ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
3.44k
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
11
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_1003
Finance
เพราะเหตุใด เศรษฐกิจญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว ยังคงอยู่ในโหมดการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเต็มตัว
null
ฮารุอิโกะ คูโรด้า ได้ให้คำตอบว่า มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. GDP: ขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังเล็กกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 2.7 สภาพถือว่าใกล้เคียงกับบ้านเราในขณะนี้ ส่วนขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปใหญ่กว่าตอนก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 3.7 และ 0.6 ตามลำดับ ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตรรกะในการคิดออกจะคล้ายกับแบงก์ชาติบ้านเราคือควรผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจไปก่อน 2. Terms of Trade: แม้ว่าอัตราการเติบโต GDP ของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 2.1 เมื่อวัดในปีแบบงบประมาณ 2021 ทว่าหากพิจารณาจาก ตัววัด GNI (Gross National Income) ซึ่งทำการเพิ่มปัจจัยอื่น ๆ อาทิ รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ และ รายได้จากกำไร หรือขาดทุนจากการค้า ซึ่งมีค่าเป็นลบจากการที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์ แม้ว่าค่าเงินเยนจะช่วยให้การส่งออกสินค้าและบริการ มีราคาในประเทศปลายทางที่ถูกลง ทว่าไม่ได้ช่วยด้านการนำเข้าแต่อย่างใด ดังนั้นการผ่อนคลายนโยบายการเงินต้องมาช่วยชดเชยในส่วนการนำเข้าที่สูงขึ้นด้วย 3. Inflation: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสด ในเดือนเมษายน 2022 จะเท่ากับร้อยละ 2.1 ทว่าเมื่อนำปัจจัยราคาจากด้านพลังงานออกไปจากการคิดเงินเฟ้อ ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในเดือนเมษายน 2022 จะเหลือร้อยละ 0.8 ในขณะที่ทางการญี่ปุ่นได้ประมาณการ อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสดในปี 2022 ว่าเท่ากับร้อยละ 1.9 ทว่าในปี 2023 จะเหลือเพียงร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับเข้าเป้าหมายควรจะใกล้เคียงระดับร้อยละ 2 เมื่อคิดแบบเฉลี่ยตลอดวัฏจักรเศรษฐกิจ จึงทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นควรจะดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีก นั่นคือ น่าจะกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินไปอีกพักใหญ่
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1006
Finance
5 อันดับกองทุนยอดนิยมที่ผู้คนค้นหาในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) มีอะไรบ้าง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มิ.ย. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มิ.ย. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 5 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดีประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
กองทุนยอดนิยม 5 อันดับที่ผู้คนคนหาในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) 1. KAB22B – กองทุนเปิดเค ฟิกซ์เดท เอเชียน บอนด์ 2022B 2. CHINA – กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์ 3. TMBCHEQ – กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index 4. SCBCHAA - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ 5. SCBFST - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1011
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับความหมายของ LUNA (Terra)
null
LUNA (Terra) คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลัง UST (Terra USD) ที่ทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้สมดุลอยู่เสมอ มีกลไกคือ ถ้า UST สูงกว่า 1 ระบบจะซื้อ LUNA คืนเพื่อแลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่ม Supply UST และกดระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้ลดลง แต่ในทางกลับกัน ถ้า UST น้อยกว่า 1 ระบบ จะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ เป็นการลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้นนั่นเอง โดย Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน และยังมีการใช้เงินจากคลัง ในการสนับสนุนอัดฉีด Decentralized Application ที่มีคุณภาพอีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้าข้างต้น LUNA คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลังอย่าง UST (Terra USD) ซึ่งทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้เสถียรสมดุลดั่งใจหวังอยู่เสมอ โดยอธิบายเป็นกลไกง่าย ๆ ก็คือ ถ้า UST มีมูลค่าสูงกว่า 1 ระบบจะทำการซื้อคืน LUNA แลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน (เป็นการเพิ่ม Supply UST และกดให้ระดับอตราแลกเปลี่ยนที่เฟ้อลดลง) ในทางกลับกันหาก UST มีมูลค่าน้อยกว่า 1 ระบบจะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ (ลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้น) นอกจากนี้เหรียญ LUNA ยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ อย่างระบบที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนอันต่อเนื่องกับผู้ขุดเหรียญอีกด้วย ความผันผวนทางด้านราคาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ และกลายเป็นอุปสรรคของการนำสกุลเงินมาปรับใช้ เพราะหากคิดภาพง่าย ๆ คงไม่มีใครอยากใช้เงินที่จู่ ๆ วันนึงราคาเพิ่มเป็นสองเท่า และวันดีคืนดีอาจลดลงมาอีก 2 เท่ากันเป็นแน่ เงินอะไรถือทีเดิมพันเหมือนเข้าคาซิโน ซึ่งปัญหาดังกล่าวก็จะยิ่งสร้างอุปสรรคให้กับธุรกรรมที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เช่น การผ่อนหรือแบ่งจ่ายที่ต้องจ่ายเป็นงวด ๆ หลายเดือนหรืออาจจำหลายปี การจำนองบ้าน รวมไปถึงสัญญาค่าจ้างต่าง ๆ เพราะ คงไม่มีใครอยู่ดี ๆ เป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาเท่าตัวใน 5 วัน หรือเจ้าหนี้ได้รับเงินน้อยลงกว่าตอนปล่อยกู้จากค่าเงินที่ผันผวนอย่างหนัก Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ว่าในคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน คล้ายกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่หรือ Fixed rate ที่ไทยก็เคยใช้มาก่อนในการเข้ามาแก้ปัญหาความผันผวนของค่าเงิน นอกจากนั้น Terra จะมีการใช้เงินจากคลัง (Treasury) ในการสนับสนุนอัดฉีดแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ App หรือ Decentralized Application ที่มีคุณภาพ มีผลการดำเนินงานดีและได้การอนุมัติโดยผู้มีสิทธิโหวต
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1013
Finance
Meme coin คืออะไร
null
Meme coin เป็นสกุลคริปโตฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุก บางครั้งเพื่อการล้อเลียน แซว เสียดสี โดยมีแรงบันดาลจากมาจากมีมต่างๆ ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ meme coin ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวบุกเบิก คือ เหรียญคริปโตฯ Dogecoin ที่เปิดตัวในปี 2013 โดย Jackson Palmer และ Billy Markus เป็นผู้ริเริ่ม มีจุดประสงค์ในการสร้างเหรียญเพื่อความสนุก ใช้รูปสุนัขพันธุ์ชิบะอินุเป็นโลโก้ของเหรียญ ก่อนที่ภายหลัง Elon Musk มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัท Tesla จะทำการทวีตถึงเหรียญนี้ และก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนรุนแรงในช่วงเวลาหนึ่ง หลังจาก Dogecoin ก็มี meme coin อื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมา เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งกับ Dogecoin หรือ Dogelon Mars ที่ตั้งใจตั้งชื่อให้คล้ายกับ Elon Musk ที่หลายคนยกให้เป็นเสด็จพ่อเหรียญ Dogecoin ในช่วงหนึ่ง และหากไปดูโลโก้ของเหรียญในตระกูล meme coin ส่วนใหญ่ จะพบว่ามักจะมีลักษณะเป็นรูปการ์ตูนสุนัขตลกๆ ค่อนข้างเยอะ ข้อมูลจาก coinmarketcap พบว่ามี meme coin กว่า 250 เหรียญ หากแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ ที่เลือกใช้ มีเหรียญประเภทนี้ให้ซื้อขาย ก็เท่ากับว่าสามารถลงทุนใน meme coin ได้ไม่ต่างกับเหรียญคริปโตฯ อื่น ในบางครั้งเหรียญประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงมหาศาล เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่หากซื้อได้ในราคา ณ วันที่ 1 ม.ค. 2021 และถือมาจนวันที่ 29 ธันวาคม ของปี 2021 จะคิดเป็นผลตอบแทนมหาศาลถึง 49,000,000 % (แน่นอนว่าคงไม่น่ามีใครที่ซื้อและขายได้พอดีขนาดนี้)
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1015
Finance
ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนใดภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ระหว่าง กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing หรือ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health
null
แนะนำกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing เพราะธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health เป็นกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต แนะนำ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cyber Security ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งจะทวีความสำคัญในอนาคต ที่จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลสำคัญ 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนธุรกิจกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ และกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต เป็นหุ้น Defensive ซึ่งผลประกอบการไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก และได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด (outperform) ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุน 2 กลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ซึ่งเป็นธุรกิจวิจัยและพัฒนายา-วัคซีนรักษารวมถึงป้องกันโรค 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1016
Finance
จงบอกประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565
null
ประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565 1. กนง. มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี (กรรมการเสียงข้างน้อย 3 เสียงมองว่าต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ได้แล้ว) 2. เป็นครั้งแรกของปีที่คณะกรรมการเสียงแตก โดย 2 ครั้งก่อนมีเสียงเป็นเอกฉันท์ 3. คณะกรรมการมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยได้แรงบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ให้ กนง.ปรับคาดการณ์ การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2565 เป็น 3.3% จากเดิม 3.2% พร้อมปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็น 6.0 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4 แสนคนจากเป้าหมายเดิม 5.6 ล้านคน 4. คณะกรรมการยอมรับว่ามองเงินเฟ้อผิดพลาด จากที่มองเป็นแค่มองเป็นแค่เรื่องชั่วคราว กลับลำเป็นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอยู่นานกว่าที่ประเมินไว้เดิม จนต้องมีการปรับเป้าเงินเฟ้อในปี 2565 ขึ้นมา 6.2% จากเดิม 4.9% และปี 2566 เป็น 2.5% จากเดิม 1.7% 5. คณะกรรมการมองว่า ความจำเป็นการใช้นโยบายการเงินลดลง อย่างไรก็ตามเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องตามคาด จึงยังให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อไปก่อน 6. คณะกรรมการมีการย้ำในช่วงท้ายของรายงานการประชุมว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีความชัดเจนขึ้น จึงเห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินทีผ่อนคลายในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะลดลงในระยะข้างหน้า 7. คณะกรรมการจะพิจารณาเวลาที่เหมาะสมในการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสอดคล้องกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1018
Finance
เงินเฟ้อ หมายถึงอะไร
null
เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะเศรษฐกิจที่ระดับราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือถ้าพิจารณาจากค่าของเงิน เงินเฟ้อ คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ค่าเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจะซื้อของชิ้นเดิมนั้นต้องใช้เงินมากกว่าเดิม แปลง่าย ๆ อีกแบบก็คือ ของแพงขึ้นนั่นเอง ตัวอย่างแบบง่าย ๆ เลยคือ เมื่อก่อนมีเงิน 40 บาท ตอนเด็ก ๆ ก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวกินคนเดียวได้ตั้ง 4 ชาม แต่ตอนนี้ เรื่องมันเศร้าขอตังค์เยอะ ๆ ราคาก๋วยเตี๋ยวได้ขยับราคาขึ้นตามน้ำหนัก กลายเป็น 40 บาท ซื้อได้แค่ชามเดียว ถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไปอีก 30 ปีข้างหน้า ต้องอดกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท ราคามันจะต้องขยับขึ้นแซงน้ำหนักไปจนถึงชามละ 100 กว่าบาทแน่นอน เงินเฟ้อมันเกิดจากต้นทุนสินค้ามันแพงขึ้น และความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ต้นทุนในการผลิตสินค้าที่สูงขึ้น (Cost-Push Inflation) ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (Demand-Pull Inflation) เจ้า 2 ตัวนี้แหละที่เอาไว้มาวัดเงินเฟ้อว่าเท่าไหร่ ข้อดีของเงินเฟ้อ คือ ถ้าเงินเฟ้อนิดหน่อย ๆ ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1019
Finance
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) คืออะไร
null
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ มีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่หลักคือ ดูแลเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ อย่างเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยร้อนแรงหรือซบเซาเกินไป แบงก์ชาติก็อาจกำหนดนโยบายการเงิน อย่างการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นต้น แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันก็คงเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายอยู่พอสมควร ที่แม้แต่อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติต่างก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงปัญหาเงินเฟ้อด้วยนั่นเอง ตัวอย่างประเด็นสำคัญจากมุมมองของอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ คุณชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติที่เคยอยู่ในฉากหน้าของวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งเรื่องภาระหนี้สูง การขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารนโยบายแบบประชานิยม และหากรัฐบาลไม่สามารถดูแลนโยบายการคลังได้ดีกว่านี้ ภาระจะตกที่นโยบายการเงินต่อไป ทั้งที่ปัญหาการเงินเป็นปัญหาปลายเหตุ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติผู้ซึ่งมีผลงานสำคัญในเรื่องการฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อแบงก์ชาติในยุคหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง แสดงทรรศนะไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือมีความกังวลต่อวินัยทางการคลังของรัฐบาล และมองว่านโยบายการคลังในเวลานี้ไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะดำเนิน คุณวิรไท สันติประภพ พูดถึงประเด็นที่มองว่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นระเบิดเวลา รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้เกินจำเป็น อย่างสินเชื่อเงินทอน ที่ให้วงเงินสูงเกินกว่าความจำเป็นในการขอสินเชื่อ เป็นต้น
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1022
Finance
จงสรุปบทความ "ความน่ากังวลของ QT เมื่อเทียบกับ Recession"
เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประเมินว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างค่อนข้างเข้มข้น โดยไม่ต้องกังวลถึงการชะลอตัวหรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐมากเท่าไรนัก เนื่องจากสิ่งที่เรียกว่าเส้นโค้งเบเวอร์ริดจ์ (Beveridge Curve) ดังรูป ซึ่งตั้งชื่อตามนักเศรษฐศาสตร์อังกฤษของพรรคเสรีนิยมที่มีชื่อว่า วิลเลียม เบเวอริดจ์ ซึ่งได้วางแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดสำคัญของแนวคิดเส้นโค้งเบเวอริดจ์ คือ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอุปสงค์ของแรงงานที่แข็งแรงอย่างเช่นในขณะนี้ ทำให้อัตราส่วนระหว่างการจ้างงาน (hires) ต่อตำแหน่งงานว่าง (Vacancies) มีค่าอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งสิ่งนี้ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐลดจำนวนการโพสต์การหาคนงาน (Vacancies) ลงค่อนข้างเยอะ ดังแกนตั้งในรูป โดยที่ไม่ได้ทำให้จำนวนการจ้างงานลดลงมามากนักแต่อย่างใด หรือระดับอัตราการว่างงาน (นั่นหมายถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย) ไม่ได้สูงขึ้นมากนัก ดังแกนนอนในรูป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของจีดีพีสหรัฐมากนัก อย่างน้อยในจุด ณ ตรงนี้ ในทางกลับกัน ณ จุดนี้ ต้นตอของแหล่งกำเนิดของเงินเฟ้อสหรัฐ โฟกัสเริ่มจะเปลี่ยนจากเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยระดับโลก อย่างปรากฏการณ์ ‘อุปทานติดขัด’ หรือ Supply Disruption หรือเงินเฟ้อที่เกิดจาก ‘สินค้า’ หรือ Good Inflation กลายมาเป็น เงินเฟ้อที่เกิดมาจาก ‘ภาคบริการ’ หรือ Bad Inflation ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตลาดแรงงานที่ร้อนแรง จนกระทั่งค่าจ้างเพิ่มขึ้นแบบหยุดไม่อยู่ โดยทั้งปัจจัยอัตราการว่างงานที่มองต่อไปในระยะสั้นไม่น่าจะมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง จีดีพีสหรัฐไม่น่าจะชะลอลงอย่างรวดเร็ว และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมาจาก Bad Inflation ในมุมมองของวอลเลอร์แล้ว เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยให้เพียงพอที่จะตัดวงจรค่าจ้างที่จะเร่งตัวขึ้นมาให้ได้ สำหรับปฏิบัติการ Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งหมายถึงการลดขนาดงบดุลของเฟดด้วยอัตราประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จะส่งผลให้สภาพคล่องของระบบการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้น โดยในประเด็นนี้ มีนักเศรษฐศาสตร์ด้านธนาคารกลางชั้นนำหลายท่านให้คำอธิบาย QT ไว้ ซึ่งผมขอนำคำอธิบายดังกล่าว มาพิจารณากลไกของ QT ของเฟด ว่าน่าจะเป็นดังนี้ ในช่วง QT เฟดได้ยอมให้พันธบัตรที่ตนเองถือครองครบอายุ โดยที่ไม่ได้ทำการซื้อพันธบัตรใหม่ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐจะจ่ายคืนเงินต้น ให้กับพันธบัตรแต่ละล็อตที่เฟดถือครองอยู่ ซึ่งเฟดจะทำการสลายเงินของตนเองที่ได้รับมา ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐต้องสร้างเงินตราใหม่เพื่อทดแทนเงินที่จ่ายคืนไป ด้วยการขายหนี้ใหม่ให้ต่อสาธารณชน เท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่อง (เงินสด เงินสำรองของแบงก์พาณิชย์ หรือเงินฝาก) ออกจากระบบการเงิน และทดแทนด้วยตั๋วพันธบัตร ในขณะเดียวกัน โครงการ “reverse repo programme” ของเฟด จะทำให้สภาพคล่องสูงขึ้นเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด ภายใต้โครงการนี้ นักลงทุนให้เงินสดต่อเฟดและได้รับพันธบัตร (พร้อมดอกเบี้ย) เป็นการตอบแทน ซึ่งเท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบการเงิน และทดแทนด้วยตั๋วพันธบัตร ในช่วงนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรหรือดอกเบี้ยสหรัฐมีการแกว่งตัวเป็นอย่างมากดังเช่นที่เห็นอยู่ น่าจะมีนักลงทุนน้อยรายมากที่จะถอนเงินจาก RRP เพื่อซื้อพันธบัตรใหม่ เนื่องจากได้ไม่คุ้มเสีย ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของตลาดพันธบัตรจึงลดลงเนื่องจาก กลไกที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องจะหนีไปหาการลงทุน ที่จะได้สภาพคล่องที่ปลอดภัยกว่าจากการขายหุ้นและตลาดเงินมากกว่า ซึ่งยิ่งขายมากเท่าไร ก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมากเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีแหล่งเงินอยู่หนึ่งประเภทที่น่าจะได้รับผลดีจากปรากฏการณ์ QT นั่นคือสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือการปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งในปีที่แล้วสามารถขยายตัวถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าร้อนแรงมากที่สุดหลังวิกฤตซับไพร์ม
เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประเมินว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างค่อนข้างเข้มข้น โดยไม่ต้องกังวลถึงการชะลอตัวหรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ จุดสำคัญของแนวคิดเส้นโค้งเบเวอริดจ์ คือ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอุปสงค์ของแรงงานที่แข็งแรง ทำให้อัตราส่วนระหว่างการจ้างงาน (hires) ต่อตำแหน่งงานว่าง (Vacancies) มีค่าอยู่ในระดับต่ำมาก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของจีดีพีสหรัฐมากนัก ต้นตอของแหล่งกำเนิดของเงินเฟ้อสหรัฐ ฟกัสเริ่มจะเปลี่ยนจากเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยระดับโลก อย่างปรากฏการณ์ ‘อุปทานติดขัด’ หรือ Supply Disruption หรือเงินเฟ้อที่เกิดจาก ‘สินค้า’ หรือ Good Inflation กลายมาเป็น เงินเฟ้อที่เกิดมาจาก ‘ภาคบริการ’ หรือ Bad Inflation สำหรับปฏิบัติการ Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งหมายถึงการลดขนาดงบดุลของเฟดด้วยอัตราประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จะส่งผลให้สภาพคล่องของระบบการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้น กลไกของ QT ของเฟด ว่าน่าจะเป็นดังนี้ 1. ในช่วง QT เฟดได้ยอมให้พันธบัตรที่ตนเองถือครองครบอายุ โดยที่ไม่ได้ทำการซื้อพันธบัตรใหม่ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐจะจ่ายคืนเงินต้น ให้กับพันธบัตรแต่ละล็อตที่เฟดถือครองอยู่ ซึ่งเฟดจะทำการสลายเงินของตนเองที่ได้รับมา 2.ในขณะเดียวกัน โครงการ “reverse repo programme” ของเฟด จะทำให้สภาพคล่องสูงขึ้นเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด 3.ในช่วงนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรหรือดอกเบี้ยสหรัฐมีการแกว่งตัวเป็นอย่างมากดังเช่นที่เห็นอยู่ น่าจะมีนักลงทุนน้อยรายมากที่จะถอนเงินจาก RRP เพื่อซื้อพันธบัตรใหม่ เนื่องจากได้ไม่คุ้มเสีย 4.ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของตลาดพันธบัตรจึงลดลงเนื่องจาก กลไกที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องจะหนีไปหาการลงทุน ที่จะได้สภาพคล่องที่ปลอดภัยกว่าจากการขายหุ้นและตลาดเงินมากกว่า แหล่งเงินอยู่หนึ่งประเภทที่น่าจะได้รับผลดีจากปรากฏการณ์ QT นั่นคือสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือการปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งในปีที่แล้วสามารถขยายตัวถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าร้อนแรงมากที่สุดหลังวิกฤตซับไพร์
ตลาดการเงิน,สถาบันการเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน,เครื่องมือทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1024
Finance
การที่ User 692 ล้านคน ของ Meituan แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ user 1 คน อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะเหตุใด
null
การที่ User 692 ล้านคน ของ Meituan แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ user 1 คน อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะแม้จำนวน user ไม่โตแต่ Meituan สามารถทำให้ user เดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในแอป แม้ Meituan จะโดนผลกระทบจากรัฐบาลเหมือนกัน แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ Group-buying เพราะทั้ง Alibaba, Pinduoduo, DiDi เจอการคุมเข้มกว่ามาก อย่างในเคส DiDi โดนไปถึงให้ออกตลาดหุ้น แม้มาช้ากว่าใครแต่การเติบโต e-commerce ของ Meituan จัดว่าเร็วทีเดียว จากต้นปีที่ 2021 ที่รัฐบาลเริ่มทุบหุ้นเทคแต่ Meituan ยังโตได้ถึง 50% YoY ในส่วนธุรกิจ New initiatives ทางด้านแนวทางค่อนข้างคล้ายกับ Pinduoduo ในการให้ user รวมกลุ่มซื้อเพื่อกดราคาสินค้าให้ถูกลง โดย Meituan จะเน้นไปที่การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรง ตัดพ่อค้าคนกลางออกเพื่อลดต้นทุนนั่นเอง แต่ต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลเข้มงวดเรื่องการขยายธุรกิจเทคขาดทุนไปก่อน ซึ่งตัว Meituan ก็หนีไม่พ้นต้องลดการขายขาดทุนเพื่อเพิ่ม user และลดงบการตลาด ทำให้เริ่มกระทบการเติบโต ตัวธุรกิจต้องจับตาว่าหลังลดเผาเงินแล้ว e-commerce จะยังโตต่อได้ไหม ถ้าได้จะเป็นสัญญานบวกเพราะ Meituan ได้ user ใหม่เข้ามาเยอะมาก สามารถเข้ามาใช้บริการอื่นจากแอปได้อีก กลับกันถ้าลดเผาเงินแล้ว e-commerce ยอดตกแรงก็เป็นสัญญานลบ แสดงว่ายอดโตเพราะการลด แลก แจก แถม ไม่ได้ยั่งยืนในระยะยาว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1025
Finance
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ควรจะยุติการทำ QE และเริ่มทำ QT เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือไม่?
null
ไม่ เพราะถึงแม้ว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันจะอยู่ในระดับสูง แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้ออาจเริ่มชะลอตัวลง ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 8.5% ซึ่งแม้จะสูง แต่ก็ลดลงจาก 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2566 การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 ในส่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น negatively ด้านเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ การระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง สำหรับนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันของนโยบายการเงิน ส่วนผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ negatively ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม: Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด Fed ควรประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ Fed ควรสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน สรุป: การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ และสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1026
Finance
เหรียญ USDT ของ Tether คืออะไร
null
เหรียญ USDT เป็นเหรียญ Stablecoin ที่สร้างขึ้นโดย Tether และมีการตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราส่วน 1:1 กล่าวคือ 1 USDT มีมูลค่าเท่ากับ 1 USD ซึ่งได้รับการสำรองอย่างเต็มจำนวนจากเงินสำรองของ Tether นอกจากเหรียญ USDT ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว Tether ยังได้ออกเหรียญ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินอื่น ๆ อีกด้วย ได้แก่ EURT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินยูโร, CNHT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินหยวน, MXNT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินเปโซเม็กซิโก โดยในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ Tether มีการรองรับบนหลาย Blockchain ด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น Ethereum Blockchain, Polygon Blockchain, Solana Blockchain, Avalanche Blockchain เป็นต้น ด้วยความที่เหรียญ Stablecoin แต่ละเหรียญของ Tether มีความเชื่อมโยงกับเงินสำรองโดยตรง Tether จึงได้มีการให้บริษัทตรวจสอบบัญชี Moore Cayman เข้ามาตรวจสอบในทุก ๆ ไตรมาส และจะมีการประกาศรายงานการสำรองดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ Tether เพื่อทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจในเรื่องความโปร่งใสและมีการสำรองอย่างครบถ้วน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1028
Finance
การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะเหตุใด ระหว่าง แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน หรือ ให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ
null
แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะแต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน เช่น ช่วงกลางปี 2564 สหรัฐและยุโรปเปิดประเทศ แต่หลายประเทศในเอเชีย รวม ไทย ประกาศล็อกดาวน์ Demand จึงยิ่งฉีกห่างออกจาก Supply เงินเฟ้อมันถึงได้เร่งตัว ความจริงเงินเฟ้อมาตั้งแต่ต้นปี 2564 แล้ว เห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะพวกโลหะมีค่ามันพุ่งกระฉูดทะลุเพดานกันเป็นว่าเล่น และความที่เงินมันสะพัดมาก (จากการอัดเงินของ Fed) บรรดาพวกสินทรัพย์เสี่ยง ถึงได้ขึ้นกันเป็นสิบ ๆ เท่า ดังนั้นปัญหาเงินเฟ้อรอบนี้ ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ด้วยว่า ไม่ใช่เพราะเรื่อง supply bottleneck เหมือนอย่างที่ Fed หรือใครๆ บอกออกมา แต่มันเป็นเพราะตัว Fed ล้วน ๆ ส่วนการให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ เป็นเป้าหมายใหญ่ของการทำ QE Fed แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าจะทำให้โลกวุ่นวายขนาดไหน โอกาสที่ Fed ขึ้นดอก ทำ QT เพื่อการเพิ่มกระสุนให้ตัวเอง และเตรียมกลับมาทำ QE ในอนาคต กลไกนี้มันเกิดขึ้นแน่ ๆ อยู่แล้ว หากเศรษฐกิจมันตกต่ำมาก ๆ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของเงินเฟ้อต่ำด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ในตอนที่ Stagflation มันชัดเจนซะขนาดนี้ ภารกิจหลักจึงต้องจัดการเงินเฟ้อ ไม่ใช่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1032
Finance
ช่วยสรุปบทความ เจาะลึกกองทุน AFMOAT-H กองทุนป้อมปราการเหล็ก ทนทานทุกสภาวะตลาด” I สรุป LIVE Market Talk
สถานการณ์ของตลาดในฝั่งของ Growth Stock และ Value Stock ในมุมมองของ ทาลิส สถานการณ์ปีนี้ของตลาดโลกมีความเสี่ยงหลัก ๆ คือ ปัญหาในเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 และมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลกระทบกับราคาน้ำมัน ราคาพลังงาน และราคาสินค้าเกษตรเป็นหลัก ทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อยังคงอยู่ และผู้คนมีความกังวลว่า เงินเฟ้อจะยืดเยื้อต่อไปหรือไม่ ทางด้านสหรัฐฯ เอง เกรงว่า เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ไม่มีเสถียรภาพ ทางธนาคารกลางหรือ FED จึงออกนโยบายคุมเงินเฟ้อโดยการลดสภาพคล่องในระบบ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อันจะเป็นวิธีที่สามารถต่อกรกับเงินเฟ้อได้ ซึ่งมีผลกระทบกับหุ้น Growth ประการแรกคือ เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ Discount Rate สูงขึ้น ส่งผลให้การประเมินมูลค่าของบริษัทต่าง ๆ ลดลง ประการที่สองคือ ความคาดหวังในการเติบโตของหุ้น Growth ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันไม่แน่นอน ความคาดหวังที่หุ้นจะโตถึง 30% – 50% จึงลดลง ทำให้การเติบโตลดลงด้วย ส่งผลให้ราคาหุ้น Growth ถูก Valuation ที่ปรับตัวลงค่อนข้างมาก จึงทำให้นักลงทุนเริ่มย้ายไปลงทุนในกลุ่ม Value Stock มากขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Value มีผลตอบแทนจากเงินปันผล และค่อนข้างปลอดภัยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น Growth เพียงอย่างเดียว จึงเป็นเหตุผลว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้น Growth ถูกเทขาย ในขณะที่หุ้น Value อาจมีราคาลงบ้าง แต่ในระดับที่น้อยกว่าหุ้น Growth หรือหุ้นบางตัวอาจจะมีการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Value ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าจำเป็น เช่น กลุ่มอาหาร เป็นต้น เราจึงเห็นได้ว่า Growth Stock มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Value Stock นั่นเอง
ตลาด Growth Stock และ Value Stock ในมุมมองของ ทาลิส ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตลอด ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 ทำให้เป็นปัญหาหลักของตลาดโลกในปัจจุบัน สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนก็เพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน พลังงาน และสินค้าเกษตร ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อยังคงสูง ทางสหรัฐฯกังวลว่าการเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อต่อไปอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเข้ามีการควบคุมเงินเฟ้อ ทาง FED มีนโยบายลดสภาพคล่องในระบบและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ การเพิ่มดอกเบี้ยนี้มีผลต่อหุ้น Growth โดยทำให้ Discount Rate สูงขึ้น ส่งผลให้การประเมินมูลค่าของบริษัทลดลง ความคาดหวังในการเติบโตของหุ้น Growth ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่แน่นอน ทำให้การเติบโตของหุ้นนั้นลดลงถึง 30% - 50% และราคาหุ้น Growth ถูก Valuation ลดลงมาก นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะย้ายไปลงทุนในกลุ่ม Value Stock ที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลและค่อนข้างปลอดภัยกว่า หุ้น Value มีโอกาสปรับราคาขึ้น แม้ว่าหลายหุ้น Value อาจมีการลดลงบ้าง แต่มีบางตัวที่มีการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Value ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจำเป็น เช่น กลุ่มอาหาร หุ้น Growth มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Value Stock ทำให้มีการขายออกของหุ้น Growth และนักลงทุนมีความสนใจในหุ้น Value มากขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1037
Finance
จงสรุปบทความ กลยุทธ์แบบ Growth and Value Rotation
เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกลยุทธ์แบบ Sector Rotation ซึ่งใช้วิธีการปรับพอร์ตผ่านการสลับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมกันมาบ้าง เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกลยุทธ์แบบ Sector Rotation ซึ่งใช้วิธีการปรับพอร์ตผ่านการสลับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมกันมาบ้าง แต่มีอีก 1 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีคือ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) แต่มีอีก 1 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีคือ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่าง S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่าง S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) เป้าหมายของ S&P 500 Growth Value Rotator Index คือการใช้ประโยชน์จากกลุ่มหุ้นทั้งสองรูปแบบ โดยจะสลับไปมาระหว่างกลยุทธ์การเติบโตและมูลค่าตาม Momentum ผ่านคำนวณ Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน โดยจะมีการ Rebalance ทุกๆ เดือน เป้าหมายของ S&P 500 Growth Value Rotator Index คือการใช้ประโยชน์จากกลุ่มหุ้นทั้งสองรูปแบบ โดยจะสลับไปมาระหว่างกลยุทธ์การเติบโตและมูลค่าตาม Momentum ผ่านคำนวณ Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน โดยจะมีการ Rebalance ทุกๆ เดือน ถ้าสิ้นเดือน S&P500 Growth Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Value Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Growth Index ถ้าสิ้นเดือน S&P500 Growth Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Value Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Growth Index แต่ถ้า สิ้นเดือน S&P500 Value Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Growth Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Value Index แต่ถ้า สิ้นเดือน S&P500 Value Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Growth Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Value Index ดัชนี S&P 500 Growth Value Rotator มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า S&P500 อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1995 ถึงกรกฎาคม 2019 โดยสร้าง ดัชนี S&P 500 Growth Value Rotator มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า S&P500 อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1995 ถึงกรกฎาคม 2019 โดยสร้าง ดูได้จากรูปข้างล่าง โดยเอาชนะทั้ง S&P500 Value , S&P500 Growth และ S&P500 ดูได้จากรูปข้างล่าง โดยเอาชนะทั้ง S&P500 Value , S&P500 Growth และ S&P500 ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต จากรูปผลการดำเนินที่ผ่านมาให้อดีต S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด สามารถสรุปดังนี้ จากรูปผลการดำเนินที่ผ่านมาให้อดีต S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด สามารถสรุปดังนี้ ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา : www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 มาดูผลตอบแทนในอดีตมีดังนี้ มาดูผลตอบแทนในอดีตมีดังนี้ ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต
กลยุทธ์ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต
เทคโนโลยีทางการเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1044
Finance
จงตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในกองทุน LHPROPIA
null
กองทุน LHPROPIA หรือกองทุนเปิด แอล เอช พร็อพเพอร์ตี้ อินฟรา เฟล็กซิเบิล A เป็นกองทุนรวมประเภท Mixed fund มีนโยบายการลงทุนคือ - ลงทุนในหลักทรัพย์/ตราสารในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ - กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน - ทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ จะลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ประเทศอื่นในเอเชีย และประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจะเน้นไปที่ประเทศสิงคโปร์และประเทศไทยเป็นหลัก ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในกองทุน LHPROPIA - CPN REIT – Retail REITs ไทยที่จะสามารถดัน Performance ของ REITs ให้พุ่งขึ้นได้ โดยทางกองให้น้ำหนักในการลงทุนมากที่สุดคือ CPN REIT ซึ่งกระจายการลงทุนทั้งในส่วนของตัวห้างสรรพสินค้า 85% ออฟฟิศ 10% และโรงแรม 5% การเติบโตที่จะกลับมาในปี 2022 คือ Traffic Recovery (จำนวนผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้า) ที่อยู่ในระดับ 80% อันเป็นตัวกระตุ้นที่จะทำให้ตัวผลตอบแทนของ CPN REIT อาจปรับสูงได้มากกว่า 6% ในปี 2022 ซึ่งกลุ่ม Retail REITs เป็นกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นทุนเดิม - DIF – กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม มีการกระจายการลงทุนทั้งในส่วนของเสาโทรคมนาคม และ Fiber Optic ซึ่งเป็นธุรกิจอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ และมีความเกี่ยวพันกับเงินเฟ้อ ซึ่งสามารถปรับเพิ่มค่าเช่าขึ้นได้ กองทุน DIF ได้รับความสนใจจากต่างประเทศ เนื่องจากมี Market cap อยู่ที่หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาทไทย และมี Dividend Yield ประมาณ 8% นอกจากนี้ DIF ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนสถาบัน และมีสัดส่วนการลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติของการเป็นหุ้นที่ดี ทั้งรายได้จากค่าเช่าที่สม่ำเสมอ มีอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง และมีสภาพคล่องสูงมาก
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1049
Finance
SEA Group มีงบใน Q1/22 เท่าไหร่บ้าง
null
SEA Group ประกอบธุรกิจหลัก ๆ ด้วยกัน 3 อย่าง 1. Digital Entertainment ภายใต้ Garena ที่มีเกมดัง ๆ อย่าง PUBG, League of Legends, ROV และ Free Fire โดยหารายได้จากการขายไอเทมให้กับผู้เล่นเกม ซึ่งคิดเป็นประมาณ 41% ของรายได้ทั้งหมด 2. E-commerce ภายใต้ Shopee แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำที่เป็นที่รู้จักกันดีในภูมิภาคอาเซียน ขยายไปไกลถึง Latin America โดยมีรายได้มาจากการขายสินค้าด้วยตัวเองผ่าน Official Store เช่น Shopee Mall รวมถึงค่าธรรมเนียมที่คิดกับร้านค้าภายนอก และค่าโฆษณาในแพลตฟอร์ม 3. Digital Financial Services ภายใต้ seaMoney ที่มีทั้ง AirPay, ShopeePay, และ SPayLater เกาะกระแส BNPL ด้วยตัวเอง ไม่ต้องง้อการพาร์ทเนอร์กับคนนอก ราคาหุ้น SE ร่วงจากจุดสูงสุดราว ๆ 78% แล้ว จากความกังวลเรื่องการเปิดเมือง จะส่งผลต่อธุรกิจหลักของ SEA อย่าง Garena และ Shopee เพราะ SEA ยังเป็นหุ้นที่ขาดทุนอยู่มาก เพื่อแลกกับการเติบโตของธุรกิจอย่างก้าวกระโดด รวมถึงข่าวร้ายที่โดน India แบนทั้งที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย และ Tencent ยักษ์ใหญ่แดนมังกรขายหุ้นไปกว่า แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยังขยายบริการเพิ่มใน 5 ประเทศคือ บราซิล โปแลนด์ เม็กซิโก กัมพูชา และชิลี ในปี 2021 งบ Q1/22 - รายได้รวม $2.9 Billion + 64% YoY มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 2.86 Billion - Gross Profit 1.2 Billion +81.3% YoY - รายได้จาก E-commerce 1.5 Billion +64% YoY - รายได้จาก Digital Entertainment 1.1 Billion +45% YoY - รายได้จาก Digital Financial Services 236 Million +360% YoY - ขาดทุนต่อหุ้น -$0.8 น้อยกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ -$1.4 ในงบหากมองแบบ YoY จะไม่เห็นผลกระทบชัดเจน แต่ถ้าหากมองแบบ QoQ จะเห็นการชะลอตัวในบริการต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1051
Finance
สิ่งใดของอุตสาหกรรมชิปที่เป็นตัวทายตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้ดีมาก ๆ ระหว่าง การขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิป หรือ นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล
null
การขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิป ชิปนั้นใช้ในเกือบทุกอย่างของสินค้าเทคโนโลยี เหล่าสินค้ารอบตัวนั้นมีชิปอยู่ภายใน ทั้ง มือถือ, คอม, รถยนต์ หรือการใช้บริการ Facebook, Instagram, Netflix ล้วนมีการทำงานผ่าน server ที่ต้องการชิปเช่นกัน สรุปได้ว่าการขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิปเป็นตัวทายตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้ดีมาก ๆ และถ้าศึกษาลงไปอีก จะเห็นว่า supply chain ของอุตสาหกรรมนี้ใหญ่มาก ๆ เกี่ยวข้องกับหุ้นใหญ่หลายตัว และทั้งหมดใช้ supplier เจ้าเดียวกัน หรือมีคอขวดที่เดียวกัน 4 บริษัทเครื่องจักรผลิตชิปของโลก ASML, AMAT, Lam Research, Tokyo Electron รวมกัน 80% แม้รายได้จะสูงเมื่อเทียบอดีต แต่การเติบโตเทียบช่วงเดียวกันของปี 2021 %YoY เหลือเพียง 5% ก็คือแทบจะไม่โตแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นจากทั้งกำลังการผลิตเต็ม และเรื่องกำลังซื้อผู้บริโภคที่หายไปจากเงินเฟ้อ ส่วนนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล เป็นปัจจัยที่ขึ้นกับการที่ตลาดจะกลับมาดีขึ้น ปกติแล้วกว่าที่ตลาดจะกลับมา ได้ต้องใช้เวลาราว 6 – 12 เดือน หรือนานกว่า ขึ้นกับนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1052
Finance
จงบอกเหตุผลที่ SET แข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน ในปี 2022
null
เหตุผลที่ SET แข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน 1. ตัวเลขการส่งออก และ ภาคท่องเที่ยว ในปี 2022 ประมาณการไม่ได้รับการทบทวนในเชิงลบจากสภาพัฒน์ รวมถึง การบริโภคภาคเอกชน (Core ของ เศรษฐกิจไทย) ประมาณการลดลงเพียงเล็กน้อย 2. ประเทศไทย น่าจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่น่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 ทว่าสำรองเงินตราระหว่างประเทศ หรือ Forex Reserve และนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนจะช่วยประคองเงินบาทไปในระหว่างนี้ 3. การเมืองไทย ดูแล้วไม่เป็นลบ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน 4. ตลาดหุ้นไทยชอบนโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทย อาทิ ภาษีน้ำมันดีเซล และ นโยบายเงินชราภาพของประกันสังคม 5. นโยบายเปิดเมืองจากโควิดจากประเทศต่าง ๆ ไทยได้รับอานิสงก์เชิงบวกมากสุดในอาเซียน เนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยต่อจีดีพีเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1056
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "เกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาถึงร่วง?" ให้หน่อยค่ะ
เกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาถึงร่วง? ​ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเหรียญ LUNA ร่วงหนักมากและเหรียญ Stablecoin อย่าง UST มีการหลุด Peg ทำให้ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตทั้งตลาด หลายคนคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาลงแรงขนาดนี้ ในบทความนี้จะพูดถึงเหตุการณ์และสาเหตุว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น, วิธีการแก้ปัญหาสถานการณ์ของ Terra และสถานการณ์เหรียญคริปโตในปัจจุบัน เหรียญ เหรียญ LUNA LUNA เหรียญคริปโต เหรียญคริปโต เพราะอะไรเหรียญ LUNA และ UST ร่วง ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม เหรียญ UST มีการหลุดตรึงมูลค่า (Peg) กับเงินดอลลาร์ ลดลงไปที่ 0.987 ดอลลาร์ หลังจากนั้นมีการดีดตัวกลับไปที่ 1 ดอลลาร์ในช่วงวันที่ 8 พฤษภาคม สาเหตุที่เหรียญมีการหลุดตรึงมูลค่า เนื่องมาจากแพลตฟอร์ม Anchor Protocol ได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี สำหรับผู้ที่ฝากเหรียญ UST ไว้บนแพลตฟอร์ม เมื่อมี Capital Flow เข้ามายังแพลตฟอร์มมากขึ้น ทำให้ทาง Anchor ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้เรื่อย ๆ จึงทำให้ทาง Terra ต้องนำเงินมาเติม และในวันนั้นปริมาณ UST ถูกถอนออกจาก Liquidity Pool บนแพลตฟอร์ม Curve Finance มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ จึงทำให้เหรียญ UST หลุดตรึงมูลค่า และทาง Terra จึงนำเงินฝากกลับเข้าไป 100 ล้านดอลลาร์เพื่อให้เหรียญกลับสู่สถานการณ์ปกติ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการหลุดตรึงมูลค่าของเหรียญ UST ผู้ก่อตั้งก็ทราบถึงปัญหานี้ดีเขาจึงพยายามที่จะมี Use Case มากขึ้นและมีการซื้อ Bitcoin และ Avalanche ไว้เป็นทุนสำรอง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คนบางกลุ่มเห็นช่องโหว่ของเหรียญ LUNA และ UST เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม มีผู้โจมตีกลุ่มหนึ่งได้เทขายเหรียญ UST มูลค่า 285 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์ม Binance และ Curve Finance ทำให้เกิด Panic Sell และราคา UST หลุด Peg ทำให้ในตอนนั้นมีมูลค่าเหลือ 0.98 ดอลลาร์ ด้วยความที่ในตอนนั้นตลาดมีความปั่นป่วน ทำให้ตอนนั้นนักลงทุนมีความหวาดกลัวจึงเทขายเหรียญ LUNA และ UST ทำให้ราคามีการปรับตัวลงทั้งคู่ ทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกลับมามีมูลค่า 1 ดอลลาร์ได้ กลไกการทำงานของ Terra และ UST Terra เป็นแพลตฟอร์ม Decentralized Finance ที่ให้บริการกู้ยืมระหว่างผู้ใช้งานหรือ P2P Lending โดยมีเหรียญ LUNA เป็น Governance Token และเหรียญ UST เป็นเหรียญ Stablecoin ประเภท Algorithmic Stablecoin มีการตรึงมูลค่าแบบอัลกอริทึม โดยใช้กลไกการ Mint & Burn เหรียญ LUNA และ UST บนเครือข่าย สำหรับการทำงานของเหรียญ UST จะเป็นโมเดลในรูปแบบเศรษฐศาสตร์ที่ขึ้นอยู่กับ Demand/Supply กล่าวคือ ถ้าหาก UST มีความต้องการมาก ระบบจะเผาเหรียญ LUNA เพื่อออกเหรียญ UST มากขึ้น แต่ถ้าหากความต้องการ UST น้อยลง ทางระบบก็จะเผาเหรียญ UST เพื่อ Mint เหรียญ LUNA ออกมา หลักการโมเดลในลักษณะนี้เป็นโมเดลที่รักษาเสถียรภาพของเหรียญ เพื่อให้มูลค่าเหรียญเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จากหลักการเหรียญที่อ้างอิงตาม Demand และ Supply ทำให้นักลงทุนสามารถ Arbitrage เหรียญเพื่อเก็งกำไรได้ ดังภาพ เหรียญ เหรียญ Stablecoin Stablecoin ที่มา: ถ้าราคา UST > $1 เราสามารถ Mint เหรียญ UST จากการ Burn เหรียญ LUNA และขายเหรียญ UST ได้เพื่อเก็งกำไร ถ้าหากราคาเหรียญ UST < $1 โดยเราซื้อเหรียญ UST จากตลาด Exchange เพื่อ Mint เหรียญ LUNA ออกมาที่ราคา 1 ดอลลาร์ จากนั้นเราก็สามารถขายเหรียญ LUNA เพื่อเก็งกำไรได้ อย่างไรก็ตามคอนเซปต์ของเหรียญ UST นั้นมีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน คือ เมื่อเกิดสถานการณ์ราคาเหรียญร่วงลงหนัก ๆ จะทำให้กลไกการ Mint & Burn จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกู้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์ได้ Terra ได้แก้ปัญหานี้อย่างไรบ้าง? สำหรับวิธีแก้ปัญหาของ Terra นั้น ทาง Luna Foundation Guard (LFG) ได้มีการเทขายเหรียญ Bitcoin ที่ใช้เป็นทุนสำรองเป็นจำนวน 80,394 BTC โดยทาง LFG ได้ปล่อยให้กู้ยืม Bitcoin จำนวน 52,189 BTC มูลค่า 1,666 ล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัท เป็นการซื้อขายแบบ Over-the-Counter (OTC) เพื่อช่วยการตรึงมูลค่า UST ต่อมา LFG ได้โอน Bitcoin จำนวน 28,205 BTC ไปยัง Binance เพื่อพยุงราคา UST ทำให้ราคา BTC ร่วงลงระดับต่ำสุดที่ราคาประมาณ 29,000 ดอลลาร์ในวันที่ 10 พฤษภาคม ที่มา: เมื่อราคา LUNA ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เกิดอุปทานของ LUNA สูงเกินจริง (Hyperinflation) เนื่องจากการออกเหรียญ UST ใช้กลไก Mint & Burn เมื่อความต้องการเหรียญ UST น้อยลงทำให้ Supply เหรียญ LUNA มากขึ้น จะเห็นได้ว่า Supply เหรียญ UST ลดลงมา $7.5 Billion และ Supply เหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นจาก 343 Million เป็น 6.53 Trillion คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อ 99,263,840% ต่อปี จึงทำให้ Terra Blockchain ต้องถูกระงับชั่วคราว ที่มา: Do Kwon ผู้ก่อตั้ง Terra ได้เผยแผนฟื้นฟูปรับเครือข่าย Terra ใหม่ทั้งหมด โดยแยก Blockchain ออกเป็น 2 ส่วน คือ Terra LUNA Blockchain เป็น Blockchain ใหม่ที่มีโทเคน LUNA และไม่มีการเชื่อมต่อกับเหรียญ UST แล้ว ส่วน Blockchain เก่าอย่าง Terra Blockchain จะยังคงเชื่อมอยู่กับเหรียญ UST และเปลี่ยนโทเคนจาก LUNA เป็น LUNA Classic (LUNC) สำหรับโทเคนใหม่ LUNA ถูกจำกัดไว้ที่ 1 พันล้านโทเคน โดยเหรียญ LUNA ใหม่นี้จะถูก Airdrop ให้กับผู้ถือเหรียญ LUNA เดิมหรือ LUNC และ UST ในสัดส่วน 75% และอีก 25% แบ่งให้กับ Community Pool จากแผนดังกล่าวจะต้องผ่านการโหวตจากทีมงานและผู้ถือครองเหรียญก่อน ถ้าหากโหวตผ่านแผนฟื้นฟูจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 27 พฤษภาคม สำหรับแผนฟื้นฟูดังกล่าวทาง Do Kwon พยายามที่จะวางแผนเพื่อให้ราคา LUNA กลับไปเท่าเดิม แต่คนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าระบบนิเวศ Terra ฟื้นกลับคืนมาได้ยาก ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนเงินทุนจากภายนอก เพราะทาง LFG ได้ใช้เงินทุนสำรองเกือบทั้งหมดในการกู้สถานการณ์ นอกจากนี้ทาง LFG ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับทุนสำรองที่เหลืออยู่ ดังนี้ เหรียญ Bitcoin จำนวน 313 BTC เหรียญ BNB จำนวน 39,914 BNB เหรียญ AVAX จำนวน 1,970,000 AVAX เหรียญ UST จำนวน 1,970,000 UST เหรียญ LUNA จำนวน 222,710,000 LUNA (โดย LUNA จำนวน 221,020,000 เหรียญ ถูก Stake ไว้) สถานการณ์เหรียญ LUNA และ UST ในปัจจุบัน สำหรับราคาเหรียญ LUNA ก่อนหน้านี้มีราคาที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเหรียญ LUNA ร่วงหนักลงมาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ผู้ถือครองเหรียญสูญเสียไปมหาศาล หลังจากนั้นทางบริษัทได้ประกาศว่าจะรับผิดชอบและมีแผนที่จะปรับปรุงระบบนิเวศใหม่จึงทำให้ราคาเหรียญ LUNA เริ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนหลายคนมีการ FOMO แห่เข้าซื้อเหรียญ LUNA แต่อย่างไรก็ตามกระแส FOMO ที่มีต่อเหรียญ LUNA ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก เพราะ ณ ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าแผนพัฒนาของ Terra จะเป็นอย่างไร สำหรับราคาเหรียญ UST ในตอนนี้ก็ยังคงหลุด Peg มีมูลค่าประมาณ 0.089 ดอลลาร์ ราคาเหรียญ UST เริ่มหลุด Peg ในวันที่ 9 พฤษภาคม เหรียญ UST เริ่มมีมูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ นอกจาก UST จะมีมูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ที่เหรียญ USDT ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์เช่นกัน โดยลดลงถึง 0.9565 ดอลลาร์ และสามารถฟื้นราคากลับมาที่ 0.998 ดอลลาร์ได้ภายใน 36 ชม. ในระหว่างนั้นเหรียญ Stablecoin อื่นอย่าง USDC,BUSD และ DAI กลับมีมูลค่ามากกว่า 1-2% เนื่องจากนักลงทุนได้ย้ายสินทรัพย์ไปยัง Stablecoin ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน ที่มา: สรุปแล้วเหตุการณ์ราคา LUNA และ UST ลงแรง ได้ส่งผลต่อตลาดคริปโตและทำให้นักลงทุนหลายคนขาดความเชื่อมั่นต่อตลาดคริปโตไปเลย สำหรับเหตุการณ์ LUNA ถือว่าเป็นกรณีศึกษาให้ทุกคนตระหนักถึงความเสี่ยงว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นก่อนการลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด Zipmex Zipmex คำเตือน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2022 เหรียญ UST มีการหลุดตรึงมูลค่า (Peg) กับเงินดอลลาร์ ลดลงไปที่ 0.987 ดอลลาร์ หลังจากนั้นมีการดีดตัวกลับไปที่ 1 ดอลลาร์ในช่วงวันที่ 8 พฤษภาคม 2022 สาเหตุที่เหรียญมีการหลุดตรึงมูลค่า เนื่องมาจากแพลตฟอร์ม Anchor Protocol ได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี สำหรับผู้ที่ฝากเหรียญ UST ไว้บนแพลตฟอร์ม เมื่อมี Capital Flow เข้ามายังแพลตฟอร์มมากขึ้น ทำให้ทาง Anchor ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้เรื่อย ๆ จึงทำให้ทาง Terra ต้องนำเงินมาเติม และในวันนั้นปริมาณ UST ถูกถอนออกจาก Liquidity Pool บนแพลตฟอร์ม Curve Finance มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ จึงทำให้เหรียญ UST หลุดตรึงมูลค่า และทาง Terra จึงนำเงินฝากกลับเข้าไป 100 ล้านดอลลาร์เพื่อให้เหรียญกลับสู่สถานการณ์ปกติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการหลุดตรึงมูลค่าของเหรียญ UST ผู้ก่อตั้งก็ทราบถึงปัญหาดี เขาจึงพยายามที่จะมี Use Case มากขึ้นและมีการซื้อ Bitcoin และ Avalanche ไว้เป็นทุนสำรอง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คนบางกลุ่มเห็นช่องโหว่ของเหรียญ LUNA และ UST เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 มีผู้โจมตีกลุ่มหนึ่งได้เทขายเหรียญ UST มูลค่า 285 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์ม Binance และ Curve Finance ทำให้เกิด Panic Sell และราคา UST หลุด Peg ทำให้ในตอนนั้นมีมูลค่าเหลือ 0.98 ดอลลาร์ ด้วยความที่ในตอนนั้นตลาดมีความปั่นป่วน ทำให้ตอนนั้นนักลงทุนมีความหวาดกลัวจึงเทขายเหรียญ LUNA และ UST ทำให้ราคามีการปรับตัวลงทั้งคู่ ทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกลับมามีมูลค่า 1 ดอลลาร์ได้ วิธีแก้ปัญหาของ Terra นั้น ทาง Luna Foundation Guard (LFG) ได้มีการเทขายเหรียญ Bitcoin ที่ใช้เป็นทุนสำรองเป็นจำนวน 80,394 BTC โดยทาง LFG ได้ปล่อยให้กู้ยืม Bitcoin จำนวน 52,189 BTC มูลค่า 1,666 ล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัท เป็นการซื้อขายแบบ Over-the-Counter (OTC) เพื่อช่วยการตรึงมูลค่า UST ต่อมา LFG ได้โอน Bitcoin จำนวน 28,205 BTC ไปยัง Binance เพื่อพยุงราคา UST ทำให้ราคา BTC ร่วงลงระดับต่ำสุดที่ราคาประมาณ 29,000 ดอลลาร์ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2022 เมื่อราคา LUNA ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เกิดอุปทานของ LUNA สูงเกินจริง เนื่องจากการออกเหรียญ UST ใช้กลไก Mint & Burn เมื่อความต้องการเหรียญ UST น้อยลงทำให้ Supply เหรียญ LUNA มากขึ้น จะเห็นได้ว่า Supply เหรียญ UST ลดลงมา $7.5 Billion และ Supply เหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นจาก 343 Million เป็น 6.53 Trillion คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อ 99,263,840% ต่อปี จึงทำให้ Terra Blockchain ต้องถูกระงับชั่วคราว Do Kwon ผู้ก่อตั้ง Terra ได้เผยแผนฟื้นฟูปรับเครือข่าย Terra ใหม่ทั้งหมด โดยแยก Blockchain ออกเป็น 2 ส่วน คือ Terra LUNA Blockchain เป็น Blockchain ใหม่ ที่มีโทเคน LUNA และไม่มีการเชื่อมต่อกับเหรียญ UST แล้ว ส่วน Terra Blockchain จะยังคงเชื่อมอยู่กับเหรียญ UST และเปลี่ยนโทเคนเป็น LUNA Classic (LUNC) สำหรับโทเคนใหม่ LUNA ถูกจำกัดไว้ที่ 1 พันล้านโทเคน โดยเหรียญ LUNA ใหม่จะถูก Airdrop ให้กับผู้ถือเหรียญ LUNA เดิมหรือ LUNC และ UST ในสัดส่วน 75% และอีก 25% แบ่งให้กับ Community Pool จากแผนดังกล่าวจะต้องผ่านการโหวตจากทีมงานและผู้ถือครองเหรียญก่อน ถ้าหากโหวตผ่านแผนฟื้นฟูจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2022 สำหรับแผนฟื้นฟูดังกล่าวทาง Do Kwon พยายามที่จะวางแผนเพื่อให้ราคา LUNA กลับไปเท่าเดิม แต่คนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าระบบนิเวศ Terra ฟื้นกลับคืนมาได้ยาก ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนเงินทุนจากภายนอก เพราะทาง LFG ได้ใช้เงินทุนสำรองเกือบทั้งหมดในการกู้สถานการณ์ นอกจากนี้ทาง LFG ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับทุนสำรองที่เหลืออยู่ ดังนี้ - เหรียญ Bitcoin จำนวน 313 BTC - เหรียญ BNB จำนวน 39,914 BNB - เหรียญ AVAX จำนวน 1,970,000 AVAX - เหรียญ UST จำนวน 1,970,000 UST - เหรียญ LUNA จำนวน 222,710,000 LUNA (โดย LUNA จำนวน 221,020,000 เหรียญ ถูก Stake ไว้)
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1059
Finance
ในการลงทุนพอร์ต 1st Million ของ FINNOMENA จะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำเท่าไหร่
null
“เงินล้าน” คือ เป้าหมายในฝันของใครหลาย ๆ คน ถือเป็นหมุดหมายแห่งความมั่งคั่งที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างสรรค์สิ่งอื่น ๆ ได้ แต่เวลาพูดถึงเงินล้าน ใครหลายคนก็อาจจะรู้สึกว่าช่างเกินเอื้อมเหลือเกิน โดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อย หรือยังมีเงินไม่มาก แต่จริง ๆ แล้ว เงินล้านสร้างได้ เพียงแค่เริ่มต้นรู้จักออมเงินและลงทุน ทาง FINNOMENA เลยสร้างพอร์ต 1st Million ขึ้นมาตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ ถ้าลงทุนในพอร์ตนี้ จะมีเงินล้านภายในกี่ปี ในการลงทุนพอร์ต 1st Million จะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำ 5,000 บาท และลงทุนต่อเดือนอย่างต่ำ 2,500 บาท จะเห็นได้ว่าถ้าลงทุนขั้นต่ำนี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการเพิ่มเงิน จะใช้เวลา 16 ปีกว่าจะได้เงินล้านแรก แม้จะเห็นฝั่งฝันแต่ฟังดูแล้วยาวนาน แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการเพิ่มเงินลงทุน ซึ่งยิ่งลงทุนเยอะเท่าไร โอกาสที่จะถึงล้านแรกโดยเร็วก็มีมากขึ้นเท่านั้น การเพิ่มเงินลงทุนระหว่างทางเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็ช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าควรตรวจสอบสถานะการเงินตัวเองก่อน ว่าสะดวกลงทุนด้วยเงินเท่าไร เอาแบบที่ไม่ลำบากตัวเองจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตคงไม่มีความสุขแน่ ๆ อีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ เรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง ต้องเข้าใจว่าการลงทุนนั้นมีขึ้นมีลง บางปีอาจจะติดลบ บางปีอาจจะได้กำไร เพราะฉะนั้นหากลงทุนระยะสั้น ความเสี่ยงที่จะเจอความผันผวนก็จะเยอะกว่าลงทุนระยะยาว ในระยะยาวนั้นความผันผวนกับผลตอบแทนก็จะถูกเฉลี่ย ๆ กันไป ไม่เหวี่ยงเท่ากรอบเวลาสั้น คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง เงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจาก ผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการจำลองเงินลงทุนในอนาคตเป็นเพียงผลลัพธ์จากการคำนวณเชิงปริมาณ โดยมีพื้นฐานจากผลตอบแทนในอดีต และเป็นเพียงเครื่องมือ ศึกษาช่วยประกอบการตัดสินใจแก่นักลงทุน มิใช่สิ่งยืนยันผลตอบแทนในอนาคต ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1061
Finance
จงสรุปบทความ สรุป สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหรียญ LUNA
1. Do Kwan เป็นหนุ่มอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีชาวเกาหลีใต้ อายุ 31 ปี เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือข่ายบล็อกเชน Terra และเป็นเจ้าของเหรียญ LUNA Coin รวมถึง Stable Coin UST 2. Do Kwan จบการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้มีโอกาสทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และ Apple ก่อนจะแยกตัวมาก่อตั้งบริษัท Anyfi แพลตฟอร์มการสื่อสารไร้ศูนย์กลาง 3. จุดเริ่มต้นทีทำให้ Do Kwan เข้าสู่วงการคริปโตอย่างจริงจัง คือได้เจอกับ Daniel Shin ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Ticket Monster แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศเกาหลี และทั้งคู่ได้ร่วมก่อตั้ง Terraform Labs เครือข่ายการชำระเงินที่ใครก็สามารถใช้งานได้ และปราศจากการควบคุมจากส่วนกลาง จนทำให้เหรียญติด Top 10 ใหญ่ที่สุดในโลก 4. นอกจากนี้ Do Kwan ยังได้มีการจัดตั้ง Luna Foundation Guard หรือ LFG ซึ่งเป็นกองทุนที่จะช่วยดูแลเสถียรภาพของระบบนิเวศของ Terra ขึ้นมา ด้วยการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ไว้เป็นทุนสำรองใช้สำหรับพยุงราคา UST เหรียญ UST ถูกโจมตี 5. ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จู่ ๆ ราคาเหรียญ UST ที่เป็น Stablecoin ควรจะมีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ร่วงลงมาอยู่ที่ 0.980 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากการเทขายเหรียญ UST เป็นจำนวนมาก 6. ถึงแม้ว่ากองทุน LFG จะพยายามซื้อเหรียญ UST แต่ก็กลับไม่สามารถทำให้เหรียญ UST กลับไปแตะที่ราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐได้เช่นเดิม จึงทำให้ราคาของเหรียญ UST ร่วงลง และส่งผลให้ผู้ลงทุนเกิดความกังวล และเริ่มเทขายเหรียญออกมาเป็นจำนวนมาก ทำไมต้องโจมตีเหรียญ UST 7. Onchain Wizard ได้วิเคราะห์ออกมาว่า Luna Foundation Guard ซึ่งเป็นกองทุนที่ดูแลเสถียรภาพของ Terra ถือ Bitcoin เป็นเงินทุนสำรอง เพื่อพยุงราคา UST ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ถูกโจมตี 8. คนที่โจมตีได้ใช้ LUNA และ UST เป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการขาย Short ของ Bitcoin โดยผู้โจมตีจะต้องทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้กองทุนดังกล่าวเทขาย Bitcoin ออกมาเป็นจำนวนมาก และสิ่งที่ผู้โจมตีทำก็คือ การเทขาย UST อย่างรวดเร็วในคราวเดียว เพื่อให้กองทุนเทขาย Bitcoin 9. ย้อนกลับไปที่ระบบการทำงานของ UST และ LUNA หาก UST ราคาสูงเกิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวอัลกอริธึมจะทำการเผาเหรียญ LUNA และเพิ่มปริมาณของ UST เพื่อทำให้ราคานั้นกลับมาอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐดังเดิม แต่หาก UST มีมูลค่าที่ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ อัลกอริธึมก็จะทำการสร้าง (mint) LUNA เพิ่มเพื่อดึงราคา UST ให้กลับมาเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 10. แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือทั้งเหรียญ LUNA และ UST มีราคาลดลง และ UST ไม่ได้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดเดาว่าระบบสร้าง (Mint) เหรียญ LUNA และเผาเหรียญ UST ไม่เร็วพอ ที่จะทำให้กลับไปที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 11. นอกจากนั้น ผู้โจมตีก็ได้ทำการโอน UST ที่เหลือไปยัง Binance ด้วย เมื่อคนทั่วไปเจอธุรกรรมการโอน UST ออกจากระบบ ทำให้นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนก เลยเริ่มพากันเทขาย UST ออกมา 12. และก็เข้าทางผู้โจมตี เมื่อกองทุน LFG เข้ามาพยุง UST เพื่อหวังให้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ได้ โดยการเทขาย Bitcoin ในกองทุน LFG อย่างรวดเร็ว แต่ผู้โจมตีก็ยังคงทำการขาย UST บน Binance อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 13. จนในที่สุด Binance ต้องเข้ามาระงับการถอนเงิน UST เพื่อยับยั้งการแห่ขายและถอนเหรียญ ส่งผลให้ UST ร่วงไปถึง 0.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงราคาของ LUNA ด้วย เนื่องจากมีเหรียญในระบบมากเกินไป (ล่าสุด 6,500,000 ล้านเหรียญ จากเดิม 340 ล้านเหรียญ) จนทำให้มูลค่าต่อเหรียญเหลือค่าน้อยมากกกกกกก จากที่เคยแตะที่ 119.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงเหลือเพียง 0.0080 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น 14. จากนั้นไม่นานนั้น Exchange หลาย ๆ เจ้า ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ออกมาทยอยถอดเหรียญออกจากกระดานเทรด และจากสื่อในเกาหลี รายงานว่า Do Kwan ผู้ก่อตั้งเหรียญ LUNA ได้ขอความคุ้มครองจากตำรวจหลังจากที่มีนักลงทุนข่มขู่เข้ามา และได้แจ้งการยุติ Blockchain และรอการฟื้นฟู 15. แต่เมื่อวาน (13 พ.ค. 65) Binance และวันนี้ Bitkub ได้นำ UST และ LUNA กลับเข้ากระดานเทรดอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย และจากการที่ LUNA ราคาร่วงลงต่ำมากกกกกก (ก ไก่ล้านตัวก็คงไม่พอ) มีนักลงทุนหลายคนได้ทำการช้อนซื้อ LUNA เสี่ยงดวง เพื่อหวังเป็นศุลต่านคนใหม่ของประเทศไทย ส่งผลให้ LUNA พุ่งขึ้นกว่า +1,000% 16.ล่าสุด (14 พ.ค. 65) Do Kwon ได้ Tweet ข้อความโดยมีใจความว่า เขาใช้เวลาในไม่กี่วันก่อนหน้าเพื่อคุยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกใจสลาย นอกจากนี้ เขายังได้อธิบายแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของ Terra ผ่าน Research Forum โดยจะทำการ reset ให้กลับไปมีจำนวน 1,000 ล้าน LUNA โดยจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเกิดเหตุการณ์ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ 40% ให้ผู้ถือ UST ก่อน Upgrade เครือข่ายใหม่ 40% ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเครือข่าย Terra หยุดทำงาน 10% เก็บใน community pool สำหรับพัฒนาต่าง ๆ ในอนาคต 10% สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีทั้งคนที่กำลังรู้สึกเจ็บปวดกับการลงทุน และคนที่กำลังรู้สึกดีใจที่ทำกำไรจากการช้อนซื้อ LUNA ได้ ซึ่งบทเรียนครั้งนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนแข็งแกร่งขึ้นในวันข้างหน้า
Do Kwan เป็นหนุ่มอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีชาวเกาหลีใต้ อายุ 31 ปี เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือข่ายบล็อกเชน Terra และเป็นเจ้าของเหรียญ LUNA Coin รวมถึง Stable Coin UST จุดเริ่มต้นทีทำให้ Do Kwan เข้าสู่วงการคริปโตอคือได้เจอกับ Daniel Shin ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Ticket Monster แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศเกาหลี และทั้งคู่ได้ร่วมก่อตั้ง Terraform Labs เครือข่ายการชำระเงินที่ใครก็สามารถใช้งานได้ และปราศจากการควบคุมจากส่วนกลาง จนทำให้เหรียญติด Top 10 ใหญ่ที่สุดในโลก เหรียญ UST ถูกโจมตี ราคาเหรียญ UST ที่เป็น Stablecoin ควรจะมีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ร่วงลงมาอยู่ที่ 0.980 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากการเทขายเหรียญ UST เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่ากองทุน LFG จะพยายามซื้อเหรียญ UST แต่ม่สามารถกลับไปแตะที่ราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐได้ จึงทำให้ราคาของเหรียญ UST ร่วงลง และเริ่มเทขายเหรียญออกมาเป็นจำนวนมาก ทำไมต้องโจมตีเหรียญ UST Onchain Wizard ได้วิเคราะห์ออกมาว่า Luna Foundation Guard ซึ่งเป็นกองทุนที่ดูแลเสถียรภาพของ Terra ถือ Bitcoin เป็นเงินทุนสำรอง เพื่อพยุงราคา UST ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ถูกโจมตี คนที่โจมตีได้ใช้ LUNA และ UST เป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการขาย Short ของ Bitcoin โดยผู้โจมตีจะต้องทำให้กองทุน เทขาย Bitcoin ออกมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น ผู้โจมตีก็ได้ทำการโอน UST ที่เหลือไปยัง Binance ด้วย เมื่อเจอธุรกรรมการโอน UST ออก ทำให้นักลงทุนเกิด ความตื่นตระหนก เลยเริ่มพากันเทขาย UST ออกมา และก็เข้าทางผู้โจมตี เมื่อกองทุน LFG เข้ามาพยุง UST เพื่อหวังให้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ได้ โดยการเทขาย Bitcoin ในกองทุน LFG อย่างรวดเร็ว แต่ผู้โจมตีก็ยังคงทำการขาย UST บน Binance อย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนในที่สุด Binance ต้องเข้ามาระงับการถอนเงิน UST เพื่อยับยั้งการแห่ขายและถอนเหรียญ ส่งผลให้ UST ร่วงไปถึง 0.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงราคาของ LUNA ด้วย เนื่องจากมีเหรียญในระบบมากเกินไป จนทำให้มูลค่าต่อเหรียญเหลือค่าน้อยมาก จาก 119.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียง 0.0080 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น จากนั้นไม่นานนั้น Exchange หลาย ๆ เจ้า ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ออกมาทยอยถอดเหรียญออกจากกระดานเทรด Bitkub ได้นำ UST และ LUNA กลับเข้ากระดานเทรดอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย และจากการที่ LUNA ราคาร่วงลงต่ำมาก มีนักลงทุนหลายคนได้ทำการช้อนซื้อ LUNA เสี่ยงดวง เพื่อหวังเป็นศุลต่านคนใหม่ของประเทศไทย ส่งผลให้ LUNA พุ่งขึ้นกว่า +1,000% Do Kwon ได้ Tweet ข้อความโดยมีใจความว่า เขาใช้เวลาในไม่กี่วันก่อนหน้าเพื่อคุยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ โดยจะทำการ reset ให้กลับไปมีจำนวน 1,000 ล้าน LUNA โดยจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเกิดเหตุการณ์ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ 40% 2. ให้ผู้ถือ UST ก่อน Upgrade เครือข่ายใหม่ 40% 3. ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเครือข่าย Terra หยุดทำงาน 10% 4. เก็บใน community pool สำหรับพัฒนาต่าง ๆ ในอนาคต 10%
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1062
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19
null
การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19 แค่การเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นคงไม่พอ เพราะตลาดสินค้าแบรนด์เนมเติบโตสูงมากหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤตแบบนี้ก็ตาม จากการแพร่ระบาดของโรคในช่วงแรกๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมได้หยุดชะงักลงไปแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่การเปลี่ยนผ่านช่องทางการขายหลักมาเป็นช่องทางออนไลน์แทนนั้น ทำให้ในปี 2019 มูลค่าของตลาดสินค้าแบรนด์เนมสูงขึ้นมากกว่า 10 ล้านล้านบาท ยาวไปจนถึงปี 2021 จนทำให้หลายๆ บริษัท ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิที่เติบโตสูงขึ้นในช่วงเวลานั้นหลายแบรนด์เลยทีเดียว บทเรียนจากย่อหน้านี้ การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19 - “เมื่อซื้อหุ้น จะไม่เคยเห็นแม้แต่ใบหุ้น แต่เมื่อคซื้อนาฬิกาหรือเสื้อผ้าแบรนด์เนม ทุกคนจะมองเห็นสิ่งนี้ในทุกที่ที่สวมใส่มัน” - ตลาดสินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่แค่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังยิ่งเติบโตมากขึ้นระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์แม้กระทั่งในช่วงเวลาของวิกฤติโควิด-19 - ในช่วงที่เริ่มต้นวิกฤติโควิด-19 ใหม่ ๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมชะงักไปแต่ก็แค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะเมื่อปักหลักการขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมก็กลับมาเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 10 ล้านล้านบาทในปี 2019 - ต่อเนื่องจนถึงปี 2021 ที่ LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Dior, Tiffany & Co. และ Sephora ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิว่าเติบโตถึง 156% - ส่วนบริษัท Hermes ก็ได้ออกมาอวดว่าเป็น “ปีทองของ Birkin Bag” พร้อมโชว์ผลกำไรสุทธิเติบโต 77% - แม้แต่ JP Morgan ก็ยังคาดการณ์ว่ามูลค่าการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมจะยังเพิ่มขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านล้านบาท ในปี 2022 อีกด้วย
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1064
Finance
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 7 – 13 พ.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมบ้าง?
null
กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น 1. KT-ENERGY – กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.50% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +32.08% 2. ONE-ACTIVE6/2 – กองทุนเปิด วรรณ แอคทีฟ6/2 ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.48% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +30.14% 3. KT-OIL – กองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.24% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +33.49% หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) กองทุนยอดนิยม 1. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -13.32% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -43.00% 2. TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.16% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -22.50% 3. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.98% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -15.73%
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1065
Finance
ควรซื้ออะไรเข้าพอร์ต ถึงจะช่วยให้เงินได้ดิบได้ดีมากที่สุด ระหว่าง กำไร หรือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว
null
การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว เพราะเมื่อรู้แล้วว่าระยะยาวยังไงหุ้นก็ให้ผลตอบแทนได้ดี ควรยัดหุ้นแบบไหนเข้าพอร์ตถึงจะช่วยให้เงินได้ดิบได้ดีมากที่สุด คำตอบก็คือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้วและหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีการปรับฐานที่รุนแรงน้อยกว่า อีกทั้งยังฟื้นตัวได้ไวกว่า หุ้นในตลาดพัฒนาแล้วมีโอกาสในการฟื้นตัวในปีที่เกิดการปรับฐานได้ไวกว่า และมีการขาดทุนจากจุดสูงสุด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ที่น้อยกว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่ อีกทั้งยามฟื้นตัวยังบวกได้มากกว่าจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งในระยะยาวมาก ๆ ยังสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าอีกด้วย ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง NASDAQ 100 ยังมีความโดดเด่นมากที่สุดในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการปรับฐานที่มีความรุนแรงน้อยกว่าในทุกช่วงเวลาและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว ส่วนกำไร เป็นสาเหตุที่ราคาของดัชนีหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเติบโตได้ดี ซึ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ก้าวกระโดดและโดดเด่นอย่างแท้จริง ซึ่งถ้าถือยาว ๆ ก็อาจเป็นผู้ชนะได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามหากถอดใจไปก่อน อาจต้องเผชิญการขายหมู และอาจจะนึกได้ว่ารู้งี้ถือต่ออีกหน่อยดีกว่าก็เป็นได้
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1067
Finance
กองทุน SCBPGF ลงทุนในกองทุนหลักใด
null
กองทุน SCBPGF ลงทุนในกองทุนหลัก DWS Invest CROCI Sectors Plus ใน Share Class FCH (P) ไม่น้อยกว่า 80% โดยกองทุน SCBPGF จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยกระบวนการคัดเลือกหุ้นของ CROCI โดยจะคัดเลือก 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีค่าเฉลี่ยของ CROCI Economic P/E ต่ำที่สุด จาก 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้ได้พอร์ตหุ้นเน้นคุณค่าซึ่งไม่ค่อยเห้นกองทุนที่เน้นคุณค่าในตลาดหุ้นไทยสักเท่าไรนัก ความเห็นของเด็กการเงินต่อพอร์ตกองทุน SCBPGF - พอร์ตหุ้นมีแนวคิดที่ดี ผลงานย้อนหลังยอดเยี่ยม - ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับปานกลาง - จำนวนหุ้นทั้งหมด 30 ตัว มี Top 10 Holdings ไม่กระจุกตัว (<50% ของทั้งพอร์ต) - สัดส่วนที่แนะนำ 10-20% ของ Core Port ควบคู่กับสไตล์อื่นเช่น Growth - มีสัดส่วนการลงทุนที่ไม่เหมือนกับกองทุนหุ้นโลกโดยทั่วไป ใช้ในการกระจายความเสี่ยงได้ - ระยะเวลาการลงทุนที่แนะนำ 5 ปี ขึ้นไป คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสากรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1068
Finance
หุ้นนอกตลาดแตกรับมือยังไงดี?
null
เมื่อเข้าสู่สถานการณ์หุ้นต่างประเทศตลาดแตก สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงหากตัดสินใจลงทุนคือ ลงทุนในหุ้นประเภทที่มีการเติบโตอย่างแน่นอน หรือเป็นเป็น MEGA Trend ที่มีการเติบโต ต้องเป็นหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีนโยบายจากรัฐให้การสนับสนุน หากมองทางฝั่งอเมริกา รัฐบาลให้การสนับสนุนเรื่องของ R&D and Manufacturing, Electric Vehicles, Clean Energy tax credits โดยจะมุ่งไปที่ Electric Vehicles เป็นหลัก นอกจากนี้ กระแสของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรงตั้งแต่ช่วงปี 2021 อาจกล่าวได้ว่า เทรนด์ที่กำลังมาและมีแนวโน้มเติบโตคือ EV & AV (Electric Vehicle and autonomous vehicles) ประกอบกับอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านมาสู่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และพัฒนาเป็นระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหม่ของรถยนต์ที่จะได้เห็นกันในวงกว้าง หากบริษัทใดสามารถผลิตรถยนต์ตามคุณสมบัตินี้ได้ ก็จะมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในภาวะตลาดช่วงขาลง สิ่งที่นักลงทุนจะต้องตระหนักคือ ราคาหุ้นย่อมขึ้นลงเป็นวัฏจักร ถ้าหากมีเงินทุนสำรอง และเป็นหุ้นที่ดี เป็นกองทุนที่ดี ก็สามารถอดทนถือต่อไปได้ เพื่อรอจังหวะที่ราคาหุ้นจะขึ้น อีกครั้ง หากเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาด อาจจะต้องรอจังหวะให้ราคาหุ้นสูงขึ้น เพื่อให้ตลาดมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น ยกเว้นผู้ที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูงก็สามารถเข้าซื้อได้ ทั้งนี้ หากไม่เลือกลงทุนในตลาดหุ้น อาจจะมองในส่วนของ Alternative Investment ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกอย่างหลากหลาย หรืออาจลงทุนในหุ้นจำพวก Commodity หรือสินทรัพย์ที่เป็น MEGA trend ที่มีการเติบโต และได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐ ฯ อาจทำให้สามารถลงทุนต่อไปได้
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1069
Finance
The Sandbox มีโมเดลธุรกิจอย่างไร? อะไรคือกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ The Sandbox และมูลค่าของ SAND token?
null
โมเดลธุรกิจ: The Sandbox มีโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยระบบเศรษฐกิจเสมือนจริงภายในแพลตฟอร์ม โดยมีองค์ประกอบหลักดังนี้: การขายที่ดินเสมือน (LAND): ผู้เล่นสามารถซื้อที่ดินเสมือนในรูปแบบของ NFT บน Ethereum blockchain ที่ดินเหล่านี้สามารถใช้สร้างเกม ประสบการณ์ หรือพื้นที่สำหรับใช้งานอื่น ๆ การซื้อขาย NFT: ผู้เล่นสามารถสร้างและซื้อขาย NFT ภายใน Marketplace ของ The Sandbox NFT เหล่านี้สามารถเป็นตัวละคร ไอเท็ม อุปกรณ์ หรือสิ่งของอื่น ๆ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: The Sandbox เก็บค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม เช่น การซื้อขาย NFT การเช่าที่ดิน และการใช้บริการอื่น ๆ การให้สิทธิ์การใช้งาน: The Sandbox เสนอการให้สิทธิ์การใช้งานแก่ผู้พัฒนาเกมและผู้สร้างเนื้อหาอื่น ๆ เพื่อเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการสร้างประสบการณ์บนแพลตฟอร์ม กลไกขับเคลื่อนการเติบโต: การขยายฐานผู้ใช้: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดผู้ใช้ใหม่ ๆ เข้าสู่แพลตฟอร์มผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การจับมือกับพันธมิตร การออกแคมเปญการตลาด และการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ existing ผ่านการจัดกิจกรรม การอัปเดตเนื้อหาใหม่ และการสร้างระบบเศรษฐกิจเสมือนที่ยั่งยืน การขยายระบบนิเวศ: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การขยายระบบนิเวศของแพลตฟอร์มโดยดึงดูดนักพัฒนาเกม ผู้สร้างเนื้อหา และพันธมิตรใหม่ ๆ มูลค่าของ SAND token: การใช้ SAND token: SAND token ถูกใช้สำหรับ various purposes บนแพลตฟอร์ม The Sandbox เช่น การซื้อที่ดิน NFT การจ่ายค่าธรรมเนียม และการเข้าร่วมใน governance ของแพลตฟอร์ม ความต้องการ SAND token: ความต้องการ SAND token ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้ การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และการขยายระบบนิเวศของ The Sandbox การเก็งกำไร: SAND token ยังถูกใช้สำหรับการเก็งกำไร โดยนักลงทุนคาดหวังว่ามูลค่าของ token จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ข้อเสี่ยง: การแข่งขัน: The Sandbox เผชิญกับการแข่งขันจากแพลตฟอร์ม Metaverse อื่น ๆ กฎระเบียบ: กฎระเบียบด้าน cryptocurrency อาจส่งผลกระทบต่อ The Sandbox การพึ่งพา Ethereum: The Sandbox พึ่งพา Ethereum blockchain ซึ่งอาจประสบปัญหา scalability และความปลอดภัย สรุป: The Sandbox เป็นแพลตฟอร์ม Metaverse ที่มีโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยระบบเศรษฐกิจเสมือนจริง การเติบโตของแพลตฟอร์มขึ้นอยู่กับการขยายฐานผู้ใช้ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และการขยายระบบนิเวศ มูลค่าของ SAND token ขึ้นอยู่กับการใช้ token บนแพลตฟอร์ม ความต้องการ token และการเก็งกำไร อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การแข่งขัน กฎระเบียบ และการพึ่งพา Ethereum
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1070
Finance
มีการแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธีม Megatrends 3 กลุ่ม ได้แก่ เทคโนโลยีแห่งอนาคต นวัตกรรมการแพทย์ และจีน แต่ไม่ได้พูดถึงความเสี่ยงของกองทุนเหล่านี้ นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงอะไรบ้าง
null
1. ความเสี่ยงด้านราคา: กองทุน Megatrends ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง แต่หุ้นเหล่านี้มักมีราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 2. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: บางกองทุน Megatrends ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งอาจมีสภาพคล่องต่ำ 3. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: กองทุน Megatrends มักลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย 4. ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: เทคโนโลยีมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา กองทุน Megatrends ลงทุนในธุรกิจที่อาจถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ 5. ความเสี่ยงด้านความผันผวน: กองทุน Megatrends มักมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรมี Risk Tolerance ที่สูง 6. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: รัฐบาลแต่ละประเทศมีกฎระเบียบที่แตกต่างกัน กองทุน Megatrends ลงทุนในธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบ 7. ความเสี่ยงด้านความสามารถของผู้จัดการกองทุน: ผลการดำเนินงานของกองทุน Megatrends ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุน 8. ความเสี่ยงด้านค่าธรรมเนียม: กองทุน Megatrends มักมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด คำแนะนำ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน Megatrends อย่างละเอียด พิจารณาความเสี่ยงทั้งหมดก่อนตัดสินใจลงทุน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนที่แตกต่างกัน ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน นอกจากนี้นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจในธีม Megatrends ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง สรุป: กองทุน Megatrends มีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1076
Finance
สิ่งแรกที่ต้องรู้จักจาก Subprime Crisis คืออะไร
null
สิ่งแรกที่ต้องรู้จักจาก Subprime Crisis คือ MBS (Mortgage-Backed Security: หลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกัน) โดยกลไกของมันคือ สถาบันการเงินจะนำเงินไปปล่อยกู้ (ในกรณีนี้คือให้กู้ซื้อบ้าน) จากนั้นนำก้อนหนี้มามัดรวมกันเแล้วตั้งเป็น MBS ขึ้นมา ซึ่งเจ้า MBS นี้สามารถนำไปขายต่อให้นักลงทุนที่สนใจ รับผลตอบแทนจากการปล่อยกู้และรับความเสี่ยงแทนสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินจะได้นำเงินก้อนกลับมาจากการขาย MBS และมาปล่อยกู้ต่อ การลงทุนดังกล่าวจะมีสินทรัพย์จากลูกหนี้เป็นหลักประกัน และหนี้บ้านถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ทำให้นักลงทุนตอนนั้นมองกันว่ามีความปลอดภัย (ถ้าลูกหนี้ไม่เบี้ยวหนี้ ทิ้งบ้านหรือบ้านราคาลดลงอย่างรุนแรง) โดยทั่วไปแล้ว MBS จะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าธนบัตรรัฐบาลเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า และอัตราผลตอบแทนจะมากขึ้นตามเครดิตของผู้มากู้ ยิ่งเครดิตแย่ ยิ่งผลตอบแทนสูง (ความเสี่ยงโดนเบี้ยวหนี้สูงกว่า) ถ้าเปรียบ MBS เหมือนหุ้นรายตัวในตลาดหุ้น CDO (A collateralized debt obligation) ก็เหมือนกองทุนนั้นเอง เพียงแต่เป็นกองทุนที่ขายให้สถาบันการเงิน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะเกิดวิกฤตคือมีการสอดไส้ MBS ที่ขายไม่ออก หรือเกรดต่ำ ไว้ในกอง CDO ด้วย พบว่า CDO บางตัวที่ได้รับความประเมินว่ามีความมั่นคงมากระดับ AAA จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง Fitch, Moody’s หรือ S&P แต่ CDO เหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยสินเชื่อที่ปล่อยให้ผู้มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่าครึ่ง หลังสถาบันการเงิน ซื้อ CDO ไป MBS ที่ขายไม่ออก ก็จะมีเงินไหลเข้ามา และขายออกตามไปด้วย ในเมื่อ MBS และ CDO ถูกสร้างมาเพื่อสถาบันการเงิน แต่ว่ามีคนอื่น ๆ อยากเข้าถึงเครื่องมือนี้เหมือนกัน synthethic CDO จึงเกิดขึ้น synthethic นั้นหมายความว่า มันไม่ใช่ของจริง แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์เดียวกัน ทำให้ผู้ซื้อ-ขาย รายย่อยสามารถได้กำไรจากการส่วนต่างราคา ถ้าเครื่องมือ MBS และ CDO เหมือนหวย Synthetic CDO ก็ไม่ต่างจากหวยใต้ดินที่คนไปแทงขึ้น-ลงกันนอกกระดาน เพียงแต่มันบ้ากว่านั้นมาก
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1081
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ มุมมองต่อหุ้น Alibaba
null
มุมมองต่อหุ้น Alibaba ถ้าให้มองสถานการณ์กำไรของบริษัท เรียกได้ว่ารายได้ของบริษัทนั้นต่ำกว่าการคาดการณ์ค่อนข้างมาก เหตุผลเนื่องจากแรงกดดันที่เกิดจากการค่าปรับด้านการผูกขาด ด้านมุมมองต่อหุ้นในระยะสั้นนั้น นอกจากแรงกดดันแล้วยังได้รับแรงกดดันจาก Covid-19 ที่กลับมาระบาดในประเทศจีน ทำให้เกิดการอ่อนตัวลงด้านการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตของยอดขายสินค้ารวมและรายได้ของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ สงครามยูเครน รัสเซียก็ส่งผลกระทบด้านการขนส่ง อุปสงค์อ่อนตัวทำให้การเติบโตของธุรกิจ Cloud ช้าลง ในส่วนของมุมมองต่อหุ้นในระยะยาว ก็ต้องรอความชัดเจนจากการลงทุนด้านการบริหารต้นทุน ว่าจะมีนัยยะสำคัญต่อทางพื้นฐานธุรกิจหรือไม่ ถ้ามี คำตอบที่ได้ก็คือ กำไรอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ มุมมองต่อหุ้น Alibaba สถานการณ์กำไรบริษัท ระยะหลังรายได้บริษัทต่ำกว่าการคาดการณ์ไปค่อนข้างมากเนื่องจากมีแรงกดดันจากการค่าปรับด้านการผูกขาด ระยะสั้น - ยังได้รับแรงกดดันจาก Covid-19 ที่กลับมาระบาดอีกรอบในประเทศจีน ซึ่งทำให้การบริโภคภายในประเทศเริ่มอ่อนตัวลง และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของยอดขายสินค้ารวม หรือ GMV (Gross Merchandise Value) และรายได้ในส่วนของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า CMR (Customer Management Revenue) - สงครามยูเครน รัสเซียยังส่งผลกระทบกต่อธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับด้านการขนส่ง (Logistic) เป็นหลัก - ธุรกิจ Cloud เริ่มเติบโตช้าลงจากอุปสงค์ (Demand) ที่เริ่มอ่อนตัว - มีโอกาสถูกหั่นประมาณการเพิ่มเติม ระยะยาว ยังต้องรอความชัดเจนจากการลงทุนด้านการบริหารต้นทุน (Cost Optimization) ว่าจะมีนัยยะสำคัญต่อทางพื้นฐานธุรกิจหรือไม่ เพราะอาจช่วยให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1088
Finance
ช่วยสรุปบทความ รีวิวกองทุน ABPCAP: โอกาสลงทุนหุ้นอินดี้นอกตลาด แบบความเสี่ยงจำกัด ขยาย Upside!
ทำไมหุ้นแบบ Private Equity นอกตลาดถึงน่าลงทุน? หุ้นนอกตลาดมีโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้สูง (Upside return) และอาจมีความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ที่จำกัดจากระดับราคาที่ไม่สูง หากวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง หุ้นนอกตลาดอาจจำกัดการเข้าถึงกับคนทั่วไปก็จริง แต่มองกลับกันแล้วการที่คนเข้ามาได้ไม่เยอะก็อาจช่วยให้ความผันผวนของราคาลดลงได้เช่นกัน เพราะ ยิ่งคนเข้ามาซื้อขายมากราคาก็ย่อมผันผวนมากขึ้นเนื่องจากราคาเป็นสิ่งที่สะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์เรา อุ่นใจจากกระแสของข่าวร้าย เนื่องจากหุ้นนอกตลาดอาจเป็นหุ้นที่คนไม่สนใจมากนักจึงอาจทำให้คุณเห็นข่าวร้ายน้อยลงลดการตกใจขาย (Panic sell) ช่วยให้คุณลงทุนอย่างสงบสุขและโฟกัสกับการลงทุนในระยะยาวโดยแท้จริงได้มากขึ้น
หุ้นแบบ Private Equity นอกตลาดน่าลงทุนเนื่องจากมีโอกาส Upside return สูงและ Downside risk จำกัด หากทำการวิเคราะห์ถูกต้อง การเข้าถึงก็จำกัด ทำให้มีความผันผวนราคาลดลงได้ เนื่องจากคนเข้ามาซื้อขายน้อย ๆ และ ไม่มีกระแสข่าวร้าย ช่วยให้คุณลงทุนอย่างสงบสุขและโฟกัสกับการลงทุนในระยะยาวโดยแท้จริงได้มากขึ้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1090
Finance
ปัจจัยที่นักขุด Bitcoin ต้องคำนึงถึงปัจจัยใดเป็นสำคัญสำหรับการขุด Bitcoin ระหว่าง เครื่องขุด, ค่าไฟฟ้า หรือ โครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย
null
ค่าไฟฟ้า เพราะในการขุด Bitcoin จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น ค่าไฟฟ้าจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการขุด Bitcoin นักขุด Bitcoin มืออาชีพส่วนใหญ่มักจะตั้งเหมืองขุดในประเทศที่มีค่าไฟฟ้าต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่ำ เพื่อลดต้นทุนในส่วนนี้ โดยต้องต่ำกว่า $0.06 ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง จึงจะสามารถทำกำไรจากการขุด Bitcoin ได้แม้ว่าจะอยู่ในภาวะตลาดหมี ส่วนเครื่องขุด นักขุดต้องทำการซื้อเครื่องขุด Bitcoin โดยเฉพาะ หรือที่เรียกกันว่า ASIC แม้ว่าจะสามารถขุด Bitcoin ได้ด้วย CPU ทั่วไปที่ใช้ GPU หรือ FPGA แต่การขุดจะทำได้อย่างช้า ๆ ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าไฟโดยเปล่าประโยชน์ เพราะมีคู่แข่งจำนวนไม่น้อยที่ใช้เครื่องขุด Bitcoin สเปคเทพ มาลงสนามขุด Bitcoin ไปพร้อมกับตนเอง และสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย ความเร็วของเครือข่ายไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนกับกระบวนการขุด Bitcoin อย่างไรก็ตาม นักขุดต้องแน่ใจว่าอินเทอร์เน็ตของตนเองมีการเชื่อมต่อที่เสถียรพร้อมรับการใช้งานของโปรแกรมขุด Bitcoin ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะหากการเชื่อมต่อของอินเทอร์เน็ตถูกตัดไป กระบวนการขุดอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อผิดพลาดหลังจากอินเทอร์เน็ตกลับมาเชื่อมต่อได้อีกครั้ง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1091
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ "โอกาสในการเติบโตของตลาด Private Markets"
null
ตลาด Private Markets จะมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการลงทุนในตลาดนี้จะทำให้มีโอกาสลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย จึงทำให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุน หากตลาดอยู่ในภาวะการณ์เงินเฟ้อ และมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนอาจมี exposure ไปลงทุนที่ Private Debt ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากอัตราส่วนต่างของดอกเบี้ย แม้แต่อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน ก็เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างโอกาสรับรายได้อย่างสม่ำเสมอในยุคที่เงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ Private Markets คือ การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนและไม่ได้มีการซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น จึงมีกลุ่มผู้ลงทุนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่มีโอกาสเข้าถึง Private Markets ได้ การลงทุนในตลาด Private Markets มีข้อจำกัดในเรื่องของ Login Period หรือการกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขาย ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ นอกจากนี้ การลงทุนใน Private Markets มักใช้เงินลงทุนในปริมาณสูง และการเสนอขายจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน หรือกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (Ultra-High Net Worth) โอกาสในการเติบโตของตลาด Private Markets - Private Markets มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง - การลงทุนใน Private Markets ทำให้มีโอกาสลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และทรัพยากรธรรมชาติ ที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ - เมื่อสินทรัพย์มีความหลากหลาย จึงมีความยืดหยุ่นในการลงทุน หากตลาดอยู่ในภาวะการณ์เงินเฟ้อ และมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนอาจมี exposure ไปลงทุนที่ Private Debt ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากอัตราส่วนต่างของดอกเบี้ย หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ (Real estate) และ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ก็เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างโอกาสรับรายได้อย่างสม่ำเสมอในยุคที่เงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้น
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1095
Finance
ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่เรื่อง Recession หรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นคำที่ถูกค้นหาทางอินเทอร์เน็ตบ่อยมากถึงขนาดติดท็อปเทรนด์ในปี 2022
ก. สหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 1955 ยังไม่เคยมีไตรมาสใดที่อัตราเงินเฟ้อจากค่าจ้างสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 5 ต่อปี ข. เกิดผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี และ 2 ปี ค. เกิดปรากฏการณ์เส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยแบบหัวกลับ (Inverted Yield Curve) ง. อัตราการว่างงานเฉลี่ยต่ำกว่าร้อยละ 5 ต่อปี จ. การเกิดวิกฤตเงินเฟ้อช่วงปี 1948-1955
ข้อที่ถูกต้อง ได้แก่ จ. เพราะการเกิดวิกฤตเงินเฟ้อช่วงปี 1948-1955 เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐในปี 2022 ที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยมีปัญหาอุปทานติดขัดหรือ Supply Disruption และอุปสงค์ที่ร้อนแรงมากเกินไป ปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐในครั้งนี้ ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนมีนาคมที่ร้อยละ 8.5 และอัตราเงินเฟ้อซึ่งปราศจากอาหารและพลังงานที่ร้อยละ 6.5 น่าจะขึ้นเร็วและแรงพอสมควร โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 10 ต้น ๆ แต่น่าจะสามารถจบได้ภายใน 2-3 ปี ส่วนการที่ในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 1955 ยังไม่เคยมีไตรมาสใดที่หากอัตราเงินเฟ้อจากค่าจ้างสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 5 ต่อปี อัตราการว่างงานเฉลี่ยต่ำกว่าร้อยละ 5 ต่อปี ที่จะไม่ตามด้วยเศรษฐกิจถดถอยในอีก 2 ปีถัดไป การเกิดปรากฏการณ์เส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยแบบหัวกลับ (Inverted Yield Curve) และผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี และ 2 ปี เป็นสาเหตุที่คำว่า Recession หรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นคำที่ถูกค้นหาทางอินเทอร์เน็ตกันบ่อยมากถึงขนาดติดท็อปเทรนด์ ในปี 2022
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_1102
Finance
แนะนำวิธีเล่นคริปโตฯ ยังไงให้ปัง สำหรับมือใหม่เลยมือเก๋าให้หน่อย
null
1. ศึกษา White Paper ก่อนลงทุนเสมอ ถ้าเป็นหุ้นก็ต้องศึกษางบการเงินของบริษัทก่อนลงทุน ถ้าเป็นกองทุนก็ต้องศึกษาหนังสือชี้ชวนก่อนลงทุน แต่หากเป็นคริปโตฯ เราต้องศึกษาสิ่งที่เรียกว่า “White Paper” ก่อนลงทุนในเหรียญใด ๆ เสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะ White Paper เป็นเอกสารที่ผู้สร้างเหรียญระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับเหรียญทั้งหมด ใช้ช่วยประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกลงทุนในเหรียญนั้น โดยเราควรศึกษาก่อนลงทุนเสมอว่าเหรียญที่เราสนใจลงทุนกำลังทำโปรเจกต์อะไรอยู่ มีความเป็นไปได้ในอนาคตมากน้อยแค่ไหน ฟังก์ชันและโครงสร้างพื้นฐานของเหรียญเป็นอย่างไร มีกลไกอะไรที่ควบคุมอุปทาน (Supply) ของเหรียญอยู่ อุปทานของเหรียญมีอย่างจำกัดหรือไม่ ชื่อเสียงของเหรียญเป็นไปในทางบวกหรือลบ เพราะปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อราคาเหรียญทั้งสิ้น 2. ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง ไม่ใช่แค่เพียงการลงทุนในคริปโตฯ ก่อนลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การศึกษารายละเอียดคือการ “ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง” ใครที่ตามข่าวคริปโตฯ อยู่ก็คงจะทราบกันดีว่า ตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูงมาก ราคาเคลื่อนไหวเร็ว ขึ้นแรงลงแรง แถมยังเปิดซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดเหมือนตลาดหุ้น ลองประเมินความเสี่ยงดูว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด หากรับความเสี่ยงไม่ได้มากแต่ยังอยากลงทุนในคริปโตฯ อยู่ ลองศึกษาวิธีลงทุนอื่น ๆ นอกเหนือจากการเทรดดู เลือกวิธีที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้มากที่สุด เราจะได้ลงทุนอย่างมีความสุขในโลกคริปโตฯ ไปแบบได้ยาว ๆ 3. เลือกวิธีการลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง สืบเนื่องจากข้อ 2 การลงทุนในคริปโตฯ ไม่ได้มีแค่การเทรดอย่างเดียว ลองหาวิธีลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ในบทความนี้เราจึงรวบรวมวิธีการลงทุนในคริปโตฯ ที่หลากหลายมาฝากกัน การลงทุนระยะยาว (Hodl) – สำหรับนักลงทุนระยะยาวในวงการคริปโตฯ จะเรียกนักลงทุนสายนี้ว่า “Hodl” ย่อมาจาก “Hold on for dear life” ความหมายคือ ถือเหรียญคริปโตฯ ไปแบบยาว ๆ โดยอาจจะถือเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่ขาย ไม่ว่าราคาตลาดจะเป็นเช่นไร จะผันผวนสักแค่ไหน ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนสายนี้ต้องคำนึงคือโครงสร้างพื้นฐานของเหรียญที่เราจะเข้าไปซื้อถือว่ามีโอกาสที่จะเติบโตมากน้อยเพียงใด มีศักยภาพเติบโตได้ในระยะยาวหรือไม่ การเทรด (Trading) – เป็นการทำกำไรในคริปโตฯ โดยใช้โอกาสระยะสั้นจากความผันผวนของราคาคริปโตฯ อย่างทราบกันว่าคริปโตฯ ราคาเคลื่อนไหวค่อนข้างไว จึงมีนักเก็งกำไรไม่น้อยที่เข้ามาหาโอกาสทำกำไรจากตลาดคริปโตฯ ซึ่งกลยุทธ์การเทรดก็มีหลากหลายทั้งแบบ Scalping, Day Trade และ Swing Trade อย่างไรก็ตาม การที่จะเป็นสายเทรดเดอร์ได้เราต้องมีทักษะการวิเคราะห์และเทคนิคต่าง ๆ ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จและคาดการณ์ราคาเหรียญได้อย่างแม่นยำ Staking – เป็นการนำเหรียญไปฝากไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่รองรับการ Stake และล็อกมันไว้ เหรียญที่เราฝากไว้จะถูกนำไปใช้ในกระบวนการความถูกต้องของธุรกรรมบนบล็อกเชนแบบ Proof of Stake (PoS) โดยผลตอบแทนจากการ Stake จะอยู่ในรูปแบบของดอกเบี้ย ซึ่งอัตราก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม การ Stake มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาการปลดล็อกอยู่ ซึ่งอาจทำให้เราไม่สามารถถอนเหรียญที่เราฝากไว้ได้ทันที Yield Farming – หรือที่เรียกกันติดปากว่าการ “ฟาร์ม” เป็นอีกหนึ่งวิธีการหารายได้จากคริปโตฯ ด้วยการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากไว้ใน Liquidity Pool ของแพลตฟอร์ม Decentralized Finance (DeFi) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มนั้น ๆ โดยผลตอบแทนที่จะได้รับจากการฟาร์มจะอยู่ในรูปแบบของค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย รวมถึงโทเคน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ควรศึกษาก่อนว่าแต่ละแพลตฟอร์มเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งแพลตฟอร์ม DeFi ที่ได้รับความนิยมก็เช่น Uniswap, Sushiswap และ AAVE เป็นต้น 4. จัดพอร์ตการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” เป็นประโยคที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวมาในโลกการลงทุนต้องเคยได้ยินกันแน่ ๆ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ประโยคนี้สำหรับโลกการลงทุนหมายถึง “การกระจายความเสี่ยง” นั่นเอง ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม เราจะต้องทำการจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือการทำ “Asset Allocation” ใครที่ได้ยินคำนี้บ่อยแล้วก็อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อน เพราะอนาคตเราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จะส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่เราลงทุนมากหน่อยเพียงใด ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในโลกการลงทุน แม้ว่าจะประเมินความเสี่ยงแล้วรับความเสี่ยงได้มาก แต่การกระจายความเสี่ยงก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว 5. เลือกกระดานเทรดให้ตอบโจทย์ ปัจจุบันมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนในประเทศไทยมากมาย แต่ละเจ้าก็งัดจุดแข็งมาพิชิตใจลูกค้ากันแบบสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีที่สุดแสนจะง่ายดายผ่านทางออนไลน์ ค่าธรรมเนียมการเทรดที่ต่ำ ฯลฯ ลองเปรียบเทียบแพลตฟอร์มแต่ละเจ้าดูว่ามีเหรียญที่เราอยากลงทุนเปิดให้ซื้อขายหรือไม่ แอปพลิเคชันซื้อขายสะดวกต่อการใช้งานไหม มีฟังก์ชันครบตามที่เราต้องการรึเปล่า ฝากเงินถอนเงินสะดวกไหม และต้องการมีอัปเดตข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคริปโตฯ ให้ลูกค้าทราบเรื่อย ๆ ด้วยเพราะการติดตามข่าวสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการลงทุนในคริปโตฯ เพื่อให้ไม่พลาดโอกาสในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ ต้องดูเรื่องของสภาพคล่องด้วย เนื่องจากตลาดคริปโตฯ เปิดให้ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และหากเป็นเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ด้วยก็จะสามารถมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูง โดยสามารถดูแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1106
Finance
คำพูดใดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาวแบบ VI ที่ต้องจินตนาการถึงอนาคต ระหว่าง "Try not to become a man of success but rather try to become a man of value." หรือ "Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world."
null
Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. เพราะ Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้นั้นจำกัด จินตนาการนั้นโอบล้อมโลก” เป็นคำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เตือนให้คิดตลอดเวลาว่าต้องมีจินตนาการเวลาจะคิดหรือทำอะไรโดยเฉพาะอย่างในเรื่องของการลงทุน เพราะการลงทุนระยะยาวแบบ VI นั้น ต้องจินตนาการถึงอนาคต ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นนั้น อีก 5 ปี 10 ปีจะเปลี่ยนไปอย่างไร ส่วนคำพูดที่ว่า Try not to become a man of success but rather try to become a man of value. แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “อย่าพยายามเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ควรเป็นคนที่มีคุณค่า” คือ การพยายามทำอะไรที่เป็นประโยชน์หรือมีคุณค่ากับคนอื่น โดยไม่ต้องคิดว่ามันเป็นความสำเร็จของตนเอง การเผยแพร่และสอนการลงทุนที่ถูกต้องในแนว VI นั้น คือความสำเร็จอย่างแท้จริงตั้งแต่เริ่มเดินทางในโลกของการลงทุน แม้แต่เรื่องของเม็ดเงินหรือความมั่งคั่งนั้นก็เป็นแค่ผลพลอยได้ ดังนั้น คำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาวแบบ VI ที่ต้องจินตนาการถึงอนาคต คือ Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. หรือ “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้นั้นจำกัด จินตนาการนั้นโอบล้อมโลก”
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1108
Finance
ประมาณช่วงปี 2016 ถึง 2018 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแอปเปิ้ล ใช้เงินประมาณเท่าไหร่ ระหว่าง 36,000 ล้านเหรียญ หรือ 12,000 ล้านดอลลาร์
null
36,000 ล้านเหรียญ เพราะประมาณช่วงปี 2016 ถึง 2018 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแอปเปิ้ล ใช้เงินประมาณ 36,000 ล้านเหรียญ และคิดเป็นประมาณ 5.4% ของหุ้นแอปเปิ้ล และประมาณ 45% ของพอร์ตของเบิร์กไชร์ในวันนี้ ซึ่งถึงวันนี้ก็กำไรไปประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.3 เท่าในเวลาประมาณ 5 ปี สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของการลงทุนซื้อขายหุ้น แต่มันคืออีกธุรกิจหนึ่งของเขาเช่นเดียวกับหุ้นอย่างโค๊กหรือประกันภัยอย่าง General Re และอีกหลายบริษัท เพราะเขาคือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของแอปเปิ้ล และนี่ก็คือแนวความคิดในการลงทุนของบัฟเฟตต์มานานหลายสิบปีแล้วที่ “ไม่เคยเปลี่ยน” ส่วน 12,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเงินที่บัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้น IBM ที่ครั้งหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของโลกคอมพิวเตอร์ของอเมริกาและของโลก เขาไม่ได้ซื้อเพราะว่ามันเป็นเทค แต่เขาซื้อเพราะว่า IBM นั้นโตจนอิ่มตัวและคอมพิวเตอร์ก็เริ่มเป็นเครื่องมือธรรมดาที่ทุกธุรกิจจะต้องใช้ และ IBM ก็เข้าไป “ให้บริการ” งานคอมพิวเตอร์ทั้งหมดแบบ In-house ถึงที่ ซึ่งทำให้รายได้และกำไรมาอย่างสม่ำเสมอมั่นคงเหมือนกับงานบริการอื่น ๆ ที่ลูกค้าไม่หนีไปไหน ถ้าหากมีเหตุผลเชิงธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้และกำไรหรือมีเหตุผลในด้านของการใช้สอยที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญที่สุดสามารถประเมินถึงมูลค่าได้อย่างมีความแน่นอนระดับหนึ่ง บัฟเฟตต์ก็อาจจะลงทุนได้ แม้ว่ากลุ่มคนที่เล่นเหรียญชื่อดังอย่าง Peter Thiel กูรูนักลงทุนไฮเทคสตาร์ทอัพเบอร์ต้น ๆ ของโลกจะบอกว่าบัฟเฟตต์คือคนแก่ที่ขวางโลกและเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของคนเล่นเหรียญโดยเฉพาะบิตคอยน์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1109
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง SMIC โต 3 เท่า แม้โดนสหรัฐแบน ให้หน่อยค่ะ
SMIC โต 3 เท่า แม้โดนสหรัฐแบน ​ “SMIC” ชื่อเต็ม Semiconductor Manufacturing International Corporation คือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยต้นกำเนิดคล้ายกับแชมเปี้ยน TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลให้เงินอุดหนุนและสิทธิพิเศษหลายอย่าง ขณะที่ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ ฝั่งตะวันตกแพ้ราบ ทำให้ภาคการผลิตย้ายเข้าเอเชียและส่วนใหญ่จะมาผลิตกับ 3 เจ้านี้ ปัจจุบัน SMIC มีเทคโนโลยีตามหลังไต้หวันและเกาหลีใต้ประมาณ 6 ปี ซึ่งการจะเขยิบเข้าใกล้ก็ไม่ง่าย เพราะสหรัฐเตะตัดขาเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้ผลิตชิปรุ่นไฮเทคได้เอง อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้ว SMIC ประกาศว่าผลิตชิป 7nm ได้แล้ว หลังจากนั้นไม่นานเจอคำสั่งแบนชุดใหญ่จาก Trump และตามมาด้วยอีกชุดจาก Biden แบนหนักแต่งบปี 2021 โตระเบิด รายได้ $5,443 million +39% YoY กำไร $1,702 million +137% YoY กำลังการผลิตเต็ม 100% รายได้จากจีน 60-70% ไฮเทคมากไม่ได้ ตอนนี้ SMIC ถูกสหรัฐจำกัดให้สั่งเครื่องจักรได้แค่ชิปรุ่น 14 nm หรือรองลงมา แต่ด้วยตลาดขนาดมหาศาลในจีนก็เพียงพอแล้วที่จะหล่อเลี้ยง SMIC ไปอีกหลายปี และตอนนี้ไม่ต้องอ้ำอึ้งว่ากับข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนอีกต่อไป เพราะโดนตัดสินไปแล้วว่าเกี่ยว จึงเดินหน้าสร้างโรงงานร่วมทุนกับท้องถิ่นหลายเมือง ล่าสุดมี Shanghai, Beijing, Shenzhen ได้เงินมาฟรี ๆ ให้ไปลงทุนเลย ผู้บริหารบอกใบ้ว่าอีกราว 3 ปีที่โรงงานเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม 2-3 เท่าตัวนะ กองทุนแห่งชาติหนุนหลัง รู้หรือไม่ว่ารายได้ SMIC โต 3 เท่า ท่ามกลางปัญหามากมาย ไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้ราว $600 ล้าน ล่าสุดไตรมาส 1 ปีนี้จะโตขึ้นมากถึง $1800 ล้าน ทางด้านกำไรโตราว 10-20 เท่า เพราะกำลังการผลิตเต็มเกือบตลอดเวลา ตอนนี้ SMIC เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติแล้ว ฝั่งจีนเทดีมานให้ไม่อั้น รัฐชี้นิ้วให้สั่งชิปในประเทศก่อน ปรับราคาขายชิป ตอนนี้กำลังการผลิตชิปเต็มทั่วโลก SMIC ได้โอกาสปรับราคาชิปตามเจ้าใหญ่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จึงเป็นผลดีกับรายได้ รับ 2 เด้งจากทั้งกำลังการผลิตเต็มและชิปแพงขึ้น มองปีนี้โตระเบิด ผู้บริหารคาดว่ายอดขายปีนี้จะโตราว 25%++ YoY และลงทุนอีก $5 พันล้าน แต่เลขเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ ขึ้นกับหน้างานว่าจะสั่งเครื่องจักรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเดาใจ Biden ไม่ออก ฝั่ง BottomLiner เองเชื่อว่าดีมานในจีนนั้นใหญ่ที่สุดในโลก และแผน Made in China ของ Xi Jinping ยังสนับสนุนเต็มที่ โดยเฉพาะเป้าอยากให้ชิปผลิตเองในประเทศ 80% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันราว 20% เท่านั้น แต่ปัญหาเป็นเรื่องที่รู้กันคือสหรัฐจะคอยแบนคุมไปเรื่อย ๆ ตามระดับความเข้มทางการเมืองในช่วงนั้น จึงมองว่า SMIC แม้รายได้จะโตแต่รับประกันว่าราคาหุ้นจะขึ้นไม่ได้ เพราะหลายอย่างต้องพึ่งพาสหรัฐอยู่ กลับกันอนาคตที่ SMIC พึ่งพาจีนได้ 100% เราจะเห็นการเติบโตขั้นสุดยอดเช่นกัน การจะตัดสินใจ ซื้อ ถือ ขาย คงต้องขึ้นกับความอดทนของแต่ละคนครับ “SMIC” ชื่อเต็ม Semiconductor Manufacturing International Corporation คือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยต้นกำเนิดคล้ายกับแชมเปี้ยน TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลให้เงินอุดหนุนและสิทธิพิเศษหลายอย่าง ขณะที่ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ ฝั่งตะวันตกแพ้ราบ ทำให้ภาคการผลิตย้ายเข้าเอเชียและส่วนใหญ่จะมาผลิตกับ 3 เจ้านี้ ปัจจุบัน SMIC มีเทคโนโลยีตามหลังไต้หวันและเกาหลีใต้ประมาณ 6 ปี ซึ่งการจะเขยิบเข้าใกล้ก็ไม่ง่าย เพราะสหรัฐเตะตัดขาเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้ผลิตชิปรุ่นไฮเทคได้เอง อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้ว SMIC ประกาศว่าผลิตชิป 7nm ได้แล้ว หลังจากนั้นไม่นานเจอคำสั่งแบนชุดใหญ่จาก Trump และตามมาด้วยอีกชุดจาก Biden แบนหนักแต่งบปี 2021 โตระเบิด รายได้ $5,443 million +39% YoY กำไร $1,702 million +137% YoY กำลังการผลิตเต็ม 100% รายได้จากจีน 60-70% ไฮเทคมากไม่ได้ ตอนนี้ SMIC ถูกสหรัฐจำกัดให้สั่งเครื่องจักรได้แค่ชิปรุ่น 14 nm หรือรองลงมา แต่ด้วยตลาดขนาดมหาศาลในจีนก็เพียงพอแล้วที่จะหล่อเลี้ยง SMIC ไปอีกหลายปี และตอนนี้ไม่ต้องอ้ำอึ้งว่ากับข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนอีกต่อไป เพราะโดนตัดสินไปแล้วว่าเกี่ยว จึงเดินหน้าสร้างโรงงานร่วมทุนกับท้องถิ่นหลายเมือง ล่าสุดมี Shanghai, Beijing, Shenzhen ได้เงินมาฟรี ๆ ให้ไปลงทุนเลย ผู้บริหารบอกใบ้ว่าอีกราว 3 ปีที่โรงงานเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม 2-3 เท่าตัวนะ กองทุนแห่งชาติหนุนหลัง รู้หรือไม่ว่ารายได้ SMIC โต 3 เท่า ท่ามกลางปัญหามากมาย ไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้ราว $600 ล้าน ล่าสุดไตรมาส 1 ปีนี้จะโตขึ้นมากถึง $1800 ล้าน ทางด้านกำไรโตราว 10-20 เท่า เพราะกำลังการผลิตเต็มเกือบตลอดเวลา ตอนนี้ SMIC เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติแล้ว ฝั่งจีนเทดีมานให้ไม่อั้น รัฐชี้นิ้วให้สั่งชิปในประเทศก่อน ปรับราคาขายชิป ตอนนี้กำลังการผลิตชิปเต็มทั่วโลก SMIC ได้โอกาสปรับราคาชิปตามเจ้าใหญ่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จึงเป็นผลดีกับรายได้ รับ 2 เด้งจากทั้งกำลังการผลิตเต็มและชิปแพงขึ้น มองปีนี้โตระเบิด ผู้บริหารคาดว่ายอดขายปีนี้จะโตราว 25%++ YoY และลงทุนอีก $5 พันล้าน แต่เลขเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ ขึ้นกับหน้างานว่าจะสั่งเครื่องจักรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเดาใจ Biden ไม่ออก ฝั่ง BottomLiner เองเชื่อว่าดีมานในจีนนั้นใหญ่ที่สุดในโลก และแผน Made in China ของ Xi Jinping ยังสนับสนุนเต็มที่ โดยเฉพาะเป้าอยากให้ชิปผลิตเองในประเทศ 80% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันราว 20% เท่านั้น แต่ปัญหาเป็นเรื่องที่รู้กันคือสหรัฐจะคอยแบนคุมไปเรื่อย ๆ ตามระดับความเข้มทางการเมืองในช่วงนั้น จึงมองว่า SMIC แม้รายได้จะโตแต่รับประกันว่าราคาหุ้นจะขึ้นไม่ได้ เพราะหลายอย่างต้องพึ่งพาสหรัฐอยู่ กลับกันอนาคตที่ SMIC พึ่งพาจีนได้ 100% เราจะเห็นการเติบโตขั้นสุดยอดเช่นกัน การจะตัดสินใจ ซื้อ ถือ ขาย คงต้องขึ้นกับความอดทนของแต่ละคนครับ “SMIC” ชื่อเต็ม Semiconductor Manufacturing International Corporation คือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยต้นกำเนิดคล้ายกับแชมเปี้ยน TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลให้เงินอุดหนุนและสิทธิพิเศษหลายอย่าง ขณะที่ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ ฝั่งตะวันตกแพ้ราบ ทำให้ภาคการผลิตย้ายเข้าเอเชียและส่วนใหญ่จะมาผลิตกับ 3 เจ้านี้ ปัจจุบัน SMIC มีเทคโนโลยีตามหลังไต้หวันและเกาหลีใต้ประมาณ 6 ปี ซึ่งการจะเขยิบเข้าใกล้ก็ไม่ง่าย เพราะสหรัฐเตะตัดขาเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้ผลิตชิปรุ่นไฮเทคได้เอง อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้ว SMIC ประกาศว่าผลิตชิป 7nm ได้แล้ว หลังจากนั้นไม่นานเจอคำสั่งแบนชุดใหญ่จาก Trump และตามมาด้วยอีกชุดจาก Biden แบนหนักแต่งบปี 2021 โตระเบิด รายได้ $5,443 million +39% YoY กำไร $1,702 million +137% YoY กำลังการผลิตเต็ม 100% รายได้จากจีน 60-70% ไฮเทคมากไม่ได้ ตอนนี้ SMIC ถูกสหรัฐจำกัดให้สั่งเครื่องจักรได้แค่ชิปรุ่น 14 nm หรือรองลงมา แต่ด้วยตลาดขนาดมหาศาลในจีนก็เพียงพอแล้วที่จะหล่อเลี้ยง SMIC ไปอีกหลายปี และตอนนี้ไม่ต้องอ้ำอึ้งว่ากับข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนอีกต่อไป เพราะโดนตัดสินไปแล้วว่าเกี่ยว จึงเดินหน้าสร้างโรงงานร่วมทุนกับท้องถิ่นหลายเมือง ล่าสุดมี Shanghai, Beijing, Shenzhen ได้เงินมาฟรี ๆ ให้ไปลงทุนเลย ผู้บริหารบอกใบ้ว่าอีกราว 3 ปีที่โรงงานเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม 2-3 เท่าตัวนะ กองทุนแห่งชาติหนุนหลัง รู้หรือไม่ว่ารายได้ SMIC โต 3 เท่า ท่ามกลางปัญหามากมาย ไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้ราว $600 ล้าน ล่าสุดไตรมาส 1 ปีนี้จะโตขึ้นมากถึง $1800 ล้าน ทางด้านกำไรโตราว 10-20 เท่า เพราะกำลังการผลิตเต็มเกือบตลอดเวลา ตอนนี้ SMIC เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติแล้ว ฝั่งจีนเทดีมานให้ไม่อั้น รัฐชี้นิ้วให้สั่งชิปในประเทศก่อน ปรับราคาขายชิป ตอนนี้กำลังการผลิตชิปเต็มทั่วโลก SMIC ได้โอกาสปรับราคาชิปตามเจ้าใหญ่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จึงเป็นผลดีกับรายได้ รับ 2 เด้งจากทั้งกำลังการผลิตเต็มและชิปแพงขึ้น มองปีนี้โตระเบิด ผู้บริหารคาดว่ายอดขายปีนี้จะโตราว 25%++ YoY และลงทุนอีก $5 พันล้าน แต่เลขเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ ขึ้นกับหน้างานว่าจะสั่งเครื่องจักรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเดาใจ Biden ไม่ออก ฝั่ง BottomLiner เองเชื่อว่าดีมานในจีนนั้นใหญ่ที่สุดในโลก และแผน Made in China ของ Xi Jinping ยังสนับสนุนเต็มที่ โดยเฉพาะเป้าอยากให้ชิปผลิตเองในประเทศ 80% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันราว 20% เท่านั้น แต่ปัญหาเป็นเรื่องที่รู้กันคือสหรัฐจะคอยแบนคุมไปเรื่อย ๆ ตามระดับความเข้มทางการเมืองในช่วงนั้น จึงมองว่า SMIC แม้รายได้จะโตแต่รับประกันว่าราคาหุ้นจะขึ้นไม่ได้ เพราะหลายอย่างต้องพึ่งพาสหรัฐอยู่ กลับกันอนาคตที่ SMIC พึ่งพาจีนได้ 100% เราจะเห็นการเติบโตขั้นสุดยอดเช่นกัน การจะตัดสินใจ ซื้อ ถือ ขาย คงต้องขึ้นกับความอดทนของแต่ละคนครับ BottomLiner ที่มาบทความ:
“SMIC” หรือ Semiconductor Manufacturing International Corporation คือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยมีต้นกำเนิดคล้ายกับ TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลให้เงินอุดหนุนและสิทธิพิเศษหลายอย่าง ขณะที่ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ ฝั่งตะวันตกแพ้ราบ ทำให้ภาคการผลิตย้ายเข้าเอเชียและส่วนใหญ่จะมาผลิตกับ 3 เจ้านี้ SMIC มีเทคโนโลยีตามหลังไต้หวันและเกาหลีใต้ประมาณ 6 ปี ซึ่งการจะเขยิบเข้าใกล้ก็ไม่ง่าย เพราะสหรัฐเตะตัดขาเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้ผลิตชิปรุ่นไฮเทคได้เอง อย่างเช่นเหตุการณืที่ SMIC ประกาศว่าผลิตชิป 7nm ได้แล้ว หลังจากนั้นก็เจอคำสั่งแบนจาก Trump และจาก Biden ถึงแม้โดนสหรัฐแบน แต่งบของ SMIC ในปี 2021 ก็ยังคงเติบโต ดังนี้ - รายได้ $5,443 million +39% YoY - กำไร $1,702 million +137% YoY - กำลังการผลิตเต็ม 100% - รายได้จากจีน 60-70% SMIC ถูกสหรัฐจำกัดให้สั่งเครื่องจักรได้แค่ชิปรุ่น 14 nm หรือรองลงมา แต่ด้วยตลาดขนาดมหาศาลในจีนก็เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยง SMIC และไม่ต้องอ้ำอึ้งกับข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนอีกต่อไป เพราะโดนตัดสินไปแล้วว่าเกี่ยว จึงเดินหน้าสร้างโรงงานร่วมทุนกับท้องถิ่นหลายเมือง ผู้บริหารบอกใบ้ว่าอีกราว 3 ปีที่โรงงานเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม 2-3 เท่าตัว รายได้ของ SMIC โต 3 เท่าท่ามกลางปัญหามากมาย ไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้ราว $600 ล้าน ไตรมาส 1 ปี 2022 จะโตขึ้นมากถึง $1800 ล้าน ทางด้านกำไรโตราว 10-20 เท่า เพราะกำลังการผลิตเต็มเกือบตลอดเวลา ทำให้ SMIC เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติแล้ว ฝั่งจีนเทดีมานให้ไม่อั้น ผู้บริหารคาดว่ายอดขายปี 2022 จะโตราว 25%++ YoY และลงทุนอีก $5 พันล้าน แต่เลขเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ ขึ้นกับหน้างานว่าจะสั่งเครื่องจักรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเดาใจ Biden ไม่ออก
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1110
Finance
Yield curve คืออะไร
Yield curve มี 3 แบบคือ 1. Normal curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น น้อยกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว 2. Inverted curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น มากกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว 3. Flat curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น เท่ากับ Yield ของพันธบัตรระยะยาว ต่อจากนี้ มารู้จักคำศัพท์เพื่อเรียกย่อ ๆ กัน Yield พันธบัตรระยะสั้น เราเรียก Yield ตัวสั้น ส่วนยาวก็เรียก ตัวยาว จะ US Government bond หรือ Treasury หรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ระบุให้ชัดเจน ตลาดมักหมายถึง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล + ประเทศที่ระบุ เช่น US Bond Yield 10Y ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี สำหรับบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าการเปลี่ยนแปลงของ Yield Curve แต่ละรูปแบบบอกอะไรกับเราได้บ้าง เขาจะดู คู่ 2 ปี และ 10 ปี เป็นหลัก หากพิจารณาแบบง่าย ๆ การเปลี่ยนความชันของ Yield curve จะมี 2 ลักษณะ คือ 1. Steepening Curve (ชันขึ้น) หรือส่วนต่างระหว่าง Yield ตัวสั้นและตัวยาวเพิ่มขึ้น โดยปกติจะแสดงถึง การเริ่มต้นการเติบโตของเศรษฐกิจ 2. Flattenning Curve (ชันลง) หรือส่วนต่างระหว่าง Yield ตัวสั้นและตัวยาวลดลง ซึ่งปกติมักจะเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจเติบโตเต็มที่ (มีโอกาสเกิดการถดถอยในอนาคต) หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของราคา Bond ที่เทรดกันอยู่ในตลาดรอง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างราคา (Price) และอัตราผลตอบแทน (Yield) ของ Bond นั้นจะมีความสันพันธ์แบบผกผันกันเสมอ พูดง่าย ๆ คือ หากราคาขึ้น ⇒ อัตราผลตอบแทนจะลดลง เราเรียกกันว่า “Bull” ในทางกลับกัน หากราคาลง ⇒ อัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น เราเรียกกันว่า “Bear” มือใหม่ถ้างง ให้คิดถึงเวลาซื้อหุ้น ถ้าซื้อหุ้นราคาเพิ่มขึ้น จะได้ปันผลที่น้อยลง ถ้าหุ้นราคาถูกลงจะได้ปันผลเพิ่มขึ้น Bond ก็เช่นกันครับ Noted: “Bull หรือ Bear” นั้นเราพิจารณากันตามทิศทางราคา หาใช่ Yield อย่าสับสนงวยงงกันละ ดังนั้น เมื่อเป็น “Bull (คนซื้อเพิ่มขึ้น)” Yield จะลดลง “Bear (คนซื้อลดลง)” Yield จะเพิ่มขึ้น” ทีนี้ถ้าเราพิจารณาลึกขึ้นจากการนำทิศทางการเคลื่อนไหวของทั้งสองอย่าง (ราคาและความชัน) มารวมร่างกัน เราจะ Unlocked รูปแบบการเคลื่อนไหวของ Yield Curve ที่นักลงทุนมือฉมังใช้ดูกันได้ 4 รูปแบบ ซึ่งทั้งหมดแตกต่างกันที่ทิศทาง และตัวสั้น-ตัวยาว อันไหนเคลื่อนไหวมากกว่า 1. Bull Flattening Yield Curve (Yield ตัวยาวลงลึกกว่าตัวสั้น) ในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดีไปแล้ว แน่นอนย่อมมี noise ให้ตกใจ ทำให้มีเงินไหลเข้า safe haven เช่น ขายหุ้นเข้า bond แต่รอบใหญ่ของรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มแรกของการเข้าสู่ cycle ลดดอกเบี้ย เราจะเห็นคนกำไรจาก Bonds กันหลัก 10% ง่าย ๆ ในขณะที่หุ้นถล่มทลาย หรือมีการทำ QE 2. Bull Steepening Yield Curve (Yield ตัวสั้นลงลึกกว่าตัวยาว) ส่วนมากจะเกิดจากการเก็งว่าจะมีการลดดอกเบี้ย ซึ่งโดยมากก็จะ shift ทั้ง curve แต่ในบางครั้งตัวยาวก็จะลงมาช้ากว่า ก็จะมีเหตุผลของมันในแต่ละครั้ง (เช่นพึ่งผ่านแบบที่ 1 มา) 3. Bear Steepening Yield Curve (Yield ตัวยาวเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวสั้น) รูปแบบนี้มักเกิดในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ดอกเบี้ยขาขึ้นอีกครั้ง หลังจากการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ เมื่อตลาดมั่นใจกับเศรษฐกิจมากขึ้นก็จะเริ่มขาย bond ออก (yield ดีดขึ้น) และนำเงินไปลงทุนอย่างอื่น หรือ fund flow ไหลออก แต่สิ่งสำคัญคือหากดอกเบี้ยกลับเป็นขาขึ้นอย่างแรงและเร็ว จะขาดทุนหนัก กรณีมียกเลิก QE ร่วมด้วย แต่ดอกเบี้ยตรึงต่ำ ก็จะชันเป็นพิเศษ เช่นช่วงที่ทำ QE ทีผ่านมา และจะทำให้เกิดแบบสุดท้าย (Bear Flattening) ในเวลาถัดมา 4. Bear Flattening Yield Curve (Yield ตัวสั้นเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวยาว) หากไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จะเกิดขึ้นหลังรูปแบบที่ 3 คือในช่วงขึ้นดอกเบี้ย หากคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำนาน ๆ จนเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แน่นอนว่าก็จะต้องมีการเก็งกำไรผสมโรงด้วย หากทิ้งไว้นาน จะทำให้เกิดฟองสบู่ได้ และในช่วงเศรษฐกิจบูม เงินเฟ้อมา ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อาจจะแลดูซับซ้อน ซ่อนเงื่อน แต่ก็น่าจะพอช่วยให้เราเดาได้นะครับว่าทิศทาง ตราสารหนี้ในภาพใหญ่ และเศรษฐกิจไปทางไหน
มี 3 แบบคือ 1. Normal curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น น้อยกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว 2. Inverted curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น มากกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว 3. Flat curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น เท่ากับ Yield ของพันธบัตรระยะยาว Yield พันธบัตรระยะสั้น เราเรียก Yield ตัวสั้น ส่วนยาวก็เรียก ตัวยาว จะ US Government bond หรือ Treasury หรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ระบุให้ชัดเจน ตลาดมักหมายถึง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล + ประเทศที่ระบุ เช่น US Bond Yield 10Y ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี สำหรับบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าการเปลี่ยนแปลงของ Yield Curve แต่ละรูปแบบบอกอะไรกับเราได้บ้าง เขาจะดู คู่ 2 ปี และ 10 ปี เป็นหลัก หากพิจารณาแบบง่าย ๆ การเปลี่ยนความชันของ Yield curve จะมี 2 ลักษณะ คือ 1. Steepening Curve (ชันขึ้น) หรือส่วนต่างระหว่าง Yield ตัวสั้นและตัวยาวเพิ่มขึ้น โดยปกติจะแสดงถึง การเริ่มต้นการเติบโตของเศรษฐกิจ 2. Flattenning Curve (ชันลง) หรือส่วนต่างระหว่าง Yield ตัวสั้นและตัวยาวลดลง ซึ่งปกติมักจะเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจเติบโตเต็มที่ (มีโอกาสเกิดการถดถอยในอนาคต) หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของราคา Bond ที่เทรดกันอยู่ในตลาดรอง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างราคา (Price) และอัตราผลตอบแทน (Yield) ของ Bond นั้นจะมีความสันพันธ์แบบผกผันกันเสมอ พูดง่าย ๆ คือ หากราคาขึ้น ⇒ อัตราผลตอบแทนจะลดลง เราเรียกกันว่า “Bull” ในทางกลับกัน หากราคาลง ⇒ อัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น เราเรียกกันว่า “Bear”
การวิเคราะห์ทางการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน,เครื่องมือทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1111
Finance
จงสรุปบทความ 10 ปีข้างหน้า…วิกฤติอะไรที่รอเราอยู่!
ใคร ๆ ก็คงเคยนึกเล่น ๆ ถึงวันโลกแตกใช่ไหม วันหนึ่งซอมบี้อาจจะบุกโลก AI และหุ่นยนต์อาจจะครองเมือง หรือที่เห็นภาพได้ชัดหน่อยในช่วงนี้ก็โรคระบาด แต่ที่ World Economic Forum เขาได้ออกมาสรุปแล้วว่าความเสี่ยงของโลกที่น่ากลัวที่สุดนั้นใกลัตัวกว่าที่เราคิด และอาจเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยาแล้วก็ได้! สิ่งนั้นคืออะไรมาหาคำตอบกันในคลิปนี้ ใคร ๆ ก็คงเคยนึกเล่น ๆ ถึงวันโลกแตกใช่ไหม วันหนึ่งซอมบี้อาจจะบุกโลก AI และหุ่นยนต์อาจจะครองเมือง หรือที่เห็นภาพได้ชัดหน่อยในช่วงนี้ก็ โรคระบาด แต่ที่ World Economic Forum เขาได้ออกมาสรุปแล้วว่าความเสี่ยงของโลกที่น่ากลัวที่สุดนั้นใกลัตัวกว่าที่เราคิด และอาจเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยาแล้วก็ได้! สิ่งนั้นคืออะไรมาหาคำตอบกันในคลิปนี้ การประชุมล่าสุดของ World Economic Forum World Economic Forum เป็นที่ประชุมด้านเศรษฐกิจที่สำคัญระดับโลก ที่จะมีผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางของนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ล่าสุดที่ได้จัดประชุมเมื่อเดือนมกราคม 2022 ที่ผ่านมา ก็ได้มีการสรุปถึงความเสี่ยงระดับโลกที่น่ากังวลมากที่สุด นั่นก็คือปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าความร่วมมือของแต่ละประเทศทั่วโลก ณ ขณะนี้ไม่น่าเพียงพอบรรลุผลสำเร็จได้ โดยในที่ประชุมได้พูดถึงความร่วมมือ COP26 ที่มีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิของโลกจนถึงปี 2100 หรือจนถึงอีกประมาณ 80 ปีข้างหน้า ไม่ให้เพิ่มเกินไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส นับจากยุคก่อนอุตสาหกรรม แต่จากการประเมินสถานการณ์ ดูท่าแล้วก็คงจะเพิ่มไป 2.7 องศาเซลเซียส หรืออย่างดีที่สุดจริง ๆ ก็จะเพิ่มไปถึง 1.8 องศาเซลเซียสอยู่ดี เพราะแค่ในปี 2021 ก็นับว่าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากช่วงยุคก่อนอุตสาหกรรมแล้ว 1.2 เซลเซียส หากภารกิจดับร้อนโลกใบนี้ไม่สำเร็จ นอกจากความเสี่ยงที่โลกจะอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์ในสักวันหนึ่งแล้ว ในแง่ของเศรษฐกิจก็อาจสร้างปัญหาคนตกงาน เงินเฟ้อ ไปจนถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจกลายเป็นความเสียหายที่คิดมูลค่าเป็นเกือบ 20% ของ GDP รวมทั้งโลกเลยทีเดียว เห็นได้ว่าความพยายามที่จะบรรเทาปัญหาโลกร้อนเป็นภารกิจสำคัญและเร่งด่วนของทุกประเทศทั่วโลก ณ ขณะนี้ ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดเลยนั่นคือในทางภูมิศาสตร์แล้ว เรามีโลกเพียงใบเดียว ที่ในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถหาโลกใบอื่นมาสำรองได้ ดังนั้นโลกร้อนจึงเป็นปัญหาที่ยิ่งแก้ไขช้า ก็ยิ่งมีแต่จะเลวร้ายลง World Economic Forum เป็นที่ประชุมด้านเศรษฐกิจที่สำคัญระดับโลก ที่จะมีผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางของนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ล่าสุดที่ได้จัดประชุมเมื่อเดือนมกราคม 2022 ที่ผ่านมา ก็ได้มีการสรุปถึงความเสี่ยงระดับโลกที่น่ากังวลมากที่สุด นั่นก็คือ ปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าความร่วมมือของแต่ละประเทศทั่วโลก ณ ขณะนี้ไม่น่าเพียงพอบรรลุผลสำเร็จได้ COP26 ที่มีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิของโลกจนถึงปี 2100 หรือจนถึงอีกประมาณ 80 ปีข้างหน้า 1.5 องศาเซลเซียส นับจากยุคก่อนอุตสาหกรรม แต่จากการประเมินสถานการณ์ ดูท่าแล้วก็คงจะเพิ่มไป 2.7 องศาเซลเซียส หรืออย่างดีที่สุดจริง ๆ ก็จะเพิ่มไปถึง 1.8 องศาเซลเซียสอยู่ดี เพราะแค่ในปี 2021 ก็นับว่าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากช่วงยุคก่อนอุตสาหกรรมแล้ว 1.2 เซลเซียส 20% GDP รวมทั้งโลกเลยทีเดียว ทางเลือกการลงทุน หากเรามองเห็นทิศทางของผู้นำระดับโลกที่จะหันมาใส่ใจและถนอมโลกใบนี้ให้ยังน่าอยู่ไปอีกนาน ๆ ก็คงสังเกตได้ว่าภาคธุรกิจทั่วโลกก็มีแนวโน้มปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลมากขึ้น และเราก็อาจร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจเหล่านี้ผ่านกองทุนรวม ตัวอย่างกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในธุรกิจใส่ใจโลกก็อย่างเช่น MRENEW-A, MRENEW-D, WE-GSECURE, KCHANGE-A(A), P-CGREEN และ UESG เป็นต้น ซึ่งบางกองก็อาจมีการกระจุกตัวลงทุนในบางอุตสาหกรรม ที่ทำให้ระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับที่ 7 จากทั้งหมด 8 ระดับได้เลยทีเดียว ผู้ที่สนใจจะลงทุนในกองทุนลักษณะนี้ จึงรักษ์โลกเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ควรมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่ลงทุน ติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และที่ขาดไปไม่ได้นั่นคือก่อนจะลงทุนกองไหน ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษารายละเอียดแต่ละกองทุนได้ที่เว็บไซต์ FINNOMENA.COM ซึ่งก็จะมี Fund Fact Sheet ให้ศึกษากันด้วย
การประชุมล่าสุดของ World Economic Forum - World Economic Forum มาร่วมหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางของนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม - มีการสรุปถึงความเสี่ยงระดับโลกที่น่ากังวลมากที่สุด นั่นก็คือปัญหาโลกร้อน - ได้พูดถึงความร่วมมือ COP26 ที่มีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิของโลกจนถึงปี 2100 หรือจนถึงอีกประมาณ 80 ปีข้างหน้า ไม่ให้เพิ่มเกินไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส - แต่จากการประเมินสถานการณ์ ดูท่าแล้วก็คงจะเพิ่มไป 2.7 องศาเซลเซียส หรืออย่างดีที่สุดจริง ๆ ก็จะเพิ่มไปถึง 1.8 องศาเซลเซียส - หากภารกิจดับร้อนโลกใบนี้ไม่สำเร็จ ในแง่ของเศรษฐกิจก็อาจสร้างปัญหาคนตกงาน เงินเฟ้อ ไปจนถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจกลายเป็นความเสียหายที่คิดมูลค่าเป็นเกือบ 20% ของ GDP รวมทั้งโลก - เห็นได้ว่าความพยายามที่จะบรรเทาปัญหาโลกร้อนเป็นภารกิจสำคัญและเร่งด่วนของทุกประเทศทั่วโลก ณ ขณะนี้ ทางเลือกการลงทุน - ภาคธุรกิจทั่วโลกก็มีแนวโน้มปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลมากขึ้น และเราก็อาจร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจเหล่านี้ผ่านกองทุนรวม - กองทุนรวมบางกองก็อาจมีการกระจุกตัวลงทุนในบางอุตสาหกรรม ที่ทำให้ระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับที่ 7 จากทั้งหมด 8 ระดับได้เลยทีเดียว - ผู้ที่สนใจจะลงทุนในกองทุนลักษณะนี้ จึงรักษ์โลกเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ควรมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่ลงทุน ติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
การวิเคราะห์ทางการเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การบริหารสินทรัพย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1114
Finance
เหรียญ DeFi ที่น่าสนใจ ในปี 2022 มีอะไรบ้าง
null
เหรียญ DeFi ที่น่าสนใจ ในปี 2022 ได้แก่ - Maker (MKR) เป็นแพลตฟอร์มกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานบน Ethereum Blockchain และ MakerDAO ซึ่งเป็นองค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Autonomous Organization: DAO) โดยแพลตฟอร์มของ Maker ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้การยืมและการให้ยืมสกุลเงินดิจิทัลทำได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลาง การกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากราคามีความผันผวนและเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว อย่างไรก็ตาม Maker แก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการผสานการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลกับเหรียญ Stablecoin ของตัวเองที่ใช้ชื่อว่าเหรียญ “DAI” ซึ่งอ้างอิงกับมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ทำให้การกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยแพลตฟอร์ม Maker มีเหรียญ “MKR” เป็น Governance Token ซึ่งผู้ถือเหรียญ MKR จะมีสิทธิ์โหวตหรือเสนอนโยบายและความเห็นในการพัฒนาแพลตฟอร์มได้ Maker Protocol ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดยกลุ่มนักพัฒนาที่นำทีมโดย “Rune Christensen” ซึ่งในปี 2017 ทีม Maker ได้ระดมทุนกว่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการขายโทเคน “MKR” ให้กับบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz, Cryptocurrency Polychain Capital และบริษัทร่วมทุนอื่น ๆ เช่น 1Confirmation และได้ระดมทุนเพิ่มอีก 27.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019 จากบริษัทร่วมทุน Paradigm และ Dragonfly Capital Partners เพื่อขยายสู่ตลาดเอเชีย Market Cap: 2.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 1,005,577 MKR Total Value Locked (TVL): 17.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - Aave (AAVE) เป็นแพลตฟอร์ม Decentralized Finance (DeFi) ที่ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain โดยเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม DeFi ชั้นนำที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเป็นผู้ให้ยืมหรือผู้ยืมสกุลเงินดิจิทัลได้โดยไม่ผ่านตัวกลางใด ๆ จุดเด่นของ Aave คือ มีสกุลเงินดิจิทัลให้ผู้ใช้งานกู้ยืมได้หลากหลายสกุล ไม่ว่าจะเป็น Ethereum (ETH), Decentraland (MANA) และอื่น ๆ นอกจากนี้ Aave ยังมี “Flash Loans” ที่เป็นระบบการกู้แบบไม่ต้องใช้หลักประกัน ซึ่งการกู้ยืมผ่านระบบนี้สามารถทำได้รวดเร็วด้วยเวลาเพียง 13 วินาทีเท่านั้น Aave ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดยใช้ชื่อ “ETHLend” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Aave ในปี 2018 โดยมี “Stani Kulechov” เป็นผู้ก่อตั้ง แพลตฟอร์มของ Aave มีเหรียญ “AAVE” เป็นโทเคนดั้งเดิม (Native Token) โดยมีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนพฤศจิกายน 2017 และระดมทุนได้กว่า 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ณ ตอนนั้นยังใช้ชื่อเหรียญว่า LEND) นอกจากนี้เหรียญ AAVE ยังเป็น Governance Token ที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือเหรียญในการเสนอความเห็นพัฒนาระบบได้ Market Cap: 3.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 16,000,000 AAVE Total Value Locked (TVL): 11.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - Curve Finance (CRV) เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Exchange: DEX) สร้างขึ้นบน Ethereum Blockchain ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับ Uniswap แต่ Curve Finance จะเน้นไปที่การแลกเปลี่ยนเหรียญในกลุ่ม Stablecoin เป็นหลัก เช่น เหรียญ Tether (USDT), USD Coin (USDC) และ Binance USD (BUSD) เป็นต้น Curve Finance เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคมปี 2020 โดยมี “Michael Egorov” นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย เป็นผู้ก่อตั้ง Curve ใช้ระบบ “Automated Market Maker” (AMM) ซึ่งเป็นโปรโตคอลผู้ดูแลสภาพคล่องการซื้อขายอัตโนมัติที่ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง ทำให้ค่าธรรมเนียมต่ำลง ช่วยเสริมสร้างสภาพคล่อง และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แพลตฟอร์ม Curve มีเหรียญ “CRV” เป็นโทเคนดั้งเดิม (Native Token) โดยผู้ใช้งานสามารถนำเหรียญ CRV ไปฝากบนแพลตฟอร์มของ Curve เพื่อทำการ Staking และรับผลตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียมได้ นอกจากนี้ผู้ถือเหรียญ CRV ยังมีสิทธิ์โหวตหรือเสนอความเห็นในการพัฒนา Curve Finance ได้ Market Cap: 1.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 3,303,030,299 CRV Total Value Locked (TVL): 10.80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - Uniswap (UNI) เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Exchange: DEX) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีเหรียญ “UNI” เป็น Governance Token ตัวแพลตฟอร์ม Uniswap จะใช้สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บน Ethereum Blockchain ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Uniswap ยังเป็นผู้บุกเบิกระบบ “Automated Market Maker” (AMM) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ช่วยให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่ต้องพึ่งตัวกลาง อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มของ Uniswap จะรองรับเฉพาะการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานบน Ethereum Blockchain เท่านั้น Uniswap เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนปี 2018 โดยอดีตวิศวกรเครื่องกลของ Siemens ที่ชื่อว่า “Hayden Adams” Uniswap ได้รับเงินทุนจากบริษัทร่วมทุน เช่น Andreessen Horowitz, Paradigm Venture Capital, Union Square Ventures และ ParaFi ต่อมาได้มีการเปิดตัวเวอร์ชัน 2 (Uniswap V2) ในเดือนพฤษภาคม 2020 และเปิดตัวเวอร์ชัน 3 (Uniswap V3) ในเดือนพฤษภาคม 2021 Market Cap: 8.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 1,000,000,000 UNI Total Value Locked (TVL): 7.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - Compound Finance (COMP) เป็นโปรโตคอลที่เชื่อมโยงผู้ให้กู้และผู้กู้โดยใช้สัญญาอัจฉิรยะ (Smart Contract) ที่ทำงานบน Ethereum Blockchain แบบไม่ผ่านตัวกลาง ผู้ที่ต้องการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลต้องทำการวางหลักประกันด้วยเหรียญคริปโตฯ โดยกู้ยืมได้สูงสุดตามจำนวนหลักประกันที่วาง และหากผู้กู้ต้องการหลักประกันคืนจะต้องทำการคืนเหรียญที่ยืมมาพร้อมชำระค่าธรรมเนียมในการกู้ สำหรับผู้ที่ต้องการปล่อยกู้สินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องทำการฝากเหรียญที่ต้องการปล่อยกู้เข้าทำการ Stake หลังจากนั้นระบบจะส่ง cTokens เพื่อใช้แสดงสิทธิ์การ Stake โดย cToken สามารถโอนย้ายหรือแลกเปลี่ยนได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่จะแลกเปลี่ยนได้เฉพาะสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกล็อกไว้อยู่ในโปรโตคอลเท่านั้น โดยผู้ให้กู้จะได้รับดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้ซึ่งอยู่ในรูปของเหรียญ COMP ตามจำนวน cTokens ที่อยู่ในกระเป๋าเงิน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ๆ ยิ่งมีสภาพคล่องมาก อัตราดอกเบี้ยก็จะยิ่งต่ำลง Compound ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดย “Robert Leshner” และ “Geoffrey Hayes” ในปี 2018 Compound ระดมทุนได้ 8.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัทร่วมทุนที่มีชื่อเสียง ซึ่งได้แก่ Andreessen Horowitz และ Bain Capital Ventures และได้มีการระดมทุนอีก 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019 จากทั้ง 2 บริษัท รวมถึงบริษัทผู้ร่วมทุนรายใหม่อย่าง Paradigm Capital Market Cap: 1.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 10,000,000 COMP Total Value Locked (TVL): 6.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หมายเหตุ: ข้อมูล Market Cap, Total Supply และ Total Value Locked (TVL) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1116
Finance
Inverted Yield Curve เกิดขึ้นเมื่อไหร่
null
Inverted Yield Curve เกิดขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว ซึ่งตลาดมองว่าเป็นภาวะที่ผิดปกติ เพราะโดยทั่วไปอัตราผลตอบแทนพันธบัตเมื่อเทียบในระยะต่าง ๆ หรือ Yield Curve ควรจะมีลักษณะที่ชันขึ้น หรือยิ่งซื้อพันธบัตรระยะยาว (ฝากเงินระยะยาว) ก็ควรจะได้ผลตอบแทนมากกว่าการซื้อพันธบัตรระยะสั้น ในอดีต สัญญาณของ Inverted Yield Curve จะเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ได้ดีในอนาคต และก็เป็นสัญญาณที่ถูกต้องมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่จากมุมมองของ Trader แล้ว ทำสัญญาณอาจยังไม่ได้สร้างความกังวลมากนัก หรืออย่างน้อยหากตลาดจะเกิด Recession ขึ้นจริง ๆ มันยังไม่ใช่เพราะ Inverted Yield Curve เพิ่งเกิดขึ้น แต่อาจเป็นเพราะตัวแปรอื่น ๆ เริ่มแย่ลงไปด้วยต่างหาก เปรียบเทียบการ “ฝากเงินเข้าธนาคาร” ตามปกติ ถ้าเงินต้องไปฝากอยู่กับธนาคารนาน ๆ ส่วนมากก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เพราะธนาคารสามารถนำเงินไปหมุนหรือลงทุนในระยะยาว ๆ ได้ และก็ต้องถือความเสี่ยงนั้นไว้นาน ว่าธนาคารนั้นจะล้มหายตายจากไปไหนไหม ทำให้โดยธรรมชาติแล้วควรต้องได้ผลตอบแทนที่สูงมากกว่าการฝากเงินแค่ระยะสั้น ๆ นี่คือผลตอบแทนของการฝากเงินในภาวะปกติ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็เปรียบเทียบได้คล้ายกับ “การฝากเงินเข้าธนาคารของบริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลก” แต่แค่บริษัทใหญ่ ๆ นำเงินไปฝากกับรัฐบาลสหรัฐไว้แทน (ไม่ใช่ธนาคาร) ตามปกติอัตราผลตอบแทนในระยะสั้นก็จะต่ำกว่าระยะยาวเช่นเดียวเหมือนกัน แต่สิ่งนึงที่ต่างจากธนาคารคือ ผลตอบแทนของ Bond Yield นั้น จะขึ้นลงตามความต้องการซื้อขายของนักลงทุน หากมีคนฝากในระยะไหน ๆ เยอะผลตอบแทนของระยะนั้นก็จะลดลงตามไป ซึ่งก็เปรียบได้เสมือนกับธุรกิจปกติ หากสินค้าไหนมีความต้องการเยอะ ก็จะเพิ่มราคาขึ้น ในขณะเดียวกันสินค้าที่ขายไม่ออก ก็จะลดราคามันลง พันธบัตรรัฐบาลก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการคิดผลตอบแทนดอกเบี้ย หากมีแต่คนอยากซื้อพันธบัตรระยะยาว ราคาหน้าตั๋วของพันธบัตรนั้นก็จะสูงขึ้น หรือในทางกลับกันก็คือ พันธบัตรจะให้ Yield หรือผลตอบแทนที่ลดลง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1118
Finance
จงบอกสินทรัพย์ที่มีการลงทุนในการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Asset Allocation
null
ในการลงทุน ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะให้ผลตอบแทนดีหรือแย่ได้ตลอดไป แต่ละสินทรัพย์มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากน้อยต่างกันตามแต่ละวัฏจักรเศรษฐกิจ และสภาวะตลาดในแต่ละช่วง จึงเป็นที่มาของการจัดพอร์ตลงทุนแบบ “Asset Allocation” หรือกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ เพื่อให้นักลงทุนได้มีส่วนร่วมในหลายสินทรัพย์ถ้าหากตลาดเป็นขาขึ้น และยังสามารถลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้หากตลาดเป็นขาลง นอกจากการจัด Asset Allocation แล้ว การลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก หากบอกว่ารับความเสี่ยงได้สูง แต่พอเห็น Worst Case แล้วรู้สึกรับไม่ได้ ก็ควรพิจารณาปรับพอร์ตโดยลดสินทรัพย์เสี่ยงลง ตัวอย่างผลตอบแทนในอดีตของตลาดหุ้นโลกมาทำ Asset Allocation โดยอ้างอิงข้อมูลผลตอบแทนจาก Boyd Wealth Management เป็นข้อมูลผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2006-2020 รวม 15 ปี แบ่งเป็น 3 เคสคือ Worst case ผลตอบแทนปีที่ติดลบมากที่สุด, Base Case ผลตอบแทนเฉลี่ย 15 ปี และ Best Case ผลตอบแทนปีที่บวกมากที่สุด โดยสินทรัพย์ที่มีการลงทุนในการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Asset Allocation มีดังนี้ - U.S. Large Cap อ้างอิงจาก S&P 500 index - U.S. Mid Cap อ้างอิงจาก S&P MidCap 400 index - U.S. Small Cap อ้างอิงจาก S&P SmallCap 600 index - Developed Market อ้างอิงจาก MSCI EAFE index (ไม่รวม USA & Canada) - Emerging Market อ้างอิงจาก MSCI EM index - Fixed Income อ้างอิงจาก BBgBarc US Aggregate Bond Index (Investment Grade Bond) - Real Estate อ้างอิงจาก DJ US Select REIT Index
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1121
Finance
เขียนย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์เกี่ยวกับ “หนึ่งเดียวคนนี้” ของ 3 ธนาคารกลางหลักโลก
null
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าธนาคารกลางหลักของโลก 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่น ตัดสินใจโหวตการคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ด้วยเสียง 8-1 เหมือนกันในการประชุมสัปดาห์เดียวกัน เมื่อเดือนมีนาคม 2022 โดยธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางอังกฤษโหวตเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น โหวตเรื่องการคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เป็นสิ่งที่น่าสนใจแล้วแหละค่ะว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินจะไปในทิศทางไหนกันแน่ บล็อกนี้จะมาอธิบายเกี่ยวกับความเห็นของธนาคารกลางหลักของโลกทั้ง 3 แห่งกันค่ะ บทเรียนจากย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์นี้ เดือนมีนาคม 2022 ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารกลางหลักของโลก 3 แห่ง โหวตด้วยเสียง 8-1 เหมือนกันในการประชุมสัปดาห์เดียวกัน โดยธนาคารกลาง 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด และ ธนาคารกลางอังกฤษขึ้นดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น ตัดสินใจคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เหมือนเดิม สิ่งที่น่าสนใจคือ หากจะมองหาว่าธนาคารกลางหลักของโลก จะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินที่ทำอยู่ในตอนนี้ไปในทิศทางใด ช่องทางที่น่าจะดีที่สุดคือการติดตามมุมมองและเหตุผลของเสียงส่วนน้อยแบบ “หนึ่งเดียวคนนี้” สำหรับการโหวตสวนกับเสียงส่วนใหญ่ในธนาคารกลางหลักโลก 3 แห่ง ธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินโหวตให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 0.75 โดยสมาชิกที่โหวตสวนได้แก่ จอน คันลิฟ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ สาขาเสถียรภาพด้านการเงิน เขาอยากให้คงดอกเบี้ยในครั้งนี้ที่ร้อยละ 0.5 ไปก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าสงครามรัสเซียบุกยูเครนอาจทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษชะลอลงกว่าที่คาดไว้ ธนาคารกลางสหรัฐ “หนึ่งเดียวคนนี้” ที่โหวตสวนทางกับท่านอื่น ซึ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ได้แก่ เจมส์ บูลลาร์ด ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขาเซ็นหลุยส์ ที่คว่ำหวอดในวงการเฟดมานานกว่า 15 ปี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บูลลาร์ดค่อนข้างจะมีเสียงที่โหวตคล้ายกับเสียงส่วนใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทว่าก็มีในบางครั้งที่จะมีความคิดเห็นเป็นของตนเองอย่างครั้งนี้ ซึ่งเขาถือเป็นสมาชิกเฟดที่ออกความเห็นต่อสาธารณชนค่อนข้างบ่อยอยู่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น “หนึ่งเดียวคนนี้” ที่โหวตสวนทางกับท่านอื่น โดยผู้ที่มาโหวตสวนก็ถือเป็นเจ้าประจำของเสียงส่วนน้อย ได้แก่ โกวชิ คาทาโอกะ โดยเขาให้เหตุผลสำหรับการโหวตในครั้งนี้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น ควรจะมีมาตรการด้านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเข้มข้นมากกว่านี้ โดยทำให้อัตราดอกเบี้ย ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดลงมากกว่านี้อีก เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บริษัทภาคเอกชนญี่ปุ่นหันมาลงทุนในโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติมหลังเหตุการณ์โควิด ในการทำให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเข้าใกล้เป้าหมายที่ร้อยละ 2
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1128
Finance
ในวันที่เท่าไหร่ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน ที่บริษัทชั้นนำมากมายประกาศถอนตัวออกจากประเทศยูเครนชั่วคราว ระหว่าง ในวันที่ 15 ของสงคราม หรือ ในวันที่ 4 ของสงคราม
null
ในวันที่ 15 ของสงคราม เพราะในวันที่ 15 ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน บริษัทชั้นนำมากมายประกาศถอนตัวออกจากประเทศยูเครนชั่วคราว เช่น McDonald’s, Starbucks, Coca-Cola, Pepsi และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยปูตินประกาศกร้าวจะแข็งแกร่งขึ้น มาตรการคว่ำบาตรททั้งหลายจะสะท้อนกลับไปหาชาติตะวันตก ต้องเข้าใจก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้หลังโซเวียตล่มสลายรัสเซียก็ถูกคว่ำบาตรมาอย่างต่อเนื่อง แต่รัสเซียก็ยังสามารถยืนได้ ครั้งนี้ปูตินบอกก็จะเป็นเช่นเดิม และจะแข็งแกร่งขึ้นดั่งเดิม ในมุมสงครามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว สงครามกำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยทัพรัสเซียเริ่มปิดล้อมเมืองหลวงอย่างกรุงเคียฟ โดยขบวนทัพรัสเซียยาวกว่า 64 กม. กระจายตัวนอกเมือง เหลือแค่รอสัญญาณการบุกโจมตีเท่านั้น ส่วนในวันที่ 4 ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน สื่อรายงานถึงการอพยพจากถิ่นฐานถึง 8.5 แสนราย โดยกองทัพรัสเซียกลับขยายอาณานิคมขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่าขบวนพาหนะกองทัพได้เคลื่อนตัวสู่เมืองใหญ่อันดับที่ 2 อย่างคาร์คีฟเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นานนาโต้ ประกาศสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ช่วยเหลือยูเครนตามคำร้องของ ปธน. เซเลนสกี้ มูลค่าราว 8.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทางรัสเซียได้รับความกดดันครั้งใหญ่จากประชาคมโลกจากการคว่ำบาตร นำโดยสหรัฐฯ และชาติตะวันตก ขับธนาคคารใหญ่รัสเซียออกจากระบบการเงินโลก (SWIFT) ซึ่งเป็นสื่อกลางในการโอนเงินระหว่างธนาคาร ยิ่งไปกว่านั้นยุโรป และสมาชิกนาโต้หลายประเทศประกาศสั่งห้ามเที่ยวบินบางเที่ยวจากรัสเซียลงจอด และก็จบลงที่เรื่องน่าเหลือเชื่อ ปูตินสั่งกองกำลังป้องปรามนิวเคลียร์ เตรียมพร้อมในระดับสูงเพื่อตอบโต้นาโต้ (สร้างกระแสการจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 )
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1129
Finance
สงครามยูเครน จีนจะช่วยรัสเซียแค่ไหน
null
ถ้าตัดเรื่องกำลังทหารแล้ว รัสเซียแทบจะไม่ได้มีอะไรที่สู้ตะวันตกได้ โดยเฉพาะการถูกรุม Sanction ทางเศรษฐกิจ การเปิดรับการช่วยเหลือจากจีนเป็นเรื่องค่อนข้างจำเป็น และช่วงที่ผ่านมาทั้ง Xi และ Putin นัดพบปะกันบ่อยครั้ง เพราะถูกตะวันตกหาเรื่องทั้งคู่ โดยเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ตอนนี้เป็นการถูกตัดออกจากระบบ SWIFT ที่กระทบรัสเซียโอนเงินเข้า-ออกประเทศไม่ได้ ซึ่งฝั่งจีนเองมีทางช่วยอย่างการเปิดระบบ Digital Yuan ให้รัสเซียร่วมใช้ หรือการให้เข้าร่วมระบบชำระเงินแบบอื่น ถ้าจีนช่วยเหลือจะเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้เงินหยวนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนต้องการนำมาต่อกรกับ US dollar อยู่แล้ว กำลังทหารตัดสินปัญหาระดับประเทศเสมอ เพื่อให้เข้าใจความขัดแย้งระหว่างประเทศ เราต้องรู้ก่อนว่าในระดับนานาชาตินั้น กำลังทหารมักถูกนำใช้เพื่อจัดการปัญหา เนื่องจากปัญหาระหว่างประเทศไม่มีศาล ตำรวจ หรือกฎหมาย ที่ชัดเจนเหมือนการปกครองในประเทศ (อันนี้ BottomLiner เสริมให้ว่าศาลโลก ตำรวจโลก เป็นเพียงตัวแทนของชาติตะวันตก ที่มักจะใช้จัดการกับปัญหาเล็ก ๆ เท่านั้น ดูได้เลยว่าความขัดแย้งระดับมหาอำนาจด้วยกันแทบไม่เคยนำเรื่องขึ้นศาลเพราะฝ่ายเสียเปรียบจะไม่ยอมอยู่ดี) ความขัดแย้งระหว่างประเทศมักเริ่มจากมาตรการทางเศรษฐกิจก่อน เช่น แบนสินค้าคู่แข่ง Sanction ซึ่งถ้ายังลดระดับความขัดแย้งไม่ได้ ส่วนใหญ่มักลงเอยด้วย สงคราม และผู้ที่มีกำลังทหารเหนือกว่าจะเป็นผู้ชนะและมีสิทธิ์กำหนดว่าผู้แพ้ควรทำอย่างไร เราเห็นแล้วว่าช่วงที่ผ่านมา Super Sanction ถูกใช้ลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ซึ่งเป็นสัญญานลบว่าอีกไม่นานสงครามจะขยายตัวเกินยูเครน โดยจนถึงตอนนี้ยังไม่มีการตอบโต้จริงจังจากรัสเซีย (นอกจากขู่ยิงนิวเคลียร์) แต่เป็นเรื่องน่ากังวลเพราะเป็นความเสี่ยงที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะลงเอยแบบไหน ตอนนี้คู่ขัดแย้งทุกประเทศทั้ง สหรัฐ EU รัสเซีย ยูเครน ถูกมัดมือชกกันหมด เพราะสถานการณ์บังคับให้คุณต้องสู้หรือจะประกาศยอมแพ้ แต่ทุกการตัดสินใจมีต้นทุนที่ต้องจ่าย ถ้าเลือกสู้ย่อมแลกด้วยเงินและชีวิตคน ถ้าเลือกยอมแพ้ ศักดิ์ศรีประเทศจะเสียหายหนัก เพราะนานาชาติจับตาดูอยู่ สถานการณ์ความเสี่ยงแบบนี้ทำให้ Ray นึกถึงวิกฤตนิวเคลียร์ Cuba ในปี 1962 ซึ่งรัสเซียพยายามนำหัวรบนิวเคลียร์มาติดตั้งใกล้สหรัฐ ซึ่งในช่วงความตึงเครียดดูราวกับว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีใครยอมใคร แต่สุดท้ายก็เจรจาถอยหลังคนละก้าวกันได้ จึงหวังว่าปัญหายูเครนจะยังพอเหลือพื้นที่เจรจา
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1130
Finance
กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับภาวะรูปแบบใด ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แลกกับโอกาสกำไรจากราคาที่ลดลง ระหว่าง หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น, ลงทุนสินทรัพย์จริง หรือ กระจายการลงทุนสู่หลายภูมิภาค
null
หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น เพราะกลยุทธ์หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แลกกับโอกาสกำไรจากราคาที่ลดลงเช่น High Yield Credit, AT1, CLO ไปจนถึงหุ้นที่ธุรกิจไม่เติบโตแต่ให้ปันผลสูง สัดส่วนการลงทุนเหมาะสมเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1987 อยู่ที่ราว 30% ของพอร์ต สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการลงทุน Hybrid เหล่านี้คือกับดักมูลค่า (Value Trap) เพราะตอบแทนที่สูง มักเกิดจากสินทรัพย์นี้ความเสี่ยงบางอย่างมากกว่าการลงทุนปรกติ ส่วนกลยุทธ์ลงทุนสินทรัพย์จริง เป็นการลงทุนที่เด่นในช่วง Stagflation ในอดีต เนื่องจากสินทรัพย์จริง ตอบเงินเฟ้อได้หลายโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบ Demand Pull สินค้าโภคภัณฑ์ก็ถือไว้แก้ปัญหา Cost Push เช่นเดียวกับทองคำและ Digital Asset ก็ใช้หลบเงินเฟ้อจาก Currency Debasement สัดส่วนการลงทุนในภาวะ Stagflation ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในอดีตคือ 30% สินค้าโภคภัณฑ์ 30% ทองและ 40% อสังหาริมทรัพย์ และกลยุทธ์ กระจายการลงทุนสู่หลายภูมิภาค ช่วงที่น่าสนใจคือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงนั้นต้องลงทุน 30% บอนด์ 5% ยุโรป 8% อังกฤษ 19% ญี่ปุ่น 15% ตลาดเกิดใหม่ (EM) และ 23% สหรัฐ เหตุผลหลักคือภาวะเงินเฟ้อมักแตกต่างกันของในแต่ละประเทศ ยิ่งต่างมากเท่าไหร่ การกระจายความเสี่ยงก็จะยิ่งมีประโยชน์ อย่างไรก็ดี สัดส่วนนี้จะไม่เหมือนกันในแต่ละยุคสมัย สำหรับปัจจุบัน GS มองสัดส่วนการลงทุนที่คุ้มที่สุดบน Real Risk/Reward คือ 70% หุ้นญี่ปุ่นและ 30% EM
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1132
Finance
คำพูดที่ว่า “ล้านแรกได้แล้ว ล้านต่อไปจะง่ายขึ้น” นั้นจริง เพราะเหตุใด
null
คำพูดที่ว่า “ล้านแรกได้แล้ว ล้านต่อไปจะง่ายขึ้น” นั้นจริง เพราะเงินต้น 1 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับเงินที่ DCA อย่างต่อเนื่อง เป็นต้นทุนเงินก้อนที่นำมาสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้น (compounding) ผลตอบแทนที่ได้จึงเกิดเป็นล้านต่อมาได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการที่เงินต้น 1 ล้าน ไปยัง 10 ล้านบาท ระยะเวลาที่เป็นเงินใกล้ 10 ล้านบาทจะยิ่งเร็วขึ้น เช่น 9 ไป 10 ล้าน จะไวกว่า 1 ไป 2 ล้าน เพราะเงินก้อนได้โตขึ้นแบบ exponential (ยกกำลัง) นั่นเอง การตั้งเป้าการลงทุนแบบ DCA หรือลงทุนด้วยเงินก้อนสม่ำเสมอทุกเดือน ในพอร์ตหรือสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่คาดหวังได้ 5% ต่อปี จะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะเป็น 1 ล้านแรก? - เดือนละ 2,000 บาท ใช้เวลา 22.5 ปี - เดือนละ 5,000 บาท ใช้เวลา 12.1 ปี - เดือนละ 10,000 บาท ใช้เวลา 7 ปี - เดือนละ 20,000 บาท ใช้เวลา 3.8 ปี เมื่อได้ 1 ล้านบาทแรกแล้ว จะนำเงินดังกล่าวไปลงทุน เพื่อให้ได้เติบโตเป็น 2 ล้านบาท (หรือเรียกว่า ล้านที่ 2) ด้วยผลตอบแทนที่คาดหวัง 5% ต่อปี เช่นเดิม จะใช้เวลาแค่ไหนในการสร้างล้านที่ 2 ? - เดือนละ 2,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 10.3 ปี - เดือนละ 5,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 7.5 ปี - เดือนละ 10,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 5.2 ปี - เดือนละ 20,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 3.2 ปี จะเห็นได้ว่า การสร้างล้านต่อไปใช้เวลาน้อยลง
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1134
Finance
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร? และนักลงทุนควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร?
null
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบหลักๆ มีดังนี้: 1. ราคาพลังงาน: รัสเซียเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก สงครามจะส่งผลให้ราคาพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในหลายภาคส่วน กระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ 2. ห่วงโซ่อุปทาน: สงครามจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก เนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบสำคัญ เช่น ข้าวสาลี ปุ๋ย โลหะ ส่งผลให้สินค้าเหล่านี้มีราคาสูงขึ้น และอาจเกิดปัญหาขาดแคลน 3. ตลาดการเงิน: สงครามจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวลง นักลงทุนอาจหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล 4. เศรษฐกิจโลก: สงครามจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัว ธนาคารกลางหลายแห่งอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร? กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป ควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย: ควรลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล เพื่อป้องกันความเสี่ยง ติดตามข่าวสาร: ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสงครามอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อรับคำแนะนำในการลงทุนที่เหมาะสม ผลกระทบต่อภาคการเงิน: ธนาคารกลางหลายแห่งอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น ธุรกิจและผู้บริโภคอาจชะลอการลงทุนและการใช้จ่าย ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวัง ตัวอย่าง: ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2023 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากรัสเซียบุกยูเครน นักลงทุนหันไปลงทุนในทองคำและพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น คำแนะนำสำหรับนักลงทุน: กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง อดทนและใจเย็น ไม่ควรตื่นตระหนกกับความผันผวนของตลาด ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน สรุป: สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมือโดยกระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ติดตามข่าวสาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1138
Finance
จะเทรดหุ้นในตลาด Technical Analysis ช่วยการตัดสินใจลงทุนยังไง ?
null
สิ่งที่จะได้จาก Technical Analysis คือ แนวโน้ม เส้นแนวโน้ม เส้นแนวรับ และเส้นแนวต้าน ที่จะเป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจของนักลงทุนว่าจะมีคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายเมื่อใด เท่าใด หรือจะรอไว้ก่อน ประเมินความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ เพราะว่า แนวโน้ม เป็นทิศทางการการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง เกิดจากความแตกต่างระหว่างความต้องการซื้อหุ้นและความต้องการขายหุ้นของคนใจตลาด ถ้าช่วงใดความต้องการซื้อหุ้นของคนในตลาดมากกว่าความต้องการขายหุ้นจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น แต่ถ้าช่วงใดมีความต้องการขายของคนในตลาดมากว่าความต้องการซื้อราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง แนวรับ เป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างมากหรือมีคนสนใจซื้อเป็นจำนวนมาก ถ้าความต้องการซื้อมีเข้ามาที่ระดับราคาที่เป็นแนวรับจำนวนมากพอ ก็จะสามารถหยุดไม่ให้ราคาปรับตัวลดต่ำลงไปกว่าระดับราคาแนวรับ และ“อาจจะ”ทำให้ราคาที่กำลังปรับตัวลดลงเกิดการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น โดยการหาแนวรับนิยมหาตอนที่ราคากำลังปรับตัวลดลง แนวต้าน คือ ระดับราคาที่สูงกว่าราคาปัจจุบัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการขายเข้ามาอย่างมาก หรือมีคนสนใจขายเป็นจำนวนมาก ถ้าความต้องการขายมีเข้ามาจำนวนมากพอจะสามารถหยุดไม่ให้ราคาเพิ่มขึ้นไปมากกว่าระดับราคาที่เป็นแนวต้าน และ“อาจจะ”ทำให้ราคาที่กำลังปรับตัวสูงขึ้นกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยการหาแนวต้านนิยมหาตอนที่ราคากลับปรับตัวสูงขึ้น Technical Analysis หรือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการศึกษารูปแบบราคาของสินทรัพย์ทางการเงินใดสินทรัพย์หนึ่ง เช่น หุ้น, Forex มีเป้าหมายเพื่ออธิบายว่า เหตุผลของการก่อกำหนดรูปแบบเหล่านั้น ซึ่งนั่นไปสู่การประเมินทิศทางความเป็นไปได้ของราคา หลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่สำคัญ อยู่บางประการที่ทำให้มันมีประโยชน์และสอดคล้องกับการเทรดในปัจจุบัน และพื้นฐานสำคัญซึ่งคุณควรรู้นั้นประกอบไปด้วย ▶ ราคาได้สะท้อนข้อมูลทุกอย่างไว้หมดแล้ว องค์ประกอบของการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเกิดมาจาก ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ซึ่งอ้างว่าราคาคือตัวแปรที่สะท้อนให้เห็นถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นปัจจัยใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานก็จะต้องปรากฏขึ้นบนกราฟราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับการศึกษาวิจัย หรือแม้แต่การสังเกตดูเหตุการณ์ใด ๆ ที่นอกเหนือจากพฤติกรรมราคาแล้ว ถือว่าไม่มีประโยชน์เลย เนื่องจากข้อมูลเหล่านั้นถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถนำมาใช้ประเมินสถานการณ์ใด ๆ ได้และยังเป็นข้อมูลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพออีกด้วย ▶ ราคาเคลื่อนไหวเป็น Trend (อย่างมีแนวโน้ม) สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิคมักจะชอบลักษณะของตลาดที่ตามเทรนด์ ซึ่งเหมือนกับที่ทฤษฎีดาวกล่าวอ้างไว้ ตลาดอาจจะเป็นไปในทิศทางขาขึ้นหรือตลาดกระทิง (Bullish market) โดยมีทั้ง higher high และ higher low ส่วนในภาพรวมนั้นจะเห็นได้ว่าราคามีลักษณะกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ ในกรอบทิศทางขาขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าตลาดมีลักษณะราคาเช่นเดียวกับที่กล่าวข้างต้น แต่เปลี่ยนเป็นกราฟที่มี lower low และ lower high แทนก็จะแสดงให้เห็นสภาวะตลาดขาลงหรือตลาดหมี (Bearish market) นั่นเอง ส่วนเทรนด์ราคาออกข้างนั้นเรียกว่า Ranging market ซึ่งเป็นลักษณะตลาดที่เทรดเดอร์ที่เทรดตามเทรนด์ไม่ค่อยชอบนัก เนื่องจากช่วงที่ราคามีการพักตัวนั้น เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป Ranging market นั้นหมายถึงว่าแนวโน้มตลาดไม่ได้เป็นไปในทิศทางขาขึ้นหรือขาลงเลย และไม่ปรากฏแนวโน้มว่าทิศทางขาขึ้นหรือทิศทางขาลงจะแข็งแรงกว่ากันเนื่องจากกรอบระยะเวลาที่ราคาเปลี่ยนแปลงไปไม่นานพอที่จะเป็นเทรนด์ได้ ราคาตลาดจะมีช่วงพักตัวอยู่ที่ประมาณ 60% ของเวลาทั้งหมด ทำให้การระบุเทรนด์ตลาดให้ได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การวิเคราะห์ทางสถิติของ Forex นั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่า 'ทำไม' จึงเกิดสิ่งนั้น ๆ ขึ้น ยกตัวอย่างเช่น 'ทำไมจึงเกิดเทรนด์' คำถามนี้ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่สมเหตุสมผล แต่กลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเทรดเลยสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เนื่องจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งเน้นข้อมูลด้านตัวเลขไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ สำหรับพวกเขาแล้ว การเกิดขึ้นของเทรนด์เป็นเพียงสิ่งที่พิสูจน์ในเชิงประสบการณ์เท่านั้น ▶ ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอยเสมอ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างเห็นตรงกันว่านักลงทุนจะมีการลงทุนอย่างเป็นแบบแผน และด้วยพฤติกรรมดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถระบุแบบแผนและสามารถเทรดทำกำไรได้อย่างแม่นยำ เท่าที่ต้องใช้ก็มีเพียงแค่ข้อมูลทางสถิตินิดหน่อย บวกกับการเกิดแบบซ้ำ ๆ ของรูปแบบราคา และเลเวอเรจ แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาดการเงิน อย่างเช่น การวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค Forex จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ก็มีเทรดเดอร์หลาย ๆ คนที่ยังเลือกใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือการวิเคราะห์อารมณ์ตลาด นักวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะมีความเชี่ยวชาญในการระบุเทรนด์ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านปัจจัยพื้นฐานที่แหละที่ก่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นเป็นเทรนด์ได้
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1143
Finance
จงเสนอ 3 กลยุทธ์ จัดการแผนการลงทุนที่สามารถนำมาใช้ในช่วงสภาวะผันผวนของเศรษฐกิจ
null
กลยุทธ์ที่ 1 การ Selling out Selling Out เป็นกลยุทธ์ที่นับว่าเพลย์เซฟที่สุด คือการขายสินทรัพย์การลงทุนที่มีแนวโน้มว่าจะเข้าสู่ช่วงขาลง โดยเปลี่ยนสถานะมาถือเงินสด หรือตราสารหนี้อายุสั้นอย่างตั๋วเงินคลังเอาไว้แทน เพื่อรอจังหวะกลับเข้าไปซื้อสินทรัพย์ลงทุนในช่วงที่ตลาดฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นข้อจำกัดนั่นคือนักลงทุนส่วนใหญ่ หรือจะเรียกว่านักลงทุนทุกท่านเลยก็ว่าได้ ก็คงไม่มีใครที่รู้จังหวะเวลาที่เหมาะสมได้แน่ชัด สามารถขายและเข้าซื้อในเวลาที่ถูกต้องแม่นยำได้ทุกครั้งนั่นเอง กลยุทธ์ที่ 2 ย้ายมาถือสินทรัพย์ลงทุนที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ของตลาด โดยทั่วไปแล้วมักได้แก่ หุ้น Defensive stocks หรือหุ้นที่ทนทานต่อทุกสภาวะตลาด เช่น หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยพิจารณาประกอบกับงบการเงินของธุรกิจว่ามีความมั่นคง ภาระหนี้น้อย มีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ หรือลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างทองคำและน้ำมัน เป็นต้น หรืออีกรูปแบบการลงทุนหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ถูกสร้างเพื่อให้เกิดโอกาสทำกำไรช่วงขาลงโดยเฉพาะ นั่นคือการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ เช่น การขายฟิวเจอร์ส (Short Futures) ซื้อพุทออปชัน (Long Put Options) หรือขายคอลออปชัน (Short Call Options) อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของกลยุทธ์นี้นั่นคือ อาจไม่ใช่ผู้ลงทุนทุกคนที่มีความเข้าใจในธุรกิจ สินทรัพย์การลงทุน และเครื่องมือการลงทุนที่อาศัยองค์ความรู้ที่เฉพาะเจาะจงเช่นนี้ และการลงทุนในสิ่งที่ไม่มีความรู้ก็เป็นอีกความเสี่ยงการลงทุนที่น่ากลัวที่สุดเช่นกัน กลยุทธ์ที่ 3 คือการออกไปช้อปปิ้งเพิ่ม ในแง่หนึ่งการเกิดวิกฤติย่อมมีโอกาส อย่างสถานการณ์ที่ตลาดการลงทุนอยู่ในช่วงขาลงก็อาจเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ซื้อสินทรัพย์ลงทุนที่สนใจในราคาที่ถูกลง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรทำการบ้านคือการศึกษาสินทรัพย์ที่จะเข้าซื้อเพิ่มว่ายังมีโอกาสในการเติบโตหลังจากผ่านพ้นวิกฤติจริงหรือไม่ ตัวอย่างปัจจัยที่ใช้สังเกตศักยภาพของหุ้นที่น่าซื้อเก็บในช่วงวิกฤติก็อย่างเช่น มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ชัดเจน พื้นฐานของธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง อัตราส่วน P/E Ratio และราคาหุ้นร่วงลงเยอะเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และมีปัจจัยในระดับมหภาคสนับสนุน เช่น เป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐหรือความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือแม้กระทั่งพอร์ตการลงทุนเดิมของเรา ถ้าหากยังคงมองเห็นว่าพื้นฐานของสินทรัพย์การลงทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง และมีแนวโน้มเติบโตตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ ก็ใช้วิธีทยอยช้อปปิ้งด้วยการ DCA อย่างต่อเนื่องตามแผนเดิมก็ได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะกลยุทธ์ไหนก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น แต่การที่เราจะกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเองได้ ก็คงต้องเริ่มจากความเข้าใจเป้าหมายการลงทุน และการรับความเสี่ยงการลงทุนของตัวเองให้ได้ก่อน เพราะผู้ลงทุนแต่ละคนก็จะมีแผนการลงทุนที่แตกต่างกันตามสถานการณ์ เงื่อนไขและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเลือกกลยุทธ์ไหนก็ไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่แผนการลงทุนส่วนตัวของตัวแต่ละคนที่ต้องดูแลให้ผ่านพ้นวิกฤติไปให้ได้ก็เท่านั้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1146
Finance
Blockchain คืออะไร
null
“บล็อกเชน” (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการเข้ารหัสคอมพิวเตอร์ โดยจะบันทึกข้อมูลลงในกล่อง (Block) และนำมาต่อกันเรื่อย ๆ เหมือนสายโซ่ (Chain) ซึ่งจะไม่สามารถย้อนกลับได้ ทำให้ยากต่อการปลอมแปลง แก้ไข หรือทำลายข้อมูล บล็อกเชนจะประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบ “กระจายศูนย์” (Distributed Ledger Technology: DLT) ที่ปราศจากการควบคุมโดยตัวกลางอย่างธนาคารหรือรัฐบาล ทำให้ธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชนจึงมีความปลอดภัย โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ประโยชน์ของ Blockchain - มีความโปร่งใสมากขึ้น - มีความปลอดภัยขั้นสูง - สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทันที - เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว - ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม เทคโนโลยี “Blockchain” ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เกิดสินค้าและบริการในรูปแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังอยู่ในช่วงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจบล็อกเชนจะอยู่ที่ 57% ต่อปี ระหว่างปี 2021-2026 และเติบโตที่ 72% ต่อปี ระหว่างปี 2026-2030 พร้อมคาดว่ามูลค่าของธุรกิจบล็อกเชนทั่วโลกจะแตะ 3.16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2030
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1147
Finance
สินทรัพย์ที่มองโลกในแง่ดีเสมอคืออะไร ระหว่าง หุ้น หรือ บอนด์
null
หุ้น เพราะสินทรัพย์ที่มองโลกในแง่ดีเสมอคือ หุ้น ที่กำลัง “หวัง” ว่าอนาคตจะมีแต่ข่าวดี เห็นได้ชัดจากดัชนี Russell 2000 ที่ปรับตัวขึ้นถึง 3.8% ในช่วงเดือน ก.พ. 65 ชนะ S&P500 และ MSCI World Index ได้ ขณะที่ดัชนี MSCI ACWI IMI Genomic Innovation บวกมากที่สุดในกลุ่มธีมอนาคตถึง 5.8% เหตุผลหลักที่ธีมเหล่านี้ชนะตลาด แน่นอนว่าไม่ได้มาจากกำไรหรือแนวโน้มธุรกิจที่ดีขึ้นจากสงคราม แต่ตลาดกำลัง “หวัง” ว่าถ้าสงครามจบ เศรษฐกิจจะกลับสู่โหมด Recovery ความผันผวนจะลดลง สินทรัพย์ที่ปรับตัวลงมาก ก็ควรฟื้นตัวมากที่สุด ส่วนบอนด์ เป็นสินทรัพย์ที่มองโลกในแง่ร้ายและกำลังกลัวว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย บอนด์ยีลด์สหรัฐระยะกลาง (5 ปี) ปรับตัวสูงขึ้นมาเท่ากับยีลด์ระยะยาว (10 ปี) ที่ 2.15% ส่วนยีลด์ระยะสั้น (2 ปี) ก็จ่ออยู่เหนือระดับ 1.90% แค่เฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเดียวก็อาจเกิด Inverted Yield Curve เป็นสัญญาณเตือนว่า Recession กำลังใกล้เข้ามา เปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่น บอนด์ดูจะไม่ได้คิดซับซ้อน และเลือกมองนโยบายการเงินมากกว่าเหตุผลอื่น แต่ในทางกลับกัน มุมมองของบอนด์ ดูจะ “กลัว” การลงทุนมากผิดปรกติ เพราะในอดีตตั้งแต่ปี 1955 มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 13 รอบ มีเพียงรอบเดียวที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาภายใน 11 เดือนคือช่วงปี 1980 ที่มีการขึ้นดอกเบี้ยจาก 9.5% ไปถึง 20% ขณะที่โดยเฉลี่ยต้องรอกว่า 37 เดือนหลังการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก จึงจะเห็นเศรษฐกิจถดถอยตามมา
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1149
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การลงทุนในกองทุนหุ้นจีน ควรจะลงทุนแบบใด
null
การลงทุนในกองทุนหุ้นจีน ควรจะลงทุนแบบใด ถึงจะดีที่สุด การลงทุนในกองทุนหุ้นจีนมีแนวทางให้เลือกอยู่ 3 แนวทาง แนวทางแรกเป็นการลงทุนด้วยเส้น Moving Average วิธีการก็คือ สามารถกำหนดกลยุทธ์ได้โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ย แต่ผลตอบแทนจะแพ้ดัชนีโลกแบบ ACWI แนวทางที่ 2 เป็นการใช้กลยุทธ์แบบ Core-satellite โดยกองทุนหุ้นจีนเป็น Satellite ผลตอบแทนที่ออกมาจะดีกว่า ACWI และมีความผันผวนน้อยกว่าด้วย และแนวทางสุดท้าย คือ Buy on Dip ซื้อตอนราคาลงลึก มีวิธีการคือ จะต้องดูจังหวะเอง ถ้าหุ้นลงไปลึกและกลับตัว ก็ทยอยซื้อ แต่มีข้อเสียคือ เป็นวิธีที่เสี่ยง เพราะถ้าไม่แม่นก็อาจไม่ได้ผล ดังนั้นเมื่อดูจากภาพรวมของทั้ง 3 แนวทางแล้ว การใช้กลยุทธ์แบบ Core-satellite น่าจะได้ผลที่ดีที่สุด บทเรียนจากย่อหน้านี้ 3 แนวทาง การลงทุนในกองทุนหุ้นจีน ควรลงทุนแบบใด ถึงจะดีที่สุด 1. ลงทุนด้วยเส้น Moving Average สามารถกำหนดกลยุทธ์โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ย อย่างง่ายดังนี้ ถ้า Price > EMA (200 วัน) ให้ซื้อ ถ้า Price < EMA(200 วัน) ให้ขาย ถ้าใช้ค่า EMA 200 วัน กับกองทุนหุ้นจีนจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นประมาณ 2 เท่า และที่สำคัญ นักลงทุนจะไม่เจอ Max Drawdown สูงมาก อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนก็ยังแพ้ดัชนีโลกแบบ ACWI อยู่ดี 2. ใช้กลยุทธ์แบบ Core-satellite โดยกองทุนหุ้นจีนเป็น Satellite Core เป็น ACWI อยู่ที่ 60% และ Satellite เป็น MCHI อยู่ที่ 40% โดยจะ Rebalance กับเงินสดทุก ๆ ครั้ง ถ้า MCHI มี momentum ขาลงอ่อนแอกว่าเงินสด กลยุทธ์จะถือเงินสด เป็นการปกป้องความเสี่ยงขาลง จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนออกมาดีกว่า ACWI และ ความผันผวนน้อยกว่า 3. Buy on Dip ซื้อตอนราคาลงลึก นักลงทุนต้องดูจังหวะเอง ถ้าลงไปลึกแล้วมีการกลับตัวจริง ก็ทยอยซื้อ แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่เสี่ยงเพราะถ้าไม่แม่นก็อาจจะไม่ได้ผล จากผลทดสอบ กลยุทธ์แบบ Core-satellite น่าจะได้ผลที่สุด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1150
Finance
ช่วยสรุปบทความ “Crown Token กับ Last Idol ” ราคาวิ่งกว่า 664% NFT ที่น่าจับตามองในปี 2022 !!
Crown Token หรือเป็นโปรเจคที่นำแนวคิดการเชื่อมโยงทรัพย์สินทางปัญญาเข้ากับสินทรัพย์ดิจิทัล อยู่บนเชน Ethereum ซึ่งเป็นเครือข่าย Blockchain ที่เป็นแพลตฟอร์มให้เหล่านักพัฒนาสามารถสร้างแอพพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ หรือ Decentralized Application หรือ Dapps นั่นเอง โดย Crown Token มี T&B Media Global ผู้นำด้านการจัดการสินทรัพย์ทางปัญญาและการลงทุนในอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงระดับโลก ที่มี Partner จากค่ายหนังยักษ์ใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Sony Picture, Warner Bro., Netflix มาในฝั่งประเทศไทย ธุรกิจบันเทิงอย่างเช่น GMM Grammy, ช่อง 3, ช่อง 7 ไปจนถึง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังได้แก่ Magnolia, Iconsiam, True Digital Park โดยมี Tree Roots Entertainment Group (TREG) ผู้ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม SMO ศูนย์กลางทั้งในด้านการสร้างคอมมูนิตี้ (Community) สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ของ ครีเอเตอร์ ศิลปิน และกลุ่มแฟน เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้าง Ecosystem ให้กับ Crown Token และมี VUCA Digital ผู้เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำด้านการพัฒนาธุรกิจภายใต้ระบบ Blockchain และร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศมากมาย
Crown Token เป็นโปรเจคบนเชน Ethereum ที่เชื่อมโยงทรัพย์สินทางปัญญาและสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยความร่วมมือของ T&B Media Global และพันธมิตรระดับโลก เช่น Sony Picture, Warner Bros., Netflix, GMM Grammy, ช่อง 3, ช่อง 7, Magnolia, Iconsiam, True Digital Park และ Tree Roots Entertainment Group (TREG) โครงการนี้มุ่งเน้นสร้าง Ecosystem ในการใช้งาน Crown Token โดยผ่านแพลตฟอร์ม SMO ศูนย์กลางที่สนับสนุนคอมมูนิตี้และการมีส่วนร่วมของครีเอเตอร์ ศิลปิน และแฟน ด้วยคำแนะนำจาก VUCA Digital ที่เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ Blockchain และร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
การเงินดิจิทัล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1151
Finance
จงสรุปบทความ "LTF ขายออกมาแล้ว เอาเงินไปทำอะไรดี?" ออกมาเป็น 5 ข้อ
เชื่อว่าหลายคนในปีนี้ LTF ที่ลงทุนไปคงครบกำหนดขายแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF ไปทำอะไรต่อดี บทความนี้ขอพาไปดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กัน เชื่อว่าหลายคนในปีนี้ LTF ที่ลงทุนไปคงครบกำหนดขายแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF ไปทำอะไรต่อดี บทความนี้ขอพาไปดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กัน ก่อนอื่นขอทวนเงื่อนไขการขาย LTF กันเสียหน่อย หากยังจำกันได้ เราต้องถือครอง LTF ให้ครบ 7 ปีปฏิทินจึงจะขายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นทั้งหมดทันที ดังนั้นก่อนขายคืนแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีว่าจำนวนหน่วยลงทุนที่ถือครบเงื่อนไขนั้นมีกี่หน่วย เพราะหากโดนเรียกคืนภาษีคงไม่คุ้มแหง ๆ แต่ถ้าใครตรวจสอบแน่ใจแล้วก็มาดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กันเลย ก่อนอื่นขอทวนเงื่อนไขการขาย LTF กันเสียหน่อย หากยังจำกันได้ เราต้องถือครอง LTF ให้ครบ 7 ปีปฏิทินจึงจะขายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นทั้งหมดทันที ดังนั้นก่อนขายคืนแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีว่าจำนวนหน่วยลงทุนที่ถือครบเงื่อนไขนั้นมีกี่หน่วย เพราะหากโดนเรียกคืนภาษีคงไม่คุ้มแหง ๆ แต่ถ้าใครตรวจสอบแน่ใจแล้วก็มาดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กันเลย 1. ให้รางวัลชีวิตตัวเองบ้าง ทำงานหนักมาทั้งปี เจอเรื่องเหนื่อย ๆ มาก็เยอะ ให้รางวัลตัวเองด้วยการชอปปิ้ง ซื้อของที่อยากได้สักชิ้น หาร้านอร่อยไปนั่งกิน หรือเดินทางไปเที่ยวผ่อนคลายบ้าง แค่นี้ก็เป็นการชาร์จแบตให้ตัวเองพร้อมสู้ต่อในวันข้างหน้าแล้ว แต่ก็ต้องระวังการใช้เงินเกินตัว เพราะหากใช้เกินตัวจากการให้รางวัลชีวิตจะเป็นการสร้างหนี้สินให้ชีวิตแทนนะ ทำงานหนักมาทั้งปี เจอเรื่องเหนื่อย ๆ มาก็เยอะ ให้รางวัลตัวเองด้วยการชอปปิ้ง ซื้อของที่อยากได้สักชิ้น หาร้านอร่อยไปนั่งกิน หรือเดินทางไปเที่ยวผ่อนคลายบ้าง แค่นี้ก็เป็นการชาร์จแบตให้ตัวเองพร้อมสู้ต่อในวันข้างหน้าแล้ว แต่ก็ต้องระวังการใช้เงินเกินตัว เพราะหากใช้เกินตัวจากการให้รางวัลชีวิตจะเป็นการสร้างหนี้สินให้ชีวิตแทนนะ 2. ลดภาระหนี้บ้าน ดอกเบี้ยบ้านมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่ยังมีภาระหนี้บ้าน หรือกู้ซื้อคอนโด ซื้อรถไว้ อาจจะแบ่งเงินที่ได้จากการขาย LTF มาส่วนหนึ่งเพื่อมาโปะเพิ่ม ก็จะช่วยลดเงินต้นและดอกเบี้ยไปได้เช่นกัน แถมเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอีกอย่างด้วย ดอกเบี้ยบ้านมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่ยังมีภาระหนี้บ้าน หรือกู้ซื้อคอนโด ซื้อรถไว้ อาจจะแบ่งเงินที่ได้จากการขาย LTF มาส่วนหนึ่งเพื่อมาโปะเพิ่ม ก็จะช่วยลดเงินต้นและดอกเบี้ยไปได้เช่นกัน แถมเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอีกอย่างด้วย 3. วางแผนประหยัดภาษีต่อด้วยการ DCA กองทุน SSF-RMF บางคนยังคงต้องการสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีอยู่ก็สามารถนำมาซื้อกองทุน SSF หรือ RMF เพื่อรับประโยชน์ทางภาษีต่อได้ ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำดูเงื่อนไขให้ดีกว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต บางคนยังคงต้องการสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีอยู่ก็สามารถนำมาซื้อกองทุน SSF หรือ RMF เพื่อรับประโยชน์ทางภาษีต่อได้ ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำดูเงื่อนไขให้ดีกว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต 4. เริ่มต้นวางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุน ตอนที่ลงทุน LTF บางคนอาจจะมีวัตถุประสงค์แค่ต้องการนำไปลดหย่อนภาษีแต่ยังไม่ได้วางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างจริงจัง ก็ให้ถือโอกาสนี้เอาเงินที่ได้จากการขาย LTF เริ่มต้นวางแผนการลงทุนไปเลย เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราเพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ ตอนที่ลงทุน LTF บางคนอาจจะมีวัตถุประสงค์แค่ต้องการนำไปลดหย่อนภาษีแต่ยังไม่ได้วางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างจริงจัง ก็ให้ถือโอกาสนี้เอาเงินที่ได้จากการขาย LTF เริ่มต้นวางแผนการลงทุนไปเลย เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราเพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ 5. ปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนใหม่ สำหรับคนที่มีพอร์ตการลงทุนอยู่แล้วอาจจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF มาปรับสัดส่วนพอร์ตใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันมากขึ้น กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศบ้าง หรือพอร์ตใครที่มีแต่สินทรัพย์เสี่ยงสูงก็ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำด้วย พอร์ตการลงทุนของเราจะได้มีความสมดุลมากขึ้น สำหรับคนที่มีพอร์ตการลงทุนอยู่แล้วอาจจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF มาปรับสัดส่วนพอร์ตใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันมากขึ้น กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศบ้าง หรือพอร์ตใครที่มีแต่สินทรัพย์เสี่ยงสูงก็ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำด้วย พอร์ตการลงทุนของเราจะได้มีความสมดุลมากขึ้น และนี่ก็เป็นไอเดียการต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF ที่เรานำมาฝากกัน แต่ถ้าอยากได้คำแนะนำการลงทุนแบบเจาะลึกกว่านี้ ลองให้ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวช่วยแนะนำคุณแบบตัวต่อตัวกับ ‘FINNOMENA Exclusive’ บริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว ที่จะช่วยออกแบบการลงทุนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด พร้อมเฟ้นหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ให้เงินของคุณงอกเงยได้มากขึ้น และนี่ก็เป็นไอเดียการต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF ที่เรานำมาฝากกัน แต่ถ้าอยากได้คำแนะนำการลงทุนแบบเจาะลึกกว่านี้ ลองให้ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวช่วยแนะนำคุณแบบตัวต่อตัวกับ บริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว ที่จะช่วยออกแบบการลงทุนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด พร้อมเฟ้นหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ให้เงินของคุณงอกเงยได้มากขึ้น
1.ให้รางวัลชีวิตตัวเอง ชอปปิ้งหรือทานอาหารอร่อยเป็นวิธีให้รางวัลตัวเองหลังจากทำงานหนัก ต้องระวังการใช้เงินเกินตัวเพื่อไม่สร้างหนี้สิน 2.ลดภาระหนี้บ้าน ใช้เงินที่ได้จากการขาย LTF เพื่อลดหนี้บ้านหรือหนี้ที่มีอยู่ การลดหนี้บ้านช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 3.ประหยัดภาษี DCA กองทุน SSF-RMF: ซื้อกองทุน SSF หรือ RMF เพื่อรับประโยชน์ทางภาษีต่อได้ ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำดูเงื่อนไขให้ดีกว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต 4.เริ่มต้นวางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุน: เริ่มต้นวางแผนการลงทุนไปเลย เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราเพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ 5.ปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนใหม่: เอาเงินที่ได้จากการขาย LTF มาปรับสัดส่วนพอร์ตใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันมากขึ้น กระจายการลงทุน ไปยังต่างประเทศบ้าง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1154
Finance
อธิบายคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) แบบเข้าใจง่าย ๆ ให้หน่อย
null
สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่งที่มีการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป (Fiat Currency) เพียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้ แม้ว่าตอนนี้คริปโตฯ จะยังไม่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายดังเช่นสกุลเงินทั่วไป (ยกเว้นประเทศเอลซัลวาดอร์ซึ่งเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติให้บิตคอยน์สามารถใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้) แต่ก็มีธุรกิจหลายแห่งเริ่มมีการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ มาใช้เพื่อปรับตัวรับโลกการเงินที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เช่น การรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบิตคอยน์ หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ประโยชน์ของ Cryptocurrency ทำธุรกรรมได้ง่ายและรวดเร็ว: เนื่องจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ เป็นแบบดิจิทัลทั้งหมด จึงมีความสะดวกและรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมภายในประเทศหรือระหว่างประเทศด้วยเทคโนโลยีเหนือกว่าธนาคารแบบดั้งเดิม ต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำ: ใครที่เคยโอนเงินระหว่างประเทศจะทราบกันดีกว่าค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมค่อนข้างสูง แต่หากทำธุรกรรมผ่านคริปโตฯ จะช่วยลดต้นทุนในส่วนของค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมไปได้มากเมื่อเปรียบเทียบกับบริการทางการเงินอื่น ๆ มีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว: เนื่องจากคริปโตฯ ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีที่ชื่อว่า “Blockchain” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยากต่อการถอดรหัสทางคณิตศาสตร์ ทำให้สกุลเงินดิจิทัลปลอดภัยกว่าธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ความโปร่งใสที่เหนือกว่า: ธุรกรรมแต่ละรายการของคริปโตฯ จะถูกบันทึกในบัญชีแยกประเภทโดยใช้เทคโนโลยี “Blockchain” ซึ่งไม่สามารถแก้ไข ย้อนกลับ หรือทำลายข้อมูลได้ ป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ: ปัจจุบันเริ่มเห็นข่าวมหาเศรษฐีชาติต่าง ๆ เก็บบิตคอยน์เข้าพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ เนื่องจากเชื่อว่าเหรียญที่มีอุปทานจำกัดอย่างเช่น Bitcoin สามารถนำมาเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อได้ เปิดซื้อขายแลกเปลี่ยน 24 ชั่วโมง: เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะคุ้นเคยกับตลาดหุ้นที่มีวันหยุดและเวลาเปิดปิดอย่างชัดเจน แต่สำหรับตลาดคริปโตฯ นั้นมีสภาพคล่องสูงเพราะเปิดให้ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1155
Finance
Stagflation คืออะไร
null
“Stagflation” คือ สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เงินเฟ้อกลับพุ่ง ซึ่งนี่คือสัญญาณของสภาวะเศรษฐกิจที่ผิดปกติ Stagflation มาจากคำว่า Stagnation ที่แปลว่าสภาวะหยุดนิ่ง และ Inflation ที่แปลว่าสภาวะเงินเฟ้อ รวมเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่อัตราเงินเฟ้อพุ่ง ของแพงขึ้น แต่สภาวะเศรษฐกิจกลับโตไม่ทันกัน และมีอัตราว่างงานสูง Stagflation ครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 1970 ในขณะนั้นอัตราว่างงานสูง 9% ในขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อกลับพุ่งสูงกว่าเป็น 12% ซึ่งครั้งนั้นมีที่มาจากราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ราคาสินค้าและบริการกลับแพงขึ้น นอกจากนี้ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่สุ่มเสี่ยงจะเข้าสู่สภาวะ Stagflation หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกต่างก็เตรียมตัวรับมือสภาวะ Stagflation ที่แนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น โดยมีกุญแจที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญกันนั่นคือ ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการที่มากขึ้น ในขณะที่กำลังการผลิตมีจำกัด นโยบายทางการเงินของภาครัฐในแต่ละประเทศที่จำเป็นต้องอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว รวมถึงวิกฤติการณ์โควิดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ถ่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชากรให้กว้างขึ้น
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1156
Finance
วิกฤตเงินเฟ้อครั้งสำคัญ ๆ ในอดีตของโลก ซึ่งปรากฏว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ครั้งได้แก่อะไรบ้าง
วิกฤตเงินเฟ้อครั้งสำคัญ ๆ ในอดีตของโลก ซึ่งปรากฏว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ครั้งได้แก่ 1. วิกฤต Hyperinflation เยอรมันในทศวรรษ 1920 ช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีวิกฤตโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สเปนอยู่ในช่วงเวลานี้ โดยถือว่าบรรยากาศคล้ายกับช่วงเวลานี้มาก 2. วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทศวรรษ 1940 และ 3. วิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 โดยบทความนี้ จะพูดถึงสาเหตุ ขนาดและความยาวนานของปัญหา และทางแก้จากวิกฤต เริ่มจากสาเหตุของวิกฤตเงินเฟ้อในเยอรมัน ได้มีความเห็นแบ่งเป็น 2 แนวคิด ได้แก่ งบการคลังและการพิมพ์เงินที่ผ่อนคลายมากเกินไป เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ในเยอรมัน โดยมองว่าการปรับตัวของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเพียงปัจจัยรอง มาจากการชำระเงินตราระหว่างประเทศผ่านการขาดดุลการค้า โดยมองว่าการขาดดุล การชำระเงินส่งผลให้ค่าเงินสกุลมาร์กของเยอรมันอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้ออย่างหนักหน่วง อย่างไรก็ดี หากพิจารณาสาเหตุทั้งคู่ จะพบว่าไม่ได้มีส่วนคล้ายคลึงกับวิกฤตเงินเฟ้อในรอบนี้แต่อย่างใด หันมาพิจารณาสาเหตุของวิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐในทศวรรษ 1940 ซึ่งเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสูงสุดที่ร้อยละ 20 โดยมีระยะเวลาของวิกฤตอยู่ราว 2 ปี จะพบว่ามีสาเหตุ 3 ประการ ได้แก่ การขจัดนโยบายการควบคุมราคาสินค้าหลักของรัฐบาลได้ถูกยกเลิกไป การเกิดอุปทานติดขัด การที่อุปสงค์พุ่งพรวดขึ้นมาเนื่องจากการยุติของสงคราม จึงมีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยอย่างมากมาย หากพิจารณาสาเหตุทั้งหมด จะพบว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับวิกฤตเงินเฟ้อในรอบนี้ถึงสองในสามข้อ ท้ายสุด หากพิจารณาสาเหตุของวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 ซึ่งเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสูงสุดที่ร้อยละ 15 โดยมีระยะเวลาของวิกฤตอยู่ราว 9 ปี จะพบว่ามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง ความผิดพลาดในแง่การใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ โดยการแก้วิกฤตยึดติดกับการชดเชยระหว่างกันของอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานหรือเส้นโค้งฟิลลิปส์มากจนเกินไป สอง ความผิดพลาดจากการวัดตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลานั้น อาทิ อัตราการว่างงานต่ำสุดที่ไม่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือ NAIRU สาม อัตราการเติบโตของปริมาณเงินที่ปล่อยให้ขึ้นมากเกินไป ซึ่งจำเป็นต้องมีความระมัดระวังในช่วงเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรอบนี้ โดยวิกฤตในรอบนี้ มีความคล้ายคลึงกันสำหรับข้อ 3 ส่วนข้อหนึ่งค่อนข้างก้ำกึ่ง ในขณะที่ข้อ 2 ไม่ได้เกิดขึ้นในครั้งนี้ จึงทำให้ผมมองว่า วิกฤตในรอบนี้ น่าจะมีความคล้ายกับวิกฤตทศวรรษ 1940 ในสัดส่วนร้อยละ 80 และคล้ายกับวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 อยู่ในสัดส่วนร้อยละ 20 โดยคาดว่ารอบนี้ น่าจะเกิดระดับอัตราเงินเฟ้อสูงสุดที่ราวร้อยละ 11-14 ส่วนระยะเวลาทั้งสิ้นน่าจะประมาณ 2-3 ปี สำหรับทางแก้วิกฤต Hyperinflation เยอรมันในทศวรรษ 1920 โดยในช่วงปี 1922-1924 รัฐบาลเยอรมันเพิ่มการจัดเก็บภาษี รวมถึงผ่านนโยบายการสร้างความเชื่อมั่น 5 ประการ ได้แก่ เสถียรภาพนโยบายการเงิน ผ่านการจำกัดการออกพันธบัตรจากธนาคารกลาง การมีวินัยของนโยบายการคลัง นโยบายเพื่อให้ค่าเงินเยอรมันมีเสถียรภาพ การยุติการต่อต้านการจ่ายหนี้สงคราม ด้วยการตั้งคณะกรรมการที่เจรจาค่าปรับหนี้สงครามแบบเป็นระบบ การลดมูลค่าเงินที่แท้จริงลง ด้วยการเปลี่ยนเงินสกุลเยอรมันใหม่แทนเงินสกุลเดิม สำหรับการแก้วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐในทศวรรษ 1940 นั้น กระทำผ่านการทำให้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเชื่อมั่นต่อชาวอเมริกันว่าระดับราคาสินค้าและบริการจะลดลงในอนาคต ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานประกันสังและการคุ้มครองการว่างงานของอดีตประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน ด้านทางแก้ของวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 อาศัยความศรัทธาต่อความจริงจังในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยนโยบายการเงินแบบตึงตัวของพอล โวลก์เกอร์ อดีตประธานเฟด ดังนี้ ได้รับความไว้วางใจจากผู้นำสหรัฐ ที่จะดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวแบบต่อเนื่อง กลยุทธ์นโยบายการเงินต้องมีความน่าเชื่อถือ เริ่มต้นด้วยการขึ้นดอกเบี้ยด้วยขนาดที่น่าเชื่อถือ ทำให้อัตราการเติบโตของปริมาณเงินเป็นไปอย่างช้า ๆ อดทนกับการประท้วงจากกลุ่มคนที่เสียประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย
วิกฤตเงินเฟ้อครั้งสำคัญ ๆ ในอดีตของโลก ซึ่งปรากฏว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ครั้งได้แก่ 1. วิกฤต Hyperinflation เยอรมันในทศวรรษ 1920 ช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีวิกฤตโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สเปนอยู่ในช่วงเวลานี้ สาเหตุของวิกฤตเงินเฟ้อในเยอรมัน ได้มีความเห็นแบ่งเป็น 2 แนวคิด ได้แก่ งบการคลังและการพิมพ์เงินที่ผ่อนคลายมากเกินไป เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ในเยอรมัน โดยมองว่าการปรับตัวของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเพียงปัจจัยรอง มาจากการชำระเงินตราระหว่างประเทศผ่านการขาดดุลการค้า โดยมองว่าการขาดดุล การชำระเงินส่งผลให้ค่าเงินสกุลมาร์กของเยอรมันอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้ออย่างหนักหน่วง ทางแก้วิกฤต Hyperinflation เยอรมันในทศวรรษ 1920 โดยในช่วงปี 1922-1924 รัฐบาลเยอรมันเพิ่มการจัดเก็บภาษี รวมถึงผ่านนโยบายการสร้างความเชื่อมั่น 5 ประการ ได้แก่ - เสถียรภาพนโยบายการเงิน ผ่านการจำกัดการออกพันธบัตรจากธนาคารกลาง - การมีวินัยของนโยบายการคลัง - นโยบายเพื่อให้ค่าเงินเยอรมันมีเสถียรภาพ - การยุติการต่อต้านการจ่ายหนี้สงคราม ด้วยการตั้งคณะกรรมการที่เจรจาค่าปรับหนี้สงครามแบบเป็นระบบ - การลดมูลค่าเงินที่แท้จริงลง ด้วยการเปลี่ยนเงินสกุลเยอรมันใหม่แทนเงินสกุลเดิม 2. วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทศวรรษ 1940 สาเหตุของวิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐในทศวรรษ 1940 ซึ่งเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสูงสุดที่ร้อยละ 20 โดยมีระยะเวลาของวิกฤตอยู่ราว 2 ปี จะพบว่ามีสาเหตุ 3 ประการ ได้แก่ - การขจัดนโยบายการควบคุมราคาสินค้าหลักของรัฐบาลได้ถูกยกเลิกไป - การเกิดอุปทานติดขัด - การที่อุปสงค์พุ่งพรวดขึ้นมาเนื่องจากการยุติของสงคราม จึงมีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยอย่างมากมาย การแก้วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐในทศวรรษ 1940 นั้น กระทำผ่านการทำให้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเชื่อมั่นต่อชาวอเมริกันว่าระดับราคาสินค้าและบริการจะลดลงในอนาคต ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานประกันสังและการคุ้มครองการว่างงานของอดีตประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน 3. วิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 สาเหตุของวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 ซึ่งเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสูงสุดที่ร้อยละ 15 โดยมีระยะเวลาของวิกฤตอยู่ราว 9 ปี จะพบว่ามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ - ความผิดพลาดในแง่การใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ โดยการแก้วิกฤตยึดติดกับการชดเชยระหว่างกันของอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานหรือเส้นโค้งฟิลลิปส์มากจนเกินไป - ความผิดพลาดจากการวัดตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลานั้น อาทิ อัตราการว่างงานต่ำสุดที่ไม่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือ NAIRU - อัตราการเติบโตของปริมาณเงินที่ปล่อยให้ขึ้นมากเกินไป ทางแก้ของวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 อาศัยความศรัทธาต่อความจริงจังในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยนโยบายการเงินแบบตึงตัวของพอล โวลก์เกอร์ อดีตประธานเฟด ดังนี้ - ได้รับความไว้วางใจจากผู้นำสหรัฐ ที่จะดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวแบบต่อเนื่อง - กลยุทธ์นโยบายการเงินต้องมีความน่าเชื่อถือ - เริ่มต้นด้วยการขึ้นดอกเบี้ยด้วยขนาดที่น่าเชื่อถือ - ทำให้อัตราการเติบโตของปริมาณเงินเป็นไปอย่างช้า ๆ - อดทนกับการประท้วงจากกลุ่มคนที่เสียประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1159
Finance
ช่วยสรุปบทความ หุ้นปูติน-รัสเซีย VS หุ้นโลก
หลังจากโซเวียตล่มสลาย ประชากรของรัสเซียเหลือเพียงครึ่งเดียวที่ประมาณ 150 ล้านคน เศรษฐกิจก็ตกต่ำลงไปมาก GDP ของรัสเซียไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถึงแม้ว่ารัสเซียยังมีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดแต่ก็แทบจะไม่มีบทบาทหรือศักดิ์ศรีอะไรในเวทีโลกมากนัก และการ “แข่งขัน” กับสหรัฐในแทบทุกด้านก็จบลงไปด้วย เวลาผ่านไปเกือบ 10 ปีที่เศรษฐกิจไม่โตเลยและมีแต่เล็กลงจนถึงปี 2000 GDP อยู่ที่ 259,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือแค่ 10% จากจุดสูงสุดของโซเวียต และนั่นก็คือวันที่ปูตินได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียสมัยแรก และนั่นก็น่าจะเป็นจุดเริ่มของการพยายามที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ของโซเวียตและอาณาจักรรัสเซียในอดีตให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้ปูตินโดยเฉพาะในช่วง 8 ปีแรกนั้น รัสเซียได้เริ่มนำระบบทุนนิยมมาใช้และเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหรรมการขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่รัสเซียมีอยู่มาก ผลก็คือ เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยถึงปีละ 26% จนถึงปี 2008 GDP ก็มีขนาด 1.66 ล้านล้านเหรียญสหรัฐก่อนที่จะตกลงมาในช่วงปี 2009 เหลือ 1.22 ล้านล้านเหรียญ อานิสงค์จากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ของสหรัฐและการตกลงมาของราคาน้ำมันดิบจาก 140 เหลือเพียง 41เหรียญต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ขนาดของ GDP รัสเซียในปี 2010 ก็กลับมาติดอันดับ 10 ของโลกในปี 2010 ที่ประมาณ 1.52 ล้านล้านเหรียญ ควบคู่กับหัวรบนิวเคลียร์ที่ยังอยู่ครบ ปูตินรัสเซียก็เริ่มจะเชิดหน้าได้ และเขาเตือนโลกเสมอว่า รัสเซียนั้นยังเป็นมหาอำนาจที่ใครจะมาหยามไม่ได้ ภายใต้ปูตินโดยเฉพาะในช่วง 8 ปีแรกนั้น รัสเซียได้เริ่มนำระบบทุนนิยมมาใช้และเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหรรมการขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่รัสเซียมีอยู่มาก ผลก็คือ เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยถึงปีละ 26% จนถึงปี 2008 GDP ก็มีขนาด 1.66 ล้านล้านเหรียญสหรัฐก่อนที่จะตกลงมาในช่วงปี 2009 เหลือ 1.22 ล้านล้านเหรียญ อานิสงค์จากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ของสหรัฐและการตกลงมาของราคาน้ำมันดิบจาก 140 เหลือเพียง 41เหรียญต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ขนาดของ GDP รัสเซียในปี 2010 ก็กลับมาติดอันดับ 10 ของโลกในปี 2010 ที่ประมาณ 1.52 ล้านล้านเหรียญ ควบคู่กับหัวรบนิวเคลียร์ที่ยังอยู่ครบ ปูตินรัสเซียก็เริ่มจะเชิดหน้าได้ และเขาเตือนโลกเสมอว่า รัสเซียนั้นยังเป็นมหาอำนาจที่ใครจะมาหยามไม่ได้
หลังจากการล่มสลายของโซเวียต, ประชากรรัสเซียลดลงเหลือครึ่งเดียวประมาณ 150 ล้านคน, แต่เศรษฐกิจลดลงมาก, GDP ของรัสเซียไม่ได้ติดอันดับต้นๆในโลก, แม้ว่ามีหัวรบนิวเคลียร์มาก แต่ไม่มีบทบาทในเวทีโลกมากนัก, และการแข่งขันกับสหรัฐมีผลจบลง 10 ปีที่เศรษฐกิจไม่เติบโตและ GDP เพิ่มขึ้นเพียง 10% จากจุดสูงของโซเวียต นับจากวันที่ปูตินถูกเลือกเป็นประธานาธิบดีและเริ่มความพยายามที่จะให้โซเวียตและรัสเซียกลับมาในทางใหม่อีกครั้ง ภายใต้การบริหารปูตินใน 8 ปีแรก รัสเซียเริ่มนำระบบทุนนิยมและพัฒนาอุตสาหกรรมขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่มีมาก, เศรษฐกิจเติบโตเร็วเฉลี่ยถึง 26% ต่อปี มี GDP 1.66 ล้านล้านเหรียญสหรัฐถึงปี 2008 แต่หลังจากวิกฤตซับไพร์และราคาน้ำมันลดลง, GDP ลดลงเหลือ 1.22 ล้านล้านเหรียญในปี 2009 แต่กลับมาติดอันดับ 10 ของโลกในปี 2010 ที่ 1.52 ล้านล้านเหรียญ ปูตินเริ่มเชิดหน้าและเตือนว่า รัสเซียยังคงเป็นมหาอำนาจที่แข็งแกร่งไม่สามารถหยามได้
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1160
Finance
นโยบายที่เด่น ๆ จากการประชุมสภาจีนประจำปี 2022 (China Two Sessions 2022) มีอะไรบ้าง
null
นโยบายที่เด่น ๆ จากการประชุมสภาจีนประจำปี 2022 (China Two Sessions 2022) ได้แก่ 1. ตั้งเป้า GDP ปี 2022 โต 5.5% ท่ามกลางปัญหาหลากหลาย 2. ขอเป็นตัวกลางในสงคราม จีนขอเป็นตัวแทนเจรจาสงบศึกให้ความมั่นคงและการเติบโตอย่างยั่งยืนของโลกกลับมาอีกครั้ง แต่ยังเลี่ยงการวิจารณ์ต่อรัสเซีย แถมคัดค้านการ Sanction ซึ่งอ้างว่าไม่ช่วยอะไรและยังจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว 3. สนับสนุน Tech start-up พร้อมกับวางกฎระเบียบใหม่ให้บริษัท Tech รัฐบาลจีนไล่บีบบริษัท Tech หนักมากตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2020 และในการประชุมสภาก็ยังยืนยันว่าต้องทำต่อในปี 2022 เพื่อควบคุมความไม่มีระเบียบของการขยายทุนนิยมโดยไร้ความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในข้อผูกขาด ทางด้านนายกรัฐมนตรีปลอบใจนักลงทุนด้วยการบอกว่าสนับสนุนบริษัท Start-up เจ้าเล็กอยู่ โดยเฉพาะฝั่ง Hardware โดยเปิดตลาดหุ้นใหม่ Beijing Stock Exchange เพื่อให้ Start-up ระดมทุนง่ายขึ้น 4. ดัน e-commerce เมืองรอง ตามนโยบาย common prosperity เพื่อขยายโอกาสให้คนชนบทและเพิ่มกำลังการบริโภค 5. ขยายแท่นชาร์จ EV และ Battery swap station 6. ขยายการติดตั้งเสา 5G มีเป้าหมายจะติดตั้งเสาเพิ่ม 6 แสนต้น ทำให้ทั้งประเทศมีเสา 5G รวมกัน 2 ล้านต้น มากที่สุดในโลก และเริ่มมองไปยัง 6G แล้ว 7. ดัน Start-up Hardware เปิดตัวโครงการ little giants ที่รัฐบาลจะลงทุนในบริษัท Start-up Hardware เช่น Robotics, Automation, Industrial Software, Semiconductor, Aerospace Equipment, Marine Engineering Equipment, Advanced Railway Equipment, Electric Power Equipment, New Materials และ Biomedicine 8. ส่งเสริมให้มีลูกกันมากขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราเกิด ค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูเด็ก 3 คนจะสามารถนำมาลดภาษีได้ เปิดช่องให้คนมีลูกเยอะ ๆ และยังพยายามปรับปรุงโครงสร้างการศึกษาในประเทศเพื่อให้โอกาสเด็กจากครอบครัวรากหญ้ามากกว่าเดิม เช่น ปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนให้เท่าเทียม สั่งเลิกโรงเรียนกวดวิชาเอกชน 9. ไวรัสโควิดต้องเท่ากับ 0 สั่งปิดเมืองใหญ่ ๆ กันอีกแล้ว
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1163
Finance
เขียนย่อหน้าสุดท้ายของบล็อกโพสต์เกี่ยวกับ ข้อควรระวังในการลงทุนกองทุนกลุ่มการเงินและธนาคาร
null
หลังจากที่ได้ไปทำความรู้จักกับกองทุนกลุ่มการเงินและธนาคารกันแล้ว คุณผู้อ่านก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลเพื่อประกอบในการตัดสินใจลงทุนแล้วนะคะ ก่อนจากกันวันนี้ เราก็มีข้อควรระวังที่ต้องรู้หากคุณอยากลงทุนในกองทุนกลุ่มการเงินและธนาคารมาฝากกันค่ะ เนื่องจากทุกกองทุนนั้นมีการกระจุกตัวระดับอุตสาหกรรม หรือมีความเสี่ยงระดับ 7 พูดง่ายๆ คือ ทุกกองทุนมีความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้นหากใครอยากลงทุนก็ควรศึกษา ทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลกองทุน เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนกันด้วยนะคะ เพราะว่ามันมีผลมากๆ กับผลการดำเนินงานของกองทุนที่คุณลงทุนอยู่ค่ะ และที่สำคัญ คุณควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยและผลประกอบการของธนาคารในแต่ละไตรมาสด้วยนะคะ เพราะว่ามันมีผลกับกองทุนของคุณจริงๆ ค่ะ บทเรียนจากย่อหน้านี้ เนื่องจากกองทุนกลุ่มการเงินและธนาคารทุกกองทุน เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงระดับ 7 เป็นกองทุนที่มีการกระจุกตัวระดับอุตสาหกรรม มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต นอกจากนี้ยังต้องติดตามข่าวการขึ้นดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด ในช่วงก่อนที่จะประกาศขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนอาจให้ความสนใจลงทุนมากกว่า แต่เมื่อมีการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว กองทุนกลุ่มนี้อาจแผ่วลงได้บ้าง และต้องติดตามข่าวผลประกอบการณ์ของธนาคารในแต่ละไตรมาส หากผลออกมาไม่ดี หุ้นกลุ่มนี้ก็อาจถูกเทขายอย่างหนักได้ (แต่บางทีผลประกอบการณ์ออกมาดีมาก ก็อาจถูกเทขายได้ เพราะมีการเก็งกำไรไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผลจะออกมาดี หรือที่เรียกว่า Sell on fact)
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1164
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ มุมมองของปรากฏการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงขึ้นจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ
null
สำหรับมุมมองของปรากฏการณ์ที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงขึ้น จากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ขอแบ่งออกเป็น 4 มุมมองได้แก่ เม็ดเงินที่ช่วยเหลือโควิดได้รับอนุมัติอย่างรวดเร็ว ส่งตรงประชาชนทั่วไป และมีการพิมพ์เงินจากเฟดอีกด้วย การกู้เงินมาจากแพ็คเกจเงินช่วยเหลือในวิกฤตซับไพร์มปี 2008 ต่อมาห่วงโซ่อุปทานของการผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี มีความเชื่อมโยงระหว่างประเทศในโลกอย่างซับซ้อน เมื่อการผลิตสะดุดลง ห่วงโซ่อุปทานก็สะดุดตามมาทั้งระบบ ส่งผลต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ในส่วนของหนี้ภาครัฐบาลของสหรัฐอเมริกานั้น สูงกว่าช่วงวิกฤตซับไพร์มมาก และสุดท้ายภาพรวมในช่วงโควิด ประชาชนชาวสหรัฐสูญเสียเงินลงทุนจากตราสารซับไพร์ม ที่ส่งผลต่อเนื่องต่อตราสารการลงทุนของธนาคารต่าง ๆ ทำให้ในปี 2022 เศรษฐกิจสหรัฐได้รับการกระทบกระเทือน จากอุปทานที่กระแทอย่างรุนแรง ซึ่งต้องทำงานภายใต้ระดับอุปทานที่หายไปบางส่วน บทเรียนจากย่อหน้านี้ มุมมองของปรากฏการณ์ที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงขึ้น จากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด หนึ่ง เม็ดเงินที่ช่วยเหลือโควิดรอบนี้ อนุมัติอย่างรวดเร็วและยิงตรงไปสู่ ประชาชนทั่วไป รวมถึงอยู่ในรูปแบบของการพิมพ์เงินจากเฟด ในขณะที่แพ็คเกจเงินช่วยเหลือในวิกฤตซับไพร์มปี 2008 มาจากในรูปของการกู้ และค่อย ๆ แจกจ่ายไปถึงมือประชาชน หากพิจารณาในมิติองค์ประกอบของปริมาณเงิน ปี 2008 ส่วนใหญ่จะมาจากการทำ QE ที่เปลี่ยนรูปแบบจากพันธบัตรรัฐบาลมาเป็น เงินสำรองในงบดุลของสถาบันการเงิน โดยที่ M2 ซึ่งหมายถึงเงินสด นอกสถาบันการเงินและบัญชีเงินฝากทุกรูปแบบ ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่นัก แม้หนี้ภาครัฐและฐานเงินซึ่งประกอบด้วยเงินในระบบและเงินสำรอง จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนในปี 2022 จะพบว่า ทั้งหนี้ภาครัฐ ฐานเงินและปริมาณ M2 สูงขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งในทางปฏิบัติ การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน M2 มีผลต่อระดับราคาของสินค้าและบริการมากกว่าปริมาณฐานเงิน ซึ่งเกิดจากการยิงตรงของเม็ดเงินสู่ประชาชนอย่างรวดเร็วของทางการสหรัฐนั่นเอง สอง ห่วงโซ่อุปทาน หรือ supply Chain ของการผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยี ในปัจจุบัน จะพบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างประเทศในโลก อย่างซับซ้อนและแนบแน่นกว่ามากกว่าเมื่อปี 2008 ดังนั้น เมื่อเกิดการสะดุด ของการผลิตหรือการขนส่งในขั้นตอนใด จะทำให้ห่วงโซ่อุปทานเกิดสะดุด ขึ้นมาทั้งระบบ และส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่เป็นระยะยาวนานกว่า ในอดีตเป็นอย่างมาก สาม หนี้ภาครัฐบาลของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ สูงกว่าในช่วงซับไพร์มมาก อัตราส่วนระหว่าง มูลค่าหนี้ภาครัฐต่อจีดีพี ของสหรัฐในปัจจุบันสูงเป็นเกือบ 2 เท่าของ อัตราส่วนเมื่อปี 2008 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาครัฐดังกล่าว บางส่วนอยู่ในรูปแบบของเงินให้เปล่าต่อประชาชน ซึ่งในช่วงที่โควิดซาลงดังเช่นช่วงปลายปี 2021 ประชาชนสหรัฐได้นำเงินดังกล่าว มาจับจ่ายใช้สอยในบางส่วนหลังเปิดเมือง ซึ่งก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ทว่าในช่วงวิกฤตซับไพร์ม ไม่มีการให้เงินต่อประชาชนแบบให้เปล่า ด้วยปริมาณมากขนาดที่เห็นในส่วนนี้ สี่ สำหรับช่วงวิกฤตโควิด ในภาพรวมแล้ว ประชาชนเหมือนติดอยู่ในบ้าน ท่ามกลางพายุหิมะ ไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ ในแบบภาวะปกติ ส่วนวิกฤตซับไพร์ม ประชาชนชาวสหรัฐสูญเสียเงินลงทุน จากตราสารซับไพร์ม ที่ส่งผลแบบโดมิโนต่อตราสารการลงทุนของ แบงก์ต่าง ๆ ในสหรัฐ เนื่องจากเกิดวิกฤตแบงก์ในสหรัฐ โดยรวมแล้วในปี 2008 เสมือนว่าเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง โดยในปี 2022 เศรษฐกิจสหรัฐเป็นส่วนผสมของการถูกกระทบกระเทือน จากแรงกระแทกด้านอุปทาน ซึ่งถือว่าเศรษฐกิจต้องทำงานภายใต้ระดับอุปทาน ที่หายไปบางส่วน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นปัญหาหลักของวิกฤตโควิดในรอบนี้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1167
Finance
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 5 – 11 มี.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมบ้าง?
null
กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น 1.UOBSC – กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +16.16% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +38.26% 2.PRINCIPAL GCF – กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล คอมมอดิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +15.12% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +29.03% 3.ASP-OIL – กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +14.03% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +19.75% หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) กองทุนยอดนิยม 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -10.98% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) –30.68% 2.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -3.52% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -14.98% 3.PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -0.96% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -4.50%
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1168
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับสินทรัพย์ดาวรุ่งปี 2021
null
มาพูดถึงเกี่ยวกับสินทรัพย์ดาวรุ่งที่มาแรงมากในปี 2021 กันดีกว่า อันแรกก็ต้องเป็น Bitcoin แน่นอน เพราะกล้าพูดได้เลยว่าปี 2021 Bitcoin ชนะเลิศในการเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนดีที่สุด แม้ว่าในระหว่างปีจะเจอความผันผวนก็ตาม ส่วนสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มาแรงในปีนี้ก็จะมีทั้ง หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นอสังหาริมทรัพย์ หุ้นการเงิน และหุ้นเทคโนโลยี สำหรับสินทรัพย์ดาวรุ่งปี 2021 ที่กล่าวมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดี และเกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองหลังจากวิกฤตโรคระบาดค่อย ๆ ทุเลาลงทั้งนั้นเลยค่ะ บทเรียนจากย่อหน้านี้ สินทรัพย์ดาวรุ่งปี 2021 - สำหรับสินทรัพย์การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนชนะเลิศในปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าก็คงหนีไม่พ้น Bitcoin ซึ่งถึงแม้จะเจอความผันผวนอย่างหนักอยู่หลายช่วงในระหว่างปี แต่เมื่อสรุปคะแนนแล้วก็พบว่า Bitcoin ยังคงสร้างผลตอบแทนแบบ YTD ได้สูงถึง 65% เลยทีเดียว - ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน อสังหาฯ การเงิน และเทคโนโลยี ตามลำดับ - สังเกตได้ว่าสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในปี 2021 จะเป็นสินทรัพย์กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองแทบทั้งนั้นเลย ซึ่งสอดคล้องกันกับที่ช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศเริ่มฟื้นตัว มีการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและการบริโภคเพิ่มขึ้น รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากนโยบายทางการเงินการคลัง และการฉีดวัคซีนก็ครอบคลุมประชากรเป็นวงกว้างมากขึ้น
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1169
Finance
ประเทศที่เงินเฟ้อไม่สูง สามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายได้ดี โตมีเสถียรภาพ มีประเทศใดบ้าง
null
ประเทศที่เงินเฟ้อไม่สูง สามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายได้ดี และเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ ได้แก่ 1. ประเทศจีน : มีความน่าสนใจตรงที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำ จึงเปิดช่องให้ธนาคารกลางจีนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลด RRR ตามที่ได้เห็นธนาคารกลางจีนเริ่มทำในช่วงต้นปี 2565 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนที่คาดว่า เศรษฐกิจจีนปีนี้จะขยายตัวได้ในระดับ 4.8% 2. ประเทศเวียดนาม : มีการคาดการณ์ว่าในปี 2565 เศรษฐกิจจะเติบโตได้ถึง 6.6% และเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อน้อย โดยมีอัตราเงินเฟ้อในเดือนมกราคม 2565 อยู่ที่ 1.94% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลงจากระดับ 6% ในปี 2563 มาสู่ 4% ในปี 2565 คิดเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 3 ครั้งด้วยกัน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1170
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เรื่องที่ควรและไม่ควรทำในเชิงกลยุทธ์ เกี่ยวกับโอกาสในการเกิดสงครามโลกกับตลาดการเงิน
null
เพราะไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียกับยูเครน จะส่งผลไปสู่การเกิดสงครามโลกกับตลาดการเงินหรือไม่ โอกาสในการเกิดมีทั้งผลดีและผลไม่ดีตามมาทั้งนั้น ดังนั้น ตลาดการเงินในช่วงระหว่างสงครามครั้งนี้ จะต้องมีกลยุทธ์ที่ควรทำและไม่ควรทำ เริ่มที่การที่เราไม่ควรลดการลงทุนทั้งหมด เพราะนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวคุณเองพลาดโอกาสที่จะทำให้ตลาดการเงินกลับตัวได้ ต่อมาคุณเองก็ควรมองหาจุดเปลี่ยนที่จะทำให้สงครามครั้งนี้สิ้นสุดลง และไม่ควรเก็งกำไรกับสินทรัพย์วัฏจักรมากเกินไป แต่ในทางกลับกัน คุณควรแบ่งเงินก้อนที่ใหญ่ที่สุดมาลงทุนกับกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลังสงครามครั้งนี้ได้ บทเรียนจากย่อหน้านี้ เรื่องที่ควรและไม่ควรทำในเชิงกลยุทธ์ เกี่ยวกับโอกาสในการเกิดสงครามโลกกับตลาดการเงิน (1) ไม่ควรลดการลงทุนลงทั้งหมด เพราะนั่นอาจทำให้พลาดโอกาสที่ตลาดจะกลับตัวทันที ควรเปลี่ยนเฉพาะการลงทุนที่คาดว่าจะได้รับผลเชิงลบโดยตรงออก และแทนที่ด้วยสินทรัพย์ที่พื้นฐานไม่ถูกกระทบจากสงครามมาก (2) ควรมองหาจุดเปลี่ยนที่จะทำให้สงครามยุติลงได้ และคิดไว้ก่อนว่าสินทรัพย์ไหนมีโอกาสกลับตัวในเหตุการณ์เหล่านั้น ไม่ควรเสียเวลาไปกับการพยายามทำความเข้าใจเหตุผลที่ทั้งสองฝ่ายอ้างขึ้นเพื่อทำสงคราม (3) ไม่ควรเก็งกำไรกับสินทรัพย์วัฏจักรมากเกินไป แต่ควรแบ่งเงินส่วนใหญ่ลงทุนกับกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลังสงครามครั้งนี้ ทุกคนอาจมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่าง มีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ความแตกต่างไม่ว่าจะเรื่องไหน ก็ควรจบด้วยการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ความรุนแรง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1173
Finance
จงบอกประเภทของภาษี ที่ผ่อนปรนการเก็บภาษีภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ตามวันที่ 8 มี.ค. 2565 ที่ ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎหมาย 2 ฉบับที่กรมสรรพากรได้เสนอไว้
null
วันที่ 8 มี.ค. 2565 ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎหมาย 2 ฉบับที่กรมสรรพากรได้เสนอไว้ โดยจะผ่อนปรนการเก็บภาษีภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ดังนี้ 1. ภาษีเงินได้: การคำนวณภาษีเงินได้พึงประเมินหรือกำไรจากสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น สามารถนำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรได้ในปีภาษีเดียวกัน ซึ่งจะสามารถเข้าเงื่อนไขนี้เฉพาะ Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เท่านั้น 2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: กรณีธุรกรรมที่กระทำผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. จะไม่สามารถระบุตัวตนผู้รับเงิน และไม่ทราบจำนวนเงินได้ที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แต่อย่างใด 3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม: ยกเว้น VAT สำหรับธุรกรรมที่กระทำผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (Retail CBDC) ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 สรุปง่ายๆ คือ สำหรับธุรกรรมที่ทำผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. นั้น กรมสรรพากรจะยังไม่เก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงนักลงทุนสามารถนำผลขาดทุนมาหักลบกับกำไรในปีภาษีเดียวกันได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1174
Finance
10 กองทุนต่างประเทศที่น่าสนใจ 1 บาทก็ลงทุนได้ ในปี 2022 มีกองทุนอะไรบ้าง
null
10 กองทุนต่างประเทศที่น่าสนใจ 1 บาทก็ลงทุนได้ ในปี 2022 ได้แก่ 1. ONE-UGG-RA ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตทั่วโลก ความน่าสนใจ: กองทุนปรัชญาการลงทุนระยะยาวที่ทุกคนรู้จักกันดี เริ่มเป็นเจ้าของได้ในราคา 1 บาท ระดับความเสี่ยง 6 2. TMB-ES-GCG ลงทุนผ่านกองทุนหลัก AMUNDI FUNDS POLEN CAPITAL GLOBAL GROWTH ลงทุนในหุ้น Large Cap Growth ทั่วโลก ความน่าสนใจ: เป็นกองทุน Global Equity ที่ผลงานดีมาก แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เน้นหุ้นใหญ่ ผลงานดีต่อเนื่อง การันตีระดับ 5 ดาว Morning Star ระดับความเสี่ยง 6 3. UOBSGA ลงทุนผ่านกองทุนหลัก BGF Global Allocation Fund Asset Allocation หลากหลายตราสารหนี้ หุ้น ตราสารทางเลือก ลดความผันผวน ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ความน่าสนใจ: กองทุน Global Asset Allocation มีผลงานการีนตีย้อนหลังดีมาก ๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความผันผวนมาก พร้อมเรทติ้งกองทุน 4 ดาว Morning Star ระดับความเสี่ยง 5 4. TMBEAE ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Worldwide Emerging Leading Companies เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตของฝั่งตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย ละตินอเมริกา สไตล์การบริหาร: เลือกหุ้นแบบ Bottom Up พอร์ตการลงทุน: หุ้นกระจุกตัว 35-60 ตัว ระดับความเสี่ยง 6 5. WE-EVOSEMI เป็น Fund of Funds ลงทุนใน ETF “PSI” และ “SMH” รวมหุ้นอุตสาหกรรม Semiconductor ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์ IT และ EV เน้น USA และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก เช่น ยุโรป ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น ความน่าสนใจ: Semiconductor คือ commodity ในโลกของ Technology ไปแล้ว ชิปกำลังขาดแคลนและอุตสาหกรรมนี้จะอยู่ไปอีกนาน ระดับความเสี่ยง 7 6. WE-TENERGY ลงทุนผ่านกองทุนหลัก BNP Paribas Funds Energy Transition เป็นพอร์ตกองทุนหุ้นพลังงานสะอาด กลุ่มต้นน้ำ เช่น แผงโวล่าร์ พลังงานลม Smart Building ลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก บริหารโดย BNP Paribas ผู้เชี่ยวชาญด้าน Green Investing ระดับความเสี่ยง 6 7. TMBINDAE ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Goldman Sachs India Equity Portfolio กองทุนหุ้นอินเดียผลงาน 5-star MorningStar กองนี้มีสไตล์การลงทุนเชิงรุก เน้นลงทุนในหุ้นอินเดียขนาดกลาง-เล็กกว่า Index และมีหุ้นธนาคารเพียง 20% ต่างจากกองอื่น ๆ ในตลาดค่อนข้างมาก ระดับความเสี่ยง 6 8. UOBSGC ลงทุนผ่านกองทุนหลัก United Greater China Fund Class A SGD Acc (หุ้นจึน A, H, ADR และ Taiwan) กองทุนหุ้นจีนผลงานดีกองนี้นอกจากมีส่วนของหุ้นไต้หวันแล้ว ยังมีหุ้นกลุ่ม A-Share ที่มีความผันผวนน้อยกว่า all-china ปกติ จึงเป็นกองที่น่าสนใจ เมื่อ Universe มีครอบคลุมกว่ากอง All-China ปกติ ระดับความเสี่ยง 6 9. SCBEUEQ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares STOXX Europe 600 ETF หุ้นยุโรป รวมประเทศ UK STOXX600 ประกอบด้วยกลุ่มการเงิน สินค้าอุตสาหกรรม สุขภาพ และสินค้าจำเป็น รวมกันประมาณ 50% เป็นส่วนที่เน้น value คือ ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐาน คือการบริโภค และมีความมั่งคง เมื่อพิจารณาสินค้าฟุ่มเฟอยและไอที รวมกันแค่ 20% ระดับความเสี่ยง 6 10. UVO เป็น Fund of Funds ลงทุนในกองทุนหุ้นเวียดนาม บริหารงานโดยผู้จัดการกองทุนชาวเวียดนาม ลงทุนในหุ้นเวียดนาม Big Cap ความน่าสนใจ: สะสมหน่วยลงทุนของกองทุนเวียดนามได้ผ่านกองทุน 1 บาท ก็คว้าโอกาสการเติบโตของเวียดนามได้แล้ว ระดับความเสี่ยง 6
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1175
Finance
ทำไมถึงต้องเลือกการลงทุนในนวัตกรรม
null
เพราะนวัตกรรมคือ จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกำหนดโอกาสการเติบโตของธีมการลงทุนในอนาคต เริ่มตั้งแต่โลกมีการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมขึ้น ย้อนไปถึงยุคพลังงานน้ำ หรือในช่วงปี 1785 และได้มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน สังเกตว่า คลื่นลูกที่ 1 หรือ 1st wave ไปจนถึงคลื่นลูกที่ 6 หรือ 6th wave อันเป็นยุคปัจจุบัน ระยะเวลาของการพัฒนานวัตกรรมนั้น ใช้เวลาน้อยลงเรื่อย ๆ จากการใช้ระยะเวลามากถึง 50 – 60 ปี ในการพัฒนานวัตกรรมแต่ละช่วงยุคสมัย ได้มีการย่นระยะเวลาน้อยลงเรื่อย ๆ ในฐานะผู้ลงทุนแล้ว เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนในการค้นหาประเภทธุรกิจซึ่งจะเป็นผู้ชนะในอนาคต และควรเลือกลงทุนในหุ้นหรือในธุรกิจประเภทใดที่สามารถตอบโจทย์กับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากระยะเวลาการพัฒนานวัตกรรมที่ใช้เวลาน้อยลงแล้ว อัตราการนำนวัตกรรมนั้น ๆ ไปใช้นั้น ก็มีจำนวนสูงขึ้นด้วย สังเกตได้จากการนำนวัตกรรมไปใช้ในช่วงปี 2010 จะเห็นได้ว่า สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ประเภทใดเกิดขึ้น อัตราการนำไปใช้นั้น ก็จะสูงขึ้นเช่นกัน ปัจจุบัน โลกกำลังอยู่ในคลื่นลูกที่ 6 หรือ 6th Wave ซึ่งอยู่ในช่วงปี 2020 เป็นต้นไป โดยจะมีนวัตกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีอัตโนมัติ วิชาการหุ่นยนต์ การแปลงข้อมูลสู่ดิจิทัล และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้มีการมองหานวัตกรรมที่แตกต่าง โดยการเฟ้นหาบริษัทที่กำลังจะเติบโตและเป็นผู้ชนะในอนาคต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1177
Finance
Bitcoin คืออะไร
null
บิตคอยน์ (Bitcoin) หรือ BTC คือ สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) สกุลแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้นบน “บล็อกเชน” (Blockchain) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับตรวจสอบธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ หัวใจของบิตคอยน์คือ “การกระจายศูนย์” (Decentralized) ที่ปราศจากการควบคุมจากตัวกลางหรือการกำกับดูแลของรัฐบาลและธนาคารใด ๆ ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์แต่ละรายการถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ ทำให้ธุรกรรมใด ๆ ยากที่จะย้อนกลับ ดัดแปลง หรือทำลายทิ้ง ปัจจุบันบิตคอยน์มีมูลค่าและส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในตลาดคริปโตฯ ด้วยปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาลในแต่ละวัน จำนวนบิตคอยน์มีอยู่จำกัดที่ประมาณ 21 ล้านเหรียญ ซึ่ง ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2022 บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 18.97 ล้านเหรียญ หรือราว 90% ของจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมด โดยคาดว่าบิตคอยน์จะถูกขุดหมดประมาณปี 2140 เครือข่ายบิตคอยน์ถือกำเนิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 2009 โดยผู้สร้างที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) ตัวตนที่แท้จริงของซาโตชิยังคงเป็นปริศนา แม้ว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วก็ตาม บางคนก็ตั้งข้อสงสัยต่าง ๆ นานาว่าเหตุผลที่ซาโตชิไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของเขาอาจเป็นเพราะเขาต้องการรักษาหัวใจสำคัญของบิตคอยน์เอาไว้นั่นคือ “การกระจายศูนย์” ที่ทำให้บิตคอยน์ไม่ขึ้นอยู่กับตัวกลางใด ๆ เพราะหากเขาเปิดเผยตัวตนของเขาก็อาจจะทำให้สูญเสียหัวใจสำคัญสิ่งนี้ไปได้ ซึ่งมีหลายคนที่ออกมาแสดงตัวและอ้างว่าเขาเป็นซาโตชิผู้สร้างบิตคอยน์ แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าใครกันแน่ที่เป็นซาโตชิตัวจริงเสียงจริง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1178
Finance
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับ "เผชิญหน้ากับ Crypto Winter: แนวทางในการเตรียมตัวและรับมือกับการลดลงของตลาดคริปโต" ให้หน่อย
null
"คริปโตวินเตอร์" หรือ "Crypto Winter" เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงของตลาดสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตที่เกิดขึ้นเมื่อมีการลดลงของราคาและกิจกรรมในตลาดนั้น ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในโลกของคริปโตและบล็อกเชน โดยมักเกิดขึ้นหลังจากวิกฤตการเงินหรือแก๊งค์ตลาดเพียงใดที่มีผลกระทบต่อการลงทุนและความเชื่อของผู้ลงทุนในตลาดดังกล่าว การรับมือกับ Crypto Winter นั้นมีหลายวิธีและกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ ต่อไปนี้คือบางวิธีที่สามารถพิจารณา 1. การดำเนินกิจกรรมการลงทุนที่รอบคอบ: การสร้างพอร์ตโซลิดให้มีความหลากหลายและสมดุลเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดคริปโต 2. การเพิ่มความสามารถในการดำเนินการทางการเงิน: การเพิ่มความเข้มแข็งของการบริหารจัดการเงินและการวางแผนการเงินเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในตลาด 3. การค้นหาโอกาสใหม่ๆ: การค้นหาโอกาสในตลาดที่มีความนิยมน้อยลง เช่น การลงทุนในโครงการบล็อกเชนที่มีศักยภาพแต่ยังไม่ได้รับการรับรอง 4. การศึกษาและการเรียนรู้: การเพิ่มความรู้และความเข้าใจในการทำงานของตลาดคริปโตและบล็อกเชนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่เป็นไปได้ในอนาคต 5. การรักษาความเยื้องแย่: การรักษาความสมดุลและความสงบในการลงทุนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการเล่นเสี่ยงในตลาดที่ไม่แน่นอน 6. การรับรู้การเปลี่ยนแปลงของตลาด : การรับรู้และการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงในตลาดคริปโตและการเปลี่ยนแปลงในการพฤติกรรมของผู้ลงทุน ** สรุป Crypto Winter คือช่วงเวลาที่มีการลดลงของราคาและกิจกรรมในตลาดสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโต ในการรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างเหมาะสมควรพิจารณาการดำเนินกิจกรรมการลงทุนที่รอบคอบ การเพิ่มความสามารถในการดำเนินการทางการเงิน การค้นหาโอกาสใหม่ การศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อป้องกันการสูญเสียและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรในอนาคตในตลาดคริปโตและบล็อกเชน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1180
Finance
ช่วยสรุป เรื่อง "GGG พอร์ต: บรรยากาศลงทุนในหุ้นเติบโตที่มีความมั่นคงและมองโลกในมุมที่ไม่เหมือนใคร" ให้หน่อยค่ะ
ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนหลาย ๆ ท่านคงประสบปัญหาในการเผชิญการปรับฐานอย่างหนักของกองทุนหุ้นเติบโตชื่อดังเช่น Ark หรือ Baillie Gifford ซึ่งถึงแม้จะทำผลงานได้โดดเด่นแต่ก็มีความผันผวนที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันนี้ทาง FINNOMENA ขอพาทุกคนมารู้จักกับ GGG พอร์ตการลงทุนหุ้นเติบโตเอาใจสาย Growth ที่ไม่ได้มีดีแค่บู๊หนัก แต่มีเบาะกันกระแทกและที่สำคัญ “ไม่มีการจับจังหวะตลาด” จะเป็นอย่างไรลองสำรวจไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ ความท้าทายที่ทุกคนต้องเผชิญผ่านการลงทุนในหุ้นเติบโต หากพูดถึงความท้าทายของการลงทุนในหุ้นเติบโต สิ่งแรกที่เราต้องพูดถึงก็คือเรื่องของ “ความผันผวนที่เราต้องเผชิญ” ทั้งในแง่ของราคาที่ตลาดให้ความคาดหวังสูงและผลการดำเนินงานของบริษัทที่ในบางจุดอาจทำไม่ได้ตามความคาดหวังของคนในตลาดจนส่งให้เกิดการปรับฐานอย่างรุนแรงถึงแม้ธุรกิจจะน่าสนใจเพียงใดก็ตาม ส่งผลให้ตอนตลาดปรับฐานกองทุนในพอร์ตเราจึงลงหนักคล้ายกันทุกกอง ส่งผลให้เกิดความผันผวนสูงในระดับสูงจนเกินจะต้านไหว แต่ยามที่ตลาดลงหนัก กลับกลายเป็นว่าเรามีกองทุน Growth จากกองทุนหรือผู้จัดการกองทุนที่มีแนวทางคล้าย ๆ กัน ซึ่งพอร์ต GGG ที่เรากำลังจะนำเสนอ จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความชื่นชอบการลงทุนในหุ้นเติบโตของคุณ เข้ากับโลกของหุ้นเติบโตที่ซับซ้อนยากจะเข้าถึง วิธีการจะเป็นอย่างไรเป็นไปได้หรือไม่? เราลองมาสำรวจข้อมูลในส่วนถัดไปกัน รู้จักคอนเซปต์หลักของพอร์ต GGG ง่าย ๆ ใน 4 ข้อ 1. พอร์ต GGG คืออะไร? พอร์ต GGG (Triple G) คือพอร์ตการลงทุนแบบหุ้นเติบโตล้วน (Growth stocks) จัดหนักจัดเต็มสำหรับนักลงทุนผู้ชื่นชอบและหลงใหลการลงทุนในหุ้นเติบโต แต่ให้ความสำคัญกับการจัดการความผันผวน ผ่านการลงทุนในกลุ่มหุ้นแกนหลัก 4 กลุ่มที่มีลักษณะการเคลื่อนไหวแตกต่างกันเพื่อลดความผันผวนดังนี้ คือ เราเลือกประเทศที่มีการเติบโตในระดับที่น่าสนใจ และมีศักยภาพในการกระจายความเสี่ยงจากการได้รับผลกระทบจากปัจจัยมหภาคต่ำอย่าง เวียดนาม 2 Quality Growth คือ ธีมการเติบโตแบบเน้นคุณภาพที่จะช่วยมาเป็นเบาะรองรับยามตลาดเกิดความผันผวนหนักยกตัวอย่างเช่น ธีมการลงทุนหุ้นเฮลธ์แคร์ 3 Technology Growth คือ ธีมการเติบโตแบบเข้มข้น เน้นการเติบโตในอนาคตที่อาจเติบโตได้สูงเป็นกองหน้าตัวรุกของพอร์ต ยกตัวอย่างเช่น ธีม Blockchain หรือหุ้นเทคโนโลยีจีน 4 Sustainable Growth คือ ธีมการลงทุนแบบยั่งยืนที่มีความน่าสนใจและเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นชัดเจนผ่านการลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ เช่น ธีมการลงทุนในพลังงานสะอาด รวมไปถึงแนวโน้มที่มีพัฒนาการเด่นชัดเป็นรูปธรรมและอาจเติบโตได้สูง เช่น ธีมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น กองทุนในกลุ่มต่าง ๆ ข้างต้นจะถูกคัดกรองความผันผวนผ่านการทำ Minimum Volatility Optimization หรือการคัดกรองความผันผวนให้ดีที่สุดทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างกองทุน (Correlation) เพื่อให้แน่ใจว่าหากตลาดปรับฐานจะมีกองทุนที่เคลื่อนที่ในลักษณะต่างกันช่วยรองรับรวมไปถึงความผันผวน (Volatility) และคัดเลือกเชิงคุณภาพอีกขั้นโดย FINNOMENA Investment Team เพื่อให้แน่ใจว่ากองทุนที่ได้เหมาะสมต่อสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา โดยการกระทำที่ว่าหากอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เราจะนำกองทุนหุ้นที่ราคาเคลื่อนไหวไม่คล้ายกันมาก แต่ยังอยู่ในธีมหุ้นเติบโตเหมือนกันมาใส่ในพอร์ตให้เหมาะสม เพื่อที่ตอนคลาดลงแรง ๆ เราจะได้ทนถือต่อไปได้ คัดกรองอีกชั้นให้เหนือกว่าโดย FINNOMENA Investment Team หลังเราได้คัดเลือกธีมการลงทุนและกองทุนที่มีความผันผวนที่เหมาะสมผ่านปัจจัยเชิงปริมาณกันไปแล้ว เราจะทำการเสริมแกร่งการลงทุนอีกขั้นผ่านการวิเคราะห์โดย FINNOMENA Investment Team ด้วยวิธีการวิเคราะห์ MEVT ซึ่งเป็นกรอบวิเคราะห์การลงทุนที่จะช่วยติดตามธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในช่วงนั้น ๆ
ความท้าทายในการลงทุนในหุ้นเติบโตต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูง เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเติบโตมักมีการเคลื่อนไหวรวดเร็วและมีความผันผวนที่สูงกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้น การสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับความผันผวนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ GGG พอร์ตการลงทุนหุ้นเติบโตจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเบาะรองที่มีการกระจายความเสี่ยงและไม่จับจังหวะตลาดไว้ในเวลาที่ตลาดปรับฐานอย่างรุนแรง เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มความมั่นคงในการลงทุน นำเสนอในรูปแบบของ 4 ธีมหลัก ๆ ดังนี้ นะคะ 1. Quality Growth (การเติบโตแบบคุณภาพ) เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูง เพื่อลดความผันผวนที่เกิดจากบริษัทที่ไม่ประสบความสำเร็จตามคาดหวัง 2. Healthcare Growth (การเติบโตในกลุ่มสุขภาพ) เน้นการลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพที่มีโอกาสเติบโตสูง เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการลงทุน 3. Technology Growth (การเติบโตทางเทคโนโลยี) เน้นการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต 4. Sustainable Growth (การเติบโตที่ยั่งยืน) เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มทางสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน เพื่อลดความผันผวน พอร์ต GGG ได้ทำการคัดกรองอีกขั้นโดยใช้ Minimum Volatility Optimization เพื่อเลือกกองทุนที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในพอร์ต และรวมถึงการคัดเลือกอีกขั้นโดยทีมวิเคราะห์ของ FINNOMENA โดยใช้ MEVT (Market, Economic, Valuation, Technical) Analysis ที่จะช่วยติดตามธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา สรุปคือ GGG พอร์ตการลงทุนหุ้นเติบโตได้ถูกออกแบบให้เป็นเบาะรองที่ทนทานต่อความผันผวนของตลาดและมีการคัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพและโอกาสเติบโตในยามตลาดทวีความไม่แน่นอน โดยมีการคัดกรองอีกขั้นโดยทีมวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้การลงทุนมีความมั่นคงและทันสมัยตลอดเวลา
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1183
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ กรณีศึกษา NFT กับอนาคตของวงการเพลง ของ Warner Music Group
null
Warner Music Group ค่ายเพลงชื่อดังระดับโลก รุกกระแสที่กำลังมาแรงในขณะนี้อย่าง Non-Fungible Token หรือ NFT ประกาศสร้างโปรเจ็กต์ โดยการจับมือกับ 2 แพลตฟอร์ม คือ The Sandbox และ Splinterlands ในช่วงต้นปี 2022 โดยทาง The Sandbox แพลตฟอร์มสาย NFT และ Metaverse จะเข้ามาสร้างโลกของเสียงเพลงและเปิดประสบการณ์ใหม่บน Metaverse และทาง Splinterlands เกมคริปโตฯ รูปแบบเกมการ์ด จะร่วมกันสร้างโปรเจ็กต์เกมแนวอาร์เดคร่วมกัน บทเรียนจากย่อหน้านี้ Non-Fungible Token หรือ NFT เป็นกระแสที่มาแรงมากนับตั้งแต่ปี 2021 และได้มีการนำไปปรับใช้ในหลายอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น วงการศิลปะ มีศิลปินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายออกมาสร้างผลงานในรูปแบบ NFT, วงการเกมที่มีการนำ NFT ไปใช้กับตัวละครหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเกม และอีกหนึ่งวงการที่น่าจับตามอง อีกทั้งเริ่มเห็นการขยับตัวของผู้เล่นรายใหญ่ในหลายประเทศ นั่นคือ วงการเพลง Warner Music Group (WMG) ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีศิลปินชื่อดังในสังกัดมากมาย ตัวอย่างเช่น Bruno Mars, Charlie Puth, Ed Sheeran เป็นต้น โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2022 มีการประกาศจับมือกับ 2 แพลตฟอร์มดังที่มีความเกี่ยวข้องกับ NFT เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ร่วมกัน ได้แก่ The Sandbox และ Splinterlands The Sandbox เป็นแพลตฟอร์มคริปโตฯ ที่เกี่ยวข้องกับ NFT และ Metaverse มีบริษัทที่เข้ามาร่วมกับแพลตฟอร์มนี้แล้วมากมายจากหลายวงการ ซึ่งการจับมือในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างโลกของเสียงเพลงและเปิดประสบการณ์ให้กับผู้ใช้งานบน Metaverse นอกจากนั้น การประกาศดังกล่าวยังได้มีการระบุอีกด้วยว่า ทาง Warner Music Group (WMG) ได้มีการเข้าไปถึงครองที่ดินบน The Sandbox และจะมีการจัดบริเวณโดยรอบในอีกไม่ช้า ส่วน Splinterlands เป็นเกมคริปโตฯ ในลักษณะเกมการ์ด โดยการจับมือในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างและพัฒนาเกมแนวอาร์เดค (Arcade Game) ร่วมกัน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1185
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่เฟดต้องเร่งทำนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากกว่าเดิม จากสงครามรัสเซียกับยูเครน
null
เหตุผลที่เฟดจะต้องเร่งทำนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากกว่าเดิม จากสงครามรัสเซียกับยูเครน มีหลายประการ อย่างแรกก็คือ การที่ราคาของน้ำมันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลยาวต่อไปถึงผู้มีรายได้น้อย ระดับค่าจ้างจะถูกปรับให้สูงขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นกว่าเดิม ชาวอเมริกันยอมสละบางอย่างในภาคเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลสหรัฐสร้างความคาดหวังของอัตราจีดีพีให้ลดลง และสุดท้าย เฟดเองก็ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยในช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ เพื่อชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนั่นเอง บทเรียนจากย่อหน้านี้ เฟดอาจต้องเร่งทำนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้นกว่าเดิม จากกรณีรัสเซียบุกยูเครน เนื่องจาก 1. ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ย่อมจะส่งผลให้ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มแบบเร่งตัวขึ้นจากเดิม โดยเฟดอาจจะมองว่าหากไม่ขึ้นดอกเบี้ยแบบรวดเร็ว จะทำให้ความเชื่อมั่นต่อเฟดในมิติของการเอาจริงเอาจังกับเงินเฟ้อจากสายตาประชาชนลดลง 2. ภาวะที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผู้มีรายได้น้อยมากกว่า จะทำให้กระแสที่ระดับค่าจ้างจะถูกเร่งปรับให้สูงขึ้นถูกกระพือในสังคมชาวอเมริกัน นั่นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อยิ่งจะขยับสูงขึ้นไปอีกแบบต่อเนื่อง ซึ่งบีบให้เฟดต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยให้มากว่าเดิม 3. รัฐบาลสหรัฐโดยโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ออกตัวกับประชาชนว่า หากจะต่อสู้กับรัสเซีย ชาวอเมริกันต้องยอมเสียสละบางอย่างในภาคเศรษฐกิจ อาทิ ราคาน้ำมันแพงขึ้นหรือเศรษฐกิจเติบโตช้าลง ซึ่งเฟดก็สามารถที่จะทำการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้เร็วขึ้นได้ เพราะไบเดนได้สร้างความคาดหวังของอัตราการเติบโตของจีดีพีให้ลดลง ในสายตาประชาชน 4. การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ ในช่วงปลายปี 2022 อาจจะทำให้เฟดต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้ เพื่อชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงใกล้เลือกตั้ง เหมือนอย่างที่เคยเป็นสำหรับการเลือกตั้งสหรัฐเกือบทุกครั้งในอดีต ณ เวลานี้ เหมือนว่าเฟดน่าจะเริ่มต้นด้วยการลดความร้อนแรงสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม 2022 หลังจากนั้น เฟดคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง 2 ฝั่งนี้ ว่าจะตัดสินใจเลือกแนวทางใดที่เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ที่กำลังจะมาถึง โดยหากสถานการณ์รัสเซียบุกยูเครนยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเท่าใด โอกาสที่เฟดจะตัดสินใจออกมาในฝั่งชะลอการขึ้นดอกเบี้ยให้ช้าลงก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1188
Finance
มุมมองต่อกองทุนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวโดย FINNOMENA Investment Team เป็นอย่างไรบ้าง
null
มุมมองต่อกองทุนในระยะสั้นโดย FINNOMENA Investment Team กองทุนอาจปรับตัวลงต่อ แต่การปรับตัวลดลงอาจเริ่มจำกัด จากเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้ - กองทุนปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะส่งผลให้ในเชิงมูลค่า (Valuation) เริ่มถูก ขณะที่กิจการหลาย ๆ กิจการในกองทุนยังดำเนินต่อได้และมียอดขายเติบโต - สถานการณ์ในปัจจุบันได้สะท้อนความไม่แน่นอนเรื่องดอกเบี้ยไปมากแล้ว ซึ่งหาก Fed เฉลยเรื่อง QT+ ดอกเบี้ยเมื่อไหร่ สถานการณ์น่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนอาจส่งผลให้แรงเทขายชะลอลง และอาจส่งผลให้ตลาดกลับมาพิจารณาอีกครั้ง - กองทุนลงทุนในหุ้นหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ผสมผสานทั้งจีน สหรัฐฯ และยุโรป โดยจีนเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว อีกทั้งยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสนับสนุนและกองทุนรัฐบาลจีนมาช่วยเข้าซื้อหุ้น ในขณะที่มาตรการควบคุมต่าง ๆ เริ่มชะลอลงซึ่งอาจช่วยสนับสนุนหุ้นจีนในเชิงภาพกว้าง มุมมองต่อกองทุนในระยะกลางโดย FINNOMENA Investment Team อาจต้องจับตามองประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ว่ามีการปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายจำนวนครั้งหรือไม่ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินแบบหดตัว (QT) ว่ามีปริมาณเท่าไหร่ นอกจากนั้นยังต้องจับตามองการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนว่าจะมีความต่อเนื่องหรือไม่ และจะชะลอมาตรการควบคุมบริษัทต่าง ๆ เมื่อใด มุมมองต่อกองทุนในระยะยาวโดย FINNOMENA Investment Team กองทุนมีโอกาสเติบโตสูง จากการเลือกหุ้นแบบ Bottom Up คุณภาพดี มีขอบเขตการลงทุนกว้างไม่จำกัดแค่หุ้นเทคโนโลยีคว้าโอกาสเติบโตได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งกองทุนยังกระจายการลงทุนทั่วโลก ช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนแบบกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง แนะนำให้ซื้อและถือ (Buy & Hold) ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดจากการจับจังหวะได้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1189
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "กองทุน KFGPE-UI คืออะไร?" ให้หน่อยค่ะ
กองทุน KFGPE-UI คืออะไร? กองทุน KFGPE-UI คือกองทุนของค่าย บลจ. กรุงศรี ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนชาวไทยได้ลงทุนในบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีโอกาสเติบโตสูง บริหารโดยบลจ. ระดับโลกอย่าง Schroder อยู่ในวงการมานับร้อยปี โดยกองทุน KFGPE-UI จะเข้าลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ Schroder GAIA II Global Private Equity Fund, Class C Accumulation USD (กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV และกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 8+
กองทุน KFGPE-UI เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยได้ลงทุนในบริษัทที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะเข้าลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Schroder GAIA II Global Private Equity Fund และ Class C Accumulation USD
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การบริหารสินทรัพย์
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1191
Finance
ช่วยสรุปบทความ เกษียณโสดอย่างเฉิดฉาย! เลือก “บ้านพักคนชรา” แบบไหนดี?
สายประหยัด สายแรก ‘สายประหยัด’ ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณหลักหมื่นต้น ๆ (ไม่รวมค่าแรกเข้า) และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปี ประมาณ 600,000 บาท ถึง 1 ล้านบาท บ้านบางแค ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘บ้านบางแค’ เป็นสถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุแห่งแรกของประเทศไทยที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2496 ปัจจุบันนับเป็นเวลาเกือบ 70 ปีแล้วที่บ้านบางแคได้ก่อตั้งมา บ้านบางแค มีบริการด้านที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุที่เข้ามาพักอาศัย ได้แก่ ด้านการรักษาพยาบาล มีเจ้าหน้าที่พยาบาลอยู่เวรดูแลตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัย และฟื้นฟูผู้สูงอายุ ด้านอาชีวบำบัด มีผู้เชี่ยวชาญฝึกสอนงานประดิษฐ์ให้ผู้สูงอายุสำหรับทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่ายสร้างรายได้ ด้านสังคมสงเคราะห์ จัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา ดำเนินการด้านกฎหมาย และด้านจิตวิทยาเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่จะเข้าพักในบ้านบางแคได้จะต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสัญชาติไทย โดยมีความสมัครใจ หรือประสบปัญหา เช่น ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ ไม่มีที่อยู่อาศัย ฐานะยากจน ทั้งนี้ต้องไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ไม่เป็นผู้พิการทุพพลภาพ หรือจิตฟั่นเฟือน และต้องไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีอาญา สำหรับประเภทของของผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการในบ้านบางแคแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ 1) ประเภทสามัญ ให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้สูงอายุโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ 2) ประเภทเสียค่าบริการแบบหอพัก สำหรับห้องเดี่ยว ค่าบริการอยู่ที่คนละ 1,500 บาท/เดือน และห้องคู่ 2,000 บาท/เดือน มีห้องพักให้บริการทั้งหมด 40 ห้อง และ 3) ประเภทบังกะโล เป็นบ้านเดี่ยวที่ปลูกสร้างตามแบบแปลนที่กำหนดในที่ดินของศูนย์พัฒนาฯ โดยผู้สูงอายุสามารถอาศัยอยู่ได้จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต มีค่าบำรุงแรกเข้า 300,000 บาท ค่าบริการรายเดือนกรณีพักคนเดียว 1,500 บาท/เดือน และในกรณีเข้าพัก 2 คน เช่น คู่สามีภรรยา หรือพี่น้องเพศเดียวกัน ค่าบริการ 2,000 บาท/เดือน รวมถึงต้องรับผิดชอบค่าน้ำประปาคนละ 100 บาท/เดือน สำหรับค่าไฟฟ้าคิดตามการใช้จริง ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยในบ้านบางแค เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 19,200 บาท รวมค่าน้ำเดือนละ 100 บาทแล้ว และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 684,000 บาท รวมค่าแรกเข้า 300,000 บาทแล้ว ที่ตั้ง: ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค เลขที่ 813 ถ.เพชรเกษม แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 10160 สวางคนิเวศ ‘สวางคนิเวศ’ อยู่ภายใต้การดูแลของ ‘สภากาชาดไทย’ เป็นโครงการที่พักอาศัยระดับ Middle-Class ที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ภายใต้คำขวัญ “ชีวิตอิสระ มีคุณค่า พึ่งพาตัวเอง” ไม่ว่าจะเป็น ด้านสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ด้านความปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในโครงการ และใช้ระบบคีย์การ์ดในการเข้าออกอาคาร และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ลิฟท์ พื้นห้องไม่ลื่น อุปกรณ์จับในห้องน้ำ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการดูแลในด้านอื่น ๆ เช่น มีพยาบาลเข้าเวร 24 ชั่วโมง ในกรณีที่ผู้สูงอายุเจ็บป่วยสามารถกดปุ่มฉุกเฉินเรียกพยาบาลได้ตลอดเวลา มีบริการตรวจสุขภาพประจำปี มีกิจกรรมสันทนาการ ห้องดนตรี ห้องออกกำลังกาย ห้องคาราโอเกะ รวมถึงทริปท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในโครงการสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ สำหรับโครงการสวางคนิเวศเป็นบ้านพักผู้สูงอายุประเภทซื้อสิทธิเข้ามาอยู่ ค่าแรกเข้าเริ่มต้น 650,000 บาท ไปจนถึง 1,700,000 บาท โดยราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดห้องพัก ทำเลที่ตั้ง และทิศทางลม ผู้สูงอายุที่จะเข้ามาอยู่ในโครงการสวางคนิเวศได้จะต้องมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป มีสัญชาติไทย และมีร่างกายแข็งแรง สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง โดยผู้พักอาศัยจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนตัวเอง เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงค่าส่วนกลาง 2,500 บาท/เดือน และหากผู้พักอายุเสียชีวิต ห้องพักจะถูกส่งคืนให้กับสภากาชาดไทย ไม่สามารถขายหรือโอนให้ผู้อื่นได้ ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยในสวางคนิเวศ เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 1,010,000 บาท รวมค่าแรกเข้าเริ่มต้นที่ 650,000 บาทแล้ว ที่ตั้ง: สวางคนิเวศ สภากาชาดไทย เลขที่ 3 ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10280 สายมีกินมีใช้ สำหรับ ‘สายมีกินมีใช้’ ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ในช่วง 200,000 – 300,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่หลักล้านกลาง ๆ คุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม ‘คุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม’ เป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยพักฟื้น โดยครอบคลุมการดูแลจนถึงผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และผู้สูงอายุที่ป่วยโดยโรคต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้บริการแบบถูกสุขลักษณะ สะอาด ปลอดภัย เอาใจใส่ ดูแลผู้สูงอายุเสมือนเป็นคนในครอบครัว ภายในศูนย์มีบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ไม่แออัด ด้วยทีมงานที่มากประสบการณ์และมีความชำนาญดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง แบ่งเป็นกะกลางวัน และกลางคืนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเต็มที่ มีเจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุในการทำกายภาพบำบัดเบื้องต้นทุกวันเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้สูงอายุ ควบคุมโภชนาการเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของผู้สูงอายุ โดยทางศูนย์จะจัดทำเมนูอาหารกว่า 100 รายการตลอดทั้งเดือนเพื่อให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ และไม่เกิดความจำเจ มีการจัดกิจกรรมสันทนาการในแต่ละเทศกาลต่าง ๆ ของปี เช่น วันพ่อ วันแม่ วันปีใหม่ วันสงกรานต์ ฯลฯ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีกิจกรรมทำร่วมกันและยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย คุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม มีห้องให้บริการรองรับผู้สูงอายุทั้งห้องเดี่ยว ห้องคู่ และห้องรวม โดยแยกชาย-หญิง รวมถึงลักษณะอาการของผู้สูงอายุเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุได้ อัตราค่าบริการเริ่มต้นที่เดือนละ 18,000 บาท และห้องเดี่ยว VIP เดือนละ 24,000 บาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักแบบครบครัน เช่น มีเครื่องปรับอากาศภายในห้องพักทุกห้อง บริการอุปกรณ์กดเรียกเจ้าหน้าที่ทุกเตียง มีเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำทุกห้อง ฯลฯ ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยในคุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 216,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 4,320,000 บาท ที่ตั้ง: คุณตาคุณยาย Nursing Home เลขที่ 26 ถนนเลี่ยงเมืองปากเกร็ด ซอย 7/3 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด นนทบุรี 11120 โรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 ‘โรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2’ เป็นโรงพยาบาลผู้สูงอายุที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแล รักษา และฟื้นฟูผู้ป่วยและผู้สูงอายุแห่งแรกในประเทศไทยและอาเซียนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก (JCI) ด้วยทีมแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด เภสัชกร นักโภชนาการ และสหวิชาชีพที่มีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการดูแลผู้สูงอายุในทุก ๆ ด้าน เพื่อความปลอดภัย และถูกต้องตามหลักการดูแลผู้สูงอายุ พร้อมให้บริการดูแลผู้สูงอายุเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีบริการที่ครอบคลุมกับการดูแลผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็น การตรวจเยี่ยมโดยแพทย์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ดูแลการพยาบาลพื้นฐานตลอด 24 ชั่วโมง ดูแลผู้สูงอายุในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การอาบน้ำ ป้อนยา มีนักโภชนาการช่วยแนะนำอาหารที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละท่าน บริการซักรีดเสื้อผ้า ทำความสะอาดของใช้ส่วนตัว ฯลฯ ทางโรงพยาบาลให้ความสำคัญกับกิจกรรมสันทนาการและกิจกรรมเพื่อการบำบัดผู้สูงอายุ โดยทีมแพทย์ พยาบาล และนักกิจกรรมบำบัด ออกแบบกิจกรรมทั้งในรูปแบบกิจกรรมกลุ่ม และกิจกรรมรายบุคคล เน้นความชอบของแต่ละบุคคลเพื่อให้ผู้สูงอายุมีความสุขและสนุกสนานไปกับกิจกรรมในแต่ละวัน เช่น การออกกำลังกายตอนเช้า กิจกรรมทางศาสนา กิจกรรมตามเทศกาลต่าง ๆ ฯลฯ ขอบเขตรูปแบบการให้บริการผู้สูงอายุของโรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 มีตั้งแต่ผู้สูงอายุวัยเกษียณที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ผู้สูงอายุที่ต้องพักพื้นหลังออกจากโรงพยาบาล ผู้สูงอายุที่เป็นโรคอัมพาต ผู้สูงอายุที่ให้อาหารทางสายยาง ไปจนถึงผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย สำหรับห้องพักที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 ให้บริการมีทั้งแบบห้องเดี่ยวและห้องรวม เริ่มต้นที่เดือนละ 25,000 บาท หรือวันละ 1,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยในโรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 300,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 6,000,000 บาท ที่ตั้ง: โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 2 เลขที่ 27 ถนนสุขุมวิท 68 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 สายกินหรูอยู่สบาย สายสุดท้าย ‘สายกินหรูอยู่สบาย’ ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณหลักแสนกลาง ๆ ไปจนถึงหลักล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่หลักสิบล้าน Jin Wellbeing County ‘Jin Wellbeing County’ (จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้) เป็นคอนโดมิเนียมเพื่อผู้สูงอายุที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป โครงการออกแบบมาเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ให้บริการที่พักและดูแลผู้สูงอายุที่ยังมีพลัง ด้วยสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัย ร่มรื่น มีพื้นที่สีเขียวมากกว่า 50% มาพร้อมทีมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด ในคอนเซปต์ “บ้านหลังใหญ่ มีหมออยู่ในบ้าน” ภายในโครงการมี ‘โรงพยาบาลธนบุรีบูรณา’ โรงพยาบาลฟื้นฟูผู้สูงวัยขนาดย่อม รองรับผู้ป่วยได้ 55 เตียง เพื่อดูแลผู้พักอาศัยอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว ด้านห้องพัก ภายในห้องนอนและห้องน้ำมีกริ่งสัญญาณฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง รวมถึงระบบเตือนภัยติดตามตัวในโครงการ สามารถช่วยเหลือผู้สูงอายุได้ทันหากเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทางทันที โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ มาพร้อมบริการที่หลากหลายทั้ง ‘Home Health Visit’ บริการตรวจเยี่ยมไข้ที่บ้านโดยทีมสหวิชาชีพ เช่น พยาบาลวิชาชีพ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด แพทย์ทั่วไป แพทย์เฉพาะทาง เป็นต้น ‘Home Health Care’ บริการดูแลผู้ป่วยถึงบ้านทั้งแบบรายวันและรายเดือน ดูแลตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันด้วยเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์ สำหรับห้องที่โครงการเปิดให้บริการมี 2 ขนาด คือ 1) ห้องขนาด 43-46 ตร.ม. เริ่มต้นเดือนละ 40,000 บาท หากซื้อบริการเสริมเพิ่มจะอยู่ที่ 66,000 บาทต่อเดือน 2) ห้องขนาด 63-66 ตร.ม. เริ่มต้นเดือนละ 52,000 บาท และเดือนละ 85,000 บาท หากซื้อบริการเสริมเพิ่ม โดยราคาทั้งหมดนี้เป็นราคาสำหรับ 1 ท่านเท่านั้นและไม่รวมค่าน้ำค่าไฟที่ผู้พักอาศัยต้องรับผิดชอบเอง สำหรับบริการเสริมที่ผู้พักอาศัยจะได้รับคือ อาหารเช้า 1 มื้อ/วัน บริการทำความสะอาดห้องพัก 2 ครั้ง/สัปดาห์ บริการซักรีด 50 ชิ้น/เดือน บริการ Wifi ในห้องพัก พร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง หรือใครที่สะดวกซื้อขาดเลยก็ทำได้เช่นกัน โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 4,000,000 บาท ไปจนถึง 6,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดตร.ม.ของห้องพัก ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยใน Jin Wellbeing County เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 480,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 9,600,000 บาท ที่ตั้ง: Jin Wellbeing County เลขที่ 89 หมู่ 3 ถ.พหลโยธิน อ.คลองหลวง ต.คลองหนึ่ง จ.ปทุมธานี กรุงเทพฯ 12120 Velasook Senior Smart Village โดย ร.พ.เปาโล ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ‘Velasook Senior Smart Village’ ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน เปิดบริการดูแลผู้สูงอายุทั้งระยะสั้น (Day Care) และระยะยาว (Long term Care) สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการพักฟื้นฟูร่างกาย และผู้สูงอายุที่สุขภาพแข็งแรงที่ต้องการพักอาศัย โดยออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุโดยเฉพาะภายใต้มาตรฐานทางสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อมที่สงบ ถูกสุขลักษณะ พื้นเรียบเสมอกันไม่ลื่น ไม่มีสิ่งกีดขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักแบบครบครัน พร้อมมีบุคลากรทางการแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งพยาบาลเฉพาะทางด้านผู้สูงอายุ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด ทางศูนย์จะจัดกิจกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพด้านร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ออกแบบกิจกรรมสันทนาการให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละท่าน และจะผลัดเปลี่ยนไปในทุก ๆ สัปดาห์เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุรู้สึกเบื่อในการทำกิจกรรม โดยเน้นกิจกรรมที่สามารถทำร่วมกันได้ เช่น กิจกรรมทำอาหาร Family Cooking Class, กิจกรรมพัฒนาความจำ ออกกำลังกาย โดยจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักกิจกรรมบำบัดอย่างใกล้ชิด อัตราค่าบริการขึ้นอยู่กับขนาดห้องพัก สำหรับห้องพักไซซ์ S ค่าบริการ 4,500 บาท/วัน และ 100,000 บาท/เดือน ห้องพักไซซ์ M ค่าบริการ 5,000 บาท/วัน และ 120,000 บาท/เดือน ห้องพักไซซ์ L ค่าบริการ 5,500 บาท/วัน และ 150,000 บาท/เดือน โดยทุกห้องเป็นห้องเดี่ยว ค่าใช้จ่ายในการเข้าอาศัยใน Velasook Senior Smart Village เริ่มต้นต่อปีอยู่ที่ 1,200,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 24,000,000 บาท ที่ตั้ง: โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน เลขที่ 670/1 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
สายประหยัด ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณหลักหมื่นต้น ๆ และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปี ประมาณ 600,000 บาท ถึง 1 ล้านบาท - บ้านบางแค มีบริการสำหรับผู้สูงอายุ 3 ประเภท: 1) สามัญ - ไม่คิดค่าใช้จ่าย, 2) หอพัก - ค่าบริการรายเดือน 1,500 บาท/เดือน (ห้องเดี่ยว) และ 2,000 บาท/เดือน (ห้องคู่), 3) บังกะโล - ค่าบำรุงแรกเข้า 300,000 บาท, ค่าบริการรายเดือน 1,500 บาท/เดือน (คนเดียว) และ 2,000 บาท/เดือน (คู่).ค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่ 684,000 บาท เริ่มต้นที่ 19,200 บาทต่อปีรวมค่าน้ำ - สวางคนิเวศ มีบ้านพักผู้สูงอายุประเภทซื้อสิทธิ เริ่มต้นที่ 650,000 บาทถึง 1,700,000 บาท ตามขนาดห้อง ทำเล และทิศทางลม ผู้สูงอายุต้องมีอายุ 55 ปีขึ้นไป มีสัญชาติไทย แข็งแรงสามารถช่วยตัวเองได้ ไม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น อาหาร น้ำ ไฟ รวมถึงค่าส่วนกลาง 2,500 บาท/เดือน ค่าใช้จ่ายต่อปีเริ่มต้นที่ 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีทั้งหมด 1,010,000 บาท รวมค่าแรกเข้าเริ่มต้นที่ 650,000 บาท สายมีกินมีใช้ ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ในช่วง 200,000 – 300,000 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่หลักล้านกลาง ๆ - คุณตาคุณยาย เนอร์สซิ่งโฮม มีห้องให้บริการผู้สูงอายุทั้งห้องเดี่ยว, ห้องคู่ และห้องรวม ทางเนอร์สซิ่งโฮม แยกตามเพศและลักษณะอาการของผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันปัญหาและความเสี่ยง อัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 18,000 บาท/เดือน สำหรับห้องเดี่ยว และ 24,000 บาท/เดือน สำหรับห้องเดี่ยว VIP พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในห้องพัก เช่น เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์กดเรียกเจ้าหน้าที่, และเครื่องทำน้ำอุ่น ค่าใช้จ่ายรวม 20 ปี คิดเป็น 4,320,000 บาท เริ่มต้นที่ 216,000 บาทต่อปี - โรงพยาบาลผู้สูงอายุ กล้วยน้ำไท 2 ให้บริการผู้สูงอายุตั้งแต่เกษียณที่สามารถช่วยเหลือตัวเอง, ผู้ป่วยโรคอัมพาต, ผู้ที่ต้องการบำรุงอาหารทางสาย ไปจนถึงผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย มีห้องเดี่ยวและห้องรวมเริ่มต้นที่ 25,000 บาท/เดือน ค่าใช้จ่ายรวมต่อปี 300,000 บาท และรวม 20 ปีทั้งหมด 6,000,000 บาท สายกินหรูอยู่สบาย ค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ประมาณหลักแสนกลาง ๆ ไปจนถึงหลักล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวม 20 ปีอยู่ที่หลักสิบล้าน - Jin Wellbeing County มี 2 ขนาดห้อง: 43-46 ตร.ม. เริ่มที่ 40,000 บาท/เดือน และ 63-66 ตร.ม. เริ่มที่ 52,000 บาท/เดือน รายละเอียดบริการเสริมรวมค่าน้ำค่าไฟ เริ่มที่ 4,000,000 บาทถึง 6,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายต่อปีเริ่มที่ 480,000 บาท และรวม 20 ปีทั้งหมดที่ 9,600,000 บาท - Velasook Senior Smart Village โดย ร.พ.เปาโล ค่าบริการขึ้นอยู่กับขนาดห้อง: ไซซ์ S วันละ 4,500 บาท/เดือน และ 100,000 บาท/เดือน ไซซ์ M วันละ 5,000 บาท/เดือน และ 120,000 บาท/เดือน ไซซ์ L วันละ 5,500 บาท/เดือน และ 150,000 บาท/เดือน ค่าใช้จ่ายต่อปีเริ่มที่ 1,200,000 บาท และรวม 20 ปีทั้งหมดที่ 24,000,000 บาท
การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1192
Finance
วิธีการเลือกกองทุนปันผล "เชิงลึก" ควรพิจารณาปัจจัยอะไรเพิ่มเติมบ้าง
null
ปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมที่ควรพิจารณาในการเลือกกองทุนปันผล "เชิงลึก" ดังนี้ 1. นโยบายการจ่ายปันผล: กองทุนปันผลมีนโยบายจ่ายปันผลอย่างไร? จ่ายปีละกี่ครั้ง? จ่ายแบบสม่ำเสมอหรือไม่? นโยบายการจ่ายปันผลมีความเสี่ยงอย่างไร? กองทุนมีนโยบายจ่ายปันผลจากเงินต้นหรือไม่? เปรียบเทียบนโยบายการจ่ายปันผลของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 2. กลยุทธ์การลงทุน: กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร? ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด? เน้นการลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศ? กลยุทธ์การลงทุนมีความเสี่ยงอย่างไร? กองทุนมีกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงอย่างไร? เปรียบเทียบกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 3. ค่าธรรมเนียม: กองทุนมีค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง? ค่าธรรมเนียมสูงหรือต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนอื่น? ค่าธรรมเนียมมีผลต่อผลตอบแทนของกองทุนอย่างไร? เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 4. ผลการดำเนินงาน: ผลการดำเนินงานของกองทุนในอดีตเป็นอย่างไร? ผลตอบแทนสูงหรือต่ำ? ผลการดำเนินงานในอดีตสามารถบ่งบอกถึงผลการดำเนินงานในอนาคตได้หรือไม่? เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 5. ผู้จัดการกองทุน: ผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างไร? ผลงานที่ผ่านมาของผู้จัดการกองทุนเป็นอย่างไร? เปรียบเทียบผู้จัดการกองทุนของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 6. ความเสี่ยง: กองทุนมีความเสี่ยงอะไรบ้าง? ความเสี่ยงสูงหรือต่ำ? ระดับความเสี่ยงของกองทุนเหมาะสมกับนักลงทุนหรือไม่? เปรียบเทียบความเสี่ยงของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 7. สภาพคล่อง: กองทุนมีสภาพคล่องอย่างไร? ซื้อขายหน่วยลงทุนได้ง่ายหรือไม่? สภาพคล่องของกองทุนมีความสำคัญต่อนักลงทุนอย่างไร? เปรียบเทียบสภาพคล่องของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 8. ขนาดกองทุน: กองทุนมีขนาดใหญ่หรือเล็ก? ขนาดกองทุนมีผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนอย่างไร? เปรียบเทียบขนาดของกองทุนต่างๆ ที่สนใจ 9. ประเภทของกองทุน: กองทุนเป็นกองทุนรวมประเภทใด? กองทุนเปิดหรือกองทุนปิด? ประเภทของกองทุนมีผลต่อนักลงทุนอย่างไร? เลือกประเภทของกองทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุน 10. เป้าหมายการลงทุน: เป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนคืออะไร? ต้องการเงินปันผลระยะสั้นหรือระยะยาว? เป้าหมายการลงทุนมีความสัมพันธ์กับการเลือกกองทุนอย่างไร?
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1193
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความยิ่งใหญ่ของรัสเซียในทางเศรษฐกิจ
null
ประเทศรัสเซีย เป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจดีเป็นอันดับ 12 ของโลก และตัวเลข GDP มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 7.5 ของสหรัฐอเมริกา ความเป็นมหาอำนาจของรัสเซียนั้น มาจากคลังนิวเคลียร์ทีมีจำนวนยิ่งใหญ่และมหาศาล หากยังจำกันได้ ก่อนที่วลาดิมีร์ ปูติน จะมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียคนปัจจุบัน เขาเป็นสายลับในต่างประเทศสมัยสหภาพโซเวียตล่มสลาย ซึ่งอาชีพนี้ไม่ธรรมดาเลยสำหรับประเทศที่อยู่ในช่วงสงครามเย็น ส่วนเรื่องการปกครอง รัสเซียใช้วิธีเผด็จการ ปิดกั้นเสรีภาพแทบทุกสิ่งทุกอย่าง บทเรียนจากย่อหน้านี้ ขณะที่ยูเครนก็มีประชากร ประมาณ 50 ล้านคนและก็อยู่ในระดับใกล้เคียงจนถึงปัจจุบัน ส่วนอเมริกากลับมีคนเพิ่มขึ้นเป็น 330 ล้านคนในปัจจุบัน ความยิ่งใหญ่ของรัสเซียนั้น ถ้าว่ากันทางเศรษฐกิจแล้วก็ต้องพูดว่าหมดไปแล้วเพราะอยู่ในอันดับ 12 ของโลกรองจากเกาหลีใต้และมีขนาดเพียง 7.5% ของ GDP ของสหรัฐ และถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่ารัสเซียยังมีหัวรบนิวเคลียร์จำนวนมหาศาลในคลัง ความเป็น “มหาอำนาจ” ก็น่าจะหมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซียวันนี้อายุ 70 ปีแล้ว วันที่สหภาพโซเวียตล่มสลายเขามีอายุ 39 ปี ในวันนั้นเขาเป็น KGB หรือเป็น “สายลับ” ในต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าคนที่ทำงานแบบนี้ในประเทศสังคมนิยมที่เป็นอภิมหาอำนาจในยุค “สงครามเย็น” นั้น ย่อม “ไม่ธรรมดา” ต่อมาเขาก็เข้าเล่นการเมืองและได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2000 จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 22 ปีแล้วที่เขาอยู่ในอำนาจ ถ้าพูดถึงความนิยมในหมู่คนรัสเซียนั้น ก็ต้องถือว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ดีใช้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่วิธีที่ใช้ในการปกครองของเขานั้น วัดโดย “มาตรฐานสากล” ก็ต้องถือว่าเป็นแบบ “เผด็จการ” เพราะมีการปิดกั้นเสรีภาพในด้านข่าวสาร การจับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การเลือกตั้งไม่โปร่งใส เป็นต้น ปูตินน่าจะมีความรู้สึกเคียดแค้นต่อคนอย่างอดีตประธานาธิบดีกอร์บาช็อบที่ทำการปฎิรูประบบการปกครองต่าง ๆ และเน้นในเรื่องการเปิดกว้างของสังคม ความโปร่งใสและสิทธิเสรีภาพรวมถึงความเป็นประชาธิปไตยที่เรียกว่า “Glasnost” ในช่วงปี 1986-1991 ซึ่งนำไปสู่ความล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่มีรัสเซียเป็นแกนนำ เขาคงต้องการที่จะนำรัสเซียซึ่งเคยยิ่งใหญ่ระดับโลกมาตั้งแต่อดีตและเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสหภาพโซเวียตกลับมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็อาจจะคล้าย ๆ กับความคิดของฮิตเลอร์
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1195
Finance
มะเร็งร้ายในพอร์ตการลงทุน หน้าตาเป็นอย่างไร
null
ถ้าเป็นพอร์ตการลงทุน ก็คือพอร์ตที่ขาดทุนจนยากจะกู้คืน เพราะตอนที่ยังขาดทุนไม่เยอะ มักจะคิดว่า “เดี๋ยวมันก็กลับมา” เห็นตัวเลขขาดทุนยังน้อยก็ไม่รู้สึกสะเทือนมากนัก แต่ในหลายๆ ครั้ง สถานการณ์มักจะไม่เอื้ออำนวยต่อความคิด และถึงแม้ว่าจะพอรับทราบสถานการณ์รอบตัวว่าควรตัดขาดทุน (Cut Loss) แต่บางคนก็ไม่กล้า กลัว และรู้สึกว่าหากอดทนอีกนิดก็อาจจะผ่านพ้นสภาวะนี้ไปก็ได้ โดยลืมฉุกคิดไปว่ามันอาจจะใช้เวลานานมาก กว่าจะกลับไปสู่จุดเดิมที่พอร์ตสุขภาพดีได้อีกครั้ง สาเหตุของมะเร็งร้ายในพอร์ตการลงทุน ถ้าเป็นร่างกาย สาเหตุก็จะมาจาก “พฤติกรรม” และ “สภาพแวดล้อม” ที่ทำร้ายร่างกายนั่นเอง พอร์ตการลงทุนก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก - บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “เชื่อเพื่อน” เห็นว่าใครแนะนำสินทรัพย์ไหน ก็ลงทุนตามนั้นโดยขาดการไตร่ตรองหรือศึกษาให้ชัดเจน - บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “กลัวตกรถ” คือ พอเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังราคาพุ่งแรง ก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปซื้อด้วยทันที โดยขาดการศึกษาเพิ่มเติมว่าราคาตอนนี้เหมาะสมไหม - บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “ขี้เกียจ” คือ ขี้เกียจศึกษา ขี้เกียจทำความเข้าใจว่าพอร์ตการลงทุนที่ดีควรมีสินทรัพย์แบบไหน เท่าไร ในสถานการณ์แบบไหน นอกเหนือจากพฤติกรรมของบุคคลแล้ว สภาพแวดล้อมก็มีส่วน ในแง่ของการลงทุนก็คือ สภาวะตลาดนั่นเอง บางทีอาจจะไม่ได้มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งโดยตรง แต่เผลอไปอยู่ในจุดที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น - เข้าตลาดในช่วงที่ฟองสบู่กำลังจะแตก - ลงทุนในช่วงที่ตลาดซึมยาว - ลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นขาลง ซึ่งในหลายๆ กรณี สิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบทางอ้อมจากการที่ไม่ได้ศึกษาตลาดให้ดีพอ แต่บางกรณีก็มี ที่คิดว่าศึกษาดีแล้ว แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ต้องเรียกว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1199
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเรื่อง "สู่อนาคตที่มั่นคง: เปิดตำนาน M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป" ให้หน่อย
null
หัวข้อ: เจาะลึก M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป: แข็งแกร่งรับดอกเบี้ยขาขึ้น "ก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงกับ M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป: การลงทุนที่ปลอดภัยและมั่นคง" ในยุคที่ตลาดการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เราพบว่าการค้นหาทางเลือกในการลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนทุกคน ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งในภาวะการเงินของยุโรปและอัตราการเปลี่ยนแปลงของตลาด กองทุน M-EUBANK กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มั่นคงและมีโอกาสในการรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ ข้อมูลพื้นฐานของ M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป - กลยุทธ์การลงทุนที่มั่นคง: M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรปมุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสถียรและมั่นคง เช่น หลักทรัพย์ของธนาคารที่มีชื่อเสียงและสถาบันการเงินที่มีประสิทธิภาพ - การดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ: กองทุนนี้ได้รับการดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในตลาดการเงินยุโรป ซึ่งมีประสบการณ์และความเข้าใจที่ลึกซึ้งในกลยุทธ์การลงทุนที่สามารถทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว - การรับรองความปลอดภัย:M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรปได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ในวงการการเงิน และมีประวัติการทำงานที่มั่นคงและนานนับเป็นปี ประโยชน์ของการลงทุนใน M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรป 1. ความมั่นคงและความเสถียร: การลงทุนในกองทุนนี้ช่วยสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มีความเสถียรและมั่นคงในระยะยาว เนื่องจากมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีประสิทธิภาพ 2. โอกาสในการรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น: ด้วยการลงทุนในหลักทรัพย์ของธนาคารที่มีชื่อเสียงและประสิทธิภาพ นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่มีระดับสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยในตลาด 3. การดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ: ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการจัดการกองทุนในตลาดยุโรปจะช่วยให้การจัดการพอร์ตโฟลิโอมีประสิทธิภาพและปรับตัวตามสถานการณ์ตลาด **สรุป M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรปเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนที่มั่นคงและมีโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่มั่นคง การดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ และการรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ในการลงทุนใน M-EUBANK กองทุนแบงก์ยุโรปเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงในระยะยาว
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1201
Finance
วิธีการ DCA กองทุน SSF RMF ตั้งแต่ต้นปี แนะนำว่าให้คำนวณออกมาว่าจะต้องซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประมาณเท่าไร หลังจากนั้นให้แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน โดยแต่ละก้อนแบ่งเป็นอะไรไดบ้าง
null
วิธีการ DCA กองทุน SSF RMF ตั้งแต่ต้นปี แนะนำว่าให้คำนวณออกมาว่าจะต้องซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประมาณเท่าไร หลังจากนั้นให้แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน โดยสัดส่วนแรก 80% และสัดส่วนที่สอง 20% สัดส่วนแรก 80% ที่เอามาหาร 12 เพื่อเฉลี่ยเป็นเงินลงทุนทุกเดือน ส่วน 20% นั้นเอาไว้ซื้อกองทุนที่น่าสนใจที่มาช่วงหลัง หรือเก็บไว้ซื้อช่วงที่ตลาดปรับตัวลงก็ได้ เมื่อคำนวณได้เเล้ว ก็อย่าลืมจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมด้วย ไม่หนักกอง growth หรือ thematic มากเกินไป เพื่อที่จะได้ไม่ตกใจ หากตลาดปรับตัวลงแรง ตัวอย่างการลงทุน SSF RMF เพื่อช่วยประหยัดภาษี เคสที่ 1 เงินเดือน 40,000 บาท (รายได้ปีละ 480,000 บาท) สมมติว่าซื้อ SSF ตามเกณฑ์ จะซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ นั่นก็คือ 144,000 บาท นำเงิน 144,000 มาเเบ่งเป็น 80% คิดเป็น 115,200 บาท นำไปลงทุน DCA จำนวน 12 เดือน สรุปแล้วจะ DCA เดือนละ 9,600 บาท 20% คิดเป็น 28,000 บาท เก็บไว้ซื้อช่วงตลาดปรับตัวลง หรือซื้อกองทุน IPO ใหม่ที่สนใจ ในส่วนของการประหยัดภาษี จากเดิมต้องจ่ายที่ 6,850 บาท หากซื้อกองทุนที่ 144,000 บาท จะลดภาษีไปได้ทั้งหมด นั่นก็คือไม่ต้องจ่ายเลย เคสที่ 2 เงินเดือน 60,000 บาท (รายได้ปีละ 720,000 บาท) สมมติว่าซื้อ SSF ตามเกณฑ์ จะซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่ต้องไม่เกิน 200,00 บาท นั่นก็คือซื้อได้ที่ 200,000 บาท นำเงิน 200,000 มาเเบ่งเป็น 80% คิดเป็น 160,000 บาท นำไปลงทุน DCA จำนวน 12 เดือน สรุปแล้วจะ DCA เดือนละ 13,333 บาท 20% คิดเป็น 40,000 บาท เก็บไว้ซื้อช่วงตลาดปรับตัวลง หรือซื้อกองทุน IPO ใหม่ที่สนใจ ในส่วนของการประหยัดภาษี จากเดิมต้องจ่ายที่ 29,750 บาท หากซื้อกองทุนที่ 200,000 บาท จะเหลือภาษีที่ต้องจ่ายเพียง 9,000 บาท ประหยัดไปได้ 20,750 บาท เคสที่ 3 เงินเดือน 80,000 บาท (รายได้ปีละ 960,000 บาท) สมมติว่าซื้อ SSF RMF 400,000 บาท (โดยตามเกณฑ์จะซื้อได้อย่างละไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน: SSF เต็มที่ 200,000 บาท ส่วน RMF เต็มที่ 500,000 บาท รวมกับกองทุนสำรองเลี้ยชีพ และกองทุนบำนาญ ได้สูงสุด 500,000 บาท) นำเงิน 400,000 มาเเบ่งเป็น 80% คิดเป็น 320,000 บาท นำไปลงทุน DCA จำนวน 12 เดือน สรุปแล้วจะ DCA เดือนละ 26,667 บาท 20% คิดเป็น 80,000 บาท เก็บไว้ซื้อช่วงตลาดปรับตัวลง หรือซื้อกองทุน IPO ใหม่ที่สนใจ ในส่วนของการประหยัดภาษี จากเดิมต้องจ่ายที่ 63,950 บาท หากซื้อกองทุนที่ 400,000 บาท จะเหลือภาษีที่ต้องจ่ายเพียง 11,800 บาท ประหยัดไปได้ 52,150 บาท เคสที่ 4 เงินเดือน 100,000 บาท (รายได้ปีละ 1,200,000 บาท) สมมติว่าซื้อ SSF RMF 400,000 บาท (โดยตามเกณฑ์จะซื้อได้อย่างละไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน: SSF เต็มที่ 200,000 บาท ส่วน RMF เต็มที่ 500,000 บาท รวมกับกองทุนสำรองเลี้ยชีพ และกองทุนบำนาญ ได้สูงสุด 500,000 บาท) นำเงิน 400,000 มาเเบ่งเป็น 80% คิดเป็น 320,000 บาท นำไปลงทุน DCA จำนวน 12 เดือน สรุปแล้วจะ DCA เดือนละ 26,667 บาท 20% คิดเป็น 80,000 บาท เก็บไว้ซื้อช่วงตลาดปรับตัวลง หรือซื้อกองทุน IPO ใหม่ที่สนใจ ในส่วนของการประหยัดภาษี จากเดิมต้องจ่ายที่ 109,200 บาท หากซื้อกองทุนที่ 400,000 บาท จะเหลือภาษีที่ต้องจ่ายเพียง 38,150 บาท ประหยัดไปได้ 71,050 บาท
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1203
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบราคาน้ำมันในปี 2022
null
ปี 2022 ราคาน้ำมันในไทยยังคงสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบมีทั้งที่มาจากตลาดโลก และในประเทศไทย เริ่มที่ปัจจัยจากตลาดโลกก่อน อย่างแรกเลยก็คือ สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คำถามที่ว่าถ้าสงครามเกิดขึ้นจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น คำตอบแรกเลยคือ ราคาพลังงานโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศ OPEC+ ก็ไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายสถานการณ์ได้ ส่วนปัจจัยในประเทศไทยนั้น มาจากอัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายผสมเชื้อเพลิงชีวภาพกับน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร บทเรียนจากย่อหน้านี้ ในปี 2022 ราคาน้ำมันยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่ส่งผลกระทบราคาน้ำมันในปีนี้ ปัจจัยจากตลาดโลกที่สำคัญ - ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) หรือปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นั่นคือความไม่ลงรอยกันระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน - เมื่อยูเครนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตเหมือนกันและมีชายแดนประเทศติดกัน ได้พยายามตีตัวออกห่างด้วยการพยายามเข้าเป็นสมาชิก NATO หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสกัดอิทธิพลของรัสเซีย โดยที่ขณะนี้สถานการณ์ยิ่งทวีความกดดันมากขึ้นเมื่อรัสเซียได้ระดมกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดนยูเครนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว - และหากเกิดสงครามจริงก็จะยิ่งดันราคาพลังงานโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะรัสเซียเป็นประเทศส่งออกพลังงานมากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา และถึงแม้กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ จะมีนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวันแล้วก็ตาม ขณะนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายสถานการณ์แต่อย่างใด - CEO ของบริษัท Chevron ก็ยังได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าราคาน้ำมันจะพุ่งสูงต่อไปจนอีกถึง 100$ ต่อบาร์เรลจากที่ปัจจุบันก็แตะระดับ 90$ ต่อบาร์เรลเรียบร้อยแล้ว นับว่าสูงสุดในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว ปัจจัยในประเทศไทย - ส่วนหนึ่งก็มีที่มาจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งนับว่าเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งในการนำเข้าน้ำมัน เนื่องจากเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง - รวมถึงการที่ประเทศไทยมีนโยบายผสมเชื้อเพลิงชีวภาพเข้ากับน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดการน้ำเข้าน้ำมันและช่วยเหลือเกษตรกร แต่กลับกลายเป็นว่าพลังงานทดแทนเหล่านี้กลับปรับตัวสูงขึ้น ยิ่งดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นอีก - อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานมีมาตรการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันรวมถึงกู้เงินจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม เพื่อนำมาชดเชยการตรีงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร และปรับลดสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล และขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้ปรับลดค่าการตลาดลง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1207
Finance
กองทุน K-CHINA-A(A) มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลักกองทุนใด
null
กองทุน K-CHINA-A(A) มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund, Class JPN China I (acc) – USD ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ตั้งถิ่นฐานหรือดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 67% ของ NAV และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไม่น้อยกว่า 75% ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 : เสี่ยงสูง โดยกองทุนหลักมีนโยบายการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศจีนเป็นหลัก ทางกองทุนใช้หลักการคัดเลือกหุ้นโดยเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และจัดเต็ม ๆ กับบริษัทที่ทางผู้จัดการกองทุนเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทน สิ่งที่สนใจในกองทุน K-CHINA-A(A) คือ สัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Consumer Discretionary ที่สูงถึง 32.1% หรือราว ๆ 1 ใน 3 ของกองทุน ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ จาก Research ของ Mckinsey การลงทุนใน Consumer Trend ของจีนจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง 3 ข้อด้วยกัน 1. การ Digitization ของกลุ่มบริษัทที่กำลัง Transform ตัวเองเข้าสู่เทคโนโลยี จะได้เห็นบริษัทในจีนส่วนใหญ่แม้ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีแต่ใช้เทคโนโลยีกันอย่างเข้มข้นมาก ๆ 2. การเพิ่มขึ้นของการบริโภคในประเทศ จีนรู้ว่าการจะเอาชนะในเกมมหาอำนาจนี้ได้จะต้องใช้ประโยชน์จากคน 1,300 ล้านคนของประเทศตนเองให้มากที่สุด ดังนั้นจีนเลยหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศ 3. การแข่งขันที่รุนแรงในเชิงเทคโนโลยีทำให้จีนได้เปรียบ จำนวนผู้บริโภคในประเทศที่มหาศาล ทำให้จีนสามารถทำต้นทุนได้ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้กลุ่ม Consumer Discretionary จึงน่าสนใจ แต่นี่ก็ไม่ใช่แค่จุดเด่นเดียวของกองทุน K-CHINA-A(A) เพราะอุตสาหกรรมอันดับ 2 ที่กองทุนลงทุนคือ Communication Services และอันดับ 3 คือ Information Technology ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในอนาคตทั้งคู่
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1210
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เรื่องราวแบบหุ้น ROS กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565
null
ในวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เรื่องราวแบบหุ้น ROS กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย เพราะมีหุ้นเล็กอย่างน้อย 2 ตัว ที่กลายเป็นหุ้นแสนล้านบาท โดยคิดจาก Market Cap. ของแต่ละตัวที่สูงใกล้หรือมากกว่าหนึ่งแสนล้านบาททั้ง ๆ ที่มีขนาดของธุรกิจเล็กมากมีรายได้ระดับ 100 หรือ 2,000 ล้านบาท และกำไรระดับไม่เกิน 200 ล้านบาทหรือต่ำกว่านั้น ซึ่งข้อมูลโดยคร่าว ๆ คือ มีรายได้เฉลี่ย 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2564 ที่ประมาณ 700 ล้านบาท มีกำไรเฉลี่ยประมาณ 50 ล้านบาท Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นเฉลี่ยของ 2 ตัวคือตัวละประมาณ 140,000 ล้านบาท ถ้าคิดค่า PE ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 เท่า นอกจากกำไรที่เพิ่มขึ้นแรงเพราะกำไรในปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท จะทำให้หุ้นขึ้นแล้ว การที่บริษัทมี Story ที่น่าตื่นเต้น อาจจะทำเงินได้อย่างมหาศาลอีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เรื่องราวแบบหุ้น ROS กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย เพราะมี “หุ้นเล็ก” อย่างน้อย 2 ตัวที่กลายเป็นหุ้น “แสนล้านบาท” คิดจาก Market Cap. ของแต่ละตัวที่สูงใกล้หรือมากกว่าหนึ่งแสนล้านบาททั้ง ๆ ที่มีขนาดของธุรกิจเล็กมากมีรายได้ระดับ 100 หรือ 2,000 ล้านบาท และกำไรระดับไม่เกิน 200 ล้านบาทหรือต่ำกว่านั้น ข้อมูลของหุ้น 2 ตัวประมาณคร่าว ๆ ก็คือ มีรายได้เฉลี่ย 3 ไตรมาศที่ผ่านมาของปี 2564 ที่ ประมาณ 700 ล้านบาท มีกำไรเฉลี่ยประมาณ 50 ล้านบาท Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นเฉลี่ยของ 2 ตัวคือตัวละประมาณ 140,000 ล้านบาท ถ้าคิดค่า PE อย่างหยาบ ๆ ก็น่าจะประมาณ 2,000 เท่า สิ่งที่ทำให้หุ้นขึ้นนั้น นอกจากกำไรที่เพิ่มขึ้นแรงเพราะกำไรในปี 2563 นั้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาทเท่านั้น ก็คือการที่บริษัทมี “Story” ที่ “น่าตื่นเต้น” ที่อาจจะสามารถทำเงินมหาศาล เช่น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “อนาคตของโลกยุคใหม่” เช่น คริปโตเคอเรนซี่และคลาวด์เป็นต้น แต่ที่คิดว่าเป็น “ตัวจริง” ที่ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไป “ทะลุโลก” ก็คือการที่หุ้นถูก “Corner” อย่างรุนแรงโดยเฉพาะจากนักเล่นหุ้นรายใหญ่ที่โหมกันเข้ามาเล่นหรือปั่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยและก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “หุ้นอภินิหาร” ที่มีราคาขึ้นมาหลาย ๆ เท่าตัว บางตัวใหญ่ขนาดที่สามารถท้าทายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1211
Finance
จงเสนอไอเดีย นำเงินโบนัสประจำปีที่ได้ ไปลงทุนทำอะไรดี
null
1. ฝากธนาคาร เป็นวิธีเบสิกสำหรับการเก็บเงิน มีทั้งฝากออมทรัพย์ ฝากประจำ ฝากดิจิทัล แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้ดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างต่ำ ส่วนเงินเฟ้อก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการฝากเงินในธนาคารอาจจะไม่ได้ทำให้เงินของเรางอกเงยได้ดีเท่าไรนัก 2. ซื้อประกัน ประกันมีหลายประเภท ทั้งประกันออมทรัพย์ ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ลองพิจารณาดูว่าประกันแบบใดเหมาะกับเรา หรือหากใครยังไม่มีประกันสุขภาพก็ลองเลือกซื้อแผนที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด เพราะถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาแล้วต้องควักเงินจ่ายค่ารักษาเองมีหวังเป็นลมแน่ ๆ 3. ลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารหนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อยแต่ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร หากรับความเสี่ยงได้ต่ำก็มีพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวเลือกลงทุน ส่วนใครที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นอาจเลือกลงทุนในหุ้นกู้เอกชนแทน ทั้งนี้ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นเช่นกัน 4. ลงทุนในทองคำ การลงทุนในทองคำทำได้หลายวิธี ทั้งซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ ออมทองคำ ลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำ ฯลฯ ทองคำมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง และความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นต่ำ จึงนิยมนำมาเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุน 5. ลงทุนในหุ้น การลงทุนในหุ้นปัจจุบันค่อนข้างสะดวกเพราะลงทุนได้ผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์ของโบรกเกอร์ต่าง ๆ ซึ่งนอกจากส่วนต่างราคาที่จะได้รับแล้ว เรายังได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น สิทธิรับเงินปันผล (กรณีบริษัทที่เราลงทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผล) การเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น การจองซื้อหุ้นออกใหม่ หุ้นเพิ่มทุน ฯลฯ 6. ลงทุนในกองทุนรวม กองทุนรวมถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่อยากลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กองทุนตราสารหนี้ อสังหาฯ ทองคำ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ จุดเด่นของกองทุนรวมคือใช้เงินลงทุนไม่มาก และยังมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนคอยบริหารจัดการเงินที่เรานำไปลงทุนด้วย
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1212
Finance
กองทุน B-INNOTECH, KFGTECH-A, และ KT-WTAI-A มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
null
นโยบายลงทุน 1. B-INNOTECH : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Fidelity Funds – Global Technology Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีโอกาสเติบโตสูง และได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี 2. KFGTECH-A : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในหุ้นที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพัฒนาหรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดยเน้นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลก รวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ด้วย 3. KT-WTAI-A : ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Allianz Global Artificial Intelligence เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในปัจจุบัน ดัชนีชี้วัด 1. B-INNOTECH : ดัชนี MSCI All Country World Information Technology 2. KFGTECH-A : ดัชนี MSCI All Country World Information Technology 3. KT-WTAI-A : ดัชนี MSCI AC World (ACWI) 50% และ MSCI World Information Technology 50% สัดส่วนการลงทุนใน Industry Allocation 1. B-INNOTECH : Information Technology 72.5% / Communication Services 10.5% / Consumer Discretionary 9.4% / Industrials 3.4% / Financials 2.2% 2. KFGTECH-A : Software 49.6% / Internet 22.9% / Media & Entertainment 7.6% / Semiconductors 6.7% / Financial Services 4.8% / Industrials 4.8% 3. KT-WTAI-A : Semicond. & Semicond. Equipm. 18.2% / Software 17.7% / Interactive Media & Services 12.3% / It Services 7.2% / Automobiles 6.3% สัดส่วนการลงทุนในเเต่ละประเทศ 1. B-INNOTECH : United States 71.3% / Germany 4.5% / Japan 4.3% 2. KFGTECH-A : United States 72.2% / Singapore 7.8% / Canada 5.5% 3. KT-WTAI-A : United States 90.8% / China 2.8% / Canada 2.6% Top Holdings 1. B-INNOTECH : Microsoft Corp 8.4% / Apple Inc 5.6% / Amazon.Com Inc 3.7% / Alphabet Inc 3.7% / Visa Inc 3.6% 2. KFGTECH-A : Sea 7.8% / Atlassian 7.3% / ROBLOX 5.9% / HubSpot 5.8% / Shopify 5.5% 3. KT-WTAI-A : Tesla Inc 6.3% / Zoominfo Technologies Inc-a 4.1% / Roku Inc 3.9% / Amazon.Com Inc 3.3% / Salesforce.Com Inc 3.2% จะเห็นว่า ทั้ง 3 กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกองทุน KT-WTAI-A ที่มีสัดส่วนสูงถึง 90% แม้จะเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเทคฯ เหมือนกัน แต่ทั้ง 3 กองทุนก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยกองทุน B-INNOTECH เน้นหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ มั่นคง เป็นบริษัทชื่อดังที่ทุกคนรู้จักแน่นอน, กองทุน KFGTECH-A เน้นหุ้นเทคฯ ที่เกี่ยวกับ Software ส่วนกองทุน KT-WTAI-A เน้นหุ้นเทคฯ ที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และมีการกระจาย Sector ได้ดีสุดในบรรดา 3 กองทุนนี้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1217
Finance
ประเทศดาวเด่นที่ภาพรวมเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนต่อสู้กับเงินเฟ้อได้นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มใดบ้าง
null
ประเทศดาวเด่นที่ภาพรวมเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนต่อสู้กับเงินเฟ้อได้นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. หุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets : DM) แนะนำ “ตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น” เพราะมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกและสูงกว่าของสหรัฐฯ อีกทั้งเงินเฟ้อในยุโรปและญี่ปุ่น ยังอยู่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ และต่ำกว่าแนวโน้ม 2% ทำให้ภาครัฐยังมีความยืดหยุ่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า รวมถึงราคาหุ้น (Valuation) ของตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น ยังถูกกว่าของสหรัฐอเมริกา ค่อนข้างมากอีกด้วย 2. หุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) แนะนำ “ตลาดหุ้นจีน” ที่อาจ Outperform ตลาดหุ้นกลุ่ม EM หลังจากธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้กลับมาผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างชัดเจน และน่าจะยังคงนโยบายต่อเนื่องในปี 2022 นอกจากนี้ตลาดหุ้นจีนก็ดูจะตอบรับต่อประเด็นการเพิ่มกฎระเบียบไปค่อนข้างมากแล้ว ทำให้การออกกฎระเบียบเพิ่มเติมอาจกลับกลายเป็นข่าวดีที่จะ สร้างความชัดเจนให้กับตลาดในระยะข้างหน้าอีกด้วย “ตลาดหุ้นเวียดนาม” ดาวรุ่งหมัดเด็ด นอกจากจะน่าสนใจในเรื่องอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่ยังอยู่ในระดับสูงแล้ว ราคาหุ้นก็ถือว่าดึงดูด เห็นได้จากอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 13.8 เท่า และอัตราการเติบโตของกำไร (Earning Growth) อยู่ที่ 15.44% ไม่เพียงเท่านี้ ในเรื่องของเงินเฟ้อ ธนาคารกลางเวียดนาม ก็ได้ออกมาแถลงการณ์อย่างชัดเจนว่า ปี 2565 จะใช้นโยบายการเงิน โดยมุ่งเน้นที่การควบคุมระดับเงินเฟ้อ และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งก็ทำให้อุ่นใจได้ว่า เวียดนามให้ความสำคัญกับประเด็นนี้
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1218
Finance
บอก10 ความเชื่อของตลาดในปี 2022
null
1. เงินเฟ้อสหรัฐจะสูงไปทั้งปี จุดสูงสุดของเงินเฟ้อคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในครึ่งแรกของปี 2022 เหตุมาจากแรงส่งของนโยบายการคลังช่วงโควิด ตลาดแรงงานตึงตัว และล่าสุดก็มีประเด็นสงครามเข้ามาหนุนราคาอาหารและพลังงานให้สูงขึ้น 2. ธนาคารกลางสหรัฐจะเข้มงวดไม่สนใจตลาดทุน นักลงทุนต้องหาทางบริหารจัดการราคาสินทรัพย์การเงินที่แพงและมีโอกาสปรับฐานกันเอง เพราะสำหรับเฟด ผลกระทบด้าน Wealth Effect กับเศรษฐกิจและการเมืองในระยะยาว มีค่าน้อยกว่าความเสี่ยงหลักอย่าง “เงินเฟ้อเสียการควบคุม” เสมอ 3. การจับจ่ายใช้สอยจะชะลอตัวลง เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่มากเท่าช่วงวิกฤติโควิด สวนทางกับเงินเฟ้อที่สูงพร้อมกับนโยบายการเงินที่เข้มงวด อำนาจการจับจ่ายใช้สอยจะลดลง สวนทางกับต้นทุนการกู้ยืมที่จะเพิ่มขึ้น 4. เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวจากการควบคุมของภาครัฐ ปี 2022 มีโอกาสเห็น GDP จีนเติบโตต่ำกว่า 5% บริษัทเทคโนโลยีใหญ่จะถูกกฎเกณฑ์ใหม่บีบให้ปรับโครงสร้าง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัว ส่วนการผ่อนคลายทางการเงินเป็นเพียงภาพสะท้อนของเศรษฐกิจจีนที่กำลังเติบโตช้า 5. ปัญหา Supply Chain จะคลี่คลาย ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับเดียวกับต้นปี 2021ในไม่ช้า พอดีกับครึ่งหลังของปีที่มีนโยบายเปิดการเดินทางเข้ามาสนับสนุน 6. บริษัททั่วโลกจะต้องพัฒนาด้าน ESG เงินลงทุนจะไหลเข้าในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ESG ก็จะเข้าไปอยู่ใน Investment Guideline ของทุกอุตสาหกรรม ธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมจะมีต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้นอย่างมาก 7. เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่วัฏจักการลงทุนรอบใหม่ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ Build Back Better Plan จะเร่งให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ พร้อมกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนจะหนุนให้หลายอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องย้ายฐานกลับมาลงทุนในอเมริกา 8. สหรัฐยังคงเหนือกว่าทั่วโลก ด้วยจุดเด่น 3 อย่าง คือสามารถใช้นโยบายการคลังขนาดใหญ่ได้โดยที่ดอลลาร์ไม่อ่อนค่า การพึ่งพาต่างประเทศต่ำจึงได้รับแรงต้านจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวน้อยกว่าทั่วโลก และในปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จึงไม่มีปัญหาเรื่องพลังงานในระยะยาว 9. หุ้น Value จะชนะตลาด มี 5 เหตุผลสนับสนุน ตั้งแต่ระดับ Valuation ที่ถูกกว่า Growth แรงส่งจากการเปิดประเทศ นักลงทุนไม่ได้มีการลงทุนอยู่ก่อนนี้ การขึ้นดอกเบี้ยเป็นบวกต่อกลุ่มการเงิน และมีสินค้าคงเหลือที่ราคาสามารถปรับตัวขึ้นได้ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ 10. สินทรัพย์ Digital จะกลายเป็นส่วนเสริมของโลกการเงิน แม้จะปรับตัวลงจากจุดสูงสุดอย่างหนัก แต่เทคโนโลยีอยู่ในขั้นเริ่มต้น มีโอกาสสำหรับการพัฒนาต่อได้อีกไกล นอกจากนั้นก็เป็นไปได้ที่จะมีการตอบรับจากธนาคารกลางมากกว่ากีดกันเพิ่ม ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันเข้าลงทุนได้ในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1219
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "อวสานของหุ้นเทค?" ให้หน่อยค่ะ
อวสานของหุ้นเทค? ​ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 หุ้น Meta เจ้าของ Facebook เว็บสื่อสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลกตกลงมาถึงประมาณ 26% คิดเป็นมูลค่าของหุ้นที่หายไปประมาณ 7 ล้านล้านบาทซึ่งเป็นการลดลงวันเดียวที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เหตุผลที่หุ้นตกลงมานั้นเป็นเพราะมีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาศสุดท้ายของปี 2564 ที่ดูเหมือนว่าการเติบโตของบริษัทจะเริ่มถดถอยลง เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ จำนวนคนใช้เฟซบุ๊กในแต่ละวันเริ่มลดลง “เล็กน้อย” เป็นครั้งแรกเนื่องจากคู่แข่งอย่างเช่น “ติ๊กต็อก” และอื่น ๆ กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของคนรุ่นใหม่ที่เห็นว่าเฟซบุ๊กนั้นเริ่ม “ตกยุค” นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องของกฎ “ความเป็นส่วนตัว” ของผู้ใช้โทรศัพท์ที่อาจจะทำให้การโฆษณาที่เป็นรายได้หลักของเฟซบุ๊กถูกกระทบและมีผลต่อผลประกอบการในอนาคตของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรของบริษัททั้งปี 2564 ก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 37% และ 35% ตามลำดับ และนี่ก็เป็นเรื่องน่าตกใจมากที่หุ้นเทค “แห่งอนาคต” ที่ประกาศจะสร้าง “เมตาเวิร์ส” หรือ “โลกเสมือน” ที่คนทั้งโลกอาจจะเข้าไปใช้ชีวิตได้ มีราคาหุ้นตกลงมาราวกับว่าบริษัทกำลังเผชิญกับ “วิกฤติ” อย่างกระทันหัน หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นการ “จบรอบ” หุ้นเทคยักษ์ใหญ่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากมายจนแทบจะครองตลาดหุ้นอเมริกา เพราะหุ้นเทคที่ใหญ่ที่สุด 5 ตัวคือ เฟซบุ๊ก อะมาซอน แอปเปิล ไมโครซอฟท์ และกูเกิล มีมูลค่าตลาดหรือ Market Cap. รวมกันเท่ากับประมาณเกือบ 25% ของหุ้นในดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นทั้งสหรัฐ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในช่วงเร็ว ๆ นี้ หุ้นเทคและหุ้นและสินทรัพย์เก็งกำไรจำนวนมากเช่น เหรียญคริปโท ต่างก็ตกลงมาค่อนข้างแรงอานิสงค์จากภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มจะรุนแรงขึ้นมาก คำถามสำคัญก็คือ นี่จะเป็น “อวสานของหุ้นเทค” หรือไม่ แน่นอนว่าหุ้นเทคนั้นก็คงจะต้องอยู่กับเราต่อไปอีกนานเท่านาน ไม่มีทางที่มันจะล้มหายตายจากไป รวมถึงการเปลี่ยนตัวบริษัทผู้นำก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วเพราะบริการหรือผลิตภัณฑ์มักจะมี “Network Effect” หรือมีเครือข่ายที่ทำให้ลูกค้าไม่หนีไปไหนแม้ว่าลูกค้าใหม่ ๆ อาจจะไม่เพิ่มขึ้นเร็วแล้วเพราะตลาดเริ่ม “อิ่มตัว” และคู่แข่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถ “แย่งเวลา” ไปจากสินค้าหรือบริการเดิม ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น “ติ๊กต็อก” ที่สามารถจับตลาดของคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่เป็นการอวสานในแง่ของตัวบริษัทหรือกิจการของบริษัทเทคขนาดใหญ่อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ควรจะคิดก็คือ ถ้ามองในฐานะของ “หุ้น” เทคขนาดใหญ่ที่มีผลงานดีเยี่ยมมานาน มันถึงเวลา “หมดรอบ” หรือ “อวสาน” หรือยัง? ผมเองคิดว่าช่วงเติบโตเร็วแบบ “Super Growth” ของหุ้นเทคโดยเฉพาะที่เป็นแนว “ดิจิทัล” นั้น น่าจะใกล้พีคหรือไปถึงจุดสุดยอดแล้ว และ “ตัวเร่ง” การเติบโตก็คือ โควิด-19 ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาใช้บริการของบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านั้นทันที รอช้าไม่ได้ ผลก็คือยอดขายและกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นมากและหลังจากวันนี้ที่โควิดคลี่คลายลง การใช้บริการก็จะเพิ่มต่อไม่ได้เร็วอีกต่อไปนอกเสียแต่ว่าจะมีผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ เช่นเรื่องของเมตาเวิร์สหรืออินเตอร์เน็ตออฟธิงค์ที่ทำให้เครื่องใช้และสิ่งต่าง ๆ สามารถติดต่อกันเองได้ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นน่าจะค่อย ๆ เกิดขึ้นมากกว่า ดังนั้น ผมคิดว่าช่วงเวลานี้น่าจะเป็นช่วงของการปรับตัวลงของหุ้นเทคที่เคยดีมานานและดียิ่งขึ้นในช่วงโควิด-19 จะเรียกว่าเป็น “อวสานของหุ้นเทค” ก็น่าจะได้ แต่จะต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่บริษัทแย่ลงหรือมีบทบาทน้อยลงในเศรษฐกิจโลก แต่เป็นเรื่องของราคาหุ้นที่อาจจะขึ้นเกินเลยไปมากและการเติบโตของบริษัทที่จะโตช้าลง ประกอบกับการที่ต้นทุนของเงินหรืออัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขายหุ้นซึ่งจะทำให้หุ้นเทคปรับขึ้นได้ยาก บางตัวอาจจะตกลงอย่างหนัก โดยที่เฟซบุ๊กเป็นตัวอย่างที่เด่นชัด แต่สิ่งที่คนอาจจะไม่ตระหนักก็คือ “หุ้นเทคจีน” ที่ลงนำไปก่อนแล้วและลงมากกว่าเฟซบุ๊กด้วยซ้ำ คำถามสำคัญต่อมาก็คือ เราควรขายหุ้นเทคหรือไม่ คำตอบของผมก็คือ ขึ้นอยู่กับราคาเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นเทคแต่ละตัว การตกลงมาของหุ้นเทคยักษ์ใหญ่หลายตัวซึ่งรวมถึงหุ้นเทคของจีนน่าจะทำให้หุ้นเทคบางตัว “ไม่แพงอีกต่อไป” และถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่โตเร็วมากเหมือนในอดีตอีกแล้วแต่มันก็น่าจะสามารถรักษาสถานะที่เป็นอยู่ได้พร้อม ๆ กับการเติบโตบ้างโดยเฉพาะจากการสร้างบริการและผลิตภัณฑ์ไฮเทคใหม่ ๆ โดยอาศัยทรัพยากรโดยเฉพาะเงินสดที่มีอยู่มหาศาลต่อสู้กับคู่แข่งใหม่ ๆ หรือไม่ก็ซื้อธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพที่จะโตเร็วในอนาคต พูดง่าย ๆ ผมคิดว่าหุ้นเทคขนาดใหญ่นั้นกำลังกลายเป็น “หุ้นแข็งแกร่ง” ที่จะไม่มีใคร Disrupt หรือทำลายล้างได้ง่าย ดังนั้น ถ้าราคาหุ้นสมเหตุผล ก็สามารถลงทุนได้อย่างน่าจะปลอดภัยพอสมควร ลองมาดูหุ้นเทคยักษ์ของโลกว่าถูกแพงแค่ไหน เริ่มตั้งแต่เฟซบุ๊กที่ราคาต่ำลงมามาก คือลดลงจากจุดสูงสุดถึงประมาณ 37% และค่า PE อยู่ที่ประมาณ 17 เท่า หรือ EP เท่ากับ 5.9% ซึ่งแปลว่าลงทุนหุ้นตัวนี้ ถ้ากำไรในระยะยาวไม่ลดลงก็จะได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่าปีละประมาณ 5.9% ก็ดูไม่แพงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่แม้ว่าจะกำลังเพิ่มขึ้นแต่ก็อาจจะไปได้ไม่เกิน 4-5% ในระยะยาว หุ้นอะมาซอนมีค่า PE ที่ 62 เท่า และราคาก็ลดลงจากจุดที่เคยสูงสุดประมาณ 15-16% ในช่วงปีที่แล้ว ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังมองว่าเป็นหุ้นซุปเปอร์โกรทที่สามารถโตต่อไปได้อีกมาก รวมถึงอาจจะเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้บริหารที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น การทำร้านค้าปลีกเช่นสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ต้องมีคนขายหรือคนคิดเงิน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นมีราคาแพงมากนั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือผิดคาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะทำให้หุ้นถูกเทขายได้ง่ายเหมือนอย่างเฟซบุ๊ก ดังนั้น ผมเองคิดว่าหุ้นมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่จะรับได้โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็น VI ที่อนุรักษ์นิยม หุ้นแอปเปิลซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นหุ้นยอดนิยมของวอร์เรน บัฟเฟตต์นั้น ตกลงมาน้อยมากในรอบนี้ และต่ำกว่า All Time High แค่ 5-6% มีค่า PE ประมาณ 29 เท่า ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกแต่ก็ไม่ถือว่าแพง เหตุเพราะว่าสถานะของผลิตภัณฑ์และบริษัทมั่นคงมาก ว่าที่จริงในช่วงแรกที่บัฟเฟตต์เข้าถือหุ้นตัวนี้ มันแทบจะเป็นหุ้น Value ด้วยซ้ำ เพราะค่า PE ตอนนั้นน่าจะไม่เกิน 13-14 เท่า และมีเงินสดมหาศาล บัฟเฟตต์ไม่ได้คิดว่ามันขายความเป็นไฮเทค เพราะว่าโทรศัพท์ของแอปเปิลนั้นเป็น “ไลฟ์สไตล์” ไปแล้ว หุ้นไมโครซอฟท์นั้น คล้าย ๆ กับหุ้นแอปเปิลในแง่ที่ว่าผลิตภัณฑ์และบริษัทแข็งแกร่งมากและความเสี่ยงที่จะถูก Disrupt น้อยมาก ค่า PE ที่ประมาณ 33 เท่า นั้นน่าจะสมเหตุผล อย่างไรก็ตาม การเติบโตต่อไปเร็ว ๆ ก็คงจะยาก และอุปสรรคของราคาหุ้นที่จะขึ้นไปก็คือภาวะดอกเบี้ยที่กำลังปรับตัวขึ้นซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นที่ขึ้นมามาก ๆ ในช่วงที่ผ่านมาไปต่อได้ยากเช่นกัน หุ้นกูเกิลหรือหุ้นอัลฟาเบ็ท นั้นดูเหมือนว่าปรับตัวขึ้นมาตลอดและแทบจะไม่ตกเลย คนจำนวนมากคงจะคิดว่าผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะเว็บกูเกิลนั้นหาคู่แข่งยากมากและคนที่จะใช้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่ต้องศึกษาหาข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเดี๋ยวนี้ถ้าอยากจะรู้อะไรก็ต้องถาม “อากู๋” ดังนั้น ค่า PE ที่ประมาณ 26 เท่าจึงดูไม่แพงและน่าจะลงทุนระยะยาวได้ หุ้นอาลีบาบาของจีนนั้น ตั้งแต่มีข่าวรัฐบาลจีนเข้ามา “จัดระเบียบ” ก็ตกเอา ๆ จนล่าสุดเหลือเพียงประมาณ 122 เหรียญสหรัฐ ตกลงมาจากจุดสูงสุดถึง 61% และทำให้ค่า PE เหลือเพียง 17 เท่า ทั้ง ๆ ที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็คล้าย ๆ กับอะมาซอนที่ยังมีโอกาสโตอีกมาก ดังนั้น หุ้นตัวนี้อาจจะกลายเป็นหุ้น Value ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การมีเรื่องกับรัฐบาลนั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญมากและคาดการณ์ได้ยากโดยเฉพาะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเด็ดขาดและอยู่ภายใต้คนคนเดียวหรือไม่กี่คน หุ้นเทนเซ็นต์ของจีนซึ่งทำทางด้านสื่อสังคมคล้ายเฟซบุ๊กนั้นก็คงคล้ายกับหุ้นอาลีบาบาแต่ตกลงมาจากจุดสูงสุดน้อยกว่าที่ประมาณ 37% มีค่า PE ที่ 20 เท่า สูงกว่าเฟซบุ๊กเล็กน้อยแต่ก็ดูไม่แพงเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วไปที่รวมถึงหุ้นไทย ดังนั้น นี่ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่พอลงทุนได้แม้ว่าตลาดหุ้นจีนยังมีปัญหา ทั้งหมดนั้นก็คือหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่ตอนนี้เปลี่ยนภาพไปมาก จากการเป็นสิ่งที่เข้าใจและคาดการณ์ได้ยากและราคาแพงมาก กลายเป็น “หุ้นแข็งแกร่ง” ที่มีราคาที่ “จับต้องได้” และในไม่ช้าก็จะเป็นหุ้นที่ “ลงทุนง่าย” สำหรับทุกคน เช่น ผ่าน “DR” ซึ่งเป็นตราสารแทนหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทย ทั้งหมดนั้นก็คือหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่ตอนนี้เปลี่ยนภาพไปมาก จากการเป็นสิ่งที่เข้าใจและคาดการณ์ได้ยากและราคาแพงมาก กลายเป็น “ หุ้นแข็งแกร่ง ” ที่มีราคาที่ “ จับต้องได้ ” และในไม่ช้าก็จะเป็นหุ้นที่ “ ลงทุนง่าย ” สำหรับทุกคน เช่น ผ่าน “DR” ซึ่งเป็นตราสารแทนหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาดหุ้นไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 หุ้น Meta เจ้าของ Facebook ตกลงมาประมาณ 26% คิดเป็นมูลค่าของหุ้นที่หายไปประมาณ 7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงวันเดียวที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เหตุผลเพราะมีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาศสุดท้ายของปี 2564 ที่ดูเหมือนว่าการเติบโตของบริษัทจะเริ่มถดถอยลง เฉพาะอย่างยิ่งคือ จำนวนคนใช้เฟซบุ๊กในแต่ละวันเริ่มลดลงเล็กน้อยเป็นครั้งแรก เนื่องจากคู่แข่งอย่าง ติ๊กต็อก และอื่น ๆ กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของคนรุ่นใหม่ที่เห็นว่าเฟซบุ๊กนั้นเริ่มตกยุค และเรื่องของกฎความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้โทรศัพท์ที่อาจจะทำให้การโฆษณาที่เป็นรายได้หลักถูกกระทบและมีผลต่อผลประกอบการในอนาคตของบริษัทด้วย แต่อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรของบริษัททั้งปี 2564 ก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 37% และ 35% ตามลำดับ เป็นเรื่องน่าตกใจมากที่หุ้นเทคแห่งอนาคต ประกาศจะสร้าง “เมตาเวิร์ส” หรือ “โลกเสมือน” ที่คนทั้งโลกอาจจะเข้าไปใช้ชีวิตได้ มีราคาหุ้นตกลงมาราวกับว่าบริษัทกำลังเผชิญกับวิกฤติอย่างกระทันหัน หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือนว่าเป็นการจบรอบหุ้นเทคยักษ์ใหญ่ที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากมายจนแทบจะครองตลาดหุ้นอเมริกา คำถามที่ว่า นี่จะเป็นอวสานของหุ้นเทคหรือไม่ หุ้นเทคก็คงจะต้องอยู่ต่อไปอีกนาน ไม่มีทางที่มันจะล้มหายตายจากไป รวมถึงการเปลี่ยนตัวบริษัทผู้นำก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว เพราะบริการมักจะมี “Network Effect” หรือมีเครือข่ายที่ทำให้ลูกค้าไม่หนีไปไหน แม้ว่าลูกค้าใหม่ ๆ อาจจะไม่เพิ่มขึ้นเร็วแล้วเพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว และคู่แข่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถแย่งเวลาไปจากสินค้าหรือบริการเดิม ๆ ได้ ดังนั้น จึงไม่ใช่เป็นการอวสานในแง่ของตัวบริษัทหรือกิจการของบริษัทเทคขนาดใหญ่อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ควรจะคิดก็คือ ถ้ามองในฐานะของหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่มีผลงานดีเยี่ยมมานาน มันถึงเวลาอวสานหรือยัง ช่วงเติบโตเร็วแบบ “Super Growth” ของหุ้นเทค โดยเฉพาะที่เป็นแนวดิจิทัลนั้น น่าจะใกล้ไปถึงจุดสุดยอดแล้ว และตัวเร่งการเติบโตก็คือ โควิด-19 ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาใช้บริการของบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านั้นทันที ผลก็คือยอดขายและกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นมากและหลังจากที่โควิดคลี่คลายลง การใช้บริการก็จะเพิ่มต่อไม่ได้เร็วอีกต่อไป นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงของการปรับตัวลงของหุ้นเทคที่เคยดีมานานและดียิ่งขึ้นในช่วงโควิด-19 จะเรียกว่าเป็น “อวสานของหุ้นเทค” ก็น่าจะได้ แต่ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่บริษัทแย่ลงหรือมีบทบาทน้อยลงในเศรษฐกิจโลก แต่เป็นเรื่องของราคาหุ้นที่อาจจะขึ้นเกินเลยไปมากและการเติบโตของบริษัทที่จะโตช้าลง ประกอบกับการที่ต้นทุนของเงินหรืออัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขายหุ้นซึ่งจะทำให้หุ้นเทคปรับขึ้นได้ยาก คำถามต่อมาคือ ควรขายหุ้นเทคหรือไม่ คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับราคา เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นเทคแต่ละตัว การตกลงมาของหุ้นเทคยักษ์ใหญ่หลายตัวซึ่งรวมถึงหุ้นเทคของจีนน่าจะทำให้หุ้นเทคบางตัวไม่แพงอีกต่อไป และแม้ว่าอาจจะไม่โตเร็วมากเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่น่าจะสามารถรักษาสถานะที่เป็นอยู่ได้พร้อม ๆ กับการเติบโตบ้าง โดยเฉพาะจากการสร้างบริการและผลิตภัณฑ์ไฮเทคใหม่ ๆ โดยอาศัยทรัพยากร โดยเฉพาะเงินสดที่มีอยู่มหาศาลต่อสู้กับคู่แข่งใหม่ ๆ หรือไม่ก็ซื้อธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพที่จะโตเร็วในอนาคต
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1222
Finance
เขียนแคมเปญเรื่อง "เรียนรู้และลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: ที่ปรึกษาการลงทุนเป็นคำตอบ" ให้หน่อย
null
แนวคิดของแคมเปญ "5 โอกาสสร้างผลตอบแทนที่คุณพลาด ถ้าไม่มีที่ปรึกษาการลงทุน" น่าจะเน้นที่การเชื่อมโยงระหว่างการลงทุนและความสำเร็จของการลงทุนโดยการเน้นไปที่วิธีการที่ผู้คนมักพลาดหรือไม่คิดถึงเมื่อไม่มีที่ปรึกษาการลงทุนเข้ามาช่วยเหลือ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับ 5 ข้อที่คุณอาจพลาดไปถ้าไม่มีที่ปรึกษาการลงทุน: 1. ทำการวิเคราะห์เสียงผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่มีที่ปรึกษาการลงทุนเข้ามาช่วยกันในการวิเคราะห์ตลาดและโอกาสลงทุน อาจพลาดข้อสำคัญที่มาจากความเชี่ยวชาญของผู้เชี่ยวชาญในวงการนั้น การมีที่ปรึกษาการลงทุนช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงประสบการณ์และความรู้ที่สำคัญที่อาจพลิกเปลี่ยนการตัดสินใจได้ 2. การตรวจสอบความเสี่ยง: ที่ปรึกษาการลงทุนช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนแต่ละประเภท ทั้งนี้รวมถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินและความเสี่ยงในการลงทุนเชิงเทคนิค 3. การวางแผนการลงทุน: การวางแผนการลงทุนที่ดีจำเป็นต้องพิจารณาเป้าหมายการลงทุนของคุณ และที่ปรึกษาการลงทุนมีช่วยในการช่วยกำหนดเป้าหมายเหล่านี้ให้ตรงกับสภาพการเงินและความต้องการของคุณ 4. การจัดการการลงทุน: ที่ปรึกษาการลงทุนสามารถช่วยในการจัดการพอร์ตการลงทุนของคุณให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับ การดูแลและปรับปรุงพอร์ตแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทน 5. การติดตามและประเมินผล: การประเมินผลลัพธ์ของการลงทุนเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรละเลย ที่ปรึกษาการลงทุนช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ผลตอบแทนและประสิทธิภาพของการลงทุนได้อย่างเชี่ยวชาญและเป็นระบบ ด้วยการใช้แคมเปญนี้ เราจะเชื่อมโยงความสำเร็จของการลงทุนกับการใช้ที่ปรึกษาการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเน้นให้ผู้คนเห็นถึงความสำคัญของการมีความรู้และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการการเงินและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุนว่าการใช้ที่ปรึกษาการลงทุนเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของการลงทุนและการบริหารจัดการการเงินในระยะยาว การใช้คำโฆษณาและสื่อสารเพื่อเน้นถึงความสำคัญของการใช้ที่ปรึกษาการลงทุนเป็นเครื่องมือสำคัญในการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการเติบโตทางการเงินของบุคคลและธุรกิจในทุกๆ ระดับ
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1223
Finance
ข้อดีและข้อเสียของการใช้เงินดิจิทัลดอลลาร์ มีอะไรบ้าง
null
ข้อดีของการใช้เงินดิจิทัลดอลลาร์ มีดังนี้ 1. ลดระดับความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ จากบรรดาเงินสกุลคริปโตหรือ Private Digital Money 2. ช่วยบรรดาผู้ประกอบการวิสาหกรรมขนาดกลางและเล็กหรือ SME ให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการออก Private Digital Money หรือเท่ากับช่วยลดความเสียเปรียบด้านต้นทุนต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ 3. เสริมให้เงินดอลลาร์ยังคงเป็นเงินสกุลหลักของโลกหรือ International Reserve ที่มีเวอร์ชันเงินเป็นแบบดิจิทัลเทียบเคียงกับเงินสกุลหลักอื่น ๆ 4. ช่วยบริการการชำระเงินระหว่างประเทศให้มีความปลอดภัยมากขึ้น 5. ให้คนที่ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ โดยจากสถิติ พบว่าในสหรัฐ มีผู้ไม่ได้เข้าถึงแหล่งเงินเยอะพอสมควร โดยเงินดิจิทัลดอลลาร์จะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการเงินลดลง 6. เกิดความคลอบคลุมด้านการเงินหรือ Financial Inclusion ในพื้นที่ห่างไกล ผ่าน Mobile App ที่จะใช้เงินดิจิทัลดอลลาร์ ส่วนข้อเสียของการใช้เงินดิจิทัลดอลลาร์ มีดังนี้ 1. การเปลี่ยนโครงสร้างตลาดของภาคการเงิน เมื่อมีเงินดิจิทัลดอลลาร์ ซึ่งมีสถานะใกล้เคียงกับเงินที่ใช้กันในปัจจุบันเข้ามาในระบบสถาบันการเงิน ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่าตราสารทางการเงินประเภทอื่น ๆ เนื่องจากปราศจากความเสี่ยงประเภทต่าง ๆ จะส่งผลให้ปริมาณเงินฝากของแบงก์ลดลง รวมถึงปริมาณเงินกู้ก็จะลดลงด้วย 2. ความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบการเงิน เมื่อเงินดิจิทัลดอลลาร์ ไปทดแทนเงินฝากมากขึ้นเรื่อย ๆ ณ จุดหนึ่ง ก็จะเกิด Bank Run หรือคนแห่ไปถอนเงินจากธนาคารจนไม่มีเงินเหลือพอที่จะคืนให้ประชาชน 3. ปฏิบัติการของนโยบายการเงินน่าจะมีประสิทธิภาพลดลง โดยการออกแบบของ เงินดิจิทัลดอลลาร์ จะมีอิทธิพลต่อกลไกการทำงานของนโยบายการเงิน 4. การปกป้องข้อมูลส่วนตัวและการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน โดยการเข้ามาของ เงินดิจิทัลดอลลาร์จะทำให้มีจุดที่เสี่ยงต่อการขโมยหรือล้วงข้อมูลและการกระทำอาชญากรรมทางการเงินมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมี จำนวน contact point ทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นกว่าเดิมมาก 5. การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหากถูกจารกรรม รวมถึงภัยทางไซเบอร์ โดยเงินดิจิทัลดอลลาร์ ต้องมีคุณสมบัติที่สามารถทำให้ระบบกลับมาฟื้นตัวใช้ได้เหมือนเดิมอย่างรวดเร็วหากถูกจารกรรม รวมถึงต้องมีระบบที่สามารถป้องกันจากอาชญากรรมหรือภัยทางไซเบอร์ เนื่องจากมี จำนวน contact point ทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1226
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง รวม ‘ข้อผิดพลาด’ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ เมื่อลงทุนด้วยตัวเอง ให้หน่อยค่ะ
รวม ‘ข้อผิดพลาด’ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ เมื่อลงทุนด้วยตัวเอง ​ ในยุคที่เพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลข่าวสาร หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า เราสามารถลงทุนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องปรึกษาใคร หากหมั่นเรียนรู้และติดตามข่าวสาร ก็ไม่พลาดโอกาสทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ แต่หารู้ไม่ว่าหลาย ๆ สิ่งที่เราทำนั้น บางทีเราอาจจะกำลังเข้าใจผิด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมก็ได้ ลองมาดูตัวอย่างเหล่านี้ แล้วเช็กว่าเราเคยเจอความคิดแบบนี้ไหม? ในยุคที่เพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลข่าวสาร หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า เราสามารถลงทุนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องปรึกษาใคร หากหมั่นเรียนรู้และติดตามข่าวสาร ก็ไม่พลาดโอกาสทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ แต่หารู้ไม่ว่าหลาย ๆ สิ่งที่เราทำนั้น บางทีเราอาจจะกำลังเข้าใจผิด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมก็ได้ ลองมาดูตัวอย่างเหล่านี้ แล้วเช็กว่าเราเคยเจอความคิดแบบนี้ไหม? สิ่งที่คิด: สิ่งที่เรารู้และเห็นนั้นคือทุก ๆ อย่าง ความเป็นจริง: เราอาจจะกำลังลำเอียงอยู่หรือเปล่า? แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคที่เราสามารถหาข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็วกว่าแต่ก่อน เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียก็สามารถตอบทุกคำถามคาใจของเราได้แล้ว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสารที่เรารับมานั้นเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด? เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่? เป็นข้อเท็จจริง หรือ แค่ความเห็น? หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่ามนุษย์เรามีอคติและความลำเอียง ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งเราก็คิดไม่ถึงว่าเป็นความลำเอียงที่เราสร้างขึ้นมาจนทำให้ตัดสินใจพลาดไป ตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่น Confirmation Bias ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรารับรู้ข้อมูลชุดหนึ่ง เราก็จะมีแนวโน้มหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาสนับสนุนข้อมูลชิ้นนั้น แทนที่จะหาข้อมูลตรงกันข้ามเพื่อมาหักล้างกัน ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ เพียงแค่ด้านเดียว แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคที่เราสามารถหาข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็วกว่าแต่ก่อน เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียก็สามารถตอบทุกคำถามคาใจของเราได้แล้ว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสารที่เรารับมานั้นเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด? เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่? เป็นข้อเท็จจริง หรือ แค่ความเห็น? หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่ามนุษย์เรามีอคติและความลำเอียง ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งเราก็คิดไม่ถึงว่าเป็นความลำเอียงที่เราสร้างขึ้นมาจนทำให้ตัดสินใจพลาดไป ตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่น Confirmation Bias ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรารับรู้ข้อมูลชุดหนึ่ง เราก็จะมีแนวโน้มหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาสนับสนุนข้อมูลชิ้นนั้น แทนที่จะหาข้อมูลตรงกันข้ามเพื่อมาหักล้างกัน ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ เพียงแค่ด้านเดียว สิ่งที่คิด: ลงทุนระยะยาว ไม่ต้องติดตามสถานะพอร์ตบ่อยก็ได้ ความเป็นจริง: รู้ตัวอีกที ก็ติดดอยแล้ว เรามักจะได้ยินว่า “ลงทุนยาว ๆ ไม่ต้องซื้อขายบ่อย ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว” ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง ระยะเวลาเป็นเพื่อนคนสำคัญในโลกแห่งการลงทุน ยิ่งยาวก็ยิ่งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราคงสถานะสินทรัพย์แบบเดิม ๆ ไว้ตลอด หากระยะสั้นเราเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังมา หรือกำลังอ่อนแรง เราก็ควรที่แบ่งสัดส่วนไปรับโอกาสตรงนั้น ปรับพอร์ตการลงทุนบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อให้ทันกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง หากเราลงทุนเอง เราอาจจะไม่มีเวลามากพอมาติดตามสถานการณ์โลก หรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ที่จะช่วยให้เรารับโอกาสระยะสั้นได้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนไปอย่างน่าเสียดาย เรามักจะได้ยินว่า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง ระยะเวลาเป็นเพื่อนคนสำคัญในโลกแห่งการลงทุน ยิ่งยาวก็ยิ่งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราคงสถานะสินทรัพย์แบบเดิม ๆ ไว้ตลอด หากระยะสั้นเราเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังมา หรือกำลังอ่อนแรง เราก็ควรที่แบ่งสัดส่วนไปรับโอกาสตรงนั้น ปรับพอร์ตการลงทุนบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อให้ทันกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง หากเราลงทุนเอง เราอาจจะไม่มีเวลามากพอมาติดตามสถานการณ์โลก หรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ที่จะช่วยให้เรารับโอกาสระยะสั้นได้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนไปอย่างน่าเสียดาย สิ่งที่คิด: เรารู้จักตัวเองดีที่สุดแล้ว ความเป็นจริง: เราอาจจะประเมินตัวเองต่ำ/สูงไป ประโยค ‘ไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่าเราเอง’ อาจจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้ เพราะในหลาย ๆ ครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าเราเสี่ยงได้มาก/น้อยแค่ไหน บางคนบอกว่ารับความเสี่ยงได้มากถึง 20% แต่พอเจอขาดทุนจริง ๆ 2% ก็ไม่สบายใจ ขณะเดียวกัน บางคนยังเหลือระยะเวลาการลงทุนอีกมาก แต่กลับกลัวความเสี่ยง ทำให้ลงทุนแค่ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนไม่สูง พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องเป้าหมายหรือผลตอบแทนด้านการลงทุนก็สำคัญ หากลงทุนเอง เราอาจจะเผลอตั้งเป้าหมายที่ไม่สะท้อนความจริง หรือ เราอาจจะไม่เชี่ยวชาญมากพอ ในการบริหารพอร์ตของเราให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ ได้ ประโยค อาจจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้ เพราะในหลาย ๆ ครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าเราเสี่ยงได้มาก/น้อยแค่ไหน บางคนบอกว่ารับความเสี่ยงได้มากถึง 20% แต่พอเจอขาดทุนจริง ๆ 2% ก็ไม่สบายใจ ขณะเดียวกัน บางคนยังเหลือระยะเวลาการลงทุนอีกมาก แต่กลับกลัวความเสี่ยง ทำให้ลงทุนแค่ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนไม่สูง พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องเป้าหมายหรือผลตอบแทนด้านการลงทุนก็สำคัญ หากลงทุนเอง เราอาจจะเผลอตั้งเป้าหมายที่ไม่สะท้อนความจริง หรือ เราอาจจะไม่เชี่ยวชาญมากพอ ในการบริหารพอร์ตของเราให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ ได้ ซึ่งก่อนจะเริ่มลงทุนอะไร อยากให้ทุกคนลองค้นหาตัวเองดูว่า แท้จริงแล้ว ‘คุณเป็นนักลงทุนสายไหนในโลกการลงทุน’ กันแน่ เพราะถ้าหาตัวเองเจอแล้วจะช่วยให้เห็นภาพตัวคุณบนโลกการลงทุนชัดเจนขึ้น สามารถเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะกับสไตล์ และความเสี่ยง รวมทั้งกำหนดเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก่อนจะเริ่มลงทุนอะไร อยากให้ทุกคนลองค้นหาตัวเองดูว่า แท้จริงแล้ว กันแน่ เพราะถ้าหาตัวเองเจอแล้วจะช่วยให้เห็นภาพตัวคุณบนโลกการลงทุนชัดเจนขึ้น สามารถเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะกับสไตล์ และความเสี่ยง รวมทั้งกำหนดเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ดียิ่งขึ้น ค้นหาว่าคุณเป็นนักลงทุนสายไหนได้ที่ เกมทายใจ! คุณคือนักลงทุนสายไหนในโลกการลงทุน? ค้นหาว่าคุณเป็นนักลงทุนสายไหนได้ที่ เกมทายใจ! คุณคือนักลงทุนสายไหนในโลกการลงทุน? เกมทายใจ! คุณคือนักลงทุนสายไหนในโลกการลงทุน? สิ่งที่คิด: ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวก็ไม่เสียหาย ความเป็นจริง: เปิดพอร์ตดูอีกที แดงแจ๋ถ้วนหน้า หลาย ๆ คนก่อนจะก้าวมาในโลกการลงทุนคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ สำหรับการลงทุนแล้วก็คือการ ‘กระจายความเสี่ยง’ นั้นเอง บางคนอาจจะเป็นสาย Solo ลุยเดี่ยวเลย ไม่ง้อใคร มีความมั่นใจสูงมาก เห็นว่าสินทรัพย์ไหนมาแรงเป็นกระแสก็ใส่หนักจัดเต็ม ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยซะทีเดียว แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนแบบนี้มีน้อยมาก ๆ แม้ว่าบางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้สูงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างเดียวเสมอไป ลองหันมาจัดพอร์ตการลงทุนดูบ้าง ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท หลากหลายระดับความเสี่ยง พอร์ตของเราจะได้เติบโตแบบมีประสิทธิภาพกันไปยาว ๆ หลาย ๆ คนก่อนจะก้าวมาในโลกการลงทุนคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ สำหรับการลงทุนแล้วก็คือการ นั้นเอง บางคนอาจจะเป็นสาย Solo ลุยเดี่ยวเลย ไม่ง้อใคร มีความมั่นใจสูงมาก เห็นว่าสินทรัพย์ไหนมาแรงเป็นกระแสก็ใส่หนักจัดเต็ม ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยซะทีเดียว แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนแบบนี้มีน้อยมาก ๆ แม้ว่าบางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้สูงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างเดียวเสมอไป ลองหันมาจัดพอร์ตการลงทุนดูบ้าง ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท หลากหลายระดับความเสี่ยง พอร์ตของเราจะได้เติบโตแบบมีประสิทธิภาพกันไปยาว ๆ หากอ่านทั้งหมดแล้วรู้สึกว่า “นี่แหละคือสิ่งที่เราเคยเจอ” ลองมาดูตัวช่วยที่เราอยากแนะนำกันครับ หากอ่านทั้งหมดแล้วรู้สึกว่า ลองมาดูตัวช่วยที่เราอยากแนะนำกันครับ อยากจัดการกับข้อผิดพลาด? “ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว” ช่วยคุณได้ ปัญหาต่าง ๆ ที่เราเผชิญจากการลงทุนด้วยตัวเอง จะถูกแก้ไขได้หากเรามี ‘ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว’ ซึ่งเราสามารถไว้ใจได้เพราะพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่โดยเบื้องต้นต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแนะนำการลงทุน ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และยังต้องผ่านการอบรมจาก FINNOMENA อีกด้วย โดยที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจะทำให้คุณมองเห็นเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ชัดเจนขึ้น ทำความเข้าใจกับสไตล์ของนักลงทุนที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับทั้งความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุนของเรา นอกจากนี้พวกเขายังคอยติดตามสถานะการลงทุนให้เรา และแจ้งเตือนทันทีหากต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน พร้อมเดินทางไปด้วยกันจนกว่าคุณจะถึงทุกเป้าหมายบนโลกการลงทุน ปัญหาต่าง ๆ ที่เราเผชิญจากการลงทุนด้วยตัวเอง จะถูกแก้ไขได้หากเรามี ซึ่งเราสามารถไว้ใจได้เพราะพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่โดยเบื้องต้นต้อง เป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแนะนำการลงทุน ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และยังต้องผ่านการอบรมจาก FINNOMENA อีกด้วย โดยที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจะทำให้คุณมองเห็นเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ชัดเจนขึ้น ทำความเข้าใจกับสไตล์ของนักลงทุนที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับทั้งความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุนของเรา นอกจากนี้พวกเขายังคอยติดตามสถานะการลงทุนให้เรา และแจ้งเตือนทันทีหากต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน พร้อมเดินทางไปด้วยกันจนกว่าคุณจะถึงทุกเป้าหมายบนโลกการลงทุน สรุปง่าย ๆ เลย ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจะเข้ามาช่วยเราแก้ปัญหา 4 ข้อนี้ ปัญหา 1: เราอาจจะกำลังลำเอียงอยู่หรือเปล่า? ที่ปรึกษาการลงทุน: วิเคราะห์อย่างเป็นกลาง แนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้ลงทุน เป็นเพื่อนคู่คิดบนเส้นทางของการลงทุน เราอาจจะกำลังลำเอียงอยู่หรือเปล่า? วิเคราะห์อย่างเป็นกลาง แนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้ลงทุน เป็นเพื่อนคู่คิดบนเส้นทางของการลงทุน ปัญหา 2: รู้ตัวอีกที ก็ติดดอยแล้ว ที่ปรึกษาการลงทุน: คอยติดตามสถานการณ์การลงทุน พร้อมแจ้งอัปเดตทันทีหากมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลง รู้ตัวอีกที ก็ติดดอยแล้ว คอยติดตามสถานการณ์การลงทุน พร้อมแจ้งอัปเดตทันทีหากมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลง ปัญหา 3: เราอาจจะประเมินตัวเองต่ำ/สูงไป ที่ปรึกษาการลงทุน: มีการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ลงทุนอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจระดับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายของผู้ลงทุน เราอาจจะประเมินตัวเองต่ำ/สูงไป มีการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ลงทุนอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจระดับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายของผู้ลงทุน ปัญหา 4: พอร์ตแดงแจ๋ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวเป็นเหตุ ที่ปรึกษาการลงทุน: ช่วยจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับสไตล์และความเสี่ยงของผู้ลงทุน พอร์ตแดงแจ๋ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวเป็นเหตุ ช่วยจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับสไตล์และความเสี่ยงของผู้ลงทุน หวังว่าทุกคนจะได้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของการมีที่ปรึกษาการลงทุนนะครับ หากใครสนใจมีที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวร่วมเป็นเพื่อนคู่คิดตลอดการเดินทางบนโลกการลงทุนของคุณ ทางฟินโนมีนามี ‘FINNOMENA Exclusive’ บริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว ให้คำปรึกษาการลงทุนกองทุนรวมแบบเป็นกลาง โดยสามารถรับบริการได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ความพิเศษของบริการนี้คือใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงแค่ 500,000 บาทเท่านั้น ก็สามารถรับคำปรึกษาได้อย่างสบายใจ ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ แถมมีผู้ดูแลการลงทุนส่วนตัวอีกด้วย หวังว่าทุกคนจะได้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของการมีที่ปรึกษาการลงทุนนะครับ หากใครสนใจมีที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวร่วมเป็นเพื่อนคู่คิดตลอดการเดินทางบนโลกการลงทุนของคุณ ทางฟินโนมีนามี บริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว ให้คำปรึกษาการลงทุนกองทุนรวมแบบเป็นกลาง โดยสามารถรับบริการได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ความพิเศษของบริการนี้คือใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงแค่ 500,000 บาทเท่านั้น ก็สามารถรับคำปรึกษาได้อย่างสบายใจ ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ แถมมีผู้ดูแลการลงทุนส่วนตัวอีกด้วย หากสนใจใช้บริการ สามารถกรอกข้อมูลเพื่อรับบริการได้ที่ หากสนใจใช้บริการ สามารถกรอกข้อมูลเพื่อรับบริการได้ที่ คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
รวม ‘ข้อผิดพลาด’ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ เมื่อลงทุนด้วยตัวเอง สิ่งที่คิด: สิ่งที่รู้และเห็นนั้นคือทุก ๆ อย่าง ความเป็นจริง: อาจจะกำลังลำเอียงอยู่หรือเปล่า แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคที่สามารถหาข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็ว แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียก็สามารถตอบทุกคำถามได้แล้ว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสารที่รับมานั้นเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริง หรือ แค่ความเห็น หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่ามนุษย์มีอคติและความลำเอียง ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งก็คิดไม่ถึงว่าเป็นความลำเอียงที่สร้างขึ้นมาจนทำให้ตัดสินใจพลาดไป สิ่งที่คิด: ลงทุนระยะยาว ไม่ต้องติดตามสถานะพอร์ตบ่อยก็ได้ ความเป็นจริง: รู้ตัวอีกที ก็ติดดอยแล้ว นักลงทุนมักจะได้ยินว่า “ลงทุนยาว ๆ ไม่ต้องซื้อขายบ่อย ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว” ซึ่งเป็นเรื่องจริง ระยะเวลาเป็นเพื่อนคนสำคัญในโลกแห่งการลงทุน ยิ่งยาวก็ยิ่งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คงสถานะสินทรัพย์แบบเดิมไว้ตลอด หากระยะสั้นเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังมา หรือกำลังอ่อนแรง ก็ควรที่แบ่งสัดส่วนไปรับโอกาสตรงนั้น ปรับพอร์ตการลงทุนบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อให้ทันกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง หากลงทุนเอง อาจจะไม่มีเวลามากพอมาติดตามสถานการณ์โลก หรือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ที่จะช่วยให้รับโอกาสระยะสั้นได้ ทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนไปอย่างน่าเสียดาย สิ่งที่คิด: รู้จักตัวเองดีที่สุดแล้ว ความเป็นจริง: อาจจะประเมินตัวเองต่ำ/สูงไป ในหลาย ๆ ครั้งก็ไม่รู้ตัวว่าเสี่ยงได้มาก/น้อยแค่ไหน บางคนบอกว่ารับความเสี่ยงได้มากถึง 20% แต่พอเจอขาดทุนจริง ๆ 2% ก็ไม่สบายใจ ขณะเดียวกัน บางคนยังเหลือระยะเวลาการลงทุนอีกมาก แต่กลับกลัวความเสี่ยง ทำให้ลงทุนแค่ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนไม่สูง พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องเป้าหมายหรือผลตอบแทนด้านการลงทุนก็สำคัญ หากลงทุนเอง อาจจะเผลอตั้งเป้าหมายที่ไม่สะท้อนความจริง หรือ อาจจะไม่เชี่ยวชาญมากพอ ในการบริหารพอร์ตให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ ได้ สิ่งที่คิด: ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวก็ไม่เสียหาย ความเป็นจริง: เปิดพอร์ตดูอีกที แดงแจ๋ถ้วนหน้า ก่อนจะก้าวมาในโลกการลงทุน ทุกคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ สำหรับการลงทุนแล้วก็คือการกระจายความเสี่ยงนั่นเอง บางคนอาจจะเป็นสายลุยเดี่ยวเลย ไม่ง้อใคร มีความมั่นใจสูงมาก เห็นว่าสินทรัพย์ไหนมาแรงเป็นกระแสก็ใส่หนักจัดเต็ม ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนแบบนี้มีน้อยมาก ๆ แม้ว่าบางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้สูงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างเดียวเสมอไป ลองหันมาจัดพอร์ตการลงทุนดูบ้าง ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท หลากหลายระดับความเสี่ยง พอร์ตจะได้เติบโตแบบมีประสิทธิภาพกันไปยาว ๆ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1228
Finance
มุมมองไอเอ็มเอฟ ปี2022 ต่อเศรษฐกิจสหรัฐและจีนเป็นอย่างไร?
null
กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ เพิ่งออกรายงานมุมมองเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด โดยลดประมาณการอัตราเติบโตของจีดีพีเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือ 4.4% ต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อนเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ที่ 4.9%และอัตราการเติบโตในปี 2023 ที่ 3.8% สูงกว่าประมาณการครั้งก่อนเล็กน้อย ในขณะที่ได้ปรับอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปี 2021 ขึ้นมาจากครั้งก่อนที่ร้อยละ 5.9 หากพิจารณาเศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในปีนี้และปีหน้า คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 3.9 และ 2.6 ตามลำดับ ส่วนเศรษฐกิจกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา ในปีนี้และปีหน้า คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.8 และ 4.7 ตามลำดับ สำหรับประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกับ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ รวมถึงภูมิภาคอื่น ๆ มีอยู่ 4 ประเด็น ดังนี้ รูปที่ 1 ปัจจัยที่มีผลต่อการลดลงคาดการณ์อัตราการเติบโตจีดีพีเศรษฐกิจโลกของ IMF หนึ่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากรูปที่ 1 จะพบว่าการลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง 0.5% ส่วนใหญ่มาจาก 2 ประเทศหลัก คือ สหรัฐ และ จีน โดยจีดีพีสหรัฐคาดว่าจะเติบโตเหลือ 4% โดยลดลง 1.2% จากประมาณการครั้งก่อน สาเหตุหลักมาจากการชะลอการเบิกจ่าย ของงบกระตุ้น Build Back Better ของผู้นำสหรัฐ ซึ่งจะทำให้นโยบายการคลังสหรัฐผ่อนคลายน้อยกว่า คาดก่อนหน้าค่อนข้างมาก และจากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ที่ทางไอเอ็มเอฟมองว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ย ในปีนี้และปีหน้าอย่างละ 3 ครั้ง ซึ่งถือว่าเร็วและมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า ในขณะที่จีดีพีจีนคาดว่าจะเติบโตเหลือ 4.8% ลดลง 0.8% จากประมาณการครั้งก่อน สาเหตุหลักมาจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริง อันเป็นผลพวงมาจากนโยบาย Zero Covid Policy ของทางการจีน ที่ส่งผลต่ออุปสงค์ของชาวจีนโดยตรง รวมถึงต่อท่าเรือต่างๆที่ ไม่สามารถเปิดได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้เกิดภาวะอุปทานติดขัด จนไม่สามารถทำให้สินค้าต่างๆ รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์กลับไปอยู่ในระดับราคา ในช่วงก่อนโควิด อย่างไรก็ดี ในส่วนสถานการณ์ Baseline สำหรับเศรษฐกิจจีนนั้น ยังมองว่า ปัญหาอสังหาริมทรัพย์น่าจะสามารถถูกจำกัดให้อยู่ในวงจำกัดได้ในปีนี้ สำหรับอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของภูมิภาคอื่นๆ จะพบว่าเศรษฐกิจยุโรปในปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 3.9 โดยยุโรปใต้มีแนวโน้มจะเติบโตได้ดี ส่วนญี่ปุ่นในปีนี้ คาดว่าเติบโตที่ร้อยละ 3.3 ส่วนอินเดียและอาเซียนในปีนี้ คาดว่าเติบโตที่ร้อยละ 9 และ 5.6 ตามลำดับ ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าเศรษฐกิจของอเมริกาใต้จะเติบโตค่อนข้างต่ำ จากผลพวงของโควิดและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รูปที่ 2 ผลจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิดต่อการเปลี่ยนแปลงระดับคาดการณ์ อัตราการเติบโตจีดีพีประเทศต่างๆในเศรษฐกิจโลกของ IMF นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟ ยังสนับสนุนให้มีการเร่งฉีดวัคซีนโควิดให้กับ ประเทศกำลังพัฒนาให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีน โควิดสูง มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ดี ดังรูปที่ 2 ในมุมของการว่างงาน จะพบว่าหากพิจารณาจากระดับอัตราการว่างงาน จะพบว่าตลาดแรงงานสหรัฐมีความร้อนแรงมาก ในขณะที่หากพิจารณาจาก อัตราการลาออกและอัตราการเข้าร่วมในตลาดแรงงานของสหรัฐ จะพบว่ายังมีผู้ที่อยู่นอกตลาดแรงงานค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ จนอาจทำให้เกิดแรงกดดันต่อระดับ ค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีก สอง มุมมองอัตราเงินเฟ้อของโลก คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ที่ร้อยละ 3.9 สำหรับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และ ร้อยละ 5.9 สำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยที่สหรัฐจะเผชิญปัญหาเงินเฟ้อมากกว่าเพื่อน จากแรงกดดันของค่าจ้างที่มีผู้ออกจากตลาดแรงงานในช่วงโควิดและไม่กลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ โดยที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะขึ้นสูงสุดในช่วงกลางปีนี้ก่อนจะลดลงมา ในช่วงปลายปี จากฝั่งอุปทานที่น่าจะค่อยๆกลับมาทำงานได้เหมือนช่วงปกติ สาม นโยบายการเงิน ทางไอเอ็มเอฟ ประเมินเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้และปีหน้าอย่างละ 3 ครั้ง เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ยังมองว่านโยบายการเงินของเฟด น่าจะต้องพิจารณาผลกระทบต่อความเปราะบางทางเศรษฐกิจ ของตลาดเกิดใหม่จากการขึ้นดอกเบี้ยด้วย เนื่องจากจะทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้น้อยลง และจะส่งผลเชิงลบกลับไปยัง เศรษฐกิจสหรัฐเองในที่สุด สี่ นโยบายการคลัง ทางไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าทุกประเทศควรจะพิจารณาชะลอการขาดดุลทางการคลังในระยะต่อไป เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ของโลกสูงขึ้น จะส่งผลต่อความสามารถในการชำระดอกเบี้ยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศเหล่านี้สูงขึ้น ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟยังมองว่าความเสี่ยงเชิงลบต่อเศรษฐกิจดูมีโอกาสจะเกิดขึ้นสูงกว่าในเชิงบวก ผมมองว่าไอเอ็มเอฟน่าจะมีการอัพเดตประมาณการเศรษฐกิจให้บ่อยขึ้น เนื่องจากในครั้งนี้ พบว่ามีการปรับประมาณการเศรษฐกิจ ด้วยขนาดที่ค่อนข้างก้าวกระโดดในหลายภูมิภาค เมื่อเทียบจากครั้งก่อน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1231
Finance
บอก 5 เหตุผลที่นักลงทุนควรต้องมีที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว
null
1. ตกขบวนข่าวสาร แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคดิจิทัลที่สามารถติดตามข่าวสารได้อย่างรวดเร็วจากหลากหลายช่องทาง แต่เรากลับตกขบวนข่าวสารเหล่านั้นหลายครั้งหลายหน เพราะไม่มีเวลามาไถโซเชียล เปิดอินเทอร์เน็ตเพื่ออัปเดตข่าวสารการลงทุน ซึ่งบางครั้งรู้ช้าไปแค่ไม่กี่นาทีเราก็อาจพลาดโอกาสการลงทุนไปเสียแล้ว 2. ไม่มีเวลาจัดการ หากคุณเป็นพนักงานออฟฟิศที่วัน ๆ ยุ่งอยู่แต่กับงานประจำจนไม่มีเวลาวางแผนการลงทุน แค่เดินทางไปทำงานกลับบ้านก็หมดเวลาไปหนึ่งวันเต็มแล้ว หรือบางคนอาจจะเริ่มลงทุนไปแล้วแต่ไม่มีเวลามาคอยอัปเดตพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์ตลาด เรียกได้ว่าก็แค่ลงทุนไป พอมีเวลาเปิดพอร์ตดูอีกทีลมแทบจับ เพราะพอร์ตแดง นั่งหนาวบนดอยกันถ้วนหน้า 3. ศึกษาไม่พอ หลายครั้งเราอาจจะเกิดความรู้สึกท้อใจกับการลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที เพราะไม่ว่าจะศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนมากมายเพียงใด แต่ก็ยังรู้สึกว่าความรู้ที่มีนั้นยังไม่พอกับโลกการลงทุนที่ดูแล้วกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน ซึ่งกว่าจะรู้ลึกรู้จริงได้ก็ต้องใช้เวลาและประสบการณ์มากพอสมควร บ้างก็ฮึบสู้ต่อด้วยการศึกษาเพิ่ม บ้างก็หนีไปพักใจพักการลงทุนไว้ชั่วคราว บ้างก็ถอนตัวออกจากโลกการลงทุนอย่างถาวร 4. เป้าหมายไม่ชัดเจน ก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เราต้องตอบคำถามนี้ให้ได้เสียก่อนว่าจริง ๆ แล้วเราลงทุนไปเพื่ออะไรกันแน่ เพราะหากเป้าหมายการลงทุนของคุณไม่ชัดเจนก็คงยากที่จะลงทุนให้ประสบความสำเร็จดั่งใจหวัง หรือไม่บางท่านอาจจะมีเป้าหมายการลงทุนในใจอยู่แล้ว เช่น เก็บเงินล้านแรก ซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่ไม่ว่าจะลงทุนเท่าไรก็ยังไม่ถึงเป้าหมายนั้นเสียที เนื่องจากเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวจึงจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยวางแผนและออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับสไตล์ ความเสี่ยง และเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละท่าน ทำให้คุณมองเห็นเป้าหมายการลงทุนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมเดินทางไปด้วยกันจนกว่าจะส่งคุณถึงทุกเป้าหมายในโลกการลงทุน 5. ไม่รู้จะเชื่อใคร เห็นโอกาสการลงทุนมาอยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังไม่มั่นใจ ลังเลไม่กล้าลงทุน หรือไปฟังมาจากเพื่อนบอกบ้าง คนรู้จักบอกบ้าง พ่อแม่พี่น้องญาติผู้ใหญ่ไลน์มาบอกในกลุ่มบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าไปเอาแหล่งข่าวมาจากไหน เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เกิดคำถามมากมายขึ้นในหัวจนว้าวุ่นไปหมด แต่หันซ้ายหันขวาก็ไม่รู้ว่าจะถามใครดี
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1232
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ จำเป็นต้องแลกเงินเป็นสกุลต่างประเทศก่อนหรือไม่
null
ไม่จำเป็น เหตุผล: - กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ โดยทั่วไปจะจัดการเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้กับผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ - ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องไปแลกเงินเอง - ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมได้โดยใช้เงินบาท - กองทุนรวมจะทำการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลต่างประเทศตามสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศของกองทุน - ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นเงินบาท ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ: - มีโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศ - ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน - ลงทุนได้โดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ข้อควรระวัง: - อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน - ผลตอบแทนจากการลงทุนอาจได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ - ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ตัวอย่าง: กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 100% จะทำการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลต่างประเทศ 100% ของมูลค่าหน่วยลงทุน ผู้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม 10,000 บาท กองทุนรวมจะทำการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลต่างประเทศ 10,000 บาท หากมูลค่าของเงินบาทอ่อนค่าลง ผลตอบแทนจากการลงทุนของผู้ลงทุนอาจได้รับผลกระทบ สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องแลกเงินเป็นสกุลต่างประเทศก่อน กองทุนรวมจะจัดการเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้กับผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1235
Finance
จากการสำรวจการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q64 ของ Consensus จำแนกกลุ่มหุ้นออกมาได้อย่างไรบ้าง
หาหุ้นงบเด่น ประกิต สิริวัฒนเกตุ 27 ม.ค. 65 หาหุ้นงบเด่น ฤดูกาลการประกาศงบกำลังเริ่มขึ้น ด้วยภาพการฟื้นตัวของหลาย ๆ บริษัทจะเป็นตัวช่วยหนุนให้ SET Index ยังคงรักษาแนวโน้มและขึ้นทดสอบ 1,750 จุดได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2565 โดยกลุ่มหุ้นที่มีผลประกอบการงวด 4Q64 โดดเด่นน่าจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด จากการสำรวจการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q64 ของ Consensus จำแนกออกมาได้ดังนี้ 1. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4Q63 (+YoY) และ เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มธนาคารฯ TISCO* TTB* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง DCC SCC* DRT* กลุ่มปิโตรเคมี IVL* PTTGC* กลุ่มพลังงาน UBE* BAFS BANPU* BCP* ESSO* IRPC* PTT* SPRC* กลุ่มค้าปลีก COM7* HMPRO* HUMAN* MAKRO* SINGER* กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA HANA* KCE* กลุ่มการเงิน BAM* JMT* TIDLOR* KTC* MTC* SAWAD* ASK* AUCT* กลุ่มอาหาร MINT* OSP RBF SAPPE* ZEN* TU* กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA* WHA* กลุ่มอสังหาฯ AP* ORI* AWC กลุ่มขนส่ง AAV AOT BEM BTS DMT กลุ่มสื่อสาร JMART* SYNEX* กลุ่มโรงแรม ERW* CENTEL* SHR* กลุ่มยานยนต์ SAT* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SMPC* BGC* กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค SABINA TOG* กลุ่มกระดาษ UTP กลุ่มประกัน BLA* THRE THREL TQM* กลุ่มโรงไฟฟ้า BGRIM* GPSC* GULF* กลุ่ม MAI IIG* NETBAY* SFT* TNP* SPA TACC* XO* LEO* IP* FSMART WINNER 2. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4Q63 (+YoY) แต่หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มธนาคาร BBL* KKP* KTB* SCB* TCAP* กลุ่มพลังงาน PTTEP กลุ่มค้าปลีก DOHOME* GLOBAL* กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ SVI กลุ่มอาหาร SUN กลุ่มโรงพยาบาล BDMS BCH* BH CHG* EKH* LPH* RJH* IMH* กลุ่มบันเทิง BEC* PLANB* RS* VGI* กลุ่มขนส่ง KEX AMA PSL* TTA* WICE* กลุ่มสื่อสาร INTUCH กลุ่มการเงิน CHAYO* ECL* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SFLEX* กลุ่มเหล็ก MCS* TMT* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SKN* TPIPL*VNG* กลุ่มสินค้าวัสดุ SNC* กลุ่มสาธารณูปโภค TTW* กลุ่ม MAI HL* VCOM 3. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4Q63 (-YoY) แต่เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มรับเหมาฯ STEC กลุ่มอสังหา LALIN ANAN* LH LPN PSH QH SF SPALI* กลุ่มสื่อสาร ADVANC DTAC THCOM กลุ่มปิโตรเคมี GGC* กลุ่มค้าปลีก CPALL BJC CPN* MC CRC กลุ่มพลังงาน PTG TOP* กลุ่มอาหาร CBG CPF* GFPT M* TKN กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค TSR KISS กลุ่มเกษตร STA* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ AJ กลุ่มบันเทิง MONO* กลุ่มขนส่ง NYT* กลุ่มอาหาร TFG NRF กลุ่มการเงิน THANI กลุ่ม MAI SMD 4. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4Q63 (-YoY) และหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มการเงิน AEONTS กลุ่มธนาคาร KBANK* กลุ่มค้าปลีก OR* KAMART* กลุ่มบันเทิง MAJOR* กลุ่มสื่อสาร TRUE AMR SIS*กลุ่มบริการ SISB กลุ่มยานยนต์ AH* กลุ่มอสังหา ALL กลุ่มพลังงาน AI SGP* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง COTTO* EPG* เกษตร NER* กลุ่มโรงพยาบาล VIBHA* กลุ่มบรรจุภัณฑ์SCGP * คือบริษัทที่จะมีการรายงานผลประกอบการปี 2564 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 (+YoY) ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์
จากการสำรวจการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q64 ของ Consensus จำแนกออกมาได้ดังนี้ 1. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 4Q63 (+YoY) และ เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มธนาคารฯ TISCO* TTB* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง DCC SCC* DRT* กลุ่มปิโตรเคมี IVL* PTTGC* กลุ่มพลังงาน UBE* BAFS BANPU* BCP* ESSO* IRPC* PTT* SPRC* กลุ่มค้าปลีก COM7* HMPRO* HUMAN* MAKRO* SINGER* กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA HANA* KCE* กลุ่มการเงิน BAM* JMT* TIDLOR* KTC* MTC* SAWAD* ASK* AUCT* กลุ่มอาหาร MINT* OSP RBF SAPPE* ZEN* TU* กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA* WHA* กลุ่มอสังหาฯ AP* ORI* AWC กลุ่มขนส่ง AAV AOT BEM BTS DMT กลุ่มสื่อสาร JMART* SYNEX* กลุ่มโรงแรม ERW* CENTEL* SHR* กลุ่มยานยนต์ SAT* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SMPC* BGC* กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค SABINA TOG* กลุ่มกระดาษ UTP กลุ่มประกัน BLA* THRE THREL TQM* กลุ่มโรงไฟฟ้า BGRIM* GPSC* GULF* กลุ่ม MAI IIG* NETBAY* SFT* TNP* SPA TACC* XO* LEO* IP* FSMART WINNER 2. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 4Q63 (+YoY) แต่หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มธนาคาร BBL* KKP* KTB* SCB* TCAP* กลุ่มพลังงาน PTTEP กลุ่มค้าปลีก DOHOME* GLOBAL* กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ SVI กลุ่มอาหาร SUN กลุ่มโรงพยาบาล BDMS BCH* BH CHG* EKH* LPH* RJH* IMH* กลุ่มบันเทิง BEC* PLANB* RS* VGI* กลุ่มขนส่ง KEX AMA PSL* TTA* WICE* กลุ่มสื่อสาร INTUCH กลุ่มการเงิน CHAYO* ECL* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SFLEX* กลุ่มเหล็ก MCS* TMT* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SKN* TPIPL*VNG* กลุ่มสินค้าวัสดุ SNC* กลุ่มสาธารณูปโภค TTW* กลุ่ม MAI HL* VCOM 3. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 4Q63 (-YoY) แต่เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (+QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มรับเหมาฯ STEC กลุ่มอสังหา LALIN ANAN* LH LPN PSH QH SF SPALI* กลุ่มสื่อสาร ADVANC DTAC THCOM กลุ่มปิโตรเคมี GGC* กลุ่มค้าปลีก CPALL BJC CPN* MC CRC กลุ่มพลังงาน PTG TOP* กลุ่มอาหาร CBG CPF* GFPT M* TKN กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค TSR KISS กลุ่มเกษตร STA* กลุ่มบรรจุภัณฑ์ AJ กลุ่มบันเทิง MONO* กลุ่มขนส่ง NYT* กลุ่มอาหาร TFG NRF กลุ่มการเงิน THANI กลุ่ม MAI SMD 4. กลุ่มหุ้นที่จะมีการรายงานผลประกอบการ หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 4Q63 (-YoY) และหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3Q64 (-QoQ) ประกอบไปด้วย กลุ่มการเงิน AEONTS กลุ่มธนาคาร KBANK* กลุ่มค้าปลีก OR* KAMART* กลุ่มบันเทิง MAJOR* กลุ่มสื่อสาร TRUE AMR SIS*กลุ่มบริการ SISB กลุ่มยานยนต์ AH* กลุ่มอสังหา ALL กลุ่มพลังงาน AI SGP* กลุ่มวัสดุก่อสร้าง COTTO* EPG* เกษตร NER* กลุ่มโรงพยาบาล VIBHA* กลุ่มบรรจุภัณฑ์SCGP * คือบริษัทที่จะมีการรายงานผลประกอบการปี 2564 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 (+YoY)
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1237
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง หมูแพง..แล้วทองจะแพงด้วยไหม ให้หน่อยค่ะ
หมูแพง..แล้วทองจะแพงด้วยไหม ​ ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว และบอกว่าราคาสันคอหมูจะมีราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 200 บาท ทุกคนคงไม่เชื่อแน่ ๆ แต่มันเกิดขึ้นแล้วครับในปัจจุบัน คำถามก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกับราคาหมูและมันเกี่ยวอะไรกับทองคำ วันนี้อินเตอร์โกลด์จะมาเล่าให้ฟัง… ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี ที่แล้ว และบอกว่าราคาสันคอหมูจะมี ราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 200 บาท ทุกคนคงไม่เชื่อแน่ ๆ แต่มันเกิดขึ้นแล้วครับในปัจจุ บัน คำถามก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกั บราคาหมูและมันเกี่ยวอะไรกั บทองคำ วันนี้อินเตอร์โกลด์จะมาเล่าให้ ฟัง… ถ้าหลาย ๆ คนได้ตามข่าวเรื่องราคาหมูบ้านเรามาบ้างก็จะรับรู้ว่าเหตุผลหลักก็คือเรื่องของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู ทำให้ปริมาณเนื้อหมูเกิดภาวะขาดตลาด ซึ่งจริง ๆ แล้วนั่นเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งครับ แต่ถ้าเราสังเกตราคาสินค้าอื่น ๆ ด้วยเราก็จะพบว่า ราคามันก็ขึ้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นราคารถไฟฟ้า ราคาทางด่วน ราคาผัก ราคาไข่ ฯลฯ เราอาจจะพูดได้เลยว่า 1 ปีที่ผ่านมาสินค้าแทบทุกชนิดมีราคาสูงขึ้นมาก สถานการณ์แบบนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกฎเหล็กสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวก่อนครับ สิ่งนั้นก็คือ Demand (ความต้องการ) และ Supply (ปริมาณ) อะไรที่มีความต้องการมากย่อมต้องมีราคาที่สูง เช่นกันกับ อะไรที่มีปริมาณน้อย ๆ ก็ต้องมีราคาสูงเช่นเดียวกัน กฎเหล็กนี้ใช้ได้กับทุกสินค้ารวมไปถึง เงิน (Money) ด้วยเช่นกัน ถ้าปริมาณเงินมีจำนวนมากขึ้นในระบบย่อมทำให้เงินด้อยค่าลง แล้วทุกคนรู้มั้ยครับว่าปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาระหว่างเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 มีปริมาณมากขนาดไหน.. ดูได้ที่รูปด้านล่าง รูปแสดงปริมาณเงินในระบบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น 2 ปีล่าสุด ( 2020-2021 ) หลังจากเกิด Covid-19 เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าจากปริมาณเงินทั้งหมดที่โลกสะสมมาก่อนเกิดวิกฤต Covid-19 ไม่ต้องแปลกใจเลยครับที่ราคาของทุกอย่างจะขึ้น ความจริงแล้วนั้นเราต้องบอกว่าเงินที่อยู่ในรูป Fiat (เงินที่เราใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น บาท ดอลลาร์ ยูโร) นั้นด้อยค่าลงมากกว่า และข่าวร้ายก็คือนี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้นอย่าคิดว่าการถือเงินสดในมือนั้นจะปลอดภัยในเมื่อมันกำลังด้อยค่าลงด้วยความเร็วสูงไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินใดก็ตาม และเมื่อถึงจุดที่ทุกคนเริ่มตระหนักได้ สิ่งแรกๆที่พวกเขานึกถึงและจะเอาเงินหนีเข้ามาย่อมต้องไม่พ้นทองคำซึ่งถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่พิสูจน์ตัวเองผ่านกาลเวลามากว่า 1000 ปีที่จะทำให้คุณป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่กำลังขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างแน่นอน น่าคิดนะครับว่า เมื่อมูลค่าของเงินเริ่มด้อยค่าลงเมื่อไหร่ ทองคำก็จะสามาถดันตัวเองเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง….หรือไม่ ถ้าหลาย ๆ คนได้ตามข่าวเรื่องราคาหมูบ้านเรามาบ้างก็จะรับรู้ว่าเหตุผลหลักก็คือเรื่องของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู ทำให้ปริมาณเนื้อหมูเกิดภาวะขาดตลาด ซึ่งจริง ๆ แล้วนั่นเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งครับ แต่ถ้าเราสังเกตราคาสินค้าอื่น ๆ ด้วยเราก็จะพบว่า ราคามันก็ขึ้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นราคารถไฟฟ้า ราคาทางด่วน ราคาผัก ราคาไข่ ฯลฯ เราอาจจะพูดได้เลยว่า 1 ปีที่ผ่านมาสินค้าแทบทุกชนิดมีราคาสูงขึ้นมาก สถานการณ์แบบนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกฎเหล็กสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวก่อนครับ สิ่งนั้นก็คือ Demand (ความต้องการ) และ Supply (ปริมาณ) อะไรที่มีความต้องการมากย่อมต้องมีราคาที่สูง เช่นกันกับ อะไรที่มีปริมาณน้อย ๆ ก็ต้องมีราคาสูงเช่นเดียวกัน กฎเหล็กนี้ใช้ได้กับทุกสินค้ารวมไปถึง เงิน (Money) ด้วยเช่นกัน ถ้าปริมาณเงินมีจำนวนมากขึ้นในระบบย่อมทำให้เงินด้อยค่าลง แล้วทุกคนรู้มั้ยครับว่าปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาระหว่างเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 มีปริมาณมากขนาดไหน.. ดูได้ที่รูปด้านล่าง รูปแสดงปริมาณเงินในระบบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น 2 ปีล่าสุด ( 2020-2021 ) หลังจากเกิด Covid-19 เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าจากปริมาณเงินทั้งหมดที่โลกสะสมมาก่อนเกิดวิกฤต Covid-19 ไม่ต้องแปลกใจเลยครับที่ราคาของทุกอย่างจะขึ้น ความจริงแล้วนั้นเราต้องบอกว่าเงินที่อยู่ในรูป Fiat (เงินที่เราใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น บาท ดอลลาร์ ยูโร) นั้นด้อยค่าลงมากกว่า และข่าวร้ายก็คือนี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้นอย่าคิดว่าการถือเงินสดในมือนั้นจะปลอดภัยในเมื่อมันกำลังด้อยค่าลงด้วยความเร็วสูงไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินใดก็ตาม และเมื่อถึงจุดที่ทุกคนเริ่มตระหนักได้ สิ่งแรกๆที่พวกเขานึกถึงและจะเอาเงินหนีเข้ามาย่อมต้องไม่พ้นทองคำซึ่งถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่พิสูจน์ตัวเองผ่านกาลเวลามากว่า 1000 ปีที่จะทำให้คุณป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่กำลังขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างแน่นอน น่าคิดนะครับว่า เมื่อมูลค่าของเงินเริ่มด้อยค่าลงเมื่อไหร่ ทองคำก็จะสามาถดันตัวเองเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง….หรือไม่ Intergold ที่มาบทความ:
เมื่อช่วงต้นปี 2564 มีการบอกว่าราคาสันคอหมูจะมีราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 200 บาท ทุกคนคงไม่เชื่อ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับราคาหมูและเกี่ยวอะไรกับทองคำ ถ้าหลาย ๆ คนได้ตามข่าวเรื่องราคาหมูมาบ้าง ก็จะรับรู้ว่าเหตุผลหลักก็คือ เรื่องของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู ทำให้ปริมาณเนื้อหมูเกิดภาวะขาดตลาด ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเพียงสาเหตุหนึ่ง แต่ถ้าสังเกตราคาสินค้าอื่น ๆ ด้วยจะพบว่า ราคาก็ขึ้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นราคารถไฟฟ้า ราคาทางด่วน ราคาผัก ราคาไข่ ฯลฯ อาจจะพูดได้เลยว่า 1 ปีที่ผ่านมาสินค้าแทบทุกชนิดมีราคาสูงขึ้นมาก สถานการณ์แบบนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ ก่อนอื่นต้องเข้าใจกฎเหล็กสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวก่อน สิ่งนั้นก็คือ Demand (ความต้องการ) และ Supply (ปริมาณ) อะไรที่มีความต้องการมากย่อมต้องมีราคาที่สูง เช่นกันกับอะไรที่มีปริมาณน้อย ๆ ก็ต้องมีราคาสูงเช่นเดียวกัน กฎเหล็กนี้ใช้ได้กับทุกสินค้ารวมไปถึง เงิน (Money) ด้วยเช่นกัน ถ้าปริมาณเงินมีจำนวนมากขึ้นในระบบย่อมทำให้เงินด้อยค่าลง แล้ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 มีปริมาณมากขนาดไหน ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2020-2021หลังจากเกิด Covid-19 เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าจากปริมาณเงินทั้งหมดที่โลกสะสมมาก่อนเกิดวิกฤต Covid-19 ไม่ต้องแปลกใจว่าราคาของทุกอย่างจะขึ้น ความจริงแล้วเงินที่อยู่ในรูป Fiat (เงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน) นั้นด้อยค่าลงมากกว่า และข่าวร้ายคือ มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้น อย่าคิดว่าการถือเงินสดในมือนั้นจะปลอดภัย ในเมื่อมันกำลังด้อยค่าลงด้วยความเร็วสูงไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินใดก็ตาม และเมื่อถึงจุดที่ทุกคนเริ่มตระหนักได้ สิ่งแรกๆ ที่พวกเขานึกถึงและจะเอาเงินหนีเข้ามาย่อมต้องไม่พ้นทองคำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่พิสูจน์ตัวเองผ่านกาลเวลามากว่า 1000 ปีที่จะทำให้คุณป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่กำลังขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างแน่นอน น่าคิดว่าเมื่อมูลค่าของเงินเริ่มด้อยค่าลงเมื่อไหร่ ทองคำก็จะสามาถดันตัวเองเป็นขาขึ้นได้อีกครั้งหรือไม่
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0