ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
3.44k
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
11
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Retail_52807
Retail
เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับ"เกียรติยศของสมบัติ: King Power คว้ารางวัล Duty Free อันดับ 1 ของโลก"
null
ในวันที่ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ บรรยากาศในห้องประชุมแต่ละซุ้มสีสันเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความรู้สึกของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ การประกาศผลรางวัลจาก World Travel Awards ที่เป็นแหล่งสืบค้นแห่งยอดเยี่ยมของโลกในด้านการท่องเที่ยวและการเดินทาง สร้างความตื่นเต้นในใจของนักท่องเที่ยวและผู้รับใช้บริการท่องเที่ยวทั่วโลกต่อไป และในปีนั้น ปี 2018 มีเหตุการณ์ที่สำคัญอันหนึ่ง ที่ประทับใจอย่างมาก ที่ถูกประกาศในงานนี้ นั่นก็คือการคว้ารางวัล Duty Free อันดับ 1 ของโลก ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างยิ่งว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการเดินทางโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ในรายการ World Travel Awards ที่จัดขึ้นในปี 2018 King Power บริษัทชั้นนำที่ให้บริการสินค้าดีดูที่สุดแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทย ได้รับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ด้วยบริการที่มีคุณภาพและหลากหลายสินค้าที่น่าสนใจ เมื่อประกาศผลรางวัล คณะกรรมการได้ประกาศชื่อ "King Power" อย่างเป็นทางการในฐานะเป็นผู้ชนะในสาขา "Duty Free อันดับ 1 ของโลก" ซึ่งทำให้คณะผู้บริหารและพนักงานทุกคนในบริษัทมีความสุขและภาคภูมิใจอย่างยิ่ง "ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากความพยายามและการทำงานร่วมกันของทุกคนในทีม King Power" นายภูริช มหาเศรษฐี, ประธานบริษัท King Power กล่าวอย่างเต็มไปด้วยความท้อแท้ "เราขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้ และเรายังสัญญาว่าจะพัฒนาและสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับนักท่องเที่ยวอย่างไม่หยุดยั้ง" การคว้ารางวัลนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันความสามารถและคุณภาพของ King Power เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการเสริมความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่อการเลือกใช้บริการของ King Power อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทนี้ยังคงเป็นตัวแทนที่สำคัญและเชื่อถือได้ของประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวและการเดินทางโลกอย่างไม่ต้องสงสัยในอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52810
Retail
บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ระบุว่า ภายในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตกี่เปอร์เซ็นต์
1. 50% 2. 75% 3. 25% 4. 90%
ข้อที่ถูกต้องคือ 3. เพราะว่า จากบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ระบุว่า ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีพื้นที่สำนักงานให้เช่า เกรด A หรือพื้นที่เช่าซึ่งมีระดับราคาตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปต่อตารางเมตรต่อเดือน เพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านตารางเมตร หรือเติบโต 25% จากปัจจุบันมีพื้นที่รวมกว่า 4.1 ล้านตารางเมตร ส่วนพื้นที่ค้าปลีกจะมีเพิ่มขึ้นอีก 240,0000 ตารางเมตร จากปัจจุบันมีพื้นที่รวม 660,000 ตารางเมตร สำหรับพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้นอีก 240,000 ตารางเมตรนั้น เป็นการพัฒนาพื้นที่ของหลายโครงการ อาทิ โครงการวิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน ,มาร์เก็ต เพลส ดุสิต, เดอะ มาร์เก็ต บาย แพลทินัม, เซ็นทรัล วิลเลจ, เอกมัย มอลล์, สีลม เซ็นเตอร์, สามย่านมิตรทาวน์ และไซม่อน เอาท์เล็ทมอลล์ เป็นต้น ส่วนพื้นที่สำนักงานให้เช่า ก็จะเป็นการพัฒนาพื้นที่ของโครงการสินธร วินเลจ, วัน แบงคอก, เดอะ ฟอเรสเทียส์ และเดอะ ยูนิคอน พญาไท เป็นต้น สิ่งที่ทำให้ดีเวลลอปเปอร์จำนวนมาก
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52826
Retail
Apple Store สาขาห้องสมุด Carnegie มีจุดเด่นอย่างไร
null
นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ห้องสมุด Carnegie ได้กลายเป็นอาคารสาธารณะแห่งแรกของ Washington, D.C. ตั้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะขนาดเล็กของตัวเองที่ถูกเรียกว่า Mount Vernon Square ห้องสมุดมีพื้นที่ใช้สอย 63,000 ตารางฟุต ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Beaux Arts ใจกลางเมือง หลายสิบปีที่ผ่านมาห้องสมุดของ D.C. ได้สะสมหนังสือเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ มากกว่า 500,000 เล่ม กระทั่งช่วงต้นทศวรรษ 1970 Washington Public Library ได้เข้ามามีบทบาทและรับหน้าที่บรรณานุกรมของเมืองแทน ตั้งแต่นั้นมาอาคารห้องสมุด Carnegie กลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าซะเป็นส่วนใหญ่ ผู้เช่าเพียงรายเดียวของสถานที่แห่งนี้ คือ สมาคมประวัติศาสตร์แห่งรัฐวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเข้ามาตั้งที่ทำการออฟฟิศในปี 1999 แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ Apple กำลังจะเปิดร้าน Flagship store สาขาล่าสุดใน Carnegie Library และนั่นจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจาก Apple ถึงช่วงเวลาที่ร้านสาขาดังกล่าวจะเปิด แต่ข่าวล่าสุดที่มีการแชร์ในระหว่างการประชุมสภา D.C เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คาดว่าร้าน Apple สาขานี้ น่าจะทันเปิดในช่วงฤดูหนาวปี 2018 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นรายแรกในประวัติศาสตร์รายนี้ จะจัดตั้งร้านค้าขึ้นในพื้นที่หลักของห้องสมุด และสมาคมประวัติศาสตร์จะย้ายตัวเองไปยังชั้นอื่นของอาคาร ในขณะที่ด้านนอกของอาคารอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการฟื้นฟูด้วยการเพิ่มเพียงป้ายบริษัท (Apple สัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับโครงสร้างภายนอกมากกว่านั้น) ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดมากกว่าน่าจะเกิดขึ้นที่ด้านใน Apple ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ แต่บทความในวอชิงตันโพสต์ที่ตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 2017 กล่าวไว้ว่าหลังจากที่ Apple ได้เช่าซื้อห้องสมุด Carnegie เป็นระยะเวลา 10 ปี ก่อให้เกิดการคาดเดาถึงวิธีการปรับแต่งภูมิทัศน์ภายในเพื่อผสานความเป็น Apple Store กับอาคารดั่งเดิมหลายประการ เช่น พื้นที่ขายที่มีต้นไม้เรียงรายแบบ Genius Grove แทน Genius Bar ตามปกติ นอกจากนี้ยังมีการปรับทำให้มีพื้นที่ว่างสำหรับทำเป็นพื้นที่ขายและติดตั้งจอภาพสำหรับฉายวิดีโอขนาดใหญ่
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52840
Retail
ประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการขยาย @cosme store เข้ามา คือประเทศใด
เดินหน้าสร้างความแข็งแรงให้กับพอร์ตธุรกิจค้าปลีกในเครืออย่างต่อเนื่องด้วยการขยาย Cosmetic Specialty Store เบอร์ 1 จากญี่ปุ่น เข้ามาเติมในพอร์ตโฟลิโอ หลังจากก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จในการปั้นแบรนด์ Specialty Store ให้เป็นที่รู้จักและสร้างความคุ้นเคยในกลุ่มลูกค้าคนไทยหลากหลายแบรนด์ อาทิ the Loft ที่สยามพิวรรธน์เป็นผู้นำเข้ามาบุกเบิกตลาดในประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งในปีที่ผ่านมาได้นำธุรกิจ ALAND ร้านค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติเกาหลี เข้ามาขยายการเติบโตในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมี ODS ร้านขายของแต่งบ้านมัลติแบรนด์ และ CAZH ร้านเครื่องแต่งกายลำลองในรูปแบบมัลติแบรนด์สโตร์เช่นกัน และความเคลื่อนไหวล่าสุดของสยามพิวรรธน์ในปีนี้ ที่ได้เดินหน้าเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ไอสไตล์ อิงก์ (istyle Inc.) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศญี่ปุ่น และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ @cosme (แอ็ทคอสเม่) สื่อออนไลน์ที่ให้บริการรีวิวและจัดอันดับผลิตภัณฑ์ (Ranking) ที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุดของญี่ปุ่น รวมทั้งยังเป็นเจ้าของเครือข่ายร้าน Cosmetic Multi-brands Store ชื่อ @cosme store ที่มีสาขากระจายไปทั้งในญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และล่าสุดคือประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการขยาย Store มาเป็นลำดับที่ 5 และเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลด้านธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มสยามพิวรรธน์ และไอสไตล์ อิงก์ ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ “บริษัท ไอสไตล์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด” เพื่อบริหารธุรกิจ @cosme store ในประเทศไทย ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยฝั่งไอสไตล์จากญี่ปุ่นถือหุ้นในสัดส่วน 70% และกลุ่มสยามพิวรรธน์ถือหุ้น 30% และจะเปิดให้บริการสาขาแรกในประเทศที่ไอคอนสยาม ราวเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมเป้าหมายการขยายธุรกิจในประเทศไทย ด้วยการเปิดสาขาจำนวน 5 แห่ง ภายใน 3 ปี หญิงไทยใจถึง จ่ายได้เพื่อความงาม Mr. Kei Sugawara CEO & SVP of Global, istyle Inc. และ Director, istyle Retail (Thailand) Co.,Ltd กล่าวถึง การตัดสินใจขยายธุรกิจไปในต่างประเทศของกลุ่มไอสไตล์ จะวัดจาก KPI สำคัญใน 2 ปัจจัยหลัก คือ พิจารณา GDP ต่อหัวของคนในพื้นที่ที่จะขยายธุรกิจเข้าไป โดยจะวัดเป็นรายเมืองที่จะโฟกัสมากกว่าภาพรวมทั้งประเทศ รวมทั้งความสามารถด้านกำลังซื้อเครื่องสำอางของคนในพื้นที่ ซึ่งใน กทม. ถือว่าผ่านทั้ง 2 ปัจจัยสำคัญนี้ ทำให้กลุ่มไอสไตล์ตัดสินใจเลือกมาเปิดสโตร์ในไทยเป็นที่แรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และวางไว้ให้เป็นพื้นที่ Priority ในการทำตลาดในแถบตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย “ใน กทม. GDP ต่อหัวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี เพราะเทียบเท่าได้กับ GDP ของสิงคโปร์ ขณะที่ปริมาณการซื้อเครื่องสำอางในแต่ละเดือนของคนไทยถือว่ามากกว่าการซื้อของคนสิงคโปร์โดยเฉลี่ยถึง 1.5 เท่า และสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับเทรนด์ในตลาดเครื่องสำอางที่มีการแตกเซ็กเม้นต์แยกย่อยค่อนข้างมากและมีทิศทางเติบโตได้ดี สะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยที่ได้รับการ Educated ในเรื่องของการดูแลตัวเองซึ่งเป็นโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี” ด้านคุณอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง เพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ของสยามพิวรรธน์ ทำให้พยายามนำเสนอคอนเซ็ปต์ที่แปลกและแตกต่างให้กับธุรกิจค้าปลีกของไทยอยู่เสมอ โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ต้องไม่เหมือนใคร ต้องเป็นเทรนด์ และต้องตรงกับตัวตนในความเป็นสยามพิวรรธน์ โดยทุกอย่างต้องขับเคลื่อนภายใต้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ด้วย รวมทั้งให้ความสำคัญกับการหาพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นตัวจริงในแต่ละธุรกิจเพื่อมาส่งเสริมความแข็งแรงใหแก่กัน โดยเฉพาะการแข่งขันในยุคปัจจุบันที่ไม่สามารถจะเติบโตได้ด้วยตัวคนเดียว การมีพันธมิตรที่เข้มแข็งและมีวิสัยทัศน์ตรงกันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสร้างให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น “istyle Inc. เป็นบริษัทที่มีแนวคิดสมัยใหม่และสามารถประสบความสำเร็จได้ในระดับสูง และมี Unique ในคอนเซ็ปต์สำหรับการทำธุรกิจด้วยการเชื่อมโยงแพลตฟอร์มระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ด้วยการใช้ฐานข้อมูลจากฝั่งออนไลน์ มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการสินค้าในแต่ละสโตร์ตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วและสามารถขยายธุรกิจทั้งในรูปแบบ E-commerce และ Retail Store ไปได้ในหลายประเทศ ซึ่งการร่วมทุนกับกลุ่ม istyle Inc.ในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับสยามพิวรรธน์ในการเติบโตด้วยการ Diversify เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือไปจากการพัฒนาโครงการที่เป็น Worldclass Destination เป็นหลัก” Seamless + Data Analytic สร้างจุดแข็งและแตกต่าง สำหรับพาร์ทเนอร์รายล่าสุด ในกลุ่ม Cosmetic Multi-brands Store ของสยามพิวรรธน์ มีความแตกต่างจากร้านมัลติแบรนด์ทั่วไป โดยเฉพาะในตลาดเครื่องสำอางที่แม้ว่าจะมีร้านที่เป็นร้านมัลติแบรนด์มาก่อนแต่ก็จะมีการแยกเซ็กเม้นต์ระหว่างแบรนด์แมสและไฮเอนด์อย่างชัดเจน ตาม Positioning ที่แต่ละสโตร์วางจำแหน่งของแบรนด์ตัวเองเอาไว้ โดยที่ยังไม่เคยมีสโตร์ใดที่ภายในร้านจะมีทั้งสินค้าในระดับ Luxury Brand และ Mass Brand ที่มีราคาหลากหลายตั้งแต่ 100 เยน ไปจนถึงหลายหมื่นเยน อยู่ภายในพื้นที่เดียวกัน รวมทั้งยังไม่ลืมที่จะแบ่งพื้นที่ราว 20% ของร้านเป็นส่วนของ Consult เพื่อให้ลูกค้าได้มาทดลองใช้สินค้าหรือทดลองแต่งหน้า เพื่อเติมเต็มในเรื่องของ Experience ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจรีเทลในปัจจุบันด้วยเช่นกัน ขณะที่ @cosme store จะเน้นการบริหารสินค้าภายในร้านตาม Customer Need Base โดยยึดจากการวิเคราะห์ Big Data ที่มีอยู่ในฐานข้อมูลที่เก็บรวมรวมจากทุกแพลตฟอร์มที่มีอยู่ทั้งข้อมูลการรีวิว และความคิดเห็นต่างๆ บนเว็บไซต์ @cosme การสั่งซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซของผู้บริโภคบน @cosme shopping และการซื้อสินค้าผ่านรีเทลสโตร์อย่าง @cosme store ซึ่งปัจจุบันเติบโตจนกลายเป็น Beauty Database ที่ทรงอิทธิพลและใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยผู้หญิงญี่ปุ่น 75% ในกลุ่มเป้าหมายอายุ 20-39 ปี จะเข้ามาใช้บริการทุกเดือน และ 85% ที่มีความเชื่อมั่นรีวิวต่างๆ ที่อยู่บนแพลตฟอร์มจนนำมาสู่การตัดสินใจซื้อในที่สุด โดย Data ขนาดใหญ่ที่เก็บอยู่บนแพลตฟอร์มของ @cosme ประกอบด้วย ข้อมูลจากฝั่ง Users ที่มีไม่ต่ำกว่า 16 ล้านราย รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าต่างๆ มากกว่า 3.2 แสนล้านข้อมูล ซึ่งครอบคลุมแบรนด์เครื่องสำอางทั้งหมดของญี่ปุ่น รวมทั้งจำนวนการรีวิวสินค้าความงามต่างๆ มากกว่า 14 ล้านรีวิว ที่ต้องถือว่ามากที่สุดในญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน โดยข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะเป็นต้นทางในการนำไปทำงานและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการสินค้าภายในร้านให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในปัจจุบันการเก็บข้อมูลต่างๆ ไม่ได้มีเพียงข้อมูลของผู้บริโภคญี่ปุ่นเท่านั้น แต่จะมีข้อมูลจากหลายๆ ประเทศที่กลุ่มไอสไตล์อิงก์ขยายธุรกิจเข้าไป และทำการรวบรวมข้อมูลจากทุกแห่งมาเก็บไว้บนฐานข้อมูลเดียวกันเพื่อสร้าง Global One Database ส่งผลให้ @cosme กลายเป็นแพลตฟอร์ม Beauty Database ที่มีการรวบรวมข้อมูลเครื่องสำอางและความงามจากทั่วโลกเอาไว้มากที่สุดก็ว่าได้ “เราเลือกที่จะนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภคในแต่ละที่ด้วยการทำงานบนพื้นฐานข้อมูล ตามการจัด Ranking สินค้าตามความนิยมของผู้บริโภคในทุกๆ Category และเลือกสินค้าที่เป็น Top Ranking เพื่อนำมาตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกความต้องการ เนื่องจาก ผู้บริโภคมีความต้องการใช้สินค้าหลากหลาย แม้แต่ผู้บริโภคคนเดียวกันก็ชื่นชอบสินค้าแตกต่างแบรนด์กันไปเมื่อเปลี่ยนหมวดสินค้า รวมทั้งมีสินค้าที่ชื่นชอบทั้งสินค้าในกลุ่มแมสรวมทั้งลักซ์ชัวรี่ ทำให้เราพยายามจะสร้างแพลตฟอร์มให้เป็น One Stop of Beauty Item อย่างแท้จริง และนำหลักการเดียวกันนี้ไปใช้กับทุกแพลตฟอร์มทั้งในช่องทางออนไลน์รวมทั้งในออฟไลน์สโตร์” ประเทศไทย Priority Market of Southeast Asia สำหรับประเทศไทย เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการขยาย @cosme store เข้ามา โดยเลือกเปิดสาขาแรกในไอคอน สยาม หนึ่งใน Worldclass Destination ที่เตรียมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี ภายใต้งบลงทุนเฉพาะการก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ขณะที่เล็งขยายสาขาสองไว้ในปีต่อไปที่สยามเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งย่านที่มีกำลังซื้อสูงและรองรับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติหมุนเวียนในแต่ละวันไม่ต่ำกว่าหลักแสนคน กลุ่มทุนญี่ปุ่นมองว่า ตลาดด้านความงามในประเทศไทยมีขนาดใหญ่ ขณะที่การรับรู้ถึงแบรนด์เครื่องสำอางญี่ปุ่น และความต้องการซื้อเครื่องสำอางญี่ปุ่นมีอยู่สูง ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ญี่ปุ่นในตลาดเครื่องสำอางยังมีอยู่น้อยที่ราว 2% เท่านั้น ขณะที่ในหลายๆ ประเทศทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวันที่กลุ่มไอสไตล์ขยายธุรกิจเข้าไปเริ่มมีสัดส่วนแบรนด์ญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น โดยฮ่องกงมีสัดส่วน 16% สิงคโปร์ 12% และไต้หวันประมาณ 10% ตามลำดับ โดยเชื่อว่ามีโอกาสสูงในการเพิ่มยอดขายสินค้าความงามจากแบรนด์ญี่ปุ่นในตลาดประเทศไทยให้มีสัดส่วนเพิ่มสูงมากขึ้นได้เช่นเดียวกัน “สภาพตลาดประเทศไทยในขณะนี้ใกล้เคียงกับตลาดในญี่ปุ่นเมื่อราว 11 ปีก่อน ที่เราเริ่มเปิดสโตร์สาขาแรกในปี 2007 จนปัจจุบันขยายมาได้ถึง 25 สาขาในญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศไทยมีความพร้อมกว่าโดยเฉพาะผู้หญิงไทยที่ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานนอกบ้าน รู้จักแต่งตัวและรู้จักการดูแลตัวเอง แต่ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นแม่บ้านจึงมักไม่ได้แต่งหน้าหรือแต่งตัวมากเท่ากับผู้บริโภคคนไทย จึงเชื่อว่ามีโอกาสที่ประเทศไทยจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญ โดยปัจจุบัน @cosme Store มีสาขาในต่างประเทศ 5 แห่ง ทั้งในฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งทำรายได้ให้กรุ๊ปไม่ถึง 10% ขณะที่ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีจำนวนสโตร์ในต่างประเทศราว 50-60 แห่ง และเพิมสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศได้กว่า 20-30%” สำหรับ @cosme store ในประเทศไทย จะเป็นรูปแบบแฟลกชิพสโตร์ มีพื้นที่ขนาดใหญ่ 300 ตารางเมตร ขณะที่ร้านทั่วไปจะมีพื้นที่ราว 200 ตารางเมตร โดยเบื้องต้นสินค้าภายในร้านจะเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นและสินค้าโกลบอลแบรนด์ที่ได้รับความนิยมรวมกันไม่ต่ำกว่า 5,000 – 6,000 SKUs รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในเทรนด์ที่ผู้บริโภคนิยมใช้ โดยยังคงใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้า เช่น การเก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวคนไทยที่เคยไปใช้บริการ หรือคอมเมนต์ต่างๆ ที่คนไทยเคยให้ข้อมูลไว้บนแพลตฟอร์มเดิม โดยในปีต่อไปจะมีการเพิ่มแพลตฟอร์ม @cosme สำหรับการเก็บข้อมูลของผู้บริโภคคนไทยโดยเฉพาะ และเป็นฐานในการพัฒนาธุรกิจในปีต่อๆ ไปให้มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับตลาดและผู้บริโภคคนไทยเพิ่มมากขึ้น ขณะที่เทรนด์เครื่องสำอางซึ่งเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในปัจจุบัน จะอยู่ในกลุ่ม Multi -Purpose คือมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานได้มากกว่าอย่างเดียว เช่น Wet Tissue ที่นิยมนำมาใช้ลบทำความสะอาดเครื่องสำอางก็มักจะเพิ่มมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวไปพร้อมกันในขั้นตอนเดียว ส่วน Category สินค้ายอดนิยมยังคงเป็นกลุ่มสกินแคร์และเมคอัพ โดยเฉพาะสกินแคร์ที่ทำยอดขายรวมได้สูงมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายโดยรวมทั้งแพลตฟอร์ม สำหรับยอดขายในปีบัญชีล่าสุดของกลุ่ม istyle Inc. สามารถทำยอดขายได้รวม 250 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 8,557 ล้านบาท ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงกว่า 50% พร้อมตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้อย่างก้าวกระโดดภายใน 3 ปี จะผลักดันยอดขายรวมให้ถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 17,000 ล้านบาท
ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการขยาย @cosme store เข้ามา โดยเลือกเปิดสาขาแรกในไอคอนสยาม หนึ่งใน Worldclass Destination ที่เตรียมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2561 ภายใต้งบลงทุนเฉพาะการก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ขณะที่เล็งขยายสาขาสองไว้ในปี 2562 ที่สยามเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งย่านที่มีกำลังซื้อสูงและรองรับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติหมุนเวียนในแต่ละวันไม่ต่ำกว่าหลักแสนคน กลุ่มทุนญี่ปุ่นมองว่า ตลาดด้านความงามในประเทศไทยมีขนาดใหญ่ ขณะที่การรับรู้ถึงแบรนด์เครื่องสำอางญี่ปุ่น และความต้องการซื้อเครื่องสำอางญี่ปุ่นมีอยู่สูง ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ญี่ปุ่นในตลาดเครื่องสำอางยังมีอยู่น้อยที่ราว 2% เท่านั้น ขณะที่ในหลายๆ ประเทศทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวันที่กลุ่มไอสไตล์ขยายธุรกิจเข้าไปเริ่มมีสัดส่วนแบรนด์ญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น โดยฮ่องกงมีสัดส่วน 16% สิงคโปร์ 12% และไต้หวันประมาณ 10% ตามลำดับ โดยเชื่อว่ามีโอกาสสูงในการเพิ่มยอดขายสินค้าความงามจากแบรนด์ญี่ปุ่นในตลาดประเทศไทยให้มีสัดส่วนเพิ่มสูงมากขึ้นได้เช่นเดียวกัน สภาพตลาดประเทศไทยใกล้เคียงกับตลาดในญี่ปุ่นเมื่อราว 11 ปีก่อนที่เริ่มเปิดสโตร์สาขาแรกในปี 2007 จนขยายมาได้ถึง 25 สาขาในญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศไทยมีความพร้อมกว่าโดยเฉพาะผู้หญิงไทยที่ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานนอกบ้าน รู้จักแต่งตัวและรู้จักการดูแลตัวเอง แต่ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นแม่บ้านจึงมักไม่ได้แต่งหน้าหรือแต่งตัวมากเท่ากับผู้บริโภคคนไทย จึงเชื่อว่ามีโอกาสที่ประเทศไทยจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญ โดยปัจจุบัน @cosme Store มีสาขาในต่างประเทศ 5 แห่ง ทั้งในฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งทำรายได้ให้กรุ๊ปไม่ถึง 10% ขณะที่ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีจำนวนสโตร์ในต่างประเทศราว 50-60 แห่ง และเพิมสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศได้กว่า 20-30% สำหรับ @cosme store ในประเทศไทย จะเป็นรูปแบบแฟลกชิพสโตร์ มีพื้นที่ขนาดใหญ่ 300 ตารางเมตร ขณะที่ร้านทั่วไปจะมีพื้นที่ราว 200 ตารางเมตร โดยเบื้องต้นสินค้าภายในร้านจะเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นและสินค้าโกลบอลแบรนด์ที่ได้รับความนิยมรวมกันไม่ต่ำกว่า 5,000 – 6,000 SKUs รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในเทรนด์ที่ผู้บริโภคนิยมใช้ โดยยังคงใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ การเก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวคนไทยที่เคยไปใช้บริการ หรือคอมเมนต์ต่างๆ ที่คนไทยเคยให้ข้อมูลไว้บนแพลตฟอร์มเดิม โดยในปี 2562 จะมีการเพิ่มแพลตฟอร์ม @cosme สำหรับการเก็บข้อมูลของผู้บริโภคคนไทยโดยเฉพาะ และเป็นฐานในการพัฒนาธุรกิจในปีต่อๆ ไปให้มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับตลาดและผู้บริโภคคนไทยเพิ่มมากขึ้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52843
Retail
นม – เบียร์เป็นตลาดที่กำลังมีเศรษฐกิจเป็นอย่างไรในประเทศเวียดนาม ?
เป็นประจำทุกปี Kantar Millward Brown บริษัทวิจัยด้านการตลาดในเครือ WPP ได้เปิดผลวิจัย “BrandZ 100 Most Valuable Global Brands” หรือ “100 อันดับแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก” ซึ่งผลการวิจัยล่าสุดในปี 2018 ที่ผ่านมา ยังพบว่า 4 อันดับแรกของแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุด ยังคงเป็นแบรนด์ในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีเจ้าของเป็นชาติตะวันตก ได้แก่ Google – Apple – Amazon– Microsoft แต่มีประเด็นที่น่าสนใจและจับตามอง คือ การเข้ามาของแบรนด์ที่มาจากผู้ประกอบการจากเอเชียในลำดับที่ 5 คือ Tencent ที่นับเป็นแบรนด์ติดอันดับ Top 10 เป็นปีที่ 2 แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ยังมีแบรนด์ Alibaba ติดอันดับ 9 ด้วย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและการเติบโตของแบรนด์ในเอเชีย ที่ไม่ได้น้อยไปกว่าบรรดาชาติตะวันตกเลย และสามารถก้าวข้ามจากแบรนด์ระดับ Local และ Regional ไปสู่ระดับ Global Brand ได้อย่างสวยงาม ไม่เพียงแต่แบรนด์ที่ติดอยู่ในทำเนียบ 100 แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกเท่านั้นที่น่าจับตามอง แต่ยังมีแบรนด์เอเชียอีกมากมายที่เป็นดาวรุ่งและกำลังเติบโต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง จากความชื่นชอบและเป็นที่นิยมจากผู้บริโภคทั้งในภูมิภาคและระดับโลก ตัวอย่างแบรนด์น่าสนใจของแต่ละประเทศในเอเชีย ผู้นำเกมออนไลน์-เหล้าพรีเมียมจากจีน แบรนด์จากแดนมังกรแห่งนี้ ติดทำเนียบแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกหลายแบรนด์ แต่ที่เด่นชัดคือแบรนด์ด้านเทคโนโลยีที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยี ของเอเชียไม่ได้ด้อยกว่าชาติตะวันตกเลย อาทิ แบรนด์ “Tencent” ที่ติดอันดับ 5 มีมูลค่าแบรนด์ 179,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา Tencent คือ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ที่หลายคนคุ้นเคยกันดีอย่าง WeChat ที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 1,000 ล้านคน และเป็นเจ้าของเกม RoV ที่คอเกมเมอร์รู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันเติบโตเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ และไม่เพียงแต่จะมุ่งเน้นการทำตลาดเกมออนไลน์เท่านั้น แต่ยังขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องด้วย อาทิ การลงทุนเพิ่มมากขึ้นทั้งกลุ่ม วิดีโอ ระบบจ่ายเงิน คลาวด์ AI และร้านค้าปลีกอัจฉริยะ ที่จะเสริมสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับบริษัท ปัจจุบันมูลค่ากิจการ Tencent อยู่ราว 5.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 มีรายได้รวม 10,161 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 51% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 3,309 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 105% นอกจากนี้ยังมีประเทศจีนยังมีแบรนด์ “Moutai” แบรนด์เหล้าพรีเมียมของจีน ที่มีมูลค่าแบรนด์อันดับ 1 ของโลก สูงถึง 16,983 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในเครือ Kweichow Moutai ยังมีเหล้าแบรนด์ Xi ที่น่าจับตามองเช่นเดียวกัน รวมไปถึง บริษัทผลิตสินค้าทางการเกษตร ที่มีแผนผลักดันเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แบรนด์แฟชั่นญี่ปุ่นที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าคนทั่วโลก Uniqlo แบรนด์สินค้าแฟชั่นสัญชาติญี่ปุ่น อายุเพียง 20 ปีแต่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคทั้งชาวไทยและทั่วโลกด้วย จากจำนวนสาขากว่า 958 สาขา เฉพาะในยุโรปมีจำนวนกว่า 36 สาขา และในสหรัฐอเมริกาอีกกว่า 45 สาขา ส่วนในญี่ปุ่นมีจำนวนสาขามากกว่า 837 แห่ง ที่น่าสนใจคือยอดขายไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2561 (ก.ย.-พ.ย. 2560) จากต่างประเทศสูงกว่า 74,100 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 31% แสดงถึงความนิยมที่เพิ่มต่อเนื่องทั่วโลก ความสำเร็จของ Uniqlo ที่ผ่านมา หลักๆคือ คุณภาพความหลากหลายสินค้า ในระดับราคาที่เอื้อมถึงได้ และที่สำคัญคือ “นวัตกรรม” เครื่องสวมใส่ต่างๆที่ออกมาตอบโจทย์ผู้คนอย่างต่อเนื่อง เช่น ชุด Heat Tech และ Ultra Light Down นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ทางออนไลน์เป็นตัวเร่งยอดขายให้เพิ่มมากขึ้นอีกมหาศาล อีกหนึ่งแบรนด์ธุรกิจค้าปลีกที่น่าสนใจในญี่ปุ่นคือ Family Mart ร้านสะดวกซื้อที่ขยายธุรกิจออกไปในอีกหลายประเทศ อาทิ ประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย จีน สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม รวมกว่าสาขาทั้งหมดกว่า 15,000 สาขา ในญี่ปุ่นก็มีขนาดความใหญ่เป็นอันดับ 2 และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเติบโต เป็นเพราะมีการปรับตัวเองให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน Family Mart ไม่เพียงดำเนินธุรกิจรีเทลเท่านั้น แต่ยังเสริมสินค้าและบริการที่ถือว่าเป็น “ไลฟ์สไตล์” ของคนยุคใหม่ด้วย อาทิ การรับส่งพัสดุ 24 ชั่วโมง ที่ร่วมมือกับ Kerry Express ในประเทศญี่ปุ่นมีการเพิ่มบริการซัก-อบ-รีด รวมถึงการเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นสถานที่นั่งทำงาน บริการ Wi-fi เป็นต้น ถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่จะเติบโตไปกับวิถีการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน แบรนด์อินเดีย เบอร์ 3 เจ้าพ่อเครือข่ายมือถือ อินเดียถือเป็นหนึ่งประเทศในเอเชียที่อยู่ในช่วงยุคทองของการเติบโต จากความได้เปรียบของโครงสร้างประชากรที่อยู่ในวัยทำงานจำนวนมาก มาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก อินเดีย มีผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ภายใต้แบรนด์ “Airtel” ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก ภายใต้การบริหารงานของ Bharti Airtel Ltd. ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ใน 20 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียใต้และแอฟริกา ปัจจุบันธุรกิจให้บริการเครือข่ายมือถือนับวันมีแต่จะเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง จากรายได้ครัวเรือนและจำนวนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อและความต้องการใช้โทรศัพท์มือถือและบริการต่างๆ บนมือถือเพื่อความสะดวกสบายในชีวิตมีมากขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้ทั้งผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ และผู้ให้บริการเครือข่าย ต่างมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากนี้ในอินเดียยังมีธุรกิจที่น่าสนใจอีกหนึ่งธุรกิจ คือ การผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าคอนซูเมอร์ (Consumer Product ) เพราะจำนวนประชากรที่มีอยู่กว่า 1,334 ล้านคน (มากเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน) ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และโอกาสทางการตลาดมหาศาลของธุรกิจ Consumer Product ตัวอย่างเช่น Godrej Consumer Products Ltd. คือผู้ผลิต Consumer Product รายใหญ่สุดของอินเดีย มีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ใช้ในบ้าน และเครื่องสำอาง ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำตลาดในแต่ละกลุ่มสินค้า เป็นเพราะการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบครบวงจร และการจัดทำแคมเปญอย่างต่อเนื่อง นอกจากทำตลาดในอินเดียแล้ว Godrej Consumer Products Ltd. ยังเข้าไปทำตลาดและจัดจำหน่ายอยู่ในอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ชิลี อาร์เจนติน่า อาฟริกา ศรีลังกา ยุโรป อเมริกา และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น โดยมีรายได้รวมกว่า 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นม – เบียร์ เครื่องดื่มกำลังโตในเวียดนาม สำหรับประเทศเวียดนาม ถือเป็นตลาดที่กำลังมีเศรษฐกิจเติบโต จากการเข้าไปลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในหลากหลายธุรกิจ เพราะมีจุดแข็งในเรื่องของแรงงานที่มีจำนวนมาก ที่ยังมีต้นทุนค่าแรงไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย ทำให้กลายเป็นฐานการผลิตสินค้าของแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก รวมถึงการผลักดันโครงสร้างเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หนึ่งในสินค้าที่โตไปพร้อมกับเศรษฐกิจคือผลิตภัณฑ์จากนม อย่างแบรนด์ Vinamilk แบรนด์ผลิตภัณฑ์จากนมรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ของ Vietnam Dairy Products JSC บริษัทที่มี market cap ใหญ่ที่สุดในตลาดเวียดนาม ด้วยขนาดกว่า 3.3 แสนล้านบาท และมีการส่งออกผลิตภัณฑ์นมไปทำตลาดใน 43 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะในอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย กลยุทธ์ของ Vinamilk ที่ช่วยทำให้มียอดขายและตลาดอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เกิดจากการใช้นวัตกรรมมาพัฒนาสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์นมออแกนิค การมีสินค้าผลิตจากนมหลากหลายชนิด และมีฟาร์มผลิตโคนมเป็นของตนเอง ประกอบกับกระแสความนิยมของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ที่หันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ทำให้บริษัทมีโอกาสสร้างการเติบโตตามพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแต่เครื่องดื่มประเภทนมเท่านั้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดี แต่ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตจากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ที่นิยมการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและคนรู้ใจ ทำให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เติบโตลดลงเลย และเวียดนามก็มีแบรนด์ Saigon Beer ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวเวียดนามอย่างสูง ภายใต้การผลิตและจัดจำหน่าย Saigon Beer Alcohol Beverage Crop. หรือ SABECO ซึ่งเป็นของรัฐบาลเวียดนาม ล่าสุดในช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้เปิดประมูลขายหุ้นของโรงเบียร์รัฐบาลแห่งนี้ โดยผู้ชนะการประมูลไม่ใช่ใครที่ไหน คือ บริษัทในตระกูล “สิริวัฒภักดี” ของเจ้าพ่อเบียร์ช้าง “เจริญ สิริวัฒนภักดี” นั่นเอง ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 160,000 ล้านบาท ความน่าสนใจของตลาดเบียร์เวียดนาม เป็นเพราะฐานประชากรจำนวนมาก และเป็นตลาดเบียร์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2016 เวียดนามมีการบริโภคเบียร์ในระดับ 6,500 ล้านลิตรเลยทีเดียว นอกจากนี้ SABECO ยังมีแบรนด์เบียร์ 333 ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 40% ในเวียดนามอีกหนึ่งแบรนด์ด้วย จึงนับเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตจากการเป็นผู้นำตลาดและเป็นแบรนด์ยอดนิยมของผู้บริโภค จะเห็นได้ว่าทั้งไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ ธุรกิจ และ ตลาดในเอเชียยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล ขณะที่ภูมิภาคอื่นๆยังคงทรงตัว ดังนั้นเอเชียจึงเป็นที่หมายปองของนักลงทุนจากทั่วโลก สำหรับนักลงทุนชาวไทยที่ต้องการมีส่วนร่วมไปกับการเติบโตของเอเชีย สามารถเลือกลงทุนกับกองทุนของ บลจ.กรุงศรี ที่มีกองทุนที่ลงทุนในเอเชียหลากหลายให้เลือก ตัวอย่างกองทุนที่น่าสนใจของบลจ.กรุงศรี ที่ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเอเชีย กองทุนเปิดกรุงศรีเอเชียอินคัมเฮดจ์ (KFAINCOM) เป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Schroder Asian Income Fund ที่มีกลยุทธ์เน้นไปที่การสร้างผลตอบแทนในรูปแบบรายได้ประจำ หรือให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ หุ้น หรือ REITs ในภูมิภาคเอเชีย ที่มีศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง การจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่ยืดหยุ่น กระจายการลงทุนไปในหลายรูปแบบนี้ ทำให้ลดความเสียงและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในระยะยาว กองทุนเปิดกรุงศรีเกรทเทอร์ไชน่าอิควิตี้เฮดจ์ปันผล (KF-HCHINAD) ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ First State Greater China Growth Fund เป็นโอกาสให้เข้าถึงการเติบโตของ 3 ตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน ไต้หวัน ซึ่งมีแบรนด์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก และ ฮ่องกง เขตการปกครองที่มีความเจริญก้าวหน้าและความมั่งคั่งสูง และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลกด้วย กองทุนเปิดกรุงศรีเจแปนอิควิตี้อินเด็กซ์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ (KF-HJPINDX) ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Nikkei 225 Exchange Traded Fund ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในกองทุนดัชนีที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น บริหารโดย Nomura AM ที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี Nikkei 225 ซึ่งเป็นดัชนีชั้นนำของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทำให้สมารถเข้าถึงการลงทุนใน 225 บริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีก อาทิ แฟลมิลี่ มาร์ท, Fast Retailing กลุ่ม IT อาทิ Softbank, KDDI Corp กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ Fanuc Corp, Kyocera และกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ Daikin เป็นต้น กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้ (KF-INDIA) ลงทุนในกองทุน First State Indian Subcontinent Fund (Class III USD) ซึ่งจะเน้นคัดเลือกหุ้นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน โปร่งใส โดยเฉพาะหุ้นที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง เช่น บริษัทเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน ธนาคารเอกชนชั้นนำ บริษัทส่งออก และที่กำลังฟื้นตัวมีกำไร จึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาวไปกับการเติบโตของอินเดีย นอกจากตัวอย่างกองทุนเหล่านี้แล้ว ยังมีกองทุนอื่นๆ ที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้าไปลงทุนในแบรนด์ชั้นนำของเอเชียที่มียอดขายและกำไรแข็งแกร่ง ทำให้โอกาสรับผลตอบแทนดีๆ จากเงินลงทุนของเรากว้างขี้น ไม่จำกัดอยู่แต่ตลาดหุ้นไทยบริษัทไทยเท่านั้น สามารถสอบถามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี จำกัด โทร. 0-2657-5757 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คำเตือน: ผลการดำเนินการในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และ/หรือการเมืองในประเทศซึ่งกองทุนหลักได้ลงทุน หมายเหตุ: KF-HCHINAD: ลงทุนในกองทุนหลัก First State Greater China Growth Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ระดับความเสี่ยง 6 – สูง ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน KF-HJPINDX: ลงทุนในกองทุนหลัก Nikkei 225 Exchange Traded Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ระดับความเสี่ยง 6 – สูง ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน KF-INDIA ลงทุนในกองทุนหลัก First State Indian Subcontinent Fund (Class III USD) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ระดับความเสี่ยง 6 – สูง ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน KFAINCOM-A / KFAINCOM-R ลงทุนในกองทุนหลัก Schroder Asian Income Fund (Class X (SGD)) โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ระดับความเสี่ยง 5 – ปานกลางค่อนข้างสูง ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (KFAINCOM-R การจ่ายผลตอบแทนของกองทุนขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก ซึ่งอาจมีโอกาสที่นักลงทุนจะไม่ได้รับผลตอบแทนในบางช่วงเวลา) [Advertorial] อ้างอิงจาก
สำหรับประเทศเวียดนาม ถือเป็นตลาดที่กำลังมีเศรษฐกิจเติบโต จากการเข้าไปลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในหลากหลายธุรกิจ เพราะมีจุดแข็งในเรื่องของแรงงานที่มีจำนวนมาก ที่ยังมีต้นทุนค่าแรงไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย ทำให้กลายเป็นฐานการผลิตสินค้าของแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก รวมถึงการผลักดันโครงสร้างเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หนึ่งในสินค้าที่โตไปพร้อมกับเศรษฐกิจคือผลิตภัณฑ์จากนม อย่างแบรนด์ Vinamilk แบรนด์ผลิตภัณฑ์จากนมรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ของ Vietnam Dairy Products JSC บริษัทที่มี market cap ใหญ่ที่สุดในตลาดเวียดนาม ด้วยขนาดกว่า 3.3 แสนล้านบาท และมีการส่งออกผลิตภัณฑ์นมไปทำตลาดใน 43 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะในอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย กลยุทธ์ของ Vinamilk ที่ช่วยทำให้มียอดขายและตลาดอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เกิดจากการใช้นวัตกรรมมาพัฒนาสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์นมออแกนิค การมีสินค้าผลิตจากนมหลากหลายชนิด และมีฟาร์มผลิตโคนมเป็นของตนเอง ประกอบกับกระแสความนิยมของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ที่หันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ทำให้บริษัทมีโอกาสสร้างการเติบโตตามพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแต่เครื่องดื่มประเภทนมเท่านั้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดี แต่ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตจากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ที่นิยมการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและคนรู้ใจ ทำให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เติบโตลดลงเลย และเวียดนามก็มีแบรนด์ Saigon Beer ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวเวียดนามอย่างสูง ภายใต้การผลิตและจัดจำหน่าย Saigon Beer Alcohol Beverage Crop. หรือ SABECO ซึ่งเป็นของรัฐบาลเวียดนาม ล่าสุดในช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้เปิดประมูลขายหุ้นของโรงเบียร์รัฐบาลแห่งนี้ โดยผู้ชนะการประมูลไม่ใช่ใครที่ไหน คือ บริษัทในตระกูล “สิริวัฒภักดี” ของเจ้าพ่อเบียร์ช้าง “เจริญ สิริวัฒนภักดี” นั่นเอง ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 160,000 ล้านบาท ความน่าสนใจของตลาดเบียร์เวียดนาม เป็นเพราะฐานประชากรจำนวนมาก และเป็นตลาดเบียร์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2016 เวียดนามมีการบริโภคเบียร์ในระดับ 6,500 ล้านลิตรเลยทีเดียว นอกจากนี้ SABECO ยังมีแบรนด์เบียร์ 333 ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 40% ในเวียดนามอีกหนึ่งแบรนด์ด้วย จึงนับเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตจากการเป็นผู้นำตลาดและเป็นแบรนด์ยอดนิยมของผู้บริโภค
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52850
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การเข้าซื้อ Focus Media ของ Alibaba Group
null
Alibaba Group เข้าซื้อหุ้นของ Focus Media Information Technology จากประเทศจีน เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่าง Alimama กับ Focus Media ให้เข้าขากันมากขึ้น ตั้งเป้าหมายระยะกลางให้สื่อโฆษณาขยายไปยัง 500 เมืองทั่วประเทศจีน เข้าถึงลูกค้าชนชั้นกลาง 500 ล้านคน และสามารถเสนอช่องทางดิจิทัล ผ่านการขายของผ่านแพลทฟอร์ม e-commerce ที่ตอบสนองต่อผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมากขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ Alibaba Group ลุยเข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นของ Focus Media Information Technology ประเทศจีนเพื่อมองโอกาสใหม่ทางธุรกิจ โดย Alibaba จะจ่ายเงินทั้งหมด 1.43 พันล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นจำนวน 6.62% ของ Focus Media ซึ่งปัจจุบันบริษัทแห่งนี้เป็นเจ้าของจอโฆษณาดิจิทัลบนท้องถนน รถไฟใต้ดิน และในลิฟท์ในกว่า 300 เมืองทั่วประเทศจีน มีศักยภาพเข้าถึงชนชั้นกลางจำนวน 200 ล้านคน และ Alibaba ยังประกาศอีกว่ามีแผนที่จะซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% ไม่ใช่เพียงแค่ Alibaba โดยตรงเท่านั้น แต่ยังมีการซื้อหุ้นภายใต้ชื่อ New Retail Strategic Opportunities Fund กองทุนที่ Alibaba ลงทุน ก็เข้าซื้อหุ้น Focus Media อีก 1.37% ด้วยเช่นกัน ทำให้การลงทุนทั้งหมดของ Alibaba ใน Focus Media รวมเป็น 2.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 10.32% ทั้งนี้ยังไม่รวมกับอีกการเข้าซื้อในอนาคตอีก 5% การเข้าซื้อ Focus Media นี้ ก็เพื่อทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน ของ Alimama (บริษัทดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่ใหญ่ที่สุดของ Alibaba) กับ Focus Media ให้เข้าขากันมากขึ้น เพื่อที่ตั้งเป้าหมายระยะกลางให้สื่อโฆษณาของเครือขยายไปยัง 500 เมืองทั่วประเทศจีนและเข้าถึงลูกค้าชนชั้นกลางได้ 500 ล้านคน นอกจากนี้ Alibaba ยังสามารถเสนอช่องทางดิจิทัลใหม่ผ่านการขายของผ่านแพลทฟอร์ม e-commerce ที่จะตอบสนองต่อผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมากขึ้น เรียกได้ว่าครบจบ ตั้งแต่โฆษณาจนปิดการขายออนไลน์ได้เลย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52859
Retail
การขยายตัวของ Premium Outlet เป็นเทรนด์ที่น่าจับตาในธุรกิจค้าปลีก เพราะเหตุใด
a. เป็นศูนย์รวมกิจกรรมเพื่อสาระและความบันเทิงต่างๆ อย่างครบถ้วน b. เป็นการสร้างปรากฏการณ์หรือโปรโตไทป์ใหม่ๆ ให้ธุรกิจอยู่เสมอ c. เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น d. หลายๆ Developer ให้ความสนใจและประกาศที่จะพัฒนาโมเดลนี้เพื่อรองรับกำลังซื้อในตลาดที่ขยายตัว
ข้อที่ถูกต้องคือ d. เนื่องจาก การขยายตัวของ Premium Outlet เป็นเทรนด์ที่น่าจับตาในธุรกิจค้าปลีก เพราะหลายๆ Developer ให้ความสนใจและประกาศที่จะพัฒนาโมเดลนี้เพื่อรองรับกำลังซื้อในตลาดที่ขยายตัว ทั้งจากกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ทุกปี โดยปี 2017 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคน ขณะที่จำนวนประชากรในประเทศเองก็เติบโต โดยเฉพาะการขยายตัวของกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ประกอบกับประเทศรอบข้างที่เริ่มมีโมเดลพรีเมี่ยมเอ้าท์เล็ตให้บริการและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เป็นสัญญาณความพร้อมว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรมีโมเดล Luxury Premium Outlet อยู่ในพอร์ตธุรกิจรีเทลของประเทศ รวมทั้งเป็นการสร้าง Global Destination แห่งใหม่ให้อยู่ภายในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยความสำเร็จในการขับเคลื่อน Luxury Premium Outlet ของบริษัทร่วมทุน สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จะมาจากองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้ 1. จากจุดแข็งและความเชี่ยวชาญของสองยักษ์ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีก โดยสยามพิวรรธน์มีประสบการณ์บริหารธุรกิจค้าปลีกและคอนเนคชั่นในกลุ่ม Local Brand ขณะที่ไซม่อน มีความเชี่ยวชาญในการบริหาร Luxury Premium Outlet ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นวูดเบอรี่ คอมมอน พรีเมี่ยม ในนิวยอร์ก,เดซเซิร์ท ฮิลส์ ในแอลเอ, โกเท็มบะ ในญี่ปุ่น, ยอจู ในเกาหลีใต้ หรือยะโฮว์ ในเมาเลเซีย เป็นต้น 2. สำหรับโครงการแรกในประเทศไทยพื้นที่กว่า 5 หมื่นตารางเมตร จะรวบรวมสินค้ามากกว่า 200 ร้านค้า ทั้งลักชัวรี่แบรนด์และโลคอลแบรนด์ที่ได้รับความนิยม มาจำหน่ายในราคาลดกว่า 25-70% ทุกวัน รวมทั้งการมีสถานที่และกิจกรรมต่างๆ ที่รองรับการเข้ามาใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน เพื่อสร้าง Daily Traffic จากกลุ่มเป้าหมายหลัก คือลูกค้า Local 60% ให้สามารถเข้ามาได้ทุกวัน ขณะที่นักท่องเที่ยวตั้งเป้าไว้ที่ 40% 3. วางแนวทางพัฒนาโครงการที่ไม่ได้มีเพียง Luxury Premium Outlet ซึ่งเป็นหนึ่งใน Key Magnet ที่ดึงให้คนเข้ามาในโครงการเท่านั้น แต่จะเน้นการพัฒนาที่ตอบโจทย์กลุ่มมิลเลเนียลจากทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ภายใต้ความร่วมมือกับผู้ประกอบการต่างๆ ในโครงการ เพื่อให้เป็นต้นแบบหรือศูนย์การเรียนรู้แนวทางในการพัฒนาควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52883
Retail
ก้าวแรกที่ “เดนทิสเต้” เข้ามาในตลาดยาสีฟัน วางตำแหน่งเป็นยาสีฟันแบบใด
เมื่อกว่า 20 – 30 ปีก่อน “การซื้อ-ใช้สินค้าอุปโภคบริโภค” หรือ “FMCG” ใน 1 ครัวเรือน มีลักษณะการใช้แบบ “Family Use” นั่นคือ สินค้า 1 ตัวใช้กันทั้งครอบครัว แต่ในช่วงกว่า 10 ปีมานี้ สินค้า FMCG ในหลายกลุ่ม เริ่มเข้าสู่สภาวะ “อิ่มตัว” เพราะอัตราการเข้าถึงครัวเรือน (Penetration) เต็มเกือบ 100% แล้ว ทำให้เจ้าของแบรนด์สินค้า และนักการตลาด หาทางกระตุ้นการเติบโตด้วยการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ เพื่อสร้าง “Demand” ใหม่ในกลุ่มสินค้านั้นๆ เพื่อขยายไปสู่ “การใช้งานเฉพาะบุคคล” หรือ “Personal Use” Brand Buffet หยิบยกกรณีศึกษา “ตลาดยาสีฟัน” ในอดีตยาสีฟัน 1 หลอดใช้กันทั้งครอบครัว แต่หลังจากการเกิดขึ้นของยาสีฟันกลุ่ม “Therapeutic Segment” หรือยาสีฟันดูแลช่องปากที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ช่วยทำให้ตลาดที่อยู่ในสภาวะอิ่มตัว กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และสมาชิกในครอบครัว มองหายาสีฟันที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น เกิดเป็นยาสีฟันหลอดที่ 2, 3… เช่นเดียวกับ “ตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม” ในอดีตแชมพู 1 ขวด ใช้กันทุกคนในครอบครัว แต่ทุกวันนี้จะสังเกตได้ว่าในห้องน้ำมีแชมพูและครีมนวดผมสูตรต่างๆ หลากหลายแบรนด์วางอยู่ในห้องน้ำ ขณะเดียวกันยังมีอีกหนึ่งตลาดที่พยายามสร้างให้เกิดการใช้งานเฉพาะเจาะจงมากขึ้น คือ “ตลาดน้ำมันพืช” จากในอดีตที่น้ำมันพืช 1 ขวด ใช้สำหรับทำอาหารทุกประเภท ทั้งผัด ทอด แต่ปัจจุบันผู้บริโภคแยกประเภทน้ำมันพืช สำหรับการทำอาหารแต่ละอย่างแล้ว นอกจากนี้การเกิดขึ้นของ “ตลาดน้ำมันเพื่อสุขภาพ” ขยายฐานตลาดน้ำมันปรุงอาหารให้ใหญ่ และสร้างการเติบโตในเชิง Value ให้กับตลาดรวม “เดนทิสเต้” สร้างยาสีฟันหลอดที่ 2 ของครอบครัว ในตลาดยาสีฟัน แบรนด์ที่มีบทบาทในการเปลี่ยนตลาดยาสีฟันไปสู่การใช้เฉพาะบุคคล ต้องยกให้กับกรณีศึกษา “เดนทิสเต้” ที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง ท่ามกลางการแข่งขันของยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในตลาดมานาน ไม่ว่าจะเป็นคอลเกต ดาร์ลี่ โคลสอัพ หรือเดิมคือยาสีฟันใกล้ชิด ฯลฯ ซึ่งแบรนด์เหล่านี้โฟกัสที่ตลาดแมส Photo Credit : Facebook DENTISTE’ แต่สำหรับ “เดนทิสเต้” ก้าวแรกที่เข้ามาในตลาดยาสีฟัน วางตำแหน่งเป็น “ยาสีฟันพรีเมียม” และเจาะ Niche Market ด้วยการเป็น “ยาสีฟันสำหรับกลางคืน” ภายใต้จุดขายระงับกลิ่นปาก ยับยั้งแบคทีเรียภายในช่องปากอันเกิดขึ้นในเวลากลางคืน พร้อมทั้งสื่อสารการตลาดในคอนเซ็ปต์ “คู่รัก” ซึ่งเป็นการสร้าง Demand ใหม่ในตลาดยาสีฟัน หลังจาก “เดนทิสเต้” เขย่าตลาดยาสีฟันได้ไม่นาน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับรุ่นพี่ในตลาดไม่น้อย ประกอบกับทิศทางของตลาดยาสีฟัน ไปโตในตลาด “Therapeutic Segment” มากกว่า ส่งผลให้ “คอลเกต” พี่ใหญ่ไม่อาจนิ่งเฉย ด้วยความที่ยาสีฟัน “คอลเกต” มีความเป็นแบรนด์ “Family Use” สูง โดยเฉพาะ “คอลเกต กล่องแดง” ยาสีฟันที่อยู่คู่ครอบครัวไทยมายาวนาน แต่แล้วในที่สุดได้ตัดสินใจหันมาบุกหนักยาสีฟัน “Therapeutic Segment” นำทัพโดยตระกูล Total 12 ที่แตกโปรดักต์ไลน์มากมาย ชูจุดขายลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากและฟันยาวนาน 12 ชั่วโมง และต่อมาได้ขยายไปสู่กลุ่มยาสีฟันลดอาการเสียวฟัน ยาสีฟันเพื่อฟันขาว และยาสีฟันสูตรเกลือ สำหรับดูแลเหงือก “ผลิตภัณฑ์บำรุงผม โปรเฟสชั่นแนล” เปลี่ยนเกมตลาด Hair Care อีกหนึ่งตลาดที่ Penetration เต็มเกือบ 100% แล้ว คือ ตลาดแชมพู ในอดีตห้องน้ำครัวเรือนต่างๆ มีแชมพู 1 ขวด สำหรับทุกคนในครอบครัว แต่เวลานี้กลับตรงกันข้าม ในห้องน้ำครอบครัวต่างๆ มีทั้งแชมพู และผลิตภัณฑ์บำรุงผมอื่นๆ มากกว่า 1 ขวด และมากกว่า 1 แบรนด์ นั่นเพราะสมาชิกในครอบครัว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่เหมาะกับสภาพผมของตนเอง Photo Credit : Facebook TRESemmé ยิ่งผู้บริโภคทำสีผม และดัด-ยืดมากขึ้น จึงต้องการการดูแลเส้นผมเป็นพิเศษ นี่เป็นโอกาสใหม่ในตลาด Hair Care ทำให้เกิดแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผม ที่มีภาพลักษณ์ของการเป็น “Professional Hair Care” เช่น การกลับมาทำตลาดอีกครั้งของแบรนด์ “VS Sassoon” ของพีแอนด์จี เช่นเดียวกันค่ายเฮงเค็ล ส่งแบรนด์ “Syoss” ค่ายยูนิลีเวอร์ ส่งแบรนด์ “TRESemmé” และค่ายลอรีอัล บุกหนักกลุ่มสินค้า “L’Oréal Elseve” ซึ่งเป็น Professional Hair Care ที่เจาะตลาดพรีเมียมแมส หรือทุกวันนี้ ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ ปฏิเสธผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมสารเคมี หันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผม เซ็กเมนต์สมุนไพร และสารสกัดจากธรรมชาติเติบโตแซงหน้าเซ็กเมนต์อื่นๆ เมื่อมีทางเลือกมากขึ้น ผู้บริโภคย่อมเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด ส่งผลครัวเรือนยุคนี้ มีแชมพูและครีมนวดมากกว่า 1 ขวด 1 แบรนด์ Photo Credit : Facebook Syoss “น้ำมันพืช” สร้าง Value Growth ด้วยตลาดน้ำมันเพื่อสุขภาพ ที่ผ่านมา “ตลาดน้ำมันพืช” มูลค่า 14,000 ล้านบาท (แบ่งเป็นน้ำมันปาล์ม 60% / น้ำมันถั่วเหลือง 20% / น้ำมันอื่นๆ เช่น น้ำมันเพื่อสุขภาพ 40%) ไม่ได้มีสีสันความแปลกใหม่เท่าไรนัก แต่ในยุคอินเทอร์เน็ตที่คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ทำให้ผู้บริโภคเริ่มแยกประเภทน้ำมันพืชในการทำอาหาร เช่น น้ำมันปาล์ม ใช้สำหรับทอด และน้ำมันถั่วเหลือง ใช้สำหรับผัด ประกอบกับการขยายตัวของ “Healthy Lifestyle” ทำให้ “ตลาดน้ำมันเพื่อสุขภาพ” (Healthy Oil) กลายเป็น Rising Star และช่วยสร้างการเติบโตเชิง Value ให้กับตลาดรวม เพราะถึงแม้ “น้ำมันเพื่อสุขภาพ” จะมีราคาต่อขวดสูงกว่าน้ำมันปาล์ม – น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ Mainstream ของตลาดน้ำมันปรุงอาหาร แต่ผู้บริโภคยุคใหม่ยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้น้ำมันคุณภาพ และตอบโจทย์สุขภาพ ดังจะเห็นได้จากในซูเปอร์มาร์เก็ต – ไฮเปอร์มาร์เก็ต เพิ่มพื้นที่จำหน่าย “น้ำมันเพื่อสุขภาพ” หลากหลายแบรนด์มากขึ้น พร้อมทั้งจัดโปรโมชั่นให้กับตลาดนี้โดยเฉพาะ อย่างเช่นล่าสุด “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” จับมือกับพันธมิตร 5 แบรนด์น้ำมันชั้นนำ ได้แก่ เอ็มเมอรัล คิง กุ๊ก แมนเนเจอร์ แบร์ทอลลี่ จัดกิจกรรม “กินอย่างไรให้อร่อยและสุขภาพดี” เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริโภคถึงข้อมูลที่ถูกต้องของน้ำมันเพื่อสุขภาพแต่ละชนิด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะพร้าว น้ำมันผสม เพื่อสร้างการรับรู้ และส่งเสริมการบริโภคเพื่อสุขภาพ ส่งผลให้ปัจจุบันเริ่มเห็นห้องครัวคนไทย มีน้ำมันพืชมากกว่า 1 ขวดแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยความที่ “น้ำมันพืช” เป็น Commodity Product สูง ทำให้ปัจจุบันยังคงเป็นการใช้แบบ “Family Use” มากกว่าจะเป็น “Personal Use” เหมือนเช่นสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ แต่ทั้งนี้เมื่อแบรนด์น้ำมันเพื่อสุขภาพ และ Retailer หันมาบุกตลาด “น้ำมันเพื่อสุขภาพ” มากขึ้น นับเป็นความพยายามในการสร้าง Demand ใหม่ในการใช้น้ำมันหลากหลายประเภท ซึ่งด้วยความที่พฤติกรรมผู้บริโภคซับซ้อนขึ้น อาจจะเห็นสมาชิกในครอบครัวบางคน ซื้อน้ำมันเพื่อสุขภาพบางชนิด สำหรับสร้างสรรค์เมนูจานโปรดเฉพาะของตนเองก็เป็นไปได้
ก้าวแรกที่ “เดนทิสเต้” เข้ามาในตลาดยาสีฟัน วางตำแหน่งเป็น “ยาสีฟันพรีเมียม” และเจาะ Niche Market ด้วยการเป็น “ยาสีฟันสำหรับกลางคืน” ภายใต้จุดขายระงับกลิ่นปาก ยับยั้งแบคทีเรียภายในช่องปากอันเกิดขึ้นในเวลากลางคืน พร้อมทั้งสื่อสารการตลาดในคอนเซ็ปต์ “คู่รัก” ซึ่งเป็นการสร้าง Demand ใหม่ในตลาดยาสีฟัน หลังจาก “เดนทิสเต้” เขย่าตลาดยาสีฟันได้ไม่นาน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับรุ่นพี่ในตลาดไม่น้อย ประกอบกับทิศทางของตลาดยาสีฟัน ไปโตในตลาด “Therapeutic Segment” มากกว่า ส่งผลให้ “คอลเกต” พี่ใหญ่ไม่อาจนิ่งเฉย ด้วยความที่ยาสีฟัน “คอลเกต” มีความเป็นแบรนด์ “Family Use” สูง โดยเฉพาะ “คอลเกต กล่องแดง” ยาสีฟันที่อยู่คู่ครอบครัวไทยมายาวนาน แต่แล้วในที่สุดได้ตัดสินใจหันมาบุกหนักยาสีฟัน “Therapeutic Segment” นำทัพโดยตระกูล Total 12 ที่แตกโปรดักต์ไลน์มากมาย ชูจุดขายลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากและฟันยาวนาน 12 ชั่วโมง และต่อมาได้ขยายไปสู่กลุ่มยาสีฟันลดอาการเสียวฟัน ยาสีฟันเพื่อฟันขาว และยาสีฟันสูตรเกลือ สำหรับดูแลเหงือก
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52896
Retail
การยกระดับเป็นธนาคารท้องถิ่นในจีนคือธนาคารใด
A. ธนาคารออมสิน B. ธนาคารกสิกร C. ธนาคารไทยพาณิชย์ D. ธนาคารกรุงไทย
คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก การยกระดับเป็นธนาคารท้องถิ่นในจีน สำหรับ “ธนาคารกสิกรไทย” ถือว่าเข้ามาถูกจังหวะและเวลา เพราะอยู่ในช่วงเวลาที่มังกรจีน กำลังพุ่งทะยานขึ้นฟ้า และในยุคดิจิทัล ได้ทลายพรมแดนระหว่างประเทศ อีกทั้งยังทำให้ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลไปกับการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศเฉกเช่นโมเดลธุรกิจธนาคารแบบเดิมๆ หากแต่สามารถนำเงินทุนมาพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และเชื่อมต่อลูกค้าระหว่างประเทศเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ถ้าเทคโนโลยีใดที่พัฒนาขึ้นในจีน หรือแม้แต่การจับมือกับพาร์ทเนอร์ในจีน เมื่อกสิกรไทยนำไปใช้กับตลาดจีน แล้วได้ผลออกมาดี ก็มีความเป็นไปเทคโนโลยีนั้นจะเป็น Best Practice ที่ “กสิกรไทย” นำมาปรับใช้กับการทำดิจิทัล แบงก์กิ้งในไทยได้ เพื่อในที่สุดแล้ว จะผลักดันให้ “ธนาคารกสิกรไทย” ก้าวข้ามจากการเป็นธนาคารไทย ไปสู่การเป็น “Regional Digital Bank” แห่งภูมิภาค AEC และจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้อย่างเต็มรูปแบบ
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52900
Retail
ในปี 2017 โรบินสันจะมีกี่สาขา
หลังจากเปิดตัว “คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของ บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) ล่าสุดได้เผยวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจ “โรบินสัน” นับจากนี้ ยังคงยืนอยู่บน 3 เสาธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจดีพาร์ทเมนต์สโตร์ ธุรกิจศูนย์การค้า และกลุ่มธุรกิจ Brand Management ที่ประกอบด้วยไพรเวทแบรนด์ แฟรนไชส์แบรนด์ และแบรนด์ที่ซื้อเข้ามาไว้ในพอร์ตโฟลิโอ โดยทั้ง 3 เสาธุรกิจนี้มีความเชื่อมโยงกัน และแสดงให้เห็นถึงพลัง Synergy ของบริษัทในกลุ่มเซ็นทรัล เพราะในจังหวัดหลัก หรือโลเคชันที่เป็น Prime Area “ซีพีเอ็น” บริษัทในเครือเซ็นทรัล ไปเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล บางโลเคชันจะเลือก “ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน” เข้าไปด้วย ขณะที่จังหวัดรอง หรือโลเคชันรอง จะใช้โมเดล “ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์” เป็นตัวรุกขยายสาขา นอกจากนี้ในทุกสาขาของโรบินสัน ไม่ว่าเป็นห้างฯ หรือศูนย์การค้าโรบินสัน จะต้องผนึกแบรนด์ของตนเองเข้าไป ทั้งไพรเวทแบรนด์ แฟรนไชส์แบรนด์ และแบรนด์ที่ซื้อมา เป็นหนึ่งในสินค้าและบริการหลักของโรบินสันทุกสาขา ทุกสโตร์ ฟอร์แมต เพราะแบรนด์ในกลุ่มสินค้าต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การบริหารของโรบินสัน เป็นกลยุทธ์ในการสร้าง “Store Loyalty” ในกลุ่มลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง 9 เดือน รายได้-กำไรโตจากค่าเช่า ทั้งสาขาเดิม และสาขาใหม่ คุณวุฒิเกียรติ ฉายภาพผลประกอบการไตรมาส 3 “บมจ.โรบินสัน” ว่ามีรายได้รวม เพิ่มขึ้น 4.2% รวมทั้งมีกำไรสุทธิ เติบโต 19.8% ส่งผลให้ผลประกอบการรวมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 1.3% และมีกำไรสุทธิโต 6.4% โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้รายได้ และกำไรเติบโต มาจากการเติบโตของรายได้ค่าเช่า ทั้งจากสาขาเดิม และการขยายสาขาล่าสุดอย่างศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ เพชรบุรี ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมทั้งปรับปรุงสาขา ในรูปแบบศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ 2 สาขา คือ สาขาสระบุรี และราชบุรี ประกอบกับการปรับเปลี่ยนกลุ่มสินค้า โดยมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเติม เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน นอกจากนี้สภาพเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น ส่งผลให้การบริโภคของกลุ่มลูกค้ามีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตอกย้ำเจ้าแห่ง “ดีพาร์ทเมนต์สโตร์” เมืองไทย “โรบินสัน” วางแผนเปิดสาขาต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันแนวโน้มธุรกิจรีเทลทั่วโลก ค้าปลีกเซ็กเมนต์ “ดีพาร์ทเมนต์สโตร์” จะอยู่ในช่วงถดถอย โดยเกิดขึ้นในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งที่นั่นห้างสรรพสินค้าทยอยปิดตัวกันเป็นจำนวนมาก เป็นผลมาจากการบูมของอีคอมเมิร์ซ ส่งผลต่อพฤติกรรมการชอปปิงของผู้บริโภค แต่สำหรับทิศทางธุรกิจดีพาร์ทเมนต์สโตร์ในไทย ยังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเหมือนกับสหรัฐฯ เพราะด้วยภาพรวมค้าปลีกไทย Dominate โดยยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ราย ซึ่งมีความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น “เซ็นทรัล กรุ๊ป” ที่มีกลุ่มธุรกิจ “ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล” และ “บมจ.โรบินสัน” รวมทั้ง “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ที่มีส่วนธุรกิจห้างสรรพสินค้า ทำให้ “ดีพาร์ทเมนต์สโตร์” ในไทย ยังเดินหน้าขยายสาขา Photo Credit : Instagram robinsondepartmentstore ปัจจุบัน “โรบินสัน” มีสาขาในรูปแบบ “ดีพาร์ทเมนต์สโตร์” 25 สาขา จากทั้งหมด 44 สาขา ถือเป็น Retailer ที่มีสาขาห้างฯ มากที่สุดในไทย นอกจากนี้ในพฤศจิกายนจะเปิดสาขาในเซ็นทรัลพลาซา มหาชัย ด้วยงบลงทุน 600 ล้านบาท บนพื้นที่ 15,000 ตารางเมตร เหตุผลที่เลือกเปิดที่มหาชัย เพราะเป็นเมืองใหญ่ มีศักยภาพสูง เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจประมง และห้องเย็น ประกอบกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อีกทั้งในโซนนี้ยังไม่มีดีพาร์ทเมนต์สโตร์ และชอปปิงมอลล์ จึงเป็นโอกาสทางการลงทุน ความน่าสนใจของ “โรบินสัน สาขามหาชัย” คือ การปรับโฉมร้าน Multi-brand เครื่องสำอาง “HELLO BEAUTY” สู่การเป็น “Multi-Brands Store 360°” บนพื้นที่ 900 ตารางเมตร เพื่อต้องการให้เป็น Beauty Destination ที่ครบวงจรแบบ One Stop Service ทั้งสินค้าสุขภาพ และความงามกว่า 500 แบรนด์ “ธุรกิจดีพาร์ทเมนต์สโตร์ในไทย ยังอยู่ในทิศทางที่มีโอกาส และแม้อีคอมเมิร์ซจะเติบโต แต่สำหรับดีพาร์ทเมนต์สโตร์ในไทย ยังมีเวลาในการปรับตัว ซึ่งก่อนหน้านั้นเราจะเห็นแบรนด์สินค้าต่างๆ ออกจากพื้นที่ห้างฯ เพื่อไปเปิดแบรนด์ ช้อป แต่เวลานี้แบรนด์ที่ออกไปเปิดช้อป เริ่มกลับมาเปิดคอร์เนอร์ขายในห้างฯ เพราะต้นทุนการขายในพื้นที่ห้างฯ ถูกกว่าการเปิดช้อป” เปิด 3 ฟอร์แมต “ไลฟ์สไตล์ มอลล์” ไปที่ไหน ต้องใหญ่กว่าผู้เล่นที่อยู่มาก่อน นอกจากเปิดห้างสรรพสินค้าแล้ว อีกหนึ่งธุรกิจที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ “โรบินสัน” คือ ชอปปิงมอลล์ ภายใต้ชื่อ “โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ มอลล์” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “EAT SHOP PLAY” ปัจจุบันมี 19 สาขา ปัจจุบัน Store Format ของศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ มี 3 รูปแบบ คือ 1. รูปแบบใหญ่ (Size L) พื้นที่ 37,000 ตารางเมตรขึ้นไป เช่น สาขาสระบุรี ศรีสมาน ฉะเชิงเทราและสมุทรปราการ 2. รูปแบบกลาง (Size M) พื้นที่ 35,000 ตารางเมตร เช่น สาขาสกลนคร ร้อยเอ็ด และมุกดาหาร 3. รูปแบบ Compact Size พื้นที่ 28,000 – 30,000 ตารางเมตร โดยเป็นโมเดลใหม่ที่นำมาใช้พัฒนากับสาขา “กำแพงเพชร” ที่จะเปิดตัวในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นโรบินสันสาขา 46 สาขา และเป็นสาขาลำดับที่ 20 ในรูปแบบศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ โดยสาขานี้มีงบลงทุนการ 800 ล้านบาท บนพื้นที่ 28,000 ตารางเมตร โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สาขาลพบุรี “วันนี้เรามี Store Format 3 รูปแบบ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการขยายสาขา โดยสามารถนำ Store Format ที่มีไปลงให้เหมาะสมกับแต่ละโลเคชัน ซึ่งกลยุทธ์การขยายสาขาของโรบินสัน เราต้องไปใหญ่กว่าคนที่อยู่มาก่อน เพราะเวลาเราไปเปิดสาขาที่ไหน เราต้องการให้ผู้บริโภคเกิดการ Switching ให้มาเดินที่โรบินสัน ทิศทางการขยาย “ไลฟ์สไตล์มอลล์” เน้นต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ และเรากำลังศึกษาว่าบางจังหวัดสามารถมีโรบินสันได้ 2 แห่ง โดยเมืองใหญ่ อาจนำรูปแบบ Compact Size ไปเปิดในอำเภอ เพราะบางอำเภอของประเทศไทย ก็มีขนาดใหญ่กว่าบางจังหวัด ทำให้จังหวัดนั้นๆ มีโรบินสัน 2 แห่ง และต่อไปคาดว่ารูปแบบ Compact Size จะเปิดเพิ่มมากขึ้น” โดยในปี 2561 เตรียมขยายไลฟ์สไตล์มอลล์เพิ่มในต่างจังหวัดอีก 2 สาขา หนึ่งในนั้นคือ ชลบุรี เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรหนาแน่น และมีกำลังซื้อ ซึ่งทั้ง 2 สาขา จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 และ 4 รุกสร้าง 4 กลุ่มสินค้าไพรเวทแบรนด์ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ “โรบินสัน” มีแผนการรุกตลาดเพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่ธุรกิจ โดยชู “4 กลุ่มสินค้าไพรเวทแบรนด์” เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีคอนเซ็ปต์โดนใจที่เน้นในเรื่องของคุณภาพ และความคุ้มค่า คุ้มราคาเป็นหลัก ได้แก่ – Just Buy สินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ชอปราคาเดียวของโรบินสัน ซึ่งมีความเคลื่อนไหวของแบรนด์ที่สำคัญ คือ การขยายสาขาในรูปแบบช็อป Stand Alone ในไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นแห่งแรกที่สาขาบางใหญ่ โดยกลุ่มสินค้ามีความหลากหลายขึ้น อาทิ กลุ่มสินค้าของใช้ในบ้าน กลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าเครื่องเขียนและของขวัญ และกลุ่มสินค้าสำหรับจัดงานปาร์ตี้รื่นเริง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มประเภทสินค้าที่มีราคามากกว่า 60 บาท เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าอีกด้วย โดยจะมีสาขาของ Just Buy เปิดให้บริการในปลายปีนี้ รวมเป็น 45 สาขา – Great Value อีกหนึ่งสินค้าไพรเวทแบรนด์ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘365 วันราคาเดียว’ ที่มียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 มีแผนจะเพิ่มประเภทกลุ่มสินค้าให้มีความหลากลายมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน เอาท์ดอร์ลีฟวิ่ง และโฮมออฟฟิศ รวมทั้งขยายพื้นที่การให้บริการของร้านเป็น 1,000 ตารางเมตรที่โรบินสัน ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์ สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ เป็นที่แรก ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2560 นี้ รวมทั้งตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา ในโรบินสัน รวมเป็น 30 สาขา ในปลายปี 2560 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับสินค้ากลุ่มโฮม โดยการผนึกกำลังระหว่างแบรนด์ Great Value และ Cuizimate ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าของใช้ในบ้านของโรบินสันที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำของ ‘โฮม เดสติเนชั่น’ อย่างแท้จริง – Payless ShoeSource ร้านรองเท้ามัลติแบรนด์ สินค้าที่วางจำหน่ายจะเน้นกลุ่มสินค้า Sneaker ที่ผ่านมาได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะในต่างจังหวัด โดยตั้งเป้าในปีนี้ จะมีสาขา 41 สาขา – Baby shop ร้านสินค้าแฟชั่นสำหรับเด็ก มีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต โดยในปลายปีนี้ตั้งเป้ามีสาขารวมเป็น 9 สาขา Photo Credit : Facebook Payless ShoeSource Thailand “ในปี 2017 โรบินสันจะมี 46 สาขา แบ่งเป็นโมเดลศูนย์การค้า 20 สาขา และดีพาร์ทเมนต์สโตร์ 26 สาขา ส่วนในปี 2018 จะมีสาขาทั้งหมด 48 สาขา ขณะที่ปี 2019 – 2020 จะเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 2 – 3 สาขาต่อปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ โดยต่อไปจะเน้นขยาย “ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์” เป็นหลัก โดยเฉพาะ Store Format ขนาดกลาง และขนาดเล็ก (Compact Size) เพราะฉะนั้นคาดว่าเมื่อถึงปี 2020 โรบินสันจะมีสาขารวมกัน 55 สาขา โดยในจำนวนนี้เป็นโมเดลศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ 25 สาขา ช่วงเวลานี้นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาแห่งการแข่งขันในตลาดค้าปลีกที่สำคัญของโรบินสัน ซึ่งเราจะเดินหน้ารุกตลาดค้าปลีกอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในแง่ของการขยายสาขา การบริหารจัดการแบรนด์สินค้า และการวางกลยุทธ์แผนการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์ขององค์กรให้เหมาะสม รวดเร็วกับสภาวการณ์แข่งขันในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันได้อย่างตรงจุด ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมของโรบินสัน” คุณวุฒิเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย FYI จำนวนสาขา “โรบินสัน” ทั่วประเทศ ปี 2011 25 สาขา ปี 2012 30 สาขา ปี 2013 34 สาขา ปี 2014 39 สาขา ปี 2015 42 สาขา ปี 2016 44 สาขา ปี 2017 46 สาขา ปี 2018 48 สาขา จำนวนสาขาของ Brand Management ปี 2017 – Payless Shoesource 41 สาขา – Babyshop 9 สาขา – Just buy 45 สาขา – Great Value 30 สาขา
ในปี 2017 โรบินสันจะมี 46 สาขา แบ่งเป็นโมเดลศูนย์การค้า 20 สาขา และดีพาร์ทเมนต์สโตร์ 26 สาขา ส่วนในปี 2018 จะมีสาขาทั้งหมด 48 สาขา ขณะที่ปี 2019 – 2020 จะเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 2 – 3 สาขาต่อปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ โดยต่อไปจะเน้นขยาย “ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์” เป็นหลัก โดยเฉพาะ Store Format ขนาดกลาง และขนาดเล็ก (Compact Size) เพราะฉะนั้นคาดว่าเมื่อถึงปี 2020 โรบินสันจะมีสาขารวมกัน 55 สาขา โดยในจำนวนนี้เป็นโมเดลศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ 25 สาขา
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52906
Retail
การพัฒนาธุรกิจค้าปลีกในยุค 4.0มีอะไรเป็นหัวใจสำคัญ
a. เทคโนโลยี b. เศรษฐกิจ c. เงินทุน d. กำไร
คำตอบคือ a. เนื่องจาก การพัฒนาธุรกิจค้าปลีกในยุค 4.0 ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เทคโนโลยี” คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ที่ต้องมีทั้งการ Evolution และ Revolution ไปพร้อมๆ กัน “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” พยายามนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกกับลูกค้า เพราะการพัฒนา Retail 4.0 คือการพัฒนาเพื่อตอบสนองลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิดแบบ Customer Centric โดยเฉพาะการตอบโจทย์ลูกค้า กลุ่ม Generation Y และกลุ่ม Millennials ที่มีดิจิทัลไลฟ์สไตล์ชัดเจน ความสะดวกสบาย ความรวดเร็วมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มดังกล่าว ดังนั้น การผนึกความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยของธุรกิจการเงินมาเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคในธุรกิจรีเทล ซึ่งคาดว่าหลังเปิดให้ใช้บริการ นอกจากความสะดวกสบายที่ลูกค้าได้รับ ยังสามารถเพิ่มความถี่ในการช้อปปิ้งของผู้บริโภค และสามารถขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงการพัฒนาระบบออนไลน์ต่างๆ ของห้างฯ ขณะเดียวกันเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ที่ขับเคลื่อนด้วย Innovation และ Pioneering Spirit มาโดยตลอด” คุณศุภลักษณ์ สรุปทิ้งท้าย
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52909
Retail
ขอใจความสำคัฐของเรื่อง "5 กลยุทธ์ “ค้าปลีกไทย” ฝ่าวิกฤตจากแรงบีบ Digital Disruption พร้อมเปลี่ยนสู่ยุค “Shopping Center 4.0” ให้หน่อยคะ
ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ถึงปีนี้ จะเห็นปรากฏการณ์ปิดสาขาของ Chain Retailers ทั้งศูนย์การค้า-ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการปิดตัวของแฟชั่นแบรนด์ที่เปิดช้อป เหตุผลหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจ กระทบต่อเสถียรภาพด้านการเงินขององค์กร และการเผชิญกับสถานการณ์ Digital Disruption ที่อีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางการซื้อสินค้าหลักของผู้บริโภคในปัจจุบัน เมื่อมองกลับมายังประเทศไทย ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสถานการณ์ “ศูนย์การค้า” ในไทย เผชิญกับความท้าทายเช่นกัน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจไม่สดใสมากนัก ความซบเซาของกำลังซื้อผู้บริโภค อีกทั้งการเติบโตของ “อีคอมเมิร์ซ” แม้จะยังอยู่ในสเต็ปเริ่มต้น แต่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งทุกวันนี้ “อีคอมเมิร์ซ” กลายเป็นช่องทางการซื้อขายที่มีบทบาทสำคัญไปแล้ว ยิ่งทุกวันนี้ “สมาร์ทโฟน” กลายเป็นแพลตฟอร์มกลางในการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ของผู้บริโภคทุกที่ทุกเวลา จึงทำให้การซื้อขายง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว แต่ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน สถานการณ์ของ “ศูนย์การค้า” ในไทย กลับตรงกันข้ามกับในอเมริกา ตรงที่ยังสามารถขยายตัว ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นหัวเมืองใหญ่ หรือหัวเมืองรอง สะท้อนได้จากข้อมูลของ “สมาคมศูนย์การค้าไทย” (TSCA) รายงานว่า – อุตสาหกรรมค้าปลีกในไทย คิดเป็น 15% ของ GDP รวมทั้งประเทศ มีขนาดธุรกิจรองจากภาคอุตสาหกรรมการผลิต และคาดการณ์ว่าในปี 2560 จะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 4 – 5% – พื้นที่โครงการ (Retail GFA) ของศูนย์การค้าทั้งหมดในประเทศไทย ปี 2560 อยู่ที่ 19 ล้านตารางเมตร และคาดการณ์ภายในปี 2562 จะอยู่ที่ 20.9 ล้านตารางเมตร – พื้นที่โครงการ (Retail GAF) ของสมาชิกสมาคม TSCA ที่ประกอบด้วย 13 ผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้า (บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด บริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน) บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แอล เอช มอลล์ โฮเทล จำกัด บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด บริษัท เค.อี.แลนด์ จำกัด บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด บริษัท แปซิฟิคพาร์ค ศรีราชา จำกัด และ บริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด) ปี 2560 อยู่ที่ 8 ล้านตารางเมตร และภายในปี 2562 จะเพิ่มขึ้นเป็น 9.1 ล้านตารางเมตร – จำนวนศูนย์การค้าของสมาชิก TSCA ภายในสิ้นปี 2560 มี 97 ศูนย์การค้า และภายในปี 2562 คาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 107 ศูนย์การค้า – งบลงทุนรวมของสมาชิก TSCA (รวมโครงการใหม่ และโครงการปรับปรุงและขยายพื้นที่) คาดว่าปี 2560 – 2562 ใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 57,000 ล้านบาท – โครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้น ในปี 2560 มีเซ็นทรัลพลาซา โคราช และเซ็นทรัลพลาซา มหาชัย ขณะที่ภายในปี 2562 จะมีโครงการศูนย์การค้าเปิดใหม่ ประมาณ 4 โครงการ ได้แก่ เซ็นทรัล ภูเก็ต, ICON SIAM, The Market Bangkok และ Terminal 21 พัทยา 5 กลยุทธ์หนุน “ศูนย์การค้าไทย” แข็งแกร่ง แม้ “ศูนย์การค้า” ในไทย ยังขยายตัวต่อเนื่อง นั่นเพราะวิวัฒนาการศูนย์การค้าในประเทศไทยพัฒนาไปไกล โดยเป็นสถานที่รวบรวมทุกสรรพสิ่งของการใช้ชีวิตไว้อย่างครบวงจร ประกอบกับประเทศไทยเป็นเมืองร้อน คนไทยจึงนิยมพักผ่อนในศูนย์การค้า แต่เมื่อโลกเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว “ธุรกิจศูนย์การค้าไทย” ต้องไม่ประมาท และพร้อมปรับตัวให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยต้องพลิกโฉมธุรกิจค้าปลีก เข้าสู่ยุค “Shopping Center 4.0” ด้วย 5 กลยุทธ์ผลักดัน Modern Trade ในไทยให้แข็งแกร่งดังนี้ 1. “Customer-Centric” ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ด้วยการออกแบบศูนย์การค้า และปรับรูปแบบการให้บริการให้ทันไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคดิจิทัลทุกเพศทุกวัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภค และความคาดหวังในการมาศูนย์การค้าแตกต่างไปจากเดิม ไม่ได้มาเพื่อ “ซื้อสินค้า” อย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เป็นการมา “ใช้ชีวิต” และ “อัพเดทเทรนด์-เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ” เพราะฉะนั้นองค์ประกอบภายในของศูนย์การค้า ต้องมีสินค้าและบริการที่รองรับผู้บริโภคในแต่ละเซ็กเมนต์ แต่ละไลฟ์สไตล์ เช่น ออกแบบและเพิ่มบริการในศูนย์การค้าสำหรับกลุ่ม Aging-society ด้วยการมี Disabled parking area, ห้องน้ำ, ลิฟท์ และเทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่ เช่น บริการ Co-working Space, บริการสำหรับครอบครัวยุคใหม่, บริการตอบโจทย์คนรักสุขภาพและชอบเล่นกีฬา, บริการสำหรับสัตว์เลี้ยง แม้กระทั่งการบริการที่ตอบโจทย์การเดินทางมาที่ศูนย์การค้าของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า รถจักรยาน มีจุดขึ้นรถสาธารณะ และมีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเน้นเทรนด์การออกแบบที่ผสมผสานพื้นที่สีเขียวไว้ในศูนย์การค้า เพื่อให้คนเมืองได้มีพื้นที่สำหรับการพักผ่อน 2. Omni-channel เน้นทำการตลาดแบบผสมผสานทุกช่องทาง เชื่อมประสบการณ์ชอปปิงแบบไร้รอยต่อ และตอบสนองความต้องการแบบ Personalized โดยใช้ข้อมูลจากฐาน Big Data ของลูกค้า เช่น The 1 Card, M Card, Viz Card เพื่อทำการตลาดแบบเจาะกลุ่ม แบ่งตามพฤติกรรมการซื้อ ไลฟ์สไตล์ ความชอบ สามารถจับกลุ่มทาร์เก็ตที่ตรงเป้าหมาย แม่นยำมากกว่าการทำการตลาดแบบหว่านแห เช่น สื่อสารโปรโมชั่นเข้าถึงตรงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายด้วย “สมาร์ทโฟน” เพื่อทำให้ผู้บริโภครับรู้ได้ทันที และดึงผู้บริโภคเข้ามาเดินที่ศูนย์การค้า ขณะเดียวกันศูนย์การค้าต้อง Create อีเว้นท์ ที่สามารถ Customize ได้ตามเซ็กเมนต์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยใช้ข้อมูลจากฐาน Big Data ที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งอีเว้นท์จะเป็นกลยุทธ์สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ ทั้งยังเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างออฟไลน์ กับออนไลน์เข้าด้วยกัน เพราะเมื่อผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายรู้สึกประทับใจ จะเกิดการบอกต่อผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นวิธีดึงคนที่เห็นข่าวสารที่เพื่อนแชร์ แล้วรู้สึกสนใจ ให้เข้ามาเดินที่ศูนย์การค้า นอกจากนี้ศูนย์การค้าในยุค Shopping Center 4.0 ต้องมีระบบที่รองรับการจ่ายเงินของ Cashless Society สังคมไร้เงินสด พัฒนาบริการที่รองรับการใช้จ่ายผ่านมือถือ และบัตรแทนเงินสด 3. Build Partnership สร้างพันธมิตร เปลี่ยนคู่แข่งให้กลายเป็นคู่ค้า เพราะคู่แข่งที่ท้าทายที่สุดในยุคนี้คือ ผู้บริโภค โดยศูนย์การค้าจะผนึกกำลังกันร่วมสนับสนุนนโยบายต่างๆของภาครัฐ และส่งเสริมให้เกิดย่านชอปปิงทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ปัจจุบันการท่องเที่ยวของไทย ได้รับความนิยมจากชาวต่างประเทศทั่วโลก โดยเมื่อปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 32 ล้านคน และคาดการณ์ว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน ทำให้ในช่วงที่กำลังซื้อของคนในประเทศซบเซา “ธุรกิจค้าปลีก” ยังสามารถสร้างรายได้เติบโตได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยว 4. โครงสร้างผู้ประกอบการค้าปลีกในไทยมีความแข็งแรง เพราะเป็นกลุ่มทุนใหญ่ ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญ ความพร้อมด้านเงินทุน-บุคลากร ทำให้สามารถขยายการลงทุนได้ต่อเนื่อง และเมื่อภาครัฐลงทุน Mega Project ระบบคมนาคมขนส่ง ทั้งโครงการมอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วสูงในจังหวัดหลัก เช่น โครงการก่อสร้างระบบคมนาคมสู่จังหวัดนครราชสีมาของภาครัฐ เพื่อชูโคราชเป็นเมืองศูนย์กลางของภาคอีสาน ทำให้ “กลุ่มทุนค้าปลีกไทย” มองเห็นโอกาส จึงได้ลงทุนพัฒนาศูนย์การค้าไปตามการขยายตัวของ Mega Project ภาครัฐ เช่น การเปิดตัวของโครงการ เซ็นทรัลพลาซา โคราช Terminal 21 โคราช และ การขยายพื้นที่เพิ่มเติมของ เดอะมอลล์ โคราช ที่จะช่วยเสริมการเป็นเมือง gateway ของอีสานให้โคราช ซึ่งการลงทุนของทั้ง 3 โครงการในโคราช จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัด สร้างงาน สร้างอาชีพ ช่วยดึงคนกลับสู่ท้องถิ่น อีกทั้งช่วยดัน SMEs ท้องถิ่นให้เกิดรายได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ได้แก่ ชลบุรี (พัทยา) และ ระยอง โดยมีโครงการ อาทิ Terminal21 พัทยา เซ็นทรัล มารีนา และเซ็นทรัลพลาซา ระยอง รวมไปถึงการลงทุนในโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก ย่านบางนา-สุวรรณภูมิ ที่เชื่อมต่อกับเขต EEC ได้แก่ โครงการ เมกาซิตี้ ซีคอนซิตี้ แบงค็อกมอลล์ และการปรับโฉมใหม่ของ เซ็นทรัลพลาซา บางนา โดยโครงการเหล่านี้จะช่วยเสริมความสมบูรณ์ และรองรับเศรษฐกิจที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต พร้อมทั้งตอบรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ให้ย่านดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์ 5. ทิศทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทย กำลังมุ่งไปสู่ “Mixed-use Development” ที่ภายในพื้นที่ มีอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1 ประเภท เช่น ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม ที่อยู่อาศัย ซึ่งองค์ประกอบของประเภทอสังหาริมทรัพย์ ในโครงการ Mixed-use แต่ละแห่งจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโลเคชั่น และผู้บริโภคในย่านนั้นๆ โดยบางโครงการมีศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม ขณะที่บางโครงการมีอาคารสำนักงาน กับศูนย์การค้า หรือบางโครงการมีศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และโรงแรม เป็นต้น เหตุผลที่ Retail Developers หรือแม้แต่ Real Estate Developers หันมาพัฒนาโครงการในรูปแบบ “Mixed-use Development” มากขึ้น เป็นเพราะ 1. บริหารพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากที่ดิน ที่นับวันมีแต่ราคาพุ่งสูงขึ้น 2. กระจายความเสี่ยง 3. เพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการขายกรรมสิทธิ์ และรายได้จากสัญญาเช่า 4. สร้างความโดดเด่นให้กับโครงการ เพื่อดึงดูดคนเข้ามา 5. ทำให้เกิดการหมุนเวียนของคนที่เข้ามาใช้ชีวิตในโครงการ ทั้ง Daily, Weekly และ Monthly Use
ในปีที่ผ่านมาถึงปีนี้, มีการปิดสาขาของ Chain Retailers ทั้งในสหรัฐอเมริกา, ที่เกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ, สถานการณ์ Digital Disruption, และปัจจัยการเงินขององค์กร. ในทางตรงกัน, ศูนย์การค้าในไทยก็เผชิญกับความท้าทายในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใส, และการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีแนวโน้มขยายตัว. ภาวะนี้มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกในไทย, ที่มีบทบาทสำคัญใน GDP และมีแนวโน้มการเติบโตต่ำกว่า 4-5% ในปี 2560. อย่างไรก็ตามศูนย์การค้าในไทยยังคงขยายตัวทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด, โดยมีโครงการใหม่เพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นในปี 2562. เพื่อเผชิญหน้ากับยุคดิจิทัล, ศูนย์การค้าไทยจึงต้องปรับตัวเข้ากับ Shopping Center 4.0 ด้วยกลยุทธ์ที่รวมถึง: 1. การเน้น Customer-Centric: การปรับรูปแบบศูนย์การค้าให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า, และมีบริการที่ตอบโจทย์ทุกเซ็กเมนต์และไลฟ์สไตล์. 2. Omni-channel: การใช้ทุกช่องทางตลาด, การใช้ Big Data เพื่อสร้างประสบการณ์การชอปปิ้งที่กำหนดเองสำหรับลูกค้า. 3. การสร้างพันธมิตร: การทำให้คู่แข่งกลายเป็นคู่ค้า, ร่วมสนับสนุนนโยบายภาครัฐ, และสร้างย่านชอปปิ้ง. ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้, ศูนย์การค้าไทยจะสามารถปรับตัวให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลได้ นักพัฒนาทางพาณิชย์ในประเทศมีการลงทุนในโครงการ Mixed-use Development ที่มีหลายประเภทของอสังหาริมทรัพย์ในโครงการเดียว เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายในพื้นที่เดียว เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้จากรายการขายและสัญญาเช่า นอกจากนี้ยังสร้างความโดดเด่นและดึงดูดผู้บริโภค รวมถึงสร้างการหมุนเวียนของคนที่เข้ามาใช้ชีวิตในโครงการ ทั้งระยะเวลารายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52913
Retail
การลงทุนในธุรกิจอาหารและค้าปลีกในมาเลเซียของไทยเบฟฯ มีบทบาทอย่างไรในกลยุทธ์การขยายตลาดของบริษัท?
หัวข้อ เจ้าสัวเจริญยังชอปไม่หยุด! จ่อไล่ซื้อ KFC และ Pizza Hut ในมาเลเซีย - Brand Buffet ​หลังจากเดือนที่แล้วที่ข่าวใหญ่ในวงการธุรกิจ เมื่อ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ทุ่มซื้อแฟรนไชส์ KFC ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ บริษัท ยัม เรสเตอร์รองส์ (ประเทศไทย) จำนวน 240 สาขา (อ่านต่อคลิกที่นี่) ในวันนี้ มีรายงานข่าวว่า กลุ่มไทยเบฟฯ ยังเดินหน้าซื้อกิจการอาหารประเภท QSR 2 แบรนด์ดัง ในมาเลเซีย ประกอบด้วย KFC และ Pizza Hut ปัจจุบันลิขสิทธิ์ของทั้ง 2 แบรนด์นี้ เป็นของ กลุ่ม QSR Brands ซึ่งมีผู้ถือหุ้น 3 ราย ประกอบด้วย Johor Corporation มีหุ้นอยู่ที่ตัวเลข 51% ขณะที่ Employees Provident Fund (EPF-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของมาเลเซีย) และ กลุ่มนักลงทุน Private Equity จากยุโรป (CVC Capital Partners) ถือหุ้นอยู่ 25% และ 24% ตามลำดับ ในตอนที่ Johor Corporation เข้าซื้อสิทธิ์แบรนด์ KFC เมื่อปี 2012 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2013 มูลค่าดีลในตอนนั้นก็สูงถึง 5.1 พันล้านริงกิตหรือประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ดังนั้นถ้าหากว่ากลุ่มไทยเบฟฯ จะเข้าซื้อกิจการดังกล่าวก็น่าจะมีมูลค่าสูงกว่าเดิม และแหล่งข่าวกล่าวว่าการเข้าซื้อหุ้นของไทยเบฟฯ จะเป็นการเข้าซื้อหุ้นจาก EPF และ CVC ซึ่งทางกลุ่มนักลงทุนจากยุโรปนี้ก็มีแผนจะเข้ามาลงทุนในมาเลเซียเพียง 5 ปีอยู่แล้ว และกรอบเวลาในช่วงนี้ก็ตรงกับแผนการดังกล่าว ในขณะที่ EPF ก็น่าจะยินยอมขายหุ้น ถ้าหากว่าได้ราคาที่เหมาะสม QSR Brands มีร้าน KFC ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และกัมพูชา รวมทั้งหมด 775 สาขา ในส่วนของ Pizza Hut ก็มีในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ รวม 390 สาขา นอกเหนือจากการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ รวมทั้งเข้าซื้อ Fraser and Neave หรือ F&N แล้ว นับว่าครั้งนี้เป็นอีกระลอกของการขับเคลื่อนเพื่อเข้าสู่ตลาดอาเซียนของเจ้าสัวเจริญ เลยทีเดียว และถ้าหากว่ามองในภาพรวมของธุรกิจในมือของกลุ่มไทยเบฟฯ ก็จะพบว่าทั้งหมดเป็นจิ๊กซอว์ที่เกี่ยวเนื่องกันเพราะเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา เจ้าสัวเจริญ เดินทางไปประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าพบกษัตริย์ของมาเลเซียด้วยตัวเอง และแสดงความสนใจในการนำบิ๊กซี ในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ไซส์ 3,000-4,000 ตารางเมตร เข้าไปเปิดที่มาเลเซีย ด้วยงบประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อสาขา Source Source ​
การลงทุนในธุรกิจอาหารและค้าปลีกในมาเลเซียของไทยเบฟฯ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกลยุทธ์การขยายตลาดของบริษัทในหลายด้าน ดังนี้ 1. ขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคอาเซียน : การเข้าซื้อกิจการของ KFC และ Pizza Hut ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในมาเลเซีย ช่วยให้ไทยเบฟฯ ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มการเข้าถึงในตลาดอาหารฟาสต์ฟู้ดและบริการอาหารในภูมิภาคอาเซียน 2. เสริมสร้างความหลากหลายให้กับพอร์ตการลงทุน : การลงทุนในธุรกิจอาหารและค้าปลีกช่วยให้ไทยเบฟฯ มีความหลากหลายในการลงทุน 3. เสริมศักยภาพในการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางธุรกิจ : การมีแบรนด์อาหารและค้าปลีกที่แข็งแกร่งสามารถสร้างโอกาสในการพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลาย 4. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก : การลงทุนในธุรกิจที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีเครือข่ายที่กว้างขวาง 5. สร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าและการเติบโตของบริษัท : การลงทุนในธุรกิจอาหารและค้าปลีกในมาเลเซียช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับไทยเบฟฯ โดยการขยายกิจการและเพิ่มฐานรายได้จากธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง การลงทุนในธุรกิจอาหารและค้าปลีกในมาเลเซียจึงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การขยายตลาดของไทยเบฟฯ ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียนและการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดโลก.
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52926
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ The Table by KFC
null
“KFC” ประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ The Table by KFC ซึ่งพัฒนาในคอนเซ็ปต์ “deli-style food retail” หรือ ร้านอาหารที่ทำสำเร็จพร้อมรับประทาน เพื่อตอบโจทย์ความสะดวก และเน้นซื้อกลับบ้าน โดยกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนที่มาช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้า S-PAL Sendai เมืองเซนได จังหวัดมิยางิ และผู้ที่เดินทางไปมาโดยรถไฟฟ้าของสถานีรถไฟฟ้า JR Sendai โดยจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพและเมนูไก่ที่หลากหลาย ส่วนการออกแบบร้าน จะใช้วัสดุจากไม้ เพื่อให้เป็นธรรมชาติ เรียบง่าย ให้ความรู้สึกเหมือนห้องครัวภายในบ้าน บทเรียนจากย่อหน้านี้ “KFC” ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ในชื่อ “The Table by KFC” เตรียมให้บริการตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2017 สาขาแรกที่ศูนย์การค้า S-PAL Sendai ในเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ “The Table by KFC” เป็นโมเดลธุรกิจใหม่ของ KFC ที่พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “deli-style food retail” หรือร้านอาหารที่ทำสำเร็จพร้อมรับประทาน เพื่อตอบโจทย์ความสะดวก และเน้นซื้อกลับบ้าน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ คนที่มาช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าแห่งนี้ และผู้ที่เดินทางไปมาโดยรถไฟฟ้า เนื่องจากศูนย์การค้าเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า JR Sendai เมนูอาหารที่จำหน่าย มีทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น เมนูสลัดสูตรต่างๆ ให้เลือก และความหลากหลายของเมนูไก่ เช่น ไก่ตุ๋นในซอสมะเขือเทศ และซอสมิโซะ, ไก่ย่าง รวมถึงยังคงจำหน่ายเมนูไก่ทอด เช่น ไก่ทอดคลุกเคล้าเครื่องเทศ และไก่ทอดแบบทั้งตัว เพื่อเอาใจแฟนคลับ KFC นอกจากนี้ยังมีรายการอาหารพิเศษในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อให้ลูกค้าซื้อไปจัดปาร์ตี้ที่บ้าน หรือรับประทานอาหารร่วมกันกับครอบครัว ขณะที่สไตล์การออกแบบตกแต่งร้าน ใช้วัสดุจากไม้ เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ เรียบง่าย ให้ความรู้สึกเหมือน “ห้องครัวภายในบ้าน” สำหรับราคาอาหาร เช่น ไก่ทั้งตัว อยู่ที่ 3,200 เยน หรือประมาณ 30 เหรียญสหรัฐ ขณะที่เมนูอาหารอื่นๆ ราคาโดยเฉลี่ย 300 เยนต่อ 100 กรัม
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52930
Retail
Supply ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะใน CBD จะมาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ใด
ผ่านพ้นครึ่งแรกของปี 2560 ทิศทาง 3 ธุรกิจหลักในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ทั้งอาคารสำนักงาน (Office Building) พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียม ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้เติบโตมากนัก หรือภาพรวมกำลังซื้อจะมีอยู่ค่อนข้างจำกัด แต่ความต้องการพื้นที่สำนักงาน รวมทั้งอัตราการเช่าและค่าเช่าก็ยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง เช่นเดียวธุรกิจค้าปลีกที่ยังขยายตัว รวมทั้งอัตราการเช่าที่เกือบเต็มพื้นที่ในหลายๆ โครงการ ขณะที่ตลาดคอนโดแม้จะมียูนิตเหลือขายในหลายโครงการ แต่ยังไม่ถึงจุด Over Supply เพราะในบางทำเลยังมีโอกาสให้โครงการใหม่แทรกขึ้นมาได้ โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้าง โดยช่วงไตรมาส 2 มีจำนวนยูนิตจากโครงการใหม่เพิ่มจากต้นปี 30% ขณะที่ราคาขายปรับเพิ่มขึ้นอีก 10-20% ต่อปี สัญชัย คูเอกชัย รองกรรมการผู้จัดการ และ สุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกันฉายภาพรวมทั้ง 3 ตลาดในเขตกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบ พร้อมคาดการณ์ทิศทางธุรกิจ หรือปัจจัยต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้แต่ละกลุ่มเติบโตต่อได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนี้ สัญชัย คูเอกชัย และ สุรเชษฐ กองชีพ อาคารสำนักงาน 1. พื้นที่อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีประมาณ 8.6 ล้านตารางเมตร ขณะที่ความต้องการของผู้เช่ามีเพิ่มขึ้น ทั้งการเช่าพื้นที่ใหม่หรือขยายพื้นที่เช่าเพิ่มเติม โดยอัตราเช่าของอาคารเกรด A และ B มีมากกว่า 90% ขณะที่อัตราการเช่าเฉลี่ยในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 92% ส่วนสำนักงานใหม่ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จก็มีอัตราการเช่าเกือบเต็ม 100% แสดงว่าตลาดเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติมากขึ้น 2.ด้วยราคาที่ดินที่สูงขึ้น โดยเฉพาะใน CBD เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ Supply ลดลง ประกอบกับการพัฒนาโครงการที่ใช้เวลานาน ทำให้มีโครงการเกิดใหม่น้อย อัตราค่าเช่าจึงปรับเพิ่มขึ้นทั้งในโซน CBD และพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะอาคารเกรด A จะมีระดับค่าเช่าสูงกว่า 1,000 บาทต่อตารางเมตร/เดือน และมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในแต่ละปี 3.Supply ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะใน CBD จะมาจากโครงการมิกซ์ยูสซึ่งจะมีสำนักงานให้เช่าอยู่ในโครงการด้วย จากราคาที่ดินที่สูงขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาโครงการคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการมากขึ้น ทำให้โครงการที่มีเฉพาะอาคารสำนักงานอย่างเดียวจะอยู่นอก CBD ส่วนใน CBD จะมีขึ้นเฉพาะบนที่ดินที่เป็นสัญญาเช่าระยะยาว 4.การสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ทำให้ในอนาคตจะมีอาคารสำนักงานใหม่เปิดให้บริการนอกพื้นที่ปัจจุบัน โดยอุปทานใหม่ช่วงก่อนปี 2562 ส่วนใหญ่จะอยู่นอก CBD (2.54 แสนตารางเมตร) ส่วนอุปทานใหม่ที่เกิดขึ้นหลังปี 2562 ส่วนใหญ่จะอยู่ใน CBD มากขึ้น (1.1 ล้านตารางเมตร) พื้นที่ค้าปลีก 1. พื้นที่ค้าปลีกในกรุงเทพฯ และโดยรอบมีเกือบ 8 ล้านตารางเมตร โดยศูนย์การค้ามีสัดส่วนมากที่สุด 58% ขณะที่กลุ่มร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กมีการแข่งขันสูง ทำให้หลายแบรนด์พยายามพัฒนารูปแบบนี้ออกมามากขึ้น ส่วนคอมมูนิตี้มอลล์ยังขยายตัวแต่มีอัตราลดลงเพราะหลายโครงการไม่ได้รับความนิยมเหมือนช่วงแรกๆ 2. ในธุรกิจค้าปลีกก็พบปัญหาเรื่องราคาที่ดินโซน CBD สูงขึ้น ทำให้เจ้าของโครงการมีแนวคิดพัฒนาโครงการในรูปแบบที่เป็นมิกซ์ยูสมากขึ้นเช่นเดียวกัน ประกอบกับพื้นที่ค้าปลีกเป็นการลงทุนระยะยาวและใช้เวลาพัฒนาค่อนข้างนาน ส่งผลให้อุปทานมีแนวโน้มขยายตัว 3. อัตราค่าเช่าพื้นที่ในโครงการจะแตกต่างกันไปตามประเภทและทำเล ถ้าอยู่ใน CBD อยู่ที่ประมาณ 3,200 – 3,300 บาท/ตารางเมตร โซนอื่น 2,700 -2,800 บาท/ตารางเมตร และถ้าอยู่นอก กทม. อาจต่ำกว่า 2,000 บาท/ตารางเมตร โดยร้านค้าหรือแบรนด์จากต่างประเทศยังให้ความสำคัญที่จะเข้ามาเปิดสาขาในไทย เพราะเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวและทำงาน รวมทั้งศูนย์การค้าในเมืองใหญ่ก็หันมาจับกลุ่มชาวต่างชาติมากขึ้น 4. เจ้าของโครงการมีแผนขยายสาขา เพิ่มจำนวนโครงการและปรับปรุงพื้นที่ค้าปลีกของตัวเองต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน โดยจะมีพื้นที่โครงการใหม่ในปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนตารางเมตร และจะเพิ่มต่อเนื่องถึงปี 2561 เป็น 3 แสนตารางเมตร โดยเฉพาะพื้นที่ศูนย์การค้าจะเพิ่มในปีนี้ 1 แสนตารางเมตร และขยับเป็นเกือบ 2.5 แสนตารางเมตรในปีหน้า 5. แม้ตลาดค้าปลีกในหลายประเทศจะได้รับผลกระทบจากช้อปปิ้งออนไลน์ แต่ในประเทศไทยยังคงไม่เห็นผลกระทบแบบชัดเจน เพราะผู้ประกอบการโครงการค้าปลีกต่างๆ มีการพัฒนาระบบช้อปปิ้งออนไลน์มารองรับ ทำให้ได้รับความนิยมจากคนไทยในระดับหนึ่ง คอนโดมิเนียม 1. มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในไตรมาส 2 ราว 13,605 ยูนิต มากกว่าไตรมาสก่อน 30% และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ทำให้คอนโดมิเนียมที่จะเปิดขายใหม่ในปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมากกว่า 45,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 15% 2. ขณะที่กำลังซื้อไม่ได้เพิ่มตาม เพราะคอนโดที่เปิดใหม่ ขายได้เพียง 50% มีเพียงบางโครงการที่ขายหมด บางโครงการขายได้น้อยมาก จึงมีคอนโดมิเนียมเหลือขายในกรุงเทพฯ 35,000 ยูนิต ผู้ประกอบการแต่ละรายต่างมีห้องเหลือขายอยู่จำนวนไม่น้อย หลายรายเลือกกระจายความเสี่ยงด้วยการตัดห้องบางส่วนขายให้กับกลุ่มนักลงทุน แต่ต้องพบความเสี่ยงใหม่เมื่อบางส่วนซื้อแล้วไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ 3. ราคาขายคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องประมาณ 10-20% ต่อปี แม้โครงการจะอยู่นอก CBD แต่ราคาก็ยังขึ้นอยู่ ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการให้ความสำคัญกับตลาดในระดับราคา 50,000 -100,000 บาท/ตารางเมตร ที่ตอบโจทย์กำลังซื้อนอก CBD มากขึ้น ส่วนราคาที่มากกว่า 150,00 บาท/ตารางเมตร เริ่มขายได้น้อยลง เพราะกำลังซื้อคนมีจำกัด ทำให้ผู้พัฒนาเลือกชะลอโครงการเหล่านี้ออกไปก่อน โดยแนวเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย เป็นทำเลที่ผู้ประกอบการสนใจไปเปิดโครงการใหม่ 4. ผู้ประกอบการพยายามหาโลเกชั่นใหม่เปิดโครงการ เพื่อไม่ให้กระจุกอยู่ในโลเกชั่นเดิมๆ ลักษณะการลงทุนที่ก่อนหน้านี้ บางรายทำ 2-3 โครงการในทำเลเดียวกันจะไม่ค่อยเห็นแล้ว โดยผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายมากขึ้น โดยเฉพาะสายสีน้ำเงิน ที่จะเห็นการลงทุนเส้นจรัญสนิทวงศ์และเพชรเกษมเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 6,000 -7,000 ยูนิต รวมทั้งในสายสีเขียวทั้งทางเหนือและทางใต้ด้วยเช่นกัน 5. สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัด ยังชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพัทยาที่มีโครงการเปิดขายใหม่ลดลงชัดเจนจากช่วง 2-3 ปีก่อนหน้า และมีห้องเหลือเป็นหมื่นยูนิต จากการที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะซื้อเพื่อเก็งกำไร และไม่มาโอนกรรมสิทธิ์ ส่วนตลาดอื่นๆ ทั้งชะอำ หัวหิน เขาใหญ่ หรือภูเก็ตยังไม่มีอะไรหวือหวา แต่ตลาดที่มีความคึกคักและน่าจับตาคือ เชียงใหม่ เนื่องจากมีกลุ่มคนจีนเข้ามาซื้อคอนโดในพื้นที่มากขึ้น ทำให้เชียงใหม่กลายเป็นตลาดสำคัญของคนจีนในขณะนี้ แต่ยังคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวเพื่อประเมินสถานการณ์ไปอีกระยะหนึ่ง
Supply ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะใน CBD จะมาจากโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งจะมีสำนักงานให้เช่าอยู่ในโครงการด้วย จากราคาที่ดินที่สูงขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาโครงการคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการมากขึ้น ทำให้โครงการที่มีเฉพาะอาคารสำนักงานอย่างเดียวจะอยู่นอก CBD ส่วนใน CBD จะมีขึ้นเฉพาะบนที่ดินที่เป็นสัญญาเช่าระยะยาว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52932
Retail
กลยุทธ์การกระจายสินค้าของคาราบาวกรุ๊ปในต่างประเทศ เหมาะสมกับตลาด Retail ในปัจจุบันหรือไม่? อธิบายและเสนอแนะแนวทางเพิ่มเติม
null
กลยุทธ์การกระจายสินค้าของคาราบาวกรุ๊ปในต่างประเทศ มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับตลาด Retail ในปัจจุบัน จุดแข็ง: การใช้โมเดล Partnership: การจับมือกับพันธมิตรธุรกิจในต่างประเทศ ช่วยให้คาราบาวกรุ๊ปเข้าถึงตลาดและช่องทางการจำหน่ายได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้วยตัวเอง การใช้ Sport Marketing: การเป็นสปอนเซอร์สโมสรฟุตบอลชั้นนำ ช่วยสร้าง Brand Awareness และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าถึง Modern Trade รายใหญ่: คาราบาวกรุ๊ปสามารถวางจำหน่ายสินค้าใน Tesco, Sainsbury’s, Co-op และ Morrisons ซึ่งเป็น Modern Trade รายใหญ่ในอังกฤษ จุดอ่อน: การพึ่งพา Modern Trade: การพึ่งพา Modern Trade เพียงอย่างเดียว อาจทำให้คาราบาวกรุ๊ปสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าบางกลุ่ม เช่น ผู้บริโภคที่ชื่นชอบสินค้าท้องถิ่น การแข่งขันที่รุนแรง: ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในต่างประเทศมีความแข่งขันสูง คาราบาวกรุ๊ปต้องเผชิญกับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง เช่น Red Bull, Monster Energy และ Rockstar ความท้าทายด้านวัฒนธรรม: คาราบาวกรุ๊ปต้องปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมและพฤติกรรมการบริโภคของแต่ละประเทศ แนวทางเพิ่มเติม: การขยายช่องทางจำหน่าย: คาราบาวกรุ๊ปควรขยายช่องทางจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยาออนไลน์ และร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม การพัฒนาสินค้าใหม่: คาราบาวกรุ๊ปควรพัฒนาสินค้าใหม่ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในต่างประเทศ เช่น เครื่องดื่มชูกำลังที่มีรสชาติใหม่ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสมุนไพร การสร้าง Brand Experience: คาราบาวกรุ๊ปควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและสร้าง Brand Experience ให้กับผู้บริโภค เช่น การจัดกิจกรรมชิมสินค้า หรือการจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬา การศึกษาตลาดอย่างละเอียด: คาราบาวกรุ๊ปควรศึกษาตลาดในต่างประเทศอย่างละเอียดก่อนเข้าทำการตลาด เพื่อเข้าใจพฤติกรรมการบริโภค วัฒนธรรม และกฎระเบียบของแต่ละประเทศ สรุป: กลยุทธ์การกระจายสินค้าของคาราบาวกรุ๊ปในต่างประเทศ มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับตลาด Retail ในปัจจุบัน คาราบาวกรุ๊ปควรขยายช่องทางจำหน่าย พัฒนาสินค้าใหม่ สร้าง Brand Experience และศึกษาตลาดอย่างละเอียด เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52946
Retail
ทำไมการปรับตัวให้ทันกับสื่อดิจิทัลและกลยุทธ์ Mobile-First ถึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแบรนด์ที่ต้องการครองตลาดในอนาคต?
หัวข้อ Victoria’s Secret, Sephora และ Nike ขึ้นแท่นแบรนด์แฟชั่นขวัญใจ หนุ่ม-สาว Millennial - Brand Buffet ​3 แบรนด์แฟชั่นและความงามรั้งอันดับผู้นำครองตำแหน่งแบรนด์ขวัญใจผู้บริโภคหนุ่มสาวจากผลสำรวจล่าสุด “Love List Brand Affinity Index” ที่รวบรวมผลสำรวจโดย Conde’ Nast US และ Goldman Sachs ที่เก็บผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างชาว Millennial และ Gen Z ในหัวข้อเกี่ยวกับแบรนด์แฟชั่น ร้านค้าปลีก และความงามที่พวกเขาชื่นชอบ กลุ่มตัวอย่าง 2,345 คนชาวสหรัฐ ช่วงอายุระหว่าง 13-39 ปี โดยจุดที่น่าสนใจคือผลสำรวจพบว่า Key Success ของทั้งสามแบรนด์คือการทำการตลาดบนช่องทางดิจิทัล กล่าวคือทั้งสามแบรนด์มียอดขายหนึ่งในสามมาจากช่องทางออนไลน์ 35% จากผู้หญิง และ 42% จากผู้ชาย เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายเป็นพวกตัดสินใจเร็ว ชอบของมีคุณภาพ และรักในความสะดวกสบาย เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซ้อสินค้าบนโลกออนไลน์สำหรับพวกเขา Pamela Drucker Mann หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Conde’ Nast ให้คำแนะนำไว้ว่า “อุตสาหกรรมค้าปลีกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ถ้าคุณต้องการกุมตลาดในยุคต่อไปให้ได้ ต้องปรับตัวรับให้ทันกับสื่อดิจิทัลและกลยุทธ์ Mobile-First เพราะคนในยุคต่อไปเกิดมาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือพวกเขา พวกเขาเสพติดเทคโนโลยี แค่คาดหวังในประสิทธิภาพและการได้ทุกอย่างที่ต้องการภายในเวลาอันรวดเร็ว” และด้านล่างคือ 20 แบรนด์ที่ได้รับการจัดอันดับความนิยมมากที่สุดจากการสำรวจดังกล่าว 1 Victoria’s Secret Lingerie 56.6% 2 Sephora Beauty Retail 38.0% 3 Nike Athletic 29.7% 4 Coach Handbags 13.4% 5 Kate Spade Handbags 13.3% 6 Michael Kors Handbags 12.7% 7 Ulta Beauty Retail 12.7% 8 Lululemon Athletic 11.8% 9 DSW Shoe Retail 11.0% 10 Nordstrom Shoe Retail 10.0% 11 Macy’s Handbag Retail 9.3% 12 Under Armour Athletic 8.2% 13 Adidas Athletic 7.6% 14 MAC Beauty 7.4% 15 Steve Madden Shoes 6.4% 16 Urban Decay Beauty 5.9% 17 Target Athletic Retail 5.1% 18 Forever 21 Clothing Retail 4.7% 19 Zappos.com Shoe Retail 4.4% 20 T.J.Maxx Handbag Retail 4.4% Source แปลและเรียบเรียงโดย Prim NM
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง: ในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้มือถือเป็นเครื่องมือหลักในการเข้าถึงข้อมูลและทำการซื้อสินค้า การมีกลยุทธ์ Mobile-First ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็วผ่านช่องทางที่พวกเขาคุ้นเคย การปรับตัวให้ทันกับสื่อดิจิทัลและกลยุทธ์ Mobile-First ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน แต่ยังเป็นการวางรากฐานเพื่อความสำเร็จในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคตอีกด้วย.
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52958
Retail
นับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2555 เมกาบางนาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการของไทย และต่างชาติ และมีผู้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์ฯ กี่ล้านคนต่อเดือน
ถนน “บางนา-ตราด” (กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก) เป็นอีกหนึ่งทำเลทอง เพราะมีศักยภาพสูง ทั้งความเจริญขยายออกมานอกใจกลางเมือง เนื่องจากความหนาแน่นของในเมือง และการพัฒนานาระบบคมนาคม ทั้งถนนหนทาง และโครงการรถไฟฟ้าที่ขยายออกมายังโซนนี้ จากปัจจุบันมีส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (บางจาก – แบริ่ง) อีกทั้งในปี 2563 จะมีสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว (บางนา – ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 ส่งผลให้เกิดโครงการที่อยู่อาศัยมากมาย ทั้งแนวราบ และแนวสูง รวมทั้งอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทโจนส์แลง ลาซาลล์ หรือ JLL บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ชี้ว่านับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา อัตราการเช่าสำนักงานในย่านนี้เพิ่มขึ้นถึง 54% ด้วยเหตุนี้เองทำให้จำนวนประชากรในโซนนี้เพิ่มสูงขึ้น นี่จึงทำให้ “บางนา-ตราด” ที่เดิมมีแต่ “เซ็นทรัล บางนา” หรือแม้แต่ข้ามไปยังโซนศรีนครินทร์ กำลังจะกลายเป็นสนามการแข่งขันของยักษ์ใหญ่ ที่ทุ่มทุนสร้างอภิมหาโปรเจค ในรูปแบบ “Mixed-use Development” ทั้งจาก “เมกาบางนา” ที่เตรียมยกระดับสู่การเป็น “เมกาซิตี้” และ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ที่ขณะนี้กำลังสร้างโครงการ “Bangkok Mall” ตั้งอยู่บนจุดตัดถนนบางนา-ตราดกับสุขุมวิท บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ พื้นที่โครงการ 650,000 ตารางเมตร ด้วยงบลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงานแบบครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “City within the City” ทุ่ม 67,000 ล้าน เนรมิตเมือง “เมกาซิตี้” มาครบ จัดเต็ม! หลังจากเปิดให้บริการมาแล้ว 5 ปี สำหรับโครงการศูนย์การค้าแนวราบใหญ่ที่สุดในอาเซียน “เมกาบางนา” ที่มี IKEA เป็นแม่เหล็กใหญ่ ภายใต้การดำเนินการของ “บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด” เป็นการร่วมทุนระหว่าง “บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์” กับ “อิคาโน่ รีเทล เอเชีย” (IKANO Retail Asia) มาวันนี้ ด้วยศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของถนนบางนา-ตราด ทำให้ “เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์” ยกระดับโครงการเป็น Mixed-use Development ภายใต้ชื่อ “เมกาซิตี้” ด้วยงบลงทุนกว่า 67,000 ล้านบาท โดยผนวกศูนย์การค้า “เมกาบางนา” รวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ที่ประกอบด้วยศูนย์การค้า, ที่อยู่อาศัย รองรับคนกว่า 50,000 คน, อาคารสำนักงาน รองรับคนกว่า 30,000 คน, โรงแรม 2 แห่ง พร้อมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะ บนพื้นที่ทั้งหมด 400 ไร่ เพื่อปลุกปั้นให้เป็น Landmark สำคัญของกรุงเทพฯ สำหรับแผนการพัฒนา “เมกาซิตี้” ในเบื้องต้นกำหนดเป็น 2 เฟส ได้แก่ เฟสแรก ใช้งบลงทุน 2,000 ล้านบาท สร้างลานจอดรถเพิ่มเติม รองรับ 1,200 คัน / ส่วนต่อขยายศูนย์การค้า ด้วยการเพิ่มร้านค้าอีก 40 ร้าน และซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้โดยรวมมีทั้งหมด 900 ร้านค้า จากขณะนี้มี 800 ร้านค้า / การสร้างถนนด้านหลังโครงการ เพื่อทำให้การเข้า-ออกโครงการสะดวกขึ้น โดยทั้ง 3 ส่วนนี้ จะสร้างเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2560 นอกจากนี้ปีนี้เตรียมสร้าง “โซน Entertainment, Leisure, Sport, Education” โดยมี “Latitude” จากออสเตรเลีย เป็นผู้เช่ารายใหญ่ในโซนนี้ คาดว่าจะสร้างเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2561 เฟสสอง พัฒนา “โรงแรมแห่งแรก” เป็นของโครงการเมกาซิตี้ ด้วยงบลงทุน 3,000 ล้านบาท เป็นอาคาร 9 ชั้น 240 ห้อง เริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2561 และจะคัดเลือกบริษัทเข้ามาเป็นผู้บริหารโรงแรมนี้ ส่วนการพัฒนา “โรงแรมแห่งที่สอง ยังไม่มีกำหนดการสร้าง เนื่องจากจะเปิดให้เชนโรงแรม หรือบริษัทที่สนใจเข้ามาลงทุนพัฒนาพื้นที่และสร้างโครงการเอง นอกจากนี้กำลังหานักลงทุนร่วมทุน (Joint Venture) พัฒนาอาคารสำนักงาน และโครงการที่อยู่อาศัย เหตุผลที่โครงการมีโรงแรมสองแห่ง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางมาไทย แม้จะไม่ใช่กลุ่มลูกค้าหลักที่มาเดินในโครงการก็ตาม แต่ก็ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะเป็นกลุ่มมีศักยภาพ และมีการใช้จ่ายสูง “นับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2555 เมกาบางนาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการของไทย และต่างชาติ และมีผู้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์ฯ 3.5 ล้านคนต่อเดือน หรือกว่า 40 ล้านคนต่อปี โดย 98% เป็นคนไทย และ 2% เป็นนักท่องเที่ยว ซึ่งเรามีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 10% ทุกปี และความถี่ของคนที่มาเดินเมกาบางนา โดยเฉลี่ย 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ละครั้งที่มาใช้เวลาในศูนย์ฯ 3 ชั่วโมง เราคาดว่าการเพิ่มอาคารจอดรถ 7 ชั้น ประกอบกับการสร้างถนนวงแหวนภายในเมกาบางนา จะเสริมสภาพคล่องของการจราจร และเพิ่มพื้นที่จอดรถให้ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันส่วนต่อขยายของศูนย์การค้าจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าใช้บริการภายในศูนย์ฯ ได้อีก 10% ต่อเดือน ดังนั้น เมื่อโครงการเมกาซิตี้พัฒนาเสร็จสมบูรณ์ทุกส่วนแล้ว คาดการณ์ว่าทั้งโครงการจะมีคนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ทั้งช้อปปิ้ง ทำงาน พักอาศัย ไม่ต่ำกว่า 250,000 คนต่อวัน สำหรับแนวโน้มการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Mixed-use Developement เป็นเทรนด์แห่งอนาคต และจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากทุกวันนี้ความเป็นเมือง (Urbanization) ขยายตัวมากขึ้น และถ้าสังเกตดู Community Mall ทั้งหลาย เกิดขึ้นใกล้ที่อยู่อาศัยทั้งนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าการสร้าง Mixed-use Project ต้องมีส่วนประกอบของที่อยู่อาศัยด้วย เพราะทุกคนอยากอยู่ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ใกล้ที่ทำงาน และที่อยู่อาศัย” คุณคริสเตียน โอลอฟสัน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา และโครงการเมกาซิตี้ บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด กล่าว จับตา “IKANO Retail” บุกสร้างรีเทล 10 แห่งทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวลานี้ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” กลายเป็นเป้าหมายการลงทุนสำคัญของยักษ์ใหญ่กลุ่มธุรกิจต่างๆ จากทั่วโลก อย่าง “IKANO Group” บริษัทแม่ของ IKEA ปัจจุบันมีหลายกลุ่มธุรกิจ ทั้งการเงิน, ประกัน, อสังหาริมทรัพย์, ค้าปลีก โดยธุรกิจที่เข้ามารุกตลาดแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ “ธุรกิจค้าปลีก” ภายใต้ชื่อ “IKANO Retail Asia” เป้าหมายใหญ่ของ “IKANO Retail Asia” ต้องการขยายโครงการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 10 แห่งภายใน 20 ปีข้างหน้า โดยมีทั้งรูปแบบเปิดเป็น IKEA Store หรือจะพัฒนาเป็นศูนย์การค้า ที่มาพร้อมกับ IKEA Store และรูปแบบ Mixed-use Development การลงทุนแต่ละฟอร์แมต ขึ้นอยู่กับการได้ที่ดิน ทำเล และสภาพแวดล้อมทางการตลาด ทั้งนี้ ปัจจุบัน IKANO Retail Asia ปักธงใน 3 ประเทศแล้ว คือ “สิงคโปร์” เปิดเป็น IKEA Store, “ประเทศไทย” ใช้โมเดลจับมือกับ Local Partner เช่น ร่วมกับกลุ่มสยามฟิวเจอร์ฯ ทำโครงการเมกาซิตี้ รวมทั้งผนึกกำลังกับกลุ่มเซ็นทรัล สร้าง IKEA Store ในเซ็นทรัล เวสต์เกต นอกจากนี้ยังได้ศึกษาทำเลต่างๆ และขณะนี้ซื้อที่ดินไว้หลายที่แล้ว, “มาเลเซีย” กำลังพัฒนาโครงการ 2 แห่ง ที่กัวลาลัมเปอร์ ชื่อ My Town เตรียมเปิดให้บริการมีนาคมนี้ โดยเปิดศูนย์การค้าก่อน แล้วต่อด้วยอาคารสำนักงาน และที่ปีนัง สร้างบนพื้นที่ 700 ไร่ นอกจากนี้ได้วางแผนลงทุนในฟิลิปปินส์ และเวียดนาม นี่เป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้น…แต่เมื่อไรก็ตามที่ Developer พัฒนาอภิมหาโปรเจคเสร็จ และระบบคมนาคมขนส่งมวลชนมีความพร้อม เมื่อนั้น “บางนา-ตราด” จะกลายเป็นทำเลทองฝังเพชร ที่ดุเดือดด้วยการแข่งขันของบรรดายักษ์ใหญ่ คุณคริสเตียน โอลอฟสัน
นับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2555 เมกาบางนาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการของไทย และต่างชาติ และมีผู้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์ฯ 3.5 ล้านคนต่อเดือน หรือกว่า 40 ล้านคนต่อปี โดย 98% เป็นคนไทย และ 2% เป็นนักท่องเที่ยว ซึ่งมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 10% ทุกปี และความถี่ของคนที่มาเดินเมกาบางนา โดยเฉลี่ย 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ละครั้งที่มาใช้เวลาในศูนย์ฯ 3 ชั่วโมง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52978
Retail
ในปี 2015 ยอดขายของกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์
-เซ็นทรัลตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำในกลุ่มบริษัทด้าน “ไลฟ์สไตล์และการบริการ” ศูนย์รวมแห่งการกิน เที่ยว ช้อป พักผ่อน และความบันเทิงอย่างครบวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม – ทะยานสู่เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพลิกโอกาสทางธุรกิจ ในการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งในรูปแบบออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ช ที่สะดวก รวดเร็ว ตรงกับความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง ด้วยคุณภาพของสินค้าและการบริการที่ได้มาตรฐาน – เน้นบุกตลาดธุรกิจบนเวทีโลกไปยังกลุ่มเออีซี / ซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ซึ่งมีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง นอกจากนี้ได้เผยโฉมหน้าทัพผู้บริหารระดับขุนพล กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจ และเตรียมความพร้อมรับมือความท้าทายในอนาคต ทีมผู้บริหารใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัล 1. ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ที่ปรึกษาอาวุโส 2. ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ที่ปรึกษาอาวุโส 3. คุณญนน์ โภคทรัพย์ President of Central Group 4. คุณนิโคโล กาลันเต้ Chief Operating Officer, Central Group 5. คุณชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัล การปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารเดิม 1. คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร (in charge of CSR / Relations/ Communications and Group Marketing) 2. คุณวิมลมาศ เกื้อโกมลเดช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล กลุ่มเซ็นทรัล 3. คุณสจ๊วต สเต็มเพิล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล กลุ่มเซ็นทรัล ความท้าทายในอนาคตและทิศทางการดำเนินงานของกลุ่มเซ็นทรัล 1. มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในกลุ่มบริษัทด้าน “ไลฟ์สไตล์และการบริการ” ก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นศูนย์รวมแห่งการกิน เที่ยว ช้อป พักผ่อน และความบันเทิงอย่างครบวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มรองรับความท้าทายการแข่งขันในอนาคต และพร้อมดำเนินธุรกิจด้วยการมองการณ์ไกลไปอีก 10 ปีข้างหน้า – ปี 2016 กลุ่มเซ็นทรัล ประมาณการยอดขายรวมคิดเป็น 3.2 แสนล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 21% – ยอดขาย แบ่งตามลักษณะภูมิศาสตร์ กรุงเทพมหานคร 40% (กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลอีก 5 แห่ง) ต่างจังหวัด 30% (ครอบคลุมจังหวัดสำคัญ 36 จังหวัด ภายในปี 2017) ต่างประเทศ 30% 2. ลูกค้าที่มีความหลากหลายยิ่งขึ้น กลุ่มลูกค้าไทย – จำนวนประชากรไทยทั้งหมด 66 ล้านคน (ข้อมูลปี 2016) อัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรเพียง 0.5% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา – 1/3 ของจำนวนประชากรที่อาศัยในเขตเทศบาล และมีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ – ภายใน 4 ปีข้างหน้า (ปี 2020) ประชากรผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) จะมีมากกว่าประชากรเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) กลุ่มลูกค้าไทยของกลุ่มเซ็นทรัล – ปี 2016 ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลกระจายตัวอยู่ทั้งหมด 34 จังหวัดทั่วประเทศ รองรับประชากรไทยกว่า 45 ล้านคน (70%ของประชากรไทยทั้งหมด) – จำนวนสมาชิก The 1 card มีทั้งหมด 11 ล้านคน โดยส่วนมากเป็นคนเจนเนเรชั่น X กลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว – จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทยปี 2015 มีประมาณ 30 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2014 – จำนวนนักท่องเที่ยว แบ่งตามเชื้อชาติ – ยอดใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อวัน 5,140บาท แบ่งเป็น ที่พักอาศัย 30%, จับจ่าย ใช้สอย 19%, อาหารและเครื่องดื่ม 11%, กิจกรรมความบันเทิง 10% , ท่องเที่ยว 6% และอื่นๆ – จังหวัดยอดนิยม วัดจาก hashtag# ของนักท่องเที่ยวในโซเชียลมีเดีย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ภูเก็ต, ชลบุรี,กระบี่,สุราษฎ์ธานี,พังงา,เชียงใหม่,สงขลา,และอยุธยา กลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวของกลุ่มเซ็นทรัล – ในปี 2015ยอดขายของกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2014 ซึ่งอัตราการเติบโตสูงสุดมาจากนักท่องเที่ยวจีน (78%), กลุ่มตะวันออกกลาง (48%), และอินเดีย (22%) – ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลได้กระจายตัวอยู่ทั้งหมด 7 แห่งใน 8 จังหวัดยอดนิยมของนักท่องเที่ยว กลุ่มลูกค้าในเขตการค้าชายแดน – กระตุ้นการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งประชากรจากทั้ง 4 ประเทศรวมกันมีจำนวนกว่า 107 ล้านคน – ขยายศักยภาพการค้าปลีกครบวงจรไปในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีประชากรรวมทั้งหมด 92ล้านคน และยอด GDPเติบโตมากกว่า 10% 3. เศรษฐกิจในยุคดิจิทัล : ออนไลน์, ธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ฉีกกรอบธุรกิจแบบเดิมๆ – เทคโนโลยีที่หลากหลายในยุคดิจิตอลได้ฉีกกรอบการทำธุรกิจและวิถีการดำเนินชีวิตของประชากรทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เน็ตในมือถือ, เทคโนโลยีคลาวด์ เป็นต้น – ยุคดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนไทยในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าต่างๆ ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น เช่น สินค้าความงาม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ผู้บริโภคจะทำการค้นหาข้อมูลออนไลน์มากกว่า 50% เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ และแนวโน้มการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ – ธุรกิจต้องทำการผนวกรวมทุกช่องทางการขายเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะเข้าถึงผู้บริโภคได้สูงสุด เพราะปัจจุบันผู้บริโภคนิยมใช้สมาร์ทโฟน แอพพลิเคชั่น และเสพสื่อโซเชียลมีเดียไปพร้อมกัน ขณะเดินจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้า – ใน 10 ปีข้างหน้า การเติบโตโดยส่วนใหญ่ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยจะมาจากช่องทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศการดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์มีบทบาทอย่างมาก เช่น จีน (ยอดขายทางออนไลน์คิดเป็น 14%ของยอดขายรวมทั้งหมด), ญี่ปุ่น (7%) และสหรัฐอเมริกา (9%) – ธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์(อีคอมเมิร์ส) ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมในประเทศไทย (มีเพียง 2% ของธุรกิจค้าปลีก) เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกโดยส่วนใหญ่ยังคงยึดการค้าขายรูปแบบเดิม มากกว่าที่จะหลอมรวมกับสื่อออนไลน์ดังนั้นสินค้าและบริการผ่านทางสื่อออนไลน์จึงยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร – ยอดขายทางออนไลน์ของกลุ่มเซ็นทรัลจากออฟฟิศเมท ของประเทศไทย และ เหงียนคิม ของประเทศเวียดนามในปีนี้จะสูงกว่า 2,500ล้านบาท เนื่องจากได้เข้าสู่ช่องทางออนไลน์และเป็นผู้นำในกลุ่มสินค้าอย่างเต็มรูปแบบนอกจากนี้ยอดขายจากช่องทางออนไลน์ของกลุ่ม CentaraHotels and Resortsนับเป็น 30% ของยอดรวม – กลุ่มเซ็นทรัลมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำที่สร้างจุดเปลี่ยนของการทำธุรกิจจากร้านค้า เข้าสู่การผนวกทุกช่องทางการขายเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค เราตั้งใจที่จะนำเสนอสินค้าและบริการ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภคอย่างเต็มความสามารถ – กลุ่มเซ็นทรัลยังเล็งเห็นโอกาสจากการใช้สื่อดิจิทัล ตั้งแต่เรื่องธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (อีคอมเมิร์ส) ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างโมเดลทางธุรกิจ อย่างเช่น Airbnbและ Uber ซึ่งได้เริ่มกระจายธุรกิจต่างๆเข้าไปในช่องทางข้างต้น ไม่ว่าจะเป็น E-book, MEB, Central Online , Zalora ซึ่งในอนาคตกลุ่มเซ็นทรัลจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมในช่องทางดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย 4. การขยายตัวในต่างประเทศ,ระดับโลภาภิวัฒน์ และระดับภูมิภาค (CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม, AEC – ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) การขยายตัวในต่างประเทศ – ปี 2011 ถึงปี 2016 ยอดขายในต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 12 เท่า (จาก 7,000ล้านบาทเป็น 85,000 ล้านบาท) – ยอดขายในประเทศ เพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วงระยะเวลาเดียวกัน – จำนวนประชากรทั้งหมดในกลุ่ม CLMVรวมกับประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย รวมเป็น 525 ล้านคน ประเทศอินโดนีเซีย 258 ล้านคน ประเทศเวียดนาม 92 ล้านคน ประเทศไทย 68 ล้านคน ประเทศพม่า 54 ล้านคน ประเทศมาเลเซีย 30 ล้านคน ประเทศกัมพูชา 16 ล้านคน ประเทศลาว 7 ล้านคน ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีกิจการอยู่ในประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม ในปี 2016 คาดว่าจะมียอดขาย 37,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ธุรกิจช้อปปิ้งมอลล์ 31 แห่ง ธุรกิจFood Retail: ไฮเปอร์มาร์เก็ต / ซูเปอร์มาร์เก็ต 55 แห่ง (Big C 36 แห่ง และ ร้าน Lanchi19 แห่ง) และร้าน Big C Express 13 แห่ง ห้างโรบินส์ 2 แห่ง ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า Nguyen Kim 27 แห่ง ร้านขายอุปกรณ์กีฬา 29 แห่ง (ร้าน Supersports, Crocs, New Balance, Speedo) ร้านขายสินค้าแฟชั่น 36 แห่ง (ร้าน Mark & Spencer, F&F, Komonoya, Lee, Sanrio) ร้าน B2S 2 แห่ง ร้านค้าออนไลน์ : Zaloraและ Nguyen Kim online ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศเวียดนาม ครอบคลุม 26 จังหวัด คิดเป็น 60% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ประเทศมาเลเซีย กลุ่มธุรกิจเทรดดิ้งเสื้อผ้า แฟชั่น HCH โดยเซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป ศูนย์การค้า เซ็นทรัลพลาซา ไอ-ซิตี้ (i-City) โดยซีพีเอ็นจะเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมปี 2018 อินโดนีเซีย ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล 2 แห่ง ในกรุงจาการ์ต้า 5. ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SME) ประเทศไทยมีธุรกิจ SME อยู่ 2.8 ล้านราย โดย 42% หรือ 1.2 ล้านรายของจำนวนธุรกิจ SME ทั้งหมด เป็นธุรกิจด้านการค้าปลีกและค้าส่ง แรงงานในธุรกิจ SME มี 13 ล้านคน โดย 6 ล้านคน คือแรงงานที่อยู่ใน sector เดียวกันของกลุ่มเซ็นทรัล จำแนกเป็น ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง 3.6 ล้านคน ธุรกิจด้านโรงแรมและร้านอาหาร 1.2 ล้านคน ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ 1 ล้านคน ธุรกิจด้านการส่งออก SME มีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ – ปี 2011 ถึงปี 2015 อัตราการส่งออกของธุรกิจ SME มีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 4.8% เปรียบเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่อัตราการส่งออกเติบโตเฉลี่ยต่อปีเพียง 1.2% กลุ่มเซ็นทรัลมีตั้งใจที่จะส่งเสริมและผลักดันธุรกิจเอสเอ็มอีไทยที่มีศักยภาพ เพื่อการเติบโตและขยายตลาดทั้งภายในและนอกประเทศ เป็นการช่วยเหลือชุมชนให้มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนสามารถแบ่งปันความรู้ไปสู่ชุมชนรอบข้างให้เติบโตไปพร้อมกันได้ 6. แนวทางการบริหารงานกับผู้มีส่วนร่วมเชิงธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัลมุ่งมั่นที่จะสร้างค่านิยมขององค์กรไปยังผู้มีส่วนร่วมเชิงธุรกิจ (ผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบ, สิ่งแวดล้อม, สังคม, พนักงาน, หน่วยงานภาครัฐ และคนรุ่นหลัง) ทั้งการร่วมมือกันในระยะยาว, การวางแผนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจร่วมกันด้วยความเท่าเทียม ด้วยการบริหารองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล, ดำเนินงานตามหลักปฏิบัติสากลเพื่อความเป็นเลิศ, ขับเคลื่อนการบริหารงานด้วยการใช้ระบบการจัดการความเสี่ยงระดับมืออาชีพ, มีการกำกับดูแลและบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล และมุ่งเน้นการตรวจสอบ เพื่อความสมดุลและโปร่งใส, ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีร่วมกัน นอกจากนี้การขยายกิจการไปยังประเทศต่างๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของแต่ละประเทศอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบายของทางภาครัฐ พร้อมทั้งยึดมั่นในปรัชญาการบริหารงาน คือ “การพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน” โดยที่ผ่านมากลุ่มเซ็นทรัล มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 30,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ, สร้างอาชีพ พัฒนาและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน อันจะนำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนและประเทศ (ตัวเลขการลงทุนของกลุ่มเซ็นทรัล ในปี 2015 เท่ากับ 34,000ล้านบาท) รวมทั้งการทำธุรกิจคู่สังคม (CSV – Creating Shared Value) กลุ่มเซ็นทรัลตระหนักถึงความสำคัญและยึดถือปฏิบัติในการบริหารธุรกิจควบคู่ไปกับการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม โดยยึดหลักของ UN Global Compact โดยมีวิสัยทัศน์ของ UN SDGs – United Nations Sustainable Development Goals–SDGs)มุ่งที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศและช่วยส่งเสริมคุณภาพขีวิตของชาวไทยทุกคน
ในปี 2015 ยอดขายของกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2014 ซึ่งอัตราการเติบโตสูงสุดมาจากนักท่องเที่ยวจีน (78%), กลุ่มตะวันออกกลาง (48%), และอินเดีย (22%) ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลได้กระจายตัวอยู่ทั้งหมด 7 แห่งใน 8 จังหวัดยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52983
Retail
ทวีปที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดคือทวีปอะไร
A. ออสเตรีย B. ยุโรป C. อเมริกาใต้ D. เอเชีย
คำตอบคือ D. เนื่องจาก นีลเส็น (ประเทศไทย) เผยข้อมูลจากรายงาน “The New Age of Thais” ชี้ภาพรวมโครงสร้างประชากรไทย การใช้จ่ายของผู้สูงอายุ และกลยุทธ์ในการเข้าถึงประชากรสูงอายุในไทย ที่นักการตลาด แบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ ต้องปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ซึ่งแบรนด์ไหนที่ปรับตัวได้ก่อน แบรนด์นั้นย่อมได้เปรียบ ! จาก Infographic ข้างต้น จะเห็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลกที่มีอายุ 65+ ปีขึ้นไป โดยในปี 2015 มี 600 ล้านคน ขณะที่ในปี 2030 ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะขยับเพิ่มเป็น 1 พันล้านคน และในปี 2050 จะเพิ่มเป็น 1.5 พันล้านคน โดยทวีปที่มีผู้สูงอายุมากที่สุด คือ เอเชีย อยู่ที่ 61% 3 อันดับประเทศที่มีกลุ่มประชากรอายุ 65+ ปีขึ้นไปมากที่สุด อันดับหนึ่ง ญี่ปุ่น สัดส่วนผู้บริโภคอายุ 65+ ปีขึ้นไป ในปี 2015 อยู่ที่ 26% และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในปี 2030 จากประชากรทั้งประเทศ 120 ล้านคน ตามมาด้วย สิงคโปร์ ปี 2015 อยู่ที่ 12% จากนั้นปี 2030 จะเพิ่มขึ้นเป็น 23% และ ประเทศไทย ปี 2015 มี 10% จากนั้นในปี 2030 ขยับขึ้นเป็น 19% จาก Infographic ข้างบนนี้ เจาะเฉพาะประเทศไทย จะเห็นได้ว่าในปี 2018 สัดส่วนคนอายุ 60 – 64 ปี อยู่ที่ 6% และคนอายุ 65 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 12% เมื่อรวมกันแล้วเป็น 18% เป็นสัดส่วนประชากรที่มากกว่ากลุ่มอายุ 0 – 14 ปี ซึ่งอยู่ที่ 17% นั่นหมายความว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มเด็กและวัยรุ่นแล้ว เพราะฉะนั้นนักการตลาด แบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ ที่จะปรับกลยุทธ์ หรือแผนการตลาด เพื่อรองรับผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงอายุ ต้องเริ่มไม่ช้าไปกว่าปี 2018
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52988
Retail
อะไรคือกลยุทธ์ Synergy ด้านการค้าปลีก ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มคิง เพาเวอร์ และ ไทยแอร์เอเชีย หลังจากการเข้าซื้อหุ้น AAV?
ถือเป็น “The Power of Synergy” ครั้งใหญ่ของเมืองไทย ที่ทำให้ “กลุ่มคิง เพาเวอร์” ของตระกูลศรีวัฒนประภา กลายเป็นหนึ่งในพี่ใหญ่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยทันที หลังจากประกาศซื้อหุ้น “บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น” หรือ AAV (เป็นบริษัทที่ถือหุ้นร้อยละ 55 ของไทยแอร์เอเชีย) ในสัดส่วน 39% มูลค่ารวม 7,945 ล้านบาท จากคุณธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ และครอบครัว การเข้าซื้อหุ้น AAV ครั้งนี้ คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ได้มอบหมายให้ คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา คุณอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา และ คุณสมบัตร เดชาพาณิชกุล เข้ารับตำแหน่งคณะกรรมการบริษัท เพื่อร่วมกำหนดวิสัยทัศน์ และนโยบายกับไทยแอร์เอเชีย โดยมีคุณธรรศพลฐ์ และ ผู้บริหารชุดเดิมยังคงบริหารงานต่อไป อะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณวิชัย ถึงกับทุ่มเงินเฉียด 8,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในไทยแอร์เอเชีย มาติดตามกัน… 1. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี และเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศ โดยในปีที่แล้ว ทำรายได้ 2.24 ล้านล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย 30 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน 7.9 ล้านคน และในปีนี้ ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 32 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นตลาดหลัก คาดว่าไม่ต่ำกว่า 9.25 ล้านคน ซึ่งทั้ง คิง เพาเวอร์ และ ไทยแอร์เอเชีย โฟกัสไปยังตลาดนักท่องเที่ยวจีนเช่นกัน 2. ธุรกิจไทยแอร์เอเชียเติบโตมาโดยตลอด ทั้งการขยายเส้นทางบิน การลงทุนเพิ่มจำนวนเครื่องบิน อย่างน้อย 5 ลำต่อปี โดยภายในสิ้นปีนี้ จะมีเครื่องบินครบ 51 ลำ ขณะที่รายได้โตเฉลี่ย 15 – 20% ต่อปี และมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 17 ล้านคน 3. ทั้งกลุ่มคิง เพาเวอร์ และ ไทยแอร์เอเชีย ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเหมือนกัน จึงสามารถใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแต่ละฝ่ายมาต่อยอด และส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยต่อไปจะได้เห็นการทำ Synergy ด้านนโยบาย วิสัยทัศน์ และระบบการทำงานร่วมกัน 4. ผนึกกำลังในการนำเสนอบริการใหม่ โปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ใหม่ให้กับลูกค้า เพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์การเดินทางและการช้อปปิ้งเข้าไว้ด้วยกัน เช่น การใช้ธุรกิจแอร์ไลน์ นำนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาในไทย และช้อปปิ้งที่ Duty Free และในปัจจุบันประเทศจีน ยังมีอีกหลายมณฑลที่ไม่มีไฟท์บินตรงมาเมืองไทย จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าต่อไปไทยแอร์เอเชียเตรียมขยายเส้นทางบินไปยังมณฑลต่างๆ ของจีน ขณะเดียวกันทางฝั่งของไทยแอร์เอเชีย ใช้ความสัมพันธ์อันยาวนานของคิง เพาเวอร์ ที่มีต่อเอเยนต์ทัวร์จีน ขยายฐานลูกค้าจีนให้กับไทยแอร์เอเชีย รวมทั้งนำเสนอสิทธิประโยชน์ใหม่ เช่น ให้ลูกค้าไทยแอร์เอเชีย สามารถพรีออเดอร์สินค้า Duty Free และมีบริการจัดส่งให้ถึงที่นั่งบนเครื่อง 5. ขับเคลื่อนกลุ่มคิง เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยวครบวงจร โดยปัจจุบันครอบคลุม 3 ขาหลักที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจ Retail (Duty Free) ธุรกิจสายการบิน และ ธุรกิจโรงแรม ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ไปด้วยกันได้ และดึงให้ลูกค้ามาใช้บริการร่วมกันได้ คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา และ คุณธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ทั้งนี้ภายหลังจากการซื้อขายหุ้น AAV เสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 12/2554 เรื่องหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ นายวิชัยจะทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของกิจการ (Mandatory Tender Offer) ส่วนที่เหลือจากผู้ถือหุ้นอื่นๆ ประมาณร้อยละ 60 ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ AAV โดยมีราคาเสนอซื้อที่ 4.20 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนทางการเงิน ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ และได้ทำการยื่นแบบประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (แบบ 247-3 ) แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน นี้แล้ว พร้อมทั้งคาดว่าจะยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (แบบ247-4)อย่างเป็นทางการ ได้ในวันที่ 23 มิถุนายน นี้
จากการเข้าซื้อหุ้น AAV ของกลุ่มคิง เพาเวอร์ คาดว่าจะมีกลยุทธ์ Synergy ด้านการค้าปลีกที่เกิดขึ้นระหว่างสองกลุ่ม ดังนี้: 1. ขยายฐานลูกค้า: คิง เพาเวอร์: เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ผ่านเครือข่ายไทยแอร์เอเชีย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของทั้งสองกลุ่ม ไทยแอร์เอเชีย: ดึงดูดลูกค้าคิง เพาเวอร์ เข้ามาใช้บริการผ่านโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ต่างๆ 2. พัฒนาสินค้าและบริการใหม่: คิง เพาเวอร์: นำเสนอสินค้า Duty Free รูปแบบใหม่ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือบนเครื่องบินไทยแอร์เอเชีย ไทยแอร์เอเชีย: เสนอบริการเสริมใหม่ เช่น การจำหน่ายสินค้า Duty Free บนเครื่องบิน หรือ บริการจัดส่งสินค้า Duty Free ถึงที่นั่ง 3. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: คิง เพาเวอร์: ใช้ระบบบริหารจัดการ และเทคโนโลยีของไทยแอร์เอเชีย ไทยแอร์เอเชีย: ใช้คลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้าของคิง เพาเวอร์ 4. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ: เชื่อมต่อระบบสมาชิก: ลูกค้าสามารถใช้บัตรสมาชิกของคิง เพาเวอร์ เพื่อช้อปปิ้งบนแอปพลิเคชันไทยแอร์เอเชีย หรือ บนเว็บไซต์ นำเสนอโปรโมชั่นร่วม: ลูกค้าสามารถใช้โปรโมชั่นของทั้งสองกลุ่ม เพื่อรับส่วนลดหรือสิทธิพิเศษต่างๆ 5. ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่: คิง เพาเวอร์: ขยายสาขา Duty Free ไปยังประเทศจีน หรือ ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยแอร์เอเชีย: ขยายเส้นทางบินไปยังเมืองใหม่ๆ ในจีน หรือ ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52992
Retail
แผนกลยุทธ์การตลาดปี 2559 ของวัตสัน (Watson) เป็นอย่างไร
วัตสัน (Watson) ร้านค้าปลีกผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามอันดับหนึ่ง นำโดยร๊อด เร้าท์ลี่ย์ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย เปิดเผยผลประกอบปี 2558 ว่า ยอดขายปี 2558 เติบโตในเลข 2 หลักอย่างต่อเนื่องมา 4-5 ปี พร้อมกับการขยายสาขาก็เป็นไปตามเป้าหมาย 50 สาขาใหม่ในปีที่ผ่าน รวมจำนวนทั้งหมด 375 สาขา รวมไปถึงการเติบโตของผลิตภัณฑ์แบรนด์วัตสัน หรือ Own Brand สูงถึง 30% เสริมทัพดิจิตอล สำหรับแผนกลยุทธ์การตลาดปี 2559 เตรียมขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 50-55 สาขา ในสโตร์คอนเซ็ปต์ใหม่ เพื่อสร้างประสบการณ์ช๊อปปิ้งที่ตื่นตาและแตกต่าง โดยจะเน้นกระจายพื้นที่ออกไปตามบริเวณกรุงเทพฯ หัวเมืองต่างๆ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงร้านวัตสันได้มากยิ่งขึ้น และเพิ่มความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จึงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ (Product Innovation) กว่า 200 รายการ จากไทย ญี่ปุ่น เกาหลี และ ฝรั่งเศส ร๊อด เร้าท์ลี่ย์ กรรมการผู้จัดการ กล่าว “สำหรับตลาดค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศไทยแข่งขันค่อนข้างสูงทั้งในด้านราคาและผู้เล่นรายใหม่ๆ รวมไปถึงตลาดใหม่อย่างอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโต และยังต้องระวังเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน” นอกจากนี้ในงบประมาณ 480 ล้านบาท ยังรวมไปถึงการลงทุนด้านดิจิตอล ทั้งการพัฒนาเว็บอีคอมเมิร์ซและสื่อโซเซียล รวมไปถึงการสื่อสารในช่องทางดิจิตอล ที่ทำให้งบประมาณในส่วนนี้เติบโตเท่าตัวจากปี 2558 CRM ฮุกแรง แซงทุกค่าย อีกหนึ่งหมัดฮุกแรงของวัตสัน คือ บัตรสมาชิก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ Customer Relationship Management (CRM) ยังคงถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาฐานลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น โดยควบคู่ไปกับการปล่อยโปรโมชั่นทุกเดือน “สำหรับ Retail การมี CRM เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราได้รู้อินไซต์ลูกค้าจากฐานข้อมูลบัตรสมาชิก จำนวนกว่า 3 ล้านรายที่เรามี ทั้งประวัติการซื้อ และสามารถติดต่อไปหาลูกค้าโดยตรงเพื่อรู้ถึงปัญหาต่างๆ บัตรสมาชิกวัตสันไม่ใช่ แค่ Discount card แต่เป็น Lifestyle Card ที่ให้สิทธิพิเศษเหนือกว่า ทั้งส่วนลด และ กิจกรรม Exclusive มากมาย ประกอบกับข้อมูลพบว่ายอดขายมากกว่า 50% มาจากลูกค้าที่มีบัตรสมาชิกวัตสัน จึงทำให้เราลงทุนด้าน CRM อย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปี” นวลพรรณ ชัยนาม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด อธิบายเสริมกับ BrandBuffet.in.th “เพราะว่าการลงทุนดึงลูกค้าใหม่สูง สิ่งสำคัญที่สุด คือ การรักษาลูกค้าเดิม แม้ว่ามีผู้เล่นใหม่ๆเข้ามาก็ตาม ยังทำให้ลูกค้ายังเลือกเรา”
สำหรับแผนกลยุทธ์การตลาดปี 2559 เตรียมขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 50-55 สาขา ในสโตร์คอนเซ็ปต์ใหม่ เพื่อสร้างประสบการณ์ช๊อปปิ้งที่ตื่นตาและแตกต่าง โดยจะเน้นกระจายพื้นที่ออกไปตามบริเวณกรุงเทพฯ หัวเมืองต่างๆ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงร้านวัตสันได้มากยิ่งขึ้น และเพิ่มความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จึงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ (Product Innovation) กว่า 200 รายการ จากไทย ญี่ปุ่น เกาหลี และ ฝรั่งเศส ร๊อด เร้าท์ลี่ย์ กรรมการผู้จัดการ กล่าว “สำหรับตลาดค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศไทยแข่งขันค่อนข้างสูงทั้งในด้านราคาและผู้เล่นรายใหม่ๆ รวมไปถึงตลาดใหม่อย่างอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโต และยังต้องระวังเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน” นอกจากนี้ในงบประมาณ 480 ล้านบาท ยังรวมไปถึงการลงทุนด้านดิจิตอล ทั้งการพัฒนาเว็บอีคอมเมิร์ซและสื่อโซเซียล รวมไปถึงการสื่อสารในช่องทางดิจิตอล ที่ทำให้งบประมาณในส่วนนี้เติบโตเท่าตัวจากปี 2558
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53008
Retail
เขียนแนวคิดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "รักและความเอื้อเฟื้อผ่านการประกัน ด้วยสิ่งที่ Generalli ทำให้เรารู้ว่า"
null
"Generali ทำซึ้งให้รู้ว่า "ประกัน" เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความรัก" น่าจะเป็นแนวคิดที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมันเชื่อมโยงระหว่างความเอื้อเฟื้อและการดูแลกันในชีวิตประจำวันกับการรักและความเป็นมาของครอบครัว ทั้งนี้อาจมีหลายมิติที่ควรพิจารณาในเรื่องนี้ 1. การปกป้องความสำคัญ**: การมีประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพสามารถมอบความมั่นใจและความสงบสุขในชีวิตที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงถึงการเอื้อเฟื้อและการดูแลความปลอดภัยของครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญในเวลาที่เข้าใจความผันผวนของชีวิต 2. การเตรียมความพร้อมในการเผชิญกับอุบัติเหตุ: การเตรียมตัวในกรณีของอุบัติเหตุหรือภัยคุกคามอื่นๆ นั้นเป็นการประกันตัวที่มีความหมายอย่างสูงในความรักและความเอื้อเฟื้อของครอบครัว 3. การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่: การมีประกันสุขภาพไม่เพียงแต่ช่วยให้มีการเยียวยาและการรักษาที่เหมาะสมในกรณีของการเจ็บป่วย แต่ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพที่ดีและการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมซึ่งเป็นการแสดงความรักต่อตนเองและครอบครัว 4. การให้การสนับสนุนในเวลาที่ทุกข์: การมีประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพเป็นทางเลือกที่ดีในการให้การสนับสนุนทางการเงินและการดูแลในเวลาที่มีความทุกข์ใจ เช่น ในกรณีของการเสียชีวิตของบุคคลหลักฐานในครอบครัว 5. การเตรียมความพร้อมในเรื่องการเงิน: การมีประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพยังช่วยให้มีการเตรียมตัวในเรื่องการเงินในเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉินหรือเปลี่ยนแปลงทางชีวิต ซึ่งเป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อและความรักในการดูแลความสงบสุขของครอบครัว การเข้าใจถึงความสำคัญของประกันในเชิงนี้จึงเป็นการเข้าใจถึงความรักและความเอื้อเฟื้อในระดับที่ลึกซึ้งในครอบครัวและชุมชนโดยรวม"
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53017
Retail
เขียนแนวคิดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ"สร้างโลกใหม่ นักคิด 9 คนที่เปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์ใน Creativities Unfold 2014"
null
"Creativities Unfold 2014" เป็นการชุมนุมทางความคิดและไอเดียสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญในการเผยแพร่และสนับสนุนนักคิดที่มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงโลกในปี 2014 นี้ เหล่านักคิดที่รวมตัวกันในงานนี้มีผลงานที่หลากหลายและมีนักคิดที่มีแนวคิดที่น่าสนใจอย่างมาก ๆ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ในทางที่ดี นี่คือแนวคิดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "พบ 9 นักคิดเปลี่ยนโลกใน “Creativities Unfold 2014” ชุมนุมทางความคิดและไอเดียสร้างสรรค์" 1. การกระทำเพื่อสิ่งแวดล้อม: นักคิดที่เน้นการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจของผลงานของตน เช่น การใช้เทคโนโลยีในการลดปริมาณขยะพลาสติกหรือการสร้างพื้นที่สีเขียวในเมืองใหญ่ 2. การสร้างอนาคตด้านเทคโนโลยี: นักคิดที่มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่มนุษยชาติเผชิญ เช่น เทคโนโลยีที่ทำให้พลังงานสะอาดมีราคาถูกมากขึ้น 3. การสร้างชุมชนที่เชื่อมโยง: นักคิดที่ให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนที่มีความเชื่อมั่นและความร่วมมือ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารเป็นเครื่องมือหลัก 4. การสร้างศิลปะและวัฒนธรรม: นักคิดที่ใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างการเข้าใจและการเชื่อมโยงระหว่างบุคคล โดยการใช้ศิลปะเพื่อสร้างสัมพันธ์ระหว่างสังคม 5. การสร้างการศึกษาและการเรียนรู้: นักคิดที่มุ่งหวังที่จะปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาเพื่อให้เหมาะสมกับโลกของวันนี้และอนาคต เช่น การใช้เทคโนโลยีในการทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม 6. การสร้างความเสมอภาค: นักคิดที่มุ่งหวังที่จะสร้างโลกที่มีความเสมอภาคและไม่มีความเหลื่อมล้ำ เช่น การสนับสนุนธุรกิจที่สร้างงานทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตที่ยั่งยืน 7. การสร้างนวัตกรรมในธุรกิจ: นักคิดที่มุ่งหวังที่จะสร้างธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สามารถแก้ไขปัญหาที่มนุษยชาติเผชิญ โดยการใช้นวัตกรรมเป็นส่วนสำคัญ 8. การสร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม: นักคิดที่มุ่งหวังที่จะสร้างการเข้าใจและความร่วมมือระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างโลกที่มีความเป็นอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข 9. การสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม: นักคิดที่มุ่งหวังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ทำให้โลกเป็นที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน โดยการสนับสนุนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนในสังคม ผลงานของเหล่านักคิดเหล่านี้ใน "Creativities Unfold 2014" ได้เป็นแรงบันดาลใจและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงที่ดีในโลกในปีนั้นและอาจเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอีกด้วย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53022
Retail
เขียนแนวคิดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ "เข้มแข็งสู่อนาคต กับการนำ "ธุรกิจหนีตาย" ฝ่า "สงครามราคา" ชูคุ้มค่าและเข้มลดต้นทุนในปี 57"
null
หัวข้อ: การบรรลุความยั่งยืนในธุรกิจผ่านการฝ่าสงครามราคาและการลดต้นทุนในปี 57 ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปี 57, การรักษาความยั่งยืนในธุรกิจเป็นเรื่องที่ทุกบริษัทต้องเผชิญหน้า เซ้นแร้งของการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงในตลาดส่งผลให้ธุรกิจต้องหาทางปรับตัวเพื่อที่จะอยู่รอดอย่างยั่งยืน ในบทความนี้เราจะสำรวจแนวคิดของ "ธุรกิจหนีตาย" ฝ่า "สงครามราคา" ชูคุ้มค่า และเข้มลดต้นทุนในการทำธุรกิจในปี 57 เพื่อหาทางรอดและประสบความสำเร็จในอนาคต 1. ธุรกิจหนีตาย - การปรับตัวและการพัฒนาใหม่เป็นสิ่งจำเป็นที่บริษัทต้องทำเพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากอุปสรรคและความเสี่ยงในตลาดที่แข็งแกร่งและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว - การสร้างแบรนด์ที่มีคุณค่าและความสามารถในการแข่งขันที่ต่างหากเพื่อยึดตำแหน่งในใจกลุ่มลูกค้า 2. ฝ่าสงครามราคา - การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยไม่จำเป็นต้องลดราคา - การสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนในผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทเพื่อที่จะสร้างความพึงพอใจและความสนใจจากลูกค้า 3. ชูคุ้มค่า - การเสนอคุณค่าที่มีความหมายและประสิทธิภาพสูงสุดให้กับลูกค้า เช่น การบริการหลังการขายที่ดี, การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที - การสร้างความไว้วางใจในตลาดโดยการเผชิญหน้ากับปัญหาของลูกค้าและการแก้ไขปัญหานั้นอย่างที่มีประสิทธิภาพ 4. เข้มลดต้นทุน - การทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อลดการสูญเสียและการบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด - การใช้เทคโนโลยีและการนวัตกรรมในการลดต้นทุนการผลิตหรือบริการ สรุป:ในยุคที่ธุรกิจต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาด การฝ่าสงครามราคาและการลดต้นทุนไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือในการแข่งขัน แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจหลุดพ้นจากอุปสรรคและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตในปี 57 และต่อไป
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53027
Retail
ฟีเจอร์โอนเงินเพียงแค่รู้เบอร์โทรศัพท์มือถือ มีข้อแม้ว่าผู้รับก็ต้องผูกเบอร์โทรศัพท์ไว้กับ K-Mobile Banking PLUS เช่นเดียวกัน เพื่ออะไร
a. สามารถสั่งงานได้ถูกต้องไม่สับสน b. ให้ระบบได้ทราบหมายเลขบัญชีอย่างถูกต้อง c. การใช้งานจริงมีความปลอดภัยระดับสูง d. สร้างความโดดเด่นและตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคนได้อย่างลงตัว
ข้อที่ถูกต้องคือ b. เนื่องจาก ฟีเจอร์โอนเงินเพียงแค่รู้เบอร์โทรศัพท์มือถือ มีข้อแม้ว่าผู้รับก็ต้องผูกเบอร์โทรศัพท์ไว้กับ K-Mobile Banking PLUS เช่นเดียวกัน เพื่อให้ระบบได้ทราบหมายเลขบัญชีอย่างถูกต้อง นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์แสกน QR Code แทนเลขที่บัญชีที่สะดวกเช่นกัน ในส่วนการจ่ายบิลก็สามารถแสกนบาร์โค้ดจากผ่านแอพฯนี้ ด้วยโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งานได้เลย แบบเดียวกับที่ผู้ใช้งานเคยนำบิลไปจ่อกับตู้เอทีเอ็มของ K Bank นั้นเอง หมายความว่าแอพฯ K-Mobile Banking PLUS ดึงเอาพฤติกรรมเดิมที่ผู้ใช้งานทั่วไปคุ้นชินกับการจ่ายบิลตามตู้เอทีเอ็มอยู่แล้ว ดึงเข้ามาให้ใกล้ตัวมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องเรียนรู้อะไรมาก ให้ยุ่งยากเกินไป โจทย์ใหญ่ที่หนีไม่พ้นของธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินก็คือ “ความปลอดภัย” แอพฯ K-Mobile Banking PLUS ต้องสอบถามรหัสถึง 3 ขั้นตอน อีกทั้งยังมีข้อกำหนดว่าต้องใช้โทรศัพท์มือถือเบอร์เดิมและเครื่องเดิมเท่านั้น ถ้าหากว่าเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรือเครื่องโทรศัพท์ก็ต้องลงทะเบียนใหม่ ทำให้การใช้งานจริงมีความปลอดภัยระดับสูง เรื่องของการทำหน้าตาแอพฯ ก็เป็นจุดเด่นหนึ่งของ K-Mobile Banking PLUS เพราะ Interface ของแอพฯ ก็เหมาะกับการใช้งาน ทั้งเรื่องของความลื่นไหลเมื่อได้สัมผัส การจัดวางปุ่มแต่ล่ะคำสั่ง ทำให้เพียงแค่ใช้งานครั้งแรกก็สามารถสั่งงานได้ถูกต้องไม่สับสน และเมื่อใช้ไปเรื่อยๆ ก็เกิดความเคยชินได้ง่าย
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53039
Retail
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดันให้ “The EmDistric” เป็นไปตามเป้าหมายที่วาง คืออะไร
ช่วงปีที่ผ่านมา เดอะมอลล์ กรุ๊ป ประกาศปั้นอาณาจักรค้าปลีก กับย่านไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ในโซนสุขมุวิท “The EmDistric” ที่ประกอบไปด้วย 3 ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ The Empotium , The EmQuartier และจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย Emsphere ที่จะเปิดให้บริการเฟสแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 นี้ ด้วยเป้าหมายของ “คุณศุภลักษณ์ อัมพุช” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อปั้นให้สุขุมวิท กลายเป็นย่านแห่งใหม่ที่มี “Retail Entertainment Phenomenon” เป็นจุดแข็งหลักให้คนทั่วโลกได้รู้จัก ไม่เพียงเท่านี้แต่ในบิ๊กโปรเจกต์แห่งปีของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังมีโครงการลำดับถัดไปคือ Bangkok Mall ดังนั้นการมองหาพันธมิตรระยะยาวคือในการสร้างความแข็งแกร่งให้แต่ละ Anchor ของธุรกิจคือสิ่งจำเป็น หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดันให้ “The EmDistric” เป็นไปตามเป้าหมายที่วาง คือการจับมือกับพันธมิตรแต่ละประเภทในการสร้างความแข็งแกร่ง ล่าสุดกับการจับมือกับธนาคารกรุงเทพ เซ็นสัญญาระยะยาว 10 ปี เปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ Bangkok Bank M Visa ออกมาให้บริการลูกค้า และยังถือเป็นครั้งแรกของธนาคารกรุงเทพ ที่จับมือกับพันธมิตรในการให้บริการทางการเงินในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกอีกด้วย โดยจากนี้ไปจะมีแคมเปญพิเศษแบบ Segmentation ออกมาให้บริการลูกค้าธนาคารอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผ่านบัตร เมื่อค้าปลีกต้องเป็นมากกว่าแหล่งช้อปปิ้ง คุณศุภลักษณ์ อัมพุช กล่าวว่า ในการร่วมเป็นพันธมิตรกับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ ด้วยศักยภาพของธนาคารกรุงเทพที่มีสาขาทั่วโลกกว่า 16 ประเทศ และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมขนาดใหญ่อันดับ 1 ของประเทศ ทั้งยังมีฐานลูกค้าทั้งกลุ่มลูกค้าธุรกิจ และรายย่อยกว่า 10 ล้านรายทั่วประเทศ การร่วมมือครั้งนี้จึง ถือเป็นการสร้าง Value Chain และเสริมความแข็งแกร่งให้ทั้งสององค์กร แน่นอนในธุรกิจรีเทลยุคปัจจุบันนั้นเป็นมากกว่าการปั้น Shopping Center หากแต่คือการปั้นย่านที่รองรับไลฟ์สไตล์ได้หลากหลาย เมื่อประกอบกับโพซิชั่นของ “เอ็มสเฟียร์” ที่คือเอ็นเตอร์เทนเมนต์รีเทล ที่ไม่ใช่แค่ช้อปปิ้งอีกต่อไป หากแต่คือความสนุกและไลฟ์สไตล์ในระดับลักชัวรี่รีเทล ที่ The EmDistric มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าผ่านบัตร Co Brand มากขึ้น จึงต้องมีความเข้าใจในพฤติกรรมของลูกค้าที่มีซับซ้อนขึ้น ดังนั้นการวางกลยุทธ์การตลาดจึงจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก โดยเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้พัฒนาระบบฐานข้อมูลสมาชิก ด้วยซอฟต์แวร์ที่รองรับกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก Big Data โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลการใช้จ่ายของฐานลูกค้าหลัก เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตอบโจทย์ทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ผนึก ธ.กรุงเทพ เซ็นสัญญายาว 10 ปี นำร่อง 5 บัตรน้องใหม่ Bangkok Bank M Visa ที่จะมาแทน SCB M ในการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ครอบคลุมทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรพรีเพด (Prepaid Card) กิ๊ฟท์การ์ด (Gift Card) และ บัตรกดเงินสด (Revolving Card) ภายใต้ชื่อ Bangkok Bank M ซึ่งจะเปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 นี้ โดยตั้งเป้าผู้ใช้งาน 1.5 ล้านใบใน 5 ปีนับจากนี้ โดยบัตร Bangkok Bank M Visa ที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป เปิดตัวในครั้งนี้ จะเป็นการเข้ามาแทนบัตรเดิมอย่าง SCB M ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าของทางเดอะมอลล์มานานกว่า 5 ปี และกำลังจะหมดสัญญลงในวันที่ 31 มกราคม 2567 โดยสมาชิกบัตรเดิม 4-6 แสนรายจะสามารถทำธุรกรรมผ่อนชำระสินค้าต่อเนื่องได้จนครบกำหนด โดยไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด “การจับมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของบัตรเครดิต แต่คือการร่วมมือเซ็นสัญญาระยะยาวกับโครงการมูลค่าเป็นหมื่นๆล้านบาท แน่นอนธนาคารกรุงเทพคือหนึ่งในพันธมิตรใหม่ของเรา เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แต่เราก็ไม่ได้ตัดสัมพันธ์กับใคร เรายังมีความสัมพันธ์กับคู่ค้าเดิมที่อยู่กันมาอย่างแน่นอน” คุณศุภลักษณ์ อัมพุช กล่าว “การจับมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของบัตรเครดิต แต่คือการร่วมมือเซ็นสัญญาระยะยาวกับโครงการมูลค่าเป็นหมื่นๆล้านบาท แน่นอนธนาคารกรุงเทพคือหนึ่งในพันธมิตรใหม่ของเรา เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แต่เราก็ไม่ได้ตัดสัมพันธ์กับใคร เรายังมีความสัมพันธ์กับคู่ค้าเดิมที่อยู่กันมาอย่างแน่นอน” คุณศุภลักษณ์ อัมพุช กล่าว โดยในเฟสแรกจะมีด้วยกันทั้งหมด 5 แบบ ประกอบด้วยบัตรเครติด 3 แบบ ได้แก่ ส่วนบัตรเดบิต Bangkok Bank M Visa มีด้วยกัน 2 แบบ ได้แก่ ทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อจับนักช็อปทุกกลุ่มทุกไลฟ์สไตล์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ หลังลูกค้ากว่าครึ่งชำระค่าสินค้า-บริการผ่าน Digital Payment ทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต QR Code ฯลฯ แล้ว และผู้ถือบัตร COBRAND ยังใช้จ่ายผ่านบัตรสูงกว่าบัตรเครดิตทั่วไปถึง 4.5 เท่าด้วย ก่อนที่ในปี 2567 จะทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่จะออกเพิ่มเติม อาทิ บัตรพรีเพด (Prepaid Card) กิ๊ฟท์การ์ด (Gift Card) และ บัตร กดเงินสด (Revolving Card) ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ กับ “คอนเสิร์ต-เอ็นเตอร์เทนเมนต์-อาร์ต” ครบวงจร หนึ่งในความน่าสนใจของ “Bangkok Bank M Visa” นอกจากการมอบ Benefit ให้แก่ลูกค้าที่มอบผ่านบัตร ส่วนลดทุกห้างในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ปและสยามพารากอน ลดสูงสุด 10% และ Point คูณ 4 เท่าในการใช้จ่ายในห้างฯ และสิทธิพิเศษด้านเลานจ์ต่างๆ ผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือน บริการที่จอดรถ และสิทธิประโยชน์ต่างๆมากกมายแล้ว ยังมีการเพิ่มสิทธิพิเศษจากบัตรเดิม คือการการสะสมยอดใช้จ่ายเพื่อให้ลูกค้าสามารถรับชม และจองตั๋วคอนเสิร์ตได้ก่อนใคร โดยทางเดอะมอลล์ จะมีการครีเอทคอนเสิร์ตขึ้นมาสำหรับลูกค้าบัตร Bangkok Bank M Visa โดยเฉพาะในหลากหลายรูปแบบและหลายยุค เพื่อให้ลูกค้าสามารถร่วมสนุกได้ในกิจกรรมที่ชื่นชอบ โดยจะเริ่มจากเป็นทางการในปีหน้า (2567) “เราเลือกมอบสิทธิพิเศษด้านคอนเสิร์ตมาเป็นอันดับแรกเพราะ โพซิชันของศูนย์การค้าของเรา โดยเฉพาะในกลุ่ม The Emdistric ที่มีจุดเด่นคือความสนุกและไลฟ์สไตล์ ขณะที่จากฐานข้อมูลก็พบว่า ลูกค้าของเราก็ชื่นชอบเรื่องของคอนเสิร์ต เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และงานอาร์ตต่างๆมาเป็นลำดับแรกอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงดีไซน์กิจกรรมออกมาเพื่อตอบโจทย์” คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าว “เราเลือกมอบสิทธิพิเศษด้านคอนเสิร์ตมาเป็นอันดับแรกเพราะ โพซิชันของศูนย์การค้าของเรา โดยเฉพาะในกลุ่ม The Emdistric ที่มีจุดเด่นคือความสนุกและไลฟ์สไตล์ ขณะที่จากฐานข้อมูลก็พบว่า ลูกค้าของเราก็ชื่นชอบเรื่องของคอนเสิร์ต เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และงานอาร์ตต่างๆมาเป็นลำดับแรกอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงดีไซน์กิจกรรมออกมาเพื่อตอบโจทย์” คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าว ปัจจุบันเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีสมาชิก M card ทั้งสิ้น 5.3 ล้านราย และลูกค้ากว่า 50% ชำระผ่าน Digital Payment อาทิ บัตรเครดิต บัตรเดบิต QR Code เป็นต้น โดยเหตุผลที่ลูกค้านิยมการชำระเงินแบบ Digital เนื่องจากมีความปลอดภัย สะดวก และความคุ้มค่า การเข้ามาของ Bangkok Bank M ในครั้งนี้จึงถือเป็นการตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในการช้อปปิ้ง เพราะจากฐานข้อมูลที่ผ่านมา พบว่า ลูกค้าที่ใช้จ่ายในศูนย์การค้าผ่านบัตรเครติด และบัตรสมาชิกมียอดจับจ่ายมากกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 4.5 เท่า โดยเป็นลูกค้าในระดับ B+ ขึ้นไป ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจแล้วยังเป็นการสร้างการเติบโตพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้เป็นอย่างดี อ่านเพิ่มเติม ฝันใหญ่ของ ‘ศุภลักษณ์ อัมพุช’ ไม่ใช่แค่ Shopping Center แต่ปั้น “ย่านสุขุมวิท” ยกกรุงเทพสู่มหานครโลก
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดันให้ “The EmDistric” เป็นไปตามเป้าหมายที่วาง คือ การจับมือกับพันธมิตรแต่ละประเภทในการสร้างความแข็งแกร่ง การจับมือกับธนาคารกรุงเทพ เซ็นสัญญาระยะยาว 10 ปี เปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ Bangkok Bank M Visa ออกมาให้บริการลูกค้า และยังถือเป็นครั้งแรกของธนาคารกรุงเทพ ที่จับมือกับพันธมิตรในการให้บริการทางการเงินในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกอีกด้วย โดยจากนี้ไป จะมีแคมเปญพิเศษแบบ Segmentation ออกมาให้บริการลูกค้าธนาคารอย่างต่อเนื่อง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53048
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "ได้รับอิทธิพลจากเวลา: พีพี กรุ๊ป - การปลุกพอร์ตแฟชั่นไลฟ์สไตล์สู่ความเจริญรุ่งเรือง"
null
"20 ปี พีพี กรุ๊ป" คือชื่อบริษัทที่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจในวงการแฟชั่นไลฟ์สไตล์เมื่อ 20 ปีก่อน โดยมีการสร้างแบรนด์และสินค้าที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในตลาดระดับโลก ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พีพี กรุ๊ป ได้เป็นที่รู้จักในการนำเสนอความแตกต่างและสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกค้าของตนผ่านผลิตภัณฑ์และการตลาดที่สร้างสรรค์ เพื่อเปิดกลยุทธ์ใหม่ในการปลุกพอร์ตแฟชั่นไลฟ์สไตล์ และเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นในปี 2026 นี้ พีพี กรุ๊ปมุ่งเน้นในหลายด้านดังนี้ 1. การยกระดับแบรนด์และสินค้า: พีพี กรุ๊ปจะสร้างความยั่งยืนในตลาดโดยการพัฒนาและยกระดับคุณภาพของสินค้าและบริการ โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และวัสดุที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างความพึงพอใจและความไว้วางใจจากลูกค้า 2. การเปิดตลาดใหม่: พีพี กรุ๊ปจะขยายตลาดของตนไปยังภูมิภาคใหม่ โดยเฉพาะในตลาดเร่งรัดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดในอเมริกาใต้ 3. การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นที่จำได้: พีพี กรุ๊ปจะใช้การตลาดที่สร้างสรรค์และการตลาดอื่นๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำกันแก่ลูกค้า ทั้งในรูปแบบการจัดงานพิเศษ โปรโมชั่นที่น่าตื่นเต้นและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่แน่นอน 4. การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา: พีพี กรุ๊ปจะตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการนวัตกรรมในวงการแฟชั่นไลฟ์สไตล์ โดยการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาใหม่ๆ เพื่อสร้างสินค้าและบริการที่เป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจต่อตลาด 5. การเป็นผู้นำในความยั่งยืน: พีพี กรุ๊ปจะให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยการใช้วัสดุที่มีความยั่งยืนและกระบวนการผลิตที่มีความเอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากกลยุทธ์เหล่านี้คือการเพิ่มรายได้ให้กับพีพี กรุ๊ปให้มากขึ้นโดยมีเป้าหมายที่มากกว่า 4,000 ล้านในปี 2026 นี้ โดยที่ยังคงรักษาการเป็นนักนวัตกรรมและผู้นำในวงการแฟชั่นไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53055
Retail
รางวัล DEmark คืออะไร
รางวัล DEmark เป็นรางวัลที่การันตีคุณภาพสินค้าและบริการที่โดดเด่นด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือใบเบิกทางสู่ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศซึ่งจะช่วยส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มและความเชื่อมั่นให้สินค้าของไทย สร้างจุดแข็งให้ตอบสนองความต้องการของตลาดโลกในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ รางวัล DEmark ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2551 โดยในปีนี้เข้าสู่ปีที่ 16 และมีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมประกวดกว่า 600 รายการทั่วประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดพิธีมอบรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมปี 2566 (Design Excellence Award 2023) หรือ รางวัล DEmark เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ประกอบการและนักออกแบบไทยที่ประสบความสำเร็จด้านการออกแบบดีเด่น ในสาขาต่างๆ ในปีนี้ จำนวน 78 รายการ ครอบคลุม 7 ประเภทอุตสาหกรรมการออกแบบ ที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในเวทีโลก โดยคัดกรองและพิจารณาตัดสินรางวัล ระหว่างวันที่ 13 – 16 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “รางวัล DEmark จะสนับสนุนให้ทุกท่านได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด โดยตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมาของโครงการ DEmark ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการและความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สินค้าเพื่อตอบสนองคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของผู้บริโภค ตลอดจนการยกระดับสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดสากล กรมจะยังคงเดินหน้าผลักดัน และส่งเสริมนักออกแบบไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก เพื่อจุดหมายสูงสุดในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นแหล่งรวมสินค้าที่มีการออกแบบดีของโลกต่อไป” น.ส. ประอรนุช ประนุช ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กล่าวเสริมว่า “รางวัล DEmark ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Brave The Wave of Creation คลื่นพลังสร้างสรรค์งานดีไซน์ไทย” โดยมุ่งหวังที่จะสื่อสารศักยภาพด้านการออกแบบไทยที่ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบสินค้าที่มีความสวยงาม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ประโยชน์ใช้สอย มีความเป็นนวัตกรรม และคำนึงถึงการออกแบบตามแนวทาง BCG MODELที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการออกแบบอย่างยั่งยืน อาทิ การใช้เทคโนโลยีเศรษฐกิจชีวภาพ การจัดการทรัพยากรวัตถุดิบหมุนเวียน มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ ในประเทศ” รางวัล DEmark ได้รับความร่วมมือจากสถาบันส่งเสริมการออกแบบแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ Japan Institute of Design Promotion (JDP) ในการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากรางวัล G-mark ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นรางวัลด้านการออกแบบที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มาร่วมพิจารณาตัดสิน DEmark และสนับสนุนผลงานที่ได้รับรางวัล DEmark เข้าร่วมการประกวดรางวัล G-mark ประเทศญี่ปุ่น มาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากผู้สนับสนุน อาทิ SIAMPIWAT ที่ให้การสนับสนุนพื้นที่ในการจัดแสดงสินค้า ที่ส่งเข้าประกวดเพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาและให้ผู้ชมสนใจทั่วไปเข้าชม รวมทั้งส่งเสริมโอกาสทางการค้าให้สินค้ารางวัล Demark เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในปีนี้มีผลงานที่ผ่านการคัดกรองเบื้องต้นและเข้าร่วมพิจารณาตัดสินรางวัล จำนวน 572 ผลงาน และได้รับรางวัล DEmark ในสาขาต่างๆ จำนวน 78 รายการ ใน 7 สาขารางวัล ดังนี้ (1) กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ (Industrial Process/ Industrial Craft) จำนวน 13 ผลงาน (2) กลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น (Gift & Decorative Items/ Household Items/ Creative & Innovative Fashion/ Apparel/ Jewelry/ Textile/ etc.) จำนวน 11 ผลงาน (3) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและดิจิทัล (Home Appliances/ Equipment and Facilities for Office/ Digital Appliances/Equipment /IoT / etc.) จำนวน 9 ผลงาน (4) กลุ่มผลงานออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging Design) จำนวน 13 ผลงาน (5) กลุ่มผลงานกราฟิกดีไซน์ (Font/ Graphic on Surface/ Digital Media/ Identity Design/ Illustration/ Character/ Digital Art) จำนวน 22 ผลงาน (6) กลุ่มผลงานออกแบบตกแต่งภายใน ที่เกี่ยวข้องกับ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้า พื้นที่ทํางานร่วมกัน อาคารชุด (Hotel/ Restaurant/ Cafe/ Retail Shop/ Co-Working Space/Condominium Project) จำนวน 6 ผลงาน (7) กลุ่มผลงานออกแบบระบบ บริการและแพลตฟอร์มดิจิทัล (Systems, Services, Digital Platform, Online Interface Design, Apps for Smartphones and Tablets, Website) จำนวน 4 ผลงาน โดยผลการดำเนินงาน ตั้งแต่ปี 2551 มีสินค้าจากทั่วประเทศที่ได้รับรางวัล DEmark แล้วจำนวนทั้งสิ้น 1,159 รายการ ได้รับรางวัล Good Design Award (G-mark) จากประเทศญี่ปุ่นแล้ว 531 รายการ นอกจากนี้ ผลงานการออกแบบที่ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละสาขาในปีนี้ จะได้รับรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2566 (Prime Minister’s Export Award 2023) ประเภทรางวัลสินค้าไทยที่มีการออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) จากนายกรัฐมนตรี ได้แก่ 1. เก้าอี้ LA DA COLLECTION – LOUNGE CHAIR โดย บริษัท เอ.เอ็ม.โอ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด 2. โคมไฟ Marni โดย ครูแมกสตูดิโอ 3. โดรน TIGERDRONE 2 โดย บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด 4. บรรจุภัณฑ์ EDGE MINERAL WATER โดย พร้อม ดีไซน์ 5. นิทรรศการ WHAT DOES MATTER? โดย บริษัท พิงค์บลูแบล็คแอนด์ออเร้จน์ จำกัด 6. โรงแรมอุไทย เฮอริเทจ โดย ซูเปอร์กรีน สตูดิโอ 7. แอปพลิเคชัน Get A โดย บริษัท ดีเวอร์ฮูด เอชที จำกัด สำหรับผู้ได้รับรางวัล DEmark จะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น สามารถใช้โลโก้ DEmark เป็นเครื่องมือทางการตลาดในการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ สร้างการยอมรับแก่ผู้บริโภคในด้านคุณภาพและมาตรฐานการออกแบบสินค้าในระดับสากลได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้รับการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการขายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการโฆษณาในสื่อชั้นนำระดับโลกต่างๆ รวมทั้งนำสินค้าไปจัดแสดงนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศ โดยผู้ที่ได้รับรางวัล DEmark 2023 จะได้เข้ารอบ 2 ของการประกวดรางวัล G-Mark ประเทศญี่ปุ่นโดยทันที และผู้ที่ได้รับรางวัล G-mark จะได้เข้าร่วมจัดแสดงในงาน Good Design Exhibition 2023 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในปีนี้รางวัล G-mark จะประกาศผลอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2566 นอกจากนี้ ยังได้รับการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมภาพลักษณ์และโอกาสทางการค้าในเวทีสำคัญด้านการออกแบบระดับโลก เช่น งาน Milan Design Week อิตาลี เป็นต้น โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารรางวัล DEmark ผ่านทาง Facebook page: DEmark Thailand และทางเว็บไซต์
เป็นรางวัลที่การันตีคุณภาพสินค้าและบริการที่โดดเด่นด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือใบเบิกทางสู่ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศซึ่งจะช่วยส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มและความเชื่อมั่นให้สินค้าของไทย สร้างจุดแข็งให้ตอบสนองความต้องการของตลาดโลกในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ รางวัล DEmark ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2551 โดยในปีนี้เข้าสู่ปีที่ 16 และมีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมประกวดกว่า 600 รายการทั่วประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดพิธีมอบรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมปี 2566 (Design Excellence Award 2023) หรือ รางวัล DEmark เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ประกอบการและนักออกแบบไทยที่ประสบความสำเร็จด้านการออกแบบดีเด่น ในสาขาต่างๆ ในปีนี้ จำนวน 78 รายการ ครอบคลุม 7 ประเภทอุตสาหกรรมการออกแบบ ที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในเวทีโลก โดยคัดกรองและพิจารณาตัดสินรางวัล ระหว่างวันที่ 13 – 16 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “รางวัล DEmark จะสนับสนุนให้ทุกท่านได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด โดยตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมาของโครงการ DEmark ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการและความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สินค้าเพื่อตอบสนองคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของผู้บริโภค ตลอดจนการยกระดับสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดสากล กรมจะยังคงเดินหน้าผลักดัน และส่งเสริมนักออกแบบไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก เพื่อจุดหมายสูงสุดในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นแหล่งรวมสินค้าที่มีการออกแบบดีของโลกต่อไป”
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53058
Retail
ภายใน theCOMMONS Cloud 11 ได้รับการออกแบบแบ่งเป็น 5 โซนหลัก คืออะไรบ้าง
Cloud 11 (คลาวด์ อีเลฟเว่น) ฮับของคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ใหญ่สุดในเอเชีย พัฒนาโดย MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) จับมือกับ บริษัท คินเนสท์ กรุ๊ป เครือกิจการรีเทล อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ ที่เน้นการสร้างสรรค์ความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืนอย่าง theCOMMONS (เดอะคอมมอนส์) เปิดตัวคอนเซปต์และรายละเอียด theCOMMONS Cloud 11 ตั้งอยู่บริเวณชั้น 4 ของโครงการ Cloud 11 และจะเปิดให้บริการภายในปลายปี 2024 นี้ สำหรับคอนเซปต์ของโปรเจคนี้เกิดจากการผสานจุดแข็งของทั้งสองพาร์ทเนอร์ คือการมุ่งมั่นที่จะนำเสนอ Wholesome Community หรือ การใช้ชีวิตอย่างสมดุลทั้งการดูแลตนเองและผู้อื่น จากทั้งภายในและภายนอก ไปจนถึงการส่งต่อให้สังคมและสิ่งแวดล้อมของ theCOMMONS รวมเข้ากับแนวคิด Empowering Creators ของ Cloud 11 ออกมาสู่คอนเซปต์ “Creators’ Backyard” สวนหลังบ้านสำหรับครีเอเตอร์ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตและการพักผ่อน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจย่านสุขุมวิทใต้ให้เป็นย่านนวัตกรรมแห่งใหม่ของอาเซียน ควบคู่กับการรับผิดชอบสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมอย่างต่อเนื่อง คุณองศา จรรยาประเสริฐ ผู้อำนวยการโครงการ Cloud 11 กล่าวว่า “Cloud 11 มุ่งมั่นที่จะเป็นฮับของคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ใหญ่สุดในเอเชีย และต้องการยกระดับวงการการสร้างสรรค์คอนเทนต์ไทย รวมถึงวิสัยทัศน์ที่จะ Empowering Creators ให้มีความแข็งแกร่ง และสามารถไปยืนอยู่ในเวทีระดับโลกได้ ดังนั้นการสร้างระบบนิเวศการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ครบถ้วนที่สุดจึงเป็นส่วนที่สำคัญเป็นอย่างมาก และวันนี้เราได้เข้ามาจับมือกับ theCOMMONS ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งพาร์ทเนอร์ ที่มีวิสัยน์ทัศน์และพันธกิจทางธุรกิจไปในทิศทางเดียวกันกับเรา และสามารถเข้ามาเติมเต็มระบบนิเวศของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในแง่ของพื้นที่ความคิดสร้างสรรค์ แสดงผลงาน ตลอดจนพื้นที่ของการทำงาน และพักผ่อนหย่อนใจ” theCOMMONS Cloud 11 Creators’ Backyard โดย theCOMMONS Cloud 11 มีพื้นที่กว่า 5,420 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของ Cloud 11 ทั้งยังมีส่วนเชื่อมต่อกับสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดของกรุงเทพมหานครที่อยู่บริเวณชั้น 5 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตอบโจทย์กับคอนเซปต์การเป็นพื้นที่ให้คนเมืองได้ใกล้ชิดธรรมชาติของ theCOMMONS ได้อย่างลงตัว คุณวิชรี วิจิตรวาทการ ผู้บริหารคินเนสท์ กรุ๊ป และ theCOMMONS กล่าวว่า “การเข้ามาร่วมมือกับ Cloud 11 ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย และแปลกใหม่เป็นอย่างมาก เนื่องจาก theCOMMONS Cloud 11 เป็นสาขาแรกของเราที่จะได้เข้าไปอยู่ร่วมภายในอาคารเดียวกับคอมมูนิตี้อื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีในการที่เรานำพา Wholesome Community เข้าไปใกล้ชิดกับกลุ่มคนในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลักของ Cloud 11 อย่างกลุ่มคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ดังนั้นเราจึงอยากนำจุดเด่นของ theCOMMONS ในการสร้าง Wholesome Community มาผสานเข้าไป และออกมาเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ตลอดจนผู้ที่มาใช้บริการที่ Cloud 11” theCOMMONS 1 คุณองศา จรรยาประเสริฐ และ คุณวิชรี วิจิตรวาทการ ภายใน theCOMMONS Cloud 11 ได้รับการออกแบบแบ่งเป็น 5 โซนหลัก คือ theCOMMONS Market – พื้นที่หัวใจหลักของ theCOMMONS ที่ประกอบไปด้วยร้านค้า ทั้งอาหาร ขนมและเครื่องดื่ม ที่คัดสรรเน้นคอนเซปต์ที่แตกต่างกัน ทั้งยังเปิดโอกาสสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการสร้างสรรค์แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ Groundwork – พื้นที่ Communal Space ที่สร้างมาเพื่อสนับสนุนให้คอนเทนต์ครีเอเตอร์และคนทั่วไปมานั่งทำงานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น มีโต๊ะ ที่นั่ง รวมทั้งปลั๊กไฟ และยังมีห้อง theCOMMONS Room ที่สามารถเช่าเพื่อจัดกิจกรรม เป็นห้องประชุม หรือนั่งทำงานร่วมกันได้ All Kinds – แบรนด์น้องใหม่ในเครือของ Kinnest Group ที่เป็น Retail Collective จาก theCOMMONS เปรียบเสมือน Multi Brand Store ที่เปิดพื้นที่ให้ครีเอเตอร์และผู้ประกอบการเจ้าของแบรนด์ใจดี ที่อยากทำอะไรดีๆ ให้กับสังคม ได้มาวางจำหน่ายสินค้าและเล่าเรื่องของตัวเอง โดย All Kinds จะมีทั้งส่วนของหน้าร้านจำหน่ายสินค้า และโซน Exhibition ที่เน้นไปในการเล่าเรื่องปัญหาของสังคม หรือสิ่งแวดล้อมที่อยากให้ทุกคนมีการตระหนักรู้มากยิ่งขึ้น Grandstand – พื้นที่กึ่งกลางแจ้งที่ดึงขั้นบันไดที่เป็น Iconic ของ theCOMMONS ทุกสาขามาอยู่ที่ Cloud 11 ด้วย พื้นที่ส่วนนี้เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เชื่อมต่อสวนลอยฟ้าบริเวณชั้น 5 เข้ากับพื้นที่ของ theCOMMONS Cloud 11 สามารถรองรับกิจกรรมการแสดงดนตรีสดหรือการฉายภาพยนตร์ รวมถึงแสดงผลงานอื่นๆ ของเหล่าครีเอเตอร์ Play Yard – อีกหนึ่งพื้นที่กึ่งกลางแจ้งที่สามารถเชื่อมต่อ theCOMMONS Cloud 11 ไปยัง Canal Walk ของโครงการ ภายในโซนนี้จะมีร้านค้า บริการ และพื้นที่ส่วนกลางที่เหมาะสำหรับการแฮงก์เอาท์ของคนทุกเพศ ทุกวัย จะมากับครอบครัว กับกลุ่มเพื่อน หรือพาสัตว์เลี้ยงมาเจอเพื่อนใหม่ก็สนุกด้วยกันได้ทุกคน
ภายใน theCOMMONS Cloud 11 ได้รับการออกแบบแบ่งเป็น 5 โซนหลัก คือ theCOMMONS Market – พื้นที่หัวใจหลักของ theCOMMONS ที่ประกอบไปด้วยร้านค้า ทั้งอาหาร ขนมและเครื่องดื่ม ที่คัดสรรเน้นคอนเซปต์ที่แตกต่างกัน ทั้งยังเปิดโอกาสสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการสร้างสรรค์แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ Groundwork – พื้นที่ Communal Space ที่สร้างมาเพื่อสนับสนุนให้คอนเทนต์ครีเอเตอร์และคนทั่วไปมานั่งทำงานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น มีโต๊ะ ที่นั่ง รวมทั้งปลั๊กไฟ และยังมีห้อง theCOMMONS Room ที่สามารถเช่าเพื่อจัดกิจกรรม เป็นห้องประชุม หรือนั่งทำงานร่วมกันได้ All Kinds – แบรนด์น้องใหม่ในเครือของ Kinnest Group ที่เป็น Retail Collective จาก theCOMMONS เปรียบเสมือน Multi Brand Store ที่เปิดพื้นที่ให้ครีเอเตอร์และผู้ประกอบการเจ้าของแบรนด์ใจดี ที่อยากทำอะไรดีๆ ให้กับสังคม ได้มาวางจำหน่ายสินค้าและเล่าเรื่องของตัวเอง โดย All Kinds จะมีทั้งส่วนของหน้าร้านจำหน่ายสินค้า และโซน Exhibition ที่เน้นไปในการเล่าเรื่องปัญหาของสังคม หรือสิ่งแวดล้อมที่อยากให้ทุกคนมีการตระหนักรู้มากยิ่งขึ้น Grandstand – พื้นที่กึ่งกลางแจ้งที่ดึงขั้นบันไดที่เป็น Iconic ของ theCOMMONS ทุกสาขามาอยู่ที่ Cloud 11 ด้วย พื้นที่ส่วนนี้เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เชื่อมต่อสวนลอยฟ้าบริเวณชั้น 5 เข้ากับพื้นที่ของ theCOMMONS Cloud 11 สามารถรองรับกิจกรรมการแสดงดนตรีสดหรือการฉายภาพยนตร์ รวมถึงแสดงผลงานอื่นๆ ของเหล่าครีเอเตอร์ Play Yard – อีกหนึ่งพื้นที่กึ่งกลางแจ้งที่สามารถเชื่อมต่อ theCOMMONS Cloud 11 ไปยัง Canal Walk ของโครงการ ภายในโซนนี้จะมีร้านค้า บริการ และพื้นที่ส่วนกลางที่เหมาะสำหรับการแฮงก์เอาท์ของคนทุกเพศ ทุกวัย จะมากับครอบครัว กับกลุ่มเพื่อน หรือพาสัตว์เลี้ยงมาเจอเพื่อนใหม่ก็สนุกด้วยกันได้ทุกคน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53084
Retail
จงสรุปบทความ แอปเปิลเตรียมรีโนเวท-เปิด Apple Store เพิ่ม 50 แห่ง เน้นจีน-อินเดีย
จากที่มี Apple Store มากถึง 520 สาขาใน 26 ประเทศ และครึ่งหนึ่งของตัวเลขนี้อยู่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีความเป็นไปได้ว่าแผนการของ Apple หลังจากนี้จะหันไปขยาย Apple Store ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นแทนแล้ว โดยสื่อตะวันตกอย่าง Bloomberg อ้างแหล่งข่าวภายในของ Apple ระบุว่า บริษัทมีแผนจะรีโนเวท – เปิดสาขาเพิ่มอีกกว่า 50 แห่งภายในปี 2027 แผนดังกล่าวมีตั้งแต่การเปิด Apple Store ใหม่อีก 15 แห่งในภูมิภาคเอเชีย และอีก 5 แห่งในยุโรปและตะวันออกกลาง และ 4 แห่งในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยเมืองที่จะมี Apple Store เข้าไปเปิดบริการก็คือ กรุงกัวลาร์ลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (คาดว่าจะเปิดตัวปีหน้า) นอกจากนั้นจะมีการปรับปรุง Apple Store ราว 6 แห่งในภูมิภาคเอเชีย 9 แห่งในยุโรป และ 13 แห่งในสหรัฐอเมริกาด้วย ส่วนในภาพรวม คาดว่าจะมีการสร้าง – ปรับปรุง – ย้ายที่ Apple Store ราว 53 แห่ง นับจากนี้จนถึงปี 2027 Apple Store กับการทำรายได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า Apple Store เป็นมากกว่าร้านขายสินค้าให้กับ Apple เพราะมันคือพื้นที่ข่าวที่มักปรากฏในหน้าสื่อบ่อย ๆ เวลาที่ Apple เปิดตัวสินค้าใหม่ (ที่จะมีสาวกมารอต่อแถวเพื่อรับสินค้ากันข้ามคืน) ไปจนถึงพื้นที่สร้างประสบการณ์เชิงบวกในการใช้งานสินค้า และการจัดอบรมการใช้งานต่าง ๆ อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์เชิงบวก แต่ความคาดหวังให้ลูกค้าซื้อของก็ยังมีอยู่ โดยแหล่งข่าวคนดังกล่าวของ Bloomberg ระบุว่า ปัจจุบัน Apple Store มีทั้งสิ้น 4 รูปแบบ และแต่ละแบบมีเป้าหมายในการสร้างรายได้กลับสู่บริษัทที่แตกต่างกัน ดังนี้ หากเป็นร้านระดับทั่วไป พบว่าจะสามารถทำรายได้ให้ Apple ขั้นต่ำ 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี แต่ถ้าเป็น Apple Store+ จะต้องทำรายได้มากกว่า 45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี เมื่อขยับให้ใหญ่ขึ้นมาเป็นร้าน flagship จะต้องสร้างรายได้มากกว่า 75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี และถ้าเป็น flagship+ จะต้องสร้างรายได้มากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีเลยทีเดียว ทั้งนี้ แผนการขยายสาขาของแอปเปิล จะพบว่าอยู่ในเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก เพราะตลาดดังกล่าวสร้างรายได้ให้แอปเปิลมากกว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอินเดียที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก โดยแอปเปิลเปิดร้านใหม่ในอินเดียแล้วสองแห่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา (สาขาที่ 3 คาดว่าจะอยู่ในเมืองมุมไบ และสาขาที่ 4 คาดว่าจะเปิดในกรุงนิวเดลี) ส่วนในยุโรป Bloomberg รายงานว่า Apple เตรียมแผนขยายสาขาเพิ่มในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กรุงมาดริด ประเทศสเปน ฯลฯ ยุโรปยังเป็นภูมิภาคที่สร้างรายได้ให้กับ Apple มากกว่า 95,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา และอังกฤษก็เป็นประเทศที่มี Apple Store มากถึง 40 สาขาอีกด้วย
แหล่งข่าวภายในของ Apple ระบุว่า บริษัทมีแผนจะรีโนเวทและเปิดสาขาเพิ่มอีกกว่า 50 แห่งภายในปี 2027 โดยแผนดังกล่าวมีตั้งแต่การเปิด Apple Store ใหม่อีก 15 แห่งในภูมิภาคเอเชีย และอีก 5 แห่งในยุโรปและตะวันออกกลาง และ 4 แห่งในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยเมืองที่จะมี Apple Store เข้าไปเปิดบริการก็คือ กรุงกัวลาร์ลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คาดว่าจะเปิดตัวปีหน้า นอกจากนั้นจะมีการปรับปรุง Apple Store ราว 6 แห่งในภูมิภาคเอเชีย 9 แห่งในยุโรป และ 13 แห่งในสหรัฐอเมริกาด้วย ส่วนในภาพรวม คาดว่าจะมีการสร้าง ปรับปรุง รวมทั้งย้ายสถานที่ตั้ง Apple Store ราว 53 แห่ง ทั้งนี้แผนการขยายสาขาของแอปเปิล จะพบว่าอยู่ในเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก เพราะตลาดดังกล่าวสร้างรายได้ให้แอปเปิลมากกว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอินเดียที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก โดยแอปเปิลเปิดร้านใหม่ในอินเดียแล้วสองแห่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งสาขาที่ 3 คาดว่าจะอยู่ในเมืองมุมไบ และสาขาที่ 4 คาดว่าจะเปิดในกรุงนิวเดลี ส่วนในยุโรป Apple ก็เตรียมแผนขยายสาขาเพิ่มในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กรุงมาดริด ประเทศสเปน ฯลฯ ยุโรปยังเป็นภูมิภาคที่สร้างรายได้ให้กับ Apple มากกว่า 95,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา และอังกฤษก็เป็นประเทศที่มี Apple Store มากถึง 40 สาขาอีกด้วย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53085
Retail
ในยุคที่ธุรกิจค้าปลีกต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง กลยุทธ์การวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจรของเอ้ก ดิจิทัล จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับธุรกิจค้าปลีกได้อย่างไร?
null
กลยุทธ์การวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจรของเอ้ก ดิจิทัล สามารถช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับธุรกิจค้าปลีกได้หลายประการ ดังนี้: 1. เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง: เอ้ก ดิจิทัล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากหลายแหล่งข้อมูล เช่น ข้อมูลการซื้อสินค้า ข้อมูลพฤติกรรมออนไลน์ ข้อมูลประชากรศาสตร์ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง 2. พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า: ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้ามาพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า 3. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้สื่อโฆษณา: เอ้ก ดิจิทัล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง 4. เพิ่มยอดขาย: ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำข้อมูลเชิงลึกมาพัฒนากลยุทธ์การขายและส่งเสริมการขาย 5. เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง: เอ้ก ดิจิทัล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความต้องการสินค้า 6. พัฒนาระบบ CRM ที่มีประสิทธิภาพ: เอ้ก ดิจิทัล สามารถช่วยธุรกิจค้าปลีกพัฒนาระบบ CRM 7. พัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า: ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำข้อมูลเชิงลึกมาพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า ตัวอย่าง ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใช้บริการของเอ้ก ดิจิทัล ผลลัพธ์: ห้างสรรพสินค้าสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ห้างสรรพสินค้าสามารถพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า ห้างสรรพสินค้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สื่อโฆษณา ห้างสรรพสินค้าสามารถเพิ่มยอดขาย ห้างสรรพสินค้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง ห้างสรรพสินค้าสามารถพัฒนาระบบ CRM ห้างสรรพสินค้าสามารถพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า โดยสรุป กลยุทธ์การวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจรของเอ้ก ดิจิทัล สามารถช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับธุรกิจค้าปลีกได้หลายประการ ธุรกิจค้าปลีกที่สามารถนำข้อมูลเชิงลึกมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถเอาชนะคู่แข่งและประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ เอ้ก ดิจิทัล ยังมีบริการอื่นๆ ที่สามารถช่วยธุรกิจค้าปลีก ดังนี้: บริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ บริการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น บริการออกแบบและผลิตสื่อโฆษณา บริการจัดการโซเชียลมีเดีย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53091
Retail
For All You Love” ได้ตอกย้ำถึงยูโอบีในฐานะธนาคารชั้นนำของภูมิภาคและความแข็งแกร่งของบัตรยูโอบีในระดับโลก พร้อมเปิดตัวผ่านช่องทางสื่อออนไลน์และสื่อโฆษณา Out of homeวันที่เท่าไหร่
1. 11 พฤษภาคม 2567 2. 11 พฤษภาคม 2565 3. 11 พฤษภาคม 2566 4. 11 พฤษภาคม 2564
ข้อที่ถูกต้องคือ 3. เนื่องจาก คนในแต่ละประเทศ ที่จะได้รับรางวัลมินิดีไซน์ไอเทมพร้อม Signature stripes ที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Paul Smith โดยจะมีการสุ่มจับรางวัลทั่วทั้งภูมิภาคในเดือนธันวาคม 2566 นี้ สำหรับความร่วมมือของยูโอบีในระดับภูมิภาคและในประเทศไทย นอกจากจะมีการเปิดตัวบัตรเครดิตของยูโอบีที่เป็นแบรนด์ร่วม (Co-brand) กับแบรนด์คอนซูเมอร์ในประเทศไทยถึง 5 บัตรแล้ว ยังมีดีลในประเทศอีกกว่า 2,000 รายการ ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ายูโอบี พร้อมรางวัลและสิทธิพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้า แคมเปญ “For All You Love” ใหม่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจบัตรเครดิตและความทุ่มเทของยูโอบีในการมอบประสบการณ์เหนือระดับแก่ลูกค้า ภาพยนตร์โฆษณาเรื่องใหม่ภายใต้แคมเปญ “For All You Love” ได้ตอกย้ำถึงยูโอบีในฐานะธนาคารชั้นนำของภูมิภาคและความแข็งแกร่งของบัตรยูโอบีในระดับโลก พร้อมเปิดตัวผ่านช่องทางสื่อออนไลน์และสื่อโฆษณา Out of home ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53113
Retail
วัน แบงค็อก ได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่ออะไร
วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ พร้อมมาตรฐานคุณภาพสูงสุด ที่ครบครันใจกลางกรุงเทพฯ พัฒนาโดย บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนธุรกิจไปพร้อมกับกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด “Evolving Bangkok” พร้อมนำเสนอ จักรวาลของชีวิตเมือง” (Urbanverse) ที่มีมิติหลากหลาย ช่วยสร้างวิถีชีวิตใหม่ที่ผสานเสน่ห์ของกรุงเทพฯ กับความเป็นสากลระดับโลก ร่วมยกระดับศักยภาพถนนพระราม 4 เติบโตสู่การเป็น CBD แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด เผยว่า “จากจุดเริ่มต้น บนถนน ถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญ มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน เปี่ยมไปด้วยศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทจึงเข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งบนถนนพระราม 4 เริ่มตั้งแต่ สามย่าน มิตรทาวน์ สีลม เอจ เดอะ ปาร์ค เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ รวมถึงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยโครงการ วัน แบงค็อก จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่มาเติมเต็มย่านพระราม 4 ให้เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ และมีส่วนช่วยผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าระดับนานาชาติ ดึงดูดนักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก วัน แบงค็อก ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนกรุงเทพฯ (Evolving Bangkok) สร้างโครงการระดับโลก ด้วยการนำคุณค่าและเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ในอดีตมาพัฒนาเพื่อสร้างพื้นที่พระราม 4 ให้เป็นย่านแห่งใหม่ บนแนวคิด 4 แกนหลัก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง ดังนี้ 1. Being the Movement: ขับเคลื่อนเมืองและนำความก้าวหน้ามาพัฒนาไปพร้อมกับกรุงเทพฯ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนเมือง 2. Amplify Bangkok’s Values: ความเป็นที่สุดแห่งคุณค่าและเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ที่สั่งสมมานับศตวรรษมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบพื้นที่ต่างๆ 3. Redefine the Cityscape: เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะพลิกโฉมเมือง ด้วยการพัฒนาย่านพระราม 4 ให้เป็นแกนกลางใหม่ของเมือง ที่มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ 4. Empower Life in Smart and Sustainable Ecosystem: ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการระบบข้อมูล และเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิต พร้อมดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อเติบโตไปพร้อมกับกรุงเทพฯอย่างยั่งยืน วัน แบงค็อก พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “จักรวาลของชีวิตเมือง” (Urbanverse) มิติของการใช้ชีวิตที่หลากหลาย เชื่อมย่านพระราม 4 กับเมือง ไม่เพียงแต่เชิงกายภาพเท่านั้น หากยังเชื่อมโยง ส่งเสริม ร่วมมือ และเติมเต็มศักยภาพให้กับย่านอื่น ๆ ของกรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของเมืองและสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนและเกิดประสบการณ์ที่หลากหลาย จักรวาลชีวิตเมืองใน วัน แบงค็อก มอบประสบการณ์ใหม่ 8 ส่วน ประกอบด้วย 1. ประสบการณ์แห่งโลกธุรกิจ (Workplace): อาคารสำนักงานที่เพรียบพร้อมด้วยระบบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนทำงาน และความสะดวกสบายที่ช่วยพาธุรกิจให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า 2. ประสบการณ์แห่งโลกไลฟ์สไตล์ (Retail): ประสบการณ์ใหม่แห่งการช้อปปิ้งที่สร้างสรรค์ขึ้นจากเสน่ห์ที่หลากหลายของกรุงเทพฯบนแนวคิดและการออกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน 3. ประสบการณ์แห่งนิทรรศการและการแสดงระดับโลก (Live Entertainment Arena): พื้นที่จัดการประชุม นิทรรศการ งานแสดงระดับโลก ที่ได้มาตรฐานระดับสากล 4. ประสบการณ์แห่งการบริการที่ดีที่สุดสำหรับการพักผ่อนและธุรกิจ (Hotels): โรงแรมระดับโลก อันเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่มองหาบริการระดับสากล แต่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย 5. ประสบการณ์เหนือระดับของการอยู่อาศัย (Residences): ที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ครบครันด้วยคุณค่าการใช้ชีวิตเหนือระดับ 6. ประสบการณ์แห่งศิลปะและวัฒนธรรม (Art & Culture): แหล่งรวมโปรแกรมทางศิลปะและวัฒนธรรมที่สร้างสีสันให้กับชีวิตในทุกวันของทุกคนผ่านพื้นที่ที่เชื่อมโยงผลงาน ศิลปะสาธารณะ และพื้นที่แห่งการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ (Art Loop) 7. ประสบการณ์บนพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง (Public Realm):พื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียว มากกว่า 50 ไร่ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ออกแบบให้เป็นจุดพักผ่อนใจกลางเมืองและเป็นพื้นที่กิจกรรมและสันทนาการของเมือง เชื่อมระหว่างสวนลุมพินี และสวนเบญจกิติ 8. ประสบการณ์เมืองอัจฉริยะแบบยั่งยืน (Smart City with Sustainable Infrastructure): โครงสร้างพื้นฐานแห่งเมืองอัจฉริยะที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและส่งเสริมเมืองอย่างยั่งยืนทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม วัน แบงค็อก มุ่งสู่การรับรองโดยมาตรฐาน LEED for Neighbourhood Development ระดับ Platinum แห่งแรกในประเทศไทย และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร ตลอดจนตั้งเป้าสู่การรับรองมาตรฐาน WiredScore และ SmartScore สำหรับกลุ่มอาคารสำนักงานแห่งแรก ที่มีระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะแห่งอนาคตที่ดีที่สุด เพื่อให้ผู้อาศัยในอาคารได้รับประสบการณ์สุดพิเศษ อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน เพื่อความคุ้มค่าในอนาคต โดยล่าสุด วัน แบงค็อก ได้คว้า 2 รางวัลอันทรงเกียรติจากเวทีระดับเอเชีย คือ Best Landmark Mixed-Use Development (Asia) โดยถือเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยรายแรกที่ได้รับรางวัลนี้ และรางวัล Best Office Development (Thailand) สำหรับอาคารสำนักงาน Tower 4 จากเวทีประกาศผลรางวัล PropertyGuru Asia Property Awards Grand Final 2022 ที่ผ่านมา และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสู่การเปิดโครงการฯ วัน แบงค็อก ได้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุกอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปี โดยจะมีแบรนด์เเคมเปญชูภาพลักษณ์ที่มีสีสัน ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ เข้าถึงง่าย เพื่อตอกย้ำแนวคิดของโครงการฯ ตลอดจนการผนึกกำลังกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำกรุงเทพฯไปสู่ความก้าวหน้าร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยทางโครงการฯ มีกำหนดเปิดให้บริการเฟสหนึ่งในไตรมาสแรกปี 2567
วัน แบงค็อก ได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อขับเคลื่อนกรุงเทพฯ (Evolving Bangkok) สร้างโครงการระดับโลก ด้วยการนำคุณค่าและเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ในอดีตมาพัฒนาเพื่อสร้างพื้นที่พระราม 4 ให้เป็นย่านแห่งใหม่ บนแนวคิด 4 แกนหลัก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง ดังนี้ 1. Being the Movement: ขับเคลื่อนเมืองและนำความก้าวหน้ามาพัฒนาไปพร้อมกับกรุงเทพฯ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนเมือง 2. Amplify Bangkok’s Values: ความเป็นที่สุดแห่งคุณค่าและเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ที่สั่งสมมานับศตวรรษมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบพื้นที่ต่างๆ 3. Redefine the Cityscape: เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะพลิกโฉมเมือง ด้วยการพัฒนาย่านพระราม 4 ให้เป็นแกนกลางใหม่ของเมือง ที่มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ 4. Empower Life in Smart and Sustainable Ecosystem: ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการระบบข้อมูล และเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิต พร้อมดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อเติบโตไปพร้อมกับกรุงเทพฯอย่างยั่งยืน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53125
Retail
คุณดิษทัต ปันยารชุน ให้มุมมองแนวคิด “ติดปีก OR” ขับเคลื่อนองค์กร 4 เรื่องหลักที่ว่าด้วย RISE OR ประกอบด้วยอะไรบ้าง
นับจาก OR IPO ในปี 2564 จังหวะเข้ามารับตำแหน่งของ “ดิษทัต ปันยารชุน” ซีอีโอคนที่ 2 ขององค์กร จึงเป็นช่วงเวลา Take off “ติดปีก OR” ทะยานไปสู่การเติบโตใหม่ ตามวิสัยทัศน์ Empowering All toward Inclusive Growth ร่วมกับพันธมิตร ด้วยแนวคิดที่ว่า “พาร์ทเนอร์โต เราโตด้วย นี่คือความยั่งยืน ของ OR” ในบทบาทซีอีโอคนใหม่ คุณดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ให้มุมมองแนวคิด “ติดปีก OR” ขับเคลื่อนองค์กร 4 เรื่องหลักที่ว่าด้วย RISE OR R-Result การมุ่งสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ในระยะเวลาอันสั้น I- Intelligence การตัดสินใจที่ฉลาดบนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสารที่มีประสิทธิภาพ ใช้ฐานข้อมูลขององค์กรที่มีอยู่จำนวนมากมาสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ S- Synergy การผนึกกำลังของธุรกิจทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม ปตท. ใช้พลังทั้งสองอย่างนี้ทำให้ OR เติบโตไม่ที่สิ้นสุด E- Entrepreneurship สร้างบทบาทให้ทุกคนในองค์กรต้องมี Mindset เป็นเจ้าของกิจการ เพื่อใช้พลังนี้ขับเคลื่อนองค์กรเติบโตไปด้วยกัน กางแผน 5 ปี ลงทุน ‘แสนล้าน’ มาดูแผนปฏิบัติการ เริ่มจากการลงทุน 5 ปี (ปี 2565-2570) จำนวน 101,486 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์การเติบโตแบบ Outside –In Growth ใช้ประโยชน์จากจุดแข็ง OR Asset ไม่ว่าจะเป็น เครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น กว่า 2,473 แห่ง, ร้านคาเฟ่ อเมซอน 4,051 สาขา, ร้านสะดวกซื้อ 2,138 แห่ง, เครือข่ายร้านค้าต่าง ๆ ที่เป็น Physical Platform ควบคู่กับ Digital Platform เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจ ก่อให้เกิด “Inclusive Growth Platform” ส่งต่อโอกาสให้กับผู้ประกอบการทุกขนาดเติบโตไปพร้อมกับ OR ภายใต้การลงทุน 4 กลุ่มหลัก – Mobility 31,355.1 ล้านบาท สัดส่วน 30.9% – Lifestyle 33,861.7 ล้านบาท สัดส่วน 33.3% – Global Market 16,410.3 ล้านบาท สัดส่วน 16.2% – Innovation & New Business 19,859.7 ล้านบาท สัดส่วน 19.6% ตามแผนธุรกิจปี 2573 หรือปี 2030 เพื่อผลักดันให้เกิด Inclusive Growth Platform การเติบโตในธุรกิจของ OR ร่วมกับพันธมิตรใน 4 ธุรกิจ 1. Seamless Mobility คือความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าพลังงานจะไปในทิศทางไหน OR จะมุ่งสู่ทิศทางนั้น โดยเฉพาะพลังงานสะอาด ในปี 2573 วางเป้าหมายขยายจุดชาร์จไฟฟ้า EV Station Plus ให้ได้ 7,000 แห่งทั่วประเทศไทย กับเป้าหมาย OR ต้องเป็นผู้นำ EV 2. All Lifestyles ทั้งธุรกิจ F&B ที่ลงทุนเองและเข้าไปร่วมทุน นับตั้งแต่ OR เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมทุนกับหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น โอ้กะจู๋, โคเอ็นซูชิ, Kamu Kamu, Peaberry Thai (ร้านกาแฟ Pacamara), บุญรอดฯ ,ดุสิตธานี, กลุ่มสตาร์ทอัพ Pomelo, Carsome, freshket, GoWabi, Protomate, Hungry Hub, Hangry กลุ่มท่องเที่ยว tralveloka กลุ่มธุรกิจบริหาร Otteri, Flash Group และยังเดินหน้าการแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มของ OR 3. Global Market เป็นตลาดที่เติบโตได้แบบไม่มีขีดจำกัด จากเน็ตเวิร์กที่มีจำนวนมาก การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่มีความเข้มแข็ง เพื่อนำ OR ไปสู่ยุคใหม่ในตลาดโลก ปัจจุบัน OR มีบริษัทย่อยทำธุรกิจอยู่ใน 10 ประเทศ และจะขยายต่อเนื่องในประเทศที่มีจีดีพีเติบโตสูง เป้าหมายปี 2573 จะขยายให้ได้ 20 ประเทศ และพาแบรนด์ไทยไปขยายธุรกิจร่วมกับ OR ด้วย 4. OR Innovation เป็นนวัตกรรมที่ทำให้ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง แต่เป็นการคิดค้นกระบวนการทำงาน ผลิตภัณฑ์ใหม่ มีทั้งการร่วมทุนถือหุ้น ซื้อกิจการ ตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ ผ่าน ORZON Ventures เปิดโอกาสให้พาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมเติบโตไปกับ OR ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ OR มาจาก Core Business กลุ่ม Mobility 70% Lifestyle 20% ที่เหลือมาจาก Global Market และ Innovation ตามแผนลงทุน 5 ปี โฟกัสการลงทุนไปที่กลุ่ม Lifestyle มากขึ้น โดยวางเป้าหมายรายได้และกำไร สัดส่วน 50% มาจากการดำเนินธุรกิจที่เป็นพันธมิตรกับ OR เพราะเมื่อ “พาร์ทเนอร์โต เราโตด้วย นี่คือความยั่งยืน ของ OR ในระยะยาว” โรดแมพ SDG ชุมชนต้องรัก OR อีกภารกิจสำคัญที่ซีอีโอใหม่ต้องสานต่อ คือ Sustainability for Future การสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของ OR S – SMALL โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก (Opportunities for Communities) ผ่านการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน ครอบคลุมทั้งในพื้นที่ที่ OR ดำเนินธุรกิจและชุมชนรอบพื้นที่ธุรกิจมากกว่า 15,000 ชุมชน หรือกว่า 12 ล้านชีวิต ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ D – DIVERSIFIED โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ (More Partners, Products and Services) ผ่านศักยภาพของ OR ที่จะเป็น Platform ในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม พร้อมเติบโตไปด้วยกัน G – GREEN โอกาสเพื่อสังคมสะอาด (Low Carbon Business Areas) ผ่านการส่งเสริม ธุรกิจทุกประเภทของ OR ให้เป็นธุรกิจสีเขียว เพื่อสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำ อย่างยั่งยืน และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 ตลอดจนมุ่งสู่การบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2050 การสร้างการเติบโต สร้างอาชีพ และการกระจายความมั่งคั่ง (Economic Prosperity) สู่คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ผู้ประกอบการขนาดย่อม พนักงาน และชุมชนมากกว่า 1 ล้านราย “เราวางแนวทางไว้ชัดเจนว่า สถานที่ใดที่ OR เข้าไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็นสถานีบริการน้ำมัน, คลังน้ำมัน, ร้านค้าต่างๆ ในรัศมี 5 กิโลเมตร ต้องทำให้ชุมชนรอบข้างมีความสุข ต้อนรับ และรัก OR ถือเป็นความมุ่งมั่นที่ต้องทำให้ได้” ในสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจ ผู้นำอย่าง OR กำลังถูกท้าทาย จากดีล “บางจาก” ซื้อกิจการ ESSO ที่ทำให้สมรภูมินี้ดุเดือดขึ้น ซีอีโอใหม่ OR ยืนยันว่าพร้อมรับมือทุกการแข่งขัน จาก 4 กลุ่มธุรกิจที่เข้มแข็ง และการ ผนึกกำลังร่วมกับเครือ ปตท. มั่นใจว่าสามารถแข่งขันในตลาดและเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรใหม่ๆ ที่จะเข้ามาอยู่ร่วมกันในแพลตฟอร์มแห่งโอกาสกับ OR อ่านเพิ่มเติม
คุณดิษทัต ปันยารชุน ให้มุมมองแนวคิด “ติดปีก OR” ขับเคลื่อนองค์กร 4 เรื่องหลักที่ว่าด้วย RISE OR ประกอบด้วย 1. R-Result การมุ่งสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ในระยะเวลาอันสั้น 2. I- Intelligence การตัดสินใจที่ฉลาดบนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสารที่มีประสิทธิภาพ ใช้ฐานข้อมูลขององค์กรที่มีอยู่จำนวนมากมาสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ 3. S- Synergy การผนึกกำลังของธุรกิจทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม ปตท. ใช้พลังทั้งสองอย่างนี้ทำให้ OR เติบโตไม่ที่สิ้นสุด 4. E- Entrepreneurship สร้างบทบาทให้ทุกคนในองค์กรต้องมี Mindset เป็นเจ้าของกิจการ เพื่อใช้พลังนี้ขับเคลื่อนองค์กรเติบโตไปด้วยกัน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53156
Retail
ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พระราม 3 มีความสูงกี่ชั้น
“เทอร์มินอล21 พระราม 3” ขยายมหานครแห่งไลฟ์สไตล์ครั้งใหม่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาโชว์ไฮไลท์ 6 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมตั้งเป้าต้อนรับลูกค้ามากกว่า 3.5 ล้านคน ภายในปี 2565 หลังจากที่ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) บริษัทในเครือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ทุ่มเงินกว่า 6,000 ล้านบาทเนรมิต “ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 พระราม 3” สู่มหานครแห่งไลฟ์สไตล์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ หรือ 1.4 แสนตารางเมตร และเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดรับลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ คุณประเสริฐ ศรีอุฬารพงศ์ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 แฟชั่นไอส์แลนด์ และเดอะพรอมานาด บริษัท แอล เอชมอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) บริษัทในเครือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 ได้สร้างประสบการณ์ Customer Experience ผ่านการขยายอาณาจักรศูนย์การค้าบนพื้นที่ศักยภาพต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นตั้งแต่ อโศก ภายใต้ธีม The Whole World is here -ท่าอากาศยานแห่งการช้อปปิ้ง เรียกว่าสร้างกระแสช้อปปิ้งไลฟ์สไตล์แนวใหม่ของประเทศไทย ต่อจากนั้นสร้างกระแสต่อเนื่องที่ โคราช ภายใต้ธีม บรรยากาศของ 7 มหานครระดับโลก และพัทยา ภายใต้ธีม The Happiness East พร้อมทั้งขยายรูปแบบกิจกรรมการตลาดใหม่ๆ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น และสร้างการดึงดูดใจต่อกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ ผ่านกิจกรรมการสื่อสารการตลาดที่เชื่อมโลกออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน #เปิดไฮไลท์ 6 เมืองท่องเที่ยวทั่วโลก กับ “วิวริมเเม่น้ำเจ้าพระยา” ตอบโจทย์คนเมือง ล่าสุดได้เปิดตัว “ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 พระราม 3” บนพื้นที่ศักยภาพของ NEW CBD ถนนพระราม 3 ครอบคลุมกว่า 140,000 ตารางเมตร ขนาด 16 ไร่ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มาพร้อมคอนเซ็ปต์ที่นำแรงบันดาลใจมาจากเมืองท่องเที่ยวระดับโลก จาก 6 ประเทศ มาใช้เป็นธีมการตกแต่งในแต่ละชั้น ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในเทอร์มินอล21 สาขาอื่นๆ ให้ลูกค้าสามารถมาถ่ายรูปและสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวได้ ภายใต้แนวคิดมหานครแห่งไลฟ์สไตล์ที่ครบครัน ทุกโมเมนต์ความสุขเป็นไปได้ที่นี่ ท่ามกลางบรรยากาศภายในอาคารที่ตกแต่งสไตล์นีโอ-คลาสสิก นำเสนอเอกลักษณ์อันโดดเด่นจากแรงบันดาลใจทั้ง 6 เมืองท่องเที่ยว ระดับโลก อาทิ Caribbean Village, English Village, Italian Village, French Village, Japanese Village และ San Francisco Village เป็นต้น ให้บรรยากาศสบายๆ เหมือนการมาพักผ่อน ต้อนรับลูกค้าสู่ประสบการณ์ความสุขที่เต็มไปด้วยสีสัน ครบครัน และรองรับ ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกวัย นอกจากนี้ยังสร้างความแตกต่างไปจากเทอร์มินอลสาขาอื่นๆ ด้วยการใช้จุดแข็งที่ตั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยามาปรับการตกแต่งให้สามารถเป็นสถานที่พักผ่อนไปในตัวได้ โดยตัวศูนย์การค้ามีความสูง 7 ชั้น แบ่งเป็นพื้นที่ส่วนให้เช่า 40,000 ตารางเมตร และพื้นที่จอดรถยนต์ใต้ดิน 2 ชั้น สามารถรองรับรถยนต์ ถึง 2,000 คัน โดยมีพื้นที่เช่าแบ่งเป็นพื้นที่เช่าหลัก (Anchor Tenant) 22% และ Retail Tenant 78% ประกอบด้วย ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) โดย Tops Supermarket ครอบคลุมพื้นที่ 1,700 ตารางเมตร ,โรงภาพยนตร์ SF Cinema จำนวน 8 โรง บนพื้นที่มากกว่า 5,000 ตารางเมตร ,ฟิตเนส โดย The Fitness Platinum ครอบคลุมพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร,Gym มวยสุดไฮเทค โดย Meta H, สวนสนุกจาก Harborland กว่า 800 ตารางเมตร ,ฟู้ด มาร์เก็ต แหล่งรวมสตรีทฟู้ดแบรนด์ดังมากกว่า 200 ร้านค้า เพื่อรองรับและให้บริการ บนพื้นที่มากกว่า 1,500 ตารางเมตร อาทิ จกโต๊ะเดียว ชัยปลาหมึกย่าง ยู้ ลูกชิ้นปลาเยาวราช และขนมเบื้องสรินทร์ทิพย์ เป็นต้น โดยยังคงไฮไลท์ของศูนย์อย่าง “ศูนย์อาหาร Pier21” ที่อัดแน่นด้วยร้านอาหารเจ้าเด็ดมากกว่า 33 ร้าน อาทิ ป.ลูกชิ้นศรีย่าน คั่วไก่วรจักร ข้าวต้มแปลงนาม เจ๊ฮ้ง ราคาเริ่มต้นที่ 25 บาท บนพื้นที่มากกว่า 2,300 ตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ร้านค้าอื่นๆ อีกกว่า 250 ยูนิต อาทิ Uniqlo EVEANDBOY และ Muji แบ่งเป็นสินค้าด้านแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ โดยความพิเศษอีกแบบของ “เทอร์มินอล21 พระราม 3 ” คือการเชื่อมพื้นที่สินค้าบริเวณโซนแฟชั่น คาเฟ่ แนวไลฟ์สไตล์ ด้วยการถอดไม่มีกำแพงกั้นระหว่างร้านค้า นอกจากนี้ยังมีการนำ Know How ความสำเร็จจากศูนย์อื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมามาปรับใช้ เช่น โซนแฟชั่นแบบเปิดโล่ง ในบรรยากาศในการช้อปปิ้งเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามิกซ์แอนด์แมตช์สินค้าจากแบรนด์ต่าง ๆ อย่างอิสระ #“ช้อป-ฟิน-กิน-เที่ยว” กลยุทธ์ปั้นเทอร์มินอล21 พระราม 3 สู่มหานครแห่งไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ แม้จะเป็นศูนย์การค้าเกิดใหม่ในย่านแต่ด้วยแบรนด์ “เทอร์มินอล21 ” ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์สุดแปลกใหม่ในฝั่งธน ทำให้วางเป้าหมายผู้เข้ามาใช้บริการ 5 หมื่นคนต่อวัน เนื่องจากพบว่ากำลังซื้อของประชากรในย่านพระราม 3 เป็นอีกทำเลที่มีกำลังซื้อดีมาก ประกอบไปด้วยประชากรที่มีบ้านเก่าภาระหมด คอนโดไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท นับเป็นกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูง และเป็นโอกาสอันดี ขณะเดียวกันหากมองมาที่ศักยภาพของย่านพระราม 3 และฝั่งธนในปัจจุบันมีประชากร ที่อาศัยมากมาย รายล้อมด้วยสำนักงานออฟฟิศมากกว่า 43 แห่ง พนักงานมากกว่า 60,000 คน ที่พักอาศัยทั้งบ้านและคอนโดมากกว่า 5,000 ยูนิต รวมกว่า 1 ล้านคน และโรงแรมมากกว่า 44 แห่ง ซึ่งการจะดึงกำลังซื้อดังกล่าวให้เข้ามาจับจ่ายและใช้บริการภายในศูนย์ จำเป็นต้องวางกลยุทธ์การตลาดผ่านกิจกรรมและแคมเปญที่ต่อเนื่องทุกเดือน ผ่าน DNA ของแบรนด์ที่มีจุดเด่นในการจัดกิจกรรม 365 วัน และการเพิ่มกิจกรรมที่ติดริมแม่น้ำ ภายใต้งบประมาณทางการตลาดกว่า 50 ล้านบาท เพื่อสร้างสีสันการตลาดรูปแบบใหม่ซึ่งนับเป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองการเปิดตัวและร่วมฉลองขึ้นปีใหม่ ระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคมมากกว่า 10 แคมเปญ ควบคู่กับการใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ครบวงจร ทั้งสื่อ Billboard LED Screen โทรทัศน์ ไปจนถึงโซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์ทุกช่องทาง สร้างกระแสการรับรู้ไปสู่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีแคมเปญสำคัญ อาทิ แคมเปญ Grand Opening ต้อนรับเปิดศูนย์ กับโปรโมชั่นลดราคาฉลองเปิดศูนย์ฯ กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ และแคมเปญร่วมฉลองปีใหม่ระหว่างเดือนธันวาคม เป็นต้น มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้า เกิดการใช้สอยและเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยต้องการนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบครัน ทั้งช้อป ฟิน กิน เที่ยว โดยตั้งเป้าลูกค้ามากกว่า 3.5 ล้านคน ภายในปี 2565 โดยทำรายได้ที่ 600-700 ล้านบาทต่อปี #“เทอร์มินอล21” แบรนด์หลักขยายสาขาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไม่เพียงแค่สาขาล่าสุดที่ “เทอร์มินอล21 พระราม 3” เท่านั้น แต่ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) ยังมีแผนงานขยายสาขา “เทอร์มินอล21” เพิ่มเติมในเขตกรุงเทพฯ ทั้งใจกลางและชานเมือง ด้วยขนาดประมาณ 10 ไร่ เน้นแนวรถไฟฟ้าทั้งที่สร้างแล้วและกำลังจะสร้างในอนาคต โดยการเดินหน้าขยายสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เกิดจาก “เทอร์มินอล21” ยังมีสาขาน้อยเมื่อเทียบกับขนาดประชากรในกรุงเทพฯ กว่า 10-12 ล้านคน ทำให้ยังมองเห็นช่องว่างในการเติบโตอยู่ ชูจุดแข็งด้านดีไซน์ ความต่าง และการเข้าถึงในพื้นที่ขนาดเล็กมาเป็นจุดเด่นสำคัญ ซึ่งการขยายแบรนด์ “เทอร์มินอล21” นับจากนี้จะเกิดขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์การปรับรูปแบบ-การตกแต่งศูนย์ ไลน์อัพร้านค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามฐานลูกค้าไม่ว่าจะเป็นชาวไทย นักท่องเที่ยว ฯลฯ ให้แตกต่างกันออกไปตามโลเคชั่น นอกจากนี้ยังมีแผนจะเดินหน้าลงทุนรีโนเวตสาขาต่าง ๆ ต่อเนื่อง รวมถึงมองหาทำเลสำหรับสาขาใหม่ ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งกลางและชานเมือง และเตรียมรีโนเวตเทอร์มินอล21 อโศก ในปี 2566 ที่จะถึงนี้
ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พระราม 3 มีความสูง 7 ชั้น แบ่งเป็นพื้นที่ส่วนให้เช่า 40,000 ตารางเมตร และพื้นที่จอดรถยนต์ใต้ดิน 2 ชั้น สามารถรองรับรถยนต์ ถึง 2,000 คัน โดยมีพื้นที่เช่าแบ่งเป็นพื้นที่เช่าหลัก (Anchor Tenant) 22% และ Retail Tenant 78% ประกอบด้วย ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) โดย Tops Supermarket ครอบคลุมพื้นที่ 1,700 ตารางเมตร ,โรงภาพยนตร์ SF Cinema จำนวน 8 โรง บนพื้นที่มากกว่า 5,000 ตารางเมตร ,ฟิตเนส โดย The Fitness Platinum ครอบคลุมพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร,Gym มวยสุดไฮเทค โดย Meta H, สวนสนุกจาก Harborland กว่า 800 ตารางเมตร ,ฟู้ด มาร์เก็ต แหล่งรวมสตรีทฟู้ดแบรนด์ดังมากกว่า 200 ร้านค้า เพื่อรองรับและให้บริการ บนพื้นที่มากกว่า 1,500 ตารางเมตร อาทิ จกโต๊ะเดียว ชัยปลาหมึกย่าง ยู้ ลูกชิ้นปลาเยาวราช และขนมเบื้องสรินทร์ทิพย์ เป็นต้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53158
Retail
การรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มีมติอย่างรไบ้าง ?
“รับทราบผลการควบรวมทรู-ดีแทค” คือผลการพิจารณาของ กสทช. ต่อดีลประวัติศาสตร์ในวงการโทรคมนาคมไทยของสองยักษ์ใหญ่ “ทรู-ดีแทค” ที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในช่วงดึกของวันนี้ หลังจากประชุมยืดเยื้อนาน 11 ชั่วโมงตั้งแต่ช่วงเช้า พร้อมกำหนดเงื่อนไข/มาตรการเฉพาะ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนากิจการโทรคมนาคม โดยต้องแยกแบรนด์เป็นเวลา 3 ปี สำหรับมติเสียงข้างมากของ กสทช. ต่อกรณีดังกล่าว คือ “รับทราบการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)” ส่วนเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็น ไม่อนุญาตการรวมธุรกิจ และที่ประชุม กสทช. ได้มีมติ ดังนี้ มติที่ประชุม ๑. ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นการพิจารณาว่าการรวมธุรกิจกรณีนี้เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกับตามข้อ ๘ ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยนัยของผลตามข้อ ๙ ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศฉบับปี ๒๕๖๑ หรือไม่ โดยมีผลของการลงมติดังนี้ ที่ประชุมเสียงข้างมาก (ประธาน กสทช. และ กสทช. ต่อพงศ์ฯ) มีมติเห็นว่าการรวมธุรกิจในกรณีนี้ ไม่เป็น การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามข้อ ๘ ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ (ประกาศฉบับปี ๒๕๔๙) โดยนัยของผลตามข้อ ๙ ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม (ประกาศฉบับปี ๒๕๖๑) และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศฉบับปี ๒๕๖๑ โดยรับทราบการรวมธุรกิจและเมื่อ กสทช. ได้รับรายงานการรวมธุรกิจแล้ว กสทช. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไข/มาตรการเฉพาะตามข้อ ๑๒ ของประกาศฉบับปี ๒๕๖๑ ที่ประชุมเสียงข้างน้อย (กสทช. รองศาสตราจารย์ ดร. ศุภัชฯ และ กสทช. ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรองฯ) มีมติเห็นว่ากรณีนี้เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันและให้พิจารณาดำเนินการพิจารณาตามข้อ ๘ ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ โดย กสทช. อาจสั่งห้ามการถือครองกิจการหรือกำหนดมาตรการเฉพาะตามหมวด ๔ ของประกาศดังกล่าว กสทช. พลอากาศโท ดร. ธนพันธุ์ฯ ของดออกเสียง เนื่องจากยังมีประเด็นปัญหาการตีความในแง่กฎหมายจึงยังไม่สามารถพิจารณาได้อย่างชัดเจนจึงของดออกเสียง โดยจะขอทำบันทึกในภายหลัง อนึ่ง เนื่องจากการลงมติที่ประชุมดังกล่าวข้างต้นมีคะแนนเสียงเท่ากัน ดังนั้น ประธานที่ประชุมได้ใช้อำนาจตามข้อ ๔๑ ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ. ๒๕๕๕ ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด เปิด 5 มาตรการเฉพาะ “ควบรวมทรู-ดีแทค” ที่ประชุมพิจารณาข้อกังวล (Point of concern) จำนวน ๕ ข้อ และเห็นชอบเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะดังนี้ ๒.๑ ข้อกังวลเรื่องอัตราค่าบริการและสัญญาการให้บริการ มีเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ ดังนี้ ๑) การกำหนดเพดานราคาของอัตราค่าบริการเฉลี่ย ก. อัตราค่าบริการเฉลี่ยลดลงร้อยละ ๑๒ โดยใช้วิธีการเฉลี่ยราคาใหม่ ด้วยการถ่วงน้ำหนักตามจำนวนผู้ใช้บริการในแต่ละรายการส่งเสริมการขาย (WEIGHTED AVERAGE) ภายใน ๙๐ วันหลังจากมีการควบรวม) ข. ให้มีทางเลือกของราคาที่แยกรายบริการเพื่อให้เป็นทางเลือก ค. ให้นำส่งข้อมูลต้นทุนและข้อมูลที่จำเป็นโดยให้มีหน่วยงานตรวจสอบ ง. ให้ผู้แจ้งการรวมธุรกิจประกาศให้ผู้ใช้บริการรับทราบ เพื่อมีการตรวจสอบและมีบทลงโทษกรณีทำไม่ได้ เช่น ปรับเป็นจำนวนร้อยละของรายได้ หรือปรับเป็นขั้นบันได และเพิกถอนใบอนุญาต ๒) การกำหนดราคาค่าบริการ โดยใช้ราคาเฉลี่ยทางเศรษฐศาสตร์ (Average Cost Pricing) – ให้นำส่งข้อมูลตามประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำรายงานบัญชีแยกประเภทในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้ครบถ้วน โดยให้แยกรายละเอียดเป็นรายเดือน และนำส่งสำนักงาน กสทช. ทุก ๓ เดือน หรือเมื่อ กสทช. ร้องขอ เพื่อใช้ตรวจสอบโครงสร้างต้นทุน โครงสร้างอัตราค่าบริการ และนำมาคำนวณหาต้นทุนรวมเฉลี่ย ซึ่งเป็นราคาในตลาดที่มีการแข่งขัน (Average Cost Pricing) และต้นทุนส่วนเพิ่ม (MC) ที่เป็นปัจจุบันและถูกต้อง – จัดให้มีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญด้านการสอบทาน (Verify) ข้อมูลโครงสร้างต้นทุน อัตราค่าบริการ หรือข้อมูลด้านอัตราต่างๆ ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในต่างประเทศมาไม่น้อยกว่า ๕ ปี โดยให้ กสทช. เป็นผู้กำหนด และให้ผู้ยื่นคำร้องรวมธุรกิจเป็นผู้รับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากการจัดหาและจัดจ้างที่ปรึกษา ทั้งนี้ ที่ปรึกษาจะต้องไม่มีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมกับผู้ยื่นคำร้องขอรวมธุรกิจ เพื่อสอบทาน (Verify) ความถูกต้องของข้อมูลตามข้อ (ก) ตรวจสอบโครงสร้างต้นทุน โครงสร้างอัตราค่าบริการ และนำมาคำนวณหาต้นทุนเฉลี่ย (AC) และต้นทุนส่วนเพิ่ม (MC) ที่ถูกต้องของแต่ละรายบริการ เช่น บริการเสียง บริการข้อมูล บริการส่งข้อความ เป็นต้น เมื่อมีการรวมธุรกิจให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน – จัดให้มีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญเช่นเดียวกับข้อ (ข) เพื่อทำหน้าที่สอบทาน (Verify) ความถูกต้องของข้อมูลตามข้อ (ก) ตรวจสอบโครงสร้างต้นทุน โครงสร้างอัตราค่าบริการ และนำมาคำนวณหาต้นทุนเฉลี่ย (AC) และต้นทุนส่วนเพิ่ม (MC) ที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันของแต่ละรายบริการ เช่น บริการเสียง บริการข้อมูล บริการส่งข้อความ เป็นต้น ปีละ ๔ ครั้ง (รายไตรมาส) โดยต้องจัดให้มีที่ปรึกษาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี หรือตลอดระยะเวลาอายุใบอนุญาตสิ้นสุดลงในกรณีที่อายุใบอนุญาตน้อยกว่า ๑๐ ปี โดยให้ กสทช. เป็นผู้กำหนด และให้ผู้ยื่นคำร้องรวมธุรกิจเป็นผู้รับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากการจัดหาและจัดจ้างที่ปรึกษา ทั้งนี้ ที่ปรึกษาจะต้องไม่มีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมกับผู้ยื่นคำร้องขอรวมธุรกิจ – จะต้องมีการกำหนดและแสดงอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แยกตามรายบริการ (Unbundle) เช่น บริการเสียง บริการข้อมูล บริการส่งข้อความ เป็นต้น หรือการส่งเสริม การขายแบบแยกรายบริการ (Unbundle Package) เพื่อให้ผู้ใช้บริการปลายทางได้รับทราบก่อน โดยให้กำหนดอัตราค่าบริการตามต้นทุนเฉลี่ยรายบริการ (Average Cost Pricing) โดยคิดราคาตามที่มีการใช้งานจริง โดยจะต้องไม่มีการกำหนดการซื้อบริการขั้นต่ำไว้ ทั้งนี้ การกำหนดอัตราตามต้นทุนเฉลี่ยรายบริการ (Average Cost Pricing) ให้นำไปใช้กับกรณีค่าบริการส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการรายการส่งเสริมการขายแบบแยกรายบริการ (Unbundle Package) และการส่งเสริมการขายแบบรวมรายบริการ (Bundle Package) ด้วย จ. จะต้องจัดช่องทางการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ครอบคลุมและง่ายต่อการเลือกซื้อ เปลี่ยนแปลง (เพิ่ม ลด) การใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ตามความต้องการของผู้ใช้บริการปลายทาง โดยปราศจากข้อจำกัด ทั้งนี้ ต้องแสดงรายละเอียดของบริการ อัตราค่าบริการแยกตามรายบริการ หรืออัตราค่าบริการแบบส่งเสริมการขาย ตลอดจนวิธีการ เงื่อนไขการเลือกรับบริการไว้โดยชัดแจ้ง และเป็นปัจจุบัน ๓) การคงทางเลือกของผู้บริโภค การกำหนดให้บริษัท TUC และบริษัท DTN ยังคงแบรนด์การให้บริการแยกจากกัน เป็นระยะเวลา ๓ ปี ๔) สัญญาการให้บริการ บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องคงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างบริษัทและผู้ใช้บริการ รวมถึงผลประโยชน์ที่ได้รับตามที่ได้มีการทำสัญญาหรือข้อตกลงไว้ตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา เว้นแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาที่เป็นคุณหรือเป็นประโยชน์และได้รับการยินยอมจากผู้ใช้บริการแล้ว ๕) การประชาสัมพันธ์การให้บริการเพื่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ ภายหลังการรวมธุรกิจ บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้ใช้บริการทราบถึงการคงไว้ซึ่งคุณภาพในการให้บริการและค่าบริการที่เป็นธรรม และจะต้องกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการหลังการรวมธุรกิจ โดยสำนักงาน กสทช. อาจกำหนดแนวทางและระยะเวลาการดำเนินการ รวมถึงเงื่อนไขในการปฏิบัติในเรื่องการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้บริษัท TUC และบริษัท DTN ดำเนินการต่อไป ๒.๒ ข้อกังวล อุปสรรคการเข้าสู่ตลาด – ขาดประสิทธิภาพการแข่งขัน และการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย มีเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ ดังนี้ ๑) เงื่อนไขบังคับก่อน (Ex Ante) ก. ให้ผู้ยื่นคำร้องขอรวมธุรกิจจัดทำแผนการจัดให้มีผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน (MVNO) โดยจะต้องมีรายละเอียด ดังนี้ (1) จัดให้มีหน่วยธุรกิจเพื่อให้บริการโครงข่ายแก่ผู้ให้บริการ MVNO โดยมีการแยกระบบการบริหารจัดการ ระบบบัญชี ออกจากหน่วยธุรกิจหลักที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจในครั้งนี้ (2) จัดให้มีระบบการให้บริการโครงข่ายที่พร้อมรองรับการเข้าใช้บริการโครงข่ายสำหรับผู้ให้บริการ MVNO ภายหลังจากมีการรวมธุรกิจโดยทันที อนึ่งการดำเนินการตาม (1) และ (2) จะต้องมีความพร้อมในการดำเนินงานทันที เมื่อเกิดการรวมธุรกิจ ข. ให้ผู้ยื่นร้องขอรวมธุรกิจ ผู้รับใบอนุญาตจากการรวมธุรกิจ ตลอดจนบริษัทที่อยู่ภายใต้อำนาจควบคุม จัดให้มีแผนการแยกการบริหารจัดการ ระบบบัญชี สำหรับให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่กับบริการโทรศัพท์เคลื่อน โดยให้เสนอแผนดังกล่าวต่อ กสทช. ก่อนการรวมธุรกิจ ๒) มาตรการเฉพาะภายหลังการรวมธุรกิจ (Ex Post) ก. ผู้รับใบอนุญาตที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจตลอดจนบริษัทย่อยที่อยู่ภายใต้การควบคุม ต้องดำเนินการให้ผู้รับใบอนุญาต MVNO สามารถใช้และเชื่อมต่อโครงข่ายกับผู้รับใบอนุญาตรายอื่นได้เช่นเดียวกับตนเอง ผู้รับใบอนุญาต MVNO จะต้องได้รับสิทธิในการใช้บริการจากคลื่นความถี่ในทุกย่านของผู้รวมธุรกิจที่มีสิทธิในการใช้งานทั้งสิทธิทางตรงและสิทธิที่ได้รับช่วงมาภายใต้มาตรฐานเทคโนโลยีเดียวกัน การเข้าใช้บริการโครงข่ายสำหรับผู้รับใบอนุญาต MVNO จะต้องได้รับการประกันสิทธิ ในการได้รับบริการภายใต้คุณภาพการให้บริการ (QoS) ตามมาตรฐานการให้บริการที่ กสทช. กำหนด จะต้องไม่ปฏิเสธการให้บริการแก่ผู้ได้รับใบอนุญาต MVNO อันเกิดมาจากเหตุผลความไม่เพียงพอของโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่ กสทช. กำหนด จะต้องพร้อมให้ผู้รับใบอนุญาต MVNO ที่ขอเข้าใช้โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถเริ่มให้บริการได้ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่ขอเข้าใช้บริการ บริษัท TUC และ DTN จะต้องจัดให้มีบริการโครงข่ายโทรคมนาคม โดยมีขนาดความจุ (Capacity) อย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ของโครงข่ายโทรคมนาคมทั้งหมดของตนเองให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือนที่ไม่มีความเกี่ยวโยงกันกับบริษัท TUC และ DTN เมื่อมีคำขอรับบริการดังกล่าว อัตราค่าตอบแทนการขายส่งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับผู้ให้บริการ MVNO ให้ไม่เกินอัตราค่าบริการที่เสนอขายเฉลี่ยต่อหน่วยของแต่ละบริการตามสิทธิการใช้งานของทุกรายการส่งเสริมการขายหักด้วยอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของอัตราค่าบริการที่เสนอขายเฉลี่ยต่อหน่วยของราคาขายปลีกสำหรับบริการแบบส่งเสริมการขาย (Bundle Package) หรือราคาเฉลี่ยขายต่อหน่วยสำหรับรายบริการ (Unbundle) ที่มีการใช้งานจริง (เช่น เสียง ข้อมูล บริการข้อความ เป็นต้น) (retail – 30%) ที่ผู้รับใบอนุญาตหรือบริษัทย่อยที่อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของนิติบุคคลที่เกิดขึ้นจากการยื่นคำร้องขอรวมธุรกิจในครั้งนี้ให้บริการแก่ผู้ใช้บริการปลายทาง ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จะต้องไม่กำหนดเพดานขั้นต่ำของการเข้าซื้อรายบริการ เช่น เสียง ข้อมูล บริการข้อความ เป็นต้น ของผู้รับใบอนุญาต MVNO ทั้งนี้ การเรียกเก็บค่าบริการให้เป็นไปตามการใช้งานที่เกิดขึ้นจริง ๒.๓. ข้อกังวลคุณภาพการให้บริการ มีเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ ดังนี้ ๑) บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องคงคุณภาพในการให้บริการดังนี้ ๑.๑) คุณภาพของสัญญาณในการให้บริการ บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องไม่ลดคงจำนวนระบบสื่อสัญญาณ (cell sites) ของทั้งสองบริษัทลงจากเดิม เพื่อรักษาคุณภาพและมาตรฐานของบริการที่ให้ประชาชนได้รับให้ไม่ต่ำไปกว่าเดิม และจะต้องรักษาคุณภาพและมาตรฐานของบริการตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคม อย่างเคร่งครัด ๑.๒) คุณภาพในการให้บริการลูกค้า บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นจากการรวมธุรกิจเพื่อให้คุณภาพในการให้บริการต่อผู้ใช้บริการไม่ต่ำกว่าเดิม เช่น จำนวนเจ้าหน้าที่ที่เพียงพอเพื่อรองรับการให้บริการทั้งในส่วนของศูนย์บริการ และพนักงานรับสาย (Call center) รวมถึงขนาดพื้นที่ของศูนย์บริการลูกค้าที่สามารถรองรับการเข้ามาติดต่อของผู้ใช้บริการ ๒) ความครอบคลุมของโครงข่าย บริษัท TUC และ/หรือบริษัท DTN จะต้องจัดให้มีโครงข่ายโทรคมนาคมเพื่อการประกอบกิจการด้วยเทคโนโลยี 5G ครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๕ ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศภายใน ๓ ปี และร้อยละ ๙๐ ของประชากรทั้งหมดของประเทศภายใน ๕ ปีนับจากวันที่รวมธุรกิจ ๒.๔. ข้อกังวลการถือครองคลื่นความถี่/การใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน มีเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ ดังนี้ ๑) การถือครองคลื่นความถี่ บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับใช้งานคลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม อย่างเคร่งครัด (การใช้คลื่นความถี่ตามมาตรา ๔๑ วรรคสี่ มาตรา ๔๔/๑ และมาตรา ๔๔/๓ แห่ง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ๒) การใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน (Infrastructure Sharing) บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องให้ผู้รับใบอนุญาตรายอื่นเช่าใช้โครงข่ายโทรคมนาคมของตนเองในการประกอบกิจการโทรคมนาคม และจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้โครงข่ายโทรคมนาคม ของ กสทช. อย่างเคร่งครัด ๒.๕. เศรษฐกิจของประเทศ นวัตกรรมและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital divide) ๑) ความครอบคลุมของโครงข่าย บริษัท TUC และ/หรือบริษัท DTN จะต้องจัดให้มีโครงข่ายโทรคมนาคมเพื่อการประกอบกิจการด้วยเทคโนโลยี 5G ครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๕ ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศภายใน ๓ ปี และร้อยละ ๙๐ ของประชากรทั้งหมดของประเทศภายใน ๕ ปีนับจากวันที่รวมธุรกิจ ๒) จัดให้มีรายการส่งเสริมการขายในราคาต่ำเป็นพิเศษสำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยให้มีการประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายได้รับทราบอย่างทั่วถึง ๓) เสนอแผนการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นรูปธรรมภายใน ๖๐ วันหลังจากได้รับแจ้งเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ และเริ่มดำเนินการตามแผนภายใน ๑ ปี ๓. ที่ประชุมเห็นชอบกำหนดกลไกในการติดตามและประเมินผลการรวมธุรกิจ ๓.๑ การรายงานผลการประกอบธุรกิจ ภายใต้การดำเนินการตามกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขที่ได้รับจาก กสทช. ทุก ๖ เดือน ในระยะเวลาอย่างน้อย ๕ ปี ๓.๒ ภายหลังการรวมธุรกิจ หาก กสทช. พิจารณาหรือได้รับการร้องเรียนว่า มีการกระทำ พฤติกรรม หรือเหตุอันเป็นการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันในการให้บริการ กิจการโทรคมนาคมมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญทำให้เงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะไม่เหมาะสมหรือไม่มีประสิทธิภาพ กสทช. อาจระงับ ยกเลิก เพิ่มเติม หรือปรับปรุงเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะใหม่ก็ได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็น ๔. ที่ประชุมมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. นำประเด็นไปหารือคณะอนุกรรมการที่ปรึษากฎหมายของ กสทช. รวม ๓ ประเด็น ได้แก่ เรื่องการเห็นชอบกลไกการขายหุ้นออกไปจนไม่มีอำนาจในการควบคุมเชิงนโยบาย (Divestiture) เรื่องการรวมธุรกิจของบริษัท TUC และบริษัท DTN ในอนาคต และเรื่องร้องเรียนคุณสมบัติของที่ปรึกษาอิสระ (บล.ฟินันซ่า) ๕. มอบหมายให้สำนักงาน กสทช. ไปศึกษาประกาศรวมธุรกิจปี ๒๕๖๑ และประกาศปี ๒๕๔๙ ๖. เห็นชอบในหลักการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อติดตามและประเมินผลการรวมธุรกิจตามประกาศปี ๒๕๖๑ ทั้งหมด ๗. ให้สำนักงาน กสทช. และผู้แจ้งการรวมธุรกิจประกาศให้ผู้ใช้บริการรับทราบเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะตามที่มีมติ เพื่อมีการตรวจสอบและมีบทลงโทษกรณีทำไม่ได้ เช่น ปรับเป็นจำนวนร้อยละของรายได้ หรือปรับเป็นขั้นบันได และเพิกถอนใบอนุญาต หมายเหตุ ๑. ประธาน กสทช. กสทช. รองศาสตราจารย์ ดร. ศุภัชฯ กสทช. พลอากาศโท ดร. ธนพันธุ์ กสทช. ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรองฯ และ กสทช. ต่อพงศ์ฯ จะจัดส่งบันทึกความเห็นให้ในภายหลัง ๒. กสทช. รองศาสตราจารย์ ดร. ศุภัชฯ และ รองศาสตราจารย์ ดร.พิรงรองฯ ขอสงวนความเห็นในการรับรองรายงานการประชุมเนื่องจากมีข้อสังเกตในประเด็นผลทางกฎหมายของการออกเสียงลงมติ สำหรับการควบรวมกิจการดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่สร้างปรากฏการณ์ในวงการโทรคมนาคมไทยตลอดทั้งปี 2565 (หลังจากมีการยื่นเอกสารตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2565) ซึ่งในวันนี้ การได้ข้อสรุปว่า กสทช. รับทราบการควบรวมกิจการ ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดีลนี้ก้าวสู่บทใหม่ของวงการโทรคมนาคมไทยในยุค web 3.0 ก็เป็นได้
มติที่ประชุม ๑. ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นการพิจารณาว่าการรวมธุรกิจกรณีนี้เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกับตามข้อ ๘ ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยนัยของผลตามข้อ ๙ ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศฉบับปี ๒๕๖๑ หรือไม่ โดยมีผลของการลงมติดังนี้ ที่ประชุมเสียงข้างมาก (ประธาน กสทช. และ กสทช. ต่อพงศ์ฯ) มีมติเห็นว่าการรวมธุรกิจในกรณีนี้ ไม่เป็น การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามข้อ ๘ ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ (ประกาศฉบับปี ๒๕๔๙) โดยนัยของผลตามข้อ ๙ ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม (ประกาศฉบับปี ๒๕๖๑) และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศฉบับปี ๒๕๖๑ โดยรับทราบการรวมธุรกิจและเมื่อ กสทช. ได้รับรายงานการรวมธุรกิจแล้ว กสทช. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไข/มาตรการเฉพาะตามข้อ ๑๒ ของประกาศฉบับปี ๒๕๖๑ ที่ประชุมเสียงข้างน้อย (กสทช. รองศาสตราจารย์ ดร. ศุภัชฯ และ กสทช. ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรองฯ) มีมติเห็นว่ากรณีนี้เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันและให้พิจารณาดำเนินการพิจารณาตามข้อ ๘ ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ โดย กสทช. อาจสั่งห้ามการถือครองกิจการหรือกำหนดมาตรการเฉพาะตามหมวด ๔ ของประกาศดังกล่าว กสทช. พลอากาศโท ดร. ธนพันธุ์ฯ ของดออกเสียง เนื่องจากยังมีประเด็นปัญหาการตีความในแง่กฎหมายจึงยังไม่สามารถพิจารณาได้อย่างชัดเจนจึงของดออกเสียง โดยจะขอทำบันทึกในภายหลัง อนึ่ง เนื่องจากการลงมติที่ประชุมดังกล่าวข้างต้นมีคะแนนเสียงเท่ากัน ดังนั้น ประธานที่ประชุมได้ใช้อำนาจตามข้อ ๔๑ ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ. ๒๕๕๕ ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53166
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธนาคารต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
null
ณ ร้านกาแฟใจกลางเมือง ฝน หญิงสาววัย 27 ปี นั่งจิบกาแฟยามเช้า สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอมือถือ นิ้วเรียวกดไลค์โพสต์โปรโมชั่นสุดคุ้มจากแอป UOB TMRW แอปพลิเคชันธนาคารดิจิทัลที่เธอใช้งานเป็นประจำ “โอ้โห ดีลนี้พลาดไม่ได้!” ฝนอุทานด้วยความตื่นเต้น โปรโมชั่นส่วนลดค่าอาหาร 20% เพียงชำระเงินผ่าน UOB TMRW ช่างตรงใจเธอเหลือเกิน ฝนใช้ UOB TMRW มาเกือบปีแล้ว รู้สึกประทับใจกับดีไซน์ที่เรียบง่าย ใช้งานง่าย ฟีเจอร์ครบครัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เธอเริ่มใช้ UOB TMRW ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเธอต้องการแอปที่ช่วยจัดการเงินออม บัตรเครดิต และการใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างสะดวก UOB TMRW ตอบโจทย์เธอทุกประการ “สมัยก่อนเคยใช้แอปธนาคารหลายตัว วุ่นวายมาก โอนเงินทีก็ยุ่งยาก ต้องจำรหัสเยอะแยะ แต่พอใช้ UOB TMRW แอปเดียวจบ ครบทุกเรื่องการเงิน สะดวกสุดๆ” ฝนพูดคุยกับ ฟ้า เพื่อนสนิทของเธอ ฟ้าพยักหน้าเห็นด้วย “จริงนะ ฟีเจอร์ในแอปก็เจ๋งดี โดยเฉพาะ AI ที่ช่วยวิเคราะห์การใช้จ่าย ช่วยให้เราเก็บเงินได้ง่ายขึ้นเยอะเลย” ฝนเล่าต่อว่า “อีกอย่างที่ชอบคือ UOB TMRW ชอบมีโปรโมชั่นดีๆ มาให้ตลอด ล่าสุดเพิ่งได้บัตรกำนัล Starbucks ฟรี แค่ใช้จ่ายผ่านแอปครบตามจำนวนที่กำหนด คุ้มค่าสุดๆ” ฟ้าเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้างว่า “ส่วนตัวแล้วชอบฟีเจอร์โอนเงินต่างประเทศที่สะดวก รวดเร็ว และค่าธรรมเนียมไม่แพง เหมาะกับคนที่ชอบช้อปออนไลน์จากต่างประเทศ” ทั้งฝนและฟ้าต่างเห็นพ้องต้องกันว่า UOB TMRW เป็นแอปพลิเคชันธนาคารดิจิทัลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ใช้งานง่าย ฟีเจอร์ครบครัน ดีไซน์สวยงาม ที่สำคัญคือโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษมากมาย บทเรียน UOB TMRW สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของธนาคารในยุคดิจิทัล แอปพลิเคชันธนาคารดิจิทัลที่ดีจะต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ที่สำคัญคือต้องมีฟีเจอร์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคดิจิทัล
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53226
Retail
ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใดบ้าง มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
จากรายงานของ Mambu ผู้ให้บริการธุรกรรมทางการเงินบนแพลตฟอร์มคลาวด์ (Cloud Banking Platform) พบว่ากลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) กว่าร้อยละ 63 ประสบปัญหาด้านเงินทุนหมุนเวียนในการต่อยอดธุรกิจ รวมทั้งการหาเงินทุนจากแหล่งต่างๆ ที่มีไม่เพียงพอ โดยประสบปัญหาด้านเงินทุนที่ไม่เพียงพออย่างน้อย 1 ครั้งหรือมากกว่าในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โดยรายงาน the ‘Small business, big growth’ ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยกว่า 1,000 รายทั่วโลกรวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการในประเทศไทยที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจและขอสินเชื่อธุรกิจในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กว่า 3 ใน 4 (หรือร้อยละ 35) ของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยจำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากเพื่อนหรือครอบครัว รองลงมาคือแหล่งเงินทุนจากธนาคารพาณิชย์หรืออาคารสมาคม (ร้อยละ 34) และร้อยละ 25 จากผู้ให้บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยเฉพาะและผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และการไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนทางธุรกิจได้ส่งผลให้ร้อยละ 34 ของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยไม่สามารถจ้างบุคลากรเพื่อเข้ามาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 32 ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้ ขณะที่ร้อยละ 31 ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินหรือไม่สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ได้ รายงานผลสำรวจโดย Mambu จัดทำขึ้นในช่วงที่ทางเลือกด้านการให้บริการสินเชื่อมีเพิ่มขึ้น และเป็นช่วงที่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยหันไปใช้บริการธนาคารทางเลือกและฟินเทค เพื่อแก้ปัญหาด้านการเข้าถึงเงินทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น (ร้อยละ 44) ขั้นตอนการพิจารณาและดำเนินการที่ต้องใช้เอกสารเป็นจำนวนมาก (ร้อยละ 30) และการอนุมัติสินเชื่อที่ล่าช้า (ร้อยละ 29) และมีแนวโน้มว่าจะมีผู้ให้บริการสินเชื่อทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ (ร้อยละ 95) เปิดรับทางเลือกใหม่ สู่การบริการสินเชื่อที่ดีกว่า ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยเกือบครึ่งหนึ่งกล่าวว่า เหตุผลอันดับต้นๆ ในการเปลี่ยนผู้ให้บริการสินเชื่อคือ ตัวเลือกทางการเงินที่ดีกว่า (ร้อยละ 46) และบริการสินเชื่อดิจิทัลที่ดีกว่า (ร้อยละ 46) ขณะเดียวกันร้อยละ 43 อาจเปลี่ยนผู้ให้บริการเพราะได้ประโยชน์จากการกู้ยืมเงินและค่าจูงใจที่มากกว่า และร้อยละ 41 ได้รับการบริการช่วยเหลือลูกค้าที่ดีกว่า นาย Myles Bertrand กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Mambu กล่าวว่า “ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยจำนวน 3.1 ล้านแห่งสามารถสร้างงานได้ถึง 12.7 ล้านงาน (คิดเป็นร้อยละ 71 ของตลาดแรงงานในประเทศ)[1] 1 อย่างไรก็ตามอุปสรรคในการเข้าถึงเงินทุนทางธุรกิจจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยไม่สามารถต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ ทั้งด้านการทำรายได้และการปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคต และหากภาคส่วนการให้บริการสินเชื่อในการทำธุรกิจไม่ปรับตัวและนำด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการทาง การเงินในด้านต่างๆ ผู้ให้บริการสินเชื่อของไทยก็จะไม่สามารถให้บริการด้วยโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยได้” ดังนั้นสถาบันทางการเงินจึงต้องเข้ามามีบทบาทให้มากขึ้น ในการแก้ไขปัญหาขั้นตอนการพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อที่ใช้เวลานาน จากรายงานพบว่า ระยะเวลาในการรอการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดย่อมในการตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการสินเชื่อ ขณะที่ร้อยละ 89 ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยพิจารณาเลือกผู้ให้บริการจากแผนการชำระคืนในระยะยาวที่แต่ละรายกำหนด ร้อยละ 88 เลือกผู้ให้บริการที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ และร้อยละ 87 เลือกใช้วิธีการถอนเงินทุนทั้งหมดออกก่อนกำหนด คุณ Pham Quang Minh ผู้จัดการทั่วไปของ Mambu ประเทศไทยกล่าวว่า “ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยโดยส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจด้านการซื้อขายและการบริการ และมีจำนวนมากที่ประกอบธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 ดังนั้นการดูและระบบปฏิบัติการและการขับเคลื่อนทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ระบบ เศรษฐกิจกลับมาเดินเครื่องใหม่อีกครั้ง โดยธนาคารจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทลายกำแพงเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด เพื่อให้การกู้ยืมเงินเกิดความคล่องตัวและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านบริการที่ล้ำหน้ายิ่งขึ้นด้วยนวัตกรรมต่างๆ และมีแผนการชำระคืนที่มีความยืดหยุ่น และลดมูลค่าหลักประกันที่ธุรกิจประกอบการต้องวางไว้กับผู้ให้บริการสินเชื่อ ที่สำคัญผู้ให้บริการสินเชื่อจะต้องปรับเปลี่ยนการให้บริการสินเชื่อในระบบดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้อนุมัติสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสนองความต้องการของธุรกิจต่างๆ ที่กำลังฟื้นตัวจากผลกระทบหลังวิกฤตโรคระบาดโควิด 19” ในด้านกระบวนการขออนุมัติสินเชื่อ ร้อยละ 88 ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยต้องการให้เกณฑ์การพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะที่ร้อยละ 86 สนใจข้อเสนอและบริการสินเชื่อที่ออกแบบโดยเฉพาะสำหรับแต่ละธุรกิจ และร้อยละ 83 ต้องการบริการระบบที่ใช้ในการคำนวณการจ่ายเงินเดือน ด้านคุณ Richard Lim ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มนักวิเคราะห์ค้าปลีก Retail Economics กล่าวว่า “สถานการณ์โรคระบาดได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราในหลายๆ ด้าน ทั้งการทำงาน การทำกิจกรรมสันทนาการ และการจับจ่ายใช้สอย โดยทำให้แพลตฟอร์มดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในสังคมปัจจุบันมากขึ้น และแทรกซึมเข้าไปยังทุกกิจกรรมของผู้คนในสังคม อย่างไรก็ตามบริการด้านเข้าถึงเงินทุนได้ก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว และกำลังเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวอย่างช้าๆ ขณะที่ธุรกิจที่ต้องการขยายและมองหาโอกาสในเติบโตอย่างรวดเร็ว กลับต้องหยุดชะงักและไปต่อไม่ได้ เนื่องจากขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่ล่าช้า และด้วยความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ จากนโยบายที่ใช้ระยะเวลาและไม่ชัดเจนพอ นโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงไม่สามารถตอบโจทย์โลกดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อีกต่อไป” อุปสรรคหลักๆ ที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกำลังเผชิญอยู่ทั่วโลก ในการเข้าถึงเงินทุนทางธุรกิจได้แก่ การขาดเงินทุนในการเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ (ร้อยละ 30) และขั้นตอนการพิจารณาและดำเนินการที่ต้องใช้เอกสารเป็นจำนวนมาก (ร้อยละ 28) และกระแสเงินสดที่มีไม่เพียงพอ (ร้อยละ 27) [1] Office of Small and Medium Enterprises Promotion (OSMEP) of Thailand, 2020
ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยจำนวน 3.1 ล้านแห่งสามารถสร้างงานได้ถึง 12.7 ล้านงาน (คิดเป็นร้อยละ 71 ของตลาดแรงงานในประเทศ) อย่างไรก็ตามอุปสรรคในการเข้าถึงเงินทุนทางธุรกิจจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยไม่สามารถต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ ทั้งด้านการทำรายได้และการปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคต และหากภาคส่วนการให้บริการสินเชื่อในการทำธุรกิจไม่ปรับตัวและนำด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการทางการเงินในด้านต่างๆ ผู้ให้บริการสินเชื่อของไทยก็จะไม่สามารถให้บริการด้วยโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยได้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53227
Retail
ช่วยสรุปบทความ Uniqlo โดนกดดันหนัก หลังประกาศเปิดช็อปขายเสื้อผ้าต่อในรัสเซีย - Brand Buffet
ยูนิโคล่ (Uniqlo) เจอดราม่าครั้งใหญ่ หลังแบรนด์ตัดสินใจเปิดธุรกิจต่อในรัสเซีย โดยถูกมองว่าเป็นการตัดสินใจที่อาจจะสวนทางกับหลาย ๆ แบรนด์ที่พากันปิดร้านไปก่อนหน้านี้ เช่น Zara, Nike และ H&M หรือแม้แต่ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีอย่าง แอปเปิล (Apple) ที่ประกาศปิด Apple Store ไปแล้วเรียบร้อย คำอธิบายของ Tadashi Yanai ซีอีโอของ Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo เกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าวก็คือการบอกว่า เสื้อผ้าเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต และผู้คนในรัสเซียก็มีสิทธิที่จะใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกเช่นกัน (เป็นการให้สัมภาษณ์กับ Nikkei ของญี่ปุ่น) รัสเซียใหญ่แค่ไหนสำหรับ Uniqlo สิ่งที่มีการเจาะลึกกันมากขึ้นเกี่ยวกับการตัดสินใจของ Uniqlo คือตลาดรัสเซียมีขนาดใหญ่แค่ไหนสำหรับ Uniqlo จึงทำให้บริษัทตัดสินใจไม่ถอนตัวออกมา โดยมีรายงานว่า ปัจจุบัน Uniqlo มีร้านค้าในรัสเซีย 50 แห่ง แต่ไม่มีการเปิดเผยยอดขายของ Uniqlo ในรัสเซียให้ทราบแต่อย่างใด มีเพียงข้อมูลของ GlobalData ระบุว่า ตลาดรัสเซียสร้างรายได้ให้ Uniqlo ราว 1.3% ของยอดขายทั้งหมดเท่านั้น Louise Deglise-Favre นักวิเคราะห์จาก GlobalData ให้ทัศนะว่า เหตุผลที่ Uniqlo เปิดร้านในรัสเซียต่อจึงอาจไม่ใช่ในแง่ของยอดขาย แต่เป็นเหตุผลทางการเมือง โดยอ้างถึงการที่ Uniqlo มีร้านค้าในจีนเป็นจำนวนมาก และยอดขายจากจีนยังมีสัดส่วนมากถึง 30.2% ของยอดขายทั้งหมดที่ Uniqlo ทำได้ นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ Louise Deglise-Favre มองว่า Uniqlo ยังคงต้องพยายามวางตัวเป็นกลาง และไม่ถอนตัวออกมาจากรัสเซีย อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากการนำเสนอของสื่อตะวันตก จะพบว่า สื่อจำนวนไม่น้อยไม่ได้นำเสนอภาพของ Uniqlo ในทางที่ดีมากนักเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าว ตรงกันข้ามกับแบรนด์ที่เป็นของชาติตะวันตกเอง ที่ก่อนหน้านี้ยังคงเปิดให้บริการในรัสเซียอย่าง KFC, Starbucks, Coca-Cola, Pepsi เรากลับพบว่า สื่อตะวันตกหลาย ๆ แห่งกลับมีคำอธิบายที่ดูดีสำหรับแบรนด์เหล่านั้นมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น Business Insider ที่ชี้แจงว่า ธุรกิจเหล่านั้นอาจไม่มีทางเลือกมากนักจึงจำใจต้องเปิดร้านในรัสเซียต่อไป อย่างไรก็ดี ตอนนี้ แบรนด์ดังสัญชาติตะวันตกอย่าง Starbucks, KFC, Coca-Cola, Pepsi รวมถึง McDonald’s ตัดสินใจประกาศยุติการให้บริการในรัสเซียแล้วเช่นกัน (การประกาศดังกล่าวมีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อช่วงเย็นวันอังคารตามเวลาในสหรัฐอเมริกา หรือเมื่อช่วงเช้ามืดของวันพุธตามเวลาในประเทศไทย) การประกาศของ McDonald’s ที่มีขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันอังคารระบุว่า บริษัทจะปิดร้าน 850 สาขาในรัสเซียเป็นการชั่วคราว โดยในจำนวนนี้เป็นร้านที่ McDonald’s บริหารเอง 84% และที่เหลือเป็นร้านแฟรนไชส์ ส่วน Starbucks ก้าวไปไกลกว่านั้น โดยทางซีอีโออย่าง Kevin Johnson บอกว่า จะยุติกิจกรรมทางธุรกิจทุกอย่างในรัสเซียเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการโจมตีครั้งนี้
Uniqlo พบปัญหาใหญ่เมื่อตัดสินใจเปิดทำธุรกิจในรัสเซีย ซึ่งต่างจากบางแบรนด์ที่ปิดร้านในทวีปนี้ เช่น Zara, Nike, H&M, และ Apple. ผู้นำ Uniqlo, Tadashi Yanai, อธิบายว่าเสื้อผ้าเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และคนในรัสเซียก็มีสิทธิ์ในการใช้ชีวิตเหมือนคนในทุกภูมิภาคอื่น Uniqlo เปิดร้านในรัสเซียไม่ได้รายได้มากนัก โดยรายงานกล่าวถึงขนาดตลาดรัสเซียที่มีบทบาทน้อยในยอดขายรวมของ Uniqlo ปัจจุบันมีร้านค้าในรัสเซีย 50 แห่ง แต่ยังไม่เปิดเผยยอดขายในท้องตลาดนี้. นักวิเคราะห์เสนอเหตุผลทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเปิดร้าน ด้วยการพิจารณาถึงตำแหน่งที่ Uniqlo มีในตลาดจีนที่มีผลต่อยอดขายรวมของ Uniqlo สื่อตะวันตกมีการนำเสนอภาพของ Uniqlo ในทางที่ไม่ดีเท่ากับแบรนด์ตะวันตกอื่น ๆ ที่ก่อนหน้านี้เปิดให้บริการในรัสเซีย เช่น KFC, Starbucks, Coca-Cola, Pepsi. บางสื่อตะวันตกยังมีคำอธิบายที่ดูดีต่อแบรนด์เหล่านี้มากกว่า Uniqlo ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่บางธุรกิจต้องเปิดร้านในรัสเซียต่อไป Starbucks, KFC, Coca-Cola, Pepsi, และ McDonald's ประกาศยุติการให้บริการในรัสเซีย McDonald’s ปิดร้าน 850 สาขาในรัสเซียชั่วคราว (84% เป็นร้านที่บริหารเอง) และ Starbucks ยุติกิจกรรมทุกอย่างในรัสเซียเพื่อตอบโต้การโจมตี
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53233
Retail
PTG ควรมีกลยุทธ์อย่างไร ในการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ PT Max Park อย่างต่อเนื่อง
null
PT Max Park เป็นโมเดลธุรกิจใหม่ของ PTG ที่ผสมผสานระหว่างสถานีบริการน้ำมันและ Community Mall เข้าไว้ด้วยกัน PT Max Park แห่งแรกเปิดให้บริการแล้วที่ถนนราชชนนี ศาลายา จังหวัดนครปฐม กลยุทธ์ ที่ PTG ควรพิจารณาเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ PT Max Park อย่างต่อเนื่อง มีดังนี้ 1. กลยุทธ์ด้านสินค้าและบริการ: เพิ่มความหลากหลายของร้านค้า: ควรมีร้านค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม นำเสนอสินค้าและบริการที่มีเอกลักษณ์: PT Max Park ควรมีสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใคร จัดโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขาย: ดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและกิจกรรมที่น่าสนใจ พัฒนาบริการ Non-oil: พัฒนาบริการ Non-oil รูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มเติม 2. กลยุทธ์ด้านราคา: กำหนดราคาสินค้าและบริการที่แข่งขันได้: เสนอแพ็กเกจราคาพิเศษ: มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษ: 3. กลยุทธ์ด้านการสื่อสารการตลาด: สร้างการรับรู้เกี่ยวกับ PT Max Park: สื่อสารจุดเด่นของ PT Max Park: กระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้บริการ: สร้าง engagement กับลูกค้า: 4. กลยุทธ์ด้านประสบการณ์ของลูกค้า: ออกแบบพื้นที่ให้สะดวกสบายและน่าใช้งาน: จัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน: ให้บริการด้วยความรวดเร็วและประทับใจ: สร้างบรรยากาศที่ดี: 5. กลยุทธ์ด้านดิจิทัล: พัฒนาแอปพลิเคชัน PT Max Park: นำเสนอบริการออนไลน์: ใช้โซเชียลมีเดีย: วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: ตัวอย่างเพิ่มเติม: PT Max Park should leverage its location PT Max Park should partner with local businesses: PT Max Park should host events and activities: PT Max Park should offer loyalty programs: PT Max Park should focus on customer feedback: โดยสรุป PT Max Park เป็นโมเดลธุรกิจที่มีศักยภาพ แต่ PTG จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ PTG ควร: พัฒนา PT Max Park ให้เป็นสถานที่ที่ลูกค้าอยากมา นำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หาก PTG สามารถดำเนินการตามกลยุทธ์เหล่านี้ได้ PT Max Park จะประสบความสำเร็จ และกลายเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของชุมชน
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53238
Retail
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หรือ QSNCC ได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดงาน APEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤศจิกายนนี้ ใช่หรือไม่
null
ใช่ หลังใช้เวลาปรับปรุงกว่า 2 ปี ด้วยงบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท ด้วยพื้นที่ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หรือ QSNCC เตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนกันยายน 2565 นี้ พร้อมประกาศได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดงาน APEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤศจิกายนนี้ ศูนย์ฯสิริกิติ์ เคยเป็นสถานที่จัดงานประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) มาแล้วใน ปี 2003 และครั้งนี้ถือเป็นการกลับมาจัดประชุม APEC ในรอบ 19 ปีที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและเลือกศูนย์ฯสิริกิติ์ ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจ MICE มากว่า 30 ปี เป็นสถานที่จัดงานอีกครั้ง การจัดงานประชุม APEC ประจำปี 2565 จะมีผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจ มาร่วมประชุมภายใต้แนวคิด “เปิดกว้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” หรือ Open. Connect. Balance. ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ศูนย์ฯสิริกิติ์ ที่ได้รับเลือกจากคณะผู้จัดงาน APEC ของรัฐบาลไทย จะเป็นอีกงานประชุมใหญ่ในการประเดิมเปิดใช้ศูนย์ฯสิริกิติ์โฉมใหม่เต็มรูปแบบ โดยมีพื้นที่ฮอลล์ขนาดใหญ่กว่า 22,500 ตารางเมตร ห้องประชุมย่อยกว่า 50 ห้อง รองรับการจัดงานทุกรูปแบบ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เชื่อมตรงกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ในด้านเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกได้เตรียมระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่สุดในประเทศไทยรองรับได้ถึงอนาคต 6G โครงสร้างพื้นฐานรองรับการจัดอีเวนต์รูปแบบออนไลน์และไฮบริด ติดตั้งระบบเข้าใช้งานพื้นที่แบบไร้สัมผัส (Touchless Access) และใช้ระบบบริหารอาคารอัจฉริยะ (Intelligence Event Platform Management System) ในการควบคุมการให้บริการพื้นที่ ใช้เทคโนโลยีในการดูแลรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดตามมาตรฐานการดำเนินงานระดับสากล เพื่อรองรับการจัดงานระดับโลกทุกรูปแบบ คุณศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์ฯสิริกิติ์ กล่าวว่าโฉมใหม่ของศูนย์ฯสิริกิติ์ จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าใช้บริการ และเตรียมความพร้อมทุกด้านเพื่อต้อนรับคณะผู้จัดงานประชุมและผู้เข้าร่วมงานประชุม APEC 2022 สร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพผู้จัดงาน ศูนย์ฯสิริกิติ์ เป็นศูนย์การประชุมแห่งแรกและแห่งเดียวของไทยที่ผ่านมาตรฐานอาคารเขียว LEED ระดับ Silver ที่มีการวางแผนการพัฒนาตั้งแต่ต้นจนแล้วเสร็จ เน้นการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า 25% และวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้มากกว่า 75% การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์โดยรอบโครงการ และใช้อุปกรณ์อัตโนมัติเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำ หลังจากการพัฒนาแล้วเสร็จโครงการแห่งนี้จะมีพื้นที่รองรับการจัดการประชุมและนิทรรศการ 78,500 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยฮอลล์สำหรับการจัดนิทรรศการขนาดใหญ่ 2 ฮอลล์ พื้นที่รวมมากกว่า 45,000 ตารางเมตร ห้องสำหรับจัดประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ 2 ห้อง พื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร และห้องประชุมย่อยที่สามารถรองรับการประชุมได้กว่า 50 ห้อง และมีที่จอดรถภายในอาคารรองรับได้มากกว่า 2,700 คัน โดยศูนย์ฯสิริกิติ์โฉมใหม่พร้อมเปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2565
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53240
Retail
Blue by Alain Ducasse เป็นหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของไอคอนสยาม กับการนำร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ร่วมสมัยมาตรฐานระดับโลกจากเชฟชาวฝรั่งเศสคนใด มาเปิดให้บริการที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก บนทำเลที่ยอดเยี่ยมริมแม่น้ำเจ้าพระยากับวิวพาโนรามาที่ไร้เทียมทาน
บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก และหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม ประกาศความสำเร็จอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์บนเวทีระดับโลก เมื่อ Blue By Alain Ducasse ร้านมิชลินสตาร์ ที่ไอคอนสยามเป็นเจ้าของ ได้รับรางวัลสุดยิ่งใหญ่ทางด้านการดีไซน์จาก Le French Design 100 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับดีไซน์เนอร์ฝรั่งเศส ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานการออกแบบในต่างประเทศ โดยในงานประกาศรางวัลนี้ได้มีประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส เป็นผู้มอบรางวัล ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจกับการสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยด้วยการคว้ารางวัลระดับโลกอย่างต่อเนื่อง งานมอบรางวัลจัดขึ้น ณ ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดย บริจิตต์ มาครง ภรรยาประธานาธิบดีฝรั่งเศส ร่วมด้วย โรเซอลีน บาเชอโล นาร์แก็ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส รวมถึงประธานคณะกรรมการ แอร์เว่ เลอมวน และแขกเกียรติยศ ฟิลิปส์ สตาร์ค เข้าร่วมงาน โดย Jouin Manku บริษัทออกแบบชั้นนำจากฝรั่งเศสที่สร้างสรรค์ Interior Design เข้าร่วมรับรางวัล Le French Design 100 สำหรับโปรเจค Blue By Alain Ducasse ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์และกรรมการบริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “ไอคอนสยาม ตอกย้ำจุดยืนในฐานะจุดหมายปลายทางของสิ่งที่ดีที่สุดของไทย และสิ่งที่ดีที่สุดของโลกมาบรรจบกัน เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และได้สร้างประวัติศาสตร์ในการคว้ารางวัลชนะเลิศระดับโลกในสาขาต่าง ๆ มาแล้วถึง 13 รางวัล สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ของความเป็นเลิศและความมุ่งมั่นของสยามพิวรรธน์ที่เป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในงานออกแบบทุกโครงการ ให้มีการผสมผสานระหว่างศิลปะ วัฒนธรรม และนวัตกรรมให้เข้ากันได้อย่างลงตัวภายใต้คอนเซปต์และเรื่องราวที่แปลกใหม่เสมอ โดยทำงานร่วมกับดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกและนักออกแบบชั้นแนวหน้าของไทยและศิลปินไทย เพื่อให้โครงการของสยามพิวรรธน์มีความแตกต่างสร้างประสบการณ์มหัศจรรย์ให้แก่วงการอยู่เสมอ สยามพิวรรธน์มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ทำให้ทั่วโลกยอมรับในศักยภาพของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยทุกโครงการของเราอันได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยามได้คว้ารางวัลชนะเลิศ Global Awards มากมาย ครองความเป็นที่หนึ่งในใจของผู้คนตลอดหลายปีที่ผ่านมา สำหรับร้าน Blue By Alain Ducasse เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เราริเริ่มจากแนวความคิดหลักของสยามพิวรรธน์ คือ การมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมาย และความตั้งใจที่จะสร้างปรากฏการณ์แรกของการเชิญเชฟชื่อดังที่สุดของโลกมาเปิดธุรกิจ เพื่อตอกย้ำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงเรื่องอาหารที่เยี่ยมยอดแห่งหนึ่งของโลก ร้าน Blue By Alain Ducasse จึงรังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น โดยเราได้ทำงานใกล้ชิดกับ Alain Ducasse และ Jouin Manku บริษัทดีไซน์เนอร์ฝรั่งเศสที่ให้เกียรติมาออกแบบตกแต่งภายในร้านให้กับเราอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอนของการสร้างแบรนด์ Blue By Alain Ducasse ให้เป็นที่สุดของประสบการณ์ในทุกมิติของการรับประทานอาหารที่สุนทรีย์และมีแบบฉบับเฉพาะตัว” Blue by Alain Ducasse เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของไอคอนสยาม กับการนำร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ร่วมสมัยมาตรฐานระดับโลกจากเชฟชาวฝรั่งเศส Alain Ducasse ผู้ครอบครองดาวมิชลินมากถึง 21 ดวง มาเปิดให้บริการที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก บนทำเลที่ยอดเยี่ยมริมแม่น้ำเจ้าพระยากับวิวพาโนรามาที่ไร้เทียมทาน ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการในปี 2562 ร้าน Blue By Alain Ducasse กลายเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับผู้ที่สรรหาประสบการณ์เหนือระดับของการชิมดื่ม เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลิ้มรสอาหารระดับเวิลด์คลาสที่ปรุงจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม และสามารถคว้ารางวัล 1 ดาวมิชลินต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ปี รวมถึงรางวัล Best of Year Awards ในประเภทร้านอาหารระดับสูง จาก Interior Design สื่อระดับโลกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแวดวงการออกแบบ นอกเหนือจากเมนูอาหารฝรั่งเศสที่ผสมผสานทั้งตำรับคลาสสิค และสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว รวมทั้ง Wine List ที่เยี่ยมยอด จุดเด่นที่สร้างให้ Blue by Alain Ducasse คว้ารางวัล Le French Design 100 ได้แก่ ความพิถีพิถันในการออกแบบให้เข้ากับวิวตระการตาของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างลงตัว บนปรัชญาการออกแบบที่ว่า การสร้างประสบการณ์ร้านอาหารควรให้ความสำคัญกับทั้งบรรยากาศและอาหารควบคู่กันไป เพราะสภาพแวดล้อมที่สวยงามเป็นส่วนสำคัญยิ่งของประสบการณ์ในการรับประทานอาหาร โดย Jouin Manku บริษัทออกแบบชั้นนำจากฝรั่งเศสและเป็นดีไซน์เนอร์คู่ใจของ Alain Ducasse นำประสบการณ์ดีไซน์ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายแห่งในหลายประเทศที่ตราตรึงใจของผู้คน มารังสรรค์ให้ Blue by Alain Ducasse เป็นสถานที่สวยงามสุดพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ที่มีแรงบันดาลใจจากการผสมผสานความเป็นไทยกับฝรั่งเศส ตั้งแต่การประดับหน้าร้านด้วยโคมไฟที่ทำจากไม้แบบไทยผสมกับทองเหลืองที่มาจากแรงบันดาลใจจากสวนสไตล์ฝรั่งเศสในพระราชวังแวร์ซายในห้องโถงรับรองที่สร้างบรรยากาศอบอุ่น ส่วนบริเวณรับประทานอาหารโดดเด่นด้วยโคมผ้าศิลปะทำด้วยมือ ผนังสีน้ำเงินเป็นเอกลักษณ์ตามชื่อร้าน พร้อมกระจกบานใหญ่จากพื้นจรดเพดานเปิดรับวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ รางวัล Le French Design 100 เป็นรางวัลทางด้านดีไซน์เดียวในฝรั่งเศส ที่ยกย่องผลงานระดับนานาชาติของเหล่าดีไซน์เนอร์ โดยได้คัดเลือก 100 ผลงานทั้งจากการออกแบบเชิงวัตถุ และเชิงพื้นที่ ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับแวดวงการดีไซน์ของฝรั่งเศสโด่งดังทั่วโลก รางวัลนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2019 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศฝรั่งเศส และมีดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ฟิลิปส์ สตาร์คเป็นผู้อุปถัมภ์ ส่วนครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2022 และอยู่ภายใต้การสนับสนุนของ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส รางวัล Le French Design 100 ที่มอบให้กับ Jouin Manku กับการดีไซน์ร้าน Blue By Alain Ducasse เป็นรางวัลชั้นนำระดับโลกรางวัลแรกในปี 2565 ที่ย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ และไอคอนสยาม ที่สร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้เกิดขึ้นมาโดยตลอด โดยที่ผ่านมาไอคอนสยามได้คว้ารางวัลหลากหลายสาขาจากเวทีชั้นนำระดับโลกมาแล้วก่อนหน้านี้มาแล้วถึง 13 รางวัลในสาขาต่าง ๆ จากเวทีชั้นนำของโลกมาเป็นลำดับ อาทิ รางวัล โครงการที่ออกแบบดีที่สุดในโลก หรือ Best Design of the Year จาก World Retail Awards 2019 โดยสภาการค้าปลีกโลก และ รางวัลชนะเลิศ สาขาศูนย์การค้าที่ดีที่สุด จากเวที MAPIC Awards 2019 เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส และ รางวัล VIVA Best-of-the-Best Awards 2020 ในฐานะ โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกดีที่สุดในโลก จาก International Council Shopping Centers ล่าสุดในปี 2021 ขึ้นแท่น 1 ใน 4 ศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลก บนเวที MIPIM Awards 2021 ครั้งแรกจากประเทศไทย เป็นต้น
Blue by Alain Ducasse เป็นหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของไอคอนสยาม กับการนำร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ร่วมสมัยมาตรฐานระดับโลกจากเชฟชาวฝรั่งเศส Alain Ducasse ผู้ครอบครองดาวมิชลินมากถึง 21 ดวง มาเปิดให้บริการที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก บนทำเลที่ยอดเยี่ยมริมแม่น้ำเจ้าพระยากับวิวพาโนรามาที่ไร้เทียมทาน ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการในปี 2562 ร้าน Blue By Alain Ducasse กลายเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับผู้ที่สรรหาประสบการณ์เหนือระดับของการชิมดื่ม เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลิ้มรสอาหารระดับเวิลด์คลาสที่ปรุงจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม และสามารถคว้ารางวัล 1 ดาวมิชลินต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ปี รวมถึงรางวัล Best of Year Awards ในประเภทร้านอาหารระดับสูง จาก Interior Design สื่อระดับโลกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแวดวงการออกแบบ นอกเหนือจากเมนูอาหารฝรั่งเศสที่ผสมผสานทั้งตำรับคลาสสิค และสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว รวมทั้ง Wine List ที่เยี่ยมยอด จุดเด่นที่สร้างให้ Blue by Alain Ducasse คว้ารางวัล Le French Design 100 ได้แก่ ความพิถีพิถันในการออกแบบให้เข้ากับวิวตระการตาของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างลงตัว บนปรัชญาการออกแบบที่ว่า การสร้างประสบการณ์ร้านอาหารควรให้ความสำคัญกับทั้งบรรยากาศและอาหารควบคู่กันไป เพราะสภาพแวดล้อมที่สวยงามเป็นส่วนสำคัญยิ่งของประสบการณ์ในการรับประทานอาหาร
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53258
Retail
OR จับมือบุญรอดฯ ตั้งบริษัทร่วมทุน 400 ล้านบาท บุกตลาดเครื่องดื่ม RTD กลยุทธ์นี้มีอะไรน่าสนใจสำหรับธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
หลังจากช่วงกลางปี 2565 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด (บุญรอดฯ) หรือค่ายสิงห์ ด้วยวงเงินลงทุนจัดตั้งบริษัทกว่า 400 ล้านบาท บริษัทร่วมทุน OR กับบุญรอดฯ วางแผนลงทุนในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม (Ready To Drink หรือ RTD) ความคืบหน้าล่าสุดเตรียมเปิดตัวทำตลาดในไตรมาส 2 ปีนี้ OR ต่อยอดแบรนด์ Cafe Amazon สู่เครื่องดื่ม RTD เจาะช่องทางค้าปลีก ในฝั่ง OR ดีลร่วมทุนกับบุญรอดฯ เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม (กลุ่ม Lifestyle) ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ OR เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ (All Lifestyle) ของผู้บริโภค โดย OR มีแผนขยายธุรกิจ Cafe Amazon ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและช่องทางการจำหน่ายสินค้า ตั้งเป้าออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม RTD ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกในการซื้อเครื่องดื่มได้ทุกที่ ทุกเวลา นอกจากร้าน Cafe Amazon ที่มีอยู่ 3,895 สาขาทั่วประเทศในปัจจุบัน คุณสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR กล่าวกับ BrandBuffet ว่าภายใต้บริษัทร่วมทุน OR กับ บุญรอดฯ จะร่วมกันพัฒนาโปรดักท์ในกลุ่มเครื่องดื่มหลากหลายประเภท โดยเครื่องดื่ม RTD ที่จะทำตลาดไตรมาส 2 ปีนี้ ในกลุ่มกาแฟ จะใช้แบรนด์ Cafe Amazon (ยังไม่เปิดเผยว่าเป็นกระป๋องหรือขวด) ซึ่งมีบริษัทพันธมิตรเป็นผู้ผลิตให้ เครื่องดื่ม RTD กาแฟ Cafe Amazon วางแผนขายในทุกช่องทางค้าปลีก รวมทั้งร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่มีสาขาทั่วประเทศราว 13,000 สาขา โดยบุญรอดฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มครบวงจร ทำหน้าที่กระจายสินค้าผ่านทุกช่องทางการจำหน่ายทั่วประเทศ ส่องโอกาสเจาะตลาดเครื่องดื่ม RTD ของ Cafe Amazon ณ สิ้นปี 2565 OR มีร้าน Cafe Amazon ทั่วประเทศไทย 3,895 สาขา ปีที่ผ่านมาทำยอดขายรวมได้ 357 ล้านแก้ว หรือขายได้วันละเกือบ 1 ล้านแก้ว ในปี 2566 OR วางแผนขยายร้านเพิ่มอีก 400 สาขา (ในไทยและต่างประเทศ) ร้าน Cafe Amazon ทำตลาดอยู่ในกลุ่ม “กาแฟนอกบ้าน” (ร้านกาแฟ) ในปี 2565 ตลาดนี้มีมูลค่า 28,000-29,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 9.5% ต่อปี มีผู้เล่นหลักๆ ได้แก่ Cafe Amazon, สตาร์บัคส์, อินทนิล,กาแฟพันธุ์ไทย ส่วนตลาดกาแฟสำเร็จรูป หรือตลาดกาแฟในบ้าน มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกาแฟปรุงสำเร็จ 3 in 1 มูลค่าตลาดกว่า 16,000 ล้านบาท, กาแฟพร้อมดื่ม (RTD) ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบกระป๋อง มูลค่าตลาด 12,000 ล้านบาท และกาแฟผงสำเร็จรูป มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท และอีกตลาดกาแฟสำเร็จรูปมาแรง คือ กาแฟแคปซูล ปลายปีที่ผ่านมา Cafe Amazon ได้เข้าสู่ตลาดกาแฟในบ้าน เปิดตัวสินค้าใหม่ด้วย “กาแฟแคปซูล” (Cafe Amazon Coffee Capsule) เกาะเทรนด์การดื่มกาแฟสดในบ้าน (Home Use/ Home Brew) ที่กำลังเติบโต ด้วยการสร้างประสบการณ์ “โฮมบาริสต้า” ให้กับลูกค้า โดยได้คัดเมล็ดกาแฟเกรดเดียวกับในร้าน Cafe Amazon คั่วด้วยเทคนิคเฉพาะสำหรับกาแฟแคปซูล เปิดตัว 2 รสชาติ Amazon Signature และ Amazon Selected กล่องละ 200 บาท พร้อมเครื่องชงในราคา 2,950 บาท แม้ชงเองที่บ้านก็เหมือนอยู่ที่ร้าน การเปิดตัวเครื่องดื่ม RTD กาแฟ Cafe Amazon ในไตรมาส 2 ปีนี้ ถือเป็นอีกโปรดักท์ที่ออกมาชิงตลาดกาแฟมูลค่า 60,000 ล้านบาท ทั้งกาแฟนอกบ้านและกาแฟในบ้าน นับว่าแบรนด์ Cafe Amazon ที่เปิดมาแล้ว 20 ปี ทั้งในปั๊มน้ำมันและนอกปั๊ม เป็นแบรนด์ที่รู้จักดีในกลุ่มผู้บริโภค การต่อยอดแบรนด์ Cafe Amazon สู่ตลาดเครื่องดื่ม RTD จึงเป็นอีกโอกาสในการขยายธุรกิจกลุ่ม Lifestyle ของ OR ซึ่งเป็นธุรกิจที่มี “กำไร” สูง หรือราว 25% และเติบโตสองหลักมาตลอด ภายใต้บริษัทร่วมทุน OR และบุญรอดฯ จะมีเครื่องดื่ม RTD อื่นๆ และแบรนด์ใหม่ๆ ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง อ่านเพิ่มเติม Cafe Amazon ปี 65 มี 3,895 สาขา ทำยอดขายได้วันละเกือบ 1 ล้านแก้ว
กลยุทธ์การจับมือบุญรอดฯ ตั้งบริษัทร่วมทุน 400 ล้านบาท บุกตลาดเครื่องดื่ม RTD ของ OR นั้น น่าสนใจสำหรับธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้: 1. ขยายพอร์ตสินค้า: การเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่ม RTD ผ่านแบรนด์ Cafe Amazon ช่วยให้ OR ขยายพอร์ตสินค้าของตนไปยังกลุ่มสินค้าที่มียอดขายสูงและเติบโตเร็ว เครื่องดื่ม RTD นั้นสะดวกต่อการบริโภค พกพาสะดวก เก็บรักษาง่าย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ เหมาะกับการวางจำหน่ายในร้านค้าปลีกทุกรูปแบบ การมีสินค้าที่หลากหลาย ประเภทสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า จะช่วยดึงดูดลูกค้า เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างรายได้ให้กับร้านค้าปลีก 2. เสริมสร้างแบรนด์ Cafe Amazon: การต่อยอดแบรนด์ Cafe Amazon ไปสู่สินค้า RTD ช่วยขยายฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้แบรนด์ให้กว้างขึ้น ลูกค้าที่คุ้นเคยกับแบรนด์ Cafe Amazon อยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้า RTD ของ Cafe Amazon เพิ่มเติม การมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ เพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ 3. เพิ่มช่องทางการจำหน่าย: การร่วมทุนกับบุญรอดฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเครื่องดื่ม ช่วยให้ OR เข้าถึงช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ บุญรอดฯ มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ OR สามารถนำสินค้า RTD ไปวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และร้านค้าปลีกอื่นๆ ในเครือข่ายของบุญรอดฯ การขยายช่องทางการจำหน่าย ช่วยเพิ่มโอกาสที่สินค้าจะเข้าถึงมือลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ 4. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน: ตลาดเครื่องดื่ม RTD เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง การจับมือกับบุญรอดฯ ช่วยให้ OR มีจุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่ง บุญรอดฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจเครื่องดื่ม OR มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเครือข่ายร้านค้าปลีกที่กว้างขวาง การรวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัท ช่วยให้ OR สามารถแข่งขันในตลาดเครื่องดื่ม RTD ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. รองรับเทรนด์ผู้บริโภค: ผู้บริโภคยุคใหม่มีความต้องการสินค้าที่สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ เครื่องดื่ม RTD เป็นสินค้าที่ตรงกับความต้องการดังกล่าว การมีสินค้า RTD ในร้านค้าปลีก ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53262
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจที่ดีต้องปรับตัวอยู่เสมอ
null
รอยยิ้มแห่งชัยชนะ: บททดสอบของนักธุรกิจหนุ่ม ณ ใจกลางเมืองหลวง ออฟฟิศใหญ่ของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) คึกคักไปด้วยพนักงานที่ต่างขะมักเขม้นกับงาน ท่ามกลางบรรยากาศอันวุ่นวาย ชายหนุ่มนามว่า "ธันวา" กำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงาน เขาคือผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ของ BJC ธันวากำลังวิเคราะห์ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของบิ๊กซี แม้ตัวเลขจะแสดงถึงการเติบโต แต่รอยยิ้มของเขากลับไม่เต็มเปี่ยม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล "ยอดขายยังไม่ดีพอ เราต้องหาทางเพิ่มยอดขายให้มากกว่านี้" เขาครุ่นคิด ธันวาตระหนักดีว่า ธุรกิจค้าปลีกกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก การแข่งขันที่รุนแรง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้บิ๊กซีต้องปรับตัว เขาตัดสินใจเรียกประชุมทีมการตลาดเพื่อระดมสมองหาแนวทางใหม่ "เราต้องคิดกลยุทธ์ที่ล้ำสมัย ดึงดูดลูกค้า และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง" ธันวากล่าว หลังจากการถกเถียงอย่างยาวนาน ทีมการตลาดก็ได้ข้อสรุป "เราจะเน้นไปที่กลยุทธ์ 3 ด้าน คือ 1. การขยายสาขาบิ๊กซี มินิ ร้านสะดวกซื้อที่เข้าถึงชุมชน 2. การพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ และ 3. การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า" ธันวาพร้อมลุย เขาลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสาขาบิ๊กซี มินิ ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และหาแนวทางพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เขาทำงานหนัก นอนดึก ตื่นเช้า แทบจะไม่มีเวลาให้กับครอบครัว แต่เขามุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ หลังจากผ่านไป 6 เดือน กลยุทธ์ใหม่เริ่มแสดงผล ยอดขายของบิ๊กซีมีแนวโน้มดีขึ้น รอยยิ้มของธันวากลับมาอีกครั้ง "เราทำได้!" เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจ ธันวาเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากประสบการณ์ครั้งนี้ เขาเข้าใจว่า ธุรกิจที่ดีต้องปรับตัวอยู่เสมอ ต้องเข้าใจผู้บริโภค และต้องกล้าที่จะลองสิ่งใหม่
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53278
Retail
ช่วยสรุปบทความ เอ้ก ดิจิทัล สยายปีกธุรกิจวิเคราะห์บิ๊กดาต้า ชูบริการ “Business Analytics as a Service – Powered by AI Engine”
ธุรกิจ Business Analytics & Development บริษัท เอ้ก ดิจิทัล ให้บริการโซลูชันที่ปรึกษาด้านข้อมูลและวิเคราะห์บิ๊กดาต้าครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วย AI “Business Analytics as a Service – Powered by AI Engine” รุกชิงส่วนแบ่งตลาดบิ๊กดาต้ามูลค่า 14,000 ล้าน เดินหน้าให้บริการใน 5 อุตสาหกรรมหลัก “ค้าปลีก-ธุรกิจสื่อ-การเงิน-ประกัน-ยานยนต์” ซึ่ง Data Science และเทคโนโลยี AI, Machine Learning ขั้นสูงของ EGG Digital จะเป็นขุมพลังที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจนั้นๆ อย่างตรงจุด โดยพร้อมดูแลและจัดการข้อมูลได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มอบบริการแบบ End-to-End มีความยืดหยุ่นสูง วางแผน กำหนดกลยุทธ์ และออกแบบจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกได้หลากหลายมิติ ตอบอินไซต์และการดำเนินงานตามโจทย์ทางธุรกิจ เสริมศักยภาพความแข็งแกร่งการแข่งขันให้กับองค์กรต่างๆ ช่วยเพิ่มรายได้-ลดต้นทุน-ลดความเสี่ยง โดย EGG Digital ตั้งเป้ารายได้เติบโตก้าวกระโดด 30% ในปี 2566 นี้ นายวรภัทร งามเจตวรกุล ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจ Business Analytics & Development บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ธุรกิจยุคใหม่ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลและมีความต้องการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Data-Driven Analytics โดยใช้ประโยชน์จากบิ๊กดาต้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเอ้ก ดิจิทัล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลขนาดใหญ่และผู้ให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ ได้นำเสนอบริการให้คำปรึกษาด้านข้อมูลและวิเคราะห์บิ๊กดาต้าครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วย AI หรือ Business Analytics as a Service – Powered by AI Engine เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจตลอดเส้นทางให้กับองค์กรธุรกิจ เพิ่มรายได้ ลดต้นทุน และลดความเสี่ยง โดยที่ผ่านมาเอ้ก ดิจิทัล ได้เข้าไปช่วยจัดการข้อมูลในด้านต่าง ๆ ให้กับหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจรีเทลชั้นนำขนาดใหญ่ และ FMCG รวมกว่า 200 แบรนด์ ซึ่งเราได้นำผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าไปช่วยจัดการกับข้อมูล พร้อมสร้างคุณค่าในหลากหลายมิติ อาทิ เพิ่มอัตราเติบโตเฉลี่ย (Growth), อัตราส่วนยอดขายต่อค่าใช้จ่าย (Sales to Cost Ratio), ค่าเฉลี่ยอัตราตอบรับการตลาดจากลูกค้า (Conversion) ให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” ธุรกิจ Business Analytics & Development ภายใต้เอ้ก ดิจิทัล ดำเนินงานโดยวางจุดยืนเป็นพาร์ทเนอร์คู่คิดของทุกธุรกิจในทุกสเกล มีบริการครอบคลุมทั้งด้านให้คำปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consult) และด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) โดยใช้หลักการ “Always-on Power of Two” เป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการคือ ผสานความเข้าใจ การวิเคราะห์ บริบททางธุรกิจ (Business Context) และการใช้ศาสตร์ด้านข้อมูลขั้นสูง (Advanced Data Science) ทั้ง Cloud Computing, AI ซึ่งรวมถึงการใช้ Generative AI, และ Machine Learning ที่สามารถออกแบบบริการและ Customize ให้ตอบโจทย์แต่ละธุรกิจอย่างเหมาะสมด้วยรูปแบบ Business Analytics as a Service – Powered by AI Engine พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญดูแลแบบ End-to-End ตั้งแต่การสำรวจปัญหาและความต้องการ นำดาต้าของลูกค้าผนวกกับบิ๊กดาต้าของเอ้ก ดิจิทัล เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกเป็นอินไซต์ทางธุรกิจ รวมถึงสามารถออกแบบกลยุทธ์และข้อเสนอแนะที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าด้วยอัตราค่าบริการที่เหมาะสม
บริษัท EGG Digital ให้บริการด้านข้อมูลและวิเคราะห์บิ๊กดาต้าด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ในรูปแบบ "Business Analytics as a Service – Powered by AI Engine" เน้นให้บริการใน 5 อุตสาหกรรมหลักคือ "ค้าปลีก-ธุรกิจสื่อ-การเงิน-ประกัน-ยานยนต์" ด้วย Data Science และเทคโนโลยี AI และ Machine Learning ขั้นสูง เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าในทุกขั้นตอน มีการวางแผน กำหนดกลยุทธ์ และจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึก มีการดูแลและจัดการข้อมูลทั้งหมด มีเป้าหมายในการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน และลดความเสี่ยง มีแผนการเติบโตรายได้ 30% ในปี 2566 นี้ นายวรภัทร งามเจตวรกุล ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจ Business Analytics & Development บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลและนำเสนอบริการด้านข้อมูลและวิเคราะห์บิ๊กดาต้าที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยเอ้ก ดิจิทัล ได้ช่วยจัดการข้อมูลและนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยจัดการกับธุรกิจทั้งในภาครีเทลชั้นนำและ FMCG มากกว่า 200 แบรนด์ โดยเน้นเพิ่มอัตราเติบโต, ลดต้นทุน, และเพิ่มความเสี่ยงต่ำ ผ่านบริการ Business Analytics as a Service – Powered by AI Engine บริษัท Business Analytics & Development ภายใต้เอ้ก ดิจิทัล เป็นพาร์ทเนอร์คู่คิดของธุรกิจทุกขนาด ให้บริการคำปรึกษาทางธุรกิจและวิทยาศาสตร์ข้อมูล ด้วยหลักการ "Always-on Power of Two" โดยผสานความเข้าใจทางธุรกิจ, การวิเคราะห์, และศาสตร์ด้านข้อมูลขั้นสูง ทำให้เกิดบริการ Business Analytics as a Service – Powered by AI Engine ที่ให้การดูแล End-to-End ตั้งแต่การสำรวจปัญหาและความต้องการ นำดาต้าลูกค้าผนวกกับบิ๊กดาต้าของบริษัท เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกเป็นอินไซต์ทางธุรกิจ และสร้างกลยุทธ์และข้อเสนอแนะที่เหมาะสม
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53280
Retail
เขียนความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "โมเดล 'ชุมชน-คาเฟ่ อเมซอน คอมแพ็ค': การสร้างความเป็นเอกลักษณ์แห่งชุมชน"
null
"OR เปิดโมเดลใหม่ 'ปั๊มชุมชน-คาเฟ่ อเมซอน คอมแพ็ค' ลงทุนลดลง 30% เจาะระดับอำเภอ" บทความน่าสนใจเกี่ยวกับโมเดลใหม่ "ปั๊มชุมชน-คาเฟ่ อเมซอน คอมแพ็ค" ที่ถูกเปิดโดย OR (องค์กรอนาคตร่วมทุน) และมีการลงทุนลดลงถึง 30% เพื่อเข้าถึงชุมชนในระดับอำเภอ เป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่เน้นให้บริการใกล้ชุมชนและเพิ่มความสะดวกสบายในการเติมน้ำมันและการบริการคาเฟ่ อเมซอน คอมแพ็ค ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงระหว่างการบริการน้ำมันและบริการอื่น ๆ ที่เพิ่มความคุ้มค่าให้กับลูกค้าในชุมชนอย่างเป็นทางการและน่าสนใจมากขึ้น โมเดลนี้นำเสนอแนวคิดที่มุ่งเน้นการให้บริการที่ใกล้ชุมชนมากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเติมน้ำมันได้ง่าย ๆ และยังมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในรูปแบบของคาเฟ่ อเมซอน คอมแพ็ค ที่มีบรรยากาศอบอุ่น สะดวกสบาย และเต็มไปด้วยบริการที่ทันสมัย การลงทุนลดลงถึง 30% ในโมเดลนี้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำให้โมเดลนี้เป็นไปได้ในระดับอำเภอ โดยการลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ เช่น ค่าเช่าที่ดิน ค่าแรงงาน หรือค่าสินค้า เพื่อให้สามารถมีการเบรกเซ็นในระดับราคาที่เข้าถึงได้สำหรับชุมชนในพื้นที่นั้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นการเติมน้ำมันและการใช้บริการคาเฟ่ในพื้นที่นั้นให้มากขึ้น อนึ่ง โมเดลนี้ยังเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบชำระเงินอัตโนมัติ การบริการลูกค้าที่ดี เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการ ทั้งนี้ การเปิดโมเดลใหม่นี้ไม่เพียงเพียงแค่เป็นการนำเสนอบริการใหม่ๆ แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับชุมชนในพื้นที่นั้นๆ ให้มีโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง และเป็นการนำเสนอแนวคิดที่สามารถถือเป็นแนวทางในการพัฒนาธุรกิจในอนาคตที่ยั่งยืนและมีความยั่งยืนอย่างแท้จริงในชุมชนท้องถิ่น อย่างที่ OR มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์และพัฒนาต่อไป โดยเน้นการรักษาความสมดุลระหว่างการเติบโตเศรษฐกิจและการสร้างสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53283
Retail
ธุรกิจภายใต้ SCG Decor แบ่งออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่อะไรบ้าง
หากพูดถึงผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิวอย่างกระเบื้องหรือสุขภัณฑ์ที่หลายบ้านเลือกใช้ จะต้องมีผลิตภัณฑ์ของ บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ (SCG Decor) ติดอันดับอยู่ด้วยแน่นอน โดยเฉพาะแบรนด์ COTTO ที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นหูและมีส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องและสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย และยังมีแบรนด์อื่นๆ ในต่างประเทศ เช่น PRIME ที่มีส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องอันดับ 1 ในเวียดนาม และ MARIWASA ที่ครองส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องอันดับ 1 ในฟิลิปปินส์ (ข้อมูลจาก Euromonitor ปี 2564) ล่าสุด บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ยานแม่ของ SCG Decorได้ประกาศกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจให้ SCG Decor ที่มีฐานการผลิตในไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน บมจ. เอสซีจี เซรามิกส์ หรือ COTTO ที่มีฐานการผลิตกระเบื้องในไทย แน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้น COTTO เดิม เพราะได้ยกระดับเป็นผู้ถือหุ้นของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในระดับอาเซียนอีกหลากหลายแบรนด์ภายใต้ SCG Decor ซึ่งยังคงมีการดำเนินงานของ COTTO รวมอยู่ด้วย ธุรกิจภายใต้ SCG Decor แบ่งออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก 1. ธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องเซรามิกประเภท กระเบื้องปูพื้นและบุผนัง และวัสดุปิดผิวอื่น ๆ เช่น กระเบื้องไวนิล SPC (Stone Plastic Composite) กระเบื้องไวนิล LVT (Luxury Vinyl Tile) 2. ธุรกิจสุขภัณฑ์ (Bathroom) ได้แก่ สุขภัณฑ์ทั้งแบบทั่วไปและระบบอัตโนมัติ ก๊อกน้ำ และอุปกรณ์ภายในห้องน้ำ เช่น อ่างล้างหน้า ฝักบัว อ่างอาบน้ำ และ สินค้ากลุ่ม Smart Health & Wellness หลังการปรับโครงสร้าง SCG Decor จะมีการดำเนินงานครอบคลุมธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจมากยิ่งขึ้น จากการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั้งการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบ ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และทำกำไรสูงขึ้นในอนาคต SCG Decor ถือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูงในระดับ Regional Player จากโอกาสในการขยายตลาด และมีข้อได้เปรียบทางธุรกิจที่น่าสนใจอยู่หลายประการ โดย 4 ประเทศที่ SCG Decor เข้าไปประกอบกิจการ คือ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มีประชากรรวมกันกว่า 560 ล้านคน ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีโอกาสเพิ่มยอดขายได้อีกในอนาคต จากที่มีส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์สูงสุดในไทย คิดเป็น 33% และมีส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับหนึ่งในประเทศเวียดนาม 26% และฟิลิปปินส์ 17% อีกปัจจัยคือ ความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่ายและการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างครอบคลุมทั่วภูมิภาค ของ SCG Decor ผ่านตัวแทนจำหน่ายในไทย 592 ราย และ 277 รายในต่างประเทศ แบ่งเป็น ฟิลิปปินส์ 150 ราย เวียดนาม 126 ราย และอินโดนีเซีย 1 ราย ตลอดจนเครือข่ายร้านค้าปลีกสมัยใหม่ครอบคลุมทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น บุญถาวร โฮมโปร WILCON DEPOT และ SCG Decor ยังมีช่องทางจำหน่ายของตนเอง ได้แก่ ร้าน COTTO Life 3 สาขา และ คลังเซรามิก 104 สาขาในไทย ร้าน CTM 19 สาขาในฟิลิปปินส์ และร้าน Belanja 20 สาขา ในอินโดนีเซีย รวมถึงมี Sub-distributors ที่ซื้อสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายเพื่อขายต่อรวมกว่า 10,000 รายทั่วโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566) และเป็นที่น่าสนใจว่า รายได้ของ SCG Decor ยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด โดยปี 2565 รายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย และมีรายได้ที่สูงขึ้นจากธุรกิจสุขภัณฑ์ด้วย SCG Decor พร้อมที่จะขยายโอกาสการเติบโต โดยมีแผนในการผสานพลังระหว่างกลุ่มบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารเพื่อมุ่งสู่ผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในอาเซียนผ่าน 5 กลยุทธ์หลักดังนี้ – ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์สู่การเป็นผู้นำในอาเซียน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมียม – ต่อยอดธุรกิจตกแต่งพื้นผิวสู่การเป็นผู้นำในอาเซียน โดยประยุกต์ใช้โมเดลธุรกิจที่เข้มแข็งของประเทศไทย – ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์ละบริการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจรในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ – บริหารห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้และศักยภาพในการทำกำไร – เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยมาตฐานระดับโลก ด้วยการพัฒนากระบวนการและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emission) ในปี 2050 กล่าวโดยสรุป ด้วยศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาสินค้าที่เป็นนวัตกรรมเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ด้านการตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ การผสานความร่วมมือของกลุ่มบริษัท รวมถึงช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วถึงทั้งภูมิภาค เป็นจุดแข็งสำคัญของ SCG Decor ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ เพิ่มโอกาสขยายตลาด และเร่งการเติบโตในระดับภูมิภาคได้อย่างต่อเนื่อง Reference: – ร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนฉบับเต็มของ บมจ. เอสซีจี เดคคอร์ ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th
ธุรกิจภายใต้ SCG Decor แบ่งออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องเซรามิกประเภท กระเบื้องปูพื้นและบุผนัง และวัสดุปิดผิวอื่น ๆ เช่น กระเบื้องไวนิล SPC (Stone Plastic Composite) กระเบื้องไวนิล LVT (Luxury Vinyl Tile) 2. ธุรกิจสุขภัณฑ์ (Bathroom) ได้แก่ สุขภัณฑ์ทั้งแบบทั่วไปและระบบอัตโนมัติ ก๊อกน้ำ และอุปกรณ์ภายในห้องน้ำ เช่น อ่างล้างหน้า ฝักบัว อ่างอาบน้ำ และ สินค้ากลุ่ม Smart Health & Wellness
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53284
Retail
จากข้อมูลของ Bain & Company ที่เผยถึงตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2030 พบว่า ประเทศใดจะมีโอกาสเติบโตมากที่สุด
เศรษฐกิจไทยจะก้าวไปในทิศทางใดในวันที่ทั่วโลกให้ความสนใจกับอาเซียน รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในโลกดิจิทัลจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด สองสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ของนักการตลาดและแบรนด์ ซึ่งมีการเปิดเผยถึงอินไซต์ดังกล่าวจาก Bain & Company ในงาน Meta Marketing Summit ไว้อย่างน่าสนใจ สิ่งที่ Bain & Company นำมาเปิดเผยก็คือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนอยู่ในตำแหน่งที่เป็นบวก โดยคุณดิเรก เกศวการุณย์ Managing Partner ประจำประเทศไทยของ Bain & Company กล่าวในภาพรวมว่า สิ่งที่ทำให้อาเซียนน่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั่วโลกในเวลานี้ก็คือ การมีประชากรที่มีกำลังซื้อสูง (ส่งผลให้เป็นภูมิภาคที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูง) และต่างชาติมองเห็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนเพื่อผลิตและส่งออก รวมถึงอาเซียนยังเป็นตลาดท่องเที่ยวที่มีขนาดใหญ่มาก ส่วนปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงของอาเซียนคือ ประเด็นด้านความยั่งยืน เช่น การจัดการขยะพลาสติกที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือปัญหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่อาจทำให้การลงทุนจากต่างชาติชะงักได้ “ไทย” อาจเติบโตช้าที่สุด จากข้อมูลของ Bain & Company ยังเผยถึงตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2030 โดยพบว่า ประเทศเวียดนามจะมีโอกาสเติบโตมากที่สุดที่ 5 – 7% รองลงมาคืออินโดนีเซีย 4 – 5% สิงคโปร์ 3 – 5% ฟิลิปปินส์ 4 – 5% มาเลเซีย 3- 5% และไทย 2 – 3% อย่างไรก็ดี ในทัศนะของคุณดิเรก มองว่า ผลการศึกษาดังกล่าวเป็นการคาดการณ์ แต่ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่านี้ได้ โดยปัจจัยที่จะสร้างการเติบโตก็คือการมีนโยบายที่ส่งเสริมการพัฒนาด้านนวัตกรรม และการส่งเสริมการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ รองรับทักษะที่โลกในอนาคตต้องการมากขึ้น 8 เทรนด์การจับจ่ายใช้สอย อีกสิ่งหนึ่งที่ Bain & Company มองว่าแบรนด์และนักการตลาดควรให้ความสำคัญก็คือ พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในยุคต่อไป เห็นได้จากรายงานเรื่อง Future of consumption in Asean 2024 into 2030 ที่พบว่า จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นถึง 8 ธีม ได้แก่ คุณดิเรก เกศวการุณย์ Managing Partner ประจำประเทศไทยของ Bain & Company 1. การเติบโตของผู้บริโภคกลุ่ม Middle-Class การเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวจะทำให้การใช้จ่ายในภูมิภาคอาเซียนเติบโตขึ้นอีกเท่าตัว โดยข้อมูลจาก Bain & Company พบว่า ภายในปี 2030 ผู้บริโภค 70% ของภูมิภาคนี้จะเป็นคนกลุ่ม Middle-Class (ปัจจุบันอยู่ที่ 60%) 2. เส้นแบ่งของสินค้าพรีเมียมกับสินค้าที่เน้น Valued จะเริ่มจางลง 3. ดิจิทัลจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นไม่ต่างจากคู่ชีวิตคนที่สอง โดยทาง Bain & Company คาดการณ์ว่า ใน 2030 อาเซียนจะมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตประมาณ 575 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาสินค้า โดย 70% ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร และ 65% อาจเกิดการเปลี่ยนแบรนด์ได้ 4. เทคโนโลยีจะทลายกำแพงทางเศรษฐกิจและสังคม 5. อาจมีการแข่งขันที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ 6. ความคาดหวังต่อธุรกิจค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริโภคจะย้ายจาก Omni-Channel ไปสู่ Omni-Presence นั่นคือลูกค้าต้องการ Engage กับเราในหลาย ๆ ช่องทาง และการที่เรามีข้อมูล มีความเข้าใจลูกค้ามากขึ้นจะทำให้เราเข้าไปอยู่กับลูกค้าในทุกจุด 7. ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายมากขึ้น โดยผู้บริโภค 2 ใน 3 จะยอมแลกความเป็นส่วนตัว (Privacy) เพื่อความสะดวกสบายดังกล่าว 8. ประเด็นด้านความยั่งยืนจะเป็นสิ่งที่แบรนด์ไม่อาจต่อรองได้อีกต่อไป คนจะยอมจ่ายมากขึ้นเพื่อสิ่งแวดล้อม แบรนด์ควรจะมองว่า เราจะมีโอกาสทำอะไรใหม่ ๆ อีกบ้างในเรื่องสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน “สำหรับแบรนด์ นักการตลาด และธุรกิจค้าปลีก ถ้าเรารู้ว่านี่คือสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลง สิ่งที่แบรนด์ควรทำก็คือ การลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อรับเทรนด์นั้น” โดยคุณดิเรกยกตัวอย่างว่า หากนึกไม่ออกให้สมมติตัวเองลองไปยืนในอนาคต 5 – 10 ปีข้างหน้า แล้วมองย้อนกลับมาก็ได้ “เหตุที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะหากแบรนด์ยังทำอะไรเดิม ๆ วันหนึ่งเมื่อผู้บริโภคเปลี่ยนไป เราก็อาจไม่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อีกนั่นเอง” “สองคือการเข้าใจว่าแต่ละพื้นที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน เราจะตอบโจทย์ความต้องการนั้นได้ไหม หรือเราจำเป็นต้องมีโปรดักส์หลาย ๆ ตัวเพื่อรองรับความต้องการเหล่านั้น และสุดท้ายคือ การมี Insurgent Mindset หรือความรู้สึกของการเป็นน้องใหม่ไฟแรง” “ประเทศไทยถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในแง่ของ GDP เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เรามีกำลังซื้อที่เยอะกว่า และคนไทยยังใช้ชีวิตบนดิจิทัลมากเป็นอันดับสองของอาเซียน แบรนด์ที่หาทางสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้ดีจะได้ประโยชน์จากจุดนี้” คุณดิเรกกล่าวปิดท้าย
จากข้อมูลของ Bain & Company เผยถึงตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2030 โดยพบว่า ประเทศเวียดนามจะมีโอกาสเติบโตมากที่สุด ที่ 5 – 7% รองลงมาคือ อินโดนีเซีย 4 – 5% สิงคโปร์ 3 – 5% ฟิลิปปินส์ 4 – 5% มาเลเซีย 3- 5% และไทย 2 – 3%
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53290
Retail
จากบทความเกี่ยวกับธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) อะไรคือกลยุทธ์ที่ “After You” ควรนำมาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในธุรกิจนี้ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
null
กลยุทธ์ที่ “After You” ควรนำมาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง มีดังนี้: 1. พัฒนาสินค้าและเมนูที่เหมาะกับตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ: เลือกสินค้าและเมนูที่มีความคงทน เก็บรักษาง่าย ไม่เสียง่าย เหมาะกับการจำหน่ายผ่านตู้ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะกับตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ หยิบง่าย สะดวก และรักษาคุณภาพของสินค้า คิดค้นเมนูใหม่ เมนูพิเศษ เฉพาะสำหรับตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ เพื่อดึงดูดลูกค้า 2. เลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม: เลือกพื้นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน สะดวกต่อการเข้าถึง เช่น สถานีรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล เลือกพื้นที่ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้าของ After You เช่น วัยรุ่น วัยทำงาน นักศึกษา พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ค่าเช่าพื้นที่ คู่แข่ง ความปลอดภัย 3. พัฒนาระบบการชำระเงินที่สะดวกและรวดเร็ว: รองรับระบบการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น เงินสด บัตรเครดิต บัตรเดบิต QR Code Mobile Wallet พัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้าที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว เสนอระบบสมาชิก สะสมแต้ม แลกรับรางวัล เพื่อดึงดูดลูกค้า 4. เน้นการให้บริการและดูแลรักษาตู้: เติมสินค้าในตู้ให้เพียงพอ ตรวจสอบสินค้าและวันหมดอายุอย่างสม่ำเสมอ ทำความสะอาดตู้ ดูแลรักษาให้ตู้อยู่ในสภาพดี ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีบริการลูกค้า ตอบคำถาม แก้ไขปัญหา ให้ความช่วยเหลือลูกค้า 5. สร้างการตลาดและประชาสัมพันธ์: ประชาสัมพันธ์ตู้ After You ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น สื่อออนไลน์ สื่อออฟไลน์ กิจกรรมส่งเสริมการขาย สร้างความแตกต่าง สร้างจุดยืนให้กับตู้ After You ดึงดูดลูกค้าด้วยสินค้า เมนู บริการ และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ร่วมมือกับ Influencer KOL ทำการตลาดผ่าน Influencer Marketing **โดยสรุป “After You” ควรนำกลยุทธ์เหล่านี้มาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยการพัฒนาสินค้าและเมนูที่เหมาะกับตู้ เลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม พัฒนาระบบการชำระเงินที่สะดวก เน้นการให้บริการ และสร้างการตลาด ประชาสัมพันธ์ ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ “After You”
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53297
Retail
ข้อมูลที่ University of London และ University of Reading ศึกษาร่วมกันพบว่า กี่เปอร์เซ็นต์ของพนักงานโปรตุเกส ทำงานมากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
“โปรตุเกส” เป็นอีกหนึ่งประเทศในสหภาพยุโรปที่กำลังทดลองปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน จากเดิมที่เคยทำงาน 5 วันลดลงมาเหลือ 4 วัน โดยมีบริษัทเอกชนมากถึง 39 แห่งเข้าร่วมการทดลองครั้งนี้ และบริษัทที่เข้าร่วมจะได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนของรัฐบาลด้วย การปรับเปลี่ยนดังกล่าวเป็นความร่วมมือของรัฐบาลโปรตุเกสและองค์กรไม่แสวงผลกำไรอย่าง 4 Day Week Global โดยพบว่า ธุรกิจที่เข้าร่วมการทดลองครั้งแรกนี้มีหลากหลายมากตั้งแต่ บริษัทในสายงานวิทยาศาสตร์ สถานรับเลี้ยงเด็ก บ้านพักคนชรา ธนาคารสเต็มเซลล์ ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธุรกิจค้าปลีก โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ สำหรับรูปแบบการจ่ายเงินที่พนักงานจะได้รับคือ 100-80-100 ซึ่งหมายความว่า คนงานจะได้รับค่าจ้าง 100% จากการทำงาน 80% ของเวลาทำงานเดิม อย่างไรก็ดี พวกเขายังต้องส่งมอบผลงานเท่ากับ 100% ของผลงานที่เคยทำได้ในเวลาปกติ หากไม่มีการทดลองดังกล่าว ต้องยอมรับว่า โปรตุเกสเป็นประเทศ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ที่มีค่าเฉลี่ยการทำงานต่อสัปดาห์สูงเป็นอันดับ 3 รองจากสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ โดยข้อมูลที่ University of London และ University of Reading ศึกษาร่วมกันพบว่า 72% ของพนักงานโปรตุเกส ทำงานมากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เลยทีเดียว ธุรกิจอยากเห็นอะไรจากโปรแกรมนี้ ความคาดหวังของภาคธุรกิจในโปรตุเกสที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวก็คือ ต้องการทราบว่า การลดเวลาทำงานลง 20% นั้นจะสามารถช่วยลดความเครียด และอาการหมดไฟของพนักงานได้จริงหรือไม่ ซึ่งหากทำได้จริงก็เท่ากับช่วยรักษา “คนทำงาน” ให้กับบริษัท และไม่ต้องจ้างงานใหม่กันบ่อย ๆ นั่นเอง ในส่วนนี้ 4 Day Week Global ได้มีการทดลองโปรแกรมการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งผลการศึกษาขององค์กรพบว่า พนักงานมีความเครียดลดลง และทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงภาวะเบิร์นเอาท์ก็ลดน้อยลง นอกจากนั้นยังพบว่า พนักงานที่ได้ทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นี้ไม่ยอมกลับไปทำงานในแบบเดิม (5 วันต่อสัปดาห์) อีกเลย เว้นแต่ว่าจะได้รับค่าตอนแทนที่สูงมากจริง ๆ ส่วนเจ้าของบริษัทก็ได้ประโยชน์เช่นกัน โดยข้อมูลจาก 4 Day Week Global ระบุว่า ในช่วงที่ทำการทดลอง 6 เดือนนั้น บริษัทที่ให้พนักงานทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ มีรายได้เพิ่มขึ้น 8% และหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ก็พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 38% เลยทีเดียว ส่วนการทดลองนี้จะมีผลอย่างไรต่อการจ้างงานในโปรตุเกสนั้น ส่วนหนึ่งอาจต้องมองบริบทแวดล้อมด้วย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า งานในปัจจุบัน กำลังถูก AI เข้ามาท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ และในรายงาน OECD Employment Outlook 2023 ระบุว่า 30% ของตำแหน่งงานในโปรตุเกสกำลังเสี่ยงที่จะถูกทดแทนด้วย AI และระบบอัตโนมัติ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง โปรตุเกสก็เป็นประเทศที่ชาว Digital Nomad หมายปองมากขึ้นเรื่อย ๆ (โปรตุเกสมีการเปิดตัว Digital Nomad Visa เมื่อปลายปีที่ผ่านมา) โดยเฉพาะชาวอเมริกันที่พบว่า กลุ่มมิลเลนเนียลเริ่มเบนเข็มย้ายไปตั้งรกรากในโปรตุเกสมากขึ้นเนื่องจากค่าครองชีพไม่สูงมาก และอากาศดี โดยในตอนนี้มีอเมริกันชนย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในโปรตุเกสแล้วประมาณ 7,000 ชีวิต (ตัวเลขเมื่อปี 2021) ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2018 เลยทีเดียว
โปรตุเกสเป็นประเทศ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ที่มีค่าเฉลี่ยการทำงานต่อสัปดาห์สูงเป็นอันดับ 3 รองจากสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ โดยข้อมูลที่ University of London และ University of Reading ศึกษาร่วมกันพบว่า 72% ของพนักงานโปรตุเกส ทำงานมากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53316
Retail
จากรายงาน Customer Experience Edge: Thailand ในช่วงเดือนมีนาคม 2566 พบว่าผู้บริโภคชาวไทยใช้งานฟีเจอร์ใดในซูเปอร์แอปเป็นสัดส่วน 33%
ก. จัดส่งของ ข. เรียกรถหรือแท็กซี่ ค. ซื้อสินค้าจากหน้าร้าน ง. ซื้อของชำ จ. สั่งอาหาร
ข้อที่ถูกต้องคือ จ. เพราะว่า เพราะ Qualtrics ร่วมกับ SAP เปิดรายงาน Customer Experience Edge: Thailand พบผู้บริโภคชาวไทยเสนอให้แบรนด์ต่าง ๆ ปรับปรุงระบบการใช้งานของแอปฯ บนมือถือ หวังเห็นตัวเลือกการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลที่สะดวกมากขึ้น โดยฟีเจอร์ที่ใช้งานมากที่สุดบนซูเปอร์แอปได้แก่ ซื้อของชำ (45%) สั่งอาหาร (33%) ซื้อสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของชำ (29%) ซื้อสินค้าจากหน้าร้าน (21%) เรียกรถหรือแท็กซี่ (20%) และจัดส่งของ (20%) การสำรวจนี้มีขึ้นจากผู้ตอบแบบสอบถาม 3,022 รายในไทยในช่วงเดือนมีนาคม 2566 และพบว่า สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการให้ปรับปรุงมากที่สุดคือ ตัวเลือกการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล และแอปฯบนมือถือที่ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในหมวดที่ต้องใช้งานผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างการจัดส่งอาหาร ธนาคาร และร้านค้าปลีกออนไลน์ ส่วนการพัฒนาการบริการจากเจ้าหน้าที่ เป็นสิ่งที่ลูกค้ามองหาในอุตสาหกรรมอย่างสายการบิน ยานยนต์ และบริการด้านสุขภาพ สำหรับการพัฒนาระบบการทำงานดิจิทัลจากแบรนด์ที่ผู้บริโภคอยากให้ปรับปรุงมากที่สุด คือ การเพิ่มจำนวนบริการแอปฯ บนมือถือ (47%) และความสามารถในการเลือกช่องทางการมีส่วนร่วมได้เอง (40%) โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 31% คาดหวังให้แบรนด์สร้างประสบการณ์การใช้งานดิจิทัลผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างลื่นไหลไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 30% ตอบว่าการได้พบพนักงานจริง ๆ หรือได้พบปะพูดคุยต่อหน้าจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53321
Retail
ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ปี 2566 ที่จัดวันที่ 29 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2566 ที่ไบเทค บางนา “วาโก้” ประเทศไทย เตรียมเปิดขายสินค้าใดครั้งแรก
หลังจากปีที่ผ่านมา “วาโก้ ญี่ปุ่น” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “กางเกงบ็อกเซอร์ลายลูกไม้” สำหรับผู้ชาย ดีไซน์เซ็กซี่ มีให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีดำ เทา น้ำเงิน แดง ฟ้า ชมพู และเหลือง โดยวางขายผ่านช่องทางค้าปลีกและออนไลน์ ในราคา 3,960 เยน (ประมาณ 1,150 บาท) ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมาก ด้วยจุดเด่นใส่สบาย ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ปี 2566 “วาโก้” ประเทศไทย เตรียมเปิดขายกางเกงในลายลูกไม้สำหรับผู้ชายครั้งแรก มี 2 สี คือ สีดำและสีแดง เป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่ง “วาโก้” มีชื่อเสียงเรื่องการทำผ้าลูกไม้สำหรับชุดชั้นในสตรีอยู่แล้ว จึงพัฒนามาผลิตเป็นกางเกงในลายลูกไม้สำหรับผู้ชายด้วย จำหน่ายราคา 590 -790 บาท กางเกงในลายลูกไม้นี้ เจาะกลุ่มผู้ชายและ LGBT ที่เปิดกว้าง ในสังคมปัจจุบันที่มีความเท่าเทียม ต้องการทดลองสินค้าใหม่ เปิดรับแฟชั่นใหม่ๆ ไม่ได้สนใจว่าชุดชั้นในชายจะต้องเป็นลายเรียบๆ หรือผ้าคอตตอนเหมือนเดิม อยู่ที่ความสนใจและความชอบส่วนตัวของผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นชายแท้ หรือ LGBT ก็ใส่ได้ เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ของ Freedom กางเกงในลายลูกไม้วาโก้ สำหรับผู้ชาย “วาโก้” จะเปิดตัวและจำหน่าย “กางเกงในลายลูกไม้” สำหรับผู้ชายในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ปี 2566 จัดวันที่ 29 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2566 ที่ไบเทค บางนา หลังจากนั้นจะเปิดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของวาโก้ และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ปี 2566 ที่จัดวันที่ 29 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2566 ที่ไบเทค บางนา “วาโก้” ประเทศไทย เตรียมเปิดขายกางเกงในลายลูกไม้สำหรับผู้ชายครั้งแรก มี 2 สี คือ สีดำและสีแดง เป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่ง “วาโก้” มีชื่อเสียงเรื่องการทำผ้าลูกไม้สำหรับชุดชั้นในสตรีอยู่แล้ว จึงพัฒนามาผลิตเป็นกางเกงในลายลูกไม้สำหรับผู้ชายด้วย จำหน่ายราคา 590 -​790 บาท กางเกงในลายลูกไม้นี้ เจาะกลุ่มผู้ชายและ LGBT ที่เปิดกว้าง ในสังคมปัจจุบันที่มีความเท่าเทียม ต้องการทดลองสินค้าใหม่ เปิดรับแฟชั่นใหม่ๆ ไม่ได้สนใจว่าชุดชั้นในชายจะต้องเป็นลายเรียบๆ หรือผ้าคอตตอนเหมือนเดิม อยู่ที่ความสนใจและความชอบส่วนตัวของผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นชายแท้ หรือ LGBT ก็ใส่ได้ เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ของ Freedom กางเกงในลายลูกไม้วาโก้ สำหรับผู้ชาย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53322
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....Retail รูปแบบใหม่กำลังเกิดขึ้น โดยนำเทคโนโลยีและบริการต่างๆ มาผสมผสานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
null
คลินิกในปั๊ม: สะดวก ปลอดภัย ใกล้บ้าน ณ สถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น สาขารามอินทรา 2 แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่ เผยให้เห็นป้ายสีเขียวสดใสที่เขียนว่า "พรีเมียร์ เฮลท์ คลินิก" ภายในคลินิก ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูดี มีเคาน์เตอร์พนักงาน พื้นที่นั่งรอ และห้องตรวจ 2 ห้อง นลินี หญิงสาววัย 28 ปี กำลังนั่งรอคิวตรวจสุขภาพ เธอบอกกับพนักงานว่าเมื่อคืนนี้รู้สึกไม่สบาย คิดว่าเป็นไข้หวัด "ไม่สบายตรงไหนคะ" หมอปกรณ์ แพทย์ประจำคลินิก ถามไถ่ด้วยน้ำเสียงสุภาพ นลินีเล่าอาการให้หมอฟัง หมอตรวจร่างกายอย่างละเอียด และส่งตรวจเลือด "ผลตรวจออกมาแล้ว คุณนลินีเป็นไข้หวัดใหญ่ค่ะ" หมอปกรณ์บอก "โอ้โห! หนูตกใจมากค่ะ" นลินีอุทาน "ไม่ต้องกังวลนะครับ ไข้หวัดใหญ่รักษาได้ เพียงทานยาตามที่แพทย์สั่ง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้คน" หมอปกรณ์อธิบาย "แล้วหนูต้องไปโรงพยาบาลไหมคะ" นลินีถามด้วยความกังวล "ไม่จำเป็นครับ คุณนลินีสามารถรักษาที่คลินิกได้เลย พวกเรามียาและอุปกรณ์ครบครัน แพทย์และพยาบาลของเราพร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคุณอย่างใกล้ชิด" หมอปกรณ์ตอบ นลินีรู้สึกโล่งใจ เธอรู้สึกประทับใจกับบริการของคลินิกที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และอยู่ใกล้บ้าน หลังจากทานยาและพักผ่อนเพียงไม่กี่วัน นลินีก็หายจากไข้หวัดใหญ่ เธอรู้สึกขอบคุณคลินิกพรีเมียร์ เฮลท์ คลินิก ที่ช่วยให้เธอได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที คลินิกในปั๊มน้ำมัน เป็นตัวอย่างของ Retail รูปแบบใหม่ ที่นำบริการทางการแพทย์มาใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงการรักษาได้สะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง การขยายตัวของธุรกิจ Retail สู่บริการด้านอื่นๆ ความสำคัญของการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะบริการด้านสุขภาพ บทบาทของเทคโนโลยี ที่ช่วยให้การบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น คลินิกในปั๊มน้ำมัน จึงเป็นตัวอย่างของ Retail รูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลงตัว
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53334
Retail
ที่มาของ แคมเปญ “ช้อปสนั่น Fun สุด ต้อนรับเทศกาลเปิดเทอม” ของ MR. D.I.Y. มาจากอะไร
หลังจากดึงนักแสดงสุดฮาอย่าง “ตั๊ก-บริบูรณ์ จันทร์เรือง และครอบครัว” นั่งแท่น Brand Ambassador คนแรกของแบรนด์ เพื่อถ่ายทอดคาแรคเตอร์ของ MR. D.I.Y. ที่เฟรนด์ลี่ และเป็นร้านค้าปลีกที่ช้อปได้ทุกวัน ครบเพื่อทุกคน จนกลายเป็นหนึ่งในหนังโฆษณาที่โดนใจผู้บริโภค เพราะสนุกจนต้องกลับมาดูซ้ำ แถมยังทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น MR. D.I.Y. จึงไม่รอช้า ลุยจัดแคมเปญ “ช้อปสนั่น Fun สุด ต้อนรับเทศกาลเปิดเทอม” เพื่อมอบประสบการณ์ความคุ้มแบบจุก ๆ ให้กับลูกค้ารับเปิดเทอมต่อเนื่องทันที จัดเต็มสินค้ารับเปิดเทอม ในราคาคุ้มค่า ช่วยผู้ปกครองเซฟค่าใช้จ่าย เมื่อพูดถึงกลยุทธ์ “Promotion” ในธุรกิจค้าปลีก คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการลดแลกแจกแถม เพื่อดึงลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าในร้าน แต่ในอีกมุมหนึ่ง ยังเป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภครับรู้และจดจำได้มากขึ้น ที่ผ่านมา MR. D.I.Y. จึงปล่อยโปรโมชั่นแคมเปญมาเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมสะท้อน Brand Identity ในเรื่องราคาถูกคุ้มเสมอ ซึ่งที่ผ่านมานับว่าประสบความสำเร็จมาตลอด เพราะมีจุดดึงดูดสำคัญอย่างตัวสินค้าที่มีความหลากหลาย อีกทั้งราคายังคุ้มค่า มาพร้อมกับโปรโมชั่นโดนใจอย่างต่อเนื่อง จากการตอบรับที่ดีของลูกค้านี่เอง จึงเป็นที่มาของแคมเปญล่าสุด “ช้อปสนั่น Fun สุด ต้อนรับเทศกาลเปิดเทอม” เพื่อให้น้อง ๆ นักเรียนได้ช้อปสนุกกับสินค้าคุณภาพมากมายต้อนรับเปิดเทอมใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และของใช้ส่วนตัว ในราคาคุ้มค่า พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 40% เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายพ่อ แม่ ผู้ปกครอง เช่น ไม้บรรทัดฟุตเหล็ก มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. 15 ซ.ม. ราคา 4 บาท (ราคาปกติ 7 บาท) เทปลบคำผิด มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ราคา 31 บาท (ราคาปกติ 53 บาท) ปากกาลูกลื่น มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. 0.7 มม. ราคา 13 บาท (ราคาปกติ 23 บาท) กระเป๋าดินสอ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ราคา 35 บาท (ราคาปกติ 59 บาท) กระติกน้ำ 1,950 มล. ราคา 83 บาท (ราคาปกติ 139 บาท) ชุดช้อนส้อมพกพา ราคา 49 บาท (ราคาปกติ 75 บาท) ถุงเท้านักเรียน มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ราคา 16 บาท (ราคาปกติ 23 บาท) เป็นต้น และพิเศษเพิ่มขึ้น เมื่อช้อปครบ 300 บาทต่อใบเสร็จในระหว่างวันที่ 1 – 15 พฤษภาคม 2566 รับฟรีมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. สติกเกอร์เซ็ตสุดน่ารัก ชวนน้อง ๆ ประกวดวาดภาพ โชว์พลังไอเดียในแบบตัวเอง นอกจากการคัดสรรไอเทมฮิตคุณภาพดีมาให้น้อง ๆ ได้ช้อปรับเปิดเทอมแล้ว MR. D.I.Y. ยังชวนเด็กไทยอายุ 6-12 ปี มาต่อยอดความสนุกไปอีกขั้น พร้อมโชว์พลังไอเดียสร้างสรรค์ในแบบของตนเอง ผ่านกิจกรรมประกวดวาดภาพระบายสีบ้านในฝัน ชิงของรางวัลและทุนการศึกษา มูลค่ารวมกว่า 450,000 บาท โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.ภาคประชาชนทั่วไป เพียงซื้อสินค้าครบ 300 บาท ขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมประกวดวาดภาพระบายสีบ้านในฝัน ชิงของรางวัลกว่า 30 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท ได้แก่ รางวัลที่ 1 iPad Air มูลค่า 35,900 บาท รางวัลที่ 2 ชุดโต๊ะและเก้าอี้สำหรับเด็ก IGROW มูลค่า 17,900 บาท รางวัลที่ 3 นาฬิกาโทรศัพท์ IMOO มูลค่า 7,499 บาท และรางวัลชมเชย บัตรกำนัลมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 30 รางวัล 2.ภาคการศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษาส่งนักเรียนเข้าประกวด ชิงทุนการศึกษาสูงสุด 50,000 บาท และรางวัลทุนการศึกษาอื่น ๆ อีกกว่า 30 รางวัล รวมมูลค่าทุนการศึกษา 250,000 บาท สำหรับน้อง ๆ ที่กำลังมองหาเครื่องเขียน และอุปกรณ์รับเปิดเทอม สามารถแวะมาช้อปที่ร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. กว่า 600 สาขา ได้ทุกวันตลอดเดือนพฤษภาคมนี้ และตลอด 24 ชั่วโมงผ่านช่องทางออนไลน์ที่ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ออนไลน์สโตร์ บน Shopee Mall ผ่านการค้นหา MR.DIY Thailand Official หรือคลิก ส่วนน้อง ๆ คนไหนที่อยากสนุกและโชว์พลังไอเดียสร้างสรรค์ของตัวเอง สามารถสมัครได้ที่
ที่มาของ แคมเปญ “ช้อปสนั่น Fun สุด ต้อนรับเทศกาลเปิดเทอม” ของ MR. D.I.Y. มาจากกลยุทธ์ “Promotion” ในธุรกิจค้าปลีก ที่คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการลดแลกแจกแถม เพื่อดึงลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าในร้าน แต่ในอีกมุมหนึ่ง ยังเป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภครับรู้และจดจำได้มากขึ้น ที่ผ่านมา MR. D.I.Y. จึงปล่อยโปรโมชั่นแคมเปญมาเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมสะท้อน Brand Identity ในเรื่องราคาถูกคุ้มเสมอ ซึ่งที่ผ่านมานับว่าประสบความสำเร็จมาตลอด เพราะมีจุดดึงดูดสำคัญอย่างตัวสินค้าที่มีความหลากหลาย อีกทั้งราคายังคุ้มค่า มาพร้อมกับโปรโมชั่นโดนใจอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของ แคมเปญ “ช้อปสนั่น Fun สุด ต้อนรับเทศกาลเปิดเทอม” ของ MR. D.I.Y. เพื่อให้นักเรียนได้ช้อปสนุกกับสินค้าคุณภาพมากมายต้อนรับเปิดเทอมใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และของใช้ส่วนตัว ในราคาคุ้มค่า พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 40% เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายพ่อ แม่ ผู้ปกครอง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53338
Retail
ณ สิ้นปี 2565 มีตู้เต่าบิน จำนวน 4,942 ตู้ กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยทำยอดขายอยู่ที่กี่ล้านบาท
หลังจากเปิดตัว “ตู้เต่าบิน” (TAO BIN) คาเฟ่อัตโนมัติ 24 ชั่วโมง จำหน่ายกาแฟสดและเครื่องดื่มชงสด ในปี 2564 ซึ่งเป็นธุรกิจที่พัฒนาโดยบริษัท ฟอร์ท เวนดิ้ง จำกัด ในเครือ FORTH Corporation ณ สิ้นปี 2565 มี “ตู้เต่าบิน” จำนวน 4,942 ตู้ กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยทำยอดขายอยู่ที่ 1,510 ล้านบาท ในปี 2566 วางแผนขยายตู้เต่าบินอีก 5,000 ตู้ รวมเป็น 10,000 ตู้ และตามเป้าหมายปี 2567 รวม 20,000 ตู้ ยอดขายรวม 1 ล้านแก้วต่อวัน (เฉลี่ย 50 แก้วต่อตู้ต่อวัน) คิดเป็นยอดขายเฉลี่ยวันละ 30 ล้านบาท รายได้รวม 10,000 ล้านบาทต่อปี แตกไลน์ตู้ขนม TAO BIN STATION นอกจากเดินหน้าขยายตู้เต่าบินให้ได้ตามแผนแล้ว ปีนี้ “ฟอร์ท เวนดิ้ง” ได้แตกไลน์ธุรกิจใหม่ “ตู้ขนม” TAO BIN STATION เป็นตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) 24 ชั่วโมง ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้เริ่มทดลองติดตั้งในห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน สถานศึกษา ตู้ขนม “เต่าบิน สเตชั่น” จะติดตั้งคู่กับ “เต่าบิน” ตู้ชงเครื่องดื่มสด โดยต้องกดสั่งซื้อจากหน้าจอ “ตู้เต่าบิน” กดตรงเมนูซื้อสินค้าและบริการอื่นๆ สินค้าที่ทดลองวางจำหน่ายในตู้เต่าบิน สเตชั่น เริ่มด้วยสแน็ก ขนมข้าวอบกรอบ (rice cracker), ป็อปคอร์นช็อคโกแลต แบบบรรจุขวดกระป๋อง ซึ่งเป็นสินค้าแบรนด์ “เต่าบิน” ที่พัฒนาขึ้นมาเอง รวมทั้งสินค้าจากพันธมิตร อย่างเครื่องดื่มน้ำผลไม้บรรจุขวด Boon Rawd Farm จากสิงห์ปาร์คเชียงราย สำหรับตู้ขนม “เต่าบิน สเตชั่น” นี้ เดิมเป็นตู้ขายสินค้าอัตโนมัติของ “ฟอร์ท เวนดิ้ง” ที่มีอยู่กว่า 100 ตู้ ซึ่งหยุดทำธุรกิจไปในช่วงที่มีการพัฒนาและเปิดตัว “ตู้เต่าบิน” คาเฟ่อัตโนมัติ 24 ชั่วโมง หลังจากตู้เต่าบิน ได้รับความนิยมจากลูกค้าและแบรนด์ “เต่าบิน” เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จึงได้นำตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่เป็นทรัพย์สินเดิมกลับมาพัฒนาและใช้ประโยชน์ใหม่ โดยทำเป็นตู้ขนมในชื่อ “เต่าบิน สเตชั่น” ตู้ขนม “เต่าบิน สเตชั่น” อยู่ระหว่างทดลองติดตั้งในทำเลต่างๆ ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ในห้าง โรงเรียน ออฟฟิศ รวมทั้งประเภทขนมที่จะวางจำหน่ายในตู้ก็จะมีหลากหลายที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ ทั้งที่พัฒนาแบรนด์ขึ้นมาเองและสินค้าจากพันธมิตร มองโอกาสธุรกิจ TAO BIN STATION – การแตกไลน์ตู้ขนม “เต่าบิน สเตชั่น” ที่ติดตั้งคู่กับตู้เต่าบิน เป็นการมองโอกาสทั้งการขายเครื่องดื่มและขนม ที่ลูกค้าอาจจะซื้อไปกินคู่กัน ทำให้ยอดใช้จ่ายต่อครั้งเพิ่มขึ้น เพราะเป็นตู้ขายสินค้าที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง ลูกค้าสะดวกกดซื้อได้ทุกเวลา – เป็นช่องขายสินค้าเครื่องดื่มสำเร็จรูป “เต่าบิน” ปัจจุบันตู้เต่าบิน มีเครื่องดื่มชงสด 200 เมนู มีเมนูยอดนิยม ขายดีหลายเมนู ที่เต่าบิน วางแผนต่อยอดเป็นเครื่องดื่มสำเร็จรูป ซึ่งสามารถวางขายในตู้เต่าบิน สเตชั่นและช่องทางค้าปลีกอื่นๆ ได้ – ธุรกิจตู้ขายสินค้าอัตโนมัติอยู่ในเทรนด์ที่กำลังเติบโต จากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เน้นความสะดวกสบาย ซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา ช่องทางชำระเงินสะดวก ส่วนการลงทุนตู้ขายสินค้าอัตโนมัติถือว่าไม่สูง ใช้พื้นที่ติดตั้งไม่มาก ย้ายทำเลได้ และเข้าถึงลูกค้าในทำเลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คอนโด โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน สถานศึกษา โรงงาน – ปัจจุบันธุรกิจตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ เป็นตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติ 60% และตู้ขายสินค้าต่างๆ 40% โดย ttb analytics คาดว่า ปี 2566 ธุรกิจนี้มีมูลค่ายอดขายกว่า 10,000 ล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตปีละ 13-15% รวมทั้งจะได้เห็นตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในรูปแบบใหม่ๆ ในตลาดมากขึ้น กลุ่มฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น ยังคงพัฒนานวัตกรรมใหม่ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง หลังเปิดตัวธุรกิจจุดชาร์จอีวี GINKA (กิ้งก่า) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในอนาคตเตรียมเผยโฉมปั๊มอีวีให้บริการจุดชาร์จ GINKA โดยมีพื้นที่เคาน์เตอร์บริการเมนูเครื่องดื่มจากตู้เต่าบิน รวมทั้งตู้อัตโนมัติขายก๋วยเตี๋ยว ที่จะออกมาสร้างความ wow ให้เหล่าสาวกเต่าบิน อ่านเพิ่มเติม โมเดลใหม่ เตรียมเปิดปั๊มอีวี GINKA มีเคาน์เตอร์บริการเครื่องดื่ม ‘เต่าบิน’ ชานมไข่มุก ตู้กดก๋วยเตี๋ยว เปิดที่มา ‘ตู้เต่าบิน’ คาเฟ่อัตโนมัติ 24 ชั่วโมง จากแนวคิด Convenient + Availability ทำให้มากกว่าผู้บริโภคคาดหวัง โมเดลใหม่ เตรียมเปิดปั๊มอีวี GINKA มีเคาน์เตอร์บริการเครื่องดื่ม ‘เต่าบิน’ ชานมไข่มุก ตู้กดก๋วยเตี๋ยว เปิดที่มา ‘ตู้เต่าบิน’ คาเฟ่อัตโนมัติ 24 ชั่วโมง จากแนวคิด Convenient + Availability ทำให้มากกว่าผู้บริโภคคาดหวัง
ณ สิ้นปี 2565 มีตู้เต่าบิน จำนวน 4,942 ตู้ กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยทำยอดขายอยู่ที่ 1,510 ล้านบาท
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53353
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ร้าน "มีทเฟรช" เป็นตัวอย่างที่ดีของธุรกิจค้าปลีก ที่นำเสนอสินค้าคุณภาพดี ในราคาที่เข้าถึงได้ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจแบบนี้
null
ไก่สด สะอาด ปลอดภัย ราคาประหยัด : ทางเลือกใหม่ของคนรักไก่ ณ ตลาดไท แหล่งค้าส่งสินค้าขนาดใหญ่ เสียงพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายสินค้าดังระงม บรรยากาศคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของ หนึ่งในนั้นคือ "นลิน" แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง ที่กำลังมองหาร้านขายไก่สดคุณภาพดี ในราคาที่เป็นมิตรกับกระเป๋า นลินเดินผ่านร้านค้าต่างๆ สายตาของเธอจับจ้องไปที่ร้าน "มีทเฟรช" ร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นาน ป้ายร้านสีแดงสดใส ดึงดูดความสนใจ บนป้ายเขียนชื่อร้านว่า "มีทเฟรช" พร้อมกับรูปไก่ยิ้มแย้ม ดูน่าเข้า ด้วยความสงสัย นลินจึงตัดสินใจลองเข้าไปในร้าน เธอพบกับ "พนักงานขาย" ยิ้มแย้มแจ่มใส กำลังจัดเรียงสินค้าไก่สดบนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ "มีไก่สดอะไรบ้างคะ?" นลินเอ่ยถาม "มีไก่สดหลายชนิดค่ะ คุณลูกค้าต้องการแบบไหน?" พนักงานขายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ "อยากได้ไก่สด ไร้ฮอร์โมน ราคาไม่แพงค่ะ" นลินตอบ พนักงานขายแนะนำ "ไก่ปันสุข" แบรนด์ไก่สดจาก "ไทสัน ฟู้ดส์" บริษัทผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ชั้นนำระดับโลก พนักงานอธิบายว่า ไก่ปันสุขนั้น เลี้ยงดูอย่างปลอดภัย ปราศจากฮอร์โมน และสารเร่งโต สดใหม่ สะอาด ปลอดภัย และที่สำคัญคือ ราคาคุ้มค่า เหมาะกับผู้ประกอบการร้านอาหาร นลินรู้สึกประทับใจกับคำอธิบายของพนักงาน ตัดสินใจซื้อไก่ปันสุขไปลองใช้ เมื่อนำไก่ปันสุขมาประกอบอาหาร นลินพบว่าเนื้อไก่สดใหม่ ไร้กลิ่นเหม็น คงความชุ่มฉ่ำ ทำให้อาหารที่ปรุงออกมาอร่อย น่ารับประทาน ลูกค้าของเธอต่างชื่นชอบ นลินรู้สึกดีใจที่ได้ค้นพบร้าน "มีทเฟรช" ร้านนี้ช่วยให้เธอสามารถซื้อไก่สดคุณภาพดี ในราคาที่ประหยัด ส่งผลดีต่อธุรกิจร้านอาหารของเธอ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53354
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั้น สามารถส่งผลดีต่อทั้งตัวเราเองและโลกของเรา เราทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแค่เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การเลือกทานนมโอ๊ต Goodmate แทนนมวัว
null
นมโอ๊ต Goodmate ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพและโลกของเรา ณ ร้านขายของชำขนาดย่อมในย่านชานเมือง เด็กหญิงวัยประถมปลายชื่อ "มายด์" กำลังยืนเลือกซื้อนมอยู่ สายตาของเธอจับจ้องไปที่ชั้นวางนมทางเลือก มายด์มีภาวะแพ้นมวัวมาตั้งแต่เด็ก การดื่มนมวัวจึงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเธอ "แม่คะ หนูอยากลองนมโอ๊ต Goodmate ค่ะ" มายด์พูดขึ้น "ได้สิลูก เดี๋ยวแม่หยิบให้" แม่ของมายด์ตอบ มายด์รู้สึกตื่นเต้น เธอเคยได้ยินเพื่อนที่โรงเรียนพูดถึงนมโอ๊ตอยู่บ้าง ว่าทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ เมื่อถึงบ้าน มายด์รีบเทนมโอ๊ตใส่แก้วและยกขึ้นดื่ม รสชาติหอมมันกลมกล่อมของนมโอ๊ตทำให้เธอรู้สึกประทับใจ "อร่อยจังค่ะแม่!" มายด์พูดด้วยรอยยิ้ม "แม่ก็ดีใจที่ลูกชอบ นมโอ๊ตมีประโยชน์เยอะนะ ดีต่อสุขภาพและยังดีต่อโลกด้วย" "จริงเหรอคะ?" "จริงสิ นมโอ๊ตใช้ทรัพยากรในการผลิตน้อยกว่านมวัวมาก การเลี้ยงวัวเพื่อผลิตนมเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน แต่นมโอ๊ตไม่สร้างปัญหาเหล่านี้" มายด์ฟังแม่พูดด้วยความสนใจ เธอเริ่มเข้าใจว่าการเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั้น สามารถส่งผลดีต่อโลกของเราได้ด้วย ในวันต่อมา มายด์ไปโรงเรียนพร้อมกับกล่องนมโอ๊ต Goodmate เธอแบ่งปันนมโอ๊ตให้เพื่อน ๆ ได้ลองชิม เพื่อน ๆ ของเธอต่างก็ชอบรสชาติของนมโอ๊ต และเริ่มสนใจเกี่ยวกับประโยชน์ของนมโอ๊ตมากขึ้น
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53382
Retail
เขียนความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "พลังความร่วมมือ: คอลเกต, แม็คโคร, และโลตัส บริจาคน้ำใจผ่านโครงการ '1 น้ำใจ 1 รอยยิ้ม' สู่สังคมไทย"
null
ในช่วงยามที่สังคมและชุมชนต้องเผชิญกับความท้าทายและปัญหาต่างๆ มีการเชื่อมโยงกันระหว่างภาคธุรกิจและการกุศลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเวลาที่การช่วยเหลือมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ในเชิงที่สภากาชาดไทย (Thai Retailers Association) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนสังคม โดยมีโครงการ "1 น้ำใจ 1 รอยยิ้ม" ซึ่งเป็นโครงการการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการในสังคม โดยร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอย่าง คอลเกต (Colgate) และแม็คโคร (Makro) พร้อมกับโลตัส (Lotus) สามสิ่งนี้จึงเป็นการรวมกลุ่มกำลังใจและพลังของภาคธุรกิจมาเป็นกำลังในการช่วยเหลือสังคมที่ต้องการ ผ่านโครงการ "1 น้ำใจ 1 รอยยิ้ม" ทุกครั้งที่มีการซื้อสินค้าจากคอลเกต, แม็คโคร, หรือโลตัส จะมีส่วนหนึ่งของรายได้ที่ได้รับจากการขายถูกบริจาคให้กับสังคม โดยเงินที่ได้รับนี้จะถูกนำไปสนับสนุนโครงการช่วยเหลือต่างๆ ที่สภากาชาดไทยเลือกตั้ง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในหลากหลายด้าน เช่น การช่วยเหลือผู้ป่วย การสนับสนุนการศึกษา หรือการช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นที่มีความต้องการ โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ซื้อสินค้าที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้โดยตรง แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและสังคม ซึ่งส่งเสริมความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กรและธุรกิจ และยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการมอบความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการมากขึ้นในชุมชนและสังคมอย่างกว้างขวาง โดยรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาทที่สะสมขึ้นนี้ย่อมมีผลเป็นการสร้างพลังให้กับสังคมอย่างแท้จริงและยั่งยืนในระยะยาว
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53388
Retail
คุณชัยพรคาดการณ์ว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 จะเติบโตอย่างไร และมีสาเหตุจากปัจจัยใดบ้าง?
หัวข้อ หลักทรัพย์บัวหลวง มองหุ้นไทยปี 2566 มีโอกาสแตะ 1,811 จุด รับท่องเที่ยว - การบริโภคฟื้นตัว - Brand Buffet ​คุณชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีโอกาสวิ่งไปแตะ 1,811 จุด หนุนโดยภาคท่องเที่ยวและการบริโภคฟื้นตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ และทั่วโลก ในระยะยาวอาจปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 9.5% แนะลดการถือครองเงินสด พร้อมเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้นจีน นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงมุมมองการลงทุนในปี 2566 ว่า มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะวิ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,811 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายในประเทศอย่างภาคท่องเที่ยวและการบริโภคที่ฟื้นตัว รวมถึงภาคเอกชนที่มีการลงทุนมากขึ้น หลังประกาศเปิดประเทศอย่างเต็มตัวไปเมื่อกลางปี 2565 ขณะเดียวกันยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ และทั่วโลกที่ในระยะยาวอาจปรับตัวลงเข้าสู่ภาวะปกติ โดยทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะแตะระดับสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.50 – 4.75% แม้ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payroll) ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา จะเพิ่มขึ้นถึง 517,000 อัตรา ซึ่งมาจากความต้องการพนักงานบริการด้านการท่องเที่ยว, การแพทย์ และบริการภาคเอกชนอื่น ๆ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงจากการที่จีนเปิดประเทศและหลายประเทศกลับมาใช้พลังงานพร้อมเพียงกัน อาจทำให้เกิดประเด็นเงินเฟ้ออีกรอบหรือหากเศรษฐกิจหดตัวแรงกว่าคาดจนฉุดราคาน้ำมันลงแรงอาจกระทบกำไรกลุ่มปตท.ถือเป็นปัจจัยเซอร์ไพร์สตลาด เราประเมินว่า ราคาน้ำมัน West Texas อาจแกว่งตัวในกรอบราคา 70-100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และในปี 2566 ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 98 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล “สำหรับประเด็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย มองว่าเป็นเรื่องที่สามารถบริหารจัดการได้ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงขยายตัวได้ ไม่มีอะไรน่ากังวลมากนัก ส่วนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ประเมินไว้ระดับ 2.70% โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากโซนเอเชียที่จะขยายตัวประมาณ 5.2% คาดว่าอาเซียน,จีน, ไทย, สหรัฐฯ และญี่ปุ่น จะขยายตัวประมาณ 5-5.5%, 5.2% , 4.3%, 1.3% และ 1.2% ตามลำดับ ส่วนแถบยุโรปคาดว่าอาจหดตัว 0.2%” นายชัยพร กล่าว ในส่วนของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 คาดว่ายังคงขยายตัวต่อเนื่องประมาณ 9.5% แม้ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 ปี 2565 อาจหดตัวประมาณ 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอาจหดตัวประมาณ 14%เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมีแนวโน้มมากกว่าที่ประเมินไว้ระดับ 20 ล้านคน คาดว่าทั้งปีจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 30 ล้านคน หลังจีนเปิดให้ประชากรเดินทางออกนอกประเทศได้เร็วกว่าคาด หุ้นกลุ่มโดดเด่นในปี 2566 คือ ค้าปลีก, สื่อโฆษณา, อาหารเครื่องดื่ม, โรงพยาบาลใหญ่, เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานสะอาด โดยธีมการลงทุนมาแรง คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า, กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หุ้น HANA และหุ้น KCE ซึ่งอาจยังคงมีความผันผวนเพราะความกังวลต่อทิศทางผลประกอบการหากเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มพัฒนาบริหารและให้เช่าพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างหุ้น CPN ที่มีแนวโน้มค่าเช่าและอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการบริโภคที่ดีขึ้น ส่วนกลุ่มหลีกเลี่ยง คือ อาหาร (เนื้อ หมู ไก่), เดินเรือและโลจิสติกส์ และประกัน ส่วนการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ หรือ DR อ้างอิงดัชนี S&P500 หรือดัชนี Nasdaq เช่น กองทุน B-INNOTECH, NDX01 ที่ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดีทั่วโลก ส่วนกองทุนหุ้นเวียดนาม แนะกองทุน B-VIETNAM หรือจะลงทุนผ่านตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) เช่น FUEVFVND01 อ้างอิง DCVMVN DIAMOND ETF (FUEVFVND.VN) ที่ลงทุนอิงดัชนี VN Diamond หุ้นเวียดนามชั้นนำ และ E1VFVN3001 อ้างอิง DCVFMVN30 ETF (E1VFVN30.VN) ที่ลงทุนอิงดัชนี VN30 หุ้นเวียดนามชั้นนำขนาดใหญ่ 30 ตัว ก็ถือเป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับการลงทุนในตลาดจีน-ฮ่องกง แนะนำ CN01 อ้างอิง ChinaAMC CSI 300 Index ETF (3188.HK) ที่ลงทุนอิงดัชนี CSI 300 หุ้น A-Share ชั้นนำขนาดใหญ่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น 300 ตัว และ CNTECH01 อ้างอิง ChinaAMC Hang Seng TECH Index ETF (3088.HK) ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี Hang Seng TECH หุ้นเทคโนโลยีจีน-ฮ่องกงขนาดใหญ่ และจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง 30 ตัว นายชัยพร กล่าวต่อว่า การจัด Asset Allocation ในปี 2566 แนะลดการถือครองเงินสด, เงินฝากระยะสั้น และตราสารหนี้ระยะสั้น โดยให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวทั่วโลกที่ 14%, ตราสารหนี้ระยะสั้น 16%, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 9% และตลาดหุ้นจีน 7% นอกจากนั้นยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ (ดัชนี S&P500) 13%, หุ้นสหรัฐฯ (ดัชนี Russell 2000) 5%, หุ้นไทย (SET100) 7%, หุ้นเวียดนาม 12% และทองคำ 12% “ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามยังคงโดดเด่น ส่วนหุ้นไทย Upside เหลือน้อยประมาณ 7.8% จากระดับดัชนีแถว 1,680 จุด เราแนะหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากตลาดหุ้นต่างประเทศอย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะดัชนี NASDAQ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนประมาณ 15-20% โดยในช่วงกลางปี 2566 เราจะกลับมาทบทวน พอร์ตการลงทุนอีกครั้ง ซึ่งอาจเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากเฟดส่งสัญญาณเรื่องดอกเบี้ยชัดเจน” นายชัยพร กล่าว
คุณชัยพรคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 จะเติบโตประมาณ 9.5% โดยมีสาเหตุจากปัจจัยดังนี้ 1. การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว: หลังจากที่จีนเปิดให้ประชากรเดินทางออกนอกประเทศได้เร็วกว่าคาด จำนวนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่าเดิมที่ประเมินไว้จาก 20 ล้านคนเป็นประมาณ 30 ล้านคน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและรายได้ในภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว 2. การฟื้นตัวของการบริโภค: ภาคการบริโภคในประเทศไทยฟื้นตัวหลังจากที่มีการประกาศเปิดประเทศอย่างเต็มตัวไปเมื่อกลางปี 2565 ทำให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทต่าง ๆ 3. การลงทุนภาคเอกชน: ภาคเอกชนมีการลงทุนมากขึ้น หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้การดำเนินธุรกิจกลับมาเป็นปกติ 4. ปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศ: อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติในระยะยาว ซึ่งจะช่วยเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการค้าโลก คุณชัยพรเน้นว่าการเติบโตนี้ยังคงเป็นไปได้แม้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 ปี 2565 อาจหดตัวประมาณ 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และประมาณ 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกำไรของบริษัทจะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคอย่างต่อเนื่องในปี 2566
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53389
Retail
ผลการพิจารณารางวัล Thailand Social Awards 2023 แบรนด์ใดได้รับรางวัล Winner ของกลุ่มรางวัล Best Brand Performance on Social Media สาขา Shopping Center & Department Store
กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ ตอกย้ำความสำเร็จของการเป็นผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก โดยสยามพารากอน คว้ารางวัลชนะเลิศ Best Brand Performance on Social Media เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า และไอคอนสยาม ได้รับรางวัล Finalist เป็นหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย ในงานประกาศรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS จัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด รางวัลครั้งนี้สะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ผู้นำความคิดสร้างสรรค์ นำเสนอประสบการณ์เหนือระดับที่โดดเด่นและแตกต่างให้ทุกศูนย์การค้าในเครือผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ และครองความเป็นที่หนึ่งในใจของกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดีย นางธณพร ตันติยานนท์ ผู้บริหารหน่วยธุรกิจศูนย์การค้าสยามพารากอน กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่สยามพารากอนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะเลิศ เป็นแบรนด์ที่มีผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย ในสาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า รางวัลนี้ตอกย้ำความสำเร็จของสยามพารากอนในการสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าในทุกมิติ ด้วยกิจกรรมการตลาดหลากหลายรูปแบบ งานอีเว้นท์ และการเปิดตัวสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกมากมายในหลายธุรกิจ ทำให้สยามพารากอนยังคงเป็นแลนด์มาร์คยืนหนึ่งในใจผู้คน จนได้รับการพูดถึงในสื่อโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สยามพารากอนกำลังอยู่ระหว่างการทรานสฟอร์มครั้งใหญ่ ที่จะยกระดับความเป็นแลนด์มาร์คระดับโลกให้เป็นที่สุดของความเลิศล้ำ เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของผู้คน ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคตได้มากขึ้นกว่าเดิมในทุกมิติ” นางสุมา วงษ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า การได้รับรางวัลด้านโซเชียลมีเดียในปีนี้ เป็นผลจากแผนงานที่มุ่งมั่นนำเสนอกิจกรรมการตลาดในรูปแบบประสบการณ์พิเศษที่โดดเด่น รวมถึงการบริการที่ตอบโจทย์ตรงใจของลูกค้าจริงๆ การทำงานบนสื่อโซเชียลในปัจจุบันเราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากระบบของแพลตฟอร์มเอง ร่วมกับข้อมูลจากการมอนิเตอร์สื่อบนออนไลน์ต่างๆ ทำให้เราเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้นและสามารถนำเสนอคอนเทนท์ บริการ และรายการส่งเสริมการตลาดต่างๆ แบบเฉพาะกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้น ไอคอนสยามยังได้รับการคัดเลือกเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทั้งงานประชุม สัมมนา และกิจกรรมบันเทิงจากศิลปินระดับโลกมากมายตลอดทั้งปี ทำให้ปีนี้ ไอคอนสยามมีลูกค้าและผู้สนใจเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์และกิจกรรมการตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เราติดอันดับหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียครั้งนี้ นอกจากนั้น รางวัลครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จตอกย้ำปณิธานที่ต้องการสร้างไอคอนสยามให้เป็นหมุดหมายปลายทางระดับโลก โดยเป็นตัวแทนประเทศไทยนำเอกลักษณ์และสิ่งที่ดีที่สุดของไทยไปบรรจบกับสิ่งที่ดีที่สุดของโลกบนแลนด์มาร์คริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลการพิจารณารางวัล Thailand Social Awards ในปีนี้ แบรนด์ Siam Paragon ได้รับรางวัล Winner ของกลุ่มรางวัล Best Brand Performance on Social Media สาขา Shopping Center & Department Store เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยรางวัล Thailand Social Awards มีการเก็บข้อมูลบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์มากกว่า 2,000 แบรนด์ เฉพาะกลุ่มธุรกิจในสาขาศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้านี้ มีการเก็บข้อมูลนำมาวัดผลทั้งสิ้นมากกว่า 80 แบรนด์ จากนั้น นำข้อมูลมาพิจารณาร่วมกับคณะที่ปรึกษาอีก 18 ท่าน โดยวัดจากทั้งช่องทางโซเชี่ยลของแบรนด์ตนเอง และช่องทางจากการที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์ ผ่าน 4 แพลตฟอร์มหลัก คือ Facebook, Instagram, Twitter และ YouTube “โดยปีนี้ ศูนย์การค้าในกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมติดอันดับถึงสองแห่ง ได้แก่ Siam Paragon เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอันดับ 1 บนโซเชียลมีเดีย ในสาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยมีผลคะแนนโดดเด่นในกลุ่มเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีแบรนด์ไอคอนสยาม ที่ได้รับรางวัล Finalist ติดอันดับหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียเช่นกัน” “THAILAND SOCIAL AWARDS” เป็นงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียล และมีการประกาศรางวัล ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม ปีนี้ ได้จัดต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 11 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ และยกระดับวงการโซเชียล ผ่านการ มอบรางวัลเพื่อเชิดชูแบรนด์ อินฟลูเอนเซอร์ และบุคคลในวงการบันเทิงที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลในสาขาต่างๆ ผ่านการวัดประสิทธิภาพความสามารถในการทำกิจกรรมการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเป็นรูปธรรม
ผลการพิจารณารางวัล Thailand Social Awards 2023 แบรนด์ Siam Paragon ได้รับรางวัล Winner ของกลุ่มรางวัล Best Brand Performance on Social Media สาขา Shopping Center & Department Store เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53393
Retail
การต่อยอดธุรกิจผ่านบัตร PT Max’s World สร้างฐานลูกค้าให้อยู่ในอีโคซิสเต็ม ใช้บริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ PTG ในปี 2565 มีผู้ถือ MaxCard 19 ล้านใบ ทำให้สัดส่วนยอดขายน้ำมันกี่เปอร์เซ็นต์
คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ เรื่องราวของ “คนเล็ก เวทีใหญ่” ผู้บริหารหัวใจนักสู้ ด้วยวิถี Underdog Spirit ของ คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ แห่ง PTG กลายเป็น “บทเรียน” ธุรกิจที่น่าเรียนรู้ ในฐานะผู้พลิกสถานการณ์บริษัทที่เกือบ “ล้มละลาย” จากหนี้สินกว่า 3,600 ล้านบาท ในช่วงวิกฤติต้มย้ำกุ้ง ปี 2540 ล้างหนี้หมดภายใน 10 ปี พา PTG เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายปั๊มน้ำมัน PT จากป่าล้อมเมือง ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาด สร้างยอดขายกว่า 130,000 ล้านบาท ตามดู 10 ข้อคิดการบริหารธุรกิจด้วยหลักคิด Underdog Spirit วิธีการก้าวผ่านความยากลำบาก ในแบบฉบับนักบริหารสู้ชีวิต และเคล็ดลับความเร็จของ PTG กับ คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) และเจ้าของกาแฟ “พันธุ์ไทย” จากงาน Soft Skills Bootcamp โดย YourNextU School of Life ศูนย์รวมวิชาชีวิต 1. ถ้าเล็กไม่เป็น ก็ใหญ่ไม่ได้ คุณพิทักษ์ เล่าถึงวัยเด็กว่าครอบครัวเป็นคนหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เริ่มเรียนที่โรงเรียนแสงทอง คุณแม่มีแผงขายของในตลาดกิมหยง ในวัยเด็กจึงเติบโตมากับการค้าขาย เดินไปโรงเรียน เลิกเรียนมาขายของ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็มาขายของกับคุณแม่ สิ่งที่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เด็กคือ “คิดเลขเร็ว” ส่วนคุณพ่อทำฟาร์มกุ้งธรรมชาติที่จังหวัดสตูล เวลาไปหาคุณพ่อช่วงเสาร์-อาทิตย์ หรือปิดเทอม สิ่งที่เห็นตั้งแต่เด็ก คือ คนต่างจังหวัดก็จะนั่งพื้นกินข้าวด้วยกัน คุณพ่อก็นั่งกินข้าวพร้อมลูกน้อง “แม้ผมเป็นลูกเถ้าแก่ แต่เวลากินข้าว จะมีหน้าที่ตักข้าวให้ลูกน้องคุณพ่อก่อนที่จะตักให้ตัวเอง” เป็นสิ่งที่สอนเรื่องการดูแลคนมาตั้งแต่ยังเด็ก และทำให้เห็นว่า “ถ้าเล็กไม่เป็น ก็ใหญ่ไม่ได้” เป็นวิธี Respect คน ที่ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก 2. เรียนรู้ Economy of speed ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนตัวเลือกวิศวะ 5 อันดับ โดยคุณพ่อขอให้เลือกประมง ไว้เป็นอันดับสุดท้าย เพราะมีฟาร์มกุ้งธรรมชาติอยู่ที่จังหวัดสตูล จึงต้องการให้ไปดูแล สรุปสอบติดคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรียนจบปี 2530 จากนั้นไปทำฟาร์มกุ้งกับคุณพ่อที่สตูล และเรียน MBA ช่วงค่ำ ใช้เวลาเรียน 2 ปีครึ่งจบ ในช่วงนี้ได้เรียนรู้เรื่อง Economy of speed การเลี้ยงกุ้งกุลาดำจาก 8 ไร่ ใช้เวลา 5 ปี ขยายได้ 800 ไร่ ทุกวันนี้ สิ่งที่ทำให้ ปั๊มน้ำมัน PT ขยายได้เร็ว เกิดจากการเรียนรู้ตอนทำฟาร์มกุ้ง 3. JENG = เจ๊ง หรือ JENG = เจ๋ง อยู่ที่เราคิด ปี 2531 ครอบครัว (คุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ ซึ่งเป็นพี่ชาย) ก่อตั้ง บริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด หรือปั๊ม PT จุดเริ่มต้น บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ในปัจจุบัน ปี 2535 พี่ชาย (คุณพิพัฒน์) ให้มาช่วยทำธุรกิจปั๊มน้ำมัน PT เริ่มทำปั๊มน้ำมันที่จังหวัดชุมพร เป็นช่วงที่ดีมานด์มากกว่าซัพพลาย จึงสามารถนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้ แต่หลังจากมีโรงกลั่นเพิ่มขึ้นอีก 3 โรง จึงเป็นยุคโอเวอร์ซัพพลาย ภาครัฐจึงห้ามนำเข้าน้ำมัน ปี 2538 -2539 เตรียมเข้าตลาดฯ เป็น บริษัทภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด (มหาชน) มี 4 สัญชาติร่วมถือหุ้น SK Global เกาหลีใต้, ซูมิโตโม ญี่ปุ่น, เมย์แบงก์ มาเลเซีย และไทย ปี 2540 เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง หุ้นส่วนต่างชาติทุกรายเลิกธุรกิจกลับประเทศ บริษัทมีหนี้จากการลงทุนและเงินกู้ต่างประเทศ 3,600 ล้านบาท ช่วงนั้นหากเรามี Mindset ว่า “เจ๊ง” ก็คง “เจ๊ง” แต่หากเราคิดว่า “เจ๋ง” ก็ต้องมีวิธีทำให้ “เจ๋ง” เพราะ JENG = เจ๊ง หรือ JENG = เจ๋ง (ภาษาอังกฤษเขียนเหมือนกัน) อยู่ที่เราคิด 4. เป็นหนี้ “ไม่มี ไม่หนี (ทำเรื่อง) ไม่จ่าย” บริษัทใช้เวลา 10 ปี (ปี 2540-2549) ในการปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างๆ ตอนนั้นต้องบอกว่า “ไม่มี ไม่หนี (ทำเรื่อง) ไม่จ่าย” เป็นสิ่งที่ทำได้เพื่อเดินหน้าแก้หนี้ “หลายคนบอกว่าเราโง่ไม่ยอมล้มบนฟูก แต่ความคิดเรา คือเป็นหนี้ก็ต้องจ่าย ทำให้เลือกเดินหน้าใช้หนี้ต่อให้ถูกต้อง เพราะพ่อแม่ไม่ได้สอนให้เรามาขี้โกงใคร เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย” จากหนี้สิน 3,600 ล้านบาท จ่าย 10 ปี ผ่อนไปอย่างต่อเนื่อง จนทางธนาคารเห็นใจและลดหนี้ให้ จึงจ่ายหนี้ไปราว 1,500 ล้านบาท แลกกับการทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ สื่อสารเกี่ยวกับเรื่องการเงินและพูดถึงเรื่องการใช้หนี้ให้แก่ลูกหนี้ธนาคารฟัง เป็นสิ่งที่ใครทำดีก็ได้ผลดี 5. เป็นผู้นำ ต้องทำให้ดู ในช่วงที่เป็นหนี้ 3,600 ล้านบาท กรรมการบริษัทบอกให้ปิดบริษัท เพราะไม่น่าจะไปรอด แต่คุณพิทักษ์ ยืนยันว่ายังปิดไม่ได้ เพราะมีพนักงานอีก 1,600 ชีวิตต้องดูแล จึงเดินหน้าแก้ไขหนี้ทุกอย่าง เจรจากับแบงก์ โทร.ยืมเงินคนรู้จักเพื่อนำมาซื้อน้ำมันมาขาย สิ่งสำคัญในการจะผ่านวิกฤติไปให้ได้ คือ “เป็นผู้นำ ต้องทำให้ดู” ต้องพูดให้ลูกน้องฟัง ทำให้ลูกน้องดู ว่าเราทำจริง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้พนักงานลุกขึ้นมาร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วยกัน ผู้บริหารต้องทำให้ลูกน้องอิน (IN) กับสิ่งที่บริษัทกำลังจะก้าวไป และถ้าลูกน้องอิน ไปด้วยกัน ก็จะกลายเป็น NI (Net Income) สูงขึ้น 6. สวนกระแส-แตกต่างอย่างสิ้นเชิง หลังจากแก้ปัญหาหนี้จบแล้ว ปี 2551 เริ่มเห็นโอกาสการเติบโตในธุรกิจปั๊มน้ำมัน จึงใช้วิธีคิดที่ต้องทำอย่างแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ด้วยวิธี “สวนกระแส” จากปั๊มน้ำมันอื่นๆ ที่ขยายสาขาด้วยระบบแฟรนไชส์ แต่ PT ขยายปั๊มด้วยการลงทุนเอง “คนตัวเล็กเดินตามคนอื่นโดยไม่ดูตัวเองก็มีแต่พัง จึงต้องเล่นในเกมของเรา หาสิ่งที่ถนัดและทำให้เร็ว สร้าง Economy of Speed” PT จึงเลือกที่จะเล่นในเกมของตัวเอง เริ่มด้วยการลงทุนปั๊มเอง ไม่เป็นระบบแฟรนไชส์ เลือกทำเลเปิดในถนนสายรอง เพราะบริษัทน้ำมันรายใหญ่ ไม่สนใจทำเลแบบนี้ จึงกลายเป็น Blue Ocean ของ PT ในช่วงปี 2551-2554 ขยายปั๊มถนนสายรองในต่างจังหวัดได้จำนวนมาก ปี 2555 เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เติบโตมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเบอร์ 2 ในปัจจุบัน (ปี 2565 มีประมาณ 2,200 สาขา ในจำนวนนี้ 1,900 สาขา PTG เป็นเจ้าของลงทุนเอง) “ในวันนั้นใครๆ ก็คิดว่าเราเป็นสิงห์ภูธร คงทำมาหากินอยู่ในต่างจังหวัด แต่กลยุทธ์ของ PT คือเริ่มจากต่างจังหวัดก่อนเข้าสู่เมือง วันนี้เราจะทำให้พื้นที่เมืองเป็นสีเขียว (ตามสีของปั๊ม PT) ให้ได้” 7. คนประสบความสำเร็จต้องมี “3 ถึง” เงินถึง-ใจถึง-มือถึง หากย้อนไปดูบทเรียนความสำเร็จของแต่ละธุรกิจ มาจากพื้นฐาน “3 ถึง” คือ 1. เงินถึง 2.ใจถึง 3.มือถึง ขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวใหม่เพื่อให้เป็น Opportunity Seeker หรือเป็นผู้ที่มองและเห็นโอกาสให้ได้ เมื่อใครเห็นโอกาสก่อน คนนั้นชนะ แต่หากเห็นโอกาสพร้อมกัน คนชนะคือคนที่ทำก่อน หากทำพร้อมกัน คนชนะ คือคนที่ทำเยอะกว่า 8. Underdog Spirit ความกล้า ความบ้า และลงมือทำจริง ในการทำสิ่งที่ยากและท้าทาย คือ จะทำอย่างไรให้ทีมงาน ทำไปได้วยกัน ท้าทายไปด้วยกัน และคิดแบบเรา เมื่อพนักงานเชื่อมั่นในตัวเราแล้ว ก็ต้องไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ต้องท้าทายตัวเองไปเรื่อยๆ ในมุมของ Underdog Spirit จึงต้องมี ความกล้า ความบ้า และลงมือทำจริงอยู่ตลอดเวลา DNA ของ PT คือ ต้องเร็ว อย่าง ปี 2565 ทำยอดขายได้ 5,000 ล้านลิตร ปี 2566 ก็ต้องตั้งเป้าหมายใหม่ต้องขายให้ได้ 6,000 ล้านลิตร เฉลี่ยไตรมาสละ 1,500 ล้านลิตร หากไตรมาสแรกทำได้เกินเป้าหมาย ก็ขยับเป้าหมายทั้งปีใหม่ หากไตรมาส 2 ยังทำได้เกินเป้าหมายอีก ก็จะขยับตัวเลขใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่อท้าทายตัวเอง ต้องเปลี่ยนจาก Impossible เป็น I’m Possible 9. จาก Follower เป็น The Great Challenger อาวุธลับของคนตัวเล็ก คือ ความเร็ว คิดแตกต่าง และหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา วันนี้เราไม่ได้เป็น Follower แต่จะเป็น The Great Challenger “คนตัวเล็กไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราสร้างสนามแข่ง เล่นในเกมของตัวเอง ไม่ไปเล่นในเกมของคนตัวใหญ่ แม้เป็นคนตัวเล็กแต่ไม่ได้ห้ามเราคิดใหญ่ เราต้องฝันใหญ่” ด้วยความเป็นคนตัวเล็กของ PTG จึงทำแตกต่าง ลงทุนปั๊มน้ำมันเอง มีรถบรรทุกเองไม่เอาท์ซอร์ส รายอื่นยุบคลัง PT ขยายคลัง มีทุก 200 กิโลเมตร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเน็ตเวิร์กในการขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกต่อไป การต่อยอดธุรกิจผ่าน บัตร PT Max’s World สร้างฐานลูกค้าให้อยู่ในอีโคซิสเต็ม ใช้บริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ PTG ในปี 2565 มีผู้ถือ MaxCard 19 ล้านใบ ทำให้สัดส่วนยอดขายน้ำมัน 75% มาจากผู้ถือ MaxCard ต่อไปจะเพิ่มเป็น 85-90% ด้วยสัดส่วนนี้ ใครมาเปิดปั๊มใกล้ๆ PT ก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมีฐานลูกค้าประจำ ในปี 2569 บัตร PT Max’s World จะต้องมีสมาชิกครบ 30 ล้านใบ เช่นเดียวกับร้านกาแฟ “พันธุ์ไทย” ที่เห็นโอกาสเติบโต ปี 2564 มี 300 สาขา, ปี 2565 มี 550 สาขา, ปี 2566 วางเป้าหมาย 1,500 สาขา และปี 2568 กับเป้าหมาย 5,000 สาขา จากนั้นจะนำเข้าบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป คู่แข่งใช้เวลา 25 ปี กับเป้าหมาย 5,000 สาขา แต่พันธุ์ไทยในเวลาสั้นกว่า กาแฟพันธุ์ไทย ขาดทุนมา 9 ปี (ขาดทุนรวม 400 ล้าน) ไตรมาส 4 ปี 2565 เพิ่งมีกำไรสุทธิครั้งแรก เชื่อว่าเมื่อเข้าตลาดฯ กำไรจะสร้างกำไรคืนมาได้ 20 เท่า นี่คือพลังของคน PTG ที่กล้าทำ เพราะไม่ว่าแพ้กี่ครั้ง แต่ชนะครั้งเดียวมันคุ้มค่า 10. อย่าหยุดคิด อย่าหยุดเรียนรู้ ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา การทำธุรกิจมีสิ่งที่พลาดได้ เวลาผิดพลาดก็ไม่ต้องกลัว แต่ให้รีบแก้ไขให้เร็ว สิ่งสำคัญคือเราต้องช่วยกันคิด ช่วยกันเรียนรู้ และปรับตัวอยู่ตลอดเวลา Underdog Spirit ต้องมีหัวใจขบถ ต้องเห็นอะไรแล้วไม่แฮปปี้ ต้องเห็นว่ามีอะไรที่ทำได้ดีกว่านั้น เพราะคนที่จะชนะ คือคนที่เห็นโอกาสและลงมือทำก่อน ทำด้วยหัวใจที่สุดๆ ไปเลย “ถ้าวันนั้น วันที่เรามีปัญหามีหนี้ ถ้าผมยอมรับฟังเสียงที่บอกให้ปิดกิจการ เลิกทำ วันนี้ผมคงไม่ได้อยู่ท่ามกลางพนักงานทุกคน ที่มีความรู้ความสามารถ ที่มาช่วยดูแลความฝันของผมให้เป็นจริงได้” อ่านเพิ่มเติม ถอดบทเรียน 34 ปี “PTG” ล้างหนี้ 3,600 ล้าน พลิกเกม จาก Follower สู่ Challenger กล้าท้าชนสังเวียนยักษ์ ตามดู Soft Skills Bootcamp กับ YourNextU คอมมูนิตี้คนรักการเรียนรู้ สารพัดทักษะวิชาชีวิต สร้างให้เป็นคนเก่ง โดดเด่นและน่ารัก ถอดบทเรียน 34 ปี “PTG” ล้างหนี้ 3,600 ล้าน พลิกเกม จาก Follower สู่ Challenger กล้าท้าชนสังเวียนยักษ์ ตามดู Soft Skills Bootcamp กับ YourNextU คอมมูนิตี้คนรักการเรียนรู้ สารพัดทักษะวิชาชีวิต สร้างให้เป็นคนเก่ง โดดเด่นและน่ารัก
การต่อยอดธุรกิจผ่านบัตร PT Max’s World สร้างฐานลูกค้าให้อยู่ในอีโคซิสเต็ม ใช้บริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ PTG ในปี 2565 มีผู้ถือ MaxCard 19 ล้านใบ ทำให้สัดส่วนยอดขายน้ำมัน 75% มาจากผู้ถือ MaxCard ต่อไปจะเพิ่มเป็น 85-90% ด้วยสัดส่วนนี้ ใครมาเปิดปั๊มใกล้ๆ PT ก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมีฐานลูกค้าประจำ ในปี 2569 บัตร PT Max’s World จะต้องมีสมาชิกครบ 30 ล้านใบ เช่นเดียวกับร้านกาแฟ “พันธุ์ไทย” ที่เห็นโอกาสเติบโต ปี 2564 มี 300 สาขา, ปี 2565 มี 550 สาขา, ปี 2566 วางเป้าหมาย 1,500 สาขา และปี 2568 กับเป้าหมาย 5,000 สาขา จากนั้นจะนำเข้าบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป คู่แข่งใช้เวลา 25 ปี กับเป้าหมาย 5,000 สาขา แต่พันธุ์ไทยในเวลาสั้นกว่า กาแฟพันธุ์ไทย ขาดทุนมา 9 ปี (ขาดทุนรวม 400 ล้าน) ไตรมาส 4 ปี 2565 เพิ่งมีกำไรสุทธิครั้งแรก เชื่อว่าเมื่อเข้าตลาดฯ กำไรจะสร้างกำไรคืนมาได้ 20 เท่า นี่คือพลังของคน PTG ที่กล้าทำ เพราะไม่ว่าแพ้กี่ครั้ง แต่ชนะครั้งเดียวมันคุ้มค่า
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53403
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด บวกกับความมุ่งมั่น ตั้งใจ จะช่วยให้ธุรกิจฝ่าฟันอุปสรรค และประสบความสำเร็จได้
null
ศึกชิงบัลลังก์: เกมพลิกวงการค้าปลีก ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า ท่ามกลางความคึกคักของตลาดสด เสียงพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายสินค้า ดังก้องไปทั่ว บรรยากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ท่ามกลางผู้คนมากมาย สองหนุ่มสาว "วายุ" หนุ่มเจ้าเสน่ห์ ทายาทเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง และ "พิมพ์มาดา" สาวสวยไฟแรง ผู้ก่อตั้งร้านสะดวกซื้อในชุมชน กำลังยืนมองดูผู้คนพลุกพล่านด้วยความคิดที่ต่างกัน วายุครุ่นคิดถึงกลยุทธ์ใหม่ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้กลับมาจับจ่ายที่ห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง ในขณะที่พิมพ์มาดา กำลังวางแผนขยายสาขาของร้านสะดวกซื้อ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในชุมชน ห้างสรรพสินค้า ของวายุ กำลังเผชิญกับคู่แข่งมากมาย ทั้งจากห้างสรรพสินค้าอื่น ๆ และร้านค้าออนไลน์ ยอดขายที่ตกต่ำ ทำให้เขาต้องหาวิธีใหม่ ๆ ดึงดูดใจลูกค้า ร้านสะดวกซื้อ ของพิมพ์มาดา กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยความคล่องตัว สะดวก และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย แต่เธอก็รู้ดีว่า หากไม่มีกลยุทธ์ที่เฉียบคม ธุรกิจของเธออาจถูกกลืนกินโดยทุนใหญ่ วันหนึ่ง วายุได้พบกับพิมพ์มาดาโดยบังเอิญ ทั้งสองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก วายุรู้สึกประทับใจในความคิดสร้างสรรค์ของพิมพ์มาดา ในขณะที่พิมพ์มาดา ก็เล็งเห็นศักยภาพของห้างสรรพสินค้า ทั้งสองตัดสินใจร่วมมือกัน วายุลงทุนในร้านสะดวกซื้อของพิมพ์มาดา ช่วยให้เธอขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่พิมพ์มาดา ช่วยวายุพัฒนาห้างสรรพสินค้า ให้มีความทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ห้างสรรพสินค้าของวายุ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เต็มไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของ ร้านสะดวกซื้อของพิมพ์มาดา ก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขยายสาขากว่า 100 แห่ง ทั่วทุกภูมิภาค วายุและพิมพ์มาดา กลายเป็นคู่หูที่ลงตัว ทั้งสองเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พัฒนาธุรกิจร่วมกัน และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการค้าปลีก เรื่องราวของวายุและพิมพ์มาดา เป็นตัวอย่างของการผนึกกำลัง พลิกเกมธุรกิจ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ อนาคตของธุรกิจค้าปลีก อยู่ในมือของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่มีความกล้าหาญ มองการณ์ไกล และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53406
Retail
บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ กางแผนธุรกิจปี 2566 ชูยุทธศาสตร์ใด
บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ กางแผนธุรกิจปี 2566 ปักหมุดเบี้ยรับรวมโตทะลุ 8,000 ล้านบาท ชูยุทธศาสตร์ “องค์กรด้านประกันภัยแห่งนวัตกรรม” เดินหน้าพัฒนาประกันภัยส่วนบุคคลตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ นอกจากการประกันภัยรถยนต์ แบบ เปิดปิด ที่เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในตลาดประกันภัยรถยนต์แล้ว ยังเตรียมส่ง “ประกันสุขภาพ Active Health รูปแบบใหม่ ๆ” “ประกันโรคร้าย” พร้อมขยายฐานลูกค้าในทุกภูมิภาค หลังแนวโน้มกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้น อานิสงส์ราคาพืชผลเกษตรพุ่งตามความต้องการของตลาดโลก พร้อมลุยเจรจาเพิ่มช่องทางจำหน่าย-ขยายเครือข่ายโรงพยาบาลทั่วทุกภูมิภาค นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) หรือ “TVI” ผู้นำด้านนวัตกรรมประกันภัย เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าผลักดันเบี้ยรับรวมเติบโตต่อเนื่องทะลุ 8,000 ล้านบาท ด้วยการเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ทั้งกลุ่ม Motor และ Non-Motor เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่อย่างลงตัว ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภค และภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัยของไทยให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้ยุทธศาสตร์ “องค์กรด้านประกันภัยแห่งนวัตกรรม” โดยกลุ่ม Motor เตรียมยกระดับ การบริการ โดยมีการเพิ่มเน้นศักยภาพและลูกเล่นใหม่ ๆ ที่แตกต่างในแบบ “การประกันรถเปิดปิด” ให้สอดรับและเชื่อมต่อทุกจังหวะการใช้ชีวิตอย่างไร้รอยต่อ พร้อมขยายฐานลูกค้าประกันภัยรถยนต์ให้กว้างมากขึ้น ด้วยการพัฒนาประกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยรูปแบบประกันภัยทั้ง แบบ “การประกันรถเปิดปิด” และ “แบบรายปี” ที่ให้ความคุ้มครเต็มรูปแบบครบทุกกรณี ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้เอาประกัน พร้อม ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก รวมถึงความสูญเสียจากรถหาย, ไฟไหม้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นได้ทำการพัฒนาโดยใช้นวัตกรรม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มการทำประกัน และทุกขณะของการเป็นผู้เอาประกันของบริษัท ขณะที่กลุ่ม Non-Motor บริษัทฯ เตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยส่วนบุคคล อาทิ ประกันโรคร้ายแรง และประกันสุขภาพ Active Healthในรูปแบบต่างๆ พร้อมขยายไปในตลาดในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดหัวเมืองใหญ่ และจังหวัดพื้นที่เพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญ เนื่องจากเป็นตลาดที่ยังมีโอกาสขยายตัวได้ดี จากแนวโน้มปริมาณและราคาผลผลิตสินค้าทางการเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นตามตลาดโลก ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนในพื้นที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะชูจุดเด่นด้านบริการที่สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย เพิ่มความคุ้มครอง ขยายสิทธิประโยชน์ ครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตเฉพาะบุคคลได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น พร้อมขยายเครือข่ายโรงพยาบาลในทุกภูมิภาคให้ครอบคลุมพื้นที่ให้มากสุด นายจีรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายช่องทางการขาย ทั้งกลุ่ม Motor และ Non-Motor ให้ครอบคลุมมากขึ้น อาทิ นายหน้าในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ และสถาบันการเงิน เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงการประกันภัย และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภค ไปพร้อมๆกับการยกระดับภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัยของไทยให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ควบคู่ไปกับการมองหาโอกาสผนึกความร่วมมือพันธมิตรใหม่ ๆ ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน InsurTech ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง “ปี 2566 ยังเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายรอบด้าน ทั้งในและต่างประเทศ ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งแรกของปีที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ดังนั้นเรายังต้องระมัดระวัง เดินเกมอย่าง Conservative บริหารจัดการความเสี่ยงอย่างดีที่สุด เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคง” นายจีรพันธ์ กล่าว
บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ กางแผนธุรกิจปี 2566 ปักหมุดเบี้ยรับรวมโตทะลุ 8,000 ล้านบาท ชูยุทธศาสตร์ “องค์กรด้านประกันภัยแห่งนวัตกรรม” เดินหน้าพัฒนาประกันภัยส่วนบุคคลตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ นอกจากการประกันภัยรถยนต์ แบบเปิดปิด ที่เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในตลาดประกันภัยรถยนต์แล้ว ยังเตรียมส่ง “ประกันสุขภาพ Active Health รูปแบบใหม่ ๆ” “ประกันโรคร้าย” พร้อมขยายฐานลูกค้าในทุกภูมิภาค หลังแนวโน้มกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้น อานิสงส์ราคาพืชผลเกษตรพุ่งตามความต้องการของตลาดโลก พร้อมลุยเจรจาเพิ่มช่องทางจำหน่าย-ขยายเครือข่ายโรงพยาบาลทั่วทุกภูมิภาค
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53434
Retail
แคมเปญ OREO X BLACKPINK มาพร้อมแพ็คคเกจจิ้ง 4 สาว Blackpink เตรียมเปิดตัวในปี พ.ศ. 2566 ในประเทศใดบ้าง
null
บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านขนมและของว่างระดับโลก ได้เปิดตัวแคมเปญ “OREO X BLACKPINK” มาพร้อมแพ็คคเกจจิ้ง รับการคัมแบ็คสุดยิ่งใหญ่ของ 4 สาว โดยได้เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้ บลิงค์ชาวไทย และอีก 6 ประเทศในเอเชียได้ร่วมกิจกรรมในปี 2566 สำหรับแคมเปญ OREO x BLACKPINK นับเป็นความร่วมมือครั้งใหญ่ที่สุดของ “โอรีโอ และ แบล็กพิงค์” ในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการนำกลยุทธ์การตลาดที่ทางแบรนด์โอรีโอหยิบวัฒนธรรมด้านดนตรีมาจุดประกาย สร้างความสัมพันธ์ และความสนุกนานให้แก่ผู้บริโภค โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเติบโตอย่างรวดเร็วของดนตรี Kpop ได้แผ่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมเอเชียสู่สายตาชาวโลก ซึ่งวงแบล็กพิงค์ถือเป็นวง Kpop ระดับแนวหน้าและเป็นหนึ่งในไอคอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุค จึงกลายมาเป็นที่มาของการตั้งใจสร้างช่วงเวลาแห่งความสนุก ให้แก่ทั้งแฟนๆของ โอรีโอ และ แบล็กพิงค์ หลายล้านคนให้ได้ให้ได้รับประสบการณ์พิเศษ โดยทางแบรนด์ตั้งใจว่าแคมเปญ OREO X BLACKPINK จะนำไปสู่การสร้างปรากฎการณ์พันธมิตรระดับโลก ในปี 2566 ยกระดับประสบการณ์การกินของว่างด้วยผลิตภัณฑ์โอรีโอแบล็กพิงค์ รุ่นลิมิเต็ด พร้อมของสะสมพิเศษ และกิจกรรมแบบจัดเต็ม ทั่วภูมิภาคเอเชีย ชวนแฟน ๆ ของโอรีโอ และเหล่าสาวก K-Pop โดยแคมเปญ OREO x BLACKPINK จะเปิดตัวในแต่ละประเทศอย่างต่อเนื่อง ไล่เรียงมาตั้งแต่ - อินโดนีเซีย จะเปิดตัวในเดือน ธันวาคม 2022 - ฟิลิปปินส์ และไทย เปิดตัวในเดือน มกราคม 2023 - มาเลเซีย,สิงคโปร์,เวียดนาม และเกาหลีใต้ เปิดตัวในเดือน กุมภาพันธ์ 2023 ผ่านผลิตภัณฑ์ 2 รุ่น ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสาวๆ วง BLACKPINK ที่แตกต่างกัน สำหรับในประเทศไทยจะมีวางจำหน่ายที่ร้านค้าปลีกและช่องทางอีคอมเมิร์ซ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2565 นี้ ไปจนถึงปี 2566 เท่านั้น สาวกของ BLACKPINK เตรียมสะสมไอเท็มสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อแคมเปญนี้โดยเฉพาะ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53437
Retail
ไนกี้ เปิดตัวสาขาซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมมอบประการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ ดำเนินงานโดยหน่วยงานใด
ไนกี้ เปิดตัวสาขาใหม่ล่าสุดซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมมอบประการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ ดำเนินงานโดยวาลิรัม (Valiram) ผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกสินค้าลักซูรี่และสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำในเอเชีย ภายใต้ขนาดที่กว้างขวางถึง 1,030.25 ตารางเมตร ไนกี้ตั้งใจนำเสนอประสบการณ์ที่“ยกระดับ”เพื่อตอบโจทย์ความต้องการแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นบริการผู้ช่วยสไตล์ลิ่งแบบส่วนตัว กิจกรรมพิเศษสำหรับสมาชิกไนกี้ ไปจนถึงประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ออกแบบมาโดยให้ความสำคัญกับสมาชิกทุกคนในครอบครัว การออกแบบร้านสาขาใหม่ล่าสุดแห่งนี้มุ่งให้มีพื้นที่หลากหลาย ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์และทุกความต้องการของสมาชิก ซึ่งจะสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานนวัตกรรมค้าปลีกทั้งโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์เข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ ไนกี้ตั้งใจนำเสนอประสบการณ์ในร้านเพื่อตอบโจทย์ความต้องการแบบ 360 องศา เริ่มจากบริการให้คำแนะนำในการเลือกซื้อสินค้าแบบส่วนตัวผ่านสไตลิสต์ที่สามารถช่วยแมทช์ไอเทมอันหลากหลายให้ตรงความต้องการและโอกาสในการใช้งาน ของลูกค้าแต่ละคนที่แตกต่างกัน ประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าสำหรับกลุ่มลุกค้าครอบครัวเป็นสิ่งที่ไนกี้ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน ดังนั้นที่นี่จึงมีสินค้าครบครันสำหรับทุกคนในครอบครัว เห็นได้ผ่านการจัดประเภทสินค้าที่ครอบคลุมสินค้าเด็กและสินค้าสำหรับสตรีมีครรภ์ นอกจากนี้ไนกี้ยังเตรียมโซนกิจกรรมสำหรับพัฒนาทักษะเด็กไว้ให้คุณหนูๆ เพลิดเพลินระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่กำลังเลือกซื้อสินค้าอีกด้วย “ไนกี้ เซ็นทรัลเวิลด์ คือศูนย์รวมของกีฬา วัฒนธรรม สไตล์ และพลังของคนรุ่นใหม่” คุณธารันทีป สิงห์ (Tarundeep Singh) ผู้อำนวยการอาวุโสไนกี้สโตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียกล่าว “ร้านได้ถูกออกแบบใหม่อย่างชาญฉลาดและละเอียดถี่ถ้วนในทุกรายละเอียด เพื่อนำเสนอนวัตกรรมใหม่ด้านกีฬาให้แก่ผู้ที่หลงใหลได้อย่างดีที่สุด อีกทั้งยังออกแบบโดยคำนึงถึงลูกค้าผู้หญิงมากขึ้น พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าตัวน้อยๆ เข้ามามีช่วงเวลาสนุกในร้าน ถือเป็นการมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งให้ลูกค้าแบบครบวงจร” คุณมูเคช วาลิรัม (Mukesh Valiram) ผู้อำนวยการบริหารวาลิรัม กรุ๊ป ผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกแบรนด์สินค้าลักซูรี่และสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, กลุ่มประเทศและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างเราและไนกี้ในประเทศไทยนั้นแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เราได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเราเป็นผู้นำในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียอย่างแท้จริง ผ่านการนำแนวคิดร้านแบบใหม่ในมุมอื่นของโลกมาสู่ทั้ง 9 ตลาดที่เราดำเนินการ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น แนวคิดล่าสุดที่เราตั้งใจนำเสนอที่นี่คือ ‘Nike Rise’ ร้านที่รวมไว้ทั้งประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยแต่และโดดเด่นกว่าที่อื่น เพราะที่นี่มีทั้ง Sports Hub ที่ลูกค้าสามารถมารับหรือนำสินค้าที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์มาคืนได้ ที่นี่เป็นเป็นสาขาในไทยที่มีไลน์สินค้าบราและเลกกิ้งครบครันมากที่สุด เรายังคงมุ่งมั่นในการลงทุนกับธุรกิจรีเทลเพื่อรังสรรค์บรรยากาศการช้อปปิ้งระดับสากลให้กับลูกค้า พร้อมมอบประสบการณ์ในร้านที่เหนือชั้นกว่าที่ใด” นอกจากประสบการณ์เหนือระดับ ไนกี้สาขาใหม่นี้ยังมีสินค้าครบครันมากที่สุด ทั้งรองเท้าวิ่งรุ่นท็อปและใหม่ที่สุดทั้ง Alphafly และ Vaporfly รองเท้าคู่โปรดของนักกีฬาชื่อดังอย่าง Shelly Ann Fraser Price, Mo Farah และ Eliud Kipchoge รวมถึง Nike Sportswear รุ่นหายากเช่น Nike Dunk low และ Air Jordan ส่วนขาสตรีทแวร์เองก็ไม่ควรพลาดเพราะที่นี่ถือเป็นแห่งแรกที่จะมี Nike SB วางขาย สำหรับสมาชิก สามารถพบกิจกรรมพิเศษมากมายทั้งคลาสออกกำลังกายซึ่งออกแบบมาผ่านการจับคู่กับสินค้าภายในร้าน พร้อมทั้งโควต้าพิเศษสำหรับการเข้าถึงสินค้าใหม่และสินค้าหายากก่อนใคร โดยสมาชิกสามารถติดตามทุกความเคลื่อนไหวได้ผ่านทาง Nike App และ IAM247 membership ไนกี้เซ็นทรัลเวิลด์พร้อมแล้วที่จะเป็นจุดหมายใหม่ด้านกีฬาให้แก่ทุกคน สร้างนิยามใหม่ของจิตวิญญาณสายสปอร์ต รวมไปถึงตอบรับความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าในทุกเพศทุกวัย โดยร้านตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โซนเซ็นทรัลคอร์ท
ไนกี้ เปิดตัวสาขาซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมมอบประการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ ดำเนินงานโดยวาลิรัม (Valiram) ผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกสินค้าลักซูรี่และสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำในเอเชีย ภายใต้ขนาดที่กว้างขวางถึง 1,030.25 ตารางเมตร ไนกี้ตั้งใจนำเสนอประสบการณ์ที่ยกระดับ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นบริการผู้ช่วยสไตล์ลิ่งแบบส่วนตัว กิจกรรมพิเศษสำหรับสมาชิกไนกี้ ไปจนถึงประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ออกแบบมาโดยให้ความสำคัญกับสมาชิกทุกคนในครอบครัว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53444
Retail
อะไรคือกลยุทธ์สำคัญสำหรับ GON EXPRESS ในการขยายสาขา Kiosk Model ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล?
null
กลยุทธ์สำคัญสำหรับ GON EXPRESS ในการขยายสาขา Kiosk Model ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล มีดังนี้: 1. เน้นความสะดวกรวดเร็ว: พัฒนาระบบสั่งอาหารและชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือ QR Code เพื่อลดระยะเวลาการรอคิว นำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลาย เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง เน้นเมนูทานง่าย พกพาสะดวก จัดเตรียมอาหารล่วงหน้าสำหรับเมนูยอดนิยม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง 2. เพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดึงดูดใจ: ออกแบบ Kiosk Model ให้ใช้งานง่าย สะดวก และทันสมัย นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น หน้าจอสัมผัส ระบบ AI สำหรับการสั่งอาหาร จัดโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านช่องทางออนไลน์ 3. มุ่งเน้นการสร้าง Brand Awareness: โฆษณาประชาสัมพันธ์ GON EXPRESS Kiosk Model ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ จัดกิจกรรม Influencer Marketing เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สนับสนุนกิจกรรม CSR เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ 4. วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: เก็บข้อมูลการสั่งซื้อ พฤติกรรมการใช้งาน และความพึงพอใจของลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาเมนูอาหาร โปรโมชั่น และบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า 5. รักษาคุณภาพและมาตรฐาน: ควบคุมคุณภาพอาหาร รสชาติ และความสะอาดอย่างเคร่งครัด รักษามาตรฐานการบริการให้ดีเยี่ยม สม่ำเสมอ พัฒนาระบบการตรวจสอบและติดตามความพึงพอใจของลูกค้า ตัวอย่างเพิ่มเติม: นำเสนอเมนูพิเศษเฉพาะสำหรับ Kiosk Model เพื่อดึงดูดลูกค้า พัฒนาระบบสมาชิกเพื่อสะสมแต้มและรับสิทธิพิเศษ จัดบริการ Delivery รวดเร็ว ตรงเวลา มอบประสบการณ์ Personalization ให้กับลูกค้า เช่น การเลือกส่วนผสม ระดับความเผ็ด โดยสรุป: GON EXPRESS Kiosk Model ต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล เน้นความสะดวกรวดเร็ว ประสบการณ์การใช้งานที่ดี และสร้าง Brand Awareness ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพและมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและนำเสนอบริการที่ตรงกับความต้องการ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการขยายสาขา Kiosk Model ของ GON EXPRESS
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53467
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การช้อปปิ้งที่ดี ไม่ได้หมายถึงแค่การซื้อของ แต่มันคือประสบการณ์ที่ดี
null
แสงสะท้อนจากแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ริมน้ำเจ้าพระยา แสงแดดระยิบระยับสะท้อนจากผืนน้ำ กระทบกับตึกสูงระฟ้าอย่างไอคอนสยาม แลนด์มาร์คระดับโลก ด้านในศูนย์การค้า เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่ละคนต่างมีจุดหมายปลายทางแตกต่างกันไป หนึ่งในนั้นคือ นลิน สาวออฟฟิศผู้รักการช้อปปิ้ง เธอเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญในที่ทำงาน มุ่งหน้ามาไอคอนสยามเพื่อผ่อนคลายและเติมเต็มความสุขให้กับตัวเอง นลินจอดรถ BMW คู่ใจไว้ที่ชั้น UG บริเวณโซน BMW Exclusive Parking ที่จอดรถพิเศษสำหรับลูกค้า BMW โดยเฉพาะ เธอรู้สึกประทับใจกับบริการนี้ เพราะช่วยให้เธอหาที่จอดรถได้สะดวกและรวดเร็ว หลังจากจอดรถเสร็จ นลินก็เดินเข้าไปในศูนย์การค้า บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยความหรูหรา แบรนด์เนมชั้นนำเรียงรายอยู่สองข้างทาง กลิ่นหอมจากร้านอาหารลอยมาแตะจมูก เสียงเพลงบรรเลงสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย นลินเดินผ่านร้านต่างๆ สายตาจับจ้องไปที่สินค้ามากมาย เธอเลือกซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งจนลืมเวลา ระหว่างนั้น ท้องของเธอก็เริ่มร้อง เธอตัดสินใจไปหาอะไรทานที่ชั้นอาหาร ร้านอาหารหลากหลายประเภทมีให้เลือกมากมาย นลินเลือกร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียง สั่งอาหารจานโปรดมานั่งทาน หลังจากทานอาหารเสร็จ นลินก็เดินเล่นต่อ เธอแวะเข้าร้านหนังสือเพื่อหาหนังสือเล่มใหม่มาอ่าน และไปร้านกาแฟเพื่อจิบกาแฟยามบ่าย ในขณะที่นั่งจิบกาแฟ นลินมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม แสงแดดอ่อนๆ สะท้อนบนผิวน้ำ บรรยากาศช่างร่มรื่น เธอนึกถึงคำพูดของ อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เกี่ยวกับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด นลินรู้สึกประทับใจที่ไอคอนสยามให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เธอคิดว่า เธอเองก็สามารถมีส่วนร่วมในการลดมลพิษได้ โดยการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และสนับสนุนธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นลินรู้สึกดีใจที่ได้มาไอคอนสยาม ที่นี่ไม่ใช่แค่ศูนย์การค้า แต่เป็นสถานที่ที่เธอสามารถผ่อนคลาย ช้อปปิ้ง ทานอาหาร และเรียนรู้เกี่ยวกับพลังงานสะอาด เธอคิดว่า เธอจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53471
Retail
ในปี 2564 สุกี้ตี๋น้อย มีรายได้กี่ล้านบาท
หลังมีกระแสข่าวว่ากลุ่มเจมาร์ท (JMART) สนใจลงทุนธุรกิจอาหารและกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับ “สุกี้ตี๋น้อย” ซึ่งเป็นธุรกิจที่ก่อตั้งโดย คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจวนิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เป็นธุรกิจที่เพิ่งก่อตั้งในปี 2562 ปัจจุบันมีกว่า 40 สาขา ในปี 2564 ทำรายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท ล่าสุดมีความชัดเจนของดีลนี้ เมื่อคุณเฟิร์น นัทธมน เจ้าของร้านสุกี้ตี๋น้อย มาร่วมงานเปิดตัวแคมเปญสื่อสารการตลาดของกลุ่มเจมาร์ท ภายใต้วิสัยทัศน์ “Technology Investment Holding Company” ประกาศภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ด้วยแนวคิดขับเคลื่อนธุรกิจด้วย “ใจ” โดยขึ้นเวทีร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรธุรกิจกับกลุ่มเจมาร์ท คุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART บอกว่าปี 2565-2566 วางเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 3-4 ราย ในธุรกิจค้าปลีก ไฟแนนซ์ และเทคโนโลยี สัดส่วนการถือหุ้นอย่างน้อย 10% หนึ่งในธุรกิจที่จะประกาศร่วมทุนในเดือนพฤศจิกายนนี้คือ ธุรกิจอาหาร โดยเจมาร์ท จะเข้าไปช่วยเสริมศักยภาพด้านเงินทุนและเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดการเติบโตร่วมกัน ความสนใจลงทุนในธุรกิจอาหาร เพราะเป็นตลาดแมสที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก (customer base) ที่จะทำให้มีดาต้ามาต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ได้ สำหรับดีลธุรกิจต่างๆ ที่กลุ่มเจมาร์ทจะเข้าไปลงทุนร่วมกับพันธมิตรจะมีมูลค่าการลงทุนมีตั้งแต่ ต่ำพันล้านบาทและมากกว่าพันล้านบาท ในปี 2566 เตรียมงบประมาณลงทุน รวมทั้งดีล M&A จำนวน 20,000-30,000 ล้านบาท ธุรกิจที่เข้าไปร่วมลงทุนเป็นธุรกิจที่มีกำไรอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้กลุ่มเจมาร์ทแข็งแกร่งมากขึ้น คุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา สรุปดีลร่วมทุน “สุกี้ตี๋น้อย” คืบหน้า 95% แม้กลุ่มเจมาร์ท ยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการในขณะนี้ แต่มีความชัดเจนว่าดีลขยายธุรกิจอาหารที่จะประกาศในเดือนพฤศจิกายนนี้ มีความคืบหน้าแล้ว 95% โดยเป็นการเข้าไปถือหุ้น ในบริษัทบี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจร้าน “สุกี้ตี๋น้อย” ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยสัดส่วนการถือหุ้นได้ แต่เจ้าของเดิม (คุณเฟิร์น นัทธมน) ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหารธุรกิจสุกี้ตี๋น้อยต่อไป กลุ่มเจมาร์ท สนใจธุรกิจอาหารตลาดแมส การเข้าไปร่วมถือหุ้นต้องการให้ “เจ้าของธุรกิจเดิม” ยังเป็นคนบริหารต่อไป เพราะเจมาร์ท ไม่ได้ถนัดทุกธุรกิจ แต่จะเน้นใช้ศักยภาพของกลุ่มทั้งด้านเงินทุน และเทคโนโลยี เข้าไปช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตเร็วขึ้น คุณเอกชัย สุขุมวิทยา “เราไม่เริ่มอะไรจากศูนย์ มีหลายธุรกิจมาเสนอขายหุ้นให้ แต่หากผู้บริหารเดิมไม่อยู่บริหารต่อก็ไม่ซื้อเช่นกัน” คุณเอกชัย สุขุมวิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าว แผนการขยายธุรกิจ Food & Beverage (F&B) ที่กลุ่มเจมาร์ทสนใจ คือเป็นแบรนด์ที่คนไทยพัฒนาเอง ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของจะดูการเงินเป็นหลัก อาจยังไม่ได้วางระบบหลังบ้านตั้งแต่ต้น เจมาร์ทจะเข้าไปช่วยในจุดนี้ได้ ตั้งแต่วางระบบหลังบ้านทั้งหมด การเงิน บัญชี HR เป็นการแชร์ทรัพยากรร่วมกัน ทำให้ต้นทุนการบริหารต่ำลง รวมทั้งสนับสนุนเงินทุนและเทคโนโลยี เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาว ปัจจุบันกลุ่มเจมาร์ทมีธุรกิจ F&B ร้านกาแฟแบรนด์ “คาซ่า ลาแปง” (Casa Lapin) และ White Café ในอนาคตเมื่อมีพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ F&B มากขึ้น ก็มีอำนาจต่อรองการเช่าพื้นที่ขยายสาขาแบรนด์ต่างๆ ในเครือได้ ทำให้ต้นทุนการเช่าที่ลดลง ที่ผ่านมาร้านสุกี้ตี๋น้อย มีการขยายสาขาในคอมมูนิตี้มอลล์ของ “เจเอเอส แอสเสท” ภายใต้แบรนด์ The Jas รวมทั้งคอมมูนิตี้ของกลุ่มพันธมิตรอยู่แล้ว ถือเป็น “แม่เหล็ก” ดึงลูกค้าให้ธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเจมาร์ท ปัจจุบันร้านสุกี้ตี๋น้อย มีจำนวน 40 สาขา ปี 2566 จะเปิดอีก 50 สาขา วางแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อขยายธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ใหม่และขยายสาขาในต่างประเทศ จุดเด่นของสุกี้ตี๋น้อย คือเป็นร้านสุกี้บุพเฟ่ต์ ราคา 219 บาท (เดิมราคา 199 บาท) เป็นราคาที่ทุกกลุ่มจับต้องได้ จึงมีลูกค้าจำนวนมาก อีกจุดขายคือเปิดให้บริการตั้งแต่ 12.00-05.00 น. ตามดูรายได้ “สุกี้ตี๋น้อย” บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด – ปี 2562 รายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท – ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท – ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจวนิช เจ้าของร้านสุกี้ตี๋น้อย ร่วมงานเปิดตัวแคมเปญสื่อสารการตลาดของกลุ่มเจมาร์ท ภายใต้วิสัยทัศน์ Technology Investment Holding Company
ในปี 2564 สุกี้ตี๋น้อย ของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด มีรายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53473
Retail
ทรูมันนี่ เปิดตัว ‘เพย์ เน็กซ์ (Pay Next) เงินติดมือ’ วงเงินใช้ก่อน จ่ายทีหลัง ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเครดิตวงเงินเพื่อจับจ่ายสินค้าและบริการได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชันใด
ทรูมันนี่ ผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์และผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัว ‘เพย์ เน็กซ์ (Pay Next) เงินติดมือ’ วงเงินใช้ก่อน จ่ายทีหลัง ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเครดิตวงเงินเพื่อจับจ่ายสินค้าและบริการได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท หวังเพิ่มความคล่องตัวในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาล่าสุดเพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์และบริการ Pay Next เงินติดมือ ในระดับแมส สำหรับ Pay Next เงินติดมือ คือวงเงินใช้ก่อนจ่ายทีหลัง สำหรับซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันแบบที่ไม่ต้องออกเงินสดไปก่อน ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงวงเงินเพื่อใช้จ่ายได้ง่ายๆ ผ่านแอป ทรูมันนี่ วอลเล็ท สมัครง่าย ไม่ต้องยื่นเอกสารใดๆ รู้ผลอนุมัติใน 5 นาที ให้วงเงินสูงสุดถึง 10,000 บาท โดยเมื่อสมัครและอนุมัติแล้วสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที ไม่มีดอกเบี้ยหากชำระภายในกรอบเวลาที่กำหนด หรือเลือกผ่อนได้สูงสุดถึง 5 เดือน คุณธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “จากการสำรวจลูกค้าก่อนหน้านี้ทำให้เราพบว่า ผู้บริโภคยุคใหม่จำนวนมากมองผลิตภัณฑ์การเงินประเภทใช้ก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later) เป็นเครดิตทางการเงินที่ช่วยให้พวกเขาสามารถใช้จ่ายได้สะดวกสบายและจัดการเรื่องเงินได้ง่าย ๆ เพราะไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสดออกไปก่อน จาก insights นี้ เราจึงได้พัฒนา ‘Pay Next เงินติดมือ’ วงเงินใช้ก่อน จ่ายทีหลัง โดยทยอยให้ลูกค้าทดลองใช้ในช่วงที่ผ่านมา จนมาถึงการเปิดตัวบริการอย่างเป็นทางการสำหรับลูกค้าทั่วประเทศในวันนี้ พร้อมกับภาพยนตร์โฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ Pay Next ในระดับแมส” คุณมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวเสริมว่า “ความโดดเด่นหนึ่งของ ทรูมันนี่ วอลเล็ท คือเราได้ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการใช้จ่ายที่หลากหลายและตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน ทำให้ลูกค้าทรูมันนี่สามารถใช้วงเงิน Pay Next ใช้จ่ายได้ทั้งในแบบออนไลน์เพื่อตอบรับดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นจ่ายบิล เติมเน็ต จ่ายซื้อแอป-ซื้อเกม ช้อปออนไลน์ หรือสมัครดูหนังฟังเพลง ก็สามารถทำได้ เพราะทรูมันนี่ให้บริการจ่ายออนไลน์ที่รวมถึงผู้ให้บริการแพลตฟอร์มชั้นนำระดับโลก หรือลูกค้าอยากใช้ Pay Next เพื่อออกไปซื้อสินค้าและบริการก็สามารถจ่ายได้ ผ่านจุดรับชำระออฟไลน์ที่ครอบคลุมร้านค้าชั้นนำและร้านค้ารายย่อยมากกว่า 200,000 จุดทั่วประเทศ ทั้งร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ร้านค้าชั้นนำและร้านค้ารายย่อยทั่วไป เป็นต้น” คุณมนสินี นาคปนันท์ และคุณธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด “นอกจากนี้ การมีวงเงิน Pay Next ติดไว้ยังช่วยเสริมความคล่องตัวในการใช้จ่ายผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ทให้กับลูกค้า เพราะไม่ต้องเสียเวลาเติมเงินเวลาเงินหมด สามารถจ่ายจากวงเงิน Pay Next ได้เลย ถือเป็นตัวช่วยในการบริหารเงินของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง” คุณมนสินี กล่าว ทั้งนี้ นับจากได้เริ่มทยอยให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้บริการ Pay Next ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน มีลูกค้าทรูมันนี่สมัคร Pay Next แล้วมากกว่า 2 ล้านราย โดยการสำรวจกลุ่มตัวอย่างของผู้ใช้ยังพบว่ากว่า 94% มีความพึงพอใจกับบริการ เพราะมองว่าตอบโจทย์การใช้จ่ายที่ช่วยให้ไม่ต้องออกเงินตัวเองไปก่อน สะดวกเพราะไม่ต้องคอยเติมเงินเข้าวอลเล็ท และสามารถรวมยอดใช้จ่ายเพื่อชำระทีเดียวตอนปลายเดือนได้ เป็นต้น นอกเหนือจากบริการ Pay Next เงินติดมือแล้ว ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์ Pay Next ยังมีอีกหนึ่งบริการบน ทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่ชื่อว่า ‘เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า (Pay Next Extra) วงเงินสะดวกใช้ผ่อนสบาย* สำหรับใช้ผ่อนชำระสินค้าและบริการจากร้านค้าพาร์ทเนอร์ที่ร่วมรายการ โดยให้วงเงินเพื่อใช้ซื้อสินค้าสูงถึง 50,000 บาท ผ่อนสบายนานสูงสุด 36 เดือน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิตก็สามารถผ่อนชำระสินค้าได้ เพียงดาวน์โหลดแอปทรูมันนี่ วอลเล็ท และแสดงบัตรประชาชนและเอกสารแสดงรายได้เพื่อสมัคร ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการกว่า 5,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ทั้งร้านค้าปลีก ร้านสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสมาร์ทโฟน ร้านทองและเครื่องประดับ คลินิกความงามและสุขภาพ ฯลฯ โดยทรูมันนี่ ตั้งเป้าขยายบริการ Pay Next Extra ให้ครอบคลุม 7,000 ร้านค้าในปีนี้ สำหรับลูกค้าที่สนใจมี “Pay Next เงินติดมือ” วงเงินใช้ก่อนจ่ายทีหลัง ติดไว้เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้จ่าย เพียงดาวน์โหลดแอป ทรูมันนี่ วอลเล็ท และกดเลือกไอคอน Pay Next เงินติดมือที่อยู่หน้าแรก จากนั้นให้กรอกข้อมูลการติดต่อให้ครบถ้วน และกดยอมรับเงื่อนไขการให้บริการก็จะเสร็จสิ้นการสมัคร เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ลูกค้าจะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่านข้อความในแอปภายใน 5 นาที และเมื่อต้องการชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่าน Pay Next ก็เพียงคลิกเปลี่ยนวิธีการจ่ายเป็น “เพย์ เน็กซ์ ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง” เพื่อใช้จ่ายได้ทันที สำหรับผู้ที่สนใจ ‘Pay Next เงินติดมือ’ วงเงินใช้ก่อน จ่ายทีหลัง สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงร้านค้าหรือจุดรับชำระด้วย Pay Next ได้ที่ ส่วนลูกค้าทรูมันนี่ ที่สมัครและใช้จ่าย “Pay Next เงินติดมือ” ครั้งแรก ณ ร้านค้า บริการที่ร่วมรายการ รับเงินคืน 100% สูงสุด 50 บาท (กดรับสิทธิ์ก่อนชำระเงิน จำกัด 1 คน ต่อ 1 สิทธิ์) ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม ศกนี้ ดูรายละเอียดโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่
ทรูมันนี่ ผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์และผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัว ‘เพย์ เน็กซ์ (Pay Next) เงินติดมือ’ วงเงินใช้ก่อน จ่ายทีหลัง ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเครดิตวงเงินเพื่อจับจ่ายสินค้าและบริการได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท หวังเพิ่มความคล่องตัวในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์และบริการ Pay Next เงินติดมือ ในระดับแมส
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53500
Retail
ดองกิมีกลยุทธ์อย่างไร ในการขยายฐานลูกค้าในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนไทย
null
ดองกิมีกลยุทธ์ดังต่อไปนี้ ในการขยายฐานลูกค้าในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนไทย: 1. นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของคนไทย: ศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าของคนไทย นำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท เน้นสินค้าอาหารญี่ปุ่น ของใช้ในบ้าน และสินค้าออร์แกนิค พัฒนาสินค้า Private Label ภายใต้แบรนด์ Donki ที่เหมาะกับรสนิยมคนไทย 2. เจาะกลุ่มลูกค้าในต่างพื้นที่: ขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด โดยเริ่มจากศรีราชา เลือกทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ปรับรูปแบบร้านให้เหมาะกับขนาดพื้นที่ และความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ 3. พัฒนาระบบออนไลน์: เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ พัฒนาแอปพลิเคชั่น Donki เพื่ออำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้า นำเสนอบริการ Delivery ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 4. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง: รักษาเอกลักษณ์ของดองกิ ในเรื่องความหลากหลายของสินค้า ราคาที่ย่อมเยา และบริการที่ประทับใจ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าคนไทย พัฒนาบริการใหม่ ๆ เช่น บริการรับฝากของ บริการช้อปปิ้งส่วนตัว 5. มุ่งเน้นการสร้าง Brand Awareness: โฆษณาประชาสัมพันธ์แบรนด์ดองกิ ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ จัดกิจกรรม Influencer Marketing เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สนับสนุนกิจกรรม CSR เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ ตัวอย่างเพิ่มเติม: นำเสนอสินค้าอาหารไทย และสินค้าท้องถิ่น จัดกิจกรรม Workshop สอนทำอาหารญี่ปุ่น จัดกิจกรรม Meet & Greet กับดาราและ KOL โดยสรุป: ดองกิสามารถขยายฐานลูกค้าในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนไทย ได้โดยนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ เจาะกลุ่มลูกค้าในต่างพื้นที่ พัฒนาระบบออนไลน์ สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง และมุ่งเน้นการสร้าง Brand Awareness แนวทางเพิ่มเติม: ศึกษาเทรนด์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในธุรกิจค้าปลีก พัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของลูกค้า การขยายฐานลูกค้าในประเทศไทย จะช่วยให้ดองกิสามารถเติบโตในธุรกิจค้าปลีกของไทย และสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53534
Retail
งเสนอไอเดีย สยามพิวรรธน์ ตั้งเป้า “ขยะเป็นศูนย์” โดยใช้กลยุทธ์ใด
null
ทุกวันนี้การดําเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นเรื่องที่หลายองค์กรให้ความสำคัญมากพอๆ กับการเติบโตของธุรกิจ และทุกครั้งที่วางแผนกลยุทธ์การตลาด ก็มักจะบรรจุนโยบายและทิศทางความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรไว้เสมอ เช่นเดียวกับ สยามพิวรรธน์ (Siam Piwat) สยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหารโครงการระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ มีนโยบายและแนวปฏิบัติในเรื่องการดูแลรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทุกๆ พื้นที่ที่ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจ และยังตั้งเป้าสู่การเป็นองค์กรต้นแบบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกรายแรก ที่พร้อมเดินหน้าผลักดัน “องค์กรขยะเป็นศูนย์” กับการจัดการขยะได้แบบ 360 องศา เพื่อที่จะสร้างความสมดุลด้านสิ่งแวดล้อมและแก้ไขปัญหาการจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ล่าสุด ได้ต่อยอดบริการ Recycle Collection Center หรือ จุดรับวัสดุบรรจุภัณฑ์สะอาดที่ไม่ใช้แล้วแบบไดร์ฟทรู (Drive-Thru) แห่งแรกในประเทศไทย โดยการมอบสิทธิประโยชน์ในรูปแบบ VIZ Coins สำหรับลูกค้า เพื่อต่อยอดความสำเร็จของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของสยามพิวรรธน์ ภายใต้โครงการ “Siam Piwat 360° Waste Journey to Zero Waste” ที่คำนึงถึงการจัดการขยะแบบครบวงจรตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) แล้ว และยังถือเป็นการยกระดับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมขององค์กร ในโอกาสที่ดำเนินโครงการ Recycle Collection Center มาครบ 1 ปี จากที่เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรม นางสาวนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ ประธานบริหารสายงานปฎิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “ตั้งแต่เปิดให้บริการ Recycle Collection Center หรือ จุดรับวัสดุบรรจุภัณฑ์สะอาดที่ไม่ใช้แล้ว แบบไดร์ฟทรู (Drive-Thru) แห่งแรกในประเทศไทย ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนรักษ์โลกจำนวนมากซึ่งมีแนวคิดกับการจัดการขยะที่มีความสอดคล้องกับแนวทางของสยามพิวรรธน์ ที่เห็นถึงความสำคัญของกระบวนการคัดแยกขยะที่เป็นระบบและครบวงจรทั้งห่วงโซ่ ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ที่ทุกคนสามารถเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับสังคมและโลกใบนี้” โดยปีนี้สยามพิวรรธน์ จัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นความสนใจในกระแสรักษ์โลกอย่างต่อเนื่องโดยลูกค้าที่นำขยะมาฝากไว้กับสยามพิวรรธน์ สามารถแลกเปลี่ยนเป็น VIZ coins ผ่าน ONESIAM Application เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ สยามพิวรรธน์ยังมุ่งหวังว่า เรื่องที่สำคัญที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม คือ การลดปริมาณขยะ และการคัดแยกขยะ นำขยะมารีไซเคิลต่อเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า เห็นคุณค่าของขยะ และสร้างค่านิยมให้กับสังคมไทยในการคัดแยกขยะก่อนทิ้งกันมากขึ้นกว่าเดิม บริการ Recycle Collection Center ไม่ใช่แค่เปิดพื้นที่ ตั้งจุดรับขยะเหมือนที่ทำกันทั่วไป แต่เป็นการเพิ่มมูลค่าขยะในมือของลูกค้ากลับคืนเป็น VIZ Coins ผ่าน ONESIAM Application นอกจากจะทำให้ลูกค้ารู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมคัดแยกขยะก่อนทิ้ง และช่วยลดปริมาณขยะด้วยตนเองแล้ว ยังเห็นมูลค่าของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ที่สามารถนำ VIZ Coins ไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ยิ่งตอกย้ำมิติของคำว่า “หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่” อย่างมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น สำหรับวิธีการคำนวณ VIZ Coins จะคิดตามมูลค่าน้ำหนักจริงของขยะที่ทำความสะอาด และคัดแยกแล้วจากที่บ้าน โดยลูกค้าจะได้รับ VIZ Coins หลังจากการสแกนคิวอาร์โค้ดที่บริเวณจุดรับขยะ บริเวณลานจอดรถทัวร์ (ด้านหลังสยามพารากอน) ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.30 – 17.00 น.โดยเกณฑ์การให้ VIZ Coins จะแยกตามประเภทและน้ำหนัก ต่อ 1 กิโลกรัม เริ่มต้นที่ 1 VIZ Coin สำหรับกล่อง ซองพลาสติก และแก้ว โดยจะได้ 3 VIZ Coins สำหรับกระดาษ 5 VIZ Coins สำหรับขวดพลาสติก และสูงสุดที่อลูมิเนียมรับ 30 VIZ Coins สามารถนำขยะมาแลกเป็น VIZ Coins ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ธ.ค. 2565 นอกจากการเปลี่ยนขยะในมือลูกค้าให้กลายเป็น VIZ Coins สะสมกลับคืนไปใช้แลกสิทธิประโยชน์แล้ว สิ่งที่ Recycle Collection Center ทำภายใต้โครงการ “Siam Piwat 360° Waste Journey to Zero Waste” นั้น ยังคำนึงถึงกระบวนการทั้งระบบและครบวงจรทั้งห่วงโซ่ โดยขยะที่ลูกค้าฝาก จะถูกส่งต่อไปรีไซเคิลเป็นวัตถุดิบ นำมาเข้าสู่กระบวนการอัพไซคลิ่งเพิ่มมูลค่า โดยส่วนหนึ่งยังกลับมาวางจำหน่ายบนพื้นที่สำหรับสินค้ารักษ์โลก “อีโค่โทเปีย” (ECOTOPIA) ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ด้วยนั่นเอง แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ก็เป็นหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่ช่วยส่งต่อความสุขให้กับโลก และเพิ่มความเพลิดเพลินในการชอปปิงของลูกค้าด้วยหัวใจที่พองโต
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53542
Retail
เอ็นทีที เดต้า พลิกโฉมการจำหน่ายรถยนต์และสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้าอย่างไร ?
บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้เครือบริษัท เอ็นทีที เดต้า คอร์ปอเรชัน จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจดิจิทัลและบริการด้านไอทีเปิดเทรนด์ Digital Transformation หลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย เผยแนวโน้มข้อมูลจาก Statista พบทั่วโลกมุ่งลงทุน Digital Transformation เพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2568 พร้อมส่ง 4 บริการเสริมศักยภาพองค์กรไทย ยกเคสพลิกประสบการณ์ลูกค้าให้บริษัทจำหน่ายรถยนต์ด้วยดิจิทัล นายฮิโรนาริ โทมิโอกะ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เดิมการผลักดันองค์กรไปสู่ Digital Transformation เน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อปรับองค์กรให้สามารถแข่งขันในตลาด แต่การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทำให้องค์กรต้องเร่งสปีดตัวเองอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้กระบวนการทำงานมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น บุคลากรเหนื่อยล้าจากความผันผวน ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่ายขึ้น เอ็นทีที เดต้า เล็งเห็นว่ากุญแจสำคัญของการทำ Digital Transformation ต่อจากนี้ไป องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยจะมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนขึ้นในการเลือกสรรเทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจ และระบบนิเวศ (ecosystem) ขององค์กร ตลอดจนการขยาย Ecosystem เพื่อเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจ มุ่งสร้างความยืดหยุ่นในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลงทุน Digital Transformation เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากสถิติของ Statista คาดการณ์ว่า องค์กรทั่วโลกจะมีการลงทุนด้าน Digital Transformation เพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีการลงทุน 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สอดคล้องกับการคาดการณ์การเติบโตของ Digital Transformation ในภูมิภาค APAC จากรายงาน “Asia Pacific Digital Transformation Market to 2025” ที่พบว่าตลาด Digital Transformation ในภูมิภาค APAC มีมูลค่า 138.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2560 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 825.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 จากรายงาน The Big Pivot ที่จัดทำโดย เอ็นทีที เดต้า ที่สำรวจผู้บริหาร 500 คน จากกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน (Financial Services), ประกันภัย (Insurance), การผลิต (Manufacturing), รวมถึงในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้สะท้อนให้เห็นเทรนด์ของการก้าวสู่ Digital Transformation สำหรับองค์กร ดังนี้ 52% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่าผลักดัน Digital Transformation เพื่อเน้นการเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร 35% ของกลุ่มการเงินและประกันภัยบอกว่า รายได้ขององค์กรเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน 48% ของกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต บอกว่าการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยการทำงาน ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 52% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่าผลักดัน Digital Transformation เพื่อเน้นการเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร 35% ของกลุ่มการเงินและประกันภัยบอกว่า รายได้ขององค์กรเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน 48% ของกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต บอกว่าการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยการทำงาน ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี เอ็นทีที เดต้า มี 4 บริการสำหรับสนับสนุนผลักดันองค์กรสู่ Digital Transformation อย่างแท้จริงให้กับหลากหลายธุรกิจ ได้แก่ การเงินการธนาคาร อุตสาหกรรมรถยนต์และการผลิต ประกันภัย และธุรกิจค้าปลีก เพื่อให้องค์กรสร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและขยาย Ecosystem ในการเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ Digital Strategy & Transformation Roadmap ช่วยเสริมศักยภาพ ด้วยการวางแผน กลยุทธ์ และสร้าง Roadmap Business Transformation ช่วยออกแบบ Business Model เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการทั้งหมดจะไม่จำกัดศักยภาพการทำงานของทรัพยากรและเครื่องมือที่มีคุณภาพ Operation Transformation เป็นการเตรียมระบบ Ecosystem เพื่อรองรับระบบอัตโนมัติสำหรับลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การออกแบบ การติดตั้ง ทดสอบระบบ สร้างมาตรฐานในการทำงาน ช่วยลดค่าใช้จ่าย ระยะเวลา และความผิดพลาดในการดำเนินงาน เพิ่มผลกำไร และสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ Digital Operation Support บริการให้คำปรึกษาและการสนับสนุน ช่วยให้ลูกค้ามีความคล่องตัว สร้างมาตรฐานในกระบวนการทำงาน เข้าถึงข้อมูลเชิงลึก และเพิ่มศักยภาพให้กับทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งยังหมดห่วงกับความเสี่ยงและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น Digital Strategy & Transformation Roadmap ช่วยเสริมศักยภาพ ด้วยการวางแผน กลยุทธ์ และสร้าง Roadmap Business Transformation ช่วยออกแบบ Business Model เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการทั้งหมดจะไม่จำกัดศักยภาพการทำงานของทรัพยากรและเครื่องมือที่มีคุณภาพ Operation Transformation เป็นการเตรียมระบบ Ecosystem เพื่อรองรับระบบอัตโนมัติสำหรับลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การออกแบบ การติดตั้ง ทดสอบระบบ สร้างมาตรฐานในการทำงาน ช่วยลดค่าใช้จ่าย ระยะเวลา และความผิดพลาดในการดำเนินงาน เพิ่มผลกำไร และสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ Digital Operation Support บริการให้คำปรึกษาและการสนับสนุน ช่วยให้ลูกค้ามีความคล่องตัว สร้างมาตรฐานในกระบวนการทำงาน เข้าถึงข้อมูลเชิงลึก และเพิ่มศักยภาพให้กับทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งยังหมดห่วงกับความเสี่ยงและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ เอ็นทีที เดต้า ได้พลิกโฉมในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าให้กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ชั้นนำ จากวิกฤตโควิด-19 ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 2 ปี ส่งผลให้ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ประสบปัญหาการเข้าถึงลูกค้าในรูปแบบเดิม จึงมองหาเทคโนโลยีมาขยายช่องทางการขาย และสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า เอ็นทีที เดต้า ได้ทำการตรวจสอบระบบการทำงานเดิม เพื่อวางแผนปรับปรุงระบบ รวมถึงการดึงข้อมูลมาใช้อย่างมีคุณภาพ เพื่อวางกลยุทธ์พัฒนาช่องทางการเข้าถึงลูกค้า และการพัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดบนแอปพลิเคชัน เพื่อการประมวลข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล หรือ Data-driven Organization รวมถึงการบูรณาการระบบ Content Management Systems (CMS), Marketing Automation Systems และ Customer Relationship Management (CRM) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริงด้วยการเข้าเยี่ยมชมโชว์รูมผ่านระบบดิจิทัล ช่วยให้พนักงานขายสามารถส่งข้อมูล สร้างโปรโมชั่นได้ตามโพรไฟล์ของลูกค้า สามารถเพิ่มอัตราการคลิกเข้าสู่ช่องทางบริษัทสูงขึ้น 13% ช่วยลดต้นทุนทางการตลาด 30% ที่สำคัญเป็นการบูรณาการเทคโนโลยีมาช่วยสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างพนักงานขายและลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุควิกฤต
เอ็นทีที เดต้า ได้พลิกโฉมในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าให้กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ชั้นนำ จากวิกฤตโควิด-19 ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 2 ปี ส่งผลให้ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ประสบปัญหาการเข้าถึงลูกค้าในรูปแบบเดิม จึงมองหาเทคโนโลยีมาขยายช่องทางการขาย และสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า เอ็นทีที เดต้า ได้ทำการตรวจสอบระบบการทำงานเดิม เพื่อวางแผนปรับปรุงระบบ รวมถึงการดึงข้อมูลมาใช้อย่างมีคุณภาพ เพื่อวางกลยุทธ์พัฒนาช่องทางการเข้าถึงลูกค้า และการพัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดบนแอปพลิเคชัน เพื่อการประมวลข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล หรือ Data-driven Organization รวมถึงการบูรณาการระบบ Content Management Systems (CMS), Marketing Automation Systems และ Customer Relationship Management (CRM) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริงด้วยการเข้าเยี่ยมชมโชว์รูมผ่านระบบดิจิทัล ช่วยให้พนักงานขายสามารถส่งข้อมูล สร้างโปรโมชั่นได้ตามโพรไฟล์ของลูกค้า สามารถเพิ่มอัตราการคลิกเข้าสู่ช่องทางบริษัทสูงขึ้น 13% ช่วยลดต้นทุนทางการตลาด 30% ที่สำคัญเป็นการบูรณาการเทคโนโลยีมาช่วยสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างพนักงานขายและลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุควิกฤต
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53543
Retail
ชื่อของ Toys “R” Us เริ่มกลับมาอยู่บนหน้าสื่อของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2021 ทาง WHP Global เจ้าของใหม่ ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า Toys “R” Us จะกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในห้างใด
หลังจากยื่นขอล้มละลายไปเมื่อปี 2018 ล่าสุด Toys “R” Us แบรนด์ของเล่นขวัญใจเด็ก ๆ ก็ได้ฤกษ์หวนคืนสมรภูมิค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ โดยทางค่ายเตรียมเปิดตัวแบบปูพรมในห้าง Macy’s กว่า 400 สาขา ด้านห้าง Macy’s ก็ตอบรับกับการจับมือดังกล่าวด้วยการโชว์ยอดขายสินค้าหมวดของเล่นว่าเติบโตขึ้น 15 เท่าในไตรมาส 1 ด้วยเช่นกัน สำหรับกิจการของ Toys “R” Us ในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า เป็นชื่อที่สร้างความใจหายให้พ่อแม่ผู้ปกครอง รวมถึงเด็ก ๆ ในสหรัฐอเมริกาพอสมควรกับการยื่นแผนล้มละลายเมื่อปี 2017 – 2018 และมีการขายกิจการบางส่วนในตลาดเอเชีย แอฟริกา สหภาพยุโรป และแคนาดาออกไป ส่วนในตลาดสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลียนั้น ทาง Toys “R” Us ได้ทยอยปิดตัวร้านสาขาทั้งหมด ขณะที่ร้านค้าออนไลน์ของ Toys “R” Us ก็ถูกเปลี่ยนมือไปมาหลายรอบ โดยมีชื่อของแบรนด์ดังในธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาจำนวนมากเข้ามารับหน้าที่ดูแลต่อ เช่น ห้าง Target หรือแม้แต่ทาง Amazon ก็เคยดูแลด้วยเช่นกัน การปิดตัวของ Toys “R” Us ในปี 2018 ชื่อของ Toys “R” Us เริ่มกลับมาอยู่บนหน้าสื่อของสหรัฐอเมริกาอีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2021 เมื่อทาง WHP Global เจ้าของใหม่ ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า Toys “R” Us จะกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในห้าง Macy’s กว่า 400 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกา โดยพื้นที่ของร้านใหม่นั้น จะมีขนาดราว 1,000 ตารางฟุต (สำหรับร้านในห้างขนาดเล็ก) แต่ถ้าเป็นเฟล็กชิปสโตร์ เช่น สาขาในแอตแลนต้า, ชิคาโก้, ฮูสตัน, ลอสแองเจลลิส, ไมอามี่, นิวยอร์ก, ซานฟรานซิสโก แล้ว หน้าร้าน Toys “R” Us จะมีขนาดใหญ่แตะ 10,000 ตารางฟุตเลยทีเดียว ซึ่งทาง WHP Global บอกด้วยว่า จะมีกิจกรรมสร้างประสบการณ์ให้เด็ก ๆ รู้สึกสนุกสนานเมื่อเข้ามาในร้านด้วย เช่น มีมุมแนะนำของเล่นใหม่ ฯลฯ เป็นต้น จับกลุ่มคุณแม่ยุคมิลเลนเนียล กลยุทธ์การดึง Toys “R” Us เข้าห้างของ Macy’s ยังถูกมองว่าส่งผลดีต่อตัวห้าง เนื่องจากมีการสำรวจพบว่า คุณแม่ยุคมิลเลนเนียลที่เข้ามาเดินห้างเพื่อซื้อของเล่นให้ลูกนั้น ไม่ได้กลับบ้านกับของเล่นเด็กอย่างเดียว แต่พวกเธอมีแนวโน้มจะซื้อเครื่องสำอาง หรือเครื่องใช้ภายในบ้านอื่น ๆ กลับไปด้วยนั่นเอง นอกจากนี้ การประกาศผลประกอบการของห้าง Macy’s เมื่อไตรมาส 1 ของปี 2022 ยังพบการเติบโตในยอดขายสินค้าหมวดของเล่นถึง 15 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่จะมีการจับมือเป็นพันธมิตรกับ Toys “R” Us ด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ห้าง Macy’s เองก็เจอความท้าทายในธุรกิจค้าปลีกไม่ต่างกัน เพราะมีรายงานว่า ยอดขายบางส่วนถูกห้างอย่าง Target และ Walmart แย่งชิงไป การมีสินค้าหมวดของเล่นเข้ามาทำให้ผลประกอบการน่าสนใจขึ้นก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ การจับมือกันยังทำให้ห้าง Macy’s ได้สิทธิดูแลร้านค้าออนไลน์ของ Toys “R” Us ด้วย แม้ว่าการล้มละลายของ Toys “R” Us อาจไม่กระทบกับตลาดในเอเชียมากนัก แต่สำหรับเด็ก ๆ ในสหรัฐอเมริกาที่ได้เห็นร้านของเล่นที่ตัวเองคุ้นเคยต้องปิดตัวไปก็คงเป็นความทรงจำที่แย่พอสมควร และนั่นอาจทำให้วันที่พวกเขาได้เห็นว่าร้านในความทรงจำกลับมาเปิดตัวใหม่ น่าจะเป็นความรู้สึกที่ดี และห้าง Macy’s อาจกำลังได้รับอานิสงส์จากการจับมือครั้งนี้ไปอย่างไม่รู้ตัวก็เป็นได้
ชื่อของ Toys “R” Us เริ่มกลับมาอยู่บนหน้าสื่อของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2021 ทาง WHP Global เจ้าของใหม่ ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า Toys “R” Us จะกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในห้าง Macy’s กว่า 400 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกา โดยพื้นที่ของร้านใหม่นั้น จะมีขนาดราว 1,000 ตารางฟุต (สำหรับร้านในห้างขนาดเล็ก) แต่ถ้าเป็นเฟล็กชิปสโตร์ เช่น สาขาในแอตแลนต้า, ชิคาโก้, ฮูสตัน, ลอสแองเจลลิส, ไมอามี่, นิวยอร์ก, ซานฟรานซิสโก แล้ว หน้าร้าน Toys “R” Us จะมีขนาดใหญ่แตะ 10,000 ตารางฟุตเลยทีเดียว ซึ่งทาง WHP Global บอกด้วยว่า จะมีกิจกรรมสร้างประสบการณ์ให้เด็ก ๆ รู้สึกสนุกสนานเมื่อเข้ามาในร้านด้วย เช่น มีมุมแนะนำของเล่นใหม่ ฯลฯ เป็นต้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53552
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การให้ความสำคัญกับพนักงานและสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและความสุขของพนักงาน
null
แสงสว่างแห่งอนาคต: เรื่องราวจากรางวัลอันทรงเกียรติ ท่ามกลางแสงไฟยามราตรีอันเจิดจรัสของกรุงเทพมหานคร หญิงสาวนามว่า "มาลี" พนักงานขายในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน กำลังเก็บกวาดร้านเตรียมตัวปิดทำการ ใบหน้าของเธอเปื้อนยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหนัก แต่เธอก็รู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ เมื่อไม่นานมานี้ สยามพิวรรธน์ได้รับรางวัล "Corporate Excellence Award" และ "Inspiration Brand Award" จากเวที Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2022 รางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นเลิศในการบริหารงานและสร้างการเติบโตทางธุรกิจของสยามพิวรรธน์ มาลีรู้สึกทึ่งกับความสำเร็จขององค์กร เธอเริ่มทำงานที่นี่เมื่อ 5 ปีก่อน ในช่วงแรกเธอรู้สึกกังวล กลัวว่าจะปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรและงานที่ท้าทายไม่ได้ แต่ด้วยการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน เธอสามารถพัฒนาตนเองและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อยู่เสมอ "ที่นี่ให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคน" มาลีคิด "พวกเขาสนับสนุนให้เราพัฒนาศักยภาพ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และทำงานอย่างมีความสุข" สยามพิวรรธน์มุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า พนักงาน และชุมชน องค์กรให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และสร้างสรรค์นวัตกรรมอยู่เสมอ มาลีรู้สึกประทับใจกับวิสัยทัศน์ขององค์กร เธอเห็นภาพอนาคตที่สดใสของสยามพิวรรธน์ องค์กรจะเติบโตต่อไปและสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนมากมาย "ฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสยามพิวรรธน์" มาลีคิด "ที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ที่มีเป้าหมายร่วมกัน" รางวัล APEA 2022 เป็นเหมือนแสงสว่างนำทางให้กับสยามพิวรรธน์ องค์กรจะเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า มอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53572
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง"เครื่องดื่มสร้างคุณค่า กับการก้าวสู่ตลาดโลกด้วย SAPPE แบรนด์ไทย"
null
เพื่อให้ SAPPE แบรนด์เครื่องดื่มสัญชาติไทยเข้าถึงตลาดโลกและมุ่งสู่เป้าหมาย "หมื่นล้าน" ในระยะเวลา 5 ปี จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวตามสภาพการตลาดโลกให้แก่ผล ดังนี้: 1. การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ - พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดโลก โดยใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย เช่น ผลไม้ที่มีชื่อเสียง เช่น มะม่วง ลำไย ที่นำมาผสมกับเครื่องดื่ม เพื่อสร้างความพิเศษและความหลากหลายทางรสชาติที่ไม่เจอในผลิตภัณฑ์อื่นๆ บนตลาด 2. การสร้างแบรนด์และการตลาด - การสร้างแบรนด์ที่มีความเชื่อมั่นและความเข้าใจในมูลค่าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยการสร้างภาพลักษณ์ที่ยั่งยืนและมีความทันสมัยในตลาดโลก รวมถึงการใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการสร้างความติดตามและการสร้างความติดต่อกับลูกค้า 3. การขยายตลาดและการทำธุรกิจระหว่างประเทศ - การเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการบริโภคผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม โดยการสร้างพันธมิตรกับผู้ค้าปลีกและผู้จัดจำหน่ายในต่างประเทศ เพื่อส่งออกผลิตภัณฑ์และให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพในตลาดต่างประเทศ ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ SAPPE สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้อย่างเรียบง่ายและมีความน่าเชื่อถือในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ มุ่งสู่เป้าหมาย "หมื่นล้าน" ในเวลา 5 ปีข้างหน้าได้อย่างเป็นไปได้
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53587
Retail
สำหรับการเติบโตของ AIS Business ในปี 2022 นั้น คุณธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS เผยว่าจะมาจาก 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่อะไรบ้าง
AIS Business พร้อมโตต่อในปี 2022 ล่าสุด เปิด 5 กลยุทธ์หลักที่จะเน้นหนักมากขึ้นในปีนี้ ได้แก่ การนำเครือข่าย 5G มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจ, การสร้าง Intelligent Network, การสร้าง Digital Infrastructure และแพลตฟอร์ม, การเป็นผู้ใช้ Data และการสร้างทีมงานที่มีความเป็นมืออาชีพ การพร้อมเล่าเคสการนำ 5G ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก, โรงงานอุตสาหกรรม, โลจิสติกส์, ภาคการเกษตร และสถานพยาบาลอัจฉริยะ ก่อนจะไปถึงในส่วนกลยุทธ์ อาจต้องย้อนกลับไปดูผลประกอบการของ AIS Business ในปี 2021 ก่อน โดยพบว่า AIS Business มีรายได้อยู่ที่ 5,291 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2020 กว่า 16% และคิดเป็น 10 – 12% ของรายได้ทั้งหมด แต่นอกเหนือจากรายได้ที่เติบโตขึ้นแล้ว ในปี 2021 ที่ผ่านมา AIS Business ยังมีเคสที่น่าสนใจในการทำงานร่วมกับภาคธุรกิจต่าง ๆ ถึง 5 เคสมานำเสนอด้วย ได้แก่ การนำ 5G ไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจของ The Mall Group เพื่อช่วยให้ประสบการณ์ในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคดีขึ้น หรือกรณีของบริษัท Yawata ที่เดิมเคยต้องลากเส้นให้หุ่นยนต์ในโรงงานอุตสาหกรรมวิ่งตามเส้น ซึ่งถ้าหากจะเปลี่ยนเส้นทางก็ต้องรื้อแล้วตีเส้นใหม่ แต่เมื่อนำเทคโนโลยี 5G ไปปรับใช้ ก็ทำให้สามารถสั่งการหุ่นยนต์ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องวิ่งตามเส้นอีกต่อไป PIC 07 นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS นอกจากนี้ ยังมีการทำงานร่วมกับบริษัทด้านประกันภัยอย่าง TQM พัฒนาแพลตฟอร์มด้านโลจิสติกส์ที่อิงตามพฤติกรรมการขับรถของลูกค้า และคิดเบี้ยประกันภัยได้แบบ Personalized ซึ่งจะทำให้การคิดเบี้ยประกันทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีทราบว่าลูกค้าเป็นคนที่ขับรถในระยะที่ไม่ไกลนัก ค่าเบี้ยอาจไม่ต้องแพงมาก แต่ถ้าลูกค้าเป็นกลุ่มที่ขับรถขึ้นเหนือล่องใต้ ค่าเบี้ยประกันก็อาจต้องปรับให้เหมาะสม เป็นต้น ส่วนอีกสองเคสเป็นการทำงานกับโรงพยาบาลวิมุติ เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม Smart Health สำหรับช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของโรงพยาบาลได้ผ่านแอปพลิเคชัน และเคสสุดท้าย คือการทำงานกับ Kubota เพื่อพัฒนาไปสู่เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) เปิด 5 กลยุทธ์สร้างการเติบโต Pic 05 AIS Business กางแผน 2022 สำหรับการเติบโตของ AIS Business ในปี 2022 นั้น คุณธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS เผยว่าจะมาจาก 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การนำ 5G Ecosystem มาสร้างการเติบโตให้กับภาคธุรกิจ ในจุดนี้คุณธนพงษ์เผยว่า เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้มีตั้งแต่ Private Network, Multi-access EDGE Computing (MEC), Vertical Solutions, Fixed Wireless Access และ Network Slicing มาให้บริการ โดยตัวอย่างการใช้ Network Slicing ที่เป็นการจัดลำดับความสำคัญในการใช้แบนด์วิธให้กับเน็ตเวิร์กได้ ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจสามารถใช้งานแบนด์วิธได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้นยังจะเน้นไปที่โซลูชันด้าน AR, VR และการใช้ Data จากอุปกรณ์ IoT ร่วมด้วย และเมื่อพูดถึงในแง่ของการครอบคลุม ผู้บริหารเอไอเอสเผยว่า ปัจจุบัน เอไอเอสมีสถานีฐาน 5G แล้วทั้งสิ้น 19,000 สถานีฐาน ครอบคลุมพื้นที่ 76% ทั่วประเทศ และตั้งเป้าจะขยายให้เป็น 85% ในปีนี้ โดยพื้นที่ที่ 5G ของเอไอเอส ครอบคลุมสูงสุดคือ กรุงเทพมหานคร 99% รองลงมาคือ EEC 90% ปั้นโครงข่ายสู่ Intelligent Network เอไอเอสเผยว่า จะมุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการเชื่อมต่อที่ครบวงจรทั้งเครือข่ายใยแก้วนำแสง และเครือข่ายไร้สายสำหรับลูกค้าองค์กร ด้วยการมี Gateway ที่สามารถเชื่อมต่อทั้งแบนด์วิธในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทีมงานที่เชี่ยวชาญ โดยปัจจุบัน เอไอเอสมีเครือข่ายไฟเบอร์ออปติกทั่วประเทศเป็นระยะทาง 1.6 แสนกิโลเมตร และมีแบนด์วิธระดับ International ที่ส่งผ่านข้อมูลได้มากกว่า 2.75 Tbps การสร้าง Digital Infrastructure และแพลตฟอร์ม ในจุดนี้ คุณธนพงษ์ยกตัวอย่างแพลตฟอร์มที่บริษัทมี ได้แก่ AIS IoT, AIS Business Cloud, AIS Cyber Secure และ AIS Business Network โดยมีการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกด้วย การนำ Data มาช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ข้อนี้คุณธนพงษ์เผยว่า ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก และที่ผ่านมามีการร่วมมือกับหลายภาคส่วน เช่น ททท. ที่มีการใช้ Data จากเอไอเอสในการศึกษาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวว่าเดินทางไปที่ไหนบ้าง และมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง หรือการร่วมมือกับ Plan B ในการใช้ Data เพื่อประเมินทราฟฟิกการผู้คนที่ผ่านไปมาบริเวณที่ติดตั้งป้ายโฆษณา เพื่อให้ Plan B สามารถตั้งราคาค่าโฆษณาของป้ายได้อย่าง Dynamic มากขึ้น การพัฒนาทีมงานมืออาชีพ ข้อสุดท้ายเป็นการสร้างทีมงานมืออาชีพที่สามารถส่งมอบบริการในสายงาน ICT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณธนพงษ์เผยว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มในสายงานคลาวด์, IoT และ CyberSecurity เพิ่มอีกมากกว่า 100 ตำแหน่ง รวมถึงการมี ซีเอส ล็อกซอินโฟ หรือ CSL เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ทำให้ AIS Business สามารถให้บริการได้ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ประเมิน ติดตั้ง บริหารโครงการ และบริการหลังการขายได้นั่นเอง
1. การนำ 5G Ecosystem มาสร้างการเติบโตให้กับภาคธุรกิจ ในจุดนี้คุณธนพงษ์เผยว่า เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้มีตั้งแต่ Private Network, Multi-access EDGE Computing (MEC), Vertical Solutions, Fixed Wireless Access และ Network Slicing มาให้บริการ โดยตัวอย่างการใช้ Network Slicing ที่เป็นการจัดลำดับความสำคัญในการใช้แบนด์วิธให้กับเน็ตเวิร์กได้ ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจสามารถใช้งานแบนด์วิธได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้นยังจะเน้นไปที่โซลูชันด้าน AR, VR และการใช้ Data จากอุปกรณ์ IoT ร่วมด้วย และเมื่อพูดถึงในแง่ของการครอบคลุม ผู้บริหารเอไอเอสเผยว่า ปัจจุบัน เอไอเอสมีสถานีฐาน 5G แล้วทั้งสิ้น 19,000 สถานีฐาน ครอบคลุมพื้นที่ 76% ทั่วประเทศ และตั้งเป้าจะขยายให้เป็น 85% ในปีนี้ โดยพื้นที่ที่ 5G ของเอไอเอส ครอบคลุมสูงสุดคือ กรุงเทพมหานคร 99% รองลงมาคือ EEC 90% 2. ปั้นโครงข่ายสู่ Intelligent Network เอไอเอสเผยว่า จะมุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการเชื่อมต่อที่ครบวงจรทั้งเครือข่ายใยแก้วนำแสง และเครือข่ายไร้สายสำหรับลูกค้าองค์กร ด้วยการมี Gateway ที่สามารถเชื่อมต่อทั้งแบนด์วิธในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทีมงานที่เชี่ยวชาญ โดยปัจจุบัน เอไอเอสมีเครือข่ายไฟเบอร์ออปติกทั่วประเทศเป็นระยะทาง 1.6 แสนกิโลเมตร และมีแบนด์วิธระดับ International ที่ส่งผ่านข้อมูลได้มากกว่า 2.75 Tbps 3. การสร้าง Digital Infrastructure และแพลตฟอร์ม ในจุดนี้ คุณธนพงษ์ยกตัวอย่างแพลตฟอร์มที่บริษัทมี ได้แก่ AIS IoT, AIS Business Cloud, AIS Cyber Secure และ AIS Business Network โดยมีการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกด้วย 4. การนำ Data มาช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ข้อนี้คุณธนพงษ์เผยว่า ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก และที่ผ่านมามีการร่วมมือกับหลายภาคส่วน เช่น ททท. ที่มีการใช้ Data จากเอไอเอสในการศึกษาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวว่าเดินทางไปที่ไหนบ้าง และมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง หรือการร่วมมือกับ Plan B ในการใช้ Data เพื่อประเมินทราฟฟิกการผู้คนที่ผ่านไปมาบริเวณที่ติดตั้งป้ายโฆษณา เพื่อให้ Plan B สามารถตั้งราคาค่าโฆษณาของป้ายได้อย่าง Dynamic มากขึ้น 5. การพัฒนาทีมงานมืออาชีพ ข้อสุดท้ายเป็นการสร้างทีมงานมืออาชีพที่สามารถส่งมอบบริการในสายงาน ICT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณธนพงษ์เผยว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มในสายงานคลาวด์, IoT และ CyberSecurity เพิ่มอีกมากกว่า 100 ตำแหน่ง รวมถึงการมี ซีเอส ล็อกซอินโฟ หรือ CSL เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ทำให้ AIS Business สามารถให้บริการได้ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ประเมิน ติดตั้ง บริหารโครงการ และบริการหลังการขายได้นั่นเอง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53600
Retail
เขียนแนวคิดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง"สร้างยุทธศาสตร์การลงทุนอย่างฉลาด: ดีเจดับบลิวเสนอ 'Passion House Investment Experience'"
null
แนวคิด "ดีเจดับบลิว โชว์แนวคิด Smart Investment ส่ง Passion House เติมแรงบันดาลใจให้การลงทุน รองรับการลงทุนหลายธุรกิจแบบผลตอบแทนสูง" สามารถจัดเต็มด้วยเหล่าคำแนะนำและแนวคิดที่ท้าทายและสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับนักลงทุนที่มีความเข้าใจและความสนใจในการลงทุนอย่างสมารถตามได้ทั้งด้านการเงินและความสำเร็จส่วนตัวด้วยความคุ้มค่าและผลตอบแทนที่สูงขึ้น: 1. การแนะนำการลงทุนที่มีความเป็นระบบ : การลงทุนที่ฉลาดควรมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนและการกำหนดเป้าหมายที่เหมาะสม ดีเจดับบลิวสามารถเน้นให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างแผนลงทุนที่มีระบบอย่างมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจและมั่นใจในการตัดสินใจ. 2. การลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูง : ดีเจดับบลิวสามารถชี้นำให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนในทรัพย์สินที่มีศักยภาพในการให้ผลตอบแทนสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ที่มีการเติบโตของตลาดหรือเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมที่มีทิศทางการพัฒนาเป็นเช่นไร. 3. การสร้างพอร์ตการลงทุนที่ดี : ดีเจดับบลิวสามารถแสดงถึงการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลายและสมดุล โดยไม่พึงเพ้อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป โดยการคำนึงถึงการกระจายความเสี่ยงและการรับผลตอบแทนที่สูงต่อการลงทุนแต่ละประเภท. 4. การเน้นทุนในธุรกิจที่เกิดความสนใจและพล็อตเทรนด์ : การลงทุนในธุรกิจที่ตรงกับความสนใจและความชอบส่วนตัวของนักลงทุนสามารถเพิ่มความพอใจและความเข้าใจในการลงทุน ดีเจดับบลิวสามารถชี้นำให้เห็นถึงโอกาสในธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและเกิดความสนใจในตลาด. 5. การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลและการจัดการพอร์ต : ดีเจดับบลิวสามารถช่วยในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลและการจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงในการลงทุน. ผ่านแนวคิดที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และคำแนะนำที่มีประสิทธิภาพ เชื่อว่าดีเจดับบลิวสามารถเป็นแรงบันดาลใจและผู้นำทางที่ดีในการลงทุนให้กับฟังเพลงของ Passion House ที่มุ่งมั่นที่จะเติมเต็มความเสี่ยงและผลตอบแทนให้กับการลงทุนของพวกเขาในวงการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและมีความสำเร็จสูงสุดที่เป็นไปได้.
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53603
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสวยความงามไม่มีเพศ ทุกคนสามารถแต่งหน้าเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพและความมั่นใจได้
null
บทเพลงแห่งสีสันไร้เพศ ณ ร้านเครื่องสำอาง เสียงเพลงป็อปเกาหลีดังก้องไปทั่ว บรรยากาศเต็มไปด้วยสีสันสดใส เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชายและหญิงต่างวัยกำลังเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ความงาม สายตาของ "บิว" หนุ่มน้อยวัย 18 ปี กวาดมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ เขาไม่เคยเข้าร้านเครื่องสำอางมาก่อน ปกติแล้วเขาจะซื้อแค่เจลล้างหน้าและครีมบำรุงผิวจากร้านสะดวกซื้อ แต่วันนี้เพื่อนสนิทของเขา "มายด์" ชวนเขามาซื้อรองพื้นเพื่อใช้ในงานแสดงของโรงเรียน มายด์เดินตรงไปที่ชั้นวางรองพื้นสำหรับผู้หญิง หยิบขวดสีเนื้อขึ้นมา บิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย "รองพื้นผู้หญิงมันใช้กับผู้ชายได้ด้วยเหรอ?" มายด์ยิ้มตอบ "ได้สิ สมัยนี้ผู้ชายก็แต่งหน้ากันเยอะแยะไป มีทั้งบิวตี้บล็อกเกอร์ชาย แดร็กควีน นักแสดง ผู้ชายแต่งหน้าแล้วดูดีนะ" บิวรู้สึกสนใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายก็แต่งหน้าได้ พนักงานขายสาวสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาแนะนำ "สนใจรองพื้นสูตรนี้ไหมคะ เหมาะกับทุกสภาพผิว ปกปิดดี ไม่อุดตันรูขุมขน ที่สำคัญคือเป็นสูตร unisex ผู้ชายก็ใช้ได้ค่ะ" บิวรู้สึกประทับใจ เขาตัดสินใจลองใช้รองพื้นสูตรนั้น มายด์เลือกซื้ออายแชโดว์ ลิปกลอส และบลัชออน บิวมองดูเธออย่างสนใจ เขาเริ่มอยากลองแต่งหน้าบ้าง พนักงานขายแนะนำให้เขาใช้ดินสอเขียนคิ้วและอายไลเนอร์เพื่อเสริมให้ดวงตาดูมีเสน่ห์ บิวตัดสินใจลองซื้อดู เมื่อถึงเคาน์เตอร์ชำระเงิน บิวรู้สึกเขินอาย เขาไม่เคยซื้อเครื่องสำอางมาก่อน มายด์เห็นท่าทางของเขาจึงพูดว่า "ไม่ต้องเขินนะ สมัยนี้ผู้ชายก็แต่งหน้ากันเยอะ ผู้ชายแต่งหน้าแล้วดูดี มั่นใจขึ้นเยอะเลย" บิวรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาจ่ายเงินและเดินออกจากร้านพร้อมกับมายด์ หลังจากนั้น บิวเริ่มลองแต่งหน้าบ้าง เขาฝึกแต่งหน้าจากวิดีโอสอนแต่งหน้าบน Youtube ฝึกเขียนคิ้ว ทาอายไลเนอร์ ทาลิปสติก ตอนแรกเขารู้สึกเคอะเขิน แต่พอเริ่มคุ้นเคย เขารู้สึกสนุกกับมัน เขารู้สึกมั่นใจขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น วันงานแสดงของโรงเรียนมาถึง บิวแต่งหน้าเต็มรูปแบบ เขาดูดี มั่นใจ เพื่อน ๆ ของเขาต่างชมว่าเขาดูดีขึ้นมาก บิวรู้สึกดีใจ เขาไม่คิดว่าการแต่งหน้าจะทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้นขนาดนี้ บิวเริ่มเข้าใจ ว่าความสวยความงามไม่มีเพศ ทุกคนสามารถแต่งหน้าเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพและความมั่นใจได้ ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกชาย หญิง เขาเริ่มมองโลกกว้างขึ้น เปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ และกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น บทเรียนที่บิวได้รับ คือ ความงามไม่มีเพศ ทุกคนสามารถแต่งหน้าเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพและความมั่นใจได้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องกล้าที่จะแสดงออกและเป็นตัวของตัวเอง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53625
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....จงกล้าที่จะฝันและคิดนอกกรอบ
null
จักรวาลไร้ขีดจำกัด: Origin Multiverse กับภารกิจพิทักษ์โลก ณ ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร บนตึกสูงเสียดฟ้า ชายหนุ่มนามว่า "ธันวา" กำลังจ้องมองไปยังทิวทัศน์อันกว้างใหญ่เบื้องล่าง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ธันวาเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ทายาทเพียงคนเดียวของ "ออริจิ้น กรุ๊ป" อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่เพิ่งขยายธุรกิจสู่จักรวาลใหม่ "Origin Multiverse" คือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาลของออริจิ้น กรุ๊ป ธันวาได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจใหม่นี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายและความเสี่ยง เขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่หลากหลาย เช่น โลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ประกันภัย พลังงาน การเงิน ร้านอาหาร และกัญชง ธันวาตัดสินใจเริ่มต้นภารกิจของเขาโดยมุ่งหน้าไปยัง "Origin Retail" หนึ่งในธุรกิจใหม่ของ Origin Multiverse ที่ตั้งอยู่บนชั้นล่างของตึกออริจิ้น "Origin Retail" เปรียบเสมือนจักรวาลย่อมๆ ภายในอาณาจักรออริจิ้น ที่นี่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย แต่ละร้านนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ธันวาเดินสำรวจ Origin Retail ด้วยความตื่นตาตื่นใจ เขาได้พบกับ "พิม" หญิงสาวผู้เปี่ยมด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ พิมเป็นผู้ก่อตั้ง "ร้านต้นไม้ในบ้าน" ร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ธันวาและพิมพูดคุยกันอย่างยาวนานเกี่ยวกับ Origin Retail และธุรกิจใหม่ของ Origin Multiverse พิมเล่าให้ธันวาฟังถึงความฝันของเธอในการสร้างโลกสีเขียวที่ทุกคนสามารถเข้าถึงธรรมชาติได้ ธันวาประทับใจในความมุ่งมั่นของพิมและตัดสินใจสนับสนุนธุรกิจของเธอ ธันวาใช้เวลาหลายวันในการเรียนรู้เกี่ยวกับ Origin Retail เขาได้พบปะผู้ประกอบการมากมาย แต่ละคนมีเรื่องราวและความฝันที่แตกต่างกัน ธันวาเริ่มเข้าใจว่า Origin Multiverse ไม่ได้เป็นเพียงแค่ธุรกิจ แต่มันคือจักรวาลที่เต็มไปด้วยความหวังและโอกาส ธันวาตัดสินใจที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพัฒนา Origin Multiverse เขาต้องการสร้างจักรวาลที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53631
Retail
ในรอบปี พ.ศ. 2564 OR หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ลงทุนในธุรกิจใดบ้าง
null
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)” หรือ “OR” ลงทุน ปี พ.ศ. 2564 ในธุรกิจด้งต่อไปนี้ – ถือหุ้น 20% ใน “บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด” เจ้าของร้านอาหารโอ้กะจู๋ ด้วยเงินลงทุน 500 ล้านบาท โดยต่อยอดให้โอ้กะจู๋ เปิดสาขาใน PTT Station และพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบ Grab & Go เช่น แซนด์วิช วางจำหน่ายในร้าน Café Amazon – ลงทุนใน “Flash Express” ต่อยอดสู่การให้บริการจุดรับส่งพัสดุของ Flash Express ภายในร้าน Café Amazon บางสาขา, ใช้ Distribution Center ร่วมกับ OR และมีแผนต่อยอดธุรกิจรูปแบบ O2O – ร่วมทุนกับ “Bluebik” ตั้งบริษัท “Orbit Digital” มีสัดส่วนการถือหุ้น OR 40% และ Bluebik 60% เพื่อยกระดับขีดความสามารถขององค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่การเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ – เปิตตัวธุรกิจใหม่ “Care4Car” (Care for Car) เพื่อให้บริการ O2O Maintenance ที่เชื่อมต่อกับศูนย์ให้บริการด้านรถยนต์ “Fit Auto” ของ OR โดยลูกค้าสามารถเลือกอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถที่ต้องการ และเลือกวัน-เวลา-สาขาของ Fit Auto ที่สะดวกมาใช้บริการผ่าน Care4Car – ร่วมทุนกับ “BAFS” จัดตั้ง “บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จำกัด” หรือ GAA ให้บริการระบบน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก รองรับการเติบโตของ EEC นอกจากนี้ OR ยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการร่วมทุนครั้งนี้ คือ นำองค์ความรู้ที่ได้จาก Joint Venture ในด้านการให้บริการระบบเติมน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจร ไปต่อยอดลงทุนในต่างประเทศ – ลงทุนในสตาร์ทอัพ ผ่าน 3 ช่องทางคือ ช่องทางที่ 1 จับมือกองทุน 500 Startups หรือ 500 TukTuks ตั้ง “ORZON Ventures” โดย OR ถือหุ้น 99% และ 500 Startups ถือหุ้น 1% เพื่อสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ และเติมเต็ม Business Ecosystem ของ OR ด้วยกองทุนมูลค่า 25 – 50 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับภายใน 5 ปีนี้ ช่องทางที่ 2 ร่วมลงทุนในกองทุน “ฟินโนเวนเจอร์ ไพรเวท อิควิตี้ ทรัสต์ I” ของกรุงศรีฟินโนเวต ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 300 ล้านบาท จากมูลค่ากองทุนขนาด 3,000 ล้านบาท เพื่อแสวงหาสตาร์ทอัพที่จะขยาย OR Ecosystem ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่องทางที่ 3 ตั้งหน่วยงานภายในองค์กร OR ชื่อว่า “ORion” ทำหน้าที่เฟ้นหาสตาร์ทอัพ และนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาของสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทิศทางการสร้างความยั่งยืนของ OR – จับมือกับ “สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” (PMCU) ติดตั้งสถานี “EV Station PluZ” ครอบคลุมทั้งสยามสแควร์ และสามย่าน – ถือหุ้น 25% ใน “บริษัท อิ่มทรัพย์ โกลบอล คูซีน จำกัด” ผู้ให้บริการร้านอาหาร KOUEN เพื่อเติมเต็มพอร์ตฯ ธุรกิจอาหาร โดย synergy ให้ร้าน KOUEN และ ONO Sushi มาเปิดในสถานีบริการ PTT Station โดยในปี 2565 มีแผนขยาย ONO Sushi 10 แห่งใน PTT Station และขยาย KOUEN 6 สาขาใน PTT Station – ถือหุ้น 25% ใน “บริษัท คามุ คามุ จำกัด” ผู้ให้บริการร้าน KAMU KAMU เพื่อเจาะตลาดกลาง – บน ขณะที่อีกแบรนด์ร้านเครื่องดื่มชาของ OR คือ Pearly Tea สำหรับทำตลาด Mass
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53691
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ได้ช่วยแค่ตัวเราเอง แต่ช่วยให้สังคมโดยรวมดีขึ้น
null
รอยยิ้มแห่งคาเฟ่ อเมซอน ณ ร้านคาเฟ่ อเมซอน สาขาหน้ามหาวิทยาลัย บรรยากาศคึกคักไปด้วยเหล่านักศึกษาที่มานั่งอ่านหนังสือ จิบกาแฟ และพูดคุยกัน หนึ่งในนั้นคือ "ฝน" นักศึกษาสาวคณะพาณิชย์ศาสตร์ กำลังนั่งจดสรุปบทเรียนอยู่ ฝนเป็นลูกค้าประจำของคาเฟ่ อเมซอน เธอชอบบรรยากาศที่อบอุ่น พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส และกาแฟที่อร่อย ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ร้านคาเฟ่ อเมซอน ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ยอดขายลดลง ลูกค้าบางตา ฝนรู้สึกใจหายที่เห็นร้านที่เธอรักต้องประสบปัญหา วันหนึ่ง ฝนได้อ่านบทความเกี่ยวกับผลประกอบการของ OR ในไตรมาส 3 บทความนั้นบอกเล่าถึงความท้าทายที่ OR เผชิญ รวมไปถึงมาตรการช่วยเหลือคู่ค้าของ OR หนึ่งในนั้นคือ การลดค่า Royalty fee และ Marketing fee สำหรับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ร้านคาเฟ่ อเมซอน ฝนรู้สึกประทับใจกับ OR มากที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคู่ค้าในยามยาก เธอมองไปรอบๆ ร้าน เห็นรอยยิ้มของพนักงาน เสียงหัวเราะของลูกค้า และความคึกคักของร้าน เธอก็รู้ดีว่า OR ตัดสินใจถูกต้องแล้ว "การช่วยเหลือคู่ค้า ไม่ได้ช่วยแค่ OR เอง แต่ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กอย่างร้านกาแฟอยู่รอดได้ พนักงานมีงานทำ ลูกค้ามีที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ และเศรษฐกิจโดยรวมก็ดีขึ้น" ฝนคิด ฝนรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ OR เธอตั้งปณิธานว่าจะสนับสนุนธุรกิจไทยต่อไป และหวังว่าวันหนึ่งเธอจะสามารถมีธุรกิจของตัวเอง และช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนอย่างที่ OR ทำ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53704
Retail
“สีลมเอจ” เป็นต้นแบบโครงการ Re-development ที่นำอาคารเก่ามาปรับโฉมใหม่เป็นมิกซ์ยูส ด้วยคอนเซ็ปต์ใด
ก. Work Collaboration ข. Work-Life-Blend ค. The new sandbox community in CBD ง. Crypto & Cashless Society จ. Flexible Working
ข้อที่ถูกต้องคือ ค. เพราะว่า เพราะ “สีลมเอจ” ถือเป็นต้นแบบโครงการ Re-development ที่นำอาคารเก่ามาปรับโฉมใหม่เป็นมิกซ์ยูส ด้วยคอนเซ็ปต์ “The new sandbox community in CBD” ตอบโจทย์ความต้องการ New Gen ในยุคดิจิทัล เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัปและแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่มีการเติบโตทางธุรกิจก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา อาคารสีลมเอจ ส่วนพื้นที่สำนักงาน อยู่ที่ชั้น 10-21 ปรับ Facilities และพื้นที่ต่างๆ ให้เหมาะสำหรับสตาร์ทอัปทำงานและใช้ชีวิตได้ 24 ชั่วโมง ด้วยระบบปรับอากาศแยกส่วนในแต่ละพื้นที่เช่า จากศักยภาพของที่ตั้งโครงการที่อยู่หัวมุมถนนสีลม ทำเลทองใจกลาง CBD เชื่อมต่อกับทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT ปัจจุบันไม่มีแลนด์แบงก์มากพอเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ เฟรเซอร์สฯ จึงเข้าลงทุนซื้อทรัพย์สินอาคารสูง 22 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และทำสัญญาเช่าที่ดิน 30 ปี ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสพื้นที่รวม 50,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่เช่าสำนักงาน 12,000 ตารางเมตร และพื้นที่ค้าปลีก 10,000 ตารางเมตร แนวทางการพัฒนาอาคารสำนักงานและรีเทลยุคใหม่ต้องเกาะเทรนด์โลกปัจจุบัน โดยเฉพาะช่วงโควิด จะเห็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เทรนด์หลักๆ ที่เกิดขึ้น เช่น Work-Life-Blend , Flexible Working, Cashless Society, Work Collaboration การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานยุคใหม่จึงต้องผสมผสานเทรนด์ที่เกิดขึ้นด้วย คอนเซ็ปต์มิกซ์ยูสของสีลมเอจ เป็นการเปิดพื้นที่สร้างโอกาสให้ธุรกิจใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ เปลี่ยนภาพลักษณ์ย่านสีลมจาก Wall Street ธุรกิจการเงินในยุคแรก มาเป็น Silicon Valley ยุคใหม่
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53707
Retail
SECOM Group เป็นบริษัทให้บริการทางด้านใด และรายละเอียดของบริษัทเป็นอย่างไร
สำหรับคนทำธุรกิจแล้ว นอกจากความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจด้านต่างๆ เพื่อผลิตและส่งมอบสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งการทำตลาดเพื่อให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักและเติบโต ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ก็คือ การให้ความสำคัญกับการมีระบบรักษาความปลอดภัยที่สามารถเชื่อมั่นและอุ่นใจได้จริง โดยเฉพาะในยามเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน จะต้องสามารถระงับ ยับยั้ง หรือบรรเทาไม่ให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงหรือลุกลามบานปลาย ไม่ต่างกับการฉีดวัคซีนให้กับธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง ภายใต้การมีภูมิคุ้มกันจากความเสี่ยงหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ขณะที่การเลือกฉีดวัคซีนเพื่อสร้างหลักประกันให้แก่สุขภาพของธุรกิจ ก็จำเป็นต้องเลือกแบบที่มีประสิทธิภาพสามารถป้องกันความเสี่ยงและยับยั้งความเสียหายร้ายแรงได้จริง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในความเป็นจริงแล้วหลายๆ ธุรกิจเลือกใช้เพียงแค่การติดตั้งกล้องวงจรปิดในการดูแลความเรียบร้อยโดยทั่วๆ ไปเท่านั้น ซึ่งการมีเพียงแค่กล้องวงจรปิดคงไม่สามารถสร้างความอบอุ่นและปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง เพราะข้อจำกัดของการติดตั้งกล้องวงจรปิดโดยที่ไม่มีการ Monitor อย่างมีประสิทธิภาพ หรือมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจร หรือ Smart Security เสริมเข้าไปด้วยนั้น อาจจะไม่สามารถช่วยยับยั้งหรือแก้ไขความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ทำให้บางครั้งกล้องวงจรปิดที่มีอยู่อาจจะกลายเป็นเพียงแค่เครื่องมือช่วยตรวจสอบหาสาเหตุหรือหลักฐาน ในกรณีที่เกิดความเสียหายร้ายแรงต่างๆ ไปแล้วเท่านั้น อุ่นใจมากกว่าด้วย SECOM Smart Security SECOM Group บริษัทให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น ที่มีเครือข่ายอยู่ใน 14 ประเทศทั่วโลก ทั้งเอเชีย ยุโรป และโอเชียเนีย รวมทั้งยังเป็นผู้ให้บริการด้านระบบรักษาความปลอดภัยที่ต้องส่งมอบความ “อุ่นใจและปลอดภัย” ในสถานที่ให้แก่ลูกค้าอย่างสูงสุด โดยเป็นผู้ดูแลทั้งกลุ่มสนามบิน โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงบ้านพักอาศัยในหลายประเทศ ขณะที่ในประเทศไทยก็มีบริษัทในเครืออย่าง SECOM Thailand ที่ให้บริการด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจร ทั้งให้คำปรึกษา ออกแบบเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งการติดตั้งระบบโดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ ไปจนถึงการรักษาและซ่อมบำรุงระบบ ซึ่งได้ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 34 ปีแล้ว โดยมีศูนย์ให้บริการกระจายอยู่ทั่วประเทศรวม 53 แห่ง SECOM ยังเป็นผู้พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะครบวงจรอย่าง SECOM Smart Security เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ด้านการรักษาความปลอดภัยได้อย่างสูงสุด สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นภาคธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม SME หรือธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยในระดับสูง ไปจนถึงเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาโซลูชั่นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือดั้งเดิม ร้านอาหาร คาเฟ่ รวมทั้งบริษัทสำนักงานทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือแม้แต่ธุรกิจที่มีสาขาจำนวนหลายแห่งที่ต้องดูแล โดยระบบการทำงาน SECOM Smart Security เป็นระบบที่เชื่อมการทำงานของอุปกรณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของ SECOM ที่มีทั้งระบบกล้องวงจรปิด ระบบการทำงานของเซนเซอร์ และระบบ Automations มารวมไว้อยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตาม ควบคุม จัดการ การทำงานของระบบต่างๆ เพื่อบริหารจัดการด้านความปลอดภัยได้อย่างสะดวกด้วยตัวเอง เพราะเป็นการจัดการแบบรวมศูนย์ผ่านแอปพลิเคชันเดียวทำให้ใช้งานได้ง่าย และสามารถเข้าใช้งานได้ทั้งจากโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และ PC จึงสามารถเปิดระบบได้จากทุกที่โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่ร้านหรือบริษัทสำนักงานก่อน รวมทั้งความแตกต่างที่ทำให้ SECOM Smart Security เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูง อยู่ที่การมีบริการเฝ้าระวังความปลอดภัยแบบ 24 ชั่วโมง โดย ศูนย์ควบคุม SECOM ที่คอยทำหน้าที่ติดตามสัญญาณจากอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยต่างๆ และหากพบเหตุการณ์ผิดปกติก็จะทำการส่งสัญญาณเตือนไปที่แอปพลิเคชัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามเหตุการณ์ได้แบบ Realtime แม้จะยังไม่สามารถเข้าไปในร้านหรือบริษัทได้ก็ตาม รวมทั้งยังช่วยประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้ามาช่วยระงับเหตุในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น จึงมั่นใจได้ว่า ระบบ SECOM Smart Security จะช่วยป้องกันและบรรเทาความเสียหายของเหตุการณ์ไม่ให้ลุกลามบานปลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีโซลูชั่นด้านการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างครบถ้วน ในส่วนของอุปกรณ์และระบบการทำงานที่สัมพันธ์กัน จึงไม่ต่างจากการมีผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพมาคอยเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยให้ธุรกิจอยู่ตลอดเวลา Smart Total Solutions ที่ทุกคนเอื้อมถึง นอกจากฟังก์ชั่นในด้านการรักษาความปลอดภัยแล้ว SECOM Smart Security ยังสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพได้อย่างสะดวกมากขึ้น เพราะการทำหน้าที่ของอุปกรณ์ต่างๆ จะมีการบันทึกข้อมูลไว้ทั้งหมด ทำให้ธุรกิจมี Data เพื่อนำไปใช้ในการต่อยอดสำหรับวางแผนและบริหารจัดการธุรกิจไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการเปิด-ปิดร้าน มีการแจ้งเตือนเมื่อร้านไม่ได้เปิดตามกำหนดเวลา ข้อมูลด้านการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทำให้สามารถบริหารจัดการเรื่องต้นทุนด้านพลังงานได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการ Monitor สถานการณ์ต่างๆ ในระหว่างวัน ทำให้สามารถยกระดับคุณภาพการให้บริการหรือประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยรวม รวมไปถึงการบริหารจัดการกำลังคนระหว่างสาขา เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณของผู้เข้ามาใช้บริการในแต่ละแห่ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 สามารถนำระบบเซนเซอร์ และ Automation มาช่วยในการเปิด-ปิด ประตู หรืออุปกรณ์ต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ เพื่อลดความเสี่ยงจากการรับเชื้อผ่านจุดสัมผัสต่างๆ รวมไปถึงการทำระบบการสนทนาโต้ตอบในบางอุปกรณ์ เพื่อให้สามารถใช้ในการติดต่อสื่อสารกันได้แบบเว้นระยะห่าง ที่สำคัญระบบยังสามารถช่วยป้องกันหรือเฝ้าระวังเรื่องของการทุจริต โดยจะมีสัญญาณเตือนเมื่อมีพนักงานหรือบุคคลภายนอกเข้าไปในพื้นที่เฉพาะ เช่น ในส่วนของแคชเชียร์ หรือพื้นที่หวงห้ามต่างๆ ระบบเซนเซอร์ก็จะมีการส่งสัญญาณเตือนผ่านมายังแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มความระมัดระวังได้มากขึ้น รวมไปถึงการใช้ระบบในการเซตพื้นที่ เพื่อแยกระหว่างพื้นที่ในส่วนของการทำงานและพื้นที่ส่วนตัว สำหรับผู้ประกอบการที่เปิดบริษัทหรือสำนักงานในรูปแบบของโฮมออฟฟิศได้ด้วย จะเห็นได้ว่า SECOM Smart Security ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่การดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจรเท่านั้น แต่ยังเหมือนมีระบบ Smart Total Solutions ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมาด้วย ที่สำคัญคือ ทุกธุรกิจสามารถยกระดับทั้งเรื่องของความปลอดภัยและเติมความสมาร์ทให้กับระบบบริหารการจัดการของตัวเองได้ ภายใต้ระดับราคาที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ SME รวมทั้งผู้ประกอบการทั่วๆ ไป ก็สามารถเข้าถึงระบบการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานในระดับสากล เช่นเดียวกับที่ธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างสนามบิน หรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ใช้อยู่ได้ด้วย โดย SECOM มีแพ็กเกจที่ให้บริการตามความเหมาะสมของพื้นที่ และลักษณะการทำงานของแต่ละธุรกิจ ซึ่งมี 3 แพ็กเกจด้วยกัน ประกอบด้วย แพ็กเกจ Smart Video มีค่าบริการรายเดือนในราคา 399 บาท แพ็กเกจ Smart Security Basic กับค่าบริการรายเดือน 999 บาท และ แพ็กเกจ Smart Security Plus พร้อมค่าบริการรายเดือนที่ 1,399 บาท โดยที่ทั้ง 3 แพ็กเกจจะคิดค่าอุปกรณ์และค่าติดตั้งตามจริง ถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างน่าสนใจและมีความคุ้มค่าอย่างมากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพในการทำงานและการเพิ่มระดับความปลอดภัยอย่างสูงสุดให้กับธุรกิจ โดยที่ทางร้านไม่ต้องยุ่งยากในการจัดการดูแลระบบต่างๆ ด้วยตัวเอง แต่จะมีผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะมาคอยดูแล ทำให้มั่นใจและอุ่นใจได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งยังเหมือนได้ผู้ช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจเพิ่มเข้ามาอีกด้วย SECOM ยังมอบความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการ SECOM Smart Security และสามารถแนะนำบริการให้กับผู้ใช้รายใหม่เพิ่มเติมได้ จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นค่าบริการรายเดือนจำนวน 3 เดือน ทั้งในส่วนของลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ด้วย ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับหลายๆ ธุรกิจ ที่จะได้ทดลองสัมผัสถึงศักยภาพของระบบอัจฉริยะนี้ได้ด้วยตัวเอง
SECOM Group บริษัทให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น ที่มีเครือข่ายอยู่ใน 14 ประเทศทั่วโลก ทั้งเอเชีย ยุโรป และโอเชียเนีย รวมทั้งยังเป็นผู้ให้บริการด้านระบบรักษาความปลอดภัยที่ต้องส่งมอบความ “อุ่นใจและปลอดภัย” ในสถานที่ให้แก่ลูกค้าอย่างสูงสุด โดยเป็นผู้ดูแลทั้งกลุ่มสนามบิน โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงบ้านพักอาศัยในหลายประเทศ ขณะที่ในประเทศไทยก็มีบริษัทในเครืออย่าง SECOM Thailand ที่ให้บริการด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจร ทั้งให้คำปรึกษา ออกแบบเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งการติดตั้งระบบโดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ ไปจนถึงการรักษาและซ่อมบำรุงระบบ ซึ่งได้ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 34 ปีแล้ว โดยมีศูนย์ให้บริการกระจายอยู่ทั่วประเทศรวม 53 แห่ง SECOM ยังเป็นผู้พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะครบวงจรอย่าง SECOM Smart Security เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ด้านการรักษาความปลอดภัยได้อย่างสูงสุด สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นภาคธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม SME หรือธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยในระดับสูง ไปจนถึงเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาโซลูชั่นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือดั้งเดิม ร้านอาหาร คาเฟ่ รวมทั้งบริษัทสำนักงานทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือแม้แต่ธุรกิจที่มีสาขาจำนวนหลายแห่งที่ต้องดูแล โดยระบบการทำงาน SECOM Smart Security เป็นระบบที่เชื่อมการทำงานของอุปกรณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของ SECOM ที่มีทั้งระบบกล้องวงจรปิด ระบบการทำงานของเซนเซอร์ และระบบ Automations มารวมไว้อยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตาม ควบคุม จัดการ การทำงานของระบบต่างๆ เพื่อบริหารจัดการด้านความปลอดภัยได้อย่างสะดวกด้วยตัวเอง เพราะเป็นการจัดการแบบรวมศูนย์ผ่านแอปพลิเคชันเดียวทำให้ใช้งานได้ง่าย และสามารถเข้าใช้งานได้ทั้งจากโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และ PC จึงสามารถเปิดระบบได้จากทุกที่โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่ร้านหรือบริษัทสำนักงานก่อน รวมทั้งความแตกต่างที่ทำให้ SECOM Smart Security เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูง อยู่ที่การมีบริการเฝ้าระวังความปลอดภัยแบบ 24 ชั่วโมง โดย ศูนย์ควบคุม SECOM ที่คอยทำหน้าที่ติดตามสัญญาณจากอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยต่างๆ และหากพบเหตุการณ์ผิดปกติก็จะทำการส่งสัญญาณเตือนไปที่แอปพลิเคชัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามเหตุการณ์ได้แบบ Realtime แม้จะยังไม่สามารถเข้าไปในร้านหรือบริษัทได้ก็ตาม รวมทั้งยังช่วยประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้ามาช่วยระงับเหตุในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น จึงมั่นใจได้ว่า ระบบ SECOM Smart Security จะช่วยป้องกันและบรรเทาความเสียหายของเหตุการณ์ไม่ให้ลุกลามบานปลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีโซลูชั่นด้านการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างครบถ้วน ในส่วนของอุปกรณ์และระบบการทำงานที่สัมพันธ์กัน จึงไม่ต่างจากการมีผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพมาคอยเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยให้ธุรกิจอยู่ตลอดเวลา
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53709
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความหลงใหลและความมุ่งมั่นสามารถนำไปสู่ความสำเร็จ
null
เสียงเพลงจากกล่องไม้ ณ ร้านขายเครื่องดนตรีเก่าแก่แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของอดีต เสียงเพลงจากเครื่องดนตรีหลากชนิดดังแว่วมาเป็นระยะ บรรยากาศอบอุ่นและเต็มไปด้วยเสน่ห์ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมชมเสมอ ณัฐ เด็กหนุ่มวัย 20 กว่าปี กำลังยืนงงอยู่หน้าร้าน สายตาของเขาจับจ้องไปที่กีตาร์โปร่งเก่า ๆ ตัวหนึ่ง ตั้งอยู่บนชั้นวางอย่างโดดเดี่ยว กีตาร์ตัวนั้นมีรอยขีดข่วนและรอยบุ๋ม บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านมา แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจเขาอย่างประหลาด ณัฐตัดสินใจเข้าไปในร้านและลองเล่นกีตาร์ เสียงเพลงที่ไพเราะดังก้องไปทั่ว เสียงกีตาร์เก่า ๆ กลับมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร ณัฐรู้สึกเหมือนถูกมนต์สะกด เขาตกหลุมรักกีตาร์ตัวนี้ทันที คุณปู่เจ้าของร้าน ยิ้มอย่างใจดีเมื่อเห็นณัฐเล่นกีตาร์ เขาเล่าว่ากีตาร์ตัวนี้เคยเป็นของนักดนตรีชื่อดังที่ล่วงลับไปแล้ว เต็มไปด้วยเรื่องราวและความทรงจำมากมาย ณัฐตัดสินใจซื้อกีตาร์ตัวนั้น เขาตั้งชื่อมันว่า "เสียงเพลงจากกล่องไม้" และเริ่มฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง เขาอัปโหลดวิดีโอการเล่นกีตาร์ของเขาลงบน YouTube แชร์เรื่องราวเกี่ยวกับกีตาร์เก่า ๆ และเสียงเพลงอันไพเราะ วิดีโอของณัฐ ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย หลายคนชื่นชอบเสียงเพลงจากกีตาร์เก่า ๆ และเรื่องราวที่เขาถ่ายทอด ณัฐกลายเป็น YouTuber ที่มีชื่อเสียง ผู้คนเริ่มรู้จักร้านขายเครื่องดนตรีเก่าแก่แห่งนี้มากขึ้น ณัฐใช้ชื่อเสียงของเขาบน YouTube โปรโมทร้านของปู่ เขาถ่ายวิดีโอแนะนำเครื่องดนตรีต่าง ๆ ในร้าน บอกเล่าเรื่องราวและประวัติความเป็นมา ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมชม ร้านขายเครื่องดนตรีเก่าแก่ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผู้คนมากมายเข้ามาซื้อเครื่องดนตรีและฟังเรื่องราวน่าสนใจจากณัฐ ร้านของปู่กลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของนักดนตรีและผู้รักเสียงเพลง ณัฐเรียนรู้ว่า ความสำเร็จ ไม่ได้มาจากเงินทองหรือชื่อเสียง แต่มาจาก ความหลงใหล และ ความมุ่งมั่น เขาใช้ความสามารถของเขาสร้างรายได้และช่วยเหลือปู่ในเวลาเดียวกัน เสียงเพลงจากกล่องไม้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่กีตาร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของ ความฝัน และ แรงบันดาลใจ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนคนหนึ่ง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53712
Retail
ในสถานการณ์ที่ E-commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Retail) สามารถนำกลยุทธ์การจับมือกับธุรกิจอื่น (Partnership) มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอย่างไรบ้าง?
null
1. กลยุทธ์การจับมือกับธุรกิจ Delivery: ธุรกิจค้าปลีกสามารถจับมือกับธุรกิจ Delivery เช่น Grab, Lineman, Lalamove เพื่อนำเสนอบริการจัดส่งสินค้าแบบ On-demand ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการสินค้าด่วน ตัวอย่าง: Central Retail จับมือกับ GrabFood นำเสนอบริการ "Central Food Delivery" จัดส่งอาหารจากร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า Maxvalu จับมือกับ Lineman นำเสนอบริการ "Maxvalu Delivery" จัดส่งสินค้าถึงบ้าน 2. กลยุทธ์การจับมือกับธุรกิจ Payment: ธุรกิจค้าปลีกสามารถจับมือกับธุรกิจ Payment เช่น Alipay, WeChat Pay เพื่อนำเสนอบริการชำระเงินแบบ Cashless ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการชำระเงินสะดวก รวดเร็ว ตัวอย่าง: Siam Paragon จับมือกับ Alipay นำเสนอบริการชำระเงินผ่าน QR Code The Mall Group จับมือกับ WeChat Pay นำเสนอบริการชำระเงินผ่าน QR Code 3. กลยุทธ์การจับมือกับธุรกิจ Logistic: ธุรกิจค้าปลีกสามารถจับมือกับธุรกิจ Logistic เช่น Flash Express, Kerry Express เพื่อนำเสนอบริการรับ-ส่งพัสดุ เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการส่งพัสดุ ตัวอย่าง: Tesco Lotus จับมือกับ Flash Express นำเสนอบริการรับ-ส่งพัสดุภายในห้างสรรพสินค้า Big C Supercenter จับมือกับ Kerry Express นำเสนอบริการรับ-ส่งพัสดุภายในห้างสรรพสินค้า 4. กลยุทธ์การจับมือกับ Influencer: ธุรกิจค้าปลีกสามารถจับมือกับ Influencer บน Social Media เพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ เพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตัวอย่าง: Watsons จับมือกับ Influencer สายบิวตี้ โปรโมทสินค้าเครื่องสำอาง Power Buy จับมือกับ Influencer สายเกม โปรโมทสินค้าอุปกรณ์เกม 5. กลยุทธ์การจับมือกับ Marketplace: ธุรกิจค้าปลีกสามารถจับมือกับ Marketplace เช่น Shopee, Lazada เพื่อนำเสนอสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพิ่มช่องทางการจำหน่ายและเข้าถึงลูกค้า ตัวอย่าง: Central Department Store เปิดร้านค้าบน Shopee Robinson Department Store เปิดร้านค้าบน Lazada ข้อดีของกลยุทธ์การจับมือกับธุรกิจอื่น: เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางการจำหน่าย ลดต้นทุนการดำเนินงาน เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ข้อควรระวัง: เลือกธุรกิจ Partner ที่มีความน่าเชื่อถือ กำหนดกลยุทธ์และข้อตกลงที่ชัดเจน บริหารจัดการความสัมพันธ์ที่ดี สรุป: กลยุทธ์การจับมือกับธุรกิจอื่น (Partnership) เป็นแนวทางสำคัญที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Retail) สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในยุค E-commerce โดยการเลือก Partner ที่เหมาะสม กำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจน และบริหารจัดการความสัมพันธ์ที่ดี จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถเติบโตและอยู่รอดในยุคดิจิทัล
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53762
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ Synergy แบรนด์กลุ่ม F&B ขาย “โอ้กะจู๋” ในคาเฟ่ อเมซอน
null
OR ได้ถือหุ้น โอ้กะจู๋ ไป 20% และมีการ Synergy ด้วยการนำร่องเปิดจุดจำหน่ายเมนู Grab & Go จาก “โอ้กะจู๋” ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น วิภาวดี โดยการร่วมมือของ OR และ โอ้กะจู๋ ทำให้ Café Amazon มีสินค้าจำหน่ายที่หลากหลาย เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค ซึ่งให้ความสำคัญกับสุขภาพ และเพิ่มโอกาสให้สินค้าเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ Synergy แบรนด์กลุ่ม F&B ขาย “โอ้กะจู๋” ในคาเฟ่ อเมซอน หลังจากต้นปี 2564 OR เข้าไปถือหุ้น โอ้กะจู๋ 20% ได้มีการ Synergy แบรนด์ธุรกิจ F&B ด้วยการนำร่องเปิดจุดจำหน่ายเมนู Grab & Go จาก “โอ้กะจู๋” เช่น เช็ตสลัด แซนด์วิช ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น วิภาวดี (ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้า) และจะขยายจุดจำหน่ายเพิ่มหลังจากนี้ ในทำเลกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ เป็นความร่วมมือทางธุรกิจที่ทำให้ Café Amazon มีสินค้าจำหน่ายหลากหลาย เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และเพิ่มโอกาสให้สินค้าโอ้กะจู๋ เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น เช่นเดียวกับการลงทุนใน Flash Group ได้เปิดจุดรับส่งพัสดุ (drop off point) ของ Flash Express จำนวน 10 จุดที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน โออาร์เลือกลงทุนใน New Business ที่น่าสนใจสามารถเสริมจุดแข็งและต่อยอดฐานธุรกิจเดิมที่มีทั้ง Physical และ Non Physical ทั้งปั๊มปตท. และคาเฟ่ อเมซอน กระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อเข้ามาสร้างอีโคซิสเต็มด้าน O2O ร่วมกับแพลตฟอร์มพันธมิตรและฐาน Blue card 7 ล้านใบ เป็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53800
Retail
กลุ่มธุรกิจแฟลช ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดใด
“แฟลช กรุ๊ป” บริการขนส่งที่ก่อตั้งโดย “คมสันต์ ลี” นักธุรกิจหนุ่มวัย 29 ปีจากเชียงราย ประกาศปิดดีลระดมทุนรอบล่าสุดได้จาก Buer Capital และ SCB 10X พร้อมด้วย eWTP -OR-เดอเบล- กรุงศรี ฟินโนเวต ลงเพิ่ม ซีรีย์ E มูลค่ารวมกว่า 4,700 ล้านบาท คว้าตำแหน่ง “ยูนิคอร์น” สตาร์ทอัปไทยรายแรก กลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทยแบบครบวงจร และเป็นบริษัทแม่ของ แฟลช เอ็กซ์เพรส (Flash Express) ผู้ให้บริการด้านขนส่งเอกชน ปิดดีลยักษ์จากการระดมทุนรอบซีรีย์ D+ และ ซีรีย์ E คว้ากลุ่ม Buer Capital Limited กลุ่มทุนจากสิงคโปร์ และ SCB 10X ร่วมทุน ตามด้วยผู้ลงทุนเดิม eWTP -OR -เดอเบล (กลุ่ม TCP)-กรุงศรีฟินโนเวต ลงเพิ่มได้เม็ดเงินรวมไปกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาท ประกาศขึ้นเป็นขนส่งเอกชนอันดับ 1 ด้วยตัวเลขจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุดร่วม 2 ล้านชิ้น นั่งแท่น “ยูนิคอร์น” รายแรกของไทย คุณคมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช คาดว่าเม็ดเงินลงทุนนี้จะถูกกระจายไปในหลายสัดส่วนทั้งด้านการบริหาร และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ครอบคลุมไปถึงการลงทุนในด้านแพลตฟอร์ม eCommerce เพื่อสร้างความแตกต่างให้ตลาด รวมถึงการเพิ่มช่องทางการขาย ขยายบริการ และสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ กลุ่มธุรกิจแฟลชก่อตั้งขึ้นจากแนวคิด การเป็นผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทยแบบครบวงจร โดยมีกลุ่มนักลงทุนหลายอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมสนับสนุน ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจแฟลช มีอัตราการเติบโตก้าวกระโดด พร้อมธุรกิจในเครือหลากหลายประเภท Flash Express ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจร มียอดจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุด 2 ล้านชิ้น Flash Fulfilment คลังสินค้าครบวงจร ที่มีบริษัทชั้นนำเป็นพันธมิตร และใช้บริการ บริษัทในเครืออีกหลายบริษัทที่สอดคล้องกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและรูปแบบตลาดของประเทศไทย บริการใหม่ที่เตรียมขยายออกสู่กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) Flash Express ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจร มียอดจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุด 2 ล้านชิ้น Flash Fulfilment คลังสินค้าครบวงจร ที่มีบริษัทชั้นนำเป็นพันธมิตร และใช้บริการ บริษัทในเครืออีกหลายบริษัทที่สอดคล้องกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและรูปแบบตลาดของประเทศไทย บริการใหม่ที่เตรียมขยายออกสู่กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) กลยุทธ์หลักของแฟลช กรุ๊ป ยังเน้นการเป็นผู้ให้บริการแบบ One stop service สำหรับอีคอมเมิร์ซทั้งในประเทศไทย รวมไปถึงการเร่งขยายบริการออกสู่ต่างประเทศ เริ่มจากกลุ่มประเทศในแถบ SEA คาดว่าภายในไตรมาส 4 ปีนี้น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น จากการทยอยเปิดให้บริการบางส่วนใน SEA บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด หรือ SCB 10X ซึ่งมีภารกิจลงทุนในสตาร์ทอัปทั่วโลก ผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่ให้การสนับสนุนแฟลช กรุ๊ป ทั้งรอบซีรีส์ D+ และ ซีรีส์ E ต้องการผลักดันสตาร์ทอัปไทยที่มีศักยภาพให้สามารถเติบโตและก้าวสู่เวทีโลกได้ กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์และกลุ่มธุรกิจแฟลช ยังมีแผนในการต่อยอดความร่วมมือเพื่อร่วมกันพัฒนาโซลูชันและบริการทางการเงิน ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) และสร้างประสบการณ์การเงินรูปแบบใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าในอนาคต บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ผู้ลงทุนหลักจากรอบซีรีส์ D ได้ลงทุนเพิ่มในซีรีส์ E มองโอกาสการร่วมลงทุนกับแฟลช กรุ๊ป จะเป็นการเสริมศักยภาพซึ่งกันและกันเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านขนส่งและพลังงาน อีกทั้งยังสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น ๆ ของ OR เชื่อมต่อธุรกิจแบบ Online to Offline เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในอนาคตที่มีไลฟ์สไตล์ปรับตัวสู่โลกออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมสตาร์ทอัปไทยให้เติบโต ปัจจุบัน OR และ แฟลช ได้มีความร่วมมือทางธุรกิจในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและต่อยอดธุรกิจหลักของทั้งสองบริษัท เช่น การที่ OR ให้บริการน้ำมันแก่รถที่ใช้ในการขนส่งของ Flash Express หรือการที่ Flash Express เริ่มเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ขนส่งผลิตภัณฑ์ของ OR และยังมีแผนเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจ ทั้งความร่วมมือในการทดลองเปิดให้บริการจุดรับส่งพัสดุของ Flash Express ภายในร้าน Café Amazon บางสาขา และการวางแผนในการพัฒนาพื้นที่ภายในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บางแห่ง เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าของ Flash Express เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ในความร่วมมือทางธุรกิจเพิ่มเติมในประเทศต่าง ๆ ผ่านบริษัทย่อยในต่างประเทศของกลุ่ม OR ตามแผนการขยายธุรกิจของแฟลชอีกด้วย บริษัท เดอเบล จำกัด (Durbell) ผู้นำด้านการกระจายสินค้าและโลจิสติกส์ในประเทศไทย ในเครือกลุ่มธุรกิจ TCP ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนเงินทุนแก่แฟลชทั้งรอบ ซีรีส์ D และ E มองการเติบโตของธุรกิจขนส่งในประเทศไทยและกลุ่มประเทศในแถบ SEA สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal และแฟลช กรุ๊ปก็สามารถตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างดี จึงเข้าร่วมลงทุนทั้ง 2 ซีรีส์ กรุงศรี ฟินโนเวต ในเครือกรุงศรี กรุ๊ป ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้สนับสนุนเงินทุนแก่ แฟลช ทั้งในรอบ ซีรีส์ D ในปี 2020 และซีรีส์ E ล่าสุด เชื่อมั่นในศักยภาพและเป้าหมายที่ชัดเจนของแฟลช ที่ผ่านมามีความร่วมมือในการสร้าง eCommerce Ecosystem ด้วยการพัฒนานวัตกรรมการเงินที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าผู้ใช้บริการแฟลช การลงทุนในแฟลช กรุ๊ป ของกรุงศรี ฟินโนเวต ต้องการช่วยผลักดันให้เกิด “ยูนิคอร์นสัญชาติไทย” ซึ่งการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและก้าวกระโดดของแฟลชในวันนี้ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ และเชื่อว่าการส่งเสริมระบบขนส่งที่ดีจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย คุณคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด “คมสันต์ แซ่ลี” ปั้น “ยูนิคอร์น” รายแรกของไทย แฟลช กรุ๊ป (Flash Group) นับเป็นสตาร์ทอัปไทยรายแรกที่สามารถระดมทุนรวมได้มากที่สุดในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี ซึ่งทำให้ธุรกิจมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 30,000 ล้านบาท กลายเป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย “คมสันต์ แซ่ลี” ซีอีโอและผู้ก่อตั้งแฟลช กรุ๊ป วัย 29 ปี เกิดและเติบโตที่ ดอยวาวี จังหวัดเชียงราย เริ่มก่อตั้งธุรกิจนี้ในช่วงปลายปี 2018 จนก้าวมาสู่สตาร์ทอัปยูนิคอร์นรายแรกของไทยในเวลา 3 ปี ย้ำว่าเขาเป็นสตาร์ทอัปสัญชาติไทย ที่ก่อตั้งและดำเนินธุรกิจโดยคนไทย ไม่ใช่กลุ่มทุนต่างชาติ เพียงแต่ก่อนหน้านี้การระดมทุนในซีรีส์ A-C มีกลุ่มทุนจากต่างชาติ รวมทั้งจีนเข้ามาร่วมลงทุนด้วย จึงอาจมีความเข้าใจผิดไป ส่วนการระดับทุนซีรีส์ D และ E มีนักลงทุนและบริษัท VC จากไทยเข้ามาลงทุนมากขึ้น
กลุ่มธุรกิจแฟลช ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดการเป็นผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทยแบบครบวงจร โดยมีกลุ่มนักลงทุนหลายอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมสนับสนุน กลุ่มธุรกิจแฟลช มีอัตราการเติบโตก้าวกระโดด พร้อมธุรกิจในเครือหลากหลายประเภท - Flash Express ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจร มียอดจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุด 2 ล้านชิ้น - Flash Fulfilment คลังสินค้าครบวงจร ที่มีบริษัทชั้นนำเป็นพันธมิตร และใช้บริการ - บริษัทในเครืออีกหลายบริษัทที่สอดคล้องกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและรูปแบบตลาดของประเทศไทย - บริการใหม่ที่เตรียมขยายออกสู่กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) กลยุทธ์หลักของแฟลช กรุ๊ป ยังเน้นการเป็นผู้ให้บริการแบบ One stop service สำหรับอีคอมเมิร์ซทั้งในประเทศไทย รวมไปถึงการเร่งขยายบริการออกสู่ต่างประเทศ เริ่มจากกลุ่มประเทศในแถบ SEA คาดว่าภายในไตรมาส 4 ปี 2564 น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น จากการทยอยเปิดให้บริการบางส่วนใน SEA
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53804
Retail
ในฐานะผู้บริโภค มองว่ากลยุทธ์ของ CPF ในการรุกตลาด Plant-based Meat นั้นน่าสนใจอย่างไร?
null
กลยุทธ์ของ CPF ในการรุกตลาด Plant-based Meat นั้นน่าสนใจในหลายแง่มุม ดังนี้: 1. เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค: CPF เข้าใจถึงเทรนด์ Flexitarian ที่กำลังได้รับความนิยม ผู้บริโภคต้องการอาหารทางเลือกที่มีสุขภาพดี เข้าถึงง่าย และราคาไม่แพง 2. ใช้จุดแข็งขององค์กร: CPF มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ มีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ และมีช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุม 3. พัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ: MEAT ZER0 ผลิตด้วยนวัตกรรม PLANT-TEC ทำให้เนื้อสัมผัส รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ 4. ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย: CPF มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำตลาด Plant-based Meat ในเอเชีย และติดอันดับ Top 3 ของโลก 5. มุ่งสู่การเป็น Food Tech Company: CPF มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอาหารอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่ CPF ควรพิจารณาเพิ่มเติม ดังนี้: 1. การสร้างการรับรู้: ผู้บริโภคบางส่วนยังไม่คุ้นเคยกับ Plant-based Meat CPF จำเป็นต้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าและประโยชน์ของสินค้า 2. การพัฒนาสินค้าที่หลากหลาย: CPF ควรพัฒนาสินค้า Plant-based Meat ประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย 3. การขยายช่องทางจำหน่าย: CPF ควรขยายช่องทางจำหน่าย MEAT ZER0 ให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่าย 4. การแข่งขัน: ตลาด Plant-based Meat มีการแข่งขันสูง CPF จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง โดยรวมแล้ว กลยุทธ์ของ CPF ในการรุกตลาด Plant-based Meat นั้นน่าสนใจและมีโอกาสประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ดี CPF จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าและกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและรับมือกับการแข่งขันในตลาด
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53818
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วู้ดดี้ ซี+ ล็อค คอลลาเจน มิกซ์เบอร์รี่
null
วู้ดดี้ ซี+ ล็อค คอลลาเจน มิกซ์เบอร์รี่ เป็นเครื่องดื่มวิตามินซีของคาราบาว กรุ๊ป เพื่อต่อยอดความสำเร็จหลังเปิดตัว วู้ดดี้ ซี+ ล็อค รสเลมอนและรสส้ม โดยเป็นเครื่องดื่มวิตามินซีที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนมากถึง 2,000 มิลลิกรัม บวกกับวิตามินซีสูง 200% มาพร้อมสโลแกน “ขวดเขียว ผิวใส สวยเด้ง คอลลาเจนเต็มที่ วิตามินซีเต็มๆ” ผลิตจากคอลลาเจนจากปลา นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น สามารถหาซื้ได้ในราคาเพียง 15 บาทเท่านั้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี หลังจากเปิดตัว “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” รสชาติเลมอน เข้าสู่ตลาดเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ตามด้วยรสส้มในเดือนมิถุนายน 2563 โดยสามารถขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาดเครื่องดื่ม Healthy Shot (เฮลท์ตี้ ช็อต) ซึ่งมูลค่ากว่า 6,700 ล้านบาท ได้สำเร็จในระยะเวลาเพียง 10 เดือน หวังต่อยอดความสำเร็จ เพิ่มส่วนแบ่งตลาด และขยายฐานผู้บริโภคต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัว “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” คอลลาเจน มิกซ์เบอร์รี่ นวัตกรรมครั้งแรกในเมืองไทย กับส่วนผสมคอลลาเจนมากถึง 2,000 มิลลิกรัม บวกวิตามินซีสูง 200% ซึ่งถือเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณวิตามินซีที่สูงที่สุดขณะนี้ (อ้างอิงรายงานผลวิจัยของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ได้เผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม 2563) ชูจุดขายหนึ่งเดียวในตลาด “ขวดเขียว ผิวใส สวยเด้ง คอลลาเจนเต็มที่ วิตามินซีเต็มๆ” ซึ่งได้วัตถุดิบคุณภาพคอลลาเจนจากปลา นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ในราคาเพียง 15 บาท เท่ากับ 2 รสชาติแรก ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่แข่งขันได้ดีที่สุดในตลาด เมื่อเทียบราคากับปริมาณวิตามินซี และคอลลาเจน ที่บรรจุภายในขวด พร้อมปรับแพ็กเกจจิ้งใหม่ทุกรสชาติอีกครั้ง เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ถึงความแตกต่างของทั้ง 3 รสชาติชัดเจน และเพื่อเพิ่มความโดดเด่นบนชั้นวางสินค้า และตู้แช่ในช่องทางการขายทั่วประเทศ การเปิดตัวครั้งนี้ บริษัทมุ่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์ “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายในตลาดวิตามินซี เพิ่มกลุ่มผู้หญิงที่รักผิวสวยใส เน้นกลุ่มบิ้วตี้ ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ ตลอดจนกลุ่มสาวทำงานในโรงงาน หลังจากประสบความสำเร็จในภาพลักษณ์ที่มีต่อกลุ่มเฮลท์ตี้ กลุ่มคนรักสุขภาพ ได้อย่างแข็งแกร่ง โดยครั้งนี้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ทำการตลาดเต็มรูปแบบผ่านสื่อโฆษณาที่ครอบคลุมในวงกว้าง ทั้งช่องทางออฟไลน์ ออนไลน์ และการทำกิจกรรมในพื้นที่ รวมถึงช่องทางขายที่ครบทุกช่องทาง ทั้งโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชันนอลเทรด โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นช่องทางการขายหลักของเครื่องดื่มวิตามินซี
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53820
Retail
การลงทุนธุรกิจอาหาร ในปี 2563 ของกลุ่มดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ ร่วมกับบริษัท วันเดอร์ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่คือ วันเดอร์ฟู้ด โฮลดิ้ง ถือเป็นการ Diversify เพื่ออะไร
A. ขยายพอร์ตธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม B. เป็นต้นแบบให้กลุ่มพลังงานตามรอย C. กระจายความเสี่ยงธุรกิจ สร้างแหล่งรายได้ใหม่นอกจากกลุ่มพลังงานเป็นครั้งแรก D. ชิงโอกาสใหม่จากมูลค่าตลาดกว่า 340,000 ล้านบาท
คำตอบได้แก่ C. เนื่องจาก การลงทุนธุรกิจอาหาร ในปี 2563 ของกลุ่มดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ ร่วมกับบริษัท วันเดอร์ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ของเชฟแอนดี้ ยังเอกสกุล เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่คือ วันเดอร์ฟู้ด โฮลดิ้ง ถือเป็นการ Diversify เพื่อกระจายความเสี่ยงธุรกิจ สร้างแหล่งรายได้ใหม่นอกจากกลุ่มพลังงานเป็นครั้งแรก การเลือกลงทุนธุรกิจอาหาร เพราะเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มได้ง่าย โดย “วันเดอร์ฟู้ด” เริ่มต้นจากร้าน Hyper Fine Dining และสตรีทฟู้ด แต่ตั้งใจลงทุนหลายรูปแบบทั้งร้านอาหาร ภัตตาคาร เครื่องดื่ม และขนมหวาน การเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารของ WP ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ เชฟแอนดี้ ยังเอกสกุล (เชฟแอนดี้ ยัง) ดีกรีเชฟมิชลินสตาร์ ผู้ก่อตั้งวันเดอร์ฟู้ด อินเตอร์เนชันแนล มีประสบการณ์ในวงการอาหาร 30 ปี เป็นคนไทยคนแรกที่คว้า 1 ดาวมิชลิน จากร้านโรงเตี๊ยม ที่มหานครนิวยอร์ก นอกจากนี้ เชฟแอนดี้ ยัง เป็นผู้ก่อตั้งร้านอาหาร Table 38 รูปแบบ Hyper Fine Dining ที่คว้ามิชลินสตาร์ 1 ดาวมาครอง และร้าน “ผัดไทยไฟทะลุ” เมนูสตรีทฟู้ดชื่อดังกับรางวัล “บิบ กูร์มองด์” มิชลิน ไกด์ กรุงเทพฯ เชฟแอนดี้ ยัง มีความสามารถต่อยอดธุรกิจอาหารได้หลายรูปแบบ ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน โดยใช้ Table 38 เป็น Lab คิดค้นและพัฒนาสูตรเมนูใหม่ๆ รวมทั้งแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวออกมาต่อเนื่อง เรียกว่าเป็นการจับมือพันธมิตรแบบถูกคู่ ฝ่ายหนึ่งเชี่ยวชาญในวงการอาหาร อีกฝ่ายพร้อมด้านแหล่งเงินทุน
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53852
Retail
ปัญหาไซเบอร์ซีเคียวริตี้คืออย่างไร
ธุรกิจเอสเอ็มอีถือเป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นหนึ่งในแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ แต่เอสเอ็มอีก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจาก Digital Disruption และ Covid-19 เช่นกัน ซึ่งในวันนี้ พวกเขาเจออะไรมาบ้าง และกำลังรับมือกับเปลี่ยนแปลงผ่านการลงทุนเทคโนโลยีในรูปแบบใดกันอยู่ มีผลการศึกษาจาก Cisco ที่จัดทำโดย Analysys Mason ออกมาบอกเล่าให้ฟังกันแล้ว รายงานดังกล่าวเป็นการอ้างอิงผลการสำรวจที่จัดทำโดย Analysys Mason และได้มีการสอบถามความคิดเห็นจากผู้บริหารระดับสูงในสายงานธุรกิจ และไอทีของเอสเอ็มอี 1,600 ราย ซึ่งมีพนักงาน 50 ถึง 150 คน ใน 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และประเทศไทย ระบุว่า 41% ของเอสเอ็มอีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) มองว่าการเตรียมระบบเพื่อรองรับการทำงานจากที่บ้านของพนักงาน ถือเป็นกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เอสเอ็มอีบรรลุเป้าหมายในการดำเนินงานและการขยายกิจการในปี 2021 สำหรับสาเหตุของการลงทุน รายงานดังกล่าวระบุว่า มาจากสภาพแวดล้อมในการทำงานได้เปลี่ยนไปสู่การทำงานแบบไฮบริดแล้วเรียบร้อย ดังนั้นเอสเอ็มอีในภูมิภาคนี้จึงมีแผนที่จะลงทุนในโซลูชั่นเทคโนโลยีเพื่อรองรับแนวโน้มดังกล่าว ข้อมูลคาดการณ์ของ Analysys Mason ระบุว่ายอดใช้จ่ายสะสมในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ของเอสเอ็มอี ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะสูงเกิน 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐในช่วงระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2020 – 2024 โดยจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ครองสัดส่วน 3 ใน 4 ของยอดใช้จ่ายดังกล่าว เมื่อพิจารณาแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการผลิตจะครองสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของยอดใช้จ่ายด้านไอซีที เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมภาคเอกชนทั้งหมดในภูมิภาคนี้ นอกจากนั้น รายงานดังกล่าวยังพบว่า 21% ของเอสเอ็มอีมองว่า “การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย” คือเป้าหมายทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดในปีนี้ (ภายใน 12 เดือนข้างหน้า) ส่วนเป้าหมายรองลงมาคือ ใช้เทคโนโลยีในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ ๆ (16%) ในมุมของเอสเอ็มอีไทย ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือ การมองหาช่องทางอื่น ๆ ในการขายและจัดส่งสินค้า (59%) ตามมาด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพของพนักงาน (50%) อย่างไรก็ดี จากชาร์ตด้านล่างจะพบว่ามีความแตกต่างกันพอสมควรระหว่าง Emerging Markets กับ Mature Markets โดย Mature Markets จะให้ความสำคัญกับการหาช่องทางการขายใหม่ ๆ น้อยกว่ามาก ในจุดนี้ คุณทวีวัฒน์ จันทรเสโน รักษาการกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน บริษัท ซิสโก้ อธิบายว่า แบรนด์ที่อยู่ใน Mature Markets นั้น มีการใช้เทคโนโลยีและช่องทางการขายใหม่ ๆ พร้อมแล้ว พวกเขาจึงหันไปให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้ในช่วง Pandemic เป็นสำคัญ ขณะที่ตลาด Emerging Market การใช้ช่องทางใหม่ ๆ ยังมีน้อยกว่า แบรนด์จึงพยายามหาช่องทางการขายใหม่ ๆ เพิ่มเติมนั่นเอง ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ความท้าทายของ SME ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ในรายงานดังกล่าวยังเผยด้วยว่า ปัญหาไซเบอร์ซีเคียวริตี้คือความท้าทายที่สุดของธุรกิจเอสเอ็มอี (ธุรกิจขนาดเล็ก 64% ธุรกิจขนาดกลาง 64%) เนื่องจากผู้ใช้ต้องเชื่อมต่อกับระบบขององค์กรในแบบระยะไกล ไซเบอร์ซีเคียวริตี้คือความท้าทายที่สุดของธุรกิจเอสเอ็มอี (ธุรกิจขนาดเล็ก 64% ธุรกิจขนาดกลาง 64%) เนื่องจาก ผู้ใช้ต้องเชื่อมต่อกับระบบขององค์กรในแบบระยะไกล รองลงมาคือ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (ธุรกิจขนาดเล็ก 57% ธุรกิจขนาดกลาง 59%) และการป้องกันมัลแวร์ (ธุรกิจขนาดเล็ก 51% ธุรกิจขนาดกลาง 54%) โดยในระยะแรกของการแพร่ระบาด ธุรกิจเอสเอ็มอี กว่าครึ่งหนึ่งระบุว่าตนเองค่อนข้างพร้อมที่จะรองรับการทำงานจากที่บ้าน (ธุรกิจขนาดเล็ก 57% ธุรกิจขนาดกลาง 54%) ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก 8% และธุรกิจขนาดกลาง 6% ไม่มีความพร้อม รองลงมาคือ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และการป้องกันมัลแวร์ ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง ) โดย ในระยะแรกของการแพร่ระบาด ธุรกิจเอสเอ็มอี กว่าครึ่งหนึ่งระบุว่าตนเองค่อนข้างพร้อมที่จะรองรับการทำงานจากที่บ้าน ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง ) ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจขนาดกลาง ไม่มีความพร้อม นอกจากนี้ เอสเอ็มอียังพบภัยคุกคามทางไซเบอร์หรือการแจ้งเตือนเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาด โดยธุรกิจขนาดเล็ก 62% และธุรกิจขนาดกลาง 75% พบภัยคุกคามทางไซเบอร์หรือการแจ้งเตือนที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 25% โดยค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 61% นอกจากนี้ เอสเอ็มอียังพบภัยคุกคามทางไซเบอร์หรือการแจ้งเตือนเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาด โดยธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจขนาดกลาง พบภัยคุกคามทางไซเบอร์หรือการแจ้งเตือนที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย เฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ “ล็อกดาวน์” ดึง SME รุกออนไลน์ เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์และข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ส่งผลให้ร้านค้าปลีกและสำนักงานต้องปิดตัวลงเป็นการชั่วคราว การมองหาช่องทางอื่น ๆ ในการขายและจัดส่งสินค้าจึงถือเป็นความท้าทายข้อหนึ่งที่รายงานชิ้นนี้บอกว่า เอสเอ็มอี 50% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน รองลงมาคือปัญหาเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน (44%) และการเพิ่มรายได้ (40%) เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้มีการปรับเปลี่ยนช่องทางดิจิทัลในการติดต่อกับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้เอสเอ็มอีจำนวนมากเปลี่ยนไปใช้ช่องทางการขายออนไลน์ เพื่อให้ธุรกิจมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยกว่า 3 ใน 4 มองว่าการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างมากสำหรับกลยุทธ์ด้านไอทีของบริษัทในปีนี้ ผลการศึกษายังพบด้วยว่า 59% มองว่า ประสบการณ์ลูกค้า เป็นภารกิจสำคัญสูงสุดสำหรับเอสเอ็มอีในภูมิภาคในการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะเรื่องของประสบการณ์แบบ Contactless ที่บริษัทต้องคิดหารูปแบบใหม่ ๆ ให้เกิดการสื่อสารได้อย่างไร้รอยต่อ และสามารถสร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่งได้พร้อม ๆ กัน คุณทวีวัฒน์ จันทรเสโน กล่าวเพิ่มเติมว่า “การแพร่ระบาดส่งผลให้วิธีการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และองค์กรธุรกิจทุกขนาดทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมการทำงานจากที่บ้าน ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนในปี 2021 ธุรกิจเอสเอ็มอีในไทยควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการเร่งดำเนินการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี รวมถึงโซลูชั่นคลาวด์ เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายซึ่งจะช่วยให้เอสเอ็มอีปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และเสริมสร้างขีดความสามารถได้อย่างเต็มศักยภาพ” ด้านคุณอัญชลี ธูปเกิด ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายธุรกิจคอมเมอเชียล และเอสเอ็มอีของซิสโก้ ประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน กล่าวว่า “ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ปีนี้ธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศไทยให้ความสำคัญไปกับการจัดเตรียมระบบเพื่อรองรับการทำงานจากที่บ้าน รวมถึงการปรับใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ และการอัพเกรดโซลูชั่นไอทีที่ใช้งานอยู่ เพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีเร่งการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซิสโก้จึงได้พัฒนาโซลูชั่นเพื่อการนี้โดยเฉพาะภายใต้ชื่อ Cisco Designed โดยมุ่งเน้นองค์ประกอบ 4 ด้าน
ปัญหาไซเบอร์ซีเคียวริตี้คือความท้าทายที่สุดของธุรกิจเอสเอ็มอี (ธุรกิจขนาดเล็ก 64% ธุรกิจขนาดกลาง 64%) เนื่องจากผู้ใช้ต้องเชื่อมต่อกับระบบขององค์กรในแบบระยะไกล ไซเบอร์ซีเคียวริตี้คือความท้าทายที่สุดของธุรกิจเอสเอ็มอี (ธุรกิจขนาดเล็ก 64% ธุรกิจขนาดกลาง 64%) เนื่องจาก ผู้ใช้ต้องเชื่อมต่อกับระบบขององค์กรในแบบระยะไกล รองลงมาคือ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (ธุรกิจขนาดเล็ก 57% ธุรกิจขนาดกลาง 59%) และการป้องกันมัลแวร์ (ธุรกิจขนาดเล็ก 51% ธุรกิจขนาดกลาง 54%) โดยในระยะแรกของการแพร่ระบาด ธุรกิจเอสเอ็มอี กว่าครึ่งหนึ่งระบุว่าตนเองค่อนข้างพร้อมที่จะรองรับการทำงานจากที่บ้าน (ธุรกิจขนาดเล็ก 57% ธุรกิจขนาดกลาง 54%) ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก 8% และธุรกิจขนาดกลาง 6% ไม่มีความพร้อม รองลงมาคือ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และการป้องกันมัลแวร์ ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง ) โดย ในระยะแรกของการแพร่ระบาด ธุรกิจเอสเอ็มอี กว่าครึ่งหนึ่งระบุว่าตนเองค่อนข้างพร้อมที่จะรองรับการทำงานจากที่บ้าน ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง ) ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจขนาดกลาง ไม่มีความพร้อม นอกจากนี้ เอสเอ็มอียังพบภัยคุกคามทางไซเบอร์หรือการแจ้งเตือนเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาด โดยธุรกิจขนาดเล็ก 62% และธุรกิจขนาดกลาง 75% พบภัยคุกคามทางไซเบอร์หรือการแจ้งเตือนที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 25% โดยค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 61%
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53854
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” ของคาราบาวกรุ๊ป
null
คาราบาวกรุ๊ป ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” ในปี 2563 เพื่อเจาะตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีแบบช็อต ขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงธุรกิจและชดเชยรายได้จากการจำหน่ายเครื่องดื่มคาราบาวแดงที่ลดลง 1% โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเชิงปริมาณ 10% และได้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีแบบช็อต อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี ที่สะท้อนให้เห็นกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมายและสร้างโอกาสการขยายฐานธุรกิจในประเทศ บทเรียนจากย่อหน้านี้ คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG แจ้งผลการดำเนินงาน ปี 2563 มีรายได้จากการขายทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) จำนวน 17,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,298 ล้านบาท หรือ 15.4% “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค”นั่งเบอร์ 2 เครื่องดื่มวิตามินซี การเติบโตของรายได้มาจาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์สินค้าของตนเอง ในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง เกลือแร่ และฟังก์ชันนอลดริงค์ ที่มีมูลค่า 14,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% หรือมูลค่า 1,202 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นธุรกิจในประเทศ 42% เติบโต 2.8% และต่างประเทศ 58% เติบโต 14.7% การเติบโตของรายได้รับจ้างจัดจำหน่ายสินค้าให้บุคคลภายนอกในประเทศ ในกลุ่มน้ำดื่ม กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง และกาแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม มูลค่า 1,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.3% จากปัจจัยสนับสนุนทั้งการเติบโตของยอดส่งออกเครื่องดื่มชูกำลังไปยังตลาดต่างประเทศ และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศ อย่างเครื่องดื่มวิตามินซี “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” ที่เริ่มจำหน่ายในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 4.2% ของรายได้จากการขายในประเทศจำนวน 5,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” ในปี 2563 ช่วยกระจายความเสี่ยงธุรกิจและชดเชยรายได้จากการจำหน่ายเครื่องดื่มคาราบาวแดง ที่ลดลง 1% ในขณะที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศเชิงปริมาณหดตัว 6.8% และเครื่องดื่มชูกำลังแบบบรรจุขวดคาราบาวแดงยังรักษาส่วนแบ่งการตลาดเชิงปริมาณไว้ที่ 21% เป็นอันดับ 2 ปี 2563 ตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีแบบช็อต เติบโต 28% โดย “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” มีส่วนแบ่งการตลาดเชิงปริมาณ 10% ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีช็อต ท่ามกลางการแข่งขันสูงจากสินค้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน จากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีสะท้อนให้เห็นกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและสร้างโอกาสการขยายฐานธุรกิจในประเทศของ CBG
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53895
Retail
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ริเริ่มโครงการ THAILAND SMILES WITH YOU #ยิ้มให้โลกให้โลกยิ้ม ด้วยวัตถุประสงค์เพื่ออะไร
กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ผู้นำธุรกิจท่องเที่ยวและค้าปลีกระดับโลก ร่วมกับสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ตอกย้ำพลังรอยยิ้มคนไทย ในโครงการ THAILAND SMILES WITH YOU #ยิ้มให้โลกให้โลกยิ้ม ส่งถึงคนไทยและทั่วโลกอีกครั้ง ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุด ‘Smile at your home ground’ ส่งกำลังใจ ความหวังเพื่อความไม่ย่อท้อและรอคอยแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน จากที่ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ริเริ่มโครงการ THAILAND SMILES WITH YOU #ยิ้มให้โลกให้โลกยิ้ม ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการจดจำชื่อ ‘ประเทศไทย’ กับทั่วโลกในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งโดยภาพรวมของโครงการ คือการสร้างกำลังใจ และการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านกีฬาฟุตบอล หนึ่งในกีฬาที่คนทั่วโลกสนใจติดตาม โดยนำสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษ มาร่วมสื่อสารโครงการฯ ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การจัดทำเสื้อ ‘ THAILAND SMILES WITH YOU’ สำหรับชุดแข่งของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ตลอดฤดูกาล 2020-2021 โดยนักเตะสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ใส่ชุดแข่งดังกล่าวให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกกว่า 212 ประเทศ 643 ล้านครัวเรือน ซึ่งเป็นการสื่อสารในระดับสากล ในประเทศไทย โครงการฯ ได้เปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ และได้เป็นผู้ริเริ่มการสร้างช่องทางให้คนไทยมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีนอาร์เอนเอ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ของคณะวิทยาศาสตร์และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และโครงการเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 อื่นๆ ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ด้วยการจัดทำเสื้อรุ่นพิเศษ ‘THAILAND SMILES WITH YOU’ โดยรายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายจากการจำหน่ายเสื้อจำนวน 10,000 ตัวจะสมทบเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว และการตอกย้ำครั้งสำคัญก่อนเข้าสู่ปีใหม่ เพื่อเป็นกำลังใจให้เกิดความหวัง ผลักดันให้ทุกคนมองไปข้างหน้ารอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ร่วมกัน โครงการ THAILAND SMILES WITH YOU โดย คิง เพาเวอร์ จึงนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาชุด ‘Smile at your home ground’ ที่นำเสนอเรื่องราวจากชีวิตจริงของผู้คนจากหลากหลายอาชีพที่ต้องเผชิญอุปสรรคมากมายภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เปรียบเสมือนการเดินทางผ่านอุโมงค์อันมืดมิดที่ทอดยาวมาตลอดปี และกำลังต้องมุ่งหน้าต่อไปเพื่อให้พบกับ ‘ความหวังที่เป็นแสงสว่าง’ เพื่อที่จะกลับสู่สนามชีวิตดังเดิมในที่สุด โดยในภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ ได้หยิบยกเรื่องราวของหลากหลายอาชีพเพื่อสื่อสารถึงแนวคิดสำคัญในการเผชิญอุปสรรคและสร้างกำลังใจ ความหวัง ให้ตัวเองอีกครั้ง นางกุสุมา ทองคำพูล รองหัวหน้ากุ๊กครัวไทย ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “พี่ไม่เคยท้อ และไม่เคยร้องไห้เลยนะ เพราะพี่เชื่อในอาชีพของพี่ และมั่นใจว่าจะได้กลับมาทำงานที่เรารักได้เหมือนเดิม พี่เป็นแม่ครัวที่นี่มา 15 ปีแล้ว ที่นี่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง พี่และเพื่อนๆอีกกว่า 200 ชีวิตยังมีความหวังอยู่ว่าจะได้กลับมาเปิดครัวทำในสิ่งที่เรารักอีกครั้ง และได้เจอเพื่อนๆ ที่เป็นเหมือนครอบครัว” วัชรา ดำสมุทร ผู้จัดการเรือ บริษัท แปซิฟิก ฮอลิเดย์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “พยายามคิดแต่สิ่งที่ดีๆ ครับ คิดถึงวันข้างหน้าไว้เสมอ มองไปข้างหน้าอย่างเดียว ผมมองไปไกลแล้วครับ ผมไม่ได้มองอยู่แค่โควิด ผมจึงไม่เคยท้อ ผมสู้ต่อ โชคชะตาข้างหน้าไม่แน่นอน เราคิดว่า โควิดก็เหมือนเป็นด่านทดสอบ ที่เราต้องคิดหาวิธีว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร” อาธากร สุดเวหา นักแสดงหุ่นละครเล็ก โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ รางน้ำ กล่าวว่า “คณะเราอยู่กันแบบครอบครัว ให้กำลังใจกันตลอด ก็บอกกันเสมอว่าอย่าไปท้อ เดี๋ยวสักวันหนึ่งเราก็จะกลับมารวมกันเหมือนเดิม ได้กลับมาทำงานที่เรารัก คนในคณะก็เลยไม่มีใครท้อหรือยอมแพ้ทุกคนต่างเฝ้ารอและมีความหวังว่าจะได้กลับมาแสดงร่วมกันอีกครั้ง” ทั้งนี้ โครงการ THAILAND SMILES WITH YOU เป็นโครงการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดทำขึ้นด้วยตระหนักถึงการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการช่วยบรรเทา สนับสนุน และสร้างเสริมโครงการต่างๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปด้วยกัน ซึ่งภาพยนต์โฆษณาชุดนี้จะเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์ทั้งในประเทศไทยและประเทศอังกฤษผ่านช่องทางการสื่อสารของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ โดยเริ่มเผยแพร่แล้วตั้งแต่วันนี้ และสำหรับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ผู้สนใจยังสามารถมีส่วนร่วมสั่งจองเสื้อรุ่นพิเศษ THAILAND SMILES WITH YOU ได้ที่
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ริเริ่มโครงการ THAILAND SMILES WITH YOU #ยิ้มให้โลกให้โลกยิ้ม ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการจดจำชื่อ ‘ประเทศไทย’ กับทั่วโลกในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งโดยภาพรวมของโครงการ คือ การสร้างกำลังใจ และการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านกีฬาฟุตบอล หนึ่งในกีฬาที่คนทั่วโลกสนใจติดตาม โดยนำสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษ มาร่วมสื่อสารโครงการฯ ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การจัดทำเสื้อ ‘ THAILAND SMILES WITH YOU’ สำหรับชุดแข่งของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ตลอดฤดูกาล 2020-2021 โดยนักเตะสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ใส่ชุดแข่งดังกล่าวให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกกว่า 212 ประเทศ 643 ล้านครัวเรือน ซึ่งเป็นการสื่อสารในระดับสากล
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53901
Retail
ทำไมซีพีเอฟถึงเลือก ณเดชน์ คูกิมิยะ เป็นพรีเซ็นเตอร์ของเครื่องดื่ม IMU และเขามีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์อย่างไรบ้าง?
หัวข้อ "IMU" เครื่องดื่มเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เปลี่ยนภูมิแพ้ เป็นภูมิพร้อม เปิดตัว ณเดชน์ คูกิมิยะ พรีเซ็นเตอร์ ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ [PR] - Brand Buffet ​บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดตัวนวัตกรรมอาหาร “IMU” เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ช่วยกระตุ้นการตื่นตัวของภูมิคุ้มกันและช่วยลดอาการภูมิแพ้ เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคและตอบสนองความสะดวกรวดเร็วในยุค New Normal พร้อมเปิดตัว ณเดชน์ คูกิมิยะ พรีเซ็นเตอร์ ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ IMU เป็นนวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจในสุขภาพ โดยเฉพาะช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับอาหารและเครื่องดื่มที่ดีมีคุณภาพและดีต่อสุขภาพ สะดวกต่อการรับประทาน และคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย “อาหารที่ดีเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี โดยเฉพาะสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการบริโภคอาหารเปลี่ยนไป ผู้ผลิตอาหารจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการ และใส่ใจในการคัดสรรวัตถุดิบ กรรมวิธีการปรุง การเก็บรักษา การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น” นางสาวอนรรฆวี กล่าว เครื่องดื่ม IMU Beta Glucan 3,800 mg. เป็นสารอาหารที่สกัดจากเห็ดตามธรรมชาติ ที่อุดมด้วยวิตามินที่มีประโยชน์มากมาย อย่าง Beta Glucan (เบต้า กลูแคน) ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการตื่นตัวของภูมิคุ้มกัน ช่วยสมานบาดแผลให้หายเร็วขึ้น ลดอาการติดเชื้อ (ดีต่อผู้ที่ผ่าตัด) ลดอาการหวัด และลดอาการภูมิแพ้ ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ 96% ภูมิแพ้ดีขึ้นใน 14 วัน ซีพีเอฟ ยังได้เปิดตัวสินค้ากลุ่ม Innovation + Wellness Food & Beverages ภายใต้แนวคิด “Food as a Medicine” ซึ่งเป็นนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร (Farm to Table) จนได้อาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มสารอาหารจากธรรมชาติ ช่วยบำรุงสุขภาพและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย อาทิ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แบรนด์ INNOWENESS ประกอบด้วยเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 3 รายการ คือ เครื่องดื่มแอลธีอานิน DEEP ที่สกัดจากยอดชาเขียวจากญี่ปุ่น ช่วยปรับสมดุลคลื่นสมอง ช่วยให้นอนหลับลึก ตื่นสด ชื่น ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดก่อนนอน และเครื่องดื่ม FRESH สกัดจากน้ำทับทิม และชาเขียว ช่วยปลุกสมอง คืนความสดชื่น ระหว่างวัน และเครื่องดื่ม IMU นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังเปิดตัว “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ในฐานะตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่ทำงานและใช้ชีวิตในเมือง ต้องเจอกับฝุ่นและมลภาวะ จึงจำเป็นต้องหาตัวช่วยมาเสริมภูมิคุ้มกันที่ดีต่อร่างกาย ขณะนี้มีวางจำหน่ายในช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ อาทิ 7-11, FamilyMart, BigC mini, Jiffy, CPFreshmart และห้างสรรพสิค้า Big C, Makro, Tops, Villa Market, Foodland, และ Tesco Lotus ทุกสาขาทั่วประเทศ
ซีพีเอฟเลือก ณเดชน์ คูกิมิยะ เป็นพรีเซ็นเตอร์ของเครื่องดื่ม IMU เนื่องจากเขาเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีความนิยมและมีผลกระทบในวงการสื่อสารมวลชน และการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน ด้วยความเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิงและโซเชียลมีเดีย ณเดชน์ มีสามรถในการสร้างความสนใจและความสนับสนุนจากกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ IMU ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มุ่งเน้นให้คุณค่าทางโภชนาการและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง การประชาสัมพันธ์ของ ณเดชน์ ในฐานะพรีเซ็นเตอร์นั้น ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ IMU ในวงกว้าง โดยการใช้สื่อต่างๆ เช่น โพสต์ในโซเชียลมีเดีย, การเข้าร่วมกิจกรรมและงานอีเวนท์ที่เกี่ยวข้อง, และการแนะนำผลิตภัณฑ์ในช่องทางการขายออนไลน์ ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกของผู้บริโภคถึงคุณค่าและประสิทธิภาพของ IMU อีกทั้งยังช่วยเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์กับการพัฒนาและการดูแลสุขภาพที่รับความสนใจในปัจจุบัน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53932
Retail
AWC เตรียมตั้งกองทุนซื้อกิจการโรงแรม ที่ผู้ประกอบการมาเสนอขายกิจการ ใช่หรือไม่
null
ใช่ คุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่าผู้ประกอบการที่มาเสนอขายกิจการ 100 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมระดับ 3-5 ดาว ทั้งแบรนด์โรงแรมไทยและโครงการที่บริหารโดยเชนต่างประเทศ (คนไทยเป็นเจ้าของพร็อพเพอร์ตี้) โรงแรมที่มาเสนอขายมูลค่าหลัก 100 ล้านบาท ถึง 10,000 ล้านบาท ในทำเลหลักๆ อย่าง กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ ส่วนโครงการคอมเมอร์เชียล อาคารสำนักงานและค้าปลีกมีมาเสนอขาย 5-6 โครงการ ที่ผ่านมาเวลาผู้ประกอบการจะขายกิจการในกลุ่มอสังหาฯ ก็มาเสนอกับ ทีซีซี กรุ๊ป แต่ปัจจุบันได้กระจายไปตามบริษัทในเครือทั้ง AWC และ เฟรเซอร์ส เมื่อเกิดวิกฤติโควิด มีจำนวนโครงการมาเสนอขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นล็อกดาวน์ถึงปัจจุบัน ส่วนของ AWC มีความสนใจธุรกิจโรงแรม ขณะนี้กำลังเตรียมจัดตั้งกองทุน ที่เรียกว่า Opportunity Fund เพื่อเข้าไปซื้อกิจการ โดยคุยกับนักลงทุนไว้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระดับโลกที่เข้าลงทุนใน AWC อยู่แล้ว Private Fund ทั้งไทยและต่างประเทศ ในเอเชีย ยุโรป สหรัฐ รวมทั้งธนาคารในประเทศและต่างประเทศที่จะมาร่วมกันจัดตั้งกองทุน คาดว่าจะเป็นช่วงต้นปี 2564 เบื้องต้นเป็นกองทุนหลักหมื่นล้านบาท ปัจจุบัน AWC มีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ในระดับต่ำที่ 0.7 เท่า ยังมีโอกาสกู้ลงทุนได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องการสร้างกระแสเงินสด จึงใช้รูปแบบกองทุนเข้าไปซื้อกิจการโรงแรมที่มาเสนอขายแทน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53942
Retail
เหตุผลสำคัญที่ CRG ปั้นแบรนด์อร่อยดี พร้อมทั้งขายแฟรนไชส์ เพื่อรุกตลาดสตรีทฟู้ด เนื่องจากอะไรบ้าง
null
เหตุผลสำคัญที่ CRG ปั้นแบรนด์อร่อยดี พร้อมทั้งขายแฟรนไชส์ เพื่อรุกตลาดสตรีทฟู้ด เนื่องจาก 1. เป็นตลาดใหญ่ จากมูลค่าธุรกิจอาหารกว่า 3.85 – 3.89 แสนล้านบาท มากถึง 75% เป็นร้านสตรีทฟู้ด ขณะที่ 25% เป็นเชนร้านอาหาร 2. คนไทยรับประทานอาหารไทยอยู่แล้ว และคุ้นเคยกับอาหารตามสั่งจานเดียว จึงมีโอกาสมหาศาลที่จะผลักดันแบรนด์เข้าไปอยู่กับผู้บริโภคทุกกลุ่มในทุกวัน ทุกมื้ออาหาร ไม่ว่าจะมื้อเช้า – กลางวัน – เย็น 3. เมนูอาหารจานเดียว ตอบโจทย์การให้บริการ Food Delivery ซึ่งร้านสาขาอร่อยดีทุกร้านจะเป็น Network สำหรับจัดส่ง Delivery เนื่องจากที่ผ่านมายอดขายของ “อร่อยดี” กว่า 70% มาจาก Delivery 4. คำจำกัดความของการเป็น “ร้านสะดวกทาน” หัวใจสำคัญคือต้องมีสาขาจำนวนมากในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค เช่น ตามย่านที่อยู่อาศัย ย่านอาคารสำนักงาน ย่านสถาบันการศึกษา สถานีบริการน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งการจะขยายสาขาให้ได้มาก และเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ จึงต้องใช้รูปแบบแฟรนไชส์ เปิดให้กับผู้สนใจมาลงทุน หัวใจสำคัญของการทำแฟรนไชน์ คือ SOPs คือ Standard Operation Procedures ซึ่งแบรนด์ที่เป็นอาหารทุกแบรนด์จะมี SOPs เพราะเป็นคู่มือ และเป็น Agreement ที่ทุกคนเข้าใจ และจะทำตามนี้ ทั้งในส่วนวัตถุดิบ และกระบวนการทำอาหาร นโยบายการควบคุมคุณภาพ และมาตรฐาน 1. เรามีทีมไป Setup, 2. มีทีมฝึกอบรม และ 3. มีทีม QA ไปตรวจสอบร้านโดยไม่ให้ทางร้านรู้ตัว ถ้าเจอสิ่งผิดพลาด เราพัฒนาร่วมกัน แก้ไขร่วมกัน คุณธนพล ธรรพสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการ เล่าถึงการคุมคุณภาพและมาตรฐาน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53982
Retail
เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ ร่วมกับ บริษัทใด เปิดตัวแบรนด์ “ยูนีค” (Younique) ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ด้านที่อยู่อาศัย ด้วยนวัตกรรมเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดตามใจ
จากเทรนด์การปรับปรุงอยู่ที่อาศัยที่กำลังขยายตัวสูง และมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ โดยนางสุพรศรี นาคธนสุกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ ช่องทางการค้าปลีก บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ร่วมกับ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์ จำกัด โดย นายเอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดตัวแบรนด์ “ยูนีค” (Younique) ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ด้านที่อยู่อาศัย ด้วยนวัตกรรมเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดตามใจคุณ เพื่อเติมเต็มอิสระให้คนรักบ้านและชื่นชอบงานดีไซน์ โดยเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการภายใน เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ ชั้น 3 คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) บนพื้นที่ขนาด 200 ตร.ม. ซึ่งประกอบด้วยโซน World Materials มีวัสดุ ดีไซน์และสไตล์เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกหลากหลาย รวมถึงห้องตัวอย่างมากมาย อาทิ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น มุมทานอาหาร มุมทำงาน ห้องนอนสำหรับเด็ก ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ตอบโจทย์การใช้พื้นที่คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว นอกจากนี้ เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ ยังได้เปิดบริการทีมช่าง CON.X ที่วางใจได้ เพื่อช่วยเติมเต็มความต้องการของเจ้าของบ้านที่ต้องการบริการที่ครบวงจรในการ “รื้อ ซ่อม สร้าง ตกแต่ง” บ้าน โดยช่างที่มีคุณภาพและไว้วางใจได้ ให้ทุกเรื่องบ้านเป็นจริงได้ “ครบ จบที่เดียว” ผู้ที่สนใจสามารถรับบริการ ได้ที่ชั้น 3 SCG Experience สาขาเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอิทรา หรือ สอบถามรายละเอียด โทร 02-101-9922 เปิดบริการเวลา 10:00-19:00 น. ทุกวัน
จากเทรนด์การปรับปรุงอยู่ที่อาศัยที่กำลังขยายตัวสูง และมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ ร่วมกับ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์ จำกัด เปิดตัวแบรนด์ “ยูนีค” (Younique) ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ด้านที่อยู่อาศัย ด้วยนวัตกรรมเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดตามใจ เพื่อเติมเต็มอิสระให้คนรักบ้านและชื่นชอบงานดีไซน์ โดยเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการภายใน เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ ชั้น 3 คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) บนพื้นที่ขนาด 200 ตร.ม. ซึ่งประกอบด้วยโซน World Materials มีวัสดุ ดีไซน์และสไตล์เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกหลากหลาย รวมถึงห้องตัวอย่างมากมาย อาทิ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น มุมทานอาหาร มุมทำงาน ห้องนอนสำหรับเด็ก ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ตอบโจทย์การใช้พื้นที่คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53987
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ทุกคนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว
null
กล่องใส หัวใจสีเขียว ท้องฟ้ายามเช้าสาดแสงสีทองลงบนถนนหนทาง เสียงรถเริ่มดังระงม ผู้คนต่างรีบเร่งไปทำงาน เช่นเดียวกับ "นลิน" พนักงานสาวในแผนกจัดซื้อของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เช้านี้เธอมีภารกิจสำคัญ นั่นคือ การเดินทางไปร่วมพิธีมอบเครื่องกำจัดขยะอาหารให้กับมูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง "เฟสท์" แบรนด์บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย และพันธมิตร 9 องค์กร หนึ่งในนั้นคือห้างสรรพสินค้าที่เธอทำงานอยู่ นลินรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เธอตระหนักดีว่าปัญหาขยะอาหารเป็นปัญหาใหญ่ของโลก การนำขยะอาหารกลับมาใช้ประโยชน์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อไปถึงงาน นลินได้พบกับ "คุณวิชาญ" ผู้แทนจากเฟสท์ เขาอธิบายว่าเครื่องกำจัดขยะอาหารนี้สามารถย่อยสลายขยะอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ช่วยลดปริมาณขยะและมลพิษสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก นลินนึกภาพตามว่า หากห้างสรรพสินค้าสามารถนำเครื่องกำจัดขยะอาหารนี้มาใช้ จะช่วยลดปริมาณขยะจากร้านอาหารภายในห้างได้มากขนาดไหน เธอเริ่มมีไอเดียใหม่ เธอคิดว่าห้างฯ น่าจะรณรงค์ให้ร้านค้าเช่าพื้นที่ภายในห้างฯ ใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่ย่อยสลายได้ง่าย หรือสนับสนุนให้ลูกค้าพกภาชนะมาเองเพื่อลดการใช้กล่องโฟม หลังจากงานจบ นลินรีบกลับไปที่ห้างฯ เธอเตรียมนำเสนอไอเดียของเธอต่อผู้จัดการแผนก เธอหวังว่าจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงและสร้างประโยชน์ให้กับสิ่งแวดล้อม "คุณกานดา" ผู้จัดการแผนก ฟังไอเดียของนลินด้วยความสนใจ เธอเห็นด้วยกับนลินว่า การลดปริมาณขยะอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญ และห้างฯ ควรมีบทบาทในเรื่องนี้ คุณกานดา поручилаให้ นลิน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ การจัดการขยะอาหาร และ เสนอแผนงานที่ชัดเจน นลิน รู้สึก ตื่นเต้น กับ โอกาส ที่เธอ จะได้ ทำงาน ที่เธอ รัก และ ช่วยให้ โลก ของเรา น่าอยู่ ขึ้น "กล่องใส หัวใจสีเขียว" ของ นลิน ไม่ได้ เป็นแค่ กล่องใส ธรรมดา แต่ เป็น สัญลักษณ์ ของ ความ หวัง และ ความ มุ่งมั่น ที่จะ เปลี่ยนแปลง โลก ให้ ดีขึ้น
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53999
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....วิกฤตคือโอกาส: ธุรกิจที่ดีสามารถเติบโตได้แม้ในยามวิกฤต
null
โอกาสในวิกฤต: บทเรียนจากแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ ท่ามกลางความมืดหม่นของวิกฤตเศรษฐกิจ ธุรกิจหลายประเภทต้องล้มละลาย ผู้คนตกงาน ทว่า ยังมีบางธุรกิจที่ยืนหยัดและเติบโตได้ หนึ่งในนั้นคือ ธุรกิจค้าปลีกร้านสะดวกซื้อ "ณัฐ" พนักงานออฟฟิศวัย 28 ปี กำลังเผชิญกับภาวะถูกเลิกจ้างจากบริษัท เธอรู้สึกสิ้นหวัง อนาคตที่เคยสดใสกลับมืดมิดลงทันที ในขณะที่เธอกำลังมองหางานใหม่ เธอก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับ "แฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ท" รูปแบบใหม่ ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ โดยไม่ต้องมีเงินลงทุนสูง ณัฐตัดสินใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแฟรนไชส์เพิ่มเติม เธอรู้สึกทึ่งกับศักยภาพของธุรกิจค้าปลีกร้านสะดวกซื้อ ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้คน ประกอบกับเงื่อนไขการันตีรายได้ขั้นต่ำ 30,000 บาทต่อเดือน ในระยะเวลา 1 ปี ทำให้เธอตัดสินใจสมัครแฟรนไชส์ หลังจากผ่านการอบรมอย่างเข้มข้น ณัฐก็พร้อมเปิดร้านแฟมิลี่มาร์ทของตัวเอง เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจ บริหารจัดการร้านอย่างมืออาชีพ ดูแลลูกค้าด้วยความใส่ใจ สินค้าในร้านมีความหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ร้านของณัฐประสบความสำเร็จ ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง เธอมีรายได้ที่มั่นคง ณัฐรู้สึกภูมิใจที่สามารถสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0