ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_2192
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่คนไม่เล่นหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
null
เหตุผลที่คนไม่เล่นหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน ข้อแรก คือ เป็นกิจการที่ไม่สามารถมีความได้เปรียบที่ยั่งยืน ผู้เล่นทุกรายจะสามารถแสวงหามาได้ แม้ว่าจะเข้ามาเล่นได้ไม่นาน จะเกิดขึ้นส่วนใหญ่โดยเฉพาะหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ทำบ้านขาย ข้อที่ 2 คือ เป็นธุรกิจที่คนไม่ซื้อซ้ำ จะไม่ซื้ออีกเป็นเวลาสิบปี มีการลูกค้าใหม่ทุกปี ทำเลที่ตั้งเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อัตราดอกเบี้ยในการกู้เงินมีผลต่อความสามารถในการซื้อบ้านของลูกค้า และข้อสุดท้าย คือ มักจะมีวงจรของความเฟื่องฟูและการตกต่ำที่รุนแรง ซึ่งจะเกิดขึ้นบ่อยตามสภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่ผันแปรในอดีต บทเรียนจากย่อหน้านี้ เหตุผลที่คนไม่เล่นหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ข้อแรก หุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ทำบ้านขายนั้น โดยธรรมชาติมักจะเป็นกิจการที่ไม่สามารถจะมีความได้เปรียบที่ยั่งยืน แทบทุกปัจจัยในการแข่งขันนั้นผู้เล่นทุกรายสามารถแสวงหามาได้แม้ว่าจะเข้ามาเล่นไม่นาน ตัวอย่างเช่น ปัจจัยในการแข่งขันที่สำคัญมากที่สุดเช่นเรื่องของทำเลที่ตั้งนั้น ทุกบริษัทสามารถหาซื้อมาได้ด้วยราคาต้นทุนเท่า ๆ กัน ไม่มีใครผูกขาดทำเลดี ๆ ได้คนเดียว เรื่องของการออกแบบบ้านหรือคอนโดเองนั้น ทุกบริษัทสามารถจ้างสถาปนิกที่เก่งกาจมีความสามารถได้เท่า ๆ กันและก็ต้องจ่ายค่าจ้างเท่า ๆ กัน ไม่มีใครออกแบบได้เก่งกว่าใคร เรื่องของการผลิตหรือการก่อสร้างเองนั้น แทบทุกบริษัทก็จ้างคนภายนอกมาก่อสร้าง ดังนั้น ไม่มีใครได้เปรียบทางด้านต้นทุน ในบางครั้งบางบริษัทก็ลงทุนสร้างบ้านเองด้วยเทคโนโลยีที่เป็น “พรีแฟ็บ” ผลิตชิ้นส่วนเช่นโครงบ้านและฝาผนังจากโรงงานทำให้สามารถลดต้นทุนและเวลาก่อสร้างได้ แต่นี่ก็มักจะเป็นการได้เปรียบแค่ชั่วคราว เพราะหลังจากนั้น ถ้ามันดี คู่แข่งหรือคนอื่นก็ทำตามได้เสมอ บางบริษัทเคยพยายามสร้างความสามารถในการแข่งขันผ่านบริการหลังการขายหรือคุณภาพของการสร้างบ้านที่ “เหนือกว่า” แต่นี่ก็เช่นเดียวกัน คู่แข่งทำตามได้ไม่ยาก นอกจากนั้น ปัจจัยเรื่องเหล่านี้ก็อาจจะมีน้ำหนักให้คนซื้อบ้านไม่มากพอที่จะทำให้เกิดบริษัทที่เหนือกว่าบริษัทอื่น ดังนั้น ในธุรกิจนี้ เราจึงมักจะไม่เห็น “ผู้ชนะ” อย่างถาวรจริง ๆ ทุกคน “เสมอ” กัน ไม่มีซุปเปอร์คอมพานีหรือบริษัทที่ “สุดยอด” ข้อสอง ธุรกิจพัฒนาบ้านขายนั้น เป็นธุรกิจที่คนไม่ซื้อซ้ำ ซื้อไปแล้วส่วนใหญ่ก็จะไม่ซื้ออีกเป็นเวลาสิบ ๆ ปีหรือตลอดไป บริษัทต้องหา “ลูกค้าใหม่” ทั้งหมดทุกปี นอกจากนั้นทำเลที่ตั้งของโครงการก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ซึ่งบางทีบริษัทก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีลูกค้ามากน้อยแค่ไหน และอีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยการกู้เงินที่มีผลอย่างสูงต่อความสามารถในการซื้อบ้านของลูกค้า ทั้งหมดนี้ทำให้การคาดการณ์ในเรื่องของผลประกอบการทำได้ไม่แม่นยำ ทำให้นักลงทุนมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในธุรกิจอื่นที่ขายสินค้าให้กับบุคคลทั่วไปที่สามารถคาดการณ์ยอดขายได้ดีกว่าเพราะลูกค้ามักจะซื้อซ้ำและการตัดสินใจซื้อขึ้นอยู่กับปัจจัยน้อยอย่างเช่นขึ้นอยู่กับรายได้ของตนเป็นหลัก เป็นต้น ผลก็คือ หุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายให้กับบุคคลธรรมดามักจะต้องถูก Discount หรือให้มูลค่าลดลงเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่มากกว่า ข้อสุดท้าย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น มักจะมี Cycle หรือวงจรของความเฟื่องฟูและการตกต่ำที่รุนแรง ซึ่งบ่อยครั้งก็เกิดขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่มักจะมีความผันแปรไปเรื่อย ๆ ในอดีตเองนั้น มีการพูดกันว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นมักจะเกิดวิกฤติแทบจะ “ทุก 7 ปี” เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าในอดีตนั้น อัตราดอกเบี้ยก็มักจะขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ได้นิ่งมายาวนานเหมือนในปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจเองก็ขึ้นลงแรงเช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ การจ้างงาน การลงทุน การเติบโตของจำนวนแรงงานและคนชั้นกลางที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองซึ่งส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นต้น ทั้งหมดนี้ทำให้คนที่ลงทุนในหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ “กลัว” และมักจะไม่กล้าให้ Value หรือมูลค่าหุ้นที่สูง และนั่นทำให้หุ้นอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างบ้านขายมีราคาที่ถูกมากแทบจะเรียกว่าถูกที่สุดในหุ้นกลุ่มหลัก ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2199
Finance
คนไทยควรออมเงินเพื่อเกษียณอายุอย่างน้อย 20 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปีหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: - อายุขัยที่ยืนยาว : คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 77 ปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 84 ปีภายในปี 2593 หมายความว่า เงินออมที่เตรียมไว้สำหรับเกษียณจะต้องเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายเป็นเวลา 20-30 ปี - ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น: ค่าครองชีพในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นสูงมากในช่วงวัยชรา - ระบบสวัสดิการที่ไม่แน่นอน: ระบบสวัสดิการของรัฐบาลไทย เช่น กองทุนประกันสังคม อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในยามเกษียณ - ผลตอบแทนจากเงินออมที่ไม่แน่นอน: ผลตอบแทนจากเงินออมในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินฝากออมทรัพย์ อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในยามเกษียณ - ความเสี่ยงด้านสุขภาพ: ความเสี่ยงด้านสุขภาพในวัยชรามีมากขึ้น - ตัวอย่าง: สมมติว่าค่าใช้จ่ายรายปีของคุณหลังเกษียณอยู่ที่ 300,000 บาท คุณควรมีเงินออมอย่างน้อย 6 ล้านบาท (300,000 บาท x 20) เงินออม 6 ล้านบาท สามารถนำมาใช้จ่ายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน (6,000,000 บาท / 300 เดือน) เงิน 20,000 บาทต่อเดือน อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดในยามเกษียณ - ข้อเสนอแนะ: เริ่มต้นออมเงินเพื่อเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ ลงทุนเงินออมในรูปแบบที่เหมาะสมกับความเสี่ยง ปรึกษานักวางแผนการเงินมืออาชีพ -สรุป : การออมเงินเพื่อเกษียณอย่างน้อย 20 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปี เป็นแนวทางที่ช่วยให้มั่นใจว่าคุณจะมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในยามเกษียณ แม้จะมีอายุยืนยาว ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และระบบสวัสดิการที่ไม่แน่นอน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2206
Finance
จงบอกหุ้นที่โดนกฎหมาย Antitrust
null
ต้นเดือนมิถุนายน 2562 ตลาดถูกบังคับให้สนใจกับ “กฏหมายป้องกันการผูกขาด” หรือ Antitrust หลังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) และคณะกรรมาธิการการค้า (FCT) พุ่งเป้าการตรวจสอบไปที่ดาวเด่นกลุ่มเทคโนโลยี ส่งผลให้หุ้นทุกตัวในกลุ่มนี้ ร่วงลงเฉลี่ย 5% ภายในวันที่มีข่าว Antitrust เป็นกฏหมายป้องกันไม่ให้บริษัทใหญ่ แสวงหากำไรด้วยการกีดกันคู่แข่งหรือผูกขาดตลาด โดยผู้ที่ถูกตัดสินว่าผูกขาด จะต้องจ่ายค่าปรับและแก้ไขปัญหา หุ้นที่โดนกฎหมาย Antitrust - IBM เคยเจอกับข้อกล่าวหาในช่วงปี 1969 เพราะมีสัดส่วนการตลาด Mainframe 70% บริษัทต้องต่อสู้ในประเด็นกฏหมายถึง 13 ปี แม้สุดท้ายจะไม่ถูกดำเนินคดี แต่การเติบโตของยอดขาย Hardware ก็ลดลงจาก 20% เหลือไม่ถึง 10% - AT&T โดนกฏหมาย Antitrust เล่นงานในปี 1974 เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาด 70% ในธุรกิจสื่อสาร ศาลตัดสินให้แตกบริษัทออกในปี 1984 สุดท้ายการเติบโตของยอดก็ขายลดลงจาก 10% ในช่วงก่อนหน้าเหลือเพียง 4% - Microsoft คุมตลาด OS 97% ในช่วงปี 2000 พบกับคำสั่งให้แยกบริษัทและห้ามขาย Software การต่อสู้ในเชิงกฏหมายเกิดขึ้นยาวนานถึงปี 2012 ท้ายที่สุดบริษัทก็ล้มลุกคลุกคลานหลังช่วงวิกฤติดอทคอม และถูกซื้อขายที่ P/E เพียง 0.6 เท่าของช่วงก่อนที่จะเจอปัญหา - Google เข้าข่าย Antitrust และจ่ายค่าปรับในยุโรปไปแล้วกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ - Facebook ถูกมองว่าเป็นธุรกิจ Social Network ที่ผูกขาดแถมยังเคยปล่อยข้อมูลลูกค้าให้รั่วไหล อย่างไรก็ดี บริษัทดูจะรู้ตัว และนับตั้งแต่ต้นปี 2562 ก็ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบของ FCT ไว้แล้วถึง 3 พันล้านดอลลาร์
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2209
Finance
อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการ "จับผิด" หุ้น?
null
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการ "จับผิด" หุ้น: 1. กระจายความเสี่ยง : ลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มอุตสาหกรรม ลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ 2. ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: - วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท - วิเคราะห์งบการเงิน ติดตามข่าวสาร 3. เลือกหุ้นที่มีราคาเหมาะสม : - เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าพื้นฐาน - วิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค 4. ลงทุนระยะยาว : -ไม่ควรซื้อขายหุ้นบ่อย - มองข้ามความผันผวนระยะสั้น 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ : - ปรึกษานักวางแผนการเงิน - ปรึกษากองทุนรวม ตัวอย่างกลยุทธ์: 6. ลงทุนในหุ้น 30 ตัว กระจายใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรม 7. ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี 8. ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า 9. ซื้อทองคำเก็บไว้ ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: - นักลงทุนควรมีวินัยในการลงทุน - ควรควบคุมอารมณ์ - ควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_221
Finance
Supply Shock คืออะไร
null
Supply Shock คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จนทำให้อุปทานของสินค้านั้น ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งท้ายที่สุด ก็จะส่งผลกระทบมายังราคาของสินค้า โดย Supply Shock มี 2 รูปแบบ คือ - Negative Supply Shock คือ เหตุการณ์ที่ทำให้ อุปทานลดลง ส่งผลให้ ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น - Positive Supply Shock คือ เหตุการณ์ที่ทำให้ อุปทานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ราคาสินค้าลดลง โดยเหตุการณ์ที่ทำให้เกิด Supply Shock มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น - เหตุการณ์ภัยธรรมชาติอย่าง น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว ทำให้โรงงานผลิตในพื้นที่นั้น ๆ เกิดความเสียหายจนไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อได้ - เกิดสงครามระหว่างประเทศ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าบางชนิดหยุดลงกลางคัน โดยเหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้อุปทานของสินค้าลดลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะทำให้ราคาของสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน อาจไม่ได้เกิดขึ้นกับสินค้าที่ใช้โดยตรง แต่เกิดขึ้นกับสินค้าชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันดิบ และน้ำมันปาล์ม เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสินค้าโภคภัณฑ์ จะเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าชนิดอื่น หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง “ต้นทุนในการผลิต” ที่สำคัญ และเมื่อต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง จนผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนเหล่านี้ไม่ไหว ภาระนี้ก็จะถูกผลักไปยังผู้บริโภค ผ่านการขึ้นราคานั่นเอง ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ เหตุการณ์ที่ทำให้เกิด Negative Supply Shock หรือ เหตุการณ์ที่ทำให้อุปทานลดลง ซึ่งก็จะส่งผลให้ราคาของสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งความจริงแล้ว Supply Shock ยังมีอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ให้ผลตรงข้ามกัน นั่นคือ Positive Supply Shock หรือ เหตุการณ์ที่ทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ราคาของสินค้าลดลง ยกตัวอย่างเช่น การคิดค้นเทคโนโลยี, นวัตกรรมใหม่ หรือคิดค้นกระบวนการผลิตใหม่ที่เพิ่มกำลังการผลิตให้กับโรงงานเป็นอย่างมาก ในระยะเวลาอันสั้น หรือสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2211
Finance
ต้นแบบแท็คติคสำหรับ Trade War ของโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นนำมาใช้กับคู่แข่ง ประเทศจีนหรือญี่ปุ่น
null
ประเทศจีน ต้นแบบแท็คติคสำหรับ Trade War ของโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นนำมาใช้กับคู่แข่ง ประเทศจีนหรือญี่ปุ่น คำตอบคือจีน เพราะ การแก้ปัญหาด้านการเงินของบริษัทที่เกิดย่ำแย่จากผลกระทบของราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นและการนำเข้าของรถยนต์ญี่ปุ่น ด้วยการขอให้กระทรวงการคลังสหรัฐช่วยค้ำประกันหุ้นกู้ที่บริษัทออกมาจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป ท่ามกลางการต่อต้านจากหลายฝ่าย ว่าไม่ควรให้รัฐเข้ามาอุ้มบริษัทที่จะเจ๊ง ทว่าทางการสหรัฐก็ตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือด้านการเงินต่อไคร์สเลอร์ จนทำให้บริษัทมีเงินพอที่จะออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยที่ฮิตที่สุด ได้แก่ รถจี๊บ (Jeep Grand Cherokee) ที่มีพื้นที่ใช้สอยโอ่โถ่ง ด้วยการใช้ภาพลักษณ์ตัวเองที่ดูจริงใจ โดยใช้สโลแกนที่เปรียบเหมือนในยุคนี้ว่า ‘เชื่อไอคอคค่า’ ต่อจากนั้น ด้วยความที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับภาครัฐ ไอคอคค่าก็สามารถล๊อบบี้ทางการได้อีกครั้ง ให้อนุญาตผ่านสเป็ค ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางเมื่อเทียบกับขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้ ในปี 1983 เพื่อออกรถรุ่น minivan จนรถยนต์ดังกล่าวติดตลาดในเวลาต่อมา พร้อมๆ กันนี้ ไอคอคค่าก็ล๊อบบี้ให้รัฐบาลสหรัฐตั้งกำแพงภาษีรถยนต์ประเภทกระบะจากญี่ปุ่น 25% เพื่อสกัดการแข่งขันของต่างชาติอีกแรงหนึ่งด้วย ซึ่งตรงนี้ กลายเป็นต้นแบบแท็คติคสำหรับ Trade War ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่นำมาใช้กับคู่แข่งอย่างจีนในปัจจุบัน ทั้งหมด
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_222
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "ดอกเบี้ยทบต้น คืออะไร ?" ให้หน่อยค่ะ
ดอกเบี้ยทบต้น คืออะไร ? ดอกเบี้ยทบต้น หมายถึง ดอกเบี้ย หรือผลตอบแทนที่คิดจากเงินต้น บวกกับดอกเบี้ยที่เราได้รับจากงวดก่อนหน้า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยกให้ “ดอกเบี้ยทบต้น” เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก โดยบอกว่าคนที่เข้าใจมัน จะหาเงินจากมันได้ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจมัน จะต้องจ่ายเงินให้กับมัน ยกตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ย หากเรานำเงิน 100,000 บาทไปลงทุน และได้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี แบบที่หนึ่ง ดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น เราจะได้ดอกเบี้ยปีละ 1,500 บาทเท่ากันทุกปี รวมดอกเบี้ย 10 ปี เท่ากับ 15,000 บาท โดยตัวอย่างของ ดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น คือ ดอกเบี้ยจากพันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, เงินปันผลที่ได้จากหุ้นหรือกองทุน แบบที่สอง ถ้าเป็นดอกเบี้ยแบบทบต้น สิ้นปีที่ 1 ได้ดอกเบี้ย 1,500 บาท สิ้นปีที่ 1 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 101,500 บาท สิ้นปีที่ 2 ได้ดอกเบี้ย 1,522.5 บาท สิ้นปีที่ 2 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 103,022.5 บาท สิ้นปีที่ 3 ได้ดอกเบี้ย 1,545.3 บาท สิ้นปีที่ 3 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 104,567.8 บาท และทบแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อสิ้นปีที่ 10 เงินต้นรวมดอกเบี้ยจะเป็น 116,054 บาท นับเฉพาะดอกเบี้ยเท่ากับ 16,054 บาท เทียบกับแบบแรกที่ได้ 15,000 บาท โดยสูตรการคำนวณเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยแบบทบต้น คือ เงินต้นรวมดอกเบี้ย = เงินต้น x (1+อัตราดอกเบี้ยต่อปี) ยกกำลังจำนวนปี โดยตัวอย่างของดอกเบี้ยแบบทบต้น คือเงินฝากออมทรัพย์ รวมถึงการลงทุนที่มีหลักการคล้ายกับดอกเบี้ยทบต้น เช่น - การซื้อกองทุนรวมชนิดสะสมมูลค่า ซึ่งผลตอบแทนจะทบรวมเข้าไปในกองทุนเรื่อย ๆ แทนที่จะถูกจ่ายเป็นปันผลออกมา - การนำดอกเบี้ยหรือเงินปันผลที่ได้รับ ไปลงทุนต่อที่อัตราผลตอบแทนเท่าเดิม นอกจากในด้านรายรับแล้ว พลังของดอกเบี้ยทบต้นก็ยังส่งผลต่อด้านรายจ่ายด้วยเช่นกัน ซึ่งเราก็สามารถแบ่งได้ 2 แบบเหมือนเดิม ยกตัวอย่างเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเรามีหนี้ 100,000 บาท ถูกคิดดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี และเรายังไม่ได้จ่ายคืนเงินต้นเลย แบบที่หนึ่ง ดอกเบี้ยไม่ทบต้น เราก็จะเสียดอกเบี้ย ปีละ 1,500 บาท เท่ากันทุกปี โดยตัวอย่างของการคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น คือ ดอกเบี้ยกู้ซื้อรถยนต์ Close Ad แบบที่สอง คำนวณแบบดอกเบี้ยทบต้น สิ้นปีที่ 1 เสียดอกเบี้ย 1,500 บาท สิ้นปีที่ 2 เสียดอกเบี้ย 1,522.5 บาท สิ้นปีที่ 3 เสียดอกเบี้ย 1,545.3 บาท โดยตัวอย่างของการคิดดอกเบี้ยแบบทบต้น คือ ดอกเบี้ยบัตรเครดิต และดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน อย่างที่ได้บอกไปว่าดอกเบี้ยแบบทบต้น จะคำนวณจากฐานเงินต้นใหม่เสมอ นั่นแปลว่า ยิ่งเราจ่ายเงินต้นคืนช้าเท่าไร ดอกเบี้ยก็จะยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราจ่ายเงินต้นคืนมาก ก็จะทำให้ฐานเงินต้นใหม่มีค่าน้อยลง และดอกเบี้ยก็จะน้อยลงตามไปด้วย
ดอกเบี้ยทบต้น หมายถึง ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่คิดจากเงินต้น บวกกับดอกเบี้ยที่เราได้รับจากงวดก่อนหน้า ยกตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ย หากนำเงิน 100,000 บาทไปลงทุน และได้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี แบบที่หนึ่ง ดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น จะได้ดอกเบี้ยปีละ 1,500 บาทเท่ากันทุกปี รวมดอกเบี้ย 10 ปี เท่ากับ 15,000 บาท โดยตัวอย่างของ ดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น คือ ดอกเบี้ยจากพันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, เงินปันผลที่ได้จากหุ้นหรือกองทุน แบบที่สอง ถ้าเป็นดอกเบี้ยแบบทบต้น สิ้นปีที่ 1 ได้ดอกเบี้ย 1,500 บาท สิ้นปีที่ 1 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 101,500 บาท สิ้นปีที่ 2 ได้ดอกเบี้ย 1,522.5 บาท สิ้นปีที่ 2 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 103,022.5 บาท สิ้นปีที่ 3 ได้ดอกเบี้ย 1,545.3 บาท สิ้นปีที่ 3 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 104,567.8 บาท และทบแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อสิ้นปีที่ 10 เงินต้นรวมดอกเบี้ยจะเป็น 116,054 บาท นับเฉพาะดอกเบี้ยเท่ากับ 16,054 บาท เทียบกับแบบแรกที่ได้ 15,000 บาท โดยสูตรการคำนวณเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยแบบทบต้น คือ เงินต้นรวมดอกเบี้ย = เงินต้น x (1+อัตราดอกเบี้ยต่อปี) ยกกำลังจำนวนปี ตัวอย่างของดอกเบี้ยแบบทบต้น คือ เงินฝากออมทรัพย์ รวมถึงการลงทุนที่มีหลักการคล้ายกับดอกเบี้ยทบต้น เช่น - การซื้อกองทุนรวมชนิดสะสมมูลค่า ซึ่งผลตอบแทนจะทบรวมเข้าไปในกองทุนเรื่อย ๆ แทนที่จะถูกจ่ายเป็นปันผลออกมา - การนำดอกเบี้ยหรือเงินปันผลที่ได้รับ ไปลงทุนต่อที่อัตราผลตอบแทนเท่าเดิม นอกจากในด้านรายรับแล้ว พลังของดอกเบี้ยทบต้นก็ยังส่งผลต่อด้านรายจ่ายด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้ 2 แบบเหมือนเดิม ในตัวอย่างเดิม แต่เปลี่ยนเป็นมีหนี้ 100,000 บาท ถูกคิดดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี และยังไม่ได้จ่ายคืนเงินต้นเลย แบบที่หนึ่ง ดอกเบี้ยไม่ทบต้น จะเสียดอกเบี้ย ปีละ 1,500 บาท เท่ากันทุกปี ตัวอย่างของการคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น คือ ดอกเบี้ยกู้ซื้อรถยนต์ แบบที่สอง คำนวณแบบดอกเบี้ยทบต้น สิ้นปีที่ 1 เสียดอกเบี้ย 1,500 บาท สิ้นปีที่ 2 เสียดอกเบี้ย 1,522.5 บาท สิ้นปีที่ 3 เสียดอกเบี้ย 1,545.3 บาท ตัวอย่างของการคิดดอกเบี้ยแบบทบต้น คือ ดอกเบี้ยบัตรเครดิต และดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน สรุป ดอกเบี้ยแบบทบต้น จะคำนวณจากฐานเงินต้นใหม่เสมอ แปลว่า ยิ่งจ่ายเงินต้นคืนช้าเท่าไร ดอกเบี้ยก็จะยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าจ่ายเงินต้นคืนมาก ก็จะทำให้ฐานเงินต้นใหม่มีค่าน้อยลง และดอกเบี้ยก็จะน้อยลงตามไปด้วย
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2221
Finance
การซื้อรถยนต์มือหนึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ค่าเสื่อมราคา: มูลค่าของรถยนต์จะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อใช้งานไป ระยะเวลา 5 ปีแรก มูลค่ารถยนต์อาจลดลง 50% หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับรุ่น ยี่ห้อ และสภาพรถ ค่าใช้จ่ายแฝง: นอกจากค่าผ่อนรถแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ค่าน้ำมัน ประกันรถ พรบ. ภาษี ค่าจอดรถ ค่าล้างรถ ค่าบำรุงรักษา ฯลฯ ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ การโจรกรรม และความเสียหายอื่นๆ ผลตอบแทน: ไม่ได้เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทางการเงิน ทางเลือกอื่น: มีทางเลือกอื่นที่สะดวก ประหยัด และคุ้มค่ากว่า เช่น การใช้รถสาธารณะ การเช่ารถ หรือการใช้บริการ Grab/Uber ตัวอย่าง: สมมติว่า คุณซื้อรถยนต์มือหนึ่งราคา 1 ล้านบาท ใช้งานไป 5 ปี มูลค่ารถเหลือ 5 แสนบาท หมายความว่า คุณเสียค่าเสื่อมราคาปีละ 1 แสนบาท ค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ ประมาณปีละ 50,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดปีละ 150,000 บาท สรุป: การซื้อรถยนต์มือหนึ่งไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่า เป็นการใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างโดยประมาณ การตัดสินใจซื้อรถยนต์ควรพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ความจำเป็นในการใช้รถ สถานะทางการเงิน และความชอบส่วนตัว
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2223
Finance
Libra จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหรือไม่?
null
มีโอกาสสูง เหตุผล: - Libra เป็นเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ Libra ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีความผันผวนต่ำ โดยอ้างอิงกับตะกร้าของสกุลเงินหลักและสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งจะทำให้ Libra น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและผู้ใช้ทั่วไป - Libra มีศักยภาพในการแทนที่เงิน fiat บางส่วน Libra อาจถูกนำมาใช้แทนเงิน fiat (เงินที่ออกโดยรัฐบาล) ในบางธุรกรรม โดยเฉพาะธุรกรรมออนไลน์ สิ่งนี้จะส่งผลต่ออุปสงค์ของเงิน fiat และอาจนำไปสู่การลดลงของอัตราดอกเบี้ย - ธนาคารกลางอาจต้องปรับนโยบายการเงิน ธนาคารกลางอาจต้องปรับนโยบายการเงินเพื่อตอบสนองต่อ Libra ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางอาจต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดแรงจูงใจในการถือครอง Libra - Libra อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน Libra อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน if it becomes widely used. ธนาคารกลางจะต้องติดตามการใช้งาน Libra อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ตัวอย่าง สมมติว่า Libra กลายเป็นที่นิยมอย่างมาก ผู้คนจะเริ่มแปลงเงิน fiat ของตนเป็น Libra สิ่งนี้จะลดอุปสงค์ของเงิน fiat และอาจนำไปสู่การลดลงของอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางอาจกังวลว่า Libra อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน ธนาคารกลางอาจตอบโต้โดยการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดแรงจูงใจในการถือครอง Libra ข้อควรพิจารณา ผลกระทบของ Libra ต่ออัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับการใช้งาน Libra นโยบายของธนาคารกลาง และสภาพเศรษฐกิจโลก ยังมีข้อไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Libra ตัวอย่างเช่น ยังไม่ชัดเจนว่า Libra จะได้รับการกำกับดูแลอย่างไร สรุป Libra มีศักยภาพที่จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ธนาคารกลางจะต้องติดตามการพัฒนาของ Libra อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินตาม
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2224
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ กฎเหล็ก 3 ข้อ ที่จะทำให้ทฤษฎีมาร์ติงเกลสัมฤทธิ์ผล
null
ทฤษฎีมาร์ติงเกล จะมีกฎเหล็กที่ทำให้สัมฤทธิ์ผล 3 ข้อ ข้อแรกคือ ทฤษฎีนี้จะคำนวณหาโอกาสความน่าจะเป็นจากการทายได้ถูกมาก่อน แต่ถ้าเล่นเงื่อนไขให้ซับซ้อนมากขึ้น ก็จะสามารถสร้างเงื่อนไขพิเศษขึ้นมาได้ ข้อที่ 2 คือ เงินหน้าตักที่ได้จากคำนวณมาอย่างดี ต้องถามว่าจะมีเพียงพอในการเล่นได้กี่ครั้ง และข้อสุดท้ายก็คือ จะหยุดเล่นเมื่อไรก็ได้ ถ้าได้เงินครบตามที่ต้องการ โดยสามารถเลือกจบเกมได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องห้ามจบเกม บทเรียนจากย่อหน้านี้ มีอยู่วิธีหนึ่งที่ไม่ว่าโอกาสจะออกเป็นเลขอะไร ก็ไม่ต้องสนใจ ขอแค่รักษาสายป่านเอาไว้ก็พอ วิธีนี้เรียกว่า การบริหารเงินหน้าตัก จากเทคนิคการแทงทบ นั่นเอง หรือในภาษาคณิตศาสตร์เราจะเรียกมันว่า ทฤษฎีมาร์ติงเกล (Martingale) กฎเหล็ก 3 ข้อ ที่จะทำให้วิธีแทงทบนี้สัมฤทธิ์ผลก็คือ 1. คำนวณหาโอกาสความน่าจะเป็นหรือสถิติของการจะทายได้ถูกมาก่อน เช่น ถ้าทายตัวเลขของลูกเต๋ามา 1 หน้า โอกาสก็จะเป็น 1 ใน 6 ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ลงเล่นจะเสียเปรียบมาก (เพราะโอกาสถูกมีน้อยกว่าครึ่ง) แต่ถ้าเล่นเงื่อนไขให้มันซับซ้อนขึ้นมาอีก ก็สามารถสร้างเงื่อนไขพิเศษขึ้นมา เช่น ทำเป็น แทง 1 จ่าย 2 ซึ่งก็จะทำให้โอกาสที่จะชนะเฉลี่ยได้กลายเป็น 2 ใน 6 เป็นต้น 2. เงินหน้าตักนั้น ได้คำนวณมาแล้วอย่างดี ว่ามีเพียงพอจะเล่นได้กี่ครั้ง หรือถ้ามีมากมายไม่จำกัด ทำให้เล่นได้นับครั้งไม่ถ้วน ก็ถือว่าเงื่อนไขนี้ผ่านได้เลย 3. คนที่แทงทบจะหยุดเล่นเมื่อไรก็ได้ เมื่อได้เงินครบตามที่ตัวเองต้องการก็สามารถเลือกที่จะจบเกมได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ห้ามจบเกมเอาดื้อๆ
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2225
Finance
ประกันควบการลงทุน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากประกันชีวิตแบบใหม่ ใช่หรือไม่ใช่
null
ไม่ใช่ เพราะยูนิตลิงค์ (Unit Linked) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประกันควบการลงทุน” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากประกันชีวิตแบบดั้งเดิม (Traditional Product) โดยมุ้งเน้นที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการ ความยืดหยุ่นในการนำเบี้ยประกันไปลงทุน โดยสามารถเลือกรูปแบบการลงทุนตามความต้องการของผู้ถือกรมธรรม์ในแต่ละช่วงจังหวะชีวิต และ ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยการนำเบี้ยประกันที่ได้รับ (หลังหักค่าใช้จ่าย) ส่วนใหญ่จะไปลงทุนในกองทุนซึ่งมีระดับความเสี่ยง และความคาดหวังต่อผลตอบแทนที่หลากหลายกว่า แบบประกันรูปแบบอื่นๆ ความยืดหยุ่นในด้านความคุ้มครอง สะสมทรัพย์ และ การเข้าถึงเงินของผู้ถือกรมธรรม์ โดยสามารถปรับเพิ่มหรือลดทุนประกัน ปรับเพิ่มหรือลดเบี้ยประกัน ถอนเงินบางส่วน หรือหยุดจ่ายเบี้ยบางช่วงเวลา เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน ตามแต่ละช่วงจังหวะเวลาของชีวิต ที่อาจมีความไม่แน่นอนและต่างจากที่วางแผนทางการเงินไว้ในตอนต้น ซึ่งความยืดหยุ่นเหล่านี้ เป็นสิ่งที่แบบประกันอื่นๆ ทำได้ยาก ความโปร่งใสในกลไกการทำงานของผลิตภัณฑ์ประกันภัยโดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรเบี้ยประกัน มูลค่ากรมธรรม์ และ ผลประโยชน์ ณ ช่วงต่าง ๆ เพื่อที่ผู้ถือกรมธรรม์สามารถตัดสินใจต่อเหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อสถานะทางการเงิน หรือความคุ้มครองได้ง่ายดายและเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงรับรู้ว่าเงินที่ตนจ่ายนั้นถูกนำไปใช้จ่าย และส่งผลต่อผลประโยชน์ของตนอย่างไร และทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของกรมธรรม์ประเภทนี้ ที่ประกันชีวิตแบบดั้งเดิม (Traditional Product) ทำไม่ได้
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2229
Finance
กลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets เหมาะสมสำหรับการลงทุนหลังเกษียณหรือไม่?
null
ใช่ กลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets เหมาะสมสำหรับการลงทุนหลังเกษียณ เหตุผล: 1. กลยุทธ์นี้ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน โดยแบ่งเงินออกเป็น 3 ตะกร้า ตะกร้าแรก (Cash Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ตะกร้าที่สอง (Conservative Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง ตะกร้าที่สาม (Aggressive Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง กลยุทธ์นี้ช่วยให้มั่นใจว่ามีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณ ตะกร้าแรกใช้สำหรับค่าใช้จ่ายใน 2-3 ปีแรก ตะกร้าที่สองใช้สำหรับค่าใช้จ่ายหลังจาก 2-3 ปีแรก ตะกร้าที่สามใช้สำหรับค่าใช้จ่ายในระยะยาว กลยุทธ์นี้ช่วยให้เงินเติบโต ตะกร้าที่สองและสามมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตะกร้าแรก เงินในตะกร้าที่สามจะไหลไปยังตะกร้าที่สอง เพื่อรักษาเงินต้นและสร้างผลตอบแทน 2 ข้อดีของกลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets: - กระจายความเสี่ยง - มั่นใจว่ามีเงินเพียงพอ สำหรับใช้จ่าย - เงินเติบโต 3. ข้อเสียของกลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets: - ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ - อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ตัวอย่าง : นายสมชาย เกษียณอายุ 60 ปี มีเงินออม 10 ล้านบาท เขาใช้กลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets ตะกร้าแรก: 3 ล้านบาท ลงทุนในเงินฝากออมทรัพย์ ตะกร้าที่สอง: 5 ล้านบาท ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ ตะกร้าที่สาม: 2 ล้านบาท ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น นายสมชายจะถอนเงินจากตะกร้าแรก 200,000 บาทต่อปี เพื่อใช้จ่ายใน 2-3 ปีแรก หลังจาก 2-3 ปี เขาจะถอนเงินจากตะกร้าที่สอง 300,000 บาทต่อปี และเขาจะถอนเงินจากตะกร้าที่สาม 400,000 บาทต่อปี กลยุทธ์นี้ช่วยให้นายสมชายมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณ และเงินของเขามีโอกาสเติบโต สรุป : กลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets เป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการลงทุนหลังเกษียณ กลยุทธ์นี้ช่วยกระจายความเสี่ยง มั่นใจว่ามีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่าย และเงินเติบโต แต่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2230
Finance
อยากซื้อหุ้นโรงพยาบาลลงทุนยาว ๆ ต้องเริ่มอย่างไรบ้าง
null
ประการแรก “ประเภทของหุ้นโรงพยาบาล” ก่อนอื่นขอแบ่งหุ้นโรงพยาบาลออกเป็นสองประเภทคร่าว ๆ ได้แก่ โรงพยาบาลที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ เช่น BDMS BH และประเภทที่สอง คือ โรงพยาบาลที่เน้นลูกค้าท้องถิ่น เช่น VIBHA CHG เป็นต้น หลายคนอาจแย้งว่า มันคลุมเครือ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ โรงพยาบาลแต่ละแห่งเขาก็มีนโยบายจับลูกค้าที่เน้นเป็นพิเศษ การที่ตั้งใจจะเลือกว่าจะลงทุนกับโรงพยาบาลประเภทไหนนั้น จะทำให้สามารถจับจุดวิเคราะห์ได้ถูก เพราะหากเป็น รพ. ที่เน้นต่างชาติ ก็ต้องดูภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ เป็นสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น หุ้นโรงพยาบาล ที่จับลูกค้ากลุ่มตะวันออกกลาง พอประเทศในกลุ่มมีปัญหาเศรษฐกิจ ก็มาใช้บริการน้อยลงนั่นเอง ประการที่สอง … “ดูตัวเลขทางการเงิน” ตัวเลขทางการเงินที่ดูกันหลัก ๆ ก็คือ ความถูกแพงของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไร หรือ PE , มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น เมื่อเทียบกับราคา หรือ P/BV , อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ROE การเปรียบเทียบจากตัวเลขทางการเงิน ช่วยบอกคร่าว ๆ ได้ว่า หุ้นตัวไหนถูก หรือแพง และหุ้นตัวไหนให้ผลตอบแทนกลับมาดีกว่ากัน โดยอาจเปรียบเทียบเบื้องต้นกับหุ้นหลาย ๆ ตัวก่อน จากนั้นเมื่อเลือกมาได้ ค่อยมาเจาะดูย้อนหลังก็สามารถทำได้ ประการที่สาม … “ดูการเติบโต” โรงพยาบาลหลายแห่งมีเป้าหมายการเติบโตแตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างโรงพยาบาลที่เคยเติบโตจากกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้ 1) กลยุทธ์การเติบโต ด้วยการควบรวมกิจการ กลยุทธ์นี้เคยใช้ได้ผลดีในอดีต โรงพยาบาลที่อยากโตเร็ว ๆ ก็ใช้วิธีการซื้อโรงพยาบาลอื่น แล้วนำมาปรับปรุงใหม่ สวมแบรนด์ของเขาเข้าไป ซึ่งได้ผลดี 2) กลยุทธ์สร้างโรงพยาบาลใหม่ในพื้นที่เฉพาะ กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยเวลา ต้องก่อสร้างโรงพยาบาลตั้งแต่เริ่มต้น สร้างเสร็จก็ต้องรอให้คนไข้เต็ม จนเลยจุดคุ้มทุน ใครที่ถือหุ้นโรงพยาบาลที่ขยายตัวจากการสร้างตึกใหม่ ก็ต้องรอกันหน่อย เพราะหลังจากสร้างเสร็จก็มีค่าเสื่อมราคา ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมามากมาย 3) กลยุทธ์จับกลุ่มเฉพาะทาง กลยุทธ์นี้น่าสนใจยิ่ง มีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจับกลุ่มคนจีนที่อยากมีลูก ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็ได้ผลดี ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และมากไปกว่านั้น เขายังไปเปิดศูนย์เฉพาะทางที่เมืองจีน นั่นคือโรงพยาบาล EKH นั่นเอง 4) กลยุทธ์อื่น ๆ ยังมีกลยุทธ์อีกมากมายหลายรูปแบบ เข่น สร้างศูนย์พักคนชรา รับลูกค้าประกันสังคม และอื่น ๆ เป็นต้น
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2235
Finance
นักลงทุนควรมีวิธีการอย่างไร ในการลงทุนระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูง
null
1. การกระจายความเสี่ยง: แทนที่จะลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว หรือลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นหลายตัว กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ 2. การเลือกหุ้น: ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตในระยะยาว เลือกหุ้นที่มีราคาเหมาะสม 3. การลงทุนระยะยาว: อดทนรอคอยผลตอบแทน ไม่ควรใจร้อน ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ 4. ศึกษาหาความรู้: ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ 5. ควบคุมอารมณ์: ไม่ควรตัดสินใจลงทุนด้วยอารมณ์ ควบคุมความโลภและความกลัว ตัวอย่างวิธีการลดความเสี่ยง: - การใช้กลยุทธ์ Stop-loss: กำหนดจุดตัดขาดทุน เพื่อจำกัดความเสี่ยงกรณีราคาหุ้นร่วงลง - การใช้กลยุทธ์ Dollar-cost averaging: ลงทุนเงินจำนวนเท่าๆ กันเป็นประจำทุกเดือน โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น - การใช้กลยุทธ์ Value investing: เลือกซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ตัวอย่างเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยง: - กองทุนรวมตราสารหนี้: ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำ - กองทุนรวมผสม: ลงทุนในทั้งหุ้นและตราสารหนี้ - กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์: ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ข้อควรระวัง: - การลงทุนมีความเสี่ยง - ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การลงทุนระยะยาวเพื่อผลตอบแทนทบต้นนั้นเป็นวิธีการที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยง นักลงทุนควรมีวิธีการที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูง
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2238
Finance
แนวทางการวางแผนเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน มีอะไรบ้าง
null
1. วิเคราะห์แหล่งเงินได้ รายได้หลักนั้น สามารถสร้างรายได้ให้กับเราได้นานแค่ไหน อนาคตเทคโนโลยีสามารถเข้ามาเปลี่ยนหรือทำลาย อาชีพ หรือธุรกิจได้หรือไม่ มีแหล่งรายได้อื่นที่เป็นรายได้พิเศษ หรืออีกช่องทางหรือไม่ (การมีรายได้ทางเดียว เสี่ยงที่สุด ) 2. ตรวจเช็กสุขภาพประจำปี ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ หากสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัว ก็จะมีผลกระทบต่อการทำงาน มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในครอบครัว 3. เริ่มต้นด้วยการเขียน รายรับ รายจ่าย ทั้งหมดที่มี แยก “รายจ่ายคงที่” ซึ่งรายจ่ายคงที่ไม่ควรเกิน 35% ของรายได้ เช่น ค่าบ้าน ค่ารถ “รายจ่ายผันแปร” เช่น ค่ากิน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง “รายจ่ายเพื่อการออมหรือลงทุน” เช่น เงินฝากประจำ กองทุนรวม ประกันออมทรัพย์ แล้วนำรายรับ – รายจ่าย = คงเหลือ ? ระวังอย่าให้ติดลบ 4. บันทึกรายรับ รายจ่ายประจำวัน : ตั้งเป้าหมายการใช้จ่าย เช่น ค่ากิน ในแต่ละวัน ว่าไม่เกินเท่าไหร่ และมีรายจ่ายตัวไหนที่สามารถลด หรือประหยัดได้ 5. สำรวจทรัพย์สิน หนี้สิน ทั้งหมดที่มี : สินทรัพย์ แบ่งเป็น 3 ประเภท - สินทรัพย์สภาพคล่อง (เพื่อเป็นเงินสำรองหมุนเวียน) เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร - สินทรัพย์ส่วนตัว (ทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) เช่น บ้านที่อยู่อาศัย รถ เครื่องประดับ - สินทรัพย์เพื่อการลงทุน (ทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้) เช่น ที่ดิน กองทุนรวม หุ้น ทองคำ ในส่วนของสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ควรมี หนี้สิน แบ่งเป็น 2 ประเภท - หนี้สินระยะสั้น ( ไม่เกิน 1 – 3 ปี ) เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนสินค้า - หนี้สินระยะยาว ( มากกว่า 3 ปี ) เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ *ทรัพย์สิน / หนี้สิน = ? ประเมินทรัพย์สิน และ หนี้สิน อย่าให้มีหนี้สินเกิน 50% ของทรัพย์สิน 6. สำรวจกรมธรรม์ประกันภัยและประกันชีวิต ที่มีอยู่ สรุปผลประโยชน์แต่ละกรมธรรม์ที่มี สัญญาครบหรือสิ้นสุดเมื่อไหร่ คุ้มครองและครอบคลุมอะไรบ้างในแต่ละกรมธรรม์ - ด้านประกันทรัพย์สิน เช่น ประกันอัคคีภัยบ้านที่อยู่อาศัย ประกันภัยรถ - ด้านประกันชีวิต เช่น วงเงินประกันคุ้มครองมีเท่าไหร่ เงินออม / ทุนประกันที่เตรียมไว้ – ภาระหนี้สิน ค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัว ทุนการศึกษาบุตร เป็นต้น = ? ประกันสุขภาพแผนที่ทำ กับ ค่ารักษาพยาบาล ณ ปัจจุบัน วงเงินเพียงพอหรือไม่ เพื่อวางแผนเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่ครอบคลุม
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2240
Finance
การลงทุน ทำเล เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรลงทุนใช่หรือไม่
null
ใช่ ทำเลถือเป็นหนึ่งในสุดยอดสินทรัพย์ในการลงทุนมาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ปัญหาในยุคปัจจุบันคือการจะหาทำเลที่ดีจริงๆ นั้นยากเหลือเกิน ของดีมักจะอยู่ในมือของนักลงทุนรายใหญ่ เพราะถ้ามีร้านอาหารหรือร้านค้าตั้งอยู่ทำเลดีแล้วนับว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง แต่หากไม่มีโอกาสเข้าถึงที่ดินหรือทำเลดีๆ เหล่านั้นได้ การจะทำการค้าหรือเปิดธุรกิจใหม่เรียกได้ว่าเสียเปรียบไปแล้วตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าการลงทุนแล้วทางออกย่อมไม่ได้มีทางเดียวหนทางที่นักลงทุนธรรมดาสามารถทำกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ทำเลดีๆ ได้นั้นมีอยู่จริง การลงทุนในกองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะการลงทุนคล้ายๆ กองทุนรวมถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ใครๆ ก็ทำกำไรจากอสังหาฯ สุดยอดทำเลได้ ยกตัวอย่างเช่น กองทรัสต์ AIMCG ลงทุนในสินทรัพย์อสังหาฯ ทำเลดีเยี่ยม 3 ที่ด้วยกัน 1. 72 คอร์ทยาร์ด (72 Courtyard) แหล่งรวมร้านนั่งชิวและไลฟ์สไตล์ยามค่ำคืน ใจกลางทองหล่อของนักธุรกิจใหญ่ที่เรารู้จักกันดีคือเฮียฮ้อ แห่งRS นั่นเอง จุดเด่นของ 72 คอร์ทยาร์ดคือ อัตราการเช่า 100% พื้นที่ทองหล่อถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่แพงที่สุดในประเทศไทย ที่ดิน 1 ไร่สามารถมีราคาสูงได้ถึงไร่ละ 600 ล้านบาท ด้วยความที่ศักยภาพในการใช้จ่ายของชาวไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นในทองหล่อสูงมาก จึงทำให้ธุรกิจร้านอาหารและบันเทิงในพื้นที่ประสบความสำเร็จมากมาย อัตราการเช่าของพื้นที่ให้เช่าเฉลี่ยสูงถึง 90% พูดภาษาชาวบ้านคือหัวบันไดไม่แห้ง มีคนมาเช่าตลอดธุรกิจดีไม่ดีอาจเปลี่ยนไปได้ แต่ทำเลที่ดียากมากที่จะเปลี่ยนแปลง นี่คืออีกจุดที่โดดเด่นของการเล่น “อสังหาฯ”
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2242
Finance
การลงทุนในแร่หายาก (Rare Earth) ในปัจจุบัน เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทั่วไปหรือไม่?
null
ไม่เหมาะสม เหตุผล: - ความเสี่ยงด้านราคา แร่หายากมีราคาผันผวนสูง ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายของรัฐบาลจีน ภัยธรรมชาติ และ เทคโนโลยีใหม่ - ความเสี่ยงด้านกฎหมาย กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่หายากมีความเข้มงวด ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจนี้ - ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม กระบวนการทำเหมืองแร่หายากอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางน้ำและดิน - สภาพคล่องต่ำ ตลาดแร่หายากยังมีขนาดเล็ก illiquidity - ความรู้และประสบการณ์ การลงทุนในแร่หายากจำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจนี้ ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม นักลงทุนทั่วไปอาจเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์เกี่ยวกับแร่หายากได้ยาก การลงทุนในแร่หายากควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในบริษัทต่างๆ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและธุรกิจแร่หายากอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป การลงทุนในแร่หายากมีความเสี่ยงสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ ประสบการณ์ และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง คำแนะนำ นักลงทุนทั่วไปควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแร่หายากอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และควรพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในแร่หายาก แทนการลงทุนโดยตรง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2246
Finance
ช่วยสรุปบทความ คุยกับคุณนิมิต วิทย์ศลาพงษ์ (DaddyTrader):ใครว่าเทรดเดอร์หุ้นต้องลงทุนระยะสั้นเสมอไป
เราคงเคยได้ยินกันมาตลอดว่า เริ่มลงทุนลองตลาดช่วงแรกๆ เนี่ย ต้อง “เสียค่าเล่าเรียน” ก่อน แน่นอนว่าคุณนิมิตก็หนีไม่พ้นกรณีนี้ “ต้องบอกว่า พอร์ตช่วงแรกที่เล่น เงินเก็บพังไปหมดเลย หุ้นตัวละ 3 บาท เหลือ 16 สตางค์ ก็เจ๊งไปเลย หลังจากนั้น ก็มีความฮึดว่าไม่ได้แล้ว ต้องมีความรู้ ตอนแรกที่เล่นเนี่ยคือไม่มีความรู้เลย ซื้อหนังสือพิมพ์หุ้นแล้วมานั่งอ่าน ช่วงนั้นไม่ค่อยมีหนังสือดีๆ เกี่ยวกับหุ้นในประเทศไทย เลยต้องซื้อหนังสือต่างประเทศอ่าน เราชอบและดันไปถูกโฉลกกับการลงทุนประเภทวิเคราะห์ทางเทคนิค ดูกราฟ ก็ศึกษามาเรื่อยๆ ถ้ามีวิทยากรจากต่างประเทศมาก็จะไปเรียนกับเขา แล้วก็มีศึกษาเองด้วยส่วนหนึ่ง” เห็นเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เชิงเทคนิค หลายคนอาจจะสงสัยว่า คุณนิมิตเริ่มต้นด้วยการลงทุนแนวเทคนิคอล (Technical) ก่อนเลยหรือเปล่า? จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะคุณนิมิตบอกว่า อันที่จริงได้ลองลงทุนเชิงพื้นฐาน แต่ว่าไม่เข้ามือ ก็เลยเปลี่ยนแนว “ตอนเรียนป. โท บริหารธุรกิจ (MBA) ก็คิดว่าการลงทุนในหุ้นสามารถดูพื้นฐานได้ แต่อาจจะเพราะยังไม่มีความรู้ ยังไม่เจอหนังสือดีๆ ช่วงนั้น ถ้าเป็นช่วงนี้ละก็ง่ายมาก หากมีใครขอให้ช่วยแนะนำหนังสือดีที่ควรอ่านถ้าจะลงทุนในระยะยาว เราก็จะบอกว่า ไปอ่านหนังสือ The Intelligent Investor เล่มนี้คือแนะนำจริงๆ เราน่าจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ถ้าได้อ่านนะ วันนี้ก็ไม่มี DaddyTrader แล้ว (หัวเราะ) เพราะไม่ต้องมาสนใจการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้ว จะเป็นแนวพื้นฐานไปเลย แต่ตอนแรกเราลงทุนพื้นฐานแล้วไม่เวิร์คไง เลยต้องหาทางมาลงทุนด้านเทคนิค” คุณนิมิตเล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนนี้ก็มีคนเข้ามาแนะนำเทคนิคเยอะแยะ แนะนำวิธีใช้งานนู่นนี่นั่น แต่ปรากฏว่า หนังสือที่อ่านกับสิ่งที่กูรู หรือผู้เชี่ยวชาญสมัยก่อนบอกนั้นกลับไม่ตรงกัน “เราเลยสนใจอยากรู้ จึงศึกษาไปเรื่อยๆ จนค่อนข้างมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง ว่าแนวทางที่เราใช้อยู่น่าจะทำเงินได้ โชคดีว่าที่ผ่านมาสามารถทำเงินได้จริงๆ แต่อาจเป็นเพราะว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ สิบกว่าปีแล้วที่หุ้นเป็นขาขึ้น ดีมาตลอด แต่ระหว่างที่หุ้นขึ้นหรือลงก็ตาม มันก็มีพฤติกรรมที่หุ้นลงหนักๆ เหมือนกันในรอบหลายปีที่ผ่านมา เราก็ยังรอด เลยค่อนข้างมั่นใจว่าแนวทางเทคนิคที่เราใช้อยู่นั้นน่าจะใช้ได้ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ใช้แนวทางเทคนิคอย่างเดียว มีแนวทางผสมผสานด้วย อย่างการใช้ Futures, Options แล้วก็จะมีกลยุทธ์บางอย่างที่ไม่ได้พึ่งพาเรื่องทิศทางราคา หรือว่าเรื่องชาร์ต (Chart) อย่างเดียว ต้องมีหลายๆ อย่างผสมกัน” ในมุมมองของคุณนิมิต การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นมีข้อดีตรงที่นักลงทุนมีชาร์ตกราฟ อินดิเคเตอร์ซึ่งมีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด เดี๋ยวนี้ยิ่งง่ายกว่าสมัยก่อนมาก เพราะมีโปรแกรมและเครื่องมือพร้อม ทุกโบรกเกอร์มีให้หมด นอกโบรกเกอร์ก็ยังมีเครื่องมือให้พร้อม ข้อมูลหาง่ายและ Real Time ฉะนั้นเราจึงสามารถดูและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจได้
เราคงเคยได้ยินกันมาตลอดว่า เริ่มลงทุนลองตลาดช่วงแรกๆ เนี่ย ต้อง “เสียค่าเล่าเรียน” ก่อน แน่นอนว่าคุณนิมิตก็หนีไม่พ้นกรณีนี้ เขามีประสบการณ์เสียเงินเก็บหุ้นในช่วงแรก ซึ่งเล่นหุ้นตัวละ 3 บาทและเหลือเพียง 16 สตางค์ หลังจากนั้น ตั้งใจเรียนรู้ ซื้อหนังสือต่างประเทศอ่าน เริ่มทดลองวิเคราะห์ทางเทคนิค และเรียนรู้จากวิทยากรต่างประเทศ เพื่อประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้น คุณนิมิตบอกว่า อันที่จริงได้ลองลงทุนเชิงพื้นฐาน แต่ว่าไม่เข้ามือ ก็เลยเปลี่ยนแนว ตอนศึกษาป.โท MBA คิดว่าการลงทุนในหุ้นดูพื้นฐานได้ แต่ความรู้ยังจำกัด หาหนังสือที่เป็นประโยชน์ลำบาก แต่ช่วงนี้มีหนังสือชื่อ "The Intelligent Investor" ช่วยเรื่องลงทุนระยะยาว คุณนิมิตเล่าให้ฟังว่า หนังสือที่อ่านกับสิ่งที่กูรู หรือผู้เชี่ยวชาญสมัยก่อนบอกนั้นกลับไม่ตรงกัน เนื่องจากสนใจและศึกษาต่อเนื่อง เข้าใจแนวทางที่ใช้ในการลงทุน มีความมั่นใจในการทำเงินจากการลงทุนหลายปี ถึงแม้ตลาดหุ้นจะมีความผันผวน แต่แนวทางเทคนิคที่ใช้ยังคงมีประสิทธิภาพ นอกจากการใช้แนวทางเทคนิค ยังผสมผสานกับ Futures และ Options มีกลยุทธ์ที่ไม่พึ่งพาทิศทางราคา และใช้เครื่องมือชาร์ต (Chart) หลายอย่าง คุณนิมิตเห็นว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีข้อดีในด้านการใช้ชาร์ตกราฟและอินดิเคเตอร์ ที่มีข้อมูลครบถ้วน การใช้โปรแกรมและเครื่องมือที่มีพร้อมทำให้การวิเคราะห์ง่ายขึ้น เขาเห็นว่าข้อมูลเป็น Real Time ทำให้เขาสามารถตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น
การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2247
Finance
จะยกตัวอย่าง กรณีศึกษาเด็กสาวจบปริญญาหมาดๆคนหนึ่ง กับการใช้บัตรเครดิต
null
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กสาวจบปริญญาหมาดๆคนหนึ่ง ได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนย่านใจกลางกรุงเทพฯ งานนี้ถือเป็นงานแรกสำหรับเธอ เธอตั้งใจไว้ว่า เงินเดือนเดือนแรกของเธอจะให้ผู้ซึ่งเป็นบุพพการีทั้งจำนวนเพื่อถือเป็นการตอบแทนที่ท่านได้เลี้ยงดูจนมาถึงทุกวันนี้ ความฝันของเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากหนุ่มสาวในวัยเดียวกันมากนัก แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจ ในช่วงแรกๆเธอคิดจะหาประสบการณ์จากการทำงานไปซักพัก ค่อยเริ่มคิดว่า ในอนาคตข้างหน้าอาจจะออกไปเปิดร้านกาแฟเล็กๆ เป็นนายตัวเอง ไม่ต้องทำงานให้ใคร แต่ไปๆมาๆก็ลังเลว่าพนักงานเงินเดือนก็ไม่ได้มีความเสี่ยงมากเท่ากับการประกอบกิจการของตัวเอง ถึงจะไม่รวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่น่าจะเครียดกว่าออกไปทำธุรกิจส่วนตัวแน่ๆ คิดไปคิดมา เธอก็ดึงสติกลับมาได้ว่า มันเป็นเรื่องของอนาคต ในเมื่อตอนนี้ยังมีเวลา ก็ใช้เวลาในวันนี้ให้ดีที่สุดไปก่อน แล้วค่อยไปว่ากันทีหลังเมื่อถึงเวลา ผ่านไป ๓ ปี จากเด็กสาวก็กลายเป็นหญิงสาว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ เธอยังคงทำงานที่เดิม และยังตั้งใจจะใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุดเหมือนวันนั้นที่เคยตั้งใจไว้ สิ่งที่ยังเหมือนเดิมในวันแรกที่เธอเข้าทำงานก็คือ เธอยังไม่มีเงินเก็บ แต่ตอนนี้เธอยังไม่รู้สึกว่าเดือดร้อนอะไรครับ สาเหตุที่เธอไม่ได้เดือนร้อนอะไรก็เพราะ เธอคิดว่าในช่วงแรกของการทำงาน ใครๆก็บอกว่าเงินเดือนยังน้อย ไม่จำเป็นต้องรีบเก็บ ไม่จำเป็นต้องรีบออม พอโตขึ้น ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น เดี๋ยวเราก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเอง พอรายได้เพิ่มขึ้น วันนั้นเราต้องเก็บเงินได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ จากโพลสำรวจของตัวผมเอง ได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เงินเดือนเพิ่มขึ้น แล้วเงินเก็บจะเพิ่มขึ้นตามเงินเดือนนะ เช่นเดียวกัน ไม่มีใครการันตีได้ว่า การที่เราทำความดี แล้วเราจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะทั้งการมีเงินเก็บ และการบรรลุธรรมขั้นสูง ต่างก็ไม่ได้เกิดจากเหตุและปัจจัยเพียงแค่อย่างเดียว แต่เกิดจากเหตุและปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทำไมเงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่เงินเก็บในบัญชีธนาคารยังไม่เพิ่มขึ้น? หนึ่งตัวอันตรายที่คอยดึงเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ของเราโดยไม่รู้ตัวก็คือ บัตรเครดิต (Credit Card) นั้นเอง ผมไม่ได้บอกว่าบัตรเครดิตมีแต่ข้อเสียนะครับ ข้อดีของบัตรเครดิตก็มีเยอะแยะ ๑. ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่มีราคาสูงๆ โดยไม่ต้องพกเงินสดให้ตุงกระเป๋า ๒. ใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน กรณีที่เราเกิดปัญหาและต้องการเงินสดทันที ๓. มีระยะเวลาให้ชำระเงินที่จ่ายผ่านบัตรเครดิตโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ไม่คิดดอกเบี้ยสูงสุดนานถึง ๔๕ วัน ต่างจากการซื้อสินค้าและบริการโดยใช้เงินสด เพราะจะต้องชำระค่าสินค้าทันที ๔. ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในกรณีเดินทางไปต่างประเทศ (เพราะต่างประเทศส่วนใหญ่ เขาไม่รับชำระสินค้าด้วยสกุลเงินบาท) แต่บัตรเครดิต เมื่อชำระค่าบริการจะถูกแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลประเทศที่เราไป ให้เป็นสกุลเงินที่ได้รับการยอมรับให้ชำระได้ตามกฎหมายของประเทศนั้น ๕. สะสมคะแนนเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้แลกส่วนลด หรือของสมนาคุณ โดยที่เราเองจะต้องการหรือไม่ต้องการของสิ่งนั้นก็ตามแต่ นับข้อดีไปๆมาๆก็ได้ถึง ๕ ข้อ งั้นตกลงใจสมัครบัตรเครดิตวันนี้เลยก็ถือว่าโอเคใช่มั้ย? หญิงสาวกลับไปสำรวจตัวเองว่า ผ่านไป ๓ ปี ทำไมเหมือนเดินย้ำอยู่กับที่ ถ้าไม่มีเงินเก็บ แล้วจะออกมาทำธุรกิจส่วนตัวได้อย่างไร หรือถ้าจะทำงานกินเงินเดือนต่อไปโดยใช้ชีวิตแบบเดิม ก็เหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่ดี คิดได้ดังนั้นก็เปิดกระเป๋าสตางค์และสำรวจทันที สิ่งที่พบในวันนี้คือสิ่งเดิม แต่การรับรู้ของเธอกลับเปลี่ยนไป เธอพบว่า ตัวเองพกบัตรเครดิตถึง ๔ ใบ จากหลายๆสถาบันการเงิน …หรือเป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้เธอไม่เคยเก็บเงินอยู่เลย ถ้าลองดูข้อดีของการพกบัตรเครดิตที่ผมยกตัวอย่างมาทั้งหมด ๕ ข้อข้างต้น จะพบว่า การพกบัตรเครดิตถึง ๔ ใบ ไม่ได้ช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากมันเพิ่มขึ้นมากนัก จะยกเว้นก็แต่ข้อ ๕. ที่แต่ละใบให้ส่วนลดและของสมนาคุณที่แตกต่างกันไปบ้าง แล้วทำไมต้องพกถึง ๔ ใบ ทั้งๆที่เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลแล้ว ใครๆก็รู้ว่า มันคือการเพิ่มภาระชัดๆ เหตุผลง่ายๆก็ยกตัวอย่างเช่น สมัครง่าย ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี, ได้ของแถมตอนสมัครครั้งแรก, เผื่อๆไว้เพราะบัตรนั้นลดอันนี้ไม่ได้ ส่วนบัตรนี้ไปเอาส่วนลดอันนั้นได้ ฯลฯ มันคงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับถ้าเราแค่พกไว้เฉยๆแล้วไม่ได้ใช้อะไร แต่ที่เก็บเงินไม่อยู่ ก็เพราะเรายอมเป็นหนี้บัตรเครดิตต่างหาก สิ่งนี้สำคัญนะ บัตรเครดิต ทำให้เราสามารถซื้อสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเกินกว่ารายได้ของเรา ยกตัวอย่างเช่น ซื้อกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ซื้อมือถือ iPhone รุ่นใหม่ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ครบชุดมาไว้ในห้องรับแขก สิ่งเหล่านี้ บัตรเครดิตให้คุณได้ด้วยการดูดรายได้ในอนาคตของคุณมาใช้ก่อน ผู้ขายสินค้าก็แสนจะฉลาด อนุญาตให้เราแบ่งจ่ายรายเดือน คิดดอกเบี้ยน้อยๆ หรือบางทีก็ไม่คิดดอกเบี้ยเลยก็มี ยอดชำระก้อนใหญ่ๆ พอแบ่งเป็น ๖ งวดบ้าง ๑๒ งวดบ้าง ก็ดูน้อยลงทันที ใครบ้างล่ะจะไม่อยากซื้อ จ่ายเงินไปยังไม่เต็มจำนวน แต่ได้สินค้ามาใช้ก่อน โอ้ว… ฉันฉลาดจริงๆ หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นห้องนอน หาใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตมากางดู แทบจะเป็นลม เพราะตอนนี้ยอดค้างชำระเดือนหน้า สูงกว่าเงินเดือนที่เธอได้รับเสียแล้ว สาเหตุเป็นเพราะ เธอใช้จ่ายเกินตัวในบางเดือน และพอถึงรอบการชำระหนี้บัตรเครดิตที่ผ่านมา เธอชำระไม่เต็มจำนวน เมื่อชำระไม่เต็มจำนวน เงินส่วนที่ค้างชำระจะถูกคิดดอกเบี้ยและรวมไปจ่ายในรอบบัญชีถัดไป ด้วยดอกเบี้ยทบต้นที่สูงกว่า ๑๕%!! ทำผิดพลาดแค่ครั้งสองครั้ง กลับกลายเป็นมีหนี้ก้อนโต สินค้าที่หรูหราราคาแพง ที่เหมือนจะมาสร้างความสุขให้กับเราแน่ๆ หากเราได้มาเป็นเจ้าของ มาตอนนี้กลับกลายเป็นนำทุกข์มาให้แทน มาถึงตรงนี้ อนาคตที่หญิงสาวคิดไว้ว่าจะหาทางเก็บเงิน สร้างฐานะ เพื่อสะสมไว้เปิดร้านกาแฟของตัวเอง กลับกลายเป็นต้องมาทำงานชดใช้หนี้บัตรเครดิตที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแทน ข้อเสียของบัตรเครดิตจากเหตุการณ์นี้ก็คือ ๑. บัตรเครดิตไม่เคยเตือนเราว่า ตอนนี้เราได้ใช้จ่ายไปเกินกำลังของเราแล้วหรือไม่ มีแต่เราที่ต้องเตือนตัวเอง ๒. การใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้า บ่อยครั้งเราตัดสินใจง่ายกว่าการใช้เงินสดซื้อ ทำให้เรามีโอกาสที่จะซื้อสินค้าหรือบริการที่ไม่จำเป็นเพิ่มขึ้น ๓. หากชำระค่าใช้จ่ายไม่เต็มจำนวน ดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณจากยอดค้างชำระจะสูงมาก ทำให้แบกภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เหมือนกับเราซื้อสินค้าในราคาที่แพงกว่าปกติจากดอกเบี้ยที่ต้องชำระไป ถ้ามองในเชิงปริมาณ ข้อดี ๕ ข้อ หักลบข้อเสีย ซึ่งมีแค่ ๓ ข้อ ก็เท่ากับยังเหลือข้อดีอีกตั้ง ๒ ข้อ เพราะฉะนั้น บัตรเครดิตมีข้อดีกว่าข้อเสีย คิดอย่างนี้ได้ไหม? ไม่ได้นะครับ อย่าเข้าข้างตัวเองเด็ดขาด ข้อดี ๕ ข้อ บางคนก็ไม่ได้ทั้งหมด ๕ ข้อนั้นนะ ต่างประเทศก็แทบไม่เคยได้ไป คะแนนสะสมก็ไม่เคยรู้ว่าตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่ แถมข้อเสียของการใช้บัตรเครดิตนั้น กระทบกับการวางแผนการเงินในอนาคตอย่างมากนะ ตกลงหญิงสาวต้องทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี? ประการแรกเลยคือ ลดจำนวนบัตรเครดิตในกระเป๋าลง เพราะการมีบัตรเครดิตหลายใบ บางครั้งเวลาใบแจ้งหนี้ส่งมาถึงบ้าน ตัวเราเองจะไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือนเป็นเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เห็นพร้อมๆกันทั้ง ๔ ใบ จนอาจคิดเข้าข้างตัวเองได้ว่า ตัวเองยังมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยเหมือนเดิม แต่เรื่องจริงคือ ยอดหนี้เกินเงินเดือนไปแล้ว ประการที่สองคือ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายใหม่ทันทีครับ การใช้บัตรเครดิตให้มีประสิทธิภาพและไม่กระทบกับแผนการเงินของเราก็คือ ชำระเงินค่าบัตรเครดิตครบทั้งจำนวนให้ตรงวันครบกำหนดชำระ เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยอันใหญ่โตมโหฬารที่จะตามมา ประการสุดท้าย มีสติ จริงๆถือว่าสำคัญที่สุดใน ๓ ประการ หากเราระลึกรู้ถึงผลของการใช้จ่ายตามใจสุรุ่ยสุร่าย และมองเห็นข้อเสียที่จะตามมาหลังจากยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานเขาเอาไปรูดแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า อยากซื้อ หรือไม่อยากซื้อ แต่เราจะใช้เหตุผลในการตัดสินใจว่า ควรซื้อ หรือไม่ควรซื้อ ถ้าหมั่นเจริญสติบ่อยๆ ก่อนจะได้นิพพาน ผลข้างทางที่เกิดจากการเจริญสติ ยังทำให้เราใช้จ่ายอย่างมีเหตุมีผลด้วย ใครที่เห็นว่าวางแผนการเงินเป็นเรื่องยาก เก็บเงินยาก จริงๆมีแค่ตัวเดียว ก็เปลี่ยนชีวิตเราทั้งชีวิตเลยครับ “สติ” นั้นเอง ดังคำกล่าวที่ว่า สตินั้น จำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_225
Finance
งบกำไร-ขาดทุน คืออะไร
null
งบกำไร-ขาดทุน เป็นตัวช่วยบอกว่า ผลดำเนินงานของบริษัทในช่วงเวลานั้น ๆ เป็นอย่างไร ทำให้รู้ว่า บริษัทมีรายได้เท่าไร มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และธุรกิจมีกำไรเท่าไร งบการเงิน จะมีหลายประเภท เช่น งบดุล, งบกระแสเงินสด และงบกำไร-ขาดทุน ซึ่งงบการเงินที่นักธุรกิจส่วนใหญ่สนใจมากที่สุด ก็คือ “งบกำไร-ขาดทุน” โดยทั่วไปแล้ว หากพูดถึงภาพกว้าง ๆ หน้าตาของ งบกำไร-ขาดทุน ก็จะเป็น รายได้ - ค่าใช้จ่ายทั้งหมด = กำไร แต่แน่นอนว่า หากลองกาง งบกำไร-ขาดทุน ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ออกมาแล้วก็จะพบว่า หน้าตาไม่ได้ง่ายเหมือนที่กล่าวมาสักเท่าไร ส่วนแรก ซึ่งก็คือ “รายได้” จะบอกให้รู้ว่า รายได้ของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ซึ่งหากนำไปเทียบกับรายได้ในช่วงที่ผ่านมา ก็จะช่วยให้เห็นถึงแนวโน้มรายได้ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น ต่อมาคือในส่วนของ “ค่าใช้จ่าย” ซึ่งหลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายออกมาได้เป็น - ค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนขาย เช่น ค่าวัตถุดิบ - ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา - ค่าใช้จ่ายในการขาย เช่น ค่าโฆษณา ค่าเช่าสถานที่ - ค่าใช้จ่ายบริหาร เช่น เงินเดือนผู้บริหารและพนักงาน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ - ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากการกู้ยืม - ค่าใช้จ่ายทางภาษี นอกจากนี้ จะยังมีค่าใช้จ่ายหลายรายการที่เป็นประมาณการทางบัญชี โดยไม่ได้สัมพันธ์กับเงินสดที่จ่ายไปในงวดนั้น เช่น ค่าเสื่อมราคา, การด้อยค่าของสินทรัพย์ หลังจากที่นำค่าใช้จ่ายมาหักออกจากรายได้แล้ว ก็จะได้กำไรในแต่ละขั้น ซึ่งแบ่งเป็น 1. กำไรขั้นต้น (Gross Profit) กำไรขั้นต้น = รายได้ - ต้นทุนขาย ในส่วนนี้ อาจเป็นตัวช่วยบอกได้ว่า สินค้าและบริการของบริษัท สามารถตั้งราคาขายได้สูงกว่าต้นทุนมากน้อยเพียงใด ซึ่งก็จะมีปัจจัยในหลายเรื่องเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ชื่อเสียงของแบรนด์, คุณภาพสินค้า, อุตสาหกรรมของธุรกิจนั้น, การแข่งขันของตลาดที่บริษัททำธุรกิจอยู่ 2. กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) กำไรจากการดำเนินงาน = รายได้ - ต้นทุนขาย - ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กำไรจากการดำเนินงานจะเป็นตัวช่วยสะท้อนให้เห็นภาพการทำธุรกิจของบริษัทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 3. กำไรสุทธิ (Net Profit) กำไรสุทธิ = รายได้ - ต้นทุนขาย - ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร - ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย - ภาษี กำไรสุทธิ คือ รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งกำไรสุทธิ จะเป็นการสะท้อนภาพการทำกำไรของบริษัทว่าท้ายที่สุดแล้ว หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด บริษัทจะมีกำไรเหลือเท่าไร สรุปแล้ว งบกำไร-ขาดทุน จะทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยทำให้เห็นภาพว่าในช่วงเวลานั้น ๆ บริษัทมีรายได้เท่าไร มีค่าใช้จ่ายอะไร หลังจากหักลบกันแล้ว เหลือออกมาเป็นกำไรมากน้อยแค่ไหน หรือที่เรียกกันว่า ผลดำเนินงานนั่นเอง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2251
Finance
การลงทุนในหุ้นโดยใช้เงินกู้ยืมเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่?
null
ไม่ควร เหตุผล: ความเสี่ยงสูง: การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงอยู่แล้ว โดยราคาหุ้นสามารถขึ้นลงได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง การใช้เงินกู้ยืมมาลงทุนจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีก เพราะหากราคาหุ้นตกต่ำ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนมากกว่าเงินต้นที่ยืมมา ส่งผลให้เกิดภาระหนี้สินที่ต้องชดใช้ ต้นทุนการกู้ยืม: เงินกู้ยืมมักมีดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย ซึ่งจะเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนของคุณ ผลตอบแทนไม่แน่นอน: การลงทุนในหุ้นไม่สามารถการันตีผลตอบแทนได้ ความกดดันทางจิตใจ: การใช้เงินกู้ยืมมาลงทุนอาจสร้างความกดดันทางจิตใจให้กับคุณ เพราะต้องกังวลเรื่องการชดใช้หนี้ ตัวอย่าง: สมมุติว่าคุณลงทุนในหุ้นด้วยเงินกู้ยืม 100,000 บาท โดยคาดหวังผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่หลังจากลงทุนไป 1 ปี ราคาหุ้นกลับตกต่ำลง 30% ทำให้เงินลงทุนของคุณเหลือเพียง 70,000 บาท ในกรณีนี้ คุณจะต้องชดใช้หนี้ 100,000 บาท บวกกับดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ทางเลือก: ลงทุนด้วยเงินเย็น: ควรใช้เงินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันมาลงทุน เริ่มต้นด้วยจำนวนเงินน้อย: ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก ศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและหุ้นที่ต้องการลงทุน กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในหุ้นหลายตัว หรือลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษากับนักวางแผนการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน สรุป: การลงทุนในหุ้นโดยใช้เงินกู้ยืมมีความเสี่ยงสูง ไม่แนะนำให้ทำ ควรลงทุนด้วยเงินเย็น ศึกษาข้อมูล และกระจายความเสี่ยง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2254
Finance
แร่ธาตุที่หายาก หรือ Rare Earth มีความสำคัญอย่างไร
null
“แร่ธาตุที่หายาก” หรือ “Rare Earth” นี้เป็นแร่ธาตุโลหะเบา ประกอบด้วยธาตุหายาก 17 ชนิดที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำจำเป็นในการผลิตอุปกรณ์อิเลกทรอนิกแทบทุกชนิด โดยเฉพาะโทรศัพท์ โดยได้ถูกนำมาใช้ในทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของชีวิตประจำวันบนโลกมนุษย์ ตั้งแต่ สมาร์ทโฟน แลปทอป รถไฮบริด ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีส่วนสำคัญสำหรับการสร้างอาวุธในโลกสมัยใหม่ อย่างเช่น ระบบนำวิถีขีปนาวุธ หรือแม้แต่ระบบอาวุธของเครื่องบินขับไล่ ไปจนถึงชิ้นส่วนยานอวกาศ จีนได้แสดงอาวุธเด็ดที่อยู่ในมือให้เห็นว่าตนเป็นผู้ครอบครอง Rare Earth และยังเป็นผู้ผลิตและส่งออก Rare Earth รายใหญ่สุดของโลกอีกด้วย โดยจีนผูกขาดในสัดส่วนถึง 90% ของโลก ขณะที่สหรัฐเป็นผู้นำเข้าแร่แรร์เอิร์ทจากจีนหลักถึง 80% ทั้งยังไม่อยู่ในรายการสินค้าที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าด้วย ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า รัฐบาลจีนอาจสั่งห้ามส่งออก Rare Earth เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Rare Earth มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ และสะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐจำเป็นต้องพึ่งพาจีนอยู่บ้างในฐานะผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ของโลก โดยในปี 2561 จีนสกัด Rare Earth ได้ 120,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 15,000 ตันจากปี 2560 ขณะที่สหรัฐสกัดได้เพียง 15,000 ตัน ความแตกต่างมันจึงมีมากกว่า 10 เท่า แถมจีนยังมีสำรองอยู่ถึง 44 ล้านตัน ส่วนสหรัฐฯ มีเพียง 1.4 ล้านตันเท่านั้น หากจีนแบนส่งออก Rare Earth ไปสหรัฐฯ อาจทำให้สหรัฐฯ ต้องสำรวจเอง แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะผลิต Rare Earth ได้ตามความต้องการ ซึ่งสหรัฐอาจขาดแคลน Rare Earth จนผลิตสินค้าไม่ได้ และสหรัฐจะเป็นฝ่ายเดือดร้อนเอง เพราะอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก และอาจได้เห็นภาพความวุ่นวายปั่นป่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเต็มๆ ตามมาในอนาคตก็เป็นได้ ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาจีนเองได้พัฒนาเทคโนโลยี “ชิป” และระบบปฏิบัติการ (OS) มีชื่อว่า “HongMeng” เพื่อที่จะเลิกการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มาอย่างเงียบ ๆ มานานแล้ว รวมถึงบริษัทลูก “ไฮซิลิคอน” (HiSilicon) ก็เร่งพัฒนาชิปเทคโนโลยีขั้นสูงของตนเอง
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2256
Finance
หลักการดูหุ้นง่ายๆ ของคุณ Andrew Stotz มีทั้งหมด 4 ข้อ คืออะไรบ้าง
หาโอกาสในวิกฤต สไตล์ Andrew Stotz หาหุ้นแบบเซียนด้วยกลยุทธ์ FVMR ​ ตลาดหุ้นหลายๆ ตลาดกำลังเกิดวิกฤต หลายๆ คนหมดกำลังใจในการลงทุน แต่เชื่อไหมว่าเวลาแบบนี้แหละคือช่วงเวลาที่เซียนใช้ในการช้อปหุ้นดีราคาถูก ความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับเซียนหุ้นคือ คนธรรมดาเห็นวิกฤตในวิกฤต แต่เซียนหุ้นจะเห็นโอกาสในวิกฤต ความรู้และประสบการณ์ในตลาดหุ้นที่โชกโชนทำให้เซียนเหล่านี้สามารถแบ่งแยกได้ระหว่าง หุ้นเน่าที่ตกลงมาและกำลังจะล่มสลาย กับหุ้นดีที่มีปัญหาชั่วคราวแต่ถ้าผ่านปัญหาไปได้จะเป็นหุ้นที่ดีชั่วโคตร ในยามหุ้นตก ความผิดพลาดของนักลงทุนธรรมดาร้อยทั้งร้อยมาจากการเข้าไปช้อนหุ้นเน่า แทนที่จะช้อนหุ้นดีที่มีปัญหาชั่วคราว วิธีของคุณแอนดรูว์มีหลักการดูหุ้นง่ายๆอยู่ทั้งหมด 4 ข้อคือ พื้นฐานของหุ้น /Fundamentals, มูลค่าของหุ้น / Valuation,โมเมนตัมของหุ้น / Momentum และความเสี่ยง / Risk แต่ละหลักการมีจุดประสงค์ในการวิเคราะห์แตกต่างกันไป มาเจาะลึกข้อมูลกันทีละข้อครับ 1. พื้นฐานของหุ้น / Fundamentals -ในข้อนี้เราจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเทรนด์การเติบโตของบริษัท ศักยภาพการทำกำไร และความสามารถของผู้บริหาร เพราะในการลงทุนซื้อหุ้นนักลงทุนต้องการการเติบโต นอกจากนั้นการลงทุนยังเป็นการซื้อ “อนาคต” ดังนั้นการมองเทรนด์การเติบโตของบริษัทที่ชัดเจนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เทรนด์การเติบโตจะคงอยู่ยาวนานได้ก็ด้วยศักยภาพการทำกำไรของบริษัทและความสามารถของผู้บริหาร -ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์เทรนด์การเติบโตและศักยภาพการทำกำไรหลักๆ คือ Operating profit margin, Net profit margin, Asset turnover, Return on Assets และReturn on Equity 2. การประเมินมูลค่า / Valuation -ในหาประเมินมูลค่าของหุ้น ต้องวิเคราะห์ทั้งในมุมของการประเมินมูลค่าแบบ Absolute และ Relative Valuation การจะหาหุ้นที่มีปัจจัยด้านพื้นฐานที่ดีและมูลค่าที่ไม่แพงหาได้ยาก ดังนั้นการใช้หลักการทั้ง 2 หลักการนี้ร่วมกันไม่ใช่การหาจุดที่ดีที่สุดของทั้ง 2 หลักการเสมอไป แต่เป็นการหาจุดสมดุลร่วมกัน -ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าคือ Price-to-sale, Price-to-earning, Price-to-book, PE-to-eps growth (PEG) และ EV/EBIT 3. โมเมนตัม / Momentum -ถ้า Fundamental และ Valuation ดูดีแล้ว ก็ต้องมาดู Momentum ด้วยว่าแนวโน้มการทำกำไร แนวโน้มราคาหุ้นเป็นอย่างไร การดูแต่เพียง Fundamental และ Valuation จะทำให้นักลงทุนต้องเจอกับ Value trap หรือกับดักของถูก ที่ราคาหุ้นถูกจริงแต่ราคาไม่วิ่งไปไหนเลย ในทางกลับกันหุ้นที่ไม่มี Momentum อยู่นิ่งๆ มานานๆ หลายๆ ครั้งก็กลับมาทำผลตอบแทนที่ดีให้ได้เมื่อมีปัจจัยมากระทบ -ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินโมเมนตัมคือ การเติบโตของกำไร, การเติบโตของกำไรต่อหุ้น, การเปลี่ยนแปลงของอัตรากำไรจากการดำเนินงาน และการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น 4. ความเสี่ยง / Risk -การควบคุมความเสี่ยงที่ดีก็สำคัญในการลงทุน หุ้นหลายๆ ตัวที่มีความเสี่ยงต่ำในเชิงธุรกิจและราคาหุ้นจะทำให้โอกาสพอร์ตเสียหายในยามที่คิดผิดน้อย พอร์ตการลงทุนที่ดีไม่ควรมีแต่หุ้นที่คาดหวังแต่กำไรเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีหุ้นเสี่ยงต่ำที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ทการลงทุนในระยะยาวได้ด้วย -ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงคือ อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current ratio), หนี้สินต่อทุน (Net debt-to-equity), อัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่าย (Time-interest-earned) และค่า Beta ในการลงทุน หลักการที่ถูกต้องมีคุณค่ามากกว่าผลกำไรเสมอ เพราะผลกำไรและความสำเร็จระยะยาวมักจะเป็นผลที่เกิดจากการมีหลักการลงทุนที่ถูกต้องและใช้หลักการลงทุนนั้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง FINNOMENA x Andrew Stotz หลักสูตร “Valuation Master Class Live in Bangkok” การสร้างแนวคิด วิธีการไปถึงเป้าหมาย และเครื่องมือที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินราคาหุ้น ระบบและรูปแบบของการคิดในแต่ละขั้นตอนถูกจัดรูปแบบอย่างเป็นระบบ ออกมาเป็นขั้นตอนง่ายๆ แบบนี้ เกิดจากฝีมือของ A.Stotz Investment Research ก่อตั้งโดย Dr.Andrew Stotz, CFA อดีตหัวหน้าฝ่ายทีมวิจัยของ CLSA ประเทศไทย มีประสบการณ์การลงทุนกว่า 20 ปี โดยเฉพาะในสายงานนักวิเคราะห์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานของ CFA Society Thailand และนักวิเคราะห์อันดับ 1 ในประเทศไทยในปี 2551-2552 ขณะที่ A.Stotz investment research มีบริการให้คำแนะนำและจัดพอร์ตการลงทุนในหุ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกผ่านกระบวนการ FVMR Strategy หลักสูตรนี้จัดขึ้นมาเพื่อให้นักลงทุนในประเทศไทยสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างถูกต้อง เน้นการนำไปประยุกต์ใช้งานได้จริง ที่ผ่านการกลั่นกรองมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอดชีวิตการทำงาน ในฐานะนักวิเคราะห์หัวหน้างานวิจัย และศาสตราจารย์ด้านการประเมินมูลค่าที่เป็นที่ยอมรับระดับโลก หลักสูตรเน้นการใช้งานจริง ซึ่งจะมีการสอนเป็นภาษาอังกฤษ พูดแบบช้า ๆ ชัด ๆ เน้นความเข้าใจและการปฏิบัติ อย่าลืมนำ notebook มาด้วยเพื่อใช้ model ในการหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นรายตัว จัดในวันเสาร์ และอาทิตย์ที่ 15 – 16 มิถุนายน 2562 เวลา 08:30 – 16:30 น. ที่ FINNOMENA SPACE ชั้น 17 โซนดี อาคารธนิยะ พลาซ่า (ใกล้ BTS ศาลาแดง) ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่
หลักการดูหุ้นง่ายๆ ของคุณ Andrew Stotz มีทั้งหมด 4 ข้อ คือ 1. พื้นฐานของหุ้น / Fundamentals - ในข้อนี้จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเทรนด์การเติบโตของบริษัท ศักยภาพการทำกำไร และความสามารถของผู้บริหาร เพราะในการลงทุนซื้อหุ้นนักลงทุนต้องการการเติบโต นอกจากนั้นการลงทุนยังเป็นการซื้อ “อนาคต” ดังนั้นการมองเทรนด์การเติบโตของบริษัทที่ชัดเจนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เทรนด์การเติบโตจะคงอยู่ยาวนานได้ก็ด้วยศักยภาพการทำกำไรของบริษัทและความสามารถของผู้บริหาร - ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์เทรนด์การเติบโตและศักยภาพการทำกำไรหลักๆ คือ Operating profit margin, Net profit margin, Asset turnover, Return on Assets และ Return on Equity 2. การประเมินมูลค่า / Valuation - ในหาประเมินมูลค่าของหุ้น ต้องวิเคราะห์ทั้งในมุมของการประเมินมูลค่าแบบ Absolute และ Relative Valuation การจะหาหุ้นที่มีปัจจัยด้านพื้นฐานที่ดีและมูลค่าที่ไม่แพงหาได้ยาก ดังนั้นการใช้หลักการทั้ง 2 หลักการนี้ร่วมกันไม่ใช่การหาจุดที่ดีที่สุดของทั้ง 2 หลักการเสมอไป แต่เป็นการหาจุดสมดุลร่วมกัน - ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าคือ Price-to-sale, Price-to-earning, Price-to-book, PE-to-eps growth (PEG) และ EV/EBIT 3. โมเมนตัม / Momentum - ถ้า Fundamental และ Valuation ดูดีแล้ว ก็ต้องมาดู Momentum ด้วยว่าแนวโน้มการทำกำไร แนวโน้มราคาหุ้นเป็นอย่างไร การดูแต่เพียง Fundamental และ Valuation จะทำให้นักลงทุนต้องเจอกับ Value trap หรือกับดักของถูก ที่ราคาหุ้นถูกจริงแต่ราคาไม่วิ่งไปไหนเลย ในทางกลับกันหุ้นที่ไม่มี Momentum อยู่นิ่งๆ มานานๆ หลายๆ ครั้งก็กลับมาทำผลตอบแทนที่ดีให้ได้เมื่อมีปัจจัยมากระทบ - ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินโมเมนตัมคือ การเติบโตของกำไร, การเติบโตของกำไรต่อหุ้น, การเปลี่ยนแปลงของอัตรากำไรจากการดำเนินงาน และการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น 4. ความเสี่ยง / Risk - การควบคุมความเสี่ยงที่ดีก็สำคัญในการลงทุน หุ้นหลายๆ ตัวที่มีความเสี่ยงต่ำในเชิงธุรกิจและราคาหุ้นจะทำให้โอกาสพอร์ตเสียหายในยามที่คิดผิดน้อย พอร์ตการลงทุนที่ดีไม่ควรมีแต่หุ้นที่คาดหวังแต่กำไรเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีหุ้นเสี่ยงต่ำที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ทการลงทุนในระยะยาวได้ด้วย - ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงคือ อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current ratio), หนี้สินต่อทุน (Net debt-to-equity), อัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่าย (Time-interest-earned) และค่า Beta
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2259
Finance
ช่วยเสนอไอเดียว่าใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูก
null
การเลือกซื้อประกันชีวิต จะซื้อแบบไหนพูดเท่าไรก็คงไม่จบ หลักสำคัญของการซื้อประกันคือตัวเราเองว่าเหมาะกับแบบไหน เพื่อจะได้ประกันรูปแบบที่ตรงกับเป้าหมายและความต้องการของเราที่สุด ประกันชีวิตที่เหมาะกับการวางแผนการศึกษาของลูก อาจจะเป็นเป้าหมายสำหรับใครหลายๆ คนในตอนนี้ Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ? การวางแผนการศึกษาให้กับลูกในที่นี้ ขอตีความหมายดังนี้ “การลงทุนหรือออมเพื่อการศึกษา + การคุ้มครองคนที่ทำหน้าที่หาเงิน (คุณพ่อ คุณแม่ หรือทั้งคู่)” เพราะฉะนั้น ขอจำกัดความหมายในส่วนของการเลือกซื้อประกันชีวิตไปที่การซื้อความคุ้มครอง และประกันที่เน้นความคุ้มครองหลักๆ ก็คือ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term) และประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life) ประกันทั้ง 2 แบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน อย่างประกันแบบ Term ก็จะจ่ายเบี้ยน้อยเพื่อความคุ้มครองที่สูง และเงื่อนไขไม่ได้ซับซ้อนอะไร นั่นคือ “ตาย จ่าย จบ” ในขณะที่ประกันแบบ Whole Life ไม่มีวันหมดอายุแต่ก็แลกมาด้วยเบี้ยที่แพงกว่า นักวางแผนการเงินชื่อดังอย่าง Dave Ramsey ก็เป็นอีก 1 คนที่เชื่อในประกันแบบ Term แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า Term จะเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับทุกคน แต่ประกัน Whole Life อาจจะใช่สำหรับบางคนถ้ามีจุดประสงค์ที่ต่างออกไป สรุป : ประกันแบบชั่วระยะเวลา (Term) คืออะไร? ทำไมถึงไม่ค่อยมีใครรู้จัก? - Term vs Whole Life: เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด ด้วยความที่ประกันแบบ Term เป็นการ “ประกันชีวิตที่แท้จริง” เลยทำให้มีเงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อน และตรงไปตรงมา นั่นคือคนทำประกันจะได้ผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อเสียชีวิตเท่านั้น (ครบกำหนดสัญญาแล้วยังมีชีวิตอยู่จะไม่ได้รับเงินอะไร) ใจความหลักของประกันแบบ Term คือ ระยะเวลา ซึ่งหมายถึงระยะเวลาที่กรมธรรม์ยังมีผล ด้วยความที่ Term มีระยะเวลาคุ้มครองไม่ยาวมากนัก จึงเป็นประกันที่เหมาะกับคนที่ต้องการสร้างฐานะ (ลงทุน สร้างความมั่งคั่ง) ในช่วงระยะเวลาหนึ่งและไม่ได้ต้องการความปลอดภัยทางการเงิน (Safety Net) หลังพ้นช่วงสร้างฐานะประกันแบบ Term มีต้นทุนที่ถูกเพราะจุดประสงค์ของเบี้ยประกันถูกนำไปซื้อความคุ้มครองเป็นหลัก ไม่ได้ต้องนำไปลงทุนหรือจ่ายค่าธรรมเนียมกรมธรรม์อะไร ไม่เหมือนกับประกัน Whole Life และประกันแบบ Termสามารถยกเลิกได้ก่อนหมดระยะเวลาคุ้มครอง โดยที่ไม่ได้เสียมูลค่าอะไร แต่ก็อย่าลืมว่าด้วยความคุ้มครองในระยะเวลาที่จำกัดหากคุณต้องการความคุ้มครองหลังช่วงอายุ 60 ปี (หลังเกษียณ) การหาซื้อประกันฉบับใหม่ก็อาจจะแพงมากทีเดียว สรุปแบบประกัน Whole Life บ้าง ประกันแบบ Whole Life มีระยะเวลาคุ้มครองยาว (อาจจะตลอดชีวิต หรือถึงอายุ 80 หรือ 85 ปี แล้วแต่แบบที่ซื้อนะ) เพราะฉะนั้นคนซื้อก็ไม่ต้องมาวิ่งวุ่นซื้อกรมธรรม์ใหม่เมื่ออายุมากขึ้นซึ่งบางบริษัทประกันอาจจะไม่รับประกันหรือเบี้ยอาจจะแพงมาก ประกัน Whole Life ซับซ้อนกว่า Term แต่สิ่งที่ต่างกันหลักๆ คือ มูลค่าเงินสดซึ่งเปรียบเสมือนการนำผลิตภัณฑ์การลงทุนและประกันชีวิตมารวมกัน และมูลค่าเงินสดก็มีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกู้จากกรมธรรม์ (ดอกเบี้ยไม่แพงนะจ๊ะ) หรืออาจจะเอาเงินออกมาใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ นอกจากนี้ด้วยความที่ประกัน Whole Life มีส่วนของเงินออม (ที่นำไปลงทุน) จึงเป็นการบังคับให้ออมเงินไปในตัว (แต่ถ้าเอาไปลงทุนเอง ก็น่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่านะ) และที่สำคัญๆๆๆๆ ประเด็นที่คนขายประกันเอามาชูก็คือการใช้ประกัน Whole Life สำหรับเป็นเงินมรดก เพราะเงินที่ได้จากประกันชีวิต (กรณีเสียชีวิต) ไม่ต้องเสียภาษีมรดกนะ เงินทั้งหมด 100% ก็จะตกเป็นของทายาทซึ่งความซับซ้อนของมันนี่แหละที่ทำให้ต้นทุนแพงกว่าแบบ Term ซึ่งบางคนก็เลยไม่สามารถซื้อความคุ้มครองที่เพียงพอหรือต้องยกเลิกกรมธรรม์เพราะต้นทุนที่แพง หลังจากที่เราคุยกันเรื่องประกันทั้ง 2 แบบไปแล้ว ทีนี้ ถ้าเรานำประกันแบบ Term และ ประกันแบบ Whole Life ไปวางแผนการศึกษาลูกล่ะ แบบไหนจะดีกว่ากันนะ? ใจความสำคัญของ Kid’s Wealth Path คือการตั้งเป้าหมายการศึกษาของลูกเพื่อปรับเป้าหมายให้เข้ากับศักยภาพทางการเงินของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งประกอบไปด้วยการลงทุนผ่านแผน GOAL และการซื้อความคุ้มครองเพื่อกำจัด Tail Risk (ความเสี่ยงในเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่ถ้าเกิดขึ้นจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงมากเช่น การเสียชีวิต) จะเปรียบเทียบให้ดูนะว่าในการวางแผนการศึกษาแบบ Kid’s Wealth Path ประกันแบบไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน มาดูกรณีศึกษานี้กันนะ ตัวอย่าง : ด.ญ.ม่อน สเตอร์ เด็กหญิงม่อน อายุ 1 เดือน เกิด 19 ม.ค. 2562 ผู้ปกครองตั้งใจให้เด็กหญิงม่อน - เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลชนานันท์ (ตัวเลือกหลัก) และ โรงเรียนอนุบาลแสงโสม (ตัวเลือกรอง) - มีแผนจะเรียนต่อระดับประถมและมัธยมที่โรงเรียนสาธิตเกษตร ภาคอินเตอร์ (ตัวเลือกหลัก) หากไม่ได้จะเบนเข็มไปเรียนโรงเรียนนานาชาติซึ่งมองโรงเรียนราคาระดับ SISB ไว้ (ตัวเลือกรอง) - มีแผนจะให้ลูกศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศหลักสูตรอินเตอร์ สาขาวิชาไหนก็ได้ (ตัวเลือกหลัก) และเรียนเอแบคเป็นตัวเลือกรอง - ตั้งเป้าเรียนปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอังกฤษ (ตัวเลือกหลัก) หรือปริญญาโทภาคอินเตอร์ในประเทศ (ตัวเลือกรอง) - ตั้งเป้าเก็บเงินก้นถุงให้ลูก 1,000,000 บาท ไว้ให้เป็นเงินตั้งตัวเมื่อเรียนจบ ปัจจุบันคุณแม่เด็กหญิงม่อน อายุ 36 ปี มีเงินเก็บประมาณ 1 ล้านบาท และพร้อมลงทุนรายเดือนประมาณ 20,000 บาทและซื้อประกันชีวิตปีละไม่เกิน 2 แสนบาท ผู้ปกครองต้องการสร้างแผนที่การเงินลูกฉบับสมบูรณ์ด้วย GOAL + ProtectionTerm Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ? Kid’s Wealth Path ของ ด.ญ.ม่อน จะเป็นดังนี้ – เงินลงทุนตั้งต้น: 400,000 บาท – เงินลงทุนรายเดือน: 19,825 บาท – ระยะเวลาที่ต้องการความคุ้มครองคือ 25 ปี – ทุนประกันที่เหมาะสมสำหรับผู้ปกครองคือ 14.2 ล้านบาท เงินลงทุนเงินซื้อประกัน Term Life 15/15 ต่อปี : 55,806 บาท เงินซื้อประกัน Term Life 10/10 ต่อปี : 112,322 บาท (เมื่อด.ญ.ม่อนขึ้นชั้น ม.3 และคุณแม่อายุ 51 ปี) เงินซื้อประกัน Whole Life 20/99 ต่อปี: 261,706 บาท สมมติอัตราผลตอบแทนของแผน GOAL ที่ 8% ในกรณีนี้ หากคุณแม่ของด.ญ.ม่อน ซื้อประกันแบบ Term คุณแม่ก็จะนำเงินส่วนต่างระหว่างเบี้ย Term และ Whole Life ไปลงทุนผ่านแผน GOAL ซึ่งในปีที่ 1-15 คุณแม่จะมีเงินส่วนต่างจากการซื้อ Term 15/15 แทน Whole Life 205,900 บาท และนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนผ่านแผน GOAL แทน ในปีที่ 16-20 คุณแม่ต้องเปลี่ยนมาซื้อ Term 10/10 เมื่ออายุ 51 ปี และจะมีเงินส่วนต่างจากการซื้อ Term แทน Whole Life 149,384 บาท และนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนผ่านแผน GOAL แทน ปีที่ 21-25 หากคุณแม่ซื้อประกัน Whole Life ตั้งแต่แรก คุณแม่จะไม่ต้องจ่ายเบี้ย Term ในช่วงนี้ 122,322 บาท และนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนผ่านแผน GOAL แทน ถ้าทำเช่นนี้ ณ ปีที่ 25 เมื่อ ด.ญ.ม่อนสำเร็จการศึกษาระดับ ป.โท คุณแม่จะเหลือเงินเท่าไร? Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ? 1. หากลงทุนผ่านแผน GOAL และซื้อประกันแบบ Term คุณแม่ของด.ญ.ม่อนจะมีเงินทั้งหมด 33,784,773 บาท 2. หากคุณแม่ของด.ญ.ม่อนลงทุนผ่านแผน GOAL และซื้อประกันแบบ Whole Life และเวนคืนกรมธรรม์ ปีที่ 25 คุณแม่ของด.ญ.ม่อนจะมีเงินทั้งหมด 25,626,030 บาท Term Life vs. Whole Life: ใช้ประกันอะไรวางแผนการศึกษาลูกดีกว่ากันนะ? ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะส่วนต่างของเบี้ยประกัน Term และ Whole Life นั้นมากถึง 1-2 แสนบาทในแต่ละปีเป็นเวลาถึง 20 ปี จึงทำให้เงินลงทุนผ่านแผน GOAL งอกเงยและชนะมูลค่าเงินสดของประกัน Whole Life และไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือคุณแม่ (เพศชายหรือเพศหญิง) การซื้อประกันแบบ Term พร้อมกับการลงทุนแผน GOAL ก็จะให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน คือ จะมีเงินเหลือมากกว่าการซื้อประกันแบบ Whole Life นั่นก็เป็นเพราะ 1. ต้นทุนของการซื้อ Term นั้นถูกกว่าแบบประกันอื่นๆ 2. เราสามารถนำเงินส่วนต่างไปลงทุนด้วยตัวเองซึ่งก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่ามูลค่าเงินสดของ Whole Life
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2260
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 4 เสาหลักของแผนการเกษียณสำหรับมนุษย์เงินเดือน
null
เสาหลักของแผนการเกษียณสำหรับมนุษย์เงินเดือน มีทั้งหมด 4 อย่าง อันประกอบไปด้วย อันแรกคือ ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก ไม่ได้เป็นก้อนใหญ่และไม่ได้ใช้จ่ายจำนวนมาก กับค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน เป็นเงินที่ก้อนใหญ่และต้องใช้จ่ายจำนวนมาก อันที่สองคือ บำเหน็จ หมายถึง เงินที่ได้จากการออมและการลงทุน อันที่สาม คือ บำนาญ หมายถึง กระแสเงินสดที่การันตีต่อปีที่จะจ่ายจนกระทั่งเสียชีวิต สามารถนำมาจัดการความเสี่ยงได้ 2 ตัว คือ ความเสี่ยงจากการลงทุน และความเสี่ยงจากอายุยืนเกินไป และอันสุดท้ายคือ ประโยชน์ของภาษี บทเรียนจากย่อหน้านี้ 4 เสาหลักของแผนการเกษียณสำหรับมนุษย์เงินเดือน 1) Health Care Fund ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งมีโอกาสที่จะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น ดังนั้น จะต้องเตรียมเงินไว้ใช้จ่ายเพื่อค่ารักษาพยาบาล ค่ารักษาพยาบาลมี 2 ส่วน ผู้ป่วยนอก เช่น เจ็บป่วยเป็นไข้หวัด เงินส่วนนี้ จะไม่ได้เป็นก้อนใหญ่มาก จะเตรียมไว้ซัก เดือนละ 1,000 – 5,000 ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลที่เข้า ผู้ป่วยใน เช่นเป็นโรคร้ายแรงหรือต้องผ่าตัด เงินส่วนนี้ จะเป็นเงินที่ก้อนใหญ่ต้องใช้จ่ายจำนวนมาก ที่สำคัญมีเงินเฟ้อด้วย เช่น ต้องการมีประมาณ 1 ล้านสำหรับค่ารักษาพยาบาล ถ้าตอนนี้อายุ 40 เกษียณ 60 หมายถึง จะต้องเตรียมเงิน 1.8 ล้านถ้าเงินเฟ้อ 3% ดังนั้นจะมีทางเลือก 2 ทางเลือกในการเตรียมค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน คือ 1) เก็บเงินเอง 2) โอนความเสี่ยงไปให้ประกันสุขภาพ แนะนำให้โอนความเสี่ยงไปให้ประกันเป็นการลงทุน ด้วยเงินส่วนน้อย เพื่อให้ได้วงเงินค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก ที่สำคัญอย่าวางแผนจ่ายค่าเบี้ยประกันหลังเกษียณด้วย 2) บำเหน็จ เรียกง่ายๆ ว่า เงินก้อนซึ่งได้จากการออมและลงทุน สำหรับมนุษย์เงินเดือนก็ให้ลงทุนผ่าน RMF/LTF และ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัท ยิ่งอายุน้อย ก็ยิ่งสามารถลงความเสี่ยงสูงได้มาก และค่อยๆ ลดความเสี่ยงตามอายุ เมื่อได้เงินก้อน ณ ตอนอายุเกษียณก็จะต้องบริหารเงินหลังเกษียณในชนะเงินเฟ้อ ดังนั้น ความเสี่ยงของการบริหารเงินบำเหน็จ คือ Market Risk หรือ ความเสี่ยงจากการลงทุน ความเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนตามคาดหวัง เช่น คาดหวัง 4% แต่ปีนั้นตลาดไม่ได้ ลงทุนได้แค่ 2% เป็นต้น 3) บำนาญ คือ กระแสเงินสดแบบการันตี ต่อปีที่จะจ่ายจนกระทั่งเสียชีวิต ตัวบำนาญจะใช้จัดการความเสี่ยง 2 ตัวคือ Market Risk หรือความเสี่ยงจากการลงทุน กระแสเงินสดนี้จะช่วยเติมเงินในพอร์ตลงทุนของบำเหน็จ ช่วยขจัดความเสี่ยงในการลงทุนแบบหนึ่ง Longevity risk หรือความเสี่ยงจากอายุยืนเกินไป ถ้าเตรียมเงินไว้แค่อายุ 75 แต่อายุยืนไปเป็น 80 หรือ 85 เงินบำเหน็จ ก็ถูกใช้ไป มูลค่าลดลงไปเรื่อยๆ แต่บำนาญยังคงมีอยู่ตลอด จนกระทั่งเสียชีวิต สินค้าแบบบำนาญมีอะไรบ้าง เช่น ประกันแบบบำนาญ หรือ แม้กระทั่งสร้างบ้าน หรือ คอนโดในเช่า เพื่อจะได้กระแสเงินสด ที่ไม่มีความผันผวนมาก อย่าหวังพึ่งรายได้หลังเกษียณจากผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญใช้เงินหมดก่อนตายคือ ความเสี่ยงที่แท้จริง 4) Tax benefit คือ ประโยชน์ของภาษี จะลงทุนเพื่อให้ได้เงินคืนภาษีก่อน ลองคิดดูจะดีแค่ไหน ถ้าทุกๆ 100 บาทที่ลงทุนไปใน RMF/LTF/บำนาญ จะการันตีได้เงินคืน 20% ตามฐานรายได้ในการเสียภาษี ถ้าลงทุนในกองทุนทั่วไป หรือ ซื้อหุ้นเองจะไม่ได้การการันตีแบบนี้ ดังนั้นความจะลงทุนเพื่อประโยชน์ภาษีก่อน แต่ถ้ายังมีเงินเหลือจากการซื้อ RMF/LTF อย่าหยุดลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2264
Finance
การเก็บภาษีกองทุนรวมตราสารหนี้ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ. 2562 จะส่งผลกระทบกับใครบ้าง
ล่าสุด! วันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีกฎหมายประกาศออกใหม่ คือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) เกี่ยวกับแก้ไขกฎหมายเพื่อเก็บภาษีกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ ปัจจุบันภาระภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมต่ำกว่าการลงทุนในตราสารหนี้โดยตรง ทำให้รัฐบาลมีนโยบายการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกองทุนรวมในส่วนเฉพาะรายได้ดอกเบี้ย เพื่อมีความเท่าเทียมกัน ตามกฎหมายฉบับเดิม กองทุนรวมไม่ได้ถูกจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ทำให้กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ จะไม่มีการเสียภาษีเมื่อได้รับกำไร นักลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบในส่วนนี้ แต่กฎหมายปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงให้กองทุนรวมถูกจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ทำให้กองทุนรวมที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ จะถูกหักภาษีจากดอกเบี้ยรับ 15% ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ จะได้รับผลตอบแทนลดลง หากกองทุนรวมมีการลงทุนในตราสารหนี้รุ่นใดก่อนวันที่กฏหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งคือวันที่ 20 สิงหาคม 2562 จะไม่มีภาระภาษี โดยเป็นไปตามหลักการถูกหักภาษีก่อนและขอคืนภาษีภายหลัง แต่หากกองทุนเปิดมีการลงทุนภายหลังจากกฏหมายบังคับใช้ จะมีภาระภาษี โดยถูกหักภาษีและไม่สามารถขอคืนภาษีได้ ปัจจุบันภาระภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมต่ำกว่าการลงทุนในตราสารหนี้โดยตรง ทำให้รัฐบาลมีนโยบายการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกองทุนรวมในส่วนเฉพาะรายได้ดอกเบี้ย เพื่อมีความเท่าเทียมกัน ตามกฎหมายฉบับเดิม กองทุนรวมไม่ได้ถูกจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ทำให้กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ จะไม่มีการเสียภาษีเมื่อได้รับกำไร นักลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบในส่วนนี้ แต่ กฎหมายปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงให้กองทุนรวมถูกจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ทำให้กองทุนรวมที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ จะถูกหักภาษีจากดอกเบี้ยรับ 15% ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ จะได้รับผลตอบแทนลดลง หากกองทุนรวมมีการลงทุนในตราสารหนี้รุ่นใดก่อนวันที่กฏหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งคือวันที่ 20 สิงหาคม 2562 จะไม่มีภาระภาษี โดยเป็นไปตามหลักการถูกหักภาษีก่อนและขอคืนภาษีภายหลัง แต่หากกองทุนเปิดมีการลงทุนภายหลังจากกฏหมายบังคับใช้ จะมีภาระภาษี โดยถูกหักภาษีและไม่สามารถขอคืนภาษีได้
ปัจจุบันภาระภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมต่ำกว่าการลงทุนในตราสารหนี้โดยตรง ทำให้รัฐบาลมีนโยบายการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกองทุนรวมในส่วนเฉพาะรายได้ดอกเบี้ย เพื่อให้มีความเท่าเทียมกัน ดังนั้น ในวันที่22 พฤษภาคม พ.ศ.2562 จึงได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) เกี่ยวกับแก้ไขกฎหมายเพื่อเก็บภาษีกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ ตามกฎหมายฉบับเดิม กองทุนรวมไม่ได้ถูกจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ทำให้กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ จะไม่มีการเสียภาษีเมื่อได้รับกำไร นักลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบในส่วนนี้ แต่ กฎหมายปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงให้กองทุนรวมถูกจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ทำให้กองทุนรวมที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ จะถูกหักภาษีจากดอกเบี้ยรับ 15% ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ จะได้รับผลตอบแทนลดลง หากกองทุนรวมมีการลงทุนในตราสารหนี้รุ่นใดก่อนวันที่กฏหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งคือวันที่ 20 สิงหาคม 2562 จะไม่มีภาระภาษี โดยเป็นไปตามหลักการถูกหักภาษีก่อนและขอคืนภาษีภายหลัง แต่หากกองทุนเปิดมีการลงทุนภายหลังจากกฏหมายบังคับใช้ จะมีภาระภาษี โดยถูกหักภาษีและไม่สามารถขอคืนภาษีได้
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2265
Finance
ในยุคดอกเบี้ยขาลง กลยุทธ์การลงทุนใน REITs ที่เน้นการกระจายความเสี่ยงไปยังต่างประเทศนั้น มีข้อควรระวังอะไรบ้าง และนักลงทุนควรเตรียมตัวอย่างไร
null
ข้อควรระวังในการลงทุน REITs ต่างประเทศ: ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: การลงทุนใน REITs ต่างประเทศ ย่อมมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินของประเทศนั้นๆ อาจแข็งหรืออ่อนค่า ส่งผลต่อผลตอบแทน ความเสี่ยงทางการเมือง: สถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ อาจเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อการดำเนินงานของ REITs ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง: REITs ต่างประเทศบางกอง อาจมีสภาพคล่องต่ำ ซื้อขายยาก ค่าธรรมเนียม: การลงทุนใน REITs ต่างประเทศ มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน แนวทางการเตรียมตัว: ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ REITs แต่ละกอง นโยบายการลงทุน สินทรัพย์อ้างอิง ผลการดำเนินงาน ความเสี่ยง ฯลฯ กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนใน REITs เพียงกองเดียว กระจายเงินลงทุนใน REITs หลายกอง หลายประเทศ เลือกสกุลเงิน: เลือกสกุลเงินที่มีเสถียรภาพ ติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ การเมือง และกฎระเบียบของประเทศที่ลงทุน เลือกบริษัทจัดการที่มีความน่าเชื่อถือ: เลือกบริษัทจัดการที่มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญ ตัวอย่างการกระจายความเสี่ยง: ลงทุนใน REITs หลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ลงทุนใน REITs ที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลาย เช่น อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล คลังสินค้า ลงทุนใน REITs ที่มีสภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย ข้อดีของการกระจายความเสี่ยง: ลดความเสี่ยงจากการลงทุนใน REITs เพียงกองเดียว เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงทางการเมือง และความเสี่ยงอื่นๆ ได้ดีขึ้น สรุป: การลงทุนใน REITs ต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจในยุคดอกเบี้ยขาลง แต่ต้องระวังความเสี่ยงต่างๆ และเตรียมตัวอย่างรอบคอบ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือก REITs ที่ดี กระจายความเสี่ยง และติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2266
Finance
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจสูง มีกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้แบบใดที่เหมาะสม?
null
กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจสูง: 1. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุและระดับความเสี่ยงหลากหลาย ลงทุนในตราสารหนี้จากผู้ออกที่มีความน่าเชื่อถือ ลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ กองทุนรวมตราสารหนี้ 2. เลือกตราสารหนี้ที่มีอายุสั้น: ตราสารหนี้ที่มีอายุสั้นมีความเสี่ยงต่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและต้องการเงินลงทุนในระยะสั้น 3. เลือกตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว: ตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวจะปรับอัตราดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยตลาด เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย 4. ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้: กองทุนรวมตราสารหนี้มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแล เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลตราสารหนี้ด้วยตัวเอง 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน: ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล คำแนะนำเพิ่มเติม: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตราสารหนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน ลงทุนตามเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ทบทวนพอร์ตการลงทุนเป็นประจำ ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 60% หุ้นกู้ 30% และกองทุนรวมตราสารหนี้ 10% เลือกตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี เลือกตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยผสมผสานระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สรุป: การลงทุนในตราสารหนี้เป็นวิธีการออมเงินที่มีความเสี่ยงปานกลาง เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอนกว่าการฝากออมทรัพย์ แต่ยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เป้าหมายทางการเงิน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุนแต่ละบุคคล นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตราสารหนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2268
Finance
๕ พฤติกรรมใช้เงินแบบผิดๆ ที่มนุษย์ออฟฟิศมองข้าม มีอะไรบ้าง
null
๕ พฤติกรรมใช้เงินแบบผิดๆ ที่มนุษย์ออฟฟิศมองข้าม ๑. ทานอาหารกลางวัน แล้วมักมีต่อด้วยขนมขบเคี้ยว และกาแฟ ขนมขบเคี้ยว นอกจากเป็นรายจ่ายส่วนเกินของมื้อกลางวัน ยังเป็นส่วนเกินต่อร่างกายอีกต่างหาก สถาบันวิจัยในต่างประเทศ เคยทำการศึกษาแล้วพบว่า การหยุดขนมขบเคี้ยวเหล่านี้เพียงแค่สัปดาห์ละถุง สามารถลดน้ำหนักได้ถึงเดือนละ ๐.๘ กก. ทีเดียว แนะนำว่า ให้หาแรงจูงใจการงดซื้อขนมพวกนี้ด้วยการมองที่ตัวเลขน้ำหนักที่ลดลงได้แทน ๒. ละเลยที่จะต้องตรวจราคาสินค้า และลืมวางแผน ข้าวของบางอย่าง สามารถซื้อตุนไว้ได้เป็นเดือน หรือเป็นไตรมาส นั้นหมายความว่า ถ้ามีการวางแผนที่ดี และตรวจสอบราคาว่า หากซื้อจำนวนมากขึ้น จะช่วยให้ประหยัดได้ไหมนั้น จะพบว่า สามารถประหยัดเงินได้เดือนละหลายร้อยบาท ยกตัวอย่างเช่น จากที่เคยซื้อยาสีฟันแบบหลอดต่อหลอด กระดาษชำระแบบม้วนต่อม้วน ก็เปลี่ยนเป็นซื้อยกโหล ราคาต่อชิ้นก็จะถูกลง แถมยังประหยัดเวลา ไม่ต้องออกจากบ้านไปซื้อหลายๆ รอบอีกต่างหาก ๓. ไปเที่ยวที ไม่เคยมีที่จ่ายต่ำกว่างบ ถือเป็นเรื่องที่ต้องจำเป็นต้องกลับมาสำรวจ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่า ไปเที่ยว ไปชาร์ตแบตฯ ทั้งที ก็อยากให้มันมีความสุข ให้มันสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก อะไรที่ว่าดี ยอมจ่ายแบบสุดๆ เมื่ออยู่ในช่วงพักร้อน แล้วพอกลับจากพักร้อน ก็ต้องกลับมานั่งทำงานงกๆ เพราะเงินเก็บหมด ต้องเริ่มกันใหม่ แบบนี้ไม่ไหว กับดักนี้นี่เอง ที่มนุษย์เงินเดือนติดอยู่ จนทำให้ปัจจัยเรื่องจำนวนค่าจ้างเงินเดือน มามีผลต่อการตัดสินใจเลือกงาน มากกว่า นั้นคืองานที่รักหรือเปล่า วิธีแก้ไข ควรตั้งงบประมาณ และกันเงินสำหรับการพักผ่อนออกจากเงินเก็บปกติ โดยตั้งไว้เลยว่า อีก ๔ เดือนข้างหน้า ฉันตั้งใจจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยงบประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท โดยจะออมเพิ่มอีกเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท แบบนี้เป็นต้น ๔. จ่ายถูกไปก่อน แต่กลายเป็นจ่ายแพงทีหลัง คนส่วนใหญ่เคยเจอปัญหานี้ ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์จากพนักงานขายแพ็คเกจสมาชิกโรงแรม ๑ ปี มีทั้งที่พักฟรี รับประทานอาหารฟรี และส่วนลดใช้บริการธุรกิจในเครือมากมาย ปัญหาคือ ซื้อมา ก็ใช้ได้ไม่คุ้ม ตอนซื้อมา ก็จินตนาการว่า จะไปมันทุกๆ ๓ เดือน แต่พอเอาเข้าจริง ไม่ติดงาน ก็เบื่อ อยากเปลี่ยนที่เที่ยว หรือถึงได้ไปจริงๆ เทียบกับการพักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆ ก็ยังประหยัดเงินกว่าการพยายามไปเที่ยวตามโปรโมชั่นให้มันคุ้มที่ซื้อมา ดังนั้น พวกโปรโมชั่น จ่ายก่อน แล้วรับส่วนลดราคาถูก แนะนำให้คิดดีๆ ก่อนซื้อ ๕. สังสรรค์วันศุกร์ สนุกคืนเดียว ทุกข์ทั้งสัปดาห์ นอกจากการดื่มสุรานั้นผิดศีลข้อ ๕ แล้ว ยังเสี่ยงต่อการดูดเงินในกระเป๋าออกไปมากเกินความจำเป็น เพราะตอนสนุก ไม่คิดว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ ความยับยั้งชั่งใจไม่มี และถึงมี บางทีก็กลัวเสียหน้า พอเมากลับบ้านมา เสี่ยงประสบอุบัติเหตุ วันเสาร์ก็นอนซมทั้งวัน ต้องช่วยกันเตือน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2269
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การวางแผนการเงินให้พ่อแม่
null
การวางแผนการเงินให้พ่อแม่ จะต้องวางแผนโดยเน้นหลักสำคัญ 3 อย่าง อย่างแรกคือ การวางแผนเรื่องสุขภาพ โดยต้องวางแผนเรื่องค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วย และการทำประกันสุขภาพ อย่างที่สอง คือ การวางแผนค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ โดยต้องประเมินร่วมกับครอบครัวในการดำเนินชีวิตก่อนจะนำมาคำนวณ และอย่างสุดท้าย คือ การวางแผนการลงทุนให้พ่อแม่ ถ้ามีเงินเหลือ จะสามารถต่อยอดไปจัดพอร์ตลงทุนเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อได้ บทเรียนจากย่อหน้านี้ วางแผนการเงินให้พ่อแม่ ต้องเตรียมอะไรบ้าง? เมื่อรู้สถานะทางการเงินของพ่อแม่แล้ว ถัดมาคือการนำข้อมูลมาวางแผนอย่างรอบคอบ โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่ต้องทำแบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลักตามความสำคัญ ได้แก่ การซื้อประกันสุขภาพ, ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ และวางแผนลงทุนให้พ่อแม่ 1. วางแผนเรื่องสุขภาพ สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญของผู้สูงวัย ซึ่งมักจะเจ็บป่วยมากกว่าวัยหนุ่มสาว และตามมาด้วยค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น การซื้อประกันสุขภาพให้พ่อแม่ก็ดูเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มความอุ่นใจด้านสุขภาพแล้ว เรายังสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย 2. วางแผนค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ส่วนนี้จะต้องมาประเมินร่วมกันกับพ่อแม่ว่ามีไลพ์สไตล์การดำรงชีวิตอย่างไร โดยอาจจะเน้นเฉพาะค่าใช้จ่ายพื้นฐานอย่างค่ากิน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายจิปาถะในชีวิตประจำวัน แล้วค่อยนำส่วนนั้นมาคำนวณ โดยช่วงชีวิตของคนวัยเกษียณจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงอายุ คือ หนึ่ง… Go Go อายุ 60 – 70 ปี เปรียบเสมือนวัยรุ่นของคนเกษียณที่ยังมีแรง อยากไปเที่ยว ต้องการแฮปปี้กับชีวิต สอง… Slow Go อายุ 70 – 80 ปี ส่วนใหญ่จะเริ่มเข้าสู่การดูแลรักษาตัวเองจากวัยที่กำลังโรยรา สาม… No Go อายุ 80 ปีขึ้นไป คือช่วงที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนแล้ว อยู่ติดบ้าน หรือพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นหลัก เมื่อเห็นเป็นช่วงแบบนี้ก็สามารถจัดสรรเงินเตรียมไว้ให้กับพ่อแม่ได้ในเบื้องต้น อาจจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงไม่สูงนัก แต่ให้ผลตอบแทนกลับมาสม่ำเสมอ เพื่อนำผลตอบแทนส่วนนั้นมาเป็นค่าใช้จ่ายให้กับพ่อแม่ 3. วางแผนการลงทุนให้พ่อแม่ ในกรณีที่พ่อแม่อาจจะมี Wealth เหลือบางส่วนจากการทำงาน แต่ไม่ได้ถูกนำมาจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายก็จะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ที่มีลดลงตามกาลเวลา เพราะฉะนั้น หากมีเงินเหลือจากการดูแลสุขภาพและค่าใช้จ่ายหลังเกษียณแล้ว สามารถนำมาจัดพอร์ตลงทุนเพื่อให้ชนะเงินเฟ้อได้ แต่ก็ต้องไม่เสี่ยงเกินกว่าที่รับได้
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2271
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การอธิบาย คาดการณ์ และประเมินตลาดหรือดัชนีหุ้นของไทย โดยใช้ปัจจัยด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียน ตั้งแต่สิ้นเดือนส.ค. 66 ถึง วันที่ 7 ต.ค. 66
null
การอธิบาย คาดการณ์ และประเมินตลาดหรือดัชนีหุ้นของไทย โดยใช้ปัจจัยด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจัยนี้มีผลกระทบที่รุนแรงและมีผลกระทบโดยตรงต่อหุ้น ตั้งแต่สิ้นเดือนส.ค. 66 ถึง วันที่ 7 ต.ค. 66 คิดเป็นเวลาเพียงเดือนกว่าที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 8% และสืบเนื่องจากครึ่งปีแรกในปี 2566 มีกำไรรวมกัน 5 แสนล้าน ซึ่งลดลงจากปี 2565 ที่อยู่ที่ 6 แสนล้านบาท แสดงว่า มันเป็นปัจจัยลบที่ถึงแม้ว่าจะลบไปไม่มาก แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่ไปไหน เพราะกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียน ย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท อย่างต่อเนื่อง บทเรียนจากย่อหน้าข้าต้น ตั้งแต่สิ้นเดือนส.ค. 66 ถึง วันที่ 7 ต.ค. 66 คิดเป็นเวลาเพียงเดือนกว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 8% ไปแล้ว อานิสงส์ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการตกลงมาอย่างแรงของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเช่น ดัชนี S&P 500 ที่ตกลงมาประมาณ 4.4% และดัชนี NASDAQ ที่ตกลงมาประมาณ 4.3% ในช่วงเวลาเดียวกันโดยที่ดัชนีหุ้นสหรัฐที่ตกลงมาน่าจะมาจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางจนสูงขึ้นไปกว่า 5% ต่อปีไปแล้วและอาจจะมีโอกาสขึ้นต่อในอนาคตอีกด้วยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลงจนถึงจุดที่เหมาะสม แต่ความแตกต่างของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ว่า ตั้งแต่ต้นปีมานั้น ดัชนี S&P ยังบวกถึง 12.7% และ NASDAQ ยังบวกถึง 29.3% และยังเป็นระดับดัชนีที่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้ ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นยังต่ำกว่าดัชนีตอนต้นปีอยู่ถึง 13.8% และอยู่ในระดับประมาณเท่ากับเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ 1,438 จุด สถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้สำหรับทั้งตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศเขาเรียกกันว่า “เลือดนองตลาดหุ้น” ประเด็นที่มีผลรุนแรงและอาจจะมีผลโดยตรงต่อหุ้นก็คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ซึ่งในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีกำไรรวมกันประมาณ 5 แสนล้าน ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 6 แสนล้านบาทหรือประมาณ 17% ถ้าคิดว่าทั้งปีจะมีกำไร 1 ล้านล้านบาท ก็จะทำให้ปีนี้มีกำไรพอ ๆ กับปีที่แล้ว ซึ่งก็จะถือว่าไม่มีการเติบโต และนั่นก็ถือว่าเป็นปัจจัยลบอีกตัวหนึ่งแม้ว่าจะลบไม่มาก อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนหลังกลับไปประมาณ 5 ปี ก็จะพบอีกว่า กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนก็อยู่ในระดับนี้มาตลอดคือปีละประมาณ 1 ล้านล้านบาทมาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมในช่วงไม่น้อยกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ไม่ไปไหน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2273
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ คำพูดของ Larry Fink CEO ของ BlackRock ที่เตือนว่าโลกกำลังขาดความหวัง และเต็มไปด้วยความกลัวที่ตลาดหุ้นจะพังทลาย
null
Larry Fink CEO ของบริษัทบริหารสินทรัพย์การลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก BlackRock ได้กล่าวในการประชุม Berlin Global Dialogue 2023 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2023 ว่า "แม้ผมจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันโลกกำลังขาดความหวัง คนส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกลัวตลาดหุ้นพัง แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงชีวิตการทำงานตลอด 50 ปี" ซึ่งคำพูดนี้เขาเตือนว่า โลกกำลังขาดความหวัง และเต็มไปด้วยความกลัวที่ตลาดหุ้นจะพังทลาย เพราะเป็นปัญหาใหญ่ที่โลกกำลังเผชิญ แต่ก็ยังมีความหวังที่จะเห็นตลาดหุ้นยังไม่ล้มละลาย โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีสัดส่วนเงินออมสูงของรายได้อยู่ที่ 35% มากกว่าค่าเฉลี่ยของหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว บทเรียนจากย่อหน้านี้ "แม้ผมจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันโลกกำลังขาดความหวัง คนส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกลัวตลาดหุ้นพัง แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงชีวิตการทำงานตลอด 50 ปี" คำพูดที่แฝงไปด้วยความกังวลของ Larry Fink CEO ของ BlackRock บริษัทบริหารสินทรัพย์การลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งกล่าวในการประชุม Berlin Global Dialogue 2023 เมื่อวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2023 ที่ผ่านมา Larry Fink บอกว่าการขาดความหวังคือปัญหาใหญ่ที่โลกกำลังเผชิญในตอนนี้ เรากังวลว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ กังวลว่าตลาดหุ้นจะล่มสลาย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเวลานี้เป็นตัวอย่างที่ดีของความกลัว อย่างไรก็ตาม ในความกลัวย่อมมีความหวัง วิกฤตย่อมมีโอกาส ประชาชนชาวจีนมีสัดส่วนเงินออมสูงถึง 35% ของรายได้ ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง แม้คนจีนจะยังไม่กล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยมากนัก เพราะกังวลเกี่ยวกับอนาคตข้างหน้า แต่รัฐบาลยังมีเครื่องมือที่จะคอยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อยู่
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2274
Finance
จงสรุปเกี่ยวกับบทความ Bond Yield พุ่งสูง สัญญาณ higher for longer ชัด แต่ทำไมหุ้นสหรัฐฯ น่าสนใจ?
ช่วงที่ผ่านมา NASDAQ ร่วง -3.6% ส่วน S&P 500 ก็ลงตามไปติด ๆ -2.9% (1W %change) สาเหตุสำคัญคือเรื่องของ Bond Yield ที่ขยับเข้าใกล้จุดพีคจนไปกดดันหุ้นโดยเฉพาะหุ้นเติบโต หลังเฟดส่งสัญญาณชัดเจนเรื่องการ ‘คง’ อัตราเอาไว้ในระดับสูง (higher for longer) ในการประชุมที่ผ่านมา (1W %change) สาเหตุสำคัญคือเรื่องของ Bond Yield ที่ขยับเข้าใกล้จุดพีคจนไปกดดันหุ้นโดยเฉพาะหุ้นเติบโต หลังเฟดส่งสัญญาณชัดเจนเรื่องการ ‘คง’ อัตราเอาไว้ในระดับสูง (higher for longer) ในการประชุมที่ผ่านมา คำถามก็คือว่า เราควรถอยดีไหมสำหรับตลาดแห่งนี้? ตรงนี้เราให้คำตอบว่า ‘ไม่’ คำถามก็คือว่า เราควรถอยดีไหมสำหรับตลาดแห่งนี้? ตรงนี้เราให้คำตอบว่า ‘ไม่’ ถ้ามองแบบ Contrarian Investor สถานการณ์ในตลาดสหรัฐฯ ตอนนี้อาจเป็นโอกาสด้วยซ้ำ จากการที่ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในช่วงสุดท้ายของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ถ้ามองแบบ Contrarian Investor สถานการณ์ในตลาดสหรัฐฯ ตอนนี้อาจเป็นโอกาสด้วยซ้ำ จากการที่ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในช่วงสุดท้ายของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ Equity Performance by Region | Source: FINNOMENA FUNDS, Bloomberg as of 22 Sep 2023 Equity Performance by Region | Source: FINNOMENA FUNDS, Bloomberg as of 22 Sep 2023 ทำให้การเข้าลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ช่วยเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทน เมื่อจากอัตราดอกเบี้ยและ Bond Yield ที่ปรับลดลงหลังจากนี้ตามวัฏจักร ทำให้การเข้าลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงนี้ เมื่อจากอัตราดอกเบี้ยและ Bond Yield ที่ปรับลดลงหลังจากนี้ตามวัฏจักร ถึงตรงนี้ FINNOMENA FUNDS จะชวนทุกคนมาเจาะลึกกันมากขึ้นในเรื่องหุ้นสหรัฐฯ และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดกัน ถึงตรงนี้ FINNOMENA FUNDS จะชวนทุกคนมาเจาะลึกกันมากขึ้นในเรื่องหุ้นสหรัฐฯ และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดกัน ล้วงลึกหุ้นสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ย จุดที่ 1 … เรากำลังอยู่ท้าย Cycle การขึ้นดอกเบี้ย เราขอเริ่มต้นด้วยการยกเรื่อง Cycle การขึ้นดอกเบี้ยของ T. Rowe Price มาอธิบายให้ฟังกัน โดยทาง T. Rowe Price แบ่ง Cycle ตรงนี้ออกเป็น 4 เฟส คือ เราขอเริ่มต้นด้วยการยกเรื่อง Cycle การขึ้นดอกเบี้ยของ T. Rowe Price มาอธิบายให้ฟังกัน โดยทาง T. Rowe Price แบ่ง Cycle ตรงนี้ออกเป็น 4 เฟส คือ Strong upward trend: Bond Yield พุ่งขึ้นรวดเร็ว จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด Long sideways: Bond Yield ปรับขึ้นแบบ Sideways Final blow-off: Bond Yield พุ่งขึ้นรวดเร็วครั้งสุดท้าย เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย Powerful decrease: Bond Yield ร่วงลงอย่างรุนแรง (ส่งผลดีต่อหุ้น) Bond Yield พุ่งขึ้นรวดเร็ว จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด Bond Yield ปรับขึ้นแบบ Sideways Bond Yield พุ่งขึ้นรวดเร็วครั้งสุดท้าย Bond Yield ร่วงลงอย่างรุนแรง (ส่งผลดีต่อหุ้น) ที่น่าสนใจคือ การพุ่งขึ้นของ Yield ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาอย่างรุนแรง อาจบ่งบอกว่าเรากำลังอยู่ในเฟสที่ 3 (Final blow-off) ที่น่าสนใจคือ การพุ่งขึ้นของ Yield ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาอย่างรุนแรง เมื่อประกอบกับการที่เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วจากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อชะลอตัวลง ก็อาจนำไปสู่ Yield ที่ปรับตัวลงในเฟสถัดไป เมื่อประกอบกับการที่เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วจากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อชะลอตัวลง จุดที่ 2 … ประวัติศาสตร์ยืนยัน Bond Yield มักลด หลังขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ถ้ามองย้อนกลับไปสัก 30 ปี ตรงนี้มีข้อมูลยืนยันค่อนข้างชัดว่าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย สิ่งที่ตามมาคือ Bond Yield ที่ลดลงรุนแรง ถ้ามองย้อนกลับไปสัก 30 ปี ตรงนี้มีข้อมูลยืนยันค่อนข้างชัดว่าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย สิ่งที่ตามมาคือ Bond Yield ที่ลดลงรุนแรง US Bond Yield Performance 1982-2023 | Source: FINNOMENA FUNDS, Macrobond, U.S. Department of Treasury, Federal Reserve Bank of New York as of 25 Sep 2023 US Bond Yield Performance 1982-2023 | Source: FINNOMENA FUNDS, Macrobond, U.S. Department of Treasury, Federal Reserve Bank of New York as of 25 Sep 2023 และเมื่อ Bond Yield ลดลง ก็มาถึงคราวฟ้าเปิดของหุ้นสหรัฐฯ และเมื่อ Bond Yield ลดลง จุดที่ 3 … ตลาดมักบวก เมื่อเฟดหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย ผลตอบแทนของ S&P 500 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1971 แสดงให้เห็นว่าเมื่อ Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดหุ้นจะปรับตัวไปต่อ โดยในกรณีที่เราเจอในปัจจุบัน คือ กรณีของ Soft Landing (เมื่อกลับมาโตแบบชะลอตัวหลังเศรษฐกิจโตมามาก ๆ) ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 34% เลยทีเดียว (เส้นสีเขียว) ผลตอบแทนของ S&P 500 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1971 แสดงให้เห็นว่าเมื่อ Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดหุ้นจะปรับตัวไปต่อ โดยในกรณีที่เราเจอในปัจจุบัน คือ กรณีของ Soft Landing (เมื่อกลับมาโตแบบชะลอตัวหลังเศรษฐกิจโตมามาก ๆ) ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 34% เลยทีเดียว (เส้นสีเขียว) โดยคาดว่าในตอนนี้เราอาจโตได้ในระหว่างช่วงสีเขียวและส้ม ซึ่งถือว่าเป็นบวก โดยคาดว่าในตอนนี้เราอาจโตได้ในระหว่างช่วงสีเขียวและส้ม ซึ่งถือว่าเป็นบวก S&P 500 Performance after Fed stop hiking since 1971 | Source: FINNOMENA FUNDS, Macrobond, S&P Global as of 25 Sep 2023 S&P 500 Performance after Fed stop hiking since 1971 | Source: FINNOMENA FUNDS, Macrobond, S&P Global as of 25 Sep 2023 จึงพูดได้ว่าแม้หุ้นสหรัฐฯ จะปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาจาก Bond Yield ที่พุ่งรุนแรง แต่ตรงนี้กลับเป็นโอกาสที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการลงทุนในตลาดสหรัฐฯ จากการที่การพุ่งขึ้นครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเข้าสู่ปลายวัฏจักรดอกเบี้ย จึงพูดได้ว่าแม้หุ้นสหรัฐฯ จะปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาจาก Bond Yield ที่พุ่งรุนแรง แต่ตรงนี้กลับเป็นโอกาสที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการลงทุนในตลาดสหรัฐฯ จากการที่การพุ่งขึ้นครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเข้าสู่ปลายวัฏจักรดอกเบี้ย ซึ่งเมื่อ Bond Yield ลดลง ก็จะช่วยคลายความกดดัน และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเติบโต
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา NASDAQ ร่วง -3.6% ส่วน S&P 500 ก็ลงตามไปติด ๆ -2.9% (1W %change) สาเหตุสำคัญคือเรื่องของ Bond Yield ที่ขยับเข้าใกล้จุดพีคจนไปกดดันหุ้นโดยเฉพาะหุ้นเติบโต หลังเฟดส่งสัญญาณเรื่องการ ‘คง’ อัตราเอาไว้ในระดับสูง (higher for longer) ในการประชุมที่ผ่านมา ถ้ามองแบบ Contrarian Investor สถานการณ์ในตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นการสร้างผลตอบแทน เมื่ออัตราดอกเบี้ยและ Bond Yield ที่ปรับลดลงหลังจากนี้ตามวัฏจักร FINNOMENA FUNDS จะชวนมาเจาะลึกในเรื่องหุ้นสหรัฐฯ และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดกัน คือ จุดที่ 1 เรากำลังอยู่ท้าย Cycle การขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจาก Cycle แบ่งออกเป็น 4 เฟส โดย 1. Strong upward trend: Bond Yield พุ่งขึ้นรวดเร็ว จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด 2. Long sideways: Bond Yield ปรับขึ้นแบบ Sideways 3.Final blow-off: Bond Yield พุ่งขึ้นรวดเร็วครั้งสุดท้าย เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย 4. Powerful decrease: Bond Yield ร่วงลงอย่างรุนแรง (ส่งผลดีต่อหุ้น) ดังนั้น การที่เราอยู่ท้าย Cycle การขึ้นดอกเบี้ย คือ อยู่ในช่วงเฟสที่ 3 ซึ่งจะนำไปสู่ Yield ที่ปรับตัวลงในเฟสถัดไป จุดที่ 2 ประวัติศาสตร์ยืนยัน Bond Yield มักลด หลังขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย จากข้อมูล 30 ปีที่แล้ว ค่อนข้างชัดเจนว่าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย สิ่งที่ตามมาคือ Bond Yield ที่ลดลงรุนแรง จุดที่ 3 ตลาดมักบวก เมื่อเฟดหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากผลตอบแทนของ S&P 500 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1971 ทำให้เห็นว่าเมื่อ Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดหุ้นจะปรับตัวไปต่อ ซึ่งที่เราเจอในปัจจุบัน คือ กรณีของ Soft Landing (เมื่อกลับมาโตแบบชะลอตัวหลังเศรษฐกิจโตมามาก ๆ) ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 34% เลยทีเดียว ดังนั้น แม้หุ้นสหรัฐฯจะปรับลดลงในช่วงที่ Bond Yield ที่พุ่งรุนแรง กลับเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการลงทุนในตลาดสหรัฐฯ อย่างยิ่ง เพราะอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเข้าสู่ปลายวัฏจักรดอกเบี้ย และเมื่อ Bond Yield ลดลง ก็จะช่วยคลายความกดดัน และทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเติบโต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2278
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
null
หุ้นเปลี่ยนชีวิต คือ หุ้นที่มีการลงทุนและซื้อไปแล้ว แต่มูลค่าหุ้นมีการปรับตัวแบบมหาศาลเป็นหลาย ๆ เท่า โดยใช้เวลาไม่นาน และขายหุ้นไปพร้อมกับกำไรที่มีมากมายมหาศาล ไม่ใช่เหตุเพราะลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก แต่เป็นเพราะยังใช้บล็อกเทรดที่ขยายกำไรได้อีกหลายเท่าตัว หลังจากขายหุ้นออกไป ชีวิตของคนที่ลงทุนกับหุ้นตัวนั้นก็เปลี่ยนไป จากนักลงทุนธรรมดา ให้กลายมาเป็นเศรษฐี เพียงเพราะการลงทุนจากหุ้นที่ได้ชื่อว่าเป็นหุ้นเปลี่ยนชีวิต แต่สุดท้ายจบลงที่หุ้นที่เปลี่ยนชีวิตตกลงมาอย่างรุนแรง เพราะมีสิ่งที่ขับเคลื่อนให้หุ้นได้ผลดี แต่ผลิกกลับในทางตรงข้าม บทเรียนจากย่อหน้านี้ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทุกคนเชื่อว่าจะต้องเคยลงทุนในหุ้นบางตัวที่วงการนักลงทุนผู้มุ่งมั่นเรียกว่าเป็น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” นั่นก็คือหุ้นที่เขาลงทุนซื้อแล้ว ราคา หรือมูลค่าของหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากแบบ “มโหฬาร” บางทีเป็นหลาย ๆ เท่าหรือถึง 10 เท่าในเวลาไม่นาน อาจจะแค่ปีหรือสองปีหรือบางทีน้อยกว่านั้น แล้วเขาก็ขายไปพร้อม ๆ กับกำไรมหาศาล ไม่ใช่เพราะว่าเขาลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขายังใช้มาร์จินหรือใช้บล็อกเทรดที่ขยายกำไรได้อีกเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว หลังจากการขายหุ้นออกไป ชีวิตเขาก็เปลี่ยน จากนักลงทุนธรรมดาก็กลายเป็น “เศรษฐี” หุ้นตัวนั้นก็กลายเป็น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” ของเขา หลังจากนั้น หุ้นตัวนั้นก็ตกลงมาอย่างแรง บางทีกลับมาเท่าเดิมตอนที่เขาซื้อหรือต่ำกว่า เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนให้หุ้นขึ้นไปเช่นผลกำไรที่ดีเลิศและเรื่องราวในอนาคตที่สวยหรูไม่ได้ดำเนินต่อไปแต่กลับไปในทางตรงกันข้าม กำไรของบริษัทที่เคยสูงหลุดโลกตกลงมามาก บางทีกลายเป็นขาดทุน อนาคตที่สวยหรูไม่เป็นไปตามที่คนเชื่อ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2279
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Stocks) หรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับ 1. เป้าหมายการลงทุน : Yes: หากต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในระยะยาว No: หากต้องการเงินปันผลสม่ำเสมอ หรือ ต้องการความเสี่ยงต่ำ 2. ระยะเวลาการลงทุน : Yes: หากต้องการลงทุนระยะยาว (มากกว่า 5 ปี) No: หากต้องการลงทุนระยะสั้น 3. ความเสี่ยง : Yes: หากรับความเสี่ยงได้สูง No: หากรับความเสี่ยงได้ต่ำเหตุผล : - หุ้นเติบโต : - มีศักยภาพสร้างผลตอบแทนสูง: - ธุรกิจมีการเติบโตสูงราคาหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมีความเสี่ยงสูง: - ธุรกิจมีความผันผวน ราคาหุ้นอาจปรับตัวลงอย่างรุนแรง -ไม่จ่ายเงินปันผล: - นำเงินไปลงทุนต่อเพื่อขยายธุรกิจเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงรับความเสี่ยงได้ ลงทุนระยะยาว ตัวอย่าง : บริษัทเทคโนโลยี : มีโอกาสเติบโตสูง ราคาหุ้นมีความผันผวนไม่จ่ายเงินปันผล ข้อควรระวัง: การคัดเลือกหุ้น: - ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด - เลือกบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน การกระจายความเสี่ยง : -ไม่ควรลงทุนในหุ้นเติบโตเพียงอย่างเดียว - ควรลงทุนในหุ้นประเภทอื่นด้วย สรุป: - หุ้นเติบโต: เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง รับความเสี่ยงได้ ลงทุนระยะยาว - นักลงทุนรายย่อย: ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ประเมินความเสี่ยง กระจายความเสี่ยง คำแนะนำ: - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน - ศึกษาข้อมูลบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_228
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "DeFi คืออะไร ?" ให้หน่อยค่ะ
DeFi คืออะไร ? ​ [ประเด็นที่สำคัญ] DeFi คือระบบการเงินแบบใหม่ ที่ตัดตัวกลางในขั้นตอนทำธุรกรรมออกไป โดยแทนที่ด้วยคำสั่งโปรแกรมที่เรียกว่า Smart Contract ในการทำธุรกรรมแทน โดยปัจจุบัน DeFi มีบริการด้านการเงินครอบคลุม ตั้งแต่การใช้จ่าย ออมเงิน กู้ยืม ประกัน ไปจนถึงการลงทุน ปกติแล้ว คนส่วนใหญ่พึ่งพาสถาบันการเงินในการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝากออมทรัพย์ การค้ำประกัน หรือการกู้ยืม โดยสถาบันเหล่านี้ ถือเป็นบุคคลที่ 3 ที่มีอำนาจในการควบคุมบัญชีทั้งหมดของเรา และทำหน้าที่เป็นตัวกลางเวลาที่เราทำธุรกรรม ข้อดีคือ มีความน่าเชื่อถือและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลาง ทั้งหมดนี้ เราเรียกว่า Centralized Finance หรือ CeFi หมายถึง ระบบการเงินแบบรวมศูนย์ อย่างไรก็ตาม “ตัวกลาง” ก็ได้เริ่มถูกละลายหายไปในหลายอุตสาหกรรมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนมาถึงการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งเราเรียกมันว่า Decentralized Finance หรือ DeFi DeFi ได้เข้ามาตัดสถาบันการเงินหรือตัวกลางในขั้นตอนการทำธุรกรรมทั้งหมดออกไป โดยแทนที่ด้วยการทำงานของ Code หรือรหัสคำสั่งโปรแกรมที่เรียกว่า Smart Contract ซึ่งจะระบุว่าเราเท่านั้นที่สามารถทำธุรกรรมของตนเองได้ ทั้งนี้ DeFi ถูกพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยี Blockchain ที่มีหน้าที่ประกาศธุรกรรมที่เราทำให้ทุกคนในระบบรับรู้ไปด้วยกัน แปลว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสามารถเข้ามาแก้ไขข้อมูลของเราได้ นอกจากนี้ อีกข้อได้เปรียบของ DeFi ก็คือ ตัดค่าธรรมเนียมของบุคคลที่ 3 ทิ้งไป ทำให้เราทำธุรกรรมได้ถูกลง และธุรกรรมสามารถทำได้รวดเร็ว เพราะเป็นคำสั่งโปรแกรมอัตโนมัติที่ทำได้ทันที ตัวอย่างบริการของ DeFi - Compound แพลตฟอร์มสำหรับฝากและกู้ยืมเงิน ทำหน้าที่คล้ายกับธนาคารตรงที่รับฝากเงินและนำไปปล่อยให้ผู้อื่นกู้ยืม จะต่างกันตรงที่เพราะ DeFi จะใช้คริปโทเคอร์เรนซี เป็นตัวค้ำประกัน ดังนั้นการยึดหลักทรัพย์ค้ำประกันบน DeFi ก็จะทำได้โดยอัตโนมัติ และสามารถบังคับขายได้ทันที - Uniswap แพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนสกุลคริปโทเคอร์เรนซี เปรียบเสมือน Superrich ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ - Synthetix ให้บริการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่เลียนแบบสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น น้ำมัน ทองคำ ซึ่งทำให้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากทั้งหมดนี้ พอสรุปได้ว่า ระบบ DeFi มีบริการด้านการเงินครอบคลุม ตั้งแต่การใช้จ่าย ออมเงิน กู้ยืม ประกัน ไปจนถึงการลงทุน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าระบบ DeFi เพิ่งจะเกิดขึ้นมาไม่นานเมื่อเทียบกับระบบการเงินหลัก ซึ่งระหว่างนี้มันยังมีช่องว่างอีกมาก และกฎหมายในหลายประเทศ ก็ยังไม่ได้คุ้มครองเหล่าผู้ลงทุน
DeFi หรือ Decentralized Finance คือ ระบบการเงินแบบใหม่ ที่ตัดตัวกลางในขั้นตอนทำธุรกรรมออกไป โดยแทนที่ด้วยคำสั่งโปรแกรมที่เรียกว่า Smart Contract ในการทำธุรกรรมแทน โดยในปัจจุบัน DeFi มีบริการด้านการเงินครอบคลุม ตั้งแต่การใช้จ่าย ออมเงิน กู้ยืม ประกัน ไปจนถึงการลงทุน DeFi ได้เข้ามาตัดสถาบันการเงินหรือตัวกลางในขั้นตอนการทำธุรกรรมทั้งหมดออกไป โดยแทนที่ด้วยการทำงานของ Code หรือรหัสคำสั่งโปรแกรมที่เรียกว่า Smart Contract ซึ่งจะระบุว่าสามารถทำธุรกรรมของตนเองได้ DeFi ถูกพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยี Blockchain ที่มีหน้าที่ประกาศธุรกรรมที่ทำให้ทุกคนในระบบรับรู้ไปด้วยกัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสามารถเข้ามาแก้ไขข้อมูลได้ นอกจากนี้ DeFi จะตัดค่าธรรมเนียมของบุคคลที่ 3 ทิ้งไป ทำให้ทำธุรกรรมได้ถูกลง และธุรกรรมสามารถทำได้รวดเร็ว เพราะเป็นคำสั่งโปรแกรมอัตโนมัติที่ทำได้ทันที ตัวอย่างบริการของ DeFi เช่น - Compound แพลตฟอร์มสำหรับฝากและกู้ยืมเงิน ทำหน้าที่คล้ายกับธนาคารตรงที่รับฝากเงินและนำไปปล่อยให้ผู้อื่นกู้ยืม จะต่างกันตรงที่เพราะ DeFi จะใช้คริปโทเคอร์เรนซี เป็นตัวค้ำประกัน ดังนั้น การยึดหลักทรัพย์ค้ำประกันบน DeFi ก็จะทำได้โดยอัตโนมัติ และสามารถบังคับขายได้ทันที - Uniswap แพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนสกุลคริปโทเคอร์เรนซี เปรียบเสมือน Superrich ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ - Synthetix ให้บริการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่เลียนแบบสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น น้ำมัน ทองคำ ซึ่งทำให้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สรุปว่า ระบบ DeFi มีบริการด้านการเงินครอบคลุม ตั้งแต่การใช้จ่าย ออมเงิน กู้ยืม ประกัน ไปจนถึงการลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2282
Finance
4 ขั้นตอนวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาบุตร มีอะไรบ้าง
null
4 ขั้นตอนวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาบุตร 1. เป้าหมาย อะไรคือเป้าหมายของพ่อแม่ ที่จะส่งลูกไปเรียน เรียนการศึกษาแบบไหน ต้องการส่งถึงระดับไหน กรณีตัวอย่างมีเป้าหมายดังนี้ ข้อมูลบุตร บุตรชาย อายุ 1 ขวบ พ่อต้องการให้เรียนหลักสูตร International ตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 หลังจากนั้น ก็ส่งลูกไปเรียนที่สิงคโปร์ตั้งแต่ ม.1 เป็นต้นไป ต้องการส่งลูกเรียนจนถึงระดับ ปริญญาโท ข้อมูลของคุณพ่อ: อายุ 35 ปี อาชีพ นักธุรกิจ ต้องการลงทุน 10 ปี เพื่อเตรียมเงินเพื่อจ่ายค่าเทอมตั้งแต่ ม.1 – ปริญญาโท 2. ประเมินค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ขั้นตอนต่อมา คือ ต้องรู้ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไร ผู้ปกครองต้องหาข้อมูล ยิ่งลึกและเที่ยงตรงเท่าไร ยิ่งดี การวางแผนก็จะถูกต้องมากขึ้น จากข้อมูลข้างล่าง ได้ทำการประเมินว่า -ค่าใช้จ่ายเรียน อนุบาลแบบ Inter อยู่ที่ปีละ 250,000 บาท -ค่าใช้จ่ายเรียน ประถมแบบ Inter อยู่ที่ปีละ 300,000 บาท -ค่าใช้จ่ายเรียนมัธยมที่สิงคโปร์อยู่ที่ปีละ 1,000,000 บาท -ค่าใช้จ่ายเรียน ป.ตรีและป.โท ต่างประเทศ อยู่ที่ปีละ 1,500,000 บาท เมื่อรู้ค่าใช้จ่ายต่อปี ก็นำมาทำการประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยคิดเงินเฟ้อ 2.5% เข้าไปด้วย ค่าใช้จ่ายการศึกษาทั้งหมด ถ้าไม่คิดเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 17 ล้าน แต่ถ้าคิดเงินเฟ้อ อยู่ที่ 26 ล้าน เฉพาะค่าใช้จ่ายการศึกษา ม.1 – ปริญญาโท จะอยู่ที่ 15 ล้าน แต่ถ้ารวมเงินเฟ้อ อยู่ที่ 23.5 ล้าน จะเห็นได้ว่า ยิ่งนานปี เงินเฟ้อก็จะทำให้ค่าเทอมแพงขึ้นตามปี ยิ่งเวลานาน ยิ่งแพง ผลต่อระหว่างคิดเงินเฟ้อ กับ ไม่คิดเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น เช่น ตอน ม.6 ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 1 ล้านบาท แต่ถ้ารวมเงินเฟ้อจะกลายเป็น 1.52 ล้าน เพิ่มขึ้นถึง 52% 3. วางแผนการลงทุน เมื่อทราบถึงค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้แล้ว ก็มากำหนดเป้าหมายและระยะเวลาในการลงทุน 4. วางแผนจัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความล้มเหลวของแผน หลักใหญ่ คือ ผู้ปกครองเสียชีวิต การวางแผนจัดการความเสี่ยงคือ การทำประกันชีวิต ดังนั้น สิ่งที่ควรจะทำคือ -ประเมินทุนประกันที่จะต้องมี -กำหนดเป้าหมายในการทำประกันชีวิต -หาแบบประกันที่เหมาะกับเป้าหมาย
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2286
Finance
วิธีทำกำไรจากหุ้นแบบ “อยู่ดีกินดี”ต้องทำอย่างไร?
null
ถ้าโจทย์ของคุณคือ “ต้องสร้างผลตอบแทนจากตลาดหุ้น ด้วยการลงทุนในบริษัทน้ำดี ที่ผลประกอบการมีกำไรต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจที่อยู่ในกระแสความสนใจ”หุ้นกลุ่ม “อยู่ดีกินดี” น่าจะเป็นทางออกให้คุณได้ ความจริงแล้วหุ้นกลุ่ม “อยู่ดีกินดี” เป็นธุรกิจที่อยู่ใกล้ตัวทุกคนอย่างมาก และเป็นกลุ่มมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาโดยตลอด จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ นำมาจัดทำดัชนีใหม่ ที่ชื่อว่า “SET Well-being” (SETWB) ซึ่งเป็นดัชนีที่คำนวณจากหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 7 หมวดธุรกิจ ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน และเป็นธุรกิจที่ผู้ลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ โดยหลักเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นที่ใช้คำนวณในดัชนี SETWB นั้น จะพิจารณาจาก 7 หมวดธุรกิจ ได้แก่ หมวดธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) พาณิชย์ (Commerce) แฟชั่น (Fashion) อาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) การแพทย์ (Health Care Services) การท่องเที่ยวและสันทนาการ (Tourisms & Leisure) และขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) มั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นหุ้นดี? นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยว่า หุ้นในกลุ่ม SETWB นั้น เป็นบจ. ที่มีศักยภาพดี นั่นก็เป็นเพราะ กว่าที่จะถูกคัดเลือกเข้ามาในกลุ่มดัชนีนี้ได้ บจ. ต้องผ่านการคัดกรองหลายด่านเลยทีเดียว ทั้งในเรื่อง สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยและความเหมาะสมด้านสภาพคล่องของหุ้น โดยบจ.ใน SETWB นั้น ต้องมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่น้อยกว่า 20% และเป็นหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จำนวนหุ้นที่ซื้อขายในแต่ละเดือน ต้องมีสัดส่วนอย่างน้อย 0.5% ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนของบริษัทเป็นระยะเวลาอย่างต่ำ 9 เดือนจาก 12 เดือนในช่วงที่พิจารณา ผลประกอบการดีต่อเนื่อง หุ้นที่อยู่ในดัชนีนี้ ต้องมีกำไรอย่างน้อย 2 ใน 3 ปีล่าสุด (เมื่อพิจารณาจากงบการเงินรวม) ทำให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจในดัชนี SETWB มีเสถียรภาพในการดำเนินกิจการอยู่ในระดับที่ดี และเมื่อผ่านคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมด หุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงสุด 30 ลำดับแรกที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ก็จะถูกนำเข้าเป็นองค์ประกอบของดัชนี SETWB ประเทศไทยกับเรื่อง “กินดีอยู่ดี”
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2289
Finance
จงบอกวิธีเสี่ยงโชคกับหวยอย่างมีหลักการให้หน่อย
null
คนทั่วไปจะเฉลี่ยซื้อหวยกัน 12 ครั้งต่อปี และใช้เงินกับมันไปปีละประมาณ 5 พันบาท ซึ่งไหนๆ ก็จะเล่นเกมพนันนี้แล้ว สู้เล่นให้ถูกกฎหมายจะดีกว่า ให้เจ้ามือเป็นสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพราะรายได้ย้อนหลังตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาทเลยดีเดียว ถือว่าเสี่ยงโชคเพื่อช่วยชาติ ทุกๆ วันที่ 1 และ 16 ของเดือน จะเป็นวันแห่งความหวังของคนหลายคน บางคนก็ได้เลขเด็ดมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็ฝันบอกลางมาแต่ไกล แล้วแต่จะตีความกันต่างๆ นานา เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยก่อนนั้น หลักคณิตศาสตร์ได้ถูกนำมาใช้ในการคำนวณเพื่อชิงไหวชิงพริบให้อีกฝ่ายได้เปรียบมากที่สุด และก็ถูกขยายผลมาสู่การพนันม้า การพนันบอล จนเป็นที่มาในวงการพนันสมัยใหม่ที่ต้องมีการจ้างนักคณิตศาสตร์ฯ ไปคำนวณและออกแบบเกมต่างๆ ในบ่อนคาสิโน รวมถึงเกมโชว์ต่างๆ ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ เจ้ามือหวยใต้ดินก็เช่นกัน ที่มีการนำหลักการทางคณิตศาสตร์ประกันภัย 3 ข้อดังต่อไปนี้มาใช้ แต่ก่อนจะอ่านในรายละเอียด ขอให้ทำใจไว้ก่อนนะว่า อ่านจบแล้วอาจจะมีโอกาสแทงหวยได้ถูกมากขึ้น หรือไม่ก็อาจจะเลิกเล่นหวยกันไปเลย ความน่าจะเป็น (Probability) ถ้าเรียกกันง่ายๆ ก็คือ การคำนวณหาค่าของโอกาสที่จะเกิดขึ้น เช่น ลูกเต๋าที่มี 6 หน้า การจะออกหน้าใดหน้าหนึ่งก็คือ มีโอกาส 1 ใน 6 ซึ่งถ้าเราเปรียบเลขท้าย 2 ตัว เหมือนกับ ลูกเต๋าที่มี 100 หน้าโอกาสที่จะถูกเลขท้าย 2 ตัว ก็คือ 1 ใน 100 (หรือ 1%) นั่นเอง ถ้าเป็นเลขท้าย 3 ตัว ก็มีโอกาสเป็น 1 ใน 1,000 และถ้าสามารถใส่เงื่อนไขต่างๆ เช่น ให้มันกลับไปกลับมาได้ โอกาสก็จะได้มากขึ้น ค่าคาดหวัง (Expected Value) เป็นการนำโอกาสที่จะเกิดขึ้นมาคำนวณหาต้นทุนของสิ่งต่างๆ เช่น ถ้าเจ้ามือบอกว่า การแทงถูกงวดนึงจะให้เงิน 2,000 บาท โดยถ้ามีโอกาสของเลขท้าย 2 ตัว คือ 1 ใน 100 แล้ว ต้นทุนของเกมครั้งนี้จะเป็น 20 บาท (คือ 1% ของ 2,000 บาท) ดังนั้นจะเห็นว่าเจ้ามือจะต้องคำนวณต้นทุนเฉลี่ยให้ได้เสียก่อน และจะไม่มีวันขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะต้นทุนและราคาทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว กฎของจำนวนมาก (law of large numbers) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เจ้ามือไม่เจ๊ง เพราะหลักการอยู่ที่ว่า ยิ่งมีจำนวนครั้งหรือจำนวนของคนที่เล่นมีมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้ค่าเฉลี่ยไม่เพี้ยนไปจากที่คาดไว้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ คนที่ซื้อสลากออมสินเป็นปึก ก็จะมีโอกาสถูกเลขรางวัลอยู่เสมอ หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ ให้คน 100 คน แทงเลข 100 ตัวกับเจ้ามือ โดยเลขไม่ซ้ำกันแล้ว ก็จะทำให้เจ้ามือ จ่ายแค่ 1 คนเท่านั้น หรือไม่ก็ถ้าเราแทงเลขเดิมซ้ำๆ ไป 100 ครั้ง มันก็จะมีโอกาสที่ได้ถูกกับเขาบ้างสักครั้ง เป็นต้น รับรองว่าทางเจ้ามือนั้นก็มีเลขเด็ดจากเจ้าพ่อใบ้หวยในแต่ละสำนักเก็บไว้อยู่ในมือมากกว่าคนเล่นหวยเสียอีก แต่นั่นก็เพื่อเอามาประกอบกับการทำสถิติและคำนวณความเสี่ยงเอาไว้ เพราะปกติแล้ว เจ้ามือหวยไม่สามารถบอกว่าเลขที่ออกนั้นจะออกมาเป็นเลขอะไร แต่จะสามารถคำนวณหน้าตักของตัวเองได้ว่า ถ้าเลขออกมาเป็นแบบไหนแล้ว จะยังได้กำไรอยู่หรือขาดทุน และอาจจะมีการคำนวณในการปรับราคา หรือมีสิทธิ์ไม่รับในบางเลขก็ได้ ถ้ามันไม่เข้าสู่หลักการ 3 ข้อดังกล่าวนี้ นั่นหมายความว่า ถ้างวดไหนมีเจ้าพ่อหรือเจ้าแม่อวยเลขเด็ดมาให้ แล้วทุกคนแห่กันเข้าไปแทงแต่เลขนี้กันหมด เจ้ามือก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นเพราะจะทำให้ค่าเฉลี่ยเพี้ยนไป และไม่เข้าสู่กฎข้อนี้ เพราะทุกคนกระจุกตัวไปกับเลขเดียวกันหมด เจ้ามือจะจัดการความเสี่ยงส่วนนี้ด้วยการบริหารเงินหน้าตักว่ารับได้มากสุดเท่าไร สุดท้ายนี้ คนที่ซื้อหวยควรรู้อยู่เต็มอกว่าค่าเฉลี่ยของสิ่งที่จะได้กลับคืนมาจากการเล่นหวยนั้น จะมีมูลค่าน้อยกว่าราคาที่เสียเงินซื้อไปแน่นอน เพียงแต่การซื้อหวยของใครบางคนนั้นทำเพื่อได้ความสนุกในการเสี่ยงโชค หรือเพียงซื้อความฝันไปด้วยเท่านั้น
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_229
Finance
ข้อใด ไม่จัดเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศไทย
A. เงินสกุลดอลลาร์ ที่ชาวไทยในสิงคโปร์โอนเงินกลับมาประเทศไทย B. เงินสกุลหยวน ที่ผู้ประกอบการในประเทศไทยนำมาแลกกับธนาคารแห่งประเทศไทย C. เงินสกุลบาท ที่ครอบครองโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF D. เงินสกุลเยน ที่ชาวญี่ปุ่นที่มาแลกเป็นเงินสกุลบาทเพื่อใช้จ่ายตอนท่องเที่ยวประเทศไทย
ข้อที่ถูกต้องคือ C. เพราะว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศคือ “สินทรัพย์ต่างประเทศ” ที่อยู่ภายใต้การครอบครอง และควบคุมโดยธนาคารกลาง ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยสินทรัพย์ที่ถือครอง จะประกอบด้วย - สกุลเงินต่างประเทศ - พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ - สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF - สิทธิพิเศษถอนเงิน หรือ Special Drawing Rights (SDR) - ทองคำ ดังนั้น จากตัวเลือกข้างต้น ท่านสามารถตอบได้ว่า ข้อที่ไม่จัดเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศไทย คือข้อ “ เงินสกุลบาท ที่ครอบครองโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF“ ด้วยเหตุผลที่ว่า 1. ไม่ใช่สกุลเงินต่างประเทศ 2. ไม่ได้ครอบครองโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และนอกจากนี้ เงินทุนสำรองที่เป็นสกุลต่างประเทศ สามารถมีแหล่งที่มาได้ดังนี้ - จากผู้ประกอบการในประเทศไทย ที่ส่งออกสินค้า แล้วได้รับเป็นเงินสกุลต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือหยวน - จากผู้ประกอบการในประเทศไทย ที่นำเงินจากการส่งออกและสกุลต่างประเทศมาแลกกลับไปเป็นสกุลเงินบาท - จากชาวต่างชาติต้องการเข้ามาเที่ยว หรือลงทุนในประเทศไทย ที่นำเงินสกุลต่างประเทศของตัวเอง มาแลกเป็นสกุลเงินบาท เพื่อใช้ท่องเที่ยวและลงทุน - จากชาวไทยที่ไปทำงานที่ต่างประเทศ แล้วโอนเงินสกุลต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศไทย และมีการแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศนั้นกลับไปเป็นสกุลเงินบาท
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2291
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีทำให้ได้รับกำไรมากที่สุดจากการทบต้น
null
สำหรับการทบต้นนั้น จะมีวิธีที่จะได้รับเงินมากที่สุด อยู่ 3 วิธี วิธีแรก คือ การลงทุนในระยะยาว วิธีที่สอง คือ การลงทุนเงินปันผลซ้ำ และวิธีสุดท้าย คือ การเพิ่มเงินลงทุนอย่างสม่ำเสมอในทุกเดือน ทั้งนี้เหตุผลที่จะต้องมีการเลื่อนการลงทุน อาจเป็นเพราะตลาดแพงเกินไป แต่ในความเป็นจริงตลาดมีความเกี่ยวข้องที่น้อยลง เมื่อระยะเวลาการลงทุนนั้นเพิ่มขึ้น ประโยชน์จากการทบต้นก็คือ ทำให้การลงทุนมีการเจริญเติบโตและมีเงินสะสมแบบฟรี ๆ บทเรียนจากย่อหน้านี้ วิธีทำให้ได้รับกำไรมากที่สุดจากสิ่งมหัศจรรย์ของโลก สิ่งที่ 8 (การทบต้น) วิธีที่จะได้รับเงินจากการทบต้นมากที่สุด มีวิธีปฏิบัติอยู่ 3 วิธี: 1. ลงทุนในระยะยาว 2. ลงทุนเงินปันผลซ้ำ 3. เพิ่มเงินลงทุนสม่ำเสมอในทุกๆ เดือน ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่หลายๆ คนสามารถหาเหตุผลเพื่อเลื่อนการลงทุนในตอนนี้ หรือเลื่อนการเพิ่มเงินลงทุนสม่ำเสมอในพอร์ต หนึ่งในสาเหตุอาจมาจากการที่ตลาดแพงเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลาดเริ่มมีความเกี่ยวข้องน้อยลงเมื่อระยะเวลาการลงทุนเพิ่มขึ้น ประเด็นหลักคือต้องการสื่อถึงการทบต้นที่มีเงินที่ได้รับแบบฟรีๆ อีกเยอะให้ได้สะสม ถ้าไม่เริ่มลงทุน จะไม่ได้รับประโยชน์จากการทบต้นเลย การทบต้นเป็นวิธีที่ทำให้เมล็ดเงินเจริญเติบโตเป็นต้นไม้แข็งแรงและยิ่งใหญ่ การทบต้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสิ่งที่ 8 อย่างแท้จริง
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2293
Finance
แต่งนิยายเรื่อง "เดินทางของนักลงทุนชัญญา กับลงทุนในความเชื่อ หรือ การวิเคราะห์ข้อมูล?"
null
หัวข้อ "สถิติบอกว่า … Sell in May and Go Away" เป็นเรื่องที่เล่าถึงความเชื่อทางการเงินที่กลายเป็นสำคัญในวงการการลงทุนโลก ที่ส่งผลต่อการดำเนินการลงทุนของผู้ลงทุนต่าง ๆ ในตลาดทุน โดยมีการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างฤดูกาลและการเงิน นักลงทุนชาวเมืองคานาอัน ชื่อชัญญา ที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคำกล่าวที่ว่า "Sell in May and Go Away" จากประสบการณ์ของบริวารสมัยก่อน ผู้ที่เคยสังเกตุว่าในช่วงฤดูร้อนของ เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ตลาดทุนมักจะมีความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและสภาพการเงินโดยรวมของโลก ชัญญาเริ่มเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ ก็เริ่มมองหาข้อมูลสถิติและการวิเคราะห์ต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบความเชื่อนี้ เป็นที่เรียบร้อย ชัญญาได้พบว่ามีความจริงจากข้อมูลสถิติที่แสดงให้เห็นว่าใน ช่วงเวลาที่กล่าวถึง ตลาดทุนมักจะมีแนวโน้มที่ไม่ค่อยแข็งแกร่งและอาจมีการลดลงบ้าง การตัดสินใจของนักลงทุนชัญญา ว่าจะทำตามคำแนะนำเก่าๆ หรือจะเลือกที่จะไม่ยอมรับความเชื่อนี้ และตัดสินใจด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและความรู้สึกของตัวเอง เรื่องราวนี้มอบความ คิดถึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อทางศาสตร์และการตัดสินใจในการลงทุนของมนุษย์โดยเฉพาะ ผ่านการตัดสินใจที่ซับซ้อนและการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนในตลาดทุน ชัญญาได้รับประสบการณ์และเรียนรู้ว่าการลงทุนไม่เพียงแต่เรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่ถูกต้องและความเข้าใจในพฤติกรรมของตลาด นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อเข้าใจและปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในตลาดทุนแห่งนี้
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2303
Finance
"การคัดกรองหุ้นคุณค่า (Value Stock) โดยใช้ระบบ Quantitative Value เป็นการคัดกรองหุ้นที่มีคุณภาพสูงเสมอไปหรือไม่?"
null
ไม่ เหตุผล: ระบบ Quantitative Value เน้นการคัดกรองหุ้นที่มีมูลค่าต่ำ โดยใช้อัตราส่วนทางการเงิน เช่น P/E Ratio, P/BV, ROE หุ้นที่มี P/E Ratio ต่ำ อาจหมายถึงราคาหุ้นต่ำ แต่ไม่ได้แปลว่ากิจการมีคุณภาพดีเสมอไป หุ้นที่มี P/BV ต่ำ อาจหมายถึงราคาหุ้นต่ำ แต่ไม่ได้แปลว่ากิจการมีหนี้สินน้อยหรือมีสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง หุ้นที่มี ROE สูง อาจหมายถึงกิจการมีกำไรสูง แต่ไม่ได้แปลว่ากิจการมี Economic Moat ระบบ Quantitative Value ไม่ได้พิจารณาปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น กลยุทธ์ทางธุรกิจ คุณภาพของผู้บริหาร โครงสร้างการถือหุ้น สภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม ระบบ Quantitative Value อาจคัดกรองหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นที่มีธุรกิจ cyclical หุ้นที่มีหนี้สินสูง หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ การคัดกรองหุ้นด้วยระบบ Quantitative Value เพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทนที่ดี ตัวอย่าง: หุ้น GLOBAL มี ROE สูงกว่า HMPRO แต่ GLOBAL มีความเสี่ยงสูงกว่า หุ้น HMPRO มี Economic Moat ที่แข็งแกร่งกว่า GLOBAL ข้อควรระวัง: การคัดกรองหุ้นด้วยระบบ Quantitative Value เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเชิงลึกของหุ้นก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว สรุป: การคัดกรองหุ้นคุณค่า (Value Stock) โดยใช้ระบบ Quantitative Value ไม่ใช่ การคัดกรองหุ้นที่มีคุณภาพสูงเสมอไป นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเชิงลึกของหุ้น พิจารณาปัจจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และกระจายความเสี่ยง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2307
Finance
การออมเงิน 10% ของรายได้ทุกเดือน เพียงพอที่จะทำให้รวยได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: การออมเงิน 10% ของรายได้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้รวย การออมเงิน 10% ของรายได้ เป็นแนวทางการออมเงินแบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ แต่จำนวนเงินที่ออมได้อาจไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินในอนาคต เช่น การซื้อบ้าน การเกษียณอายุจำนวนเงินที่ออมได้ ขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละบุคคล บุคคลที่มีรายได้น้อย การออม 10% ของรายได้ อาจจะไม่เพียงพอ ความมั่งคั่งไม่ได้มาจากการออมเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการลงทุน -การออมเงิน เป็นการเก็บรักษาเงินไว้เฉยๆ เงินอาจจะไม่งอกเงย -การลงทุน เป็นการนำเงินไปต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่า -ผลตอบแทนจากการลงทุน ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ ระยะเวลาในการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความมั่งคั่ง เช่น ค่าใช้จ่าย หนี้สิน และความเสี่ยง บุคคลที่มีค่าใช้จ่ายสูง หนี้สินเยอะ ยากที่จะออมเงิน การลงทุนมีความเสี่ยง สมมติว่าบุคคล A มีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน ออมเงิน 10% ของรายได้ ได้เงินออม 3,000 บาทต่อเดือน -หากบุคคล A เก็บเงินออมไว้เฉยๆ ไม่ได้นำไปลงทุน เงินออมจะเพิ่มขึ้น 36,000 บาทต่อปี -หากบุคคล A นำเงินออมไปลงทุนในกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี เงินออมจะเพิ่มขึ้น 42,168 บาทต่อปี -หากบุคคล A นำเงินออมไปลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี เงินออมจะเพิ่มขึ้น 48,620 บาทต่อปี จะเห็นได้ว่า การลงทุนสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าเงินออมได้ดังนั้น การออมเงิน 10% ของรายได้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้รวย บุคคลที่ต้องการรวย ควร: -ออมเงินให้มากขึ้น -ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน -ลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยง -บริหารจัดการค่าใช้จ่าย และหนี้สิน -การออมเงิน และการลงทุน เป็นสิ่งสำคัญ บุคคลที่เริ่มต้นออมเงิน และลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย มีโอกาสรวยมากกว่าบุคคลที่เริ่มต้นออมเงิน และลงทุนตอนอายุมาก
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2310
Finance
ช่วยออกไอเดียเรื่อง " How to ทำอย่างไรให้งบงานแต่งงานไม่บานปลาย" ให้หน่อย
null
How to ทำอย่างไรให้งบงานแต่งงานไม่บานปลาย การจัดงานแต่งงานเป็นเรื่องที่สำคัญและมีค่าในชีวิตของทุกคู่รัก แต่อาจเกิดความกังวลเกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ได้ เพื่อให้งบงานแต่งงานไม่บานปลาย นี่คือบางไอเดียที่อาจช่วย: 1. กำหนดงบประมาณเริ่มต้น: ก่อนที่จะเริ่มต้นวางแผนงานแต่งงาน คุณควรกำหนดงบประมาณที่สามารถรับได้เพื่อป้องกันไม่ให้มีความผิดหวังในภายหลัง เน้นที่รายจ่ายที่สำคัญเช่น สถานที่จัดงาน การรับประทานอาหาร และการแต่งตัว 2. เลือกสถานที่ที่เหมาะสมและคุ้มค่า: การเลือกสถานที่จัดงานที่ไม่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่ยังคงมีความงดงามและมีคุณภาพสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ เลือกสถานที่ที่มีโปรโมชั่นหรือข้อเสนอพิเศษในช่วงเวลาที่ไม่ได้รับความนิยม 3. เลือกบริการแต่งงานที่คุ้มค่า: การเลือกบริการแต่งงานที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเสียเงินในสิ่งที่ไม่จำเป็น ตรวจสอบรายละเอียดของแต่ละแพ็คเกจและเลือกตามความเหมาะสมของคุณ 4. ลดรายจ่ายไม่จำเป็น: ลองพิจารณาการลดรายจ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น เช่น การเลือกดีเจหรือวงดนตรีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า การใช้ดอกไม้หรือตกแต่งธรรมดาแทนการใช้ดอกไม้สดและตกแต่งที่แพง 5. ใช้บริการของคนรู้จัก : ถ้าคุณมีเพื่อนหรือครอบครัวที่มีความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การถ่ายภาพ การแต่งหน้า หรือการจัดงาน คุณอาจสามารถขอรับบริการจากพวกเขาแทนการจ้างบริการจากบุคคลที่ไม่รู้จัก 6. คำนึงถึงตัวเองและความพร้อม: อย่าลืมว่าความสุขและความพร้อมของคุณและคู่รักมีความสำคัญมากกว่าการใช้งบในงานแต่งงาน คำนึงถึงการมีชีวิตที่มั่นคงและความสุขในระยะยาว การทำให้งบงานแต่งงานไม่บานปลายนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้การวางแผนและการจัดการทรัพยากรให้ดี และยังสามารถทำให้วันสำคัญนั้นสุขสบายและมีความหมายได้อย่างเท่าที่เป็นไปได้ โดยไม่ต้องเสียหนักในด้านการเงิน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2313
Finance
การลงทุนในกองทุนรวม เป็นวิธีที่ดีในการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: - การลงทุนในกองทุนรวม ไม่ได้ถือว่าเป็นเงินฝากออมทรัพย์ - กองทุนรวมจัดเป็นประเภท "เงินได้จากการลงทุน" ซึ่งมีวิธีการคำนวณภาษีที่แตกต่างจากเงินฝากออมทรัพย์ โดยปกติแล้ว กองทุนรวมจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของ "รายได้สุทธิ" เท่านั้น รายได้สุทธิ หมายถึง ผลตอบแทนจากกองทุนรวม หักด้วยค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลตอบแทนจากกองทุนรวม อาจจะมาในรูปแบบของเงินปันผล หรือ capital gain เงินปันผล จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%ส่วน capital gain จะถูกหักภาษี 15% ในกรณีที่ขายกองทุนรวมภายใน 1 ปี แต่หากขายกองทุนรวมหลังจาก 1 ปี จะได้รับยกเว้นภาษี ตัวอย่าง นาย A ฝากเงินออมทรัพย์ 1 ล้านบาท ได้รับดอกเบี้ย 2% ต่อปี คิดเป็น 20,000 บาท นาย A ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ 15% ของ 20,000 บาท คิดเป็น 3,000 บาท นาย B ลงทุนในกองทุนรวม 1 ล้านบาท กองทุนรวมมีผลตอบแทน 5% ต่อปี คิดเป็น 50,000 บาท กองทุนรวมหักค่าธรรมเนียมต่างๆ 10,000 บาท เหลือรายได้สุทธิ 40,000 บาท นาย B เสียภาษี 15% ของ 40,000 บาท คิดเป็น 6,000 บาท สรุป การลงทุนในกองทุนรวม ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องเสียภาษี แต่การลงทุนในกองทุนรวม มีโอกาสเสียภาษีน้อยกว่า การฝากเงินออมทรัพย์ โดยเฉพาะกรณีที่ลงทุนระยะยาว (เกิน 1 ปี) นักลงทุนมีโอกาสได้รับยกเว้นภาษี ข้อควรระวัง ผลตอบแทนจากกองทุนรวม ไม่ได้รับประกัน กองทุนรวมมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2316
Finance
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คืออะไร
null
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คือ การระดมเงินจากนักลงทุน ในรูปการขายหน่วยลงทุน และนำเงินที่ได้ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งเน้นเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอในรูปของค่าเช่า โดยมิได้มีวัตถุประสงค์ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาเพื่อการพัฒนาและขายต่อ ผลตอบแทนหรือรายได้ที่ได้รับจากการบริหารอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว จะถูกนำไปแบ่งให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปของเงินปันผล ผู้ลงทุนมีฐานะเป็นเจ้าของสินทรัพย์ทางอ้อมผ่านการถือหน่วยลงทุน อสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนก็มีให้เลือกหลากหลายประเภท ทั้งสนามบิน อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ศูนย์แสดงสินค้า คลังเก็บสินค้า โรงแรม ศูนย์ประชุม เป็นต้น โดยเมื่อระดมทุนเสร็จแล้วก็จะปิดกอง คือ เปิดให้จองซื้อเพียงครั้งเดียวเมื่อจัดตั้งโครงการ (IPO) และนำไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง นักลงทุนสามารถเข้าไปซื้อขายเปลี่ยนมือบนกระดานผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนกลับให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้เหมือนกองทุนรวมทั่วไป ดังนั้น ผู้ลงทุนต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ก่อน ปัจจุบันไม่มีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) กองใหม่เปิดเพิ่มแล้ว เพราะทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ให้ออกเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) แทน ซึ่งจริงๆ แล้ว REIT ก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับกองทุนรวมอสังหาฯ ที่คุ้นเคยกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันบ้าง ในเรื่องของกฏเกณฑ์และข้อกำหนดต่างๆ นอกจากนี้แล้วยังมีกองทุนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับกองทุนอสังหาฯ อีกประเภทหนึ่งก็คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อระดมทุนจากผู้ลงทุน เพื่อนำเงินไปลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สาธารณะ เช่น ระบบขนส่งทางราง โรงไฟฟ้า ระบบโทรคมนาคม ระบบประปา ถนน ทางด่วน สนามบิน ฯลฯ โดยรวมๆ แล้วจะเรียกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีหลักการที่คล้ายกัน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2317
Finance
นักลงทุนควรรู้จักและรับมือกับความเสี่ยงของหุ้นเติบโตอย่างไร
null
หุ้นเติบโต (Growth Stocks) มักมีราคาสูงกว่าค่าพื้นฐาน (Overvalued) เพราะนักลงทุนคาดหวังว่าผลประกอบการจะเติบโตสูงในอนาคต อย่างไรก็ตาม หุ้นเติบโตมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาและรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้อย่างรอบคอบ ความเสี่ยงของหุ้นเติบโต ความเสี่ยงด้านผลการดำเนินงาน: หุ้นเติบโตมักมีราคาสูง นักลงทุนจึงคาดหวังการเติบโตของผลประกอบการสูง หากผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด ราคาหุ้นอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: เมื่ออัตราดอกเบี้ย上升 นักลงทุนจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร ส่งผลให้ราคาหุ้นเติบโตปรับตัวลดลง ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: ธุรกิจที่เติบโตสูงมักพึ่งพาเทคโนโลยี หากมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น ธุรกิจเดิมอาจถูกแทนที่ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาครัฐ: นโยบายภาครัฐ เช่น การขึ้นภาษี หรือ กฎระเบียบใหม่ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง วิธีรับมือกับความเสี่ยงของหุ้นเติบโต ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด เช่น แผนธุรกิจ กลยุทธ์ ผลประกอบการ และความเสี่ยงของธุรกิจ กระจายความเสี่ยง: นักลงทุนไม่ควรลงทุนในหุ้นเติบโตเพียงตัวเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มธุรกิจ กำหนดจุด Stop Loss: นักลงทุนควรตั้งจุด Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง กรณีราคาหุ้นปรับตัวลดลง ติดตามข่าวสาร: นักลงทุนควรติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี เพื่อประเมินผลกระทบต่อธุรกิจ ตัวอย่างกรณีศึกษา: หุ้น BEAUTY หุ้น BEAUTY เคยเป็นหุ้นเติบโตที่โด่งดัง ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงถึง 30 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทเริ่มชะลอตัว ประกอบกับ นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทลดจำนวนลง ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงมาเหลือ 6 บาทกว่าต่อหุ้น บทเรียนจากกรณีศึกษา กรณีศึกษาของหุ้น BEAUTY แสดงให้เห็นว่า หุ้นเติบโตมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด กระจายความเสี่ยง กำหนดจุด Stop Loss และติดตามข่าวสาร เพื่อรับมือกับความเสี่ยง สรุป หุ้นเติบโตมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด กระจายความเสี่ยง กำหนดจุด Stop Loss และติดตามข่าวสาร เพื่อรับมือกับความเสี่ยง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_232
Finance
ตงสรุปเรื่องเกี่ยวกับ Crypto Wallet
Crypto Wallet คือตัวกลางที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปดูข้อมูลและทำธุรกรรมในบัญชีที่จัดเก็บคริปโทเคอร์เรนซีบนบล็อกเชนได้ ประกอบด้วย 2 กุญแจ คือ Public Key และ Private Key และแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Hot Wallet และ Cold Wallet คริปโทเคอร์เรนซี เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนและนักเก็งกำไร แน่นอนว่าส่วนใหญ่ หลายคนจะให้ความสนใจกับผลตอบแทนที่หวือหวา แต่สิ่งที่เรายังต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กันเลย ก็คือเรื่องของความปลอดภัย “Crypto Wallet” เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เรา รักษาความปลอดภัยแก่คริปโทเคอร์เรนซีของเราได้ Crypto Wallet คือตัวกลางที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปดูข้อมูลและทำธุรกรรมในบัญชีที่จัดเก็บคริปโทเคอร์เรนซีบนบล็อกเชนได้ โดย Crypto Wallet ประกอบด้วย 2 กุญแจ คือ Public Key และ Private Key ซึ่งทั้งสองกุญแจ จะเป็นชุดรหัสตัวเลขที่ไม่ซ้ำกัน โดยแต่ละกุญแจมีหน้าที่แตกต่างกัน สำหรับ Public Key หรือ Address เปรียบเสมือนเลขที่บัญชีธนาคารของเรา โดยเราสามารถให้ Public Key กับคนอื่น เพื่อที่อีกฝั่งโอนเงินมาสู่บัญชีของเราได้ถูกต้อง สำหรับ Private Key เปรียบเสมือนรหัสผ่านเข้าบัญชีธนาคารของเรา ใช้ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ การดูแล Private Key จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญ สำหรับวงการคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้เกิด Crypto Wallet หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองการใช้งานของนักลงทุน ที่มีความต้องการแตกต่างกัน โดย Crypto Wallet จะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Hot Wallet และ Cold Wallet Hot Wallet คือ Wallet ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเกือบตลอดเวลา มีข้อดีคือ สะดวกต่อการใช้งาน จึงเหมาะกับกลุ่มเทรดเดอร์ที่ต้องเทรดอยู่บ่อยครั้ง และยังเหมาะแก่การเก็บคริปโทเคอร์เรนซีจำนวนน้อย ส่วนข้อเสียคือ เมื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ก็จะมีความเสี่ยงจากการโดนแฮกตามมา รวมถึงไวรัสและมัลแวร์ต่าง ๆ Hot Wallet สามารถแบ่งแยกย่อยได้อีก 3 ประเภท 1. Web Wallet หรือ Wallet บนเว็บไซต์เทรดคริปโทเคอร์เรนซีทั่วไป 2. Mobile Wallet แอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่เก็บ Private Key บนโทรศัพท์ ซึ่งสะดวกต่อการใช้งาน และมีฟังก์ชันให้ Back Up ข้อมูลอีกด้วย 3. Desktop Wallet ไม่แตกต่างจาก Mobile Wallet เพียงแค่อยู่ในรูปแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความรวดเร็วในการใช้งานจึงน้อยกว่าแบบโทรศัพท์ ขณะที่ Cold Wallet คือ Wallet ที่ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งความสะดวกในการใช้งานจะลดลง แต่ความปลอดภัยจะเพิ่มขึ้นสูงมาก 1. Hardware Wallet อุปกรณ์ที่หน้าตาคล้าย ๆ กับ Flash Drive 2. กระดาษ
Crypto Wallet คือตัวกลางที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปดูข้อมูลและทำธุรกรรมในบัญชีที่จัดเก็บคริปโทเคอร์เรนซีบนบล็อกเชนได้ เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เรา รักษาความปลอดภัยแก่คริปโทเคอร์เรนซีของเราได้ ประกอบด้วย 2 กุญแจ ที่ชุดรหัสตัวเลขที่ไม่ซ้ำกัน โดยแต่ละกุญแจมีหน้าที่แตกต่างกัน 1.Public Key หรือ Address เปรียบเสมือนเลขที่บัญชีธนาคาร สามารถให้ Public Key กับคนอื่น เพื่อที่อีกฝั่งโอนเงินมาสู่บัญชีได้ถูกต้อง 2.Private Key เปรียบเสมือนรหัสผ่านเข้าบัญชีธนาคารของเรา การดูแล Private Key ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. Hot Wallet เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเกือบตลอดเวลา สะดวกต่อการใช้งาน แต่จะเสี่ยงโดนแฮกข้อมูล สามารถแยกย่อยได้อีก 3 ประเภท 1.1 Web Wallet 1.2 Mobile Wallet 1.3 Desktop Wallet 2. Cold Wallet ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต แลกกับความปลอดภัยที่สูงมาก 2.1 Hardware Wallet 2.2 กระดาษ
การเงินดิจิทัล,เทคโนโลยีทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2323
Finance
ช่วยแนะนำการเติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO ให้หน่อย
null
Tech Company ครองบัลลังก์บริษัทขนาดยักษ์ของโลก โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 1 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกปี 2012 และปี 2017| ที่มา: insead.edu ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเทคโนโลยีกำลังเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตเราอย่างต่อเนื่อง โดยเปลี่ยนการใช้ชีวิตรูปแบบเดิมของมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง จากการรอรับชมหนังโปรดทางโทรทัศน์แต่ปัจจุบันเราสามารถเลือกสิ่งที่สนใจดูผ่าน YouTube หรือ Netflix ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเมื่อเราอยากทราบวิธีการเดินทางไปยังร้านอาหารชื่อดังที่เมื่อก่อนต้องโทรสอบถามทางให้วุ่น แต่ปัจจุบัน Google Maps ผลิตภัณฑ์ของเครือ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) สามารถให้คำตอบและเลือกวิธีเดินทางที่เหมาะสมที่สุดได้ภายในไม่กี่วินาที ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายได้อย่างมหาศาล ซึ่งเชื่อได้ว่ารูปแบบการให้บริการเหล่านี้จะมีมากขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ กระแสตื่นตัวการดูแลรักษาสุขภาพและนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทางการแพทย์ โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 2 ค่าใช้จ่ายสาธารณสุขประเทศขนาดใหญ่ทั่วโลก| ที่มา : wikipedia ณ ปี 2556 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้คนทั่วโลกอยู่ที่ 10.5% ต่อ GDP แต่คาดการณ์กันว่าในปี 2583 หรืออีก 21 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ต่อ GDP โดยเครื่องมือที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรง รวมถึงอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยอย่างมาก เช่น Smart Watch ซึ่งคอยติดตามและบันทึกผลรูปแบบการใช้ชีวิตของเราเพื่อปรับให้เหมาะสมกับการมีสุขภาพที่ดี หรือหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ช่วยลดความผิดพลาดของแพทย์ โดยจากผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ช่วยเหลือทั้งในแง่ของการเฝ้าระวังก่อนเจ็บป่วยและเราภาพของการรักษาพยาบาล กลุ่มคน Millennials กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริโภคหลักของโลก โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 3 จำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน Application ใน 60 วินาที| ที่มา: visualcapitalist.com Millennials คือกลุ่มคนที่เกิดช่วงปี 1980-2000 ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่า Echo Boomers เนื่องจากอัตราการเกิดที่สูงมากในช่วงปี 1980-1990 จากการคาดการณ์ว่านับจากปัจจุบันไปอีกประมาณ 6 ปี จำนวนคนของกลุ่ม Millennials จะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของคนทั้งโลก และด้วยลักษณะนิสัยและสภาพสังคมในช่วงการใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้สามารถประเมินได้ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงมากในช่วงชีวิตวัยทำงาน เนื่องจากระบบโซเชียลมีเดียทำให้สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการต่างๆ ได้สะดวกขึ้น โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์หลักที่คนกลุ่มนี้ชอบใช้ก็คือการให้บริการต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยแบรนด์หลักได้แก่ Apple Spotify หรือรวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีที่ต่างค่อยแย่งเวลาหน้าจอผู้ใช้งานให้อยู่บน Platform ของตัวเอง เช่น Facebook หรือ YouTube เราอยากแนะนำให้รู้จักกองทุนที่จะเติบโตไปกับ Megatrend ของโลก อย่าง CIMB-Principal Global Innovation Fund โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 4 สัดส่วนของสินทรัพย์ที่ลงทุน| ที่มา: CIMB Principal Asset Management iShares Digitalisation UCITS ETF เน้นการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้จากการบริการของผ่านระบบ Digital เช่น E-Commerce iShares Automation & Robotics UCITS ETF ลงทุนในบริษัทที่พัฒนาระบบหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ เช่น Artificial Intelligence, Manufacturing Robotics และ Wearable Technology iShares Healthcare Innovation UCITS ETF ลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมด้านการรักษาพยาบาล Principal Millennials Index ETF ลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของคนยุค Millennials เช่น โซเชียลมีเดีย เครื่องแต่งกาย Global X Millennials Thematic ETF เน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ เจาะลึก Top Holding ของทรัพย์สินกันสักนิด โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 5 กองทุนรวมต่างประเทศที่คาดว่าจะไปลงทุน| ที่มา: CIMB Principal Asset Management ตัวอย่างธุรกิจที่น่าสนใจซึ่งกองทุนจะเข้าไปลงทุน B2W COMPANHIA DIGITAL บริษัท e-Commerce สัญชาติบราซิล ยักษ์ใหญ่ของลาตินอเมริกา ขยายการขายครอบคลุมทุกช่องทาง เช่น Internet, TV และ Catalog เพื่อดึงกลุ่มลูกค้ากลุ่มให้ครบทุกประเภท ทำธุรกิจแบบครบวงจรไล่ตั้งแต่ขายสินค้า ให้บริการระบบจ่ายเงิน และ Logistic โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 6 ธุรกิจภายใต้การบริหารของ B2W COMPANHIA DIGITAL| ที่มา: hotsites.b2wdigital.com Xilinx, Inc. ผู้ผลิต Semiconductor รายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยชิ้นส่วน Semiconductor เหล่านี้ถูกใช้ในเครื่องมืออิเลกทรอนิกส์และระบบปฏิบัติการต่างๆ ของบริษัทเทคโนโลยี XILINX กำลังร่วมพัฒนากับ Amazon เพื่อให้ระบบ Cloud ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น บริษัทมีฐานการผลิตครอบคลุมตลาดหลักทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ จีน และอินเดีย โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 7 Semiconductor ผลิตภัณฑ์จาก XILINX | ที่มา: electronicdesign.com Dexcom, Inc. โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 8 จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง | ที่มา: cdc.gov/diabetes, Dexcom.com ผู้ผลิตเครื่องวัดระดับกลูโคสสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งในปี 2017 สร้างรายได้ถึง 718 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เครื่องมือของบริษัทสามารถทำให้ผู้ป่วยวัดระดับกลูโคสและแชร์ข้อมูลให้แพทย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังอันตรายได้อย่างต่อเนื่อง Wirecard AG โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 9 รายได้และกำไรของ Wirecard AG เติบโตต่อเนื่อง| ที่มา: finance.yahoo.com, Wirecard AG ให้บริการด้านระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบของ Mobile Payment และบัตรจ่ายเงิน เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของโลกในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน โดยในปี 2017 มียอดการใช้จ่ายผ่านการให้บริการของบริษัทมากกว่า 1แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปี 2014 บริษัทสร้างรายได้ 626 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ปี 2017 รายได้อยู่ที่ 1,535 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเติบโตที่ระดับประมาณ 35%/ปี Netflix, Inc. โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 10 การขยายตัวของ subscribers เวปไซต์ Netflix | ที่มา: statista.com ให้บริการฉายภาพยนตร์และสารคดียอดฮิตของวัยรุ่นไทยและหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมียอดผู้เสียเงินรับชมถึง 137 ล้านคน สร้างรายได้ให้บริษัทมากกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บริษัทยังคงสามารถสร้างคอนเทนต์น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงโมเดลธุรกิจใหม่ที่จะเข้าไปร่วมสร้างคอนเทนต์กับบริษัทในประเทศท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อเจาะฐานผู้รับชมในแต่ละประเทศให้ได้มากขึ้น Square, Inc. โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 11 แผนการบริษัท Square ในอนาคต | ที่มา: acquiringstrategies.com, Square, Inc. บริษัทด้านการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังขึ้นมามีบทบาทอย่างต่อเนื่องของระบบ Digital Payment และยังให้บริการบัตรเครดิต ซึ่งบริษัทคิดค่าบริการต่ำกว่าธนาคารทั่วไป ซึ่งสามารถตัดเงินจากบัตรผ่านแอปฯ บนสมาร์ตโฟนได้โดยตรง ปัจจุบัน Square ให้บริการในสหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร โดยยังมีเป้าหมายขยายบริการต่างๆ ให้ครอบคลุมระบบการเงินมากยิ่งขึ้น ผู้ก่อตั้งบริษัท Square เป็นคนเดียวกับผู้ก่อตั้งบริษัท Twitter ซึ่งก็คือนาย Jack Dorsey โดยแม้ Square จะมีอายุเพียง 8 ปีแต่เมื่อปี 2017 บริษัทสร้างรายได้มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Adidas AG ยักษ์ใหญ่ด้านแบรนด์สินค้า Sportwear ของโลก ซึ่งปรับตัวรับกลุ่มลูกค้ายุค Millennials โดยการเน้นออกแบบสินค้าให้สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยแม้บริษัทจะมีอายุเกือบ 70 ปีแล้วแต่อัตราการเติบโตของรายได้ระหว่างปี 2014-2017 ยังได้ถึง 13%/ปี โลกกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล: เติบโตไปกับ Megatrend ของโลก ด้วย CIMB-PRINCIPAL GINNO รูปที่ 12 ยอดขายรองเท้า Adidas ยังโตได้อย่างมั่นคงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง| ที่มา: seekingalpha.com ขนาดที่ค่อนข้างใหญ่มากของบริษัทด้านเทคโนโลยีหลักของโลกจะยังเหลือพื้นที่ให้เติบโตในอนาคตได้หรือไม่? เรามักจะได้ยินว่าบริษัทที่ใหญ่มากแล้วจะสร้างการเติบโตได้ยากขึ้นเนื่องจากไม่สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่ได้ แต่เมื่อพิจารณากับสถานการณ์ในปัจจุบันที่โลกเปรียบเสมือนดินแดนไร้พรมแดน ธุรกิจสามารถขยายไปยังต่างประเทศได้ง่ายขึ้นมากโดยอาศัยอินเตอร์เน็ต รวมถึงคนมีความเป็นพลเมืองโลกมากขึ้น นั่นคือเมื่อสถานที่หนึ่งบนโลกชอบใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งมาก ย่อมมีโอกาสสูงที่คนอีกซีกโลกก็ชอบสินค้าแนวนั้นเมื่อกัน ตัวอย่างเช่นสินค้าแบรนด์ Apple ที่ออกขายให้ผู้ใช้ทั่วโลกในรูปแบบสินค้าเดียวกัน โดยสรุปแล้วเราจึงเชื่อได้ว่าบริษัทด้านเทคโนโลยีหรือบริษัทที่ปรับตัวเข้ากับสังคมยุคใหม่ยังมีพื้นที่ให้สามารถรองรับการเติบโตได้อีกมาก รวมถึงสามารถที่จะเข้าไป Disrupt ธุรกิจรูปแบบเดิมเพื่อเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากขึ้นไปอีก
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2324
Finance
ประกันสังคม คืออะไร
null
ประกันสังคม เป็นการออมเงินภาคบังคับที่รัฐบาลสนับสนุนให้ทุกคนมีหลักประกันในการใช้ชีวิต มีสวัสดิการการรักษาพยาบาล คุ้มครองทั้งชีวิตและทุพพลภาพ รวมไปถึงการตกงานหรือการว่างงานด้วย จริงๆ แล้วประกันสังคมมีกันมากกว่า 170 ประเทศทั่วโลก ประกันสังคมทั่วโลก จ่ายกันเท่าไหร่บ้าง? อ้างอิงโดย Preecha Manop ประเทศ สะสมจากเงินเดือน (%) สมทบ (%) รวม (%) Singapore 20.00% 17.00% 37.00% India 13.00% 19.50% 32.50% China 8.50% 22.75% 31.25% Malaysia 8.50% 14.80% 23.30% Japan 9.31% 10.06% 19.38% Thailand 5.00% 5.20% 10.20% Germany 19.38% 20.56% 39.93% United Kingdom 14.05% 15.70% 29.75% United States 6.20% 8.15% 14.35% Canada 6.58% 7.23% 13.81% เฉลี่ยยุโรป 20.93% เฉลี่ยโลก 15.75% เฉลี่ยเอเชีย 14.25% เฉลี่ยอเมริกา 13.40% เฉลี่ยแอฟริกา 11.13%
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2325
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีที่จะทำเงินให้งอกเงย
null
วิธีที่จะทำเงินให้งอกเงย วิธีแรก ต้องตั้งเป้าหมายการลงทุนก่อน แค่คิดจะทำเงินให้งอกเงยอย่างเดียวไม่พอ การตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากไม่มีเป้าหมายก็เหมือนขับรถแบบไร้ทิศทาง ไม่รู้จะไปทางไหน วิธีที่สอง มองหากลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเติบโต อย่างเช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ หรือกลุ่มอุตสาหกรรมระบบราง และวิธีสุดท้าย ถ้าไม่มีเวลาดู ไม่มีเวลาติดตาม จะเริ่มต้นลงทุนยังไง หากไม่มีเวลาติดตามรายละเอียดยิบย่อย และไม่อยากเสียเวลาไปดูสินทรัพย์บ่อย ๆ แต่ชอบลงทุนระยะยาว และปล่อยให้เงินทำงาน การลงทุนผ่านธีมใดธีมหนึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าพิจารณา บทเรียนจากย่อหน้านี้ มีวิธีไหนบ้างที่จะทำเงินให้งอกเงย? สำหรับคนที่มีเงินก้อนที่เป็นเงินเย็น และอยากให้มันงอกเงยด้วยการลงทุนยาว ๆ แบบรอได้อย่างน้อย 5-10 ปีขึ้นไป โดยที่ต้องเริ่มต้นในปัจุบันวันนี้เลย ลองมาดูแนวคิด แนวทางการสะสมยีลด์ หรือ การปลูกผลตอบแทน ดังต่อไปนี้ ประการแรก … “ต้องตั้งเป้าหมายการลงทุนเสียก่อน” เมื่อคิดจะทำเงินให้งอกเงย แค่คิดอย่างเดียวมันไม่พอ การตั้งเป้าหมายถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากไม่มีเป้าหมายก็เหมือนขับรถแบบไร้ทิศทาง ไม่รู้จะไปทางไหน สำหรับการตั้งเป้าหมาย ควรตั้งแบบจับต้องลองได้ เช่น ตั้งเป้าหมายจะให้เงินต้นนั้นงอกเงยเติบโตกี่เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ต้องการผลตอบแทนอย่างน้อยสองเท่าตัว ภายในระยะเวลา 5-10 ปี เป็นต้น สำหรับคำแนะนำก็คือ สามารถตั้งเป้าหมายให้มีการเติบโตเป็นเท่าตัวได้ด้วยการลงทุนระยะยาว เพราะการลงทุนที่ยาวนานพอ จะทำให้สินทรัพย์ที่เราลงทุนผ่านช่วงเวลาทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว และช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว หากลงทุนถูกจังหวะเวลา การทำผลตอบแทนเป็นเท่า ๆ ตัวก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ประการที่สอง … “มองหากลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเติบโต” แนวทางต่อมาก็คือ ต้องมองหากลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเติบโต เป็นอนาคตของประเทศไทย และของคนไทย ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ต่อไปประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ และกลุ่มอุตสาหกรรมระบบราง ที่ต่อไปจะครบทุกสายรถไฟฟ้า และจะมีคนเติมเข้ามาในระบบอย่างมากมาย ประการสุดท้าย … “ไม่มีเวลาดู ไม่มีเวลาติดตาม จะเริ่มต้นลงทุนยังไงดี” หากไม่มีเวลาติดตามรายละเอียด “ยิบย่อย” ไม่อยากเสียเวลาไปดูสินทรัพย์บ่อย ๆ แต่ชอบลงทุนระยะยาว และปล่อยให้เงินทำงาน การลงทุนผ่านธีมใดธีมหนึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าพิจารณา
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2326
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Risk Aversion และ Risk-free
null
Risk Aversion หมายถึง ความเสี่ยงโดยธรรมชาติที่นักลงทุนไม่ชอบ ซึ่งความแตกต่างของความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของนักลงทุนที่อาจจะมีมาก หรือมีน้อย ส่วน Risk-free นั้น หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ที่ไม่มีความเสี่ยงเลย และได้รับผลตอบแทนที่ดีและเยอะกว่าเงินฝาก ดังจะเห็นได้จากการซื้อพันธบัตรของรัฐบาล บทเรียนจากย่อหน้านี้ การเก็บเงินสดไว้ในกระปุกหมูออมสิน ไว้ที่บ้าน เก็บไว้ใต้เตียงวันนี้อาจจะทำให้รู้สึกปลอดภัย เพราะเงินนั้นสามารถเอาออกมาใช้เมื่อใดก็ได้ ผู้คนมากมายจึงเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อนและหลบเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ เป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วที่จะไม่ชอบรับความเสี่ยง หรือเรียกได้ว่า Risk Aversion ซึ่งต่างคนก็ต่างมีระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้แตกต่างกันออกไป คนบางคนรับความเสี่ยงได้มาก ในขณะที่บางคนไม่ชอบ และเก็บเงินไว้ในกระปุกออมสินที่บ้าน แน่นอนว่าเงินไม่เติบโตขึ้น เงินร้อยบาทวันนี้ก็จะเป็นร้อยบาทตลอดไป แทนที่จะเก็บเงินไว้ที่บ้าน สามารถเอาเงินไปฝากธนาคาร นอกจากปลอดภัยแล้ว ธนาคารยังจ่ายดอกเบี้ยให้อีกด้วย ตั้งแต่ปี 1999 มา การฝากเงินในธนาคารไทยให้ดอกเบี้ยโดยเฉลี่ย 2.2% ต่อปี ถ้าฝากเงิน 100 บาทไว้ในธนาคาร ปัจจุบันจะมีเงินกว่า 154 บาท ซึ่งแน่นอนว่าดีกว่าไม่มีอะไรเลย การให้รัฐบาลยืมเงิน ควรจะเป็นสิ่งที่ไม่มีความเสี่ยง (Risk-free) และให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก บางท่านอาจจะเคยทำอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว คือ การซื้อพันธบัตรรัฐบาล
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2333
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "6 ประเภทโรงเรียน ส่งลูกเรียนโรงเรียนแบบไหนดี" ให้หน่อยค่ะ
1. โรงเรียนรัฐบาล “เรียนโรงเรียนรัฐบาล (รวมถึงมหา’ลัย) ทำให้ได้เห็นสังคมที่ธรรมดา ติดดินแบบสุดๆ เวลาไปค่ายหรือไปทำอะไรที่ลำบาก จะขึ้นรถเมล์ ลงเรือ ทุกคนดูแลตัวเองได้ ไม่เคยมีใครบ่นว่ารู้สึกลำบากเลย ซึ่งข้อนี้ทำให้เราเห็นว่าชีวิตครอบครัวเรา ที่เรามองว่ามันไม่ดีเหมือนคนอื่น พอได้เข้ามาโรงเรียนนี้ ทำให้เราเห็นคุณค่าในชีวิตตัวเองมากขึ้น ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีมากๆแล้ว” “ค่าเทอมไม่แพงมาก สามารถส่งตัวเองเรียนได้ อัตราการแข่งขันเพื่อจะเข้าค่อนข้างสูง ทำให้ได้เพื่อน ได้สังคมดี ” “ทำให้ได้เจอกับคนจากสังคมหลายประเภทมาก ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสได้เรื่องรู้เรื่องต่างๆ จากคนที่มาจากสังคมต่างกัน” เมื่อถามว่าโรงเรียนรัฐบาลมีจุดเด่นหรือประโยชน์ที่พวกเขาได้รับแบบไหนบ้าง ส่วนใหญ่ศิษย์เก่าโรงเรียนรัฐบาลจะเห็นตรงกันว่าได้ค่าเทอมที่ถูก และได้เห็นสังคมที่หลากหลาย รู้จักการใช้ชีวิตแบบติดดิน ทำให้รู้สึกเหมือนได้ “เตรียมพร้อม” เจอชีวิตต่อจากนี้ ทางฝั่งพ่อแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนรัฐบาลนั้นส่วนใหญ่ก็เลือกโรงเรียนเพราะค่าเทอมที่ไม่แพง ความมีชื่อเสียง ความใกล้บ้าน และบางส่วนก็เลือกเพราะตัวเองเคยเป็นศิษย์เก่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าโรงเรียนรัฐบาลนั้นเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่พ่อแม่หลายท่านเลือก เพราะค่าใช้จ่ายที่เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นๆ แล้วค่อนข้างย่อมเยาว์ (ประมาณ 3,000-6,000 บาทต่อปี) หลายคนอาจจะคิดว่าใครๆ ก็เข้าโรงเรียนประเภทนี้ได้ และอาจถูกมองว่าเป็นตัวเลือกธรรมดาตัวหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงโรงเรียนรัฐบาลก็มีการเรียนการสอนที่เข้มข้นไม่แพ้กัน นอกจากนี้ ครูที่จะเข้ามาสอนในโรงเรียนรัฐบาลได้นั้นก็ต้องผ่านการสอบเป็นครูก่อน ทางด้านกฎระเบียบก็จะค่อนข้างเข้มงวด ตั้งแต่ทรงผมจนถึงเครื่องแบบ ว่าแต่ว่า นอกจากจุดเด่นๆ ที่เป็นด้านดีแล้ว มีจุดไหนที่ควรคำนึงถึงเพิ่มเติมมั้ยนะ ถ้าจะส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาล? ลองมาดูความเห็นส่วนหนึ่งจากศิษย์เก่าโรงเรียนรัฐบาลกันเลย “จุดอ่อนคือสภาพแวดล้อมสังคมในโรงเรียน จะปะปนไปทั้งเด็กที่ตั้งใจเรียน เด็กที่ไม่สนใจเรียน เด็กที่ออกจะดูสก๊อยๆ เถื่อนๆ ซึ่งจะแยกห้องกันชัดอยู่แล้ว ตรงนี้มองว่าเป็นจุดอ่อนเพราะถ้าเด็กที่ครอบครัวใส่ใจไม่มากพอ แล้วไปอยู่ในกลุ่มที่ไม่ดี จะพากันเสีย พากันออกนอกลู่นอกทางได้ง่ายมาก … คงต้องมีการควมคุม หรือ สอนการใช้ชีวิตในสังคมให้มากขึ้น มากกว่าวิชาการอย่างเดียว” “จำนวนอาจารย์น้อยเกินไป หลักสูตรพัฒนาช้า นโยบายเยอะ ขั้นตอนการตัดสินใจเยอะ” นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของจุดที่เหล่าศิษย์เก่ามองว่ายังเป็นจุดอ่อนอยู่ ซึ่งพ่อแม่ท่านไหนที่อยากส่งลูกเข้าโรงเรียนรัฐบาลก็ควรคำนึงถึงจุดเหล่านี้เช่นกัน 2. โรงเรียนคาทอลิก ข้ามมาฝั่งโรงเรียนเอกชนบ้าง อีกหนึ่งตัวเลือกที่พ่อแม่หลายท่านนิยมส่งลูกไปเรียนคือโรงเรียนคาทอลิก เป็นโรงเรียนที่มีพื้นฐานมาจากศาสนาคริสต์ องค์ประกอบหลายๆ อย่างมีความเป็นศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ชื่อโรงเรียน ไปจนถึงวิธีการเรียกครูบาอาจารย์ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านักเรียนต้องเป็นคริสต์นะ จากที่เราลองหาข้อมูลมา ส่วนใหญ่นักเรียนก็ยังนับถือศาสนาพุทธ การเรียนการสอนก็ยังอิงกับหลักสูตรไทยของกระทรวงศึกษาธิการตามปกติ สำหรับค่าใช้จ่ายต่อปีนั้น จากแบบสอบถามของเรา ถ้าเป็นหลักสูตรไทยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 80,000-90,000 บาทต่อปี แต่ถ้าเป็นหลักสูตร English Program ค่าใช้จ่ายอาจพุ่งขึ้นเป็นแสนต้นๆ ต่อปี เรียกได้ว่าคูณสองจากหลักสูตรไทย ลองมาดูกันว่าเหล่าศิษย์เก่าได้รับอะไรจากโรงเรียนคาทอลิกบ้าง “โรงเรียนคาทอลิกให้สังคมและเพื่อนๆ ที่ค่อนข้างกว้าง นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากเครือข่ายของโรงเรียนด้วย” “ด้วยความที่โรงเรียนคาทอลิกมีประวัติยาวนาน จึงมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะด้านวิชาการ” “โรงเรียนคาทอลิกจะมี connection กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ด้วย อาจมีพิจารณาให้ทุนเรียนฟรีสำหรับเด็กเรียนดี นอกจากนี้ก็มีการเชิญติวเตอร์ชื่อดังมาสอน ซึ่งก็จะไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นติวเตอร์จากที่ไหน ทางด้านวิชาการ โดยส่วนตัวมองว่าเด่นด้านศิลป์-ภาษา ในแง่ที่ว่ามีภาษาให้เลือกเรียนหลากหลาย” ดูเหมือนว่าศิษย์เก่าจากโรงเรียนคาทอลิก จะเห็นความสำคัญในเชิงสังคมที่กว้างขึ้น ได้เพื่อนเยอะ โดยเฉพาะเพื่อนจากต่างโรงเรียนที่อยู่ในเครือเดียวกัน ซึ่งถ้าเป็นโรงเรียนประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้มีเครือพันธมิตร อาจเป็นเรื่องยากที่เด็กจะได้ไปสานสัมพันธ์กับโรงเรียนอื่นๆ นอกเหนือไปจากนั้นยังมีข้อได้เปรียบด้าน connection เชิงวิชาการที่ค่อนข้างกว้าง ต่อยอดได้ง่าย ทางฝั่งคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนคาทอลิก พวกเขาก็เลือกเพราะปัจจัยด้านสังคม และชื่อเสียงของโรงเรียนเช่นกัน แล้วแบบนี้มีจุดไหนที่ศิษย์เก่าเห็นว่ายังเป็นจุดอ่อนอยู่บ้าง? “โรงเรียนมักไม่ค่อยเปิดรับสิ่งอื่น ใช้หลักสูตรสามัญและเรียนหนักไป” “มีครูไม่ค่อยเยอะ อยากให้มีมากกว่านี้ เพราะโรงเรียนรับเด็กค่อนข้างเยอะ บางทีก็เยอะไป” ก็อาจจะเป็นเรื่องของการเรียนที่ค่อนข้างหนักหน่วง และบุคลากรที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนเด็ก ที่อาจจะเป็นจุดที่โรงเรียนสามารถพัฒนาได้ 3. โรงเรียนสาธิต โรงเรียนสาธิต เป็นโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของคณะศึกษาศาสตร์หรือคณะครุศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อเป็นสถานฝึกปฏิบัติงานของนิสิตนักศึกษาในคณะนี้ ดังนั้น นอกจากจะมีแค่ครูบาอาจารย์วัยผู้ใหญ่แล้ว นักเรียนก็จะได้เรียนกับนิสิตนักศึกษาฝึกสอนด้วย ซึ่งก็อาจนำมาซึ่งวิธีการเรียนการสอนใหม่ๆ และวิธีคิดที่นอกกรอบ ผู้สอนมีช่วงอายุที่ใกล้เคียงกับนักเรียนมากขึ้น จึงมีแนวโน้มเชื่อมสัมพันธ์กันได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เด็กๆ ที่เรียนโรงเรียนสาธิตก็จะได้รับการเตรียมพร้อมอย่างครบครันหากหวังจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ทำหน้าที่กำกับดูแล นอกจากนี้โรงเรียนสาธิตยังมีตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลายเลยละ สามารถเรียนได้อย่างยาวๆ เลยหากตั้งใจไว้แบบนั้น ก็จะไม่ต้องเผชิญการสอบเข้ามหาโหด ส่วนการเข้าเรียนสำหรับเด็กใหม่ก็จะค่อนข้างเข้มข้นหน่อย ต้องสอบแข่งขันกันในด้านวิชาการ จึงเชื่อกันว่าเด็กสาธิตจะวิชาการแน่นสุดๆ ทั้งนี้ โรงเรียนสาธิตเป็นได้ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่โรงเรียนสังกัดอยู่น่ะเอง “ชื่อเสียงน่าเชื่อถือ​ และ​ มีตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมปลาย ลูกได้มีเพื่อนที่รู้จักกันเป็นเวลายาวนาน” “มีทั้งหญิง ชาย เด็กกล้าแสดงออก สิ่งแวดล้อมดี เป็นตัวของตัวเอง” นี่คือความเห็นส่วนหนึ่งจากคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนสาธิต ซึ่งปัจจัยก็จะมีตั้งแต่ชื่อเสียง ชั้นเรียนที่มีตั้งแต่เด็กจนโต สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาการตัวตนของเด็ก ค่าใช้จ่ายต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 25,000-50,000 บาทต่อปี จากแบบสอบถามของเรา ส่วนศิษย์เก่าโรงเรียนสาธิตก็บอกมาว่า “จุดเด่นของสาธิตคือมีกิจกรรมให้ทำเยอะ แต่จุดที่อยากให้พัฒนาคือวิชาที่เน้นทักษะภาษา” อาจจะไม่ได้เป๊ะเท่าโรงเรียนคาทอลิก หรือ โรงเรียนสองภาษา 4. โรงเรียนทางเลือก หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับโรงเรียนประเภทนี้ เราเองก็เพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่นานมานี้เอง โรงเรียนทางเลือก เป็นโรงเรียนที่เป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐบาล มีการศึกษาต่างจากระบบการศึกษากระแสหลัก เช่น แทนที่จะเรียนแต่ในห้องเรียนอย่างเดียว ก็มีการเรียนนอกห้องเรียน การเรียนแบบเชิงปฏิบัติ และมีกิจกรรมที่หลากหลาย นอกจากนี้อาจรวมถึงโรงเรียนที่มุ่งเน้นปรับการสอนเพื่อเด็กกลุ่มพิเศษ เช่น เด็กอัจฉริยะ เด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรม ซึ่งเด็กกลุ่มนี้อาจเรียนหลักสูตรปกติไม่ได้ หรือเรียนไม่ทัน ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ก็จะต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิดหน่อย ดังนั้นโรงเรียนจึงมีครูค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับนักเรียน ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักเรียนได้รับความดูแลอย่างทั่วถึง ส่วนใหญ่โรงเรียนทางเลือกที่เราเห็นก็จะเป็นโรงเรียนในระดับอนุบาล ซึ่งจะว่าไปก็เป็นวัยที่เหมาะกับการเรียนรู้เชิงปฏิบัติและสัมผัสกับธรรมชาติดีนะ ทางด้านค่าใช้จ่าย จากที่เราได้เจอข้อมูลมา ก็มีตั้งแต่ระดับ 20,000-50,000 บาทต่อปี ไปจนถึงระดับแสนต้นๆ เลยทีเดียว และนี่คือระดับอนุบาลเท่านั้น เนื่องจากเป็นแนวใหม่ เรายังไม่ค่อยเจอศิษย์เก่าหรือคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนทางเลือกในแบบสอบถามของเราเท่าไร อาจเพราะคุณพ่อคุณแม่ยังไม่แน่ใจถึงผลลัพธ์ที่จะได้ ตามความเห็นของคุณแม่ท่านนี้ “โรงเรียนทางเลือก เช่น วิถีพุทธ หรือ วอร์ดอล์ฟ อยู่ไกลจากบ้าน และยังไม่เห็น long term outcome ว่าเด็กที่จบออกมาเป็นไปในวิถีทางที่เราตั้งใจหรือไม่” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนทางเลือกอยู่บ้าง โดยคุณพ่อท่านหนึ่งได้แชร์มุมมองความคาดหวังว่า “ต้องการให้ลูกมีความสุขในการเรียนรู้ มีการค้นคว้า ทดลอง เพื่อความเข้าใจมากกว่าการท่องจำในตำราเรียน สามารถคิด วิเคราะห์ได้ และต้องการให้ลูกสามารถช่วยเหลือตนเองได้” ก็ดูเหมือนว่า ความคาดหวังของคุณพ่อท่านนี้ ค่อนข้างตรงกับสิ่งที่โรงเรียนทางเลือกมุ่งหวังจะมอบให้เลยละ 5. โรงเรียนสองภาษา โรงเรียนสองภาษา (Bilingual) มีหลักสูตรที่ต่อยอดมาจากหลักสูตรการเรียนการสอนแบบไทยปกติ หมายความว่าหลักสูตรก็ยังอิงอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ เรียนเหมือนโรงเรียนไทยทุกอย่าง จำนวนนักเรียนต่อห้องก็คล้ายคลึงกับโรงเรียนไทย คืออาจมีเยอะถึง 60 คนต่อห้องเหมือนโรงเรียนไทยไปเลย แต่ที่ต่างคือการเรียนการสอนนั้นใช้ภาษาอังกฤษแทน ถึงอย่างนั้น แต่ละโรงเรียนก็มีสัดส่วนการสอนเป็นภาษาอังกฤษแตกต่างกันไป ซึ่งจำนวนขั้นต่ำนั้นกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้แล้วละ ว่าแต่ละระดับชั้นเรียนสามารถเรียนภาษาอังกฤษในวิชาไหนได้บ้าง เช่น ระดับอนุบาลสอนภาษาอังกฤษได้ไม่เกิน 50% ของการเรียนการสอนทั้งหมด ระดับประถมสอนภาษาอังกฤษเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และพลศึกษา เป็นต้น สำหรับโรงเรียนสองภาษานี้ นอกจากจะมีแยกเป็นโรงเรียนเดี่ยวๆ แล้ว ยังมีโรงเรียนไทยประเภทที่กล่าวถึงด้านบนบางแห่งที่มีหลักสูตรสอนเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) แบบนี้ก็อาจนับรวมเป็นโรงเรียนสองภาษาได้เช่นกัน คุณพ่อท่านหนึ่งได้ให้ให้ความเห็นถึงการส่งลูกไปเรียนโรงเรียนสองภาษาไว้ว่า “อยากให้ลูกรู้ภาษาอังกฤษ ในค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงเกินไป ยังอยากให้ลูกได้สัมผัสสังคมและวิชาแบบไทยๆ อยู่” ในขณะที่ศิษย์เก่าอีกท่านหนึ่งก็ได้ก็ได้แสดงความเห็นไว้ว่า “ได้เรียนกับชาวต่างชาติจริง มีการฝึกพูด ใช้ภาษาอย่างจริงจัง” โรงเรียนสอนภาษาจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกรู้ภาษาอังกฤษ ยังคงความเป็นไทยในหลักสูตรวิชาบางส่วนไว้ ในค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงเกินไป ต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 80,000 ถึงแสนต้นๆ จากแบบสอบถามของเรา การเรียนในหลักสูตรไทยยังสามารถต่อยอดไประดับมหาวิทยาลัยหากลูกต้องการเข้าเรียนสายเฉพาะทางที่ส่วนใหญ่มีสอนแค่หลักสูตรไทยเท่านั้น เช่น แพทย์ เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้น ศิษย์เก่าอีกท่านก็ได้เสริมว่า “วิชาที่เป็นภาษาอังกฤษ ยังมีการใช้ครูไทยสอน ซึ่งครูไทยหลายๆท่าน ไม่สามารถสื่อสารให้เด็กเข้าใจได้อย่างเต็มที่” ก็แสดงว่าโรงเรียนแต่ละแห่งยังมีความแตกต่างทางด้านครูที่สอน นอกจากนี้ ก็อย่าลืมว่าโรงเรียนสองภาษาก็ยังมีสัดส่วนนักเรียนไทยค่อนข้างเยอะอยู่ เด็กๆ จึงอาจไม่ได้พบเจอกับเพื่อนต่างชาติเท่าไรนัก 6. โรงเรียนนานาชาติ มาถึงตัวเลือกสุดท้าย เป็นตัวเลือกที่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านอยากส่งลูกมา แต่อาจจะติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง จะอยู่ที่ประมาณ 300,000-700,000 ต่อปี จากแบบสอบถามของเรา โรงเรียนนานาชาติเป็นโรงเรียนที่อ้างอิงหลักสูตรจากต่างประเทศ อาจจะเป็นอเมริกัน อังกฤษ หรือออสเตรเลีย ก็ว่ากันไป นักเรียนจะได้เรียนเหมือนประเทศเจ้าของหลักสูตร เพียงแต่มีวิชาภาษาไทยมาเป็นวิชาบังคับด้วย (ตามกฎของกระทรวงศึกษาธิการ ไหนๆ เราก็ยังอยู่ประเทศไทยนี่นะ) ครูบาอาจารย์ก็จะเป็นชาวต่างชาติที่ได้รับคุณวุฒิอาจารย์ และมีประสบการณ์สอนมาก่อน เนื่องจากว่าคุณสมบัติแบบนี้ค่อนข้างหายาก ทางโรงเรียนเลยต้องจ้างครูตรงมาจากต่างประเทศเลย ค่าจ้างก็จะค่อนข้างสูง ค่าเทอมเลยสูงตาม ว่าแต่ว่าศิษย์เก่าโรงเรียนนานาชาติเค้าได้รับอะไรจากค่าเทอมที่แพงกว่าที่อื่นบ้าง? “ได้ภาษาอังกฤษที่แข็งแรง และอาจได้ภาษาอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย ได้ connection และสังคมที่หลากหลาย มีเพื่อนต่างชาติ” “สอนให้รู้จักกล้าแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความบาลานซ์ทั้งการเรียนและกิจกรรม” เห็นได้ชัดเจนว่าจุดแข็งหนีไม่พ้นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยังไงก็คงขาดไม่ได้สำหรับโรงเรียนนานาชาติ เพราะได้ใช้กันแบบทั้งวี่ทั้งวันแน่นอน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสังคมหลากหลายเชื้อชาติ และการเรียนการสอนที่แตกต่างไปจากระบบเดิมๆ ทางฝั่งคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งลูกเรียนนานาชาติก็ให้ความเห็นว่าพวกเขาคาดหวังให้เด็กหัดคิดได้ด้วยตัวเอง ไม่เรียนแบบท่องจำ และอยากให้เด็กได้ภาษาอังกฤษดี แต่ถึงอย่างนั้น โรงเรียนนานาชาติใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี ศิษย์เก่าแอบกระซิบเรามาว่ามันก็มีนะว่าเด็กอาจจะเก่งแค่ภาษาใดภาษานึง จนทำให้ทิ้งอีกภาษานึงไปเลย ก็จะกลายเป็นว่าบางทีเก่งภาษาอังกฤษมาก แต่อ่อนภาษาไทยสุดๆ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรดูให้ดีว่าลูกได้รับการปลูกฝังด้านภาษาไทยพอๆ กัน คุณแม่ท่านหนึ่งได้แนะนำว่า “โรงเรียนนานาชาติมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก หลักสูตรก็แตกต่างกัน พ่อแม่ที่จะส่งลูกเข้าโรงเรียนประเภทนี้ ควรศึกษาทำความเข้าใจหลักสูตร และต้องมั่นใจว่าจะสามารถนำพาลูกไปได้ตลอดรอดฝั่ง (ทั้งค่าใช้จ่าย และ การสนับสนุนลูกในด้านอื่นๆ)” โดยสรุปแล้ว เราจะเห็นได้ว่าโรงเรียนแต่ละประเภทที่หยิบยกมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้นั้นก็มีจุดเด่นและจุดอ่อนแตกต่างกันไป ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงเด็กๆ แล้วละว่าเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน ทั้งด้านความชอบความถนัดของเด็ก สิ่งแวดล้อมต่างๆ และกำลังทรัพย์ของคุณพ่อคุณแม่ แต่ที่แน่ๆ คือเรามั่นใจว่าทุกประเภทโรงเรียนย่อมมีความหวังดีต่อเด็กไม่ต่างกัน และจะสามารถปลูกฝังความรู้คุณธรรมให้เด็กได้อย่างดีเยี่ยมแน่นอน
6 ประเภทโรงเรียน ส่งลูกเรียนโรงเรียนแบบไหนดี 1. โรงเรียนรัฐบาล เป็นโรงเรียนที่พ่อแม่หลายคนเลือก เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างย่อมเยาว์กว่าโรงเรียนแบบอื่นๆ ค่าเทอมไม่แพง โรงเรียนมีชื่อเสียง มีความใกล้บ้าน และเลือกเพราะพ่อแม่เคยเป็นศิษย์เก่า มีการเรียนการสอนที่เข้มข้น ครูที่เข้ามาสอนในโรงเรียนรัฐบาลต้องผ่านการสอบเป็นครูมาก่อน มีความเข้มงวดด้านกฎระเบียบ ความเห็นจากศิษย์เก่าโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งบอกว่า จุดอ่อนคือสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีทั้งเด็กตั้งใจเรียน เด็กไม่สนใจเรียน เด็กเถื่อนๆ ซึ่งจะแยกห้องกันชัดเจน เพราะถ้าเด็กไปอยู่ในกลุ่มที่ไม่ดี จะพากันออกนอกลู่นอกทางได้ง่ายมาก ต้องสอนการใช้ชีวิตในสังคมให้มากขึ้นกว่าวิชาการอย่างเดียว ส่วนจำนวนอาจารย์น้อยเกินไป และหลักสูตรมีการพัฒนาช้า 2. โรงเรียนคาทอลิก มีพื้นฐานมาจากศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ชื่อโรงเรียนจนถึงวิธีการเรียกอาจารย์ แต่นักเรียนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเรียนยังนับถือศาสนาพุทธ การเรียนการสอนก็ยังอิงกับหลักสูตรไทย สำหรับค่าใช้จ่าย ถ้าเป็นหลักสูตรไทยอยู่ที่ประมาณ 80,000-90,000 บาทต่อปี แต่ถ้าเป็นหลักสูตร English Program ค่าใช้จ่ายอาจพุ่งขึ้นเป็นแสนต้นๆ ต่อปี ด้านความเห็นจากศิษย์เก่าบอกว่า โรงเรียนคาทอลิกให้สังคมค่อนข้างกว้าง ได้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน มี connection กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ด้วย ที่อาจพิจารณาให้ทุนเรียนฟรี และมีการเชิญติวเตอร์ชื่อดังมาสอน ด้านวิชาการจะโดดเด่นด้านศิลป์-ภาษา เพราะมีภาษาให้เลือกเรียนหลากหลาย แต่ก็มีจุดอ่อนคือ โรงเรียนใช้หลักสูตรสามัญและเรียนหนักไป ครูไม่ค่อยเยอะเพราะโรงเรียนรับเด็กค่อนข้างเยอะ 3. โรงเรียนสาธิต เป็นโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของคณะศึกษาศาสตร์หรือคณะครุศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ นักเรียนที่เรียนจะได้รับการเตรียมพร้อมอย่างครบครันหากอยากจะเข้ามหาวิทยาลัย จากความเห็นของคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนสาธิต บอกว่า มีปัจจัยเรื่องชื่อเสียง มีตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยม สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการพัฒนาตน ส่วนศิษย์เก่าโรงเรียนสาธิตบอกว่า จุดเด่นคือมีกิจกรรมให้ทำเยอะ แต่จุดด้อยคืออยากให้พัฒนาวิชาที่เน้นทักษะภาษา 4. โรงเรียนทางเลือก เป็นโรงเรียนที่เป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐบาล แทนที่จะเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวก็มีการเรียนนอกห้องเรียนและมีกิจกรรมหลากหลาย รวมถึงโรงเรียนที่เน้นปรับการสอนเพื่อเด็กกลุ่มพิเศษที่อาจเรียนหลักสูตรปกติไม่ได้หรือเรียนไม่ทัน ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นโรงเรียนในระดับอนุบาล ความเห็นของผู้ปกครองที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนทางเลือกบอกว่า โรงเรียนอยู่ไกลบ้านและยังไม่เห็นว่าเด็กที่จบออกมาเป็นไปในทางที่เราตั้งใจหรือไม่ แต่อีกหนึ่งความเห็นบอกว่า โรงเรียนต้องการให้นักเรียนมีความสุขในการเรียนรู้ มีความเข้าใจมากกว่าการท่องจำในตำราเรียน สามารถคิด วิเคราะห์และช่วยเหลือตนเองได้ 5. โรงเรียนสองภาษา มีหลักสูตรที่ยังอิงอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ เรียนเหมือนโรงเรียนไทยทุกอย่าง แต่ต่างที่การเรียนการสอนใช้ภาษาอังกฤษแทน ความเห็นจากศิษย์เก่าบอกว่า ได้เรียนกับชาวต่างชาติ ได้ใช้ภาษาอย่างจริงจัง แต่วิชาภาษาอังกฤษ ยังใช้ครูไทยสอน ซึ่งบางท่านไม่สามารถสื่อสารให้เด็กเข้าใจได้ 6. โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนที่อิงหลักสูตรจากต่างประเทศ ได้เรียนเหมือนประเทศเจ้าของหลักสูตร แต่มีวิชาภาษาไทยเป็นวิชาบังคับ อาจารย์ชาวต่างชาติได้รับคุณวุฒิอาจารย์ และมีประสบการณ์สอนมาก่อน แม้จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ศิษย์เก่าท่าหนึ่งบอกว่า ได้ภาษาอังกฤษที่แข็งแรง และได้ภาษาอื่นเพิ่มด้วย ได้สังคมที่หลากหลาย มีเพื่อนต่างชาติ สอนให้รู้จักกล้าแสดงออก เป็นตัวของตัวเอง สมดุลทั้งการเรียนและกิจกรรม แต่จุดอ่อนก็มีคือ บางคนเก่งภาษาอังกฤษแต่อ่อนภาษาไทย สรุป จะเลือกเรียนที่ไหนขึ้นอยู่กับจุดเด่น ความชอบความถนัด กำลังทรัพย์ของผู้ปกครองและสังคม
การวิเคราะห์ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2335
Finance
จงเสนอไอเดียหน่อยว่า ทำไม PTG จึงเป็นหุ้นที่โต 10 เท่าใน 5 ปี
null
คำอธิบายว่าทำไม PTG จึงเป็นหุ้นที่โต 10 เท่าใน 5 ปี 1. การเติบโตของยอดขาย หากเราพิจารณาให้ดีจะพบว่า หุ้นตัวนี้มียอดขายที่เติบโตมาโดยตลอด โดยยอดขาย หรือรายได้ที่เก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ปี 2552 จะพบว่า ยอดขายในปีนั้นอยู่ที่ราว 4 หมื่นกว่าล้านบาทต่อปี และยอดขายก็เติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี จนปีล่าสุดเติบโตเกือบแตะระดับแสนล้านบาท แน่นอนที่สุดว่า การเติบโตของยอดขาย นั่นหมายความว่า กิจการของเขาขายดีขึ้น และกิจการนี้ต้องมีกลยุทธ์ที่ดีพอที่จะเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างรวดเร็ว 2. กลุยทธ์การขยายสาขาบนถนนสายรอง สิ่งที่น่าสนใจอีกประการก็คือ กลยุทธ์การขยายสาขาบนถนนสายรอง … หากเราเป็นคนขับรถ เราย่อมไม่อยากไปเต็มน้ำมันไกล ๆ อยากเติมน้ำมันในปั้มบนถนนที่เราขับผ่านเป็นประจำ เพราะความคิดในหัวของคน ถ้าเราต้องขับรถเพื่อไปเติมน้ำมันโดยเฉพาะเจาะจง จะทำให้เรารู้สึกว่า … มันเปลืองน้ำมัน เพราะขับไปเติมก็เปลือง เติมเสร็จขับกลับมาก็เปลืองน้ำมัน การที่ PTG ไปเปิดปั้มบนถนนสายรองนั้น ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีมาก เพราะปั้มน้ำมันใกล้บ้าน หรือเป็นทางผ่านในสมัยก่อนไม่มีแบรนด์ ทำให้คนไม่กล้าเติม แต่เมื่อเขานำแบรนด์มาสวม และทำให้ดูสะอาดตาขึ้น ปรากฏว่า คนก็กล้าเข้าไปเติมมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่สำคัญการนำปั้มเก่ามาตกแต่งใหม่ใช้งบลงทุนต่ำมากเมื่อเทียบกับการสร้างปั้มน้ำมันขึ้นมาใหม่ 3. อัตรากำไรสุทธิที่บางมาก ๆ ถ้าเราพิจารณาจากข้อมูลย้อนหลังสิบปี เราจะพบว่า หุ้น PTG มีอัตรากำไรสุทธิที่บางมาก ๆ แต่ยอดขายนั้นเติบโต และมีวอลุ่มของยอดขายสูงมาก สิ่งนี้หมายความว่า หากอัตรากำไรสุทธิมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย จะส่งผลกระทบต่อ “กำไรสุทธิ” ในบรรทัดสุดท้าย สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการขึ้นลงของอัตรากำไรสุทธิก็คือ “ค่าการตลาด” ซึ่งเป็นมาร์จิ้นที่ผู้ให้บริการปั้มน้ำมันจะได้รับจากการนำน้ำมันมาขายตามปั้ม โดยค่าการตลาดมักจะเหวี่ยงขึ้น ๆ ลง ๆ ตามตลาดน้ำมัน หากค่าการตลาดสูง อัตราการทำกำไรของกิจการก็จะสูง หากค่าการตลาดต่ำ อัตราการทำกำไรของกิจการก็จะต่ำ และมันจะเริ่มผันผวนมากยิ่งขึ้น ถ้ายอดขายน้ำมันมีปริมาณมากขึ้น ลองคิดดูว่า การเปลี่ยนแปลง “ค่าการตลาด” เพียงน้อยนิดจะส่งผลต่อกำไรสุทธิมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น ยอดขาย 40,000 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 1% จะทำกำไรได้ 400 ล้านบาท แต่ถ้ายอดขายเติบโตเป็น 100,000 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิเท่าเดิมจะทำกำไรได้ 1,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า ยิ่งยอดขายเยอะ ค่าการตลาดที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจะส่งผลต่อกำไรสุทธิเป็นอย่างมาก หากอัตรากำไรสุทธิลดลงก็จะส่งผล “ด้านลบ” อย่างมากเช่นกัน ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ หุ้น PTG ในห้วงปีที่ผ่านมามีการเติบโตของยอดขายรวดเร็วมาก ด้วยกลยุทธ์ปั้มบนถนนสายรอง และค่าการตลาดที่เติบโตในช่วงที่ผ่านมาทำให้หุ้นโตได้ 10 เท่าในระยะเวลาแค่ 5 ปี แต่หลังจากนี้ไป ค่าการตลาดที่เคยทำให้เติบโตเร็ว อาจกลายเป็นผลอีกด้าน เพราะยอดขายที่เพิ่มขึ้นก็ต้องแบกรับความผันผวนที่สูงขึ้นนั่นเอง คำเตือน - ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน - ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2336
Finance
มีข้อคิดหรือคำแนะนำอะไรบ้างที่นักลงทุนมือใหม่ควรนำไปใช้ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น?
null
บทความ "37 กระบวนท่าพิชิตตลาดหุ้น" ของท่านเซียว จับอิดนึ้ง เต็มไปด้วยข้อคิดและคำแนะนำที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ดังนี้: 1. ควบคุมอารมณ์: ตลาดหุ้นไม่ใช่โรงทาน แต่คือสงคราม นักลงทุนต้องไม่ใจร้อน ควบคุมอารมณ์อยู่เสมอ ไม่ควรซื้อหุ้นเพียงเพราะกลัวตกรถ รู้จัก cut loss เมื่อจำเป็น ไม่ควรคาดหวังว่าจะมีใครมาช่วย เรียนรู้จากความผิดพลาด และจดบันทึกไว้เพื่อเป็นบทเรียน 2. ลงทุนอย่างมีสติ: ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค ไม่ควรลงทุนในหุ้นปั่น เลือกหุ้นที่ fundamentally ดี รอซื้อเมื่อหุ้น undervalued ซื้อหุ้นที่มี safety factor 3. วางแผนการลงทุน: กำหนดเป้าหมายการลงทุน กำหนดกลยุทธ์การลงทุน กระจายความเสี่ยง ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อดทนรอคอยผลลัพธ์ 4. พัฒนาความรู้: ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นอยู่เสมอ เรียนรู้จากประสบการณ์ของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หา mentor ที่สามารถให้คำแนะนำและแนวทาง เข้าร่วมกลุ่มนักลงทุนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ โดยสรุป บทความ "37 กระบวนท่าพิชิตตลาดหุ้น" ของท่านเซียว จับอิดนึ้ง เป็นคู่มือที่นักลงทุนมือใหม่ควรอ่านและนำไปใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ และลงทุนอย่างมีสติ โดยไม่ประมาท คำแนะนำเพิ่มเติม: เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย ลงทุนในหุ้นที่เข้าใจ ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดที่มี เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง เรียนรู้ที่จะอยู่รอดในตลาดหุ้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2337
Finance
การลงทุนผ่าน FINNOMENA PORT เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ข้อดีของการลงทุนผ่าน FINNOMENA PORT สำหรับนักลงทุนมือใหม่: -ใช้งานง่าย: แพลตฟอร์ม FINNOMENA PORT ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ -มีข้อมูลครบถ้วน: แพลตฟอร์มมีข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมมากมาย -มีเครื่องมือช่วยตัดสินใจ: FINNOMENA PORT มีเครื่องมือช่วยตัดสินใจ เช่น FINNOMENA 3D Diagram ที่ช่วยให้นักลงทุนมือใหม่วิเคราะห์กองทุนรวมได้ง่ายขึ้น -มีพอร์ตการลงทุนสำเร็จรูป: FINNOMENA PORT มีพอร์ตการลงทุนสำเร็จรูปให้นักลงทุนมือใหม่เลือก -มีทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา: FINNOMENA มีทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา ข้อเสียของการลงทุนผ่าน FINNOMENA PORT สำหรับนักลงทุนมือใหม่: -ไม่มีการคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุด: FINNOMENA PORT ไม่ได้คัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดให้นักลงทุน -นักลงทุนต้องตัดสินใจเลือกกองทุนเอง: นักลงทุนมือใหม่ต้องศึกษาข้อมูลและตัดสินใจเลือกกองทุนเอง -มีความเสี่ยง: การลงทุนมีความเสี่ยง สรุป: การลงทุนผ่าน FINNOMENA PORT เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนด้วยตัวเอง แพลตฟอร์มมีข้อมูลครบถ้วน เครื่องมือช่วยตัดสินใจ และทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา คำแนะนำ: -ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน -เลือกพอร์ตการลงทุนสำเร็จรูปที่เหมาะกับเป้าหมายการเงิน -ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2340
Finance
5 อคติที่จะทำให้นักลงทุนขาดทุนมีอะไรบ้าง?
null
5 ตัวอย่างอคติที่นักลงทุนมักจะเจอ 1. Overconfidence: เมื่อคุณได้รับฟังข้อมูลจากกูรู หรือได้รับข่าวสารจากแหล่งอื่นๆ คุณจะรู้สึกอย่างไร? มีบ่อยครั้งที่รู้สึกมั่นใจเมื่อได้รับข้อมูลเหล่านี้ นักลงทุนบางคนเชื่อว่าเขาสามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดได้ การตัดสินใจของเขาจึงประเมินค่าไว้สูงเกินความเป็นจริง ความรู้สึกมั่นใจนี้อาจส่งผลต่อพฤติกรรมของนักลงทุน เช่น ไม่รับฟังมุมมองที่แตกต่าง ลงทุนเกินจำนวนที่เหมาะสม หรือซื้อขายระยะสั้นบ่อยขึ้น ความมั่นใจที่มากเกินไปนี้อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่เราคาดหวังได้ 2. Confirmation bias: มักจะหาหลักฐานหรือแหล่งอ้างอิงที่สนับสนุนความคิดของเพื่อยืนยันสิ่งที่คิด และหลีกเลี่ยงข้อมูลในฝั่งที่ตนไม่เชื่อถือ… การกระทำนี้ส่งผลให้การตัดสินใจมักจะมาจากข้อมูลเพียงฝั่งเดียว ยกตัวอย่างเช่น ชื่นชอบในการลงทุนเฉพาะบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าการลงทุนแบบนี้อาจทำให้เสียโอกาสจากการไม่เข้าไปซื้อขายในมูลค่าที่ดีกว่าหรือลงทุนในบริษัทที่สามารถแข่งขันได้สูงกว่า เป็นต้น 3. Loss aversion bias: มีความรู้สึกเจ็บปวดต่อการสูญเสียมากกว่าความรู้สึกดีใจกับสิ่งที่ได้รับ ซึ่งพฤติกรรมการตรวจพอร์ตการลงทุนบ่อยๆ ก็ส่อให้เห็นว่ารู้สึกอ่อนไหวต่อสภาวะการสูญเสีย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือเราเลือกการลงทุนอยู่ในจำนวนต่ำกว่าปริมาณความเสี่ยงที่เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะระยะสั้นเพราะโอกาสที่จะเห็นการขาดทุนจะเจอในระยะสั้นมากกว่าระยะยาว แต่ไม่ต้องกังวลไป… เพราะคุณสามารถเพิ่มโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนโดยการจัดสรรการลงทุนที่ตรงกับเป้าหมายระยะยาว เพราะนักลงทุนระยะยาวส่วนใหญ่จะไม่สนใจกับเหตุการณ์ระยะสั้น ถึงขาดทุนก็ไม่เป็นไรมากนัก และเลือกที่จะลงทุนในระดับความเสี่ยงที่สูงกว่าแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเช่นกัน 4. Anchoring bias: ยึดติดกับเหตุการณ์ที่เคยเจอในครั้งแรก เพราะเหตุการณ์แรกทำให้คุณยากที่จะตัดสินใจทำอะไรในครั้งต่อๆ ไป ตัวอย่างเช่น คุณซื้อหุ้นที่ราคา 75 บาท และหลังจากนั้นราคาก็เพิ่มขึ้นไปที่ 100 บาท คุณลังเลที่จะขาย ณ ราคา 100 บาท แต่สุดท้ายคุณก็ตัดสินใจที่จะยังไม่ขายในราคานั้น 3 เดือนถัดมา ราคาของหุ้นนั้นตกไปอยู่ที่ 85 บาทแทน ถ้าหากคุณมีอคติในครั้งนี้ คุณจะไม่มีทางที่จะขายหุ้นตัวนั้นอีกเลยจนกว่าราคาจะกลับไปอยู่ที่ 100 บาทเหมือนเดิม แต่ว่าคุณอาจจะไม่ทันพิจารณาว่าราคาของหุ้นไม่มีทางขึ้นกลับมาเป็นราคาเดิมและทำให้เสียโอกาสการขายไป 5. Endowment bias: โดยปกตินักลงทุนจะประเมินค่าสิ่งที่ถืออยู่ ณ ปัจจุบันสูงกว่าสิ่งที่ยังไม่ได้ถือ แต่มีโอกาสที่จะซื้อในอนาคต ทำให้นักลงทุนไม่เต็มใจที่จะขายสินทรัพย์นั้นๆ ที่ตนถืออยู่ เพราะรู้สึกทรยศต่อมัน ผลที่ได้คือตั้งราคาขายของสิ่งที่ถืออยู่ปัจจุบันไว้สูงกว่าราคาสูงสุดที่จะยอมจ่ายเพื่อซื้อสิ่งนั้นมาด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าตั้งมูลค่าของสิ่งที่เราถือไว้สูงเกินไปนั่นเอง ซึ่งอาจจะทำให้เราพลาดโอกาสใหม่ๆ ในการนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า สรุปได้ว่าอคติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากความคิดและอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้การประมวลข้อมูลมีประสิทธิภาพน้อยลง มนุษย์จึงเกิดความเอนเอียงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในระหว่างการตัดสินใจ และได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าเท่าที่ควร ดังนั้นการควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญระหว่างการลงทุนเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะพลาดโอกาสทอง
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2342
Finance
คุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ Natural Value Investor มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนมากกว่าคนทั่วไป และมีหลักฐานสนับสนุนหรือขัดแย้งอย่างไรบ้าง?
null
"Natural Value Investor" หรือคนที่โดยนิสัยมีบุคลิกและแนวคิดสอดคล้องกับหลักการ Value Investing นั้นมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนมากกว่าคนทั่วไป โดยยกตัวอย่างคุณสมบัติสำคัญ 4 ประการ ดังนี้ มีนิสัยประหยัดอดออม: เหตุผล: ช่วยให้มีเงินออมสำหรับลงทุน มีวินัยในการใช้จ่าย หลักฐานสนับสนุน: งานวิจัยโดย Morningstar พบว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมีอัตราการออมสูง Warren Buffett เป็นตัวอย่างบุคคลที่ประหยัดอดออม หลักฐานขัดแย้ง: คนที่มีเงินออมมากอาจไม่ใช่ Value Investor ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จ มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล: เหตุผล: ช่วยให้ตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ วิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ หลักฐานสนับสนุน: งานวิจัยโดย Dalbar พบว่านักลงทุนที่ใช้อารมณ์มักมีผลตอบแทนต่ำ Benjamin Graham เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิเคราะห์พื้นฐาน หลักฐานขัดแย้ง: การตัดสินใจลงทุนมีปัจจัยอื่น ๆ involved การวิเคราะห์ข้อมูลอาจมีข้อผิดพลาด มีวินัยสูง: เหตุผล: ยึดมั่นในกลยุทธ์การลงทุน ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของตลาด หลักฐานสนับสนุน: งานวิจัยโดย Fama & French พบว่า Value Investing Charlie Munger หลักฐานขัดแย้ง: การยึดมั่นในกลยุทธ์มากเกินไปอาจไม่เหมาะสม ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เกิดมาจน: เหตุผล: เข้าใจคุณค่าของเงิน มีนิสัยอดออม หลักฐานสนับสนุน: งานวิจัยโดย Bertrand & Mullainathan พบว่าคนจนมีแนวโน้มตัดสินใจทางการเงินอย่างรอบคอบ Ray Dalio หลักฐานขัดแย้ง: คนรวยก็ประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ โอกาสทางการเงินมีบทบาทสำคัญ โดยสรุป บทความนี้เสนอแนะว่า "Natural Value Investor" มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนมากกว่าคนทั่วไป โดยยกตัวอย่างคุณสมบัติสำคัญ 4 ประการ อย่างไรก็ดี ยังมีงานวิจัยและหลักฐานที่สนับสนุนและขัดแย้งข้อเสนอนี้ ปัจจัยอื่น ๆ คำแนะนำเพิ่มเติม: ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการ Value Investing พัฒนาคุณสมบัติและนิสัยที่เอื้อต่อการลงทุน ฝึกฝนการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ลงทุนอย่างสม่ำเสมอและอดทน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2344
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ มาตรการการรัดเข็มขัด (Austerity)
null
มาตรการการรัดเข็มขัด (Austerity) คือ มาตรการที่มีไว้สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวที่จแตกต่างกับการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการแจกเงิน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ ระบอบประชาธิปไตยมีรอบการเลือกตั้งที่แน่นอนและมักถูกวิจารณ์ว่าผู้เล่นระบบจะทำงานโดยหวังผลระยะสั้น เพราะต้องทำผลงานให้ได้รับการเลือกตั้งในรอบต่อไปทำให้มาตรการส่วนใหญ่ออกมาในลักษณะประชานิยมบนการใช้เงินของรัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพและทำให้การผลักดันนโยบายที่สำคัญแต่ใช้เวลาดำเนินการเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับความสนใจหรือนำมาปฏิบัติ ตัวอย่างที่พอเห็นชัดในประชาธิปไตยปัจจุบันคือ นโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่รัฐบาลทั่วโลกรวมถึงไทยไม่ได้ให้ความสำคัญเพราะอานิสงส์ของการกระทำจะเห็นผลในระยะยาวที่มักจะผลัดเปลี่ยนรัฐบาลไปแล้ว อีกหนึ่งตัวอย่างคือมาตรการการรัดเข็มขัด (Austerity) ที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอาจมีความจำเป็นในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเงินและการคลังเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน แต่รัฐบาลส่วนใหญ่อาจไม่อยากทำแต่แก้ปัญหาระยะสั้นผ่านนโยบายแจกเงินทางตรงและทางอ้อมเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจและการยอมรับในระยะสั้น
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2349
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Relative Purchasing Power Parity (RPPP)
null
Relative Purchasing Power Parity (RPPP) หมายถึง ทฤษฎีความเสมอภาคของอำนาจซื้อโดยการเปรียบเทียบ กล่าวถึงความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ โดยใจความหลักสำคัญของทฤษฎีนี้ก็คือ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินสองประเทศจะต้องอยู่ในสภาวะที่สมดุล เพื่อที่จะทำให้อำนาจการซื้อสินค้าอย่างหนึ่งในประเทศทั้งสองเท่ากัน โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยน บทเรียนจากย่อหน้านี้ Relative Purchasing Power Parity (RPPP) หรือ ทฤษฎีความเสมอภาคของอำนาจซื้อโดยเปรียบเทียบ มีพื้นฐานมาจากทฤษฎี Purchasing Power Parity (PPP) หรือ ทฤษฎีความเสมอภาคของอำนาจซื้อ อันเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินสองประเทศต้องอยู่ในภาวะสมดุล ทำให้อำนาจการซื้อหรือราคาสินค้าอย่างหนึ่งในประเทศทั้งสองเท่ากัน ทฤษฎีนี้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยน สมมติว่าประเทศ A มีอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าประเทศ B 10% ต่อปี ดังนั้นเมื่อถึงสิ้นปี สกุลเงินของประเทศ A จะมีอำนาจซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งลดลงไป 10% ดังนั้น จากแนวคิดตามทฤษฎี Relative Purchasing Power Parity ความแตกต่างของอัตราเงินเฟ้อ จะส่งผลให้สกุลเงินของประเทศ A อ่อนค่าลง 10% เพื่อรักษาอำนาจซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งให้เท่าเทียมกัน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2351
Finance
จงเสนอไอเดียหน่อยว่า "ธนาคารกลางจีน " กับ "เฟด " มีกลไกต่างกันไหม อย่างไร
null
ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เรามักจะคุ้นเคยกับกลไกการทำงานสำหรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทว่าในส่วนของธนาคารกลางของจีนหรือ The People’s Bank of China (PBOC) เรามักจะห่างๆ ไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวจากแดนมังกรมากนัก บทความนี้ จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความคุ้นเคยกับนโยบายการเงินของ PBOC ให้มากขึ้น ด้วยการเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างระหว่างธนาคารกลางของทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่ ดังนี้ หนึ่ง เฟดของสรัฐ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการควบคู่กัน คือ ดูแลการจ้างงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และ ทำให้อัตราเงินเฟ้อเข้าสู่เป้าหมาย ซึ่งในตอนนี้ ตั้งไว้ที่ 2% ในขณะที่ PBOC ของจีน ก็คล้ายกับเฟด ทว่าเน้นไปที่อัตราการเติบโตของจีดีพี เป็นหลัก โดยผู้ที่ตั้งเป้าหมายมาจากพรรคคอมมิวนิสต์ผ่านการแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี ส่วนเสถียรภาพของราคา ของจีนเน้นทั้งอัตราเงินเฟ้อโดยตั้งเป้าไว้ที่ 2-3% และอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพด้วย สอง การตั้งเป้าหมายของปริมาณเงินนั้น ถือว่าเฟดกับ PBOC มีความแตกต่างกันแบบคนละขั้ว โดยเฟดในยุคของเจย์ พาวเวล เพิ่งประกาศว่าเลือกที่จะใช้อุปสงค์ของสำรองหรือ Reserve ของระบบธนาคาร เป็นตัวขับเคลื่อนปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ เหตุผลหลักที่ผมมองว่า พาวเวลและทีมเฟดเลือกวิธีนี้คือเป็นวิธีที่จะทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจสามารถเป็นไปตามกลไกตลาด นั่นคือเป็นไปตามปริมาณสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน รวมถึงยังกำหนดให้ระบบการเงินในสหรัฐมีสภาพคล่องเหลืออย่างเพียงพอหากสถาบันการเงินสหรัฐเกิด Bank run หนักๆ เหมือนช่วงวิกฤตซับไพร์ม ที่สำคัญ งานวิจัยของเฟดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับสาขานี้มีความล้ำหน้่ากว่าในมิติอื่น ส่วนของ PBOC ถือว่ายังล้าหลังกว่าเฟดเยอะในมุมนี้ โดยเลือกใช้ปริมาณเงิน M2 หรือเงินสดในระบบเศรษฐกิจ เงินฝากทั้งประเภทออมทรัพย์และประจำ รวมถึงพันธบัตร เป็นเป้าหมายสำหรับนโยบายการเงิน เนื่องจากควบคุมและวัดได้ง่าย ซึ่งข้อเสียของการใช้ M2 คือความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงิน M2 และจีดีพี มักจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อเศรษฐกิจพัฒนา ไปเรื่อยๆในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี ในปี 2012 PBOC ได้มีการสร้างดัชนีที่วัดมูลค่าตราสารทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น หุ้นกู้ และสินเชื่อ ไว้เทียบเคียงกับขนาดเศรษฐกิจ เพื่อที่จะสามารถประเมินความร้อนแรงของสินทรัพย์ทางการเงิน เมื่อเทียบกับระบบเศรษฐกิจ ทว่าก็ยังค่อนข้างหยาบเมื่อเทียบกับมาตรฐานของตะวันตก อย่างไรก็ดี ก็ยังสามารถเป็นดัชนีอ้างอิงต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ดีในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ของ Risk Premium ของอัตราดอกเบี้ย ‘ธนาคารกลางจีน’ กับ ‘เฟด’ กลไกต่างกันไหม สาม ในขณะที่ เฟดมีเครื่องมือทางการเงินที่ไว้ปรับสภาพคล่องของตลาดและการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในตลาด อย่าง Interest on Excess Reserve (IOER) ไว้เป็นการตั้งอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำหรือ Floor แล้วยังมี Overnight Reverse Repurchase Agreement (ON RRP) ไว้ในการปรับสภาพคล่องของสถาบันการเงินในระยะสั้น และ Term Deposit Facility (TDF) ไว้ในการปรับสภาพคล่องของสถาบันการเงินในระยะยาว โดยเครื่องมือส่วนใหญ่ ใช้กลไกราคาผ่านการตัดกันของอุปสงค์และอุปทานของปริมาณเงินในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ PBOC มีเครื่องมือที่ active อยู่เพียงอย่างเดียวคือ เครื่องมือการเงินที่เรียกว่า DR007 หรือ repo rate ในตลาด inter-bank แบบ 7 วัน ดังรูป นอกจากนี้ จีนยังมี medium-term lending facility (MLF) และ standing lending facility (SLF) โดยเครื่องมืออย่างหลังเป็น ceiling ของอัตราดอกเบี้ยในตลาดจีน โดย DR007 เหมือนเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยที่สุดของสถาบันการเงิน ส่วน SLF เป็นแหล่งเงินที่ไว้ให้กู้ยามฉุกเฉิน ซึ่งจะสูงกว่า DR007 เล็กน้อย นอกจากนี้ จีนยังใช้ medium-term lending facility (MLF) ยังใช้เป็นเครื่องมือที่ไว้ใช้ในการกำหนดระดับ Required Reserve Ratio (RRR) ของสถาบันการเงินที่ต้องดำรงสำรองเมื่อรับเงินฝากจากประชาชน ที่ทางการกำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นการใช้มิติปริมาณในการส่งผลถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในตลาดมากกว่ากลไกราคา ซึ่งถือว่าล้าหลังหว่าของสหรัฐที่ใช้กลไกราคา ผ่านการประมูลในตลาดแรกและการซื้อขายพันธบัตรอายุต่างๆ ในตลาดรอง สี่ นโยบาย macro-prudential หรือการใช้กลไกนโยบายด้านเสถียรภาพทางการเงิน เข้ามาปรับสมดุลให้กับระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ PBOC ยังใช้กลไกแบบกว้างๆ อันประกอบด้วยระบบการประเมิน macro-prudential ที่เรียกว่า MPA Assessment ในการประเมินภาพรวมของเสถียรภาพทางการเงินของจีน การใช้ macro-prudential ในการบริหารเงินทุนที่ข้ามไปมาระหว่างจีนกับต่างประเทศ รวมถึงในสินเชื่อบ้านและโครงสร้างทางการเงินโดยรวมของประเทศ ในขณะที่ เฟดสามารถใช้เครื่องมือ macro-prudential ไปจนถึงระดับจุลภาค โดยสามารถรู้ได้ว่ารัฐใดมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินสูงหรือต่ำแค่ไหน และ ทราบได้ว่าประชากรในช่วงอายุใดแลละที่รัฐใดที่มีการว่างงานหรือหนี้สินมากน้อยเพียงใด ท้ายสุด สมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินของ PBOC จะไม่มีการเปิดเผยโปรไฟล์แบบชัดเจน รวมถึงผลการโหวตว่าจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินหรือไม่ก็ไม่ได้เปิดเผยให้พวกเราทราบ ผิดกับเฟดที่อัพเดตขึ้นในทวิตเตอร์และYouTube ให้เห็นกันแบบ real time อีกทั้งยังเปิดเผยมุมมองของสมาชิกเฟดแต่ละท่าน ว่าคิดเห็นถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย อัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ เมื่อมองไป 3 ปีข้างหน้า จะอยู่ที่ระดับใดในเวลาต่างๆ หรือที่เรียกว่า dot-plot โดยจะปรับมุมมองใหม่ ราวทุก 2-3 เดือน โดยตลอด นี่คือบางส่วนของความต่างของกลไกสำหรับนโยบายการเงินระหว่างของเฟดและ PBOC ที่ในระยะเวลาต่อไป PBOC จะพัฒนาเข้าหาเฟดขึ้นมาเรื่อยๆ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2352
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "การลงทุนต่างประเทศ: เส้นทางสู่การควบคุมความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการลงทุน" ให้หน่อยคะ
พนักงานรายได้ประจำส่วนใหญ่ลงทุนแค่ LTF ซึ่งลงทุนแค่หุ้นไทย ในขณะที่ RMF ลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ผู้บริหารระดับสูงและผู้ประกอบหลายคนยังกล้าๆ กล้วๆ กับการลงทุนต่างประเทศ แต่มีคนอีกจำนวนมากที่เริ่มจะกระจายการลงทุนไปต่างประเทศแล้ว ทำไมควรจะกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ? 1) ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ การลงทุนในประเทศอย่างเดียวมีความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงทางการเมือง หลังเลือกตั้งแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ความเสี่ยงกระจุกตัวในประเทศไทยมากเกินไป ถ้าเกิดเศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤตการณ์ พอร์ตลงทุนของเราก็จะมีปัญหาไปด้วย 2) เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน ต้องยอมรับครับว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นประเทศไทยอยู่ในระดับที่ดี แต่ปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ดีมากนักแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป แต่อย่างไรก็ตาม ปีต่อจากนี้อีกหลายปี จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย จะไปต่อได้ระดับ 10-12% ต่อปีได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่ตอบยาก เพราะ หุ้นไทยก็ไม่ถูกและแพงจนเกินไป ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ วัยแรงงานจะน้อยลงในอนาคต ซึ่งการจะมีผลต่อการพัฒนาประเทศได้ หุ้นนำตลาดของไทย ส่วนใหญ่เป็นหุ้นใหญ่ในยุค 3.0 ที่ผูกติดกับการบริโภคในประเทศ เช่น CPALL หรือ เป็นหุ้นที่เป็น commodity กำไรขึ้นลงตามตลาดโลก เช่น PTT ไม่มีหุ้นที่จะขึ้นมาในยุค 4.0 ที่เป็นหุ้น Innovative และ Technology ทางกลับกันถ้าไปดูหุ้นที่ต่างประเทศก็พบว่า มีหุ้นที่มี Innovative และ Technology ซึ่งสร้างรายได้จากทั่วโลก เช่น ถ้าเป็นฝั่ง อเมริกา เช่น Facebook, Google, Apple, Microsoft ถ้าเป็นฝั่ง จีน เช่น ไป่ตู้ (Baidu) อาลีบาบา และ เทนเซนต์ (Tencent) จากรูปเปรียบเทียบจะยกตัวอย่าง กองทุน SET และกองทุนต่างประเทศ ภายใน 1 ปี และ 3 ปี กองทุน TMB SET 50 (TMB50) จะเป็น Passive Fund ลงทุนใน SET50 ผลตอบแทน 1 ปี = -6.55% ผลตอบแทน 3 ปี = 9.51% กองทุน Wellington Global Quality Growth Fund ที่กองทุนแม่ของ TMBGQG ผลตอบแทน 1 ปี = 9.11% ผลตอบแทน 3 ปี = 18.21% กองทุนแบบ Passive เน้นลงทุน MSCI World Index Fund MSCI World Index Fund ผลตอบแทน 1 ปี = 6.31% ผลตอบแทน 3 ปี = 15.2% ดังนั้นการไปลงทุนต่างประเทศก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้เรา 3) Platform การลงทุนมีให้เลือกมากมาย ขึ้นอยู่กับความรู้การลงทุนและจำนวนเงินที่จะลงทุน เช่น ลงทุนโดยตรง กองทุนรวมที่ต่างประเทศโดยตรง กองทุนส่วนบุคคลที่ต่างประเทศโดยตรง กองทุนรวมในประเทศที่นำเงินไปลงทุนต่างประเทศ กองทุนส่วนบุคคลในประเทศที่นำเงินไปลงทุนต่างประเทศ 4) ความเสี่ยงในการลงทุนต่างประเทศ ความเสี่ยงจากการเมือง ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 5) ควรจะเริ่มอย่างไร กำหนดเป้าหมายการลงทุนในชัดเจน จัดพอร์ตการลงทุนที่ผสมการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เลือก platform การลงทุนในเหมาะสมกับตัวเอง โดยให้พิจารณาที่ ความรู้ในการลงทุน และจำนวนเงิน FINNOMENA ได้มี Project “ลงทุนชั้นครู กับกูรูชั้นนำ” ครั้งนี้… ฟินโนมีนาจับมือร่วมกับกูรูนักลงทุนชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทย พัฒนาแนวคิดออกมาเป็นพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย รวมถึงการดูแลหลังการลงทุนที่จะคอยอัปเดทให้ท่าน เมื่อกูรูเจ้าของพอร์ตมีมุมมองที่เปลี่ยนไปอีกด้วย ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องกังวัลในการจัดพอร์ตการลงทุน มีพอร์ตการลงทุนหลัก 3 ประเภท Tactical Allocation Strategic Allocation Focus Thematic เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ อย่ามีความกลัวในการลงทุนต่างประเทศจนเกินไป โอกาสการลงทุนดีๆ มีอยู่ทั่วโลก สมพจน์ พัดสุวรรณ หนุ่ม
บทความนี้กล่าวถึงการลงทุนของพนักงานรายได้ประจำที่มีแนวโน้มลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เหตุผลที่ควรกระจายการลงทุนไปต่างประเทศมีหลายปัจจัย: 1. ช่วยกระจายความเสี่ยง: การลงทุนในต่างประเทศช่วยลดความเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในประเทศไทย เช่น ความเสี่ยงทางการเมืองและวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ. 2. เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน: การลงทุนในตลาดต่างประเทศเสริมโอกาสในการทำกำไรและสร้างรายได้จากทั่วโลก ในทำนองเดียวกัน, หุ้นในต่างประเทศที่เน้นทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี. 3. หลายทางเลือกในการลงทุน: มีหลายแพลตฟอร์มที่สามารถให้บริการการลงทุน, เช่น ลงทุนโดยตรง, กองทุนรวม, และกองทุน Exchange-Traded Funds (ETFs), ทำให้มีทางเลือกมากมายสำหรับการลงทุน. 4. ความเสี่ยงในการลงทุนต่างประเทศ: การลงทุนต่างประเทศมีความเสี่ยงทั้งจากสถานการณ์การเมืองและอัตราแลกเปลี่ยน. 5. วิกฤติสังคมผู้สูงอายุ: การลงทุนในต่างประเทศถือเป็นกลไกที่ช่วยในการรับมือกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและลดผลกระทบจากการลดจำนวนแรงงานในอนาคต. ผู้เขียนจึงแนะนำให้กำหนดเป้าหมายการลงทุน, จัดพอร์ตการลงทุนที่ผสมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ, เลือกแพลตฟอร์มการลงทุนที่เหมาะสม, และทำความเข้าใจความเสี่ยงในการลงทุนต่างประเทศ. ในที่สุด, ผู้เขียนย้ำว่าโอกาสในการลงทุนดีๆ มีอยู่ทั่วโลกและไม่ควรกังวลในการลงทุนต่างประเทศ.
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2356
Finance
ประเด็นอะไรบ้างที่นักลงทุนมือใหม่ควรพิจารณา ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม
null
1. เป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนควรมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน เช่น ต้องการลงทุนเพื่อเกษียณอายุ การศึกษา หรือระยะสั้น เป้าหมายการลงทุนจะส่งผลต่อประเภทของกองทุนรวมที่นักลงทุนควรเลือก 2. ระดับความเสี่ยง: กองทุนรวมมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ควรเลือกกองทุนตราสารหนี้ นักลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง ควรเลือกกองทุนผสม นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ควรเลือกกองทุนตราสารทุน 3. นโยบายการลงทุน: นักลงทุนควรศึกษาและเข้าใจนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน นโยบายการลงทุนจะระบุประเภทของสินทรัพย์ที่กองทุนจะลงทุน นักลงทุนควรเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนสอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงของตนเอง 4. ค่าธรรมเนียม: กองทุนรวมมีค่าธรรมเนียมการจัดการและค่าธรรมเนียมอื่นๆ นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม 5. ผลการดำเนินงาน: นักลงทุนควรศึกษาผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนรวม ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นตัวบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของผู้จัดการกองทุน อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต 6. ระยะเวลาการลงทุน: กองทุนรวมเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรมีวินัยในการลงทุน ไม่ควรลงทุนในกองทุนรวมหากต้องการใช้เงินในระยะสั้น 7. กระจายความเสี่ยง: นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมหลายประเภท ไม่ควรลงทุนในกองทุนรวมเพียงกองทุนเดียว 8. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: นักลงทุนมือใหม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับประเภทของกองทุนรวมที่เหมาะสมกับนักลงทุน โดยสรุป นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนรวมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยง นโยบายการลงทุน ค่าธรรมเนียม ผลการดำเนินงาน ระยะเวลาการลงทุน และกระจายความเสี่ยง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก็เป็นแนวทางที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ตลาดการเงิน,เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2358
Finance
โภควิภาค ๔ คืออะไร
เป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ยังคงใช้ได้ในทุกกาลเวลาจริงๆ ในสมัยที่เรื่องเงินๆทองๆ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผนและเตรียมการอย่างในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพราะต้องเตรียมการวางแผนเกษียณแต่เนิ่นๆ หรือ เพราะคนเราอยากหาหนทางไปสู่อิสรภาพทางการเงินมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน เป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ยังคงใช้ได้ในทุกกาลเวลาจริงๆ ในสมัยที่เรื่องเงินๆทองๆ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผนและเตรียมการอย่างในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพราะต้องเตรียมการวางแผนเกษียณแต่เนิ่นๆ หรือ เพราะคนเราอยากหาหนทางไปสู่อิสรภาพทางการเงินมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน แน่นอนว่า ตำราวิชาชีพ หนังสือ และงานสัมมนาสู่เส้นทางรวยทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาสนองความต้องการตามค่านิยมของคนยุคใหม่ ตามหลักของอุปสงค์อุปทานทั่วไป ซึ่งหลักการเหล่านี้ ก็เป็นการเอาหลักคิดจากฝั่งตะวันตกมาใช้เสียส่วนใหญ่ หารู้ไม่ว่า พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องวางแผนการเงินไว้ให้เราทุกคนแล้ว โภควิภาค ๔ โภควิภาค ๔ คือ หลักคำสอนที่สอนให้เรารู้จักแบ่งทรัพย์สินออกเป็น ๔ ส่วน เพื่อชีวิตที่ไม่ขัดสนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หลักการก็คือ รายได้ที่เราได้มานั้น ให้แบ่งเป็น ๔ ส่วน (หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๕ ต่อ ๑ ส่วนนั้นเอง) โดยเมื่อแบ่งแล้ว ให้วางแผนตามนี้ครับ ๑ ส่วน เพื่อใช้เลี้ยงดูตน และคนที่ควรบำรุง เช่น สามี ภรรยา ลูก หลาน บุพการี และไว้ทำประโยชน์ เช่น ทำบุญ ทำทาน ในชีวิตประจำวัน ๒ ส่วน ใช้ลงทุนเพื่อประกอบการงาน ขยายความก็คือ การนำเงินร้อยละ ๕๐ ที่เราหาได้ มาหาวิธีทำให้ออกดอกออกผล เช่น ลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในหุ้น อสังหาฯ หรือลงทุนในกิจการที่เราชำนาญนั้นเองครับ ๑ ส่วน กันไว้เพื่อเป็นเงินฉุกเฉินในยามจำเป็น กรณีที่เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่นเกิดอุบัติเหตุ มีเหตุให้ต้องออกจากงาน รวมความก็คือ ร้อยละ ๒๕ เอามาใช้จ่าย ร้อยละ ๕๐ เอาไปลงทุน และที่เหลืออีกร้อยละ ๒๕ กันไว้ใช้เผื่อฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อกางตำราวิธีการวางแผนการเงินสมัยใหม่ ก็พบว่า มีการแนะนำให้แบ่งส่วนของรายได้ตามนี้เช่นกัน (ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน) บางคนอาจสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงให้แบ่งรายได้ถึงครึ่งหนึ่งมาลงทุน ชีวิตจะไม่ลำบากหรอ? ผมมองแบบนี้ครับ แนวทางของพระพุทธองค์นั้นเน้นเรื่องเดินทางสายกลาง และสมถะ เหมาะสมแก่ฐานะของแต่ละบุคคล จริงๆแล้ว เพื่อให้อยู่รอดในแต่ละวัน คนเราก็ต้องการข้าวแค่วันละ ๓ มื้อ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ เจริญปัญญาอย่างมีวินัยเคร่งครัด ดังนั้น ถ้าเรายึดถือปฏิบัติตามแนวคำสอน ย่อมไม่เป็นการลำบากตัวเราเองแน่นอนครับ ยกเว้นแต่ถ้าเราใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอยู่ก่อนหน้านี้ จะปรับตัวให้อดออมมากขึ้น ก็อาจจะลำบากในช่วงแรก แต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ครับ มองในอีกแง่ หากทุกๆเดือน เราใช้เงินแค่ ๑ ใน ๔ ของที่หามาได้จริงๆ นั้นแปลว่า ถึงเราตกงานในเดือนถัดไป เราก็ยังมีเงินสำรองฉุกเฉินที่สามารถอยู่รอดได้อีก ๓ เดือนทีเดียว หรือเอานานกว่านั้นก็ได้ครับ ถ้าทำงานมา ๑ ปี แล้วตกงาน ก็เท่ากับเราสามารถอยู่รอดในอีก ๓ ปีข้างหน้าสบายๆ นี่ยังไม่นับผลตอบแทนที่งอกเงยจากส่วนที่เราเอาไปลงทุนครึ่งหนึ่ง ซึ่งถ้าเรารักษาวินัยทางการเงินตามหลักโภควิภาค ๔ ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ก็จะยิ่งได้ประโยชน์จากพลังของดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) มากขึ้นไปอีก
โภควิภาค ๔ คือ หลักคำสอนที่สอนให้เรารู้จักแบ่งทรัพย์สินออกเป็น ๔ ส่วน เพื่อชีวิตที่ไม่ขัดสนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หลักการก็คือ รายได้ที่เราได้มานั้น ให้แบ่งเป็น ๔ ส่วน (หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๕ ต่อ ๑ ส่วนนั้นเอง) โดยเมื่อแบ่งแล้ว ให้วางแผนตามนี้ ๑ ส่วน เพื่อใช้เลี้ยงดูตน และคนที่ควรบำรุง เช่น สามี ภรรยา ลูก หลาน บุพการี และไว้ทำประโยชน์ เช่น ทำบุญ ทำทาน ในชีวิตประจำวัน ๒ ส่วน ใช้ลงทุนเพื่อประกอบการงาน ขยายความก็คือ การนำเงินร้อยละ ๕๐ ที่เราหาได้ มาหาวิธีทำให้ออกดอกออกผล เช่น ลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในหุ้น อสังหาฯ หรือลงทุนในกิจการที่เราชำนาญนั้นเอง ๑ ส่วน กันไว้เพื่อเป็นเงินฉุกเฉินในยามจำเป็น กรณีที่เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่นเกิดอุบัติเหตุ มีเหตุให้ต้องออกจากงาน รวมความก็คือ ร้อยละ ๒๕ เอามาใช้จ่าย ร้อยละ ๕๐ เอาไปลงทุน และที่เหลืออีกร้อยละ ๒๕ กันไว้ใช้เผื่อฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อกางตำราวิธีการวางแผนการเงินสมัยใหม่ ก็พบว่า มีการแนะนำให้แบ่งส่วนของรายได้ตามนี้เช่นกัน บางคนอาจสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงให้แบ่งรายได้ถึงครึ่งหนึ่งมาลงทุน ชีวิตจะไม่ลำบากหรอ? โดยแนวทางของพระพุทธองค์นั้นเน้นเรื่องเดินทางสายกลาง และสมถะ เหมาะสมแก่ฐานะของแต่ละบุคคล จริงๆแล้ว เพื่อให้อยู่รอดในแต่ละวัน คนเราก็ต้องการข้าวแค่วันละ ๓ มื้อ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ เจริญปัญญาอย่างมีวินัยเคร่งครัด ดังนั้น ถ้าเรายึดถือปฏิบัติตามแนวคำสอน ย่อมไม่เป็นการลำบากตัวเราเองแน่นอน ยกเว้นแต่ถ้าเราใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอยู่ก่อนหน้านี้ จะปรับตัวให้อดออมมากขึ้น ก็อาจจะลำบากในช่วงแรก มองในอีกแง่ หากทุกๆเดือน เราใช้เงินแค่ ๑ ใน ๔ ของที่หามาได้จริงๆ นั้นแปลว่า ถึงเราตกงานในเดือนถัดไป เราก็ยังมีเงินสำรองฉุกเฉินที่สามารถอยู่รอดได้อีก ๓ เดือนทีเดียว หรือเอานานกว่านั้นก็ได้ ถ้าทำงานมา ๑ ปี แล้วตกงาน ก็เท่ากับเราสามารถอยู่รอดในอีก ๓ ปีข้างหน้าสบายๆ นี่ยังไม่นับผลตอบแทนที่งอกเงยจากส่วนที่เราเอาไปลงทุนครึ่งหนึ่ง ซึ่งถ้าเรารักษาวินัยทางการเงินตามหลักโภควิภาค ๔ ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ก็จะยิ่งได้ประโยชน์จากพลังของดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) มากขึ้นไปอีก
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2360
Finance
จงบอกผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของสินทรัพย์ ดังต่อไปนี้ เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจํา 1-3 ปี กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนรวมที่มีกําหนดระยะเวลา กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว หุ้นกู้ 3-5 ปี บริษัทชั้นนํา ความน่าเชื่อถือสูง ตั๋วแลกเงิน B/E หุ้นกู้ด้อยสิทธิ กองทุนรวมตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนสูง (High Yield) อสังหาใหม่/อสังหาเก่า กองทุนรวมอสังหาฯ & REITs /กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
null
- เงินฝากออมทรัพย์ รายละเอียด ฝากเงินกับธนาคาร ถอนได้ทุกวัน โอกาสขาดทุน มี ถ้าธนาคารเจ๊ง รัฐคุ้มครองเพียง 1 ล้าน ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี < 0.5% - เงินฝากประจํา 1-3 ปี รายละเอียด ฝากเงินกับธนาคาร ถอนไม่ได้จนกว่าจะครบกําหนด โอกาสขาดทุน มี ถ้าธนาคารเจ๊ง รัฐคุ้มครองเพียง 1 ล้าน ต้องเสียภาษี ผลตอบแทน เฉลี่ยต่อปี 1-1.5% - กองทุนรวมตลาดเงิน รายละเอียด ผู้จัดการกองทุนนําเงินไปลงทุนในตราสารเงิน เมื่อได้ดอกเบี้ยหรือกําไร จะสะท้อนมาที่ NAV ขายคืนได้ทุกวัน โอกาสขาดทุน น้อยมาก ขาดทุนได้เวลาวิกฤต ขาดทุนได้น้อยกว่า 0.1% ในช่วงสั้นๆ ไม่ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 1.2-1.7% - กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น รายละเอียด ผู้จัดการกองทุนนําเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เมื่อได้ดอกเบี้ยหรือกําไร จะสะท้อนมาที่ NAV ขายคืนได้ทุกวัน โอกาสขาดทุน มีบ้างเวลาดอกเบี้ยขึ้น ขาดทุนได้ 1-3% ต่ออัตราผลตอบแทน พันธบัตรที่ขึ้น 1% ไม่ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 1.5-3% - กองทุนรวมที่มีกําหนดระยะเวลา รายละเอียด ผู้จัดการกองทุนนําเงินไปลงทุนในตราสารที่เสี่ยงต่ํา เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย ขายคืนไม่ได้จนกว่าจะครบกําหนด โอกาสขาดทุน มี ถ้าบริษัทไม่มีเงินจ่าย ขาดทุนได้ทั้งหมด ไม่ต้องเสียภาษี ผลตอบแทน เฉลี่ยต่อปี 1.5-3% - กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว รายละเอียด ผู้จัดการกองทุนนําเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางเมื่อได้ดอกเบี้ยหรือกําไร จะสะท้อนมาที่ NAV ขายคืนได้ทุกวัน โอกาสขาดทุน มี ถ้าดอกเบี้ยขึ้น ขาดทุนได้ 3-10% ต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ขึ้น 1% ไม่ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 2-3.5% - หุ้นกู้ 3-5 ปี บริษัทชั้นนํา ความน่าเชื่อถือสูง รายละเอียด ตราสารหนี้ของบริษัท ได้รับเงินตามที่หน้าตั๋ว กําหนดในรูปแบบดอกเบี้ย โอกาสขาดทุน มี ถ้าบริษัทไม่มีเงินจ่าย ขาดทุนได้ทั้งหมด ต้องเสียภาษี ผลตอบแทน เฉลี่ยต่อปี 2-3.5% - ตั๋วแลกเงิน B/E รายละเอียด ตราสารหนี้ของบริษัทได้รับเงินตามที่หน้าตั๋ว กําหนดในรูปแบบดอกเบี้ย โอกาสขาดทุน มี ถ้าบริษัทไม่มีเงินจ่าย ขาดทุนได้ทั้งหมด ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 3-5% - หุ้นกู้ด้อยสิทธิ รายละเอียด ตราสารหนี้ของบริษัท ได้รับเงินตามที่หน้าตั๋วกําหนด แต่เป็นเจ้าหนี้ที่ได้สิทธิทีหลังผู้ซื้อหุ้นกู้ธรรมดา โอกาสขาดทุน มี ถ้าบริษัทไม่มีเงินจ่าย ขาดทุนได้ทั้งหมด ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 4-6% - กองทุนรวมตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนสูง (High Yield) รายละเอียด ผู้จัดการกองทุนนําเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือตา เมื่อได้ดอกเบี้ยหรือกําไร จะสะท้อนมาที่ NAV ขายคืนได้ทุกวัน โอกาสขาดทุน มี ถ้าดอกเบี้ยขึ้น ขาดทุนได้ 3-10% ต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ขึ้น 1% ไม่ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 4-6% - อสังหาใหม่ ทําเลดี รายละเอียด เป็นเจ้าของตึกแถว ห้องชุด คอนโดฯ บ้านเช่า ฯลฯ และปล่อยเช่า รอรับค่าเช่า โอกาสขาดทุน มี ถ้าราคาอสังหาฯ ลง ขาดทุนได้ทั้งหมด ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 3-5% - อสังหาเก่า ทําเลดี รายละเอียด เป็นเจ้าของตึกแถว ห้องชุด คอนโด บ้านเช่า ฯลฯ และปล่อยเช่า รอรับค่าเช่า โอกาสขาดทุน มี ถ้าราคาอสังหาฯ ลง ขาดทุนได้ทั้งหมด ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 5-7% - กองทุนรวมอสังหาฯ & REITs /กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน รายละเอียด ผู้จัดการทุนนําเงินไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาย หรืออื่นๆ ที่ได้รับค่าเช่า สะท้อนกําไรมาที่ NAV ที่เพิ่มมากขึ้น และจ่ายกระแสเงินสดออกมาให้นักลงทุน โอกาสขาดทุน มี ถ้าราคาอสังหาฯ ลง ขาดทุนได้ทั้งหมด ต้องเสียภาษี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 5-8%
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2368
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความแตกต่างระหว่างกองทุน TMB50 และกองทุน JB25 ในเรื่องนโยบายการลงทุน กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน และประเภทกองทุน
null
สำหรับความแตกต่างระหว่างกองทุน TMB50 และกองทุน JB25 เริ่มจากนโยบายการลงทุน กองทุน TMB50 มีนโยบายที่จะพยายามลงทุนในหุ้นเต็มอัตรา เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนี SET50 ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนกองทุน JB25 เน้นลงทุนในหุ้นเต็มอัตราตลอดเวลา โดยจะลงทุนในหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 25 บริษัทแรกที่เข้าหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกหลักทรัพย์ ต่อกันที่กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน ทั้ง 2 กองทุนลงทุนแบบ Passive เหมือนกัน คือ การลงทุนที่มุ่งเน้นให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง กองทุน TMB50 เป็นประเภท SET 50 Index Fund ลงทุนในบริษัทที่หลากหลาย ส่วนกองทุน JB25 เป็นประเภท Equity Large Cap ลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ บทเรียนจากย่อหน้านี้ เปรียบเทียบ TMB50 และ JB25 เหมือนและแตกต่างกันยังไง? (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2561) 1. นโยบายการลงทุน TMB50 กองทุนมีนโยบายที่จะพยายามลงทุนในหุ้นเต็มอัตรา (Fully Invested) เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนี SET50 ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ JB25 เน้นลงทุนในหุ้นเต็มอัตรา (Fully Invested) ตลอดเวลา โดยจะลงทุนในหุ้นสามัญและ/หรือหุ้นบุริมสิทธิของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 25 บริษัทแรกที่เข้า หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกหลักทรัพย์ จากข้อมูลนโยบาลลงทุน แสดงให้เห็นว่า TMB50 พยายามลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนี SET50 จะถือหุ้นโดยประมาณ 50 ตัว ส่วน JB25 ลงทุนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 25 บริษัทแรกจะถือหุ้นโดยประมาณ 25 ตัว 2. กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน จากข้อมูลกลยุทธ์นโยบายลงทุน แสดงให้เห็นว่า TMB50 และ JB25 ลงทุนแบบ Passive เหมือนกัน คือ การลงทุนที่มุ่งเน้นให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง 3. รายละเอียดกองทุน จากข้อมูลรายละเอียดกองทุน แสดงให้เห็นว่า ประเภทกองทุน TMB50 เป็นประเภท SET 50 Index Fund ลงทุนในบริษัทที่หลากหลายทั้งกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทขนาดเล็ก ส่วน JB25 ประเภท Equity Large Cap ลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ และโดยหลักการแล้วบริษัทใหญ่มักจะมีความมั่นคงมากกว่าบริษัทขนาดเล็ก ในด้านค่าใช้จ่ายกองทุนรวม JB25 สูงกว่า TMB50 เล็กน้อย หมายเหตุ: ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2562 เป็นต้นไป เปลี่ยนจาก 1,000 บาท เป็น 1 บาท 4. หลักทรัพย์ที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก จากข้อมูลชื่อหลักทรัพย์ที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก แสดงให้เห็นว่า TMB50 และ JB25 ลงทุนหลักทรัพย์ที่เหมือนกันใน 5 อันดับแรก แต่สัดส่วนบริษัท JB25 สูงกว่า TMB50 เพียงเล็กน้อย เนื่องจาก JB25 ถือหุ้นแค่เพียง 25 ตัวและเน้นลงทุนบริษัทขนาดใหญ่เป็นหลัก 5. ผลตอบแทนย้อนหลัง จากข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังรายปี แสดงให้เห็นว่า TMB50 และ JB25 ผลตอบแทนย้อนหลังรายปีใกล้เคียงกันแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป ดำเนินการลงทุนมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 2 กองทุน จากข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง แสดงให้เห็นว่า TMB50 และ JB25 มีผลตอบแทนย้อนหลังใกล้เคียงกัน แต่ระยะ 3 เดือน 6 เดือน และ 10 ปี TMB50 สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า JB25 ส่วนระยะ 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี JB25 สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า TMB50 6. 5 หมวดธุรกิจแรกที่ลงทุน จากข้อมูล 5 หมวดธุรกิจแรกที่ลงทุน (%) แสดงให้เห็นว่า TMB50 และ JB25 ลงทุนใน 5 หมวดธุรกิจแรกใกล้เคียงกัน แต่แตกต่างกันเพียงสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมเล็กน้อย 6. ความเสี่ยง ลองมาดูจุดขาดทุนสูงสุด (Max Drawdown) และ Standard Deviation ก็ค้นพบว่า 2 กองนี้มีความใกล้เคียงกันมาก โดย JB25 นั้นจะมีค่าที่สูงกว่าประมาณ 1% เท่านั้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2370
Finance
วิธีคิดแบบไหน ที่ยังไม่ควรจะลงทุนในหุ้น
null
1. ถ้าคุณหวังรวยเร็วติดจรวด เพราะโอกาสรวยแบบนั้นมันน้อยเหมือนเล่นหวย โอกาสที่คุณจะเจ๊งก่อนรวยนั้นสูงกว่ามาก นักลงทุนระดับโลกนั้นโดยเฉลี่ยสามารถทำผลตอบแทนได้ปีละประมาณ 10-15% ต่อปี ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว มากกว่านั้นถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในระยะยาว 2. ถ้าคุณคิดว่าคุณเก่งและรอบรู้ไปเสียทุกอย่าง เพราะถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณจะไม่มีการศึกษาเพิ่มเติมอย่างถี่ถ้วน และสุดท้ายคุณก็จะแพ้ จงเป็นนำ้ที่ไม่เคยเต็มแก้ว เรียนรู้อยู่เสมอ เรียนรู้จากความสำเร็จ เรียนรู้จากความผิดพลาด เรียนรู้จากตัวเอง เรียนรู้จากคนอื่น 3. ถ้าคุณชอบซื้อหุ้นตามนักลงทุนรายใหญ่ต่างๆ เพราะเมื่อเขาขาย เขาอาจไม่ได้บอกคุณ หรือตอนเขาซื้อ ก็มักจะไม่ใช่ราคาเดียวกับที่คุณจ่าย นอกจากนั้นแล้วขนาดของพอรต์ก็มีผลต่อการเลือกหุ้นถ้าคุณเป็นรายเล็ก การซื้อหุ้นตามรายใหญ่อาจไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย รายเล็กมีข้อได้เปรียบคือพอร์ตเล็กเลือกซื้อหุ้นได้หลากหลาย สภาพคล่องไม่มากก็ซื้อได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณซื้อตามรายใหญ่ตลอด ข้อได้เปรียบข้อนี้จะหายไป 4. ถ้าคุณชอบเทรดหุ้นรายวัน จงจำไว้ว่า ทุกครั้งที่คุณเทรดคนที่ได้เงินไม่ใช่คุณแต่เป็นโบรคเกอร์ต่างหาก และทุกวันนี้นอกจากเทรดแข่งกับคนแล้ว คุณยังต้องเทรดแข่งกับคอมพิวเตอร์ กับหุ่นยนต์อีกด้วย โอกาสที่จะสำเร็จยิ่งยากขึ้น 5. ถ้าคุณไร้ความอดทน การลงทุนเหมือนการปลูกต้นไม้ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายยังต้องใช้เวลานับสิบปีเพื่อให้ผลตอบแทนของพวกเค้างอกเงย ยกตัวอย่างของ Buffett ความมั่งคั่งของเค้าใช้เวลากว่า 60 ปีในการสรรค์สร้าง จงจำไว้เสมอว่าเวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีของนักลงทุนที่อดทน แต่จะเป็นศัตรูตัวฉกาจกับนักลงทุนที่ไร้ความอดทน 6. ถ้าคุณไม่มีเวลา การจะลงทุนในอะไรสักอย่าง ถ้าจะให้ดีคุณก็ควรจะให้เวลาเพื่อศึกษาบริษัทและวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเพื่อที่จะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของการแห่ตามฝูงชน ไม่ก็อารมณ์ของตัวคุณเอง ถ้าคุณไม่มีเวลาจริงๆทางออกที่ดีที่สุดก็การซื้อกองทุนดัชนี 7. ถ้าคุณชอบความแน่นอน การลงทุนหุ้นนั้นผันผวนขึ้นลงตลอดเวลาไม่เหมือนการฝากแบงค์ที่มีดอกเบี้ยบอกแน่นอนว่าคุณจะได้เท่านั้นเท่านี้หรือการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ถ้าคุณถือจนหมดอายุก็จะได้รับดอกเบี้ยที่แน่นอน จงฉกฉวยผลประโยชน์จากความไม่แน่นอน อย่ากลายเป็นทาสของมัน 8. ถ้าคุณไม่มีเงินเย็น จงจำไว้เสมอว่าการลงทุนคือการนำเงินเก็บมาลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนงอกเงย อย่าใช้เงินหมุนมาเสี่ยงในตลาดหุ้นที่ผันผวนเพราะคุณไม่มีทางรู้ได้ว่าจะรวยหรือซวย ถ้าเป็นแบบหลัง ชีวิตคุณอาจต้องเผชิญกับปัญหาสาหัส และถ้าคุณมีหนี้สินด้วยก็แทบจะเป็นการปิดทางรวยของตัวคุณเองไปเลย 9. ถ้าคุณไม่สามารถตัดสินใจภายใต้ความกดดันได้ คุณซื้อหุ้นที่ราคาหนึ่งโดยคาดหวังว่ามันจะขึ้น แต่ถ้ามันตกคุณจะทนถือหรือตัดสินใจขาย? ความสามารถในการตัดสินใจภายใต้ความกดดันสำคัญมากเพราะมีโอกาสที่หุ้นจะไม่กลับขึ้นมาอีกเลยและคุณจะดอยไปตลอดชีวิต การไม่ตัดสินใจคือการตัดสินใจที่แย่ที่สุด 10. ถ้าคุณคิดว่าคุณมีข้อมูลวงในที่คนอื่นไม่รู้ เพราะถ้าข้อมูลมาถึงคุณซึ่งไม่ได้เป็นคนที่อยู่วงในแต่อย่างใด มีโอกาสสูงมากที่ข้อมูลวงในที่ว่าจะเป็นข้อมูลวงในที่ใครๆก็รู้กันหมดแล้ว ยกเว้นคุณที่เพิ่งรู้ แล้วถ้าคนเขารู้กันหมดแล้วจะเรียกว่าข้อมูลวงในได้อย่างไร? 11. ถ้าคุณถือหุ้นมากมายเพื่อกระจายความเสี่ยง คุณจะไม่มีทางได้รับผลตอบแทนสูงๆเพราะเมื่อหุ้นบางตัวในพอรต์ของคุณชนะ จะมีบางตัวที่แพ้และผลตอบแทนของคุณก็จะลดทอนไปตามสัดส่วน อาชีพนักลงทุนคือการเป็นนัก “เลือก” ถ้าคุณเลือกไม่ได้ก็อย่าเป็นนักลงทุนเลย 12. ถ้าคุณซื้อหุ้นบริษัทเพราะคุณชอบสินค้าที่บริษัทนั้นขาย การที่มีสินค้าหรือบริการที่ดีนั้นก็ดีแต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัทนั้นจะเป็นหุ้นที่ดีแล้วคุณจะทำกำไรได้เสมอไปจากการลงทุนในบริษัทนั้น คุณต้องติดตามบริษัทนั้นอย่างใกล้ชิดด้วยเพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปคุณอาจหนีไม่ทัน บริษัทที่ดีอาจไม่ใช่หุ้นที่ดี 13. ถ้าคุณเชื่อคำคาดการณ์ของนักวิเคราะห์มากเกินไป จำไว้ว่านักวิเคราะห์ไม่ใช่เพื่อนของคุณและไม่มีหน้าที่ทำให้คุณรวยแต่อย่างใด หน้าที่ของพวกเขาคือการกระตุ้นให้คุณซื้อๆขายๆหุ้น และทำเงินจากค่าธรรมเนียมให้ได้มากที่สุด ส่วนคุณจะกำไรหรือขาดทุนมักไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะมาใส่ใจมากเท่าจะได้ค่าธรรมเนียมจากการลงทุนของคุณมากเท่าไหร่ จงฟังนักวิเคราะห์อย่างมีสติ และใช้บทวิเคราะห์อย่างชาญฉลาด 14. ถ้าคุณคิดว่าคุณคาดการณ์ตลาดได้ คุณไม่ควรลงทุนแต่คุณควรไปเป็นหมอดูแทน การคาดการณ์ตลาดนั้นยากมากยิ่งในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว Warren Buffett พูดไว้ว่าเขาไม่เคยคาดการณ์ตลาดเลย เนื่องจากการทำแบบนั้นอาจทำให้คุณเสียโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นดีๆไป 15. ถ้าคุณคิดว่าการเล่นหุ้นคือการพนัน เพราะถ้าคุณเข้าตลาดด้วยความคิดนี้มันก็จะเป็นแบบนั้น การกระทำของคนขึ้นอยู่กับทัศนคติของเขาเอง หุ้นจะเป็นการลงทุนต่อเมื่อคุณมองและปฏิบัติกับมันแบบการลงทุน การพนันกับราคาหุ้นเป็นสิ่งที่คนนึงได้คนนึงเสียไม่ได้สร้างอะไรเพิ่มเติมให้กับเศรษฐกิจต่างจากการลงทุนที่คุณซื้อสิทธิความเป็นเจ้าของและรายได้ในอนาคตของบริษัทซึ่งเมื่อบริษัทโตขึ้นคุณก็รวยขึ้นไปด้วยกัน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2371
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ต้นเหตุของวงจรฟองสบู่แห่งหนี้สินของสหรัฐอเมริกา
null
ต้นเหตุของวงจรฟองสบู่แห่งหนี้สินของสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีโรนอลด์ เรแกน ในปี 1980 ซึ่งเป็นการก่อหนี้ที่ช่วยสร้างปฏิหารย์ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่มีประธานาธิบดีคนไหนอยากทำให้เศรษฐกิจพัง ก็ยังคงกู้เงินเพิ่มเพื่อให้ฟองสบู่ยังเติบโตต่อไป ซึ่งประธานาธิบดีที่มีการกู้เงินมากที่สุด ณ ปี 2019 คือ บารัค โอบาม่า โดยสร้างหนี้ไป 8.59 ล้านล้านดอลลาร์ กับการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต 2008 จากการลดภาษีและสวัสดิการให้คนว่างงาน ปัจุบันคนอเมริกาใช้จ่ายอย่างมีความสุข โดยไม่คำนึงถึงความประหยัด ก็เหมือนกับเกมเก้าอี้ดนตรีที่เมื่อไหร่ดนตรีหยุดลง ฟองสบู่แตก เมื่อนั้นจะถึงเวลาชดใช้หนี้ บทเรียนจากย่อหน้านี้ ต้นเหตุของวงจรฟองสบู่แห่งหายนะนี้เริ่มต้นมาได้อย่างไรกัน? หนี้สินของสหรัฐฯ นั้นเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงปี 1980 ในยุคสมัยของประธานาธิบดีโรนอลด์ เรแกน ถ้านับจนถึงปัจจุบันหนี้ของสหรัฐนั้นเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ ประมาณ 12% เลยทีเดียว การก่อหนี้มีส่วนช่วยอย่างมากในการสร้างปฏิหารย์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่มีประธานาธิบดีคนไหนอยากให้เศรษฐกิจพังในมือของตน ทุกคนต่างกู้เพิ่มเพื่อให้ฟองสบู่ยังคงโตต่อไปได้ โดยประธานาธิบดีที่กู้เงินมากที่สุด ณ ปี 2019 คือบารัค โอบามา ภายใต้วาระ 8 ปี ประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า เป็นผู้สร้างหนี้มากที่สุดที่ 8.59 ล้านล้านดอลลาร์ โดยใช้จ่ายไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต 2008 ด้วยการลดภาษี, ทางการทหารและสวัสดิการคนว่างงาน รองจากโอบาม่า ก็เป็นวาระของ จอรจ์ ดับเบิลยู บุช วาระ 8 ปีเช่นกันสร้างหนี้ให้กับอเมริกาที่ 5.85 ล้านล้านดอลลาร์ จอร์จ บุช ใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหลังจากฟองสบู่ดอทคอมด้วยนโยบายลดภาษี, ใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือธนาคารในช่วงวิกฤตปี 2008 และการทำสงครามกับตะวันออกกลาง ส่วนประธานาธิบดี คนปัจจุบัน โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างหนี้ไปแล้ว กว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลาเพียงปีเดียว โดยมีการคาดการณ์ว่าเมื่อหมดวาระจะสร้างหนี้ประมาณ 4.774 ล้านล้านดอลลาร์ โดยใช้จ่ายไปกับนโยบายลดภาษี,โปรเจคต่างๆและทางการทหาร เศรษฐกิจที่เติบโตด้วยการก่อหนี้ แม้จะสามารถทำให้เติบโตได้ในระยะสั้นแต่ในระยะยาว “หนี้” ก้อนนั้นจะต้องถูก “ชดใช้” การกู้หนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ณ ตอนนี้เปรียบเสมือนเก้าอี้ดนตรีที่ตราบใดที่ดนตรียังเล่นต่อไป ทุกๆ คนก็ยังใช้ชีวิต ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ได้อย่างมีความสุข จนอาจจะหลงลืมไปได้ว่าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา เมื่อใดที่ดนตรีหยุดลง ฟองสบู่แตก เมื่อนั้นคือเวลาของการชดใช้หนี้ที่ก่อไว้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2375
Finance
10 สัญญาณอันตรายที่หุ้นกำลังจะหยุดโต มีอะไรบ้าง
null
10 สัญญาณอันตรายที่หุ้นกำลังจะหยุดโต ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมเริ่มเป็นขาลง เริ่มด้วยการมองภาพใหญ่ว่าอุตสาหกรรมของบริษัทที่สนใจอยู่ในเทรนด์ขาลงหรือเปล่า เป็นธุรกิจที่กำลังจะถูก Disrupt ในอนาคตมั้ย เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ กล้องถ่ายรูปแบบเดิม ๆ เพราะนั่นเท่ากับว่าขนาดของตลาดหรือจะมองเป็นก้อนน้ำแข็งน่าจะชัดกว่า ค่อย ๆ ละลายลงและมีขนาดเล็กลงอย่างช้า ๆ บริษัทที่สนใจก็จะมีโอกาสในการโตน้อยลงด้วยนั่นเอง 2. ส่วนแบ่งการตลาดลดลง แปลว่าความสามารถในการแข่งขันลดลง แบรนด์หรือสินค้าเป็นที่ยอมรับน้อยลง ยิ่งถ้าไปอยู่ในตลาดที่ไม่โตด้วยแล้วแปลว่าโดนแย่งยอดขายไป หรือคู่แข่งเก่งขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะทำให้สูญเสียทั้งลูกค้าและยอดขายไป 3. ลูกค้าเริ่มหาย เป็นเรื่องที่น่ากลัวถ้าอยู่ ๆ วันนึงลูกค้าที่ซื้อสินค้าค่อย ๆ ลดลง ไม่ว่าจะไปซื้อสินค้าคู่แข่ง หรือออกจากตลาดไปเลย ซึ่งตรงนี้อาจจะไปดูข้อมูลอย่าง Penetration หรือ Switching Gain/Loss Analysis สัดส่วน Loyalty Rate ก็จะเห็นภาพว่าลูกค้าหายไปมากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีกับแบรนด์หายไปยิ่งน่ากลัว เพราะส่วนมากไปแล้วไปลับไม่กลับมา 4. ยอดขายไม่เติบโต โดยหลักการแล้วยอดขายเกิดจาก “ปริมาณ x ราคาขาย” ต้องลองแยกดูว่ายอดขายที่ไม่เติบโตมาจากส่วนไหน เช่น • ขึ้นราคาสินค้า เลยขายของได้น้อยลง ถ้าสุดท้ายลูกค้าเห็นว่าแพงไปไม่ซื้อกัน ยอดขายก็หายได้ • ราคาเท่าเดิม แต่ขายไม่ดี แบบนี้ยอดขายก็ลด แต่อาจเกิดจากแบรนด์มีปัญหา สินค้าไม่โดน หรือคู่แข่งดีกว่า • ลดราคาสินค้า แต่โวลุ่มเพิ่มไม่มาก แบบนี้ยิ่งแย่ อาจทำโปรโมชั่นดึงลูกค้า หรือกำลังเข้าสู่สงครามราคา ขายถูกแล้ว แต่คนซื้อเพิ่มไม่เยอะ ยอดขายก็ตกอยู่ดี 5. อัตรากำไรขั้นต้นลดลง GPM เป็นตัวบอกเรื่องของความสามารถในการทำกำไรว่า สินค้าสามารถตั้งราคาขายหรือว่าควบคุมต้นทุนได้ดีแค่ไหน แบรนด์แข็งแรงแค่ไหน ถ้ามีแนวโน้มลดลงก็ต้องระวังว่า เป็นเพราะวัตถุดิบเพิ่มแล้วขึ้นราคาขายตามไม่ได้ หรือว่าการแข่งขันรุนแรงทำให้ต้องลดราคาสู้ ไม่ว่าแบบไหนก็แล้วแต่ ไม่ดีทั้งนั้น 6. Asset Turn Over ลดลง คือ การที่เอายอดขายหารด้วยสินทรัพย์ เพื่อดูว่าทรัพย์สินที่มีในบริษัททำให้เกิดยอดขายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็สะท้อนมาในเรื่องการลงทุนเหมือนกันว่าเดินมาถูกทางหรือเปล่า ถ้ายิ่งลดลงทุกปีเริ่มน่าเป็นห่วงแปลว่าทรัพย์สินที่มี เครื่องมือเครื่องจักร โรงงานต่าง ๆ สินค้าคงเหลือ ไม่สามารถทำเงินได้ 7. Cash Cycle เพิ่มขึ้น วงจรเงินสดเป็นตัวบอกถึงการบริหารลูกหนี้ เจ้าหนี้ และสต็อคสินค้าว่าจัดการเรื่องการหมุนของเงินตั้งแต่ต้นจนจบใน 1 รอบ ได้ดีแค่ไหน หลายครั้งการที่ CC Day เพิ่มขึ้นมาจากการที่ขายของไม่ออก สต็อคบวม หรือบางครั้งต้องให้เครดิตลูกหนี้นานขึ้น (เก็บเงินได้ช้าลง) ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ดี 8. CFI ไม่เพิ่ม เป็นตัวเลขที่บอกว่าบริษัทมีการลงทุนอะไรมากน้อยแค่ไหน ถ้าตัวเลขนิ่งสนิทมาตลอด มีแต่ลงทุนเพื่อปรับปรุงเครื่องจักร ซ่อมบำรุงทั่วไป แต่ไม่มีการลงทุนอะไรใหญ่ ๆ แล้วถ้าธุรกิจเดิมก็ทรง ๆ แบบนี้ก็น่าเป็นห่วง 9. ตัดงบ R&D หลายบริษัทที่เติบโตเร็วของโลกมักจะให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี การตัดงบตรงนี้เท่ากับเป็นการตัดตอนอนาคตในด้านนวัตกรรม และถ้าคู่แข่งไม่ได้ตัดหรือเพิ่มการทำ R&D ก็มีโอกาสถูกแซงหรือถูก Disrupt ได้ในที่สุด 10. ลดจำนวนพนักงาน เป็นข่าวที่เห็นบ่อยมาก พอธุรกิจไม่ดี ยอดขายไม่มา สิ่งแรกที่ทำคือลดค่าใช้จ่าย ลดพนักงาน หลายบริษัทมีโครงการจากลาด้วยความสมัครใจ Early Retire หรือหลายบริษัททำการ Downsize แล้วจ้าง outsource บริหารจัดการแทน แต่ถ้าระยะยาวยอดขายยังไม่มา การลดค่าใช้จ่ายทำได้จำกัด บริษัทก็จบกัน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2377
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 5 วิธีอ่านบทวิเคราะห์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
null
สำหรับวิธีอ่านบทวิเคราะห์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด มีทั้งหมด 5 วิธีด้วยกัน วิธีแรก คือ การอ่านบทวิเคราะห์ ควรดูเกี่ยวกับราคาเป็นอันดับสุดท้าย อย่าเริ่มเกี่ยวกับราคาเป็นอย่างแรก วิธีที่ 2 คือ เริ่มอ่านบทวิเคราะห์จากภาพรวมอุตสาหกรรม เพื่อให้เห็นภาพรวมการเติบโตของอุตสาหกรรม วิธีที่ 3 คือ ต้องอ่านข้อมูลและงบการเงินของบริษัท เพื่อจะได้รู้ว่าบริษัทมีผลการดำเนินงานอย่างไรและเพราะอะไร วิธีที่ 4 คือ ต้องดูสมมติฐานในการคำนวณราคา เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการคำนวณราคาและเหตุผลที่ให้ราคาที่สูงหรือต่ำ และวิธีสุดท้าย คือ ต้องอ่านความเห็นหรือคาดการณ์แนวโน้ม เพื่อให้เห็นที่มาจากทั้งผู้บริหารและนักวิเคราะห์ที่มีการคาดการณ์อนาคตว่าบริษัทจะเติบโตอย่างไร บทเรียนจากย่อหน้านี้ 5 วิธีอ่านบทวิเคราะห์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด 1. อย่าเริ่มที่ “ราคา” หรือ คำแนะนำ “ซื้อ หรือ ขาย” สิ่งแรกที่หลายคนชอบทำเวลาเปิดบทวิเคราะห์คือ ดูก่อนเลยว่า หุ้นตัวนี้ราคาเท่าไหร่ แนะนำให้ซื้อหรือขาย เพราะบทวิเคราะห์ที่เปิดดูมักเป็นหุ้นที่สนใจหรือหุ้นที่ติดดอยอยู่ เลยอยากรู้ว่าควรถือต่อมั้ยหรือว่าขายทิ้งดี ถ้านักวิเคราะห์บอกให้ซื้อ จะได้สบายใจ แต่ควรดูราคาหรือคำแนะนำเป็นอย่างสุดท้าย หรือจริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องดูเลยก็ได้ 2. เริ่มที่ภาพรวมอุตสาหกรรม หลายครั้งที่ไม่สามารถหาข้อมูลอุตสาหกรรมเองได้ เพราะเป็นข้อมูลเฉพาะ หรือต้องจ้างบริษัทวิจัยทำ ซึ่งราคาสูง แต่นักวิเคราะห์หรือบริษัทมีข้อมูลนั้น เริ่มอ่านที่ตรงนี้ก่อนเพื่อให้เห็นภาพรวมว่าตลาดใหญ่แค่ไหนเติบโตหรือหดตัว ธุรกิจนี้มีแนวโน้มจะถูก Disrupt ได้หรือไม่ มีผู้เล่นกี่ราย มีรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดแบบเบ็ดเสร็จหรือไม่ บริษัทที่สนใจเป็นเบอร์ที่เท่าไหร่ของตลาด เติบโตเร็วหรือช้ากว่าตลาด เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจน สิ่งที่ต้องระวังคือ บางครั้งนักวิเคราะห์บางคนหยิบข้อมูลมาไม่ครบถ้วนหรือเลือกเอาแต่เฉพาะด้านดีมาโชว์ เช่น ภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมเป็นรายปี ตัวเลขนักท่องเที่ยวรายปี แต่ไม่โชว์รายเดือนว่าตัวเลขที่เห็นเติบโตกำลังมีแนวโน้มลดลง ก็อาจทำให้เข้าใจภาพผิดได้ เพราะฉะนั้น ควรต้องอ่านข้อมูลจาก ๆ หลาย ๆ ที่เพื่อนำมา cross check กัน 3. อ่านข้อมูลบริษัทและตัวเลขงบการเงิน เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร เพราะอะไร หลายครั้งที่ข้อมูลในคำอธิบายงบไม่ได้บอกเอาไว้ แต่ผู้บริหารอาจมาบอกในงาน Analyst Meeting หรือนักวิเคราะห์ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหาร ก็จะได้ข้อมูลที่เป็นเหตุผลที่แท้จริงมากขึ้น และบางบทวิเคราะห์ที่ดี ๆ ก็จะแยกข้อมูลแบบละเอียด รายการพิเศษ สัดส่วนรายได้ตามกลุ่มสินค้า ตัวเลขเปรียบเทียบรายไตรมาส ก็จะทำให้เห็นภาพธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น 4. ดูสมมติฐานในการคำนวณราคา ด้วยหน้าที่ทำให้นักวิเคราะห์ต้องประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมว่าควรเป็นเท่าไร อยากให้ดูว่าเขาใช้วิธีไหนในการคำนวณและมีสมมติฐานอย่างไรมากกว่าไปดูว่า ราคาเท่าไร เพราะจะทำให้เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงให้ราคาที่สูงหรือต่ำ บางครั้งนักวิเคราะห์ให้ค่า P/E ที่สูงเกินจริง หรือให้ Terminal Growth ที่โตกว่าในอดีต ก็จะทำให้ราคาหุ้นมีค่าสูง และการที่เข้าใจในหลักการ ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงไป จะได้คำนวณราคาใหม่ได้เอง หรือประเมินสถานการณ์ได้ถูกว่าควรทำอย่างไร โดยไม่ต้องรอบทวิเคราะห์ฉบับใหม่ออกมา 5. อ่านความเห็นหรือคาดการณ์แนวโน้ม ตรงนี้แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ความเห็นที่มาจากตัวผู้บริหารเองหรือตัวนักวิเคราะห์เอง ที่จะมีการคาดการณ์อนาคตว่าบริษัทจะเติบโตอย่างไร แน่นอนว่าผู้บริหารเองก็คงไม่บอกว่าตัวบริษัทกำลังจะเจ๊งหรือถดถอยแบบรุนแรง นักวิเคราะห์ก็เช่นกัน คงไม่มีใครจะโจมตีหุ้นตัวไหน ๆ แบบรุนแรง เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์ที่ดีต่ออาชีพการงาน ดังนั้นเป็นหน้าที่นักลงทุนต้องพิจารณาเองจากข้อมูลภาพรวม ตัวเลขต่าง ๆ และสมมติฐาน ที่อ่านมาทั้งหมด ความคิดเห็นหรือบทสรุปนี้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2378
Finance
รายละเอียดของ Business Model Canvas มีอะไรบ้าง
null
รายละเอียดของ Business Model Canvas ได้แก่ Customer Segment (กลุ่มลูกค้า) กลุ่มลูกค้าที่บริษัทต้องการตอบสนองความต้องการ ต้องส่งมอบคุณค่า และแก้ปัญหา คือกลุ่มไหน? Value proposition (การเสนอคุณค่า) คุณค่าที่บริษัทกำลังจะนำเสนอ หรือส่งมอบแก่กลุ่มลูกค้า คืออะไร? Channel (ช่องทาง) บริษัทใช้ช่องทางอะไรในการเข้าถึง สื่อสาร นำเสนอ และส่งมอบคุณค่าแก่กลุ่มลูกค้า? Customer Relationship (ความสัมพันธ์กับลูกค้า) บริษัทสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้า ส่งมอบคุณค่าตามรูปแบบความสัมพันธ์และวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มรายได้และเพิ่มกลุ่มลูกค้าอย่างไร? Revenue Streams (กระแสรายได้) เงินที่กลุ่มลูกค้ายินดีจ่ายเพื่อคุณค่าที่บริษัทมอบให้ มีลักษณะอย่างไร? Key Resources (ทรัพยากรหลัก) ทรัพยากรอะไรที่นำมาซึ่งแก่นความสามารถหลักของธุรกิจ ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ? Key Activities (กิจกรรมหลัก) กิจกรรมหลักแบบไหนคือสิ่งที่บริษัททำจนประสบความสำเร็จแล้วส่งมอบคุณค่าแก่กลุ่มลูกค้า รูปแบบการดำเนินธุรกิจเป็นแก่นความสามารถหลักของธุรกิจ Key Partner (พันธมิตรหลัก) พันธมิตรหลักที่ให้ความช่วยเหลือสำหรับการดำเนินธุรกิจคือใคร? Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน) การดำเนินธุรกิจนั้นมีต้นทุนที่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อส่งมอบคุณค่าแก่กลุ่มลูกค้า โครงสร้างต้นทุนเป็นแบบไหน?
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2380
Finance
การศึกษาของลูกตั้งแต่เกิดจนจบปริญญาอาจาสูงได้ถึงหลักสิบล้านบาท ใช่หรือไม่
null
ใช่ ค่าใช้จ่ายการศึกษาของลูกตั้งแต่เกิดจนจบปริญญาอาจสูงได้ถึงหลักสิบล้านบาท การวางแผนอย่างถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญ โดย Kid’s Wealth Path (แผนที่การเงินสำหรับเด็ก) เป็นนวัตกรรมใหม่จาก FINNOMENA ที่ช่วยตอบโจทย์สำคัญนี้ของพ่อแม่ทุกคน ตั้งแต่การเข้าใจข้อดีข้อเสียของโรงเรียนแต่ละชนิด ไปจนถึงการเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมกับความสามารถทางการเงินของพ่อแม่ โดย Kid’s Wealth Path Certificate (ใบรับรองแผนที่การเงินสำหรับเด็ก) จะให้ผลลัพธ์ที่ตรงความต้องการของแต่ละแผนการศึกษาเด็กอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นรายกรณี 3 ขั้นตอนในการวางแผนการศึกษาลูกแบบครบจบในที่เดียว ขั้นที่ 1: เลือกโรงเรียน มหาวิทยาลัย และชนิดหลักสูตร ขั้นที่ 2: วางแผนจัดพอร์ตเพื่อเก็บเงินก้อนสำหรับการศึกษาลูก ขั้นที่ 3: ลงทุนในแผนการเงินที่ตอบโจทย์เป้าหมายของลูก และศักยภาพของผู้ปกครอง สิ่งที่ยากและสำคัญเป็นอันดับ 1 ในการวางแผนการศึกษาลูกคือการเลือกโรงเรียนให้ลูกนั่นเอง ปัจจุบันเรามีหลายทางเลือกมาก ๆ ในระดับอนุบาลก็มีให้เลือกทั้งแบบปกติ แบบ 2 ภาษา โรงเรียนทางเลือก และโรงเรียนอินเตอร์ พอมาถึงระดับประถมและมัธยมก็มีโรงเรียนสาธิต โรงเรียนคาทอลิคเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้นมาอีก สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือทำความเข้าใจข้อดี/ข้อเสียของโรงเรียนแต่ละประเภท และ “ตัดสินใจ” ทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุด ดีกว่ามาเปลี่ยนโรงเรียนลูกกลางคันหลังจากเริ่มเรียนไปแล้ว อันนั้นจะทำให้เด็กสับสน ไม่มีความสุขได้ และ งานช้างคือระดับปริญญา ภาระการเงินที่หนักที่สุดอยู่ที่ระดับปริญญา เช่นระดับปริญญาตรี ถ้าเลือกเรียนในประเทศและสอบมหาวิทยาลัยรัฐไม่ติด ก็ต้องไปเรียนเอกชน ซึ่งค่าเทอมบางที่สูงถึงระดับหลายแสน นอกนั้นยังมีหลักสูตรพวก English Program เช่น BE, BBA ที่ค่าเรียนอยู่ในระดับสูงเช่นกัน
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2381
Finance
ครอบครัวที่มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท ควรส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ดังนี้ ค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศ - ค่าเทอม: ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและสาขาวิชา โดยทั่วไปมหาวิทยาลัยในต่างประเทศมีค่าเทอมที่สูงมาก มหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย มีค่าเทอมเฉลี่ยต่อปีประมาณ 1-3 ล้านบาท - ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: ค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง ค่าประกัน ค่าหนังสือ อุปกรณ์การเรียน ฯลฯ โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายเหล่านี้ประมาณ 50,000-100,000 บาทต่อเดือน สถานะทางการเงินของครอบครัว - เงินออม: ครอบครัวควรมีเงินออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศ - หนี้สิน: ครอบครัวควรมีภาระหนี้สินน้อยที่สุด หรือไม่มีหนี้สินเลย - แหล่งที่มาของรายได้: ครอบครัวควรมีรายได้ที่มั่นคง ความสามารถทางการเงินของลูก - ทุนการศึกษา: ลูกสามารถขอทุนการศึกษาเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย - การทำงานพิเศษ: ลูกสามารถหางานพิเศษทำเพื่อหารายได้เพิ่มเติม เป้าหมายของลูก: - สาขาวิชาที่ต้องการเรียน: มหาวิทยาลัยต่างประเทศมีสาขาวิชาที่หลากหลาย - โอกาสทางการศึกษาและการทำงาน: การเรียนต่อต่างประเทศช่วยเปิดโอกาสทางการศึกษาและการทำงานที่ดีกว่า สรุป: ครอบครัวที่มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท อาจ ส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศได้ กรณีที่สามารถส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ ได้แก่ - ครอบครัวมีเงินออมเพียงพอ - ครอบครัวมีภาระหนี้สินน้อย - ครอบครัวมีรายได้ที่มั่นคง - ลูกสามารถขอทุนการศึกษา - ลูกสามารถหางานพิเศษทำ - สาขาวิชาที่ลูกต้องการเรียนมีมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่มีชื่อเสียง - การเรียนต่อต่างประเทศช่วยเปิดโอกาสทางการศึกษาและการทำงานที่ดีกว่า กรณีที่ไม่ควรส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ ได้แก่ - ครอบครัวไม่มีเงินออมเพียงพอ - ครอบครัวมีภาระหนี้สินมาก - ครอบครัวมีรายได้ไม่มั่นคง - ลูกไม่สามารถขอทุนการศึกษา - ลูกไม่สามารถหางานพิเศษทำ - สาขาวิชาที่ลูกต้องการเรียนมีมหาวิทยาลัยในประเทศที่มีชื่อเสียง - การเรียนต่อต่างประเทศไม่จำเป็นสำหรับเป้าหมายของลูก คำแนะนำ: - ครอบครัวควรวางแผนการเงินอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ - ครอบครัวควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ทุนการศึกษา และโอกาสทางการศึกษาและการทำงานในต่างประเทศ - ครอบครัวควรปรึกษากับลูกและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2382
Finance
ช่วยสรุปเกี่ยวกับ วางแผนค่าใช้จ่ายอย่างไร ถ้าส่งลูกเรียนสาธิต
พี่ยู (คุณพ่อ) : ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้บริหารบริษัทด้าน IT แล้วเกิดไอเดียสักเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ในการเข้ามาทำธุรกิจออนไลน์ในยุคที่ยังไม่มีใครทำกันเท่าไหร่ เป็นการทำธุรกิจโดยไม่มีหน้าร้าน ทุกอย่างอยู่บนเว็บหมดเลยตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แล้วมันก็เติบโตขึ้นมาได้ พี่ยู (คุณพ่อ) : ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้บริหารบริษัทด้าน IT แล้วเกิดไอเดียสักเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ในการเข้ามาทำธุรกิจออนไลน์ในยุคที่ยังไม่มีใครทำกันเท่าไหร่ เป็นการทำธุรกิจโดยไม่มีหน้าร้าน ทุกอย่างอยู่บนเว็บหมดเลยตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แล้วมันก็เติบโตขึ้นมาได้ ตอนนี้พี่น้ำเป็นแม่บ้าน หรือว่าช่วยกันทำธุรกิจนี้ พี่น้ำ (คุณแม่) : จริงๆ แล้วบริษัทนี่พี่เป็นเจ้าของนะคะ พี่ทำมาก่อน จนธุรกิจมันเริ่มดีขึ้น พี่ทำไม่ไหวละ เค้าเลยต้องออกจากผู้บริหารมาช่วย พี่น้ำ (คุณแม่) : จริงๆ แล้วบริษัทนี่พี่เป็นเจ้าของนะคะ พี่ทำมาก่อน จนธุรกิจมันเริ่มดีขึ้น พี่ทำไม่ไหวละ เค้าเลยต้องออกจากผู้บริหารมาช่วย มีความคิดอยากมีลูกมาก่อนมั้ย พี่ยู : แรกเริ่มไม่คิดจะมีลูก เพราะเราคิดว่าเราต้องพร้อมทั้งเงินและเวลาก่อน เราถึงจะมีได้ แล้วเบื้องลึกจริงๆ คืออยากรู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง (ขำ) พี่ยู : แรกเริ่มไม่คิดจะมีลูก เพราะเราคิดว่าเราต้องพร้อมทั้งเงินและเวลาก่อน เราถึงจะมีได้ แล้วเบื้องลึกจริงๆ คืออยากรู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง (ขำ) แต่งงานกันตอนอายุเท่าไหร่ พี่น้ำ : ประมาณ 29 30 พี่น้ำ : ประมาณ 29 30 มีน้องตอนอายุเท่าไหร่ พี่น้ำ : ประมาณ 35 36 ก็หลังแต่งงานกันไปแล้ว 6-7 ปี ถึงคิดจะมี จากที่ตอนแรกยังไม่อยากมี พี่น้ำ : ประมาณ 35 36 ก็หลังแต่งงานกันไปแล้ว 6-7 ปี ถึงคิดจะมี จากที่ตอนแรกยังไม่อยากมี Part II ที่มาที่ไปของการเลือกโรงเรียนให้ลูก ส่งน้องเข้าเรียนตั้งแต่อายุเท่าไหร่ พี่ยู : ตั้งแต่ขวบนิดๆ เพราะเราเลี้ยงลูกกันเอง เลยมาตั้งคำถามว่าเราเลี้ยงดีรึเปล่า พี่ยู : ตั้งแต่ขวบนิดๆ เพราะเราเลี้ยงลูกกันเอง เลยมาตั้งคำถามว่าเราเลี้ยงดีรึเปล่า พี่น้ำ : เราอยากให้เค้าไปเจออะไรมากกว่าพ่อแม่ เลยพาไปที่โรงเรียนสำหรับเสริมทักษะเด็ก ซึ่งมีเยอะ หลายโรงเรียนมาก ก็เลยไปไล่ลองเรียนจากโรงเรียนแถวบ้าน ไปหลายๆ ที่ เพราะส่วนใหญ่จะให้เรียนฟรีชั่วโมงแรก แล้วแต่ละที่ก็แตกต่างกันไป จนมาได้ที่บรอมส์โกรฟ เป็นโรงเรียนนานาชาติ เพราะราคาถูกและใช้เวลากับเด็กค่อนข้างเยอะ ที่นี่ได้เกือบ 2 ชั่วโมง มีอาหารว่างให้ด้วย Teacher ที่สอน เป็นฟิลลิปปินส์ สำเนียงดี รักเด็ก พี่น้ำ : เราอยากให้เค้าไปเจออะไรมากกว่าพ่อแม่ เลยพาไปที่โรงเรียนสำหรับเสริมทักษะเด็ก ซึ่งมีเยอะ หลายโรงเรียนมาก ก็เลยไปไล่ลองเรียนจากโรงเรียนแถวบ้าน ไปหลายๆ ที่ เพราะส่วนใหญ่จะให้เรียนฟรีชั่วโมงแรก แล้วแต่ละที่ก็แตกต่างกันไป จนมาได้ที่บรอมส์โกรฟ เป็นโรงเรียนนานาชาติ เพราะราคาถูกและใช้เวลากับเด็กค่อนข้างเยอะ ที่นี่ได้เกือบ 2 ชั่วโมง มีอาหารว่างให้ด้วย Teacher ที่สอน เป็นฟิลลิปปินส์ สำเนียงดี รักเด็ก เด็กที่ไปเรียนมีเด็กฝรั่งมั้ย? พี่น้ำ : มีค่ะ มีลูกครึ่ง มีฝรั่ง มีคนไทย แต่คนไทยจะเยอะหน่อย พี่น้ำ : มีค่ะ มีลูกครึ่ง มีฝรั่ง มีคนไทย แต่คนไทยจะเยอะหน่อย ขยายความถึงโรงเรียนนานาชาติบรอมส์โกรฟนิดนึง ที่นี่คือเป็น Playgroup พี่น้ำ : ใช่ค่ะ เป็น Playgroup สอนร้องเพลง สอนเต้น ให้เด็กเล่นรวมกัน แล้วดูพฤติกรรมว่าเป็นยังไง เพราะลูกเราอยู่บ้านคนเดียว เราเล่นกับเค้า มันไม่เห็นอะไร พี่น้ำ : ใช่ค่ะ เป็น Playgroup สอนร้องเพลง สอนเต้น ให้เด็กเล่นรวมกัน แล้วดูพฤติกรรมว่าเป็นยังไง เพราะลูกเราอยู่บ้านคนเดียว เราเล่นกับเค้า มันไม่เห็นอะไร ที่โรงเรียนบรอมส์โกรฟมีข้อดีอะไรบ้าง ฟังดูแล้วเหมือนน้องได้พัฒนาการ ได้ประสบการณ์ในการเข้าหาคน ไม่กลัวคน น่าจะมาจากที่บรอมส์โกรฟรึเปล่า พี่น้ำ : ส่วนใหญ่น่าจะมาจากตรงนั้นด้วย พี่น้ำ : ส่วนใหญ่น่าจะมาจากตรงนั้นด้วย พี่ยู : พอไปบรอมส์โกรฟไปต่อยอดเค้าอีก ได้พัฒนาจากสิ่งที่เค้าเป็น ได้ฝึกเรื่องระเบียบวินัย เรื่องการรอคอยด้วย เวลาล้างมือต้องเข้าแถว ทำให้เค้าได้เรียนรู้ว่าอยากได้อะไรไม่ใช่ได้เลยนะ ต้องรอ พี่ยู : พอไปบรอมส์โกรฟไปต่อยอดเค้าอีก ได้พัฒนาจากสิ่งที่เค้าเป็น ได้ฝึกเรื่องระเบียบวินัย เรื่องการรอคอยด้วย เวลาล้างมือต้องเข้าแถว ทำให้เค้าได้เรียนรู้ว่าอยากได้อะไรไม่ใช่ได้เลยนะ ต้องรอ น้องเรียนที่นี่ถึงอายุเท่าไหร่ พี่น้ำ : 2 ขวบครึ่งค่ะ ประมาณปีนึง เพราะคลาสเค้ามีถึงอายุ 2 ขวบครึ่ง ไม่เกินนี้ ก็เลยต้องเปลี่ยน ทีนี้อายุเข้าเตรียมอนุบาลได้พอดี เราเลยมองหาโรงเรียนรัฐที่ใกล้บ้าน และเป็นโรงเรียนสามารถเรียนยาวอนุบาลยันม.6 ซึ่งโรงเรียนรัฐที่ใกล้บ้านก็คือโรงเรียนเครือสาธิต ได้แค่มาเล็งๆไว้ก่อน เพราะเค้ายังไม่รับ จะรับตอนอนุบาล พี่น้ำ : 2 ขวบครึ่งค่ะ ประมาณปีนึง เพราะคลาสเค้ามีถึงอายุ 2 ขวบครึ่ง ไม่เกินนี้ ก็เลยต้องเปลี่ยน ทีนี้อายุเข้าเตรียมอนุบาลได้พอดี เราเลยมองหาโรงเรียนรัฐที่ใกล้บ้าน และเป็นโรงเรียนสามารถเรียนยาวอนุบาลยันม.6 ซึ่งโรงเรียนรัฐที่ใกล้บ้านก็คือโรงเรียนเครือสาธิต ได้แค่มาเล็งๆไว้ก่อน เพราะเค้ายังไม่รับ จะรับตอนอนุบาล เลือกโรงเรียนเตรียมอนุบาลที่ไหนไว้บ้าง พี่น้ำ : จริงๆ เล็งไว้เยอะมาก โรงเรียนสารสาสน์แถวบ้าน มี 3 ที่ ก็เล็งทั้ง 3 ที่ สุดท้ายไปสอบที่โรงเรียนเอกบูรพาก่อน พี่น้ำ : จริงๆ เล็งไว้เยอะมาก โรงเรียนสารสาสน์แถวบ้าน มี 3 ที่ ก็เล็งทั้ง 3 ที่ สุดท้ายไปสอบที่โรงเรียนเอกบูรพาก่อน พี่ยู : ที่นั่นเป็นโรงเรียนสองภาษาเลย เป็นเบอร์ต้นๆ ของมีนบุรี แต่ตอนนั้นเค้าบอกต้องต่อคิว ใจเราไม่เอาละ ต้องแย่งกันสอบ ก็เลยไม่ไป เพราะเรารู้สึกว่าทำไมต้องเครียด ทำไมต้องแย่งกัน พี่ยู : ที่นั่นเป็นโรงเรียนสองภาษาเลย เป็นเบอร์ต้นๆ ของมีนบุรี แต่ตอนนั้นเค้าบอกต้องต่อคิว ใจเราไม่เอาละ ต้องแย่งกันสอบ ก็เลยไม่ไป เพราะเรารู้สึกว่าทำไมต้องเครียด ทำไมต้องแย่งกัน พี่น้ำ : แต๊ (เสียงสูง) ดวงมันจะเสียเงิน เพื่อนโทรมาบอกว่ายังว่างอยู่ ก็เลยพาน้องไปทดสอบ สุดท้ายผ่าน พี่น้ำ : แต๊ (เสียงสูง) ดวงมันจะเสียเงิน เพื่อนโทรมาบอกว่ายังว่างอยู่ ก็เลยพาน้องไปทดสอบ สุดท้ายผ่าน เลือกเรียนที่นี่เลยมั้ย พี่น้ำ : บังเอิ๊ญ (เสียงสูง) ที่เอกบูรพารับอนุบาล 1 แต่น้องอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ แล้วโรงเรียนโชคชัยหทัยราษฎร์มาเปิดพอดี เราเข้าไปดูแล้วชอบ โรงเรียนสวย ทุกอย่างดูดี เลยลองดูอีกที่นึง กะว่าให้เรียนเตรียมอนุบาลที่นี่ไปก่อน แล้วเดี๋ยวพออนุบาลค่อยเข้าที่เอกบูรพาก็ได้ สุดท้ายส่งลูกเรียนเตรียมอนุบาลที่โชคชัยก่อน พี่น้ำ : บังเอิ๊ญ (เสียงสูง) ที่เอกบูรพารับอนุบาล 1 แต่น้องอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ แล้วโรงเรียนโชคชัยหทัยราษฎร์มาเปิดพอดี เราเข้าไปดูแล้วชอบ โรงเรียนสวย ทุกอย่างดูดี เลยลองดูอีกที่นึง กะว่าให้เรียนเตรียมอนุบาลที่นี่ไปก่อน แล้วเดี๋ยวพออนุบาลค่อยเข้าที่เอกบูรพาก็ได้ สุดท้ายส่งลูกเรียนเตรียมอนุบาลที่โชคชัยก่อน มีการสอนลูกเรื่องภาษาอังกฤษยังไง พี่น้ำ : เราสอนตั้งแต่เกิดเลย สอนเป็นคำก่อน Dog Cat เรียกสิ่งรอบตัว แล้วเราไม่ได้จบเมืองนอก ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นประจำ เลยคิดว่า EP น่าจะตอบโจทย์ พี่น้ำ : เราสอนตั้งแต่เกิดเลย สอนเป็นคำก่อน Dog Cat เรียกสิ่งรอบตัว แล้วเราไม่ได้จบเมืองนอก ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นประจำ เลยคิดว่า EP น่าจะตอบโจทย์ เล่าบรรยากาศตอนส่งน้องเข้าโรงเรียนครั้งแรกนิดนึง ร้องไห้มั้ย พี่น้ำ : ด้วยความที่เค้าเป็นเด็กเข้ากับคนง่าย ไม่คิดว่าจะร้องด้วยนะ แต่ก็ร้อง พี่น้ำ : ด้วยความที่เค้าเป็นเด็กเข้ากับคนง่าย ไม่คิดว่าจะร้องด้วยนะ แต่ก็ร้อง พี่ยู : ร้องไม่กลับ ไม่อยากกลับบ้าน จนคนเค้าคิดกันว่าบ้านนี้เลี้ยงลูกแบบทารุณรึเปล่า (ขำ) พี่ยู : ร้องไม่กลับ ไม่อยากกลับบ้าน จนคนเค้าคิดกันว่าบ้านนี้เลี้ยงลูกแบบทารุณรึเปล่า (ขำ) แล้ววางแผนเรื่องโรงเรียนอนุบาลไว้ยังไงต่อ พี่ยู : เรียนเตรียมอนุบาลไปสักพักนึง ก็ถึงรอบต้องจ่ายเงินค่าเรียนอนุบาล ที่โชคชัยมีคนมาสมัครร้อยกว่าคน รับได้ 60 คน สุดท้ายได้ ก็จ่ายค่าเทอมไป เราก็รู้สึกดีใจที่ลูกมีที่เรียนแล้ว พี่ยู : เรียนเตรียมอนุบาลไปสักพักนึง ก็ถึงรอบต้องจ่ายเงินค่าเรียนอนุบาล ที่โชคชัยมีคนมาสมัครร้อยกว่าคน รับได้ 60 คน สุดท้ายได้ ก็จ่ายค่าเทอมไป เราก็รู้สึกดีใจที่ลูกมีที่เรียนแล้ว ที่โชคชัยเรียนเป็น EP มีการเรียนการสอนยังไงบ้าง พี่น้ำ : ต้องบอกว่าที่โชคชัย เตรียมอนุบาลยังสอนเป็นภาษาไทยอยู่ แต่มีเรียนวันเสาร์ จะเป็นครูที่เป็น Native มาสอน เต้นเพลงภาษาอังกฤษ เหมือนตอนเรียนบรอมส์โกรฟ ดูแล้ว Teacher ที่นี่เค้ารักเด็ก รักลูกเรา เลยกลายเป็นว่ามาจ่ายค่าเทอม 2 ที่เลย พี่น้ำ : ต้องบอกว่าที่โชคชัย เตรียมอนุบาลยังสอนเป็นภาษาไทยอยู่ แต่มีเรียนวันเสาร์ จะเป็นครูที่เป็น Native มาสอน เต้นเพลงภาษาอังกฤษ เหมือนตอนเรียนบรอมส์โกรฟ ดูแล้ว Teacher ที่นี่เค้ารักเด็ก รักลูกเรา เลยกลายเป็นว่ามาจ่ายค่าเทอม 2 ที่เลย เท่ากับว่าจ่ายไปทั้ง 2 ที่เลยทั้งที่เอกบูรพาแล้วก็โชคชัย ตอนนี้จ่ายไปเท่าไหร่บ้างแล้ว พี่ยู : ถ้าที่เอกบูรพาก็ประมาณ 20,000 บาท ที่โชคชัย 40,000 บาท เราก็ฟันธงละว่าจะเอาที่โชคชัย ดั๊น (เสียงสูง) โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหงมาเปิดรับอนุบาลพอดี ก็เลยไปสมัครก่อน พี่ยู : ถ้าที่เอกบูรพาก็ประมาณ 20,000 บาท ที่โชคชัย 40,000 บาท เราก็ฟันธงละว่าจะเอาที่โชคชัย ดั๊น (เสียงสูง) โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาเปิดรับอนุบาลพอดี ก็เลยไปสมัครก่อน Part III บรรยากาศในการสมัครและสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ขั้นตอนการสมัครเป็นยังไงบ้าง พี่ยู : วันที่ไปสมัครก็มีรับบัตรคิวเพื่อขึ้นไปยื่นใบสมัคร ค่าสมัครก็เกือบพัน แล้วคนเยอะมาก รับแค่ผู้ชาย 20 คน ผู้หญิง 20 คน พี่ยู : วันที่ไปสมัครก็มีรับบัตรคิวเพื่อขึ้นไปยื่นใบสมัคร ค่าสมัครก็เกือบพัน แล้วคนเยอะมาก รับแค่ผู้ชาย 20 คน ผู้หญิง 20 คน มีวิธีเตรียมตัวในการพาลูกสอบเข้าสาธิตยังไงบ้าง พี่น้ำ : เรายังมีถามกันก่อนไปนะ ว่าเค้ามีสถาบันติวสอบเข้าสาธิตนู่นนี่นั่น แต่อันนั้นเป็นของฝั่งประถม เราก็มองว่ามันน่าจะยาก คนมาสมัครเยอะขึ้น ข้อสอบยากขึ้น แต่อันนี้เป็นอนุบาล แค่สอบสัมภาษณ์เฉยๆ เค้าดูที่ตัวเด็กมากกว่า ถ้าได้ก็น่าจะมีสิทธิ์เรียนได้ยาวไปเลย พี่น้ำ : เรายังมีถามกันก่อนไปนะ ว่าเค้ามีสถาบันติวสอบเข้าสาธิตนู่นนี่นั่น แต่อันนั้นเป็นของฝั่งประถม เราก็มองว่ามันน่าจะยาก คนมาสมัครเยอะขึ้น ข้อสอบยากขึ้น แต่อันนี้เป็นอนุบาล แค่สอบสัมภาษณ์เฉยๆ เค้าดูที่ตัวเด็กมากกว่า ถ้าได้ก็น่าจะมีสิทธิ์เรียนได้ยาวไปเลย เล่าบรรยากาศ ณ วันสัมภาษณ์ พี่น้ำ : พอโดนเรียกคิว ก็เตี๊ยมกับลูกว่า “มินนา ข้างบนมี Kids Club นะ ถ้า Teacher ถามอะไร ต้องตอบนะ ตอบดังๆ นะ เดี๋ยว Teacher จะพาไปเล่นของเล่น” พี่น้ำ : พอโดนเรียกคิว ก็เตี๊ยมกับลูกว่า “มินนา ข้างบนมี Kids Club นะ ถ้า Teacher ถามอะไร ต้องตอบนะ ตอบดังๆ นะ เดี๋ยว Teacher จะพาไปเล่นของเล่น” พี่ยู : ตอนจะขึ้นไปเห็นลูกคนอื่น มินนาตัวสูงเท่าไหล่เค้าเอง ลูกเราเพิ่ง 2 ขวบ 10 เดือน คนอื่น 3 ขวบกว่า 3 ขวบครึ่ง ถามอะไรตอบได้แล้ว พูดเป็นประโยคได้แล้ว ลูกเราถามชื่อยังไม่ตอบเลย เรียงประโยคสลับด้วย พี่ยู : ตอนจะขึ้นไปเห็นลูกคนอื่น มินนาตัวสูงเท่าไหล่เค้าเอง ลูกเราเพิ่ง 2 ขวบ 10 เดือน คนอื่น 3 ขวบกว่า 3 ขวบครึ่ง ถามอะไรตอบได้แล้ว พูดเป็นประโยคได้แล้ว ลูกเราถามชื่อยังไม่ตอบเลย เรียงประโยคสลับด้วย พี่น้ำ : พอเข้ามาในห้องสัมภาษณ์ก็เข้าไป 3 คนเลยค่ะ เค้าสัมภาษณ์พ่อแม่ด้วย ครูถามลูกว่า พี่น้ำ : พอเข้ามาในห้องสัมภาษณ์ก็เข้าไป 3 คนเลยค่ะ เค้าสัมภาษณ์พ่อแม่ด้วย ครูถามลูกว่า “พ่อชื่ออะไรคะ” “พ่อชื่ออะไรคะ” ไม่ตอบ แล้วมุดๆๆ เพราะเป็นเด็กไม่นิ่งอยู่แล้ว เราเลยต้องบอก ไม่ตอบ แล้วมุดๆๆ เพราะเป็นเด็กไม่นิ่งอยู่แล้ว เราเลยต้องบอก “มินนาครูถามชื่ออะไร” “มินนาครูถามชื่ออะไร” “พ่อชื่อยู” (เสียงเบาๆ) แล้วครูก็ถามชื่อนามสกุลจริงเค้า อันนี้เป็นสิ่งเดียวที่เตี๊ยมไป อะอันนี้ลูกเราตอบ แต่ยังตอบเสียงเบาๆ อยู่ คำถามถัดไป ถามว่า “พ่อชื่อยู” (เสียงเบาๆ) แล้วครูก็ถามชื่อนามสกุลจริงเค้า อันนี้เป็นสิ่งเดียวที่เตี๊ยมไป อะอันนี้ลูกเราตอบ แต่ยังตอบเสียงเบาๆ อยู่ คำถามถัดไป ถามว่า “แม่ชื่ออะไร” “แม่ชื่ออะไร” “ญาญ่า!!!!” ตอบเสียงดังมาก ครูก็ขำกันหมดเลย คงคิดประมาณว่า นี่หรอญาญ่า (ขำ) “ญาญ่า!!!!” ตอบเสียงดังมาก ครูก็ขำกันหมดเลย คงคิดประมาณว่า นี่หรอญาญ่า (ขำ) มีบอกน้องว่าอะไร ทำไมน้องถึงตอบชื่อนี้ออกมา พี่น้ำ : เวลาอยู่บ้านเราจะตลกอยู่แล้ว เราก็ชอบไปถามลูกว่า “มินนา แม่เหมือนญาญามั้ย” ลูกก็ตอบว่าเหมือน เลยบอกลูกว่า “ใครถามก็ให้บอกว่าแม่ขื่อญาญ่านะลูก” แต่เราไม่คิดว่าว่าวันนึงมันจะได้ใช้อะ (ขำ) พี่น้ำ : เวลาอยู่บ้านเราจะตลกอยู่แล้ว เราก็ชอบไปถามลูกว่า “มินนา แม่เหมือนญาญามั้ย” ลูกก็ตอบว่าเหมือน เลยบอกลูกว่า “ใครถามก็ให้บอกว่าแม่ขื่อญาญ่านะลูก” แต่เราไม่คิดว่าว่าวันนึงมันจะได้ใช้อะ (ขำ) พี่น้ำ : คำถามต่อไป ครูถามว่า “อยากเรียนที่นี่มั้ย” ลูกเราก็เงียบ พี่น้ำ : คำถามต่อไป ครูถามว่า “อยากเรียนที่นี่มั้ย” ลูกเราก็เงียบ พี่ยู : เพราะเราไม่ได้เตี๊ยมมา บางคนเค้าเตี๊ยมมาให้ลูกตอบว่าอยากเรียนครับ เพราะชอบสนามฟุตบอลที่นี่ ตอบได้เป็นเรื่องเป็นราว พี่ยู : เพราะเราไม่ได้เตี๊ยมมา บางคนเค้าเตี๊ยมมาให้ลูกตอบว่าอยากเรียนครับ เพราะชอบสนามฟุตบอลที่นี่ ตอบได้เป็นเรื่องเป็นราว พี่น้ำ : ส่วนลูกเราหรอ ถามว่าอยากเรียนที่นี่มั้ย ไปทำท่าแลบลิ้นใส่ครู แล้วก็เปิดกระโปรงใส่อีก (ขำ) เราก็ไปจับขาลูก “มินนา นั่งเรียบร้อยลูกๆ นั่งดีๆ เอากระโปรงลง” เสร็จแล้วครูก็เชิญน้องไปเล่นที่ฐานวัดความรู้ข้างหลัง แล้วสัมภาษณ์พ่อแม่ต่อ พี่น้ำ : ส่วนลูกเราหรอ ถามว่าอยากเรียนที่นี่มั้ย ไปทำท่าแลบลิ้นใส่ครู แล้วก็เปิดกระโปรงใส่อีก (ขำ) เราก็ไปจับขาลูก “มินนา นั่งเรียบร้อยลูกๆ นั่งดีๆ เอากระโปรงลง” เสร็จแล้วครูก็เชิญน้องไปเล่นที่ฐานวัดความรู้ข้างหลัง แล้วสัมภาษณ์พ่อแม่ต่อ พี่น้ำ : คำถามที่พ่อแม่โดนสัมภาษณ์ ถามคุณแม่ก่อนว่า “ทำงานอะไร บ้านอยู่ที่ไหน” พี่น้ำ : คำถามที่พ่อแม่โดนสัมภาษณ์ ถามคุณแม่ก่อนว่า “ทำงานอะไร บ้านอยู่ที่ไหน” พี่ยู : แล้วครูก็หันมาถามคุณพ่อว่า “ปกติน้องอยู่บ้านร่าเริงแบบนี้มั้ย” หันมาถามเจาะจงคุณพ่อเลย ก็เลยตอบไปว่า พี่ยู : แล้วครูก็หันมาถามคุณพ่อว่า “ปกติน้องอยู่บ้านร่าเริงแบบนี้มั้ย” หันมาถามเจาะจงคุณพ่อเลย ก็เลยตอบไปว่า “ร่าเริงครับ ร่าเริงแบบนี้ ซนแต่ไม่ดื้อ” ถามคุณพ่อต่อ “ร่าเริงครับ ร่าเริงแบบนี้ ซนแต่ไม่ดื้อ” ถามคุณพ่อต่อ “น้องกรีีดมั้ย” ซึ่งเราตอบไปแบบไม่ต้องปรุงแต่งเลย “น้องกรีีดมั้ย” ซึ่งเราตอบไปแบบไม่ต้องปรุงแต่งเลย “กรี๊ดครับ แต่ไม่ได้กรี๊ดด้วยอารมณ์ ไม่ได้สิ่งที่ต้องการแล้วกรี๊ด อันนี้ไม่มี” “กรี๊ดครับ แต่ไม่ได้กรี๊ดด้วยอารมณ์ ไม่ได้สิ่งที่ต้องการแล้วกรี๊ด อันนี้ไม่มี” พี่ยู : ตอนนั้นก็คิดขึ้นมาว่าทำไมท่านถึงเจาะจงถามพ่อ น่าจะเพราะเค้าต้องการประเมินว่า พ่อได้เลี้ยงลูกรึเปล่า รู้จักลูกตัวเองดีแค่ไหน ซึ่งก็ตอบโจทย์เรา เพราะเราเลี้ยงเอง หิ้วไปไหนมาไหนด้วยตลอด พี่ยู : ตอนนั้นก็คิดขึ้นมาว่าทำไมท่านถึงเจาะจงถามพ่อ น่าจะเพราะเค้าต้องการประเมินว่า พ่อได้เลี้ยงลูกรึเปล่า รู้จักลูกตัวเองดีแค่ไหน ซึ่งก็ตอบโจทย์เรา เพราะเราเลี้ยงเอง หิ้วไปไหนมาไหนด้วยตลอด พี่น้ำ : แล้วก็หันมาถามแม่ต่อว่า พี่น้ำ : แล้วก็หันมาถามแม่ต่อว่า “น้องช่วยเหลือตัวเองได้มั้ย” ตอบไปว่า “น้องช่วยเหลือตัวเองได้มั้ย” ตอบไปว่า “ทั่วไปค่ะ บอกฉี่ บอกอึได้” แล้วผอ.ท่านก็ถามมาว่า “ทั่วไปค่ะ บอกฉี่ บอกอึได้” แล้วผอ.ท่านก็ถามมาว่า “ล้างก้นเองได้มั้ย” ซึ่งเท่าที่คุยกับผู้ปกครองท่านอื่นมาก็โดนคำถามนี้กันเยอะ ตอบเลย “ล้างก้นเองได้มั้ย” ซึ่งเท่าที่คุยกับผู้ปกครองท่านอื่นมาก็โดนคำถามนี้กันเยอะ ตอบเลย “อ๋อ ไม่ได้ค่ะ” ครูบอกว่า “อ๋อ ไม่ได้ค่ะ” ครูบอกว่า “ถ้ามาเรียนที่นี่ ต้องทำได้นะ ไม่มีคนล้างให้นะ” แล้วก็เชิญผู้ปกครองออก แต่น้องยังอยู่ ซักพักก็ออกมา “ถ้ามาเรียนที่นี่ ต้องทำได้นะ ไม่มีคนล้างให้นะ” แล้วก็เชิญผู้ปกครองออก แต่น้องยังอยู่ ซักพักก็ออกมา Part IV สรุปสุดท้ายหลังจากได้ส่งลูกเรียนตามที่คุณพ่อคุณแม่เลือกไว้ ทำไมถึงส่งลูกเรียน EP พี่น้ำ : เรามองว่าลูกยังได้ภาษาไทย ยังได้สอบข้อสอบของไทย เด็กสองภาษาจะได้เปรียบตรงที่ว่า ยังไปเรียนภาคภาษาไทยได้ ถ้าจะลดค่าใช้จ่ายในอนาคต ไปทั้งสองอย่างมันกลางๆ ดี อนาคตเราอาจจะรวยมาก ส่งลูกเรียนอินเตอร์ ไปเมืองนอกได้ เค้าจะเรียนโรงเรียนไทย 100% ก็ได้ เรียนอังกฤษ 100% มันยืดหยุ่นดี พี่น้ำ : เรามองว่าลูกยังได้ภาษาไทย ยังได้สอบข้อสอบของไทย เด็กสองภาษาจะได้เปรียบตรงที่ว่า ยังไปเรียนภาคภาษาไทยได้ ถ้าจะลดค่าใช้จ่ายในอนาคต ไปทั้งสองอย่างมันกลางๆ ดี อนาคตเราอาจจะรวยมาก ส่งลูกเรียนอินเตอร์ ไปเมืองนอกได้ เค้าจะเรียนโรงเรียนไทย 100% ก็ได้ เรียนอังกฤษ 100% มันยืดหยุ่นดี มีความคาดหวังยังไงกับโรงเรียนสาธิต พี่น้ำ : ที่เลือกสาธิตเพราะได้ยินมาว่าช่วงระดับอนุบาลถึงประถมต้นๆ จะยังไม่เคร่งวิชาการมากนัก เน้นให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด ฝึกระเบียบวินัยมากกว่า ซึ่งตอบโจทย์บ้านพี่มาก เพราะพี่ไม่เน้นวิชาการ แล้วก็อยากให้ทางโรงเรียนช่วยหาว่าลูกเราถนัดอะไร พี่น้ำ : ที่เลือกสาธิตเพราะได้ยินมาว่าช่วงระดับอนุบาลถึงประถมต้นๆ จะยังไม่เคร่งวิชาการมากนัก เน้นให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด ฝึกระเบียบวินัยมากกว่า ซึ่งตอบโจทย์บ้านพี่มาก เพราะพี่ไม่เน้นวิชาการ แล้วก็อยากให้ทางโรงเรียนช่วยหาว่าลูกเราถนัดอะไร วางแผนค่าใช้จ่ายเรื่องการศึกษาของลูกยังไงบ้าง พี่ยู : เราเลี้ยงลูกตามสถานการณ์ เพราะงั้นค่าใช้จ่ายเราจะลงเหมือน Marketing Plan เลย โยก Budget ตามสถานการณ์ อย่างเรื่องค่าเทอมจากโชคชัยมาสาธิต เพิ่มขึ้นเท่าตัว ก็เลยคุยกันแล้วว่า จะลดค่าใช้จ่ายส่วนไหนออก จากไปต่างประเทศ 3 รอบ ก็ลดเหลือไปรอบเดียว จะจัดการงบไว้ตั้งแต่ต้นปี ให้เพียงพอต่อการจ่ายในแต่ละปีไปก่อน ตอนนี้ก็ตั้งใจจะเก็บค่าเทอมล่วงหน้าให้ได้อย่างน้อย 5-6 ปี เก็บทุกเดือน กันเงินออกมาก่อน เป็นค่าเทอมให้ลูก พี่ยู : เราเลี้ยงลูกตามสถานการณ์ เพราะงั้นค่าใช้จ่ายเราจะลงเหมือน Marketing Plan เลย โยก Budget ตามสถานการณ์ อย่างเรื่องค่าเทอมจากโชคชัยมาสาธิต เพิ่มขึ้นเท่าตัว ก็เลยคุยกันแล้วว่า จะลดค่าใช้จ่ายส่วนไหนออก จากไปต่างประเทศ 3 รอบ ก็ลดเหลือไปรอบเดียว จะจัดการงบไว้ตั้งแต่ต้นปี ให้เพียงพอต่อการจ่ายในแต่ละปีไปก่อน ตอนนี้ก็ตั้งใจจะเก็บค่าเทอมล่วงหน้าให้ได้อย่างน้อย 5-6 ปี เก็บทุกเดือน กันเงินออกมาก่อน เป็นค่าเทอมให้ลูก
บทความนี้เป็นบทสัมภาษณ์จาก ครอบครัวหนึ่งมาแชร์ประสบการณ์ วางแผนส่งลูกเรียนสาธิต เป็นอย่างไรมาดูกัน คุณพ่อเคยทำงานเป็นผหู้บริหารด้านไอที แต่เกิดไอเดียเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เลยลาออกมาทำธุรกิจออนไลน์ เนื่องจากคุณแม่ทำมาก่อน และทำไม่ไหวจึงชวนคุณพ่อมาช่วยทำ และเมื่อมีลูก ส่งลูกเข้าโรงเรียนสำหรับเสริมทักษะเด็ก ที่บรอมส์โกรฟ เป็นโรงเรียนนานาชาติ จนถึง 2 ขวบครึ่ง และส่งน้องเข้าเรียนเตรียมอนุบาลที่โชคชัย ด้วยค่าเทอม 40,000 บาท แล้วโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหงมาเปิดรับอนุบาล ก็ลองให้ลูกไปสอบดู ที่เลือกสาธิตเพราะได้ยินมาว่าช่วงระดับอนุบาลถึงประถมต้นๆ จะยังไม่เคร่งวิชาการมากนัก เน้นให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด ฝึกระเบียบวินัยมากกว่า ซึ่งตอบโจทย์ของที่บ้านมาก ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย เราเลี้ยงลูกตามสถานการณ์ เพราะงั้นค่าใช้จ่ายเราจะลงเหมือน Marketing Plan โยก Budget ตามสถานการณ์ อย่างเรื่องค่าเทอมจากโชคชัยมาสาธิต เพิ่มขึ้นเท่าตัว ก็เลยคุยกันแล้วว่า จะลดค่าใช้จ่ายส่วนไหนออก จะจัดการงบไว้ตั้งแต่ต้นปี ให้เพียงพอต่อการจ่ายในแต่ละปีไปก่อน ตอนนี้ก็ตั้งใจจะเก็บค่าเทอมล่วงหน้าให้ได้อย่างน้อย 5-6 ปี เก็บทุกเดือน กันเงินออกมาก่อน เป็นค่าเทอมให้ลูก
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2387
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "การเมืองกับตลาดหุ้น" ให้หน่อยค่ะ
สองสามวันที่ผ่านมาเราได้เห็นข่าวการเมืองที่คนทั่วประเทศต่างก็จับตามองและรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันสั้น เหตุผลที่เราตื่นเต้นนั้นเนื่องจากมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและอาจจะมีผลต่อการแข่งขันในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าหลังจากที่ประเทศไทยห่างเหินจากการเลือกตั้งมานาน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถูกกระทบอะไรนัก ดัชนีตลาดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในช่วงปิดตลาด และนี่ก็อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผลกระทบจากการเมืองในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นแม้ว่าในทางการเมืองแล้วถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญหรือรุนแรงหรือน่ากลัวก็ตาม ตัวอย่างของเหตุการณ์สำคัญหรือรุนแรงหรือน่ากลัวในทางการเมืองก็เช่น การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะเลือกตั้ง การลดภาษีนิติบุคคลในอัตราสูงของทรัมป์ สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน และเรื่องอื่น ๆ อีกมาก หรืออย่างในเมืองไทยก็เช่น การประท้วงของคนเสื้อเหลือง-แดง การเกิดการรัฐประหาร การเลือกตั้งใหญ่ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ในระยะสั้น ๆ มักจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวแรงในระดับหนึ่งทั้งทางขึ้นและลงขึ้นอยู่กับมุมมองว่าเหตุการณ์ทางการเมืองนั้นจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อการลงทุนและบางทีก็ดูว่าเป็นหุ้นกลุ่มไหนที่จะได้รับผลกระทบ—ในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวนั้น ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาตลอดเป็นสิบ ๆ ปีก็มักไม่จะไม่กระทบเท่าไร เหตุผลก็เพราะว่า โลกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่ประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนหรือยึดถือนโยบาย “เปิดตลาด” การค้า ไม่มีประเทศสำคัญไหนที่นักการเมืองหรือเหตุการณ์ทางการเมืองนำไปสู่การทำลายการทำงานของธุรกิจหรือการค้าขายระหว่างประเทศอย่างที่โลกเคยเกิดขึ้นในสมัยที่ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่หลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเมื่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจซึ่งต่อเนื่องถึงธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ในระยะยาวที่มาจากการเมืองนั้นมีน้อย ผลกระทบของเหตุการณ์ทางการเมืองต่อตลาดหุ้นในระยะยาวจึงมีน้อยตามไปด้วย คนที่ลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นจึงไม่ค่อยกังวลอะไรนักกับเรื่องทางการเมือง ตราบใดที่การเมืองนั้นไม่ทำลาย “บรรยากาศ” หรือสภาวะแวดล้อมในการทำธุรกิจของเอกชนในระยะยาวแล้วละก็ เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนนั้นก็คือคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศ และการเมืองเองนั้นแม้ว่าจะไม่ทำลายเรื่องของธุรกิจ แต่มันก็อาจจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราแย่ลงได้ คนนั้นไม่ใช่แค่ว่าขอให้มีเงินแล้วก็มีความสุข เราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งรวมถึงสภาวะอย่างอื่นเช่น อากาศที่ดีไม่มีฝุ่นละอองเป็นพิษ เราต้องการเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็น เราต้องการอยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกับคนอื่น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้บางทีก็มักจะมาจากการเมือง ดังนั้น นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI จึงต้องสนใจการเมือง การเมืองที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในประเทศนั้นก็คือการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงซึ่งเคารพสิทธิของคนทุกคนโดยการยอมรับว่าทุกคนนั้นมีความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ไม่มีการบังคับว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้ถ้าไม่ไปรบกวนคนอื่น มีระบบเศรษฐกิจที่เปิดและมีการแข่งขันโดยเสรี และด้วยหลักการแบบนี้ เราก็จะได้รัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งรัฐบาลนั้นเองจะต้องทำการเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกเขาเข้ามา และนั่นจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นและความเหลื่อมล้ำของคนจะน้อยลง เพราะถ้ารัฐบาลไหนไม่ทำแบบนั้น เขาก็จะไม่สามารถได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้
ข่าวการเมืองที่คนทั่วประเทศจับตามองและรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เนื่องจากมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและมีผลต่อการแข่งขันในการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถูกกระทบอะไรนัก ดัชนีตลาดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในช่วงปิดตลาด และอาจเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผลกระทบจากการเมืองในประเทศไทยไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้น แม้ว่าในทางการเมืองแล้วถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญก็ตาม ตัวอย่างของเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองเช่น ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะเลือกตั้ง การลดภาษีนิติบุคคลในอัตราสูง สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน หรือในเมืองไทยเช่น การประท้วงของคนเสื้อเหลือง-แดง การรัฐประหาร การเลือกตั้งใหญ่ ในระยะสั้น ๆ มักทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวแรงอยู่กับว่าเหตุการณ์ทางการเมืองนั้นส่งผลดีหรือผลเสียต่อการลงทุน ส่วนในระยะยาว เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นตลอดสิบ ๆ ปีมักไม่กระทบเท่าไร เพราะโลกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ประเทศต่าง ๆ ยึดถือนโยบายเปิดตลาดการค้า ไม่มีประเทศสำคัญไหนที่เหตุการณ์ทางการเมืองนำไปสู่การทำลายการทำงานของธุรกิจอย่างที่โลกเคยเกิดขึ้นในสมัยที่ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่หลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่มาจากการเมืองมีน้อย ผลกระทบของเหตุการณ์ทางการเมืองต่อตลาดหุ้นในระยะยาวก็น้อยตามไปด้วย คนที่ลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นจึงไม่ค่อยกังวลอะไร ตราบใดที่การเมืองไม่ทำลายบรรยากาศในการทำธุรกิจของเอกชนแล้ว เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตก นักลงทุนก็คือคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศ และการเมืองแม้ว่าจะไม่ทำลายเรื่องธุรกิจ แต่อาจทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราแย่ลงได้ คนนั้นไม่ใช่แค่มีเงินแล้วก็มีความสุข เราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีรวมถึงสภาวะอย่างอื่นเช่น อากาศที่ดี ต้องการเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็น ต้องการอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมคนอื่น ดังนั้น การเมืองที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในประเทศคือ การเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูง ซึ่งเคารพสิทธิของคนทุกคนโดยการยอมรับว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ไม่บังคับว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้ถ้าไม่รบกวนคนอื่น มีระบบเศรษฐกิจเปิดและมีการแข่งขันเสรี และด้วยหลักการแบบนี้ เราก็จะได้รัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งจะต้องทำการเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่เลือกเข้ามา และจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นและความเหลื่อมล้ำจะน้อยลง เพราะถ้ารัฐบาลไหนไม่ทำแบบนั้น ก็จะไม่สามารถได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2388
Finance
วิธีแก้ปัญหาสำหรับคนชอบทำงานทีละหลาย ๆ อย่างแบบ Multi-tasking คืออะไร
null
หลายคนชอบทำงานทีละหลาย ๆ อย่างแบบ Multi-tasking เช่น เปิดคอมหลาย ๆ หน้าจอ ประชุมไปด้วย ตอบเมลล์ไปด้วย เพราะคิดว่าจะทำงานได้เร็วกว่า แต่จริง ๆ ไม่ใช่ สมองกลับทำงานหนักกว่าด้วย การทำแบบนี้ต้องใช้ “สมาธิแบบรู้ตัว” ในการทำงาน เป็นการที่ต้องจดจ่อกับตัวงานที่ทำ มันไม่ใช่การทำงานทีละหลาย ๆ อย่าง แต่เป็นการสลับงานไปมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นการใช้สมองทำงานสองอย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งกลับทำให้เสียเวลามากขึ้นและจำได้น้อยลง ต่างจากการที่เดินไปพูดไป อันนั้นเป็นการใช้ “สมาธิแบบไม่รู้ตัว” ซึ่งเกิดโดยอัตโนมัติ สมองจะจัดการได้ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น เวลาจดงานตามคำพูดของครูหรือเจ้านาย ถ้าจดตามทุกคำยังไงก็จดไม่ทัน และไม่ได้ฟังเนื้อหาต่อไปด้วย หรือขับรถไปคุยมือถือไป ขับรถไปแต่งหน้าไป จนรถชนกัน ก็เพราะสมองทำงานหลายอย่างพร้อมกัน วิธีแก้ปัญหา คือ ให้ทำงานทีละอย่าง หรือเวลาประชุมก็ฟังให้จบ เสร็จปุ๊บก็ให้รีบจดเลยว่าเนื้อหาสาระที่ได้ยินมาคืออะไร ประเด็นสำคัญ Next Step คืออะไร หรือเวลาอ่านหนังสือก็ไม่ต้องมานั่งจำทุกคำที่อ่าน เอาให้เข้าใจก่อนจบบทนึงค่อยมาเขียนสรุปสิ่งที่จำได้ สิ่งที่สำคัญ เวลาจด ให้จด “คำนาม” เป็นหลัก เพราะคำเหล่านี้เป็น Key Words พวกคำเชื่อม คำคุณศัพท์ คำขึ้นต้นแบบ a, an, the พวกนี้ไม่ต้องจดมาก็ได้ เพราะไม่ใช่ใจความสำคัญ
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2389
Finance
มีข้อคิดหรือแนวทางอะไรบ้างที่นักลงทุนรายย่อยสามารถนำไปปรับใช้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง
null
5 ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับการกระจายความเสี่ยง มีดังนี้ 1. อย่าถือหุ้นแค่ตัวเดียว หรือ อุตสาหกรรมเดียว 2. เลือก Index Fund หรือ Bond Fund เข้าพอร์ตไว้บ้าง 3. อย่าหยุดเติมเงิน 4. ถือยาว ไม่ได้แปลว่า ห้ามขาย 5. ค่าธรรมเนียม คืออีกเรื่องที่ต้องใส่ใจ นักลงทุนรายย่อยสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองได้ ดังนี้: 1. กระจายความเสี่ยง : - เลือกหุ้นจากหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม - ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) - ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ (Bond Fund) - ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ 2. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ : - เติมเงินเข้าพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ - ใช้วิธี Dollar Cost Averaging (DCA) ลงทุนระยะยาว 3. ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ : - ติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจ - ปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ - ขายหุ้นที่ราคาขึ้นสูง - ซื้อหุ้นที่ราคาลงต่ำ 4. ควบคุมค่าธรรมเนียม : - เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมต่างๆ - เลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ - สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยควร: (1) ลงทุนด้วยความระมัดระวัง (2) ไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น (3) กระจายความเสี่ยงให้มากขึ้น (4) ลงทุนระยะยาว นอกจากนี้ นักลงทุนรายย่อยควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มเติม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง ตัวอย่างการปรับใช้แนวทาง : นักลงทุนรายย่อยที่มีเงินลงทุน 1 ล้านบาท อาจจะแบ่งเงินลงทุนดังนี้ - หุ้น 60% (กระจายลงทุนในหุ้นจากหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม) - กองทุนรวมดัชนี 20% - กองทุนรวมตราสารหนี้ 20% - นักลงทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรรพย์ต่างๆ ตามความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายการลงทุน ข้อควรระวัง : ไม่มีกลยุทธ์การลงทุนใดที่รับประกันผลตอบแทน การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้และประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_239
Finance
การเพิ่มทุน คืออะไร
null
การเพิ่มทุน คือ การที่บริษัทระดมเงินทุนจากผู้ถือหุ้น ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อนำไปขยายกิจการ ชำระหนี้ หรือแม้แต่ล้างขาดทุนสะสม โดยหุ้นเพิ่มทุนนั้น อาจเสนอขายให้แก่ทั้งผู้ถือหุ้นเดิมและผู้ถือหุ้นใหม่ผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ 1. การออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิม หรือ “Right Offering (RO)” เป็นการขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกราย ตามสัดส่วนการถือครองหุ้น โดยผู้ถือหุ้นเดิมทุกคนในบริษัทมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะเพิ่มทุนหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่เพิ่มตามสัดส่วนที่ได้รับสิทธิ์ ผู้ถือหุ้นก็จะได้รับผลกระทบจาก Dilution Effect หรือการมีสัดส่วนหุ้นในบริษัทลดลง เพราะไม่ได้ถือหุ้นเพิ่ม ในขณะที่จำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทเพิ่มขึ้น 2. การออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป หรือ “Public Offering (PO)” เป็นการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป โดยจะทำกันในบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะถ้าเป็นบริษัทเอกชนทั่วไป จะไม่สามารถระดมทุนจากสาธารณะได้ ซึ่งบริษัทที่กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วอยู่ในระหว่างการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก ขั้นตอนนี้จะถูกเรียกว่า Initial Public Offering หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “IPO” นั่นเอง 3. การออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด หรือ “Private Placement (PP)” เป็นการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัด ไม่เกิน 50 ราย หรือมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 20 ล้านบาท ภายในรอบ 12 เดือน หรือเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน ซึ่งเหมาะกับบริษัทจดทะเบียนที่มองหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาร่วมถือหุ้น นอกจากนี้ การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP ยังมีความสะดวก รวดเร็ว และมีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำกว่า 2 กรณีแรกอีกด้วย ทั้งนี้บางบริษัทก็อาจใช้วิธีการเพิ่มทุนมากกว่า 1 วิธีได้ เช่น การขายหุ้นเพิ่มทุน โดยใช้วิธีการเพิ่มทุน ผ่านการขายต่อผู้ถือหุ้นเดิม และขายต่อประชาชนทั่วไป เป็นต้น การเพิ่มทุนกระทบกับผู้ถือหุ้นอย่างไรบ้าง - กำไรต่อหุ้นลดลง ผลของ Dilution Effect ยังส่งผลให้กำไรต่อหุ้นนั้นลดลง หากบริษัททำกำไรได้เท่าเดิม เพราะมีปริมาณหุ้นที่เพิ่มขึ้น - ราคาหุ้นอาจปรับตัวลดลง หากราคาหุ้นเพิ่มทุนนั้นต่ำเกินไป โดยปกติแล้วหากบริษัทได้เงินเพิ่มทุนในราคาที่เหมาะสม ก็อาจจะรักษามูลค่าบริษัทต่อหุ้นให้อยู่ในระดับเดิมได้ แต่ถ้าหากบริษัทได้เงินเพิ่มทุนมาไม่มากพอ ก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นนั้นปรับตัวลดลงได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทประกาศเพิ่มทุน ราคาหุ้นในตลาดก็อาจจะปรับตัวสูงขึ้นได้เช่นกัน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2392
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรใช้วิธีการลงทุนแบบไหนดีระหว่าง การลงทุนในหุ้นราคาถูก หุ้นเติบโต หรือหุ้นวัฏจักร?
null
การเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น เป้าหมายทางการเงิน ระยะเวลาการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และประสบการณ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนรายย่อย การลงทุนในหุ้นราคาถูก: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ ใจเย็น และสามารถวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัทได้ดี กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยเวลาในการรอคอยให้ราคาหุ้นฟื้นตัว ความเสี่ยง: เลือกหุ้นผิด พื้นฐานบริษัทแย่ ราคาหุ้นไม่ฟื้นตัว การลงทุนในหุ้นเติบโต: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความอดทน รอคอย และสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยเวลาในการรอคอยให้บริษัทเติบโต ความเสี่ยง: ธุรกิจเติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ การลงทุนในหุ้นวัฏจักร: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์สูง เข้าใจวัฏจักรธุรกิจ และสามารถวิเคราะห์จุดต่ำสุดของวัฏจักร กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ความเสี่ยง: คาดการณ์วัฏจักรผิด ซื้อหุ้นในช่วงขาลง คำแนะนำเพิ่มเติม: กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายประเภท ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท กลยุทธ์ และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ลงทุนระยะยาว: การลงทุนระยะยาวมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าการลงทุนระยะสั้น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับคำแนะนำ สรุป: ไม่มีวิธีการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน นักลงทุนรายย่อยควรเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง ศึกษาข้อมูล และกระจายความเสี่ยง
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2394
Finance
ข้อใดไม่ใช่เหตุผลที่ไม่ค่อยได้ยินคำว่า ประกันแบบชั่วระยะเวลา (Term)
1. เบี้ยประกันที่น้อยทำให้ค่าคอมมิชชั่นน้อยตามไปด้วย 2. ได้ความคุ้มครองสูง 3. คนส่วนใหญ่อยากได้เงินคืน 4. คนขายไม่นิยมขาย และคนซื้อไม่นิยมซื้อ
ข้อที่ถูกต้องคือ 2. เพราะว่า เพราะการได้ความคุ้มครองสูง เป็นข้อดีของประกันแบบชั่วระยะเวลา (Term) นอกจากนั้นยังจ่ายเบี้ยประกันน้อย เพราะเป็นการเอาเบี้ยประกันไปซื้อความคุ้มครอง ไม่มีส่วนของเงินออม (ทำให้ไม่มีมูลค่าเงินสด) ประกันแบบ Term จะมีลักษณะคล้ายกับประกันวินาศภัยมากกว่าประกันชีวิตรูปแบบอื่น บริษัทประกันโดยทั่วไปจะทำแบบประกันนี้ไว้รองรับเพียงบางช่วงอายุเท่านั้น ในเมืองไทยจะมีระยะเวลาสิ้นสุดของกรมธรรม์แน่นอนโดยจ่ายเบี้ยประกันคงที่ และอีกแบบคือ ทุนประกันลดลงเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาของสัญญาโดยจ่ายเบี้ยครั้งเดียวหรือคงที่ตลอดสัญญา เช่น ประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MRTA) ซึ่งทุนประกันก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ตามจำนวนหนี้ที่ลดลง ทำไมถึงไม่ค่อยได้ยินคำว่าประกันแบบ Term สักเท่าไรเลย เหตุผลหลักๆ ก็เพราะ “เบี้ยประกันที่น้อยทำให้ค่าคอมมิชชั่นน้อยตามไปด้วย” และ “คนส่วนใหญ่อยากได้เงินคืน” พอรวมๆ กันแล้ว “คนขายจึงไม่นิยมขาย และคนซื้อก็ไม่นิยมซื้อด้วย” แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีความต้องการไม่เหมือนกัน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-sa-4.0
Finance_2395
Finance
จงบอก 10 นิสัยของนักลงทุนสายพื้นฐาน (VI)
null
1) หมกมุ่น ใน 1 วัน ตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน จะเจอบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ไม่ได้สังเกตกัน ต่อจากนี้อยากให้เปลี่ยนนิสัยใหม่ ให้มองทุกอย่างรอบตัวให้เป็นเรื่องหุ้น เช่น เช้ามากินขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก ก็คิดถึง PB, CPF, SORKON หยิบมือถือ คิดถึง COM7, SPVI ออกจากบ้านขึ้น BTS เข้าออฟฟิศ CPN เจอป้ายโฆษณา PLANB นั่งทำงานเก้าอี้ MODERN เปิดคอมที่ซื้อมาจาก IT กลางวันแวะกินพิซซ่าของ MINT รูดด้วยบัตร KTC ไปหาลูกค้านั่งรถไฟฟ้าใต้ติน BEM แวะซื้อปากกาที่ COL นัดเจอกันที่ AU จบมื้อเย็นซื้อ TFMAMA ที่ CPALL กลับบ้านทาครีม BEAUTY ก่อนเข้านอนหลับฝันดี 2) ชอบเผือก ปกติการติดตามข่าวบันเทิงข่าวดารา ก็สามารถมโนหรือรู้ว่าเป็นใครกัน การลงทุนก็ไม่ต่างกัน ก็เอาความเป็นนักสืบในการติดตามข่าว ผู้บริหาร หรือกิจการของบริษัทว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็จะทำให้รู้เรื่องของหุ้นที่สนใจแบบรู้ลึกรู้จริงและเป็นประโยชน์กับการลงทุนได้เยอะ 3) อ่านรีวิวก่อนซื้อ ก่อนจะซื้อเครื่องสำอางซักชิ้น กระเป๋าซักใบ มือถือซักเครื่อง มักจะเข้าไปดูรีวิวของคนที่เคยใช้กันก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าของที่อยากได้นั้นดีจริง ๆ ตัดสินใจไม่ผิด แต่เวลาลงทุนหุ้น มักจะชอบซื้อก่อน แล้วพอติดดอย ค่อยเริ่มถาม เริ่มหาข้อมูลบริษัทว่างบเป็นอย่างไร กำไรโตหรือเปล่า ซึ่งเป็นการกระทำที่สวนทาง เพราะฉะนั้นควรจะหาข้อมูลบริษัท อ่านงบการเงิน ประเมินมูลค่า หรือรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นน่าจะดีกว่า 4) เปรียบเทียบโปรโมชั่น หาดีลที่ดีที่สุด กว่าจะตัดสินใจซื้อของแต่ละชิ้น มักจะเข้าไปเช็คหลายต่อหลายเว็บ เพื่อเปรียบเทียบให้ชัวร์ที่สุดว่าได้ของดีราคาถูกจริง ๆ บางครั้งไปเดินดูของจริงในห้าง แล้วมากดสั่งซื้อออนไลน์ก็มี การลงทุนก็ควรดูงบให้ละเอียด เปรียบเทียบผลประกอบการในอดีต เปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด เพื่อให้มั่นใจที่สุดว่าหุ้นที่จะซื้อนั้นดีจริง ๆ 5) ซื้อของตอน SALE สามารถรอวันลดราคาเพื่อซื้อของที่ต้องการ แต่พอมาเรื่องหุ้นกลับไม่อดทนรอ เห็นของราคาถูกเราไม่ซื้อ แต่พอราคาขึ้นไปสูง ๆ กลับรู้สึกว่าน่าสนใจ ดึงดูดให้ขึ้นไปซื้อที่ราคาแพง โดยหารู้ไม่ว่าเป็นยอดดอย แล้วสุดท้ายก็ขาดทุน เข้าวัฎจักร ซื้อแพงขายถูกอยู่ร่ำไป ถ้าลองเปลี่ยนกลับมาใช้พฤติกรรมที่คุ้นเคยอย่างการชอบซื้อของตอน SALE ก็จะทำให้ไม่ขาดทุนแบบง่ายๆ 6) วางแผนท่องเที่ยวอย่างละเอียด เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ วางแผนทริปอย่างละเอียดแบบเป็นขั้นเป็นตอน เพราะฉะนั้น เรื่องการลงทุนก็ควรทำให้ได้แบบเดียวกัน ต้องวางแผนให้ละเอียดว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้ที่ราคาเท่าไหร่ ถ้างบออกมาผิดคาดจะทำอย่างไร ถ้าดีกว่าคาดจะทำอย่างไร จะขายตรงไหน จะคัทตรงไหน ควรเขียนออกมาให้ชัดเจนเหมือนเวลาวางแผนท่องเที่ยว 7) คนที่ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ชอบ เรื่องของหัวใจห้ามกันยาก ต่อให้ดีอย่างไร ถ้าเข้ากันไม่ได้ ไม่ชอบคนลักษณะแบบนี้ ทำอย่างไรก็ไม่ชอบ ฝืนคบกันไปก็ไม่มีความสุข สุดท้ายก็ต้องเลิกกันอยู่ดี เรื่องหุ้นก็เหมือนกัน ต้องเลือกหุ้นที่ตรงกับจริต หุ้นที่ผ่านเกณฑ์หรือมาตรฐานที่ต้องการ ถ้าผ่านสเป็คได้แบบนี้ถึงจะชอบและคบกันได้ยาว ๆ 8) เลือกคนที่ดีต่อใจ ไม่ใช่ภาพมายา เวลามีคนมาจีบ 2 คน คนหนึ่งรูปหล่อ พ่อรวย คารมคมคายกับอีกคนหน้าตาธรรมดา ดูซื่อ ๆ นิสัยดี ห่วงใยเอาใจใส่ สุดท้ายมักเลือกคนรูปหล่อที่ดูดีต่อใจ ดูมีเสน่ห์ แต่สุดท้ายเค้ากลับกลายเป็นคนเจ้าชู้ ไม่ได้รักจริง ทุกอย่างคือภาพมายา แต่คนที่รักจริงกลับกลายเป็นคนซื่อๆ ธรรมดา เวลาเลือกหุ้น บ่อยครั้งที่ชอบหุ้นหวือหวาร้อนแรงมีข่าวมีสตอรี่น่าตื่นเต้น แต่พอซื้อไปก็มักจะจบด้วยคราบน้ำตาของการขาดทุน ขณะที่หุ้นเรียบๆ ดูไม่มีข่าวอะไร แต่ขยันทำมาหากิน ราคาหุ้นก็ค่อยๆ ปรับตัวขึ้นตามกำไรที่เพิ่มขึ้น ควรเลือกหุ้นแบบหลังที่ดีต่อใจมากกว่า 9) ความรักทำให้คนตาบอด เวลารักใครซักคนมากๆ เขาว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน บางอย่างเขาทำไม่ถูกก็คอยปกป้อง แล้วก็ติดมาใช้กับเรื่องลงทุน หลงรักหุ้นมากเกินไป บางครั้งพื้นฐานเปลี่ยน กำไรลดลง ราคาหุ้นก็ลง แต่ยังรักมั่น คิดว่าเป็นเรื่องชั่วคราว กิจการเคยดีมาก่อนก็ต้องดีต่อไปเรื่อย ๆ สุดท้ายกิจการขาดทุน กลายเป็นว่าหลงรักหุ้นจนตัวตาย เพราะฉะนั้นต้องรักให้เป็น มองหุ้นตามความเป็นจริง และต้องตัดใจให้ได้ถ้าหุ้นตัวนั้นเปลี่ยนไป 10) อดีตไม่สำคัญ อนาคตแน่นอนกว่า ส่วนมากมักจดจำอดีตได้แม่นยำ ถึงแม้วันนี้เขาจะปรับปรุงตัวแก้ไขก็ยังไม่ลืมอดีตและไม่ยอมก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เรื่องหุ้นก็เช่นกัน เคยขาดทุนหรือขายหมู่ ก็เลิกสนใจหุ้นตัวนั้นไปเลย ทั้ง ๆ ที่กิจการอาจดีขึ้นแล้วและอนาคตจะมีการเติบโตอย่างมาก แต่ทำใจไม่ได้ นักลงทุน VI ที่ดีควรมองไปข้างหน้า ลืมตัวเลขเก่าในอดีต ตัวเลขใหม่คือของจริง มองไปข้างหน้าถึงมูลค่าที่แท้จริง
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2396
Finance
เดือนไหนที่ต้องเตรียมยื่นภาษีประจำปี ระหว่าง เดือนกุมภาพันธ์ หรือ เดือนกันยายน
null
เดือนกุมภาพันธ์ เพราะเดือนกุมภาพันธ์ จะต้องเตรียมยื่นภาษีประจำปี เทศกาลในช่วงต้นปีสำหรับผู้เสียภาษีคือ การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีนี้อาจไม่ยากสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำ แต่สำหรับผู้ที่มีรายได้ประเภทอื่นๆ อาจจะต้องดูว่าจะต้องยื่นอย่างไรจึงจะเหมาะสม เช่น การเครดิตภาษีเงินปันผลสำหรับผู้มีเงินได้ปันผลจากหุ้น หรือการตัดสินใจว่าจะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือตามจริงสำหรับผู้ที่มีเงินได้จากค่าเช่า ค่าวิชาชีพ ค่ารับเหมา หรือรายได้อื่นในประเภท 40(8) นอกจากนี้ ยังต้องติดตามหลักฐานค่าลดหย่อนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานรับรองการชำระเบี้ยประกัน การซื้อหน่วยลงทุน LTF RMF หลักฐานการจ่ายดอกเบี้ยบ้าน รวมถึงใบเสร็จใบอนุโมทนาบัตรต่างๆ ที่ต้องตามเก็บมาใช้กันให้หมด ข้อแนะนำคือ ควรยื่นภาษีกันเสียแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่ยื่นภาษีทางอินเตอร์เน็ต หากมีอะไรผิดพลาดจะได้แก้ไขกันได้ทันก่อนหมดช่วงยื่นภาษี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปสรรพากรเอง ส่วนเดือนกันยายน จะต้องตรวจสอบรายจ่าย ตั้งงบประมาณรายจ่าย วางแผนสภาพคล่องส่วนบุคคล ถ้ามองตามระเบียบราชการ ก็จะเริ่มมีการประกาศใช้ปีงบประมาณในเดือนตุลาคมของแต่ละปี ดังนั้นก็เลยถือโอกาสนี้ตรวจสอบและประมาณการรายรับรายจ่ายตามราชการไปด้วยคน ในการตั้งงบประมาณรายจ่าย อาจจะเร่ิมจากรายจ่ายประจำก่อนซึ่งเป็นตัวเลขที่เห็นได้ง่ายที่สุด ถัดมาเป็นรายจ่ายผันแปรที่ไม่ควรลืมปรับเรื่องเงินเฟ้อเข้าไปด้วยเพื่อความไม่ประมาท และสุดท้ายคือรายจ่ายในการออมที่ก็ต้องออมให้สอดคล้องกับรายรับด้วยเช่นกัน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2398
Finance
ยูนิตลิงค์ (Unit-Linked) คืออะไร?
null
ยูนิตลิงค์ (Unit-Linked) คือประกันที่มาพร้อมหน่วยลงทุน สำหรับประกันชีวิตควบการลงทุนหรือยูนิตลิงค์ เบี้ยประกันก็จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน และเราสามารถเลือกเองได้เลยว่าเบี้ยที่เราจ่ายจะเน้นไปที่ความคุ้มครอง หรือ เงินลงทุน โดยสามารถกำหนดความคุ้มครองของกรมธรรม์ได้เอง หากเราต้องการทุนประกันที่สูง ก็เลือกจำนวนเท่าของเบี้ยประกันที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่า เบี้ยก็จะถูกจ่ายไปที่ส่วนของความคุ้มครองมากกว่า ส่วนของเงินลงทุนก็จะน้อยลง และเช่นเดียวกันในทางตรงกันข้าม ส่วนของเงินลงทุน บริษัทประกันก็ให้อิสระให้เลือกเองได้เลยว่าจะลงทุนในกองทุนอะไร ด้วยสัดส่วนเท่าไร เพื่อให้เหมาะกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ นี่จึงเป็นที่มาของโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นกว่าประกันแบบดั้งเดิม โดยมูลค่าบัญชีหรือมูลค่าเงินสด ก็จะถูกขายคืนมาเป็นรายเดือน (ส่วนใหญ่) หรือรายปีเพื่อจ่ายค่าการประกันภัย (ส่วนของความคุ้มครอง) และค่าใช้จ่ายต่างๆ ของกรมธรรม์ จะเห็นว่า การที่สามารถกำหนดสัดส่วนความคุ้มครองและเงินลงทุน รวมทั้งสัดส่วนของกองทุนรวมที่จะนำไปลงทุนได้เองนั้น ก็หมายความว่าจะต้องเป็นผู้รับความเสี่ยงเองในการสร้างมูลค่าบัญชี หรือผลตอบแทนของกรมธรรม์ด้วยตัวเอง บริษัทประกันไม่ได้การันตีผลตอบแทนไว้ให้เหมือนประกันชีวิตแบบดั้งเดิม แต่ในทางกลับกันเราก็ได้อิสระจากความยืดหยุ่นของยูนิตลิงค์ในการเลือกจำนวนเบี้ยที่อยากจ่ายและทุนประกันที่อยากได้ ปรับเพิ่มหรือลดทุนประกันระหว่างทางที่ยังถือกรมธรรม์อยู่ เลือกพักชำระเบี้ยหรือถอนเงินบางส่วนจากกรมธรรม์เท่าไร ปีไหนบ้าง ก็สามารถทำได้หมดตราบใดที่กรมธรรม์ยังมีผลบังคับ (เมื่อมูลค่าบัญชียังเพียงพอที่จะชำระค่าการประกันภัยและค่าใช้จ่ายต่างๆ ของกรมธรรม์) เมื่อเปรียบเทียบกับประกันชีวิตแบบดั้งเดิมแล้ว สิ่งที่ทำให้ยูนิตลิงค์แตกต่างก็เห็นจะเป็น ความอิสระในการบริหารและออกแบบกรมธรรม์ด้วยตัวผู้ทำประกันเอง ในขณะที่ประกันชีวิตแบบดั้งเดิม ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว นั่นก็เป็นเพราะบริษัทประกันรับความเสี่ยงไว้เอง จึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนของเบี้ยเพื่อความคุ้มครองหรือเพื่อการลงทุนได้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2403
Finance
ในปัจจุบันการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investment จะพบเจอกับหุ้นแบบไหนบ้าง
ถอดรหัสหาหุ้นเติบโต … “หุ้นพีอีต่ำ เติบโตสูง” นายแว่นลงทุน 16 ม.ค. 62 ถอดรหัสหาหุ้นเติบโต ... “หุ้นพีอีต่ำ เติบโตสูง” สำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investment แน่นอนที่สุดว่า เรามักจะมองหาหุ้นดีในราคาถูก ยิ่งถูกยิ่งดี แต่สิ่งนี้มันขัดแย้งกันเอง เพราะหุ้นดีแต่ราคาถูก ดูเหมือนจะหายากเย็นแสนเข็ญ ที่สำคัญถ้าหุ้นมันดีจริง ทำไมราคามันถึงได้ถูกอยู่อย่างงั้น เรียกว่า เป็นปัญหา ไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกันก็ว่าได้ ในปัจจุบันแม้หุ้นประเภท พีอีต่ำ แต่เติบโตสูง ดูเหมือนจะไม่มีแล้วในตลาดหุ้นบ้านเรา แต่ถ้าเราย้อนอดีต ไปในยุค “กำเนิดวีไอ” เมื่อประมาณ 10-20 ปีที่ผ่านมาเราจะพบหุ้นเหล่านี้อยู่เต็มไปหมด เปรียบเหมือนเราเข้าไปพบโรงเพาะชำของ “ต้นกล้าหุ้น” ที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย แต่ในปัจจุบันเราจะพบเจอกับหุ้นแบบไหนบ้าง ลองไปติดตามกันดูดีกว่าครับ ประเภทแรก “หุ้นพีอีสูง เติบโตสูง” หุ้นแบบนี้ต้องบอกเลยว่า ช่วงที่ผ่านมามีอยู่เต็มไปหมด หุ้นประเภทอภินิหาร ขายของไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ต้องบอกว่า ใครออกไปขายคนจีนได้มีแต่ร่ำรวยเป็นทิวแถว แต่ปัจจุบันหุ้นเหล่านี้ฟองสบู่ได้แตกเป็นที่เรียบร้อย ไม่เว้นแม้แต่ในต่างประเทศ หุ้นที่ขายสินค้าให้กับคนจีนเยอะ ๆ ในอเมริกาก็มี นั่นคือ หุ้น Apple นั่นเอง ที่พอจีนมีมาตราการณ์ anti โทรศัพท์ “ไอโฟน” หุ้นตัวนี้ก็ตกระนาว แม้แต่ วอเรนต์ บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกยังต้องเจ็บตัว ว่าที่จริงหุ้นดี พีอีสูง หากมันยังเติบโตจริง ๆ ก็ถือว่าลงทุนได้นะครับ ถ้าการเติบโตนั้นเป็นการสะดุดชั่วคราว แต่หุ้นแบบนี้เราต้องพิจารณา “คูเมือง” ของกิจการด้วย นั่นก็คือ ความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า ที่อยู่ในใจคนและยากที่จะเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาหุ้นตกหนัก ๆ แบบนี้ อาจเป็นจังหวะที่ดีก็ได้ใครจะรู้ ประเภทที่สอง “หุ้นพีอีต่ำ เติบโตต่ำ” หุ้นประเภทนี้นักลงทุนอาจต้องเน้น “เงินปันผล” เป็นหลัก เพราะหุ้นที่มีการเติบโตต่ำนั้น ตลาดมักจะปรับพีอีให้ต่ำเหมาะสมกับการเติบโตของหุ้น แต่หากสินค้าหรือบริการของเขายังดีมีชีวิตอยู่ กิจการก็สามารถดำเนินได้เรื่อย ๆ สร้างกระแสเงินสดออกมามาก หากไม่รู้จะนำไปต่อยอดอะไรก็มักจะปันผลออกมา หุ้นแบบนี้มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่ “ลงตัว” แล้ว หมายถึงมีการแบ่งแชร์การตลาดกันลงตัว และการแข่งขันควรจะต่ำลงด้วย สินค้าก็ยังไม่ถูกอะไรทดแทน จึงขายได้เรื่อย ๆ ปันผลมาเรียง ๆ นั่นเอง ประเภทสุดท้าย “หุ้นพีอีต่ำ เติบโตสูง” หุ้นประเภทนี้เป็นหุ้นที่น่าสนใจที่สุด เพราะหากเราเจอหุ้นพีอีต่ำ หมายความว่า ราคามันไม่แพง และถ้าเติบโตสูง แต่พีอียังต่ำ หมายความว่า ตลาดยังมองไม่เห็นมัน หรือคนในตลาดคาดไม่ถึงว่ามันจะสามารถเติบโตกลับมาได้ หุ้นประเภทนี้ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เคยตกต่ำมานาน ทำให้ตลาดปรับพีอีลดลง หรือหุ้นที่โตช้าลง จากเคยเติบโตรวดเร็ว ตลาดก็ลงโทษด้วยการปรับพีอีให้ลดลงอย่างโหดร้ายทารุณ และเมื่อเวลาผ่านไปอะไร ๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น ทำให้พีอีต่ำติดดินอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนจะไม่มีอนาคต แต่สำหรับนักเจาะหุ้น ถ้าเราเข้าไปศึกษาหาความว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยที่มันตกต่ำ และมันจะกลับมาดีดังเดิมได้หรือไม่อย่างไร ถ้าเรารู้จริงนั่นคือ “โอกาส” ของนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า ที่จะซื้อหุ้นพีอีต่ำ แต่แฝงการเติบโตสูงเอาไว้ ถ้าเราตาถึงจริง ๆ โอกาสก็จะเป็นของเราแน่นอน ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ … หุ้นดีพีอีต่ำนั้นหายากแสนยาก แต่ถ้าเราหาเจอได้มันก็จะเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของเราได้ ในสภาวะแวดล้อมที่มีหุ้นแบบนี้จำนวนมากอาจเกินขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทำให้เกิดนักลงทุนวีไอร่ำรวยกันมากมาย แต่ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอหุ้นแบบนี้ ลองขุดหากันดู เจอแล้วบอกผมด้วย จักขอบคุณมาก ๆ เลยครับ โดย นายแว่นลงทุน
ในปัจจุบันการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investment จะพบเจอกับหุ้นดังนี้ ประเภทแรก “หุ้นพีอีสูง เติบโตสูง” หุ้นแบบนี้มีอยู่เต็มไปหมด หุ้นประเภทอภินิหาร ขายของไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ต้องบอกว่า ใครออกไปขายคนจีนได้มีแต่ร่ำรวยเป็นทิวแถว แต่ปัจจุบันหุ้นเหล่านี้ฟองสบู่ได้แตกเป็นที่เรียบร้อย ไม่เว้นแม้แต่ในต่างประเทศ หุ้นที่ขายสินค้าให้กับคนจีนเยอะ ๆ ในอเมริกาก็มี นั่นคือ หุ้น Apple นั่นเอง ที่พอจีนมีมาตราการณ์ anti โทรศัพท์ “ไอโฟน” หุ้นตัวนี้ก็ตกระนาว แม้แต่ วอเรนต์ บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกยังต้องเจ็บตัว ว่าที่จริงหุ้นดี พีอีสูง หากมันยังเติบโตจริง ๆ ก็ถือว่าลงทุนได้ ถ้าการเติบโตนั้นเป็นการสะดุดชั่วคราว แต่หุ้นแบบนี้ต้องพิจารณา “คูเมือง” ของกิจการด้วย นั่นก็คือ ความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า ที่อยู่ในใจคนและยากที่จะเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาหุ้นตกหนัก ๆ แบบนี้ อาจเป็นจังหวะที่ดีก็ได้ใครจะรู้ ประเภทที่สอง “หุ้นพีอีต่ำ เติบโตต่ำ” หุ้นประเภทนี้นักลงทุนอาจต้องเน้น “เงินปันผล” เป็นหลัก เพราะหุ้นที่มีการเติบโตต่ำนั้น ตลาดมักจะปรับพีอีให้ต่ำเหมาะสมกับการเติบโตของหุ้น แต่หากสินค้าหรือบริการของเขายังดีมีชีวิตอยู่ กิจการก็สามารถดำเนินได้เรื่อย ๆ สร้างกระแสเงินสดออกมามาก หากไม่รู้จะนำไปต่อยอดอะไรก็มักจะปันผลออกมา หุ้นแบบนี้มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่ “ลงตัว” แล้ว หมายถึงมีการแบ่งแชร์การตลาดกันลงตัว และการแข่งขันควรจะต่ำลงด้วย สินค้าก็ยังไม่ถูกอะไรทดแทน จึงขายได้เรื่อย ๆ ปันผลมาเรียง ๆ นั่นเอง ประเภทสุดท้าย “หุ้นพีอีต่ำ เติบโตสูง” หุ้นประเภทนี้เป็นหุ้นที่น่าสนใจที่สุด เพราะหากเจอหุ้นพีอีต่ำ หมายความว่า ราคามันไม่แพง และถ้าเติบโตสูง แต่พีอียังต่ำ หมายความว่า ตลาดยังมองไม่เห็นมัน หรือคนในตลาดคาดไม่ถึงว่ามันจะสามารถเติบโตกลับมาได้ หุ้นประเภทนี้ ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เคยตกต่ำมานาน ทำให้ตลาดปรับพีอีลดลง หรือหุ้นที่โตช้าลง จากเคยเติบโตรวดเร็ว ตลาดก็ลงโทษด้วยการปรับพีอีให้ลดลงอย่างโหดร้ายทารุณ และเมื่อเวลาผ่านไปอะไร ๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น ทำให้พีอีต่ำติดดินอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนจะไม่มีอนาคต แต่สำหรับนักเจาะหุ้น ถ้าเข้าไปศึกษาหาความว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยที่มันตกต่ำ และมันจะกลับมาดีดังเดิมได้หรือไม่อย่างไร ถ้ารู้จริงนั่นคือ “โอกาส” ของนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า ที่จะซื้อหุ้นพีอีต่ำ แต่แฝงการเติบโตสูงเอาไว้ ถ้าตาถึงจริง ๆ โอกาสก็จะเป็นของตนเองแน่นอน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2404
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยก่อนที่จะซื้อประกันชีวิต
null
ก่อนที่จะซื้อประกันชีวิตนั้น เราควรศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 7 ข้อ ข้อแรก คือ การทบทวนตัวเองในด้านฐานะการเงินว่ามีความจำเป็นที่จะซื้อประกันชีวิตหรือไม่ ข้อที่ 2 คือ การหาบริษัทประกันชีวิตที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ เพื่อความสบายใจให้กับตนเอง ข้อที่ 3 ต้องตรวจสอบว่าตัวแทนประกันชีวิตมีใบอนุญาตและถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ข้อที่ 4 เป็นการคำนวณว่าวงเงินสำหรับคุ้มครองจะตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ หากเราเสียชีวิตคนที่เหลือจะมีวงเงินเพียงพอกับการใช้ชีวิตต่อหรือไม่ ข้อที่ 5 ต้องดูว่าฐานะการเงินจะเอื้ออำนวยต่อการเบี้ยประกันในทุกปีกรือไม่ ข้อที่ 6 ถ้าประกันชีวิตที่เราจะทำไม่ถูกใจ ต้องดูว่ามีประกันแบบอื่นๆ อีกหรือไม่ที่ตรงกับใจของเรา และข้อสุดท้าย คือ ต้องศึกษาอย่างละเอียดว่ากรมธรรม์ประกันชีวิตที่เราต้องการมีเงื่อนไขที่สำคัญอย่างไรบ้าง บทเรียนจากย่อหน้านี้ จะซื้อประกันชีวิต ควรคิดถึงอะไรก่อนบ้าง? 1. จำเป็นต้องซื้อประกันชีวิตมั้ย? ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันทุกแบบ เพราะประกันแต่ละแบบก็เหมาะสำหรับจุดประสงค์ที่ต่างกันไป เลือกแบบที่เหมาะสมเราที่สุดดีกว่า เริ่มจากการลองทบทวนตัวเองก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นสถานะการเงิน ภาระหน้าที่ที่ต้องดูแล สุขภาพโดยรวม คนที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่ลำบากเรื่องเงิน ยังไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ ประกันก็อาจจะยังไม่จำเป็น เพราะลำพังแค่เงินที่ตัวเองมีอยู่ก็พอใช้แล้วหากตัวเองต้องตายไป คนที่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวที่ไม่มีรายได้ หรือฐานะไม่ได้ร่ำรวย ประกันก็อาจจะสำคัญสำหรับเขาเพราะหากเขาตาย เงินคุ้มครองจากประกันก็จะช่วยให้ครอบครัวเขาดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตรงนี้ลองปรึกษากับตัวแทนประกันดูได้ว่าควรทำมากน้อยแค่ไหน 2. บริษัทประกัน น่าเชื่อถือมั้ย? เพราะต้องส่งเบี้ยประกันให้บริษัททุกๆ ปี ควรหาบริษัทที่มีประวัติดีและมั่นคง สามารถเป็นที่ไว้วางใจได้ เพื่อความสบายใจ 3. ตัวแทนประกัน ไว้ใจได้มั้ย? ก่อนจะซื้อประกันกับใคร สามารถเช็กได้นะว่าตัวแทนประกันมีใบอนุญาตมั้ย ถูกต้องตามกฎหมายรึเปล่า ยังไม่หมดอายุใช่มั้ย อันนี้เป็นด่านแรกที่ต้องผ่าน ดูโดยรวมว่าตัวแทนประกันมีความน่าเชื่อถือมั้ย เป็นใครมาจากไหน มีความชัดเจนในการอธิบายมั้ย สงสัยอะไรเขาก็ควรไขข้อสงสัยแบบไม่คลุมเครือ 4. วงเงินคุ้มครอง ตรงตามความต้องการมั้ย? หากรู้แล้วว่าต้องทำประกันแน่ๆ ก็ลองคิดคำนวณดูว่าถ้าตาย คนที่อยู่ข้างหลังเราต้องมีเงินเท่าไรถึงจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิต 5. เบี้ยประกัน เป็นมิตรกับงบมั้ย? การจะได้วงเงินคุ้มครอง ต้องจ่ายเบี้ยประกันทุกๆ ปีตามที่สัญญากำหนด อาจจะ 10 ปี 15 ปี แล้วแต่รูปแบบ ถ้ารู้ว่าฐานะการเงินไม่เอื้ออำนวยก็ควรพิจารณาตัวเลือกอื่นๆ ที่ไม่ลำบากตัวเองมากจนเกินไป ควรสำรวจรายรับรายจ่ายของตัวเอง ดูว่ามีหนี้สินอื่นๆ ที่ติดค้างชำระรึเปล่า ถ้ามีหนี้เยอะ การจ่ายประกันทุกๆ ปีก็อาจจะรบกวนสภาพคล่อง 6. ประกันแบบอื่นๆ ตรงใจกว่ามั้ย? ทบทวนประกันชีวิต 5 แบบ: ตลอดชีพ, ชั่วระยะเวลา, สะสมทรัพย์, บำนาญ และควบการลงทุน แต่ละแบบมีประโยชน์และเงื่อนไขต่างกันไป ขึ้นอยู่ว่าต้องการแบบไหน เช่น สมมติรู้ตัวว่าจะทำงานมีรายได้อีกแค่ 10 ปี ก็ควรเลือกประกันที่จ่ายเบี้ยไม่เกิน 10 ปี เพราะถ้าเกินกว่านั้นอาจจะรบกวนสถานะทางการเงินได้ หรือ ถ้าใครต้องการความคุ้มครองแค่ชั่วระยะเวลา เช่น 20 ปีพอ ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกประกันแบบตลอดชีพ จะได้ไม่ต้องจ่ายแพงเกินจำเป็น 7. อย่าลืมศึกษาเงื่อนไขสำคัญๆ ของกรมธรรม์ บางครั้งอาจจะมีคำถามว่า ทำไมบริษัทประกันไม่จ่ายค่าสินไหมล่ะ ก่อนตกลงใจทำประกันชีวิต ก็อย่าลืมว่า กรมธรรม์ประกันชีวิตส่วนใหญ่มีข้อยกเว้นความคุ้มครองซึ่งไม่แตกต่างกันมาก เช่น ผู้รับผลประโยชน์ฆ่าผู้เอาประกัน (เจ้าของกรมธรรม์) หรือ ผู้เอาประกันฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับจากวันทำสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้าย ซึ่งหากเกิดเหตุแบบนี้ บริษัทประกันก็จะไม่จ่ายสินไหมให้ แต่จะคืนเบี้ยที่ชำระมาทั้งหมดกลับไปเท่านั้น ยิ่งถ้าซื้อประกันสุขภาพพ่วงกับประกันชีวิต ก็จะมีข้อยกเว้นความคุ้มครองที่เกี่ยวกับระยะเวลาที่เกิดโรคหลังจากกรมธรรม์มีผลบังคับ หรือโรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน เป็นต้น อีกด้วย ทางที่ดีก็ถามตัวแทนประกันก่อนตัดสินใจทำประกัน หรือศึกษาให้ดีเมื่อได้รับกรมธรรม์ เพราะมีสิทธิ์ที่จะขอยกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เพิ่งทำได้ ภายใน 15 วันนับตั้งแต่เซ็นเอกสารรับมอบกรมธรรม์จากบริษัท โดยบริษัทจะคืนเบี้ยที่ชำระมาแล้วให้ พร้อมหักค่าใช้จ่าย 500 บาท และค่าตรวจสุขภาพตามจริง
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2408
Finance
เทคนิคการเลือกหุ้นแบบ FVMR Strategy เป็นหลักการในการเฟ้นหาหุ้น ออกแบบมาเพื่ออะไร
null
เทคนิคการเลือกหุ้นแบบ FVMR Strategy เป็นหลักการในการเฟ้นหาหุ้น ออกแบบมาเพื่อค้นหาหุ้นที่มีราคาน่าสนใจ และเป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจว่า “บริษัทไหนน่าลงทุน” “หลักสูตรวิเคราะห์หุ้นอย่างมืออาชีพ แบบใช้งานได้จริง by FINNOMENA x Andrew Stotz” เป็นการนำปัจจัยหลักที่มีความสำคัญกับการคัดเลือกหุ้นทั้ง 4 ด้าน มาประกอบกันเป็น Model การลงทุนที่เรียกว่า FVMR Strategy ใน class จะมีการสอนขุดหุ้นโดยใช้การหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น โดยใช้ 4 ปัจจัยหลักคือ Fundamental (พื้นฐาน), Value (มูลค่า), Momentum (โมเมนตัม), Risk (ความเสี่ยง) เปรียบเสมือน 4 มุมมอง ในการคัดเลือกหุ้นก่อนเข้าลงทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถนอนหลับแต่ละคืนได้อย่างสบายใจ ว่าหุ้นที่เลือกมานั้น ได้ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว Fundamental (พื้นฐาน) หลีกเลี่ยงการเสียโอกาสโดยใช้ “ความรู้” ในการคัดเลือกหุ้นที่กำลังรุ่งออกจากหุ้นที่กำลังร่วง เป็นสิ่งแรกที่เหล่านักวิเคราะห์หุ้นมืออาชีพจะลงมือทำ โดยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะให้ความสำคัญงบการเงินของบริษัท และเจาะประเด็นสำคัญที่ควรเข้าใจในงบการเงิน การวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้น ที่ไม่เพียงมองแค่ศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทในปัจจุบัน แต่วิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเติบโตของกำไร เพราะการซื้อหุ้น คือการซื้อ ‘อนาคต’ ดังนั้นจึงต้องวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตซึ่งขึ้นอยู่กับศักยภาพในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอและความสามารถของผู้บริหาร Valuation (มูลค่า) เมื่อสามารถเฟ้นหาหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตพร้อมศักยภาพการทำกำไรได้แล้ว ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อซื้อ ‘อนาคต’ เป็นสิ่งต่อมาที่ต้องคำนึง จึงเป็นที่มาของการประเมินมูลค่า ในหลักสูตรจะมีการสอนและสร้างแนวคิดในการหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น สิ่งที่แตกต่างจะหลักสูตรอื่นอย่างชัดเจนคือเน้นการนำไปใช้ได้จริง สามารถนำกลับไปใช้ต่อเพื่อประยุกต์ใช้กับหุ้นตัวอื่นๆ ได้ หลังจากจบ class แล้ว จะไม่ได้หุ้นเก็งกำไรกลับไป แต่จะได้เบ็ดตกปลาเพื่อไปหาหุ้นที่น่าสนใจได้ Momentum (โมเมนตัม) ถ้าหากคัดเลือกหุ้นที่พื้นฐานและมูลค่าดีแล้ว ต้องพิจารณาปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดการเติบโต ส่งผลกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยเร่งดังกล่าวถูกเรียกว่า โมเมนตัม โมเมนตัมถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักหุ้นถูกเรื้อรัง หรือ ‘Cheap Value Trap’ แต่ในทางกลับกันหุ้นที่ไม่มีโมเมนตัมเป็นระยะเวลานาน ในหลายครั้งก็กลับมาทำผลตอบแทนได้ดีเมื่อมีปัจจัยมากระทบ Risk (ความเสี่ยง) การควบคุมความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการคัดเลือกหุ้น หุ้นทุกตัวมีความเสี่ยง มองให้รู้ ดูให้ทะลุ คือการป้องกันความเสี่ยงที่แท้จริง หากหุ้นทุกตัวล้วนมีความเสี่ยง สิ่งที่สำคัญของการลงทุนคือ คิดให้ครบและหลบความเสี่ยง เรียนรู้ความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัว และประเมินได้ว่าความเสี่ยงในแต่ละข้อจะส่งผลต่อราคาหุ้นที่ถืออย่างไร
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2410
Finance
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้างเพื่อหลีกเลี่ยงหลุมพรางในการคาดการณ์รายได้ของบริษัท
null
จากบทความ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยหลัก ๆ ดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงหลุมพรางในการคาดการณ์รายได้ของบริษัท: 1. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท: การวิเคราะห์ทางการเงิน: ศึกษาอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น อัตราส่วนกำไรขั้นต้น อัตรากำไรสุทธิ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน เพื่อประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัท วิเคราะห์งบกระแสเงินสดเพื่อประเมินสภาพคล่องของบริษัท วิเคราะห์งบดุลเพื่อประเมินโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท การวิเคราะห์ธุรกิจ: ศึกษาโมเดลธุรกิจของบริษัท กลยุทธ์ และแผนการเติบโต วิเคราะห์โครงสร้างอุตสาหกรรมและคู่แข่ง ประเมินความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจ การวิเคราะห์การตลาด: ศึกษาขนาดตลาดและส่วนแบ่งตลาดของบริษัท วิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดและแบรนด์ของบริษัท ประเมินพฤติกรรมผู้บริโภคและแนวโน้มตลาด 2. การวิเคราะห์รายได้ในอดีต: วิเคราะห์อัตราการเติบโตของรายได้ในอดีตของบริษัท ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้ในอดีต เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การเข้าซื้อกิจการ ภาวะเศรษฐกิจ ประเมินความยั่งยืนของการเติบโตของรายได้ 3. การวิเคราะห์การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์: ศึกษาการคาดการณ์รายได้ของนักวิเคราะห์จากหลายสำนัก เปรียบเทียบการคาดการณ์กับผลลัพธ์ที่ผ่านมา ประเมินความน่าเชื่อถือของนักวิเคราะห์ 4. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก: ศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบริษัทจากแหล่งต่างๆ เช่น รายงานของบริษัท ข่าวสาร บทวิเคราะห์ พูดคุยกับผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม 5. การควบคุมอคติ: ระวังอคติในการคาดการณ์ เช่น การมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือการยึดติดกับข้อมูลในอดีต พิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบและมีเหตุผล ตั้งสมมติฐานและทดสอบสมมติฐาน 6. การติดตามผล: ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบผลลัพธ์จริงกับการคาดการณ์ ปรับการคาดการณ์เมื่อจำเป็น โดยสรุป การคาดการณ์รายได้ของบริษัทเป็นสิ่งที่สำคัญในการประเมินมูลค่าหุ้น แต่การคาดการณ์ที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาดได้ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ วิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด และควบคุมอคติ เพื่อหลีกเลี่ยงหลุมพรางในการคาดการณ์รายได้ นอกจากนี้ นักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการบริหารความเสี่ยง เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2411
Finance
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นแม้แต่ตัวเดียว และรู้สึกว่าไม่มีหุ้นที่น่าสนใจพอที่จะซื้อเพื่อถือระยะยาวแบบ VI เพราะเหตุใด
null
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นแม้แต่ตัวเดียว และรู้สึกว่าไม่มีหุ้นที่น่าสนใจพอที่จะซื้อเพื่อถือระยะยาวแบบ VI เพราะไม่มี Margin of Safety หรือส่วนต่างเพื่อความปลอดภัยเพียงพอ หุ้นที่ดีเป็นซุปเปอร์สต็อกก็มักจะมีราคาแพงค่า PE สูงตั้งแต่ 30 เท่าขึ้นไปซึ่งคิดว่าบางตัวราคาก็อาจจะยังพอยอมรับได้ว่าสมเหตุผล แต่ในสภาวะของเศรษฐกิจสังคมการเมืองของไทยมันก็อาจจะยังมีความเสี่ยง โอกาสขาดทุนในระยะยาวก็เป็นไปได้ไม่ต้องพูดถึงระยะสั้นที่อาจจะขาดทุนได้ง่าย ๆ ส่วนหุ้นราคาถูกนั้น แม้ว่าจะถูกจริงแต่ก็ยังไม่ถูกมากพอที่จะลงทุนได้อย่างสบายใจ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ก็ได้ลงทุนไปแล้วหลายตัวตั้งแต่ปี 2560 ดังนั้น จึงอยากจะเก็บเงินสด “ก้อนสุดท้าย” หรือบางคนเรียก “ก๊อกสุดท้าย” เอาไว้เผื่อตลาดหุ้นตกลงมาแรงเป็น “แพนิก” จะได้มีเงินสดมาซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมากได้ ที่พูดว่า “ไม่ได้ทำอะไรเลย” ทั้งปี 2561 นั้น ว่าที่จริงก็คงไม่ใช่และก็ไม่ถูกเลย ความเป็นจริงก็คือ ก็ยังคง “ทำอย่างเดิม” อย่างที่เคยทำมาทุกปีเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ยังอ่านหนังสือจำนวนมากทั้งทางด้านของการลงทุน จิตวิทยาของมนุษย์ที่อิงกับยีน ประวัติศาสตร์ เรื่องของสุขภาพและอื่น ๆ อีกมาก ติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับตัวหุ้นและราคาหุ้น พฤติกรรมของการลงทุนของนักลงทุนในตลาดรวมถึงพฤติกรรมของคนทั่วไป ซึ่งแน่นอนรวมไปถึงข่าวคราวของดาราภาพยนตร์และเซเล็บทั้งหลายเพื่อที่จะเรียนรู้โลกและสังคมโดยรวม ทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่จะสามารถตัดสินใจเลือกหุ้นและการลงทุนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สิ่งเดียวที่ไม่ได้ทำในปี 2561 ก็คือ ไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้น ไม่ได้ลืมทำ เพียงแต่เลือกที่จะไม่ทำหรือไม่เห็นว่าควรทำหรือต้องทำ นั่งรอไปเรื่อย ๆ แต่มองและคิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าสมมุติว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา เขาคงจะรู้สึกว่าแปลก วัน ๆ นั่งอ่านแต่หนังสือหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วบอกว่าทำงานหนักและก็ดูเหมือนว่าจะทำเงินได้มากเกือบทุกปี
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2412
Finance
จงสรุป "รวมเรื่องราวจากวิกฤตโลก และ การเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อป้องกันวิกฤตในอนาคต" ให้หน่อยคะ
สัปดาห์ก่อนๆ ผมได้มีโอกาสทำหน้าที่วิทยากรแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มและวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ดูเหมือนเกือบเป็น Consensus ได้แก่ วิกฤตรอบใหม่อาจจะกำลังใกล้มาเยือนเราในอีกไม่ช้า โดยน่าจะมาในรูปแบบของหนี้หรือระบบการเงิน เพื่อเป็นการเตือนตัวเองให้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ผมขอเล่าถึง TOP 5 วิกฤตใหญ่ๆ ของโลกในอดีตที่ผ่านมา ไล่ตามเวลา ดังนี้ 1.วิกฤติ 1930 Depression ถือเป็นกรณีศึกษาวิกฤตเศรษฐกิจแบบคลาสสิค โดยในปี 1929 ตลาดหุ้นสหรัฐเกิดฟองสบู่เป็นขาขึ้นแบบคาดไม่ถึง ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดในช่วงนั้น จึงตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่เผอิญขึ้นในปริมาณที่มากเกินไป จึงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ระบบธนาคารดันมาเกิดวิกฤต แถมประเทศต่างๆ เริ่มทยอยออกมาในแนวปกป้องทางการค้าเข้าไปอีก ทว่าด้วยศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคในช่วงต้นทศวรรษ 1930 ยังไม่แน่น (จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ยังไม่ได้เกิดในวงการเศรษฐศาสตร์เสียด้วยซ้ำ) เฟดกลับขึ้นดอกเบี้ยซ้ำวิกฤตที่กำลังคุกรุ่นอยู่เข้าไปอีก เศรษฐกิจก็เลยยิ่งถดถอยไปกันใหญ่ วิกฤต Great Depression 1930 จึงลากยาวข้ามทศวรรษมาจบแบบรอดตายในช่วงกลางทศวรรษ ส่วนหนึ่งจากความมั่นใจในนโยบายของประธานาธิบดีท่านใหม่ นามว่า แฟรงก์กิน ดี รูสเวลท์ ที่เรียกกันติดปากว่า New Deal ซึ่งถือเป็นความโชคดีของสหรัฐที่ยังสามารถรอดได้แบบเฉียดฉิวและมีโชคนิดๆ ส่วนบทเรียนความเชื่อที่ผิดๆในช่วงนั้น หรือ คิดว่า This time is different ในตอนนั้น ได้แก่ จะไม่เกิดสงครามโลกอีกครั้ง เสถียรภาพทางการเมืองและการเติบโตเศรษฐกิจโลกอย่างเข้มแข็งจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหนี้ในประเทศกำลังพัฒนายังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่น่าเกิดวิกฤต 2.วิกฤตหนี้ ยุค 1980s ในยุค 1970 ต่อ 1980 ไม่มีอุตสาหกรรมใดที่รุ่งเรืองเท่ากับอุตสาหกรรมน้ำมัน เนื่องจากราคาโภคภัณฑ์อยู่ในโซนสูง โดยกลุ่มประเทศที่มีอิทธิพลสูงสุด ได้แก่ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก โดยรายได้จากการขายน้ำมันดิบของโอเปกในรูปของดอลลาร์ หรือ PetroDollar ภายใต้บรรยากาศอัตราดอกเบี้ยต่ำ ถูกนำไปลงทุนในโปรเจคต์โครงสร้างพื้นฐานที่มีผลตอบแทนสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านสถาบันการเงินละตินอเมริกาที่ให้ผลตอบแทนล่อใจไว้สูงมาก โดย Mindset ของคนในตอนนั้นคือแบงก์มีความเสี่ยงที่ต่ำ เนื่องจากจะได้รับการ Bail out จากรัฐบาลหากจะล้มละลาย รวมถึงแบงก์เองก็มีแรงจูงใจในการตรวจสอบข้อมูลเพราะเป็นสินทรัพย์ของตนเอง อย่างไรก็ดี เมื่อแบงก์ในละตินอเมริกาเริ่มปล่อยกู้ให้กับโปรเจคต์ที่เป็นฟองสบู่ ความเลวร้ายของเงินลงทุนในรูป PetroDollar ก็เริ่มมาเยือน มีการเบี้ยวหนี้กับกลุ่มประเทศส่งออกน้ำมัน มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น วิกฤตหนี้ ยุค 1980s ส่วนบทเรียนความเชื่อที่ผิดๆในช่วงนั้น คือ เมื่อราคาโภคภัณฑ์อยู่ในโซนสูง อัตราดอกเบี้ยต่ำ เงินจากการขายน้ำมันดิบถูกหมุนเวียนกลับมาสร้าง โปรเจคต์โครงสร้างพื้นฐานที่มีผลตอบแทนสูง และการปล่อยกู้ผ่านสินเชื่อธนาคารถือว่าปลอดภัยเนื่องจากมีแรงจูงใจในการตรวจสอบข้อมูล จึงไม่น่าเกิดวิกฤต 3.วิกฤติหนี้ ยุค 1990s ในเอเชีย ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 1997 โดยสาเหตุหลักคือการที่ไม่สามารถหลุดจากกับดัก Impossible Trinity หรือ การไม่สามารถมี 1) กระแสเงินทุนไหลเข้าออกอย่างเสรี 2) นโยบายการเงินที่อิสระ และ 3) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราคงที่ พร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งจอร็จ โซรอส และเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ในการโจมตีค่าเงินบาทเนื่องจากทราบว่าแบงก์ชาติมีสำรองเงินตราระหว่างประเทศอยู่จำกัด จนเราต้องเปิดเสรีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นฟองสบู่ของบรรดาสถาบันที่กู้เงินนอกมาในดอกเบี้ยที่ต่ำ จนสถาบันการเงินหลายแห่งต้องปิดกันระนาว ส่วนบทเรียนความเชื่อที่ผิดๆ ในช่วงนั้น: ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเสถียรภาพด้านการคลัง อัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพ และอัตราการออมและการเติบโตที่สูง จึงไม่น่าเกิดวิกฤต รวมถึงไม่เคยประสบกับวิกฤตการเงินใหญ่มาก่อน 4.วิกฤติหนี้ ยุค 1990s and 2000s ในละตินอเมริกา วิกฤตนี้ มีความคล้ายกับวิกฤตหนี้ ยุค 1980s ทว่าเปลี่ยนมาเป็นวิกฤตในหุ้นกู้ในละตินอเมริกาแทน โดยบทเรียนความเชื่อที่ผิดๆในช่วงนั้น: หนี้โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปของหุ้นกู้ไม่ใช่ในรูปของสินเชื่อของธนาคาร ด้วยเหตุที่จำนวนผู้ถือหุ้นกู้มีมากกว่าจำนวนของแบงก์ที่ปล่อยกู้ จึงทำให้การเจรจาต่อรองทำได้ยากกว่า รัฐบาลที่เป็นลูกหนี้จึงมีแนวโน้มจะไม่เบี้ยวหนี้ จึงไม่น่าเกิดวิกฤต 5.ช่วงปี 2000 จนกระทั่ง US Subprime 2008 เบน เบอร์นันเก้ อดีตประธานเฟด ยังเคยเข้าใจผิดในเดือนมีนาคม 2007 คิดว่าจะไม่มีวิกฤตในช่วงนั้น โดยวิกฤตครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ตราสารทางการเงินที่สินเชื่อซึ่งเป็นไส้ในได้รับการจัดอันดับเครดิตเป็น AAA แม้จะไม่มีพื้นฐานที่ดีอยู่จริง ผู้ถือครองตราสารนี้ที่เป็นสถาบันการเงินและบุคคลทั่วไปจึงถูกเบี้ยวหนี้และเกิดวิกฤตสภาพคล่องในแบงก์ใหญ่ต่างๆ ในสหรัฐอย่างหนักในเดือนกันยายน 2008 จนเป็น Global Financial Crisis ส่วนบทเรียนความเชื่อที่ผิดๆ ในช่วงนั้น: ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วจากผลของโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยีก้าวล้ำ ระบบการเงินที่เหนือกว่าทุกยุค นโยบายการเงินที่ทันสมัย และปรากฏการณ์ Securitized Debt ที่ทุกฝ่ายจะ Win จึงไม่น่าเกิดวิกฤตอีก ที่มาบทความ:
แนวโน้มและวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยอาจจะเผชิญหน้าในอนาคต. มีความเหมือนกันในมุมมองหลายประการและบ่งชี้ถึงการเกิดวิกฤตในอดีตที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ได้นำเสนอ TOP 5 วิกฤตใหญ่ๆ ในอดีต ดังนี้คะ 1. วิกฤต Depression ปี 1930: เกิดจากฟองสบู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯและนโยบายการเงินที่ผิดพลาด แต่มีการดำเนินนโยบาย New Deal ที่ช่วยให้สหรัฐฯรอดตายจากวิกฤต. 2. วิกฤตหนี้ยุค 1980: มีต้นตอจากการส่งออกน้ำมันและราคาโภคภัณฑ์สูง ทำให้เกิดการกู้ในโครงสร้างพื้นฐาน แต่เมื่อเงินทุนเริ่มหลุดจากหุ้นกู้ ทำให้เกิดวิกฤต. 3. วิกฤตหนี้ยุค 1990: เกิดในเอเชีย ต้มยำกุ้งปี 1997 ที่ไม่สามารถหลุดจากกับดัก Impossible Trinity ทำให้เปิดเสรีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และมีการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นฟองสบู่. 4. วิกฤตหนี้ยุค 1990s and 2000s: เกิดในละตินอเมริกา มีความคล้ายกับวิกฤตหนี้ยุค 1980s แต่เปลี่ยนมาเป็นวิกฤตในหุ้นกู้ ทำให้การต่อรองทำได้ยาก. 5. วิกฤต Subprime 2008: เกิดจากตราสารทางการเงินที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเป็น AAA ทำให้ผู้ถือตราสารเข้ามีความเชื่อผิด และเกิดวิกฤตสภาพคล่องในแบงก์ใหญ่ต่างๆ ทั่วโลก. ผู้เขียนมีการวิเคราะห์ว่าบทเรียนความเชื่อที่ผิดๆในทุกวิกฤตนั้น เช่น ความเชื่อว่า "This time is different" หรือความเชื่อที่ไม่เป็นระบบเกี่ยวกับการเงิน น่าจะทำให้เกิดวิกฤตต่อไปได้.
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2414
Finance
การซื้อหุ้นคืน คือ อะไร?
การซื้อหุ้นคืน Treasury-Stock เป็นมาตรการหนึ่งในการเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นทั้ง บริษัทมหาชน และบริษัทจำกัด นิยมทำกัน มาดูกันครับว่าการซื้อหุ้นคืนจะส่งผลอะไรกับบริษัทและผู้ถือหุ้น และราคาหุ้นควรจะมีทิศทางเป็นอย่างไร ซื้อหุ้นคืนคืออะไร การซื้อหุ้นคืนง่ายๆ ก็คือการที่บริษัทนำเงินสดของกิจการไปซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้น ผลในทางบัญชีคือ ฝั่งสินทรัพย์จะมีเงินสดลดลงจากการนำเงินไปซื้อหุ้นและฝั่งส่วนของทุนจะลดลงจากรายการหุ้นทุนซื้อคืน Treasury-Stock ส่วนใหญ่บริษัทก็จะมาซื้อคืนกันในตลาดครับ แล้วรายงานในหน้าข่าวของตลาดหลักทรัพย์ทุกวัน ผู้ถือหุ้นคนไหนไม่อยากถือหุ้นแล้วก็ตังขายหุ้นให้บริษัทรับซื้อคืนได้เงินสดไป ข้อดีข้อเสียจากการซื้อหุ้นคืน การซื้อหุ้นคืนมีข้อดีข้อเสียหลายอย่างครับ นักลงทุนก็ต้องเปรียบเทียบกันแต่ละเคสเอาว่าระยะยาวจะเป็นอย่างไร ข้อดีการซื้อหุ้นคืน -จำนวนหุ้นในช่วงที่มีการซื้อหุ้นคืนจะลดลง กำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น -เมื่อกำไรต่อหุ้นมากขึ้นผู้ถือหุ้นก็ได้รับปันผลเพิ่มขึ้น -ส่วนทุนลดลงทำให้ ROE เพิ่มขึ้น -กำไรเพิ่มราคาหุ้นควรจะเพิ่ม -ผู้บริหารส่งสัญญาณว่าหุ้นบริษัทตัวเองถูกเกินไป ข้อเสียของการซื้อหุ้นคืน -เสียโอกาสการนำเงินไปลงทุนโครงการอื่น มองแง่ร้ายสุดคือ บริษัทไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนโครงการอะไรที่ทำให้ผลตอบแทนดีๆ เลยเอาเงินคืนให้ผู้ถือหุ้นนำเงินไปลงทุนเองในโครงการอื่น -อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มสูงขึ้น ความเสี่ยงเรื่องหนี้สินเพิ่ม ผลกระทบราคาหุ้นและข้อควรระวัง ระยะสั้นตลาดมักจะคาดหวังว่าในช่วงที่มีการซื้อหุ้นคืนราคาหุ้นควรจะเป็นขาขึ้นเนื่องจากมีเจ้ามือรายใหญ่คือบริษัทเอง นำเงินมาไล่ราคาหุ้น เมื่อบริษัทใช้เงินซื้อหุ้นคืนตามงบประมาณที่ตั้งไว้แล้ว ตอนนี้ราคาหุ้นจะขึ้นกับผลประกอบการ อันนี้ต้องดูดีๆ บางทีอาจจะมีกำไรลดลงซุกอยู่ก็ได้ สมมติซื้อหุ้นคืน 10% ของทุน กำไรต่อหุ้นจะเพิ่ม 10% แบบอัตโนมัติ ถ้างบออกมากำไรโตไม่ถึง 10% แสดงว่าจริงๆ แล้วบริษัทกำไรต่อหุ้นลดลง ต้องระวังให้ดีๆ อีกข้อที่ต้องระวังคือ ราคาที่บริษัทซื้ออาจสูงกว่ามูลค่าที่ควรเป็นก็ได้ อาจเกิดจากการเติบโตที่ค่อยๆ ลดลง หรือความเสี่ยงจากหนี้สิน ฯลฯ ถ้าบริษัทไปซื้อหุ้นที่ราคาแพงๆ เกินไป จะเป็นการทำลายมูลค่ากิจการมากกว่าเดิม หลังจากซื้อหุ้นคืนแล้ว ตามข้อกำหนดจะต้องมีการขายคืนในระยะไม่เกิน 3 ปี จากนั้นบริษัทมีทางเลือกสองทางคือ การขายคืนให้ตลาด หรือไม่ก็ลดทุนจดทะเบียนทิ้งไปเลย
การซื้อหุ้นคืนคือการที่บริษัทนำเงินสดของกิจการไปซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้น ผลในทางบัญชีคือ ฝั่งสินทรัพย์จะมีเงินสดลดลงจากการนำเงินไปซื้อหุ้นและฝั่งส่วนของทุนจะลดลงจากรายการหุ้นทุนซื้อคืน Treasury-Stock ส่วนใหญ่บริษัทก็จะมาซื้อคืนกันในตลาดแล้วรายงานในหน้าข่าวของตลาดหลักทรัพย์ทุกวัน ผู้ถือหุ้นคนไหนไม่อยากถือหุ้นแล้วก็ตั้งขายหุ้นให้บริษัทรับซื้อคืนได้เงินสดไป ข้อดีข้อเสียจากการซื้อหุ้นคืน การซื้อหุ้นคืนมีข้อดีข้อเสียหลายอย่าง นักลงทุนต้องเปรียบเทียบกันแต่ละเคสเอาว่าระยะยาวจะเป็นอย่างไร ข้อดีการซื้อหุ้นคืน - จำนวนหุ้นในช่วงที่มีการซื้อหุ้นคืนจะลดลง กำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น - เมื่อกำไรต่อหุ้นมากขึ้นผู้ถือหุ้นก็ได้รับปันผลเพิ่มขึ้น - ส่วนทุนลดลงทำให้ ROE เพิ่มขึ้น - กำไรเพิ่มราคาหุ้นควรจะเพิ่ม - ผู้บริหารส่งสัญญาณว่าหุ้นบริษัทตัวเองถูกเกินไป ข้อเสียของการซื้อหุ้นคืน - เสียโอกาสการนำเงินไปลงทุนโครงการอื่น มองแง่ร้ายสุดคือ บริษัทไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนโครงการอะไรที่ทำให้ผลตอบแทนดีๆ เลยเอาเงินคืนให้ผู้ถือหุ้นนำเงินไปลงทุนเองในโครงการอื่น -อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มสูงขึ้น ความเสี่ยงเรื่องหนี้สินเพิ่ม ผลกระทบราคาหุ้นและข้อควรระวัง ระยะสั้นตลาดมักจะคาดหวังว่าในช่วงที่มีการซื้อหุ้นคืนราคาหุ้นควรจะเป็นขาขึ้นเนื่องจากมีเจ้ามือรายใหญ่คือบริษัทเอง นำเงินมาไล่ราคาหุ้น เมื่อบริษัทใช้เงินซื้อหุ้นคืนตามงบประมาณที่ตั้งไว้แล้ว ตอนนี้ราคาหุ้นจะขึ้นกับผลประกอบการ ซึ่งต้องดูให้ดี เพราะบางครั้งอาจจะมีกำไรลดลง สมมติซื้อหุ้นคืน 10% ของทุน กำไรต่อหุ้นจะเพิ่ม 10% แบบอัตโนมัติ ถ้างบออกมากำไรโตไม่ถึง 10% แสดงว่าจริงๆ แล้วบริษัทกำไรต่อหุ้นลดลง ซึ่งต้องระวังให้ดี อีกข้อที่ต้องระวังคือ ราคาที่บริษัทซื้ออาจสูงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น อาจเกิดจากการเติบโตที่ค่อยๆ ลดลง หรือความเสี่ยงจากหนี้สิน ฯลฯ ถ้าบริษัทไปซื้อหุ้นที่ราคาแพงๆ เกินไป จะเป็นการทำลายมูลค่ากิจการมากกว่าเดิม หลังจากซื้อหุ้นคืนแล้ว ตามข้อกำหนดจะต้องมีการขายคืนในระยะไม่เกิน 3 ปี จากนั้นบริษัทจะมีทางเลือกสองทางคือ การขายคืนให้ตลาด หรือไม่ก็ต้องลดทุนจดทะเบียนลง
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2416
Finance
Return on Invested Capital (ROIC) คือ อะไร?
Return on Invested Capital (ROIC) หรืออัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเพื่อการดำเนินงานของบริษัท เป็นอัตราส่วนที่วิเคราะห์ฝีมือของบริษัทได้ค่อนข้างดี มาดูกันว่าจะคำนวณและวิเคราะห์กันอย่างไรครับ การคำนวณ Return on Invested Capital (ROIC) วิธีการคำนวณ Return on Invested Capital (ROIC) ได้มาจากจาก กำไรหลังหักภาษี หารด้วย มูลค่าเงินลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวที่ใช้ดำเนินงาน เป็นอัตราส่วนที่บอกว่า เงินที่ลงทุนไปได้รับผลตอบแทนกลับมาเท่าไร อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุน = กำไรก่อนหักดอกเบี้ย / (ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย + หนี้สินระยะยาวเฉลี่ย) เงินลงทุนจะคำนวณจาก ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย และหนี้สินระยะยาวเฉลี่ย เนื่องจากอยากรู้ว่าบริษัทจัดหาเงินมาจากแหล่งไหนอย่างไรซึ่งเงินลงทุนแต่ละแหล่งจะมีต้นทุนเงินทุนที่ไม่เท่ากัน ต้นทุนเงินทุนของหนี้สิน คืออัตราดอกเบี้ย ต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น สรุปคือตัวส่วนคือเงินทุนที่เราลงไปนั่นเอง ตัวตั้งคือผลตอบแทนที่บริษัทสร้างมาได้ ในที่นี้ใช้กำไรก่อนดอกเบี้ย (หักภาษีแล้ว) มีหลายชื่อบางคนก็เรียน NOAT net operating profit afer tax ก็มี เหตุผลที่ใช้กำไรก่อนหักดอกเบี้ยเนื่องจากดอกเบี้ยเป็นต้นทุนของเจ้าหนี้ เราอยากรู้ว่าผลตอบแทนที่บริษัทสร้างได้คุ้มกับต้นทุนเงินทุนหรือไม่ ตัวเศษเลยคิดจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ปัญหาต่อมาคือเรื่องภาษี บางคนบอกไม่ควรนำมาคิด คือตัวเศษใช้ EBIT ก็พอ เพราะดอกเบี้ยมีผลกระทบกับภาษี เนื่องจากโครงสร้างเงินทุนที่ต่างกันทำให้ดอกเบี้ยจ่ายต่างกัน บริษัทที่หนี้เยอะดอกเบี้ยเยอะทำให้จ่ายภาษีน้อย บริษัทที่หนี้น้อยก็ดอกน้อยจ่ายภาษีเยอะ ส่วนตัวชอบตัดปัญหาใช้ EBIT ไปเลย เพราะตอนเอาไปวิเคราะห์จะเอาไปเทียบกับ waccc ซึ่งการคำนวณได้หักผลกระทบของภาษีไปแล้ว สรุปว่าใช้อะไรก็ได้แหละข้อให้มีตรรกะที่รองรับและตัวเศษกับส่วนไปด้วยกัน เช่นตัวหารเป็นทุนรวม กำไรควรใช้กำไรก่อนหักส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเพื่อให้เห็นภาพรวมของทั้งกิจการ แต่ถ้าส่วนทุนเราไม่เอาส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยก็จะเริ่มยากในการแยกดอกเบี้ย เพราะดอกเบี้ยในงบกำไรขาดทุนเป็นดอกเบี้ยรวมไม่ได้แยกว่ามาจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยหรือเปล่า การวิเคราะห์ Return on Invested Capital (ROIC) เราจะดูอยู่สองอย่างคือ ทิศทางและความผันผวน หุ้นที่ Return on Invested Capital (ROIC) ลดลงเรื่อยๆ แสดงว่าบริษัทไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้มาสู่ผู้ถือหุ้นได้ อาจมาจากมีการเพิ่มทุนหรือกู้ยืมมาเยอะ ไม่ก็ลงทุนแล้วไม่คุ้มตามแผนงานที่วางเอาไว้ เช่นลงทุนหนักเกิน ไม่ก็คุมรายได้ไม่ดี หรือตลาดไม่ดีอย่างที่หวังไว้ตอนแรก ROIC เท่าไรจึงดี เราก็ต้องนำไปเที่ยบกับต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก WACC ถ้าบริษัทสามารถทำ ROIC ได้มากกว่าต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ยก็ถือว่าดี ระยะยาวจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ EVA ให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนความผันผวนของ ROIC หุ้นที่ ROIC ผันผวนมากๆ แสดงว่ามีการบริหารจัดการที่ไม่ได้ วางแผนไม่ดี ปัจจัยภายนอกไม่ดี ทำให้กำไรเดี๋ยวขึ้นเดียวลง ผลตอบแทนก็ผันผวน ขี้เกียจคำนวณ ROIC ดู ROA ROE แทนได้ไหม จริงๆ ได้นะครับเพราะเคยลองเอามาเทียบกันแล้วค่าที่คำนวณได้และทิศทางก็ไม่แตกต่างกับ ROA ROE มาก มีความสัมพันธ์กันทางสถิติ ใช้แทนภาพการวิเคราะห์ก็ไม่แตกต่าง สรุปคือ ROIC เป็นการวัดผลตอบแทนที่ให้ภาพของผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่ชัดเจนว่าโดยเฉลี่ยแล้วให้ผลตอบแทนกลับมาเท่าไรกับทุน เราก็เอาไปเทียบกับ WACC ที่เราคำนวณได้เท่านั้นเอง
Return on Invested Capital (ROIC) คืออัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเพื่อการดำเนินงานของบริษัท เป็นอัตราส่วนที่วิเคราะห์ฝีมือของบริษัทได้ค่อนข้างดี การคำนวณ Return on Invested Capital (ROIC) วิธีการคำนวณ Return on Invested Capital (ROIC) ได้มาจากจาก กำไรหลังหักภาษี หารด้วย มูลค่าเงินลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวที่ใช้ดำเนินงาน เป็นอัตราส่วนที่บอกว่า เงินที่ลงทุนไปได้รับผลตอบแทนกลับมาเท่าไร เงินลงทุนจะคำนวณจาก ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย และหนี้สินระยะยาวเฉลี่ย เนื่องจากอยากรู้ว่าบริษัทจัดหาเงินมาจากแหล่งไหนอย่างไรซึ่งเงินลงทุนแต่ละแหล่งจะมีต้นทุนเงินทุนที่ไม่เท่ากัน ต้นทุนเงินทุนของหนี้สิน คืออัตราดอกเบี้ย ต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น สรุปคือตัวส่วนคือเงินทุนที่เราลงไปนั่นเอง ตัวตั้งคือผลตอบแทนที่บริษัทสร้างมาได้ ในที่นี้ใช้กำไรก่อนดอกเบี้ย (หักภาษีแล้ว) มีหลายชื่อบางคนก็เรียน NOAT net operating profit afer tax ก็มี เหตุผลที่ใช้กำไรก่อนหักดอกเบี้ยเนื่องจากดอกเบี้ยเป็นต้นทุนของเจ้าหนี้ เราอยากรู้ว่าผลตอบแทนที่บริษัทสร้างได้คุ้มกับต้นทุนเงินทุนหรือไม่ ตัวเศษเลยคิดจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ปัญหาต่อมาคือเรื่องภาษี บางคนบอกไม่ควรนำมาคิด คือตัวเศษใช้ EBIT ก็พอ เพราะดอกเบี้ยมีผลกระทบกับภาษี เนื่องจากโครงสร้างเงินทุนที่ต่างกันทำให้ดอกเบี้ยจ่ายต่างกัน บริษัทที่หนี้เยอะดอกเบี้ยเยอะทำให้จ่ายภาษีน้อย บริษัทที่หนี้น้อยก็ดอกน้อยจ่ายภาษีเยอะ ซึ่งอาจตัดการใช้ EBIT ไปเลยก็ได้ เพราะตอนเอาไปวิเคราะห์จะเอาไปเทียบกับ waccc ซึ่งการคำนวณได้หักผลกระทบของภาษีไปแล้ว สรุปว่าใช้อะไรก็ได้แหละข้อให้มีตรรกะที่รองรับและตัวเศษกับส่วนไปด้วยกัน เช่นตัวหารเป็นทุนรวม กำไรควรใช้กำไรก่อนหักส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเพื่อให้เห็นภาพรวมของทั้งกิจการ แต่ถ้าส่วนทุน ไม่ได้เอาส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยก็จะเริ่มยากในการแยกดอกเบี้ย เพราะดอกเบี้ยในงบกำไรขาดทุนเป็นดอกเบี้ยรวมไม่ได้แยกว่ามาจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยหรือไม่ การวิเคราะห์ Return on Invested Capital (ROIC)จะดูอยู่สองอย่างคือ ทิศทางและความผันผวน หุ้นที่ Return on Invested Capital (ROIC) ลดลงเรื่อยๆ แสดงว่าบริษัทไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้มาสู่ผู้ถือหุ้นได้ อาจมาจากมีการเพิ่มทุนหรือกู้ยืมมาเยอะ ไม่ก็ลงทุนแล้วไม่คุ้มตามแผนงานที่วางเอาไว้ เช่นลงทุนหนักเกิน ไม่ก็คุมรายได้ไม่ดี หรือตลาดไม่ดีอย่างที่หวังไว้ตอนแรก ROIC เท่าไรจึงดี ก่อนอื่นต้องนำไปเที่ยบกับต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก WACC ถ้าบริษัทสามารถทำ ROIC ได้มากกว่าต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ยก็ถือว่าดี ระยะยาวจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ EVA ให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนความผันผวนของ ROIC หุ้นที่ ROIC ผันผวนมากๆ แสดงว่ามีการบริหารจัดการที่ไม่ได้ วางแผนไม่ดี ปัจจัยภายนอกไม่ดี ทำให้กำไรเดี๋ยวขึ้นเดียวลง ผลตอบแทนก็ผันผวน สรุปคือ ROIC เป็นการวัดผลตอบแทนที่ให้ภาพของผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่ชัดเจนว่าโดยเฉลี่ยแล้วให้ผลตอบแทนกลับมาเท่าไรกับทุน แล้วก็เอาไปเทียบกับ WACC ที่คำนวณได้เท่านั้นเอง
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2417
Finance
"10 หลักการลงทุนในปีหมูทอง" โดย Stock Vitamins มีวิธีการนำหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนในกองทุนรวมอย่างไร?
null
"10 หลักการลงทุนในปีหมูทอง" โดย Stock Vitamins มีวิธีการนำหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนในกองทุนรวม ดังนี้: 1. ครอบครัวสำคัญกว่าทุกสิ่ง: แบ่งเงินลงทุนบางส่วนเพื่อเป็นเงินสำรองไว้สำหรับครอบครัว เลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน ศึกษาข้อมูลกองทุนรวมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน 2. “ผลลัพธ์” จะดีได้ย่อมเกิดจาก “เหตุ” ที่ดี: เลือกกองทุนรวมที่มีผลการดำเนินงานดีในอดีต วิเคราะห์นโยบายการลงทุนของกองทุนรวม พิจารณาผลงานของผู้จัดการกองทุน 3. อย่าโลภเกินความรู้: เลือกกองทุนรวมที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับความรู้และประสบการณ์ กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่างๆ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน 4. อดทนรอให้เป็น เพื่อรอโอกาสที่เป็นใจ: ลงทุนในกองทุนรวมระยะยาว อดทนรอคอยจังหวะตลาดขาลงเพื่อซื้อหน่วยลงทุน ไม่ควรรีบร้อนขายหน่วยลงทุนเมื่อตลาดผันผวน 5. วางแผนให้รอบคอบในวันที่มีสติ เพื่อรับมือกับวันที่ขาดสติ: กำหนดเป้าหมายการลงทุน วางแผนการลงทุนระยะยาว ตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมอย่างสม่ำเสมอ 6. อย่ามี Ego อย่า Over Confidence จงทำตัวให้เล็กอยู่เสมอ: เรียนรู้เกี่ยวกับกองทุนรวมอยู่เสมอ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ไม่ประมาทในการลงทุน 7. ขยัน อดทน มีวินัย: ศึกษาข้อมูลกองทุนรวมอย่างละเอียด ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อดทนรอคอยผลตอบแทน 8. อยู่กับความจริง ไม่ใช่ความหวัง: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดทุน ประเมินความเสี่ยงของกองทุนรวม ไม่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงเกินจริง 9. ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น: กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่างๆ เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาด ไม่ลงทุนด้วยเงินเย็น 10. ทำทันที ไม่มีคำว่า เดี๋ยว: เริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวม dès maintenant ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เรียนรู้และพัฒนาทักษะการลงทุนอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติม ดังนี้: เลือกบริษัทจัดการกองทุนรวมที่มีชื่อเสียง เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุนรวม ลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อความสะดวก การลงทุนในกองทุนรวมมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2418
Finance
จงสรุปบทความ กลยุทธ์การเล่นหุ้นปรับพอร์ต และแก้ไขสถานการณ์ในภาวะตลาดหุ้นถูกเท
ในช่วงปลายปี 2561 ต้องบอกว่ามันเป็น “ฝันร้าย” ของนักลงทุนหุ้น ไม่ว่าจะลงทุนระยะสั้น หรือลงทุนระยะยาว ต่างก็หวาดวิตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตลาดหุ้นถูกเทอย่างหนัก สาเหตุก็ต่างหามาอธิบายกันหลายกรณี ได้แก่ สหรัฐขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินไหลออก สงครามการค้าที่คุกกรุ่น ความวิตกกังวลว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่มีปัญหาค่าเงินอ่อนค่าอย่างรุนแรง หรือแม้แต่ความกังวลเรื่องการใช้หุ่นยนต์ AI เข้ามาเทรดหุ้นแข่งกับมนุษย์ เป็นต้น สิ่งที่น่าหวาดกลัวเหล่านี้ ล้วนสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนอย่างไม่ต้องสงสัย และที่สำคัญ “พอร์ตการลงทุน” ของพวกเราก็มักจะติดลบตัวแดงกันเป็นทิวแถว … การเล่นหุ้นปรับพอร์ต แก้ไขอะไรบางอย่างในภาวะแบบนี้ควรจะทำอย่างไรบ้าง … ให้นายแว่นลงทุนเล่าให้ฟังนะครับ กลยุทธ์แรก “คัดหุ้นคุณภาพต่ำออกไปจากพอร์ต” ในตอนที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ทุกอย่างดูดีไปหมด ทำให้เราอาจเผลอซื้อหุ้นคุณภาพต่ำเข้ามาในพอร์ตการลงทุนของเรา และพอเกิดภาวะวิกฤต แน่นอนว่าหุ้นคุณภาพต่ำมักจะทนต่อสภาวะแบบนี้ไม่ได้ ทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก สิ่งที่นักลงทุนควรทำก็คือ รีบตัดเนื้อร้ายทิ้งไปซะ ! หุ้นคุณภาพต่ำควรถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะตัดออกไปจากพอร์ตของเราเสีย โดยปกติแล้วหากเรามีการกระจายการลงทุนในหุ้นมากพอ ภาวะนี้เป็นโอกาสที่เราจะลดการกระจายและโฟกัสมากขึ้นกับหุ้นคุณภาพดีเท่านั้น กลยุทธ์ที่สอง “เปลี่ยนไปซื้อหุ้นปันผลแทนหุ้นเติบโต” กลยุทธ์นี้ที่จริงนักลงทุนระดับปรมาจารย์ อย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรกร ก็นำมาใช้ลงทุนในภาวะแบบนี้ โดยอาจารย์จะเลือกลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดี แทนการลงทุนในหุ้นเติบโต การลงทุนหุ้นเติบโตในภาวะวิกฤต ที่เราต้องประเมินการเติบโตใหม่ อาจไม่ใช่คำตอบ แต่การลงทุนในหุ้นปันผลที่เราเห็น “เงินปันผล” แน่ ๆ นอน ๆ น่าจะดีกว่า เช่น เราลงทุนในหุ้นปันผลซึ่งในภาวะวิกฤตเราอาจเห็นระดับปันผลมากถึง 10% ต่อปี แค่ทิ้งเอาไว้สิบปีเราก็จะได้เงินต้นคืนเต็มร้อยแล้ว แต่ควรลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดีเท่านั้นนะครับ กลยุทธ์ที่สาม “ต้องประเมินมูลค่าหุ้นในพอร์ตของเราใหม่หมด” ในภาวะวิกฤต ตลาดจะปรับพีอีหุ้นให้ใหม่แทบทุกตัว หุ้นที่เคยได้พีอีสูง ๆ แพงมาก ๆ จะถูกปรับให้ถูกลง ยิ่งพีอีสูงมาก ยิ่งถูกปรับให้ลดลงมาก นอกจากหุ้นตัวนั้นจะมีการผูกขาดอะไรบางอย่าง ทำให้ตลาดไม่คิดจะปรับพีอีให้ลดลงกับหุ้นประเภทนั้น ในภาวะเยี่ยงนี้ เราควรหันมาทบทวนหุ้นในพอร์ตของเรา และประเมินมูลค่าใหม่หมด ต้องทำการบ้านเพื่อวิเคราะห์ และสังเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงออกมา และปรับพอร์ตให้เหมาะสม โดยพีอีโดยรวมของพอร์ตเราควรจะลดลงตามภาวะตลาดจะดีกว่าที่เราลงทุนในหุ้นพีอีสูงจำนวนมาก และพาตัวเราเข้าสู่ภาวะเสี่ยงภัยโดยใช่เหตุ กลยุทธ์สุดท้าย “อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร” กลยุทธ์นี้นักลงทุนรายใหญ่หลายท่านก็แนะนำให้เราทำแบบนี้ หากเรามั่นใจว่าหุ้นที่เราถือในพอร์ตมันดีอยู่แล้ว การลดลงของราคาหุ้นเป็นเพียงภาวะชั่วคราว เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้อยู่เฉย ๆ แต่หากเรายังมีเงินสดเหลือพอ ถ้าหุ้นตกลงมามาก ๆ ก็จะเป็นจังหวะในการซื้อเพิ่มด้วยซ้ำ แต่หากใครไม่มั่นใจการถือเงินสดไว้ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวร้ายอะไรเลยนะครับ ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ … ในภาวะวิกฤต การลงทุนของเราต้องปรับให้เข้ากับสภาวะ เราอาจขายหุ้นคุณภาพต่ำทิ้ง ไปเพิ่มหุ้นคุณภาพสูงแทน หันไปลงทุนหุ้นปันผลคุณภาพดี ประเมินราคาหุ้นใหม่หมด และถ้าเราคิดว่าหุ้นที่เราถือดีอยู่แล้วพื้นฐานไม่เปลี่ยน ก็ควรอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยจะดีที่สุดครับ โดย นายแว่นลงทุน
ปลายปี 2561 ตลาดหุ้นถูกเทอย่างหนัก ทั้งจากการที่สหรัฐขึ้นดอกเบี้ย สงครามการค้า ความวิตกกังวลว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่มีปัญหาค่าเงินอ่อนค่ารุนแรง รวมไปถึงความกังวลเรื่องการใช้หุ่นยนต์ AI เข้ามาเทรดหุ้น ทั้งหมดส่งผลให้พอร์ตการลงทุนติดลบ การเลือกกลยุทธ์มาใช้ในการเล่นหุ้นปรับพอร์ตในสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเราควรเลือกกลยุทธ์ต่อไปนี้ 1) คัดหุ้นคุณภาพต่ำออกไปจากพอร์ต โดยหุ้นประเภทนี้สังเกตได้ว่าราคาหุ้นจะลดลงอย่างมาก 2) เปลี่ยนไปซื้อหุ้นปันผลคุณภาพดีแทนหุ้นเติบโต 3) ประเมินมูลค่าหุ้นในพอร์ตของเราใหม่หมด เพื่อวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริง ซึ่งพีอีโดยรวมของพอร์ตเราควรลดลงตามภาวะตลาด ดีกว่าลงทุนในหุ้นพีอีสูงจำนวนมาก เพราะเท่ากับพาตัวเราเข้าสู่ความเสี่ยง 4) อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร ถ้ามั่นใจว่าหุ้นที่เราถือในพอร์ตดีอยู่แล้ว
การบริหารสินทรัพย์,กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_2420
Finance
นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้าง ก่อนตัดสินใจรับหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมา
null
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยหลัก 3 ประการ ก่อนตัดสินใจรับหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมา 1. พื้นฐานระยะยาวของบริษัท ตรวจสอบงบการเงินย้อนหลัง วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เช่น ROA, ROE ยอดขาย ค่าใช้จ่าย กระแสเงินสด เพื่อประเมินความมั่นคงและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ ติดตามผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์ว่ากำไรลดลงชั่วคราวหรือถาวร พิจารณาปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อธุรกิจ เช่น เศรษฐกิจ คู่แข่ง เทคโนโลยี 2. มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น คำนวณมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น DCF, P/E Ratio เปรียบเทียบราคาตลาดกับมูลค่าที่เหมาะสม พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพคล่องของหุ้น นโยบายของบริษัท 3. แนวรับสำคัญทางเทคนิค ศึกษาแนวรับสำคัญ เส้นค่าเฉลี่ย รูปแบบราคาในอดีต พิจารณาปริมาณการซื้อขาย ประเมินความเสี่ยง นอกจาก 3 ปัจจัยหลัก นักลงทุนควร ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทอย่างละเอียด วิเคราะห์กลยุทธ์ แผนงาน และความเสี่ยงของธุรกิจ กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่าง บริษัท XYZ มีพื้นฐานดี กำไรเติบโตสม่ำเสมอ แต่ราคาหุ้นปรับตัวลงมา 20% นักลงทุนวิเคราะห์งบการเงิน พบว่าอัตราส่วนทางการเงินยังดีอยู่ คาดการณ์ว่ากำไรจะกลับมาเติบโต คำนวณมูลค่าที่เหมาะสม พบว่าราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม ตรวจสอบแนวรับทางเทคนิค พบว่าราคาหุ้นอยู่ใกล้แนวรับสำคัญ นักลงทุนตัดสินใจรับหุ้น ข้อควรระวัง การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่มีกลยุทธ์ใดที่รับประกันผลตอบแทน นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้และประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2421
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การเปรียบเทียบการเติบโตที่แท้จริงของกิจการกับค่า PEG
null
ผู้คิดค้นการเปรียบเทียบการเติบโตที่แท้จริงของกิจการกับค่า PEG คือ ปีเตอร์ ลินซ์ โดยให้นิยามการเปรียบเทียบการเติบโตที่แท้จริงของกิจการกับค่า PEG ว่า เป็นการเปรียบเทียบค่าของตัวเลขระหว่างการเติบโตของหุ้น กับค่า PE Ratio per Growth ซึ่งหมายถึงค่าที่บอกราคาของว่าหุ้นถูกแพงแค่ไหน สูตรที่ใช้ในการเปรียบเทียบคือ PEG = PE / Growth หุ้นเติบโตที่ดีควรมีค่า PEG ที่เท่ากับ 1 แสดงว่ามีการเติบโตต่ำ ค่าพีอีของหุ้นลดลง และมีผลกระทบต่อราคาหุ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ หากเป็นนักลงทุนระยะยาว ต้องมองหามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นอยู่ตลอดเวลา และถ้าลงทุนในหุ้นเติบโต ถ้าไม่รู้มูลค่าที่ควรจะเป็นของหุ้นเติบโต เท่ากับเป็นเหมือน “คนตาบอด” เดินเข้าไปในดงกับดักที่จะพาตายได้ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลายคนคงได้ยินคำว่า “หุ้นถูกปรับพีอีใหม่” หมายความว่า หากการเติบโตของกิจการดีขึ้น ตลาดก็พร้อมจะปรับพีอีของหุ้นให้สูงขึ้น แต่หากการเติบโตของกิจการนั้น ๆ ลดลง ตลาดก็พร้อมจะปรับพีอีให้ใหม่ โดยจะปรับลดพีอีให้เหมาะสม ทำให้ราคาหุ้นตกอย่างรุนแรง การเปรียบเทียบการเติบโตที่แท้จริงของกิจการกับ พีอี ที่จริงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีคนคิดเรื่องนี้มานานแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือ “ปีเตอร์ ลินซ์” นักลงทุนระดับตำนาน โดยเขาให้นิยามการเปรียบเทียบตัวเลขระหว่างการเติบโตของหุ้น กับความถูกแพงของหุ้นว่า “พีอีจี” หรือ PE Ratio per Growth โดยสูตรเป็นดังนี้ PEG = PE / Growth ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าหุ้นมี Growth 20% ทุกปี PE ที่เหมาะสมของหุ้นตัวนี้คือ 20 เท่า นั่นคือที่ PEG = 20 / 20 = 1 เท่านั่นเอง หากคิดว่ามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นเติบโตควรมี PEG = 1 ถ้าเป็นแบบนี้ หุ้นตัวนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เติบโตต่ำกว่า 20% ต่อปี พีอีของหุ้นก็จะถูกปรับลดลง และส่งผลต่อราคาหุ้นในที่สุด
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2424
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของค่า Tracking Error
null
Tracking Error หมายถึง ค่าที่บอกว่ากองทุนมีการลงทุนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากน้อยเพียงใด ถ้ามีค่า Tracking Error มาก ผลตอบแทนจะมีความเบี่ยงเบนไปจากดัชนีอ้างอิงมากๆ แต่ถ้ามีค่า Tracking Error น้อย ผลตอบแทนจะมีความเบี่ยงเบนไปจากดัชนีอ้างอิงน้อย แสดงให้เห็นว่ากองทุนมีความสามารถในการลงทุนเลียนแบบดัชนีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับค่า Tracking Error ไม่เหมาะกับกองทุน Active Fund เพราะต้องการลงทุนให้ผลตอบแทนของพอร์ตที่ชนะตลาด จึงเลือกลงทุนในหุ้นที่สัดส่วนต่างไปจากดัชนีอ้างอิง เป็นผลให้ค่า Tracking Error สูง บทเรียนจากย่อหน้านี้ ค่า Tracking Error คืออะไร? โดยปกติแต่ละบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มักจะออกกองทุนรวมที่อ้างอิงดัชนีตัวเดียวกันมา ซึ่งแต่ละบลจ.ไม่สามารถเลือกลงทุนได้ตามดัชนีเป๊ะๆ ทำให้เมื่อเทียบผลตอบแทนย้อนหลังแล้ว ผลตอบแทนของแต่ละบลจ.จะไม่เท่ากัน มีความเหลื่อมๆ กันอยู่บ้าง ซึ่งค่า Tracking Error จะเป็นตัวเลขที่ช่วยบอกว่ากองทุนนี้ ลงทุนได้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากน้อยเพียงใด ค่า Tracking Error มาก / น้อย บอกอะไร? หากมีค่า Tracking Error มาก แปลว่าผลตอบแทนของกองทุน มีความเบี่ยงเบนไปจากดัชนีอ้างอิงมาก ในทางกลับกันหากมีค่า Tracking Error น้อย แปลว่าผลตอบแทนของกองทุน มีความเบี่ยงเบนไปจากดัชนีอ้างอิงน้อย บ่งบอกว่ากองทุนนี้มีความสามารถในการลงทุนเลียนแบบดัชนีได้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงไม่เหมาะแก่การดูค่านี้กับกองทุนประเภท Active Fund เพราะผู้จัดการกองทุนต้องการลงทุนให้ผลตอบแทนของพอร์ตชนะตลาด จึงจะเลือกลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วนที่มีความต่างไปจากดัชนีอ้างอิง ทำให้มีค่า Tracking Error ที่สูง เพราะไม่ได้ลงทุนในหุ้นทุกตัวในตลาดเหมือนกองทุนประเภท Passive Fund
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2427
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ทางเลือกของตลาดขาลง
null
ทางเลือกของตลาดขาลง เพื่อที่จะให้รอดจากวิกฤติการเงินได้ มีอยู่ 3 ทางเลือก ดังปรากฏให้เห็นดังนี้ ทางเลือกแรก คือ การถือหุ้นแล้วรอจนกว่าพายุจะสงบ กล่าวคือ ถ้ามีความมั่นใจว่าหุ้นมีพื้นฐานที่ดี เมื่อตลาดหุ้นเกิดขาลง หุ้นนั้นก็จะกลับมาได้ ทางเลือกที่สอง คือ การตัดหุ้นทิ้ง เพื่อเก็บเงินสดไว้รอตลาดถล่ม จะทำได้ก็ต่อเมื่อเราถือหุ้นที่ไม่ดี เพราะเมื่อตลาดหุ้นตกลงอย่างรุนแรง หุ้นที่ยังทำกำไรดีอยู่ จะลงน้อยกว่าหุ้นที่ขาดทุน และเงินปันผลจะช่วยค้ำราคาหุ้นได้ และทางเลือกสุดท้าย คือ การบริหารเงินสดก่อนเกิดวิกฤติ จะต้องมีการแบ่งขายหุ้นมาเก็บเป็นเงินสดบ้าง แต่ในทางตรงข้าม เมื่อหุ้นตกหนัก ก็ควรมีเงินสดอยู่ในมือให้ได้น้อยที่สุด บทเรียนจากย่อหน้านี้ ทางเลือกของตลาดขาลง ทางเลือกแรก “ถือแล้วรอจนกว่าพายุจะสงบ” สำหรับคนที่ไม่ได้วางแผนถือเงินสดเอาไว้ ยามตลาดหุ้นขาลง ถ้ามั่นใจว่าหุ้นที่ทำการบ้านมาดีแล้วยังมีพื้นฐานที่ดี และจะกลับมาได้ การเลือกที่จะถือรอจนกว่าพายุใหญ่จะสงบ ถือเป็นทางเลือกที่ควรพิจารณา ว่าที่จริง นักลงทุนระดับเซียนหลาย ๆ ท่านก็เลือกแบบนี้ หุ้นหลายตัวยามตลาดผันผวนราคาจะหล่นลงมากองอยู่กับพื้น แต่ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดี แน่นอนที่สุดว่าราคาย่อมกลับไปยืนแบบเดิม หรืออาจจะเติบโตขึ้นกว่าเดิมหากกิจการยังคงเติบโต ทางเลือกที่สอง “คัทหุ้นทิ้ง เก็บเงินสดไว้รอตลาดถล่ม” สำหรับทางเลือกที่สอง นักลงทุนควรจะทำก็ต่อเมื่อถือหุ้นที่ไม่ดี ถือหุ้นที่พื้นฐานแย่ กระแสเงินสดไม่ดี ขาดทุนจากการดำเนินงาน และไม่มีปันผล สาเหตุที่ต้องคัททิ้งเนื่องจากยามที่ตลาดหุ้นตกอย่างรุนแรง หุ้นที่ยังทำกำไร มีกระแสเงินสดดี และมีปันผล จะลงน้อยกว่าหุ้นที่ขาดทุนจากการดำเนินงาน กระแสเงินสดไม่ดี และไม่มีปันผล เพราะอย่างน้อยที่สุด เงินปันผลจะช่วยค้ำราคาหุ้นได้ ว่าที่จริงยามตลาดผันผวน “หุ้นปันผล” มักเป็นที่นิยมมากขึ้น หุ้นอีกประเภทที่ควรขายทิ้งไปก่อนถ้าไม่มั่นใจก็คือ หุ้นที่มีพีอีสูงลิ่ว โดยที่ผลกำไรไม่เติบโตจริง หรือการเติบโตไม่ทันราคาหุ้น หุ้นประเภทนี้ยามตลาดตกต่ำคนมักจะขายทิ้งกันแบบไม่สนราคา ด้วยความที่ราคาแพงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เกิดแรงเทขายอย่างมากมายมหาศาล ทางเลือกที่สาม “บริหารเงินสดก่อนเกิดวิกฤติ” การบริหารเงินสดในมือถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักเล่นหุ้นที่หลายคนมองข้าม นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มีเงินในมือมักจะ “คันมือ” ซื้อหุ้นจนหมดเงินสดที่หน้าตัก ยามหุ้นขึ้น ตลาดสดใส ก็อยากจะซื้อเพิ่ม แม้หุ้นจะมีราคาแพง แต่ก็อยากซื้อ ว่าที่จริงแล้ว ควรจะทำตรงกันข้าม นั่นคือ ยามที่หุ้นขึ้นแรง ควรแบ่งขายหุ้นมาเก็บเงินสดบ้าง เวลาหุ้นตกหนัก ๆ ควรมีเงินสดในมือให้น้อยที่สุด
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2430
Finance
การซื้อหุ้นตามกระแส โดยไม่วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดหรือไม่
null
ไม่ การซื้อหุ้นตามกระแส โดยไม่วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่การลงทุนที่ชาญฉลาด เหตุผล ความเสี่ยงสูง: การซื้อหุ้นตามกระแส มักเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นขึ้นสูงแล้ว โดยไม่มีการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน นักลงทุนมีความเสี่ยงสูงที่จะซื้อหุ้นในราคาที่แพงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ผลตอบแทนไม่แน่นอน: การซื้อหุ้นตามกระแส ไม่ได้รับประกันว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี หุ้นที่ราคาขึ้นสูง อาจจะตกลงมาอย่างรวดเร็ว ขาดการควบคุม: การซื้อหุ้นตามกระแส เป็นการลงทุนแบบพึ่งพาโชค นักลงทุนไม่มีการควบคุมผลลัพธ์ อารมณ์: การซื้อหุ้นตามกระแส มักเกิดขึ้นจากอารมณ์ เช่น ความโลภ ความกลัว สูญเสียเงิน: การซื้อหุ้นตามกระแส โดยไม่วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน มีโอกาสสูญเสียเงินสูง ตัวอย่าง กรณีหุ้น "XYZ" ราคาขึ้นสูง จาก 10 บาท เป็น 20 บาท ภายในเวลา 1 เดือน นักลงทุนจำนวนมาก ซื้อหุ้น "XYZ" ตามกระแส โดยไม่วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ภายหลัง บริษัท "XYZ" ประกาศผลประกอบการขาดทุน ราคาหุ้น "XYZ" ตกลงมาอย่างรวดเร็ว เหลือเพียง 5 บาท นักลงทุนที่ซื้อหุ้น "XYZ" ตามกระแส สูญเสียเงิน แนวทางการลงทุนที่ชาญฉลาด วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น ก่อนตัดสินใจลงทุน ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ผลประกอบการ แผนธุรกิจ เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าที่แท้จริง กระจายความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นหลายตัว ลงทุนระยะยาว สรุป การซื้อหุ้นตามกระแส โดยไม่วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่การลงทุนที่ชาญฉลาด นักลงทุนมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงิน แนวทางการลงทุนที่ชาญฉลาด คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2433
Finance
ร้อยละ 60 ของผู้สูงอายุได้รับการดูแลจากบุตรหลาน หากแต่บุตรหลานไม่สามารถให้การดูแลได้ตลอดเวลา จึงต้องมีสิ่งใด
null
ร้อยละ 60 ของผู้สูงอายุได้รับการดูแลจากบุตรหลาน หากแต่บุตรหลานไม่สามารถให้การดูแลได้ตลอดเวลา จึงต้องมี long term care (LTC) (The 2011 Survey of the Older Population in Thailand by NSO) ร้อยละ 50 LTC facility อยู่ ต่างจังหวัด และบุคลากรมีเพียง 0.7 คนต่อผู้สูงอายุ 100 คน (International Labour Organization 2015) อนึ่ง ประกันแบบ Long Term Care จะมี อัลไซเมอร์ รวมอยู่ด้วยหรือไม่ (ส่วนใหญ่ หรือ เป็นกรณีพิเศษ) Long term care ปกติ จะเล่นเกี่ยวกับนิยาม 5 ข้อ ของ Active Daily Living (ADL) เช่น ความสามารถในการกินข้าวเอง อาบน้ำเอง แต่งตัวเอง ถ่ายเอง และเดินไปมาในบ้านเองได้ เช่น แบบประกันอาจจะระบุว่า ถ้าทำไม่ได้ 2 จาก ใน 5 อย่างนี้ แบบประกันถึงจะเริ่มทำงานหรือเริ่มส่งคนมาดูแล ความจำเป็นของ Long Term Care ในอนาคต สำหรับประเทศไทย ในอนาคตจะมี “ศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะยาวในชุมชน (Long Term Care Community Center : LTCC Center โดยมีส่วนร่วมจากชุมชนจังหวัดละ 1 ศูนย์ (ปี 2560 ก็น่าจะเริ่มมี) High skill nurse ยังมีไม่พอ โดยส่วนใหญ่ปัจจุบันจะใช้การจ้างแรงงานต่างด้าวมาดูหรือไม่ก็ลาออกมาดูแลเอง ปัจจุบันเป็น 5 : 1 (คนทำงาน : คนสูงอายุ) แต่ในอีก 15 ปีข้างหน้า จะเป็น 2 : 1 (คนทำงาน : คนสูงอายุ)
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0