช้เงินเท่าไหร่ รู้ยัง (อัปเดตค่าเทอม 2562)
บทความนี้สำหรับคุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่ต้องการวางแผนการเงินการลงทุนเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าเล่าเรียนตั้งแต่เด็กจนโตของลูกน้อยที่เป็นดวงใจของคุณ หรือท่านที่ฝันอยากสร้างครอบครัวอยากมีลูกในอนาคต และอยากเตรียมตัวสำหรับวันนั้น ผมอยากจะขอแชร์ในฐานะหัวอกคนเป็นพ่อคนนึงเหมือนกันครับ สืบเนื่องจากกระทู้พันทิพย์ “เลี้ยงลูกตั้งแต่เกิดจนจบ ป.ตรี ต้องใช้เงินเท่าไหร่ รู้ยัง?” บวกกับตัวผมเองมีลูก 3 คน เลยขอลองมาคำนวณกันหน่อยว่าต้องเตรียมเงินประมาณเท่าไหร่กันแน่สำหรับค่าเทอมลูกหนึ่งคน โดยผมจะขอแบ่งเป็น 3 ทางเลือก คือ แบบประหยัด แบบปานกลาง และแบบแพงสุด ๆ ครับ เลี้ยงลูกตั้งแต่เกิดจนจบ ป.ตรี ต้องใช้เงินเท่าไหร่ รู้ยัง?” ต้องใช้เงินเท่าไหร่ แบบประหยัด หมายถึง เรียนโรงเรียนรัฐ มหาลัยรัฐ และใช้จ่ายอย่างพอเพียง
แบบปานกลาง หมายถึง ส่งเรียนโรงเรียนแคทอลิค ต่อด้วยมหาลัยเอกชน และใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อีกในระดับปานกลางค่อนข้างดี
แบบจัดเต็ม หมายถึง ส่งเรียนโรงเรียนนานาชาติ ไปต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศ และเลี้ยงดูปูเสื่อแบบจัดเต็ม ออกจะเวอร์นิด ๆ รูปที่ 1. นิยามการเลี้ยงลูกแต่ละประเภท ค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ค่าใช้จ่ายในแต่ละปี รูปที่ 2. ประมาณการค่าเรียนลูกในแต่ละประเภท สำหรับตารางในรูปที่ 2 เป็นประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงลูกในแต่ละประเภท จากการเก็บข้อมูลล่าสุดของทีมงาน FINNOMENA รูปที่ 3 . ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ 3% | ที่มา FINNOMENA ตารางในรูปที่ 3 คือประมาณการค่าเทอมลูกปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเห็นแล้วหนาวเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น อีก 24 ปีข้างหน้าเวลาส่งลูกเรียนปริญญาที่ต่างประเทศจากค่าเทอมปัจจุบันปีละประมาณ 1.6 ล้านบาท แต่ถ้าอีก 24 ปีข้างหน้าค่าใช้จ่ายนี้จะเพิ่มสูงขึ้นถึงราว 3.2 ล้านบาทเลยทีเดียว ค่าเทอมที่ต้องใช้ทั้งหมดเป็นเท่าไร ค่าเทอมที่ต้องใช้ทั้งหมดเป็นเท่าไร รูปที่ 4. เงินที่ต้องใช้นับแต่เกิดจนจบปริญญาโท (ปรับด้วยเงินเฟ้อปีละ 3%) นำตารางในรูปที่ 3 มาหาผลรวมก็จะได้ค่าเทอมทั้งหมดที่ต้องใช้นับแต่เกิดจนจบปริญญาโท (ปรับด้วยเงินเฟ้อปีละ 3%) กลม ๆ ค่าเทอมแบบประหยัดใช้ 7 แสนบาท แบบปานกลาง 4.9 ล้านบาทส่วนแบบแพงสุด ๆ ก็หลุดโลกไปเลย 27 ล้านบาท นอกจากนี้ผมยังทำเป็นค่าเทอมที่ต้องเตรียมต่อปี และต่อเดือนให้ด้วย เห็นรูปนี้แล้วน่าจะช่วยประกอบการตัดสินใจวางแผนการศึกษาลูกได้แล้วล่ะครับ เตรียมเงินก้อนเท่าไหร่ดีสำหรับลูกแต่ละคน? เตรียมเงินก้อนเท่าไหร่ดีสำหรับลูกแต่ละคน? ภาระการเงินที่หนักที่สุดอยู่ที่ระดับปริญญา เช่นระดับปริญญาตรี ถ้าเลือกเรียนในประเทศและสอบมหาวิทยาลัยรัฐไม่ติด ก็ต้องไปเรียนเอกชน ซึ่งค่าเทอมบางที่สูงถึงระดับหลายแสน นอกนั้นยังมีหลักสูตรพวก English Program เช่น BE, BBA ที่ค่าเรียนอยู่ในระดับสูงเช่นกัน
พอถึงระดับปริญญาโท มีพ่อแม่ไม่น้อยที่อยากส่งลูกเรียนปริญญาโทต่างประเทศซึ่งค่าใช้จ่ายสูงเป็นหลักล้านบาทต่อปี ที่สำคัญกว่านั้นคือผลของเงินเฟ้อที่จะทำให้ค่าเรียนปริญญาโทของลูกคุณสูงขึ้นอีกได้เป็นเท่าตัวใน 10-20 ปีข้างหน้า ดังนั้นการวางแผนการศึกษาระดับปริญญาตรีและโทจึงควรใช้การจัดพอร์ตลงทุนระยะยาวเข้ามาช่วยเพื่อให้ผู้ปกครองสามารถมีเงินก้อนใหญ่ไว้รองรับในเรื่องนี้ อ่านรายละเอียดเรื่องการตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยให้ลูกได้ที่ เมื่อเรียนจบสิ่งที่ทุกคนต้องเจอคือการหางานหาการทำ ไม่ว่าจะเรียนเก่งแค่ไหนบางครั้งโชคก็อาจไม่เข้าข้างในช่วงเริ่มต้น การมีเงินก้นถุงตั้งตัวซักก้อนเมื่อเรียนจบจะช่วยให้ลูกเริ่มต้นชีวิตได้ง่ายขึ้นซึ่งหลัก ๆ คือเงินค่าดาวน์บ้าน และเงินแต่งงาน ซึ่ง Kid’s Wealth Path จะให้ท่านผู้ปกครองสามารถใส่ “เงินก้นถุง” ตัวนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่การเงินของลูกด้วย ซึ่งเราแนะนำที่ 1 – 3 ล้านบาท (แต่จะใส่มากน้อยกว่านั้นก็ได้ตามแต่กำลัง และมุมมองผู้ปกครองแต่ละคน) รูปที่ 5. เป้าหมายเงินก้อนสำหรับลูก รูปที่ 6. เงินก้อนที่ต้องมีวันนี้ บนอัตราผลตอบแทนต่อปีที่แตกต่างกัน ตารางในรูปที่ 6 อันนี้สำคัญ หมายถึงถ้าเราอยากเตรียม “เงินก้อน” เพื่อการศึกษาระดับปริญญา และเตรียมเงินก้นถุงให้ลูกวันนี้ เราต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของตัวผมเอง ที่เลือกเมนูการเลี้ยงลูกแบบปานกลาง ผมต้องเตรียมเงิน 1,321,489 บาทวันนี้ในกรณีที่ผมมั่นใจว่าสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยได้ 8% ต่อปี เพื่อที่จะได้เงินเพียงพอสำหรับจ่ายค่าเรียนระดับปริญญาของลูกตามรูปที่ 5. ซึ่งก็คือ 5,703,151 บาทต่อลูก 1 คน แต่ถ้าเราฝากเงินกับแบงค์ไว้เฉย ๆ ผมคิดที่ผลตอบแทน 1% ต่อปี เราต้องเตรียมเงินมากถึง 4,720,726 บาท ต่างกันมากกว่า 3 เท่าตัวเลยทีเดียวครับ วางแผนการเงินลูกโดยใช้ Wealth Path วางแผนการเงินลูกโดยใช้ Wealth Path ในโปรแกรมการคำนวณ GOAL Based Asset Allocation ของ FINNOMENA ท่านนักลงทุนสามารถตั้งเป้าหมายเก็บเงินก้อนเพื่อลูก โดยการนำเป้าหมายเงินก้อนที่ได้จากข้อก่อนหน้ามาใส่ในระบบ (ทดลองใช้ได้ ที่นี่) ที่นี่ รูปที่ 7. การ input ข้อมูลสำหรับสร้างแผน GOAL Based Asset Allocation รูปที่ 8. ผลลัพธ์การคำนวณ Wealth Path กรณีเตรียมเงินก้อนเพื่อการศึกษาระดับปริญญาของลูก จากกรณีศึกษาของเราผมใส่เป้าหมาย คือมูลค่าเงินที่ต้องเตรียมในอนาคต นั่นคือ 5,703,151 บาท ผมต้องเตรียมเงินลงทุนวันนี้ 100,000 บาท และทำการ DCA อีกเดือนละ 8,300 บาท เท่านี้ สรุป สรุป บทความฉบับนี้ทำเพื่อหัวอกคนเป็นพ่อคนแบบผม ที่ต้องวางแผนเพื่อการศึกษาลูกตั้งแต่เกิดจนจบปริญญาโท โดยให้คำตอบกับเราว่า ถ้าจะเตรียมเงินก้อนต้องเตรียมเท่าไหร่ ถ้าจะเตรียมเงินก้อนต้องเตรียมเท่าไหร่ ถ้าไม่มีเงินก้อนต้องแบ่งเงินลงทุนเดือนละเท่าไหร่ ถ้าไม่มีเงินก้อนต้องแบ่งเงินลงทุนเดือนละเท่าไหร่ แผนการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับลูกที่เรามีกำลังพอจ่ายได้ แผนการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับลูกที่เรามีกำลังพอจ่ายได้ นอกจากนั้นยังมีการใช้ Wealth Path เข้ามาช่วยเพื่อสร้างความอบอุ่นใจ เพราะเงินลงทุนของเรานั้นอาจผันผวนได้ตามกาลเวลา แต่ Wealth Path จะเป็นตัวที่ช่วยยืนยันได้ว่า “ทุกอย่างยังโอเค” เป็นไปตามแผนของเรารึเปล่า ผมเชื่อว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนลองได้มาใช้แนวทางนี้จะช่วยสร้างโอกาสให้ “ลูก” ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของคุณสามารถเติบโตได้อย่างมีคุณภาพอย่างที่พ่อแม่ตั้งใจไว้ครับ FundTalk รายงาน สำหรับท่านที่สนใจรับบริการการวางแผนการศึกษาลูกแบบครบจบในที่เดียวด้วย Kid’s Wealth Path คลิ๊ก ที่นี่ ที่นี่ คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลตอบแทนคาดหวังจากแผนการลงทุนนี้ เป็นเพียงค่าประมาณการ ไม่ใช่การการันตีผลตอบแทน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลตอบแทนคาดหวังจากแผนการลงทุนนี้ เป็นเพียงค่าประมาณการ ไม่ใช่การการันตีผลตอบแทน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | การวางแผนการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท ควรใช้การจัดพอร์ตลงทุนระยะยาวเข้ามาช่วย เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถมีเงินก้อนใหญ่ไว้รองรับในเรื่องนี้ เมื่อเรียนจบ สิ่งที่ทุกคนต้องเจอคือ การหางานหาการทำ ไม่ว่าจะเรียนเก่งแค่ไหน บางครั้งโชคก็อาจไม่เข้าข้างในช่วงเริ่มต้น การมีเงินก้นถุงตั้งตัวซักก้อนเมื่อเรียนจบจะช่วยให้ลูกเริ่มต้นชีวิตได้ง่ายขึ้นซึ่งหลัก ๆ คือ เงินค่าดาวน์บ้าน และเงินแต่งงาน
ถ้าอยากเตรียม “เงินก้อน” เพื่อการศึกษาระดับปริญญา และเตรียมเงินก้นถุงให้ลูกวันนี้ ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่เลือกเมนูการเลี้ยงลูกแบบปานกลาง ต้องเตรียมเงิน 1,321,489 บาทวันนี้ในกรณีที่มั่นใจว่าสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยได้ 8% ต่อปี เพื่อที่จะได้เงินเพียงพอสำหรับจ่ายค่าเรียนระดับปริญญาของลูก ซึ่งก็คือ 5,703,151 บาทต่อลูก 1 คนแต่ถ้าฝากเงินกับแบงค์ไว้เฉย ๆ คิดที่ผลตอบแทน 1% ต่อปี ต้องเตรียมเงินมากถึง 4,720,726 บาท ต่างกันมากกว่า 3 เท่าตัวเลยทีเดียว | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2402 | Finance | เป้าหมายทางการเงินระยะยาวต้องมากกว่ากี่ปี | ก. มากกว่า 7 ปี
ข. มากกว่า 3 ปี
ค. มากกว่า 10 ปี
ง. มากกว่า 6ปี | คำตอบที่ถูกต้องคือ ก. เพราะว่า กองทุนรวมที่เหมาะสม คือ กองทุนรวมประเภทที่ปันผล และกองทุนรวมประเภทขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto Redemption)
การเก็บเงินก้อน
1. เป้าหมายระยะสั้น (น้อยกว่า 3 ปี)
ด้วยระยะเวลาที่สั้น เงินต้นจะค่อนข้างสำคัญ ดังนั้นเป้าหมายประเภทนี้จะเหมาะกับกองทุนตราสารหนี้ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนดีขึ้นมากกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น
2. เป้าหมายระยะกลาง (3-7ปี)
มีระยะเวลาที่ยาวขึ้น สามารถนำเงินบางส่วนไปลงสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้นมาได้ แต่เงินต้นก็ยังสำคัญ เหมาะกับกองทุนรวมผสมประเภทที่มีตราสารหนี้ผสมอยู่มากกว่า
3. เป้าหมายระยะยาว (มากกว่า 7 ปี)
สามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้มากขึ้น เนื่องจากมีระยะเวลานาน ครอบคลุมวัฏจักรเศรษฐกิจ เหมาะกับกองทุนรวมตราสารทุน | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2422 | Finance | Serious Money คืออะไร | ปีใหม่ ชีวิตใหม่ เริ่มต้นจัดระบบแผนการเงินกันดีกว่า!
ในปีใหม่นี้นับเป็นช่วงเวลาดีที่จะได้ทบทวนเรื่องการเงินของตัวเองว่าที่ผ่านมา มีอะไรที่ต้องทำเพิ่มเติม อะไรที่ทำได้ดีแล้ว และต่อไปนี้เป็นหัวข้อง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปตรวจสอบดูได้ว่า แผนการเงินของตัวเองนั้นมีอะไรที่ควรทำบ้าง อย่ามองข้ามตัวสำรอง ตามหลักการแล้ว เงินสำรองฉุกเฉินควรมีอยู่ประมาณ 3-6 เท่าของรายจ่ายในแต่ละเดือน เก็บไว้ในรูปของทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร หรือกองทุนรวมตลาดเงิน แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ อาจจะมากหรือน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะของรายได้แต่ละคน คนที่มีเงินได้เป็นกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง หรือมีเงินได้จากหลายแหล่ง เช่นพ่อค้าแม่ค้า อาจจะเก็บไว้ที่ 3 เท่าก็เพียงพอ ในขณะที่คนที่มีลักษณะงานที่เป็นแบบ Project Base หรืองานที่ไม่ได้มีกระแสเงินสดเข้ามาบ่อยๆ แต่มาทีนึงเป็นจำนวนเยอะๆ ก็อาจจะสำรองเงินไว้มากกว่านี้ อาจจะเป็น 9-12 เดือนก็เป็นได้ ร่มฉุกเฉิน พร้อมใช้งานแค่ไหน??? ประกันภัยต่างๆที่เปรียบเหมือนกับร่มที่ต้องพร้อมกางในกรณีฉุกเฉิน หากวางแผนผิดพลาด ก็อาจกลายเป็นว่า เมื่อเกิดเหตุแล้ว ร่มไม่ยอมกาง หรือเกิดเหตุแล้ว ขนาดร่มเล็กเกินไปไม่พอต่อการรับมือกับภัยที่เกิดขึ้น วิธีง่ายๆคือลองสำรวจดูก่อนว่าสวัสดิการที่มีอยู่ตอนนี้ พร้อมรับมือกับเหตุร้ายแรงได้แค่ไหน ทรัพย์สินที่สำคัญๆ เช่น บ้านอยู่อาศัย ได้ทำประกันไว้มีทุนประกันครอบคุมความเสี่ยงภัยหรือไม่ ช่วงสิ้นปีอาจจะลองติดต่อกับตัวแทนหรือนายหน้าประกันให้มาช่วยทบทวนความคุ้มครองต่างๆที่มีอยู่ทั้งหมดในช่วงนี้ก็จะดีมาก ภาษี วางแผนได้ก็เห็นเงินทันที การจัดการกับภาษี โดยเฉพาะในวาระสิ้นปี มักมีเรื่องต่างๆเข้ามาเช่น งานปิดบัญชี งานเลี้ยงปีใหม่ วางแผนไปเที่ยว ฯลฯ ทำให้เราลืมตรวจเช็คตัวเอง โดยเฉพาะโบนัสที่เข้ามาพร้อมๆกับภาษี กว่าจะรู้ก็ปาเข้าไปวันที่ 31 ธันวา ซึ่งจะทำอะไรก็ไม่ทันแล้ว ดังนั้นก่อนจะสายเกิน เราควรทบทวนดูว่าในปีนี้ มีรายได้จากแหล่งใดบ้าง รวมกันแล้วตกอยู่ที่ฐานภาษีขั้นใด ตัวลดหย่อนภาษีที่เป็นเงินออมเช่น LTF RMF ประกันชีวิตและบำนาญ เราได้ซื้อครบตามจำนวนที่ตั้งใจไว้หรือไม่ Serious Money เงินเก็บเพื่อเก็บ หรือที่บางคนเรียกกันว่า Serious Money ปกติแล้วเงินส่วนนี้จะเป็นเงินที่ใช้เพื่อเรื่องสำคัญแบบสุดๆในชีวิต ไม่มีไม่ได้ นั่นคือเงินเก็บเพื่อชีวิตในยามเกษียณ หากถามว่าเงินก้อนนี้ควรมี “อย่างน้อย” เท่าไหร่ ตารางนี้คือ Inflation Factor โดยที่มาของตัวเลขนี้มาจาก สูตร (1+i)n นั่นเอง โดย i=อัตราเงินเฟ้อ และ n=จำนวนปีที่จะถึงวันเกษียณ หากคิดแบบง่ายๆก็คือ ทุกวันนี้มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่อปีเท่าไหร่ เช่นอีก 25 ปีจะเกษียณ ใช้เงินต่อเดือนเดือนละ 15,000 บาท หนึ่งปีก็ 180,000 บาทจากนั้นเอามาคูณด้วยตาราง Inflation Factor ก็จะได้ว่า ณ วันเกษียณจากเงินปีละ 180,000 บาท กลายเป็นว่าต้องใช้เงิน 180,000 x 2.09 ก็จะได้ประมาณ 360,000 จากนั้นก็เอาไปคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะต้องใช้หลังเกษียณ เช่น 20 ปี เงินก้อนขั้นต่ำที่ต้องมีคือ 7.2 ล้านบาท มี 2 ปัจจัยที่จะทำให้เราถึงเป้าหมายนี้ได้ เรื่องแรกคือผลตอบแทนของเงินก้อนนี้ซึ่งเดี๋ยวเราจะพูดกันต่อไป กับอีกส่วนที่สำคัญกว่าก็คือ “เงินต้น” ซึ่งนั่นเป็นโจทย์ว่าเราจะเก็บอย่างไรให้มีเงินต้นมาลงทุนในเงินก้อนนี้อย่างต่อเนื่อง บางคนใช้วิธีการเก็บเงินแบบอัตโนมัติมาช่วย เช่น ประกันสะสมทรัพย์ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือการใช้โปรแกรมตัดเงินเข้ากองทุนอัตโนมัติทุกเดือนหรือทุกๆ สัปดาห์ ทบทวนพอร์ตการลงทุน ลองสำรวจดูว่าในปีที่ผ่านมา เงินที่เราลงทุนไปนั้นเติบโตงอกงามมากน้อยแค่ไหน กับดักที่เราจะติดบ่อยๆคือ เรามักโฟกัสไปกับการกำไรหรือขาดทุนจากหลักทรัพย์ที่ลงทุนแค่กลุ่มหนึ่ง แต่ในแง่มุมของการวางแผนการเงินหากลองมานั่งทบทวนดู จะรู้ว่าทรัพย์สินที่เราถือครองมีหลากหลายมากกว่านั้น (ลองดูทั้งหมดทั้งเงินฝากธนาคาร ประกันชีวิต หุ้น ทอง กองทุน อสังหาฯ พันธบัตร กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินลงทุนในธุรกิจอื่นๆ) แนะนำว่าผลตอบแทนขั้นพื้นฐานที่สุดควรจะมีผลงานที่ไม่น้อยไปกว่าเงินเฟ้อ ที่ประมาณ 3% ต่อปี (ความจริงบ้านเราอัตราเงินเฟ้อย้อนหลัง 15 ปีเพียงแค่ประมาณ 2% เท่านั้นเอง)
หาเวลานั่งคุยกับที่ปรึกษาการเงิน การได้คุยกับที่ปรึกษาการเงินที่ดี เค้าจะช่วยแนะนำไม่เพียงแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่จะเป็นคำแนะนำแบบองค์รวม ซึ่งรวมไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่มีความสอดคล้องไปกับการใช้ชีวิตของเรา เช่น แผนกระแสเงินสด แผนเกษียณอายุและมรดก ถ้าเราโชคดีได้ที่ปรึกษาคนไหนที่มีคอนเน็คชั่นดีๆ เราก็จะได้ประโยชน์จากคอนเน็คชั่นของที่ปรึกษาได้ด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าหากไม่ได้นั่งคุยกับที่ปรึกษาการเงิน จะนั่งคุยกับผู้ที่อยู่ในวิชาชีพอื่นๆเกี่ยวกับการเงินก็ได้ เช่น ตัวแทนประกัน พนักงานธนาคาร โบรกเกอร์หุ้น นักบัญชี เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่เราคุยด้วยจะก็จะมีความรู้ลึกๆในด้านที่พวกเค้าทำงานอยู่อยู่แล้ว และสามารถเป็นประโยชน์กับเราได้เช่นกัน เครื่องผลิตเงินของเราทำงานได้ดีขึ้นรึเปล่า??? เรื่องนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางแผนโดยตรง แต่ตราบใดที่เรามีศักยภาพที่จะทำเงินได้มากขึ้น นั่นก็แปลว่าเราสามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น เครื่องผลิตเงินในที่นี้ก็คือตัวเรานี่แหละ ลองทบทวนดูว่าในปีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพดีขึ้นแค่ไหน ยิ่งเรามีความสามารถมากขึ้นไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เราก็ยิ่งมีโอกาสสร้างงานสร้างเงินได้มากขึ้น ความรู้ความเข้าใจที่นำมาใช้ในการทำงาน ทักษะต่างๆที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงสายสัมพันธ์และเครือข่ายต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อแผนการเงินในอนาคตทั้งนั้น ขอแถมอีกข้อ ซึ่งสำคัญมากในยุค 4.0 นี้ นั่นคือการทบทวนเรื่องรหัสผ่านบัญชีออนไลน์ต่างๆที่เราใช้อยู่เป็นประจำ คอยตรวจสอบดูว่ามีการตั้งรหัสผ่านที่รัดกุมแค่ไหน รวมไปถึงบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็มทั้งหมดทุกใบที่เราใช้อยู่ด้วย การได้เริ่มวางแผนการเงิน ก็เหมือนเป็นการวางแผนชีวิตไปในตัว การวางแผนการเงินที่รัดกุม ก็จะทำให้การใช้ชีวิตราบรื่น เมื่อเริ่มปฏิบัติตามแผนการเงิน ก็เหมือนกับการเริ่มเดินเครื่องจักรและสายพานการผลิต ทุกอย่างดำเนินไปโดยระบบ รอวันที่จะบรรลุเป้าหมายการเงินในอนาคต แน่นอนว่าแผนการเงินไม่ใช่สิ่งที่วางแผนจบในครั้งเดียว แต่จะต้องหมั่นทบทวนปรับปรุงในแผนที่เราวางไว้ด้วย เพราะในชีวิตย่อมมีเหตุการณ์และความไม่แน่นอนต่างๆเข้ามาตลอดเวลา แต่อย่างน้อย การได้มีแปลนที่เป็นหลักจับต้องได้ ก็จะช่วยให้การดำเนินชีวิตราบรื่นมากขึ้น และสุดท้ายเราควรยึดหลักของแผนการเงินที่ว่า… “แผนการเงินที่ดี ไม่ใช่แผนที่ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่เป็นแผนที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้โดยปราศจากความกังวล” โดย WealthDone | Serious Money คือ เงินเก็บเพื่อเก็บ ปกติแล้วเงินส่วนนี้จะเป็นเงินที่ใช้เพื่อเรื่องสำคัญแบบสุดๆ ในชีวิต ไม่มีไม่ได้ นั่นคือ เงินเก็บเพื่อชีวิตในยามเกษียณ หากถามว่าเงินก้อนนี้ควรมี “อย่างน้อย” เท่าไหร่ โดยใช้ตาราง Inflation Factor ที่มาของตัวเลขมาจาก สูตร (1+i)n โดย i=อัตราเงินเฟ้อ และ n=จำนวนปีที่จะถึงวันเกษียณ
หากคิดแบบง่ายๆ ก็คือ ทุกวันนี้มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่อปีเท่าไหร่ เช่นอีก 25 ปีจะเกษียณ ใช้เงินต่อเดือนเดือนละ 15,000 บาท หนึ่งปีก็ 180,000 บาท จากนั้นเอามาคูณด้วยตาราง Inflation Factor ก็จะได้ว่า ณ วันเกษียณจากเงินปีละ 180,000 บาท กลายเป็นว่าต้องใช้เงิน 180,000 x 2.09 ก็จะได้ประมาณ 360,000 จากนั้นก็เอาไปคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะต้องใช้หลังเกษียณ เช่น 20 ปี เงินก้อนขั้นต่ำที่ต้องมีคือ 7.2 ล้านบาท
มี 2 ปัจจัยที่จะทำให้ถึงเป้าหมายนี้ได้ เรื่องแรกคือ ผลตอบแทนของเงินก้อนนี้ กับอีกส่วนที่สำคัญกว่าก็คือ “เงินต้น” ซึ่งนั่นเป็นโจทย์ว่าจะเก็บอย่างไรให้มีเงินต้นมาลงทุนในเงินก้อนนี้อย่างต่อเนื่อง บางคนใช้วิธีการเก็บเงินแบบอัตโนมัติมาช่วย เช่น ประกันสะสมทรัพย์ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือการใช้โปรแกรมตัดเงินเข้ากองทุนอัตโนมัติทุกเดือนหรือทุกๆ สัปดาห์ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2440 | Finance | กองทุน BTP มีขนาดกองทุนใหญ่อันดับที่ 6 ในประเภทกองทุนหุ้นไทย โดยมีขนาดกองทุน ณ วันที่ 23 พ.ย. 2561 กว่ากี่ล้านบาท | สรุปทุกสิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนซื้อกองทุนรวม BTP
-กองทุน BTP มีขนาดกองทุนใหญ่อันดับที่ 6 ในประเภทกองทุนหุ้นไทย โดยล่าสุดมีขนาดกองทุนกว่า 13,000 ล้านบาทแล้ว โดยกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือกองทุน KFSDIV มีขนาดกองทุนอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท (ณ 23 พ.ย. 61) -กองทุน BTP มีขนาดกองทุนใหญ่อันดับที่ 6 ในประเภทกองทุนหุ้นไทย โดยล่าสุดมีขนาดกองทุนกว่า 13,000 ล้านบาทแล้ว โดยกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือกองทุน KFSDIV มีขนาดกองทุนอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท (ณ 23 พ.ย. 61) -กองทุน BTP มีขนาดกองทุนใหญ่อันดับที่ 6 ในประเภทกองทุนหุ้นไทย โดยล่าสุดมีขนาดกองทุนกว่า 13,000 ล้านบาทแล้ว โดยกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือกองทุน KFSDIV มีขนาดกองทุนอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท (ณ 23 พ.ย. 61) BTP KFSDIV -กองทุน BTP จัดตั้งมายาวนานมาก ตั้งแต่ 7 ต.ค. 2537 เลยทีเดียว ผ่านมา 24 ปีกว่าแล้ว ถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ -กองทุน BTP จัดตั้งมายาวนานมาก ตั้งแต่ 7 ต.ค. 2537 เลยทีเดียว ผ่านมา 24 ปีกว่าแล้ว ถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ -กองทุน BTP จัดตั้งมายาวนานมาก ตั้งแต่ 7 ต.ค. 2537 เลยทีเดียว ผ่านมา 24 ปีกว่าแล้ว ถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ -กองทุน BTP จัดตั้งมายาวนานมาก ตั้งแต่ 7 ต.ค. 2537 เลยทีเดียว ผ่านมา 24 ปีกว่าแล้ว ถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ -แต่ๆๆ กองทุน BTP ไม่ใช่กองทุนแรกของบัวหลวง เป็นลำดับที่ 5 ของกองทุนบัวหลวงทั้งหมด โดยกองทุนกองแรกของบัวหลวง คือ กองทุน BKA จัดตั้งขึ้นมาวันที่ 11 มี.ค. 2536 -แต่ๆๆ กองทุน BTP ไม่ใช่กองทุนแรกของบัวหลวง เป็นลำดับที่ 5 ของกองทุนบัวหลวงทั้งหมด โดยกองทุนกองแรกของบัวหลวง คือ กองทุน BKA จัดตั้งขึ้นมาวันที่ 11 มี.ค. 2536 -แต่ๆๆ กองทุน BTP ไม่ใช่กองทุนแรกของบัวหลวง เป็นลำดับที่ 5 ของกองทุนบัวหลวงทั้งหมด โดยกองทุนกองแรกของบัวหลวง คือ กองทุน BKA จัดตั้งขึ้นมาวันที่ 11 มี.ค. 2536 BKA -จริงๆ แล้วกองทุน BTP มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท แต่ได้มีการเพิ่มเงินทุนโครงการ ครบ 5,000 ล้านบาท เมื่อปี 2557 และเขยิบมาเป็น 10,000 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา -จริงๆ แล้วกองทุน BTP มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท แต่ได้มีการเพิ่มเงินทุนโครงการ ครบ 5,000 ล้านบาท เมื่อปี 2557 และเขยิบมาเป็น 10,000 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา -จริงๆ แล้วกองทุน BTP มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท แต่ได้มีการเพิ่มเงินทุนโครงการ ครบ 5,000 ล้านบาท เมื่อปี 2557 และเขยิบมาเป็น 10,000 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา -จริงๆ แล้วกองทุน BTP มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท แต่ได้มีการเพิ่มเงินทุนโครงการ ครบ 5,000 ล้านบาท เมื่อปี 2557 และเขยิบมาเป็น 10,000 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา -มีนโยบายลงทุนในหุ้นใหญ่ 10 ตัว แต่ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในตลาดนะ มีแค่ 2 ใน 10 ตัวเท่านั้น คือ CPALL กับ BDMS (ณ 6 ต.ค. 61) -มีนโยบายลงทุนในหุ้นใหญ่ 10 ตัว แต่ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในตลาดนะ มีแค่ 2 ใน 10 ตัวเท่านั้น คือ CPALL กับ BDMS (ณ 6 ต.ค. 61) -มีนโยบายลงทุนในหุ้นใหญ่ 10 ตัว แต่ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในตลาดนะ มีแค่ 2 ใน 10 ตัวเท่านั้น คือ CPALL กับ BDMS (ณ 6 ต.ค. 61) CPALL BDMS -กองทุน BTP ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวเสมอไป เงื่อนไขกองทุน คือ จะลงทุนในหุ้นมากที่สุดไม่เกิน 12 ตัว โดยจะลงทุนเป็นเวลาไม่เกิน 45 วันทำการ นับจากวันที่มีการลงทุนมากกว่าหุ้น 10 ตัว -กองทุน BTP ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวเสมอไป เงื่อนไขกองทุน คือ จะลงทุนในหุ้นมากที่สุดไม่เกิน 12 ตัว โดยจะลงทุนเป็นเวลาไม่เกิน 45 วันทำการ นับจากวันที่มีการลงทุนมากกว่าหุ้น 10 ตัว -กองทุน BTP ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวเสมอไป เงื่อนไขกองทุน คือ จะลงทุนในหุ้นมากที่สุดไม่เกิน 12 ตัว โดยจะลงทุนเป็นเวลาไม่เกิน 45 วันทำการ นับจากวันที่มีการลงทุนมากกว่าหุ้น 10 ตัว -ผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลัง มีเพียง 2 ปีเท่านั้นที่กองทุนติดลบ แต่ก็ยังลบน้อยกว่า SET นะ คือ ปี 2551 (BTP -37.20% SET TR -47.56%) และ ปี 2556 (BTP -0.37% SET TR -6.70%) -ผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลัง มีเพียง 2 ปีเท่านั้นที่กองทุนติดลบ แต่ก็ยังลบน้อยกว่า SET นะ คือ ปี 2551 (BTP -37.20% SET TR -47.56%) และ ปี 2556 (BTP -0.37% SET TR -6.70%) -ผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลัง มีเพียง 2 ปีเท่านั้นที่กองทุนติดลบ แต่ก็ยังลบน้อยกว่า SET นะ คือ ปี 2551 (BTP -37.20% SET TR -47.56%) และ ปี 2556 (BTP -0.37% SET TR -6.70%) -นักรบย่อมมีบาดแผล ถึงแม้กองทุน BTP จะทำผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน เคยขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ที่ -79.52% เชียวนะ เกิดขึ้นในปี 2543 -นักรบย่อมมีบาดแผล ถึงแม้กองทุน BTP จะทำผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน เคยขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ที่ -79.52% เชียวนะ เกิดขึ้นในปี 2543 -นักรบย่อมมีบาดแผล ถึงแม้กองทุน BTP จะทำผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน เคยขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ที่ -79.52% เชียวนะ เกิดขึ้นในปี 2543 -ในขณะที่ปี 2008 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั้งโลก คงหนีไม่พ้นที่จะไม่ติดลบ ขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -50.81% ในขณะที่ SET TR -56.14% -ในขณะที่ปี 2008 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั้งโลก คงหนีไม่พ้นที่จะไม่ติดลบ ขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -50.81% ในขณะที่ SET TR -56.14% -ในขณะที่ปี 2008 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั้งโลก คงหนีไม่พ้นที่จะไม่ติดลบ ขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -50.81% ในขณะที่ SET TR -56.14% -ถ้าถือกองทุนนี้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว เชื่อหรือไม่ ว่าได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 19.24% เชียวหนา -ปัจจุบันกองทุน BTP มีอัตราส่วนหมุนเวียนการลงทุนของกองทุน (Portfolio Turnover Ratio: PTR) หรือการสับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ต อยู่ที่ 0.94 (ณ ต.ค. 61) ซึ่งถือว่าไม่ได้มากเกินไปสำหรับกองทุนประเภท Active เพราะถือหุ้นหลักๆ อยู่ 10 ตัว ก็มีต้องสับเปลี่ยนหุ้นบ้าง เพราะหากเลือกหุ้นผิดไป 1 ตัว จะส่งผลต่อพอร์ตเยอะเหมือนกัน -ปัจจุบันกองทุน BTP มีอัตราส่วนหมุนเวียนการลงทุนของกองทุน (Portfolio Turnover Ratio: PTR) หรือการสับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ต อยู่ที่ 0.94 (ณ ต.ค. 61) ซึ่งถือว่าไม่ได้มากเกินไปสำหรับกองทุนประเภท Active เพราะถือหุ้นหลักๆ อยู่ 10 ตัว ก็มีต้องสับเปลี่ยนหุ้นบ้าง เพราะหากเลือกหุ้นผิดไป 1 ตัว จะส่งผลต่อพอร์ตเยอะเหมือนกัน -ปัจจุบันกองทุน BTP มีอัตราส่วนหมุนเวียนการลงทุนของกองทุน (Portfolio Turnover Ratio: PTR) หรือการสับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ต อยู่ที่ 0.94 (ณ ต.ค. 61) ซึ่งถือว่าไม่ได้มากเกินไปสำหรับกองทุนประเภท Active เพราะถือหุ้นหลักๆ อยู่ 10 ตัว ก็มีต้องสับเปลี่ยนหุ้นบ้าง เพราะหากเลือกหุ้นผิดไป 1 ตัว จะส่งผลต่อพอร์ตเยอะเหมือนกัน -มาพูดถึงสถิติสูงสุด-ต่ำสุดในการหมุนเวียนการลงทุนของกองทุนกันบ้าง เคยสับเปลี่ยนสูงสุดที่ 1.46 เลยทีเดียว (รายงานประจำปี ต.ค. 59) และเคยสับเปลี่ยนต่ำสุดที่ 0.25 (รายงานครึ่งปี เม.ย. 58) ถือว่าเป็นช่วงที่เน้น Buy & Hold ไม่ซื้อเพิ่ม ไม่ขายออก -มาพูดถึงสถิติสูงสุด-ต่ำสุดในการหมุนเวียนการลงทุนของกองทุนกันบ้าง เคยสับเปลี่ยนสูงสุดที่ 1.46 เลยทีเดียว (รายงานประจำปี ต.ค. 59) และเคยสับเปลี่ยนต่ำสุดที่ 0.25 (รายงานครึ่งปี เม.ย. 58) ถือว่าเป็นช่วงที่เน้น Buy & Hold ไม่ซื้อเพิ่ม ไม่ขายออก -มาพูดถึงสถิติสูงสุด-ต่ำสุดในการหมุนเวียนการลงทุนของกองทุนกันบ้าง เคยสับเปลี่ยนสูงสุดที่ 1.46 เลยทีเดียว (รายงานประจำปี ต.ค. 59) และเคยสับเปลี่ยนต่ำสุดที่ 0.25 (รายงานครึ่งปี เม.ย. 58) ถือว่าเป็นช่วงที่เน้น Buy & Hold ไม่ซื้อเพิ่ม ไม่ขายออก -นักลงทุนแทบจะทั้งหมด คงจะรู้จักกองทุน BTP แต่รู้หรือไม่ว่ากองทุนนี้บริหารกันเป็นทีม โดยมีผู้จัดการกองทุน 5 คน ผู้จัดการกองทุนที่อยู่มานานที่สุดคือคุณสุดารัตน์ ทิพยเทอดธนา บริหารกองทุนมาตั้งแต่ 2 พ.ค. 49 -นักลงทุนแทบจะทั้งหมด คงจะรู้จักกองทุน BTP แต่รู้หรือไม่ว่ากองทุนนี้บริหารกันเป็นทีม โดยมีผู้จัดการกองทุน 5 คน ผู้จัดการกองทุนที่อยู่มานานที่สุดคือคุณสุดารัตน์ ทิพยเทอดธนา บริหารกองทุนมาตั้งแต่ 2 พ.ค. 49 -นักลงทุนแทบจะทั้งหมด คงจะรู้จักกองทุน BTP แต่รู้หรือไม่ว่ากองทุนนี้บริหารกันเป็นทีม โดยมีผู้จัดการกองทุน 5 คน ผู้จัดการกองทุนที่อยู่มานานที่สุดคือคุณสุดารัตน์ ทิพยเทอดธนา บริหารกองทุนมาตั้งแต่ 2 พ.ค. 49 -เชื่อหรือไม่ กองทุน BTP เคยถือหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์มาก่อน ซึ่งคือหุ้น SLC (ปัจจุบัน คือ NEWS) และหุ้น GL (ในตำนาน) แต่ไม่ต้องตกใจไป เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ถ้ายังถือถึงตอนนี้ล่ะก็…. (ภาพตัด) -เชื่อหรือไม่ กองทุน BTP เคยถือหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์มาก่อน ซึ่งคือหุ้น SLC (ปัจจุบัน คือ NEWS) และหุ้น GL (ในตำนาน) แต่ไม่ต้องตกใจไป เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ถ้ายังถือถึงตอนนี้ล่ะก็…. (ภาพตัด) ที่มา
Jessada Sookdhis
Investment Analyst (IA)
ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | กองทุน BTP มีขนาดกองทุนใหญ่อันดับที่ 6 ในประเภทกองทุนหุ้นไทย โดยมีขนาดกองทุน ณ วันที่ 23 พ.ย. 2561 กว่า 3,000 ล้านบาท โดยกองทุน BTP จัดตั้งมายาวนานมาก ตั้งแต่ 7 ต.ค. 2537
กองทุน BTP ไม่ใช่กองทุนแรกของบัวหลวง เป็นลำดับที่ 5 ของกองทุนบัวหลวงทั้งหมด โดยกองทุนกองแรกของบัวหลวง คือ กองทุน BKA จัดตั้งขึ้นมาวันที่ 11 มี.ค. 2536 จริงๆ แล้วกองทุน BTP มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท แต่ได้มีการเพิ่มเงินทุนโครงการ ครบ 5,000 ล้านบาท เมื่อปี 2557 และเขยิบมาเป็น 10,000 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา มีนโยบายลงทุนในหุ้นใหญ่ 10 ตัว แต่ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในตลาดนะ มีแค่ 2 ใน 10 ตัวเท่านั้น คือ CPALL กับ BDMS (ณ 6 ต.ค. 61) กองทุน BTP ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวเสมอไป เงื่อนไขกองทุน คือ จะลงทุนในหุ้นมากที่สุดไม่เกิน 12 ตัว โดยจะลงทุนเป็นเวลาไม่เกิน 45 วันทำการ นับจากวันที่มีการลงทุนมากกว่าหุ้น 10 ตัว
ผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลัง มีเพียง 2 ปีเท่านั้นที่กองทุนติดลบ แต่ก็ยังลบน้อยกว่า SET คือ ปี 2551 (BTP -37.20% SET TR -47.56%) และ ปี 2556 (BTP -0.37% SET TR -6.70%) ถึงแม้กองทุน BTP จะทำผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน เคยขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ที่ -79.52% เกิดขึ้นในปี 2543 ในขณะที่ปี 2008 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั้งโลก คงหนีไม่พ้นที่จะไม่ติดลบ ขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -50.81% ในขณะที่ SET TR -56.14% | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2521 | Finance | MOVING AVERAGE มีที่มาจากการคำนวณค่าเฉลี่ย มีรายละเอียดเป็นอย่างไร | MOVING AVERAGE เป็น INDICATOR ที่ทำความเข้าใจได้ง่าย
ในหัวข้อนี้ผมจะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ Moving Average (MA) หรือภาษาไทยเรียกว่า เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ซึ่งเป็น Indicators ที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุดและถูกนำไปใช้งานเพื่อช่วยตัดสินใจซื้อขายหุ้นอย่างแพร่หลาย ผมมั่นใจสุด ๆ ว่าแทบจะไม่มีใครเลยที่วิเคราะห์ทางเทคนิคนิคเพื่อตัดสินใจซื้อหุ้นโดยที่ไม่ใช้งานเส้น Moving Average เพื่อเป็น Indicators ช่วยประกอบการตัดสินใจ เหตุผลเพราะมันสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย และให้มุมมองที่เป็นโยชน์ในการเทรด โดยส่วนตัวผมจึงยกให้ Moving Average เป็นสุดยอด Indicators ในดวงใจลำดับที่ 1 ที่จะต้องมีไว้อยู่ในกราฟเวลาวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคตลอดเวลา
ในโปรแกรมวิเคราะห์กราฟราคาหุ้นทุกโปรแกรมจะมี Moving Average ให้เลือกใช้งานมากมายหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างประเภท Moving Average ที่พบเห็นบ่อยๆ เช่น Simple Moving Average (SMA), Weighted Moving Average (WMA),และ Exponential Moving Average (EMA) เป็นต้น แต่ในเนื้อหาทั้งหมดของหัวข้อนี้ผมจะเจาะลึกและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ EMA (Exponential Moving Average) เป็นหลัก เพราะว่า EMA เป็นประเภทของ Moving Average ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด ในขั้นแรกผมจะให้เรารู้จักกับ Moving Average กันก่อนครับว่ามันคืออะไร มีวิธีการคำนวณอย่างไร และมีการแสดงผลเพื่อนำมาวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยวิธีไหน
MOVING AVERAGE มีที่มาจากการคำนวณค่าเฉลี่ย
Moving Average (MA) หรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็นการคำนวณค่าเฉลี่ย (Average) ของราคาหุ้น โดยใช้ข้อมูลของราคาหุ้นย้อนหลังตามที่ระยะเวลาที่เรากำหนด เช่น ถ้าเราสนใจค่าของ Moving Average ระยะเวลาย้อนหลัง 5 วัน เราจะใช้ราคาหุ้น 5 วันย้อนหลังนับจากวันปัจจุบัน มาคำนวณด้วยสูตรของค่าเฉลี่ยประเภทที่เราสนใจ หรือถ้าเราสนใจ Moving Average ระยะเวลาย้อนหลัง 10 วัน ก็หมายความว่าเราจะใช้ราคาหุ้น 10 วันย้อนหลังนับจากวันปัจจุบัน มาคำนวณด้วยสูตรค่าเฉลี่ยที่เราสนใจ ซึ่งข้อมูลราคาหุ้นที่นิยมนำมาใช้คำนวณค่า Moving Average คือ ราคาปิดของหุ้นของช่วงระยะเวลาที่เราสนใจ
แต่เนื่องจากค่าเฉลี่ยเพียงค่าเดียวไม่สามารถให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อมุมมองวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ดังนั้นวิธีการแสดงผลของ Moving Average จึงคำนวณค่าเฉลี่ยออกมาจำนนวนหลาย ๆ ค่า โดยจะคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นย้อนหลังค่าใหม่ เมื่อมีข้อมูลของราคาตัวใหม่เพิ่มขึ้นมา และวาด Moving Average ออกมาเป็นกราฟเส้นด้วยการเรียงข้อมูลค่าเฉลี่ยที่คำนวณได้ต่อเนื่องกัน และวาดควบคู่กันไปกับกราฟของราคา
MOVING AVERAGE มีหลายประเภท ขึ้นกับวิธีการคำนวณค่าเฉลี่ย
Moving Average มีหลายประเภท เช่น Simple Moving Average (SMA), Exponential Moving Average (EMA), Weighted Moving Average (WMA) และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่ง Moving Average ทุกประเภทจะใช้หลักการเดียวกัน คือ การหาค่าเฉลี่ยของราคา แล้วนำมาวาดเป็นกราฟเส้น แต่ สิ่งที่แตกต่างกันของ Moving Average แต่ละประเภ คือ การให้น้ำหนักของข้อมูลแต่ละตัวที่แตกต่างกันก่อนนำมาคำนวณค่าเฉลี่ย | Moving Average (MA) หรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็นการคำนวณค่าเฉลี่ย (Average) ของราคาหุ้น โดยใช้ข้อมูลของราคาหุ้นย้อนหลังตามที่ระยะเวลาที่เรากำหนด เช่น ถ้าเราสนใจค่าของ Moving Average ระยะเวลาย้อนหลัง 5 วัน เราจะใช้ราคาหุ้น 5 วันย้อนหลังนับจากวันปัจจุบัน มาคำนวณด้วยสูตรของค่าเฉลี่ยประเภทที่เราสนใจ หรือถ้าเราสนใจ Moving Average ระยะเวลาย้อนหลัง 10 วัน ก็หมายความว่าเราจะใช้ราคาหุ้น 10 วันย้อนหลังนับจากวันปัจจุบัน มาคำนวณด้วยสูตรค่าเฉลี่ยที่เราสนใจ ซึ่งข้อมูลราคาหุ้นที่นิยมนำมาใช้คำนวณค่า Moving Average คือ ราคาปิดของหุ้นของช่วงระยะเวลาที่เราสนใจ
แต่เนื่องจากค่าเฉลี่ยเพียงค่าเดียวไม่สามารถให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อมุมมองวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ดังนั้นวิธีการแสดงผลของ Moving Average จึงคำนวณค่าเฉลี่ยออกมาจำนนวนหลาย ๆ ค่า โดยจะคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นย้อนหลังค่าใหม่ เมื่อมีข้อมูลของราคาตัวใหม่เพิ่มขึ้นมา และวาด Moving Average ออกมาเป็นกราฟเส้นด้วยการเรียงข้อมูลค่าเฉลี่ยที่คำนวณได้ต่อเนื่องกัน และวาดควบคู่กันไปกับกราฟของราคา | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2530 | Finance | The Apple Marketing Philosophy มีอะไรบ้าง | สนามความจริงที่ถูกบิดเบือน
มีวันหนึ่งจ๊อบส์ลุยไปหา แลร์รี่ เคนยอน (Larry Kenyon) วิศวกรระบบปฏิบัติการ บ่นเรื่องเครื่องบูตนานเกินไป “นายจะหาทางบูตเครื่องให้ได้เร็วกว่านี้อีก 10 วินาทีมั้ย ถ้ามันจะช่วยชีวิตคนไว้ได้” เคนยอนตอบว่าอาจจะทำ จ๊อบส์เขียนบนกระดานให้ดูว่าถ้าคน 5 ล้านคนใช้เวลาบูตเครื่องมากขึ้นคนละ 10 วินาทีทุกวัน รวมแล้วเป็นเวลาเกือบ 300 ล้านชั่วโมงต่อปี เท่ากับช่วงชีวิตของคนอย่างน้อย 100 คนที่รักษาไว้ได้ ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา เคนยอนกลับมาพร้อม Mac ที่บูตเครื่องเร็วขึ้นอีก 28 วินาที
ปรัชญาขั้นเทพที่จ๊อบส์ยึดถือมาตลอดเกิดจากบุคคลที่เปรียบเสมือนพ่อ นั่นคือ ไมค์ มาร์คคูลา (Mike Markkula)
The Apple Marketing Philosophy
กล่าวถึง 1) เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น (Empathy) “ต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าดีกว่าบริษัทอื่น”
2) มุ่งมั่นที่เป้าหมาย (Focus) “เพื่อทำสิ่งที่เราอยากทำให้ได้ผลที่ดีที่สุด ต้องตัดเรื่องอื่นๆ ที่ไม่สำคัญออกไปให้หมด”
3) สร้างภาพ (Impute) “คนตัดสินว่าหนังสือดีหรือไม่ดีจากหน้าปก แม้จะมีผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยม หากนำเสนอชุ่ยๆ ผู้บริโภคจะคิดว่าผลิตภัณฑ์ของเราชุ่ยไปด้วย”
จ๊อบส์เลือกแบบกล่องที่พิมพ์สี่สี แก้ไปมาตั้ง 50 รอบ “ทุกความรู้สึกและทุกสัมผัสเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่จะได้รับจากผลิตภัณฑ์”
มีขึ้น ก็ต้อง…
เมื่อยอดขาย Mac ไม่ตรงเป้า บวกกับพฤติกรรมที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น จ๊อบส์ถูกกดดันจนต้องตัดสินใจลาออกมาตั้งบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาเองใหม่นามว่า NeXT พร้อมปลุกปั้น PIXAR ขึ้นมาผงาดในโลกภาพยนตร์อนิเมชั่น ขณะที่ Apple ก็ร่วงลงเรื่อยๆ จนต้องตัดสินใจซื้อ NeXT เพื่อนำจ๊อบส์กลับมากอบกู้ซาก และแล้ว…วันที่ 2 ธันวาคม 1996 จ๊อบส์กลับมาเหยียบอาณาจักร Apple ที่จากไปเมื่อ 11 ปีก่อนอีกครั้ง…ผ่านไปหลายปี ก็ยังบ้าเหมือนเดิม | 1. เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น (Empathy): การเข้าใจความต้องการและความรู้สึกของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่าคู่แข่ง
2. มุ่งมั่นที่เป้าหมาย (Focus): การมุ่งมั่นทำสิ่งที่ต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยการตัดเรื่องที่ไม่สำคัญออกไป ซึ่งช่วยให้มีสมาธิในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย
3. สร้างภาพ (Impute): การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่ดีที่สุด เพราะการนำเสนอที่ดีจะทำให้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดูดีในสายตาลูกค้า
ปรัชญานี้สะท้อนถึงความตั้งใจของ Apple ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ทำงานได้ดี แต่ยังมีประสบการณ์การใช้ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่ Steve Jobs ให้ความสำคัญสูงสุดตลอดอาชีพการงานของเขา | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2568 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงกองทุน K-USXNDQ-A (D) ได้ถูกต้อง | 1. กองทุนเคยขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -14.74%
2. มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.17%
3. ความผันผวนของกองทุน คือ 15.75%
4. ดัชนีชี้วัด (Benchmark) ของกองทุน คือ Nasdaq-100 | คำตอบคือ 4. เพราะว่า เพราะดัชนีชี้วัด (Benchmark) ของกองทุน คือ Nasdaq-100 กล่าวถึงกองทุน K-USXNDQ-A (D) ได้ถูกต้อง
ข้อมูลเกี่ยวกับ K-USXNDQ-A (D) ที่ควรรู้
1. ดัชนีชี้วัด (Benchmark) ของกองทุนนี้ คือ Nasdaq-100
2. กลุ่มกองทุนที่ใช้เปรียบเทียบ คือ US Equit
3. กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับ 6
4. กองทุนนี้เคยขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -15.75%
5. ความผันผวน (SD) ของกองทุนนี้ คือ 14.74% ต่อปี
6. มีความผันผวนคลาดเคลื่อนกับดัชนีอ้างอิง หรือ Tracking Error อยู่ที่ 1.17% ต่อปี
7. มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 75%
8. ซื้อขายขั้นต่ําอยู่ที่ 500 บาท
*ผู้ลงทุนต้องทําความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2606 | Finance | ความร่ำรวยของ Jeff Bezos ได้เบียดเอาชนะค้าปลีกใดไปได้อย่างชัดเจน เมื่อต้นปี 2018 | สรุปเนื้อหางานสัมมนา “การลงทุนในยุค Big Data” ในงาน Unlock Day III (ฉบับ Remixed)
มาตามสัญญาครับ สัมมนาในช่วง การลงทุนในยุค Big Data นั้น เป็นการเตรียมความพร้อมให้นักลงทุน ก่อนเข้าสู่ช่วง The Battle สงครามหุ้นเทคโนโลยี ระหว่างจีนและอเมริกา เนื้อหาหลัก ๆ จะเน้นที่ สร้างความเข้าใจว่า มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ที่จะกระทบการลงทุน และการใช้ Data ที่ยุค 90s ทำไม่ได้ เช่น Google Search เพื่อใช้เป็นสัญญาณ ในการซื้อขาย และขอใช้โอกาสนี้ เพิ่มรายละเอียดในบางจุดนะครับ โดยเฉพาะเรื่องของ Millennials ที่ใช้เงินฟุ่มเฟือย ว่ากระทบอะไรบ้าง (จะบิดเนื้อหาไปจากสัมมนาบ้าง เพื่อให้ท่านที่เข้าร่วมสัมมนาได้รับข้อมูลใหม่ ๆ มีประโยชน์ต่อการอ่านเพิ่มขึ้น) เรื่องที่ 1 ลงทุนอย่างไรให้กำไรในยุค Big Data เมื่อตลาดหุ้นโลกตอบรับการเปลี่ยนแปลง สรุปใน 8 บรรทัด โลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
Demographics ที่คนเคยฝังใจว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุ
มันไม่ใช่อีกแล้ว เปลี่ยนไป
กลุ่มคนรุ่นใหม่ เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและความสบาย ได้กลายเป็นกลุ่มหลักของโลก
และเริ่มมี Spending Power ที่สูงขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ
บริษัทที่ใช้ Data เป็น และเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย จะเป็นผู้ชนะ
เพราะ Brand Loyalty ไม่มีอีกต่อไป
Super Stock ได้เปลี่ยนเป็นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างชัดเจน เนื้อหา หากเราย้อนไปดูในอดีต จนถึงปัจจุบัน จะพบว่า บุคคลที่ร่ำรวย มีแค่ไม่กี่แบบ คือเป็นเจ้าของที่ดิน อสังหาฯ หรือพ่อค้า หรือเจ้าของทรัพย์สิน (แต่เจ้าของทรัพย์สินเช่น ทอง เหล็ก มักจะเป็นแค่ชั่วคราว ไม่เหมือนที่ดิน อสังหาฯ) จนทุกวันนี้ก็ไม่เปลี่ยน บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ยุค 90s คือ Sam Walton เจ้าของ Walmart บริษัทค้าปลีกขนาดยักษ์ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดโลกในยุคปัจจุบัน คือ Jeff Bezos เจ้าของ Amazon บริษัท E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบริษัทค้าปลีกเช่นกัน ความร่ำรวยของ Jeff Bezos ได้เบียดเอาชนะ Walmart ไปได้อย่างชัดเจน เมื่อต้นปี 2018 หลังตลาดหุ้นถล่ม และหุ้น Walmart ปรับตัวลง ตามตลาดพร้อมหุ้น Sure Thing ตัวอื่น ๆ (ในงานยกตัวอย่าง Coca Cola, Nestle, P&G, J&J, Kraft Heinz) โดยมีหลาย ๆ ตัวลงมากกว่าตลาด แต่ Amazon กลับวิ่งสวนขึ้นไปพร้อมหุ้นเทคโนโลยี (Sam Walton แบ่งทรัพย์สินให้ลูกหลาย ๆ คน หากนำมารวม ๆ กัน จะติดแท่นเบอร์ 1 ของโลกแข่งกับ Bill Gates ครับ) ข้อมูลถึงวันที่ 2 ก.ค. 61 คือ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีของ หุ้น Walmart ลง -13.3% ในขณะที่ Amazon วิ่งไป 45.3% เรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นหลาย ๆ อย่างคือ Walmart และ หุ้น Sure Thing ซึ่งตลาดมักมองเป็นหุ้น Defensive ที่ควรจะลงน้อยกว่าตลาด แต่กลับตกแรงกว่าตลาด (Sure thing คืออะไร อ่านได้ในบทความ อวสาน หุ้น Sure Thing)
Walmart ทำ E-commerce มีสินค้าขายกว่าล้านชิ้น ไม่ได้ต่างกับ Amazon แต่หุ้นกลับวิ่งคนละทาง Amazon หุ้นวิ่งขึ้นต่อไปพร้อมกับกลุ่มเทคโนโลยีอื่น ๆ แสดงว่ามันมีอย่างอื่นซ่อนใน Amazon อีก อวสาน หุ้น Sure Thing มาดูที่ข้อแรกกันก่อน หุ้นเหล่านี้ ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นหุ้นโปรดของ Warren Buffett เนื่องจากมีสินค้าหรือบริการที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง Market Share สูง ได้เปรียบคู่แข่งในหลาย ๆ อย่าง ยึดหัวหาดช่องทางการขายไว้ครบ อีกทั้งราคาหุ้นเองยังทนทานต่อวิกฤต และการปรับฐาน แต่เวลาหุ้นขึ้นก็ขึ้นตาม จนถูกขนานนามว่าเป็นของ Sure ทั้ง ๆ มีคุณลักษณะที่เป็นหุ้น Defensive จน VI หลาย ๆ ท่านชื่นชอบ … มาวันนี้กลุ่มนี้กลับถูกเทขาย ??? และที่น่าสนใจคือ แม้แต่ Warren Buffett เองก็ขายไปแล้วหลายตัวครับ ที่ยังเหลืออยู่เยอะ ๆ คือ Coca Cola แล้วอะไรทำให้ กลุ่มนี้ถูกเทขาย? Trade War หรือเปล่า? ก็มีผลบ้าง แต่หลัก ๆ มาจากเหตุผลนี้ครับ เพราะเรากำลังเข้าสู่ยุค Millennial Millennial คือประชากร ในช่วงอายุ 20-35 ในตอนนี้ครับสำหรับเมืองนอก คนกลุ่มนี้กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ไปแล้วในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตั้งแต่ปี 2013 เพียงแต่เพิ่งมีบทบาทสำคัญ เนื่องจากคนกลุ่มนี้เริ่มมีเงินจากการทำงานมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของหุ้น Sure Thing ทั้งหลาย ส่วนประเทศจีน กลุ่ม Millennial นั้นมาพร้อมกับกฎหมายลูกคนเดียว กลุ่มนี้จึงร่ำรวยตั้งแต่เด็ก มีคนให้เงินใช้ไม่ขาดสาย และติดนิสัยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ทำให้สินค้าหรูหรา ฟุ่มเฟือยทั้งหลาย ขายดิบขายดี สังเกตได้จากหุ้น Hermes, LVMH และ Kering (เจ้าของพวก Gucci Yves Saint Laurent Balenciaga Bottega) ขึ้นถล่มทลาย แค่นั้นยังไม่พอ ยอดขาย Gucci ที่อเมริกา ไตรมาส 1 ยังเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากปีก่อน และบริษัทเหล่านี้ได้ปรับตัวเข้ามาจับตลาด Millennial เช่น ขายรองเท้า High End ตามกระแสของ Adidas ที่ออก Sneaker คู่ละเป็นหมื่น ดูแพงเกินควร แต่กลับขายดีเทน้ำเทท่า อีกทั้งยังแตกไลน์ธุรกิจ เปิดร้านกาแฟ โรงแรม เจาะตลาดบน และ Millennial ที่ชอบอวดใน Social ให้ตัวเองดูดี ทางฟาก Hermes ก็ไม่ยอมแพ้ แตกแบรนด์ เฟอร์นิเจอร์ เจาะกลุ่มคนจีนโดยเฉพาะ แต่เปิดที่ยุโรป แน่นอนว่าลูกหลานคนรวยของจีนที่ไปเรียนอยู่ในยุโรปก็แห่กันไปซื้อ หรือคนจีนที่อยู่ที่นั่นก็ซื้อ คนกลุ่ม Millennial นี้แม้จะไม่ได้มีรายได้ที่สูงอย่าง Gen X Baby Boomer แต่การใช้เงินของพวกเขานั้น มีเท่าไหร่ จะใช้ “เกิน” บัตรเครดิตเท่าไหร่รูดหมด การใช้บัตรเครดิตเฉลี่ยของกลุ่มนี้จะอยู่ที่ 70% ของวงเงิน บางประเทศอย่างเกาหลี สูงถึง 110% นอกจากจะใช้เงินเก่งแล้ว คนกลุ่มนี้มี Brand Loyalty ต่ำ ไม่ได้ยึดติดกับสินค้า ชอบลองอะไรใหม่ๆ และไม่กลัวเทคโนโลยี เพราะเติบโตมาพร้อมเทคโนโลยี การซื้อของผ่าน E-Commerce จึงเป็นทางเลือกการซื้อของที่ “สนุก” และ “คลายเครียด” ที่ดี ไม่มีอะไรทำก็ช็อปปิ้งออนไลน์ หรือผ่าน Social ก็ได้ ดูได้จากพฤติกรรมการเล่น Instagram ของคนไทยในช่วงวัยรุ่น-วัยทำงาน แม้จะซื้อยากลำบาก ต้องทักไปหาคนขาย และพูดคุย + โอนเงิน ก็ทำกันเป็นเรื่องธรรมดา มาดูข้อที่ 2 ต่อครับ อะไรทำให้ Amazon ขึ้นต่อ? อะไรทำให้ Amazon ขึ้นไปเทรดหลัก PE 200 เท่าได้ และแช่แป้งที่ PE ระดับนี้มาหลายปีแล้ว แต่หุ้นก็ขึ้นมาเป็นเท่าตัว แปลว่า กำไรเติบโตเร็วมาก อะไรที่กำลังผลักดันให้ Jeff Bezos ร่ำรวยเป็นอันดับ 1 ของโลก สิ่งนั้นไม่ใช่ E-Commerce … แต่เป็น Cloud Amazon คือผู้นำตลาด Cloud ของทั้งโลก มี Market Share สูงถึง 34% ในโลก และเติบโตสูงถึงเกือบ 50% ต่อปี มาต่อเนื่องหลายปีแล้ว ตลาด Cloud นั้นใหญ่มาก ในปี 2020 นักวิเคราะห์คาดหวังจะมีมูลค่ามากกว่า GDP ประเทศไทยเสียอีก ในไตรมาสล่าสุด กำไรจากธุรกิจ Cloud คิดเป็น 105% ในขณะที่ธุรกิจ E-Commerce ขาดทุน 5% และเป็นตัวหล่อเลี้ยงบริษัท ทำให้ Amazon ทุ่มงบในการขยายอาณาเขต E-Commerce ต่อไป Jeff Bezos ยังปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรให้เน้นที่ Data โดยไม่ได้มองว่า E-Commerce เป็นการขายของ แต่เป็นการช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ ถ้าเราสังเกตดี ๆ Amazon จะมีตัวเปรียบเทียบสินค้าให้ว่าใครถูกกว่า และยังมีการแอบกระตุ้นให้ซื้อด้วย (โดยการบอกว่า สินค้าจะหมดแล้ว) หากเราไปดูบริษัท Top 10 ของโลก จะสังเกตว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมดยกเว้น Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett, JPMorgan (ซึ่ง CEO เองก็ประกาศว่า ต่อจากนี้ไม่ใช่ ธนาคารหรือหลักทรัพย์ แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยี) และ Johnson & Johnson Johnson & Johnson ทำอย่างไรถึงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางกลุ่มเทคโนโลยีได้ … คำตอบก็คือ เขาใช้ Data ในการขายของครับ บริษัทใดที่ไม่ใช้ Data จะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่ง Big Data และ AI ชาว Millennial เป็นทาสการตลาดชั้นดี ที่พร้อมจะถูกแย่งได้ทุกเมื่อ เรื่องที่ 2 ใช้ Big Data ในการลงทุนอย่างไร ฉบับง่าย จริง ๆ แล้ว Data มีอยู่รอบตัวเรา อยู่ที่เราจะหามาใช้อย่างไร ในงานสัมมนาครั้งนี้ สอนใช้ข้อมูลจาก Google Trend ซึ่งแจกฟรี ใครก็สามารถเข้าได้ Google Trend คือเครื่องมือแสดงผล ว่ามีใคร search หรือพูดถึงเรื่องอะไรไปเท่าไหร่บ้าง ในระดับที่ Google เข้าถึง (ก็คือไม่มีพวก Social Media อย่าง Facebook, Twitter นั่นเอง พวกนี้หาได้จาก Social Listening Tools แต่ต้องเสียเงิน) ก่อนใช้ Google Trend ควรจะเข้าใจ จิตวิทยาลงทุนก่อน ว่ามันเหมาะกับอะไรที่อยู่ในกระแส โดยเฉพาะช่วงที่ ผู้คนกำลังแห่กันซื้อ เพราะจะเข้าไป search หาข้อมูล หากใช้มั่วจะติดดอยไม่รู้เรื่องครับ !! การใช้งานหลัก ๆ มี 3 แบบ 1. ราคาวิ่งตามการ Search … เป็น Perfect Case คือ Bitcoin จะพบว่า ราคา Bitcoin วิ่งตามการ Search Google หาคำว่า Bitcoin 2. ใช้หา Peak หรือ Bottom … ตัวอย่างยกเคส AOT ที่คน search หาคำว่า AOT ในช่วงต้นปีทำให้หุ้นขึ้นไปพีค หลังจากนั้นการ search ลดลง หุ้นก็ sideway ไม่ไปไหน และ ครั้งก่อนหน้าในปลายเดือนกันยายน ก็เช่นกัน 3. ใช้วิเคราะห์หา Trend ทั่วไป ดูคู่แข่ง … ตัวอย่างยกเคสการหาว่า ธุรกิจ Cloud Peak หรือยัง จะไปต่อหรือไม่ คู่แข่งเป็นอย่างไรบ้าง ข้อมูล Google Trend เข้าดูได้ผ่าน งานสัมมนาหลังจากนั้นก็เป็นการทิ้งท้ายส่งต่อให้ The Battle เพื่อให้โหวตกันว่า หุ้นเทคฯ จีน หรือ อเมริกา น่าสนใจกว่ากันครับ BottomLiner | บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดโลกในยุคปัจจุบัน คือ Jeff Bezos เจ้าของ Amazon บริษัท E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบริษัทค้าปลีก ความร่ำรวยของ Jeff Bezos ได้เบียดเอาชนะ Walmart ไปได้อย่างชัดเจน เมื่อต้นปี 2018 หลังตลาดหุ้นถล่ม และหุ้น Walmart ปรับตัวลง ตามตลาดพร้อมหุ้น Sure Thing ตัวอื่น ๆ โดยมีหลาย ๆ ตัวลงมากกว่าตลาด แต่ Amazon กลับวิ่งสวนขึ้นไปพร้อมหุ้นเทคโนโลยี ข้อมูลถึงวันที่ 2 ก.ค. 61 คือ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีของ หุ้น Walmart ลง -13.3% ในขณะที่ Amazon วิ่งไป 45.3%
เรื่องนี้ทำให้ได้เห็นหลาย ๆ อย่างคือ
1. Walmart และ หุ้น Sure Thing ซึ่งตลาดมักมองเป็นหุ้น Defensive ที่ควรจะลงน้อยกว่าตลาด แต่กลับตกแรงกว่าตลาด
2. Walmart ทำ E-commerce มีสินค้าขายกว่าล้านชิ้น ไม่ได้ต่างกับ Amazon แต่หุ้นกลับวิ่งคนละทาง Amazon หุ้นวิ่งขึ้นต่อไปพร้อมกับกลุ่มเทคโนโลยีอื่น ๆ แสดงว่ามันมีอย่างอื่นซ่อนใน Amazon อีก | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2687 | Finance | ทางเจ.พี. มอร์แกน ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี กับผลตอบแทนจากการลงทุนรายสัปดาห์ในดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 1963 เป็นอย่างไร | การประชุม FOMC ครั้งที่ผ่านมาในสัปดาห์ที่แล้ว ผ่านไปโดยไม่มีอะไรสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนมากนัก ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ 8-0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50-1.75% ต่อไป
แต่สำหรับการประชุมเดือนมิ.ย. ที่จะถึงนี้ หากดูที่ Fed Fund Futures เราจะพบว่า โอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ตอนนี้โอกาสสูงถึง 100% ขยับขึ้นมาสูงกว่าวันก่อนหน้าการประชุมซึ่งอยู่ที่ 95%
สิ่งที่เราเห็นว่าเปลี่ยนแปลงในรายงานการประชุม เห็นจะเป็นการแสดงความคาดหมายว่า อัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะขยับขึ้นใกล้เป้าหมายมากขึ้น โดยในรายงานการประชุมครั้งนี้ เฟดใช้คำว่า “เงินเฟ้อเข้าใกล้ 2%” ซึ่งต่างจากการประชุมในเดือนมี.ค. ที่ระบุว่าเงินเฟ้อยังคง “ต่ำกว่า 2%” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เงินเฟ้อมาแล้วนะครับ
หลักๆ ก็น่าจะมาจากการบริโภคภายในประเทศสหรัฐฯ เองที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง บวกกับราคาน้ำมันที่ขยับขึ้นมา หลังจากที่ซาอุดิอาระเบียให้เป้าราคาน้ำมันไว้ที่ $80 โดยวิธีการที่จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น น่าจะมาจากความร่วมมือการลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC เพราะได้ประโยชน์กันทั้งกลุ่ม และอีกวัตถุประสงค์หลักก็คือ เพื่อเป็นการสนับสนุนมูลค่าการ IPO ของ Saudi Aramco ด้วย โดยเจ้าชาย Bin Salman กล่าวว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตลอดทั้งปีและปี 2019 และบริษัท Aramco มีแผนที่จะ IPO ในปีหน้าแทนครึ่งหลังปีนี้
ปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปีถึงประมาณ 12% และอาจมีแนวโน้มขยับสูงขึ้นไปได้อีก
พอเห็นประเด็นตรงนี้ นักลงทุนก็เลยกังวลกันว่า จะเป็นความเสี่ยงโดยรวมของตลาดการลงทุนหรือไม่ เพราะหากราคาน้ำมันดีดกลับขึ้นมาสูง ก็จะทำให้เงินเฟ้อขยับสูงขึ้น และกดดันให้เฟด รวมถึงธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ในก่อนหน้านี้
ความท้าทายของธนาคารกลางก็คือ หากขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไป ก็จะเจอแรงกดดันจากเงินเฟ้อแบบนี้ และไปเร่งการเกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์ประเภทอื่นมากขึ้น แต่ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป ก็อาจจะไปทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจที่มีอยู่หยุดชะงัก จากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นจนธุรกิจมีความเสี่ยงในการปรับตัวไม่ทัน
แต่ถ้าดูจากการส่งสัญญาณของเฟดแล้ว ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า ปีนี้ น่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งครั้งถัดไปก็คือ การประชุมในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้นะครับ
จากการได้พูดคุยสอบถามกับผู้จัดการกองทุนทั้งในและต่างประเทศ ก็มีความเห็นในทางเดียวกันว่า ความเสี่ยงในแง่ของการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายก็คือ เซอร์ไพรส์ฝั่งขาขึ้น หรือ อีกความหมายหนึ่งก็คือ ความเสี่ยงที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ซึ่งแค่ประเด็นเรื่องการที่ซาอุฯ ให้เป้าราคาน้ำมันที่ $80 ก็อาจจะเพียงพอให้นักลงทุนทั่วโลกกังวลอยู่ในเวลานี้
แต่ท่ามกลางความกังวล ก็มีนักวิเคราะห์อีกหลายฝ่ายที่มองในมุมต่าง ผมลองยกมาให้ได้อ่านกันนะครับ โกลแมน แซคส์ (Goldman Sachs) มีมุมมองว่า ในโอกาสเพียงแค่ 25% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีนี้ (ขึ้นไปแล้ว 1 ครั้ง) และถึงจะขึ้นเร็วกว่านั้น Fed Fund Rate ในระดับที่ทางโกลแมนด์เอง มองว่าเป็นระดับที่ไม่น่าไว้วางใจ ก็ต้องอยู่ที่ระดับ 3.25%-3.50% เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อเทียบจากระดับปัจจุบันแล้ว ยังถือว่าห่างไกลมาก ดังนั้น ตลาดไม่น่าจะตอบรับในเชิงลบถึงแม้เงินเฟ้อจะมาเร็วกว่าคาด และทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
อีกด้าน ทางเจ.พี. มอร์แกน ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี กับผลตอบแทนจากการลงทุนรายสัปดาห์ในดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 1963 ก็พบความสัมพันธ์ที่น่าสนใจครับ คือ ในช่วงที่ 10-Year Treasury Yield ต่ำกว่า 5% พบว่า ผลตอบแทนรายสัปดาห์ของดัชนี S&P 500 มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อกัน
กล่าวคือ เมื่อ Yield ขยับขึ้น พบว่า อัตราผลตอบแทนของ S&P 500 ก็ขยับขึ้นเช่นกัน นั่นหมายความว่า ถึงแม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะขยับขึ้น แต่ตลาดหุ้นก็ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ ประเด็นนี้น่าจะพออธิบายเหตุผลได้ว่า เพราะอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเอง ถึงแม้จะขยับสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่คุ้มเมื่อเทียบกับการไปลงทุนในหุ้น
แต่เมื่อ 10-Year Treasury Yield สูงขึ้นมากกว่า 5% เป็นต้นไป ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะกลายเป็นมีลักษณะแปรผกผันทันที คือ Yield ขึ้น ตลาดหุ้นจะร่วง และ Yield ลง ตลาดหุ้นจะขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบ ณ ระดับปัจจุบันที่นักลงทุนกังวลกันว่า ที่ 10-Year Treasury Yield กำลังจะทะลุ 3% ขึ้นไป จะทำให้เกิดการปรับฐานรุนแรงในตลาดหุ้นหรือไม่ ก็คงต้องตอบจากหลักฐานในอดีตว่า ไม่ได้เป็นทริกเกอร์ให้ตลาดหุ้นปรับฐานแรงอะไรนะครับ
ดังนั้น ถ้าหุ้นจะลงแรง หรือถ้าเหตุการณ์ Sell in May จะเกิดขึ้น น่าจะมาจากเหตุผลอื่นมากกว่า และถึงแม้เกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นแค่การปรับฐานชั่วคราวครับ | ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ คือ ในช่วงที่ 10-Year Treasury Yield ต่ำกว่า 5% พบว่า ผลตอบแทนรายสัปดาห์ของดัชนี S&P 500 มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อกัน
กล่าวคือ เมื่อ Yield ขยับขึ้น พบว่า อัตราผลตอบแทนของ S&P 500 ก็ขยับขึ้นเช่นกัน นั่นหมายความว่า ถึงแม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะขยับขึ้น แต่ตลาดหุ้นก็ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ ประเด็นนี้น่าจะพออธิบายเหตุผลได้ว่า เพราะอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเอง ถึงแม้จะขยับสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่คุ้มเมื่อเทียบกับการไปลงทุนในหุ้น
แต่เมื่อ 10-Year Treasury Yield สูงขึ้นมากกว่า 5% เป็นต้นไป ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะกลายเป็นมีลักษณะแปรผกผันทันที คือ Yield ขึ้น ตลาดหุ้นจะร่วง และ Yield ลง ตลาดหุ้นจะขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบ ณ ระดับปัจจุบันที่นักลงทุนกังวลกันว่า ที่ 10-Year Treasury Yield กำลังจะทะลุ 3% ขึ้นไป จะทำให้เกิดการปรับฐานรุนแรงในตลาดหุ้นหรือไม่ ก็คงต้องตอบจากหลักฐานในอดีตว่า ไม่ได้เป็นทริกเกอร์ให้ตลาดหุ้นปรับฐานแรงอะไร
ดังนั้น ถ้าหุ้นจะลงแรง หรือถ้าเหตุการณ์ Sell in May จะเกิดขึ้น น่าจะมาจากเหตุผลอื่นมากกว่า และถึงแม้เกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นแค่การปรับฐานชั่วคราว | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2738 | Finance | ภาษากลางของสัญลักษณ์มือ เพื่อทำการซื้อขายสินค้าบน trading floor คือของตลาดใด | Open Outcry ศาสตร์ที่กำลังสาบสูญ
เห็นได้ชัดว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบดิจิทัลเป็นสาเหตุที่ทำให้การเริ่มต้นลงทุนหรือเก็งกำไรในตลาดทุนสมัยนี้สามารถทำได้ง่ายและสะดวกสบายมากมายกว่าเมื่อหลายทศวรรษก่อน เพียงแค่สมัครเปิดบัญชีทำธุรกรรมออนไลน์คุณก็สามารถเริ่มต้นการเทรดได้ทันที มากไปกว่านั้นคุณไม่จำเป็นต้องโทรไปหาเจ้าหน้าการตลาดของคุณเพื่อทำการซื้อขายเหมือนสมัยก่อนด้วยซ้ำ ทุกอย่างสามารถทำผ่านแพลตฟอร์มอะไรก็ได้ตราบใดที่คุณสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต เพราะฉะนั้นการซื้อ/ขายก็ทำได้รวดเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน เพียงไม่กี่นาทีคุณก็สามารถกดวางออเดอร์นับสิบได้ด้วยปลายนิ้วของคุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากหากคุณต้องการความได้เปรียบด้านเวลาในการเข้าออก แต่คุณรู้หรือไม่…กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้นั้น ก่อนหน้านี้สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดเก็งกำไรคือเทรดเดอร์และโบรกเกอร์นับพันคนยืนแออัดกันและส่งเสียงตะโกน พร้อมกับส่งสัญญาณมือประหลาดๆ ใส่กันไปมาเพื่อวางออเดอร์อันมหาศาลบน trading floor ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างในข่าวเศรษฐกิจตามรูปด้านล่าง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือจำนวนของคนบน trading floor และเครื่องไม้เครื่องมือที่เขาใช้ในการซื้อ/ขาย …จากการส่งสัญญาณด้วยมือก็เปลี่ยนมาเป็นแพลตฟอร์มพกพาแทน เทรดเดอร์ใช้แพลตฟอร์มพกพาในการส่งคำสั่งเข้าตลาดแทนวิธีการ open outcry (ที่มา: CNN) คุณเคยสงสัยไหมว่าสัญลักษณ์มือเหล่านั้นมีความหมายว่าอย่างไร วันนี้เรามาลองดูกันคร่าวๆ เพื่อเป็นความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโลกการเงินกัน การใช้สัญลักษณ์มือเพื่อทำการซื้อขายสินค้าบน trading floor อาจพูดได้ว่าการใช้สัญลักษณ์มือนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่มีตลาดรอง ทว่าไม่มีใครสามารถบอกได้จริงๆ ว่าจุดเริ่มต้นนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เชื่อว่าเกิดขึ้นก่อนปี 1903 เพราะตอนนั้นมีการจัดทำหนังสือคู่มือขึ้นสัญลักษณ์เบื้องต้นอย่างการซื้อ/ขาย ราคา และ จำนวน ขึ้นมาแล้ว สัญลักษณ์ที่มีความซับซ้อนขึ้นได้ถูกเพิ่มเติมมาทีหลังโดยเฉพาะในช่วงปี 1970 และเหมือนกับทุกภาษาคือ มีสำเนียงที่ต่างกันไปตามแต่ละตลาด ภาษากลางของสัญลักษณ์มือคือของตลาด Chicago ซึ่งใช้เทรดกันในตลาด CME และจะเป็นตัวอย่างหลักของเราในวันนี้ โดยวิธีการซื้อขายก็ไม่ได้มีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากแต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณเทรดในตลาดอะไร แต่โดยปกติโครงสร้างคำสั่งก็จะเป็นตามนี้คือ ซื้อหรือขาย จำนวน และ ราคา (รวมถึงวิธีการซื้อ/ขาย) ยกตัวอย่างเช่นคุณอยู่ใน pit S&P500 แล้วคุณอยากทำการขาย S&P500 10 สัญญา ที่ market price คุณก็จะใช้สัญลักษณ์ตามรูปด้านล่างตามลำดับดังนี้ ซึ่งในขณะที่เทรดเดอร์ทำท่าทาง เขาก็จะพูดตามคำสั่งที่เขาส่งไปด้วยเพื่อให้คู่ค้าอ่านปากเขาตามเป็นการยืนยันคำสั่งไปอีกทีในตัว ที่มา: แต่ภาพเหล่านี้ของเหล่าเทรดเดอร์และโบรกเกอร์ที่ตะโกนกันดังสนั่นในห้องค้าและสื่อสารกันด้วยภาษามือคงได้เห็นกันน้อยลงเรื่อยๆ เพราะความก้าวหน้าของเครื่องไม้เครื่องมือในตลาดที่เข้ามาทดแทนความจำในการส่งคำสั่งที่ซับซ้อนแบบอดีตในตลาดนั้นเพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้นการเก็บรักษาเรื่องราวเหล่านี้ก็เหมือนกับการอนุรักษ์ศิลปะของโลกตลาดการเงินไว้ให้คนรุ่นหลังสามารถย้อนกลับมาดูถึงจุดกำเนิดของศิลปะการเทรดที่ได้สาบสูญไปได้ในอนาคตมากกว่าเรียนรู้ไว้เพื่อนำมาใช้จริง การเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจะทำให้เราเดินหน้าไปอย่างแข็งแกร่งในอนาคต หากผู้ใดสนใจอยากเรียนรู้เกี่ยวกับ open outcry เพิ่มเติมสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ที่แปะไว้ด้านล่างนี้ครับ ข้อมูลอ้างอิง | ภาษากลางของสัญลักษณ์มือ เพื่อทำการซื้อขายสินค้าบน trading floor คือของตลาด Chicago ซึ่งใช้เทรดกันในตลาด CME โดยวิธีการซื้อขายก็ไม่ได้มีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากแต่ขึ้นอยู่กับว่าเทรดในตลาดอะไร แต่โดยปกติโครงสร้างคำสั่ง คือ ซื้อหรือขาย จำนวน และ ราคา (รวมถึงวิธีการซื้อ/ขาย)
ยกตัวอย่างเช่น อยู่ใน pit S&P500 แล้วอยากทำการขาย S&P500 10 สัญญาที่ market price ก็จะใช้สัญลักษณ์มือ ซึ่งในขณะที่เทรดเดอร์ทำท่าทาง เขาก็จะพูดตามคำสั่งที่เขาส่งไปด้วยเพื่อให้คู่ค้าอ่านปากเขาตาม เป็นการยืนยันคำสั่งไปอีกทีในตัว
แต่ภาพเหล่านี้ของเหล่าเทรดเดอร์และโบรกเกอร์ที่ตะโกนกันดังสนั่นในห้องค้าและสื่อสารกันด้วยภาษามือคงได้เห็นกันน้อยลงเรื่อยๆ เพราะความก้าวหน้าของเครื่องไม้เครื่องมือในตลาดที่เข้ามาทดแทนความจำในการส่งคำสั่งที่ซับซ้อนแบบอดีตในตลาดนั้นเพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้นการเก็บรักษาเรื่องราวเหล่านี้ก็เหมือนกับการอนุรักษ์ศิลปะของโลกตลาดการเงินไว้ให้คนรุ่นหลังสามารถย้อนกลับมาดูถึงจุดกำเนิดของศิลปะการเทรดที่ได้สาบสูญไปได้ในอนาคตมากกว่าเรียนรู้ไว้เพื่อนำมาใช้จริง | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |