ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Finance_2923 | Finance | Schroders คืออะไร | null | Schroders คือ กลุ่มบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ขนาดใหญ่จากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี 1804 บริษัทมีพนักงานมากกว่า 4,100 คน มีสำนักงานมากกว่า 40 ที่ใน 27 ประเทศทั่วโลก Schroders ยังเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนด้วย โดยมีตัวย่อหุ้นว่า SDR.L ซึ่งถ้าดูผลตอบแทนของหุ้น Schroders จะเห็นว่าหุ้นของบริษัทฟื้นเร็วมากจากปี 2008 และหลังจากนั้นก็ขึ้นมาตลอด ถือว่าเป็นบริษัทที่เก่งมากบริษัทหนึ่ง
ลงทุนในกองทุนของ Schroders ดียังไง?
1. Schroders มีกลยุทธการลงทุนที่ครบเครื่องมากๆ ผสมผสาน Top Down และ Bottom up เข้าด้วยกัน โดยมีเกณท์การให้นํ้าหนักในการคัดเลือกหุ้นด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
- มูลค่าที่เหมาะสม 43% ดูจาก P/Bv, P/E, ส่วนต่างของผลตอบแทนที่แท้จริง และ P/E ระยะยาว 5 ปี
- การเติบโต 15% ดูจากการเติบโตของกำไร, การปรับเป้าผลกำไร และ ผลตอบแทนต่ส่วนของผู้ถือหุ้น
- ความเสี่ยง 17% ดูจากอัตราแลกเปลี่ยนและสุดส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP
- โมเม็นตัมของราคา 20% ดูจากการเหวี่ยงตัวของราคาและการปรับนํ้าหนักการลงทุน
- อัตราดอกเบี้ย 5% ดูจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง
2. ผลตอบแทนที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำได้ดีกว่าตลาดโดยเฉลี่ยอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 10 ปี นอกจากนั้นยังมีความผันผวนที่ตํ่ากว่าตลาดอีกด้วย ผลตอบแทนดีแต่มีความเสี่ยงตํ่า ตั้งแต่ตั้งกองทุนสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ถึงปีละ 4.3% ต่อปีชนะดัชนี MSCI Emerging Market ที่ให้ผลตอบแทนต่อปีแค่ 3.2% โดยมีผลตอบแทนรวมสูงถึง 53.92% (จากข้อมูลของเดือนเมษายน 2560)
3. เนื่องจาก Schroders เป็นบริษัทข้ามชาติ จึงมีสำนักงานและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอยู่ทั่วโลก ปัจจัยนี้ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแบบที่นักลงทุนธรรมดาไม่มีวันเข้าถึงได้ และสามารถปรับพอร์ทการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ | ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2924 | Finance | จงเสนอไอเดีย 3 วิธี การวางแผนเลือกประกันสุขภาพ สำหรับคนงบจำกัด ให้หน่อย | null | 1. บัตรทอง 30 บาท – สิทธิ์เล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม
ขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน หากไม่ได้เข้าระบบประกันสังคม หรือระบบข้าราชการ ทุกคนจะต้องมีสวัสดิการนี้ครับ แค่ใส่เลขประจำตัวประชาชนเข้าไป ก็ได้แล้วครับ แน่นอนว่าระบบนี้เป็นระบบขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการรับบริการอาจจะมีขั้นตอนนิดนึงครับ แต่เชื่อว่ายังไงระบบสวัสดิการนี้ก็น่าจะได้รับการพัฒนาให้ดีมากขึ้นไปเรื่อยๆครับ
2. ประกันสังคม – สวัสดิการพรีเมี่ยมในราคาย่อมเยาว์
สวัสดิการประกันสังคมเป็นสวัสดิการที่ลูกจ้างทุกคนที่อยู่ในระบบจะต้องทำครับ โดยเก็บเงินจากลูกจ้างส่วนหนึ่งและนายจ้างอีกส่วนหนึ่งส่งให้กับกองทุนนี้ โดยสิทธิ์ที่จะได้จากประกันสังคมไม่ใช่แค่เรื่องการรักษาพยาบาลและอุบัติเหตุนะครับ แต่ยังได้รับผลประโยชน์ในกรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน ได้อีกด้วย เรียกว่าผลประโยชน์แบบ 7 in 1 เลยทีเดียว (มาตรา 33)
3. สวัสดิการเพิ่มเติมจากที่ทำงาน (ประกันสุขภาพ/ประกันอุบัติเหตุ)
ถ้าเป็นผู้ที่ทำงานรัฐวิสาหกิจ แต่ละที่จะมีระเบียบในการเบิกจ่ายแตกต่างกันไปครับ แต่หลักๆก็จะได้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐ ถ้าเข้าไปรักษาเอกชน ก็อาจจะมีการร่วมออกเงินค่ารักษาให้บางส่วน แต่หากทำงานในภาคเอกชน ส่วนใหญ่ก็อาจจะทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมให้ หรืออาจจะทำประกันอุบัติเหตุเพิ่มเติมให้กับลูกจ้าง อันนี้ใครได้มากได้น้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละที่ทำงาน แต่ที่แน่ๆคือสวัสดิการนี้เป็นสวัสดิการที่ “ติดเก้าอี้” หากวันใดวันหนึ่งที่เราลุกออกจากตำแหน่งนี้ไป สวัสดิการก็ไม่ได้ตามไปด้วยแต่อย่างใด | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2925 | Finance | รายได้ของ Alphabet มาจากไหนบ้าง? | ส่องรายได้ และอนาคตของ Google หุ้น 20 เด้ง ยักษ์ใหญ่ที่กำลังปฏิวัติตัวเอง ส่องรายได้ และอนาคตของ Google หุ้น 20 เด้ง ยักษ์ใหญ่ที่กำลังปฏิวัติตัวเอง หลายท่านอาจเคยได้ยินว่า.. ทุกๆ วินาที มีคน Search ผ่าน Google ถึง 2.3 ล้านครั้ง
1 ปี มีคน Search ทั้งหมด 2 ล้านล้านครั้ง หลายท่านอาจเคยได้ยินว่า.. ทุกๆ วินาที มีคน Search ผ่าน Google ถึง 2.3 ล้านครั้ง 1 ปี มีคน Search ทั้งหมด 2 ล้านล้านครั้ง เราทุกคนใช้ผลิตภัณฑ์จาก Google ตลอดเวลาๆ เพราะไม่ว่าจะเป็น search engine, ระบบปฏิบัติการ Android, Google Map, Youtube, หรือ Gmail เป็นต้น ล้วนเป็นของ Google หมด .. ฟังดูยิ่งใหญ่ใช่ไหม? เราทุกคนใช้ผลิตภัณฑ์จาก Google ตลอดเวลาๆ เพราะไม่ว่าจะเป็น search engine, ระบบปฏิบัติการ Android, Google Map, Youtube, หรือ Gmail เป็นต้น ล้วนเป็นของ Google หมด .. ฟังดูยิ่งใหญ่ใช่ไหม? ใช่ครับ เขายิ่งใหญ่ และมีสินค้ามากเสียจน ต้องจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Alphabet มาเป็นเป็น Holding Company ของ Google อีกทีหนึ่ง (หรือที่เรียกว่าเป็นบริษัทแม่) โดยแบ่งสินค้าและบริการของ Google ออกตามตัวอักษร (Alphabet) นั่นเอง ใช่ครับ เขายิ่งใหญ่ และมีสินค้ามากเสียจน ต้องจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Alphabet มาเป็นเป็น Holding Company ของ Google อีกทีหนึ่ง (หรือที่เรียกว่าเป็นบริษัทแม่) โดยแบ่งสินค้าและบริการของ Google ออกตามตัวอักษร (Alphabet) นั่นเอง หุ้น Google นั่นมีมูลค่าการตลาด (Market Capitalization) อยู่ที่ 6.63 แสนล้านดอลล่าห์ (22.5 ล้านล้านบาท) ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียง Apple เท่านั้น บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1999 รายได้ของบริษัทนั้นเติบโตมาตลอด และนับตั่งแต่บริษัทเริ่มมีกำไรในปี 2001 กำไรก็เติบโตมาตลอดเช่นกัน เป็นบริษัทที่สุดยอดมากๆ หุ้น Google นั่นมีมูลค่าการตลาด (Market Capitalization) อยู่ที่ 6.63 แสนล้านดอลล่าห์ (22.5 ล้านล้านบาท) ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียง Apple เท่านั้น บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1999 รายได้ของบริษัทนั้นเติบโตมาตลอด และนับตั่งแต่บริษัทเริ่มมีกำไรในปี 2001 กำไรก็เติบโตมาตลอดเช่นกัน เป็นบริษัทที่สุดยอดมากๆ อ่านถึงตรงนี้แล้วอาจงง ว่าปฏิวัติอะไร … อ่านถึงตรงนี้แล้วอาจงง ว่าปฏิวัติอะไร … คำตอบคือ รายได้ครับ คำตอบคือ รายได้ครับ รายได้ของ Alphabet มาจากไหนบ้าง รายได้ของ Alphabet มาจากไหนบ้าง 1. รายได้กว่า 71% นั้นมาจากค่าโฆษณาบนเวปไซต์ของ Google ซึ่งหลักๆมาจากโฆษณาใน Search Engine ที่เรียกว่า Adwords … ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก 71% 1. รายได้กว่า 71% นั้นมาจากค่าโฆษณาบนเวปไซต์ของ Google ซึ่งหลักๆมาจากโฆษณาใน Search Engine ที่เรียกว่า Adwords … ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก 71% ตัวเลือกแรกๆ ที่เขียนว่า ads หรือกล่องสีเหลือง (แล้วแต่ devices) ให้เรากดหลัง search นั่นแหละครับ ที่เขาได้เงิน ตัวเลือกแรกๆ ที่เขียนว่า ads หรือกล่องสีเหลือง (แล้วแต่ devices) ให้เรากดหลัง search นั่นแหละครับ ที่เขาได้เงิน ทั้งนี้ Google นั้นครองส่วนแบ่งตลาด Search engine ทั้งโลกอยู่ประมาณ 73.5% ทิ้งห่างคู่แข่งอันดับสองอย่าง Bing ของ Microsoft แบบไม่เห็นฝุ่น ( Bing มีส่วนแบ่งการตลาด 10.4%) นอกจากนี้ รายได้ส่วนนี้ก็รวมถึงค่าโฆษณาบนเวปไซต์ของ Google อย่าง Youtube ด้วย ทั้งนี้ Google นั้นครองส่วนแบ่งตลาด Search engine ทั้งโลกอยู่ประมาณ 73.5% ทิ้งห่างคู่แข่งอันดับสองอย่าง Bing ของ Microsoft แบบไม่เห็นฝุ่น ( Bing มีส่วนแบ่งการตลาด 10.4%) นอกจากนี้ รายได้ส่วนนี้ก็รวมถึงค่าโฆษณาบนเวปไซต์ของ Google อย่าง Youtube ด้วย 2. รายได้อันดับสองมาจากบริการที่เรียกว่า Adsense Network ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 16% ของรายได้ทั้งหมด รายได้ส่วนนี้นั้นเป็นรายได้จากค่าโฆษณาเช่นกัน 2. รายได้อันดับสองมาจากบริการที่เรียกว่า Adsense Network ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 16% ของรายได้ทั้งหมด รายได้ส่วนนี้นั้นเป็นรายได้จากค่าโฆษณาเช่นกัน แต่เป็นรายได้ค่าโฆษณาที่เกิดในเวปไซต์ที่เป็นพาร์เนอร์กับ Google แล้วนำการนำเสนอโฆษณาของ Google ไปอยู่บนเวปไซต์ของตนเอง แต่เป็นรายได้ค่าโฆษณาที่เกิดในเวปไซต์ที่เป็นพาร์เนอร์กับ Google แล้วนำการนำเสนอโฆษณาของ Google ไปอยู่บนเวปไซต์ของตนเอง 3.รายได้อื่นๆอีก 13% นั้นมากจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งที่เป็นซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์
เช่น รายได้จากการขาย Application บน Google Play, รายได้จากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่าง Pixel หรือ Chromecast อุปกรณ์สำหรับสตรีมมิ่ง เป็นต้น 3.รายได้อื่นๆอีก 13% นั้นมากจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งที่เป็นซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ เช่น รายได้จากการขาย Application บน Google Play, รายได้จากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่าง Pixel หรือ Chromecast อุปกรณ์สำหรับสตรีมมิ่ง เป็นต้น … น่าตกใจครับ ที่สินค้าอื่นๆของ Google นั้นแทบไม่สร้างรายได้ให้เลย !! … น่าตกใจครับ ที่สินค้าอื่นๆของ Google นั้นแทบไม่สร้างรายได้ให้เลย !! จึงไม่แปลกที่บริษัทปรับโครงสร้างตั้ง holding company อย่าง Alphabet ในปี 2015 เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถทำให้บริษัทมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะสร้างรายได้ให้บริษัทนอกเหนือจากการพึ่งค่าโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกที่บริษัทปรับโครงสร้างตั้ง holding company อย่าง Alphabet ในปี 2015 เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถทำให้บริษัทมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะสร้างรายได้ให้บริษัทนอกเหนือจากการพึ่งค่าโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ ในช่วง Social Media Boom นั้นเกิดคู่แข่งสำคัญอย่าง Facebook Twitter ขึ้นมา จนทำให้ จึงทำให้เสียตำแหน่ง Monopoly ทางด้าน Internet ไป จนผู้ถือหุ้นวิพากย์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากนั้นจึงได้แบ่งหุ้นเป็น GOOG (มีสิทธิ์ออกเสียง) และ GOOGL (ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง) และเดินหน้าต่อเนื่องเพื่อเพิ่มสินค้าและบริการ ที่จำเป็นในอนาคตเพื่อคงความเป็นผู้นำ ในช่วง Social Media Boom นั้นเกิดคู่แข่งสำคัญอย่าง Facebook Twitter ขึ้นมา จนทำให้ จึงทำให้เสียตำแหน่ง Monopoly ทางด้าน Internet ไป จนผู้ถือหุ้นวิพากย์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากนั้นจึงได้แบ่งหุ้นเป็น GOOG (มีสิทธิ์ออกเสียง) และ GOOGL (ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง) และเดินหน้าต่อเนื่องเพื่อเพิ่มสินค้าและบริการ ที่จำเป็นในอนาคตเพื่อคงความเป็นผู้นำ ด้วยเหตุฉะนี้ ผู้ก่อตั้งอย่าง Larry Page จึงลุกขึ้นเพื่อปฏิวัติ Google !!! เพื่อผลักดันธุรกิจ อื่นๆ ให้สำเร็จให้ได้ เป็นการปฏิวัติทางสินค้า และนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีครับ จึงได้จัดตั้งและย้ายตัวเองไปเป็น CEO ของ Alphabet เพื่อดูแลธุรกิจในเครือทั้งหมด ส่วน Google นั่นได้มอบหมายให้ Sundar Pichai มาเป็น CEO แทน ด้วยเหตุฉะนี้ ผู้ก่อตั้งอย่าง Larry Page จึงลุกขึ้นเพื่อปฏิวัติ Google !!! เพื่อผลักดันธุรกิจ อื่นๆ ให้สำเร็จให้ได้ เป็นการปฏิวัติทางสินค้า และนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีครับ จึงได้จัดตั้งและย้ายตัวเองไปเป็น CEO ของ Alphabet เพื่อดูแลธุรกิจในเครือทั้งหมด ส่วน Google นั่นได้มอบหมายให้ Sundar Pichai มาเป็น CEO แทน Google เองนั้นเดินหน้าต่อ Sundar Pichai ตั้งใจมุ่งเน้นเปลี่ยนเป็นบริษัทเกี่ยวกับ AI แบบเต็มตัว (“AI-first company.”) โดยการนำเทคโนโลยี Machine Learning และ AI มาใช้ เพื่อยกระดับสินค้าและบริการของ Google เช่น Google เองนั้นเดินหน้าต่อ Sundar Pichai ตั้งใจมุ่งเน้นเปลี่ยนเป็นบริษัทเกี่ยวกับ AI แบบเต็มตัว (“AI-first company.”) โดยการนำเทคโนโลยี Machine Learning และ AI มาใช้ เพื่อยกระดับสินค้าและบริการของ Google เช่น การพัฒนาโครงการ AlphaGo ซึ่งเป็น AI ที่เอาชนะคนเล่นโกะที่เก่งที่สุดในโลกไปแล้ว
การพัฒนา AI มาใช้กับ Google Photo โปรมแกรมจัดการเรื่องรูปถ่ายที่แสนฉลาดซึ่งมีผู้ใช้แล้วมากกว่า 500 ล้านคน
การใช้ AI การช่วยในการบริหารจัดการให้ลูกค้าโฆษณาแบบเครือข่ายของ Google ได้มีประสิทธิภาพมาขึ้น
Google Assistant ที่ Google บอกว่าฉลาดกว่า SIRI ของทางค่าย Apple การพัฒนาโครงการ AlphaGo ซึ่งเป็น AI ที่เอาชนะคนเล่นโกะที่เก่งที่สุดในโลกไปแล้ว การพัฒนา AI มาใช้กับ Google Photo โปรมแกรมจัดการเรื่องรูปถ่ายที่แสนฉลาดซึ่งมีผู้ใช้แล้วมากกว่า 500 ล้านคน การใช้ AI การช่วยในการบริหารจัดการให้ลูกค้าโฆษณาแบบเครือข่ายของ Google ได้มีประสิทธิภาพมาขึ้น Google Assistant ที่ Google บอกว่าฉลาดกว่า SIRI ของทางค่าย Apple โปรเจคอื่นๆที่ทาง Alphabet พยายามสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำให้กับบริษัทก็มีมากมาย โดยเฉพาะ การเปิดตัว AI ชิป และ supercomputer ที่เรียกว่า Clouds TPU … เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมอื่นๆ โปรเจคอื่นๆที่ทาง Alphabet พยายามสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำให้กับบริษัทก็มีมากมาย โดยเฉพาะ การเปิดตัว AI ชิป และ supercomputer ที่เรียกว่า Clouds TPU … เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์หรือยานยนต์, อุปกรณ์อัจฉริยะ (Home Automation) พวกอุปกรณ์เครื่องตรวจจับอุณหภูมิ เครื่องตรวจจับควัน และกล้อง CCTV อัจฉริยะ ภายใต้บริษัทลูกชื่อ Nest Lab, หรือจะเป็นโครงการพัฒนารถไร้คนขับ (Autonomous car) ภายใต้บริษัทชื่อ Waymo ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์หรือยานยนต์, อุปกรณ์อัจฉริยะ (Home Automation) พวกอุปกรณ์เครื่องตรวจจับอุณหภูมิ เครื่องตรวจจับควัน และกล้อง CCTV อัจฉริยะ ภายใต้บริษัทลูกชื่อ Nest Lab, หรือจะเป็นโครงการพัฒนารถไร้คนขับ (Autonomous car) ภายใต้บริษัทชื่อ Waymo The Bottomline – บทสรุป The Bottomline – บทสรุป แน่นอนว่ารายได้จากค่าโฆษณาจะยังคงเป็นรายได้หลักของ Alphabet ไปอีกนาน เนื่องจาก Market Share ที่ Google ครองอยู่ในระดับสูง แน่นอนว่ารายได้จากค่าโฆษณาจะยังคงเป็นรายได้หลักของ Alphabet ไปอีกนาน เนื่องจาก Market Share ที่ Google ครองอยู่ในระดับสูง สิ่งที่นักลงทุนต้องหมั่นศึกษาหากสนใจลงทุนในหุ้นตัวนี้ คือสินค้าและบริการใหม่ๆที่จะออกมา ว่าจะสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนให้บริษัทได้หรือไม่ สิ่งที่นักลงทุนต้องหมั่นศึกษาหากสนใจลงทุนในหุ้นตัวนี้ คือสินค้าและบริการใหม่ๆที่จะออกมา ว่าจะสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนให้บริษัทได้หรือไม่ บางโครงการก็มีแป้กเหมือนกัน อย่างเช่น Google Glass เป็นต้น ส่วนธุรกิจที่น่าสนใจคือธุรกิจ Cloud ที่ Google จะใช้เทคโนโลยี AI อย่างเต็มที่ เพื่อดึงดูดให้นักพัฒนาและผู้ใช้ End User มาใช้กัน ซึ่งแน่นอนว่าการเปิดตัวนี้ก็ทำให้ Amazon ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจด้านนี้ หนาวๆร้อนๆได้เหมือนกัน บางโครงการก็มีแป้กเหมือนกัน อย่างเช่น Google Glass เป็นต้น ส่วนธุรกิจที่น่าสนใจคือธุรกิจ Cloud ที่ Google จะใช้เทคโนโลยี AI อย่างเต็มที่ เพื่อดึงดูดให้นักพัฒนาและผู้ใช้ End User มาใช้กัน ซึ่งแน่นอนว่าการเปิดตัวนี้ก็ทำให้ Amazon ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจด้านนี้ หนาวๆร้อนๆได้เหมือนกัน ก็ต้องรอดูนะครับ เพราะทับไลน์ Apple Microsoft เต็มๆ
andriod vs ios นั้นก็ดู กิน กันไม่ขาด
AI ก็ยังหาเจ้าตลาดไม่ได้ ก็ต้องรอดูนะครับ เพราะทับไลน์ Apple Microsoft เต็มๆ andriod vs ios นั้นก็ดู กิน กันไม่ขาด AI ก็ยังหาเจ้าตลาดไม่ได้ | 1. รายได้กว่า 71% นั้นมาจากค่าโฆษณาบนเวปไซต์ของ Google ซึ่งหลักๆมาจากโฆษณาใน Search Engine ที่เรียกว่า Adwords … ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก 71%
ตัวเลือกแรกๆ ที่เขียนว่า ads หรือกล่องสีเหลือง (แล้วแต่ devices) ให้เรากดหลัง search นั่นแหละครับ ที่เขาได้เงิน
ทั้งนี้ Google นั้นครองส่วนแบ่งตลาด Search engine ทั้งโลกอยู่ประมาณ 73.5% ทิ้งห่างคู่แข่งอันดับสองอย่าง Bing ของ Microsoft แบบไม่เห็นฝุ่น ( Bing มีส่วนแบ่งการตลาด 10.4%) นอกจากนี้ รายได้ส่วนนี้ก็รวมถึงค่าโฆษณาบนเวปไซต์ของ Google อย่าง Youtube ด้วย
2. รายได้อันดับสองมาจากบริการที่เรียกว่า Adsense Network ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 16% ของรายได้ทั้งหมด รายได้ส่วนนี้นั้นเป็นรายได้จากค่าโฆษณาเช่นกัน
แต่เป็นรายได้ค่าโฆษณาที่เกิดในเวปไซต์ที่เป็นพาร์เนอร์กับ Google แล้วนำการนำเสนอโฆษณาของ Google ไปอยู่บนเวปไซต์ของตนเอง
3.รายได้อื่นๆอีก 13% นั้นมากจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งที่เป็นซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์
เช่น รายได้จากการขาย Application บน Google Play, รายได้จากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่าง Pixel หรือ Chromecast อุปกรณ์สำหรับสตรีมมิ่ง เป็นต้น
สินค้าอื่นๆของ Google นั้นแทบไม่สร้างรายได้เลย | ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2926 | Finance | นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนขนาดเล็กควรลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มากกว่าลงทุนในหุ้นโดยตรงหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
1. ความเสี่ยง:
กองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นโดยตรง เพราะว่าตราสารหนี้มีรายได้สม่ำเสมอจากดอกเบี้ย
ตราสารหนี้มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ (default) น้อยกว่าหุ้น
กองทุนรวมตราสารหนี้มีการกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในตราสารหนี้หลายตัว
2. ผลตอบแทน:
กองทุนรวมตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่แน่นอนกว่าการลงทุนในหุ้น
ผลตอบแทนจากกองทุนรวมตราสารหนี้มีความผันผวนต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น
3. สภาพคล่อง:
กองทุนรวมตราสารหนี้มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน
4. ระยะเวลาการลงทุน:
กองทุนรวมตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะสั้นถึงปานกลาง
5. เงินลงทุนขั้นต่ำ:
กองทุนรวมตราสารหนี้มีเงินลงทุนขั้นต่ำที่ต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินทุนจำกัด
ตัวอย่าง:
นาย A มีเงินลงทุน 10,000 บาท เขาสามารถลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท
นาย A ต้องการเงินลงทุนสำรองฉุกเฉิน เขาสามารถลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ
นาย A ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน เขาสามารถลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีผลตอบแทนที่แน่นอนกว่าการลงทุนในหุ้น
ข้อควรระวัง:
กองทุนรวมตราสารหนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
ผลตอบแทนจากกองทุนรวมตราสารหนี้อาจจะไม่สูงเท่าการลงทุนในหุ้น
สรุป:
นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนขนาดเล็กควรลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มากกว่าลงทุนในหุ้นโดยตรง เพราะว่ากองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนที่แน่นอน สภาพคล่องสูง และเงินลงทุนขั้นต่ำที่ต่ำ
คำอธิบายเพิ่มเติม:
กองทุนรวมตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนที่หลากหลาย เช่น ต้องการเงินลงทุนสำรองฉุกเฉิน ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน ต้องการกระจายความเสี่ยง
นักลงทุนควรเลือกกองทุนรวมตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมตราสารหนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2927 | Finance | Netflix จากร้านให้เช่า DVD สู่บริษัทมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ได้อย่างไร | null | ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 Netflix ก็ปฏิวัติธุรกิจให้เช่าและขาย DVD โดยให้เช่า DVD ได้ผ่านทางไปรษณีย์ (DVD rental by mail) ซึ่งผู้เช่าก็จ่ายค่าเช่าหนังเป็นเรื่องๆไป (Pay-per-rent model) จนเจ้าตลาด บริษัท Blockbuster ยังต้องร้อง
แค่นั้นยังไม่พอ สองปีต่อมา Netflix ยังใจกล้าคิดระบบใหม่ขึ้นมา นั้นก็คือการเสนอให้ลูกค้ามาสมัครเป็นสมาชิกรายเดือน (Flat-rate monthly subscription) ซึ่งสมาชิกสามารถเช่าหนังได้ไม่จำกัดเรื่อง ไม่ถูกกำหนดวันคืน DVD ไม่ต้องโดนปรับหาก ส่งคือ DVD ช้า ไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายๆใดๆเพิ่มไม่ว่าจะเช่าหนังเก่าหรือหนังใหม่
“แม่เจ้า! ดีอย่างนี้ทำไมจะไม่ลองสมัครดู” ด้วยการบริการใหม่นี้ Netflix สามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดมาจากผู้ให้บริการอื่นๆมาได้ จน Blockbuster ได้ขอเสนอซื้อ Netflix ในราคา 50 ล้านดอลล่าห์ ในปี 2002 แต่ Netflix ก็ตอบปฏิเสธไป (ปัจจุบัน Blockbuster ได้ล้มละลายไปเรียบร้อยแล้ว)
ต่อมาเมื่อกระแส DVD เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำ และความเร็วของ Internet สูงมากขึ้น ในปี Netflix จึงเริ่มให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งผ่านอินเตอร์เนต และต่อมาในปี 2013 Netflix ก็ดังเป็นพลุแตก ราคาหุ้นเริ่มขึ้นแรง เมื่อบริษัทตัดสินใจเป็นผู้ผลิตซีรีย์ต่างๆเป็นของตัวเอง ที่เรียกว่า “Netflix Original”
แน่นอนว่า ณ เวลานั้นมีผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งมากมาย แต่การที่ Netflix มีหนังและซีรีย์เป็นของตัวเองนั้น คือการสร้างความพิเศษให้กับลูกค้าของตัวเอง (Exclusivity) จึงทำให้ Netflix สามารถเป็นผู้นำในด้านนี้ได้
คนเสพย์ติด Netflix แค่ไหน?
นีลเซ่นยังคาดการณ์ว่าเวลาที่คนใช้ดูู Netflix นั้นคิดเป็นสัดส่วนถึง 46% ของเวลาทั้งหมด ที่คนใช้ดูวีดีโอต่างๆบนอินเตอร์เนต โดย youtube นั้นมาเป็นอันดับสองที่ 15% และ Hulu อันดับสามที่ 8% (Hulu คือผู้ให้บริการวิดีโอ (Video on demand ที่เป็น JV ของ Disney, 21st Century Fox และ Comcast)
ซีรีย์ที่เป็นที่โด่งดังของ Netflix ก็มีมากมาย เช่น ซีรีย์การเมืองอย่าง House of Card, ซีรีย์ชีวประวัตินักค้ายาเสพติดระดับโลก Narcos, ซีรีย์แฟนตาซีอย่่าง Stranger Things. และล่าสุดหนังของ Netflix ชื่อ Okja ที่ถูกโจมตีในงาน Cannes Festival ผ่านมา เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมงานเนื่องจากเป็นหนังที่ไม่ได้เข้าฉายในโรงหนัง
Netflix ประสบความสำเร็จอย่างมากจากกลยุทธ์นี้ ราคาหุ้นของบริษัทขึ้นจาก 23.61 ดอลล่าห์ ในปี 2013 มาอยู่ที่ 150.18 ดอลล่าห์ในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงอย่างมาก (หุ้นกลุ่ม FAANG ที่ถูกพูดถึงอย่างมาก FAANG=Facebook Apple Amazon Netflix Google)
Netflix เป็นบริษัทที่ทำการตลาดได้ถูกจุด และกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนบริษัทประสบความสำเร็จ แม้แต่ Amazon ที่มีลูกค้ารายเดือนอย่าง Amazon Prime ก็เริ่มหันมามี ซีรีย์ของตัวเอง อย่างเรื่อง Amarican Gods โดยคาดหวังว่าลูกค้าจะจงรักภักดีกับแบรด์ของตนเอง | ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2928 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง การหาหุ้นตัวแรกสำหรับการลงทุน ให้หน่อยค่ะ | 1. แนวโน้มเติบโต บริษัทที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับหุ้นตัวแรกคือบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งจริงๆแล้วการเติบโตสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท แต่ผมเชื่อว่าสำหรับคนที่ลงทุนครั้งแรกนั้นไม่สามารถทำอะไรที่ซับซ้อนได้มากนักเนื่องจากภาวะตลาดเป็นตัวกดดัน ดังนั้นผมมีคำแนะนำสำหรับส่วนนี้คือ มีแนวโน้มรายได้ที่เติบโต
มีแนวโน้มกำไรที่เติบโต เพียง 2 ข้อดังกล่าวก็พอเพียงสำหรับการดูแนวโน้มของบริษัทที่เราจะลงทุน โดยภาพรวมแล้วบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตไม่จำเป็นต้องมีการเติบโตทุกๆไตรมาส ความผันผวนของรายได้และกำไรสามารถเกิดขึ้นได้บ้าง แต่แนวโน้มภาพใหญ่นั้นต้องเติบโต 2. ราคาหุ้นไม่แพงเกินไป สิ่งที่มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนของเรามากที่สุดคือต้นทุนที่เราลงทุน ดังนั้นการลงทุนที่ดีนั้นจะต้องลงทุนด้วยราคาที่สมเหตุสมผล ไม่แพงเกินไป แต่หลักการเหล่านี้เป็นนามธรรมมากเกินไป สำหรับผู้ที่เริ่มลงทุนครั้งแรกไม่สามารถประเมินได้เท่าไหร่นักว่าราคาสมเหตุสมผลคือเท่าไหร่ เพราะเรื่องนี้ต้องใช้ประสบการณ์และจินตนาการของเราซึ่งเราจะเริ่มมีสะสมมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อลงทุน หากต้องการสิ่งที่เป็นรูปธรรมสำหรับการลงทุนในหุ้นตัวแรก ผมแนะนำว่าเราสามารถดูค่า PE ได้เลย โดยที่ PE ที่เราลงทุนควรจะระมัดระวังไม่ให้เกิน 15 เท่าสำหรับหุ้นตัวแรก เราสามารถทำเช่นนี้ได้เพราะเรากรองข้อ 1 มาแล้วว่าบริษัทมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งตรงนี้จะเป็นการตัดบริษัทที่มีผลประกอบการผันผวนออกไปแล้ว ทำให้การใช้ PE สมเหตุสมผลมากขึ้น 3. มีปันผลหล่อเลี้ยง การผันผวนของราคาอาจจะทำให้เราเกิดความกังวลในการลงทุนครั้งแรกของเรา เราอาจจะเริ่มไม่มั่นใจเมื่อราคาหุ้นตกลงและเริ่มมั่นใจเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น แต่จุดนี้เป็นจุดที่เราไม่ควรให้ความสำคัญมากนักเนื่องจากไม่มีผลต่อการลงทุนของเรา แต่หากมองสิ่งที่จะทำให้เราคลายความกังวลจากการลงทุนได้คือบริษัทควรจะมีปันผลให้เราระหว่างทาง แต่จุดสังเกตุที่ดีว่าบริษัทที่เราลงทุนไม่แพงเกินไปคือราคาต้นทุนที่เราซื้อหุ้นควรจะให้ปันผลอย่างน้อย 4% หากต่ำกว่านี้ผมถือว่าหุ้นไม่เหมาะสำหรับการลงทุนครั้งแรก 4. ลงทุนด้วยเงินไม่มาก หลังจากที่เราคัดกรองด้วย 3 ข้อข้างต้น เราก็จะได้หุ้นมาจำนวนหนึ่งซึ่งเหล่านี้มีความปลอดภัยในการลงทุนระดับหนึ่งอยู่แล้ว การลงทุนของเราจะเก่งมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเราจะต้องเริ่มลงเงินจริง ให้เราเลือกบริษัทที่เราคิดว่าน่าจะมีอนาคตดีมากที่สุดในความรู้ที่เรามี ณ จุดนั้น เมื่อเราเลือกได้แล้วให้เราลงทุนด้วยเงินสัดส่วนไม่มากนัก เช่น 5-10% ของเงินทุนทั้งหมดที่เราเตรียมไว้ ทั้งนี้เปรียบเสมือนการหย่อนขาลงบ่อน้ำด้วยขาข้างเดียวก่อน จุดประสงค์เพื่อให้เรารู้จักตลาดหุ้นของจริงว่าเป็นอย่างไร และให้เราเรียนรู้อารมณ์เมื่อเราอยู่ในตลาด | การหาหุ้นตัวแรกสำหรับการลงทุนมีวิธีดังนี้
1. บริษัทที่มีแนวโน้มเติบโต การลงทุนครั้งแรกไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากภาวะตลาดเป็นตัวกดดัน ดังนั้นการดูแนวโน้มของบริษัทที่จะลงทุนต้องมีแนวโน้มรายได้และกำไรที่เติบโต
2. ราคาหุ้นไม่แพงเกินไป ผู้ที่เริ่มลงทุนครั้งแรกไม่สามารถประเมินได้ว่าราคาสมเหตุสมผลคือเท่าไหร่ ต้องใช้ประสบการณ์ ใช้การดูค่า PE ที่ลงทุนไม่ให้เกิน 15 เท่าสำหรับหุ้นตัวแรก
3. มีปันผลหล่อเลี้ยง ควรปันผลอย่างน้อย 4% ถ้าต่ำกว่านั้นไม่เหมาะสำหรับการลงทุนครั้งแรก
4. ลงทุนด้วยเงินไม่มาก หุ้นที่ได้จาก 3 ข้อแรกมีความปลอดภัยในการลงทุนระดับหนึ่งแล้ว ถึงเวลาลงทุนอย่างจริงจังด้วยเงิน ให้เลือกบริษัทที่มีอนาคตที่ดีแล้วลงทุนด้วยเงินในสัดส่วนที่ไม่มากนัก | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2930 | Finance | อุปนิสัย 7 ประการ เพื่อประสิทธิผลสูงของการวางแผนลงทุน มีอะไรบ้าง | อุปนิสัย 7 ประการ เพื่อประสิทธิผลสูงของการวางแผนลงทุน
คุณเป็นอีกคนใช่ไหม ที่ลงทุนก็เจ๊งไปตลอด
คุณเป็นอีกคนใช่ไหม ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มวางแผนลงทุนอย่างไร
คุณเป็นอีกคนใช่ไหม ที่ลงทุนไปแต่ไม่เคยถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ หลายคนคงเคยได้ยิน “อุปนิสัย 7 ประการ ของผู้มีประสิทธิผลสูง”
“อุปนิสัย” เป็นผลรวมขององค์ประกอบส่วนบุคคลในด้านความรู้
ทักษะและทัศนคติ วิธีคิดและนิสัยที่ถูกต้องจะช่วยให้ทุกท่านบรรลุเป้าหมายในการลงทุนเสมอ
หลักการ Logic ต่างๆ ในการวิเคราะห์การลงทุน เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
ถ้าปราศจากวิธีคิดและนิสัยที่ถูกต้อง ต่อให้จบ ดร ด้านการเงิน ก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ แต่วันนี้ ผมจะบอกถึง “อุปนิสัย 7 ประการ เพื่อประสิทธิผลสูงของการวางแผนลงทุน”
“อุปนิสัย” ที่จะทำให้การลงทุนของท่านบรรลุเป้าหมายของคุณ อุปนิสัยที่ 1 : เริ่มที่เป้าหมายการในใจ หลายคนลงทุนแทบจะไม่รู้เลยว่า ลงทุนทำไมลงทุนไปแล้ว ปลายทางสุดท้ายอยากได้เงินเท่าไร
เป้าหมายทางของการลงทุนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น เป้าหมายเพื่อการเกษียณ เป็นเป้าหมายระยะยาว, เป้าหมายเพื่อเก็บเงินระยะสั้นภายในเวลา 2-3 ปี, เป้าหมายจะต้องชัดเจน จำนวนเท่าไรที่ต้องการ จำนวนปีที่ต้องได้เงิน แต่หลายๆ คน แค่เริ่มต้นก็ผิดเสียแล้ว!!!!!!!!!!! อุปนิสัยที่ 2 : เริ่มต้นตอนนี้!!!! ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง เริ่มต้นก่อนตอนนี้ อย่ารอ จงใช้พลังของดอกเบี้ยทบต้น
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สุดยอดนักวิทยาศาสตร์อัฉริยะของโลก ได้กล่าวไว้ว่า “The most powerful force in the universe
is compound interest” หรือ “พลังที่ทรงอำนาจมากที่สุดในจักรวาล
ก็คือดอกเบี้ยทบต้น” ผมขอยกตัวอย่าง
ลงทุนทุกปี ปีละ 14,000 บาท ถ้าได้ผลตอบแทนปีละ 20% ทุก 10 ปีจะมียอดเงินสะสมดังนี้
– ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
– ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
– ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท จะเห็นได้ว่า ยิ่งออมนาน ลงทุนก่อน ผลตอบแทนยิ่งมากกว่า เพราะผลของดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) นั่นเอง จำไว้ว่า
ผลตอบแทนสูงที่คาดหวังอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่ระยะเวลา คุณกำหนดเองได้ อุปนิสัยที่ 3 : จงเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่จะลงทุน ในการเรียนรู้ให้ท่อแท้ในสิ่งที่จะลงทุน ควรศึกษาหาข้อมูลในสิ่งที่จะต้องลงทุน จะทำอะไรศึกษาหาข้อมูลในสิ่งที่จะต้องลงทุนให้ดีและละเอียด คนเราผิดพลาดในการลงทุนได้ แต่จะต้องหาข้อผิดพลาด และกลับมาแก้ไขในการลงทุน อุปนิสัยที่ 4 : เข้าใจความเสี่ยงก่อนเสมอ ในการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ จงถามเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนก่อนเสมอ อย่าพึ่งติดกับดัก เรื่องผลตอบแทน เพราะผลตอบแทนเห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ผลตอบแทนที่เราคำนวณได้ เป็นผลตอบแทนในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ต้องรู้จักลดความเสี่ยงในการลงทุนโดยการกระจายการลงทุน หรือเราเรียกว่าการทำ Asset Allocation จำไว้ว่าการกระจายสินทรัพย์ในการลงทุนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการสร้างผลตอบแทนที่มีเสถียรภาพ ก่อนที่คุณจะทำ Asset Allocation จะต้องเข้าใจในผลตอบแทน vs ความเสี่ยงแต่ละสินทรัพย์ ต้องตั้งคำถามถึง ความเสี่ยงเสมอในการลงทุนสินทรัพย์แต่ละตัวจะต้องทำ Asset Allocation ตามเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ อุปนิสัยที่ 5 : มองและค้นหาสินทรัพย์ที่ดี!!!! เลือกหลักทรัพย์ในการลงทุนอย่างละเอียด โดยลำดับต่อไปการเลือก หลักทรัพย์รายตัวที่จะลงทุน ยกตัวอย่าง จะลงทุนใน หุ้นที่ทรงคุณค่า เช่น KBank AOT หรือ AIS ก็จะเลือกว่า จะลงทุนในหุ้นตัวไหน อาจจะใช้การวิเคราะห์แบบ Top down approach คือ เริ่มจากวิเคราะห์เศรษฐกิจ ต่อไปก็วิเคราะห์อุตสาหกรรม แล้วค่อยวิเคราะห์หุ้นรายตัว หรือ buttom up approach คือ หาบริษัท์ที่น่าสนใจ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่น มีสินค้าใหม่ Processใหม่ที่ทำให้ต้นทุนลดลง ขยายตลาดใหม่ไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ หรือ พื้นที่ใหม่ อุปนิสัยที่ 6 : รู้จักรอคอย เมื่อคุณคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะเข้าไปซื้อซื้อสินทรัพย์นั้นเลย คุณจะต้องรู้ว่า ราคาที่เหมาะสมที่จะต้องเข้าทำการซื้ออยู่ที่เท่าไร ต้องรู้จักการรอคอย รอคอยจนราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสมในการลงทุน ตามหลักการ “ ซื้อถูก ขายแพง” อย่าซื้อตรงยอดราคาสูงสุด อย่าเข้าไปอยู่ในวังวนของการปั่นราคาสินทรัพย์ อุปนิสัยที่ 7 : ลด Overconfident Bias จงลดอคติเรื่อง “ความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป” ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การลงทุนเปลี่ยนแปลงก็เช่นกัน ที่เราคิดคำนวณไว้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ความเสี่ยงอาจจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจะต้องลด ความมั่นใจในตัวเองที่มากเกินไป จะต้องตรวจสอบสิ่งที่ลงทุนตลอด อย่าวิเคราะห์เข้าข้างตัวเองเยอะเกินไป จะต้องมีการวัด performance ของการลงทุนสม่ำเสมอ จะต้องเทียบผลกับ benchmark เช่น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ก็เปรียบเทียบกับ SET Index เป็นต้น sompoj patsuwan
สมพจน์ พัดสุวรรณ
#wealthguru | อุปนิสัย 7 ประการ เพื่อประสิทธิผลสูงของการวางแผนลงทุน ได้แก่
อุปนิสัยที่ 1 : เริ่มที่เป้าหมายการในใจ
หลายคนลงทุนแทบจะไม่รู้เลยว่า ลงทุนทำไมลงทุนไปแล้ว ปลายทางสุดท้ายอยากได้เงินเท่าไร เป้าหมายทางของการลงทุนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น เป้าหมายเพื่อการเกษียณ เป็นเป้าหมายระยะยาว, เป้าหมายเพื่อเก็บเงินระยะสั้นภายในเวลา 2-3 ปี, เป้าหมายจะต้องชัดเจน จำนวนเท่าไรที่ต้องการ จำนวนปีที่ต้องได้เงิน แต่หลายๆ คน แค่เริ่มต้นก็ผิดเสียแล้ว
อุปนิสัยที่ 2 : เริ่มต้นตอนนี้ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
เริ่มต้นก่อนตอนนี้ อย่ารอ จงใช้พลังของดอกเบี้ยทบต้น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้ว่า “The most powerful force in the universe is compound interest” หรือ “พลังที่ทรงอำนาจมากที่สุดในจักรวาล ก็คือดอกเบี้ยทบต้น”
อุปนิสัยที่ 3 : จงเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่จะลงทุน
ในการเรียนรู้ให้ท่อแท้ในสิ่งที่จะลงทุน ควรศึกษาหาข้อมูลในสิ่งที่จะต้องลงทุน จะทำอะไรศึกษาหาข้อมูลในสิ่งที่จะต้องลงทุนให้ดีและละเอียด มนุษย์ผิดพลาดในการลงทุนได้ แต่จะต้องหาข้อผิดพลาด และกลับมาแก้ไขในการลงทุน
อุปนิสัยที่ 4 : เข้าใจความเสี่ยงก่อนเสมอ
ในการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ ต้องถามเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนก่อนเสมอ อย่าพึ่งติดกับดัก เรื่องผลตอบแทน เพราะผลตอบแทนเห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ผลตอบแทนที่คำนวณได้ เป็นผลตอบแทนในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ต้องรู้จักลดความเสี่ยงในการลงทุนโดยการกระจายการลงทุน หรือเรียกว่าการทำ Asset Allocation จำไว้ว่าการกระจายสินทรัพย์ในการลงทุนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการสร้างผลตอบแทนที่มีเสถียรภาพ ก่อนที่จะทำ Asset Allocation จะต้องเข้าใจในผลตอบแทน กับ ความเสี่ยงแต่ละสินทรัพย์ ต้องตั้งคำถามถึงความเสี่ยงเสมอในการลงทุนสินทรัพย์แต่ละตัวจะต้องทำ Asset Allocation ตามเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ
อุปนิสัยที่ 5 : มองและค้นหาสินทรัพย์ที่ดี
เลือกหลักทรัพย์ในการลงทุนอย่างละเอียด โดยการเลือกหลักทรัพย์รายตัวที่จะลงทุน ยกตัวอย่าง จะลงทุนในหุ้นที่ทรงคุณค่า เช่น KBank AOT หรือ AIS ก็จะเลือกว่า จะลงทุนในหุ้นตัวไหน อาจจะใช้การวิเคราะห์แบบ Top down approach คือ เริ่มจากวิเคราะห์เศรษฐกิจ ต่อไปก็วิเคราะห์อุตสาหกรรม แล้วค่อยวิเคราะห์หุ้นรายตัว หรือ buttom up approach คือ หาบริษัทที่น่าสนใจ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่น มีสินค้าใหม่ Processใหม่ ที่ทำให้ต้นทุนลดลง ขยายตลาดใหม่ไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ หรือ พื้นที่ใหม่
อุปนิสัยที่ 6 : รู้จักรอคอย
เมื่อคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเข้าไปซื้อซื้อสินทรัพย์นั้นเลย จะต้องรู้ว่า ราคาที่เหมาะสมที่จะต้องเข้าทำการซื้ออยู่ที่เท่าไร ต้องรู้จักการรอคอย รอคอยจนราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสมในการลงทุน ตามหลักการ “ ซื้อถูก ขายแพง” อย่าซื้อตรงยอดราคาสูงสุด อย่าเข้าไปอยู่ในวังวนของการปั่นราคาสินทรัพย์
อุปนิสัยที่ 7 : ลด Overconfident Bias
จงลดอคติเรื่อง “ความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป” ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การลงทุนเปลี่ยนแปลงก็เช่นกัน ที่คิดคำนวณไว้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ความเสี่ยงอาจจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจะต้องลดความมั่นใจในตัวเองที่มากเกินไป จะต้องตรวจสอบสิ่งที่ลงทุนตลอด อย่าวิเคราะห์เข้าข้างตัวเองเยอะเกินไป | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2931 | Finance | Social Network ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกคืออะไร | 1. LINE
2. instagram
3. Messenger
4. Facebook | ข้อที่ถูกต้องคือ 4. เพราะว่า ปัจจุบัน Facebook เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก คือมีจำนวนถึง 1,936 ล้านคน (Monthly Active Users: MAUs) คิดคร่าวๆ จะพบว่าจำนวนคนที่ใช้งาน Facebook ประจำทุกเดือน คิดเป็น 31.5% ของประชากรโลกที่ไม่นับรวมจำนวนคนจีนถูกห้ามใช้ Facebook นอกจากนี้ Facebook ยังเป็นเจ้าของทั้ง Instagram และ Whatsapp ที่มีผู้ใช้ 700 ล้านคน และ 1,200 คนตามลำดับ ปัจจุบัน Facebook เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก คือมีจำนวนถึง 1,936 ล้านคน (Monthly Active Users: MAUs) คิดคร่าวๆ จะพบว่าจำนวนคนที่ใช้งาน Facebook ประจำทุกเดือน คิดเป็น 31.5% ของประชากรโลกที่ไม่นับรวมจำนวนคนจีนถูกห้ามใช้ Facebook นอกจากนี้ Facebook ยังเป็นเจ้าของทั้ง Instagram และ Whatsapp ที่มีผู้ใช้ 700 ล้านคน และ 1,200 คนตามลำดับ กำไรของบริษัทเติบโตประมาณ 7 เท่านับตั้งแต่ IPO มาในปี 2012 หากนักลงทุนซื้อที่ราคา IPO ที่ราคา 38$ ถือมาถึงปัจจุบัน 150.64$ จะได้รับผลตอบแทนคิดเป็น 296% ส่วนผลประกอบกาในไตรมาสแรก ปี 2560 บริษัทมีรายได้ถึง 8.03 พันล้านดอลล่าห์ ซึ่งเติบโต 49% YoY มีกำไร 3.06 พันล้านดอลล่าห์ เติบโตถึง 76.2% YoY ซึ่งการเติบโตนี้เป็นผลจากทั้งจำนวนคนใช้ Facebook และ Instagram ที่เพิ่มขึ้นและงบโฆษณาที่เกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มทั้งสองอย่างนี้ กำไรของบริษัทเติบโตประมาณ 7 เท่านับตั้งแต่ IPO มาในปี 2012 หากนักลงทุนซื้อที่ราคา IPO ที่ราคา 38$ ถือมาถึงปัจจุบัน 150.64$ | ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2934 | Finance | การเติบโตทางการเงิน (Financial Growth) มีความสัมพันธ์กับทัศนคติอย่างไร | null | จากบทความ "การเติบโตเป็นเรื่องของทัศนคติ" อธิบายว่าทัศนคติที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในหลายแง่มุม รวมถึงการเติบโตทางการเงิน
ทัศนคติ หมายถึง ความคิด ความเชื่อ และมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ทัศนคติที่ดีต่อการเงินจะส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจทางการเงิน นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ส่งผลดีต่อความมั่งคั่ง
ตัวอย่างทัศนคติที่ดีต่อการเงิน
เชื่อมั่นในอนาคตทางการเงิน: มองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นว่าสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้
ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้: ใฝ่หาความรู้ด้านการเงิน เรียนรู้วิธีการจัดการเงิน ลงทุน และสร้างรายได้
มุ่งเน้นการสร้างคุณค่า: ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้อื่น สร้างคุณค่าให้กับสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน
มุ่งเน้นผลงาน: ทุ่มเท ทำงานอย่างหนัก มุ่งเน้นผลลัพธ์ โดยไม่หวังคำชม
ตั้งคำถาม: ตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมาย กลยุทธ์ และวิธีการทางการเงิน เพื่อค้นหาแนวทางที่ดีที่สุด
ทัศนคติดี ส่งผลดีต่อการเติบโตทางการเงิน ดังนี้:
การออม: บุคคลที่มีทัศนคติดีต่อการเงิน มักมีวินัยในการออม เก็บออมเงินอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออนาคต
การลงทุน: กล้าที่จะลงทุน เรียนรู้ ศึกษา วิเคราะห์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางการเงิน
การใช้จ่าย: ใช้จ่ายอย่างฉลาด รู้จักวางแผน ควบคุมอารมณ์ หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเกินตัว
การจัดการหนี้สิน: มีวินัยในการชำระหนี้ พยายามปลดหนี้ เพื่อความมั่นคงทางการเงิน
ตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน:
วอร์เรน บัฟเฟตต์: นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง เชื่อมั่นในพลังของการออม ลงทุนระยะยาว มุ่งเน้นคุณค่า
เรย์ ดาลิโอ: ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
โอปราห์ วินฟรีย์: ผู้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน มุ่งเน้นการสร้างคุณค่า ช่วยเหลือผู้อื่น สร้างแรงบันดาลใจ
สรุป:
ทัศนคติดี ส่งผลต่อพฤติกรรม การตัดสินใจ นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีต่อการเติบโตทางการเงิน บุคคลที่มีทัศนคติดี มักมีวินัย ใฝ่หาความรู้ มุ่งเน้นการสร้างคุณค่า ทำงานอย่างหนัก และตั้งคำถาม
การปรับเปลี่ยนทัศนคติ:
เรียนรู้: ศึกษาหาความรู้ เรื่องการเงิน ลงทุน การจัดการเงิน
เปลี่ยนความคิด: มองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นในตัวเอง ตั้งเป้าหมาย
ปรับพฤติกรรม: ฝึกวินัย ควบคุมอารมณ์ วางแผนการเงิน
หาแรงบันดาลใจ: ศึกษาเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ต้องอาศัยเวลา ความพยายาม และความสม่ำเสมอ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ คุ้มค่ากับการลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2935 | Finance | จงเขียนเรื่องสั้น เกี่ยวกับ "รอยยิ้มสู่อนาคต: การเตรียมความพร้อมสำหรับเกษียณของเด็กจบใหม่" การวางแผนเกษียณสำหรับเด็กจบใหม่ (ภาคทฤษฎี) | null | หัวข้อ: การวางแผนเกษียณสำหรับเด็กจบใหม่ (ภาคทฤษฎี)
เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตก็จะเดินหน้ามายังตอนที่ต้องเผชิญกับการวางแผนเกษียณแล้ว แต่สำหรับคนที่เพิ่งจบการศึกษามา การวางแผนเกษียณอาจดูเป็นเรื่องที่ห่างไกล แต่ต้องรู้ว่าการวางแผนเกษียณนั้นเป็นหลักการสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตหลังเกษียณมีความมั่นคงและมีความสุข
ดังนั้น นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับการวางแผนเกษียณสำหรับเด็กจบใหม่ในภาคทฤษฎี
เมื่อจบการศึกษามาแล้ว สิ่งแรกที่พวกเขาอาจจะคิดถึงก็คือการหางานที่ดี การซื้อบ้านหรือรถ และบางครั้งอาจยังมีแผนที่จะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม การวางแผนเกษียณก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น ควรเริ่มต้นจากการเรียนรู้หลักการพื้นฐานของการวางแผนเกษียณอย่างเต็มตัว
การวางแผนเกษียณไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันต้องการความระมัดระวังและการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ น้องๆ ควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเกษียณอย่าง
ได้เปรียบ คิดให้ดีว่าอีก 30 ปีข้างหน้า ต้องการอยู่อย่างไร และต้องการมีชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคงและมีความสุขอย่างไร
หลังจากกำหนดเป้าหมายแล้ว น้องๆ ควรทำการวางแผนการเงินที่เป็นรากฐานให้ดี โดยการเริ่มต้นออมเงินและลงทุนตั้งแต่เยาวชนอาจเป็นการเริ่มต้นที่ดี ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับการ
ลงทุนในหุ้น ตลาดเงิน หรือกองทุนรวม เพื่อให้มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับวิธีการเตรียมการเงินสำหรับเกษียณ
นอกจากนี้ การวางแผนเกษียณยังควรพิจารณาเรื่องการรักษาสุขภาพและการเตรียมตัวสำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเทอม หรือค่าใช้จ่ายในการ
ท่องเที่ยว เรียนรู้ว่ามีบริการสุขภาพในเกษียณอย่างไร และการวางแผนสำหรับการดูแลสุขภาพในวัยเกษียณนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
นอกจากนี้ การวางแผนเกษียณยังควรพิจารณาถึงการสร้างฐานภูมิทัศน์สังคมที่มั่นคง หากมีครอบครัว ควรพิจารณาเรื่องการมีประกันชีวิต เพื่อให้ครอบครัวได้รับการคุ้มครองเมื่อ
เกิดเหตุอันฉุกเฉิน และการเตรียมพร้อมเพื่อการดูแลกันเองหลังเกษียณก็เป็นสิ่งสำคัญ
สรุป : การวางแผนเกษียณไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนมากนัก แต่มันต้องการความระมัดระวังและการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ ควรเริ่มต้นสร้างแผนเพื่อชีวิตหลังเกษียณอย่างเต็มที่ และไม่ลืมว่าเริ่มต้นอย่างเร็วเท่าไรก็ดี จะทำให้มีชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคงและมีความสุขได้อย่างแท้จริง | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2936 | Finance | นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะเจ้ามือในตลาดหุ้นได้หรือไม่? | null | ใช่ นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะเจ้ามือในตลาดหุ้นได้ เหตุผล:
ความได้เปรียบของเจ้ามือ:
เจ้ามือมีทุนหนา: เจ้ามือมีเงินทุนจำนวนมากที่ใช้ควบคุมราคาหุ้น ซื้อขายหุ้นจำนวนมหาศาลเพื่อดันราคาหรือกดราคา
ข้อมูลภายใน: เจ้ามืออาจมีข้อมูลภายในเกี่ยวกับบริษัทที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
อิทธิพล: เจ้ามือมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้น สามารถชี้นำราคาและสร้างความตื่นตระหนก
ข้อเสียของเจ้ามือ:
เป้าหมาย: เจ้ามือมีเป้าหมายหลักคือทำกำไร อาจใช้วิธีการที่ไม่โปร่งใส
ความเสี่ยง: เจ้ามือต้องเผชิญความเสี่ยงสูง
ข้อจำกัด: เจ้ามือไม่ได้ควบคุมตลาดหุ้นได้ทั้งหมด ตลาดหุ้นมีกลไกควบคุมและตรวจสอบ
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนรายย่อย:
ลงทุนระยะยาว: มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี ไม่หวังผลตอบแทนระยะสั้น
กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายประเภท
ควบคุมอารมณ์: ใจเย็น ไม่กลัว ไม่โลภ
ศึกษาหาความรู้: เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุน วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน วิเคราะห์ทางเทคนิค
ใช้เทคโนโลยี: ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
ตัวอย่างนักลงทุนรายย่อยที่ประสบความสำเร็จ:
วอร์เรน บัฟเฟตต์: เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย เน้นลงทุนระยะยาว
ปีเตอร์ ลินช์: เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
เบนจามิน เกรแฮม: เน้นลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า
ข้อควรระวัง:
การเอาชนะเจ้ามือไม่ใช่เรื่องง่าย
นักลงทุนรายย่อยต้องมีความอดทน
การลงทุนมีความเสี่ยง
สรุป:
นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะเจ้ามือในตลาดหุ้นได้ แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม การศึกษาหาความรู้ และการควบคุมอารมณ์ นักลงทุนรายย่อยก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2937 | Finance | หาก PTT แยกทางกับ CPALL (7-Eleven) จริง อะไรคือกลยุทธ์ที่ PTT ควรใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ Jiffy ให้สามารถแข่งขันกับ 7-Eleven ได้? | null | PTT มีจุดอ่อนหลายประการ ดังนี้:
จำนวนสาขา: Jiffy มีจำนวนสาขา significantly น้อยกว่า 7-Eleven
Know-how : PTT ขาดประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก
Synergy: ธุรกิจ Jiffy ยังไม่มี synergy กับธุรกิจหลักของ PTT
Disruption: ธุรกิจน้ำมัน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ PTT มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก Disrupt จากเทรนด์รถไฟฟ้า
กลยุทธ์ที่ PTT ควรใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ Jiffy :
1. พัฒนาจุดแข็ง:
สร้างจุดแข็ง ให้กับ Jiffy เช่น สินค้าเฉพาะ บริการที่แตกต่าง หรือ ราคาที่ competitive
พัฒนา Know-how : PTT ควรหาพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก หรือ ลงทุนพัฒนาระบบ บุคลากร และ เทคโนโลยี ของตัวเอง
สร้าง Synergy: PTT ควรหาทางเชื่อมโยง Jiffy กับธุรกิจหลัก เช่น ให้คะแนนสะสม หรือ โปรโมชั่นร่วมกับธุรกิจอื่นๆ ของ PTT
2. รับมือกับจุดอ่อน:
ขยายสาขา: PTT จำเป็นต้องขยายสาขา Jiffy อย่างรวดเร็ว
ลดความเสี่ยงจาก Disruption: PTT ควรกระจายความเสี่ยง โดยลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน
ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ PTT สามารถนำไปใช้:
พัฒนา Jiffy ให้เป็นร้านสะดวกซื้อสำหรับคนรักรถ: PTT มีจุดแข็งในธุรกิจน้ำมัน ดังนั้น Jiffy สามารถพัฒนาสินค้า บริการ และ โปรโมชั่น ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถ เช่น บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน ตรวจเช็คสภาพรถ หรือ ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับรถ
จับมือกับพันธมิตร: PTT สามารถหาพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก เช่น CPALL หรือ Alibaba เพื่อร่วมพัฒนา Jiffy
ลงทุนในเทคโนโลยี: PTT สามารถลงทุนในเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อพัฒนาระบบการจัดการร้าน สินค้า และ บริการ ของ Jiffy
ขยายสาขา Jiffy ในสถานีบริการน้ำมัน PTT : PTT มีสถานีบริการน้ำมันอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดตั้งสาขา Jiffy ได้
พัฒนาธุรกิจอื่นๆ : PTT ควรลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ หรือ ธุรกิจ Healthcare
สรุป:
หาก PTT ต้องการพัฒนาธุรกิจ Jiffy ให้สามารถแข่งขันกับ 7-Eleven ได้ จำเป็นต้องพัฒนาจุดแข็ง รับมือกับจุดอ่อน และ หาพันธมิตรที่มีประสบการณ์ | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2939 | Finance | การเป็นลูกที่ดี หมายถึงการเป็น "สินทรัพย์" ของแม่เสมอไปหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
ความหมายของ "สินทรัพย์": ในทางการเงิน :
สินทรัพย์ หมายถึง สิ่งที่มีมูลค่าและสามารถสร้างประโยชน์หรือกระแสเงินสดในอนาคตได้
การเป็น "สินทรัพย์" ของแม่: การเป็นลูกที่ดี ไม่ได้แปลว่าต้องเป็น "สินทรัพย์" ของแม่เสมอไป เพราะการเป็น "สินทรัพย์" ของแม่ หมายถึง การสร้างผลตอบแทนทางการเงินให้กับแม่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับแม่เสมอไป
ความสำคัญของ "ความสุข": สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับแม่ คือ ความสุขของลูก การที่ลูกมีชีวิตที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิต อาจจะสร้างความสุขให้กับแม่มากกว่าการเป็น "สินทรัพย์"
ภาระหน้าที่อื่นๆ: การเป็นลูกที่ดี ไม่ได้จำกัดแค่การเป็น "สินทรัพย์" ยังมีภาระหน้าที่อื่นๆ ที่ลูกควรทำ เช่น ดูแลเอาใจใส่ ให้เกียรติ อยู่เคียงข้าง ยามแม่เจ็บป่วย หรือ ยามแม่ต้องการ
ความแตกต่างของแต่ละบุคคล :
แต่ละคนมีสถานะทางการเงิน ความสามารถ และ โอกาส ที่แตกต่างกัน
ตัวอย่าง :
ลูกคนหนึ่ง อาจจะไม่มีรายได้ แต่เขาเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียน มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง อนาคตเขามีโอกาสประสบความสำเร็จ ลูกอีกคนหนึ่ง ทำงานหาเงินได้ แต่เขามีภาระค่าใช้จ่ายเยอะ
ลูกอีกคนหนึ่ง อาจจะทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้กับแม่
สรุป :
การเป็นลูกที่ดี ไม่ได้แปลว่าต้องเป็น "สินทรัพย์" ของแม่เสมอไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลูกควรทำหน้าที่ของตัวเอง ดูแลเอาใจใส่ ให้เกียรติ อยู่เคียงข้าง ยามแม่เจ็บป่วย หรือ ยามแม่ต้องการ และ พยายามทำสิ่งที่สร้างความสุขให้กับแม่ | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2940 | Finance | เคล็ดลับความสำเร็จของ Zara คืออะไร | A. พรีเซนเตอร์
B. ความทันสมัย
C. เครือข่ายที่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างหน้าร้าน, นักออกแบบและโรงงาน ที่สมบูรณ์ได้เพราะคนที่ทำ 3 อย่างนั้นอยู่ในบริษัทเดียวกัน
D. ราคาขายย่อมเยาว์ | คำตอบคือ C. เพราะว่า
ในช่วงเดือนมกราคมปี 2004 หุ้น Zara หรือบริษัท Inditex SA อยู่ที่ราคาประมาณ 3.12 ยูโร อีก 13 ปีถัดมา หุ้น Inditex ขึ้นไปสูงสุดที่ราคาประมาณ 36.60 ยูโร หรือคิดเป็นผลตอบแทนมากกว่า 1,000% ในระยะเวลา 13 ปี หากลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านเงินก้อนนั้นจะกลายเป็น 10 ล้าน และหากลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านเงินก้อนนั้นจะโตถึง 100 ล้าน ในปี 1996 Inditex เคยมีรายได้แค่ 167,000 ยูโร หรือแค่ประมาณ 6,500,000 บาทไทยเท่านั้น (ถ้าคำนวณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันไม่นับเงินเฟ้อ)
ปัจจุบันนี้ Inditex มีรายได้ถึง 23,000 ล้านยูโรหรือประมาณ 900,000 ล้านบาทไทย รายได้โตขึ้นมา 136 เท่าในระยะเวลาแค่ 20 ปี มีสาขามากกว่า 7,292 สาขาใน 93 ประเทศทั่วโลก มีพนักงาน 162,450 คน มีแบรนด์ในบริษัทมากมายเช่น Massimo Dutti, Pull&Bear และ Bershka อะไรคือกลยุทธที่ทำให้ Inditex และ Zara โตมาได้ขนาดนี้ ในขณะที่ทุกคนหันไปลดต้นทุน จ้างคนอื่นผลิต และอัดงบโฆษณา
แต่ Amancio Ortega ผู้ก่อตั้ง Zara กลับคิดต่างออกไป Amancio Ortega มองว่าความคล่องตัวและประสิทธิภาพคือหัวใจของ Zara ดังนั้น Zara จึงผลิตสินค้าเอง มากกว่า 50% ของเสื้อผ้าถูกผลิตจากประเทศใกล้ๆสเปนแทนที่จะเป็นจีนเพื่อให้การขนส่งและประสานงานเป็นไปได้ง่าย Zara อาจจะดูเหมือนเป็นแค่ Fast fashion แต่จริงๆแล้ว Zara เป็นมากกว่านั้น เคล็ดลับความสำเร็จของ Zara คือเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างหน้าร้าน นักออกแบบและโรงงาน ที่สมบูรณ์ได้เพราะคนที่ทำ 3 อย่างนั้นอยู่ในบริษัทเดียวกัน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2942 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทแอ๊ปเปิ้ล ให้หน่อยค่ะ | เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา แอ๊ปเปิ้ล ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัท และได้ส่งผลให้ราคาหุ้นของ แอ๊ปเปิ้ล พุ่งสูงขึ้น 5.11% ในวันถัดมา รายได้สำหรับไตรมาสนี้ ที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ก่อนการประกาศอยู่ที่ 44,900 ล้านเหรียญ แต่แอ๊ปเปิ้ลรายงานรายได้รวมที่ 45,408 ล้านเหรียญ ดีกว่าที่ตลาดคาด จุดที่น่าสนใจคือ ตอนนี้แอ๊ปเปิ้ลกำลังก้าวจากการผลิตเครื่องไอโฟนขายไปเป็นรายได้จากการให้บริการ แม้ว่าปัจจุบัน รายได้กว่า 80% ของ Apple นั้นมาจากการขายอุปกรณ์ อย่าง iPhone และ iPad แต่ดาวเด่นดวงต่อไปคือ Apple Services เช่น App Store และ iTunes ที่สร้างรายได้ให้ แอ๊ปเปิ้ล ในไตรมาสนี้ถึง 7.3 พันล้านเหรียญ โตขึ้นจากปีที่แล้ว 22% โดยรายได้จาก App Store นั้นมากกว่าของคู่แข่งอย่าง Google Play ถึง 2 เท่า คาดว่าในอนาคตอันใกล้ Apple Services น่าจะขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญให้กับบริษัทไม่ต่างจาก iPhone | ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทแอ๊ปเปิ้ล ได้ประกาศ ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2560 ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 44,900 ล้านเหรียญ แต่บริษัทแอ๊ปเปิ้ลประกาศว่ารายได้รวมอยู่ที่ 45,408 ล้านเหรียญ ซึ่งดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้ในวันถัดมา หุ้นของบริษัทแอ๊ปเปิ้ลก็พุ่งสูงขึ้นเป็น 5.11% สิ่งที่น่าสนใจคือ การให้บริการ Apple Services สร้างรายได้ให้บริษัทถึง 7.3 พันล้านเหรียญ บริษัทแอ๊ปเปิ้ลคาดการณ์ว่าจะเป็นกำลังสำคัณของบริษัทไม่ต่างจาก iPhone | ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2943 | Finance | อะไรคือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนตามแนวคิด "Price is what you pay. Value is what you get"? | null | แนวคิด "Price is what you pay. Value is what you get" เป็นแนวคิดที่เน้นการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่าราคาที่จ่ายไป แนวคิดนี้มักถูกนำไปใช้กับการลงทุนในหุ้น โดยนักลงทุนจะมองหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในการลงทุน ยังมีความเสี่ยงหลายประการที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
1. การประเมินมูลค่าที่ผิดพลาด:
การประเมินมูลค่าของสินทรัพย์เป็นงานที่ยากและซับซ้อน
นักลงทุนอาจประเมินมูลค่าของสินทรัพย์สูงเกินไป
สิ่งนี้อาจนำไปสู่การซื้อสินทรัพย์ในราคาที่แพงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
2. ปัจจัยภายนอก:
ปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ สภาพคล่องในตลาด
เหตุการณ์ทางการเมือง
ภัยธรรมชาติ
สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อราคาสินทรัพย์
แม้ว่านักลงทุนจะซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่า
แต่ราคาของสินทรัพย์อาจลดลง due to
3. ความอดทน:
การลงทุนตามแนวคิดนี้มักต้องใช้เวลา
นักลงทุนอาจต้องรอคอยเป็นเวลานาน
กว่าราคาของสินทรัพย์จะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
สิ่งนี้ต้องการความอดทน
4. สภาพคล่อง:
สินทรัพย์บางประเภทอาจมีสภาพคล่องต่ำ
หมายความว่ายากที่จะซื้อหรือขาย
สิ่งนี้อาจทำให้ยากต่อการขายสินทรัพย์
กรณีที่นักลงทุนต้องการเงินสด
5. อารมณ์:
การลงทุนตามแนวคิดนี้
นักลงทุนต้องสามารถควบคุมอารมณ์
ไม่ควรกลัว
เมื่อราคาสินทรัพย์
ควรใช้เหตุผล
ตัดสินใจ
ตัวอย่าง:
สมมุติว่านักลงทุนซื้อหุ้น XYZ ในราคา 10 บาทต่อหุ้น นักลงทุนประเมินว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น XYZ อยู่ที่ 15 บาทต่อหุ้น
อย่างไรก็ตาม
ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ส่งผลให้ราคาหุ้น XYZ
ลดลงเหลือ 8 บาทต่อหุ้น
ในสถานการณ์นี้
นักลงทุนขาดทุน 2 บาทต่อหุ้น
แม้ว่านักลงทุนจะซื้อหุ้น
มูลค่า
สรุป:
แนวคิด "Price is what you pay. Value is what you get" เป็นแนวคิดที่ดี
นักลงทุนควรศึกษา
ประเมิน
ความเสี่ยง
ก่อนตัดสินใจ | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2944 | Finance | นักลงทุนควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว (Long-term Investment Portfolio) เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดที่เกิดขึ้นจากเกมนี้? | null | กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว
1. กระจายความเสี่ยง:
ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท: หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์
ลงทุนในต่างประเทศ: กระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศ
ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ: ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล
2. เน้นการลงทุนระยะยาว:
มองข้ามความผันผวนระยะสั้น
เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
เลือกบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
3. ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์:
ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ
ปรับสัดส่วนการลงทุนตามความเสี่ยง
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนระยะยาว:
หุ้น 60%: เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เติบโตสูง กระจายไปยังกลุ่มธุรกิจต่างๆ
ตราสารหนี้ 30%: เน้นตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ กระจายไปยังระยะเวลาต่างๆ
อสังหาริมทรัพย์ 5%: ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
สินค้าโภคภัณฑ์ 5%: ลงทุนในทองคำ น้ำมัน
คำแนะนำเพิ่มเติม:
ศึกษาข้อมูลการลงทุนอย่างละเอียด
ควบคุมอารมณ์ในการลงทุน
ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
อดทนรอผลตอบแทนระยะยาว
การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
"Trade War Dilemma" ส่งผลต่อตลาดการเงินอย่างมาก นักลงทุนควรมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว กระจายความเสี่ยง เน้นการลงทุนระยะยาว ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ ศึกษาข้อมูลข่าวสาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2949 | Finance | ในปีพ.ศ.2560 กองทุนในไทย มีหลายกองด้วยกันที่มี Exposure การลงทุนในเอเชียเหนือ มีอะไรบ้าง | null | TISCONA : กองทุนเปิด ทิสโก้ นอร์ธ เอเชีย อิควิตี้
กองนี้ ไปลงทุนในกองทุกหลักที่เป็น ETF อีก 4 กอง ที่คาดหวังผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับตัวดัชนี โดยซื้อกองทุนดัชนี 4 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้, ไต้หวัน, จีน และ ฮ่องกง ผ่าน MSCI Index ในสัดส่วน ทีละ 25% เท่าๆกัน จุดเด่นคือ เป็น Passive Fund และ Focus ที่เอเชียเหนือจริงๆ ค่าธรรมเนียมถูกกว่า กองทุนประเภท Active Fund
ASP-ASIAN : กองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอเชี่ยนสเปเชียลซิททูเอชั่นส์
กองทุนหลักคือ Fidelity Funds – Asian Special Situations Fund เป็นกองทุนสไตล์ Active Fund ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียทั้งหมด แต่เกินกว่า 60% ของพอร์ต ไปอยู่ในเอเชียเหนือ 4 ประเทศ เน้นลงทุนแบบ Bottom-up และ Stock Selection และ Overweight ในกลุ่มอุตสาหกรรม Technology, Financials และ Consumer Discretionary มากกว่าตลาด
SCBAEM : กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ เอเชียน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ฟันด์
มีกองทุนแม่คือ BGF Asian Growth Leaders Fund ของ Blackrock มีนโยบายเน้นลงทุนในเอเชียทั้งภูมิภาค ลงทุนในตลาดหุ้นจีนเยอะสุด 32.95% รองลงมาคือ เกาหลีใต้ 17.34% และ ไต้หวัน 10.57% ตามลำดับ โดยมีเอเชียกลาง อย่าง อินเดียในพอร์ตเช่นกันเกือบๆ 10% ให้น้ำหนักการลงทุนใน Technology , Financials และ Consumer Discretionary มากสุดตามลำดับ แต่ถ้าเทียบกับ ASP-ASIAN ก็ถือว่า มีกลุ่ม Technology และ Financials น้อยกว่าครับ แสดงว่า มีการกระจายการลงทุนที่มากกว่านิดหน่อย
B-ASIA : กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเอเชีย
กองแม่คือ Invesco Asian Equity Fund ของ Invesco เน้นลงทุนในหุ้นเอเชียเช่นเดียวกับกองทุนอื่นๆ สไตล์เป็นแบบ Bottom-up และคุมด้วยการ Diversified ที่เหมาะสม ถือหุ้นไม่เกิน 60 ตัวในแต่ละรอบปีบัญชี และให้น้ำหนักไม่เกิน 6% ในแต่ละตัวที่ถือ ปัจจุบัน อยู่ใน Technology Sector สูงถึง 35.6% ซึ่งถือเป็นกองทุนที่ลงทุนในเอเชียและมีกลุ่มเทคเยอะที่สุดอันดับสอง แล้วนะครับ อยู่ในจีน , เกาหลีใต้, ไต้หวัน และ อินเดีย มากที่สุด ตามลำดับ
UOBSA : กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย
กองทุนแม่ มาจาก บลจ. เดียวกันก็คือ บลจ.ยูโอบี ชื่อ United Asia Fund ถ้ารองจาก TISCONA ที่มี 4 ประเทศใน North Asia กองทุนนี้ จัดว่ามีเอเชียเหนือเยอะที่สุดรองลงมาเลย คือ มากกว่า 70% ของพอร์ตเลยทีเดียว ปัจจุบัน อยู่ใน Technology Sector สูงถึง 36.34% ซึ่งถือเป็นกองทุนที่ลงทุนในเอเชียและมีกลุ่มเทคเยอะที่สุดอันดับ 1 เลยนะครับ จุดเด่นอีกอย่างของกองนี้ก็คือ กระจายการลงทุนในหุ้นมากกว่ากองทุนอื่น โดยใน Top 10 Holdings มีน้ำหนักรวมเพียงแค่ 32.15% ของมูลค่า ซึ่งน้อยกว่ากองอื่นๆที่มีน้ำหนักประมาณ 40-60% | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2952 | Finance | บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในปีใด | “เทคโอเวอร์” ดัน “ไทยเบฟฯ” สู่ Growth Stock“
ครึ่งแรกของปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีผลงานที่น้อยหน้าเพื่อนบ้านในย่านเอเชียค่อนข้างมาก อาจจะเป็นเพราะปีที่แล้วเราปรับตัวขึ้นมาโดดเด่นกว่าใครปีนี้เลยโตน้อยลง โดยตั้งแต่ต้นปี SET Index ปรับตัวขึ้นเพียง 2-3% เทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฯลฯ ที่ปรับตัวขึ้นเลขสองหลัก เห็นแบบนี้ เราควรจะมีการกระจายการลงทุนออกไปยังต่างประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตกว่าหุ้นไทย การศึกษาสินค้าหรือหุ้นในต่างประเทศ จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนตัวยงควรจะเริ่มเรียนรู้ไว้เพื่อแสวงหาโอกาสได้อย่างไม่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ ผมขอเริ่มนำเสนอเรื่องราวของบริษัทหรือหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ที่สนใจลงทุนต่างประเทศได้ศึกษา โดยเริ่มจากบริษัทสัญชาติไทยที่จดทะเบียนอยู่ในต่างแดนเสียนานและทำผลงานได้ไม่เลวอีกด้วยนั่นคือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้นเบียร์ช้าง (TBEV) ที่สำคัญเพิ่งมีข่าวฮือฮาว่าได้เข้าเทคโอเวอร์กิจการแฟรนไชส์ไก่ทอดชื่อดังเคเอฟซีในประเทศไทยด้วยเงิน 11,000 ล้านบาทไปหมาดๆ หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้เจตนาส่งเสริมธุรกิจแอลกอฮอล์ให้เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ แต่อย่างไร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ปี 2006 ในราคาไอพีโอ 0.28 เหรียญสิงคโปร์ ช่วงแรกของการเข้าจดทะเบียน ราคาหุ้นแทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อาจเป็นเพราะในเวลานั้นธุรกิจหลักของไทยเบฟไม่หวือหวาเท่าใดนัก โดยมีธุรกิจหลักคือเบียร์สุรา น้ำดื่ม เครื่องดื่ม จนกระทั่ง 5 ปีที่แล้ว ไทยเบฟฯสร้างความฮือฮาด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ F&N ด้วยมูลค่ากว่า 336,000 ล้านบาท สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของการซื้อกิจการในอาเซียนเพื่อต่อยอดธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม โลจิสติกส์ ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ ที่ F&N มีอยู่ทั่วอาเซียน ทั้งนี้ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ มีอายุกว่า 100 ปี ตั้งแต่สมัยอังกฤษเข้ามาปกครองเกาะสิงคโปร์ นับตั้งแต่การซื้อกิจการ F&N ทำให้หุ้น TBEV มีความเคลื่อนไหวที่ “คึกคัก” ขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยดีลการเทคโอเวอร์กิจการต่างๆอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น บิ๊กซี และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ราคาหุ้น TBEV จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว จนราคาหุ้นขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 1.05 เหรียญสิงคโปร์ ก่อนจะปรับฐานลงมาซื้อขายแถวๆ 0.95 เหรียญสิงคโปร์ กล่าวได้ว่ากลยุทธ์การไล่เทคโอเวอร์คือปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้น TBEV คึกคักและกลายมาเป็น Growth Stock ได้ในที่สุด ปีที่แล้ว หุ้น TBEV ยังถูกจัดอันดับให้เป็นหุ้นบลูชิพที่มีผลงานดีเป็นอันดับที่สามของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) โดยราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 27% มีมูลค่าตลาดรวม 21,600 ล้านเหรียญสิงคโปร์หรือ 540,000 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่อันดับเจ็ดของสิงคโปร์ (รองจากพวก DBS,Singtel,Capital Mall อะไรพวกนี้) ลองมาดูข้อมูลจำเฉพาะของบริษัทไทยเบฟเวอเรจฯกัน ปัจจุบันเบียร์ช้างมีมาร์เกตแชร์ในตลาดเบียร์ประเทศไทย 40% จากที่เคยตกไปอยู่ที่28% และรายได้จากธุรกิจเบียร์คิดเป็นสัดส่วน 32% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนรายได้หลักจริงๆของไทยเบฟฯมาจากธุรกิจสุราถึง 55% ที่เหลือเป็นเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มาดูอัตราส่วนทางการเงินของ TBEV กัน ปัจจุบันมีค่า P/E เฉลี่ย 20 เท่า ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 20 เท่า อัตราการจ่ายปันผลอยู่ที่3.2% Gross Margin 30.47% รายได้รวมปี 2559 อยู่ที่ 139,153 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 19,036 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มปีนี้ โบรกเกอร์ทางฝั่งสิงคโปร์ ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้น TBEV ยังมีแนวโน้มเติบโตได้จากปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือการขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมาร์จินของบริษัท แต่ไทยเบฟฯจะใช้วิธีขึ้นราคาขายมาเพื่อรักษาระดับกำไรไว้ นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนในเวียดนามหลังให้ความสนใจที่จะเทคโอเวอร์ Saigon Beer ซึ่งเป็นกิจการเบียร์ของรัฐบาลเวียดนามรวมถึงเตรียมจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Vinamilk บริษัทผลิตอาหารชั้นนำของเวียดนาม OCBC Securities สิงคโปร์ ได้คาดการณ์การเติบโตของไทยเบฟฯ ไว้ว่าน่าจะมีรายได้เติบโตต่อปีอยู่ที่ 10% จากกลยุทธ์การเทคโอเวอร์ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ต้องบอกว่าเป็นหุ้นที่มี Growth Story ที่ค่อนข้างชัดเจน ใครที่สนใจจะลงทุนคงต้องใช้บัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศเนื่องจาก TBEV จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์หรือ SGX ส่วนแนวโน้มทางธุรกิจพอที่จะติดตามได้ในประเทศไทยเพราะรายได้หลักก็ยังมาจากธุรกิจเหล้าและเบียร์ในประเทศไทย แม้จะมีการขยายการลงทุนไปทั่วภูมิภาคก็ตาม | บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในปี 2006 ในราคาไอพีโอ 0.28 เหรียญสิงคโปร์ ช่วงแรกของการเข้าจดทะเบียน ราคาหุ้นแทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อาจเป็นเพราะในเวลานั้นธุรกิจหลักของไทยเบฟไม่หวือหวาเท่าใดนัก โดยมีธุรกิจหลักคือเบียร์สุรา น้ำดื่ม เครื่องดื่ม
จนกระทั่ง ไทยเบฟฯ สร้างความฮือฮาด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ F&N ด้วยมูลค่ากว่า 336,000 ล้านบาท สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของการซื้อกิจการในอาเซียนเพื่อต่อยอดธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม โลจิสติกส์ ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ ที่ F&N มีอยู่ทั่วอาเซียน ทั้งนี้ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ มีอายุกว่า 100 ปี ตั้งแต่สมัยอังกฤษเข้ามาปกครองเกาะสิงคโปร์
นับตั้งแต่การซื้อกิจการ F&N ทำให้หุ้น TBEV มีความเคลื่อนไหวที่ “คึกคัก” ขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยดีลการเทคโอเวอร์กิจการต่างๆอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น บิ๊กซี และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ราคาหุ้น TBEV จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว จนราคาหุ้นขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 1.05 เหรียญสิงคโปร์ ก่อนจะปรับฐานลงมาซื้อขายแถวๆ 0.95 เหรียญสิงคโปร์
กล่าวได้ว่ากลยุทธ์การไล่เทคโอเวอร์คือปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้น TBEV คึกคักและกลายมาเป็น Growth Stock ได้ในที่สุด
ปี 2016 หุ้น TBEV ยังถูกจัดอันดับให้เป็นหุ้นบลูชิพที่มีผลงานดีเป็นอันดับที่สามของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) โดยราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 27% มีมูลค่าตลาดรวม 21,600 ล้านเหรียญสิงคโปร์หรือ 540,000 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่อันดับเจ็ดของสิงคโปร์ (รองจาก DBS, Singtel,Capital Mall ) | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2954 | Finance | อะไรคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาหุ้น AU ในปัจจุบัน ในปี 2559 | null | 1. การเติบโตของกำไรที่ชะลอตัว ในปี 2559 กำไรของ AU โตเกิน 150% อยู่ประมาณ 2 ไตรมาส หลังจากนั้นอัตราการเติบโตของกำไรก็ลดลงเหลือ 33% ใน 3Q59, 16% ใน 4Q59 และล่าสุด -16% ใน 1Q60 สาเหตุหลักมาจากการขยายสาขาไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตน้อยกว่าสาขาในใจกลางเมือง ค่าใช้จ่ายในการขยายสาขา ค่าพนักงาน ค่าเช่า และค่าตกแต่งร้าน เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายขายและบริหารพุ่งกระฉูด ยอดขายรวมของ AU เติบโตชะลอตัวจาก 60% เหลือ 10%
2. มุมมองของนักลงทุน นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของกำไรที่ชะลอตัว ราคาหุ้น AU ปรับตัวลดลงจาก 13.50 บาท เหลือ 7.10 บาท นักลงทุนบางส่วนเริ่มขายหุ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วง
3. ปัจจัยอื่นๆ เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว กระแสการบริโภคที่ชะลอตัว ความกังวลเกี่ยวกับ Brexit
อนาคตของหุ้น AU ขึ้นอยู่กับ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย กลยุทธ์การขยายสาขาของ AU การควบคุมค่าใช้จ่าย การรักษาความนิยมในแบรนด์ After You
สรุป ราคาหุ้น AU ในปัจจุบัน สะท้อนถึงมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อการเติบโตของกำไร เศรษฐกิจไทย กระแสการบริโภค นักลงทุนควรติดตามผลประกอบการของ AU และเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและวิเคราะห์ความเสี่ยง | เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2955 | Finance | แก่นการคิดหลักของจอร์จ โซรอส มีอยู่ 2 อย่าง ที่เป็น two-way interaction คืออะไรบ้าง | กลยุทธ์การลงทุนแบบพ่อมดการเงิน George Soros
จอร์จ โซรอส ฉายาพ่อมดการเงิน เฮดฟันด์ของเขาได้ผลตอบแทนเป็นอันดับ 2 รองจากเรย์ ดาลิโอ ทั้งในปี 2015 และ 2016 (วัดจาก Net Gain หลังหักค่าธรรมเนียมแล้ว) โซรอสมีวิธีการลงทุนที่แตกต่างจากเรย์อย่างมาก และเขายังได้ชื่อว่าเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้นอีกด้วย แต่หลักการหรือแนวความคิดในการเทรดเป็นแบบเดียวกับเรย์ คือ ใช้ Global Macro Strategy ก่อนที่จะไปศึกษาแนวคิดและวิธีการของโซรอส อยากแนะนำให้ดูก่อนว่า โซรอสมีทั้งจังหวะที่ประสบความสำเร็จและผิดพลาดมาพอสมควร จนทำให้เกิดประวัติศาสตร์การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด และแย่ที่สุด Best Investment : โซรอสได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในปี 1992 จากการโจมตีค่าเงินอังกฤษ ในครั้งนั้นเขาได้รับผลตอบแทน 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Source: ProfitableTrading.com Worst Investment: ผลตอบแทนที่แย่สุดที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ปี 2008 รายละเอียดของความผิดพลาดครั้งใหญ่นี้ โซรอสได้เขียนรายละเอียดไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า The New Paradigm for Financial Markets ความผิดพลาดในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการประสบปัญหาทางการเงินของ Bear Stearns ซึ่งส่งผลให้การปล่อยกู้รหว่างสถาบันการเงินชะลอตัวลง ต้นทุนในการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น และความเสี่ยงของสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้น ก็เลยทำให้ Credit Spread เพิ่มขึ้น จน Bear Stearns ขาดทุนอย่างหนักจากกองทุน Structured Credit และท้ายที่สุดจึงขายกิจการให้ JP Morgan Chase ไป โดยมีธนาคารสหรัฐ (FED) เข้ามารับประกันราคาของสินทรัพย์ ภาพแสดงความเชื่อมโยงทางการเงิน รวบรวมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้ก่อนที่จะไปเจาะลึกถึงแนวคิดและวิธีการลงทุนของโซรอส นั่นก็คือว่า ทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้ทั้งนั้น ไม่ว่าในอดีตจะเคยประสบความสำเร็จมาอย่างโชกโชนแค่ไหนก็ตาม ฉะนั้น จึงไม่ควรประมาทกับการลงทุน The core of Soros’ thinking แก่นการคิดหลักของโซรอสมีอยู่ 2 อย่าง ที่เป็น two-way interaction คือ Cognitive คือ การที่เรา” เข้าใจ” สภาพแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญอยู่
Manipulative คือ วิธีการรับมือเพื่อ” เปลี่ยน” สภาพแวดล้อมที่เราเผชิญ ด้วยแก่นของการคิด 2 อย่างนี้ เมื่อนำมารวมกันจึงเกิดเป็น Theory of Reflexivity หรือ ทฤษฎีสะท้อนกลับ และยังเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Self-fulfilling prophecy เนื่องจากทฤษฎีของโซรอสเป็นหลักการที่คล้ายกับทฤษฎีของโรเบิร์ต เมอร์ตัน ที่สามารถอธิบายได้ด้วยวิชาเศรษฐศาสตร์และค่อนข้างหาอ่านได้ยากในรูปแบบภาษาไทย พื้นฐานของทฤษฎีสะท้อนกลับ เกิดจากการเชื่อว่าตลาด “ไม่ได้อยู่ในภาวะดุลยภาพ” มากกว่า “ภาวะดุลยภาพ” เนื่องจาก ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดนั้นมีความเอนเอียง (Bias) และความเข้าใจผิด (Misconceptions) เกี่ยวกับการตัดสินใจลงทุน และตลาด จนนำไปสู่ Feedback loops หรือการคิดเป็นวงจรป้อนกลับ ซึ่งเป็นการคิดในลักษณะที่เป็นวงมากกว่าเป็นเส้นตรง จากการที่เรื่องราวต่าง ๆ มีความเชื่อมโยงกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม โซรอสให้ความเห็นว่า ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง Equilibrium vs. Reflexivity จากตารางข้างต้นนี้ เป็นการให้เห็นตัวอย่างในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของ Demand และ Supply ตามทฤษฎีดุลยภาพทั่วไป เมื่อ Demand เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นและผลของราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ จะส่งผลให้ Demand ปรับลดลงตามกลไกตลาดในอนาคต ในทางกลับกัน เมื่อ Supply ลดลง จะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นและผลของราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ จะส่งผลให้ Supply ปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ทฤษฎีสะท้อนกลับบอกว่า การปรับเพิ่มขึ้นของราคานั่นแหละที่เป็นตัวส่งสัญญาณในการเข้าซื้อ และจะส่งผลให้ราคาขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ในทางตรงกันข้าม หากราคาลดลง ก็จะเป็นสัญญาณให้นักลงทุนเกิดการขายมากขึ้น ดังนั้น ราคาจะยังคงปรับตัวลดลงอีก มาดูกันต่อว่า โซรอสมีวิธีการนำทฤษฎีสะท้อนกลับ ผ่านแนวคิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างไร ขั้นแรก โซรอสใช้องค์ประกอบ “การทำนาย” ว่าลักษณะทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นและค่าเงิน จะเป็นอย่างไรผ่านสื่อต่าง ๆ ขั้นที่สอง โซรอสใช้องค์ประกอบ “การอธิบาย” จนคนอื่น ๆ ในตลาดเริ่มเกิดความคาดหวังหรือคาดการณ์ทิศทางราคาขึ้น และการคาดการณ์ที่เกิดจากการทำนายในขั้นแรกของโซรอส ส่งผลต่อการกระทำและการตัดสินใจในการลงทุนของพวกเขา ขั้นสุดท้าย โซรอสใช้องค์ประกอบ “การทดสอบ” เพื่อให้คำนายที่บอกไว้ตั้งแต่แรกเป็นจริง โดยการทุ่มเงินเก็งกำไรอย่างมหาศาลลงมาในตลาด พร้อม ๆ กับสภาวที่เกือบทุกคนคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน อย่างเช่นเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจของไทยในปี 2540 นั่นหมายความว่า โซรอสไม่เพียงแต่มีความรู้ในด้านเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีความรู้ลึกในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบความคิด (Thinking System) ของมนุษย์อีกด้วย | แก่นการคิดหลักของจอร์จ โซรอส มีอยู่ 2 อย่าง ที่เป็น two-way interaction คือ
1. Cognitive คือ การที่เข้าใจสภาพแวดล้อมที่กำลังเผชิญอยู่
2.Manipulative คือ วิธีการรับมือเพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เผชิญ
ด้วยแก่นของการคิด 2 อย่างนี้ เมื่อนำมารวมกันจึงเกิดเป็น Theory of Reflexivity หรือ ทฤษฎีสะท้อนกลับ และยังเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Self-fulfilling prophecy เนื่องจากทฤษฎีของโซรอสเป็นหลักการที่คล้ายกับทฤษฎีของโรเบิร์ต เมอร์ตัน ที่สามารถอธิบายได้ด้วยวิชาเศรษฐศาสตร์และค่อนข้างหาอ่านได้ยากในรูปแบบภาษาไทย
พื้นฐานของทฤษฎีสะท้อนกลับ เกิดจากการเชื่อว่าตลาด “ไม่ได้อยู่ในภาวะดุลยภาพ” มากกว่า “ภาวะดุลยภาพ” เนื่องจากผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในตลาดนั้นมีความเอนเอียง (Bias) และความเข้าใจผิด (Misconceptions) เกี่ยวกับการตัดสินใจลงทุน และตลาด จนนำไปสู่ Feedback loops หรือ การคิดเป็นวงจรป้อนกลับ ซึ่งเป็นการคิดในลักษณะที่เป็นวงมากกว่าเป็นเส้นตรง จากการที่เรื่องราวต่าง ๆ มีความเชื่อมโยงกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม โซรอสให้ความเห็นว่า ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2956 | Finance | ใครคือผู้เขียนหนังสือ The Upstarts | ก. ทราวิส คาลานิค
ข. เจฟฟ์ เบซอส
ค. แบรด สโตน
ง. นาธาน บลีชคาซีค
จ. เกเรธ แคมป์ | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ค. เพราะว่า หนังสือ The Upstarts เขียนโดย แบรด สโตน นักข่าวของบลูมเบิร์ก เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการก่อตั้งสองบริษัทที่ถือว่าโด่งดังมากในยุคนี้คือ Uber ก่อตั้งโดย ทราวิส คาลานิค และ เกเรธ แคมป์ กับ Airbnb ที่บุกเบิกโดยไบรอัน เชสกี้ โจ เก็บเบีย และ นาธาน บลีชคาซีค
สโตนเขียนถึงคาลานิค CEO ของ Uber ที่ลาออกจากตำแหน่งในแง่ที่ค่อนข้างแฟร์กับเขา สโตนมองว่าแม้คาลานิคจะมีนิสัยที่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาของ Uber ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับ Lyft บริษัทคู่แข่งของ Uber หรือการสู้คดีกับทางการในรัฐนิวยอร์ค เกี่ยวกับกฎหมายของแท็กซี่ในแบบของ Uber ทว่าต้องไม่ลืมว่าคาลานิคมีสไตล์การทำงานในรูปแบบที่เกรี้ยวกราดก็เพราะว่าเขาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความล้มเหลวของ Startup แรกๆที่ถึงขนาดต้องรับภาระหนี้สินเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งมาร์ค คิวบาน นักลงทุนชื่อดังเข้ามาช่วยร่วมลงทุนในที่สุด
มีเกร็ดที่น่าสนใจซึ่งสโตนกล่าวถึงคาลานิคไว้ คือ ก่อนที่เขาจะตกลงมาทำงานที่ Uber แบบเต็มตัว คาลานิคเคยเดินทางมาประเทศไทยเพื่อพักผ่อนและใช้ร้านกาแฟในกรุงเทพ นั่งวางแผนธุรกิจผ่านโน้ตบุ๊ค ในช่วงเวลานี้ คาลานิคบอกว่าที่เขาเลืือกประเทศไทย เนื่องจากค่าครองชีพที่ไม่แพงมากและตัวเขาเองก็มีสถานภาพทางการเงินที่ไม่ดีนักในช่วงดังกล่าว โดยให้ชื่อของช่วงเวลานั้นของเขาเองว่า ‘Ramen Time’ เนื่องจากเขาต้องกินแต่บะหมี่ราคาประหยัดเพื่อเลี้ยงชีพ
หาก Uber เหมือนเป็นฝ่ายบู๊ Airbnb ก็ถือเป็นฝ่ายบุ๊น หันมารู้จัก 3 เกลอที่ก่อตั้งธุรกิจบริการที่พักของนักท่องเที่ยวซึ่ง Airbnb ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง Host ของเจ้าของที่พักอาศัยในประเทศต่างๆทั่วโลกกับนักท่องเที่ยวกันบ้าง
Airbnb อาศัยความถนัดที่ไม่เหมือนกันของสามเกลอได้อย่างน่าสนใจ ในขณะที่เชสกี้ เป็นนักต่อรองและมีบุคลิกที่เหมาะกับการเจรจาทางธุรกิจและพรีเซนท์ในเวทีต่างๆ เก็บเบียมีลักษณะของผึ้งงานที่คอยเป็นผู้ประสานงานหรือเป็นเบื้องหลังคอยดูแลความเรียบร้อยของบริษัท ส่วนบลีชคาซีคเป็นหนุ่มโย่งสุดเนิร์ดที่คอยเขียนโค้ดให้กับโซอฟต์แวร์ของเว็บ Airbnb เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์และบริการที่ดีจากบริษัท
จะว่าไปเส้นทางของ Airbnb ก็มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งสามคนต้องประสบปัญหาหนักหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Hacker ชาวเยอรมันที่สร้างเว็บไซต์เงาเลียนแบบ Airbnb ไว้คอยปั่นป่วนธุรกิจของพวกเขา จนต้องจ้าง Hacker อีกรายในการจัดการกับตัวป่วนดังกล่าว รวมถึงการที่ลูกค้าของบริษัทหลายท่านเกิดปัญหาต่างๆบนที่พักอาศัยของ Host ในหลายประเทศจนได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2957 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การโกงของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนสำหรับ VI | null | การโกงของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียน สำหรับ VI ที่มีประสบการณ์นั้น เป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน การโกงของพนักงานระดับล่างหรือระดับรอง ๆ ในบริษัทเป็นเรื่องปกติที่มักจะต้องเกิดขึ้นในทุกบริษัท เพราะยีนของมนุษย์มีเรื่องของการโกงอยู่ทุกคน การไม่ยอมรับการโกงในทุกระดับเท่ากับว่าจะไม่ลงทุนในหุ้นเลย สิ่งที่จะต้องพิจารณาคือ ระดับของการโกงนั้นอยู่ในระดับไหน กระทบกับผลประกอบการเท่าไร ถ้ามันน่าจะพอ ๆ กับบริษัทอื่น ก็อาจจะไม่ต้องสนใจอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นการโกงของผู้บริหารระดับสูงหรือสูงสุดของบริษัทแล้ว ก็อาจจะมีผลทำให้บริษัทเสียหายหนักหรือล่มสลายได้ การดูว่าผู้บริหารระดับสูงต้องซื่อสัตย์แค่ไหนนั้น จะจากดูประวัติและพฤติกรรมที่ทำมากกว่าอย่างอื่น นอกจากนั้นก็จะดูความยากง่ายในการโกง ซึ่งมักจะอิงกับตัวโครงสร้างของธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วย พราะอุตสาหกรรมบางอย่างมีความเกี่ยวข้องกับงานประมูลของหน่วยงานรัฐ การโกงของผู้บริหารสูงสุดในภาวะที่ตลาดหุ้นเป็นใจ มีนักเก็งกำไรที่พร้อมเข้าซื้อหุ้นดันราคาให้สูงมีค่า PE เป็นหลายสิบหรือร้อยเท่าได้นั้น เขาอาจจะไม่ได้โกงเงินบริษัทก็ได้ เพราะเขาสามารถโกงเงินคนเล่นหุ้นได้มากกว่า
บทเรียนจากย่อหน้านี้
การ “โกง” ของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนนั้น สำหรับ VI “พันธุ์แท้” ที่มีประสบการณ์นั้น เป็นประเด็นสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน แน่นอนว่าการโกงของพนักงานระดับล่างหรือระดับรอง ๆ ในบริษัทนั้น เป็นเรื่อง “ปกติ” ที่มักจะต้องเกิดขึ้นในทุกบริษัทเพราะยีนของมนุษย์นั้นมีเรื่องของการ “โกง” อยู่ด้วยทุกคน การที่จะไม่ยอมรับการโกงในทุกระดับและทุกกรณีนั้นก็เท่ากับว่าจะไม่ลงทุนในหุ้นเลย สิ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือ ระดับของการโกงนั้นอยู่ในระดับไหน มันจะกระทบกับผลประกอบการเท่าไร หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ดูว่ามันเป็น “ต้นทุน” ของธุรกิจที่ยอมรับได้ไหม ถ้ามันน่าจะพอ ๆ กับบริษัทอื่นก็อาจจะไม่ต้องสนใจอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นการโกงของผู้บริหารระดับสูงหรือสูงสุดของบริษัท การโกงนั้นก็อาจจะมีผลทำให้บริษัทเสียหายหนักหรือบางทีอาจจะ “ล่มสลาย” ได้
นักลงทุนหรือนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถหรือไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ประเด็นการโกงในระดับผู้บริหารสูงสุดหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างมากก็แค่ดู “คะแนนบรรษัทภิบาล” ที่บริษัทได้รับจากการจัดอันดับของหน่วยงานในตลาดทุน ถ้าบริษัทได้คะแนนดีได้ “ดาว” สูง พวกเขาก็สรุปว่าบริษัทไม่มีปัญหาในเรื่องของความซื่อสัตย์ แต่คะแนน Corporate Governance นั้น สามารถอธิบายเรื่องความซื่อสัตย์หรืออะไรก็ตามได้ไม่ถึงครึ่ง เหตุผลก็เพราะการให้คะแนนนั้นอิงอยู่กับ Form หรือรูปแบบมาตรฐาน เช่น มีกรรมการ “คนนอก” กี่คน มีคณะกรรมการย่อยกี่คณะ มีการประชุมกี่ครั้ง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้บอกถึง “คุณภาพ” ที่แท้จริง ดังนั้น จึงแทบไม่สนใจว่าบริษัทได้คะแนนสูงแค่ไหน
การดูว่าผู้บริหารระดับสูงซื่อสัตย์แค่ไหนนั้น จะดูประวัติและพฤติกรรมที่เขาทำมากกว่าอย่างอื่น นอกจากนั้น จะดูความยากง่ายในการโกงซึ่งมักจะอิงกับตัวโครงสร้างของธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วย เพราะอุตสาหกรรมบางอย่างเช่นที่ต้องเกี่ยวข้องกับงานประมูลของหน่วยงานรัฐนั้น บ่อยครั้งผู้บริหารต้อง “จ่าย” เงิน “ใต้โต๊ะ” ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ผู้บริหารจะโกงได้ง่าย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การโกงในกรณีแบบหลังนี้ก็มักจะไม่ถึงกับทำให้บริษัทเจ๊งในเวลาอันสั้น เพียงแต่มันอาจจะทำให้บริษัทไม่ได้กำไรหรือเติบโตไปมากอย่างที่คิด บางทีก็อาจจะขาดทุนได้ทั้ง ๆ ที่บริษัทได้งานและมีรายได้เพิ่มขึ้น
การโกงของผู้บริหารสูงสุดเองนั้น ในภาวะที่ตลาดหุ้น “เป็นใจ” มีนักเก็งกำไรที่พร้อมจะเข้ามาซื้อหุ้นดันราคาให้สูงมีค่า PE เป็นหลายสิบหรือร้อยเท่าได้นั้น เขาอาจจะไม่ได้โกงเงินบริษัทก็ได้ เพราะเขาสามารถ “โกงเงินคนเล่นหุ้น” ได้มากกว่า นั่นก็คือ แทนที่จะโกงเงินบริษัทและทำให้บริษัทกำไรน้อยหรือขาดทุน เขาอาจจะ “แต่งบัญชี” ทำให้บริษัทดูมีกำไรที่ดีหรือดีมากซึ่งจะทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นดันราคาขึ้นไปซึ่งเขาจะได้ขายหุ้นทำกำไรมหาศาล ก่อนที่จะปล่อยให้กำไรตกลงมาตามที่เป็นจริงและราคาหุ้นลดลงมหาศาล และ “ตอ” ก็อาจจะเริ่มโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2961 | Finance | กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนควรมีอะไรบ้าง? | null | จากบทความ "ใครได้ประโยชน์จากการที่คนจีนชอบมาเที่ยวไทยบ้าง?" ของ "ลงทุนศาสตร์" นำเสนอ 5 กลุ่มธุรกิจที่น่าจะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่
ท่าอากาศยานและงานสนับสนุน
สายการบิน
โรงแรม
สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับคนจีน
ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับคนจีน
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ถึงเนื้อกิจการโดยตรงสำคัญมาก เพราะไม่ใช่หุ้นทุกตัวในอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มใดแนวโน้มหนึ่งได้
กลยุทธ์การลงทุน
วิเคราะห์เป้าหมายทางการตลาดของบริษัท:
บริษัทมีสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวจีนหรือไม่?
กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทเข้าถึงนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่?
วิเคราะห์ลักษณะกลุ่มเป้าหมาย:
นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างไร?
นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเป้าหมายนิยมสินค้าหรือบริการประเภทใด?
วิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจ:
ผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างไร?
สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งหรือไม่?
ทีมผู้บริหารมีความสามารถและน่าเชื่อถือหรือไม่?
กระจายความเสี่ยง:
ไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว
ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีน
ติดตามข่าวสารและข้อมูล:
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน
ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นในกลุ่ม "สินค้าอุปโภคบริโภค" ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีน เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม สินค้าแฟชั่น
นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นในกลุ่ม "ธุรกิจบริการ" ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีน เช่น ร้านอาหาร สปา สถานบันเทิง
ข้อควรระวัง:
การลงทุนมีความเสี่ยง
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ไม่ควรลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มี
สรุป:
การลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนมีโอกาสเติบโตสูง แต่การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน และกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีน | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2962 | Finance | การติดตามกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations) ของบริษัท มีความสำคัญมากกว่าการติดตามกำไรสุทธิ (Net Profit) หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
1. ความน่าเชื่อถือ: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เป็นตัวเลขที่วัดจากเงินสดที่เข้าออกจริง สะท้อนถึงสภาพคล่องของธุรกิจ ว่ามีเงินสดเพียงพอสำหรับการดำเนินงานหรือไม่ ต่างจากกำไรสุทธิที่มีโอกาสถูกบิดเบือนจากวิธีการบัญชี
2. ความยั่งยืน: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน บ่งบอกถึงความสามารถของธุรกิจในการสร้างรายได้และเงินสดจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ต่างจากกำไรสุทธิที่อาจได้รับผลกระทบจากรายการพิเศษ หรือรายได้ที่ยังไม่ได้รับ
3. สัญญาณเตือนภัย: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ลดลง เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าธุรกิจอาจมีปัญหาในการดำเนินงาน ต่างจากกำไรสุทธิที่อาจยังเป็นบวก
4. ประเมินมูลค่าหุ้น: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน สามารถใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น โดยใช้ DCF (Discounted Cash Flow) ต่างจากกำไรสุทธิที่อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
5. เปรียบเทียบกับบริษัทอื่น: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน สามารถเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ต่างจากกำไรสุทธิที่อาจถูกบิดเบือนจากปัจจัยอื่นๆ
ตัวอย่าง:
บริษัท A มีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 50 ล้านบาท
บริษัท B มีกำไรสุทธิ 80 ล้านบาท แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 120 ล้านบาท
จากตัวอย่าง บริษัท B น่าจะมีความยั่งยืนมากกว่า เพราะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่า
สรุป:
การติดตามกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน มีความสำคัญมากกว่าการติดตามกำไรสุทธิ เพราะมีความน่าเชื่อถือ สะท้อนความยั่งยืน เป็นสัญญาณเตือนภัย และใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2964 | Finance | เขียนเรื่องสั้นเรื่อง "ความเสี่ยงในที่สุดของการใช้ PBV: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของนักลงทุนที่ชื่อมายา" ให้หน่อย | null | ในโลกทางการเงินและการลงทุน การดูหุ้นเป็นกิจกรรมที่น่าทึ่งและน่าตื่นเต้นเสมอ ผู้ลงทุนมักมองหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะทำให้พวกเขามีกำไรมากที่สุดจากการลงทุนในหุ้น และอย่างที่รู้กันดี PBV หรือ ราคาต่อมูลค่าหุ้น มักถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนในหุ้น
เรื่องราวของคุณมายา นักลงทุนที่มีประสบการณ์อันยาวนาน ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูกหลาน และใช้ชีวิตในการวิเคราะห์หุ้นและลงทุนอย่างเต็มที่ เธอเคยเป็นหนึ่งในผู้ที่พูดถึงความสำคัญของ PBV อย่างไร้พินิจในโลกของการลงทุน
วันหนึ่ง มายาเข้าใจความสำคัญของการวิเคราะห์หุ้นด้วย PBV มากขึ้นเรื่อยๆ และเธอตัดสินใจที่จะใช้สัดส่วน PBV เพื่อเลือกหุ้นที่เธอจะลงทุน โดยอ้างอิงจากผลวิเคราะห์ทางการเงินที่มายาทำขึ้น มายาตัดสินใจที่จะลงทุนในบริษัทที่มี PBV ต่ำกว่าเพื่อซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าจริงของบริษัทนั้นๆ
มายาเริ่มดูหุ้นที่มี PBV ต่ำกว่าในทุกๆ ส่วนของตลาด แต่มายาไม่รู้สึกอย่างไรกับความเร็วที่กำลังเคลื่อนไหว ทุกวันที่ผ่านไป มายากำลังผ่านราคาหุ้นที่เหมาะสมเพื่อใช้ PBV เป็นตัวชี้วัด และมายาไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
แต่ในที่สุด ความเร็วนั้นกลายเป็นการล่าช้า และมายาตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง มายาเห็นว่าบริษัทที่เธอลงทุนในนั้น มีสภาพการเงินที่แย่มาก และ PBV ที่ต่ำนั้นเกิดจากการควบคุมหุ้นที่เสี่ยงต่ำเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงมูลค่าจริงของบริษัท
และในที่สุด มายาก็พบว่าการใช้ PBV เป็นตัวชี้วัดหลักในการตัดสินใจการลงทุนอาจจะเป็นอันตรายได้ เพราะมันไม่สามารถบ่งชี้ถึงสภาพการเงินที่แท้จริงของบริษัทได้อย่างแม่นยำ และการลงทุนแบบนี้อาจส่งผลให้ซีน่าเสียเงินได้
จากประสบการณ์นี้ มายาได้เรียนรู้ว่าการวิเคราะห์หุ้นและการลงทุนไม่ควรจำกัดตัวเองเพียงแค่กับตัวชี้วัดเดียว แต่ควรพิจารณาและวิเคราะห์โดยใช้หลายๆ มิติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปในทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้นในอนาคต การใช้ PBV อย่างเดียวอาจจะอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อถือ เมื่อหุ้นแต่ละตัวมีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อผลกำไรและความเสี่ยงอย่างแตกต่าง | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2965 | Finance | ข้อดีและข้อเสียของการเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย | null | ข้อดี
- มีเวลาเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้นักลงทุนมีเวลาเรียนรู้กลยุทธ์ เทคนิค และสั่งสมประสบการณ์ในตลาดหุ้นได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการลงทุนในระยะยาว
- มีเงินทุนน้อย โดยทั่วไปวัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน มักมีภาระผูกพันทางการเงินน้อย ทำให้สามารถออมเงินและนำมาลงทุนได้มากขึ้น
- มีความเสี่ยงรับความเสี่ยงได้มากกว่า วัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน มักมีความเสี่ยงรับความเสี่ยงได้มากกว่าวัยทำงาน ทำให้สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง
- มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง ตลาดหุ้นในระยะยาวมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร
ข้อเสีย
- ขาดความรู้และประสบการณ์ วัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน อาจจะยังไม่มีความรู้และประสบการณ์ในตลาดหุ้นมากพอ
- มีวินัยน้อย วัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน อาจจะมีวินัยในการลงทุนน้อย
- เงินทุนจำกัด วัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน อาจจะมีเงินทุนจำกัด
- ความเสี่ยงสูง การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูง
สรุป: การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความรู้ ประสบการณ์ วินัย เงินทุน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนมือใหม่: ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้น กลยุทธ์ เทคนิค และความเสี่ยง
เริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย ฝึกฝนการลงทุนผ่านบัญชี Demo ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ตัวอย่างกรณีศึกษา: นาย A เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่อายุ 20 ปี ด้วยเงินทุน 10,000 บาท นาย A ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้น กลยุทธ์ เทคนิค และความเสี่ยง นาย A ฝึกฝนการลงทุนผ่านบัญชี Demo เป็นเวลา 1 ปี นาย A ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีความเสี่ยงต่ำ นาย A ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เป็นเวลา 10 ปี เงินลงทุนของนาย A เติบโตเป็น 1,000,000 บาท
บทสรุป: การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ต้องศึกษาหาความรู้ ฝึกฝน และลงทุนอย่างมีวินัย | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2968 | Finance | การออมในหุ้นปันผลต่างจากการฝากเงินออมในธนาคารอย่างไร | null | การออมในหุ้นปันผล และ การฝากเงินออมในธนาคาร เป็นวิธีการออมเงินที่ได้รับความนิยม แต่มีความแตกต่างกันดังนี้
1. ผลตอบแทน:
การออมในหุ้นปันผล: มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินออมในธนาคาร
ผลตอบแทนจากเงินปันผล: ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท
ผลตอบแทนจากการเติบโตของราคาหุ้น: ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและผลประกอบการของบริษัท
การฝากเงินออมในธนาคาร: ผลตอบแทนแน่นอน แต่ค่อนข้างต่ำ
2. ความเสี่ยง:
การออมในหุ้นปันผล:
ความเสี่ยงจากการเก็งกำไร: ราคาหุ้นอาจผันผวน
ความเสี่ยงจากธุรกิจ: บริษัทอาจประสบปัญหา
ความเสี่ยงจากนโยบายเงินปันผล: บริษัทอาจเปลี่ยนแปลงนโยบาย
การฝากเงินออมในธนาคาร: ความเสี่ยงต่ำ
3. สภาพคล่อง:
การออมในหุ้นปันผล:
สามารถขายหุ้นได้ทุกเมื่อ
อาจมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย
การฝากเงินออมในธนาคาร:
สามารถถอนเงินได้ทุกเมื่อ
อาจมีค่าธรรมเนียมในการถอนเงินก่อนกำหนด
4. ระยะเวลาการลงทุน:
การออมในหุ้นปันผล: เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว
การฝากเงินออมในธนาคาร: เหมาะสำหรับการออมระยะสั้น
สรุป:
การออมในหุ้นปันผล: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง ยอมรับความเสี่ยงได้ และต้องการลงทุนระยะยาว
การฝากเงินออมในธนาคาร: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ ต้องการสภาพคล่องสูง และต้องการออมระยะสั้น
ตัวอย่าง:
นาย A ออมเงินในธนาคารเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 10 ปี ได้รับดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี เงินออมของนาย A จะเติบโตเป็น 628,895 บาท
นาย B ออมเงินในหุ้นปันผลเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 10 ปี เลือกซื้อหุ้นที่ให้เงินปันผล 5% ต่อปี และตัวกิจการเองก็เติบโตปีละ 3% เงินออมของนาย B จะเติบโตเป็น 980,774 บาท
ข้อควรระวัง:
การออมในหุ้นปันผล ไม่ได้การันตีว่าจะได้ผลตอบแทนสูงเสมอไป นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน
การฝากเงินออมในธนาคาร แม้จะความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนอาจไม่เพียงพอต่อการเอาชนะเงินเฟ้อ
คำแนะนำ:
นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว
นักลงทุนควรติดตามผลประกอบการของบริษัทที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2971 | Finance | ICO เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน? | null | ICO เหมาะกับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ ดังนี้:
มีความรู้และเข้าใจเทคโนโลยี Blockchain เป็นอย่างดี: นักลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain กลไกการทำงาน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
มีความอดทน รอคอย และรับความเสี่ยงได้สูง: การลงทุนใน ICO มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
มีเงินทุนสำรอง และไม่ลงทุนเงินทั้งหมดใน ICO: นักลงทุนควรลงทุนเงินที่สามารถสูญเสียได้ และไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาลงทุนใน ICO
มีความสนใจ และติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับ Cryptocurrency : นักลงทุนควรติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว และเทรนด์ ของ Cryptocurrency
ข้อควรระวัง:
ICO ยังไม่มีกฎหมายรองรับ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เงื่อนไข และความเสี่ยง ของ ICO แต่ละโครงการอย่างละเอียด
มี ICO หลอกลวง: นักลงทุนควรตรวจสอบ ประวัติ ทีมงาน และ Whitepaper ของ ICO แต่ละโครงการอย่างรอบคอบ
มีความผันผวนสูง: ราคา Cryptocurrency มีความผันผวนสูง นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง
สรุป:
ICO เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ เข้าใจ และรับความเสี่ยงได้สูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจลงทุน | กลยุทธ์การลงทุน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน,การเงินดิจิทัล | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2973 | Finance | การลงทุนในหุ้นธนาคาร เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
ความเสี่ยง: หุ้นธนาคารมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นประเภทอื่น เพราะว่าธนาคารมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และอัตราดอกเบี้ย
ความผันผวน: ราคาหุ้นธนาคารมีความผันผวนสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้
ความเข้าใจ: การลงทุนในหุ้นธนาคารจำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร เศรษฐกิจ และนโยบายภาครัฐ
นักลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นธนาคาร:
นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และสามารถทนต่อความผันผวนของราคาหุ้นได้
นักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะยาว: หุ้นธนาคารเหมาะกับการลงทุนระยะยาว เพราะว่าราคาหุ้นธนาคารมักจะขึ้นลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
นักลงทุนที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร: นักลงทุนที่เข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร เศรษฐกิจ และนโยบายภาครัฐ จะสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักลงทุนที่ไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นธนาคาร:
นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ไม่ควรลงทุนในหุ้นธนาคาร
นักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะสั้น: หุ้นธนาคารมีความผันผวนสูง ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น
นักลงทุนที่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร: นักลงทุนที่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร เศรษฐกิจ และนโยบายภาครัฐ อาจจะสูญเสียเงินลงทุนได้
ทางเลือกอื่นสำหรับนักลงทุน:
กองทุนรวม: กองทุนรวมมีหลายประเภท นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสมกับตัวเอง
ทองคำ: ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง
เงินฝาก: เงินฝากมีความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน
สรุป: การลงทุนในหุ้นธนาคารไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยง ระยะเวลาการลงทุน และความเข้าใจของตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุน | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2974 | Finance | ในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในตราสารหนี้อย่างไรให้ปลอดภัยและได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ? | null | 1. ศึกษาความรู้เกี่ยวกับตราสารหนี้:
- เข้าใจประเภทของตราสารหนี้
- ความเสี่ยง
- ผลตอบแทน
- ระยะเวลาการลงทุน
- กลไกตลาดรอง
2. เลือกตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งเครดิตดี:
- เลือกระดับเรตติ้ง A ขึ้นไป
- ศึกษารายงานการวิเคราะห์จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
3. กระจายความเสี่ยง:
- ลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภท
- กระจายความเสี่ยง across ผู้ยืม
- ระยะเวลาการลงทุน
- เลือกกองทุนรวมตราสารหนี้
4. เลือกช่องทางการลงทุนที่เหมาะสม:
- ลงทุนผ่านธนาคาร
- บริษัทหลักทรัพย์
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
5. ศึกษาข้อมูลบริษัทผู้ยืม:
- วิเคราะห์งบการเงิน
- โครงสร้างธุรกิจ
- กลยุทธ์
- ทีมผู้บริหาร
- ความเสี่ยง
6. เลือกตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่อง:
- ตราสารหนี้ที่มีตลาดรอง
- ซื้อขายได้ง่าย
- สะดวก
7. ลงทุนระยะยาว:
- ตราสารหนี้มักให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
- อดทนต่อความผันผวนระยะสั้น
8. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
- พบผู้แนะนำการลงทุน (Investment Advisor)
- วางแผนการลงทุนที่เหมาะสม
9. ติดตามข่าวสาร:
- ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท
- เศรษฐกิจ
- นโยบายการเงิน
10. ลงทุนอย่างมีสติ:
- ไม่ลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้
- เข้าใจความเสี่ยง
- ควบคุมอารมณ์
ตัวอย่าง:
นักลงทุน A ศึกษาข้อมูลตราสารหนี้เลือกกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีเรตติ้ง A กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาวผลตอบแทนดีความเสี่ยงต่ำ
นักลงทุน B ซื้อหุ้นกู้บริษัท B ไม่ได้ศึกษาข้อมูล เรตติ้ง B บริษัท B ประสบปัญหา นักลงทุน B สูญเสียเงิน
สรุป:
การลงทุนในตราสารหนี้ให้ปลอดภัยและได้ผลตอบแทนดี
- ศึกษาความรู้
- เลือกตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งดี
- กระจายความเสี่ยง
- เลือกช่องทางการลงทุนที่เหมาะสม
- ศึกษาข้อมูลบริษัท
- เลือกตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่อง
- ลงทุนระยะยาว
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
- ติดตามข่าวสาร
- ลงทุนอย่างมีสติ | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2977 | Finance | ในสถานการณ์ที่ประชากรไทยมีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไป กลยุทธ์ทางการเงินแบบใดที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในอนาคต | null | จากบทความที่กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยที่มีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลต่อระบบประกันสังคมและระบบการเงินโดยรวม กลยุทธ์ทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในอนาคตมีดังนี้:
1. การวางแผนการเงินระยะยาว:
เริ่มออมเงินตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจน พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
ศึกษาและเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวม ประกันชีวิต บำนาญ ฯลฯ กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อวางแผนการเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของแต่ละบุคคล
2. การสร้างรายได้หลังเกษียณ:
หางานเสริมหรือทำธุรกิจส่วนตัวหลังเกษียณ
พัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อรองรับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลง
ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างรายได้ passive income
3. การดูแลสุขภาพ:
ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ
ซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติมเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
4. การเตรียมพร้อมด้านจิตใจ:
เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ
หากิจกรรมยามว่างเพื่อเติมเต็มชีวิตและผ่อนคลายความเครียด
เข้าสังคมและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
5. การพึ่งพาเทคโนโลยี:
เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน
เข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์
ศึกษาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน
ตัวอย่างกลยุทธ์ทางการเงินเพิ่มเติม
การซื้อประกันบำนาญ: เป็นการรับประกันรายได้หลังเกษียณ ช่วยให้มั่นใจว่ามีเงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
การลงทุนในกองทุนรวม: เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากเงินออม
การออมใน RMF/LTF: เป็นการออมเพื่อเกษียณที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี
การขายบ้านเพื่อเกษียณ: เป็นการนำเงินทุนจากบ้านมาใช้จ่ายในยามเกษียณ
ข้อควรระวัง
หลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
ระวังการถูกหลอกลวงทางการเงิน
ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมทางการเงิน | ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2978 | Finance | 6 เหตุผลที่ทำไมหุ้นเล็กถึงน่าสนใจ มีอะไรบ้าง | 6 เหตุผลที่ทำไมหุ้นเล็กถึงน่าสนใจ
1. กำไรโตง่ายจากฐานที่ต่ำ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ เหมือนเราจะหาเงิน 10 บาทกับหาเงิน 1,000 บาทอันไหนยากกว่ากัน เช่นเดียวกับกิจการที่หากำไร 10 ล้านบาทกับ 1,000 ล้านบาท กำไรที่น้อยย่อมหาง่ายกว่ากำไรที่มาก และยิ่งหุ้นนั้นมีฐานกำไรที่ต่ำยิ่งทำให้การเติบโตคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ย่อมสูงกว่า เช่น หุ้นที่มีฐานกำไรเก่า 10 ล้านบาท หากหากำไรได้อีก 10 ล้านบาท หมายถึงกำไรโต 100% ในขณะที่หุ้นที่มีฐานกำไรเก่า 100 บาท หากหากำไรได้อีก 10 ล้านบาท หมายถึงกำไรโตเพียง 10% เท่านั้น 2. โครงสร้างบริษัทมักไม่ซับซ้อน เนื่องจากเป็นกิจการที่มีขนาดไม่ใหญ่ ส่วนใหญ่หุ้นเล็กจะมีโครงสร้างธุรกิจที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน นักลงทุนสามารถทำความเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นใหญ่ซึ่งบางครั้งมีรายได้หลักหมื่นล้านแสนล้านมีกิจการในเครือมากมาย หุ้นเล็กในอุตสาหกรรมที่เรียบง่ายจึงเหมาะกับนักลงทุนรายย่อยที่เริ่มต้นศึกษาและประเมินมูลค่าเพราะภาพที่มองจะซับซ้อนน้อยกว่า 3. การเติบโตพึ่งพิงภาวะเศรษฐกิจน้อย (กว่า) หุ้นขนาดเล็กส่วนมากเติบโตจากการแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากกิจการขนาดใหญ่ ต่างจากหุ้นขนาดใหญ่ที่มักเติบโตจากการเติบโตของขนาดเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่า ดังนั้น ถึงแม้ที่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หุ้นเล็กก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ขอเพียงให้มีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและชัดเจน ต่างจากหุ้นขนาดใหญ่ที่มักเคลื่อนไหวอิงกับ GDP อยู่มาก ดังนั้น ถึงแม้ว่ากิจการจะดีมาก แต่ถ้าเศรษฐกิจภาพรวมมหภาคชะลอตัว กิจการก็ยากที่จะเติบโตสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจได้ 4. นักลงทุนให้ความสนใจน้อย นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายย่อยที่พอร์ตใหญ่กว่า 1,000 ล้านขึ้นไป มักไม่ค่อยให้ความสนใจกับหุ้นเล็กเท่าไหร่ เนื่องจากสภาพคล่องที่จะซื้อหรือขายหุ้นอย่างเป็นอิสระนั้นยาก ถึงแม้ว่าจะลงทุนได้ก็ซื้อได้ปริมาณไม่มาก ทำให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตก็ไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก นักลงทุนกลุ่มนี้จึงไม่ค่อยสนใจหุ้นเล็กเท่าไหร่ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ก็มักไม่สนใจเช่นกัน เนื่องจากหุ้นเล็กเหล่านี้มักติดตามข้อมูลยาก ข่าวน้อย บทวิเคราะห์น้อย ทำให้นักลงทุนที่ไม่ได้ติดตามอย่างตั้งใจจริงก็อาจจะแทบไม่เคยสนใจหุ้นเหล่านี้เลย 5. มีโอกาสที่ราคาจะต่ำมูลค่าสูง ตามข้อที่แล้วที่พูดถึงการที่นักลงทุนส่วนใหญ่สนใจน้อย นั่นจึงเป็นโอกาสที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้ต่ำกว่าหรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก เนื่องจากมีคนซื้อขายอยู่น้อยกลุ่ม ราคาจึงไม่ค่อยสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง มิหนำซ้ำนักลงทุนรายย่อยที่อาจจะซื้อขายอยู่บ้างก็มักจะไม่ถือลงทุนยาว เน้นเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่ชอบมีอคติว่าหุ้นเล็กคือหุ้นปั่นไปเสียทุกตัว ดังนั้น หากธุรกิจดีจริง นักลงทุนที่ถือลงทุนยาวก็อาจจะได้กำไรมหาศาลได้ เนื่องจากหากรอจนกำไรเติบโตและมูลค่าบริษัทเติบโตไปถึงระดับหนึ่งที่นักลงทุนรายใหญ่เริ่มเข้าลงทุนได้แล้ว ราคาก็อาจจะถูกไล่ซื้อจนเข้าใกล้มูลค่าอย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งกำไรที่มากมายคุ้มการรอคอย 6. ราคาหุ้นอิงภาวะตลาดน้อย หุ้นเล็กมีผลต่อตลาดน้อย เนื่องจากขนาดที่เล็กจึงทำให้ถึงแม้มูลค่าตามราคาตลาดของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไปมากก็ไม่ส่งผลต่อตลาดเท่าไหร่นัก พูดให้ง่ายคือ หุ้น 1,000 ล้านกลายเป็นหุ้น 10,000 อาจเกิดขึ้นได้ในตลาด sideways คือดัชนีไม่ได้เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะถ้าจะหวังให้หุ้นขนาด 100,000 ล้านกลายเป็นหุ้นขนาด 1,000,000 ล้านอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงตลาดขาขึ้นเท่านั้น เพราะขนาดหุ้นที่ใหญ่จะทำให้ดัชนีเคลื่อนที่ไปด้วย ซึ่งการเคลื่อนที่ของดัชนีนั้นส่งผลมากมายต่อตลาด เพราะจะอิงกับนักลงทุนแทบทุกกลุ่ม เงินทุนจากต่างประเทศ ตลาดตราสารอนุพันธ์มากมาย ในขณะที่หุ้นเล็กมีผลต่อตลาดน้อย future, forward หรือ option ให้เปิดสถานะก็แทบไม่มี หุ้นจะยืมมาขายเพื่อช้อนซื้อกลับก็ทำไม่ได้ วางเป็นหลักประกันก็ไม่ได้ ใช้บัญชีมาร์จิ้นซื้อก็ไม่ได้ ทำให้หลายครั้งถูกการใช้วิศวกรรมทางการเงินมามีผลต่อราคาที่น้อยกว่า ขีดเส้นใต้อีกครั้ง การลงทุนในหุ้นเล็กมีลักษณะ high risk, high expected return คือความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาด และแน่นอนว่าการลงทุนในหุ้นเล็กย่อมต้องคาดหวังผลตอบแทนที่สูงเพื่อชดเชยความเสี่ยงเหล่านั้น อย่าลืมว่าข้อดีทุกข้อของหุ้นเล็กหากมองเป็นข้อเสียหรือความเสี่ยงของขาลงนั้นก็ทำได้ ดังนั้น การลงทุนในหุ้นที่มีขนาดเล็กต้องมีความเข้าใจในธุรกิจอย่างมาก ราคาที่ซื้อได้ต้องต่ำจากมูลค่าอย่างมีแต้มต่อ แต่หุ้นเล็กที่เติบโตอย่างมหาศาลเหล่านี้แหละที่กลายร่างเป็น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” ของนักลงทุนมามากมายนักต่อนักแล้ว ลงทุนศาสตร์ – Investerest ลงทุนศาสตร์ – Investerest | 6 เหตุผลที่ทำไมหุ้นเล็กถึงน่าสนใจ ได้แก่
1. กำไรโตง่ายจากฐานที่ต่ำ
ยกตัวอย่างใเช่น จะหาเงิน 10 บาทกับหาเงิน 1,000 บาท อันไหนยากกว่ากัน เช่นเดียวกับกิจการที่หากำไร 10 ล้านบาทกับ 1,000 ล้านบาท กำไรที่น้อยย่อมหาง่ายกว่ากำไรที่มาก และยิ่งหุ้นนั้นมีฐานกำไรที่ต่ำยิ่งทำให้การเติบโตคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ย่อมสูงกว่า เช่น หุ้นที่มีฐานกำไรเก่า 10 ล้านบาท หากหากำไรได้อีก 10 ล้านบาท หมายถึงกำไรโต 100% ในขณะที่หุ้นที่มีฐานกำไรเก่า 100 บาท หากหากำไรได้อีก 10 ล้านบาท หมายถึงกำไรโตเพียง 10% เท่านั้น
2. โครงสร้างบริษัทมักไม่ซับซ้อน
เนื่องจากเป็นกิจการที่มีขนาดไม่ใหญ่ ส่วนใหญ่หุ้นเล็กจะมีโครงสร้างธุรกิจที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน นักลงทุนสามารถทำความเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นใหญ่ซึ่งบางครั้งมีรายได้หลักหมื่นล้านแสนล้านมีกิจการในเครือมากมาย หุ้นเล็กในอุตสาหกรรมที่เรียบง่ายจึงเหมาะกับนักลงทุนรายย่อยที่เริ่มต้นศึกษาและประเมินมูลค่าเพราะภาพที่มองจะซับซ้อนน้อยกว่า
3. การเติบโตพึ่งพิงภาวะเศรษฐกิจน้อย (กว่า)
หุ้นขนาดเล็กส่วนมากเติบโตจากการแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากกิจการขนาดใหญ่ ต่างจากหุ้นขนาดใหญ่ที่มักเติบโตจากการเติบโตของขนาดเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่า ดังนั้น ถึงแม้ที่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หุ้นเล็กก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ ขอเพียงให้มีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและชัดเจน ต่างจากหุ้นขนาดใหญ่ที่มักเคลื่อนไหวอิงกับ GDP อยู่มาก ดังนั้น ถึงแม้ว่ากิจการจะดีมาก แต่ถ้าเศรษฐกิจภาพรวมมหภาคชะลอตัว กิจการก็ยากที่จะเติบโตสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจได้
4. นักลงทุนให้ความสนใจน้อย
นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายย่อยที่พอร์ตใหญ่กว่า 1,000 ล้านขึ้นไป มักไม่ค่อยให้ความสนใจกับหุ้นเล็กเท่าไหร่ เนื่องจากสภาพคล่องที่จะซื้อหรือขายหุ้นอย่างเป็นอิสระนั้นยาก ถึงแม้ว่าจะลงทุนได้ก็ซื้อได้ปริมาณไม่มาก ทำให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตก็ไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก นักลงทุนกลุ่มนี้จึงไม่ค่อยสนใจหุ้นเล็กเท่าไหร่ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ก็มักไม่สนใจเช่นกัน เนื่องจากหุ้นเล็กเหล่านี้มักติดตามข้อมูลยาก ข่าวน้อย บทวิเคราะห์น้อย ทำให้นักลงทุนที่ไม่ได้ติดตามอย่างตั้งใจจริงก็อาจจะแทบไม่เคยสนใจหุ้นเหล่านี้เลย
5. มีโอกาสที่ราคาจะต่ำมูลค่าสูง
เป็นโอกาสที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้ต่ำกว่าหรือสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก เนื่องจากมีคนซื้อขายอยู่น้อยกลุ่ม ราคาจึงไม่ค่อยสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง มิหนำซ้ำนักลงทุนรายย่อยที่อาจจะซื้อขายอยู่บ้างก็มักจะไม่ถือลงทุนยาว เน้นเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่ชอบมีอคติว่าหุ้นเล็กคือหุ้นปั่นไปเสียทุกตัว ดังนั้น หากธุรกิจดีจริง นักลงทุนที่ถือลงทุนยาวก็อาจจะได้กำไรมหาศาลได้ เนื่องจากหากรอจนกำไรเติบโตและมูลค่าบริษัทเติบโตไปถึงระดับหนึ่งที่นักลงทุนรายใหญ่เริ่มเข้าลงทุนได้แล้ว ราคาก็อาจจะถูกไล่ซื้อจนเข้าใกล้มูลค่าอย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งกำไรที่มากมายคุ้มการรอคอย
6. ราคาหุ้นอิงภาวะตลาดน้อย
หุ้นเล็กมีผลต่อตลาดน้อย เนื่องจากขนาดที่เล็กจึงทำให้ถึงแม้มูลค่าตามราคาตลาดของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไปมากก็ไม่ส่งผลต่อตลาดเท่าไหร่นัก คือ หุ้น 1,000 ล้านกลายเป็นหุ้น 10,000 อาจเกิดขึ้นได้ในตลาด sideways คือ ดัชนีไม่ได้เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะถ้าจะหวังให้หุ้นขนาด 100,000 ล้านกลายเป็นหุ้นขนาด 1,000,000 ล้านอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงตลาดขาขึ้นเท่านั้น เพราะขนาดหุ้นที่ใหญ่จะทำให้ดัชนีเคลื่อนที่ไปด้วย ซึ่งการเคลื่อนที่ของดัชนีนั้นส่งผลมากมายต่อตลาด เพราะจะอิงกับนักลงทุนแทบทุกกลุ่ม เงินทุนจากต่างประเทศ ตลาดตราสารอนุพันธ์มากมาย ในขณะที่หุ้นเล็กมีผลต่อตลาดน้อย future, forward หรือ option ให้เปิดสถานะก็แทบไม่มี หุ้นจะยืมมาขายเพื่อช้อนซื้อกลับก็ทำไม่ได้ วางเป็นหลักประกันก็ไม่ได้ ใช้บัญชีมาร์จิ้นซื้อก็ไม่ได้ ทำให้หลายครั้งถูกการใช้วิศวกรรมทางการเงินมามีผลต่อราคาที่น้อยกว่า | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2980 | Finance | สรุปหน่อยว่า มีล้านแรก แล้วดีต่อใจจริงหรือไม่ | อยากลองสร้างแผนเก็บเงิน 1 ล้านบาทของตัวเอง และก็ดูกองทุนแนะนำ คลิกไปลองเล่นกันได้เลย >> สร้างแผน 1st Million (ฟรี! ไม่เสียตัง) อยากลองสร้างแผนเก็บเงิน 1 ล้านบาทของตัวเอง และก็ดูกองทุนแนะนำ คลิกไปลองเล่นกันได้เลย >> สร้างแผน 1st Million (ฟรี! ไม่เสียตัง) สร้างแผน 1st Million สร้างแผน 1st Million นิตยสาร Business insider และ Forbes เคยวิเคราะห์ถึงผลบวกด้านความรู้สึกและอารมณ์ ของการมีเงินล้านแรกไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ 1. ก้าวข้ามขีดกำจัดของตัวเอง การสร้างล้านแรกได้สำเร็จ ทำให้เราเกิดพลังและความเชื่อมั่นในตนเองอย่างเปี่ยมล้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (แน่นอนสิ ก็มันเป็นครั้งแรก) และพลังที่ว่านี้ทำให้เรากล้าที่จะลองคิดลองทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม 2. เพิ่มความแข็งแกร่งของจิตใจ ทำการใหญ่ใจต้องนิ่งเป็นเรื่องจริง เพราะช่วงเวลาที่เรามุ่งมั่นสร้างเงินล้านแรกให้สำเร็จเป็นช่วงเวลาที่เราใช้ฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจของเราเองให้แข็งแกร่งขึ้น และที่สำคัญกว่าคือเราได้สร้าง วินัยการลงทุน ให้กับตัวเองได้อย่างไม่รู้ตัว 3. ปลดล็อกความคิดให้เราคิดเป็น ประสบการณ์และความสำเร็จในการสร้างล้านแรกช่วยเพิ่มทักษะด้านความคิด การวิเคราะห์และการแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลายมิติ ทำให้เวลาเราเจออุปสรรคหรือเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเดิม เราจะใช้ความคิดและทักษะในการแก้ปัญหาเพื่อรับมือได้อย่างดีขึ้น นอกจากเรื่องจิตใจและความรู้สึก สิ่งที่ท่านจะได้รับผลบวกอย่างไม่รู้ตัว คือ ท่านจะถูก “ยกระดับสถานะสังคม” ขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่น ธนาคารที่ท่านใช้บริการอยู่ก็จะปรับสถานะท่านในระบบธนาคารให้สูงขึ้น ส่งผลให้ท่านได้รับบริการที่ไม่เคยเจอมาก่อนจะมีเงินล้าน โดยท่านอาจจะได้รับข้อเสนอปรับเพิ่มวงเงินบัตรเครดิต ได้รับดอกเบี้ยเงินฝาก/เงินกู้พิเศษมากขึ้น แล้วท่านก็จะมีเจ้าหน้าที่การตลาดของธนาคาร มานำเสนอกองทุนและประกันที่ท่านไม่เคยเจอมาก่อนเพราะมีขั้นต่ำค่อนข้างสูง (ข้อด้อยของผู้มีเงินล้านคือมีคนมารุมขายของเยอะ!!) ไม่ใช่แค่ ธนาคารเท่านั้น ค่ายมือถือ ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่างๆ ที่ปัจจุบันมักมีการจัดกลุ่มลูกค้าและการให้บริการแบบ Privileged โปรแกรม ที่ท่านก็จะได้รับการบริการและการดูแลในระดับที่ดีขึ้นเช่นกัน หนทางไปสู่ล้านแรก!! 1stM (1st Million) นั้นถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกๆ คน บนโจทย์สำคัญเพียงเป้าหมายเดียวคือ การมีล้านแรก (ให้เร็วที่สุด) ส่วนถ้าท่านมีเป้าหมายอื่นๆ ด้วย เช่น เก็บเงินเพื่อศึกษาต่อ เพื่อลูก และเพื่อเกษียณ แนะนำแผน GOAL GOAL 1stM นั้นกำหนดขั้นต่ำการลงทุน (ก้อนแรก) ไว้เพียง 5,000 บาท เพื่อให้ใครๆ ก็เข้าถึงได้ เพราะเราเข้าใจดีว่าใครๆ ก็อยากมีเงินล้านแรกเอาไว้เป็นทุนเอาไปเริ่มต้นสิ่งใหม่ในชีวิตหรือเอาไปตามล่าความฝันที่อยากทำ (ล่าฝัน ก็ต้องใช้เงินนะเธอ) ท่านอาจจะสงสัยได้ว่าแล้วทำไม 1stM ต้องแนะนำให้ตัดเงินไปลงทุนเป็นก้อนเท่าๆ กัน ทุกๆ เดือน (ซึ่งก็กำหนดไว้ต่ำมากเช่นกันคือ 2,500 บาทต่อเดือน) เราเรียกว่าการทำ DCA (Dollar Cost Averaging) หรือแปลเป็นไทยว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน จริงๆ แล้วการทำ DCA นี่เป็นส่วนหัวใจสำคัญของแผนการลงทุนแบบ 1stM และ GOAL เนื่องจากข้อดีของการทยอยลงทุนแบบเก็บไปเรื่อยๆ ทุกๆ เดือนอย่างมีวินัยก็คือ ไม่ว่าหุ้นขึ้น (ราคาแพง) หรือหุ้นจะลง (ราคาถูก) เราก็จะเข้าไปลงทุนแบบทีละนิดๆ อย่างสม่ำเสมอ นั่นคือก็การถัวเฉลี่ยต้นทุนและกระจายความเสี่ยงให้เราไปถึงเป้าหนึ่งล้านแรกไปได้อย่างระมัดระวังและราบรื่นที่สุด 1stM ถูกกำหนดระดับความเสี่ยงที่แนะนำให้ลงทุนเริ่มจากระดับ 4 (ปานกลาง) ถึง 7 (สูง) ต่างจาก Goal ที่ให้เลือกได้จากระดับ 1 ไปถึง 7 สาเหตุเป็นเพราะว่า 1stM เราแนะนำลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 50% (ความเสี่ยงระดับ 4) และไปได้ถึงสูงสุดที่ 80% (ความเสี่ยงระดับ 7) ด้วยความเชื่อที่ว่า ล้านแรกยิ่งมีได้เร็วยิ่งเป็นผลดี (ควรมีหุ้นเยอะหน่อย-เสี่ยงเยอะขึ้นเพื่อไปให้ถึงเป้าได้เร็วขึ้น) และโดยมากแผนนี้เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัว (คนอายุยังไม่มาก-สามารถลงทุนบนความเสี่ยงที่สูงกว่าได้) ก็เลยเป็นสาเหตุที่แผนนี้ไม่สามารถเลือกความเสี่ยงต่ำกว่าระดับ 4 ได้ การลงทุนหุ้นน้อยเกินไป (เสี่ยงน้อยเกิน) ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงเช่นกัน นั่นก็คือความเสี่ยงที่จะได้เงินล้านแรกไม่ทันการจะเอาไปต่อยอดสิ่งสำคัญที่ท่านอยากได้อยากทำในชีวิต เหมือนกัน | นิตยสาร Business insider และ Forbes วิเคราะห์ถึงผลบวกด้านความรู้สึกและอารมณ์ ของการมีเงินล้านแรกไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
1. ก้าวข้ามขีดกำจัดของตัวเอง สร้างล้านแรกได้สำเร็จ ทำให้เกิดพลังและความเชื่อมั่นในตนเองอย่างเปี่ยมล้น ทำให้เรากล้าที่จะลองคิดลองทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
2. เพิ่มความแข็งแกร่งของจิตใจ ทำการใหญ่ใจต้องนิ่งเป็นเรื่องจริง เพราะช่วงเวลาที่มุ่งมั่นสร้างเงินล้านแรกให้สำเร็จเป็นช่วงเวลาที่ฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจของเราเองให้แข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งได้สร้างวินัยการลงทุน ให้กับตัวเองได้อย่างไม่รู้ตัว
3.ปลดล็อกความคิดให้เราคิดเป็น ประสบการณ์และความสำเร็จ ช่วยเพิ่มทักษะด้านความคิด การวิเคราะห์และการแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลายมิติ ทำให้เวลาเราเจออุปสรรคหรือเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเดิม จะใช้ทักษะในการแก้ปัญหาเพื่อรับมือได้อย่างดีขึ้น และนอกจากเรื่องจิตใจและความรู้สึก ก็จะได้รับผลบวกอย่างไม่รู้ตัว คือ การยกระดับสถานะสังคม เช่น ธนาคารที่ท่านใช้บริการอยู่ก็จะปรับสถานะท่านในระบบธนาคารให้สูงขึ้น ส่งผลให้ท่านได้รับบริการที่ไม่เคยเจอมาก่อนจะมีเงินล้าน โดยท่านอาจจะได้รับข้อเสนอปรับเพิ่มวงเงินบัตรเครดิต ได้รับดอกเบี้ยเงินฝาก/เงินกู้พิเศษมากขึ้น แล้วท่านก็จะมีเจ้าหน้าที่การตลาดของธนาคารมารุมนำเสนอกองทุนและประกัน ซึ่งไม่ใช่แค่ธนาคารเท่านั้น ร้านค้าหรือบริการอื่นๆ ที่ปัจจุบันมีการจัดกลุ่มลูกค้าและการให้บริการแบบ Privileged โปรแกรม ก็จะได้รับการบริการและการดูแลในระดับที่ดีขึ้นเช่นกัน
หนทางไปสู่ล้านแรก การลงทุนแบบ 1stM (1st Million) ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกๆ คน บนโจทย์สำคัญเพียงเป้าหมายเดียวคือ การมีล้านแรก (ให้เร็วที่สุด) แต่ถ้ามีเป้าหมายอื่นด้วย แนะนำแผน GOAL 1stM นั้นกำหนดขั้นต่ำการลงทุน โดยแนะนำให้ตัดเงินไปลงทุนเป็นก้อนเท่าๆ กัน ทุกๆ เดือน เราเรียกว่าการทำ DCA (Dollar Cost Averaging) หรือแปลเป็นไทยว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน
จริงๆ แล้วการทำ DCA นี่เป็นส่วนหัวใจสำคัญของแผนการลงทุนแบบ 1stM และ GOAL คือการทยอยลงทุนแบบเก็บไปเรื่อยๆ ข้อดีคือกระจายความเสี่ยงเพื่อไปถึงเป้าล้านแรกได้อย่างระมัดระวัง 1stM ถูกกำหนดระดับความเสี่ยงที่แนะนำให้ลงทุนเริ่มจากระดับ 4 (ปานกลาง) ถึง 7 (สูง) ต่างจาก Goal ที่ให้เลือกได้จากระดับ 1 ไปถึง 7 สาเหตุเป็นเพราะว่า 1stM เราแนะนำลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 50% (ความเสี่ยงระดับ 4) และไปได้ถึงสูงสุดที่ 80% (ความเสี่ยงระดับ 7) โดยล้านแรกยิ่งมีได้เร็วยิ่งเป็นผลดี (ควรมีหุ้นเยอะหน่อย-เสี่ยงเยอะขึ้นเพื่อไปให้ถึงเป้าได้เร็วขึ้น) และส่วนมากแผนนี้เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัว (คนอายุยังไม่มาก-สามารถลงทุนบนความเสี่ยงที่สูงกว่าได้) ก็เลยเป็นสาเหตุที่แผนนี้ไม่สามารถเลือกความเสี่ยงต่ำกว่าระดับ 4 ได้ | การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2981 | Finance | นักลงทุนมือใหม่ควรใช้วิธีการ "การหาหุ้นซ่อนกำไร" ลงทุนหรือไม่? | null | จากบทความ "หุ้นซ่อนกำไร" ของ "ลงทุนศาสตร์" นำเสนอ 4 กลยุทธ์ในการหาหุ้นซ่อนกำไร ได้แก่
กำไรโผล่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
กำไรโผล่จากการตัดค่าเสื่อมราคาที่ลดลง
กำไรถูกปลดล็อกจากการพ้นจุดคุ้มทุน
กำไรซ่อนอยู่ในสต็อกสินค้า
ข้อดี:
หุ้นซ่อนกำไรมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง
กลยุทธ์นี้สามารถใช้คัดกรองหุ้นที่มีศักยภาพ
ข้อเสีย:
กลยุทธ์นี้มีความซับซ้อน ต้องอาศัยประสบการณ์และฝีมือการลงทุน
หุ้นซ่อนกำไรมีความเสี่ยงสูง
นักลงทุนมือใหม่มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุน
คำแนะนำ:
นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นซ่อนกำไรอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ควรเริ่มจากหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำก่อน
ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
สรุป:
การหาหุ้นซ่อนกำไรเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และควรเริ่มจากหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ
เกณฑ์ในการคัดกรองหุ้นซ่อนกำไร
ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น ผลการดำเนินงาน งบการเงิน โครงสร้างธุรกิจ
ปัจจัยทางเทคนิค เช่น กราฟราคา รูปแบบการซื้อขาย
ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจ เทรนด์ของอุตสาหกรรม | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2982 | Finance | นักคณิตศาสตร์ประกันภัย มีบทบาทเกี่ยวข้องอย่างไร ระหว่าง อยู่เบื้องหลังของการจัดการความเสี่ยง หรือ ต้องสอบคุณวุฒิทางคณิตศาสตร์ประกันภัย | null | อยู่เบื้องหลังของการจัดการความเสี่ยง นักคณิตศาสตร์ประกันภัย มีบทบาทเกี่ยวข้อง คือ ความต้องการที่จะทำอะไรให้กับธุรกิจประกันภัย เพื่อให้เข้าถึงกับสังคมและทุกอาชีพ และเพื่อให้รู้ว่านักคณิตศาสตร์ประกันภัยมีประโยชน์ มีตัวตน และอยู่เบื้องหลังของการจัดการความเสี่ยง เกี่ยวข้องโดยไม่เอาเปรียบลูกค้า แต่ก็ต้องไม่ทำให้บริษัทขาดทุน เพื่อจะได้ให้บริษัทคงอยู่ได้และไม่เสื่อมสลายไปตามเวลา
ส่วนการที่ต้องสอบคุณวุฒิทางคณิตศาสตร์ประกันภัย เป็นสิ่งที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยต้องทำแม้ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาตรีทางด้านทางด้านคณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ และการเงินโดยตรง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะสอบไปได้ไกลแค่ไหน ทำให้ปริญญานั้นเป็นเรื่องรอง แต่ถ้าได้เรียนตรงมาก็จะได้เปรียบกว่า ส่วนการจะทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ควรจะสอบผ่านวิชาพื้นฐานประมาณ 2 – 3 ตัว เช่น คณิตศาสตร์การเงินหรือความน่าจะเป็นเสียก่อน
นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ นักวิเคราะห์ความเสี่ยงที่มีทักษะรอบตัว ทั้งทางด้านคณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ และการเงิน รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในการประเมินผลกระทบทางการเงินจากความไม่แน่นอนในปัจจุบันและเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีต ประเมินความเสี่ยงในปัจจุบันและสร้างแบบจำลองคาดการณ์เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต พยากรณ์ออกไปในระยะยาวเพื่อประเมินสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้มากที่สุด รวมถึงโอกาสของสิ่งที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดของเหตุการณ์ | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2989 | Finance | ในฐานะมนุษย์เงินเดือน เราควรมีวิธีการตรวจสอบหรือประเมินความเสี่ยงว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินก้อนหลังเกษียณให้เราได้หรือไม่ | null | จากบทความที่กล่าวถึง มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ล้วนทุ่มเททำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่ ย่อมหวังว่าเมื่อถึงวัยเกษียณจะได้รับเงินก้อนตามกฎหมายแรงงานเพื่อเป็นทุนสำรองไว้ใช้ แต่ด้วยโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับกฎหมายแรงงานไทยยังไม่มีการบังคับให้บริษัทตั้งสำรองเงินเกษียณตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ได้มาตรฐาน จึงเกิดความเสี่ยงว่าบริษัทอาจไม่มีเงินจ่ายให้พนักงานเมื่อถึงเวลา
วิธีการตรวจสอบหรือประเมินความเสี่ยง
ตรวจสอบงบการเงิน: ศึกษาว่าบริษัทมีการตั้งสำรองสำหรับเงินเกษียณพนักงานหรือไม่ และตั้งสำรองไว้เพียงพอหรือไม่ วิเคราะห์จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio) หากอัตราส่วนนี้สูง แสดงว่าบริษัทมีหนี้สินมาก อาจส่งผลต่อความสามารถในการจ่ายเงินก้อนหลังเกษียณ
ติดตามข่าวสาร: สังเกตว่าบริษัทมีปัญหาทางการเงินหรือไม่ มีการปรับโครงสร้างองค์กรหรือปลดพนักงานจำนวนมากหรือไม่
สอบถามฝ่ายทรัพยากรบุคคล: ขอข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเงินเกษียณของบริษัท วิธีการคำนวณเงินก้อน วิธีการตั้งสำรอง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษานักคณิตศาสตร์ประกันภัย หรือนักวางแผนการเงิน เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการออมสำหรับวัยเกษียณ
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
ผลักดันให้มีกฎหมาย: ร่วมสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายแรงงานที่บังคับให้บริษัทตั้งสำรองเงินเกษียณพนักงานตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ได้มาตรฐาน
พัฒนาความรู้: ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการเงิน วางแผนการออมและลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวัยเกษียณ
สร้างรายได้เสริม: หารายได้เสริมเพื่อเพิ่มเงินออมและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินก้อนหลังเกษียณจากบริษัทเพียงอย่างเดียว
สรุป
เงินก้อนหลังเกษียณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์เงินเดือนทุกคน การตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของบริษัท จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทเพียงอย่างเดียว | กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2990 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่มูลค่าทางบัญชี เป็นคำตอบที่ดีในการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร | null | เหตุผลที่มูลค่าทางบัญชี เป็นคำตอบที่ดีในการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร มีอยู่ 2 สาเหตุหลัก ๆ ด้วยกัน สาเหตุแรกมาจาก มูลค่าทางบัญชี มีความผันผวนน้อย แต่เมื่อไหร่ที่เมื่อบริษัทนั้นเกิดภาวะขาดทุน จะส่งผลทำให้มูลค่าทางบัญชีมีค่าลดลง แต่ไม่ได้ลดลงจนเกิดผลกระทบอย่างเป็นนัยสำคัญเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุอีกหนึ่งข้อก็คือ กำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารอยู่ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น และมีการแปรผันตรงตามสินทรัพย์ที่มีอยู่
บทเรียนจากย่อหน้านี้
หุ้นกลุ่มธนาคาร (Banking Sector) ถือเป็น Cyclical stock ประเภทหนึ่ง เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจดี มีการลงทุนมาก หุ้นกลุ่มนี้จะทำกำไรได้ดี ในทางกลับกัน ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา การทำกำไรของหุ้นกลุ่มนี้ก็จะแย่ตามสภาวะเศรษฐกิจ
การใช้ P/E ratio อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีในการลงทุนหุ้นในอุตสาหกรรมนี้ เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุด สัดส่วน P/E จะมีค่ามาก (ทำให้ดูแพง ไม่น่าลงทุน) อาจเกิดจากตัว Earning ที่น้อยจนอาจถึงขั้นติดลบได้ เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว จะทำให้ Earning มากขึ้น ตัวหารมากขึ้น ค่า P/E ก็จะต่ำลงเองโดยปริยาย ทำให้เราอาจพลาดโอกาสในการลงทุนที่ดีไป
แล้วทำไมมูลค่าทางบัญชี หรือ Book Value จึงเป็นคำตอบ
1. เนื่องจาก Book Value มีความผันผวนน้อยกว่า Earning อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าเมื่อบริษัทประสบภาวะขาดทุน จะทำให้ Book Value ลดลง แต่ก็ไม่ได้ลดลงจนมีนัยสำคัญ
2. ความสามารถในการกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารจะอยู่ในช่วงช่วงหนึ่งเท่านั้น และแปรผันตามสินทรัพย์ที่มี ยกตัวอย่างเช่น ในสภาวะที่เศรษฐกิจดีมากๆ กลุ่มธนาคารก็ไม่สามารถคิดอัตราดอกเบี้ยผู้กู้ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ต่อปี | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2991 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง Mortgaged backed securities ให้หน่อยค่ะ | Mortgaged backed securities (MBS) หรือหลักทรัพย์ที่เกิดจากการรวมกันของสินเชื่อบ้านนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากความเชื่อที่ว่าผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ เกิดกระแสการเก็งกำไรมากมาย รวมไปถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่มากมายที่ผูกอยู่กับ MBS นั้น ไม่ว่าจะเป็น CDO swop หรือประกันความเสี่ยงที่มี MBS เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง มองเผินๆ เหมือน MBS เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง แถมยังได้เรตติ้งระดับ AAA ทำให้มีนักลงทุนเข้าไปลงทุนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อย กองทุนรวม ธนาคาร หลักทรัพย์ บริษัทประกัน หรือแม้กระทั่งกองทุนรวมเพื่อการเกษียณ แต่โชคร้ายที่ MBS ไม่ได้ “ดี” ขนาดนั้น!! เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว บ้านที่กู้เงินมาเพื่อซื้อเก็งกำไรจำนวนมากเริ่มขายไม่ได้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว สินเชื่อจำนวนมากถูกผิดชำระ MBS ที่เคยเป็นทองคำกลับกลายเป็นขยะในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เงินลงทุนใน MBS กลายเป็นศูนย์ ถึงแม้ว่าบริษัทจัดความน่าเชื่อถือจะจัดให้มันมีความปลอดภัยระดับเกือบสูง สุดก็ตาม | Mortgaged backed securities หรือ MBS คือ หลักทรัพย์ที่เกิดจากการรวมกันของสินเชื่อบ้าน มีความเชื่อว่าความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูง เกิดกระแสการเก็งกำไรมากมาย รวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผูกอยู่ MBS ซึ่ง MBS ก็คือตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ได้เรตติ้งระดับ AAA ทำให้มีนักลงทุนเข้าไปลงทุนมากมาย แต่เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว MBS ก็กลายเป็นขยะในชั่วข้ามคืนเพราะบ้านที่กูเงินมาเริ่มขายไม่ได้ มีสินเชื่อผิดชำระจำนวนมากและราคาอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลง | ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ตลาดการเงิน,เครื่องมือทางการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2992 | Finance | จงสรุปบทความเรื่อง "ทำอย่างไรดี กับกองทุนที่คนไทยติดดอยหนักมาก “น้ำมัน & ทองคำ”" ให้หน่อยค่ะ | บอกเจตนาก่อนนะครับ ว่าไม่ได้จะมาซ้ำเติม หรือ วิจารณ์ว่าเป็นการลงทุนที่ผิดพลาดแต่อย่างใด แต่สาเหตุเนื่องจาก ทาง FINNOMENA ได้จัด Campaign แก้พอร์ต (FINNOMENA Fix My Port) ให้กับนักลงทุนที่สนใจรับคำแนะนำการจัดพอร์ตอย่างถูกวิธี โดยการให้ส่งพอร์ตจริง เงินจริงของท่านเข้ามาให้เราทำการประเมิน หลังจากที่มีผู้สนใจมากกว่า 200 คนลงทะเบียนและส่งพอร์ตกันเข้ามา ผมเข้าไปดูแล้วพบว่า เกือบๆครึ่งหนึ่งของนักลงทุน ติดดอยกองทุนอยู่ 2 ประเภท นั้นก็คือ กองทุนน้ำมัน และ กองทุนทองคำ นะครับ เลยอยากจะขอแนะนำในภาพรวม เพราะเชื่อว่า มีหลายคน ตั้งคำถามกับพอร์ตตัวเองอยู่เหมือนกันว่า มี 2 กองนี้ อยู่ในพอร์ต ทำอย่างไรดี? เราไปดูกราฟราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ 2 ประเภท กันหน่อยว่า เคลื่อนไหวอย่างไรในอดีตที่ผ่านมา ทองคำ ราคาไปทำจุดสูงสุดเมื่อกลางปี 2011 ด้วยธีม และความคาดหวังที่ว่า การปั๊มเงินด้วยมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าลงเรื่อยๆ และสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงกรณี USD อ่อนค่า ได้ดีที่สุด ก็คือ “ทองคำ” … แต่จนถึงวันนี้ ทุกคนก็รู้แล้วว่า เราคิดผิด น้ำมัน ราคาทำจุดสูงสุดในไตรมาส 3 ปี 2008 และแตกพร้อมๆ กับฟองสบู่อสังหาฯ ในวิกฤตซับไพรม์ที่สหรัฐฯ หลังจากนั้นราคาก็เป็น Sideway Up จนถึงปี 2014 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ความหวังว่า ราคาน้ำมัน จะขึ้นไปที่ระดับสูงกว่า $100 ก็ต้องพังทลายลง จากการมาของ Shale Oil & Shale Gas สำหรับนักลงทุนสายกราฟ แค่ดูด้วยสายตา ก็รู้ว่า สินทรัพย์ทั้งสองประเภทนี้ ไม่ได้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างแน่นอนนะครับ ดังนั้น ใครที่บอกกับตัวเองไว้ว่า ต้องการจะถือยาวๆ หวังว่า เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาให้ขายเอง … คำแนะนำของผมคือ คุณอาจกำลังหลอกตัวเอง และหากจะต้องรอจริงๆ อาจต้องรอนานกว่าที่คิดด้วยครับ ดังนั้น อ่านข้อมูลต่อไปนี้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น แนวโน้มของราคาทอง ปัจจัยกดดันราคาทองในระยะสั้น มีอยู่ 2 เหตุการณ์หลักๆ ก็คือ แนวโน้มเงินเฟ้อ ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะขยับขึ้นมาเร็วในปีนี้ ปรากฏว่า ยังไม่มา ขณะที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป รวมถึงล่าสุด นักลงทุนคาดว่า เฟดอาจจะไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีกรในปีนี้ มันบอกกลายๆว่า ธีมการลงทุนของทองคำ เรื่อง “Hedge Against Inflation” หรือ ป้องกันความเสี่ยงกรณีเกิดเงินเฟ้อ น่าจะยังไม่ใช่ในเร็ววันครับ
แนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์ จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เตรียมตัวขยับขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าๆ ทำให้มุมมองของเรา ก็เชื่อว่า ค่าเงิน USD น่าจะค่อยๆขยับแข็งค่าขึ้น แต่สิ่งที่เราเห็นตั้งแต่ต้นปี 2017 ก็คือ Dollar Index อยู่ในทิศทางอ่อนค่ามาตลอด จากเหตุผลหลักๆคือ ตลาดเริ่มไม่คาดหวังกับนโยบายของนายทรัมป์ และเฟด เองก็ไม่ได้คิดจะรีบขึ้นดอกเบี้ยในเร็ววัน ผลจากการที่ USD อ่อนค่า ควรจะทำให้ราคาทองเป็นบวกในช่วงตั้งแต่ต้นปี ซึ่งก็จริงแค่ 5 เดือนแรกเท่านั้น แต่หลังจากกลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาที่ Dollar Index ร่วงลงต่ำกว่า 97 จุด เรากลับพบ่วา ราคาทองปรับตัวลงต่อเนื่อง จากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ $1,294 มาอยู่ที่ $1,222 ในปัจจุบัน ถ้ามองภาพกว้างกว่านั้น จริงๆ เราก็ทราบข่าวว่า Hedge Fund เจ้าใหญ่ๆ อย่าง George Soros และ John Paulson ก็ลด Position ในการลงทุนทองคำลงตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ขณะที่ รายงานการซื้อสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกจาก World Gold Council ก็พบว่า โดยภาพรวมซื้อสะสมในปริมาณที่ลดลง ถ้าใครสังเกตมากกว่านั้นก็จะพบว่า ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการเมืองในเนเธอแลนด์ การเลือกตั้งฝรั่งเศส และอังกฤษ ซึ่งดูมีความเสี่ยงสูง รวมถึง กรณีชาติตะวันตกคว่ำบาตรกาตาร์ และการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ เหล่านี้คือ ความเสี่ยงที่เคยทำให้การถือทองคำ เป็นเหตุที่ดี แต่ ปีนี้ เราก็เห็นกันแล้วว่า ราคาทองเองก็ไม่ได้ขยับไปไหน แนวโน้มของราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาที่ ราวๆ 42-43 ดอลลาร์ กลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นหลักๆ มาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริงและตรึงกำลังการผลิตได้จริง ถึงแม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้าก็ตาม ไปดูเหตุผลที่ตลาดไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นก็เพราะ กำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ก็ยังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐ จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ตั้งแต่ย่างเข้าไป 2017 เป็นต้นมา รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่า ต้นทุนการผลิตของเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้ว ถ้ามองภาพใหญ่กว่านั้น ราคาน้ำมันก็โดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy โดยเทคโนโลยีที่จะมาเป็นคู่แข่งพลังงานน้ำมันจริงๆ ก็คือ Power Storage หรือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า นั้นเอง เพราะตัวเก็บประจุไฟฟ้า หรือ Power Storage จะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีตัวเก็บประจุ ก็แปลว่า เราจะใช้ไฟฟ้าได้แค่ตอนช่วงกลางวันเท่านั้น ดังนั้น เทคโนโลยี Power Storage จึงถือว่ามีความสำคัญ และเป็นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดต่ำลงไปอีก และเข้าถึงคนจำนวนมากขึ้นกว่าปัจจุบันไปอีก ดังนั้น มุมมองของผม จึงมองว่า ราคาน้ำมัน ถูกกดดันทั้งปัจจัยลบระยะสั้น (สหรัฐฯผลิตแข่ง และต้นทุนสู้ได้) และระยะยาว (การเข้ามาของพลังงานทดแทน และพลังงานสะอาด) | เนื่องจาก FINNOMENA จัด Campaign แก้พอร์ตให้นักลงทุนที่สนใจรับคำแนะนำการจัดพอร์ตอย่างถูกวิธี โดยการส่งพอร์ตจริง เงินจริงขเข้ามาให้ทำการประเมิน พบว่านักลงทุนส่วนใหญ่ ติดดอยกองทุนอยู่ 2 ประเภทคือ กองทุนน้ำมัน และกองทุนทองคำ
ราคาทองคำ ทำจุดสูงสุดเมื่อกลางปี 2011 ในขณที่ราคาน้ำมันทำจุดสูงสุดในไตรมาส 3 ปี 2008 และแตกพร้อมๆ กับฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในวิกฤตซับไพรม์ที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นราคาเป็น Sideway Up จนถึงปี 2014 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
แนวโน้มของราคาทอง มีปัจจัยกดดันราคาทองระยะสั้นอยู่ 2 เหตุการณ์หลักๆ คือ
1. แนวโน้มเงินเฟ้อ ที่คาดว่าจะขยับขึ้นมา แต่ปรากฏว่ายังไม่มา ขณะที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป นักลงทุนคาดว่า เฟดอาจไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีกในปีนี้ ธีมการลงทุนของทองคำ เรื่องการป้องกันความเสี่ยงกรณีเกิดเงินเฟ้อ น่าจะยังไม่มาในเร็ววัน
2. แนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์ จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา เตรียมขยับขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าๆ ทำให้เชื่อว่า ค่าเงิน USD น่าจะค่อยๆ ขยับแข็งค่าขึ้นแต่สิ่งที่เห็นตั้งแต่ต้นปี 2017 คือ Dollar Index อยู่ในทิศทางอ่อนค่าตลอด จากเหตุผลที่ตลาดเริ่มไม่คาดหวังกับนโยบายของนายทรัมป์ และเฟดก็ไม่ได้คิดรีบขึ้นดอกเบี้ยในเร็ววัน ผลจากการที่ USD อ่อนค่า ควรทำให้ราคาทองเป็นบวกตั้งแต่ต้นปี ซึ่งก็จริงแค่ 5 เดือนแรกเท่านั้น แต่หลังจากกลางเดือนมิถุนายนที่ Dollar Index ร่วงลงต่ำกว่า 97 จุด เรากลับพบว่า ราคาทองปรับตัวลงต่อเนื่องจากจุดสูงสุดที่ $1,294 มาอยู่ที่ $1,222
แนวโน้มของราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันถูกเทขายลงมาราว 42-43 ดอลลาร์ ซึ่งมาจากตลาดเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า ข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตระหว่าง OPEC และ non-OPEC จะทำได้จริง แม้จะมีการขยายระยะเวลาตรึงกำลังการผลิตออกไปถึงปีหน้า เพราะกำลังการผลิตนอกกลุ่ม OPEC ยังเพิ่มขึ้น จากตัวเลขแท่นขุดเจาะรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ รวมถึงการเดินกำลังการผลิต Shale Oil และ Shale Gas ที่สะท้อนว่าต้นทุนการผลิตเข้ามาใกล้จุดที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตน้ำดิบได้แล้ว ราคาน้ำมันโดนกดดันอยู่มาอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด โดยเทคโนโลยีที่มาเป็นคู่แข่งคือ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า เพราะทำให้การใช้พลังงานสะอาดมีเสถียรภาพมากขึ้น | กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน,การบริหารสินทรัพย์ | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2994 | Finance | ในสถานการณ์ที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ควรพิจารณาอะไรเพิ่มเติมในการเลือกซื้อประกันควบการลงทุน หรือควรเลือกซื้อประกันแบบปกติควบคู่ไปกับการลงทุนด้วยตัวเอง? | null | เงินเฟ้อ ส่งผลต่อทั้งเงินออมและการลงทุน ดังนี้:
• เงินออม: เงินเฟ้อจะกัดกินมูลค่าเงินออมของเรา หมายความว่า เงินจำนวนเท่าเดิมจะซื้อสินค้าได้น้อยลง
• การลงทุน: เงินเฟ้อส่งผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุน
1. เงินฝาก: ผลตอบแทนจากเงินฝากธนาคารมักจะต่ำกว่าเงินเฟ้อ
2. กองทุนรวม: ผลตอบแทนจากกองทุนรวมมีความผันผวน ขึ้นอยู่กับประเภทของกองทุน
สำหรับประกันควบการลงทุน:
1. ผลตอบแทน: ผลตอบแทนจากประกันควบการลงทุน ประกอบไปด้วย
1.1 ผลตอบแทนจากการลงทุน: ขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือก
1.2 โบนัส: ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทประกัน
2. ความเสี่ยง:
2.1 ความเสี่ยงจากตลาด: ผลตอบแทนจากการลงทุนมีความผันผวน
2.2 ความเสี่ยงจากบริษัทประกัน: บริษัทประกันอาจล้มละลาย
การเลือกซื้อประกันควบการลงทุนในภาวะเงินเฟ้อสูง:
1. พิจารณากองทุนที่ลงทุน:
1.1 เน้นกองทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ เช่น กองทุนตราสารทุน
1.2 กระจายความเสี่ยงลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ
2. พิจารณาเบี้ยประกัน:
2.1 เลือกเบี้ยประกันที่จ่ายไหว
2.2 เงินส่วนที่เหลือควรนำไปออมและลงทุนเพิ่มเติม
3 พิจารณาความเสี่ยง:
3.1 เข้าใจความเสี่ยงจากตลาดและความเสี่ยงจากบริษัทประกัน
3.2 เลือกซื้อประกันจากบริษัทที่มีความมั่นคง
การเลือกซื้อประกันแบบปกติควบคู่ไปกับการลงทุนด้วยตัวเอง:
1. ประกัน:
1.1 เลือกซื้อประกันที่เน้นความคุ้มครอง
1.2 เลือกทุนประกันที่เหมาะสมกับความต้องการ
2. การลงทุน:
2.1 เลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายและความเสี่ยง
2.2 ศึกษาข้อมูลและลงทุนอย่างชาญฉลาด
สรุป: ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ว่าควรเลือกซื้อประกันควบการลงทุนหรือประกันแบบปกติควบคู่ไปกับการลงทุนด้วยตัวเอง การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ
1. เป้าหมายทางการเงิน
2. ความเสี่ยงที่รับได้
3. วินัยในการลงทุน | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2995 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การวิเคราะห์ปัจจัยสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกระเป๋า | null | ปัจจัยสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกระเป๋าที่ควรวิเคราะห์ก่อนการลงทุน มีอยู่ 3 อย่าง นั่นก็คือ ความมั่นคงของแบรนด์, ความหายากของกระเป๋าแต่ละรุ่น และวัตถุดิบที่ใช้ทำกระเป๋า นี่เป็นแค่ปัจจัยหลัก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะส่วนเพิ่มมูลค่าของกระเป๋ายามที่แบรนด์นั้นมีการร่วมออกแบบกระเป๋ารุ่นพิเศษกับนักออกแบบแฟชั่นชื่อดังหรือใช้วัสดุพิเศษ และต้องระวังเรื่องการติดตามเช็คสุขภาพของแบรนด์ ว่ายังมีความแข็งแกร่งหรือไม่ หรือ บริษัทจะมีแนวโน้มเปลี่ยนไปใช้นโยบายธุรกิจที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลกระทบกับมูลค่าของแบรนด์หรือเปล่า
บทเรียนจากย่อหน้านี้
นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกระเป๋าควรวิเคราะห์ปัจจัย 3 ข้อ ซึ่งก็คือ ความมั่นคงของแบรนด์, ความหายากของกระเป๋าแต่ละรุ่น และวัตถุดิบที่ใช้ทำกระเป๋า เป็นปัจจัยหลัก นอกจากนั้นยังมีกระเป๋ารุ่นพิเศษต่างๆ ที่มีการร่วมออกแบบกับนักออกแบบแฟชั่นชื่อดังหรือมีการใช้วัสดุพิเศษเช่นพลอยก็จะถือเป็นส่วนเพิ่มมูลค่าได้ด้วยเช่นกัน
เจ้าของร้านกระเป๋าหรูอย่าง Bags and Luxury ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ลูกค้าของเธอไม่ได้มีแค่นักลงทุนทั่วๆ ไปเท่านั้น ลูกค้าบางคนเป็นถึงเจ้าหญิงหรืออยู่ในราชวงศ์ชั้นสูงของประเทศเลยทีเดียว เธอยังได้เปรียบเทียบเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า ผู้ชายเองก็ไม่ต่างกับผู้หญิง พวกเขาชอบสะสมนาฬิกาก็ไม่ต่างกับที่ผู้หญิงสะสมกระเป๋า หากจะให้เทียบ คิดว่ากระเป๋าก็มีบางมุมที่คล้ายๆ กับการลงทุนในหุ้นแข็งแกร่งอยู่บ้าง เหมือนกันตรงที่กระเป๋าเหล่านี้มักจะมีแบรด์ที่แข็งแกร่งและความนิยมที่สูงอยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่นักลงทุนต้องระวัง ก็อาจจะเป็นการติดตามเช็คสุขภาพของแบรนด์ว่ายังแข็งแกร่งอยู่หรือไม่ บริษัทมีแนวโน้มเปลี่ยนไปใช้นโยบายธุรกิจที่ไม่เหมาะสมซึ่งกระทบกับมูลค่าของแบรนด์หรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น การเป็นกระเป๋าหรูแต่ดันไปเน้นขายในร้าน Outlet เป็นต้น | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2996 | Finance | บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือบริษัทใด | a. บริษัท ซีพี ไทยเบฟ
b. บริษัท เจริญหอมทอง จำกัด
c. บริษัท Apple
d. ปตท. | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ d. เนื่องจาก ถ้าถามว่าบริษัทไหนใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทุกคนคงรู้กันดีกว่าบริษัทนั้น คือ ปตท.
ปี 2016 บริษัท ปตท. มีกำไร 9.5 หมื่นล้านบาท เป็นบริษัทที่มีกำไรมากที่สุดในประเทศไทย
ไม่ใช่บริษัท ซีพี ไทยเบฟ หรือ เซ็นทรัล ของเจ้าสัวที่เรารู้จักกันว่าเป็นคนรวยอันดับต้นๆ ในไทย
ปตท. ถือหุ้นใหญ่โดยกระทรวงการคลัง 51% ผู้ถือหุ้นใหญ่รองลงมาคือกองทุนทั้งในไทย และต่างชาติ
แล้วบริษัท ปตท. มีทรัพย์สินมากแค่ไหน? ปตท. มีทรัพย์สินรวมกันมากถึง 2.2 ล้านล้านบาท บริษัทมีธุรกิจมากมายตั้งแต่ การขุดเจาะน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมัน สถานีน้ำมัน
ถ้าเรานับเฉพาะสินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตน หรือ Tangible Fixed Asset เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร อุปกรณ์ ปตท.จะมี Fixed Asset มากถึง 1.1 ล้านล้านบาท | ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2997 | Finance | ข้อใดเป็นแนวคิดพลิกพอร์ตให้ใหญ่ด้วยหุ้นเล็ก | ก. หาหุ้นใหญ่สำหรับตีแตก
ข. ซื้อหุ้นเล็กที่กระแสเงินสดเป็นลบ
ค. มองหาหุ้นเล็กที่มีการเติบโตใหญ่
ง. ไม่ต้องรอตลาดถล่ม
จ. ไม่จำกัดความเสี่ยง | คำตอบที่ถูกต้องคือ ค. เพราะว่า เพราะการมองหาหุ้นเล็กที่มีการเติบโตใหญ่ อยู่ในแนวคิดพลิกพอร์ตให้ใหญ่ด้วยหุ้นเล็ก
5 แนวคิดพลิกพอร์ตให้ใหญ่ด้วยหุ้นเล็ก
แนวคิดแรก “มองหาหุ้นเล็กที่มีการเติบโตใหญ่”
แนวคิดนี้ฟังดูง่าย แต่ทำยากมาก แต่ถ้าทำได้ โอกาสที่พอร์ตเติบใหญ่ก็จะเปิดกว้าง วิธีก็คือ ต้องทำการ “ขุดหุ้น” หาหุ้นที่ดีมีอนาคต แต่ ณ ตอนนี้ยังเล็กอยู่ โดยสังเกตจากสถานการณ์รอบตัว ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่สามารถโตเร็วได้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คือหุ้นอะไรบ้าง และเมื่อภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวหุ้นอะไรจะกลับมาได้
หุ้นในกลุ่มนี้อาจได้แก่ หุ้นวัฏจักรที่จะขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจขาขึ้น ซึ่งก็มีหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นพวกพืชผลทางการเกษตร อัตราการใช้น้ำมันที่สูงขึ้น เป็นต้น และหุ้นพลิกฟื้น ที่เคยย่ำแย่ หรือขยายตัวได้ยากในภาวะที่ไม่ดี แต่พอภาวะต่างๆ ปรับตัวดีขึ้นก็จะกลับมาได้ เช่น พวกสินเชื่อรถมือสอง เป็นต้น
แนวคิดที่สอง “หาหุ้นเล็กสำหรับตีแตก”
แนวคิดนี้ต้องอาศัยความกล้า และความอดทนอยู่มาก หุ้นบางตัวผมจะเข้าไปตอนที่กิจการกำลังย่ำแย่ และกลับออกมาตอนกิจการมันดูดี ซึ่งในชีวิตจริงทำได้ยากมากๆ เช่นเดียวกับแนวคิดแรก เพราะหุ้นตัวเล็กนั้นมักจะดูไม่ดี ไม่น่าลงทุน แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือ “จังหวะซื้อ” ที่ดีที่สุด เพราะถ้าหากหุ้นดูดีแล้ว ราคาก็จะขยับปรับตัวขึ้นไปแล้วเช่นกัน
วิธีการตีแตก ถ้าเจอหุ้นเล็กที่ดูมีแวว จะลงทุนอย่างน้อยที่สุด 25% ของขนาดพอร์ต เช่น ถ้ามีพอร์ต 1 ล้านบาท ควรลงทุนกับตัวที่มั่นใจ 2.5 แสนบาทเป็นอย่างน้อย หากหุ้นเล็กปรับตัวขึ้นเร็ว 3-5 เท่า พอร์ตก็จะเติบโตขึ้นอย่างมากนั่นเอง
แนวคิดที่สาม “รอตลาดถล่ม”
แนวคิดนี้สำหรับคนเล่นหุ้น ถ้าให้ถือเงินสดรอตลาดถล่มเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร นั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยขันติบารมีเป็นอย่างยิ่ง ถือทางสายกลาง ก็คือ ถือเงินสดไว้ซัก 25% ของพอร์ตก็พอ รอตลาดถล่ม แล้วเล็งหุ้นตัวเล็กที่น่าจะเด้งแรงเอาไว้ พอได้จังหวะก็ซื้อ และเมื่อตลาดหุ้นกลับมาดีก็ขายทำกำไร
แนวคิดที่สี่ “ซื้อหุ้นเล็กที่กระแสเงินสดเริ่มกลับเป็นบวก”
แนวคิดนี้ต้องอาศัยการอ่านงบการเงินเก่งๆ หน่อย หุ้นเล็กบางตัวที่มีการสะดุดไปค่อนข้างนานแต่กิจการก็ยังสามารถดำรงคงอยู่ได้ ถือว่าผ่านด่านสำคัญก็คือ “ความอยู่รอดปลอดภัย” มาได้ระดับหนึ่งแล้ว และหากกิจการนั้นดูมีแววฟื้นตัวนี่ยิ่งน่าสนใจ
สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า กิจการเริ่มกลับมาก็คือ “กระแสเงินสดของกิจการเริ่มดีขึ้น” หรือเริ่มขยับปรับบวก จากที่เคยติดลบมาเนิ่นนาน โดยบางกิจการอาจมีขาดทุนสะสม และเริ่มลดลงเรื่อยๆ อันนี้เป็นสัญญาณดีมาก ถ้ามีเงินเย็นเหลือๆ และราคาหุ้นไม่แพงจนเกินไป รีบซื้อเก็บเข้าหีบรอขายตอนมันดีได้เลย
แนวคิดที่ห้า “อย่าลืมจำกัดความเสี่ยง”
การคิดการณ์ใหญ่ หมายความว่าอาจต้องเพิ่มความเสี่ยง เสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูง โดยวิธีการปิดความเสี่ยงก็คือ การหาความรู้ในหุ้นที่จะลงทุนให้จงมากเข้าไว้ ความไม่รู้คือความเสี่ยงที่สูงที่สุด หากมีความรู้ว่ากิจการที่ลงทุนนั้นเป็นอย่างไร รายได้มาจากทางไหนบ้าง และแปลงเป็นเงินสด และกำไรได้อย่างไร = ปิดความเสี่ยงลงด้วยความรู้ที่มีนั่นเอง | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2999 | Finance | ในปีพ.ศ.2564 After You มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) สูงกว่า 60% หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
จากงบการเงินของ After You ในปี 2564 พบว่า
รายได้: 1,230.9 ล้านบาท
ต้นทุนขาย: 482.2 ล้านบาท
กำไรขั้นต้น: 748.7 ล้านบาท
อัตรากำไรขั้นต้น: (748.7 / 1,230.9) * 100 = 60.8%
อธิบายเพิ่มเติม :
อัตรากำไรขั้นต้น หมายถึง อัตรากำไรที่ได้หลังจากหักต้นทุนขายออกจากรายได้
อัตรากำไรขั้นต้นที่สูง บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน
After You มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 60% แสดงว่าบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้น :
ประเภทของธุรกิจ: ธุรกิจที่มีสินค้าคงคลังสูงมักมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าธุรกิจที่มีบริการ
กลยุทธ์การกำหนดราคา: ธุรกิจที่ตั้งราคาสินค้าสูงมักมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง
ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน: ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนมักมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง
ข้อควรระวัง :
อัตรากำไรขั้นต้น เป็นเพียงตัวชี้วัดหนึ่ง ไม่สามารถบอกได้ทั้งหมดว่าธุรกิจมีผลประกอบการที่ดีหรือไม่
ควรพิจารณาตัวชี้วัดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อัตรากำไรสุทธิ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ
สรุป :
After You มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 60% แสดงว่าบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ | ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3000 | Finance | เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับ"แผนที่ของท็อปเจริญ: เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจและชุมชน" ให้เห็นภาพว่า ท็อปเจริญ กำไรดีแค่ไหน? | null | ในห้องประชุมของบริษัทแห่งหนึ่ง กำลังมีการประชุมเรื่องแผนกลยุทธ์การตลาดใหม่ ความสนใจของทุกคนกำลังตั้งเป็นสูงมาก เพราะเมื่อเข้าสู่แผนกลยุทธ์การตลาดใหม่ คำว่า "ท็อปเจริญ" ก็เป็นคำที่ได้ยินบ่อยๆ ในบริษัทนี้ นักการตลาดหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า อริยะ เป็นผู้นำการประชุมในครั้งนี้
"สวัสดีครับทุกคน วันนี้มาพูดถึงแผนกลยุทธ์การตลาดใหม่ของท็อปเจริญ " อริยะพูดอย่างมั่นใจ "และคำถามที่สำคัญคือ 'ท็อปเจริญ' กำไรดีแค่ไหน?"
เสียงกระหึ่มขึ้นมาในห้อง นักการตลาดแต่ละคนกำลังแสดงความคิดเห็นของตนเอง แต่มีคนหนึ่งที่มองในมุมมองที่แตกต่าง คนนั้นคือ นิก เขามีความเชื่อว่าการทำกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกับชุมชน จะช่วยให้บริษัทมีชื่อเสียงและซื้อสินค้าอย่างยั่งยืนขึ้น
"ถ้ามองในมุมมองทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย การเชื่อมโยงกับชุมชนและการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อาจเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้เราเป็นท็อปเจริญในใจของคน" นิกพูด
อย่างจริงจังด้วยความเชื่อมั่น
คำพูดของนิกได้สร้างความสนใจให้กับทุกคนในห้องประชุม นิกได้นำเสนอแผนการตลาดที่ใหม่โดยการรวมกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับชุมชนเข้ากับแผนการตลาด แนวคิดนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากทุกคนในทีม และจากการประชุมครั้งนี้ ทำให้บริษัทมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่ทิศทางใหม่ของการตลาดที่อาจไม่ได้มีเพียงแค่กำไรที่เจริญอย่างเดียว แต่ยังมีความสำคัญกับการทำความดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย และนี่คือทางที่ทำให้ท็อปเจริญกลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญในวงการธุรกิจไม่แค่แต่ในเรื่องของกำไรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของชุมชนและโลกรอบตัวด้วย
และในที่สุด คำว่า "ท็อปเจริญ" มีความหมายมากกว่าเพียงแค่กำไรบนกระดานบริษัทและเป็นแรงบันดาลใจที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วย | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3001 | Finance | อุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนมากที่สุดใน GDP ของจีน คือ Tertiary Industry แปลเป็นไทยคือ อุตสาหกรรมตติยภูมิหรืออุตสาหกรรมขั้นสูง ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทประเภทใด | null | อุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนมากที่สุดใน GDP ของจีน คือ Tertiary Industry แปลเป็นไทยคือ อุตสาหกรรมตติยภูมิหรืออุตสาหกรรมขั้นสูง ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทประเภท Technology, Service, Retail และ Healthcare
Tertiary Industry มีสัดส่วนเกินกว่า 50% ของ GDP จีนโดยอุตสาหกรรมเก่าอย่างโรงงานและการผลิตมีสัดส่วนที่ประมาณ 40% ส่วนพวก Commodity อย่างถ่านหินและนํ้ามันเหลือแค่ 10% เท่านั้น และถ้าเทียบสัดส่วน GDP ของ Tertiary Industry กับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง USA และ Germany ที่มีสัดส่วนที่สูงถึง 78-80% ประเทศจีนเมื่อพัฒนาไปในอนาคตจะมีกำลังซื้อสูงขึ้น ความต้องการธุรกิจอย่างบริการก็จะสูงขึ้นก็ควรจะมีสัดส่วนของ Tertiary Industry สูงเช่นกัน
นอกจากอุตสาหกรรมของจีนที่เปลี่ยนไปจาก Old China เป็น New China แล้ว สัดส่วนการเติบโตของจีนยังมาจากอุตสาหกรรมใหม่ด้วย โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2010-2015 สูงถึง 26% ต่อปีเกือบ 2 เท่าตัวของการเติบโตของอุตสาหกรรมเก่าที่ 13% หากเอาข้อมูลของกองทุน TMBCOF ที่ลงทุนใน UBS China Opportunity Equity Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนใน New China จะเห็นว่ากองทุนให้ผลตอบแทนถึง 90.4% ในช่วงปี 2012 – 2017 ชนะ MSCI China ที่ให้ผลตอบแทน 31.2% มากถึงเกือบ 2 เท่าตัว
กองทุนลงทุนในอะไรบ้างที่เป็นธุรกิจ New China ถึงได้ผลตอบแทนที่ชนะตลาดรวมได้ขนาดนี้ การลงทุนหลักๆ ก็มี
- Tencent Holdings 9.7% เจ้าของ Application ที่ไม่มีคนจีนคนไหนไม่รู้จัก WeChat หุ้นขึ้นมาประมาณ 700%
- TAL Education 9.0% เจ้าของธุรกิจโรงเรียนติวเตอร์รายใหญ่ของจีน หุ้นขึ้นมาประมาณ 800%
- Ping An 7.5% เจ้าของธุรกิจประกันรายใหญ่ถือหุ้นโดยกลุ่ม CP ของไทย หุ้นขึ้นมาประมาณ 80%
- Alibaba 7.4% โดย Jack Ma ราคาหุ้นขึ้นจาก IPO มาประมาณ 100%
- Baidu 4.2% ผู้นำ Search Engine ในประเทศจีน ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 82% ในขณะที่ Google มีแค่ 10% เท่านั้น ราคาหุ้นขึ้นมาประมาณ 50%
ในยุคที่โลกเชื่อมต่อกันทั้งหมด การลงทุนในต่างประเทศจะทำให้ไม่พลาดโอกาสสำคัญๆ ที่เป็นเทรนด์ใหญ่ของโลก ถึงกระนั้นการลงทุนในต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในเรื่องของข้อมูล, ภาษาและวัฒนธรรม ตัวช่วยที่พอมีคือ การลงทุนผ่านกองทุน สิ่งที่คนธรรมดาๆ ทำได้คือ การมองเทรนด์และภาพใหญ่ที่เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จในอนาคต โดยปล่อยเรื่องของภาพเล็กและการประเมินมูลค่าหุ้นให้กับผู้จัดการกองทุนเป็นคนดูแลแทนก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3006 | Finance | อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่? | null | กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ดังนี้
1. เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย:
ไม่จำเป็นต้องลงทุนเงินก้อนใหญ่
เริ่มต้นด้วยจำนวนเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้
ทยอยลงทุนเพิ่มเติมเมื่อพร้อม
2. เลือกกองทุนรวมที่เหมาะสม:
เลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน
พิจารณาผลตอบแทนในอดีต ค่าธรรมเนียม นโยบายการลงทุน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
3. กระจายความเสี่ยง:
ไม่ควรลงทุนในกองทุนรวมเพียงตัวเดียว
กระจายเงินลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่างๆ
ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนต่างกัน
4. ลงทุนระยะยาว:
ไม่ควรหวังผลตอบแทนระยะสั้น
ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
อดทนรอผลตอบแทนระยะยาว
5. ศึกษาหาความรู้:
เรียนรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม ประเภท ความเสี่ยง ผลตอบแทน
ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ การเมือง
ปรับกลยุทธ์การลงทุนตามสถานการณ์
ข้อควรระวัง:
การลงทุนมีความเสี่ยง
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
แหล่งข้อมูล:
บทความ "20 ปีข้างหน้าของกองทุนรวมไทย" ของ "The Standard"
เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์
คำแนะนำ:
นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ควรเริ่มจากลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ
ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมหลายตัว
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
สรุป:
การลงทุนในกองทุนรวมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ แต่การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
กองทุนรวมประเภทที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่:
กองทุนรวมตราสารหนี้
กองทุนรวมผสม
กองทุนรวมดัชนี
กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในกองทุนรวม:
กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมหลายตัว
ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยง
ตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3007 | Finance | นักลงทุน VI ควรเข้าร่วมงานเลี้ยงของหุ้นรายตัวหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
ความเสี่ยงสูง: งานเลี้ยงของหุ้นรายตัว มักหมายถึง หุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว มักมีมูลค่าตลาด (Market Cap.) สูง และมักมีค่า PE สูง ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่สูง
ความไม่แน่นอน: ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูง มักมีแรงเก็งกำไรสูง ประกอบกับข่าวลือ ข่าวสาร และความคาดหวังต่างๆ ทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนสูง
ความยากในการคาดการณ์: การคาดการณ์ว่างานเลี้ยงจะเลิกเมื่อไหร่นั้นเป็นเรื่องยาก
โอกาสในการขาดทุน: หากนักลงทุน VI เข้าร่วมงานเลี้ยงและราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว มีโอกาสสูงที่นักลงทุน VI จะขาดทุน
กลยุทธ์ VI ไม่สอดคล้อง: การเข้าร่วมงานเลี้ยงขัดต่อหลักการของ VI เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
แนวทางการลงทุนสำหรับนักลงทุน VI:
เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ศึกษาข้อมูลบริษัท งบการเงิน กลยุทธ์ธุรกิจ ฯลฯ
มองหาหุ้นที่มีมูลค่า: เลือกหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ลงทุนระยะยาว: อดทน รอคอยผลตอบแทนระยะยาว
ควบคุมความเสี่ยง: กระจายเงินลงทุน ไม่ลงทุนในหุ้นตัวเดียว
ข้อควรระวัง:
ข้อมูลข่าวสาร: นักลงทุน VI ควรวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารอย่างรอบคอบ
อารมณ์: ควบคุมอารมณ์ ไม่ตัดสินใจลงทุนด้วยความโลภหรือความกลัว
วินัย: ยึดมั่นในกลยุทธ์ VI
สรุป:
นักลงทุน VI ควรหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมงานเลี้ยงของหุ้นรายตัว เน้นการลงทุนตามหลักการ VI มุ่งเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน มองหาหุ้นที่มีมูลค่า ลงทุนระยะยาว ควบคุมความเสี่ยง และยึดมั่นในวินัย | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3011 | Finance | บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) ทำเกี่ยวกับธุรกิจใด | 1. ธุรกิจซ่อมรถ
2. ธุรกิจซ่อมเรือ
3. ธุรกิจฟิตเนส
4. ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง | คำตอบได้แก่ 3. เพราะว่า ในช่วงปลายปี 2548 บริษัทหนึ่งได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยแบกประสบการณ์ความสำเร็จส่งตรงมาจากฮ่องกง ธุรกิจที่เรียกว่าสร้างความแปลกใหม่และพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมไปเลยในช่วงขณะนั้น หุ้นที่นักลงทุนมือฉมังหลายคนในยุคนั้นเรียกว่าหุ้นแห่งยุคสมัยใหม่ หุ้นตัวนั้นมีชื่อว่า CAWOW หรือที่รู้จักกันดีในชื่อบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจฟิตเนส California Wow ถือว่าสร้างความแปลกใหม่ให้กับประเทศไทยมาก เพราะน่าจะเป็นฟิตเนสแบรนด์แรกๆ ในประเทศไทยที่เน้นการทำการตลาดแบบขยายสาขาอย่างจริงจัง โดยเน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย รักสุขภาพ จับกลุ่มเป้าหมายชาวเมืองที่มีรายได้ปานกลางไปถึงสูงอย่างติดหนับ ถึงว่าค่าฟิตเนสในยุคสมัยนั้นของแคลิฟอร์เนียว้าวจะไม่ได้ถูกเลย แต่สมาชิกจำนวนมากก็ยินดีควักกระเป๋าเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า แคลิฟอร์เนียว้าวขยายกิจการอย่างก้าวกระโดด CEO แอริค มาร์ค เลอวีน สร้างฟิตเนสแบบเชิงรุกบุกหัวเมืองทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดอย่างรวดเร็ว | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3015 | Finance | จุดสำคัญที่ทำให้นํ้ามันมีความสำคัญคืออะไร | ก. การคิดค้นเรือ
ข. การคิดค้นเครื่องยนต์
ค. การกลั่นน่้ำมัน
ง. การคิดค้นรถยนต์ | คำตอบที่ถูกต้องคือ ข. เนื่องจาก หนึ่งในการค้นพบที่สำคัญที่สุดในโลกของมนุษยชาติ คือการค้นพบ “นํ้ามัน” นํ้ามันถูกค้นพบขึ้นมาหลายพันปีที่แล้วแต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมอย่างเช่นทุกวันนี้ ในอดีตผู้คนใช้นํ้ามันในการทาหลังคาบ้านเพื่อกันฝน,ทาขวานเพื่อกันสนิมหรือใช้เพื่อจุดตะเกียงเท่านั้น ดังนั้นการที่คนจะทำสงครามหรือแก่งแย่งกันเพื่อให้ได้นํ้ามันคงเป็นเรื่องที่น่าตลกในยุคสมัยนั้น คนจะทำสงครามกันเพื่อแย่ง ทาส, แผ่นดิน, ทอง หรือแม้แต่พริกไทย แต่ไม่ใช่นํ้ามันแน่ๆ มนุษย์ไม่เคยใช้นํ้ามันจริงๆจังๆจนมากถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือ Industrial Revolution ในช่วงศตวรรษที่ 18 เริ่มมีคนนำนํ้ามันมากลั่นเป็นสารต่างๆเช่น เคโรซีน พาราฟิน แนฟตาและนํ้ามันหล่อลื่นอื่นๆ ธุรกิจขุดเจาะและกลั่นนํ้ามันเริ่มกระจายไปทั่วโลกและเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น จุดสำคัญจริงๆที่ทำให้นํ้ามันมีความสำคัญคือการคิดค้นเครื่องยนต์ (Internal Combustion Engine) ซึ่งใช้เชื้อเพลิงหลักคือนํ้ามัน หลังจากการคิดค้นเครื่องยนต์ นํ้ามันที่เคยมีใช้กันอย่างล้นเหลือก็ถูกใช้จนหมดอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสรวยจากการขุดนํ้ามันไปทั่วอเมริกาทำให้คนเริ่มค้นหาบ่อนํ้ามันและตั้งบริษัทขุดเจาะกันอย่างจริงจัง หนึ่งในคนที่รํ่ารวยมาจากนํ้ามันในยุคนั้นคือ John D. Rockfeller ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยควบคุมกำลังการกลั่นนํ้ามันในสหรัฐฯถึง 90% ปริมาณการผลิตนํ้ามันที่ 2,000 บาร์เรลในปี 1859 เพิ่มสูงถึง 126 ล้านบาร์เรลในปี 1906 ในปี 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ทรงอำนาจและผู้นำประเทศทั้งหลายเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของนํ้ามันมากขึ้นไปอีก จากเรือที่เคยใช้หัวจักรไอนํ้าเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ที่ใช้นํ้ามันเป็นเชื้อเพลิง รวมไปถึงรถถัง และเครื่องบิน ถ้าไม่มีนํ้ามันเครื่องจักรสงครามเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กดีๆนี่เอง หลังจากนั้นไม่นานถ่านหินที่เคยเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในโลก ก็สูญเสียสถานะความสำคัญให้กับนํ้ามันในช่วงปีศตวรรษที่ 20 จากที่ถ่านหินเคยมีสัดส่วนถึง 50% ของการใช้พลังงานในช่วงศตวรรษที่ 19 ลดลงมาเหลือแค่ 20% ส่วนนํ้ามันเป็นสัดส่วนถึง 60% ในศตวรรษที่ 20 สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอีกครั้งที่นํ้ามันกลายเป็นส่วนสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายการแพ้หรือชนะของสงคราม ญี่ปุ่นถูกควํ่าบาตรการซื้อขายนํ้ามันกับสหรัฐฯในสมัยประธานาธิปดี Roosevelt หากไม่มีนํ้ามันกองทัพญี่ปุ่นจะอ่อนแอลงไม่สามารถทำสงครามยืดเยื้อได้ ญี่ปุ่นจึงตัดสินใจโจมตีสหรัฐด้วยยุทธวิธี “คามิคาเซ่” เกิดเป็นเหตุการณ์ Pearl Harbor หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1960 OPEC ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวกันของประเทศผู้ส่งออกนํ้ามันดิบ โดยในตอนแรกมี 5 ประเทศคือ Venezuala, Iran, Iraq, Saudi Arabia และ Kuwait ปัจจุบัน OPEC มีสมาชิก 14 ประเทศ เป็นเจ้าของ 44% ของการผลิตนํ้ามันของโลก และ 70% ของแหล่งนํ้ามันดิบสำรองของโลก | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3016 | Finance | แนวโน้มของของรายได้ของ DTAC เริ่มต้นลดลงหลังจาก 2013 เป็นต้นมา ใช่หรือไม่ | null | ใช่ แนวโน้มของของรายได้ของ DTAC เป็นขาขึ้นตั้งแต่ 2007 – 2013 ก่อนจะเริ่มต้นลดลงหลังจาก 2013 เป็นต้นมา ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2007 – 2014 ก่อนจะเริ่มต้นลดลงในปี 2014 เป็นต้นมาเช่นกัน
- ในปี 2007 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,841 ล้านบาท
- ในปี 2008 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,329 ล้านบาท
- ในปี 2009 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,628 ล้านบาท
- ในปี 2010 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,892 ล้านบาท
- ในปี 2011 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,813 ล้านบาท
- ในปี 2012 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,285 ล้านบาท
- ในปี 2013 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,569 ล้านบาท
- ในปี 2014 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,729 ล้านบาท
- ในปี 2015 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,893 ล้านบาท
- ในปี 2016 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,086 ล้านบาท
ในขณะที่ไตรมาสล่าสุดของปี 2017 ประกาศกำไรสุทธิออกมาที่ 229 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 81.30% yoy แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 663.33% รายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งเกิดจากการสูญเสียส่วนแบ่งทางตลาดในเชิงหมายเลขผู้ใช้บริหารให้กับคู่แข่งสุดหินอย่าง TRUE และ AIS ซึ่งถึงแม้ว่าแนวโน้มค่าใช้จ่ายต่อหมายเลขของ DTAC จะดูดีมากขึ้นแต่ก็ไม่อาจจะสามารถชดเชยจำนวนหมายเลขผู้ใช้บริการที่ลดลงได้ อัตรากำไรสุทธิของ DTAC ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ปี 2016 ที่ประมาณ 2.52% เท่านั้น
ในขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2017 ก็ยังทำได้ไม่ค่อยดีอยู่ที่ 1.16% ซึ่งในภาพรวมถือว่าต่ำกว่าช่วงก่อนที่เคยสูงลอยอยู่ที่เลข 2 หลักมาก การเปลี่ยนวิถีทางการตลาดของ DTAC ครั้งนี้ตอบได้ยากว่าจะนำพาบริษัทไปถึงจุดไหน เพราะถึงแม้ว่าจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ค่อนข้างสูง
แต่ก็แน่นอนว่าการเดินหมากครั้งนี้ก็สร้างแรงกระเพื่อมได้เป็นอย่างดี อย่างน้อย “เปลี่ยนมาลื่นกับอั้มนะคะ” ก็กลายเป็นคำพูดในติดอยู่ในหูของคนไทยหลายคนอยู่พักหนึ่ง ถึงแม้ว่ากำไรของ DTAC จะดูไม่ค่อย “ลื่น” นักในช่วงเวลาปลายปีที่ผ่านมา แต่จากพัฒนาการในไตรมาสแรกของปี 2017 ก็พูดได้ว่าเป็นไปอย่างน่าลุ้น เพราะถึงแม้ว่ากำไรจะตกลงอย่างมากเมื่อเทียบปีต่อปี แต่ก็ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสเช่นกัน | ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3017 | Finance | ทำไมการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นหลายตัว ในหลายอุตสาหกรรม และในตลาดหุ้นต่างประเทศ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน | null | การกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นหลายตัว ในหลายอุตสาหกรรม และในตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุนด้วยเหตุผลหลักๆ ดังนี้:
1. ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ หมายความว่าราคาหุ้นอาจจะขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ การลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียวหรือเพียงไม่กี่ตัว ทำให้นักลงทุนมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุน
2. เพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี
การลงทุนในหุ้นหลายตัว ช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากหุ้นที่ราคาขึ้น
3. ลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง
ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง สามารถส่งผลต่อราคาหุ้นในประเทศใดประเทศหนึ่งได้อย่างมาก
4. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดหุ้นที่มีศักยภาพ
ตลาดหุ้นในต่างประเทศบางแห่ง มีศักยภาพการเติบโตสูง
ตัวอย่าง
นายสมชาย ลงทุนในหุ้นไทยเพียง 5 ตัว ประกอบด้วย
ธนาคาร 2 ตัว
พลังงาน 1 ตัว
สินค้าเกษตร 1 ตัว
อสังหาริมทรัพย์ 1 ตัว
ในช่วงปี 2566 ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูง ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลดลง 10%
หุ้นของนายสมชาย 3 ตัว (ธนาคาร 1 ตัว พลังงาน 1 ตัว สินค้าเกษตร 1 ตัว) มีราคาปรับตัวลดลง
หุ้นของนายสมชาย 2 ตัว (อสังหาริมทรัพย์ 1 ตัว ธนาคาร 1 ตัว) มีราคาปรับตัวขึ้น
โดยรวมแล้ว พอร์ตการลงทุนของนายสมชายมีราคาปรับตัวลดลง 5%
หากนายสมชายกระจายความเสี่ยง
ลงทุนในหุ้นไทย 10 ตัว
ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 5 ตัว
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของนายสมชาย
มีโอกาสที่จะขาดทุนน้อยลง
มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น
สรุป
การกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นหลายตัว ในหลายอุตสาหกรรม และในตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี และเข้าถึงตลาดหุ้นที่มีศักยภาพ | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3018 | Finance | ขอคำแนะนำหน่อย หุ้น PE สูง แบบไหนเรียก ถูก หรือ แพง | null | หากคุณพบหุ้นที่มี PE สูง เช่น 30 – 40 เท่า
เหตุผลไหนบ้างที่คุณจะสามารถบอกได้ว่าหุ้นถูกหรือแพง?
เช่นกัน หากคุณพบหุ้น PE ต่ำ เช่น 5-10 เท่า
เหตุผลไหนบ้างที่คุณจะสามารถบอกได้ว่าหุ้นถูกหรือแพง?
การจะตอบว่าหุ้นถูกหุ้นแพง ก่อนอื่นผมคิดว่าต้องกลับมาเป้าหมายการลงทุน
ลงทุนเพื่อปันผล หรือลงทุนเพื่อ growth หรือการลงทุนอื่นๆ ถึงจะตอบได้เบื้องต้นว่าหุ้นถูกหรือแพง
หุ้น PE 40 แบบไหนถึงจะไม่แพง?
เราต้องมีเป้าหมายการลงทุน จากนั้นเราจะต้องหาก valuation ของหุ้นตัวนั้นๆ โดยการหา valuation เราจะต้องดูคาดการณ์อนาคตของบริษัทให้ได้
การคาดการณ์นั้นไม่จำเป็นต้องเป้ะแบบในบทวิเคราะห์ของโบรก แต่เราจะใส่ MOS เข้าไปแทน เป็นการป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในการคาดการณ์ของเรา เพราะคำว่าคาดการณ์ไม่มีทางเป็นตามที่เราคิด 100%
เราจะเริ่มจากเป้าหมาย ถ้าเราลงทุนเอาปันผล หุ้นประเภทนี้ยังไงก็แพง ไม่มีทางที่ PE 40 จะมี dividend yield ในระดับที่ดี
แต่ถ้าเราลงทุนเอา growth, PE40 แปลง่ายๆว่าบริษัทควรจะโตได้อย่างน้อย 40%CAGR 3 ปี ถ้าเราพบว่าจริงๆแล้วบริษัทสามารถเติบโตได้ 50%CAGR แปลว่าหุ้นPE40 ตัวนี้มี MOS ราวๆ 20% ซึ่งถือว่าดีพอสมควร
ยกตัวอย่างเหตุการณ์จริงคือ KOOL เมื่อต้นปีของปีที่แล้วจะพบว่ามี PE70 ถือว่าสูงมาก หากเราไม่ได้ศึกษาบริษัทเราจะมองผ่านๆว่าแพง แต่เมื่อเข้าไปดูแล้วอาจจะพบว่า PE สูงเพราะปีก่อนมีค่าใช้จ่ายทำให้กำไรลดไปเยอะ แต่เป็นเพียง one-time cost ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นในปีหน้า
เมื่อความจริงเฉลย ปีต่อมาบริษัทมีการเติบโตกำไรอยู่ที่ 1000% ซึ่งทำให้ PE70 จะลดลงเหลือเพียงประมาณ PE10 (หากซื้อในต้นทุนตอน PE70) แบบนี้ต่อให้ PE 100 ก็ถือว่าไม่แพง แต่อย่าลืมว่าการคาดการณ์นั้นมีโอกาสพลาด ถ้าเกิดบริษัทไม่โตตามที่คาดก็อาจจะอันตราย
มาดูปีถัดมาของ KOOL เมื่อ PE ลดจาก 70 เหลือ PE27 (เพราะราคาหุ้นขึ้น) ในเคสนี้เหมือน PE จะถูกเพราะบริษัทเติบโตขึ้นมาก อนาคตเราก็อาจจะคาดการณ์ว่าบริษัทเติบโตต่อไปได้แบบเดิม เราก็จะมองว่าหุ้นราคาถูก เมื่อไม่นานมานี้ปรากฏว่าจริงๆแล้วบริษัทไม่สามารถเติบโตได้ แต่กำไรกลับลดลงอีก ทำให้หากเราซื้อที่ PE27 ปัจจุบันจะกลายเป็น PE45 ทันที แปลว่าจริงๆแล้วตอน PE27 นั้นถือว่าแพง
แน่นอนว่าเรามองอดีตใครๆก็วิเคราะห์ได้ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือการที่หุ้นจะถูกหรือแพงนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับ valuation ของเรา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราต้องเป็นฝ่ายคิดถูกเท่านั้น ซึ่งอนาคตนั้นไม่มีใครตอบถูกได้ 100% เพราะฉะนั้นการมองว่าหุ้นถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับศิลปะส่วนตัวของแต่ละคน
สรุปสั้นๆคือ PE40 ที่แพงหรือไม่แพงดูเพียงว่าราคานั้นแพงกว่าหรือถูกกว่า valuation ของเรา ซึ่งการจะได้มาซึ่ง valuation เราจะต้องเข้าใจอนาคตของบริษัทแบบคร่าวๆและใส่ MOS เข้าไป
หุ้น PE 10 แบบไหนคือแพง?
คำตอบนั้นค่อนข้างง่าย นั้นก็คือหากเราพบว่ากำไรของบริษัทจะไม่สามารถรักษาไว้ได้ในอนาคต แบบนี้ PE10 อาจจะแพงไปทันที เพราะอนาคตเมื่อบริษัทไม่สามารถรักษากำไรนั้นไว้ได้ PE อาจจะขึ้นเป็น 20 เท่าทันที
เราจะพบบ่อยจากบริษัทที่เป็นวัฏจักร เมื่อกำไรขาขึ้นจะทำให้ PE ต่ำลง แต่แน่นอนว่า กำไรไม่สามารถอยู่สูงไปได้ตลอด เมื่อวัฏจักรเป็นขาลงจะทำให้ PE สูงขึ้น
หรือเราจะพบในบริษัทที่มีกำไรพิเศษ พอได้กำไรมา PE จะลงต่ำทันที แต่แน่นอนว่ากำไรนั้นมีเพียงครั้งเดียว เมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ PE จะกลับไปสูงทันที | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3019 | Finance | ในวันที่ 11 พ.ค. 2560 ราคาหุ้น EARTH ร่วง FLOOR ใด ระหว่าง FLOOR แรก หรือ FLOOR สอง | null | FLOOR แรก เพราะในวันที่ 11 พ.ค. 2560 ราคาหุ้น EARTH ร่วง FLOOR แรก ส่วน FLOOR สอง ราคาหุ้น EARTH ร่วงในวันที่ 12 พ.ค. 2560
EARTH เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ MAI เมื่อปี 2553 ด้วยวิธีการ Backdoor หุ้น APC
11 พ.ค. 2560 ราคาหุ้นร่วง FLOOR แรก
12 พ.ค. 2560 ราคาหุ้นร่วง FLOOR สอง
13 พ.ค. 2560 ผู้บริหารยอมรับว่ากู้เงินโบรคโดยเอาหุ้นค้ำ เพราะเอาเงินไปทำอย่างอื่น พอราคาหุ้นตก ทำให้ต้องถูก FORCED SELL บังคับขายหุ้นเพื่อเอาเงินมาใช้คืนโบรค
7 มิ. ย. 2560 บริษัทประกาศผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E 40 ล้านบาท และบอกว่าน่าจะจ่ายคืนหนี้งวดต่อๆ ไปไม่ได้เช่นกัน
8 มิ. ย. 2560 ราคาหุ้นร่วง FLOOR ที่สาม
หุ้นจากราคา 4.5 บาทเมื่อ เดือน เม. ย. - พ.ค. เหลือ 1.45 บาท
ที่ราคา 1.45 บาท สามารถลงไปได้อีกกี่ FLOOR? หุ้น EARTH สามารถทำ FLOOR ได้อีก 14 ครั้ง จนกว่าจะถึง “0.01” บาท ซึ่ง FLOOR ถัดไปคือ 1.02 0.72 0.51 0.36 0.26 0.19 0.14 0.1 0.07 0.05 0.04 0.03 0.02 0.01 ตามลำดับ ความหายนะมักเกิดจาก “การไม่รู้ ในสิ่งที่คิดว่ารู้ดีแล้ว” อะไรที่คิดว่ารู้ดีแล้วในหุ้น EARTH บ้าง
แล้วบริษัท EARTH มีหนี้เท่าไร?
ณ สิ้นไตรมาส 1 2560 บริษัท EARTH มีหนี้รวมกันถึงมากถึง 23,000 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็นรายการใหญ่ๆ คือ
1) ตั๋วแลกเงิน 2,382 ล้านบาท
2) ทรัสต์รีซีท 5,308 ล้านบาท
3) แพคกิ้งเครดิต 4,791 ล้านบาท
4) เงินกู้ธนาคาร 4,213 ล้านบาท
5) หุ้นกู้ 5,475 ล้านบาท
หลายคนอาจบอกว่าหนี้พวกนี้บริษัทสามารถหมุนไปเรื่อยๆ ได้ | ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3024 | Finance | Daiso มียอดขายปี 2016 เฉพาะในญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณกี่ล้านบาท | null | ณ เดือน พ.ค. 60 Daiso มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 4,260 สาขา ยอดขายปี 2016 เฉพาะในญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 110,000 ลบ. ดำเนินงานใน 25 ประเทศ ประเทศที่มีสาขาเยอะสุดคือ ญี่ปุ่น 2,800 เกาหลีใต้ 975 สาขา และไทยเป็นอันดับสามที่ 64 สาขา มีสินค้ามากกว่า 100,000 รายการ 40% ของสินค้าทั้งหมดทำในประเทศจีน มีศูนย์กระจายสินค้าต่างประเทศ 3 แห่งคือที่ เซี่ยงไฮ้, ตงก่วน ประเทศจีนและประเทศไทย ส่วนในญี่ปุ่นมีอีก 7 แห่ง
แม้ Daiso จะเป็นร้านขายของถูก แต่ร้านขายของถูกอื่นๆ ไม่ได้เป็นเหมือน Daiso อย่างแรกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือขนาดของธุรกิจและความสำเร็จในระดับโลก แล้วอะไรที่แยก Daiso ออกจากร้านขายของถูกทั่วๆ ไป เป็นเพราะ Daiso ไม่ได้มีดีแค่ของถูกเพียงอย่างเดียว หากดูที่ Core value ของ Daiso อาจจะแปลกใจว่าไม่มีแม้แต่เงาของคำว่า “ราคาถูก” ด้วยซํ้าไป แต่กลับมีคำที่ตรงกันข้ามอย่าง คุณภาพ, ความหลากหลาย และเอกลักษณ์เฉพาะ
คุณภาพของ Daiso ไม่ใช่คุณภาพของการซื้อสินค้าแต่เพียงอย่างเดียวแต่เป็นคุณภาพของการช๊อปปิ้งโดยรวม Daiso พยายามทำให้ลูกค้ารู้สึก “WoW” ทุกครั้งที่เห็นสินค้าในร้านของ Daiso ลูกค้าจะ Surprise อย่างมากว่ามีสินค้าแบบนี้ขาย ด้วยราคาแค่นี้เอง เหตุที่ทำให้ Daiso ขายสินค้าในราคาถูกได้ไม่ได้มาจากทำของถูกที่คุณภาพไม่ดี แต่เกิดจาก Economy of scale หรือการประหยัดจากการผลิตสินค้า 1 ชนิดด้วยจำนวนหลักล้านชิ้น เสร็จแล้วก็จะส่งไปขายทั่วโลก
สินค้าที่มีความหลากหลายมากจากแนวคิดของ Daiso ที่ต้องการเน้นสร้างความ “สนุก” ในการช๊อปปิ้ง เริ่มด้วยการมีสินค้าที่หลากหลายมากๆ จัดเรียงตามลักษณะการใช้งาน มีสินค้าที่คนต้องการใช้ในชีวิตประจำวัน และมีสินค้าที่คนอาจจะคิดว่าต้องใช้ในอนาคตด้วย Daiso ลงทุนในการทำบรรยากาศในร้านให้ดี เน้นลูกค้าสามารถมองเห็นสินค้าได้ง่ายๆ แต่แค่การจัดร้านไม่สามารถให้ความ “สนุก” กับลูกค้าได้อย่างเต็มที่ Daiso ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบสินค้าด้วยตัวเองด้วย | ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3026 | Finance | ในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วง Tokyo Olympic 2020 สำหรับครอบครัวทั้งหมด 4 คน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง | null | ในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วง Tokyo Olympic 2020 สำหรับครอบครัวทั้งหมด 4 คน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
1. ค่าเดินทางไป-กลับ ระหว่างที่พัก และสนามบินในประเทศ
เนื่องจากเดินทางไปทั้งครอบครัว ดังนั้น การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวสะดวกที่สุด สอดคล้องกับสัมภาระที่มาก ดังนั้น ค่าใช้จ่ายหลักประมาณ 1,320 บาท แบ่งเป็น ค่าน้ำมันในการเดินทาง (500 บาท) ค่าทางด่วน (120 บาท) และ ค่าที่จอดรถ 5 วัน (700 บาท) หากใครเดินทางด้วยวิธีอื่นก็ลองเปลี่ยนตัวเลขกันดูได้
2. ค่าตั๋วเครื่องบิน
เนื่องจากช่วงที่จะเดินทางน่าจะเป็นช่วงที่คนแห่กันไปญี่ปุ่น ดังนั้น ประมาณค่าใช้จ่ายจากตั๋วการบินไทยช่วงกลางเดือนเมษายนปี 2018 (High Season) พบว่า หากเดินทางวันศุกร์ กลับวันอังคาร ตามแผนที่ตั้งใจไว้ค่าตั๋วเครื่องบินจะอยู่ที่ประมาณ 30,950 บาทต่อคน หรือทั้งหมด 123,800 บาท (30,950 x 4) แต่ถ้าเดินทางวันเสาร์ กลับวันพุธ ค่าตั๋วเครื่องบินอยู่ที่ 17,102 บาทต่อคน หรือทั้งหมด 68,410 บาท (17102 x 4) จะเห็นได้ว่า ช่วงวันและเวลาในการเดินทางมีผลกับค่าใช้จ่าย ดังนั้น ในการประมาณการขอใช้ค่าเฉลี่ย ประมาณ 25,000 บาท ต่อคน หรือ ประมาณ 100,000 บาท (25,000 x 4) ซึ่งคิดเป็น 33% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่คาดไว้
3. ค่าที่พักในต่างประเทศ
ค่าที่พักในประเทศญี่ปุ่นกรณีพักรวม 4 คน พ่อ แม่ ลูก ใช้ค่าประมาณการ 3,000 เยนต่อคน หรือประมาณ 12,000 เยนต่อคืน ตามแผนพักทั้งหมด 4 คืน ค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักจะอยู่ที่ 48,000 เยน (12,000 x 4) หรือประมาณ 16,000 บาท
4. ค่าประกันภัยการเดินทาง
ในการเดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง ควรทำประกันภัยการเดินทาง โดยเน้นความคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ หรือ เจ็บป่วย โดยสามารถสำรวจค่าเบี้ยประกันด้วยการค้นหาใน Google พิมพ์คำว่า Travel Insurance หรือ ประกันการเดินทาง ค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับระยะเวลาเดินทางเท่าที่สำรวจ สำหรับความคุ้มครองประมาณ 500,000 – 1,000,000 บาท เบี้ยประกันไม่เกิน 300 บาทต่อคน สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 1,200 บาท
5. ค่าใช้จ่ายการเดินทางในต่างประเทศ
การเดินทางในประเทศญี่ปุ่น ในกรณีที่ต้องการเดินทางเฉพาะใน Tokyo ลองพิจารณา JR TOKYO Wide Pass เป็นตั๋วเหมา ผู้ใหญ่คนละ 10,000 เยน เด็ก (อายุ 6-11 ปี) คนละ 5,000 เยน โดย Pass นี้ใช้ได้ 3 วัน ในการวางแผนภาพรวม ใช้แบบเหมาค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 เยน หรือ ประมาณ 10,000 บาท การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแผนการเดินทางอย่างละเอียดในการวางแผนเที่ยว ซึ่งถ้าวางแผนเดินทางเปลี่ยนสถานที่ไม่มาก และไม่มีการเปลี่ยนเมือง แนะนำให้ไปซื้อตั๋วที่สถานีเป็นคราวๆ ไปจะประหยัดกว่า
6. ค่ากินอยู่ในต่างประเทศ
เมื่อกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรื่องอาหารการกิน ถือเป็นประเด็นสำคัญของการเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ เพราะถ้ากังวลกับค่าใช้จ่ายในการกินแล้วพลาดโอกาสการลิ้มรสอาหารจะเสียดายภายหลัง ราคาค่าอาหารในแต่ละมื้อไม่เกิน 2,000 เยนต่อคนต่อมื้อ (บางมื้อกินหรู บางมื้อกินอาหารในร้านสะดวกซื้อ กินขนม ดื่มกาแฟ และอื่น ๆ เหมารวมกันได้) จำนวนเงินค่าอาหารทั้งหมดประมาณ 2,000 เยน x 3 มื้อ x 5 วัน x 4 คน = 120,000 เยน หรือประมาณ 40,000 บาท สำหรับอาหารในญี่ปุ่นแต่ละมื้อปริมาณอาหารจะมากกว่าไทยประมาณ 2-3 เท่าตัว ดังนั้นสำหรับคนทานน้อยจะทานไม่หมดและน่าเสียดายมาก ในสถานการณ์จริงสามารถสั่งมาทานร่วมกันได้ก็จะประหยัดได้อีก
7. ค่าใช้จ่ายในการเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะกับสภาวะอากาศ
จากการตรวจสอบสภาพอากาศในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม พบว่า อุณหภูมิอยู่ในช่วง 22-36 องศาเซลเซียส ซึ่งถือได้ว่าคล้าย ฤดูร้อนในประเทศไทย ดังนั้น เสื้อผ้าที่มีอยู่สามารถนำไปใช้ได้ ไม่ต้องซื้อใหม่เป็นการเฉพาะ จึงไม่ต้องเตรียมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้
8. ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ
เป้าหมายในการเดินทางในกรณีพาเด็ก ๆ ไปอาจไม่ใช่ Tokyo Olympic แต่เป็น Tokyo Disneyland ดังนั้น ผู้ปกครองที่จะพาเด็กไปควรเตรียมค่าใช้จ่ายค่าเข้าไว้ด้วย สำหรับราคาบัตร 1-Day pass ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) 7,400 เยนต่อคน* เด็ก (อายุ 12-17 ปี) 6,400 เยนต่อคน* เด็ก (อายุ 4-11 ปี) 4,800 เยนต่อคน* ดังนั้นประเมินค่าเข้าชมไว้ 25,000 เยน หรือประมาณ 8,500 บาท
*อ้างอิงราคาจาก H.I.S. Travel
นอกจากจะเที่ยว Disneyland แล้ว ยังควรไปชมสถานที่ต่าง ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สถาบันวิทยาศาสตร์ ดังนั้น เงินที่ต้องเตรียมจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 บาท
9. ของฝาก+ซื้อของส่วนตัว
เรื่องสุดท้ายที่ควรคำนึงถึง คือ จะซื้อสินค้าอะไรบ้าง สำหรับผู้หญิงที่มีเป้าหมายเฉพาะในเรื่องเครื่องสำอาง เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และผู้ชายที่มีเป้าหมายเป็นอุปกรณ์ไอที กล้อง และอุปกรณ์ราคาแพง ควรประเมินราคาไว้ล่วงหน้า ประเมินไว้ไม่เกิน 50,000 บาท | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3027 | Finance | ช่วยสรุปเกี่ยวกับ หุ้น BH ในปี 2008 ให้หน่อย | ในปี 2008 กระทรวงสาธารณะสุขของอาบูดาบี UAE ได้ตั้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนชื่อว่าโครงการ Thiqa ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายเงินรักษาพยาบาลเองแต่ถ้าบินมารักษาในรพ.ที่อยู่ต่างประเทศทางประกันสุขภาพจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ 90% โครงการนี้ทำให้การบินมารักษาพยาบาลที่ประเทศไทยถือว่าคุ้มค่ามากนอกจากจะได้บริการที่ดี, ไม่ต้องจ่ายแพง BH ก็ได้ประโยชน์จากตรงนี้เพราะคนที่มาก็มักจะมารักษาโรคที่ค่อนข้างร้ายแรงซึ่งมีมูลค่าสูง (ไม่งั้นคงไม่บินมาถึงเมืองไทยมะ?) พอมากันเยอะๆสถานที่ของ BH ก็เริ่มไม่พอทำให้ BH ต้องปรับกลยุทธเอาเฉพาะลูกค้าที่มีการใช้จ่ายสูงเท่านั้น ด้วยการมีราคาการรักษาเรทเดียวไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ราคาเท่ากัน นอกจากนั้นยังขึ้นราคารัวๆ 8 ปีที่ผ่านมาขึ้นราคาไป 11 ครั้งประมาณ 2-5% ต่อครั้ง แต่ก็ยังไม่พอต่อความต้องการอีก BH จึงต้องพยายามลงทุนสร้าง Facility ใหม่ๆอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รองรับผู้ป่วยได้มากขึ้น | หุ้น BH ในปี 2008 กระทรวงสาธารณสุขของอาบูดาบี ได้ตั้งโครงการ Thiqa ซึ่งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชน ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายเงินรักษาพยาบาลเอง ในกรณีที่บินมารักษาในโรงพยาบาลต่างประเทศจะมีการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายประกันสุขภาพ 90% เหตุที่ BH ได้ประโยชน์เพราะได้รับบริการที่ดีจากการบินมารักษาที่ประเทศไทย มักจะมีคนที่มารักษาโรคร้ายแรงที่มีมูลค่าสูง แตในทางกลับกัน สถานที่ไม่พอเมื่อคนมารักษาเยอะ ต้องมีการปรับเรทราคาที่ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติก็ต้องจ่ายราคาเท่ากัน | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3028 | Finance | นักลงทุนมือใหม่ควรใช้วิธีการวิเคราะห์แบบไหนเพื่อค้นหาหุ้นเด้งที่มีโอกาสเติบโตสูง? | null | 3 วิธีการวิเคราะห์สำหรับนักลงทุนมือใหม่เพื่อค้นหาหุ้นเด้งที่มีโอกาสเติบโตสูง ดังนี้
1. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) :
- ศึกษางบการเงินของบริษัท - วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เช่น EPS, PER, P/B, ROE, ROA
- พิจารณาความแข็งแกร่งของธุรกิจ
- โอกาสการเติบโต
- กลยุทธ์ของบริษัท
- เปรียบเทียบกับบริษัทในกลุ่มเดียวกัน
2. วิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis):
- ศึกษาแนวโน้มราคาหุ้น รูปแบบกราฟ แนวรับ แนวต้าน
- ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น MACD, RSI, Stochastic
วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย
3. ติดตามข่าวสารและข้อมูล:
- ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ ทิศทางอุตสาหกรรม
- อ่านบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ บทความเกี่ยวกับหุ้น
- เข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุน
ข้อควรระวัง:
การลงทุนมีความเสี่ยง
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำ:
- นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มจากศึกษาพื้นฐานการวิเคราะห์หุ้น
- ฝึกฝนการวิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเอง
- ลงทุนในจำนวนเงินที่รับความเสี่ยงได้
- กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
สรุป:
การค้นหาหุ้นเด้งที่มีโอกาสเติบโตสูงจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างละเอียดทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาหาความรู้ ฝึกฝน และลงทุนอย่างมีสติ
เครื่องมือและแหล่งข้อมูลสำหรับนักลงทุนมือใหม่:
1. เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เว็บไซต์บริษัทหลักทรัพย์
2. หนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้น
3. บทความเกี่ยวกับหุ้น
กลยุทธ์การลงทุนสำหรับหุ้นเด้ง:
- ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กำไรเติบโต
- ซื้อหุ้นตอนราคาถูก
- ถือหุ้นระยะยาว
- ตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
ความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นเด้ง:
- หุ้นมีความเสี่ยงสูง
- ราคาหุ้นอาจผันผวน
- นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3030 | Finance | 6 ขั้นตอนที่ทำให้รักเงินของตนเอง มีอะไรบ้าง | วิธีการรักเงินของคุณใน 6 ขั้นตอนง่ายๆ
คุณอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หรือไม่…? ทำงานหนัก ยังมีเงินเก็บไม่เพียงพอ แต่ทำไมยังเป็นหนี้อยู่เยอะ
ที่ทำงานหนักเพื่อเป็นอิสรภาพทางการเงิน แต่ทำไมมันดูห่างไกลเหลือเกิน
ที่ไปสัมมนาการเงินมาเยอะมากมาย แต่ทำไมถึงไม่รวยเสียที ทำไมถึงยังเป็นแบบนั้น
เพราะ คุณยังไม่ได้รักเงินของคุณนะซิ ลองนึกภาพคนมีความรักนะครับ
เขาจะดูแลคนรักเป็นอย่างดี
เขาจะเอาใจใส่ดูแลคนรัก
เขาจะให้คนรักมีสุขภาพและอารมณ์ดี คุณละรักเงินคุณเหมือนคนรักหรือไม่ ?
ถ้าคุณรักเงินคุณ เหมือน คุณรักแฟน การเงินคุณจะดีขึ้น ผมมีวิธีง่ายๆ 6 ขั้นตอนที่ทำให้คุณรักเงินของคุณ 1) สร้างเป้าหมายทางการเงิน ถามตัวเอง… เป้าหมายของคุณสำหรับเงินของคุณคืออะไร?
คุณต้องการอะไรให้คุณทำในชีวิตประจำวัน?
เป็นรายเดือนหรือไม่?
ระยะยาว? สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดสิ่งที่คุณต้องการให้ชัดเจนด้วยเงินของคุณเพื่อให้คุณสามารถวางแผนล่วงหน้างบประมาณและตั้งค่าขั้นตอนที่เหมือนจริงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว 2) จำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ คุณมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณทำทุกวัน เช่นจ่ายกาแฟที่มีราคาแพงเกินไป ???
คุณจำได้ไหมว่า ทำไมคุณจะต้องซื้อเสื้อผ้าราคาแพงเหล่านี้ด้วย การคิดถึงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เงินของคุณทำเพื่อคุณจริงๆจะช่วยให้คุณเข้าใจได้ดีขึ้นว่าเงินของคุณจะไปในแต่ละเดือนอย่างไร วิธีนี้สามารถช่วยให้คุณเห็นว่าคุณอยู่ที่ไหน ทำไมคุณจะต้องจ่ายเงินเหล่านั้นออกไป ให้ปัจจุบันมี mobile application ที่จะช่วยคุณให้การบันทึกรายจ่ายเล็กๆน้อยๆ ได้ โดยคุณไม่ต้องเสียเวลาจดในกระดาษ 3) มุ่งมั่นกับงบประมาณ ตอนนี้คุณรู้ว่าเงินของคุณทำอะไรกับคุณในชีวิตประจำวันให้เริ่มคิดถึงวิธีที่คุณสามารถใช้จ่ายได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น การตั้งงบประมาณ (และเกาะติด) เป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเงินของคุณ งบประมาณสามารถช่วยให้คุณสามารถติดตามผลทางการเงินในระยะยาวเพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณสามารถชำระค่าบริการทุกเดือนและจะช่วยให้คุณเริ่มจะมีเงินออม 4) สร้างกองทุนฉุกเฉินของคุณ กองทุนฉุกเฉินคือความปลอดภัยของคุณเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ของคุณกับเงินของคุณ ปัญหา เช่น การสูญเสียงานการซ่อมแซมรถยนต์ราคาแพงการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในกรณีฉุกเฉิน หรือ การเรียกเก็บเงินเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลที่ไม่คาดคิดอาจจะทำให้เงินที่คุณเก็บลดลงไปได้ เก็บเอาไว้อย่างน้อย 2-4 เดือน หรือ พิจาณาการโอนความเสี่ยงต่างๆๆ เกี่ยวกับความจำเป็นฉุกเฉินไป ให้ประกันภัย 5) ทำให้เงินเติบโตขึ้น คุณต้องการให้คนรักเราสุขภาพดี มีหน้าที่การงานที่ดี เงินก็เช่นกัน ดังนั้น คุณควรจะจัดสรรเงินเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของคุณ อย่าเก็บเงินไว้ใน Bank อย่างเดียว เพราะ ตอนนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ดอกเบี้ยในปัจจุบันไม่สามารถชดเชยเงินเฟ้อได้ 6) ใช้เวลากับเงินของคุณ ทุกความสัมพันธ์ที่ดีต้องการเวลา ดังนั้น ทุกๆเดือนตรวจสอบบัญชีการเงินของคุณเช่นบัญชีเช็คและบัญชีออมทรัพย์บัตรเครดิต บัญชีการลงทุนต่างๆ บัญชีการประกันภัย ฯลฯ รวมค่าบริการรายเดือนและตรวจสอบงบประมาณเมื่อสิ้นเดือน การอุทิศเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อตรวจสอบเงินของคุณจะช่วยให้คุณทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเงินของคุณและทำให้คุณสามารถวางแผนสำหรับอนาคตได้มากขึ้น เงินก็เหมือนกับคนที่ต้องการเอาใจใส่ดูแล
เงินก็เหมือนกับคนรักของคุณคนหนึ่ง ดังนั้น เงินจะต้องได้รับการดูแลและความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเงินของคุณจะไม่มีข้อยกเว้น ต้องมีเป้าหมายในชีวิตกับคนรักของคุณอย่างไร เงินก็เช่นกัน ต้องการเป้าหมายด้วย คุณวางแผนชีวิตกับคนรักของคุณอย่างไร เงินก็เช่นกันต้องการการวางแผนการดูแล จงสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเงินของคุณ เพื่อเป้าหมายระยะยาวของคุณ ดัดแปลงจาก บทความของ Amanda Reed | 6 ขั้นตอนที่ทำให้รักเงินของตนเอง
1) สร้างเป้าหมายทางการเงิน
ถามตัวเองว่า เป้าหมายสำหรับเงินของตนเองคืออะไร? ต้องการอะไรให้ทำในชีวิตประจำวัน? เป็นรายเดือนหรือไม่? ระยะยาว? สิ่งสำคัญ คือ ต้องกำหนดสิ่งที่ต้องการให้ชัดเจนด้วยเงินของตนเอง เพื่อให้สามารถวางแผนล่วงหน้างบประมาณและตั้งค่าขั้นตอนที่เหมือนจริง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
2) จำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้
มองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำทุกวัน เช่น จ่ายกาแฟที่มีราคาแพงเกินไป จำได้ไหมว่า ทำไมจะต้องซื้อเสื้อผ้าราคาแพงเหล่านี้ด้วย การคิดถึงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เงินทำเพื่อตนจริงๆ จะช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้นว่าเงินจะไปในแต่ละเดือนอย่างไร วิธีนี้สามารถช่วยให้เห็นว่าอยู่ที่ไหน ทำไมจะต้องจ่ายเงินเหล่านั้นออกไป ให้ปัจจุบันมี mobile application ที่จะช่วยให้การบันทึกรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ ได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาจดในกระดาษ
3) มุ่งมั่นกับงบประมาณ
เมื่อรู้ว่าเงินของตนเองทำอะไรกัในชีวิตประจำวัน ให้เริ่มคิดถึงวิธีที่สามารถใช้จ่ายได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น การตั้งงบประมาณ (และเกาะติด) เป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเงิน งบประมาณสามารถช่วยให้สามารถติดตามผลทางการเงินในระยะยาว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถชำระค่าบริการทุกเดือนและจะช่วยให้เริ่มจะมีเงินออม
4) สร้างกองทุนฉุกเฉิน
กองทุนฉุกเฉินคือ ความปลอดภัย เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์กับเงิน ปัญหา เช่น การสูญเสียงานการซ่อมแซมรถยนต์ราคาแพงการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในกรณีฉุกเฉิน หรือ การเรียกเก็บเงินเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลที่ไม่คาดคิดอาจจะทำให้เงินที่เก็บลดลงไปได้ เก็บเอาไว้อย่างน้อย 2-4 เดือน หรือ พิจาณาการโอนความเสี่ยงต่างๆ เกี่ยวกับความจำเป็นฉุกเฉินไป ให้ประกันภัย
5) ทำให้เงินเติบโตขึ้น
ต้องการให้คนรักสุขภาพดี มีหน้าที่การงานที่ดี เงินก็เช่นกัน ดังนั้น คควรจะจัดสรรเงินเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อย่าเก็บเงินไว้ใน Bank อย่างเดียว เพราะดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ดอกเบี้ยในปัจจุบันไม่สามารถชดเชยเงินเฟ้อได้
6) ใช้เวลากับเงินของตนเอง
ทุกความสัมพันธ์ที่ดีต้องการเวลา ดังนั้น ทุกๆ เดือนตรวจสอบบัญชีการเงิน เช่น บัญชีเช็คและบัญชีออมทรัพย์บัตรเครดิต บัญชีการลงทุนต่างๆ บัญชีการประกันภัย ฯลฯ รวมค่าบริการรายเดือนและตรวจสอบงบประมาณเมื่อสิ้นเดือน การอุทิศเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อตรวจสอบเงิน จะช่วยให้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเงินและสามารถวางแผนสำหรับอนาคตได้มากขึ้น | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3031 | Finance | ควรออมเงินกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ดี | null | ขั้นต่ำควรออมไม่ต่ำกว่า 10% ของรายได้ ต่อให้มีภาระแค่ไหน ก็ควรมีส่วนหนึ่งของเงินที่จ่ายออกไปเพื่อออมให้กับอนาคตของตัวเราเอง การหักมาออม 10% ของรายได้ เอาจริงๆถือว่ายังน้อยไปมาก เงินเท่านี้อาจทำให้ในอนาคตพอจะมีเงินโตขึ้นบ้าง แต่ฐานะคงไม่เปลี่ยนอะไรไปมาก การจะขยับฐานะหรือทำให้อนาคตมีความมั่งคั่งสูงก็จะต้องออมมากว่านั้น การออมที่มากขึ้นนำไปสู่เป้าหมายทางการเงินหรือมีอิสรภาพทางการเงินที่ไวขึ้น ถ้าไม่ลำบากพยายามออมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิต สำคัญสุดคือ ผลตอบแทนทั้งหลายไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ทบต้นก็ตาม จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีเงินออมมาลงทุน เงินออมจึงสำคัญมากๆ อย่าติดกับดักของคนส่วนใหญ่ที่ถือคติว่า รายได้มากขึ้นเท่ากับรวยมากขึ้น เพราะโดยปกติรายได้ที่มากขึ้น ถ้าไม่เคยออมเลย รายจ่ายก็จะมากขึ้น และก็จะไม่รวยขึ้นสักที ความรวยที่แท้จริงคือความมั่งคั่งในรูปของสินทรัพย์ทางการเงิน ความมั่งคั่ง (Wealth) จะแตกต่างกันจาก 2 สาเหตุ คือ รายได้ที่แตกต่างกัน และ อีกสาเหตุสำคัญก็คือ ปริมาณการออมที่ต่างกัน ออมมากกว่าย่อมสะสมความมั่งคั่งได้สูงกว่า สำคัญตรงที่ เริ่มลงทุนทันที อย่ารีรอ อย่าหมิ่นเงินน้อย มีเท่าไหร่ก็ออมไปก่อน มันปรับเพิ่มขึ้นได้ทีหลัง | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3032 | Finance | ความนิยมของสบู่เบนเนท มาจากหลายส่วนผสมที่ลงตัว ซึ่งได้แก่อะไรบ้าง | สบู่ “เบนเนท” สินค้าบ้านๆ แต่ขายดี
“อะไรดี บุ๋มก็ว่าดี” สโลแกนคุ้นหูที่เราคงจำได้ดีจากโฆษณาสบู่เบนเนท รู้หรือไม่ว่าคุณบุ๋มปนัดดาไม่ใช่เจ้าของ และสบู่ยี่ห้อนี้ขายดีมากก แล้วเจ้าของเป็นใคร ทำไมคนถึงนิยมใช้ ยอดขายสบู่ยี่ห้อนี้เป็นเท่าไร? เจ้าของสบู่ยี่ห้อนี้คือ บริษัท พาภิญโญ กรุ๊ป มีโรงงานตั้งอยู่ที่ ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และ เจ้าของบริษัทคือ คุณ ชาย ปราบเล่ง สินค้าที่ขายดีที่สุดของบริษัทคือ สบู่ก้อน เบนเนท C&E ที่บริษัทที่ใช้โฆษณาเป็นหลัก โดยสรุปแล้วความนิยมของสบู่ยี่ห้อนี้น่าจะมาจากหลายส่วนผสมที่ลงตัว ดังนี้ พรีเซนเตอร์ เป็นคุณ บุ๋ม ปนัดดา สโลแกน “อะไรดี บุ๋มก็ว่าดี” เป็นสิ่งที่ทำให้คนจำแบรนด์นี้ได้ รวมถึง LOOK ของคุณบุ๋มก็เหมาะกับสินค้าชนิดนี้มาก และเจ้าของใจถึงในการใส่งบการตลาดทำให้เราได้เห็นโฆษณานี้บ่อย
สินค้าคนใช้ติดใจจริง เพราะ จุดเด่นอันดับต้นๆของสบู่ยี่ห้อนี้ ทุกคนบอกว่าใช้แล้วผิวขาว แม้ว่าสบู่นี้จะแรงอาจทำให้หน้าแห้ง แต่บางคนติดใจความขาวจนถึงกับยอมหน้าแห้ง แล้วทาครีมหลังจากใช้สบู่แทน
เมื่อติดใจก็บอกต่อคนอื่น พลังของการบอกต่อเป็นอีกแรงที่ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของสินค้าได้เป็นอย่างดี ต่อให้เราได้เห็นโฆษณา 10 ครั้ง ก็ไม่น่าเชื่อถือเท่ากับเพื่อนเราบอกต่อแค่ครั้งเดียว
การทำการตลาดโดยเน้นคำว่าสมุนไพร และวิตามิน ทำให้คนเห็นถึงคุณค่ามากขึ้นกว่าสบู่ก้อนทั่วไปที่เป็นแบรนด์ต่างประเทศที่มีแต่ยี่ห้อ แต่ไม่ได้เน้นเรื่องสมุนไพรและความขาว ซึ่งสบู่เบนเนทตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงกว่า พอเรื่องเป็นอย่างนี้ก็ทำให้สบู่ยี่ห้อนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า บริษัทพาภิญโย ในปี 2558 มีรายได้มากถึง 659 ล้านบาท! สบู่ยี่ห้อนี้ขายดีมากจนแบรนด์ข้ามชาติต้องออกสินค้าคล้ายกัน ปีที่แล้ว Colgate ออก สบู่ก้อน Protex Thai Therapy และ ปีนี้ Unilever ต้องออก สบู่ก้อนสมุนไพร Citra โดยสินค้านี้มีขายเฉพาะที่เมืองไทย เพื่อทำตามสบู่เบนเนทโดยเฉพาะ และยังมีผู้ประกอบการไทยที่ทำสบู่สมุนไพรขายหลากหลายยี่ห้อ เพราะอยากประสบความสำเร็จเหมือนยี่ห้อนี้ สบู่เบนเนทราคาขายปลีกก้อนละ 48 บาท ถ้าคิดว่าร้านค้าได้มาร์จิน 30% ดังนั้นราคาขายให้ร้านค้าน่าจะประมาณ 34 บาท เมื่อเรานำรายได้มาหารราคาต่อก้อน จะได้ตัวเลขที่น่าตกใจคือ ปี 2558 บริษัทขายสบู่ได้ 20 ล้านก้อน! ไม่แปลกใจเลยที่บริษัทเคลมว่าสบู่ของเขาเป็นสบู่ขายดีอันดับ 1 ของเมืองไทย ส่วนคู่แข่งของยี่ห้อนี้ในตลาดก็คงจะเป็น สบู่มาดามเฮงเมอรี่เบลล์ ที่ดังไม่แพ้กัน ข้อดีของสินค้าดั้งเดิมอย่างสบู่คือเป็นตลาดที่ใหญ่อยู่แล้ว ถ้าสินค้าเราดีจริงอาจจะประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า สินค้าแบบใหม่ที่ยังไม่มีตลาด และเราต้องเสียเวลากับการสร้างตลาดใหม่ด้วยตนเอง แต่ใครจะไปคิดว่าสบู่ก้อนจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ทั้งๆที่คนทั่วไปเริ่มหันไปใช้สบู่เหลวกันแล้ว เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้เริ่มต้นกิจการว่า บางทีสินค้าไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีซับซ้อน แค่เริ่มจากสินค้าเดิมๆที่คนใช้อยู่ แต่หยิบมาปรับเปลี่ยนใหม่ให้ตรงใจผู้บริโภค เมื่อตอบโจทย์ได้ คนบอกต่อ มีการซื้อซ้ำ ร้านค้าก็อยากเอาสินค้าของเราไปขาย พอยอดขายมา กำไรก็ตามมา… ที่มาบทความ : | ความนิยมของสบู่เบนเนท มาจากหลายส่วนผสมที่ลงตัว ซึ่งได้แก่
1. พรีเซนเตอร์ เป็นคุณบุ๋ม ปนัดดา สโลแกน “อะไรดี บุ๋มก็ว่าดี” เป็นสิ่งที่ทำให้คนจำแบรนด์นี้ได้ รวมถึง LOOK ของคุณบุ๋มก็เหมาะกับสินค้าชนิดนี้มาก และเจ้าของใจถึงในการใส่งบการตลาดทำให้ได้เห็นโฆษณานี้บ่อย
2. สินค้าคนใช้ติดใจจริง เพราะจุดเด่นอันดับต้นๆ ของสบู่ยี่ห้อนี้ ทุกคนบอกว่าใช้แล้วผิวขาว แม้ว่าสบู่นี้จะแรงอาจทำให้หน้าแห้ง แต่บางคนติดใจความขาวจนถึงกับยอมหน้าแห้ง แล้วทาครีมหลังจากใช้สบู่แทน
3. เมื่อติดใจก็บอกต่อคนอื่น พลังของการบอกต่อเป็นอีกแรงที่ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของสินค้าได้เป็นอย่างดี ต่อให้ได้เห็นโฆษณา 10 ครั้ง ก็ไม่น่าเชื่อถือเท่ากับเพื่อนบอกต่อแค่ครั้งเดียว
4. การทำการตลาดโดยเน้นคำว่าสมุนไพร และวิตามิน ทำให้คนเห็นถึงคุณค่ามากขึ้นกว่าสบู่ก้อนทั่วไปที่เป็นแบรนด์ต่างประเทศที่มีแต่ยี่ห้อ แต่ไม่ได้เน้นเรื่องสมุนไพรและความขาว ซึ่งสบู่เบนเนทตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงกว่า | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3033 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความแตกต่างระหว่างกองทุนประเภท Active Management Portfolio และ Passive Management Portfolio | null | สำหรับนักลงทุนคนไหนที่อยากรู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างกองทุนประเภท Active Management Portfolio และ Passive Management Portfolio วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ โดยกองทุน Active Management Portfolio หรือ กองทุนที่เน้นการบริหารเชิงรุก มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน เพื่อเอาชนะดัชนีอ้างอิง ส่วนกองทุน Passive Management Portfolio หรือ กองทุนที่เน้นการบริหารเชิงรับ มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ไม่มีใครเอาชนะดัชนีอ้างอิงตลอดไป ดังนั้น ผลตอบแทนที่ได้จะมีความใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงตลอดการลงทุน
บทเรียนจากย่อหน้านี้
นักลงทุนหลายคนมีความสงสัย และยังไม่มั่นใจว่า ระหว่างกองทุนประเภท Active Management Portfolio และ Passive Management Portfolio ควรเลือกกองทุนประเภทไหนมาใส่ในพอร์ตดีกว่ากัน ก่อนจะไปเลือกกองทุน มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า กองทุนทั้ง 2 ประเภท มีข้อแตกต่างอะไรบ้าง
1. เน้นการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management Portfolio) หมายถึง กองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยมีเป้าหมายเพื่อสามารถเอาชนะดัชนีอ้างอิง (Benchmark) ให้ได้ โดยดัชนีอ้างอิงนี้ก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือที่เรารู้จักกันว่า SET Index นั้นเอง
2. เน้นการบริหารแบบเชิงรับ (Passive Management Portfolio) หมายถึง กองทุนหุ้นที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยมีความเชื่อว่า ไม่มีใครสามารถเอาชนะดัชนีอ้างอิงได้ตลอดไป ดังนั้น ผลตอบแทนของกองทุนประเภทนี้จะใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงไปตลอดอายุการลงทุน
จะเห็นว่าประเภทการลงทุน ถูกแบ่งออกเป็น 2 แนวคิด ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยในแวดวงการลงทุน ก็ยังเถียงกันไม่จบว่าสุดท้ายแล้วกองทุนทั้ง 2 ประเภท กองทุนไหนดีกว่ากองทุนไหน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3038 | Finance | นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง เมื่อต้องการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเกิน 100%? | null | ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณา เมื่อต้องการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเกิน 100% มีดังนี้:
1. พื้นฐานกิจการที่แข็งแกร่ง:
กำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ (หลักร้อยเปอร์เซ็นต์)
กำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจมีโอกาสเติบโตในอนาคต
2. ปัจจัยหนุนจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคหรือนโยบายภาครัฐ:
นโยบายภาครัฐที่ส่งผลบวกต่อธุรกิจ
ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจ
3. Event Drive ที่สำคัญ:
ถูกควบรวมกิจการหรือเทคโอเวอร์โดยผู้ที่มีศักยภาพ
เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างธุรกิจ
มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ
4. สัญญาณทางเทคนิค:
ราคาหุ้นกลับตัวเป็นขาขึ้นในไทม์เฟรม Week, Month
อินดิเคเตอร์ MACD ให้สัญญาณซื้อ
ราคาหุ้นเกาะเส้น EMA ขาขึ้น
5. ขนาดของบริษัท:
หุ้นขนาดเล็ก ขนาดกลาง มีโอกาสเติบโตสูง
ควรเลือกบริษัทที่มีพื้นฐานดี
6. เจ้ามือ:
มีเจ้ามือคอยอุดหนุน
เจ้ามือเป็นนักลงทุนสถาบันที่ถือหุ้นยาว
ข้อควรระวัง:
หุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง มักมีความเสี่ยงสูง
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว
กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นหลายตัว
ตัวอย่าง:
บริษัท XYZ เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กำไรสุทธิของบริษัทเติบโต 150% ในปีที่ผ่านมา นโยบายภาครัฐสนับสนุนให้ใช้รถไฟฟ้า บริษัท XYZ กำลังพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับรถไฟฟ้า กราฟราคาหุ้น XYZ กลับตัวเป็นขาขึ้นในไทม์เฟรม Week และ Month อินดิเคเตอร์ MACD ให้สัญญาณซื้อ เจ้ามือรายใหญ่เริ่มเข้าซื้อหุ้น XYZ
จากปัจจัยเหล่านี้ บริษัท XYZ มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนเกิน 100%
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3039 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 4 ความลับที่ธนาคารไม่เคยบอก เวลาไปฝากเงิน | null | สำหรับคนที่ไปฝากเงินที่ธนาคาร คงยังไม่รูเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นก็คือ 4 ความลับที่ธนาคารไม่เคยบอก เวลาไปฝากเงิน วันนี้เรามาบอกให้ทุกคนรู้ไปพร้อมกันค่ะ ความลับแรกก็คือ ความเชื่อเรื่องการฝากแบงค์ให้เงินต้นไม่หาย และได้ดอกเบี้ยทีแสนสบาย แต่ในความเป็นจริง มูลค่าเงินจะลดลงเนื่องจากเงินเฟ้อ ดังนั้นความเชื่อนี้ถูกต้องเพียงเสี้ยวเดียว เพราะยิ่งฝากนานเงินก็ยิ่งหาย ความลับที่ 2 คือ การฝากเงินมากเกินไป จะทำให้เสียโอกาสนำเงินส่วนที่เกินไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบที่ดีในอนาคต ความลับที่ 3 คือ การเก็บเงินมาก ๆ เพื่อทำความฝันให้เป็นจริง อาจทำให้ความฝันไม่มีวันเป็นจริง และความลับสุดท้าย คือ เราอาจได้รับความเสี่ยงจากการไม่ได้เงินคืนหากธนาคารล้มละลาย
บทเรียนจากย่อหน้านี้
4 ความลับที่ธนาคารไม่เคยบอก เวลาไปฝากเงิน
1. ยิ่งฝากนานเงินยิ่งหาย
จากความเชื่อที่ว่าฝากแบงค์เงินต้นไม่หาย แถมได้ดอกเบี้ยสบายจะตาย เรื่องนี้มันถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะเงินต้นไม่หาย แต่มูลค่าเงินลดลงตลอดเวลาเนื่องจากเงินเฟ้อ
แล้วเงินเฟ้อคืออะไร เงินเฟ้อก็คือ ภาวะที่ราคาของสินค้าต่างๆ สูงขึ้น ทำให้มีเงินเท่าเดิมแต่ซื้อสินค้าได้น้อยลง ยิ่งฝากนานเงินยิ่งหาย โดนเงินเฟ้อกัดกิน ทำให้มูลค่าเงินในอนาคตลดลงตลอดเวลา
2. เสียโอกาสในการให้เงินทำงานแทนเรา
ข้อดีของเงินฝากคือ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและยามฉุกเฉินได้ทันที (ไม่รวมเงินฝากที่มีเงื่อนไขพิเศษ) แต่การฝากเงินมากเกินความจำเป็นทำให้เสียโอกาสนำเงินส่วนเกินไปลงทุนสร้างผลตอบที่ดีในอนาคต
3. ความฝันต่างๆ อาจจะไม่เป็นความจริง
ทุกคนมีความฝันของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเกษียณก่อนกำหนด เที่ยวรอบโลก มีบ้านหลังใหญ่ ส่งลูกเรียนเมืองนอก ความฝันเหล่านี้จะเป็นจริงได้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก หลายคนคิดว่าพยายามเก็บเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะเอาเงินไปทำฝันให้เป็นจริงในวันข้างหน้า แต่การทำเช่นนี้อาจทำให้ความฝันเป็นจริงได้ยากมากหรือไม่มีวันเป็นจริงเลย จากเรื่องเงินเฟ้อในข้อแรก จะเห็นว่าฝากเงินในแบงค์ ยิ่งทำให้มูลค่าเงินลดลงทุกวัน
4. มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้เงินคืนหากแบงค์ล้ม
เชื่อว่าฝากเงินไว้กับธนาคารไม่ต้องกลัวเงินต้นหาย แต่ในความเป็นจริงถ้าแบงค์เกิดเจ๊งขึ้นมาอย่างเช่นในปี 40 จะเอาเงินคืนจากใคร หลายคนบอกว่ามีพระราชกฤษฎีกาคุ้มครองเงินฝากยังไงก็ได้คืนทั้งหมด แต่ปัจจุบันพระราชกฤษฎีกาคุ้มครองเงินฝาก ไม่ได้คุ้มครองเงินเต็มจำนวนอีกต่อไป โดยวงเงินคุ้มครองจะค่อยๆ ลดลด โดยปีหน้าจะลดลงเหลือ 1 ล้านต่อหนึ่งธนาคาร | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3044 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงหลักการที่ทำให้ได้รับเงินบำนาญมากกว่า 2 ล้าน ได้ถูกต้อง | A. จ่ายเงินสมทบให้สั้นที่สุด
B. เงินบำนาญในแต่ละเดือนเป็นเงินการันตี และถูกจ่ายออกมาเรื่อยๆ จนกว่าจะเสียชีวิต
C. เงินบำนาญที่ทวีคูณในแต่ละเดือน ไม่คล้ายโบนัส
D. ไม่ต้องรักษาสุขภาพ ในขณะที่ทยอยรับเงินบำนาญ | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ B. เพราะเงินบำนาญในแต่ละเดือนจะเป็นเงินการันตี และถูกจ่ายออกมาเรื่อยๆ จนกว่าจะเสียชีวิต จากการรักษาสุขภาพในช่วงที่ทยอยรับเงินบำนาญ
หลักการที่ทำให้ได้รับเงินบำนาญมากกว่า 2 ล้านนั้น มีอยู่ 2 เงื่อนไข คือ
1. ในช่วงที่จ่ายเงินสมทบ ให้จ่ายให้นานที่สุด เพราะยิ่งจ่ายสมทบได้จำนวนปีที่มากเท่าไร ก็จะทำให้ได้ตัวคูณตอนรับเงินบำนาญในแต่ละเดือนที่มากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ (คล้ายๆโบนัส) มากขึ้นเท่านั้น
2. ในช่วงที่ทยอยรับเงินบำนาญ แนะนำให้รักษาสุขภาพและอายุยืนให้ได้มากที่สุด เพราะเงินบำนาญในแต่ละเดือนจะเป็นเงินที่การันตี และถูกจ่ายออกมาเรื่อยๆ จนกว่าจะเสียชีวิตการันตี โดยไม่ว่าตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน หรือสงครามจะเป็นอย่างไร ก็จะได้เงินบำนาญที่การันตีอยู่เสมอ และการันตีจ่ายทั้งชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งไม่มีประกันแบบไหนที่ให้ได้อย่างนี้แล้ว
จากหลักการข้างต้นนั้น จะเห็นว่ายิ่งจ่ายเงินสมทบให้นานที่สุด ยิ่งอายุยืนให้นานที่สุด ก็จะยิ่งคุ้มหลายเท่าตัวดังที่กล่าวมาครับ (อย่างน้อยก็ 10 เท่า เห็นๆ) ซึ่งถ้าไปเริ่มเข้าประกันสังคมตอนอายุ 35 ปี และจ่ายต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 60 ปี (ก็จะสมทบได้ราวๆ 1.5 แสนบาท) แล้วไปรับเงินบำนาญทุกเดือนจนถึงอายุ 85 ปี (ก็จะได้ไป 1.5 ล้านบาท) เช่นกัน | ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3045 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยที่จะทำให้ถึงเป้าหมายการเงิน 100,000 บาท | null | ปัจจัยที่จะทำให้ถึงเป้าหมายการเงิน 100,000 บาท มีทั้งหมด 3 อย่าง เริ่มต้นที่อย่างแรก คือ ระยะเวลา เป็นสิ่งเราสามารถควบคุมได้ ยิ่งใครออมเงินก่อน โอกาสที่เราจะรวยก็ยิ่งไวกว่า อย่างที่สอง คือ เงินออมที่ลงทุนไป ก็เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้เหมือนกัน การที่จะมีเงินออมเยอะได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับวินัยการออมของตนเอง และอย่างสุดท้ายก็คือ ผลตอบแทน เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ก็จริงแต่ไม่หมด ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในการลงทุน
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ปัจจัยที่จะทำให้ถึงเป้าหมายการเงิน 100,000 บาทมีอะไร ? ปัจจัย คือ เวลา เงินที่ออมแต่ละปี และ ผลตอบแทน
1) ระยะเวลา
เป็นปัจจัยภายในที่ควบคุมมันได้ โดยเลือกได้ที่จะเริ่มออมก่อนตอนอายุ 30 หรือ เลือกออมตอนอายุ 35 กำหนดตัวเองเรื่องเวลา แต่ยิ่งออมนานมันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า พลังสุดยอดในจักรวาลคือ พลังของดอกเบี้ยทบต้น เขาจึงมีคำพูดว่า ออมก่อนรวยกว่า
2) เงินออมที่ลงทุนไป
เป็นปัจจัยภายในที่ควบคุมด้วยเช่นกัน แต่ต้องขึ้นกับวินัยของตนเอง ถ้าเริ่มต้นออมก่อนด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้น เงินออมก็จะใช้น้อยลง ยิ่งจะต้องใช้เงินออมเยอะขึ้น
3) ผลตอบแทน
นี่เป็นปัจจัยภายนอก ที่ควบคุมได้ไม่หมด จะต้องพบกับ ความเสี่ยงของผลตอบแทน ที่อาจจะพลาดเป้าไปได้ตามตลาดที่ลงทุน ถ้าผลตอบแทนพลาด ต้องใส่เงินออมเงินเพิ่ม | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3047 | Finance | มีเงิน 6000 บาทเป็นเจ้าของเซเว่นได้อย่างไร | null | จากข้อมูลปี 2017 ถ้ามีเงิน 6000 บาท แต่อยากเป็นเจ้าของเซเว่น สามารถทำได้ โดยซื้อหุ้นเซเว่น หรือ CPALL ที่ราคา 60 บาท ก็จะได้ 100 หุ้น ซึ่งในปัจจุบันบริษัทมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 8,983.1 ล้านหุ้น ถ้าเราซื้อหุ้น 100 หุ้นก็เหมือนได้ร่วมเป็นเจ้าของสัดส่วน 1 ใน 89 ล้านส่วน อาจจะดูเหมือนน้อย แต่ถ้าคิดว่าคนไทย 67 ล้านคนเคยซื้อของที่เซเว่นทุกคน และแต่ละคนซื้อสินค้าของเซเว่นเป็นเงิน 100 บาท เราจะได้ส่วนแบ่งถึง 75 บาท (67ล้าน x 100 / 89ล้าน) ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการถือหุ้นเพียงบางส่วนของบริษัทใหญ่ๆ อาจจะมีมูลค่ามากกว่า การถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเล็กๆ ไม่ต้องบริหารงานอะไรเลย รอรับเงินปันผลในแต่ละปีไปเรื่อยๆ และถ้ากิจการเซเว่นขยายสาขาได้มากขึ้น ก็หมายความว่าเงินปันผลในปีถัดไปจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ซึ่งปีนี้ บริษัท CPALL ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
ดร.นิเวศน์ นักลงทุนชื่อดังที่เริ่มต้นจากไม่มีทรัพย์สินอะไร เก็บเงินสะสมจากการทำงานประจำ ปัจจุบันเขาถือหุ้น CPALL อยู่ 45 ล้านหุ้น ถ้าคนไทยทุกคนซื้อสินค้าที่เซเว่นคนละ 100 บาท ดร. นิเวศน์ จะได้ส่วนแบ่งถึง 34 ล้านบาท ปี 2016 CPALL มีรายได้ทั้งหมด 450,000 ล้านบาท แปลว่ารายได้ตามสัดส่วนของ ดร.นิเวศน์ มีมากถึง 2,250 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังได้รับปันผลอีก 45 ล้านบาท หรือคิดง่ายๆว่า ดร.นิเวศน์ได้รับเงินปันผลจาก CPALL ถึงเดือนละ 3.75 ล้านบาท เป็นต้น | ข้อมูลการเงินรายบริษัท,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3048 | Finance | Prop. Trade มีเงื่อนไขว่าเล่นในหุ้นอย่างไร | 1. หุ้น SET100 เท่านั้น
2. หุ้น SET50 เท่านั้น
3. หุ้น SET50 หรือ SET100 เท่านั้น
4. หุ้น SET50 หรือ SET200 เท่านั้น | ข้อที่ถูกต้องคือ 3. เนื่องจาก ถ้าได้เป็นปอบเทรดน่ะ จะทำกำไรได้ชิลๆเลยคอยดู..” นี่คือส่วนนึงของคำครหาที่คนทำอาชีพ Prop. Trade หรือที่ในวงการเรียกว่า “ปอบเทรด” โดนพูดถึงตลอดเวลา ในฐานะที่ผมเคยประกอบอาชีพ Prop. Trade มา 4 ปี ก่อนจะลาออกมาเทรดเองอิสระ อยากจะบอกว่า อย่าคิดน่ะครับว่าการเทรดแบบเสียค่าคอมจึ๋งเดียวอย่างอาชีพนี้ แล้วจะดีไปหมด ได้เปรียบตลอดเวลา… เรื่องได้เปรียบนี่ อาจจะใช่ครับ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดครับ..เงื่อนไขมันสลับซับซ้อนกว่านักลงทุนทั่วไปเยอะพอสมควร เช่น บางโบรกให้เทรดได้แค่ในวัน บางแห่งอาจจะให้ Hold position ข้ามวันได้ แต่ความเสี่ยงก็คือ ถ้าคุณไม่กำไรนานๆเนี่ยะ ก็เหมือนมือปืนรับจ้างที่ไร้ประโยชน์ เมื่อนิ้วไม่สามารถลั่นไกได้แม่นยำ ก็ต้องโดนแทนที่โดยมือปืนรุ่นใหม่ไฟแรง Prop. Trade จะมีความกดดันและความเครียดสูงกว่านักลงทุนทั่วไป เพราะต้องพยายามทำกำไรให้ได้ครับ บางทีทำกำไรได้ แต่ถ้าไม่ถึงเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ ก็อาจจะโดน พิจารณากาหัว เตรียมตัวขายเต้าฮวยกันได้เลยทีเดียว เหอๆๆ ไม่ใช่ว่า Prop. Trade จะเทรดได้ทุกตัวในตลาดน่ะครับ มันมีเงื่อนไขว่าเล่นได้ในหุ้น SET50 หรือ SET100 เท่านั้น | ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3050 | Finance | ตลาดหุ้นเวียดนามมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนกว่า 700 บริษัทและจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากอานิสงค์อะไร | a. รัฐบาลขายหุ้นที่เป็นรัฐวิสาหกิจโดยนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้เอกชนเป็นเจ้าของ
b. ทำเลตลาดหุ้นเอื้ออำนวยต่อการลงทุน
c. ประชากรมีคุณภาพด้านของการศึกษาที่โดดเด่น
d. เศรษฐกิจของเวียดนามเริ่มเปิดประเทศประมาณ 20 ปี | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ a. เพราะว่า ตลาดหุ้นเวียดนามมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนน่าจะกว่า 700 บริษัทและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อานิสงค์จากการที่รัฐบาลขายหุ้นที่เป็นรัฐวิสาหกิจโดยการนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้เอกชนเป็นเจ้าของ นี่ทำให้มีหุ้นให้เลือกซื้อได้เป็นจำนวนมาก ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตลาดหุ้นเพิ่งจะวิกฤติมาไม่นาน ราคาหุ้นส่วนใหญ่ไม่แพง หุ้นที่มีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่าและ PB ต่ำกว่า 1 เท่า มีจำนวนมาก ที่สำคัญก็คือ หุ้นจำนวนมากจ่ายปันผลงดงาม บางตัวจ่ายปันผลเกือบ 10% ของราคาหุ้น บางทีอาจจะมีหุ้นเพียงกลุ่มเดียวที่มีราคาไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงนั่นก็คือหุ้นขนาดใหญ่ที่ถูกต่างชาติเข้าไปซื้อเกือบหมดเพราะต่างก็เห็นศักยภาพของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียดนาม ในส่วนของค่าเงินเองนั้น เงินด่องของเวียดนามเองก็เคยตกลงไปน่าจะประมาณ 30% เมื่อหลายปีก่อนเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ แต่หลังจากนั้นมันก็มีเสถียรภาพที่ดีมาหลายปีแล้วโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินบาทของไทย กล่าวโดยสรุปก็คือ ตลาดหุ้นเวียตนามนั้นเป็น “ชัยภูมิ” ที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างน้อย 10% ต่อปีแบบทบต้น | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3051 | Finance | นายวิเจย์ แอดวานิ มีวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง | โรเจอร์ เฟอร์กูสัน : ผู้ปั้นกองทุนจากดินสู่ดาว
หากใครได้ติดตามศึกชิงประธานธนาคารกลางสหรัฐ เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว คงจำกันได้ว่าหนึ่งในตัวเก็ง ที่จะเข้าดำรงตำแหน่ง ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดต่อจาก อลัน กรีนสแปน ก่อนที่เบน เบอร์นันเก้ จะคว้าตำแหน่งนี้ไปแบบเฉียดฉิวคือ หนุ่มใหญ่มาดเนียบผิวสีสวมแว่นกรอบดำ นามว่า โรเจอร์ เฟอร์กูสัน ที่มีประวัติที่น่าสนใจ เริ่มจากมาเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พร้อมกับการหารายได้เสริมด้วยการเป็นคนทำความสะอาดตึก ที่เขาเองจะหวนกลับมาเป็นผู้บริหารสูงสุดในอีกราว 40 ปีถัดมา หลังจากสำเร็จการศึกษา ทำงานที่บริษัทด้านกฎหมาย ต่อด้วยเป็นที่ปรึกษาด้านบริการการเงินให้ Mckinsey อีกกว่า 10 ปี จากนั้นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนปริญญาโท นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐ ชักชวนเข้ามาเป็นรองประธานเฟดในยุคที่ นายจอร์จ บุช เป็นประธานาธิบดี หลังจากนายกรีนสแปนก้าวลงจากตำแหน่งประธานเฟด นายเฟอร์กูสันถือว่าเป็นเต็งคู่กับนายเบอร์นันเก้ ก่อนที่จะทราบกันว่าฝ่ายหลังจะดำรงตำแหน่งนี้เป็นเวลาร่วมหนึ่งทศวรรษ หลังจากนั้น นายเฟอร์กูสันก็หันมารับหน้าที่ผู้บริหารในวงการกองทุนรวม ด้วยการผลักดันกองทุนเก่าแก่ที่เน้นการให้บริการการออมในรูปแบบกองทุนสำหรับครูและอาจารย์เพื่อวัยเกษียณที่ชื่อว่า Teachers Insurance and Annuity Association of America – College Retirement Equities Fund หรือเรียกกันสั้นๆว่า TIAA-CREF กองทุนนี้หากเป็นคนที่อยู่นอกวงการ อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่า Vanguard หรือ Blackrock แต่ถ้าเป็นคนในวงการแล้ว ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีมูลค่าของหน่วยการลงทุนเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นเจ้าตลาดของหน่วยการลงทุนภาคบังคับของการออมเพื่อวัยเกษียณ นายเฟอร์กูสันเริ่มเข้ามาบริหารให้ TIAA-CREF ในปี 2011 ด้วยการแบ่งประเภทกองทุนรวมให้เหมาะสมกับครูอาจารย์วัยเกษียณให้เป็นไปตามความกล้ายอมรับความเสี่ยงของแต่ละกลุ่ม มีการเปิดตลาดกองทุนใหม่ๆให้กับคนที่ทำงานอาชีพอื่นๆอีกด้วย ที่ถือว่าเป็นมิติใหม่ของกองทุนนี้คือการซื้อกองทุนที่เก่งด้านการเทรดหุ้นกู้อย่าง Nuveen ในปี 2014 เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กับการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทนี้ ความจริงแล้ว TIAA-CREF ไม่มีผู้จัดการกองทุนประเภทซูเปอร์สตาร์อยู่สักคน ทว่าผลประกอบการของกองทุนก็ถือว่าสามารถสู้กับกองทุนของแบรนด์ดังๆได้สบาย ด้วยการทำงานแบบทีมเวิร์ค อย่างไรก็ดี ในปี 2015 นายเฟอร์กูสันก็ตัดสินใจเสริมความแข็งแกร่งของ TIAA-CREF ด้วยการดึง นายวิเจย์ แอดวานิ ประธานร่วมของแฟรงกิน เทมเพิลตัน ที่มีประสบการณ์ในการบริหารกองทุนในวัยเกษียณของแฟรงกิน เทมเพิลตันให้กับชาวอินเดียรวมถึงในประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆอีกหลายประเทศ ตัวนายแอดวานิ มีวิสัยทัศน์ด้านการลงทุน ที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้ หนึ่ง เขามองลูกค้าที่เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนกับ TIAA-CEF เสมือนการมาชอปปิงในห้างสรรพสินค้าที่ต้องการได้ TV ก็ต้องได้แบบที่ดีเยี่ยมสุดภายใต้แบรนด์ที่ต้องการ หรือหากอยากได้ Speaker ก็ต้องได้แบบที่มีคุณภาพลำโพงชั้นเยี่ยม เช่นเดียวกันกับกองทุนรวมของ TIAA-CREF สอง นายแอดวานิขอเวลาอีก 10 ปี ในการเสริมสร้างด้านการบริการแนวธนาคาร หลังจากซื้อ EverBank แบงก์คุณภาพระดับขนาดกลาง สาม นายแอดวานิจะจูงใจให้ชาวสหรัฐลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น หลังจากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการลงทุนสูงขึ้นจากที่เคยเป็นศูนย์ขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 10 โดยเขาหวังให้ถึงร้อยละ 50 เป็นเป้าหมาย สี่ กองทุนเด็ดๆ อาทิ กองทุนเพื่อการเกษียณสำหรับวัยทำงานตอนต้นอย่าง TIAA Lifecycle 2040 กองทุนสำหรับกิจกรรมเพื่อสังคมอย่าง TIAA CREF Social Choice Bond หรือหากต้องการล็อคผลตอบแทนที่ร้อยละ 5.4 อย่าง Nuveen Prefered Securiteis ล้วนแตกต่างกันในรูปแบบและเป้าหมาย ทว่าตอบโจทย์คนที่มีความกล้าเสี่ยงที่มีไม่เหมือนกัน ท้ายสุด กองทุนของ TIAA-CREF ได้รับการจัดเกรดให้ถึง 4-5 ดาว จาก Morningstar แม้จะมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นระดับซูเปอร์สตาร์อยู่น้อยมาก เพราะทว่ามีทีมเวิร์คที่ดีสุดๆครับ ที่มาบทความ : | นายวิเจย์ แอดวานิ มีวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนที่น่าสนใจ ดังนี้
หนึ่ง เขามองลูกค้าที่เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนกับ TIAA-CEF เสมือนการมาช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าที่ต้องการได้ TV ก็ต้องได้แบบที่ดีเยี่ยมสุดภายใต้แบรนด์ที่ต้องการ หรือหากอยากได้ Speaker ก็ต้องได้แบบที่มีคุณภาพลำโพงชั้นเยี่ยม เช่นเดียวกันกับกองทุนรวมของ TIAA-CREF
สอง นายแอดวานิขอเวลาอีก 10 ปี ในการเสริมสร้างด้านการบริการแนวธนาคาร หลังจากซื้อ EverBank แบงก์คุณภาพระดับขนาดกลาง
สาม นายแอดวานิจะจูงใจให้ชาวสหรัฐลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น หลังจากมีสัดส่วนการลงทุนสูงขึ้นจากที่เคยเป็นศูนย์ขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 10 โดยเขาหวังให้ถึงร้อยละ 50 เป็นเป้าหมาย
สี่ กองทุนเด็ดๆ อาทิ กองทุนเพื่อการเกษียณสำหรับวัยทำงานตอนต้นอย่าง TIAA Lifecycle 2040 กองทุนสำหรับกิจกรรมเพื่อสังคมอย่าง TIAA CREF Social Choice Bond หรือหากต้องการล็อคผลตอบแทนที่ร้อยละ 5.4 อย่าง Nuveen Prefered Securiteis ล้วนแตกต่างกันในรูปแบบและเป้าหมาย ทว่าตอบโจทย์คนที่มีความกล้าเสี่ยงที่มีไม่เหมือนกัน
ท้ายสุด กองทุนของ TIAA-CREF ได้รับการจัดเกรดให้ถึง 4-5 ดาว จาก Morningstar แม้จะมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นระดับซูเปอร์สตาร์อยู่น้อยมาก เพราะทว่ามีทีมเวิร์คที่ดีสุดๆ | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3053 | Finance | คนไทยควรมีเงินออมอย่างน้อย 1 ล้านบาทหลังเกษียณหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
จำนวนเงินออมที่เพียงพอหลังเกษียณนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น เป้าหมายการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ค่าใช้จ่ายต่อเดือน ระยะเวลาที่คาดว่าจะอยู่หลังเกษียณ ผลตอบแทนจากการลงทุน ฯลฯ
การมีเงินออม 1 ล้านบาทหลังเกษียณ อาจจะไม่เพียงพอ สำหรับบางคน ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ต้องการใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ หรือมีอายุยืนยาว
การมีเงินออม 1 ล้านบาท อาจจะมากเกินไป สำหรับบางคน ที่มีค่าใช้จ่ายน้อย วางแผนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หรือมีแหล่งรายได้อื่น ๆ รองรับ
อย่างไรก็ตาม การมีเงินออมหลังเกษียณนั้น ถือว่ามีความสำคัญ เพราะช่วยให้:
มีรายได้หลังเกษียณ เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
รักษาความมั่นคงทางการเงิน โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น
มีอิสระในการใช้ชีวิต โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน
ดังนั้น คนไทยควรมี “แผนการเกษียณ” ที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้:
เป้าหมายการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ต้องการใช้ชีวิตแบบไหน ต้องการเดินทางท่องเที่ยว หรือใช้เวลากับครอบครัว
ค่าใช้จ่ายต่อเดือน คาดการณ์ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ โดยรวมค่าอาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ฯลฯ
ระยะเวลาที่คาดว่าจะอยู่หลังเกษียณ อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยปัจจุบันอยู่ที่ 77 ปี
ผลตอบแทนจากการลงทุน เลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้
โดยสรุป คนไทยควรมี “แผนการเกษียณ” ที่เหมาะสมกับตัวเอง มากกว่าการตั้งเป้าหมายว่าต้องมีเงินออม 1 ล้านบาทหลังเกษียณ because จำนวนเงินที่เพียงพอ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
คำแนะนำ:
เริ่มต้นวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน
ตัวอย่างเครื่องมือทางการเงินสำหรับวางแผนเกษียณ:
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
ประกันชีวิตแบบบำนาญ
ประกันสุขภาพ
การวางแผนเกษียณที่ดี ช่วยให้คุณมีชีวิตหลังเกษียณที่สุขสบายและมั่นคง | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3055 | Finance | นักลงทุน VI ควรซื้อหุ้นที่มี PE ต่ำ P/BV ต่ำ และ ROE สูงหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
PE ต่ำ: บ่งบอกถึงราคาหุ้นที่ถูกเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้น
P/BV ต่ำ: บ่งบอกถึงราคาหุ้นที่ถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี
ROE สูง: บ่งบอกถึงบริษัทที่มีประสิทธิภาพในการทำกำไร
อธิบายเพิ่มเติม:
PE ต่ำ:
PE ต่ำ หมายถึง ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (Price/Earnings ratio) อยู่ในระดับต่ำ
หุ้นที่มี PE ต่ำ แสดงว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงินน้อยลงต่อหน่วยกำไร
อย่างไรก็ตาม PE ต่ำเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น
อัตราการเติบโตของกำไร
ความเสี่ยงของธุรกิจ
มูลค่าทางบัญชี
P/BV ต่ำ:
P/BV ต่ำ หมายถึง ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (Price/Book Value ratio) อยู่ในระดับต่ำ
หุ้นที่มี P/BV ต่ำ แสดงว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงินน้อยลงต่อหน่วยมูลค่าทางบัญชี
อย่างไรก็ตาม P/BV ต่ำเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น
อัตราการเติบโตของมูลค่าทางบัญชี
คุณภาพของสินทรัพย์
ภาระหนี้สิน
ROE สูง:
ROE สูง หมายถึง ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) อยู่ในระดับสูง
หุ้นที่มี ROE สูง แสดงว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรได้ดี
อย่างไรก็ตาม ROE สูงเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น
ความยั่งยืนของกำไร
นโยบายการจ่ายเงินปันผล
ความเสี่ยงของธุรกิจ
สรุป:
การซื้อหุ้นที่มี PE ต่ำ P/BV ต่ำ และ ROE สูง เป็นกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing)
กลยุทธ์นี้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
คำเตือน:
การลงทุนมีความเสี่ยง
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3058 | Finance | นักลงทุนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นจะบรรลุอิสรภาพทางการเงิน ควรมีวิธีคิดและแนวทางการลงทุนอย่างไร? | null | 1. ตั้งเป้าหมายที่สมจริง:
การเกษียณอายุก่อนวัยอันควรโดยอาศัยผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลา เงินทุน ความเสี่ยง และเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ
2. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ:
การลงทุนเป็นประจำ แม้จะลงทุนจำนวนน้อย ช่วยให้พอร์ตลงทุนเติบโตอย่างมั่นคง กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) ช่วยกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
3. กระจายความเสี่ยง:
ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต
4. เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี:
เลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว พิจารณาปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบการ สถานะทางการเงิน กลยุทธ์ธุรกิจ
5. อดทนและควบคุมอารมณ์:
ตลาดหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนควรมีวินัย อดทน ควบคุมอารมณ์
6. ศึกษาหาความรู้:
ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเงิน การลงทุน เข้าใจความเสี่ยง
7. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
ตัวอย่าง:
นักลงทุนอายุท่ี 25 ปี ต้องการเกษียณอายุ 40 ปี ตั้งเป้าหมายมีเงิน 20 ล้านบาท:
ลงทุน 10,000 บาทต่อเดือน ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8%
พอร์ตลงทุนจะเติบโตถึง 20 ล้านบาทภายใน 15 ปี
นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
ศึกษาหาความรู้ ควบคุมอารมณ์
สรุป:
การบรรลุอิสรภาพทางการเงิน จำเป็นต้องมีวินัย อดทน ศึกษาหาความรู้ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ กระจายความเสี่ยง ควบคุมอารมณ์ | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3059 | Finance | HERMèS คืออะไร | ถ้าคุณใช้เงิน 1 ล้านบาทซื้อกระเป๋า Hermès ในปี 2010 คุณจะได้กระเป๋าประมาณ 3 ใบ (ตีราคาใบละประมาณ 330,000 ละกันครับ) แต่ถ้าคุณเอาเงินไปซื้อหุ้น Hermès ก่อนแล้วรอจนถึงวันนี้คุณจะสามารถซื้อกระเป๋า Hermès ได้ถึง 12 ใบเลยทีเดียว อ่าวทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ? งงเด้! งงเด้! ก็ถ้าคุณซื้อหุ้น RMS (Hermès) ในปี 2010 ที่ราคา 99.65 ยูโร ถ้าเราถือมาถึงวันนี้หุ้น RMS จะมีมูลค่าถึง 435.30 ยูโรเลยทีเดียวใช้เวลา 6 ปีขึ้นมาถึง 336% นอกจากนั้นระหว่างทางยังมีปันผลทุกๆปีอีกด้วยเรียกได้ว่างานนี้ได้ทั้งกระเป๋าแถมเอาปันผลไปจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินพร้อมโรงแรมและอาหารเพื่อบินไปซื้อถึงที่ได้อีกด้วย สุดยอดมั้ยล่ะ? ผมเองได้ยินชื่อเสียงมานานว่า Hermès เป็นกระเป๋าที่ใฝ่ฝันสำหรับคุณสุภาพสตรีไม่ว่าจะวัยไหน ทำงานอะไร อายุเท่าไหร่ ถือว่าใครๆก็อยากได้ล่ะ แต่วันนี้พอผมมาเห็นราคาหุ้นของ Hermès แล้ว โอโหนี่มันสุดยอดยิ่งกว่ากระเป๋าซะอีก จะมีอะไรดีไปกว่าการได้เป็นเจ้าของบริษัทระดับตำนานขาใหญ่อุตสาหกรรม 3 แสนล้านเหรียญอย่าง Hermès ที่ให้ผลตอบแทนดีขนาดนี้อีกล่ะครับ? แต่เบื้องหลังของผลตอบแทนดีๆแบบนี้มันมีอะไรกันแน่นะ? ปัจจุบัน Hermès มีพนักงานกว่า 12,244 คนมีร้านอยู่ 307 ร้านโดยเป็นคนดำเนินงานเองถึง 210 ร้าน Hermès ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ 177 ปีที่แล้วโดยช่างทำบังเหียนม้า (ที่เป็นเชือกเอาไว้บังคับม้าอ่ะครับ) ชื่อว่า Thierry Hermès จริงๆแล้วโรงงาน Hermès ที่ก่อตั้งขึ้นมาเนี่ยไม่ได้จะเอามาผลิตกระเป๋าขายแต่แรกนะ ก็ตามอาชีพเค้าเลยครับคือตอนแรกเค้าจะผลิตบังเหียนขายแต่แล้วธุรกิจก็ไปได้สวย พอมาถึงรุ่นลูกก็เลยขยายไปทำอานม้าด้วย(ที่นั่งบนม้า) โดยขายให้กับชนชั้นสูงไปทั่วโลก แต่แล้วในปี 1918 รถยนต์เริ่มเข้ามาแทนที่ม้าทำให้หลานของ Thierry Hermès ชื่อ Emile Hermès ก็เริ่มคิดแล้วว่าถ้ายังทำบังเหียนม้าขายวันนึงคงโตต่อไปไม่ได้แน่ๆเผลอๆอาจจะเจ๊งไปเลยด้วยซั้า ดังนั้นเขาจึงพลิกธุรกิจที่ทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ โดยมาริเริ่มทำเครื่องหนังและกระเป๋าเดินทางจนประสบความสำเร็จ พอมาถึงรุ่นลูกเขยของ Emile ที่เข้ามาพัฒนาต่อก็มีทำสินค้าเพิ่ม เริ่มทำผ้าพันคอ, เสื้อโค้ท, ไดอารี่, นาฬิกาและเครื่องประดับกลายมาเป็น Hermès ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ สินค้าที่ขายดีที่สุดใน Hermès ก็คงเดากันได้คือ เครื่องหนังนั่นเองครับโดยมีสัดส่วนรายได้ที่ 45% รองลงมาคือเสื้อผ้าที่ 23% สัดส่วนไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่นักจากในปี 2006 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือรายได้และกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นมาใน 10 ปีที่ผ่านมาครับ ในปี 2006 RMS มีรายได้ที่ 1,514 ล้านยูโร กำไร 268 ล้านยูโร และพนักงานทั้งสิ้น 6,825 คน หรือคิดเป็นยอดขายต่อพนง. 1 คนที่ 0.22 ล้านยูโร ในปี 2015 ปัจจุบันรายได้ของ RMS อยู่ที่ 4,841 ล้านยูโร กำไร 972 ล้านยูโรและพนักงาน 12,244 คนคิดเป็นยอดขาย 0.39 ล้านยูโร นอกจากยอดขาย,กำไรที่เพิ่มขึ้นแล้ว ประสิทธิภาพของพนักงานเองก็สูงขึ้นด้วย โดยประมาณตั้งแต่ปี 2006 กำไรโต 1 เท่าตัวทุกๆ 4-5 ปีจากการขยายสาขา, การจัดการที่มีประสิทธิภาพ, แบรนด์อันแข็งแกร่งและความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นมาก (ขนาดขายแพงขนาดนี้นะ -_-;) และในปี 2006 ลูกค้าเบอร์ 1 ของ Hermès คือประเทศญี่ปุ่นที่ 27% รองลองมาคือประเทศต้นกำเนิดของ Hermès ฝรั่งเศสนี่เอง 19% เท่ากับยอดขายในทวีปยุโรปและอันดับ 4 คือ Asia ex. Japan ที่ 17% จากปี 2006 – 2010 ราคาหุ้น RMS ขึ้นมาจากประมาณ 60 ยูโรเป็น 100 ยูโร ขึ้นมาประมาณ 60% โดยใช้เวลา 4 ปี ถ้าจำกันได้ช่วงนั้นเป็นช่วงฟื้นตัวจาก Hamburger crisis พอดีแม้จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักแต่รายได้ของ RMS ไม่มีตกเลยนะครับกำไรก็บวกตลอดๆเบาๆจนมาบวกเยอะในช่วงปี 2010 (หุ้นโรงพยาบาลที่ว่าแน่เจอ RMS เข้าไปยังต้องอายครับ ไม่ defensive เฉยๆยังโตสวนได้ด้วย) ซึ่งผู้บริหารก็ได้กล่าวถึงผลประกอบการปี 2009 ไว้ว่าเป็น “การหลบหลีกอันงดงาม” จากผลประกอบการที่ยังเติบโตได้แม้สภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และในปีนั้นเองก็ได้ทำการขยายสาขาเข้าไปในประเทศอย่างบราซิล, ตุรกีและฟิลิปปินส์ โดยได้มีแง้มๆไว้ว่าปี 2010 จะเป็นปีที่เป็น “ตำนานที่ต้องเล่าขาน” ในปีนั้นยอดขายของ Asia ex. Japan เริ่มสูงขึ้นมาเป็น 22% ของทั้งหมดโดยโตมาถึง 29% นำโดยจีน, มาเก๊าและฮ่องกง ในรายงานประจำปี 2009 อธิบายไว้ชัดมากๆว่า กำลังซื้อมีเกินกำลังผลิตมากทำให้ Hermès ต้องเปิดโรงงานเพิ่ม (ฮือออออ…..เราเจอกันช้าไป) และในปัจจุบัน Asia ex. Japan เป็นยอดขายสัดส่วนถึง 35% มากกว่ายุโรปรวมกับฝรั่งเศษที่เป็นประเทศต้นกำเนิดซะอีก อะไรทำให้เหล่าเศรษฐีใหม่เอเซีย Crazy ได้ขนาดนั้น? เป็นเพราะ Brand อย่างเดียวเลยมั้ยที่ทำให้สำเร็จ ผลสำเร็จขนาดนี้มาได้ยังไง คำตอบก็คือ Premium business model ที่ยอดเยี่ยมครับ Premium business model ของ Hermès มีจุดเด่นใน 3 องค์ประกอบหลักด้วยกันคือ Supply chain, Innovation และ Human Resources Supply chain – คำถามคือคุณคิดว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการผลิตกระเป๋าหนึ่งใบของ Hermès? คำตอบ 15 ชั่วโมง!!! และประมาณ 15 ใบต่อเดือนต่อช่าง 1 คน ไม่เยอะเลยเพราะต้องใช้ฝีมือจากช่างในการทำมือกระเป๋าทั้งใบ Hermes เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการทำ Vertical integration มากที่สุดบริษัทหนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่า “ดีที่สุด” ในแต่ละขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบและชิ้นส่วนต่างๆ Hermès ยังควบคุมการผลิตของสินค้ากว่า 80% ที่ขายทั้งยังไม่มีการขาย License ออกไปให้ใครผลิตทั้งสิ้น อารมณ์ถ้า Hermès ไม่ทำรองเท้ากีฬาอาจจะ License แบรนด์ให้บริษัทอื่นทำขายได้เพราะแบรนด์ Hermès ทรงพลังมากยังไงก็ขายได้จะได้ Utilize สินทรัพย์ที่พวกเขามีซึ่งก็คือแบรนด์เพิ่มได้ด้วยแต่พวกเขาก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้นเพื่อการควบคุมคุณภาพของสินค้าและบริการที่จะนำไปสู่การควบคุมคุณภาพของแบรนด์อย่างเบ็ดเสร็จด้วยเช่นกัน ในด้านการจัดจำหน่าย Hermès จัดจำหน่ายผ่านร้านค้าและแฟรนไชส์ของบริษัทเท่านั้น เราจะไม่เห็นกระเป๋า Hermès ขายใน Duty free หรือเป็นบู้ทเล็กๆถ้าขายต้องเป็น Stand alone shop เพื่อที่ Hermès จะสามารถควบคุมคุณภาพของการบริการลูกค้าได้ Business model นี้ทำให้ Hermès มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงที่ 22% มากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 19% นอกจากนั้นยังมีการลงทุน (Capex) เพื่อพัฒนาการผลิตและเครือข่ายจัดจำหน่ายมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมด้วย
Innovation – นวัตกรรมไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องทำให้กระเป๋าชาร์จมือถือได้หรือมี 4G รู้หรือไม่ว่ากระเป๋าที่เราเห็นว่ามันเรียบๆ ไม่มีอะไร ขายโคตรแพงเนี่ยมันสุดยอดแห่งนวัตกรรมนะครับ Hermès ซึ่งอายุอานามก็จัดไป 177 ปีแล้วเรียกได้ว่าเป็นรุ่นทวด แต่เป็นบริษัทที่ฟอร์ฟ(Forbes)จัดอันดับให้เป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมสูงสุดอันดับที่ 13 ของโลกสูงกว่าบริษัทใหม่ๆอย่าง Netflix, Priceline หรือ Starbuck ซะอีก ทุกๆ 6 เดือน Hermès จะปรับเปลี่ยน 1/3 ของสินค้าของพวกเขาที่มีกว่า 50,000 sku และแม้ Hermès จะคุม Supply chain ของพวกเขาอย่างเข้มงวดแต่นักออกแบบของ Hermès นั้นเป็น Freelance ถึง 60% Freelance designer จะไม่ถูกยึดติดอยู่กับวัฒนธรรมหรือวิธีคิดแบบ Hermès ทำให้มี Idea และ Concept ใหม่ๆมาทำสินค้าตลอดเวลาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะการทำสินค้าใหม่ๆด้วยกระบวนการที่ไม่มีใครทำได้นอกจากจะได้สินค้าใหม่ๆแล้วยังทำให้การ “ก๊อปเกรด A” นั้นทำได้ยากขึ้นด้วย ล่าสุด Hermès ได้เริ่มต้น Project ใหม่ชื่อ “Petit H” เป็นการนำเอาของที่มีตำหนิขายไม่ได้หรือถูกส่งคืนของ Hermès มาใช้ใหม่ทำสินค้ากุ๊กกิ๊กน่ารักมาขายดูดเงินในกระเป๋าลูกค้าเพิ่มเติมอีกด้วยแทนที่จะนำไปทำลายแบบเดิม และแน่นอนว่าถึงแม้จะเป็น recycle แต่มันเป็น Hermès ดังนั้นราคาไม่มีตํ่ากว่า 3-4 หมื่นบาท เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการที่ฉลาดมากๆและ Utilize คุณค่าของแบรนด์และวัตถุดิบชั้นดีซึ่งหายากได้อย่างโหดสัสฝรั่งเศสจริงๆ | คือ
1. กระเป๋าราคาแพง
2. เสื้อผ้าเรียบหรู
3. เครื่องหนังพรีเมี่ยม
สิ่งเหล่านี้คือคนนึกถึงแบรนด์อย่าง Hermès แต่มีคนจำนวนไม่มากนักรู้ถึงที่มาที่ไปกว่าจะมาเป็นซูเปอร์แบรนด์ระดับโลกเช่นนี้ เรื่องราวในอดีตหล่อหลอมตัวแบรนด์มาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้อัตลักษณ์ของแบรนด์ก็ยังคงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนแฟชั่นก็ไม่เคยขาดชื่อของแอร์เมสเลยแม้แต่ช่วงเดียว พลวัตแฟชั่นจะวิ่งวนไปทิศทางไหนเรายังคงพูดถึงชื่อนี้อยู่เสมอ วันที่ 10 มกราคม 1801 วันที่เมืองเครเฟลด์เมืองเจ้าของฉายา “City of Velvet” ยังถือเป็นดินแดนฝรั่งเศสของจักรวรรดินโปเลียนอยู่ เด็กน้อยคนหนึ่งนามว่า Thierry Hermès เกิดขึ้นในครอบครัวพ่อชาวฝรั่งเศสและแม่ชาวเยอรมัน ด้วยฉายาของเมืองที่หมายถึงกำมะหยี่ซึ่งสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ในการผลิตสิ่งทอทำให้เธียรี่ได้รับอิทธิพลเข้าเต็ม ๆ ช่วงวัยเด็กของเขาจึงฝักใฝ่เรียนรู้เกี่ยวกับการพิมพ์ลายและสิ่งทออย่างจริงจัง ถือเป็นการปูพื้นฐานและสร้างประสบการณ์ศิลปะงานฝีมือให้กับเด็กชายคนนี้ตั้งแต่วัยเยาว์ จุดพลิกผันของชีวิตอันเรียบง่ายของเธียรี่คือการย้ายเข้ามาอาศัยทางตอนเหนือของกรุงปารีสในปี 1828 และนี่คือจุดเริ่มต้นของแบรนด์แอร์เมสอย่างจริงจัง
ยุคที่การเดินทางยังใช้ม้าเป็นพาหนะชายหนุ่มวัย 27 จึงปรับใช้เทคนิคงานฝีมือสมัยวัยเด็กร่วมกับการเรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์สำหรับม้า ไม่ว่าจะเป็นบังเหียน สายคล้องและอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงการแลกเปลี่ยนหนังเพื่อนำมาใช้เป็นวัสดุ งานของเขาขึ้นชื่อเรื่องความละเมียดละไมและมีจุดเด่นที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเบาะหนังฝีมือหนุ่มจากเครเฟลด์นั้นไม่ธรรมดา ช่วงชีวิตของเธียรี่ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนกับการผลิตสินค้า ปี 1831 เขากับภรรยาคู่ใจมี Charles-Emile Hermès เป็นโซ่ทองคล้องใจ พอมีลูกชีวิตต้องพัฒนาอีกระดับการนั่งทำอานม้าอย่างเงียบ ๆ ไม่สามารถตอบโจทย์ได้
ปี 1837 ร้านแฮร์เมสเวิร์กช็อปจึงถือกำเนิดขึ้นแถว Grands Boulevards ในกรุงปารีส ช่วงแรกสินค้าของเธียรี่มีเพียงแค่เครื่องหนังและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการขี่ม้าทั้งอานและบังเหียนเพื่อตอบสนองให้กับชนชั้นสูงที่ต้องการอุปกรณ์เหล่านี้ในระดับที่เหนือกว่าคนอื่น แอร์เมสจึงดำรงอยู่ได้และเป็นสัญลักษณ์แห่งแบรนด์ชนชั้นสูงของฝรั่งเศสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การันตีด้วยเหรียญรางวัลจากงาน Exposition Universelle งานจัดแสดงผลงานระดับโลกในปี 1855 และ 1867 | ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3060 | Finance | จงสรุปเกี่ยวกับ "จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีทรัพย์สินมาก" ให้หน่อยค่ะ | ทรัพย์สินประกอบด้วยอะไรบ้าง ? 1) ทรัพย์สินประเภท สภาพคล่อง เช่น เงินสด หลายคนคิดว่ามีเงินสดออมไว้ใน Bank มากๆ จะทำให้รวย ไม่เลยครับ มูลค่าเงินจะโดนทำลายด้วย เงินเฟ้อ มูลค่าเงินจะลดลงเรื่อยตามจำนวนปีที่ฝากเงินไว้ในธนาคาร ยิ่งฝากเงินใน Bank นาน มูลค่าเงินฝากยิ่งลดลง จากเงินเฟ้อทำให้สิ่งต่างๆ แพงขึ้น 2) ทรัพย์สินประเภท การลงทุน เช่น หุ้น ที่ดิน บ้านให้เช่า คอนโดให้เช่า กองทุนรูปแบบต่างๆ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์และควบการลงทุน ยิ่งมีเยอะ ยิ่งมั่งคั่ง เนื่องจากสินทรัพย์เหล่านี้ เพิ่มขึ้นทุกวัน มีดอกมีผลให้เช่น ค่าเช่า เงินปันผล เราเรียกส่วนนี้ว่า Passive Income 3) ทรัพย์สินประเภท เครื่องใช้ส่วนตัว เช่น บ้าน รถ ถ้าคุณมีทรัพย์สินประเภทมากไปจะไม่เกิดประโยชน์ เพราะพวกมันแปลงเป็นเงินเอาไปใช้ไม่ได้ คุณไม่สามารถขายบ้านราคา 10 ล้านนำเงินมาใช้ได้ | ถ้ามีทรัพย์สินมาก จะเกิดอะไรขึ้น
1. ถ้ามีทรัพย์สินประเภทสภาพคล่องมาก การออมเงินในธนาคารมากๆ มูลค่าจะลดลงตามจำนวนปีที่ฝากเงินและการทำลายโดยเงินเฟ้อ
2. ถ้ามีทรัพย์สินประเภทการลงทุนมาก จะยิ่งมั่งคั่ง เมื่อเพิ่มขึ้นทุกวันก็มีดอกมีผล
3. ถ้ามีทรัพย์สินประเภทเครื่องใช้ส่วนตัวมาก มันจะไม่เกิดประโยชน์เลย เพราะแปลงเป็นเงินมาใช้ไม่ได้ | ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3061 | Finance | คุณสมบัติใด ที่เทียบกับในกรณีของ ROS คือบริษัทเริ่มมีแผนทำรีสอร์ทขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ละแห่งลงทุนในระดับหมื่นล้านบาท ระหว่าง จะต้องมีเรื่องราวที่สามารถแสดงได้ว่าอนาคตของบริษัทจะโตต่อไปได้อีกมาก หรือ หุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหุ้นจะต้องมีไม่มาก | null | จะต้องมีเรื่องราวที่สามารถแสดงได้ว่าอนาคตของบริษัทจะโตต่อไปได้อีกมาก เพราะคุณสมบัติที่จะต้องมี “Story” หรือเรื่องราวที่สามารถแสดงได้ว่าอนาคตของบริษัทจะโตต่อไปได้อีกมาก เทียบในกรณีของ ROS ก็คือ บริษัทเริ่มมีแผนทำรีสอร์ทขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ละแห่งลงทุนในระดับหมื่นล้านบาท นอกจากนั้น ถ้ามองออกไปไกล ๆ บางทีอาจจะ 3-5 ปี จะมีการลงทุนรวมกันถึงแสนล้านบาทและทั้งหมดนั้นอยู่ในสถานที่ที่ “สุดยอด” เช่น ที่เกาะฟูก๊วก เมืองตากอากาศอันดับหนึ่งที่รัฐบาลกำลังโปรโมต เป็นต้น
ส่วนคุณสมบัติที่หุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหุ้นจะต้องมีไม่มาก เทียบในกรณีของ ROS หุ้นอยู่ในมือของ Mr. ตรินห์มากกว่า 70% ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ “ผิดปกติ” ในตลาดหุ้นเวียตนามที่หุ้นมักจะอยู่ในมือของรัฐวิสาหกิจ หุ้นบริษัทเอกชนนั้น ส่วนใหญ่ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็จะถือหุ้นไม่มากและมักจะไม่เกิน 25% คุณสมบัติข้อนี้จะทำให้หุ้นสามารถถูก “Corner” หรือถูก “ต้อนเข้ามุม” โดยนักลงทุนส่วนบุคคลหรือนักเก็งกำไรรายใหญ่ได้ง่าย ซึ่งก็จะทำให้ราคาหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ตราบที่ยังมีคนสนใจจะเข้าไปเล่นเก็งกำไรสั้น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ
เดือนพฤศจิกายนปี 2016 Trinh Van Quyet ประธานบริษัท FLC Group และเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท Faros Construction ในตลาดหุ้นเวียตนาม วัย 41 ปี ได้กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในตลาดหุ้นเวียตนามด้วยมูลค่าหุ้นรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยจะมีใครรู้จัก การที่เขากลายเป็นบุคคลที่ “มั่งคั่งที่สุด” ใน “ชั่วข้ามคืน” นั้น เป็นเพราะหุ้นบริษัทก่อสร้าง Faros ที่มีชื่อย่อของหุ้นว่า ROS ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดเมื่อเดือนกันยายน 2016 มีราคาเพิ่มขึ้น 10 เท่าเป็นประมาณ 170 บาทต่อหุ้นภายในเวลา 3 เดือน หุ้น ROS ยัง “ร้อนแรง” และมีราคาประมาณ 240 บาทต่อหุ้น Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้น ROS สูงถึงประมาณหนึ่งแสนล้านบาทไทยและมีส่วนที่มีนัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นโฮจิมินเพิ่มขึ้นมากและเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วย หุ้น ROS ใหญ่โตติดอันดับ 1 ใน 10 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดของตลาดและมี Market Cap. ประมาณ 4-5% ของตลาด การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมีส่วนต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดที่ทุกคนต้องจับตามอง | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3063 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ รูปแบบการรับรายได้ของคนที่เป็น Master | null | สำหรับรูปแบบการรับรายได้ของคนที่เป็น Master นั้น จะมีรายได้จากกำไรที่ได้การเทรดสินค้าการลงทุนด้วยตัวเอง โดยนิยมใช้เป็น CopyTrade สำหรับสินค้าการลงทุนที่เราพบเห็นมากที่สุดนั่นก็คือ FOREX โดยให้เหตุผลว่า FOREX เป็นสินค้าที่นิยมเทรดกันทั่วโลกและมีสภาพคล่องที่สูง และหากเรามี Performance ในการเทรดที่ดี เราจะมีคนกดติดตาม และMaster จะได้ส่วนแบ่ง ผู้ติตามจะต้องยินยอมให้โบรกเกอร์เทรดแทนเราให้อัตโนมัติ
บทเรียนจากย่อหน้านี้
อธิบายรูปแบบการรับรายได้ของคนที่เป็น Master คนพวกนี้จะมีรายได้สองสามทางคือ กำไรที่เกิดขึ้นจากการที่เขาเทรดสินค้าการลงทุนด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อนุพันธ์ สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ แต่สินค้าที่นิยมใช้เป็น CopyTrade มากที่สุดก็คือ FOREX เนื่องจากเป็นสินค้าที่ผู้คนนิยมเทรดกันทั่วโลกและมีสภาพคล่องสูง
หาก Master คนใดที่มี Performance การเทรดที่ดี ก็จะมีคนกดติดตาม คนๆ นั้นก็จะได้ส่วนแบ่งทันที จากนั้นผู้ที่เป็น Follow ก็จะต้องยินยอมให้เจ้าของแพลตฟอร์มหรือโบรกเกอร์ (ที่ดังๆก็มี eToro, MT4) เทรดแทนให้อัตโนมัติ พูดง่ายๆ ก็คือ Master ที่ติดตามเทรดอะไร ระบบก็จะเทรดตามด้วยทันที หากสามารถทำกำไรได้เราจะต้องหักส่วนแบ่งกำไรที่เกิดขึ้นให้กับคนเป็น Master ด้วย (แน่นอนว่าหากขาดทุนก็ต้องขาดทุนตามไปด้วย)
ที่บอกว่า CopyTrade มีโอกาสจะเป็นอาชีพใหม่ในยุคฟินเทคได้ เพราะทางตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย หรือ TFEX กำลังอนุญาตให้โบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตซื้อขายตราสารอนุพันธ์สามารถให้ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขาย TFEX ผ่านแพลตฟอร์มที่เรียกว่า MT4 ได้แล้ว ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นที่นิยมในต่างประเทศ เพราะสามารถเทรดสินค้าต่างๆ ได้ทั่วโลก ซึ่ง MT4 สามารถรองรับฟังก์ชั่นใหม่ๆ อย่างการเขียนระบบเทรดอัตโนมัติของตัวเอง (EA) รวมไปถึง CopyTrade ด้วย | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3064 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงหุ้นที่ “Too good to be true” ได้ถูกต้อง | a. มีมูลค่าหุ้นต่ำเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน
b. มีตัวเลขของผลประกอบการที่โดดเด่นกว่าตัวเลขเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่างเทียบกันได้
c. มาจากบริษัทมีระบบการทำงานและพนักงานที่มีข้อมูลความรู้และทักษะที่ไม่ได้ดีกว่าบริษัทอื่นที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน
d. บางบริษัทมีรายได้เป็นครึ่งเดียวของกำไรของบริษัทอื่น | คำตอบคือ d. เพราะว่าหุ้นที่ “Too good to be true” นั้น โดยทั่วไปมักจะมีตัวเลขทั้งในเรื่องของการประกอบการและผลประกอบการที่โดดเด่นกว่าตัวเลขเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่าง “เทียบกันไม่ได้” เรื่องราวที่ฟังจากผู้บริหารก็มักจะออกมาในแนวที่ว่า บริษัทมีระบบการทำงานและพนักงานที่มีข้อมูลความรู้และทักษะที่เหนือกว่าบริษัทอื่นที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันหรือใกล้เคียงกันทั้ง ๆ ที่บริษัทไม่ได้มีการวิเคราะห์วิจัยระบบการทำงานหรือมีการอบรมพนักงานเป็นพิเศษ สิ่งที่บริษัททำก็ไม่ใช่สิ่งที่บริษัทอื่นจะทำไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เวลาผู้บริหารพูด นักวิเคราะห์และนักลงทุนก็มักจะไม่ตั้งคำถาม นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาที่ว่าถ้าคุณประสบความสำเร็จดูจากราคาหุ้นที่ขึ้นไปสูงและเร็วขนาดนั้น จะพูดอะไรคนก็จะเชื่อและดูดีไปหมด แต่ถ้าหุ้นตก นักลงทุนขาดทุน นักวิเคราะห์ผิดหวัง ต่อให้อธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครคิดหรือเชื่อว่าระบบดี ตัวอย่างที่เห็นก็เช่นในเรื่องของธุรกิจปล่อยเงินกู้รายย่อยที่มีหลายบริษัทมีการดำเนินงานและตัวเลขสำคัญ เช่น อัตราหนี้เสียที่ดี “เหลือเชื่อ” แต่นักลงทุนและนักวิคราะห์ก็เชื่อ เป็นต้น
ตัวเลขเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นก็เป็นตัวเลขที่ดูเหมือนว่ามันจะดีจน “เหลือเชื่อ” ได้เช่นกัน “หุ้นนางฟ้า” นั้นมักจะมีมูลค่าหุ้นที่สูงมากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน หุ้นนางฟ้าบางบริษัทนั้น “รายได้” ทั้งบริษัทเป็นแค่ครึ่งเดียวของ “กำไร” ของบริษัทอื่น แต่มูลค่าหุ้นเป็นสองเท่าของบริษัทนั้นก็มี โดยเหตุผลที่ใช้ในการ “สร้างความชอบธรรมของราคาหุ้น” ก็คือ “มันโตเร็วกว่ามาก” และการมีค่า PE 50-100 เท่าในขณะที่คู่แข่งที่ใหญ่กว่ามากในแง่ธุรกิจนั้นหุ้นมีค่า PE เพียง 10-15 เท่า ก็เป็นเรื่องปกติ เหนือสิ่งอื่นใด เขาใช้ค่า PEG ในการประเมินมูลค่าหุ้น นั่นก็คือ ถ้ากำไรบริษัทโตได้ 50-100% ใน 1 ปี ค่า PE ก็เป็น 50-100 เท่าได้
นี่เป็นเหตุผลที่นักวิเคราะห์ใช้เพื่อบอกว่าราคาหุ้นนางฟ้าเหล่านั้น “ไม่แพง” และควร “ซื้อ” มีนักวิเคราะห์น้อยมากที่กล้าหาญแนะนำให้ขายหุ้นที่กำลังวิ่งขึ้นแรงแบบหุ้นนางฟ้าไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไร | ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3067 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ หลักการลงทุนให้พอร์ตเล็ก กลายเป็นพอร์ตใหญ่ | null | สำหรับหลักการลงทุนให้พอร์ตเล็ก กลายเป็นพอร์ตใหญ่ มีอยู่ 5 ข้อ โดยข้อแรก จะต้องรู้ว่าจะลงทุนในทิศทางไหน ต้องลงทุนกับหุ้นเติบโตเร็ว เพื่อให้เห็นภาพของพอร์ตที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน ข้อที่สอง คือ ควรโฟกัสไปที่สิ่งที่รู้จักดีที่สุด ข้อที่สาม ต้องมีการบริหารจัดการพอร์ตให้เหมาะสม เพื่อจะทำให้พอร์ตใหญ่ขึ้น ข้อที่สี่ คือ ต้องขยันในการหาหุ้นที่มีข่าวร้ายชั่วคราว เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่ดี และข้อสุดท้าย คือ มีการซื้อหุ้นแบบมีนัยยะ ซื้อในปริมาณมากพอ เพื่อเกิดการเปลี่ยนสถานะพอร์ตได้
บทเรียนจากย่อหน้านี้
หลักการลงทุนให้พอร์ตเล็ก กลายเป็นพอร์ตใหญ่
ประการแรก “ต้องรู้ว่าคุณจะไปไหน”
การลงทุนโดยไม่รู้ว่าจะไปไหน เป็นการลงทุนแบบไร้ทิศทาง การลงทุนที่ดีควรเห็นภาพที่ “ชัดเจน” ว่าจะไปไหน แล้วจะไปด้วยอะไร ถ้าต้องการให้พอร์ตเราโตเร็ว ให้พอร์ตใหญ่ขึ้น ต้องไปกับหุ้นโตเร็ว หรือหุ้นที่กำไรของกิจการกำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ถ้าชัดเจนว่าเราจะไปกับหุ้นที่จะกลายเป็นขาขึ้น ต้องทำการบ้านอย่างละเอียด ต้องใช้เวลาในการศึกษาและหาให้ได้ว่า… ทำไมกำไรของกิจการจึงจะกลับตัวเป็นขาขึ้น เพราะราคาหุ้นจะขึ้นตามกำไรที่เพิ่มขึ้นเสมอ
ประการที่สอง “ควร Focus ในสิ่งที่คุณรู้จักดีที่สุด”
การลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้คือความเสี่ยงสูงสุด บางครั้งเห็นหุ้นหลายตัวปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง ทำให้อยากเข้าไปซื้อเพื่อเก็งกำไร โดยบางทีไม่รู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นทำกิจการอะไร เพียงแต่คิดว่า ซื้อแพงเพื่อไปขายแพงกว่า ทำแบบนี้นอกจากพอร์ตจะไม่โตขึ้นแล้วอาจกลับตรงกันข้ามคือหดลงก็เป็นไปได้ การลงทุนที่ดีควร Focus ในสิ่งที่รู้จักดีที่สุด หุ้นที่ไม่รู้แต่ราคากำลังขึ้น ก็ไม่ควรไล่ราคาซื้อ
ประการที่สาม “บริหารจัดการพอร์ตให้เหมาะสม”
หากอยากจะทำให้พอร์ตโตไวๆ นักลงทุนบางคนจะซื้อหุ้นเพียงตัว หรือสองตัว แถมอาจจะใช้มาร์จิ้นเพื่อปั้นพอร์ตให้โตเร็วๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเสียหายอย่างหนัก เสมือนขับรถแล้วเร่งความเร็วสูงสุด = เพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุโดยไม่จำเป็น แนวทางการจัดพอร์ตแบบมุ่งเน้น แต่ก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายมากก็คือ ควรมีหุ้นในพอร์ตอย่างน้อย 3 – 5 ตัว โดยแบ่งสัดส่วนให้เหมาะสมตามความเข้าใจในตัวกิจการของนักลงทุนแต่ละคน
ประการที่สี่ “ขยันหาหุ้นที่มีข่าวร้ายชั่วคราว”
ข่าวร้ายจะเป็นวิกฤตสำหรับคนที่กลัว แต่อาจกลายเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีความขยัน และสะสมความรู้ในหุ้นรายตัวอย่างสม่ำเสมอ แม้จะยังไม่ซื้อ แต่เวลามีเหตุการณ์ที่สบโอกาส จะทำให้สามารถซื้อหุ้นที่มีข่าวร้ายชั่วคราวได้โดยไม่พลาดโอกาสทอง การศึกษาหุ้นสะสมไว้ แม้จะยังไม่ได้ซื้อมันอย่างมีนัยยะ คือ การที่ทำให้ความรู้เรื่องหุ้นสะสมแบบ “ทบต้น” เมื่อความรู้ทบต้นแล้ว การต่อยอดความรู้ใหม่ๆ ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
เวลาหุ้นที่สนใจมีข่าวร้าย ก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าเป็นข่าวร้ายชั่วคราว หรือเป็นข่าวที่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยน ถ้าเป็นอย่างแรก มันคือโอกาสในการลงทุน และจะเกิดขึ้นกับผู้ที่หมั่นศึกษาหุ้นตัวใหม่ๆ ที่สนใจ เวลาโอกาสมาถึงจริงๆ ก็สามารถคว้าได้ทันที
ประการสุดท้าย “จงซื้อหุ้นแบบมีนัยยะ”
การซื้อหุ้นกระจัดกระจายแบบเบี้ยหัวแตกนั้นแม้จะได้กำไรมากมายหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็ไม่ทำให้เรารวยขึ้นมาได้ หรือเปลี่ยนชีวิตได้ โดยการซื้อแบบมีนัยยะ นั่นคือ ซื้อในปริมาณที่มากพอที่จะเปลี่ยนสถานะพอร์ตได้นั่นเอง | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3068 | Finance | จงเขียนโฆษณษแคมเปญเรื่อง "สร้างปฏิสัมพันธ์และเติบโต: ค้นพบ Bottom-Up SPACE สำหรับธุรกิจ Factory Outlet" ให้หน่อย | null | แคมเปญ: Bottom-Up SPACE - สร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จของธุรกิจ Factory Outlet
เรียนทุกท่านที่กำลังมองหาวิธีใหม่เพื่อเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจอยู่!
มีแนวคิดที่ยอดเยี่ยมในการสร้างธุรกิจ Factory Outlet แต่กำลังมองหาวิธีในการเติบโตและขยายธุรกิจให้มีผลกำไรมากขึ้นใช่ไหม? Bottom-Up SPACE คือคำตอบที่กำลังมองหา!
โครงการ Bottom-Up SPACE** นำเสนอแนวคิดและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างพื้นที่ที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจ ด้วยการบูรณาการทั้งส่วนบุคคล
และระบบที่เป็นระบบที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ โดยใช้กรณีศึกษาจาก FN ซึ่งเป็นตัวอย่างธุรกิจ Factory Outlet ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เราจะแสดงให้เห็นถึงวิธีที่ FN ใช้ Bottom-Up SPACE เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่!
ประโยชน์ของการเข้าร่วม Bottom-Up SPACE
1. สร้างพื้นที่สำหรับนวัตกรรม: ก้าวออกจากกรอบและให้โอกาสให้กับความคิดใหม่ๆ ที่จะเติบโตและพัฒนาธุรกิจ
2. เสริมสร้างทีมงาน: สร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและสนับสนุนการทำงานร่วมกัน ทำให้ทีมงานเติบโตและเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ของธุรกิจ
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ: ปรับปรุงกระบวนการทำงานและการบริหารจัดการเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. สร้างความยืดหยุ่นในการปรับตัว: ให้โอกาสให้กับธุรกิจปรับตัวกับสภาพแวดล้อมและตลาดอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ใน Bottom-Up SPACE จำกัด มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จก่อนที่จะเต็ม!
ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและเข้าร่วมในการสร้างปฏิสัมพันธ์และสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ที่ Bottom-Up SPACE ตอนนี้!
เข้าร่วม Bottom-Up SPACE และสร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จของธุรกิจ! | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3070 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สิ่งที่จำเป็นในการลงทุนเพื่อเลี้ยงชีพ | null | สิ่งที่จำเป็นในการลงทุนเพื่อเลี้ยงชีพ คือ การมีเงินทุนสูง เพื่อที่เราจะสามารถลงทุนเพื่อการเลี้ยงชีพได้ ตัวอย่างเช่น มนุษย์เงินเดือนท่านหนึ่งอยากมีเงินเดือนจำนวนเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ทางบริษัทเขากำหนดเรตออกมา ดังนั้น เราจะต้องมีเงินสำหรับการลงทุนเพื่อเลี้ยงชีพเป็นล้านเลยทีเดียว
คนที่จะสามารถ “เลี้ยงชีพ” โดยการลงทุนนั้นจำเป็นที่จะต้องมีเงินทุนสูงในระดับหนึ่ง บางทีอาจจะประมาณ 200 เท่าของเงินรายเดือนที่ต้องการใช้ เช่น ในกรณีตัวอย่างที่ต้องการเงินเดือนละ 15,000 บาทจะต้องมีเงินถึง 3 ล้านบาท เป็นต้น
พูดถึงการลงทุนในหุ้น คิดว่ามันไม่ควรที่จะเป็นทางออกหรือทางเลือกของการ “ทำมาหากิน” ซึ่งเป็นเรื่องของการหารายได้มาใช้จ่ายรายเดือนเลย เนื่องจากการลงทุนในหุ้นนั้นโดยหลักแล้วมันเป็นการลงทุนที่ในระยะสั้นแล้วให้ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนเลย บ่อยครั้งมันให้ผลตอบแทนติดลบ บางทีติดต่อกันหลาย ๆ เดือนและบางช่วงให้ผลตอบแทนติดลบหลายปีติดต่อกัน ดังนั้น ผลตอบแทนในหุ้นจึงไม่เหมาะกับการนำมาใช้กับการใช้จ่ายรายเดือนที่ค่อนข้างแน่นอน หุ้นนั้นเหมาะแก่การสร้างความมั่งคั่ง ในระยะยาวเพื่อเป็น “เงินสำรอง” หรือเงินที่สะสมไว้ใช้ในยามที่เกษียณไม่ได้มีรายได้จากการทำงานประจำอย่างอื่นแล้ว | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3071 | Finance | นักลงทุนมือใหม่ควรมีวิธีคิดอย่างไรเพื่อรับมือกับอารมณ์และความผิดพลาด | null | นักลงทุนมือใหม่ มักเผชิญกับอารมณ์และความผิดพลาดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
วิธีคิดที่ช่วยรับมือ มีดังนี้:
1. ยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด:
ทุกคนย่อมทำผิดพลาด
สิ่งสำคัญคือ วิเคราะห์สาเหตุ เรียนรู้ และแก้ไข
ไม่โทษตัวเอง มองเป็นโอกาสพัฒนา
2. วางแผนการลงทุน:
กำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ และแผนการลงทุน
ศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ความเสี่ยง
กระจายความเสี่ยง ไม่ลงทุนเงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว
3. ควบคุมอารมณ์:
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
ฝึกควบคุมอารมณ์ ไม่ตัดสินใจตอนโกรธ กลัว หรือโลภ
วางแผนการลงทุนล่วงหน้า ช่วยลดการตัดสินใจผิดพลาด
4. อดทน:
ผลตอบแทนจากการลงทุนต้องใช้เวลา
อดทน รอคอยผลลัพธ์ ไม่ใจร้อน
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษาผู้มีประสบการณ์
เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
เข้าร่วมอบรม
ตัวอย่าง:
นักลงทุนซื้อหุ้น A ราคา 10 บาท ขายที่ 8 บาท ขาดทุน 2 บาท
วิเคราะห์สาเหตุ: เลือกหุ้นผิด, ซื้อตอนราคาสูง, ขายตอนราคาต่ำ
เรียนรู้: ศึกษาข้อมูล เลือกหุ้นดี ซื้อตอนราคาถูก ขายตอนราคาสูง
แก้ไข: วางแผน ศึกษา วิเคราะห์ ควบคุมอารมณ์
สรุป:
นักลงทุนมือใหม่ ควรมีวิธีคิดที่ถูกต้อง ยอมรับ เรียนรู้ ควบคุมอารมณ์ อดทน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
วิธีคิดเหล่านี้ ช่วยให้รับมือกับอารมณ์และความผิดพลาด นำไปสู่ การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3073 | Finance | เหตุผลที่คนไทยบางส่วนยังไม่คิดที่จะทำประกันชีวิต เพราะอะไร | ก. เนื่องจากยังไม่เข้าใจประโยชน์จากการทำประกัน
ข. เนื่องจากไม่มีความรู้
ค. เนื่องจากไม่มีเงิน
ง. เนื่องจากไม่มีเงินและไม่มีความรู้ | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ก.
เพราะว่า ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยพบว่า ณ สิ้นปี 2558 ประเทศไทยมีอัตราการถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตอยู่ประมาณ 38% (ประชากร 100 คน มีการถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิต 38 กรมธรรม์) ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ที่มีอัตราการถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตเกิน 100% สำหรับเหตุผลที่คนไทยบางส่วนยังไม่คิดที่จะทำประกันชีวิต เนื่องจากยังไม่เข้าใจประโยชน์จากการทำประกัน ยังมีความเข้าใจว่าประกันชีวิตเปรียบเสมือนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาโดยไม่จำเป็น หรือบางท่านทำประกันเพียงเพื่อต้องการใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเท่านั้น
ประโยชน์จากประกันชีวิตที่จะช่วยปกป้องเป้าหมายทางการเงินของท่าน
1. คุ้มครองค่าใช้จ่ายเมื่อต้องจากไปก่อนวัยอันควร นอกจากอัตราการถือครองกรมธรรม์ของไทยจะน้อยแล้ว ทุนประกัน หรือ เงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยความคุ้มครองขั้นต้น ควรมีเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวในช่วงระยะเวลาปรับตัวหลังจากเสียชีวิต (ในช่วงปรับตัว 5 ปีแรก) ตัวอย่าง กรณีค่าใช้จ่ายทั้งครอบครัวอยู่ที่เดือนละ 40,000 บาท ควรจัดเตรียมทุนประกันขั้นต่ำไว้ประมาณ 40,000 บาท x 12 เดือน x 5 ปี = 2,400,000 บาท เป็นต้น นอกจากนี้สำหรับท่านที่มีบุตรกำลังศึกษา ควรเตรียมความพร้อมในส่วนของค่าเล่าเรียนเพิ่มเติม สำหรับแบบประกันที่เหมาะสำหรับการรับมือกับค่าใช้จ่ายในอนาคตก้อนโต เราสามารถเลือกแบบประกันชั่วระยะเวลา เพื่อคุ้มครองเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องการ ข้อเสียของแบบประกันชั่วระยะเวลา คือ เบี้ยประกันที่จ่ายไปจะไม่ได้คืนหากเราไม่เสียชีวิตภายในเวลาที่รับประกัน แต่ก็มีข้อดีคือ เป็นแบบประกันที่ให้ทุนประกันสูง โดยชำระค่าเบี้ยประกันต่ำ
2. กรมธรรม์เป็นแหล่งเงินกู้ฉุกเฉิน สำหรับท่านที่มีกรมธรรม์ประกันชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์แบบสะสมทรัพย์ หรือแบบตลอดชีพ รู้ไว้เลยนะครับว่าท่านมีแหล่งเงินกู้ฉุกเฉินเรียบร้อย ให้ท่านลองเปิดกรมธรรม์ “หมวด 4 การกู้ยืมเงิน” ได้มีการพูดถึงเงื่อนไขของการกู้ยืมเงินจากกรมธรรม์ ซึ่งสามารถสรุปเป็นใจความได้ว่า ถ้าหากกรมธรรม์มีมูลค่าเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์* แล้วเราไม่ได้ใช้สิทธิขยายเวลา หรือ ใช้เงินสำเร็จ เรามีสิทธิขอกู้เงินจากบริษัทประกัน โดยบริษัทประกันส่วนใหญ่จะคิดดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยที่ใช้ในการคำนวณเบี้ยประกัน 2%** อย่างไรก็ตามกรมธรรม์แบบชั่วระยะเวลา ไม่มีมูลค่าเงินเวนคืนกรมธรรม์ จะไม่สามารถใช้เป็นแหล่งเงินกู้ฉุกเฉินได้ *มูลค่าเงินเวนคืนกรมธรรม์ ท่านสามารถตรวจสอบจากเล่มกรมธรรม์ด้วยตนเอง โดยเปิดไปที่หน้าตารางมูลค่าเวนคืนเงินสด หรือ สอบถามได้จากตัวแทนประกัน หรือ call center ของบริษัทประกัน | ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3074 | Finance | บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK มีรายได้หลักจากอะไร | ก. สินเชื่อแฟคเตอริ่ง
ข. สินเชื่อเช่าซื้อ
ค. สินเชื่อลีซซิ่ง
ง. สินเชื่อทะเบียนรถยนต์ | คำตอบได้แก่ ข. เนื่องจาก บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) มีรายได้หลักจากสินเชื่อเช่าซื้อ คิดเป็น 82% สินเชื่อส่วนใหญ่คือรถยนต์มือหนึ่งและมือสอง ลูกค้าคือบุคคลทั่วไป ในเขตกรุงเทพและรอบๆเป็นส่วนมาก รองลงมาคือในเขตภาคกลางและตะวันออก
รถยนต์มีทั้งส่วนบุคคลและเพื่อพาณิชย์ เช่นกระบะ รถตู้ รถบรรทุก รายได้รองลงมาคือ สินเชื่อแฟคเตอริ่ง คิดเป็น 4%, สินเชื่อลีซซิ่ง คิดเป็น 3% และอื่นๆ คือ สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อทะเบียนรถยนต์, สินเชื่อสำหรับผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ วงเงิน 300,000 ผ่อน 36 เดือน, บริการโอน / จดทะเบียน ต่อภาษี รถยนต์ และบริการประกันภัย | ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3075 | Finance | ข้อใดไม่ใช่ขั้นตอนหลักของการวางแผนการเงิน | a. การมีแผนปฏิบัติการ เพื่อพาตนเองไปบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจ
b. การปรับพอร์ตการลงทุน โดยอิงจากสถานะพอร์ต ณ ปัจจุบัน
c. การกำหนดเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายทางการเงินที่สำคัญจำเป็น
d. การสำรวจสถานะปัจจุบันของตนเอง | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ b. เพราะการปรับพอร์ตการลงทุน โดยอิงจากสถานะพอร์ต ณ ปัจจุบัน เป็นการปรับแผนการเงิน โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่ทำไปแล้ว คือ คิด ต่อยอดจากเดิม หรือ “Incremental Thinking”
ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นขั้นตอนหลักๆ ของการวางแผนการเงิน ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1. จะไปไหน คือ เริ่มจากการกำหนดเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายทางการเงินที่สำคัญจำเป็น
2. ตอนนี้อยู่ที่ไหน คือ การสำรวจสถานะปัจจุบันของตนเองทั้งในเชิงตัวเลข เช่น ข้อมูลทรัพย์สิน หนี้สิน กระแสเงินสด และข้อมูลอื่นๆ เช่น ประสบการณ์ ทัศนคติ ฯลฯ และ
3. จะไปอย่างไร ได้แก่ การมีแผนปฏิบัติการในด้านต่างๆ อาทิ การหา การใช้ การเก็บ การลงทุน เพื่อพาตนเองจากจุดที่อยู่ไปบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ในที่สุด
ลำพังแค่การวางแผนการเงิน “ครั้งแรก” นั้นก็ว่ายากแล้ว เพราะคนจำนวนมากยังคงมองการวางแผนการเงินว่าเป็นเพียงการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำเสร็จแล้วก็จบ หรือไม่ก็คิดว่าเป็นเพียงการซื้อผลิตภัณฑ์แค่เป็นครั้งๆ แต่สำหรับการเริ่มต้นวางแผนการเงินมาอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะพบกับสิ่งที่ยากขึ้น ซึ่งเป็นสีสันระหว่างทางของ Financial Journey เพื่อไปสู่เป้าหมายซึ่งมักจะกินเวลาหลายปี นั่นคือ “การปรับแผนการเงิน” เพราะความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่เลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ “ความเปลี่ยนแปลง” | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3076 | Finance | นักลงทุน VI ควรลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก (Modern Trade) ในประเทศไทยหรือไม่? | null | ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เหตุผล:
การเติบโตของ E-commerce:
Yes: E-commerce ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตสูง
สาเหตุ:
การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา
ตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย
No: การเติบโตของ E-commerce ในไทยยังมีข้อจำกัด
สาเหตุ:
โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ยังไม่พัฒนา
ผู้บริโภคบางกลุ่มยังนิยมซื้อสินค้าแบบดั้งเดิม
สินค้าบางประเภทไม่เหมาะกับการขายผ่าน E-commerce
ความสามารถในการแข่งขันของหุ้นกลุ่มค้าปลีก:
Yes: หุ้นกลุ่มค้าปลีกบางแห่งมีศักยภาพในการแข่งขันสูง
สาเหตุ:
มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น
มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรับมือกับ E-commerce
มีการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม
No: หุ้นกลุ่มค้าปลีกบางแห่งมีความเสี่ยงสูง
สาเหตุ:
มีหนี้สินสูง
มีการบริหารจัดการที่ไม่ดี
ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
มูลค่าหุ้น:
Yes: หุ้นกลุ่มค้าปลีกบางแห่งมีราคา undervalued
สาเหตุ:
ราคาหุ้นปรับตัวลงมาก
คาดการณ์ผลประกอบการที่สดใส
No: หุ้นกลุ่มค้าปลีกบางแห่งมีราคา overvalued
สาเหตุ:
ราคาหุ้นสะท้อนการเติบโตในอนาคตมากเกินไป
ความเสี่ยงจาก E-commerce
สรุป:
นักลงทุน VI ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก
คำแนะนำ:
ศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด
วิเคราะห์กลยุทธ์ในการรับมือกับ E-commerce
ติดตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
ประเมินมูลค่าหุ้นอย่างเหมาะสม
หมายเหตุ:
ข้อมูลนี้นำเสนอเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3077 | Finance | ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยขาขึ้นยาวนาน นักลงทุนวีไอควรปรับกลยุทธ์อย่างไร | null | ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยขาขึ้นยาวนาน นักลงทุนวีไออาจต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนี้
1. เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี:
เลือกหุ้นที่มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตสูง และมีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน
วิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียด มองหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
เลือกหุ้นที่มีผู้บริหารที่มีความสามารถ โปร่งใส และมีความรับผิดชอบ
2. กระจายความเสี่ยง:
ไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มธุรกิจ
ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ diversified portfolio
3. อดทน รอคอย:
ตลาดหุ้นมีวัฏจักรขาขึ้นและขาลง นักลงทุนวีไอต้องอดทน รอคอยจังหวะซื้อหุ้นในราคาถูก
ไม่ควรใจร้อน ซื้อขายหุ้นตามกระแส ควรมีวินัยในการลงทุน
4. เรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ:
ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุน และบริษัทที่สนใจ
ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ และความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น
ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนวีไอในยุคตลาดหุ้นขาขึ้น
กลยุทธ์เน้นคุณค่า (Value Investing): เลือกหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง มองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตสูง
กลยุทธ์การเติบโต (Growth Investing): เลือกหุ้นที่มีการเติบโตสูง มองหาหุ้นที่มีธุรกิจใหม่ ๆ disruptive innovation
กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นปันผล (Dividend Investing): เลือกหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ มองหาหุ้นที่มีผลประกอบการดี
ข้อควรระวัง:
ตลาดหุ้นมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น
ควรมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และควบคุมความเสี่ยง
สรุป:
ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยขาขึ้นยาวนาน นักลงทุนวีไอควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายความเสี่ยง อดทน รอคอย เรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3078 | Finance | บริษัทพฤกษา มีธุรกิจโรงพยาบาลชื่อว่าอะไร | 1. โรงพยาบาลบางจาก
2. โรงพยาบาล วิมุตติ อินเตอร์เนชั่นแนล
3. โรงพยาบาลบางปะกอก8
4. โรงพยาบาลบางปะกอก1 | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 2. เพราะว่า บริษัทพฤกษา บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศในแง่ของยอดขาย กำลังเข้าสู่ธุรกิจใหม่คือ “โรงพยาบาล” จากรายละเอียดที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าการลงทุนในโครงการแรกนี้มากถึง 4,900 ล้านบาท ชื่อของโรงพยาบาลคือ วิมุตติ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งถ้าดูจากชื่อ และมูลค่าโครงการแล้ว ก็คาดว่าจะเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่รับผู้ป่วยต่างชาติด้วย และดูจากการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาพร้อมกัน น่าจะหมายความว่าเป้าหมายของพฤกษาคงไม่ได้สร้างแค่โรงพยาบาลเดียว แต่น่าจะเป็นเชนโรงพยาบาลทั่วประเทศ แหล่งเงินสนับสนุนก็น่าจะมาจากธุรกิจอสังหาของพฤกษาที่ผลิตเงินสดได้ปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าถ้าพฤกษาจะสร้างโรงพยาบาลปีละ 1 โรงก็ยังได้ ที่น่าสนใจคือกำไรต่อปีของพฤกษาตอนนี้ก็ใกล้เคียงกับกำไรของ BDMS ที่มีเครือข่ายทั้งโรงพยาบาลกรุงเทพ พญาไท สมิติเวช เปาโล ทุกสาขารวมกัน จึงเรียกได้ว่าเบอร์หนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็มีศักยภาพทางการเงินที่ไม่ด้อยไปกว่าเบอร์หนึ่งของธุรกิจโรงพยาบาล | ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3079 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การลงทุนในตลาดหุ้นของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในปี 2540 | null | การลงทุนในตลาดหุ้นของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในปี 2540 ก็มีวิกฤตที่เกิดขึ้นกับเขา นั่นก็คือ การประกาศลดค่าเงินบาทของประเทศไทย เป็น 50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ส่งผลให้ปีนั้นเกิดวิกฤตเศรษญกิจที่หนักมาก ๆ เพราะส่งผลกระทบต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การล้มละลายของบริษัท และตลาดหุ้นไทยตกลงกว่า 50% ซึ่งส่งผลให้คนไทยตกงาน แทบจะไม่มีโอกาสที่จะทำเงินอีกเลย รวมทั้งตัวของ ดร.นิเวศน์ ด้วย
บทเรียนจากย่อหน้านี้
สิบปีหลังจากวิกฤติตลาดหุ้นแบล็คมันเดย์คือ ในปี 2540 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ก็พบกับวิกฤติตลาดหุ้นอีกครั้ง เมื่อไทยประกาศลดค่าเงินบาทลงและคนขาดความมั่นใจส่งผลให้ค่าเงินบาทตกลงมาอย่างหนักจาก 25 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ กลายเป็น 50 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้บริษัทจำนวนมากล้มละลาย ตลาดหุ้นตกลงมากว่า 50% ในปี 2540 และอนาคตของประเทศดูมืดมน เนื่องจากบริษัทเกือบทั้งประเทศต่างก็เป็นหนี้มากมายและไม่มีใครมี “เงินสด” ที่จะนำมาลงทุนได้เป็นเรื่องเป็นราว ผู้คนจำนวนมากรวมทั้งตัวของ ดร.นิเวศน์เองต้อง “ตกงาน” และไม่รู้ว่าจะยังหางานอื่นที่ดีหรือมีรายได้พอเลี้ยงชีพหรือดำรงสถานะความเป็นอยู่แบบเดิมได้หรือไม่ แต่ก็อย่างที่ปราชญ์บางคนกล่าวไว้ “ในวิกฤติมีโอกาส” | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3081 | Finance | วิธีการวิเคราะห์มูลค่าหุ้น 4 แบบ P/BV, P/E, PEG และ DCF อะไรคือข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี และนักลงทุนควรใช้วิธีไหนในการวิเคราะห์มูลค่าหุ้น | null | 1. P/BV (Price-to-book-value):
ข้อดี:
- คำนวณง่าย
- เหมาะกับหุ้นที่มีมูลค่าทางบัญชีสูง
- บ่งบอกถึงความถูกแพงของหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี
ข้อเสีย:
- มูลค่าทางบัญชีอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น
- ไม่เหมาะกับหุ้นที่เติบโตสูง
- ไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ผลการดำเนินงานและโอกาสในการเติบโต
2. P/E (Price-to-earnings):
ข้อดี:
- บ่งบอกถึงความถูกแพงของหุ้นเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน
- เหมาะกับหุ้นที่มีกำไรสุทธิ
- เปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันได้
ข้อเสีย:
- ไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไรและนโยบายการจ่ายเงินปันผล
- อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป especially ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของผลประกอบการ
3. PEG (Price-to-earnings-to-growth):
ข้อดี:
- พิจารณาอัตราการเติบโตของกำไรควบคู่ไปกับ P/E
- เหมาะกับหุ้นที่มีการเติบโตสูง
- บ่งบอกถึงความคุ้มค่าของหุ้นเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโต
ข้อเสีย:
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรได้ยาก
- อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป especially ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเติบโต
4. DCF (Discounted Cash Flow):
ข้อดี:
- คำนวณมูลค่าหุ้นจากกระแสเงินสดในอนาคต
- พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการเติบโต ต้นทุนเงินทุน และความเสี่ยง
- เหมาะกับหุ้นที่มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้
ข้อเสีย:
- คำนวณค่อนข้างซับซ้อน
- ข้อมูลในอดีตอาจไม่สะท้อนอนาคต
- อัตราการเติบโต ต้นทุนเงินทุน และความเสี่ยง เป็นตัวแปรที่มีความสำคัญ การคาดการณ์ที่ผิดพลาด - ส่งผลต่อผลลัพธ์อย่างมาก
สรุป: ไม่มีวิธีการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นแบบใดที่สมบูรณ์แบบ นักลงทุนควรใช้วิธีการที่หลากหลาย พิจารณาปัจจัยต่างๆ ประกอบกัน และเข้าใจความเสี่ยง ก่อนจะตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำเพิ่มเติม:
- นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทอย่างละเอียด
- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
- เปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3084 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Bottom-up SPACE | null | Bottom-up SPACE เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ จาก FINNOMENA ซึ่งหมายถึง แนวคิดสำหรับการสร้างพื้นที่การลงทุนด้วยตัวเอง โดยได้มาจากสิ่งต่าง ๆ ที่ทำด้วยตนเอง เช่น การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง การตัดสินใจซื้อขายหุ้นด้วยตัวเอง เพื่อเราประสบความสำเร็จในการลงทุน แนวคิด Bottom-up SPACE มีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจที่มีการนำแนวคิดนี้มาใช้ ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดีก็คงจะเป็น บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS บริษัทผลิตและจำหน่ายโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ประเทศไทยและญี่ปุ่นนั้น ทำการค้า ทำธุรกิจกันมาช้านาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบญี่ปุ่นตรงที่ค่าแรงถูกกว่ามาก และยังรักษาคุณภาพของงานได้ นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาขยายกิจการในไทย และคนญี่ปุ่นเองก็มีนิสัยชอบใช้ของคนในประเทศด้วยกันด้วย
Bottom-up SPACE คือ แนวคิดการสร้างพื้นที่ด้านการลงทุนด้วยตัวเอง เชื่อว่า การวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง ตัดสินใจซื้อขายด้วยตัวเองเท่านั้น ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในการลงทุนได้ โครงการนี้มีจุดประสงค์ในเรื่องของการศึกษา ไม่ได้เป็นการชี้นำ หรือเป็นการกำหนดมุมมองที่มีต่อหุ้น
บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ (Structure Steel Fabrication) สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยโครงสร้างเหล็กที่บริษัทผลิตมี 2 ประเภท คือ โครงสร้างเหล็กที่นำมาใช้เป็นเสา (Column-Box) และโครงสร้างเหล็กที่นำมาใช้เป็นคาน (Beam) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาคาร โดยมีกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 70,000 ตันต่อปี | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3085 | Finance | อะไรคือการทำ Portfolio Rebalancing? | null | อะไรคือการทำ Portfolio Rebalancing? Rebalancing หรือ การปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การปรับสัดส่วนของสินทรัพย์หลักที่วางแผนลงทุนในระยะยาว (Strategic Asset Allocation : SAA) ให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนที่ตั้งใจลงทุนไว้ในตอนแรก ด้วยวิธีคือ ขายสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักเกินสัดส่วนที่กำหนด และ ซื้อสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าที่กำหนดนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนท่านหนึ่ง มีความตั้งใจจะจัดพอร์ตโฟลิโอด้วยการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ 50% และ กองทุนรวมตราสารทุน 50% ด้วยเงินจำนวน 1 ล้านบาท ผลคือ เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ปรากฎว่า กองทุนรวมหุ้นทำผลตอบแทนได้ดี บวกไป 20% จากเงินต้น 5 แสนบาทที่ลงทุนไป เพิ่มขึ้นมาเป็น 6 แสนบาท ในขณะที่กองทุนรวมตราสารหนี้บวกแค่ 1% ขึ้นมาเป็น 505,000 บาท เงินลงทุนรวมทั้งพอร์ตคือ 600,000 + 505,000 = 1,105,000 บาท ถ้าคิดเป็นสัดส่วนระหว่างกองทุนรวมตราสารหนี้ และตราสารทุน จะเห็นว่า มีสัดส่วนหุ้นในพอร์ตสูงขึ้นมาเป็น 54.29% ในขณะที่ตราสารหนี้ลดลงเหลือ 45.70% ทั้งๆที่สินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภท เป็นบวกทั้งคู่ (แต่หุ้นบวกแรงกว่า) เมื่อเข้าสู่กระบวนการปรับสมดุลพอร์ต ก็แปลว่าต้องทำให้สัดส่วนการลงทุนโดยรวมกลับมาให้ใกล้เคียงกับสัดส่วนที่เป็นความตั้งใจในการลงทุนครั้งแรกที่จะลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ 50% และ กองทุนรวมตราสารทุน 50% ด้วยการขายกองทุนหุ้น จำนวน 47,500 บาท และนำเงินดังกล่าวเข้าลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ 47,500 บาท ก็จะทำให้สัดส่วนเงินลงทุนระหว่าง กองทุนหุ้น และกองทุนตราสารเท่ากับกองทุนละ 552,500 บาท ซึ่งเท่ากับ 50%:50% พอดี แล้วทำไมนักลงทุนถึงควรทำ Rebalancing? จริงๆแล้ว ไม่ใช่นักลงทุนทุกคนที่จำเป็นต้องทำการปรับสมดุลพอร์ต เพราะขึ้นอยู่กับลักษณะ จริตนิสัย และ ความสามารถในการรับความเสี่ยง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ถ้าพูดถึงประโยชน์ของการทำ Rebalancing ก็มีตามนี้ เป็นการทำให้พอร์ตการลงทุน กลับมาอยู่ในสัดส่วนตามความตั้งใจแรกเริ่ม เพื่อให้พอร์ตการลงทุนไม่เสี่ยงสูงจนเกินไป และไม่เสี่ยงต่ำจนเกินไป
หากกรณีที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นสูงเป็นระยะเวลานานโดยที่ไม่มีการปรับสมดุลพอร์ต หากเกิดการปรับฐานรุนแรง เช่นเกิดวิกฤตการเงิน จะทำให้พอร์ตโดยรวมมีมูลค่าลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่สูงเกินไป
โดยสรุปคือแล้ว การ Rebalancing ก็คือ การควบคุมความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนไม่ให้ผันผวนเกินกว่าที่นักลงทุนจะรับได้ ด้วยการวางแผนการจัดการปรับสมดุลอย่างเป็นระบบ | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3089 | Finance | Cost to Income Ratio คืออะไร | a. วัดประสิทธิภาพการทำกำไรจากธุรกรรมการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
b. อัตราผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น
c. อัตราการเติบโตของรายได้อื่นที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย
d. ค่าใช้จากในการดำเนินงานเทียบกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิรวมกับรายได้อื่นที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิ | ตอบข้อ d. เพราะว่า
1. ตัวเลขการเติบโตของสินเชื่อ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อรายได้ของธนาคาร ยิ่งพอร์ตสินเชื่อมีการเติบโต โอกาสที่รายได้จากดอกเบี้ยปล่อยกู้ก็มีมากตาม (ในงบการเงินจะแสดงอยู่ในรายการ เงินให้กู้ยืมและลูกหนี้) ปัจจัยสำคัญที่ต้องรู้ว่าแต่ละแบงค์ที่เราศึกษาอยู่นั้นเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ (รายใหญ่, SMEs, เช่าซื้อ, เคหะ หรืออื่นๆ) เนื่องจากการเติบโตของอุสาหกรรมแบงค์นั้นต้องพึ่งพาอัตราการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก อย่างในปีนี้ที่งานเมกะโปรเจ็กต์ที่เริ่มทยอยออกมา แบงค์ที่เน้นปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มรับเหมารายใหญ่ก็น่าจะเริ่มได้ประโยชน์จากการเติบโตของกลุ่มนี้เป็นหลัก
2. Spread เป็นการวัดประสิทธิภาพการทำกำไรจากธุรกรรมการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร โดยดูจากอัตราผลตอบแทนของดอกเบี้ยรับหักด้วยต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ยิ่งส่วนต่างมาก แบงค์ยิ่งได้ประโยชน์ บางครั้งผู้บริหารก็ใช้ตัวเลข Net Interest Margin – NIM เป็นตัวกำหนดนโยบายในแต่ละปีซึ่งก็เป็นตัวเลขคล้ายๆกัน โดยส่วนตัวผู้เขียนจะใช้ตัวเลขในงบการเงินมาบันทึกย้อนหลังดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของ อัตราดอกเบี้ยที่แบงค์ทำได้จริงแบบคร่าวๆ ดูแนวโน้มว่าผู้บริหารมีวิธีการเพิ่ม Spread ได้จากทางใด (บริหารต้นทุนฝั่งเงินกู้ให้ต่ำลง หรือเน้นติดตามคุณภาพของสินเชื่อให้ดีขึ้น)
3. อัตราการเติบโตของรายได้อื่นที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย นอกจากรายได้ดอกเบี้ยปล่อยกู้แล้ว ธนาคารยังมีรายได้จากทางอื่นอีก ตัวอย่างเช่น รายได้ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ กำไรจากการลงทุน กำไรจากธุรกิจประกัน กำไรจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตรา เป็นต้น เนื่องจากแต่ละแบงค์มีสัดส่วนรายได้ส่วนนี้แตกต่างกันไปตามสัดส่วนของธุรกิจ แต่ส่วนใหญ่รายได้จากส่วนนี้มักจะมีอัตรากำไรค่อนข้างดี ไม่เหมือนกับรายได้ดอกเบี้ยที่อัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารขึ้นอยู่กับกลไกตลาดเงินและการแข่งขันระหว่างธนาคารโดยมักอิงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของภาครัฐ
4. Cost to Income Ratio คือค่าใช้จากในการดำเนินงานเทียบกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิรวมกับรายได้อื่นที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิ ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่าย Fixed Cost อย่างเช่นค่าใช้จ่ายเงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ ยิ่งธนาคารไหนมีสาขาเยอะ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็มากตามไปด้วย ส่วนจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ธนาคารสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพขนาดไหน ยกตัวอย่างธนาคารกสิกรที่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ที่ดูเยอะ แต่ธนาคารก็มีรายได้จากส่วนที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในสัดส่วนที่มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
5. ค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ, NPL (gross) Ratio เป็นตัวเลขที่ทุกๆไตรมาสต้องมานั่งลุ้นกันดูว่ามีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้นหรือลดลงขนาดไหน ปกติในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี กลุ่มแบงค์จะเริ่มเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อซึ่งส่งผลกระทบ 2 ด้านคือ NPL มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นได้ง่านเพราะปกติสินเชื่อใหม่ๆที่ถูกเติมเข้ามาในพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ จะเหมือนกับน้ำใหม่ที่เติมใส่แก้วมาช่วยเจือจางน้ำเสียที่ปนอยู่ในแก้วให้จางลง หากแบงค์เริ่มเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อก็เหมือนกับลดปริมาณน้ำที่เติมใส่แก้วลด ทำให้พอร์ตเหลือแต่สินเชื่อเดิมๆในสัดส่วนค่อยๆสูงขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีสินเชื่อเดิมก็มีโอกาสที่การเป็นหนี้เสียมากขึ้นทำให้ต้องทำการตั้งสำรองเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นหากสนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารต้องใส่ใจกับการติดตามดูตัวเลขเศรษฐกิจพอสมควร และตรวจสอบดูตัวเลข NPL ที่ผู้บริหารตั้งเป้าไว้ว่าจะบริหารให้อยู่ในระดับไม่เกินที่เท่าไร หากมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งมีโอกาสที่แบงค์อาจต้องตั้งสำรองใหญ่ใหม่เพิ่มขึ้นอีก หรือทำการตัดขายพอร์ตที่เป็นหนี้เสียลงเพื่อลงสัดส่วน NPL ให้อยู่ในระดับที่ต้องการ (ตัวเลข NPL ปกติแต่ละธนาคารต้องทำการส่งเอกสาร ธ.พ.1.1 ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยในแต่ละไตรมาส นักลงทุนสามารถติดตามดูได้ครับ)
6. ROE อัตราผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น เป็นตัวเลขหลักที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ชอบนำมาใช้กับหุ้นกลุ่มแบงค์ โดยเอาไปใช้ดูร่วมกับค่า P/BV ของหุ้น เพื่อหาระดับความถูกหรือแพงของหุ้นตัวนั้น เนื่องจากหุ้นกลุ่มแบงค์นั้น กำไรจะมีลักษณะขึ้นลงตามรอบของเศรษฐกิจ พอเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้น | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3092 | Finance | อัตราส่วน P/E สูง แสดงว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไปหรือไม่? | null | ไม่เสมอไป เหตุผล:
อัตราส่วน P/E (Price-to-Earnings) เป็นตัววัดที่ใช้เปรียบเทียบราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วน P/E ที่สูง แสดงว่านักลงทุนยอมจ่ายเงินมากกว่าสำหรับแต่ละบาทของกำไรต่อหุ้น ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความคาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อการเติบโตของหุ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน P/E สูง ไม่ได้แปลว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย ดังนี้:
อัตราการเติบโตของกำไร: หุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูง มักจะมีอัตราส่วน P/E สูงกว่าหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรต่ำ
อุตสาหกรรม: หุ้นในบางอุตสาหกรรม มักจะมีอัตราส่วน P/E สูงกว่าหุ้นในบางอุตสาหกรรม โดยทั่วไป หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี มักจะมีอัตราส่วน P/E สูงกว่าหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
ความเสี่ยง: หุ้นที่มีความเสี่ยงสูง มักจะมีอัตราส่วน P/E สูงกว่าหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ
ตัวอย่าง:
สมมติว่ามีหุ้นสองตัว A และ B
หุ้น A: มีราคา 100 บาท กำไรต่อหุ้น 10 บาท อัตราส่วน P/E = 10
หุ้น B: มีราคา 200 บาท กำไรต่อหุ้น 20 บาท อัตราส่วน P/E = 10
จากข้อมูลข้างต้น หุ้น A และ B มีอัตราส่วน P/E เท่ากัน แต่หุ้น B มีราคาแพงกว่าหุ้น A
อย่างไรก็ตาม หุ้น B อาจจะมีราคาที่สมเหตุสมผลก็ได้
หาก หุ้น B มีอัตราการเติบโตของกำไรสูงกว่าหุ้น A
หรือ หุ้น B อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีอัตราส่วน P/E สูงกว่า
ดังนั้น นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย
ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยดูเพียงอัตราส่วน P/E เพียงอย่างเดียว
สรุป: อัตราส่วน P/E เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินมูลค่าหุ้นได้ แต่นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยดูเพียงอัตราส่วน P/E เพียงอย่างเดียว
คำแนะนำ:
ศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
เปรียบเทียบอัตราส่วน P/E กับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน
พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไร ความเสี่ยง และอุตสาหกรรม
หมายเหตุ:
ข้อมูลนี้นำเสนอเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3095 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Stop Loss และ Trailing Stop | null | Stop Loss หมายถึง การเทรดแบบมีจุดตัดขาดทุน โดยมีวิธีการเทรดที่ไม่ต้องอาศัยการดูกราฟ คือ การตัดขาดทุน หรือทำการ Let Profit Run ได้โดยไม่ต้องกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยความรู้เรื่องการตัดขาดทุนและการเลื่อนจุดตัดขาดทุนด้วย
ส่วน Trailing Stop หมายถึง การเลื่อนจุดตัดขาดทุน โดยประโยชน์ของการเทรดวิธีนี้ คือ ถ้าหุ้นที่ถืออยู่นั้นเป็นหุ้นดีเด่น เราก็สามารถเกาะหุ้นที่ถืออยู่นั้นได้ยาวนานที่สุด และถ้าจุด Trailing Stop มีไว้เลื่อนจุดตัดขาดทุน มันจะกลายเป็นจุด Taking Profit ที่ทำกำไรได้ในทันที
บทเรียนจากทั้ง 2 ย่อหน้าข้างต้น: การเทรดแบบมีจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และการเลื่อนจุดตัดขาดทุน (Trailing Stop)
นักลงทุนแทบทุกคนไม่มีปัญหาเวลาซื้อ แต่มักจะตายน้ำตื้นเวลาขายหรือ ตัดขาดทุน ตลาด ณ จุดนี้ (SET อยู่ที่ประมาณ 1550-1570 จุด) เป็นตลาดขาขึ้นในภาพใหญ่ หลายๆ คนก็อาจจะพูดว่า ซื้อหุ้นตัวไหนก็ได้ ถ้ามันลงมาหลุดราคาต้นทุนลงไปซัก 10 – 20% ก็ไม่ต้องขาย ขายทำไม ถือไปเถอะ เดี๋ยวมันก็ขึ้นกลับมาใหม่ มันขึ้นอยู่แล้ว เพราะมันคือตลาดขาขึ้น!! แต่ ยามที่ตลาดขาลงมาเยือน ถ้าไม่ขาย ดื้อถือไปเรื่อยๆ การันตีได้ว่าได้ถือหุ้น เฝ้าหุ้น เป็นปีๆ แน่นอน เผลอๆ เจ๊งหมดตัว หุ้นไม่ขึ้นมาอีกเลยก็เป็นไปได้ ดังนั้นแล้ว ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด ที่จะควรมีความรู้เรื่องการตัดขาดทุนและการเลื่อนจุดตัดขาดทุน ต่อให้ไม่มีความรู้เรื่องกราฟเทคนิค เทคโน อาชีวะ ก็ตามที ก็ตัดขาดทุนหรือสามารถ Let Profit Run ได้อย่างไม่ต้องกังวลใดๆ วิธีนี้ เมื่อเลือกหุ้นที่ชอบแล้ว เคาะซื้อปุ๊บ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอแทบทุกนาที
Trailing Stop มีประโยชน์อย่างไร:
ถ้าหุ้นที่ถืออยู่เป็นหุ้นดีเด่น ก็จะสามารถเกาะขบวนรถด่วนเหาะเวหาได้ยาวนานที่สุด ถ้ามีวินัยเทรดที่ดีเยี่ยม มีจุด Stop Loss และ Trailing Stop ที่ดีแล้วนั้น จะมี Limit Loss but unlimited gain หรือจะกำหนดเงินที่คุณมีโอกาสเสียได้ แต่ก็จะมีโอกาสทำเงินได้มหาศาลเช่นกัน จากจุด Trailing Stop ที่มีไว้เลื่อนจุดตัดขาดทุน ก็จะกลายเป็นจุด Taking Profit ทำกำไรในทันที | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3096 | Finance | นักลงทุนรายย่อยควรใช้ Trade Setup เพียงแบบเดียวในการเทรดหุ้นหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
ความคาดหวังจากผลตอบแทน: นักลงทุนแต่ละคนมีความคาดหวังจากผลตอบแทนที่แตกต่างกัน
ลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ: คาดหวังผลตอบแทน 5-15% ต่อปี เหมาะกับ Trade Setup แบบออมหุ้น หรือ Dollar Cost Average
ลงทุนเพื่อสร้างรายได้เสริม: คาดหวังผลตอบแทน 5% ต่อเดือน หรือ 60% ต่อปี เหมาะกับ Trade Setup แบบ Run Trend, Swing Trade, Channel Trade
ลงทุนเพื่อเป็นรายได้หลัก: คาดหวังผลตอบแทน 10-20% ต่อเดือน เหมาะกับ Trade Setup แบบ Day Trade, Swing Trade, Run Trend
ระยะเวลาการลงทุน: Trade Setup แต่ละแบบเหมาะกับระยะเวลาการลงทุนที่ต่างกัน
- ระยะยาว: เหมาะกับ Trade Setup แบบออมหุ้น, Dollar Cost Average, Run Trend
- ระยะสั้น: เหมาะกับ Trade Setup แบบ Swing Trade, Channel Trade, Day Trade
- สภาวะตลาด: Trade Setup แต่ละแบบมีประสิทธิภาพในการเทรดที่แตกต่างกันในสภาวะตลาดที่ต่างกัน
- ขาขึ้น: เหมาะกับ Trade Setup แบบ Run Trend, Swing Trade, Channel Trade
- ขาลง: เหมาะกับ Trade Setup แบบ Day Trade (Scalping), Sniper Trade
สรุป: นักลงทุนรายย่อยควรเลือกใช้ Trade Setup ที่เหมาะสมกับ ความคาดหวังจากผลตอบแทน ระยะเวลาการลงทุน และสภาวะตลาด การใช้ Trade Setup เพียงแบบเดียวอาจไม่เพียงพอ จำกัดโอกาสในการทำกำไร เพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน
ตัวอย่าง:
นักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทน 5% ต่อเดือน ไม่ควรใช้ Trade Setup แบบออมหุ้นเพียงอย่างเดียว
นักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้น ไม่ควรใช้ Trade Setup แบบ Run Trend เพียงอย่างเดียว
นักลงทุนรายย่อยควรศึกษา Trade Setup หลากหลายรูปแบบ
เลือกใช้ Trade Setup ที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ปรับ Trade Setup ให้เหมาะกับสไตล์การเทรดของตัวเอง
การใช้ Trade Setup หลากหลายรูปแบบ
เพิ่มโอกาสในการทำกำไร
กระจายความเสี่ยงในการลงทุน | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3097 | Finance | จากแนวคิด "ปรัชญาความพอเพียง" มีกลยุทธ์ทางการเงินใดบ้างที่นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างยั่งยืน | null | จากแนวคิด "ปรัชญาความพอเพียง" นักลงทุนสามารถนำกลยุทธ์ทางการเงินไปประยุกต์ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างยั่งยืนดังนี้
1. ลงทุนอย่างมีสติ มุ่งเน้นความพอประมาณ:
กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล
วางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้
กระจายความเสี่ยงลงทุนในหลายสินทรัพย์
ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใจร้อน
หลีกเลี่ยงการลงทุนที่เสี่ยงสูง
ควบคุมอารมณ์ในการลงทุน
2. มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว:
มองข้ามความผันผวนระยะสั้น
มุ่งเน้นการเติบโตของเงินทุนในระยะยาว
เลือกสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว
อดทนรอคอยผลตอบแทน
3. บริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ:
จดบันทึกรายรับรายจ่าย
วางแผนการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด
ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ
เตรียมเงินสำรองไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ลงทุนในเงินออมและประกันชีวิต
4. เลือกบริษัทที่มีธรรมาภิบาล:
ลงทุนในบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี
โปร่งใส ตรวจสอบได้
มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
เลือกบริษัทที่มีผลประกอบการดี
มีโอกาสเติบโตในอนาคต
5. ลงทุนเพื่อสร้างคุณค่า:
เลือกบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการที่มีคุณค่า
ช่วยพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม
เลือกบริษัทที่มีนโยบาย ESG
เลือกบริษัทที่มีจริยธรรม
6. เรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ:
ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการเงินและการลงทุน
ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและการเงิน
พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
7. แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น:
แบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการเงิน
ช่วยเหลือผู้อื่นให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน
ร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืน
โดยสรุป:
ปรัชญาความพอเพียงเป็นแนวทางที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ นักลงทุนที่ยึดหลักความพอเพียง จะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องเสี่ยงมากเกินไป และสามารถสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
นักลงทุนสามารถเลือกซื้อหุ้นที่มีนโยบาย ESG (Environmental, Social, and Governance)
นักลงทุนสามารถเลือกซื้อกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนแบบคัดกรอง (ESG Screening)
นักลงทุนสามารถลงทุนในธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
นักลงทุนสามารถบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลที่สนับสนุนแนวทางปรัชญาความพอเพียง
ปรัชญาความพอเพียงเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีต่อความไม่แน่นอนในอนาคต นักลงทุนที่ยึดหลักนี้ จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างยั่งยืน | กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การบริหารสินทรัพย์ | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3098 | Finance | MEGA มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคตหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
1. เทรนด์การเติบโตของตลาดอาหารเสริม:
ตลาดอาหารเสริมในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 49,300 ล้านบาทในปี 2565 และยังมีอัตราการเติบโตสูงถึง 11.3%
เทรนด์ผู้สูงอายุมีมากขึ้น ทำให้ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เน้นการรับประทานอาหารที่เสริมสุขภาพ แทนที่จะป่วยแล้วไปรักษา
Mega มุ่งเน้นธุรกิจ Brand ซึ่งหมายถึง วิตามิน อาหารเสริม ยา ภายใต้ Brand Mega We Care และ Brand อื่นๆ ซึ่งตรงกับเทรนด์การเติบโตของตลาด
2. ความแข็งแกร่งของธุรกิจ:
Mega เป็นผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดอาหารเสริมในช่องทางร้านขายยา
Mega มี Brand ที่แข็งแกร่ง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและ loyalty สูง
Mega มีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับร้านขายยา ช่วยให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย
Mega มีกำไรขั้นต้นสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน
Mega มีธุรกิจกระจายสินค้า (Maxxcare) และ ธุรกิจ OEM ช่วยสร้างรายได้เสริมและกระจายความเสี่ยง
3. กลยุทธ์การขยายธุรกิจ:
Mega ร่วมทุนกับ Malee เพื่อเข้าสู่ตลาด Functional Drink ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ
Mega มุ่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีประชากรจำนวนมาก
Mega ลงทุนใน R&D เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ
4. ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ:
รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยดูแลสุขภาพมากขึ้น
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว ส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของ MEGA ดังนี้:
- การแข่งขันในตลาดอาหารเสริมที่รุนแรง
- การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอาหารเสริม
- ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
โดยสรุป:
MEGA มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต จากเทรนด์การเติบโตของตลาดอาหารเสริม ความแข็งแกร่งของธุรกิจ กลยุทธ์การขยายธุรกิจ และปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_3099 | Finance | หุ้นเมกะเทรนด์หุ้นใด กล่าวถึงคำว่า Internet of thing ระหว่าง ธุรกิจขนคน, ธุรกิจสื่อสาร หรือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ | null | ธุรกิจสื่อสาร
เพราะ ธุรกิจสื่อสาร เป็นหุ้นเมกะเทรนด์ที่กล่าวถึงคำว่า Internet of thing ธุรกิจสื่อสารแม้การแข่งขันจะสูงขึ้นมาก แต่โอกาสที่จะเติบโตก็ยังมีอยู่มาก Internet of thing หรือ “สิ่งของคุยกัน” สำหรับคนคุยกันคงจะอิ่มเต็มที่แล้วในประเทศไทย แต่การที่สิ่งของจะคุยกันเพิ่งเริ่มต้น และยุคข้อมูลข่าวสาร การติดต่อสื่อสารจะแผ่ขยายเพิ่มขึ้นอีกมากมาย การลงทุนในหุ้นสื่อสารดีๆ มีอนาคตซักตัวถือเป็นเรื่องน่าสนใจ
ส่วนธุรกิจขนคน หรือกิจการรถไฟฟ้า กำลังเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจ และจะมีบทบาทกับชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ อนาคตรถไฟฟ้าจะต่อกันหลายสาย อำนวยความสะดวกให้กับผู้คนมากขึ้น จะมีร้านค้าไปตั้ง มีป้ายโฆษณาให้เช่า แถมคอนโดมิเนียมจะผุดขึ้นแข่งกันใกล้สถานีรถไฟฟ้า ทำให้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป ภาพในอดีตที่ถนนหนทางจะเป็นตัวกำหนดที่อยู่อาศัย จะถูกเปลี่ยนเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่จะกลายเป็นตัวกำหนดพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คนในเมืองแทน
และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แนวโน้มของคนที่ชอบอยู่อาศัยในที่สะดวกสบาย เดินทางสะดวกด้วยระบบราง ใกล้แหล่งพักผ่อน ใกล้ที่ทำงาน ใกล้แหล่งอาหาร สำหรับสิ่งที่ตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยในยุคคนเมืองคน การเติบโตของห้องชุดในเขตเมืองเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหุ้นที่เกี่ยวกับการก่อสร้างคอนโดมิเนียมก็เติบโตตามไปด้วย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมทำเลดีติดสถานีรถไฟฟ้า จะเป็นเทรนด์ใหม่มาแรง ดังนั้น ถ้ามีเงินกระจายสู่ธุรกิจ ซื้อหุ้นประเภทนี้คงจะดีไม่น้อย | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |