ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Finance_1978 | Finance | นักลงทุนควรซื้อกองทุนรวม B-TNTV ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
กองทุนรวม B-TNTV ลงทุนในพันธบัตรที่มีระดับความน่าเชื่อถือสูง (High credit rating) ประมาณ 90% ของพอร์ตการลงทุน พันธบัตรมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง พันธบัตรมักมีราคาปรับตัวขึ้น การลงทุนในกองทุนรวม B-TNTV จึงช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
อย่างไรก็ตาม กองทุนรวม B-TNTV มีผลตอบแทนคาดหวัง (Expected return) ต่ำกว่าหุ้น นักลงทุนควรพิจารณาเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม B-TNTV
เหตุผลเพิ่มเติม:
ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง นักลงทุนมักมีความกังวลและต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน พันธบัตรมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น เพราะมีกระแสเงินสด (Cash flow) ที่คาดการณ์ได้ รัฐบาลและบริษัทใหญ่ๆ มักเป็นผู้ออกพันธบัตร ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง นักลงทุนมักจะขายหุ้นและซื้อพันธบัตร ส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้น กองทุนรวม B-TNTV ลงทุนในพันธบัตรที่มีระดับความน่าเชื่อถือสูง หมายความว่า มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
ข้อควรระวัง:
กองทุนรวม B-TNTV มีผลตอบแทนคาดหวัง (Expected return) ต่ำกว่าหุ้น นักลงทุนควรพิจารณาเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม B-TNTV นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวม B-TNTV เพิ่มเติม เช่น นโยบายการลงทุน ผลตอบแทนที่ผ่านมา ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมต่างๆ
สรุป
นักลงทุนควรซื้อกองทุนรวม B-TNTV ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน แต่ควรพิจารณาเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1979 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง "ขั้นตอนการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับ FINNOMENA" | ขั้นตอนการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับ FINNOMENA หลังจากที่เราสร้างแผนการลงทุนที่ตรงกับเป้าหมายของเราเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ก็ถึงเวลาเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนจริง ๆ สักที สำหรับขั้นตอนนั้นจะขอไล่ไปทีละ Step ให้ทุกคนทำตามได้แบบง่าย ๆ กัน สำหรับใครที่สร้างแผนการลงทุนผ่านทาง Website ก็จะขึ้น Pop-up ให้โหลด Application มาเพื่อกรอกข้อมูลเปิดบัญชี โดยสามารถ Scan QR Code ที่หน้าจอ หรือเข้าไปค้นหาแอปฯ “FINNOMENA” ผ่าน App Store หรือ Play Store ได้เลย ซึ่งตรงนี้ใครที่กำลังกังวลว่าแผนการลงทุนจะหายไปหากสลับจากเว็บไปใช้บนแอปฯ ก็ต้องขอบอกว่าระบบจะบันทึกแผนการลงทุนของเราให้อัตโนมัติ สามารถกลับไปดูได้ทั้งใน Website และ Application ส่วนใครที่ใช้งานผ่าน Application อยู่แล้วก็สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดบัญชีได้เลยไม่ต้องสลับอุปกรณ์หรือ Application ให้วุ่นวาย 1. ยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ สำหรับขั้นตอนแรกในการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับ FINNOMENA จะเป็นการยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ ตรงนี้สามารถกรอกเลขโทรศัพท์ของทุกคนได้เลย หลังจากนั้นจะมีรหัส OTP ส่งไปทาง SMS ที่โทรศัพท์มือถือของเรา ให้นำรหัส OTP 6 หลัก ที่ได้รับมากรอกลงไปเป็นอันเสร็จขั้นตอนนี้
2. ตั้งรหัส PIN ต่อมาเป็นการตั้งรหัส PIN 6 หลักสำหรับการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งการซื้อและขายกองทุน ซึ่งตรงนี้สามารถตั้งรหัสได้ตามใจชอบเลย แต่ตั้งแล้วต้องจำให้ได้ด้วยนะ 3. ยืนยันอีเมล หลังจากตั้งรหัส PIN เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาถึงการกรอกข้อมูลเปิดบัญชี ที่จะประกอบไปด้วย 4 หัวข้อใหญ่ด้วยกัน เดี๋ยวเราจะพาไล่กันทีละ step มาเริ่มกันที่ข้อแรกเลยนั่นคือ การยืนยันอีเมล (Verify Email) ระบบจะขึ้นข้อมูลอีเมลมาให้ทำการตรวจสอบอีกครั้ง โดยอีเมลนี้จะเป็นอีเมลสำหรับลงชื่อเข้าใช้และสื่อสารกับทาง FINNOMENA หากตรวจสอบเรียบร้อยแล้วก็กด “ส่งอีเมลยืนยัน” หลังจากนั้นจะมี OTP ส่งไปที่อีเมล ให้นำรหัส OTP 6 หลัก ที่ได้รับมากรอกลงไปเป็นอันเสร็จขั้นตอนการยืนยันอีเมล 4. ถ่ายภาพบัตรประชาชน ขั้นตอนต่อมาเป็นการถ่ายภาพบัตรประชาชน ให้ทุกคนหยิบบัตรประชาชนขึ้นมาแล้ววางหน้าบัตรให้อยู่ในกรอบที่กำหนด แนะนำว่าให้ถ่ายบัตรประชาชนในบริเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอ ระวังอย่าให้มีเงาสะท้อนบนหน้าบัตร และวางบัตรบนพื้นหลังเรียบ ๆ หรือจะนำกระดาษสีขาวมาวางรองก็ได้ โดยตรวจสอบอีกครั้งว่าบัตรที่วางนั้นอยู่ในแนวที่ถูกต้อง ไม่กลับหัว และมีความชัดเจนของข้อมูลบนหน้าบัตร เพื่อให้ระบบอ่านข้อมูลบนบัตรได้อย่างถูกต้องครบถ้วน รวมถึงเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการอนุมัติเปิดบัญชี ซึ่งตรงนี้ระบบจะทำการปิดบังศาสนาที่แสดงอยู่บนหน้าบัตรเพื่อปกปิดข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า และยังมีการคาดลายน้ำด้วยข้อความ “ใช้เพื่อเปิดบัญชีกับกลุ่มฟินโนมีนา และ บลจ.ต่าง ๆ เท่านั้น” เพื่อป้องกันการนำบัตรประชาชนไปใช้ต่ออีกด้วย หลังจากที่ระบบอ่านข้อมูลบนบัตรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอีกครั้งและกดยืนยัน จากนั้นกด “เสร็จ” เป็นอันเรียบร้อยในขั้นตอนนี้ 5. กรอกข้อมูลเปิดบัญชี สำหรับส่วนนี้เป็นการกรอกข้อมูลทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุน เช่น ธนาคารสำหรับซื้อขายกองทุน ข้อมูลการทำงาน ข้อมูล KYC รวมถึงความรู้ด้านการลงทุน 6. ทำแบบประเมินความเสี่ยง (Suitability Test) ในข้อสุดท้ายของขั้นตอนการกรอกข้อมูลเปิดบัญชีจะเป็นการทำแบบประเมินความเสี่ยง หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Suitability Test ในการทำแบบประเมินให้ตอบให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้นะ จากขั้นตอนในการกรอกข้อมูลเปิดบัญชีทั้ง 4 ข้อจะเห็นได้ว่า เราไม่ต้องกรอกข้อมูลเลขบัตรประชาชนของคู่สมรสและข้อมูลบุตรแล้ว ซึ่งตรงนี้จะทำให้การเปิดบัญชี Tax Saving Fund สะดวกมากขึ้นอีกด้วย 7. เซ็นชื่อและส่งข้อมูลเปิดบัญชี เมื่อกรอกข้อมูลเปิดบัญชีครบทั้ง 4 ข้อแล้ว ต่อมาจะเป็นการลงลายมือชื่อ หรือ การเซ็นชื่อ นั่นเอง ซึ่งตรงนี้สามารถเซ็นในแอปพลิเคชันได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาในการพิมพ์กระดาษออกมาเซ็น 8. การยืนยันตัวตน เหลืออีกแค่ 2 อย่างเท่านั้นที่เราต้องทำในขั้นตอนการเปิดบัญชี นั่นคือ การยืนยันตัวตน และ การสมัคร ATS มาเริ่มกันที่การยืนยันตัวตนก่อน สำหรับขั้นตอนการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับ FINNOMENA สามารถทำได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ 1. ยืนยันตัวตนผ่าน NDID ที่แอปพลิเคชันธนาคารที่เข้าร่วมเครือข่าย NDID 2. ยืนยืนตัวตนผ่าน Counter Service ที่ 7-Eleven ซึ่งจะยืนยันผ่านช่องทางไหนก็สามารถเลือกได้ตามความสะดวกของแต่ละคนเลย แต่ขอเน้นไว้ว่าให้ เลือกทำเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น นะ ส่วนขั้นตอนการยืนยันตัวตนทั้ง 2 ช่องทางนั้นสามารถศึกษาข้อมูลได้จากลิงก์ด้านล่างเลย ทำความรู้จักกับ NDID พร้อมสอนวิธียืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีกับ FINNOMENA ขั้นตอนการยืนยันตัวตนผ่าน Counter Service เพื่อเปิดบัญชีกับ FINNOMENA 9. ขออนุมัติหักบัญชีธนาคารอัตโนมัติ (ATS) และแล้วก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายในการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับ FINNOMENA นั่นก็คือ การขออนุมัติหักบัญชีธนาคารอัตโนมัติ (ATS) เพื่อเป็นการแจ้งความยินยอมต่อธนาคารในการอนุมติหักเงินจากบัญชีในกรณีที่เรามีการซื้อกองทุนรวม ตรงนี้ก็เช่นเคย ไม่ต้องส่งเอกสาร หรือเดินทางไปธนาคาร เราสามารถสมัคร ATS ผ่าน แอปพลิเคชัน Mobile Banking ได้เลย ส่วนใครที่ไม่สะดวกทำผ่านแอปฯ ก็สามารถสมัครผ่าน ATM หรือ Internet Banking ได้เหมือนกัน แต่ระยะเวลาการอนุมัติก็จะแตกต่างกันไป สำหรับการสมัคร ATS ผ่านช่องทาง Mobile Banking จะใช้เวลาอนุมัติ 1-2 วันทำการ ส่วนช่องทาง ATM และ Internet Banking จะใช้เวลาอนุมัติ 2-3 วันทำการ | ขั้นตอนการเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับ FINNOMENA
1. ถ้าใช้งานผ่าน Website จะขึ้น Pop-up ให้โหลด Application เพื่อกรอกข้อมูลเปิดบัญชี ถ้าใช้งานผ่าน Application สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดบัญชีได้เลย
2. ยืนยันหมายเลขโทรศัพท์โดยกรอกหมายเลขโทรศัพท์ จากนั้นจะมีรหัส OTP 6 หลักส่งไปทาง SMS ที่โทรศัพท์มือถือ ให้นำรหัส OTP กรอกลงไป
3. ตั้งรหัส PIN 6 หลัก โดยสามารถตั้งได้ตามใจชอบและต้องจำให้ได้ด้วย
4. ยืนยันอีเมล โดยระบบจะขึ้นข้อมูลอีเมลให้ตรวจสอบอีกครั้ง หากตรวจสอบเรียบร้อยแล้วกดส่งอีเมลยืนยัน จากนั้นจะมี OTP 6 หลักส่งไปที่อีเมล ให้นำรหัส OTP กรอกลงไป
5. ถ่ายภาพบัตรประชาชน โดยวางหน้าบัตรอยู่ในกรอบที่กำหนด ถ่ายในบริเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอ อย่าให้มีเงาสะท้อนหน้าบัตร และวางบัตรบนพื้นหลังเรียบ ๆ หรือนำกระดาษสีขาวมาวางรองก็ได้ บัตรที่วางนั้นต้องอยู่ในแนวที่ถูกต้อง ไม่กลับหัว และมีความชัดเจนของข้อมูลเพื่อให้ระบบอ่านข้อมูลได้ถูกต้อง หลังจากนั้นก็ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอีกครั้งและกดยืนยัน จากนั้นกด เสร็จ
6. กรอกข้อมูลทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้สำหรับเปิดบัญชีซื้อขายกองทุน
7. ทำแบบประเมินความเสี่ยง โดยตอบให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด เพื่อที่จะได้รับคำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง
8. เซ็นชื่อในแอปพลิเคชันได้เลย โดยไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์กระดาษออกมาเซ็น
9. ยืนยันตัวตนโดยเลือกใช้ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารที่เข้าร่วมเครือข่าย NDID หรือ Counter Service ที่ 7-Eleven ก็ได้ตามความสะดวก แต่เลือกทำเพียงช่องทางเดียว
10. ขออนุมัติหักบัญชีธนาคารอัตโนมัติเพื่อแจ้งความยินยอมต่อธนาคาร โดยไม่ต้องส่งเอกสาร หรือเดินทางไปธนาคาร แต่สามารถสมัคร ATS ผ่าน แอปพลิเคชัน Mobile Banking ได้เลย | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1983 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สงครามน้ำมันซาอุฯ คือปัจจัยที่ตลาดคาดไม่ถึง | null | ในประเทศซาอุดิอาระเบีย มีสงครามที่เกิดขึ้นกับน้ำมัน เป็นการประกาศสงครามที่มีผลให้ราคาน้ำมันทั่วโลกลดลงหนักมาก ทำให้ส่งผลกระทบต่าง ๆ มากมาย ในส่วนของประชาชน มีผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน ในส่วนของนักลงทุน จะส่งผลให้การลงทุนได้รับการขาดทุน ในส่วนของบริษัทมีสถานะทางการเงินเข้มแข็งก็จะไม่มีผลอะไรมากนัก แต่ถ้าเกิดกับบริษัทที่มีการเก็งกำไรผิดทาง ผลที่ตามมาก็คือการขาดทุนนั่นเอง แต่ที่หนักที่สุดก็คือ บริษัทใดที่มีหนี้ค้างอยู่ จะส่งผลกระทบให้บริษัทต้องล้มละลายและปิดตัวในที่สุด
บทเรียนจากย่อหน้านี้
สงครามนำ้มันซาอุฯ คือปัจจัยที่ตลาดคาดไม่ถึง
ไม่มีใครคาดว่าซาอุดิอาระเบีย จะประกาศสงครามราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาน้ำมันลดหนักทั่วโลก น้ำมันเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน จริงอยู่ที่ราคาน้ำมันลงเป็นผลบวกกับผู้ซื้อ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าทุก ๆ วันมีการทำสัญญาซื้อขายทั่วโลกเป็นหลายล้านสัญญา การเหวี่ยงของราคาน้ำมันในระดับนี้จะส่งผลให้นักลงทุน หรือกองทุนหลายกองต้องขาดทุนอย่างหนักทันที บริษัทที่เก็งกำไรไว้ผิดทางต้องรับขาดทุน … กรณีนี้ถ้าบริษัทมีสถานะทางการเงินเข้มแข็งก็น่าจะผ่านไปได้ แต่ประเด็นคือบริษัทส่วนใหญ่ก็มีหนี้ การลดลงอย่างกระทันหันของน้ำมันครั้งนี้อาจทำให้หลายบริษัทต้องปิดหรือผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโลกโดยรวม | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1985 | Finance | ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เมื่อพิจารณาปัจจัยดังกล่าว
- ระดับความเสี่ยงที่รับได้
- ระยะเวลาการลงทุน
- เป้าหมายทางการเงิน | null | การปรับกลยุทธ์การลงทุนในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ มีข้อเสนอดังนี้
1. ทบทวนเหตุผลของการลงทุน: พิจารณาว่าเหตุผลในการลงทุนของคุณยังอยู่หรือไม่ เป้าหมายระยะยาวของคุณยังคงเดิมหรือไม่ ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2. เรียนรู้ ทำการบ้าน เก็บเงินสด: ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดและสินทรัพย์ วิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาส เก็บเงินสดสำรองไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
3. ลงทุนระยะยาว: มองข้ามความผันผวนระยะสั้น เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี รอคอยจังหวะซื้อสินทรัพย์ undervalued
4. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ลงทุนในหุ้นหลายกลุ่ม เลือกกองทุนรวมที่มีกลยุทธ์เหมาะสม
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หาคำแนะนำจากนักลงทุนมืออาชีพ เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์
การปรับกลยุทธ์การลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
1. ระดับความเสี่ยงที่รับได้:
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร รัฐบาล
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง สามารถลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และกระจายความเสี่ยง
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง แต่มีความเสี่ยงสูง
2. ระยะเวลาการลงทุน:
- นักลงทุนระยะสั้น ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง
- นักลงทุนระยะยาว สามารถลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโต
3. เป้าหมายทางการเงิน:
- นักลงทุนควรตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน
- เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย
ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน:
- DCA (Dollar Cost Averaging): ลงทุนเงินจำนวนเท่ากันเป็นประจำทุกงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น
- VI (Value Investing): ลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
- Growth Investing: ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
ข้อควรระวัง:
- หลีกเลี่ยงการ "ช้อนหุ้น" ที่ตกลงมาแรง โดยไม่พิจารณาพื้นฐาน
- ระวัง "หุ้นปั่น"
- ไม่ลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้
บทสรุป: การปรับกลยุทธ์การลงทุนในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรทำเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยง ลงทุนอย่างมีสติ ศึกษาข้อมูล และมีวินัย | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1987 | Finance | การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
-ความผันผวนสูง: คริปโตเคอร์เรนซีมีราคาที่ผันผวนรุนแรง ตัวอย่างเช่น บิทคอยน์ (Bitcoin) อาจมีราคาขึ้นลง 1500 ดอลลาร์สหรัฐภายในหนึ่งวัน ความผันผวนนี้อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อนักลงทุนบางประเภท โดยเฉพาะผู้ที่มีความอดทนต่ำ หรือผู้ที่ต้องการเงินลงทุนในระยะสั้น
-ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: คริปโตเคอร์เรนซียังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูง มีกรณีการโจรกรรมเหรียญคริปโตเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นักลงทุนควรมีความรู้และเข้าใจวิธีจัดเก็บเหรียญคริปโตอย่างปลอดภัย
-ความเข้าใจตลาด: คริปโตเคอร์เรนซีเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ นักลงทุนควรมีความรู้และเข้าใจกลไกตลาด เทคโนโลยี และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
นักลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี:
-นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง: นักลงทุนประเภทนี้ยอมรับความเสี่ยงสูง เข้าใจกลไกตลาด และสามารถทนต่อความผันผวนของราคาได้
-นักลงทุนที่มีระยะเวลาลงทุนระยะยาว: คริปโตเคอร์เรนซียังเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ นักลงทุนควรมีมุมมองระยะยาว และสามารถรอคอยการเติบโตของตลาดในอนาคต
-นักลงทุนที่มีความรู้และเข้าใจตลาด: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เทคโนโลยี และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ข้อควรระวัง:
-ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในคริปโตเคอร์เรนซี: นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ด้วย
-ไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น: คริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรลงทุนด้วยเงินที่ไม่ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงิน
-ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เทคโนโลยี และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
สรุป: การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เข้าใจกลไกตลาด และสามารถทนต่อความผันผวนของราคาได้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน และไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในคริปโตเคอร์เรนซี | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1988 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ REIT | null | REIT คือ กองทรัสต์ที่ลงทุนในธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นสินทรัพย์แบบ 2 in 1 ที่มีทั้งในแง่ของการเติบโตและผลตอบแทน ต่างจากสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีในแง่ของการเติบโตอย่างเดียว REIT แปรผันตรงกับภาวะเศรษฐกิจ คือ ถ้าเศรษฐกิจดี ผลประกอบการก็จะดีตามไปด้วย ทำให้ราคาของ REIT เติบโตดีขึ้น และมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล แม้ยามภาวะเศรษฐกิจได้รับแรงกดดัน ก็ส่งผลกระทบที่ต่ำในราคาของ REIT นอกจากนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่สามารถจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอีกด้วย
บทเรียนจากย่อหน้านี้
“REIT” หรือกองทรัสต์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
ทำไมต้อง REIT?
สินทรัพย์แบบ 2 in 1 กลมกล่อม
หากเทียบกับสินทรัพย์รูปแบบอื่นอย่างหุ้นคงเปรียบได้กับกาแฟขมๆ ขาดความนุ่มนวลกลมกล่อม เพราะส่วนใหญ่เล่นได้แค่ในแง่ของ “การเติบโต (Growth play)” เพียงอย่างเดียว แต่กลับกัน สินทรัพย์อย่าง REIT นั้นเป็นเหมือนกาแฟรสนุ่ม กลมกล่อม เพราะมีส่วนผสมทั้งในแง่ของ “Defensive play” และ “Growth play” ในถ้วยเดียวกัน
ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตดี สินทรัพย์อย่าง REIT ก็จะมีผลประกอบการที่ดีตาม ส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์อย่าง REIT เติบโตขึ้น อีกทั้งยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้มากขึ้นด้วย (Growth play) และส่วนใหญ่จะมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกัน ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลงดังเช่นเศรษฐกิจไทยในตอนนี้ที่ถูกกดดันโดยการแข็งค่าของค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อที่ตํ่า จนทำให้ทางรัฐต้องลดดอกเบี้ย แต่ราคาของสินทรัพย์อย่าง REIT ได้รับผลกระทบในระดับที่ต่ำ และก็ยังสามารถจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ (Defensive play) ถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1990 | Finance | ฟังก์ชันดูราคาหุ้นรายวันใน LINE มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง | LINE กำลังทดลองเรื่องหุ้น !!! โดยมี FINNOMENA เป็นหัวเรือหลักในการจัดการเรื่องข้อมูล ทำให้ตอนนี้สามารถดูราคาหุ้นใน LINE ได้แล้ว ไม่ต้องโหลดแอปฯ เพิ่ม ดูได้หมดลึกถึงงบการเงินหุ้นแต่ละตัวเลย
โดยเข้าไปที่หน้า HOME แล้วมองหาปุ่มชื่อ Services เสร็จแล้วเลื่อนลงมาด้านล่างจะเจอ Mini-App ชื่อ FINNOMENA อันนี้แหละครับที่เป็นโปรเจกต์ที่ LINE กำลังทำการทดลอง ตอนนี้ยังไม่ได้ประกาศเปิดตัวเป็นทางการ แต่ออกมาให้ใช้แล้วสำหรับคนกลุ่มเล็กๆ ที่รู้เรื่องวงใน พอกดเข้าไปก็จะเจอแอปฯ หน้าตาแบบนี้อยู่ในแอปฯ LINE อีกที กดตรง “หุ้น” โลดก็จะเข้าไปดู รายชื่อหุ้นตัวท็อปที่คนชอบกดเข้าไปดูกัน ! กดปุ่มเข้าไปผ่านปุ่มด้านล่างได้เลย ถ้ามีหุ้นในใจอยู่แล้ว ก็สามารถกด Search ตรงแถบเครื่องมือด้านล่างได้ ซึ่งจะพาไปหน้าที่ให้ Search หุ้น เมื่อเข้ามาถึงแล้วก็กด Search ได้เลย !
ในแอปฯ มีข้อมูลเบื้องต้นให้ค่อนข้างครบ ตั้งแต่กราฟราคาหุ้นย้อนหลัง สรุปการเติบโตของรายได้และกำไร และที่พีคสุดๆ คือกดสร้างกราฟ ให้ดูกันง่ายๆ ได้ด้วยว่ารายได้หรือกำไรมันขึ้นหรือลง ตัวอย่างหุ้น AOT ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต แต่ฟังก์ชันที่ผมชอบที่สุดคือสามารถดูได้ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของหุ้นตัวนั้นๆ ถือหุ้นตัวไหนอีกบ้าง? ในรูปคือการสะกดรอยตามพอร์ตของท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ ครับ นอกจากหุ้นยังดูกองทุน ดูราคาทองอัปเดตไว้เก็งกำไรเรียลไทม์ได้ด้วย ของดีๆ ให้ใช้กันฟรีๆ รีบไปลองใช้กันเลย สะดวกมากๆ ครับ
คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | LINE กำลังทดลองเรื่องหุ้นโดยมี FINNOMENA เป็นหัวเรือหลักในการจัดการเรื่องข้อมูล ทำให้ตอนนี้สามารถดูราคาหุ้นใน LINE ได้แล้ว ไม่ต้องโหลดแอปฯ เพิ่ม ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
- เข้าไปที่หน้า HOME แล้วมองหาปุ่มชื่อ Services
- เลื่อนลงมาด้านล่างจะเจอ Mini-App ชื่อ FINNOMENA นี่เป็นโปรเจกต์ที่ LINE กำลังทำการทดลอง ยังไม่ได้ประกาศเปิดตัวเป็นทางการ แต่ออกมาให้ใช้แล้วสำหรับคนกลุ่มเล็กๆ ที่รู้เรื่องวงใน
- พอกดเข้าไป ก็จะเจอแอปฯ หน้าตา "ดูหุ้น LINE ก่อนใคร" อยู่ในแอปฯ LINE อีกที กดตรง “หุ้น” ก็จะเข้าไปดู รายชื่อหุ้นตัวท็อปที่คนชอบกดเข้าไปดูกัน
- ถ้ามีหุ้นในใจอยู่แล้ว ก็สามารถกด Search ตรงแถบเครื่องมือด้านล่างได้ ซึ่งจะพาไปหน้าที่ให้ Search หุ้น เมื่อเข้ามาถึงแล้วก็กด Search ได้เลย
- ในแอปฯ มีข้อมูลเบื้องต้นให้ค่อนข้างครบ ตั้งแต่กราฟราคาหุ้นย้อนหลัง สรุปการเติบโตของรายได้และกำไร และที่พีคสุดๆ คือ กดสร้างกราฟ ให้ดูกันง่ายๆ ได้ด้วยว่ารายได้หรือกำไรมันขึ้นหรือลง
- สามารถดูได้ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของหุ้นตัวนั้นๆ ถือหุ้นตัวไหนอีกบ้าง
- นอกจากหุ้นยังดูกองทุน ดูราคาทองอัปเดตไว้เก็งกำไรเรียลไทม์ได้ด้วย
คำเตือน
-ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
-ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1991 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Crypto Trade Signals | null | Crypto Trade Signals คือ สัญญาณซื้อขายคริปโต เป็นสิ่งที่นำมาประกอบในการตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลตามสัญญาณที่เกิดจากการวิเคราะห์ในตรรกะ ซึ่งตรรกะที่ได้มานั้น จะต้องผ่านการวิเคราะห์โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน, การวิเคราะห์เชิงเทคนิค และการวิเคราะห์สภาวะของตลาดในปัจจุบัน นอกจากองค์ประกอบที่กล่าวมาแล้ว ตรรกะที่ได้นั้นจะอ้างอิงมาจากเครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคที่พิเศษมาก ๆ ยิ่งกว่าเครื่องชี้วัดปกติ ก็เพราะว่าจะนำมาซึ่งสัญญาณที่ดีและมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
บทเรียนจากย่อหน้านี้
สัญญาณซื้อขายคริปโต หรือ Crypto Trade Signals คืออะไรกันแน่ ?
Crypto Trade Signals สามารถใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจหรือแม้กระทั่งตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลตามสัญญาณที่เกิดขึ้นเพราะมีการวิเคราะห์ตรรกะมาแล้วเป็นอย่างดี
การวิเคราะห์ที่ใช้มาจาก 3 องค์ประกอบหลัก ๆ คือ
1. การวิเคราะห์พื้นฐาน
2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค
3.การวิเคราะห์อารมณ์ตลาดในปัจจุบัน
เพื่อให้สัญญาณมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้อัลกอริทึมที่ใช้ยังมีการออกแบบมาโดยอ้างอิงจากเครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคอลที่พิเศษกว่ารูปแบบทั่วไป ทั้งหมดนี้เพื่อที่จะได้สัญญาณหรือคำแนะนำประกอบการตัดสินใจที่มีประโยชน์ต่อนักลงทุนในการลงทุนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ว่าเมื่อไหร่กันที่เขาควรซื้อ ถือ หรือขาย เพื่อที่จะปิดประตูเจ๊งและเร่งกำไรให้กับนักลงทุน | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1993 | Finance | Stanley Druckenmiller ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของ Fed ที่น่าสนใจในปี 2020 อย่างไรบ้าง | null | Stanley Druckenmiller ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของ Fed ที่น่าสนใจในปี 2020 ดังนี้
Stanley Druckenmiller มองว่าทาง Fed ดำเนินนโยบายได้อย่างไม่เหมาะสม โดยในปีที่ 2019 ที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง การกู้ยืมอยู่ในระดับตํ่า และเศรษฐกิจยํ่าแย่ ทาง Fed กลับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงทำ Quatitative tightening (ดำเนินนโยบายอย่างรัดกุม) ซะอย่างนั้น กลับกันในปี 2020 การกู้ยืมปรับตัวขึ้น, บริษัท IPO ผุดขึ้นมา ทาง Fed กลับลดดอกเบี้ย
มุมมองที่น่าสนใจเป็นอย่างมากอีกหนึ่งมุมมองก็คือ ประธานาธิบดีในขณะนั้นอย่าง Donald Trump อาจกดดันการดำเนินนโยบายของ Jerome Powell ถึงแม้ว่า Powell จะเคยยืนกรานว่า “ จะดำเนินนโยบายตามสมควร” โดยพูดทิ้งท้ายติดตลกว่า “Jerome Powell เหมือน Jenet Yellen (ประธาน Fed คนเก่า) ในเวอร์ชั่นที่อ่อนกว่า การดำเนินนโยบายของ Fed สมัยนี้ไม่ห้าวหาญเอาซะเลย” โดยรวมมองว่าทาง Jerome Powell จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยและไม่ลดเช่นกัน (คงที่) ในปี 2020
อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจก็คือ Stanley กล่าวไว้ว่า “การดำเนินนโยบายในยุคปัจจุบันมันช่างยากที่จะลงเงินแล้วพนันไปกับมัน” รวมถึงทิ้งท้ายติดตลกไว้ว่า “อย่าตาม Fed เพราะการกระทำของ Fed มันผิดมากๆ” | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1996 | Finance | กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
ความเสี่ยงของราคาหุ้น: หุ้นปันผลก็มีความเสี่ยงของราคาหุ้นเช่นเดียวกับหุ้นประเภทอื่น แม้จะจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แต่ราคาหุ้นอาจจะลดลงได้
ความผันผวนของตลาด: ตลาดหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนควรมีระยะเวลาลงทุนระยะยาว
ความรู้และความเข้าใจ: นักลงทุนควรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทและกลยุทธ์การลงทุน
ตัวอย่าง
- นักลงทุนที่ต้องการเงินลงทุนระยะสั้น: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผลอาจไม่เหมาะสม เพราะราคาหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้
- นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล อาจไม่เหมาะสม เพราะผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าหุ้นประเภทอื่น
- นักลงทุนที่ไม่มีความรู้และความเข้าใจ: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล อาจไม่เหมาะสม เพราะนักลงทุนอาจเลือกหุ้นที่ไม่ดี
ข้อดีของกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล:
- สร้างรายได้สม่ำเสมอ: นักลงทุนจะได้รับเงินปันผลเป็นประจำ
- ลดความเสี่ยง: หุ้นปันผล มักมีปัจจัยพื้นฐานดี
- ลงทุนระยะยาว: เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว
ข้อเสียของกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล:
- ผลตอบแทนอาจไม่สูง: ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าหุ้นประเภทอื่น
- ราคาหุ้นมีความผันผวน: ราคาหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้
- ความรู้และความเข้าใจ: นักลงทุนควรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทและกลยุทธ์การลงทุน
สรุป: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยง และลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรมี knowledge และ understanding
หมายเหตุ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล เป็นเพียงกลยุทธ์การลงทุนหนึ่งในหลาย ๆ กลยุทธ์ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง
คำแนะนำ:
- นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน
- นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว
- นักลงทุนควรลงทุนระยะยาว | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1997 | Finance | ควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการตัดสินใจซื้อบ้าน โดยคำนึงถึงทั้งการออมเงินและราคาบ้านที่ rising อย่างรวดเร็ว? | null | กลยุทธ์ในการตัดสินใจซื้อบ้าน โดยคำนึงถึงทั้งการออมเงินและราคาบ้านที่ rising อย่างรวดเร็ว มีดังนี้:
1. ประเมินสถานะทางการเงิน:
ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายของคุณ พิจารณาว่าสามารถผ่อนชำระค่าบ้านไหวหรือไม่
ตรวจสอบ credit score ของคุณ คะแนนเครดิตที่ดีจะช่วยให้คุณกู้เงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ
เตรียมเงินดาวน์ให้เพียงพอ เงินดาวน์ที่มากขึ้น จะช่วยลดจำนวนเงินกู้และภาระผ่อนชำระ
2. ศึกษาข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์:
ศึกษาแนวโน้มราคาบ้านในพื้นที่ที่คุณสนใจ
เปรียบเทียบราคาบ้านจากโครงการต่างๆ
พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ขนาด สิ่งอำนวยความสะดวก การเดินทาง
3. วางแผนการออม:
ตั้งเป้าหมายการออมเงินสำหรับซื้อบ้าน
จัดสรรเงินออมอย่างสม่ำเสมอ
พิจารณาลงทุนเงินออมเพื่อเพิ่มผลตอบแทน
4. พิจารณากลยุทธ์การซื้อบ้าน:
ซื้อบ้านมือสอง: บ้านมือสองมักมีราคาถูกกว่าบ้านมือหนึ่ง
ซื้อบ้านพร้อมผู้เช่า: การมีผู้เช่าจะช่วยผ่อนภาระค่าผ่อนชำระ
ซื้อบ้านร่วมกับผู้อื่น: การซื้อบ้านร่วมกับผู้อื่น จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษานักวางแผนการเงิน เพื่อวางแผนการเงินและการออม
ปรึกษานายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อหาบ้านที่เหมาะกับความต้องการ
การตัดสินใจซื้อบ้านเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ กลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อบ้านได้อย่างชาญฉลาด โดยคำนึงถึงทั้งการออมเงินและราคาบ้านที่ rising อย่างรวดเร็ว
เพิ่มเติม:
การรอซื้อบ้านอาจทำให้ราคาบ้านพุ่งสูงเกินเอื้อม แต่การรีบซื้อบ้านโดยไม่มีการวางแผน อาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงิน
ควรหาจุดสมดุลระหว่างการออมเงินและการซื้อบ้าน
การออมเงินช่วยให้คุณมีเงินดาวน์ที่มากขึ้น และสามารถผ่อนชำระค่าบ้านได้เร็วขึ้น
การซื้อบ้านเร็วเกินไป อาจทำให้คุณไม่มีเงินออมสำรอง เผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1999 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยในการพิจารณาเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | null | สำหรับปัจจัยในการพิจารณาเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล จะมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง อย่างแรกที่เราต้องมีเลยคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการวิเคราะห์เพื่อดูแนวโน้มของราคาของสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างที่สอง คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นการวิเคราะห์เพื่อดูสิ่งที่จะผลักดันราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลให้เพิ่มสูงขึ้น และอย่างสุดท้ายก็คือ การวิเคราะสภาพของตลาด เป็นการวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบจิตวิทยาของคนที่เข้ามาลงทุนว่ามีทิศทางไหน ดังนั้นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีประสิทธิภาพที่ดีได้ ต้องมาจากการวิเคราะห์จากปัจจัยทั้งสามอย่างนี้ค่ะ
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล คือหนทางเดียวที่จะเอาชนะตลาดนี้ได้
การจะใช้แค่เพียงการคาดเดาว่าสกุลเงินดิจิทัลตัวใดจะร้อนแรงและมีมูลค่ามากกว่าตัวอื่นนั้น ทำได้ยากมาก ๆ เนื่องจากความไม่แน่นอนของโครงการรวมถึงความผันผวนของราคาเหรียญที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงพริบตา นักลงทุนเองจึงต้องอาศัย 3 ปัจจัยในการพิจารณาเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อจับจังหวะการซื้อขาย เพื่อดูแนวโน้มของราคา
2. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อดูสิ่งที่จะมาขับเคลื่อนและเป็นปัจจัยในการผลักดันราคาให้เพิ่มสูงขึ้น
3. การวิเคราะสภาพตลาดหรืออารมณ์ตลาด เพื่อตรวจสอบจิตวิทยาของผู้อื่นที่เข้ามาลงทุนว่าคนส่วนใหญ่มองไปในทิศทางไหน ความโลภหรือความกลัวที่กำลังครอบงำตลาดอยู่ในตอนนี้
หากพิจารณาทั้ง 3 ปัจจัยประกอบกัน เชื่อว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะปลอดภัยและมีประสิทธิเพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการวิเคราะห์และค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ก็ยังเป็นงานที่เหนื่อยพอสมควร แต่เชื่อว่ามันคุ้มค่าแน่นอนหากตั้งใจกับมัน
ในปัจจุบันก็ยังมีบริการให้คำแนะนำด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการคาดการณ์อนาคตเกี่ยวกับเหรียญต่าง ๆ ให้เลือกใช้บริการอยู่มากมาย แต่อย่าลืมว่า ควรใช้เป็นส่วนประกอบในการพิจารณาเข้าลงทุนเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด ประสบการณ์จึงมีความสำคัญอย่างมากในการพิจารณาที่จะเข้าซื้อ ถือ หรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2000 | Finance | การลงทุนในหุ้นกับความรัก เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? | null | ถ้าเปรียบเทียบการลงทุนกับความรัก การเลือกหุ้นสักตัวอาจจะเหมือนการเลือกคนรักที่เราจะอยู่ด้วยไปตราบนานเท่านาน การซื้อแล้วถือหุ้นเหมือนการแต่งงาน จะต่างกันตรงที่ในการแต่งงานจริงเราแต่งแล้วอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่สำหรับหุ้นเราจะขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน เราคาดผิด หรือเราเจอหุ้นที่ดีกว่าแล้วมีเงินไม่พอ
ดังนั้นถ้าเปรียบเทียบการลงทุนเหมือนกับความรักแล้ว การเลือกหุ้นสักตัวเราก็ควรศึกษาให้เข้าใจบริษัทในทุกแง่ทุกมุม เหมือนเราคบหาดูใจกับคนรักให้รู้จักกันจริงๆ ก่อนจะแต่งงาน อาจจะต้องใช้เวลา ความพยายามและความอดทนมาก แต่ก็จะทำให้เรามั่นใจจริงๆ และสามารถถือหุ้นบริษัทได้อย่างสบายใจเหมือนกับการอยู่กับคนที่เราเลือกมาแล้วอย่างดีนั่นเอง
ขั้นตอนแรก เวลาเราจะเลือกใครสักคนเราก็ต้องไปจีบเขาถูกไหม แต่ก่อนจะจีบเราก็น่าจะมีจุดที่เราประทับใจคนคนนั้นก่อน การที่เราประทับใจใครสักคนก็อาจจะมาจากหลายๆ สาเหตุ เช่น เราไปเที่ยวกับเพื่อนเราแล้วเจอเพื่อนของเพื่อนที่สวยน่ารักมากแล้วเราถูกใจ เราเจอสาวสวยน่ารักคนหนึ่งตอนเรากำลังขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านทุกวันจนอยากจะรู้จักกัน เราถูกใจสาวดาวคณะที่ใครๆ ก็อยากจีบ หรือสำหรับบางคนอาจจะเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมาแล้ววันหนึ่งเราพบว่าเราไม่ได้อยากจะเป็นแค่เพื่อนแล้วก็ เลยตัดสินใจขอเปลี่ยนสถานะ
สำหรับหุ้น การที่เรารู้จักหุ้นสักตัวอาจจะมาจากการที่เราถามเพื่อนแล้วเพื่อนแนะนำหุ้นเด็ดมาให้ การค้นพบหุ้นจากกิจการที่เราใช้บริการทุกวันแล้วพบว่าคนซื้อของเขาเยอะมาก เราเลยสนใจว่าบริษัทอยู่ในตลาดหุ้นไหม ไม่ก็อาจจะเป็นหุ้นดังที่ใครต่อใครพูดถึง หรือเราทำงานแล้วพบว่าเรามีความสุขในการทำงานดี กิจการบริษัทก็ดีวันดีคืน แล้วพอดีบริษัทเราเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีก แบบนี้เราก็อาจจะอยากเปลี่ยนสถานะจากแค่พนักงานเป็นเจ้าของกิจการบางส่วน ผ่านการถือหุ้นของบริษัทก็ได้
เมื่อเริ่มประทับใจแล้วก็ต้องทำความรู้จักกันเพิ่มขึ้น ปกติเวลาเราอยากรู้จักใครมากขึ้นก็อาจจะหาทางเข้าไปทำความรู้จัก อาจจะให้เพื่อนแนะนำให้ เดินเข้าไปลองถามเวลาหรือเส้นทางแล้วหาทางคุยยาวๆ ต่อ ไปซื้อบัตรจับมือ หรือเริ่มคุยแบบเพื่อนไปก่อนแต่ก็ดูท่าทีและแสดงออกบ้างว่าเราสนใจเขา เป็นต้น สำหรับหุ้นเวลาเราอยากจะทำความรู้จักมากขึ้นอาจจะง่ายกว่านั้นมาก เพราะสามารถดูข้อมูลบริษัทหลายๆอย่างได้จาก Factsheet ที่รวบรวมข้อมูลโดยสรุปในหน้าเดียวของหุ้นไว้ ทั้งลักษณะธุรกิจ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ รายชื่อคณะกรรมการบริษัท วันที่เข้า IPO ราคา PAR งบการเงินแบบ
สรุป (แต่ก็สามารถดูตัวเต็มเพิ่มได้ด้วย) อัตราส่วนทางการเงินแบบคร่าวๆ และข้อมูลเบื้องต้นอื่นๆ พอจะทำให้เราได้ทำความรู้จักกับบริษัทที่เราสนใจได้ดีมากขึ้น
พอเริ่มทำความรู้จักแล้วขั้นต่อไปคือทำความคุ้นเคยและศึกษากันในเชิงลึกมากขึ้น ถ้าเป็นคนที่เราจีบก็อาจจะลองคุยกันบ่อยๆ หาเวลาไปทานข้าว ดูหนัง หรือไปเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น สำหรับหุ้นการรู้จักกันในเชิงลึกขึ้นก็อย่างเช่น ลองหารายงานประจำปี หรือ แบบ 56-1 มาลองอ่านดู ในนี้บอกเรื่องราวทุกอย่างของบริษัท เช่น ลักษณะของธุรกิจ รายได้และกำไรในปีล่าสุดเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราส่วนรายได้และกำไรของบริษัทตามธุรกิจที่มี เช่น บริษัทสร้างบ้านก็มีรายได้จากการสร้างบ้านขาย แต่ก็มีรายได้จากส่วนที่ทำเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ให้เช่าด้วย เป็นต้น ส่วนนี้จะบอกถึงว่าบริษัทมีการกระจายความเสี่ยงของรายได้หรือไม่ และรายได้ส่วนไหนส่งผ่านมาเป็นกำไรมากกว่ากัน | ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2003 | Finance | บทเรียนที่คุณได้รับจากการขาดทุนหลักสิบล้าน | null | เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนที่เริ่มต้นมาก็คล้ายๆ กับทุกคนคือ เป็นนักลงทุนที่มีความ “ฝัน” เข้าตลาดหุ้นมาเพราะอยากรวยเร็ว แต่แล้วเหตุการณ์มักจะไม่เป็นไปตามที่คาดคิด เหมือนนักลงทุนส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาในวงการก็ต้องจ่าย “ค่าครู” ก่อนที่จะได้พบกับความสำเร็จ
ค่าครูรอบนั้นเป็นเงินหลักสิบล้านที่ขาดทุนจากการเล่นหุ้นสื่อฯ ตัวหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน หุ้นสื่อฯ ตัวนั้นเป็นหุ้นที่กำลังร้อนแรงจาก Story การ Turnaround ธุรกิจ มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารใหม่ และผลประกอบการก็กำลังอยู่ในขาขึ้น
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หุ้นตัวนั้น ประกาศเข้าลงทุนธุรกิจทีวีดิจิตอล ส่งผลให้ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนัก จากเลข 2 หลัก ลงไปเหลือ 1 หลัก และสุดท้ายลงไปเหลือหลัก “สตางค์”
สุดท้ายตัวเขารอดชีวิตมาจากหุ้นตัวนี้ได้ ไม่ถึงกับ “หมดตัว” แต่ก็ต้องรับความผิดพลาดจากความ “โลภ” และความ “ไม่รู้” ของตนเอง จ่ายค่าครูเป็นจำนวนเงินมหาศาล
บทเรียนในครั้งนั้นได้สร้างเป็นกฎเหล็กของการลงทุนไว้ ขอนำมาแชร์ไว้ในพื้นที่ตรงนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับนักลงทุนคนอื่นๆ เรียนรู้จากความผิดพลาด และไม่ตกลงใน “กับดัก” ของตลาดทุนอันโหดร้าย
1. อย่ายุ่งกับไฟ
หุ้นตัวนั้นมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เรียกได้ว่าเป็น “ตัวพ่อ” ในวงการ ชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่วิกฤตปี ’40 เขาเอาตัวรอดมาได้ แต่หุ้นที่เขาเคยถือนั้นปัจจุบันแทบไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ นักลงทุนหลายคนต้องจบชีวิตเพราะเขา ในวันแถลงข่าวเขาคนนั้นก็อยู่ในงานด้วย ถึงกระนั้นด้วยความโลภที่บังตา นักลงทุนยังเชื่อว่า “เขาคนนั้น” ได้กลับตัวแล้ว … แต่ผลก็เป็นอย่างที่เห็น บทเรียนแรกของบทความนี้คือ อย่ายุ่งกับไฟ เพราะต่อให้คุณจะเก่งแค่ไหนก็อาจจะพลาดได้เสมอ แต่ถ้าคุณไม่เก่งคุณอาจจะถูกไฟคลอกตายทั้งเป็น
2. มีสติ อย่าโลภ
คนเรามักจะมั่นใจในตัวเองมากเกินไป เมื่อเราประสบความสำเร็จหลายๆ ครั้ง ติดต่อกัน ซึ่งในความเป็นจริงมันอาจจะเป็นเพียงโชคชะตาที่เล่นตลก แค่ชั่วคราวก็เป็นได้ อย่าให้โชคชะตาแปรเปลี่ยนเป็นความหายนะ การลงทุนต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา และมองโลกด้วยความเป็นจริง หุ้นเมื่อมีขึ้นย่อมต้องมีลง ความเก่งกาจของนักลงทุนหลายๆ ครั้งไม่ได้วัดกันที่ “ขาขึ้น” ว่าได้ไปเท่าไหร่ แต่วัดกันที่ “ขาลง” ว่าเสียไปเท่าไหร่มากกว่า คุณอาจกำไร 100% ใน 3 ปี แต่ถ้าคุณขาดทุน 80% ในปีถัดมา คุณจะแทบไม่มีอะไรเหลือเลย ต้องทำกำไร 150% เพื่อให้เท่าทุน และต้องทำกำไรถึง 400% เพื่อให้กลับอยู่ที่เดิมที่เคยกำไร ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก
3. อย่าซื้อหุ้นด้วยอารมณ์ และตัดสินใจถือต่อด้วยหลักการ
หลายคนซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรโดยไม่ได้ศึกษาข้อมูล แต่พอติดดอยเมื่อไหร่ เป็น “วีไอ” ขึ้นมาทันที มีเซียนคนหนึ่งเคยบอกว่า เราซื้อหุ้นด้วยเหตุผลอะไร ก็ควรขายด้วยเหตุผลเดียวกัน ซื้อเพื่อเก็งกำไร ถ้าขาดทุนก็ควรต้อง Cut loss ไม่ใช่ถือต่อแล้วก็บอกว่าพื้นฐานยังดี รอจนสายไปก็โดนไปหลายล้าน
4. เหนือฟ้ายังมีฟ้า
อย่าคิดว่าตนเองรู้ อย่าคิดว่าเราเข้าใจทุกอย่างดีทั้งหมด เพราะในบางครั้งแม้แต่ตัวผู้บริหารบริษัทซึ่งรู้ข้อมูลบริษัทตัวเองดี ยังบอกไม่ได้ว่าราคาหุ้นควรเป็นเท่าไหร่ เราเป็นนักลงทุนข้างนอก ไม่ได้มีข้อมูลภายใน แต่กลับบอกได้ว่าหุ้นควรจะวิ่งไปราคาเท่าไหร่? มันแปลกไปไหม … สุดท้ายตลาดนี่แหละที่เป็นคนตัดสินว่าใครควรแพ้ไป และใครควรได้ไปต่อ
5. ไม่ขาย ไม่ขาดทุน มีแค่ในฝัน
หุ้นที่ดีซื้อแล้วต้องขึ้น แต่คนมักจะถือหุ้นที่ลงเก็บไว้ แล้วขายหุ้นที่ขึ้นทำกำไรทิ้งไป แล้วก็มาบอกว่าไม่ขาย ยังไม่ขาดทุน แน่นอนถ้าหุ้นตัวนั้นดีอาจจะกลับมาได้และไม่ขาดทุนจริงๆ ประเด็นอยู่ที่ว่า แล้วหุ้นในตลาดไทยมี “หุ้นดี” แบบนั้นมากแค่ไหน? จะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นที่เราถืออยู่ถือหุ้นดี ถ้าไม่ได้มีข้อมูลมากเพียงพอ ตัดใจขายแล้วยอมรับขาดทุน เพื่อมาเริ่มต้นใหม่ ดีกว่าต้องช้ำใจอยู่กับหุ้นแย่ๆ ไปอีกแรมปี | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2004 | Finance | ขอแนวคิดของเรื่อง "เบื้องหลังสมองของบิล: สัมผัสด้วยวิสัยทัศน์" | null | "Inside Bill’s Brain" เป็นซีรีส์สารคดีที่ออกอากาศบน Netflix ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างภาพรวมเกี่ยวกับชีวิตและความคิดของบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งของไมโครซอฟท์และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งของมูลนิธิและธุรกิจต่าง ๆ ที่มีผลกระทบอย่างมากในโลกเทคโนโลยีและสังคมในสมัยนี้
แนวคิดหลักของ "Inside Bill’s Brain" คือการสำรวจและตีความเกี่ยวกับกระบวนการคิดของบิล เกตส์ ว่าเขาเป็นอย่างไร วิสัยทัศน์และความเชื่อของเขาเป็นอย่างไร โดยใช้วิธีการสัมผัสและการสัมภาษณ์กับบิล เกตส์เอง รวมถึงบุคคลในวงการและครอบครัวของเขา เพื่อให้เกิดภาพคร่าวๆ ของวิธีการคิดและการทำงาน
นอกจากนี้ "Inside Bill’s Brain" ยังสร้างแนวคิดเกี่ยวกับการเป็นผู้นำและการสร้างองค์กรใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งมองเห็นได้จากความสำเร็จของไมโครซอฟท์และกิจกรรมที่มูลนิธิที่เขาก่อตั้งได้ทำ เช่นมูลนิธิเกตส์ มูลนิธิที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญในโลก เช่น การสร้างสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
ด้วยการผสมผสานระหว่างการสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นวิธีการที่เข้าถึงข้อมูลจากแหล่งที่มีนักวิจัยต่างๆ และภาพยนตร์ที่สวยงามและน่าสนใจ ซีรีส์นี้สร้างความสนใจและแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมที่สนใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับบริบทที่แตกต่างของการคิดและการปฏิบัติของผู้นำที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจและการกุศลอย่างบิล เกตส์ | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2008 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงวิธีดูแนวโน้มอย่างเซียน แบบวิเคราะห์จากการทำ New high (ขาขึ้น) หรือ New low (ขาลง) ไม่ถูกต้อง | a. มีการทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) หรือไม่
b. การทำ New High คือ การที่ราคาปิดเหนือยอดราคาเก่า
c. ให้ความแม่นยำที่สูง
d. ลากเส้นแนวโน้มด้วยตัวเอง
e. ราคาต้องมีการปิดตัวตํ่ากว่าจุดทดสอบเส้นตรง
ก่อนหน้า | ข้อที่ถูกต้องคือ d. เพราะว่า เพราะการลากเส้นแนวโน้มด้วยตัวเอง เป็นวิธีดูแนวโน้มอย่างเซียน แบบการตีเส้นแนวรับ แนวต้าน วิธีนี้ต้องใช้ประสบการณ์พอสมควร โดยวิธีนี้เป็นการลากเส้นแนวโน้มด้วยตัวเองหรือการลากเส้น Moving Average ด้วยตัวเอง แต่จะให้ผลที่ไวกว่า Moving Average ซึ่งแนวรับคือเส้นที่ตามไปกับแนวโน้ม แนวต้านก็คือเส้นที่ขัดหรือตั้งอยู่เหนือแนวโน้ม
ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นวิธีดูแนวโน้มอย่างเซียน แบบวิเคราะห์จากการทำ New high (ขาขึ้น) หรือ New low (ขาลง) วิธีนี้ไม่ได้มีหลักการที่ถึงกับเป็นขั้นเป็นตอนเป๊ะ ๆ ต้องอาศัยประสบการณ์การสังเกตและการดูบ่อยๆ แต่ก็ให้ความแม่นยำที่สูง ซึ่งหลักการของวิธีนี้ก็คือ การดูว่าการมีการทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) หรือจุดตํ่าสุดใหม่ (New Low) หรือไม่
การทำ New High สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันการทำ New High ก็คือแนวต้านเส้นตรงหรือเส้น “จุดทดสอบก่อนทำ New High” หากผ่านไปได้ก็ถือว่ามีการทำ New High เพราะการทำ New High คือการที่ราคาปิดเหนือยอดราคาเก่า โดยอาจจะเข้าซื้อในราคาช่วง Sideway ถัดไปซึ่งเป็นช่วงที่ราคาพักตัว โดยวิธีนี้จะทำให้ซื้อหุ้นได้ในราคาที่ไม่แพงเกินไป
ส่วนการทำ New Low concept เดียวกันคือ ราคาต้องมีการปิดตัวตํ่ากว่าจุดทดสอบเส้นตรงก่อนหน้า โดยการทำ New Low หมายถึงการที่ราคาปิดตํ่ากว่าฐานราคาเก่า (จุดทดสอบก่อนทำ New Low) จากนั้นจึงเข้าขาย (sell) ในจุด sideway ช่วงถัดไป โดยจะทำให้ขายในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป | ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2009 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Leverage Buyout | null | Leverage Buyout คือ การกระทำของผู้บริหารที่กู้เงินมาเทคโอเวอร์บริษัทซึ่งไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่มาควบคุมบริษัท เป็นการปลดปล่อยคุณค่าหุ้นจากผู้บริหารบริษัทที่รู้คุณค่าของหุ้นจริง ๆ โดยจะสามารถทำได้นั้น ต้องขึ้นอยู่กับมูลค่าพื้นฐานของบริษัทที่สูงกว่าราคาหุ้น เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยเงินกู้ให้ผู้บริหารเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดอย่างเพียงพอ เมื่อซื้อหุ้นได้แล้ว ผู้บริหารจะปล่อยทรัพย์สินให้ตนเอง
บทเรียนจากย่อหน้านี้
การปลดปล่อยคุณค่าของหุ้นที่ทำโดยผู้บริหารบริษัทที่มักจะรู้คุณค่าหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นจริงอีกแบบหนึ่งก็คือการที่ผู้บริหารทำ Leverage Buyout หรือผู้บริหารกู้เงินมาเทคโอเวอร์บริษัทที่ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่อื่นที่ควบคุมบริษัทอยู่ การทำแบบนี้ได้ก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าพื้นฐานของกิจการที่ต้องสูงมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินยอมปล่อยเงินกู้ให้กับผู้บริหารเพียงพอที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท เมื่อซื้อหุ้นได้ทั้งหมดแล้ว ผู้บริหารก็มักจะต้องปลดปล่อยทรัพย์สินออกมาให้กับตนเอง เช่นจ่ายปันผลมโหฬารให้กับตนเองที่เป็นผู้ถือหุ้นเพื่อไปคืนหนี้ หรือขายทรัพย์สินบางส่วนที่ขายได้ง่ายเพื่อนำเงินนั้นมาจ่ายคืนหนี้ด้วย การทำ Leverage Buyout นั้น เพื่อที่จะดึงดูดให้นักลงทุนเทนเดอร์หรือขายหุ้นให้กับผู้บริหาร เขาก็มักจะต้องเสนอราคาค่อนข้างสูงในระดับ 50% บวกเหนือราคาตลาดในขณะนั้น และนี่ก็เป็นการปลดปล่อยคุณค่าหุ้นได้ค่อนข้างมาก ในตลาดหุ้นไทยนั้นยังมีกรณีแบบนี้ไม่มากแต่ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2012 | Finance | ช่วยสรุปบทความ NVDR คืออะไร? ตอบแบบเข้าใจง่ายๆ | NVDR คืออะไร?
แปลแบบเป็นทางการ NVDR ย่อมาจาก Non-Voting Depository Receipt ภาษาไทยคือ ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย
แปลง่ายๆ ถ้าเกิดเราซื้อ NVDR ของหุ้นตัวหนึ่งไป เราจะมีสิทธิได้รับผลประโยชน์จากหุ้นตัวที่ซื้อไปเหมือนกับการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทุกประการ เช่น การได้รับเงินปันผล, กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) และสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน
การซื้อขาย NVDR ทำได้เหมือนหุ้นทั่วไป คือ ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ และซื้อที่ราคาเท่ากับราคาตลาด
แต่ว่า… สิ่งที่แตกต่างของสิทธิของ NVDR กับสิทธิของผู้ถือหุ้นทั่วไปคือ ผู้ถือ NVDR ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนใดๆในการประชุมผู้ถือหุ้น ก็เป็นไปตามชื่อที่บอกว่า “Non-voting” Depository Receipt
แล้ว NVDR มีไว้ทำอะไร?
อ้างอิงตามข้อมูลบนเว็บของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย1 NVDR มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพราะโดยทั่วไปถ้าชาวต่างชาติซื้อขายบนกระดานทั่วไป (Local Share) จะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล2 ดังนั้นจึงมีทางเลือกให้ซื้อขายผ่านกระดานต่างประเทศ (Foreign) หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR) แทน
แต่การลงทุนของคนต่างชาติก็มีเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามอยู่ ได้แก่ นักลงทุนต่างชาติจะมีลิมิตในการถือครองหุ้นตัวหนึ่งๆอยู่ เช่น ในกรณีหุ้นทั่วไป รวมชาวต่างชาติทั้งหมดต้องถือหุ้นไม่เกิน 49% ของหุ้นตัวนั้น ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงิน ถือได้ไม่เกิน 25% เป็นต้น3 อีกเงื่อนไขหนึ่งคือ คนคนหนึ่งจะถือ NVDR ได้ไม่เกิน 25% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของหุ้นตัวนั้นๆ4
อย่างไรก็ตาม ถึง NVDR จะมีไว้เพื่อส่งเสริมการลงทุนของคนต่างชาติ แต่คนไทยก็สามารถซื้อ NVDR ได้เหมือนกัน ไม่ได้จำกัดการซื้อขายเฉพาะนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น | NVDR คืออะไร?
NVDR (Non-Voting Depository Receipt) คือ ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ของหุ้นไทย ผู้ถือ NVDR มีสิทธิรับผลประโยชน์เหมือนหุ้นทั่วไป การซื้อขาย NVDR เหมือนหุ้นทั่วไป ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ และไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น
แล้ว NVDR มีไว้ทำอะไร?
NVDR (Non-Voting Depository Receipt) เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ได้รับสิทธิได้รับเงินปันผลเมื่อซื้อขายหุ้นทั่วไปบนตลาดไทย นักลงทุนต่างชาติสามารถเลือกที่จะซื้อขายผ่านตลาดต่างประเทศหรือผ่าน NVDR เพื่อได้รับผลประโยชน์จากหลักทรัพย์ไทยโดยไม่ได้สิทธิในการลงคะแนนในประชุมผู้ถือหุ้น ทาง NVDR ถือเป็นวิธีที่ทำให้การลงทุนในหลักทรัพย์ไทยเป็นไปอย่างยืดหยุ่นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในหลักทรัพย์ไทยมีเงื่อนไขในการถือหุ้น โดยไม่เกิน 49% ในกรณีหุ้นทั่วไปและไม่เกิน 25% ในกรณีธนาคารและสถาบันการเงิน นอกจากนี้ คนไทยก็สามารถซื้อขาย NVDR ได้โดยไม่มีข้อจำกัดในการซื้อขายเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ | ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2015 | Finance | กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้นที่ถูก Disrupt หรือไม่ จงอธิบาย | null | กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) นั้น อาจจะ เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้นที่ถูก Disrupt ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
เหตุผลที่ VI อาจจะเหมาะสม:
VI มุ่งเน้นไปที่การซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐาน: หุ้นที่ถูก Disrupt มักมีราคาตกลงมาอย่างมาก
VI มองหุ้นที่มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง: ถึงแม้ว่าธุรกิจจะถูก Disrupt แต่หากยังมีจุดแข็งและสามารถปรับตัวได้ ก็อาจจะกลับมาเติบโตได้
VI มองระยะยาว: การ Disrupt มักใช้เวลา
อย่างไรก็ตาม VI จำเป็นต้อง:
วิเคราะห์อย่างละเอียด:
ประเมินความรุนแรงของ Disruption
ศักยภาพของธุรกิจในการปรับตัว
ระยะเวลาที่ธุรกิจจะกลับมาเติบโต
อดทนรอ:
หุ้นที่ถูก Disrupt อาจจะใช้เวลานานกว่าหุ้นทั่วไปในการกลับมาเติบโต
ตัวอย่าง:
หุ้นธนาคาร: ถูก Disrupt จาก Fintech แต่ยังมีธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง
หุ้นค้าปลีก: ถูก Disrupt จาก e-Commerce แต่ยังมีจุดแข็งในเรื่องหน้าร้านและสินค้าเฉพาะกลุ่ม
ข้อควรระวัง:
ไม่ใช่ทุกหุ้นที่ถูก Disrupt จะกลับมาเติบโต:
ธุรกิจบางประเภทอาจจะถูก Disrupt จนหายไป
บางธุรกิจอาจจะใช้เวลานานมาก
การวิเคราะห์หุ้นที่ถูก Disrupt นั้นยาก:
จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์
ข้อมูลบางประเภทอาจจะหายาก
สรุป:
VI อาจจะเหมาะกับการลงทุนในหุ้นที่ถูก Disrupt แต่ต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด อดทนรอ และรับความเสี่ยงได้ | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2017 | Finance | กรุณาสรุปบทความเรื่อง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อวางแผนการลงทุน | ปกติถ้าเป็นการวางแผนเรื่องใกล้ตัว เราจะรู้โดยอัตโนมัติอยู่แล้วว่าจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง อย่างเช่น วางแผนจะไปดูหนังกับเพื่อน ก็ต้องนัดวัน นัดว่าจะดูเรื่องอะไร ดูที่ไหน แล้วก็แค่ไปเจอกัน…จบ หรือจะวางแผนลดน้ำหนัก เราก็รู้ว่าต้องออกกำลังกาย ต้องกินของทอดของหวานให้น้อยลง แต่พอเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้นอย่างเรื่องการลงทุน หลายคนก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ไม่รู้ว่าต้องเอาเรื่องอะไรมาคิดบ้าง จนบางคนก็ตัดปัญหาไม่ลงทุนเสียเลย เพราะคิดว่าตัวเองยังมีความรู้ไม่พอ ซึ่งจริงๆ แล้วการวางแผนการลงทุนมันไม่ได้ยากขนาดนั้น มันมีโมเดลง่ายๆ ที่จะช่วยปูพื้นฐานเรื่องความรู้ความเข้าใจในการลงทุนอยู่ สุดท้ายแล้วการวางแผนการลงทุนไม่ว่าจะไปลงทุนในอะไรก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมันก็สรุปเหลือแค่ 3 อย่างนี้นี่แหละ เป็น 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการลงทุนของเรา ได้แก่ ระยะเวลา เงินต้น และ ผลตอบแทน 1. ระยะเวลา “เวลา” ถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการลงทุน ถ้าหากเปรียบเทียบจำนวนเงินที่เท่ากัน คนที่ฝากเงินในธนาคาร 10 ปี ย่อมได้เงินเยอะกว่าคนที่ฝากเงินในธนาคาร 5 ปีแน่นอน ยิ่งเรามีเวลาลงทุนมาก ผลตอบแทนที่จะทบต้นในแต่ละปีก็จะมากตาม ไม่ใช่เฉพาะเงินฝากเท่านั้น แต่รวมถึงการลงทุนในหุ้นที่เติบโตขึ้นทุกปี หรือกองทุนที่มีผลการดำเนินงานดีอย่างต่อเนื่องด้วย (ไม่นับหวย ยิ่งเล่นนานอาจจะยิ่งจน ใครสนใจเรื่องการเล่นหวยเป็นพิเศษ เชิญไปต่อได้ที่บทความนี้ครับ) การที่เรารู้ว่าเรามี “เวลา” มากน้อยแค่ไหน จะช่วยให้การออกแบบแผนการลงทุนของเราง่ายขึ้น บทความนี้ หมายเหตุ: เวลาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ก่อนตายอะไรทำนองนั้น แต่หมายถึงเวลาที่เราตั้งไว้ว่าใช้ในการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะตั้งเป้าเกษียณในอีก 20 ปีข้างหน้า หรือบางคนอาจจะตั้งเป้าออมเงินมาจ่ายค่าเทอมลูกในอีก 3 ปีข้างหน้าก็ได้ หมายเหตุ 2. เงินต้น จากกรณีฝากเงินในธนาคารข้างบน คนที่ฝากมา 5 ปีอาจจะได้เงินมากกว่าคนที่ฝากมา 10 ปีก็ได้ ถ้าเขาฝากเงินสักหนึ่งล้าน ส่วนคนที่ฝาก 10 ปีฝากไว้แค่แสนเดียว ปัจจัยที่ 2 ที่สำคัญไม่แพ้ระยะเวลา คือ “เงินเริ่มต้นที่ใช้ในการลงทุน” จำนวนเงินตั้งต้นในการลงทุนยิ่งมีมากยิ่งดี ซึ่งเงินต้นในที่นี้รวมถึงเงินที่เราอาจจะลงทุนเพิ่มในทุกๆ เดือนด้วย เริ่มแรกเราอาจจะลงทุนน้อย แต่พอมีมากขึ้นค่อยลงทุนตามไป แบบนี้ก็นับเป็นการเพิ่มเงินต้นเหมือนกัน ยิ่งเราทยอยลงทุนเพิ่มมากเท่าไร มันก็จะเป็นเหมือนตัวคูณที่ทำให้เราถึงเป้าหมายได้ไวขึ้น แต่ถ้าเกิดว่าเรามีเงินต้นในการลงทุนน้อยจริงๆ ล่ะ จะมีปัญหาอะไรมั้ย? คำตอบคือ ไม่มีปัญหา เพราะเงินต้นมันไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จ มันยังมีปัจจัยเรื่องระยะเวลาที่เราลงทุน (อย่างที่บอกไว้ในข้อแรก) และยังมีเรื่องของอัตราผลตอบแทน ที่จะกล่าวถึงในข้อต่อไปด้วย 3. ผลตอบแทน ปัจจัยข้อสุดท้ายในการวางแผนการลงทุน คือ “อัตราผลตอบแทน” ถ้าเรามีระยะเวลาในการลงทุนน้อยจริงๆ แถมเงินต้นก็มีไม่มาก สิ่งที่เราทำได้ถ้าอยากจะได้เงินจากการลงทุนเยอะๆ คือการเลือกลงทุนในที่ที่ให้ผลตอบแทนสูง ถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องผลตอบแทนให้เห็นภาพชัดๆ ขอเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์กับกองทุน ละกัน ดอกเบี้ยเงินฝาก ณ วันที่เขียนบทความอยู่ที่ 0.5% คือฝากเงิน 1,000 บาท ครบ 1 ปีได้กลับมา 1,005 บาท ส่วนกองทุนโดยเฉลี่ยแล้วคาดหวังผลตอบแทนต่อปีอยู่ที่ประมาณ 8% คือฝากเงิน 1,000 บาท ได้กลับมา 1,080 บาท ผลตอบแทนต่างกันประมาณ 16 เท่าเลยทีเดียว ถ้าจะฝากเงินให้ได้ผลตอบแทน 80 บาทเท่ากับกองทุน เราก็ต้องฝากเงินถึง 16,000 บาท ดังนั้นการเลือกลงทุนในที่ที่ให้ผลตอบแทนสูง ก็สำคัญไม่แพ้ปัจจัยเรื่องระยะเวลาและเงินต้น แต่การเพิ่มเฉพาะอัตราผลตอบแทนให้สูงอย่างเดียวก็เป็นวิธีที่ไม่แนะนำให้ทำ เพราะยิ่งผลตอบแทนสูง ก็ยิ่งเสี่ยงสูง โอกาสผันผวนมีมาก ทางที่ดีควรจะให้ความสำคัญกับ ระยะเวลา เงินต้น ผลตอบแทน อย่างละเท่าๆ กันและเลือกลงทุนในความเสี่ยงที่เรายอมรับได้จะดีที่สุด ข้อสังเกต อัตราผลตอบแทนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ชนิดเดียว แต่หมายถึงผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของเรา ซึ่งอาจจะมีหุ้น กองทุน เงินฝาก ปะปนกันอยู่ในนั้น แล้วค่อยเฉลี่ยแต่ละอันออกมาเป็นผลตอบแทนต่อปี ซึ่งการกระจายความเสี่ยงลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ จะช่วยให้ผลตอบแทนของเราผันผวนน้อยลง ซึ่งทำให้เราวางแผนอนาคตได้ง่ายขึ้น | สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อวางแผนการลงทุน
1) ระยะเวลาที่เราตั้งว่าจะใช้ในการบรรลุเป้าหมาย ยิ่งมีเวลาลงทุนมาก ผลตอบแทนที่จะทบต้นในแต่ละปีก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
2) เงินเริ่มต้นที่ใช้ในการลงทุน ยิ่งจำนวนเงินตั้งต้นในการลงทุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี
3) อัตราผลตอบแทนรวมในสิ่งที่เราจะลงทุน โดยเลือกลงทุนในที่ที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่า ยิ่งผลตอบแทนสูง ก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูง และมีโอกาสผันผวนมาก
เราจึงควรให้ความสำคัญกับทั้งระยะเวลา เงินต้น และผลตอบแทนเท่ากันและเลือกลงทุนในความเสี่ยงที่เรายอมรับได้จึงจะดีที่สุด | ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2018 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 | null | การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 จะมีแค่คนเล่นหุ้นระดับบิ๊ก ๆ ที่เข้ามาหาเงินจากตลาดหุ้น และนักลงทุนรายย่อยที่ชอบเก็งกำไรหรือไม่ก็ชอบเล่นการพนัน ส่วนคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นในสมัยนั้นยังไม่ค่อยมี ในสมัยนั้นการเล่นหุ้นก็คือ การอ่านข่าวสารที่เป็นกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ และ ข้อมูลภายในที่เกี่ยวกับผลประกอบการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลที่ได้มาจากนักลงทุนรายใหญ่อีกด้วย
บทเรียนจากย่อหน้านี้
สมัยก่อน คือช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 เป็นเวลา 22 ปี นั้น คนที่ “ลงทุนในตลาดหุ้น” นั้น แทบจะเรียกว่าไม่มี มีแต่คน “เล่นหุ้น” ที่เป็น “รายใหญ่” หน่อยก็มักเป็นคนทำธุรกิจที่ชอบเก็งกำไรและมีเงินมากหน่อยก็จะเข้ามาเล่นหาเงินจากตลาดหุ้น นักลงทุนที่เหลือก็คือนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยที่มักจะเป็นแม่บ้านหรือคนที่ชอบเก็งกำไรหรือเล่นการพนัน คนที่เป็นพนักงานบริษัทที่จะเล่นหุ้นนั้นจะมีก็แต่คนที่อยู่ในวงการการเงินและหลักทรัพย์ การเล่นหุ้นนั้นมักจะอาศัยข่าวสารข้อมูลที่เป็นเรื่องของภาพใหญ่และเหตุการณ์และกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ “ข้อมูลภายใน” เกี่ยวกับผลประกอบการและการเข้ามาเล่นของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ | ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2021 | Finance | ประโยชน์ของตราสารอนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยง มีอะไรบ้าง | null | ประโยชน์ของตราสารอนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยง
1. สำหรับนักลงทุนทั่วไป
นักลงทุนทั่วไปสามารถนำตราสารอนุพันธ์มาลดผลการขาดทุนจากการลงทุนได้ โดยวิธีการใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงอาจจะเข้าใจยาก ตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อหุ้น X ไว้ที่ราคา 10 บาท เพราะหวังว่าราคากำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 บาท แล้วก็จะได้กำไร 20% แต่สมมติว่าราคาหุ้นเกิดลดลงเป็น 8 บาท ก็จะขาดทุน 20% ดังนั้น ถ้าอยากจะลดความเสี่ยงในการลงทุนครั้งนี้ อาจจะซื้อหุ้น X พร้อมกับทำสัญญา Futures ขายหุ้น X ที่ราคา 12 บาทไว้ หรือเรียกอีกแบบคือซื้อ Put Option (สิทธิ์ในการขาย) หุ้น X ไว้ที่ราคา 12 บาท ต่อให้มูลค่าหุ้น X จะลดลงเป็น 8 บาท ก็จะได้กำไรจาก Futures หรือ Option มาชดเชยที่เสียไป คือ ขาดทุนจากการขายหุ้น X ในตลาดหุ้นทั้งหมด 20% (ซื้อมา 10 บาท ขายได้แค่ 8 บาท) แต่ได้กำไรจากตลาด TFEX 20% มาชดเชย (ซื้อมา 10 บาท ขายให้กับคู่สัญญา 12 บาท) ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูสัดส่วนอีกที ว่าแบ่งระหว่างซื้อหุ้นปกติกับซื้อสัญญาอย่างไร ถ้าทำสัญญาไว้ในสัดส่วนที่น้อยกว่า ก็จะขาดทุนนิดหนึ่งในช่วงเวลาที่หุ้นตก นั่นหมายความว่าหากสัดส่วนเท่ากันระหว่างซื้อหุ้นปกติ กับซื้อสัญญา ก็จะหมายความว่าจะไม่ได้ทั้งกำไรทั้งขาดทุน
2. สำหรับนักลงทุนสถาบัน
นักลงทุนสถาบันที่ต้องจ่ายเงินคืนให้กับผู้ที่ลงทุนในกองทุนในกำหนดเวลาแน่นอน เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Provident Fund, PVD) ก็สามารถใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อรับประกันว่าจะมีเงินก้อนมากพอที่จะมาจ่ายให้ผู้ลงทุนได้ในกำหนดเวลา เช่น กอง PVD กองหนึ่งต้องการใช้เงิน 1,000 ล้านบาทในอีก 1 ปี เพราะจะมีผู้อยู่ในกองทุนที่ครบอายุการลงทุน (อายุ 55 ปี) แล้วจะถอนเงินออกจากกองทุน แต่ผู้จัดการกองทุนไม่แน่ใจว่าราคาหุ้นในอีก 1 ปีจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงทำให้อาจจะไม่สามารถจ่ายเงินให้ผู้ลงทุนได้ตามจำนวน 1,000 ล้านบาทได้ถ้าราคาหุ้นลดลง ผู้จัดการกองทุน PVD จึงอาจจะซื้อตราสารอนุพันธ์ไว้ในจำนวนหนึ่งเพื่อตรึงราคาขายของหุ้นไว้ที่ราคาปัจจุบันเพื่อให้ได้เงิน 1,000 ล้านบาทตามที่ต้องการในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องกังวลว่าราคาหุ้นจะลดลง เป็นต้น
3. สำหรับผู้ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
สำหรับผู้ทำธุรกิจที่ต้องนำเข้าหรือส่งออก ก็สามารถนำตราสารอนุพันธ์มาใช้ประโยชน์ในการควบคุมต้นทุนการนำเข้า (กรณีเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า) หรือรักษารายได้จากการส่งออกสินค้า (กรณีเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า) ได้เช่นกัน โดยการทำการซื้อตราสารอนุพันธ์ของอัตราแลกเปลี่ยนไว้บางส่วน เป็นต้น | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2025 | Finance | ถ้าอยากประหยัดขึ้น ไม่อยากใช้เงินเยอะเกินความจำเป็น ต้องทำอย่างไร | null | ถ้าอยากประหยัดขึ้น ไม่อยากใช้เงินเยอะเกินความจำเป็น ก็ต้องรู้ทันความคิดตัวเองอยู่เสมอ ช่วงแรกการหักห้ามใจอาจจะทำได้ยาก แต่ถ้าฝึกทำให้ได้บ่อยๆ ก็จะหักห้ามใจได้ง่ายขึ้น ทุกครั้งที่เกิด “ความอยาก” ลองถามตัวเองดูว่า สิ่งที่กำลังจะจ่ายเงินซื้อมันมีประโยชน์กับตนเองจริงๆ หรือไม่ มันจำเป็นกับตนเองจริงๆ หรือไม่ หรือมันแค่ความสุขชั่วคราว และกำลังจะส่งผลร้ายในอนาคต อย่าลืมว่า “สิ่งที่ให้ความสุข” ไม่ใช่ “สิ่งที่จำเป็น” เสมอไป ถ้าอยากเก็บเงินให้ได้เยอะขึ้น อย่าเชื่อสมองของตัวเองมาก
ถ้ามีสติ แล้วแยกแยะได้ว่าสิ่งที่กำลังอยากอยู่ตอนนี้ มันจำเป็นกับตนเองจริงๆ หรือเป็นแค่การไล่ตามความสุขระยะสั้น ก็จะสามารถควบคุมชีวิตของตนเองได้ดีขึ้น รวมถึงเรื่องการเงินก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะได้เปลี่ยนจากการมองหาความสุขแบบเร่งด่วน (instant gratification) ให้กลายเป็นการมองหาความสุขในระยะยาว (delayed gratification) เรียบร้อยแล้ว จริงอยู่ที่ไม่สามารถกำจัดความอยากซื้อนู่นซื้อนี่ออกไปจากสมองได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สมองจะบอกให้ไล่ตามความสุขอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้ถ้าอยากให้ชีวิตดีขึ้น คือ ต้องมีสติ แยก “สิ่งที่ให้ความสุข” กับ “สิ่งที่จำเป็น” ออกจากกันให้ได้ | ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2030 | Finance | รูปแบบราคา Ascending Triangle กับ Descending Triangle บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา (Trend Reversal) หรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. รูปแบบราคา Ascending Triangle และ Descending Triangle เป็นรูปแบบราคา "การต่อเนื่องของแนวโน้ม" (Trend Continuation) ไม่ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา เกิดขึ้นใน "ขาขึ้น" (Bullish Trend) โดยมีแนวต้านเป็นเส้นแนวนอน และแนวรับลาดขึ้น ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะ " breakout ขึ้น" ไปต่อ
2. รูปแบบ Descending Triangle เกิดขึ้นใน "ขาลง" (Bearish Trend) โดยมีแนวรับเป็นเส้นแนวนอน และแนวต้านลาดลง ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะ " breakout ลง" ไปต่อ
ทั้งสองรูปแบบ "ไม่ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา" เพียงแต่บอกถึง "การพักตัว" ของราคา ก่อนที่จะกลับมา "เคลื่อนที่ต่อในแนวโน้มเดิม" รูปแบบ Ascending Triangle และ Descending Triangle อาจจะ "พลิกกลับ" เป็นรูปแบบ "การเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา" ได้ แต่ต้องมี "สัญญาณยืนยันเพิ่มเติม" เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น หรือการ breakout ผ่านแนวต้าน/แนวรับ
ตัวอย่าง:
-Ascending Triangle:
ราคาหุ้น XYZ อยู่ในขาขึ้น และสร้างรูปแบบ Ascending Triangle ราคา breakout ขึ้นไปเหนือแนวต้าน
บ่งบอกถึง "การต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น" นักลงทุนอาจเข้าซื้อหุ้น XYZ "เพื่อเก็งกำไรขาขึ้น"
-Descending Triangle:
ราคาหุ้น ABC อยู่ในขาลง และสร้างรูปแบบ Descending Triangle ราคา breakout ลงไปต่ำกว่าแนวรับ
บ่งบอกถึง "การต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง" นักลงทุนอาจเข้าขายหุ้น ABC "เพื่อเก็งกำไรขาลง"
ข้อควรระวัง:
-รูปแบบ Ascending Triangle และ Descending Triangle เป็นเพียง"เครื่องมือช่วยวิเคราะห์"
-ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน
-นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด และวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เพิ่มเติม
สรุป:
รูปแบบราคา Ascending Triangle และ Descending Triangle "ไม่ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา" แต่เป็นรูปแบบ "การต่อเนื่องของแนวโน้ม" นักลงทุนควรใช้รูปแบบราคาเหล่านี้เป็น "เครื่องมือช่วยวิเคราะห์" ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2031 | Finance | ช่วยสรุปบทความ ฮาวทูทิ้งหุ้น? ทำยังไงเมื่อหุ้นที่ถือๆไว้ก็เจ็บ เก็บไว้ก็ไม่สปาร์คจอย | 5 วิธีฮาวทูทิ้งหุ้นที่ไม่ใช่กัน เห้อออ
วิธีที่ 1: ตัดใจแบบมีเหตุผล
สำหรับชาวนักลงทุนแนว VI หนึ่งในวิธีตัดใจก็คือ “การหาเหตุผล” ใช่ครับ เราต้องมีเหตุผลมาซัพพอร์ตการทิ้งหุ้นสักตัว อย่างเช่น อาจจะเป็นการที่ทางบริษัท ทำกำไรไม่ได้ตามเป้า ดังเช่นที่ผู้บริหารประกาศไว้ โดยเราอาจจะหาเหตุผลไปต่อว่า เพราะอะไร ทำไมถึงทำไม่ได้ ซึ่งถ้าเหตุผลไม่ได้ร้ายแรงเราอาจจะลองดูไปก่อน แต่ถ้าหากร้ายแรงอย่างเช่น การที่ต้องฟาดฟันกับคู่แข่งหน้าใหม่ จึงต้องทุ่มงบจำนวนมากเพื่อสู้ต่อจนกำไรถึงกับติดลบไปเลย เราอาจจะตัดทิ้งไปในเคสนี้
วิธีที่ 2: เผื่อใจไว้ก่อน
เตรียมใจหาวิธีออกไว้ก่อน เผื่อหุ้น (หรือคน) มันไม่ใช่แล้วจะได้ไม่เจ็บมาก วิธีนี้ออกแนว technical สักนิด โดยวิธีนี้เราอาจจะบริหารความเสี่ยงตามราคาหุ้นที่เราเข้าซื้ออย่างเช่น เรายินดีที่จะเสียเงินทุนได้เพียง 5% ของเงินที่เราลงทุนไป เราก็จัดการคำนวณราคาที่เข้าซื้อกับราคาตัดขาดทุน ตัวอย่างเช่น
เงินลงทุน 1,000,000 บาท ซื้อหุ้นที่ราคา 10 บาท ราคาที่ตัดขาดทุนก็จะเป็น 9.50 บาท หรือ 5% โดยเราจะเสียเงินเป็นจำนวน 50,000 บาท
วิธีที่ 3: เจ็บสักกี่ครั้งก็ไม่จำ (ยอมเจ็บซํ้าๆ)
วิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่แนะนำสักเท่าไร จริงๆ แล้วมันเป็นเทคนิคของการพนัน ซึ่งวิธีนี้ก็คือการมาติงเกล (Martingale) หลักการของวิธีการนี้ก็คือให้เราเข้าซื้อสวนทางที่ผิดไปเรื่อยๆ และ เพิ่มการเข้าซื้อในจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ตอนแรกเราอาจจะซื้อ 100 หุ้น แต่ถ้าเราเกิดผิดทาง เราก็เบิ้ลเป็น 200 หุ้น ซํ้าเข้าไป โดยวิธีการนี้เป็นการคาดหวังว่าในทางทฤษฎีแล้วเราต้องพนันถูกทางสักครั้ง และทุกครั้งที่เราเพิ่มการซื้อเข้าไปเรื่อยๆ ก็หมายความว่า ขอแค่ครั้งสุดท้ายที่เราซื้อ ราคาขึ้นไปถูกทาง ตัวสัญญาที่เราออกไปเยอะมากๆ ก็จะทำให้เรากำไรหรือหายขาดทุนทั้งหมด
วิธีที่ 4: รั้งไว้ไม่ให้เธอไป
วิธีไว้ใช้ในตลาดฟิวเจอร์ ที่ที่เราสามารถเปิดได้ทั้ง postion อย่าง long และ short โดยวิธีนี้เราจะทำการเปิด position ตรงกันข้ามกับที่เราเปิดไว้ผิดทางในตอนแรกตัวอย่างเช่น เราเปิด ซื้อ (long) ที่ 100 หุ้น เราอาจจะเปิด ขาย (short) ที่ 100 หุ้น โดยอาจจะมากหรือน้อยกว่านั้น ซึ่งให้เราทำเช่นนี้แล้วจะเป็นการ hedge หรือคานราคาไว้ ทำให้เราขาดทุนน้อยลงหรือไม่ขาดทุนเลย เนื่องจากจะมีจุดหนึ่งที่หากราคาวิ่งไปถึงแล้วทุกอย่างจะหักล้างกันพอดี
วิธีที่ 5: ยอมรับว่าเราเข้ากันไม่ได้
เป็นวิธีการที่อาจจะดูเห็นแก่ตัวไปสักนิดหากเรานำมาใช้กับความสัมพันธ์ แต่สำหรับ Money game แล้วตอนคุณเสียเงินยังไงก็ไม่มีใครเค้าแคร์คุณอยู่ดี วิธีการนี้เป็นการนำหลักการของ game theory มาใช้ โดยหลักการก็คือ การเทรดหรือการลงทุนนั้นจริงๆ ก็คล้ายๆ กับการโยนเหรียญหัวก้อยซึ่งมีโอกาส 50:50 ถ้าลองนึกภาพและสมมติขึ้นมาเป็นข้อเสนอ สัก 2 ข้อเสนอ ก็จะเป็น | 5 วิธีฮาวทูทิ้งหุ้นที่ไม่ใช่
วิธีที่ 1 ในการตัดใจของนักลงทุนแนว VI คือการหาเหตุผลที่รองรับการทิ้งหุ้น เช่น การไม่ตรงตามเป้าหมายกำไรของบริษัท ถ้าเหตุผลไม่ร้ายแรงอาจลองดูต่อ แต่ถ้ามีปัญหาร้ายแรง เช่น การทำสู้กับคู่แข่งที่แข็งแรงมาก หรือต้องทุ่มงบมากๆ โดยไม่มีการได้รับกำไร อาจพิจารณาทิ้งหุ้นในกรณีนี้
วิธีที่ 2 ในการตัดใจคือการเผื่อใจไว้ก่อน โดยเตรียมใจพร้อมหาวิธีออกไว้ก่อน เพื่อลดความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้น วิธีนี้ใช้เทคนิค technical โดยการจัดการความเสี่ยงตามราคาหุ้นที่ซื้อ ยอมเสียทุนได้ไม่เกิน 5% ของเงินทุน โดยคำนวณราคาที่ตัดขาดทุน เช่น ลงทุน 1,000,000 บาท ซื้อหุ้นที่ 10 บาท ราคาตัดขาดทุนคือ 9.50 บาท หรือ 5%, จึงสามารถยอมเสียเงินไม่เกิน 50,000 บาท
วิธีที่ 3 คือ "เจ็บสักกี่ครั้งก็ไม่จำ" หรือ "ยอมเจ็บซ้ำๆ" ซึ่งเป็นเทคนิคการพนันแบบมาร์ตินเกล (Martingale) โดยให้เข้าซื้อสวนทางที่ผิดและเพิ่มการซื้อเข้าไปเรื่อยๆ ในจำนวนที่มากขึ้นเพื่อคาดหวังว่าในทฤษฎีเราจะพนันถูกทางในครั้งสุดท้าย แต่มีความเสี่ยงที่ตัวสัญญาที่ออกไปเยอะมาก อาจทำให้ได้กำไรหรือขาดทุนทั้งหมด
วิธีที่ 4 คือ "รั้งไว้ไม่ให้เธอไป" ใช้ในตลาดฟิวเจอร์เพื่อเปิด position ทั้ง long และ short เพื่อ hedge หรือคานราคาไว้ ทำให้มีการขาดทุนน้อยลงหรือไม่ขาดทุนเลย
วิธีที่ 5 คือ "ยอมรับว่าเราเข้ากันไม่ได้" ใช้หลักการของ game theory ใน Money game โดยเชื่อว่าการเทรดหรือลงทุนเหมือนการโยนเหรียญหัวก้อยที่มีโอกาส 50:50 | การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2035 | Finance | ในภาวะตลาดผันผวน นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร โดยใช้รูปแบบ Pennants และ Flags | null | รูปแบบ Pennants และ Flags เป็นรูปแบบการสะสมราคาที่เกิดขึ้นระหว่างแนวโน้ม แสดงถึงการพักตัวของราคาก่อนที่จะวิ่งต่อไปตามแนวโน้มเดิม นักลงทุนสามารถใช้รูปแบบเหล่านี้ปรับกลยุทธ์การลงทุนในภาวะตลาดผันผวน ดังนี้
1. เข้าซื้อ:
รอให้ราคา breakout จากกรอบแนวต้านของ Pennants หรือ Flags
รอให้แท่งเทียนปิดเหนือกรอบแนวต้าน
พิจารณาระดับความเสี่ยงและจุดตัดขาดทุน
2. ตั้งจุดทำกำไร:
ตั้งจุดทำกำไรที่แนวต้านถัดไปของการพักช่วงราคา
พิจารณาใช้ปัจจัยอื่นๆ วิเคราะห์แนวโน้มต่อ เช่น Higher low, indicators
ปรับจุดทำกำไรให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง
3. ตั้งจุดตัดขาดทุน:
ตั้งจุดตัดขาดทุนหลังเส้นแนวต้านของ Pennants หรือ Flags
พิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุนแบบลึกหรือตื้น ขึ้นอยู่กับโอกาสและความเสี่ยง
ปรับจุดตัดขาดทุนให้เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุน
ตัวอย่าง:
1. หุ้น XYZ อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ราคาพักตัวในรูปแบบ Pennants
รอให้ราคา breakout จากกรอบแนวต้าน
เข้าซื้อเมื่อแท่งเทียนปิดเหนือกรอบแนวต้าน
ตั้งจุดทำกำไรที่แนวต้านถัดไป
ตั้งจุดตัดขาดทุนหลังเส้นแนวต้าน
2. หุ้น ABC อยู่ในแนวโน้มขาลง
ราคาพักตัวในรูปแบบ Flags
รอให้ราคา breakout จากกรอบแนวต้าน
เข้าซื้อเมื่อแท่งเทียนปิดเหนือกรอบแนวต้าน
ตั้งจุดทำกำไรที่แนวต้านถัดไป
ตั้งจุดตัดขาดทุนแบบลึก เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ
ข้อควรระวัง:
รูปแบบ Pennants และ Flags ไม่ได้แม่นยำเสมอไป
ควรใช้ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ วิเคราะห์
บริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
สรุป:
รูปแบบ Pennants และ Flags เป็นเครื่องมือที่ช่วยนักลงทุนตัดสินใจในภาวะตลาดผันผวน แต่ต้องใช้อย่างมีสติ ศึกษาข้อมูล และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม | เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์ | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2036 | Finance | ดร.แอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษคนใหม่ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 หรือไม่? | null | มีโอกาสสูงที่ดร.แอนดริว ไบเลย์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566
เหตุผล: ดร. ไบเลย์ มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Hawkish) เขาเคยทำงานในสายงานนโยบายสถาบันการเงินมาเป็นเวลานาน จึงให้ความสำคัญกับเสถียรภาพด้านการเงิน เขาเคยแสดงความคิดเห็นว่า ควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ เขามีบุคลิกที่รัดกุมและเฉียบคม มองเรื่องเศรษฐกิจแบบรอบคอบ
ธนาคารกลางอังกฤษกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ 5.4% สูงสุดในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางอังกฤษคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงถึง 7.25% ในปี 2566
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะช่วยลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อ เศรษฐกิจอังกฤษมีสัญญาณการฟื้นตัว ธนาคารกลางอังกฤษคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเติบโต 3.7% ในปี 2566 ตลาดแรงงานอังกฤษมีสภาพคล่องดี อัตราว่างงานต่ำ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัว
ธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในเดือนมีนาคม 2566
- ธนาคารกลางยุโรป เตรียมยุติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปลายปี 2566
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจทำให้ ดร. ไบเลย์ ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ความเสี่ยงจากสงครามในยูเครน สงครามในยูเครนสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก ธนาคารกลางอังกฤษอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อติดตามผลกระทบจากสงคราม
ความเสี่ยงจาก Brexit
- Brexit ยังสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจอังกฤษ
- ธนาคารกลางอังกฤษอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดูผลกระทบระยะยาวของ Brexit
โดยสรุป: มี โอกาส สูง ที่ ดร. ไบเลย์ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในปี 2566 เหตุผลหลัก คือ แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดของ ดร. ไบเลย์ แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจทำให้ ดร. ไบเลย์ ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เช่น ความเสี่ยงจากสงครามในยูเครน และ Brexit | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2039 | Finance | นักลงทุนควรใช้รูปแบบการกลับตัวของราคาแบบ Double top และ Triple top ในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล :
รูปแบบ Double top และ Triple top ไม่ได้แม่นยำ 100% : รูปแบบเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางในการวิเคราะห์ราคา ไม่ได้บ่งบอกถึงอนาคตของราคาได้อย่างแน่นอน ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อราคาหุ้น
รูปแบบ Double top และ Triple top ใช้เวลานาน : การก่อตัวของรูปแบบเหล่านี้อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน นักลงทุนอาจพลาดโอกาสในการซื้อขาย
รูปแบบ Double top และ Triple top มีความเสี่ยง : การซื้อขายโดยใช้รูปแบบเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนได้
ตัวอย่าง :
ตัวอย่างของ Double top ที่ล้มเหลว :ราคาหุ้นบริษัท A ก่อตัวเป็นรูปแบบ Double top แต่ราคาไม่สามารถ breakout ผ่านแนวต้านได้ ราคาหุ้นจึงปรับตัวลง
ตัวอย่างของ Triple top ที่ล้มเหลว : ราคาหุ้นบริษัท B ก่อตัวเป็นรูปแบบ Triple top แต่ราคาไม่สามารถ breakout ผ่านแนวต้านได้ ราคาหุ้นจึงปรับตัวลง
ข้อควรระวัง:
ไม่ควรใช้รูปแบบ Double top และ Triple top เพียงอย่างเดียว: ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ
ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท: ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมีความสำคัญมากกว่ารูปแบบทางเทคนิค
ควรมีกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง : กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop loss) เพื่อจำกัดความเสี่ยง
สรุป:
รูปแบบ Double top และ Triple top เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น แต่ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือตัดสินใจเพียงอย่างเดียว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง
คำแนะนำเพิ่มเติม :
ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบทางเทคนิคอื่นๆ : มีรูปแบบทางเทคนิคอื่นๆ อีกมากมายที่นักลงทุนสามารถเรียนรู้เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น
ฝึกฝนการวิเคราะห์ราคาหุ้น : การวิเคราะห์ราคาหุ้นต้องอาศัยการฝึกฝน นักลงทุนสามารถฝึกฝนโดยใช้บัญชี Demo
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2041 | Finance | นักลงทุน VI ไทยควรเลิกลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
เศรษฐกิจเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตสูง: เวียดนามเป็นประเทศที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก ประมาณ 65% ของประชากรทั้งหมด อายุต่ำกว่า 35 ปี GDP ของเวียดนามเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นเวียดนามมี Valuation ที่น่าสนใจ: P/E Ratio ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 15 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค
มีหุ้น VI ที่ดีในตลาดหุ้นเวียดนาม: ยังมีหุ้น VI ที่ดีในตลาดหุ้นเวียดนามอีกมากมาย หุ้นเหล่านี้มีปัจจัยพื้นฐานดี ราคาถูก จ่ายปันผลสูง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ดังนี้:
- ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีขนาดเล็ก: Market Cap. ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 350 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค
- นักลงทุนต่างชาติมีอิทธิพลต่อตลาดมาก: นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนามประมาณ 30%
- สภาพคล่องของตลาดยังไม่ดี: หุ้นบางตัวมีสภาพคล่องต่ำ
ดังนั้น นักลงทุน VI ไทยที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามควร:
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้นเวียดนามให้ละเอียด
- เลือกหุ้น VI ที่ดี
- กระจายความเสี่ยง
- ลงทุนระยะยาว
สรุป: ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตสูง แต่ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง นักลงทุน VI ไทยที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เลือกหุ้น VI ที่ดี กระจายความเสี่ยง และลงทุนระยะยาว | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2042 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ จุดเด่นของกองทุนบัวหลวงทศพล (BTP) | null | กองทุนบัวหลวงทศพล (BTP) เป็นกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 มีจุดเด่นในการลงทุนคือ การรับโอกาสการลงทุนกับกองทุนหุ้นไทยในตำนาน โดยกองทุนบัวหลวงทศพล เป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมวดหุ้นไทยขนาดใหญ่ มีผลการดำเนินงานในอดีตที่ยอดเยี่ยมแม้ประเทศไทยจะเจอวิกฤตก็ตาม มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นไทยที่ผู้จัดการกองทุนคาดหมายว่าจะให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด 10 อันดับแรก และมีความเสี่ยงมาจากความผันผวนของหุ้น และมูลค่าสำหรับหุ้นไทยที่ค่อนข้างสูง
บทเรียนจากย่อหน้านี้
BTP กองทุนบัวหลวงทศพล
“รับโอกาสการลงทุนกับกองทุนหุ้นไทยในตำนาน”
- กองทุนบัวหลวงทศพล หรือ BTP เป็นกองทุนที่มีประวัติการลงทุนยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537
- BTP เป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมวดหุ้นไทยขนาดใหญ่ (Thai Equity Large Cap) จากข้อมูล ณ วันที่ 4 ธ.ค. 62 มีขนาดกองทุนทะลุ 13,000 ล้านบาท
- BTP ทำผลการดำเนินงานในอดีตได้ดีเยี่ยม ทั้งในช่วงวิกฤติปี 2540 ที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงกว่า 86.0% แต่กองทุนปรับตัวลงเพียง 64.32% เท่านั้น (ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดถึง 24.60%)
- BTP มีนโยบายการลงทุนแบบ High Conviction ที่เน้นการลงทุนในหุ้นไทยที่ผู้จัดการกองทุนคาดหมายว่าจะให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด 10 อันดับแรก (ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในตลาด)
- ในฝั่งของผลตอบแทนเทียบหัวปีท้ายปี BTP ชนะ SET Total Return Index ถึง 11 ครั้งใน 16 ปีที่ผ่านมาล่าสุด (2003 – 2018) หรือคิดสัดส่วนที่ชนะเป็น 68.75%
- และหากคิดเป็นการซื้อถือยาว (Buy And Hold) นับตั้งแต่มีดัชนี SET Total Return Index ณ ต้นปี 2002 จะพบว่าให้อัตราผลตอบแทนต่างกันถึง 3.13% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค. 62) ซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าเงินที่ลงทุนที่ต่างกันถึง 62.76%
- หมายความว่า เมื่อผ่านไป 17 ปี เงิน 10,000 ที่ลงทุนใน SET Total Return Index จะกลายเป็น 103,941.90 บาท ในขณะที่ถ้าลงทุนใน BTP เงิน 10,000 บาทจะกลายเป็น 167,814.98 บาท)
- ความเสี่ยงที่สำคัญของกองทุนหลักๆ มาจากความผันผวนของหุ้น และมูลค่าที่ค่อนข้างสูงแล้วสำหรับหุ้นไทย ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและหาจังหวะเข้าลงทุนดีๆ ก่อนตัดสินใจ | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2045 | Finance | สำหรับนักลงทุนสายอาร์ทที่มองกราฟเป็นศิลปะ มีเทคนิคหรือกลยุทธ์อะไรเพิ่มเติม ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดความเสี่ยงในการลงทุน โดยไม่ต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบดั้งเดิมมากนัก? | null | สำหรับนักลงทุนสายอาร์ทที่มองกราฟเป็นศิลปะ มีเทคนิคหรือกลยุทธ์เพิ่มเติม ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดความเสี่ยงในการลงทุน โดยไม่ต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบดั้งเดิมมากนัก ดังนี้:
1. การผสมผสานระหว่างศิลปะและเทคนิค:
ฝึกฝนการมองกราฟเป็นภาพ โดยใช้ทักษะมิติสัมพันธ์ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
เรียนรู้เทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคพื้นฐาน เช่น แนวรับแนวต้าน รูปแบบแท่งเทียน เส้นแนวโน้ม
ผสมผสานทั้งสองเข้าด้วยกัน โดยใช้ศิลปะในการตีความกราฟ และใช้เทคนิคเพื่อยืนยันแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขาย
2. การใช้เครื่องมือ辅助:
ใช้เครื่องมือ绘图 เช่น เส้น รูปทรง และ Fibonacci retracement เพื่อช่วยในการวิเคราะห์กราฟ
ใช้เครื่องมือวัดค่า เช่น Relative Strength Index (RSI) Moving Average Convergence Divergence (MACD) เพื่อดูสัญญาณทางเทคนิค
ใช้เครื่องมือแจ้งเตือน เช่น alerts indicators เพื่อติดตามราคาและสัญญาณซื้อขาย
3. การบริหารความเสี่ยง:
กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ทุกครั้งที่เข้าซื้อขาย
กระจายความเสี่ยง โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
ลงทุนด้วยเงินเย็น ที่ไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายหลัก
4. การเรียนรู้และพัฒนา:
ศึกษาทฤษฎีการลงทุน กลยุทธ์การซื้อขาย และเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติม
ฝึกฝนการวิเคราะห์กราฟ โดยใช้โปรแกรม模拟炒股 หรือบัญชีจริงจำนวนน้อย
เรียนรู้จากประสบการณ์ จดบันทึกการซื้อขาย วิเคราะห์จุดผิดพลาด และพัฒนาตัวเอง
5. การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษานักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน
เข้าร่วมอบรม สัมมนา หรือ Workshop เกี่ยวกับการลงทุน
ติดตามข่าวสาร บทความ และข้อมูลเกี่ยวกับตลาดการเงิน
ตัวอย่างเทคนิคเพิ่มเติม
การใช้ Fibonacci retracement เพื่อหาจุดเข้าซื้อขาย โดยวัด retracement ของขาขึ้นหรือขาลง
การใช้ Elliott waves เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคา โดยวิเคราะห์รูปแบบคลื่นของราคา
การใช้ Candlestick patterns เพื่อหาสัญญาณการกลับตัวของราคา โดยวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน
ข้อควรระวัง
การมองกราฟเป็นศิลปะเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝน ไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อขาย
เทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ใช่วิธีการที่แม่นยำ 100% ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อราคาหุ้น
การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
โดยสรุป นักลงทุนสายอาร์ทสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ โดยการผสมผสานเทคนิค เครื่องมือ และกลยุทธ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ควบคู่ไปกับการศึกษา ฝึกฝน และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2047 | Finance | นักลงทุนแบบ VI ควรลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหรือไม่? | null | ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เหตุผล:
1. ความเสี่ยง:
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูงมากกว่าหุ้นทั่วไป
ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง
ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังมีการกำกับดูแลน้อย
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
2. ผลตอบแทน:
สินทรัพย์ดิจิทัลมีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูง
แต่ผลตอบแทนที่สูงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน
นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่รับได้
3. กลยุทธ์การลงทุน:
กลยุทธ์การลงทุนแบบ VI เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำ
กลยุทธ์นี้ยังไม่เหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
นักลงทุนควรศึกษาและพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสินทรัพย์ดิจิทัล
4. สัดส่วนการลงทุน:
นักลงทุนควรลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในสัดส่วนที่น้อย
ไม่ควรลงทุนเกินกว่าเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้
นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ
5. กฎระเบียบ:
กฎระเบียบเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลยังมีการพัฒนาอยู่
กฎระเบียบใหม่ ๆ สามารถส่งผลต่อราคาและการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบอยู่เสมอ
สรุป:
นักลงทุนแบบ VI ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้ ผลตอบแทนที่คาดหวัง กลยุทธ์การลงทุน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและลงทุนอย่างระมัดระวัง | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2048 | Finance | กรณีครอบครัวมีลูกเล็ก การจัดตั้ง Trust ดีกว่าการทำประกันชีวิตหรือไม่? | null | ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเป้าหมายทางการเงินของครอบครัว เหตุผล:
การจัดตั้ง Trust :
ข้อดี :
1. ความยืดหยุ่น : ผู้ก่อตั้ง Trust สามารถกำหนดเงื่อนไขและวิธีการส่งต่อมรดกได้อย่างละเอียด เช่น กำหนดจำนวนเงินที่ลูกจะได้รับต่อเดือน กำหนดอายุที่ลูกจะได้รับเงินก้อน เป็นต้น
2. การป้องกัน : Private Family Trust หรือ Asset Protection Trust อาจจะช่วยป้องกันสินทรัพย์จากเจ้าหนี้ได้
3. การลงทุน : สามารถลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ข้อเสีย :
1. ค่าธรรมเนียม : มีค่าธรรมเนียมในการจัดตั้งและดูแล Trust สูง
2. ความซับซ้อน : กระบวนการจัดตั้ง Trust ค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้ความรู้ทางกฎหมาย
การทำประกันชีวิต :
ข้อดี :
1. ความเรียบง่าย : กระบวนการทำประกันชีวิตง่ายกว่าการจัดตั้ง Trust
ค่าธรรมเนียม: generally has lower fees than Trust
2. การได้รับเงิน : ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินก้อนตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ข้อเสีย :
1. ตัวเลือก : ตัวเลือกในการส่งต่อมรดกมีจำกัด
2. การลงทุน : typically limited to cash investments
3. ภาษี : may be subject to taxes
สรุป :
Trust เหมาะกับ :
1. ครอบครัวที่มีลูกเล็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
2. ครอบครัวที่มีเป้าหมายการส่งต่อมรดกที่ซับซ้อน
3. ครอบครัวที่มีสินทรัพย์จำนวนมาก
ประกันชีวิตเหมาะกับ :
1. ครอบครัวที่มีงบจำกัด
2. ครอบครัวที่ต้องการความเรียบง่าย
3. ครอบครัวที่ต้องการมอบเงินก้อนให้กับผู้รับผลประโยชน์ | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2053 | Finance | กองทุน SCBWIN มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนใด | null | กองทุน SCBWIN มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุน BGF Global Multi Asset Income เพียงกองทุนเดียว หรือที่เรียกกันว่ากองทุนหลัก ซึ่งมีนโยบายการลงทุนกระจายในหลายสินทรัพย์ เพื่อสร้างผลตอบแทนเหนือค่าเฉลี่ยโดยไม่สูญเสียการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว
บริหารพอร์ตการลงทุนโดยทีมจาก BlackRock นำโดยคุณ Michael Fredericks ในตำแหน่ง Lead Portfolio Manager เมื่อดูผลงานจากเวปไซต์ citywireselector.com พบว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้เหนือค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของผู้จัดการกองทุนในประเภทเดียวกัน (Mixed Assets)
ผสมผสานการคัดเลือกหลักทรัพย์ ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแบบ Top-Down และ Bottom-up ผ่านการวิเคราะห์ด้านมูลค่า ภาพรวมเศรษฐกิจ มุมมองของตลาด รวมไปถึงปัจจัยเฉพาะ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายในหลายสินทรัพย์ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงที่คอยวิเคราะห์และทบทวนทั้งด้านปัจจัย มูลค่า และมุมมองการลงทุน
กองทุน BGF Global Multi Asset Income มีสัดส่วนการลงทุนใน Fixed Income ทั้งในและนอกสหรัฐฯ นอกจากนั้นยังลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่น เช่น Global REITs, Mortgage-Backed Securities (MBS) และต้องมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่กระจายทั้งในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
นอกจากนี้กองทุนยังใช้กลยุทธ์ Covered Call ที่เป็นการซื้อหุ้นพร้อมขายสิทธิ์ในการซื้อหุ้น โดยกลยุทธ์นี้มีไว้เพื่อสร้างผลตอบแทนในระดับที่มีเสถียรภาพให้กับกองทุน ซึ่งสะท้อนผ่านความผันผวนของผลตอบแทนกองทุนที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน อยู่ที่ 97% ของสินทรัพย์ทั้งหมด (ข้อมูล ณ 4/12/2019) | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2056 | Finance | อะไรคืออุปสรรคหลักที่ทำให้เศรษฐกิจบราซิลไม่สามารถพัฒนาไปได้อย่างที่ควรจะเป็น? | null | อุปสรรคหลักที่ทำให้เศรษฐกิจบราซิลไม่สามารถพัฒนาไปได้อย่างที่ควรจะเป็น มีหลายประการ ดังนี้
1. ปัญหาคอร์รัปชั่น: ปัญหาคอร์รัปชั่นฝังรากลึกในสังคมบราซิล ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารประเทศและการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส
2. ความวุ่นวายทางการเมือง: การเมืองบราซิลมีความขัดแย้งสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำบ่อยครั้ง ส่งผลต่อเสถียรภาพและความต่อเนื่องของนโยบาย
3. นโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน: รัฐบาลบราซิลยังขาดนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าการวางแผนระยะยาว
4. ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน: โครงสร้างพื้นฐานของบราซิลยังมีข้อจำกัด ถนนหนทาง ระบบขนส่งสาธารณะ และระบบไฟฟ้ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ
5. ปัญหาอาชญากรรม: ปัญหาอาชญากรรมในบราซิลมีอัตราสูง ส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
6. ปัญหาสิ่งแวดล้อม: บราซิลเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง เช่น การเผาทำลายป่าอเมซอน ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศและการท่องเที่ยว
7. ปัญหาความเหลื่อมล้ำ: บราซิลเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง ส่งผลต่อเสถียรภาพทางสังคม
8. ปัญหาการศึกษา: ระบบการศึกษาของบราซิลยังมีคุณภาพต่ำ ส่งผลต่อทักษะแรงงานและการพัฒนาเศรษฐกิจ
9. ปัญหาสุขภาพ: ระบบสาธารณสุขของบราซิลยังมีข้อจำกัด ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้ยาก
10. ปัญหาเศรษฐกิจโลก: เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลต่อเศรษฐกิจบราซิลที่พึ่งพาการส่งออก
ตัวอย่างผลกระทบทาง Finance:
ค่าเงินอ่อน: ค่าเงินเรอัลของบราซิลอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อราคาสินค้านำเข้าและเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยสูง: ธนาคารกลางบราซิลต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลต่อภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
การลงทุนชะลอตัว: นักลงทุนต่างประเทศลังเลที่จะลงทุนในบราซิล เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจเติบโตต่ำ: เศรษฐกิจบราซิลเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ส่งผลต่อรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน
แนวทางการแก้ไข:
รัฐบาลบราซิลต้องจริงจังกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น
พัฒนานโยบายเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน
พัฒนาระบบการศึกษาและระบบสาธารณสุข
สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ
เสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคและประเทศมหาอำนาจ
สรุป:
เศรษฐกิจบราซิลมีศักยภาพที่จะเติบโตสูง แต่ต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาที่ฝังรากลึกทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รัฐบาลบราซิลต้องมีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงการสรุปประเด็นสำคัญจากบทความ "บราซิล ประเทศที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ยังไปไม่ถึงจุดหมาย" เท่านั้น ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ควรศึกษาเพิ่มเติม | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2057 | Finance | กลยุทธ์การลงทุนแบบ "วีไอ" เหมาะสมกับภาวะตลาดหุ้นผันผวนหรือไม่? อธิบาย reasoning เบื้องหลัง | null | กลยุทธ์การลงทุนแบบ "วีไอ" หรือ Value Investing มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยนักลงทุนวีไอจะวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียดเพื่อหาหุ้นที่มีศักยภาพ undervalued
ในภาวะตลาดหุ้นผันผวน กลยุทธ์วีไอสามารถเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องด้วยเหตุผลหลัก ดังนี้:
1. หุ้น undervalued มีโอกาสฟื้นตัวสูง:
เมื่อตลาดหุ้นตก หุ้นที่มีราคาถูกมักจะถูกเทขายลงมาอย่างรุนแรง โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน ส่งผลให้หุ้นเหล่านี้ undervaluation มากขึ้น
เมื่อตลาดหุ้นฟื้นตัว หุ้น undervalued เหล่านี้มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วและแรงกว่าหุ้นทั่วไป
2. นักลงทุนวีไอมีวินัยและใจเย็น:
กลยุทธ์วีไอเน้นการลงทุนระยะยาว นักลงทุนวีไอจะไม่หวั่นไหวกับความผันผวนระยะสั้นของตลาด
วินัยและความใจเย็นช่วยให้นักลงทุนวีไอสามารถซื้อหุ้น undervalued ในช่วงตลาดตก และถือจนกว่าราคาจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
3. กลยุทธ์วีไอช่วยลดความเสี่ยง:
หุ้น undervalued มักจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นทั่วไป เพราะมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีรองรับ
การกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้น undervalued หลายตัว ช่วยให้นักลงทุนวีไอสามารถลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุน
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์วีไอมีข้อจำกัด ดังนี้:
1. ใช้เวลา:
กลยุทธ์วีไอต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์หุ้นและรอให้ราคาฟื้นตัว
นักลงทุนวีไอต้องอดทนและรอคอยอย่างใจเย็น
2. ทักษะ:
กลยุทธ์วีไอต้องการทักษะในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
นักลงทุนวีไอต้องมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจและสามารถอ่านงบการเงิน
3. ความเสี่ยง:
แม้ว่าหุ้น undervalued จะมีความเสี่ยงน้อย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่เสมอ
นักลงทุนวีไอต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
สรุป:
กลยุทธ์วีไอ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในภาวะตลาดหุ้นผันผวน เหมาะกับนักลงทุนที่มีวินัย ใจเย็น และมีความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน กลยุทธ์วีไอช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้น undervalued ในราคาถูก และถือจนกว่าราคาจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2058 | Finance | การ IPO ของ ThaiBev ครั้งนี้ จะทำให้ธุรกิจโรงบ่มของ ThaiBev เติบโตก้าวกระโดดดังเช่น การ takeover บริษัท ซาเบโก (Sabeco) หรือไม่? | null | เป็นไปได้
เหตุผล:
1. การ IPO ช่วยเพิ่มเงินทุน
ThaiBev จะได้รับเงินทุนจากการ IPO ประมาณ 3 แสนล้านบาท เงินทุนเหล่านี้สามารถนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจโรงบ่มได้หลายวิธี เช่น ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ซื้อโรงบ่มใหม่ ขยายกำลังการผลิตของโรงบ่มที่มีอยู่
2. การ IPO ช่วยเพิ่มชื่อเสียง การ IPO ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้กับธุรกิจโรงบ่มของ ThaiBev สิ่งนี้อาจดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ และนักลงทุน ช่วยให้ ThaiBev สามารถขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
3. การ IPO ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง เมื่อหุ้นของ ThaiBev เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนจะสามารถซื้อขายหุ้นเหล่านี้ได้ง่าย สิ่งนี้อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องของธุรกิจโรงบ่ม ช่วยให้ ThaiBev สามารถระดมทุนเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น
4. ซาเบโกเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ การ takeover ซาเบโก ของ ThaiBev นั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก
ซาเบโก กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน การ IPO ของ ThaiBev ครั้งนี้อาจประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับซาเบโก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจโรงบ่มของ ThaiBev
1. การแข่งขัน ธุรกิจโรงบ่มเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ThaiBev เผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทอื่น ๆ เช่น สิงห์ คอปเปอร์เรชั่น
2. กฎระเบียบ ธุรกิจโรงบ่มอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎระเบบยบที่เข้มงวด กฎระเบียบเหล่านี้อาจจำกัดการเติบโตของธุรกิจ
3. เศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลต่อความต้องการสินค้าของ ThaiBev
โดยสรุป การ IPO ของ ThaiBev ครั้งนี้ มีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจโรงบ่มของ ThaiBev เติบโตก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2059 | Finance | จงสรุปเรื่อง "เทพนิยายหุ้น: ความเร่าร้อนและความเป็นจริงในตลาดการลงทุน" ให้หน่อยสิคะ | หุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นหวือหวาร้อนแรงมาก ๆ ในช่วงเวลาอันสั้นนั้น เกือบทั้งหมดต่างก็มักจะมี “Story” หรือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ฟังแล้วก็จะรู้สึกประทับใจ คนที่ “ไร้เดียงสา” หรือแม้แต่คนที่คิดว่ามีประสบการณ์มาเพียงพอก็อาจจะยัง “เคลิ้ม” จนต้อง “เสพ” หรือดื่มด่ำกับเรื่องราวดังกล่าวและคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง เป็นความฝันที่จะกลายมาเป็นความจริงและชีวิตของตนก็จะมีแต่ความสุข แต่สำหรับผมเองแล้ว ประสบการณ์ที่พานพบมาต่อเนื่องยาวนานบอกผมว่า เรื่องราวความเป็นจริงที่ตามมานั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เป็นไปตามสตอรี่ที่สร้างหรือวาดภาพขึ้นมา มันเป็นแค่ “Fairy Tale” หรือ “เทพนิยาย” ในตลาดหุ้นที่มีการเขียนขึ้นมาอย่างดีสุดยอดที่ทำให้คนอ่านเกิด “จินตนาการ” หรือ “ฝันไป” กับเรื่องราว “สุดวิเศษ” เหล่านั้นชั่วขณะ อาจจะคล้าย ๆ กับผู้หญิงจำนวนมากที่อ่านเทพนิยายเรื่องซินเดอร์เรลล่าแล้วฝันว่าตนเองจะเป็นเหมือนซินเดอร์เรลล่าที่จะได้แต่งงานกับเจ้าชายทั้ง ๆ ที่ในชีวิตจริงนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย ลองมาดูกันว่าในช่วงเร็ว ๆ นี้เรามี “เทพนิยาย” เรื่องอะไรบ้าง เทพนิยายเรื่องแรกและน่าจะเป็นเรื่องที่สร้างจินตนาการได้สุดยอดมีคนติดตามกันมากและเคลิบเคลิ้มไปทั้งตลาดก็คือการที่หุ้นขนาดเล็ก-กลางที่อยู่ในกลุ่มผู้บริโภคที่มียี่ห้อโดดเด่นหรือมีแนวทางการขายแบบใหม่และพุ่งเป้าสู่ “ตลาดโลก” หรือนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเติบโตแบบก้าวกระโดดและอาจจะกลายเป็น “ผู้เล่นระดับโลก” ดังนั้น ราคาหุ้นก็สามารถวิ่งขึ้นไปได้เป็นหลาย ๆ เท่าหรือเป็นสิบเท่าได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี Market Cap. ระดับแสนล้านบาทก็ไม่ถือว่าแพง ความเป็นจริงก็คือ หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วไม่เกิน 2-3 ปี กำไรก็เริ่มสะดุด แผนการหรือโครงการที่จะขยายธุรกิจประสบอุปสรรคไม่เป็นไปตามคาด กำไรถดถอยลงเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่พูดไว้ถูกดัดแปลงหรือปรับใหม่ บางกรณี “สตอรี่ใหม่” ก็ตามมา แต่ความน่าเชื่อถือก็หมดไป ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักเหลือเท่ากับราคาก่อนที่จะขึ้นไปหรือต่ำกว่า หลายคน “ตื่นจากความฝัน” เทพนิยายต่อมาเป็นเรื่อง “ความฝันแห่งภาคตะวันออก” หรือเขตเศรษฐกิจ EEC ของรัฐบาล ว่ามันจะทำให้เกิดการลงทุนและการใช้พื้นที่โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกหลายจังหวัดในระยะเวลาอันสั้นไม่กี่ปี ความเป็นจริงดูเหมือนว่าจะมาช้ากว่าที่คิดมากหรือบางทีมันอาจจะไม่มาเลยก็ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึง Supply หรือคู่แข่งทั้งเก่าและใหม่ที่อาจจะเริ่มสร้างกำลังการผลิตหรือนิคมอุตสาหกรรมเพิ่ม ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ EEC บางตัวก็มีการปรับขึ้นไปบ้างในตอนแรก ๆ ของการรณรงค์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าหุ้นในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จาก EEC แทบจะไม่ไปไหน จำนวนมากตกลงมาด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดไป เทพนิยายเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่นิยมมากเท่าที่คิดตั้งแต่แรก ๆ ด้วยซ้ำ เรื่องของการสร้างสาธารณูปโภคของรัฐนั้นน่าจะเป็น Fairy Tale มานานพอสมควร “เราจะมีโครงการใหม่ ๆ เป็นแสน ๆ ล้านบาท” รถไฟ สนามบิน ท่าเรือ รถไฟฟ้าในเมืองและระหว่างเมือง เป็นต้น ดังนั้นธุรกิจเช่นรับเหมาก่อสร้างและโครงการที่เกี่ยวข้องจะได้ประโยชน์มหาศาล อย่างไรเสียรับเหมารายใหญ่ ๆ ก็จะต้องได้งานมากมายจนทำไม่ไหวและจะได้กำไรดีเพราะงานมากไม่ต้องแข่งขันด้านราคามาก ในช่วงแรกก็ดูเหมือนว่าหุ้นบางบริษัทก็ปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปโดยที่โครงการเกิดช้ากว่าที่คิด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทรับเหมาจากต่างชาติเข้ามาแข่ง งานในมือที่คิดว่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นกลับน้อยลง ราคาหุ้นตกต่ำลง และคนที่เคยเล่านิทานเรื่องนี้ก็หายหน้าจากไป เรื่องของเมกาเทรนด์นั้นก็น่าจะเป็น “เทพนิยาย” เหมือนกัน เช่น คนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยเฉพาะโรงพยาบาลจะได้ประโยชน์ ดังนั้น หุ้นของโรงพยาบาลทุกรูปแบบรวมถึงที่เกี่ยวกับฟันก็วิ่งขึ้นไปหรือมีคนสนใจเข้าไปลงทุนกันมาก ค่า PE ดูเหมือนจะสูงลิ่วระดับ 30-40 เท่าขึ้นไปกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ดูเหมือนว่าการเติบโตของยอดขายและกำไรของโรงพยาบาลก็ไม่ได้ดูโดดเด่น โรงพยาบาลที่เคยเป็นสุดยอดและแข่งขันได้ในระดับสากลมีลูกค้าต่างชาติจำนวนมากกลับไม่เติบโตหรือโตน้อย คำแก้ตัวนั้นมีหลายอย่างรวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลท้องถิ่นเองก็ไม่ได้ดูดีอะไรนักในแง่ของผลประกอบการ อย่างมากที่เห็นก็คือ โรงพยาบาลก็โตพอ ๆ กับเศรษฐกิจหรือดีกว่าก็เพียงเล็กน้อย หุ้นโรงพยาบาลที่เคยร้อนแรงตอนนี้ก็นิ่งหรือบางตัวก็ลงมาแรงพอสมควร โรงแรมที่เคยเป็นหุ้นกลุ่มยอดนิยมเหมือนกันเนื่องจากมันก็อยู่ใน “เมกาเทรนด์” หลังจากที่คนจีนเริ่มออกมาเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะเมืองไทยเมื่อซัก 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเองก็ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นขึ้นกลายเป็นประเทศหรือเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกในระดับสูง “เทพนิยาย” เรื่องการท่องเที่ยวและโรงแรมถูกแต่งขึ้นและนักลงทุนต่างก็เคลิบเคลิ้มว่ามันคือธุรกิจที่สุดยอดและจะเติบโตไปอีกมาก หุ้นโรงแรมวิ่งขึ้นไปแรงและสูงมาก บางตัวกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นมหาศาล แต่ดูเหมือนว่าการเติบโตที่รวดเร็วนั้นก็ชะลอลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ น่าจะมีโรงแรมใหม่ ๆ เปิดขึ้นมากไม่ต้องพูดถึง “ที่พัก” จากแอร์บีเอ็นบีและอพาร์ตเม้นต์ที่เพิ่มขึ้นมาไม่หยุดหย่อนที่ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้โตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นกลุ่มผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศในยามที่เศรษฐกิจค่อนข้างซบเซาเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงในช่วงนี้ต่างก็ได้รับการแนะนำว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและดังนั้นก็เป็นหุ้นกลุ่มที่ควรซื้อลงทุน แต่นี่ก็น่าจะเป็นเทพนิยายอีกเช่นกัน เพราะตัวเลขยอดขายของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มค้าปลีกแทบจะไม่เติบโตเลย เหตุผลก็ชัดเจน ตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้นั้นเทียบไม่ได้กับตัวเลขรวมของการใช้จ่ายปกติที่เป็นอยู่ Fairy Tale ไม่ใช่มีเฉพาะตลาดหุ้นไทย ในตลาดหุ้นอเมริกาเองนั้นก็มี และที่เล่ากันเป็นประจำทุกครั้งที่ตลาดร้อนแรงและบริษัทจดทะเบียนขยายตัวโดยการเข้าควบรวมกิจการบริษัทอื่น ๆ เป็นจำนวนมากเพราะคาดหวังว่าจะทำให้บริษัทเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้นรวดเร็ว แต่ “เทพนิยาย” เรื่องนี้ก็มักไม่เป็นจริง เพราะหลังจากนั้น ธุรกิจที่ซื้อมาก็มักจะ “เน่า” ผู้บริหารที่เข้ามาใหม่ก็ต้องขายกิจการทิ้ง ซึ่งทำให้วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดเปรียบเปรยว่ามันเหมือนเทพนิยายเรื่อง “เจ้าชายกบ” ที่เป็นเรื่องของเจ้าหญิงที่จูบเจ้าชายที่ถูกแม่มดสาบให้เป็นกบแล้วเจ้าชายก็ฟื้นกลับขึ้นมา บัฟเฟตตบอกว่าเจ้าหญิงก็คล้ายกับผู้บริหารที่คิดว่าตนเองสามารถมองหากบหรือกิจการเน่าที่ถูกสาบแล้วฟื้นมันขึ้นมาได้ แต่ในชีวิตจริง มันไม่มี จูบกบกี่ตัวมันก็ยังเป็นกบอยู่นั่นเองไม่เป็นเจ้าชายอย่างที่หวัง ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น หุ้นกลุ่มที่ถูกอ้างว่าเป็น “หุ้นโตเร็ว” ที่มักเป็นกลุ่มที่มีรายได้และกำไรโตเร็วในช่วงเร็ว ๆ นี้ ก็มักเป็น “เทพนิยาย” ที่เป็นเรื่องของจินตนาการ เพราะมันมักจะโตเร็วเฉพาะในช่วงเวลานั้นและเกิดขึ้นเพราะสถานการณ์เอื้ออำนวย ไม่ใช่เรื่องของการโตจากพื้นฐานของบริษัทและเมกาเทรนด์ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การเติบโตเร็วก็หยุดลง กลายเป็นเติบโตธรรมดาหรือโตช้า บางบริษัทลดลงด้วยซ้ำ ดังนั้น ราคาของหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเพราะคนฟังนิยายเชื่อและแห่กันมาซื้อก็จะตกลงมาอย่างแรงเหมือนกับนางฟ้าตกสวรรค์เพราะคนต่างก็แห่ขายหุ้นทิ้ง ในฐานะที่เป็น Value Investor การฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของบริษัทจดทะเบียนหรือเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในตลาดหุ้น เราจะต้องระมัดระวังว่ามันเป็นเรื่องที่มีความเป็นจริงสูงหรือเป็น “เทพนิยาย” ที่มีเนื้อเรื่องน่าประทับใจแต่เป็นเรื่องของจินตนาการที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย เพราะถ้าเราวิเคราะห์ผิด โอกาสที่จะเสียหายก็จะสูง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร | กล่าวถึงการวิเคราะห์หุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นหรือร้อนแรงในช่วงสั้น ๆ และว่ามักมีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวข้อง เรื่องราวนี้ถูกเรียกว่า "เทพนิยาย" หรือเรื่องฝันที่มีการสร้างจินตนาการและความฝันในตลาดหุ้น
เวลาผ่านไปพบว่าหลายเทพนิยายนั้นไม่ได้เป็นไปตามสตอรี่ที่กำหนดไว้ และมักจะเป็นแค่เรื่องน่าจินตนาการ เหมือนกับคนที่อ่านนิยายแล้วมีความฝันว่าจะเป็นจริง แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เกิดขึ้น
บทความตั้งคำถามเกี่ยวกับเทพนิยายในตลาดหุ้นขณะนี้ โดยเน้นที่หุ้นขนาดเล็ก-กลางที่มีแนวทางการขายใหม่และเป้าหมายที่ตลาดโลกหรือนักท่องเที่ยวจีน เช่น ในเรื่อง EEC (ภาคตะวันออก) หรือโรงพยาบาลที่คาดหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนในสาธารณูปโภค และโรงแรมที่เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากเม็กาเทรนด์การท่องเที่ยว
จากการวิเคราะห์นี้ ผู้เขียนพบว่าบางหุ้นได้รับความสนใจและเพิ่มราคาได้ในตอนแรกของการรณรงค์ แต่หลังจากนั้นก็มีปัญหาเกี่ยวกับการขยายตัวและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่าหลายๆ โรงพยาบาลและโรงแรมที่เป็นหุ้นที่ร้อนแรงก่อนหน้านี้ มีการเติบโตช้าลงหรือลดลง โดยส่วนมากเนื่องจากความสมดุลระหว่างการลงทุนและผลตอบแทนที่ไม่ได้เป็นไปตามคาดหวัง
สรุปได้ว่าการล่าสุดนี้มีหุ้นที่เป็นเทพนิยายในตลาดหุ้น แต่ความฝันนั้นไม่ได้เป็นจริงตามที่คาดหวัง และการเปรียบเทียบเทพนิยายนี้กับกรณีในตลาดหลายประเทศเช่นอเมริกา ที่บริษัทที่ขยายตัวบ่อย ๆ ก็มักจะพบว่าไม่ได้ผลตอบแทนที่คาดหวัง การวิเคราะห์นี้สะท้อนถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจและวิเคราะห์ตลาดในทุกยามเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน. | ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2062 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง "Sahm’s Rule" ให้หน่อยค่ะ | อย่างไรก็ดี ความยากลำบากในการใช้นโยบายการคลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คือ กว่าจะผ่านสภาออกมาได้ มาตรการกระตุ้นนี้ก็ถูกลดทอนลงทั้งในแง่ของมูลค่าการกระตุ้น และ ความล่าช้าของเวลาในการดำเนินนโยบายได้จริง ที่เป็นกระแสมากขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว คือเริ่มมีการพูดถึงสิ่งที่เรียกกันว่า Sahm’s Rule ที่ถือว่าเป็นนโยบายการคลังประเภท Automatic Stabilizer หรือการใช้นโยบายการคลังแบบที่จะเข้าโหมดผ่อนคลาย ผ่านการลดภาษีและเพิ่มงบภาครัฐ ในทันทีที่เห็นว่าสัญญาเศรษฐกิจจะชะลอตัวกว่าเดิม โดยการการช่วยเหลือประชาชนผ่านการกระตุ้นงบภาครัฐ มักจะทำผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ ‘การโอนเงิน’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลประโยชน์ในยามว่างงาน ‘safety-net’ program หรือการสนับสนุนทางการเงินต่อการดำรงชีพขั้นต่ำ ผ่าน แสตมป์อาหาร เงินโอนสู่ผู้ยากไร้ และเงินช่วยเหลือต่อผู้พิการ ทั้งนี้ Sahm’s Rule มาจากนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ที่มีนามว่า เคลาเดีย ซาห์ม โดยเธอได้เสนอให้ใช้ส่วนต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของอัตราการว่างงานย้อนหลัง 3 เดือน ลบด้วยอัตราการว่างงานเฉลี่ย 12 เดือนย้อนหลัง ดังรูปโดยหากส่วนต่างนี้เกิน 0.5 หมายความว่าต้องมีการใช้นโยบายการคลังแบบผ่อนคลายช่วยเศรษฐกิจ ผ่านการกระตุ้นของงบภาครัฐผ่านช่องทางต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น โดยจะเห็นได้ว่า Sahm’s Rule สามารถคาดการณ์วิกฤตดอตคอมปี 2001 และ วิกฤตซับไพร์มปี 2018 ได้แม่นยำ จากการวิเคราะห์ พบว่าหากใช้ Sahm’s Rule ในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐหลังวิกฤตซับไพร์ม จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สามารถดำเนินไปได้ด้วยดีกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากหากใช้กฎดังกล่าว จะทำให้ชาวสหรัฐจะกล้าใช้จ่ายเมื่อมีรายได้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดยล่าสุด ตัวเลขสถิติของ Sahm’s Rule ได้กลายเป็นดัชนีที่ไว้คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อยู่ในข้อมูล FRED ของเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ โดยได้นำมาเป็นส่วนหนึ่งของรายงานเศรษฐกิจสหรัฐที่นำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ของเฟดทุกเดือนแล้ว จะเห็นได้ว่าแนวโน้มของการแจกเงินจากภาครัฐมีอยู่ทั่วโลกในปี 2020 ครับ | Sahm’s Rule เป็นนโยบายการคลังแบบที่จะเข้าโหมดผ่อนคลาย ผ่านการลดภาษีและเพิ่มงบภาครัฐทันทีที่เห็นว่าสัญญาเศรษฐกิจจะชะลอตัวกว่าเดิม โดยการช่วยเหลือประชาชนผ่านการกระตุ้นงบภาครัฐผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งการโอนเงินหรือการสนับสนุนการเงินต่อการดำรงชีพขั้นต่ำ ผ่านแสตมป์อาหาร เงินโอนสู่ผู้ยากไร้ และเงินช่วยเหลือผู้พิการ
Sahm’s Rule มีที่มาจาก เคลาเดีย ซาห์ม นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐ โดยได้เสนอให้ใช้ส่วนต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของอัตราการว่างงานย้อนหลัง 3 เดือน ลบด้วยอัตราการว่างงานเฉลี่ย 12 เดือนย้อนหลัง หากส่วนต่างเกิน 0.5 หมายความว่าต้องมีการใช้นโยบายการคลังแบบผ่อนคลายผ่านการกระตุ้นของงบภาครัฐ Sahm’s Rule สามารถคาดการณ์วิกฤตดอตคอมปี 2001 และวิกฤตซับไพร์มปี 2018 ได้แม่นยำ
หากใช้ Sahm’s Rule ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐหลังวิกฤตซับไพร์ม ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาดำเนินไปได้ด้วยดี เนื่องจากทำให้ชาวสหรัฐกล้าใช้จ่ายเมื่อมีรายได้มากขึ้น ส่วนตัวเลขสถิติของ Sahm’s Rule กลายเป็นดัชนีที่ไว้คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในข้อมูล FRED ของเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ โดยนำมาเป็นส่วนหนึ่งของรายงานเศรษฐกิจสหรัฐที่นำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ของเฟดทุกเดือน | กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,เศรษฐศาสตร์การเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2063 | Finance | ช่วยสรุปบทความ เจาะลึกการชุมนุมในฮ่องกง: ความเป็นมาและเป็นไป ต่อจากนี้อย่างไรต่อ? | กรณีการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ซึ่งเป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกถึง 55 กิโลเมตร ซึ่งมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงระหว่างจีน และฮ่องกงเข้าด้วยกัน เพื่อให้การขนส่งสินค้า และการเดินทางสะดวกและประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเดินเรือถึง 4 ชม. เหลือเพียง 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นการขยายศักยภาพทางการค้าของทั้งจีนและฮ่องกงเอง แต่อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงมองว่า ท่าทีดังกล่าวนั้น เป็นความพยายามลดบทบาททางเศรษฐกิจของฮ่องกง และแสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางกายภาพระหว่างจีนและฮ่องกงที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ไหนจะกรณีของบุคคลผู้หายตัวไปเป็นระยะเวลาสั้นๆ หลายราย ก่อนที่จะพบว่าถูกดำเนินคดีในฮ่องกงอย่างกรณีของ กุ้ย หมินไห่ คนขายหนังสือพิมพ์ที่ขายหนังสือวิพากษ์วิจารณ์จีนจำนวนมากที่หายตัวอย่างไร้ร่องรอยขณะอยู่ในประเทศไทย ก่อนจะปรากฏตัวอยู่ที่ประเทศจีนพร้อมคลิปสารภาพผิด และรับโทษจำคุก 2 ปีในกรณีอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต, หวัง ปิ่งจาง ผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปไตยจีน ที่หายตัว ก่อนจะถูกศาลจีนพิพากษาจำคุกเช่นเดียวกัน หรือแม้กระทั่งนาย เผิง หมิง ที่พยายามต่อต้านการปกครองแบบพรรคเดียวของจีน ก่อนจะถูกนำตัวมาพิจารณาคดีและถูกพิพากษาตัดสินว่าผิดฐานครอบครองสกุลเงินปลอม ทำให้ถูกจำคุกตลอดชีวิตและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในเรือนจำโดยปราศจากการสืบสวนต่อ
เมื่อประกอบกับความเหลือมล้ำของรายได้และความมั่งคั่งที่มากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Net Gini Coefficient และสะท้อนออกทางภาวะการขาดแคลนที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงนั้นอยู่ในระดับที่สูงจนไม่อาจฝันถึง นี่เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายของผู้บริหาร ที่มาจากการเลือกของทางการจีน
ดังนั้น เมื่อมีการนำเสนอร่างกฏหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเข้าสภา ก็กลายเป็นประกายไฟที่จุดกระแสการชุมนุมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้นชาวฮ่องกงมองว่าหากกฏหมายฉบับนี้ผ่านสภาไปได้ อาจหมายถึงจุดจบแห่งสิทธิและเสรีภาพของชาวฮ่องกงในอนาคต ฮ่องกงนั้นจะต้องส่งตัว “ผู้ร้าย” ในสายตาจีนกลับไปดำเนินคดีที่จีน ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ กรณีของผู้ต้องหาคดีการเมือง ซึ่งทางการจีนนั้นมีประวัติไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก รวมไปถึงกรณีความเหลื่อมล้ำ ที่ชาวฮ่องกงมองว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นผู้บริหารฮ่องกงที่มาจากจีนทำเพื่อปักกิ่งมากกว่าชาวฮ่องกง | กรณีสร้างสะพานเชื่อมระหว่างฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊ามีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมโยงระหว่างจีนและฮ่องกงเพื่อประโยชน์ในการขนส่งสินค้าและการเดินทางที่สะดวก เป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก (55 กิโลเมตร) ลดเวลาการเดินทางจาก 4 ชั่วโมงเหลือเพียง 30 นาที เพิ่มศักยภาพทางการค้าของจีนและฮ่องกง
ในทางกลับกัน, การสร้างสะพานนี้ยังถือเป็นลักษณะของการลดบทบาททางเศรษฐกิจของฮ่องกง แสดงถึงการเพิ่มความเชื่อมั่นทางกายภาพระหว่างจีนและฮ่องกง
ในกรณีของบุคคลที่หายตัวไป มีหลายรายเป็นระยะเวลาสั้น ก่อนที่จะพบว่าถูกดำเนินคดีในฮ่องกง เช่น กุ้ย หมินไห่ ผู้ขายหนังสือพิมพ์ที่ต้องปรากฏตัวในประเทศจีนและถูกจำคุก ในกรณีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดเสียชีวิต, หวัง ปิ่งจาง ผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปไตยจีน, หายตัวก่อนที่จะถูกจำคุก
นาย เผิง หมิง ที่ต่อต้านการปกครองแบบพรรคเดียวของจีน หายตัวและถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต เสียชีวิตในเรือนจำโดยปราศจากการสืบสวนต่อ
ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงสูงมากเนื่องจากความเหลื่อมล้ำของรายได้และความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ผลที่แสดงผ่าน Net Gini Coefficient และภาวะการขาดแคลนที่อยู่อาศัย นโยบายจากผู้บริหารที่มีรากฐานจากจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างสภาพการอยู่อาศัยที่แพงขึ้น
การนำเสนอร่างกฏหมายเพื่อส่งผู้ร้ายข้ามแดนเข้าสภาได้ส่งผลให้การชุมนุมขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากชาวฮ่องกงเห็นว่าถ้ากฏหมายนี้ผ่าน สิทธิและเสรีภาพของชาวฮ่องกงอาจจะถูกลดลง เนื่องจากต้องส่งผู้ร้ายกลับไปจีนเพื่อดำเนินคดี ที่ทำให้มีความกังวลเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของชาวฮ่องกงในอนาคต | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2065 | Finance | กรุณาสรุปบทความ ประเภทสินทรัพย์ในการลงทุน (ตอนที่ 1) | สินทรัพย์ทางการลงทุนจะแบ่งออกเป็น เป็น 5 ประเภท คือ ตราสารทุน (หรือหุ้นนั่นเอง) ตราสารหนี้ (เช่น พวกหุ้นกู้ต่างๆ) กองทุนรวม การลงทุนทางเลือกอื่นๆ (เช่น ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์) และตราสารอนุพันธ์ สำหรับตอนแรกของบทความชุดนี้เราจะไปทำความรู้จักกับ 3 สินทรัพย์กันก่อน คือ หุ้น ตราสารหนี้ และกองทุนรวม กันนะครับ หุ้น หรือที่เรียกกันว่าตราสารทุน (Stock) เป็นตราสารที่ผู้ซื้ออย่างเราจะมีฐานะเป็นเจ้าของร่วมกับเจ้าของบริษัท แต่ว่าเราจะเป็นเจ้าของบริษัทแค่บางส่วน เท่ากับจำนวนหุ้นที่เราถืออยู่เท่านั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนกับมีเพื่อนมาชวนเราไปเป็นหุ้นส่วนเปิดร้านกาแฟแบบนี้ ถ้าเราตัดสินใจลงทุนด้วยก็เหมือนเราเป็นเจ้าของร้านกาแฟนี้ด้วยเหมือนกัน แล้วเราก็ให้เพื่อนบริหารร้านไปเรื่อยๆ โดยเราอาจจะคอยติดตามว่าเพื่อนบริหารดีมีกำไรกิจการเติบโตไหมจากการลองไปนั่งที่ร้านดูว่าลูกค้าเยอะไหม พนักงานบริการดีหรือเปล่า เพื่อนเรามีหน้าที่ต้องเอาผลประกอบการหรืองบการเงินของร้านกาแฟมาให้เราดูทุกๆ 3 เดือน (หรือทุกไตรมาส) และต้องสรุปงบรายปีมาให้เราดูด้วย ในส่วนนี้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องส่งงบการเงินให้นักลงทุนอย่างเราดูทุกๆ ไตรมาสและทุกปีเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อให้เรารู้ว่าร้านกาแฟมียอดขายเพิ่มไหม กำไรเพิ่มหรือเปล่า และถ้ามีกำไรหน้า ที่อีกอย่างของเพื่อนเราคือต้องจ่ายเงินปันผลให้เราด้วย เพราะว่าเราเอาเงินมาร่วมลงทุนกับเพื่อน พอบริหารดีมีกำไรเพื่อนก็ต้องแบ่งผลกำไรที่ทำได้ให้เราด้วย ผลตอบแทนนอกจากปันผลแล้วเราอาจจะเอาหุ้นที่เราถืออยู่ไปขายต่อให้คนอื่นก็ได้ ถ้าราคาหุ้นเพิ่มมากขึ้นเราก็จะได้กำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้นหรือที่เรียกว่า Capital Gain ในส่วนนี้ถ้าเราร่วมหุ้นกับเพื่อนจริงๆ การเอาหุ้นไปขายต่อคนอื่นอาจจะทำได้ยากหรืออาจจะทำให้เพื่อนโกรธเราได้ แต่หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เราสามารถขายต่อหุ้นที่เราถือให้นักลงทุนคนอื่นๆ ได้ทุกวัน ก่อนจะเลือกลงทุนกับบริษัทใดก็ตาม เราในฐานะเจ้าของร่วมก็ต้องมีความมั่นใจในบริษัทก่อน เพราะว่าถ้าบริษัทดีเราก็ได้ผลตอบแทนที่ดีไปด้วย แต่ถ้าบริษัทเกิดบริหารไม่ดีหรือเจ้าของบริษัทเกิดทุจริต เราก็อาจจะเสียเงินที่ลงทุนไปหมดหรือเป็นจำนวนมากได้ ดังนั้นการลงทุนในหุ้น เราควรทำความรู้จักกับบริษัทเป็นอย่างดีก่อนลงทุน เหมือนถ้าเราจะเอาเงินลงทุนไปร่วมหุ้นเปิดร้านกาแฟกับเพื่อนก็ต้องรู้จักเพื่อนเราอย่างดีก่อน เช่น เพื่อนนิสัยเป็นอย่างไร ตั้งใจทำงานจริงไหม มีประสบการ์ณทำงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จะบริหารร้านได้ดีหรือเปล่า เป็นต้น ตราสารหนี้ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ หุ้นกู้ หรือพันธบัตรต่างๆ (เช่น พันธบัตรรัฐบาล) สำหรับตราสารแบบนี้ เรามีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของคนที่ออกพันธบัตร หรือหุ้นกู้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เพื่อนเราที่เปิดร้านกาแฟมีเราเป็นหุ้นส่วนแล้วอยากขยายสาขา เลยอยากได้เงินเพิ่มเพื่อไปขยายสาขา ก็อาจจะไปกู้แบงก์ หรือถ้าไม่กู้แบงก์อาจจะขอยืมเพื่อนเราอีกคนหนึ่งก็ได้ สมมติว่าเพื่อนที่เปิดร้านกาแฟชื่อ A เราคือ B และเพื่อนเราที่ A ไปขอยืมเงินชื่อ C A บอกว่าขอยืมเงิน C 1,000,000 บาทแล้วจะคืนให้ในอีก 3 ปี ระหว่างนี้จะจ่ายดอกเบี้ยให้ C ทุกปี ปีละ 5% กรณีนี้ C ถือเป็นเจ้าหนี้ของ A ทำให้ C จะมีสิทธิ์ได้รับเงินคืนก่อนเรา (หรือ B) และจะได้ดอกเบี้ยค่อนข้างแน่นอน 5% ทุกปี ซึ่งก็คือปีละ 50,000 บาท (1,000,000 x 0.05) แล้วพอครบ 3 ปี C จะได้เงินที่ให้ A ยืมคืน 1,000,000 บาท จะสังเกตว่าสำหรับตราสารหนี้เราค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเราจะได้ดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนมากกว่าหุ้นที่ถ้าปีไหนกิจการกำไรลดลงเราก็อาจจะได้เงินปันผลลดลง แต่สำหรับตราสารหนี้ เราเป็นเจ้าหนี้จึงได้ดอกเบี้ยเท่าเดิมทุกปี และได้เงินคืนเมื่อครบอายุของตราสารหนี้เท่ากับที่ลงทุนไปตอนแรก ในขณะที่สำหรับหุ้นเราจะไม่ได้เงินคืน แต่จะสามารถเอาหุ้นที่เราถืออยู่ไปขายในตลาดรองได้ทุกวัน อย่างไรก็ดี สำหรับตราสารหนี้ เราไม่มีโอกาสที่จะได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเหมือนกับหุ้นที่ถ้าบริษัทกำไรมากขึ้นแล้วเราจะได้ปันผลมากขึ้น พอกำไรดีราคาหุ้นส่วนมากก็มักจะเพิ่มขึ้นทำให้เราได้ Capital Gain อีกด้วย แต่เราก็อาจจะเสี่ยงในแง่ที่ว่าอาจจะได้ปันผลน้อยลงหรือราคาหุ้นที่ถืออยู่ลดลงได้ถ้ากิจการบริษัทไม่ดี ดังนั้นการลงทุนในสินทรัพย์ 2 ประเภทนี้จึงมีความแตกต่างกันพอสมควร โดยอาจจะพอจะสรุปได้แบบง่ายๆ คือ ตราสารหนี้เสี่ยงน้อยกว่าแต่ก็ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าเช่นกัน ดังนั้นสำหรับการเลือกสินทรัพย์ลงทุนเราอาจจะเลือกลงทุนเฉพาะหุ้น 100% ก็ได้ถ้าอยากได้ผลตอบแทนมากๆ แต่ถ้าอยากจะเสี่ยงน้อยๆ เน้นได้ดอกเบี้ยบ้าง แต่ให้เงินลงทุนปลอดภัยกว่าหุ้น เราก็อาจจะเลือกลงทุนตราสารหนี้ล้วนๆ แต่อย่าลืมว่าเรายังมีทางเลือกอีกแบบ คือเลือกลงทุนทั้ง 2 ทรัพย์สินในสัดส่วนต่างๆ เช่น หุ้น 70% ตราสารหนี้ 30% ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มาก หรือ หุ้น 50% ตราสารหนี้ 50% ถ้าเรารับความเสี่ยงได้กลางๆ และอาจจะถือหุ้น 30% ตราสารหนี้ 70% ก็ได้ถ้าเรารับความเสี่ยงได้น้อย การแบ่งสัดส่วนการลงทุนแบบนี้อาจจะทำให้ง่ายกว่าถ้าลงทุนผ่านกองทุนรวม ทั้งนี้สำหรับการเลือกลงทุนในตราสารหนี้ เราจะเลือกลงทุนโดยดูจากความมั่นคงของบริษัท ถ้าบริษัทมีความมั่นคงมาก หรือมีอันดับเครดิต (Credit Rating) ดีๆ บริษัทก็อาจจะจ่ายดอกเบี้ยให้เราน้อยกว่าบริษัทที่อันดับเครดิตไม่ดีซึ่งมีความมั่นคงน้อยกว่า เพราะสำหรับบริษัทที่เครดิตไม่ดีเราอาจจะมีความเสี่ยงไม่ได้รับเงินลงทุนคืนก็ได้ บริษัทเหล่านี้จึงต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เรามากกว่าบริษัทอันดับเครดิตดีเพื่อให้เรายอมซื้อหุ้นกู้ของบริษัท อันนี้เปรียบเทียบง่ายๆ เช่น เรามีเพื่อน 2 คนชื่อ D กับ E มาขอยืมเงินเรา D เป็นคนนิสัยดีหน้าที่การงานดีแถมทำงานกับบริษัทมานาน ได้เลื่อนตำแหน่งกับขึ้นเงินเดือนทุกปี ในขณะที่ E ทำงานแล้วเปลี่ยนงานบ่อยๆ แถมเคยยืมเงินเราแล้วไม่คืน ถ้าเราจะให้ทั้ง 2 คนยืมโดยคิดดอกเบี้ยด้วยเราย่อมอยากให้ D ยืมมากกว่า แต่ถ้าให้ยืมทั้งคู่เราก็อาจจะคิดดอกเบี้ย D น้อยกว่า E เป็นต้น สำหรับกองทุนรวม คือ การที่เรามอบเงินให้มืออาชีพบริหารเงินให้เราแทน เพราะว่าเราไม่มีเวลา หรือว่าไม่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนมากพอ ซึ่งสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมเราค่อนข้างจะมั่นใจได้ว่า บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม) ซึ่งเรามอบเงินให้ไปบริหารจะไว้ใจได้ เพราะว่าในการตั้งกองทุนรวมจะมีระบบและกฏระเบียบจากหน่วยงานกำกับ เช่น กลต. คอยควบคุมดูแลอยู่อย่างแน่นหนาครับ สำหรับการเลือกลงทุนในกองทุนรวมเราอาจจะเลือกสินทรัพย์ต่างๆ ได้ตามที่เราต้องการ ทั้งกองทุนหุ้นหรือกองทุนตราสารทุน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสมที่มีทั้งหุ้นและตราสารหนี้รวมกันในกองทุนเดียว กองทุนทองคำ กองทุน อสังหาริมทรัพย์หรือกอง REIT ในปัจจุบัน กองทุนต่างประเทศที่เพิ่มโอกาสการลงทุนในต่างประเทศให้เราได้ อย่างไรก็ตาม ในการเลือกลงทุนในกองทุนรวม เราควรจะอ่านข้อมูลของกองทุนจากเอกสาร Fund Fact Sheet หรือเอกสารสรุปข้อมูลสำคัญของกองทุนก่อนลงทุนเสมอ ซึ่งเอกสารนี้สามารถขอได้จากธนาคาร หรือ บลจ. ที่ขายกองทุนก็ได้ ส่วนข้อมูลก็สามารถสอบถามกับพนักงานขายของธนาคารหรือว่าของ บลจ. ก็ได้ครับ ในเอกสารจะบอกข้อมูลต่างๆ เช่น กองทุนเป็นกองทุนประเภทใด ก่อตั้งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นอย่างไร และใครคือผู้จัดการกองทุน เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ปัจจุบันมีบริการแนะนำการจัดลำดับ ให้ข้อมูลและให้คำแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมจากบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน หรือ บลน. แล้ว สามารถทดลองใช้บริการได้ครับ ผ่านไปแล้วสำหรับการทำความรู้จักสินทรัพย์การลงทุน 3 ประเภท ในตอนหน้าเราจะมาทำความรู้จักกับสินทรัพย์อีก 2 ประเภท คือ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์กันนะครับ | ประเภทสินทรัพย์ในการลงทุน (ตอนที่ 1)
สินทรัพย์ทางการลงทุนแบ่งเป็น 5 ประเภท คือ ตราสารทุน (หรือหุ้น) ตราสารหนี้ (เช่น หุ้นกู้ต่างๆ) กองทุนรวม การลงทุนทางเลือกอื่นๆ (เช่น ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์) และตราสารอนุพันธ์ โดยตอนที่ 1 นี้ จะอธิบายข้อมูลของสินทรัพย์ 3 อันดับแรก คือ หุ้น ตราสารหนี้ และกองทุนรวม
1) หุ้น หรือตราสารทุน (Stock) เป็นตราสารที่ผู้ซื้อมีฐานะเป็นเจ้าของร่วมกับเจ้าของบริษัท เพียงแต่ผู้ซื้อจะมีสถานะเป็นเจ้าของบริษัทแค่บางส่วน คือเท่ากับจำนวนหุ้นที่เราถืออยู่ ซึ่งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องส่งงบการเงินให้นักลงทุนดูทุกไตรมาสและทุกปี เพื่อให้นักลงทุนรู้ยอดขาย กำไร พร้อมจ่ายเงินปันผลในกรณีมีกำไร นอกจากนี้นักลงทุนยังสามารถขายหุ้นที่ถืออยู่ให้ผู้อื่นได้ด้วย และหากราคาหุ้นที่เราถือเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ขาย เราก็จะได้กำไรที่เรียกว่า Capital Gain ตรงข้ามถ้าบริษัทที่เราถือหุ้น บริหารงานไม่ดี เราก็อาจเสียเงินลงทุนหรือขาดทุนได้
2) ตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้และพันธบัตรต่างๆ (เช่น พันธบัตรรัฐบาล) ผู้ซื้อจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้ ซึ่งเราจะได้รับดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกปี และได้เงินคืนเมื่อครบอายุตราสารหนี้เท่ากับจำนวนเงินที่ลงทุนในตอนแรก จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าด้วยเช่นกัน เราจึงควรเลือกลงทุนโดยดูจากความมั่นคงของบริษัท และมีอันดับเครดิต (Credit Rating) ดี
3) กองทุนรวม คือการนำเงินให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม นำไปบริหารเงินแทนเรา โดยเลือกสินทรัพย์ต่างๆ ได้ตามที่เราต้องการ ทั้งกองทุนหุ้นหรือกองทุนตราสารทุน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสมที่มีทั้งหุ้นและตราสารหนี้รวมกันในกองทุนเดียว กองทุนทองคำ กองทุน อสังหาริมทรัพย์หรือกอง REIT รวมไปถึงกองทุนต่างประเทศ จึงควรอ่านข้อมูลของกองทุนจากเอกสาร Fund Fact Sheet หรือเอกสารสรุปข้อมูลสำคัญของกองทุนก่อนลงทุนทุกครั้ง | ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ตลาดการเงิน,เครื่องมือทางการเงิน,สถาบันการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2066 | Finance | ในการซื้อหุ้นเราควรมีหุ้นในมือกี่ธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยง ระหว่าง 1-2 ธุรกิจ, 3-5 ธุรกิจ, มากกว่า 5 ธุรกิจ | null | 3-5 ธุรกิจ การซื้อหุ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ควรมีหุ้น 3-5 ธุรกิจ เพราะการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็คือการทำธุรกิจโดยการเป็นเจ้าของธุรกิจบางส่วน ถ้าเรามีแค่ 1-2 ธุรกิจอาจไม่พอในยามที่วงจรธุรกิจเปลี่ยนเร็วมากเช่นปัจจุบัน หุ้นที่เราถืออาจจะขึ้นสูงมากหรือตกต่ำมากไปเลย หรือมีความเสี่ยงสููงนั่นเอง จึงน่าจะมีหุ้นซัก 3 หรือ 4 หรือ 5 ธุรกิจ เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน แต่ก็ไม่ควรมีธุรกิจจำนวนมากเกินไปจนเราไม่สามารถรู้หรือติดตามได้ว่าธุรกิจที่เราซื้อนั้นกำลังอยู่ในวงจรไหนของการเติบโต ซึ่งจะทำให้เราลงทุนในธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าและทำให้เราเสียหายได้ นอกจากนี้ การซื้อหุ้นหลายตัวมากเกินไปนั้น ในที่สุดเราก็มักจะซื้อมาขายไป ซื้อหุ้นตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อเก็งกำไร กลายเป็นว่าเรากำลัง “เล่นหุ้น” คือไม่ได้คิดถึงพื้นฐานของการเป็นธุรกิจเลย ไม่ได้คิดถึงการลงทุนในธุรกิจในฐานะเจ้าของร่วม เอาแต่เก็งว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะสั้นแข่งกับคนอื่นเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่วิธีกระจายความเสี่ยงในการลงทุน อย่างไรก็ตามหากเราวิเคราะห์หุ้นไม่เป็น ไม่สามารถติดตามธุรกิจต่าง ๆ ได้ อาจแก้ปัญหาโดยการซื้อกองทุนรวมโดยเฉพาะที่เป็นกองทุนอิงดัชนีหลัก ๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ เปรียบได้กับการเลือกลงทุนในหุ้นหรือกิจการ “ชั้นนำ” ที่สุดของประเทศไทยหรือของต่างประเทศ มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนและรักษาความมั่งคั่งของตนและครอบครัวไว้ได้มาก | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2067 | Finance | การออมเงินเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องลงทุน เพียงพอสำหรับการเกษียณหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
อัตราเงินเฟ้อ: เงินออมจะสูญเสียมูลค่าตามกาลเวลา อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในประเทศไทยอยู่ที่ 2.37% - 3.94% ต่อปี หมายความว่า 10 ปีข้างหน้า เงิน 100 บาท จะมีค่าซื้อน้อยลง 23.7% - 39.4%
ระยะเวลาเกษียณ: คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ย 77 ปี หมายความว่า เงินออมต้องเพียงพอสำหรับใช้จ่าย 20-30 ปีหลังเกษียณ
ผลตอบแทน: การออมเงินแบบออมทรัพย์หรือฝากประจำ มีผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ
ความเสี่ยง: เงินออมอาจสูญเสียจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ปัญหาสุขภาพ
ตัวอย่าง:
สมมติว่าคุณอายุ 30 ปี ต้องการเกษียณตอนอายุ 60 ปี ตั้งเป้าหมายใช้จ่ายหลังเกษียณเดือนละ 20,000 บาท
กรณีออมเงินอย่างเดียว:
ต้องการเงินออม 12,600,000 บาท (คำนวณจากสูตร PV = PMT * [1 - (1 + r)^(-n)] / r) โดยที่ PV คือ เงินปัจจุบัน PMT คือ เงินที่ต้องจ่ายต่อเดือน r คือ อัตราดอกเบี้ย n คือ จำนวนงวด)
เงินออมจะสูญเสียมูลค่า 39.4% ใน 30 ปี
เงินออม 12,600,000 บาท อาจไม่เพียงพอสำหรับใช้จ่าย 20-30 ปีหลังเกษียณ
กรณีออมเงินและลงทุน:
ลงทุนในกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี
ต้องการเงินออม 7,000,000 บาท
เงินออมมีโอกาสเติบโตมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ
เงินออมมีโอกาสเพียงพอสำหรับใช้จ่าย 20-30 ปีหลังเกษียณ
สรุป:
การออมเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอสำหรับการเกษียณ การลงทุนเป็นวิธีเพิ่มผลตอบแทนและรักษามูลค่าเงินออม ช่วยให้มีโอกาสเกษียณอย่างสบาย | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2068 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 5 หลุมพรางของความขยันที่ทำให้จน | null | หลุมพรางของความขยันที่ทำให้จน มีอยู่ 5 อย่าง อย่างแรกคือ ความขยันให้กับความฝันของคนอื่น เป็นความขยันที่เหมือนจะดี แต่กลับเป็นสิ่งที่คอยขวางไม่ให้รวย อย่างที่สองเป็น ความขยันทำในสิ่งที่ไม่ได้รัก เพราะการทำงานที่ไม่ได้รัก จะทำให้ได้โบนัสที่เป็นความทุกข์ อย่างที่สามคือ ความขยันที่เน้นเชิงปริมาณ เป็นความขยันที่ไม่ได้สนใจว่างานที่ออกมามีคุณภาพดีหรือไม่ อย่างที่สี่ คือ ความขยันแบบเอาหัวพุ่งชน แม้จะขยันเพราะเปี่ยมไปด้วยความรัก ก็ยากที่จะเป็นเศรษฐีเพราะยังขยันอย่างผิดพลาด และอย่างสุดท้ายคือ ความขยันเพื่อขายเวลาแลกเงิน เนื่องจากเวลามีจำกัด ถ้าขยันทำงานเพื่อขายเวลาแลกเงิน ก็จะไม่มีวันรวย
บทเรียนจากย่อหน้านี้
หลุมพรางของความขยัน
1. ขยันให้กับความฝันของคนอื่น
คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะมีฝัน คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะมีเป้าหมายของตัวเอง ความขยันเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตาม มีความขยันอีกแบบที่เหมือนจะดี แต่กลับเป็นสิ่งที่คอยขวางไม่ให้รวย ก็คือ ‘ความขยันในการสร้างฝันให้คนอื่น’ คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต คือคนที่ต้องทำงานให้กับคนที่มีเป้าหมายในชีวิต ถ้ายังหาฝันของตัวเองยังไม่เจอ จะมีคนจ้างไปทำให้ฝันเป็นจริง จงถามใจตัวเองว่า ตอนนี้ขยันเพื่อฝันของตัวเอง หรือ ตอนนี้ขยันเพื่อฝันของคนอื่น
2) ขยันทำในสิ่งที่ไม่ได้รัก
‘การทำงานที่ไม่ได้รัก จะทำให้เราได้โบนัสทุกวัน…เป็นความทุกข์’ – ขุนเขา
หลายคนก้มหน้าก้มตาทำงานหนักอย่างขยันในงานที่พวกเขาไม่ได้รัก คิดว่า ทำในสิ่งที่รัก กับทำในสิ่งที่ไม่ได้รัก ทำแบบไหน ผลงานจะออกมามีคุณภาพมากกว่ากัน?
จงมีฉันทะ จงทำในสิ่งใจรัก ใจที่รักอันเกิดจากความศรัทธาและเชื่อมั่นต่อสิ่งที่ทำ ขอเพียงขยันในสิ่งที่รัก สิ่งที่เชื่อ นั่นละ เป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวย
3) ขยันเน้นเชิงปริมาณ
การเน้นเชิงปริมาณหมายถึง ขยันทำให้ได้มากที่สุด ขยันโดยไม่สนใจว่า งานที่ออกมามีคุณภาพดีหรือไม่ ยาจกจะใช้เวลาทำงานมาก ‘เท่าที่คุ้น’ ซึ่งหมายความว่า ยาจกเคย ‘คุ้น’ กับการทำงานด้วยเวลามากแค่ไหน เขาก็จะใช้เวลามากแค่นั้นกับทุกๆ งาน ไม่ว่างานนั้นจะเล็กหรือใหญ่ สำคัญหรือไม่สำคัญก็ตาม ในขณะที่เศรษฐีจะใช้เวลาทำงานมากเท่าที่ ‘ควร’ นั่นคืองานไหนสำคัญและใหญ่เขาจะใช้เวลาอย่างเต็มที่ ยิ่งกว่างานอื่น และเน้นการสร้างผลลัพธ์ที่ดีมากกว่า เน้นการใช้เวลาให้มากเข้าไว้นั่นเอง จงอย่าขยันเน้นจำนวน จงเน้นขยันเชิงคุณภาพ
4) ขยันแบบเอาหัวพุ่งชน
แม้ว่าจะมีความขยันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความฝัน และประสิทธิภาพ ก็ยังยากจะเป็นเศรษฐีได้ หากยังขยันอย่างผิดพลาดอยู่ นั่นคือ ‘การขยันอย่างตะบี้ตะบัน ไม่สร้างสรรค์ และปรับปรุง’ วิมังสา การทบทวนในสิ่งที่ทำ การทบทวนตัวเอง ทบทวนในสิ่งที่ได้คิดสิ่งได้ทำผ่านมาว่าเกิดผลดีผลเสียอย่างไร ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัวเองและเป็นเรื่องที่ร่วมคิดร่วมทำกับคนอื่น เพื่อปรับปรุงปรับแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น
5) ขยันเพื่อขายเวลาแลกเงิน
เวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด ถ้าขยันทำงานเพื่อขายเวลาแลกเงิน จะไม่มีวันรวย ถ้าเลือกขยันเพื่อขายเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน ให้กับนายจ้าง รายได้จึงจำกัด ถ้าเลือกขายเวลาเพื่อเงิน จะไม่มีทางได้พบกับ อิสรภาพทางการเงินและอิสรภาพทางเวลา คนรวยต้องการความมั่งคั่ง พวกเขาคิดว่าเวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด เวลาไม่สามารถเก็บเอาไว้ใช้ได้ และไม่ไหลย้อนกลับ ดังนั้นพวกเขาเลือกขยันที่จะรับเงินตามผลของงาน | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2075 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ กระบวนการวางแผนแบบ Goal-Based Investing | null | การวางแผนแบบ Goal-Based Investing เริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายชีวิต โดยเป้าหมายของชีวิตจะเขียนลงใน 4 ช่อง อันประกอบด้วย เป้าหมายที่จำเป็น และ ระยะเวลาสั้น, เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะสั้น, เป้าหมายที่จำเป็น และระยะยาว และเป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะยาว สำหรับการกำหนดนโยบายการลงทุนตามแต่ละช่อง ตามเป้าหมายนั้น จะเป็นแบบนี้ เป้าหมายแรกคือ เป้าหมายที่จำเป็น และ ระยะเวลาสั้น อาจเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต เก็บในรูปแบบเงินสด เป้าหมายที่สอง คือ เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะสั้น อาจเป็นเงินเก็บสำหรับไปเที่ยวกับครอบครัว เป้าหมายที่สาม คือ เป้าหมายที่จำเป็น และระยะยาว อาจเป็นเงินที่ส่งลูกเรียนหนังสือ และเป้าหมายสุดท้าย เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะยาว อาจเป็นเงินสำหรับหลังเกษียณ
บทเรียนจากย่อหน้านี้
กระบวนการวางแผนแบบ Goal-Based Investing ขั้นตอนดังนี้
กำหนด เป้าหมายของชีวิต
ให้กำหนดเป้าหมายของชีวิต เช่น การศึกษาบุตร / การเกษียณ / พาลูกไปเที่ยวต่างประเทศ หลังจากนั้น ให้เขียนมาเขียนลงใน 4 ช่องตามดังนี้
ช่องที่ 1 : เป้าหมายที่จำเป็น และ ระยะเวลาสั้น เช่น ค่าใช้จ่ายทั่วไปในการดำเนินชีวิต
ช่องที่ 2: เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะสั้น เช่น เก็บเงินอีก 2-3 ปีที่เที่ยวกับครอบครัว
ช่องที่ 3: เป้าหมายที่จำเป็น และระยะยาว เช่น ต้องการส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี
ช่องที่ 4: เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะยาว เช่น ต้องการเกษียณใช้ชีวิตที่ดี หรือ ต้องการสร้างมรดกให้ลูก
กำหนดนโยบายการลงทุนตามแต่ละช่อง ตามเป้าหมาย เช่น
ช่องที่ 1 : เป้าหมายที่จำเป็น และ ระยะเวลาสั้น ค่าใช้จ่ายทั่วไปในการดำเนินชีวิต จะต้องเก็บให้รูปเงินสด หรือ ตราสารเงินที่มีการันตีแน่นอน ตัวอย่างของพอร์ต เงินสด 50% และ ตราสารเงิน 50%
ช่องที่ 3: เป้าหมายที่จำเป็น และระยะยาว ต้องการส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี จะต้องจัดพอร์ตการเติบโตอย่างคงที่ และมีการจัดพอร์ตป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุน ตัวอย่างของพอร์ต หุ้น 50% REIT 10% และ ตราสารหนี้ 40%
ช่องที่ 4: เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะยาว ต้องการเกษียณใช้ชีวิตที่ดี หรือ ต้องการสร้างมรดกให้ลูก จะต้องจัดพอร์ตการเติบโต ตัวอย่างพอร์ต หุ้น 60% REIT 20% และ ตราสารหนี้ 20%
จะเห็นได้ว่า การลงทุนแบบ Goal-Based Investing จะไม่ได้ลงทุนแบบใช้ Risk profile อีกต่อไป แต่จะพิจารณาถึง ความสำคัญของเป้าหมายและเวลาในการลงทุนอีกด้วย | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2076 | Finance | จากบทความข้างต้น อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในยุคหลังดรากี? | null | 1. กระจายความเสี่ยง:
ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ
ลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
เลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันน้อย (uncorrelated)
2. มองหานโยบายการคลัง:
ติดตามข่าวสารและนโยบายการคลังของประเทศต่างๆ
ลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการคลัง
เลือกประเทศที่มีนโยบายการคลังที่สนับสนุนการเติบโต
3. เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน:
ศึกษาและเข้าใจความเสี่ยงต่างๆ ในตลาด
ตั้งเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน
เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้
4. มองหาโอกาสในตลาด:
ศึกษาและวิเคราะห์ตลาดอย่างสม่ำเสมอ
มองหาสินทรัพย์ที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
หาสถาบันการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
ปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม
เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตรงกับความต้องการ
ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน:
ลงทุนในหุ้น: เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เติบโตสม่ำเสมอ และมีราคาถูก
ลงทุนในพันธบัตร: เน้นพันธบัตรที่มีคุณภาพสูง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
ลงทุนในทองคำ: เก็บไว้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
ลงทุนในกองทุนรวม: กระจายความเสี่ยงและลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญ
ข้อควรระวัง:
ไม่มีกลยุทธ์การลงทุนใดที่รับประกันผลตอบแทน
การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต
สรุป:
ในยุคหลังดรากี นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและการเงินที่เปลี่ยนแปลง เน้นกระจายความเสี่ยง มองหานโยบายการคลัง เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน มองหาโอกาสในตลาด และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2077 | Finance | รัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้ประกาศเป็นทางการว่า จะทำการ IPO หุ้น Aramco ในตลาดหุ้นใด | null | รัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้ประกาศแบบเป็นทางการว่า จะทำการ IPO หุ้น Aramco ในตลาดหุ้นทาดาวัล ในกรุงริยาร์ดของซาอุดิอาระเบีย โดยจะมีการเผยแพร่รายละเอียดเอกสารการนำเสนอหุ้นเพื่อการจองหุ้น Aramco ที่จะเข้าตลาด ระหว่าง 17 พ.ย. ถึง 4 ธ.ค. 2019 โดยราคาท้ายสุดของ Aramco จะประกาศ 1 วันหลังจากนั้น
ทั้งนี้จำนวนหุ้นของบริษัทมีทั้งหมด 2 แสนล้านหุ้น ตามเอกสารที่ได้ทำ Filing กับกลต.ของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งได้เปิดเผยว่าจะมีการนำเสนอขายต่อสาธารณชนไม่เกิน 0.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หรือ 1 พันล้านหุ้น จะเสนอขายต่อลูกค้ารายย่อย ทว่าไม่ได้ระบุว่าจะขายมากน้อยเท่าใดให้กับนักลงทุนสถาบัน
หากอ้างอิงแหล่งข่าววงในเกี่ยวกับกระบวนการ IPO ได้ระบุว่า ทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบียมีแผนที่จะขายหุ้นของบริษัทราว 1-3% ของทั้งหมด หรือ ระดมทุนประมาณ 2-6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าทางซาอุดิอาระเบียจะลดมูลค่ารวมหุ้นที่เคยเผยตัวเลขออกมาที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ให้เหลือราว 1.2-1.5 ล้านล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ มูลค่าตลาดที่ใหญ่ได้รับการหนุนจากสำรองน้ำมันดิบมูลค่า 256.9 พันล้านบาร์เรล ซึ่งมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบใหญ่กว่า Exxon ที่มีสำรองเพียง 24 พันล้านบาร์เรลเท่านั้น นอกจากนี้ สำรองของ Aramco เป็นน้ำมันดิบถึง 88% ของสำรองทั้งหมด ในขณะที่ Exxon มีน้ำมันดิบเพียง 40% ของสำรองทั้งหมด นอกจากนี้ Aramco ยังมีกำไรสุทธิ 1.11 แสนล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว และ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ใน 9 เดือนของปี 2019 ถือว่าบริษัทมีกำไรสุทธิเยอะที่สุด เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ของโลก
นอกจากนี้ ตามเอกสาร Filing IPO ของ Aramco ยังให้สัญญาว่าจะจ่ายเงินปันผลต่อนักลงทุนปีละ 37.5 เซนต์ต่อหุ้น (คิดจาก 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์หารด้วย 2 แสนล้านหุ้น) ระหว่างปี 2020 – 2024 โดยอัตราร้อยละผลตอบแทนเงินปันผลที่ 5% ถือว่าสูงกว่าเพื่อนโดยส่วนใหญ่ ทว่าหากราคาน้ำมันดิบลดต่ำลง ราคาหุ้น Aramco ก็จะตกลง เนื่องจากนักลงทุนจะคาดการณ์ว่าเงินปันผลจะลดต่ำลงกว่า 37.5 เซนต์หลังปี 2024 ซึ่งตรงนี้ทำให้หุ้น Aramco คล้ายกับหุ้นบุริมสิทธิ์มากกว่าหุ้นสามัญ
หากพิจารณา Aramco ที่ราคา 7.5 ดอลลาร์ต่อหุ้น จะมีค่า P/E เท่ากับ 16 เท่า ด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2019 คาดไว้ที่ 46 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่า Exxon และ Chevron แต่สูงกว่า BP และ Shell โดยหากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทางนักวิเคราะห์ของเบิร์นสตีน คาดว่ากำไรสุทธิจะเท่ากับ 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2020 โดยปี 2019 คาดมีกำไรสุทธิ 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์ และหากราคาเบรนท์ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล Aramco จะมีกำไรสุทธิ 1.09 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2020 | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2078 | Finance | ลักษณะธุรกิจของ AWC คืออะไร | null | ลักษณะธุรกิจของ AWC คือ บริษัทประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ โดยมีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักซึ่งก่อให้เกิดกำไรหลัก 12 บริษัท
สำหรับสินทรัพย์ของกิจการทั้งหมดตีมูลค่าไว้ราว 9.2 หมื่นล้านบาท โดย 52% หรือสัดส่วนใหญ่จะเป็น Hospitality Asset ก็คือ ธุรกิจการบริการ หมายรวมถึง การโรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น สัดส่วนอีก 30% เป็น Office หรือสำนักงานให้เช่า ตึกให้เช่า และสุดท้ายเป็นพื้นที่ค้าปลีกอีกราว 18% ถ้าแยกสินทรัพย์ออกเป็นส่วน ๆ จะเห็นว่า Hospitality มีโรงแรมทั้งหมด 15 แห่ง มีห้องชุดราว 4,960 ห้อง และส่วนของค้าปลีกมี 10 แห่ง พื้นที่ค้าปลีกราว 3.4 แสนตารางเมตร สุดท้ายส่วนของสำนักงานให้เช่า มี 4 ตึก พื้นที่รวมราว 2.7 แสนตารางเมตร
สิ่งที่นักลงทุนสนใจใคร่จะรู้อีกประการก็คือ การเติบโตของกิจการที่คิดจะลงทุน เมื่อมาดูแนวโน้มรายได้ และกำไรของกิจการนี้จะพบว่า ปี 2559 มีรายได้ 8,256 ล้านบาท ปี 2560 มีรายได้ 9,630 ล้านบาท และปี 2561 มีรายได้ 10,563 ล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจก็คือ รายได้ โตเร็วมาก โดยโตจาก 8.2 พันล้านบาท จนทะลุหมื่นล้านภายในสามปี ในส่วนของกำไร ข้อมูลได้ในปี 2561 ทำกำไรสุทธิได้ 469.58 ล้านบาท และครึ่งปี 2562 ทำกำไรสุทธิไปแล้ว 366.66 ล้านบาท ถือว่ามีการเติบโตให้ได้เห็นเหมือนกัน
ตัวเลขจากปี 2561 ที่มีกำไรต่อหุ้นราว 0.03 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2562 มีกำไรต่อหุ้นราว 0.012 หรือถ้าคิดเต็มปีเอาแบบกำไรเท่ากับครึ่งปีแรก จะมีกำไรต่อหุ้น 0.023 บาทต่อหุ้น โดยสาเหตุที่กำไรต่อหุ้นลดลงน่าจะมาจากจำนวนหุ้นที่เข้า IPO มีปริมาณมากขึ้น เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที 6.05 บาทต่อหุ้นจะคิดพีอีได้ราว 260 เท่า ถ้าคิดในแง่ของการทำกำไรคือมีราคาแพง แต่หากคิดในแง่ของสินทรัพย์ที่ทาง AWC ตีมูลค่าไว้เกือบแสนล้าน กับขนาดกิจการ ณ ปี 2562 ที่มีขนาดกิจการราว 187,289.85 ล้านบาท ลองพิจารณากันดูว่าเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่เสี่ยงที่สุดของหุ้นตัวนี้ คงหนีไม่พ้น PE ที่สูงลิบลิ่ว หากกิจการไม่สามารถสร้างกำไรเติบโตได้ดังความคาดหวังของนักลงทุนในตลาด อาจได้เห็นราคาหุ้นขยับปรับลง สิ่งที่สำคัญก็คือ หุ้นดีต้องราคาดีด้วย | ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2086 | Finance | มีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้ประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย? | null | มีวิธีซึ่งสามารถช่วยให้ประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตัวอย่างวิธีเพิ่มเติม ดังนี้:
1. วางแผนการลงทุน:
ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริม เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมตราสารทุนระยะยาว (LTF) กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)
ลงทุนในประกันชีวิตแบบ Unit-linked ที่เน้นลงทุนในกองทุนรวม
ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF)
2. บริจาคเงิน:
บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลที่ได้รับการยกเว้นภาษี
บริจาคเงินเพื่อการศึกษา
บริจาคอวัยวะ
3. ใช้สิทธิประกันสังคม:
จ่ายเงินสมทบประกันสังคมเต็มจำนวน
ใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษาพยาบาล
4. วางแผนการเกษียณอายุ:
ออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ
ซื้อประกันบำนาญ
5. ใช้สิทธิลดหย่อนอื่นๆ:
ลดหย่อนค่าจ้างเลี้ยงดูบุตร
ลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่
ลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ
ลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
6. ศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสาร:
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากรอย่างสม่ำเสมอ
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายภาษีของรัฐบาล
7. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษานักวางแผนการเงิน หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการประหยัดภาษีที่เหมาะสมกับสถานะและเป้าหมายทางการเงินของคุณ
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ คุณต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของแต่ละวิธีอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อให้แน่ใจว่าวิธีนั้นๆ เหมาะสมกับคุณ และถูกต้องตามกฎหมายภาษีอากร
ตัวอย่างเพิ่มเติม: สมมติว่า คุณมีรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว 366,000 บาท คุณสามารถนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม LTF เพิ่มอีก 4,000 บาท ทำให้เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษีของคุณเหลือ 362,000 บาท ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีของคุณลง 1,200 บาท
การวางแผนภาษีที่ดี จะช่วยให้คุณประหยัดเงินและเพิ่มเงินออมของคุณได้ อย่าลืม ศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของแต่ละวิธีอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการประหยัดภาษีที่เหมาะสมกับคุณ | การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,กลยุทธ์การลงทุน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2092 | Finance | นักลงทุนสามารถติดตามราคาทองคำแบบ Real-time ผ่าน FINNOMENA Money ได้หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
FINNOMENA Money เป็นมินิแอปพลิเคชั่นบน LINE ที่ให้บริการข้อมูลด้านการเงินการลงทุน
หนึ่งในฟังก์ชั่นหลักของ FINNOMENA Money คือ การแสดงราคาทองคำแบบ Real-time
ราคาทองคำที่แสดงบน FINNOMENA Money แบ่งออกเป็น 2 ประเภท:
- ราคาทองไทย: อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมค้าทองคำ
- ราคาทองโลก: อ้างอิงข้อมูลจากตลาด Gold Spot
ราคาทองคำแบบ Real-time บน FINNOMENA Money ช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของราคาทองคำได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอการอัปเดตข้อมูล นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลราคาทองคำแบบ Real-time บน FINNOMENA Money เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำ ตัดสินใจซื้อขายทองคำ หรือใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนอื่นๆ
ข้อควรระวัง
ราคาทองคำมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อขาย
ข้อมูลราคาทองคำบน FINNOMENA Money เป็นเพียงข้อมูลอ้างอิง นักลงทุนควรตรวจสอบข้อมูลจาก
แหล่งอื่นเพิ่มเติม
แหล่งข้อมูล
FINNOMENA Money: เมื่อข้อมูลการลงทุน อยู่ใกล้แค่คลิก: [URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว]
รู้หรือไม่!? ทองคำไทยไม่เหมือนทองคำโลก I POCKET MONEY EP43 - FINNOMENA: [URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว]
สรุป
นักลงทุนสามารถติดตามราคาทองคำแบบ Real-time ผ่าน FINNOMENA Money ได้ โดยข้อมูลราคาทองคำบน FINNOMENA Money อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของราคาทองคำได้แบบเรียลไทม | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2094 | Finance | เงินสำรองฉุกเฉิน คืออะไร | null | เงินออมของเราประเภทหนึ่ง หลังจากที่พี่หมอเคยเกริ่นเรื่องสมการการออม ที่ว่า รายรับ – เงินออม = รายจ่ายไปแล้ว , เงินออมตัวแรกที่ทุกคนควรมีก็คือ เงินออมในเงินสำรองฉุกเฉินนั่นเอง ซึ่งเงินสำรองฉุกเฉินนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้เกิดผลประโยชน์จากการลงทุนให้ได้ดอกผล (เราจะไม่ได้ร่ำรวยจากเงินส่วนนี้) แต่เป็นเงินที่สำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น เวลาที่เราตกงาน ถูกให้ออกจากงาน ระหว่างรอหางานใหม่ คนในครอบครัวเจ็บป่วย ค่าใช้จ่ายที่อื่นๆ ที่อาจมาโดยไม่ได้วางแผนมาก่อน เป็นต้น เสมือนเงินที่มีไว้ประกันความเสี่ยง ให้เรามีใช้ยามจำเป็น ไม่ต้องไปหยิบยืม กู้ยืมใคร เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะคงไม่มีใครอยากเป็นลูกหนี้ มีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไหรดี ก่อนอื่นต้องเข้าใจจุดประสงค์ของมันก่อน ว่ามันมีไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเรื่องฉุกเฉินในแต่ละเรื่องมีความรุนแรงไม่เท่ากัน เราต้องเป็นคนประเมินความรุนแรงเองว่าหนักหนาสาหัสแค่ไหน ใจความสำคัญคือมีให้มากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายของเราอย่างน้อย 6-12 เดือน (ตัวเลขนี้ปรับได้แล้วแต่บุคคล) โดย ให้น้องๆ คำนวณค่าใช่จ่ายคงที่ (Fixed Cost) ต่อเดือนก่อน เช่น
ภาระหนี้สินต่อเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน/คอนโด 20,000 บาท
ค่าผ่อนรถยนต์ 7,000 บาท
ค่าน้ำมันรถยนต์ 3,000 บาท
ค่าโทรศัพท์ 500 บาท
ค่าตอบแทนบุพการี 10,000 บาท
ค่าใช้กิน ค่าจิปาถะอื่น คิดวันละ 300 X 30 วัน = 9,000 บาท
รวมต่อเดือนประมาณ 49,500 บาท เป็นต้น ทั้งนี้จะคำนวณได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อเราทำบัญชีรายรับรายจ่าย
พอได้ตัวเลขกลมๆ 50,000 บาท มาแล้ว เราก็ทยอยเก็บเงินสำรองฉุกเฉินให้ได้ 6-12 เท่า ก็คือ 300,000 – 600,000 บาทนั่นเอง
ตัวเลขเงิน 6-12 เดือนอาจปรับได้ตามความมั่นคงทางการเงินของเรา ตามอาชีพ พื้นฐานมาจากภายใน 6-12 เดือน เราน่าจะหางานใหม่ เพื่อให้รายได้คงเดิม กล่าวคือ อาชีพข้าราชการ มีความมั่นคงสูง ตกงานยาก แต่ก็จำเป็นต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอยู่ดี อาจปรับลดเป็น 3-6 เดือนได้ (แต่พี่หมอก็อยากแนะนำให้เป็น 6-12 เดือนอยู่ดี) อาชีพพนักงานเอกชน มีความเสี่ยงถูกเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้าได้มาก ยิ่งในช่วงที่บริษัทเกิดวิกฤติเช่นช่วงนี้ ควรคงไว้ที่ 6-12 เดือน กลุ่มอาชีพต่อมา คืออาชีพที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ค้าขาย, Freelance ซึ่งคาดการณ์รายได้ได้ยาก พี่หมอแนะนำให้สำรองไว้ 12-18 เดือนเลย (เกินดีกว่าขาด) | ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2095 | Finance | ขอใจความสำคัญของบทความเรื่อง "น้ำตาเจ้าสัว บทเรียนเงินล้าน" ให้หน่อยคะ | จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ากว่าเจ้าสัวธนินท์แห่ง CP จะ “มีวันนี้” ไม่ใช่แค่เงินล้านแต่เป็นหลายแสนล้าน เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง สิ้นเนื้อประดาตัวมาเท่าไหร่ บทความวันนี้จะขอถ่ายทอดบทเรียนครั้งสำคัญที่ไม่ใช่ความสำเร็จแต่เป็นความล้มเหลวแบบ “ยับเยิน” ตลอดชีวิตของเจ้าสัวธนินท์ เจ้าสัวล้มเหลวครั้งใหญ่ หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ นี่คือหนึ่งในตำนานเงินล้านของคนไทยที่น่าจดจำที่สุดคนหนึ่ง บทเรียนที่ 1 – สิ้นเนื้อประดาตัว หยามได้ตายไม่ได้ แม้วันนี้ครอบครัวเจียรวนนท์จะมีทรัพย์สินหลายแสนล้าน แต่ในอดีตตอนที่ตั้งตระกูลนั้นเคย “เกือบหมดตัวมาก่อน” ในช่วงเปลี่ยนการปกครองของจีน การขึ้นมามีอำนาจของเหมาเจ๋งตุงทำให้เกิดการกวาดล้างผู้มีอำนาจและนักธุรกิจใหญ่ทั้งหมด รัฐบาล “ริบ” คืนที่ดินทำกินของชาวบ้านเพื่อเอาไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ คุณพ่อของเจ้าสัวธนินท์ถือเป็นหนึ่งในชาวบ้านผู้เคราะห์ร้าย ที่ถูกริบทรัพย์สินไปทั้งหมด โชคยังดีที่พ่อของเจ้าสัวป่วยจึงขออนุญาติเดินทางออกจากประเทศไปรักษาตัว ทำให้รอดชีวิตมาได้ “เสียอะไรก็ได้แต่อย่าเสียชีวิต” บทเรียนที่ 2 – โอกาสในวิกฤต ทองบนกองเลือด เจ้าสัวธนินท์ตกงานครั้งแรกตอนอายุ 25 ปี ตอนนั้นท่านทำงานอยู่ที่สหกรณ์ค้าไข่แห่งประเทศไทย แต่วันดีคืนดีสหภาพโซเวียตเกิดความขัดแย้งกัน จึงยกเลิกการสนับสนุนเงินกู้แก่จีน เศรษฐกิจจีนพังชั่วข้ามคืน สหภาพโซเวียตไม่ค้าขายกับจีนแล้ว จีนจึงส่งไข่ไก่มหาศาลไปขายที่ฮ่องกงแทน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ไข่ไก่ราคาตกหนักมาก สหกรณ์ที่เจ้าสัวธนินท์ทำงานอยู่เจ๊งไม่เป็นท่า พยายามแก้ไขปัญหาก็ทำไม่ได้เพราะปัญหาเป็นเรื่องระดับชาติ เจ้าสัวธนินท์ตกงาน กลับบ้านไปช่วยงานบ้าน แต่วิกฤตในครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเจ้าสัวธนินท์และอาณาจักร CP ในวันนี้ ในวิกฤตมีโอกาส เจ้าสัวธนินท์เปรียบดั่งทองบนกองเลือด บทเรียนที่ 3 – รวยได้ ก็เครียดเป็น เมื่อธุรกิจเติบโต เจ้าสัวธนินท์จำเป็นต้องจ้างผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารงานแทนที่พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมสร้างกันมา ที่เจ้าสัวลำบากใจที่สุดคือการเชิญพี่สาวคนโตซึ่งคุมตำแหน่งงานบัญชีของบริษัทออก พี่ของท่านเป็นคนดี ซื่อสัตย์และไม่เห็นแก่ตัว แต่ด้วยความจำเป็นเจ้าสัวจึงต้องจำใจทำ เพราะถ้ามีแต่เครือญาติพี่น้องของเจ้าของบริษัทบริหารงาน ใครจะกล้าเข้ามาทำงานด้วย? บทเรียนที่ 4 – ต้มยำกุ้ง ก่องวิกฤตต้มยำกุ้ง บริษัทไทยหลายบริษัทได้กู้เงินต่างชาติมาทำธุรกิจเพราะดอกเบี้ยถูก รวมไปถึงกลุ่ม CP ด้วย พอเกิดวิกฤตหนี้สินของกลุ่มทวีคูณขึ้นชั่วข้ามคืน CP จากมหาอำนาจในตอนนั้นเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทใกล้เจ๊ง เพราะหนี้สินท่วมหัว เจ้าสัวเพื่อรักษาธุรกิจเอาไว้จำเป็นต้องขาย “ของดี” ซึ่งก็คือแมคโครและโลตัสออกไป เอาเงินไปใช้หนี้ก่อน ทำให้ CP รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ตอนหลังเจ้าสัวกลับไปซื้อคืนมาในราคาที่แพงกว่าที่ขายไปมหาศาล ขาดทุนจากตอนขายไปหลายพันล้าน บทเรียนที่ 5 – แม่ … ในช่วงสุดท้ายของชีวิตคุณแม่ของเจ้าสัว เจ้าสัวเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานจึงไม่มีเวลาให้แม่มากนัก สุดท้ายแม่จากไปอย่างรวดเร็วสร้างความเสียใจให้แก่เจ้าสัวจนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่ว่าจะมีกี่หมื่นกี่แสนล้าน ก็เอาแม่กลับมาไม่ได้ หลังจากนั้นท่านจึงแบ่งเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น กว่าอาณาจักร CP จะมาถึงจุดนี้ได้ชีวิตท่านเจ้าสัวธนินท์ต้องผ่านทั้งน้ำตา ทั้งสูญเสียเงิน และคนสำคัญไปมากมาย อาณาจักรแสนล้านไม่ได้สร้างอยู่บนกลีบกุหลาบฉันใด เงินล้านของเราและท่านก็ไม่ได้สร้างบนความสุขฉันนั้น แต่ต้องผ่านเรื่องทุกข์ ทรมานมากมาย ขอเป็นกำลังใจให้กับคนไทยที่ยังไม่ยอมแพ้ให้สู้ต่อไปครับ BuffettCode เริ่มต้นสร้างเงินล้านของคุณ ผ่านแผนลงทุนในกองทุนรวมด้วยแอป LINE คลิกเลย! | บทความเกี่ยวกับเจ้าสัวธนินท์แห่ง CP นำเสนอถึงเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันของเขา โดยสรุปเนื้อหาดังนี้ นะคะ
1. การสูญเสียทรัพย์สินในวัยเด็ก: ตั้งแต่เจ้าสัวเป็นเด็กทุกมีรัฐบาล "ริบ" ริบทรัพย์สินของครอบครัวและส่งพ่อไปรักษาตัวในต่างประเทศ เจ้าสัวได้รับบทเรียนว่า "เสียอะไรก็ได้แต่อย่าเสียชีวิต."
2. โอกาสในวิกฤต: เจ้าสัวพบโอกาสในวิกฤตและเริ่มก่อตั้งอาณาจักร CP จากการขายไข่ไก่ในยามวิกฤตทางเศรษฐกิจ.
3. การจ้างผู้บริหารมืออาชีพ: เจ้าสัวต้องทำการจ้างผู้บริหารมืออาชีพเพื่อทำให้ธุรกิจเติบโต แม้ว่าจะต้องตัดสินใจทำในทางที่ยากลำบาก.
4. การดำเนินธุรกิจในวิกฤต: บทความกล่าวถึงการดำเนินธุรกิจในยามวิกฤตโดยการขาย "ของดี" อย่างแมคโครและโลตัส.
5. ความสูญเสียแม่: เจ้าสัวเสียแม่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต, ทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัว.
6. บทเรียนสำคัญ: ผ่านทุกความทุกข์ทรมาน, เจ้าสัวธนินท์สร้างอาณาจักร CP และเป็นกำลังใจให้กับคนไทยที่ยังไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้.
ในช่วงวิกฤต, เจ้าสัวธนินท์ต้องพบโอกาสในวิกฤต, และเริ่มธุรกิจจากภาวะทุกข์ทรมาน. เขาต้องขายทรัพย์สินเพื่อรอด, แม้ว่าต้องขายแมคโครและโลตัสออกไปในราคาถูกเพื่อชำระหนี้. การจ้างผู้บริหารมืออาชีพก็เป็นส่วนสำคัญในการเฟ้นหาโอกาสในภาวะวิกฤต. | ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2096 | Finance | ข้อใดเป็นสิ่งที่คนโสดคิดในเรื่องการควบคุมเงิน | 1. อยู่คนเดียว ฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ ก็พอ
2. อยู่คนเดียว พึ่งแค่เงินจากงานประจำก็พอ
3. อยู่คนเดียว ควบคุมเรื่องเงินได้ทุกอย่าง
4. อยู่คนเดียว ค่าใช้จ่ายส่วนตัวไม่เยอะ
5. อยู่คนเดียว ไม่มีค่าใช้จ่ายครอบครัว | คำตอบคือ 3. เพราะว่า เพราะสิ่งที่คนโสดคิดในเรื่องการควบคุมเงิน คือ อยู่คนเดียว ควบคุมเรื่องเงินได้ทุกอย่าง แม้จะอยู่คนเดียว ตัดสินใจหลายๆ เรื่องคนเดียว ไม่ต้องรอถามใคร แต่อย่าลืมว่าโลกนี้ยังมีพลังอำนาจลึกลับที่อยู่เหนือการควบคุม จู่ๆ โชคชะตานึกอยากให้รถเสีย ตกงาน เจอวิกฤตเศรษฐกิจ ป่วยหนัก แฟนทิ้ง ก็ย่อมได้ทั้งนั้น
ส่วนข้ออื่น คำตอบที่ถูกต้อง ได้แก่
- การอยู่คนเดียว พึ่งแค่เงินจากงานประจำก็พอ เป็นสิ่งที่คนโสดคิดในเรื่องแหล่งรายได้ มันไม่ผิดหากจะรู้สึกพอใจกับเงินเดือน รู้สึกว่าเงินแค่นี้ก็พอใช้แล้ว
- การอยู่คนเดียว ฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ ก็พอ เป็นสิ่งที่คนโสดคิดในเรื่องเงินฝาก อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 0.50% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ผ่านมาของปี 2019 อยู่ที่ 0.80% สมมติว่าอัตรานี้คงที่ไปอีกเป็นเวลาหนึ่งปี นั่นหมายความว่าหากเราฝากเงิน 10,000 บาทปีนี้ ปีหน้าจะมีเงินทั้งหมด 10,050 บาท แต่สินค้าที่ราคา 10,000 บาทจะเพิ่มราคาเป็น 10,080 บาทในปีหน้า แสดงให้เห็นว่าอำนาจซื้อมีน้อยลง เพราะมูลค่าเงินลดลง
- การอยู่คนเดียว ไม่มีค่าใช้จ่ายครอบครัว เป็นสิ่งที่คนโสดคิดในเรื่องค่าใช้จ่ายของครอบครัว แม้จะไม่มีครอบครัวใหม่ แต่ก็มีครอบครัวเดิมของเราให้ดูแล แต่ในหลายๆ กรณีก็ยังถือว่าเป็นญาติพี่น้องที่มีสัมพันธ์ฉันท์มิตรอันดีงาม เห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กยังเล็ก จึงอาจจะมีโอกาสที่เราต้องช่วยเหลือเรื่องเงินบ้างเป็นครั้งคราว
- อยู่คนเดียว ค่าใช้จ่ายส่วนตัวไม่เยอะ เป็นสิ่งที่คนโสดคิดในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว เพราะคนโสดไม่มีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลครอบครัว และมีแนวโน้มที่จะเหงาได้ง่าย คนโสดจึงมีโอกาสที่จะใช้เงินเพื่อดลบันดาลความสุขสบายและความบันเทิงให้ตัวเอง | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2097 | Finance | บุคคลที่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ควรมีเงินออมอย่างน้อย 10% ของรายได้หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
หลักการออมเงินทั่วไป: แนะนำให้มีเงินออมอย่างน้อย 10% ของรายได้ เพื่อเป็นเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย ตกงาน หรือรถเสีย
รายได้ 50,000 บาทต่อเดือน: ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง
ค่าใช้จ่าย: โดยเฉลี่ยแล้ว ค่าใช้จ่ายของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 50-60% ของรายได้
เงินออม 10%:
-ช่วยให้มีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน: เงินออม 5,000 บาทต่อเดือน เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 1 เดือน
-ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน: เงินออม 5,000 บาทต่อเดือน สามารถนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน
-สร้างความมั่นคงทางการเงิน: เงินออม 5,000 บาทต่อเดือน ช่วยลดความกังวลเรื่องเงิน
ข้อดีของการออมเงิน:
-สร้างความมั่นคงทางการเงิน: มีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน
-บรรลุเป้าหมายทางการเงิน: เงินออมนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน
-สร้างอิสรภาพทางการเงิน: มีเงินออมเพียงพอสำหรับเกษียณอายุ
ข้อเสียของการไม่ ออมเงิน:
-ไม่มีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน: อาจต้องกู้ยืมเงิน
-บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ยาก: ไม่มีเงินออมนำไปลงทุน
-ไม่มีอิสรภาพทางการเงิน: ต้องทำงานไปเรื่อยๆ
กรณีพิเศษ:
บุคคลที่มีภาระหนี้สิน: ควรออมเงินเพื่อชำระหนี้ก่อน
บุคคลที่มีรายได้น้อย: ควรออมเงินเท่าที่สามารถทำได้
สรุป:
บุคคลที่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ควรมีเงินออมอย่างน้อย 10% ของรายได้ เพื่อเป็นเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน บรรลุเป้าหมายทางการเงิน และสร้างความมั่นคงทางการเงิน | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2100 | Finance | กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing - VI) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง มีโอกาสประสบความสำเร็จหรือมีความเสี่ยงอย่างไร เมื่อต้องเผชิญกับ "หุ้นปั่น" ที่มีราคาถูกแต่ถูก "แต่ง" ให้ดูน่าสนใจ? | null | กลยุทธ์ VI นั้นเป็นหลักการลงทุนที่มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของกิจการอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง กลยุทธ์นี้มักใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลและรอคอยจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งอาจขัดแย้งกับ "หุ้นปั่น" ที่ต้องการผลตอบแทนรวดเร็ว โดยใช้กลวิธีหลอกล่อให้ผู้ลงทุนเข้าซื้อหุ้น
ความเสี่ยงของ VI กับหุ้นปั่น:
ราคาถูกแต่ไม่จริง: หุ้นปั่นมักถูก "แต่ง" ให้ดูน่าสนใจผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ ข่าวลือ หรือปั่นราคา VI อาจเข้าใจผิดคิดว่าหุ้น undervalued
สูญเสียเงินทุน: เมื่อราคาหุ้นปั่นกลับมาที่ราคาที่แท้จริง นักลงทุน VI อาจสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก
เสียเวลาและโอกาส: การลงทุนในหุ้นปั่น เสียเวลาและโอกาสในการลงทุนหุ้น VI ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
การหาจุดสมดุล:
วิเคราะห์อย่างละเอียด: นักลงทุน VI ควรวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของกิจการอย่างละเอียด ไม่ควรเชื่อข่าวลือหรือคำแนะนำจากผู้อื่น
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ: ตรวจสอบข้อมูลของกิจการ ผู้บริหาร และที่มาของข่าว
ติดตามอย่างต่อเนื่อง: ติดตามผลการดำเนินงานของกิจการ และข่าวสารที่เกี่ยวข้อง
กระจายความเสี่ยง: กระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว
กลยุทธ์ VI กับหุ้นปั่น:
VI ไม่ได้ต่อต้านหุ้นปั่น: VI บางกลุ่มอาจใช้กลยุทธ์ "contrarian" ซื้อหุ้นปั่นที่ราคาถูก แต่ต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด และรอคอยจังหวะที่เหมาะสม
VI เน้นระยะยาว: VI มุ่งเน้นไปที่ผลตอบแทนระยะยาว ไม่ควรใจร้อน และไม่ควรลงทุนในหุ้นปั่นที่หวังผลตอบแทนรวดเร็ว
VI ต้องเรียนรู้: VI ต้องเรียนรู้กลยุทธ์ เทคนิค และวิธีการป้องกันตัวเองจาก "หุ้นปั่น"
สรุป:
กลยุทธ์ VI ยังคงเป็นหลักการลงทุนที่มั่นคง แต่ VI จำเป็นต้องเรียนรู้ เข้าใจ และวิเคราะห์ "หุ้นปั่น" อย่างละเอียด เพื่อป้องกันความเสี่ยง และรักษาผลตอบแทนระยะยาว
คำแนะนำเพิ่มเติม:
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ VI เพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เพื่อขอคำแนะนำในการลงทุน
ลงทุนด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2104 | Finance | นักลงทุนควรเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนในยุค Disruption? | null | 1. เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง: ศึกษาและติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ ของเทคโนโลยี วิเคราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวเก่ง และสามารถเติบโตในยุค Disruption
2. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลงทุนในธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กันน้อย (uncorrelated) ลงทุนในบริษัทที่มีขนาดและอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
3. มองหาโอกาสใหม่: ศึกษาธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี ลงทุนในธุรกิจที่มีโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง มองหาธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง
4. ลงทุนระยะยาว: อดทนรอคอยผลตอบแทน ไม่ควรลงทุนตามกระแส เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานดี
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หาสถาบันการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ ปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตรงกับความต้องการ
ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน:
- ลงทุนในหุ้น เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เติบโตสม่ำเสมอ และมีราคาถูก
- ลงทุนในพันธบัตร เน้นพันธบัตรที่มีคุณภาพสูง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
- ลงทุนในทองคำ เก็บไว้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
- ลงทุนในกองทุนรวม กระจายความเสี่ยงและลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญ
ข้อควรระวัง:
- ไม่มีกลยุทธ์การลงทุนใดที่รับประกันผลตอบแทน
- การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
- ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต
สรุป: ในยุค Disruption นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและการเงินที่เปลี่ยนแปลง เน้นกระจายความเสี่ยง มองหาโอกาสใหม่ ลงทุนระยะยาว และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2105 | Finance | จงบอกวิธีให้เงินงอกเงย | null | 1. เงินออม ฝากประจำ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย มีการสรุปอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั้งแบบออมทรัพย์ ฝากถอนเมื่อไรก็ได้ และทั้งแบบฝากประจำกี่เดือน ๆ ทุกธนาคารที่เดียว เทียบให้หมด ทางเลือกแรก Basic สำหรับทุกคน ปลอดภัย มีแค่ว่าฝากประจำ ถ้าสมมติต้องรีบใช้เงินแล้วถอนออกมาก่อน อาจมีเงื่อนไข เช่น ไม่จ่ายดอกเบี้ยเลย หรือ จ่ายในเรทที่ถูกกว่าได้ เป็นสิ่งที่ต้องแลกเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น
2. ME by TMB ของทางธนาคารทหารไทย อัตราดอกเบี้ยต่อปีค่อนข้างสูง เกือบใกล้เคียงกับฝากประจำ 24 เดือน ในข้อ 1 (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2562) แต่อย่าลืมดูรายละเอียดดี ๆ จะมีเงื่อนไขในส่วนของอัตราดอกเบี้ยในเว็บ ต้องมีเงินเข้าในบัญชีนั้นในแต่ละเดือนสูงกว่าเงินออก ถ้าเปิดบัญชีใหม่ใช้สำหรับการออมเงินอย่างเดียว ใส่เดือนละพันทุกเดือน แบบนี้ไม่เป็นปัญหา
3. TMRW by UOB แอปฯ ธนาคารหน้าตาน่ารัก จากแบงค์ UOB มีหลายอย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตที่ Cashback ได้อัตราสูง แต่หารู้ไม่ ก็สามารถฝากเงินได้ดอกเบี้ย 1.6% ต่อปีเช่นกัน
4. ลงทุนกองทุนรวม ประเภท ตราสารเงิน / ตราสารหนี้ระยะสั้น การลงทุนในกองทุนรวมตราสารเงิน / หนี้ระยะสั้นเหมือนการนำเงินไปให้ผู้จัดการกองทุนรวมลงทุนในตราสารจำพวกพันธบัตรรัฐบาล หรือ ของแบงค์ชาติ บัตรเงินฝาก ตั๋วแลกเงิน หรือแม้กระทั่งหุ้นกู้เอกชน ซึ่งกองทุนรวมประเภทนี้จะมีความเสี่ยงน้อยกว่ากองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นมาก และการที่เลือกเป็นตราสารเงิน หรือตราสารหนี้ระยะสั้น ก็เปรียบเสมือนการปล่อยกู้ระยะสั้นตั้งแต่ระยะรายวัน ถึง ไม่เกิน 1 ปีซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าการปล่อยกู้ยาว ๆ ข้อดีคือ มีผลตอบแทนต่อปีที่ค่อนข้างดีกว่าเงินฝาก รวมถึงไม่มีข้อจำกัดเรื่องการต้องฝากเพิ่ม หรือ ถอน อย่างไรก็ตามการลงทุนในกองทุนนั้น จะมีความเสี่ยงเพิ่มเข้ามา ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เป็นการการันตีว่าอนาคตจะได้อีก ต้องดูตามสภาวะตลาดที่เกิดขึ้นด้วย นอกจากนี้การขายกองทุน หรือ ถอนเงินออกจากกองทุนนี้มาใช้ จำเป็นที่จะต้องรอ 1 วันทำการ ถอนวันนี้ ได้พรุ่งนี้ ไม่ใช่ได้ทันที แต่ว่าไม่มีข้อผูกมัดอย่างไร ผลตอบแทนได้ทุกวัน
5. ลงทุนจัดพอร์ตแบบจริงจัง จัดทัพกองทุนหุ้น ตราสารหนี้ มาแบบครบๆ (ต้อง 2,500 บาทต่อเดือนในปัจจุบัน) หากลงทุนดี ๆ 1 ล้านบาท จาก 83 ปี เหลือแค่ 24 ปี ข้อสำคัญที่ทำให้ได้ระยะเวลาน้อยเช่นนั้นมาจากผลตอบแทนต่อปี | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2114 | Finance | การอบรมหัวข้อ “วางแผนสู่อิสรภาพทางการเงิน” ที่บรรยายโดยคุณศันสนีย์ หุตานุวัตร ในปี 2560 มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร | DCA ออมหุ้นไทย ไม่ขาดทุนจริงหรือ?
ในปี 2560 ผมมีโอกาสได้เข้าอบรมหัวข้อ “วางแผนสู่อิสรภาพทางการเงิน” ที่บรรยายโดยคุณ ศันสนีย์ หุตานุวัตร การอบรมครั้งนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคล เพื่อให้เราสามารถมีเงินเพียงพอไว้ใช้ในยามเกษียณ โดยมีหัวข้อหนึ่งที่วิทยากรหยิบเอางานวิจัยของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เกี่ยวกับผลการลงทุนในหุ้นไทยด้วยกลยุทธ์ DCA มานำเสนอ ซึ่งผมเห็นว่ามีประโยชน์ ช่วยตอบข้อสงสัยของผู้ที่สนใจนำเงินออมมาลงทุนในหุ้นได้เป็นอย่างดี ข้อสงสัยที่ผมพูดถึง คือ การใช้กลยุทธ์ DCA ในการออมหุ้นไทย จะไม่มีโอกาสขาดทุนจริงหรือ เพราะหลาย ๆ ครั้ง ผมได้พบกับคนจำนวนมากที่ใช้กลยุทธ์ DCA ในหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน แล้วผลที่ได้รับออกมาไม่ดีนัก เนื่องจากผลตอบแทนของพอร์ตยังติดลบอยู่ ข้อมูลจากงานวิจัยใช้ข้อมูลของตลาดหุ้นไทยระหว่างปี 2519-2551 ซึ่งผ่านวัฏจักรทั้งช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง แสดงให้เห็นว่าการใช้กลยุทธ์ DCA ในการออมหุ้นไทยมีโอกาสขาดทุนได้ แต่ถ้าระยะเวลาในการออมยิ่งนานโอกาสในการขาดทุนจะยิ่งน้อยลง ข้อมูลจากตารางได้ทำการทดลองออมหุ้นไทย (ลงทุนในดัชนี ไม่ใช่หุ้นรายตัว) เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยปีแรกที่มีการออมหุ้นเริ่มตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปี 2542 ผู้ที่เริ่มออมหุ้นตั้งแต่ปี 2519 เป็นระยะเวลา 10 ปี คือเริ่มลงทุนปี 2519 และหยุดลงทุนปี 2528 (ช่วงเวลาที่ 1) ผู้ที่เริ่มออมหุ้นตั้งแต่ปี 2520 เป็นระยะเวลา 10 ปี คือเริ่มลงทุนปี 2520 และหยุดลงทุนปี 2529 (ช่วงเวลาที่ 2) ผู้ที่เริ่มออมหุ้นตั้งแต่ปี 2521 เป็นระยะเวลา 10 ปี คือเริ่มลงทุนปี 2521 และหยุดลงทุนปี 2530 (ช่วงเวลาที่ 3) จากตัวอย่างทั้งหมด 24 ช่วงเวลา มีทั้งหมด 6 ช่วงเวลาที่ลงทุนไปแล้ว 10 ปี แต่พอร์ตติดลบ คิดเป็น 25% ของจำนวนช่วงเวลาทั้งหมด ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ถึงแม้จะออมหุ้นนาน 10 ปีก็มีโอกาสที่พอร์ตติดลบได้ หากเริ่มลงทุนในช่วงที่จังหวะไม่ดี ซึ่งโอกาส 25% ที่พอร์ตจะติดลบ ผมถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย แต่อย่าเพิ่งถอดใจแล้วสรุปว่ากลยุทธ์ DCA เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการออมหุ้นไม่ได้นะครับ เราลองมาดูผลการวิจัยเพิ่มเติมกันอีกสักนิด จากตารางด้านบนได้ทดลองผลของการออมหุ้นไทยด้วยกลยุทธ์ DCA ที่ระยะเวลาต่าง ๆ กัน คือ 1 ปี 5 ปี 10 ปี 15 ปี 20 ปี และ 25 ปี ปรากฏว่า ถ้าเราออมหุ้นไทยระยะเวลานานมากพอ คือ ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จะไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่พอร์ตจะออกมาติดลบ แต่ถ้าระยะเวลาในการออมหุ้นน้อยกว่านั้นก็ยังมีโอกาสที่พอร์ตจะติดลบได้ ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยผมเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้สนใจออมหุ้นด้วยกลยุทธ์ DCA โดยมีประเด็นที่อยากนำเสนออยู่ 2 ประเด็น คือ 1. ประเด็นด้านความคาดหวังของผลตอบแทนจากการออมหุ้นกับปัจจัยด้านระยะเวลาในการลงทุน ซึ่งหมายความว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสได้รับผลตอบแทนสูงก็จริง แต่ผลตอบแทนที่พูดถึงหรือผลตอบแทนที่ใช้ในการอ้างอิงนั้น มักเป็นตัวเลขของผลตอบแทนเฉลี่ย ในกรณีที่เรา DCA หุ้นระยะเวลาสั้น ๆ ย่อมมีโอกาสที่ผลตอบแทนจะออกมาเป็นลบได้ แต่ถ้าเรามีระยะเวลาในการลงทุนที่มากพอ ก็ค่อนข้างเชื่อมั่นได้ว่าการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดี 2. ตัวเลขที่ใช้ในการอ้างอิงเป็นตัวเลขที่คำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งไม่ใช่หุ้นรายตัว กรณีที่เราใช้กลยุทธ์ DCA ในการออมหุ้นรายตัว อาจให้ผลตอบแทนที่มากกว่าหรือน้อยกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกหุ้นได้ดีขนาดไหน (มีความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นรายตัว) DaddyTrader ติดตาม DaddyTrader ได้ที่เพจ หากสนใจลงทุนใน Long Term Defensive Plus พอร์ตกองทุนรวมเน้นลงทุนระยะยาวที่จัดโดย DaddyTrader สามารถคลิกที่ | การอบรมหัวข้อ “วางแผนสู่อิสรภาพทางการเงิน” ที่บรรยายโดยคุณศันสนีย์ หุตานุวัตร ในปี 2560 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคล เพื่อให้สามารถมีเงินเพียงพอไว้ใช้ในยามเกษียณ โดยมีหัวข้อหนึ่งที่วิทยากรหยิบเอางานวิจัยของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เกี่ยวกับผลการลงทุนในหุ้นไทยด้วยกลยุทธ์ DCA มานำเสนอ ซึ่งมีประโยชน์ ช่วยตอบข้อสงสัยของผู้ที่สนใจนำเงินออมมาลงทุนในหุ้นได้เป็นอย่างดี
ข้อสงสัยนั้นคือ การใช้กลยุทธ์ DCA ในการออมหุ้นไทย จะไม่มีโอกาสขาดทุนจริงหรือ เพราะหลาย ๆ ครั้ง คนจำนวนมากที่ใช้กลยุทธ์ DCA ในหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน แล้วผลที่ได้รับออกมาไม่ดีนัก เนื่องจากผลตอบแทนของพอร์ตยังติดลบอยู่ ข้อมูลจากงานวิจัยใช้ข้อมูลของตลาดหุ้นไทยระหว่างปี 2519-2551 ซึ่งผ่านวัฏจักรทั้งช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง แสดงให้เห็นว่าการใช้กลยุทธ์ DCA ในการออมหุ้นไทยมีโอกาสขาดทุนได้ แต่ถ้าระยะเวลาในการออมยิ่งนานโอกาสในการขาดทุนจะยิ่งน้อยลง
ข้อมูลที่ได้จากการทำการทดลองออมหุ้นไทย (ลงทุนในดัชนี ไม่ใช่หุ้นรายตัว) เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยปีแรกที่มีการออมหุ้นเริ่มตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปี 2542
ผู้ที่เริ่มออมหุ้นตั้งแต่ปี 2519 เป็นระยะเวลา 10 ปี คือเริ่มลงทุนปี 2519 และหยุดลงทุนปี 2528 (ช่วงเวลาที่ 1)
ผู้ที่เริ่มออมหุ้นตั้งแต่ปี 2520 เป็นระยะเวลา 10 ปี คือเริ่มลงทุนปี 2520 และหยุดลงทุนปี 2529 (ช่วงเวลาที่ 2)
ผู้ที่เริ่มออมหุ้นตั้งแต่ปี 2521 เป็นระยะเวลา 10 ปี คือเริ่มลงทุนปี 2521 และหยุดลงทุนปี 2530 (ช่วงเวลาที่ 3)
จากทั้งหมด 24 ช่วงเวลา มีทั้งหมด 6 ช่วงเวลาที่ลงทุนไปแล้ว 10 ปี แต่พอร์ตติดลบ คิดเป็น 25% ของจำนวนช่วงเวลาทั้งหมด ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ถึงแม้จะออมหุ้นนาน 10 ปีก็มีโอกาสที่พอร์ตติดลบได้ หากเริ่มลงทุนในช่วงที่จังหวะไม่ดี ซึ่งโอกาส 25% ที่พอร์ตจะติดลบ ผมถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย แต่อย่าเพิ่งถอดใจแล้วสรุปว่ากลยุทธ์ DCA เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการออมหุ้นไม่ได้
จากนั้นได้ทดลองผลของการออมหุ้นไทยด้วยกลยุทธ์ DCA ที่ระยะเวลาต่าง ๆ กัน คือ 1 ปี 5 ปี 10 ปี 15 ปี 20 ปี และ 25 ปี ปรากฏว่า ถ้าออมหุ้นไทยระยะเวลานานมากพอ คือ ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จะไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่พอร์ตจะออกมาติดลบ แต่ถ้าระยะเวลาในการออมหุ้นน้อยกว่านั้นก็ยังมีโอกาสที่พอร์ตจะติดลบได้ ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยมีประโยชน์สำหรับผู้สนใจออมหุ้นด้วยกลยุทธ์ DCA โดยมีประเด็นที่นำเสนออยู่ 2 ประเด็น คือ
1. ประเด็นด้านความคาดหวังของผลตอบแทนจากการออมหุ้นกับปัจจัยด้านระยะเวลาในการลงทุน ซึ่งหมายความว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสได้รับผลตอบแทนสูงก็จริง แต่ผลตอบแทนที่พูดถึงหรือผลตอบแทนที่ใช้ในการอ้างอิงนั้น มักเป็นตัวเลขของผลตอบแทนเฉลี่ย ในกรณีที่ DCA หุ้นระยะเวลาสั้น ๆ ย่อมมีโอกาสที่ผลตอบแทนจะออกมาเป็นลบได้ แต่ถ้ามีระยะเวลาในการลงทุนที่มากพอ ก็ค่อนข้างเชื่อมั่นได้ว่าการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดี
2. ตัวเลขที่ใช้ในการอ้างอิงเป็นตัวเลขที่คำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งไม่ใช่หุ้นรายตัว กรณีที่ใช้กลยุทธ์ DCA ในการออมหุ้นรายตัว อาจให้ผลตอบแทนที่มากกว่าหรือน้อยกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเลือกหุ้นได้ดีขนาดไหน (มีความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นรายตัว) | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2118 | Finance | การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
ตราสารหนี้ : เป็นสัญญาการกู้ยืมเงินระหว่างนักลงทุน (เจ้าหนี้) กับผู้ออก (ลูกหนี้) โดยผู้ออกจะจ่ายดอกเบี้ยให้กับนักลงทุนเป็นระยะ ๆ และชำระเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด
ตราสารทุน : เป็นสัญญาการร่วมลงทุนในธุรกิจ โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผล และ/หรือ กำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น
ความเสี่ยงของตราสารหนี้ โดยทั่วไป จะต่ำกว่าตราสารทุน เนื่องมาจาก
1. ความมั่นคงของเงินต้น : ตราสารหนี้มีการจ่ายเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด
2. ความสม่ำเสมอของผลตอบแทน : ตราสารหนี้จ่ายดอกเบี้ยเป็นระยะ ๆ
3. ความผันผวนของราคา โดยทั่วไป ต่ำกว่า ตราสารทุน
อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น
- ความเสี่ยงจากเครดิต ของผู้ออก
- ความเสี่ยงจากอัตรดอกเบี้ย
- ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง
ตัวอย่าง:
1. กองทุนรวมตราสารหนี้ มักลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ บัตรเงินคลัง
2. กองทุนรวมตราสารทุน มักลงทุนในหุ้น
โดยทั่วไป ผลตอบแทนของ กองทุนรวมตราสารหนี้ จะ ต่ำกว่า กองทุนรวมตราสารทุน แต่ มีความเสี่ยง ต่ำกว่า
สรุป :
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมแต่ละประเภทก่อนตัดสินใจลงทุน | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2119 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Sum Of The Parts (SOTP) | null | วิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Sum Of The Parts (SOTP) เป็นการหามูลค่าหุ้นบริษัทลูกหรือบริษัทที่บริษัทโฮลดิ้งถืออยู่ว่ารวมกันแล้วเท่ากับเท่าไร ในกรณีที่บริษัทเองทำธุรกิจเอง แต่ไม่ได้เป็น Pure Holding จะต้องดูว่าธุรกิจนั้นเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่บริษัทแม่ถือหุ้น 100% แล้วตัวเลขมูลค่าหุ้นทั้งหมดจะเป็นตัวบอกว่า Market Cap. ของหุ้นแม่ ซึ่งควรจะเป็นเท่าไร วิธีประเมินนี้มีความแม่นยำ เพราะอิงอ้างกับมูลค่าหุ้นของแต่ละกิจการที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทโฮลดิ้งที่สามารถขายได้จริง ถ้าส่วนที่บริษัทถือนั้นมีอยู่ไม่มาก เมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมด
บทเรียนจากย่อหน้านี้
การวิเคราะห์หรือประเมินมูลค่าหุ้นโฮลดิ้งนั้น วิธีแรกก็คือ การหามูลค่าหุ้นบริษัทลูกหรือบริษัทที่บริษัทโฮลดิ้งถืออยู่ ดูว่ารวมกันแล้วเท่ากับเท่าไร นอกจากนั้น ถ้าตัวบริษัทเองก็ทำธุรกิจเองด้วย ไม่ได้เป็น Pure Holding แบบนี้ก็ต้องดูเสมือนหนึ่งว่าธุรกิจนั้นก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่บริษัทแม่ถือหุ้น 100% ตัวเลขมูลค่าหุ้นทั้งหมดรวมกันนี้ก็จะเป็นตัวบอกว่า Market Cap. ของหุ้นแม่นั้นควรจะเป็นเท่าไรตามทฤษฎี ในวงการหุ้นเรียกว่าเป็นวิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Sum Of The Parts (SOTP) แต่เพื่อให้ปลอดภัยและเป็นการประเมินแบบอนุรักษ์นิยม นักวิเคราะห์ก็มักจะ “ลดมูลค่า” ทรัพย์สินหรือหุ้นที่บริษัทโฮลดิ้งถืออยู่ประมาณ 20-25% เพราะเขาคิดว่าถ้าบริษัท “ขาย” หุ้นต่าง ๆ ที่ถืออยู่เพื่อให้ได้เงินจริง ๆ บริษัทก็จะต้อง “จ่ายภาษี” นิติบุคคล 20% เป็นต้น
วิธีประเมินแบบ SOTP นั้น เป็นวิธีที่น่าจะใกล้เคียงและมีความแม่นยำกว่าวิธีอื่นเนื่องจากมันอิงอยู่กับตัวเลขมูลค่าหุ้นของแต่ละกิจการที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทโฮลดิ้งสามารถขายได้จริงถ้าส่วนที่บริษัทถือนั้นไม่ได้มากเมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมดของกิจการเช่น อาจจะถือแค่ 10-20% เป็นต้น แต่ถ้าหุ้นที่บริษัทถือนั้นสูงมากเช่น 50% ของทุนจดทะเบียนขึ้นไปซึ่งมักทำให้ “ขายไม่ได้” เพราะจะไม่ได้ราคาที่เห็น แบบนี้ เราก็อาจจะต้องคำนวณมูลค่าอีกแบบหนึ่งเฉพาะในหุ้นตัวนั้น | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2120 | Finance | การออมเงินเป็นประจำ จะช่วยให้รวยได้จริงหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
-การออมเงินช่วยให้มีเงินทุนสำรอง:
เงินออมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การตกงาน การเจ็บป่วย หรือการสูญเสียทรัพย์สิน
-การออมเงินช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน:
เงินออมช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาว เช่น การซื้อบ้าน การเกษียณอายุ หรือการส่งลูกเรียน
-การออมเงินช่วยให้มีอิสรภาพทางการเงิน:
เงินออมช่วยให้เราสามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น
ตัวอย่าง:
-สมมติว่าเราออมเงิน 10,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่นำไปลงทุน เงินออมของเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 บาท
-เงินออม 1,200,000 บาท สามารถนำไปใช้เป็นเงินทุนสำรองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ นำไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มผลตอบแทน
-เงินออม 1,200,000 บาท ช่วยให้เราสามารถเกษียณอายุได้เร็วขึ้น หรือ ส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศ
ข้อดี:
1.ช่วยให้มีเงินทุนสำรอง
2.ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน
3.ช่วยให้มีอิสรภาพทางการเงิน
ข้อเสีย:
1.ต้องใช้ความอดทน
2.ต้องมีวินัย
3.ผลตอบแทนอาจไม่สูง
สรุป:
-การออมเงินเป็นประจำเป็นพฤติกรรมที่สำคัญสำหรับการบรรลุเป้าหมายทางการเงิน และสร้างความมั่นคงทางการเงิน
-ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2121 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ แนวคิดของการมองหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง | null | สำหรับแนวคิดของการมองหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง จะมีอยู่ 2 แนวคิด แนวคิดแรก คือ การมองหาหุ้นที่มีอนาคตว่าจะเติบโต และโตขึ้นได้เรื่อย ๆ มาจากรายได้ที่เติบโตขึ้น ทำห้กำไรเติบโตตาม หรือ รายได้เติบโตไม่มาก แต่กำไรกลับเติบโตมาก เพราะการปรับเปลี่ยนแนวทางธุรกิจ ส่วนอีกแนวคิดหนึ่ง นั่นก็คือ การมองหาหุ้นที่ถูกลดราคาลงมาแบบอัศจรรย์และเหลือเชื่อว่าทำได้จริง เนื่องจากความกลัวจนเกินเหตุ หรือตลาดไม่เป็นใจ
บทเรียนจากย่อหน้านี้
แนวคิดของการมองหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงนั้น แบ่งออกได้สองแนวคิด ได้แก่ การมองที่มองเห็นมูลค่าเพิ่มในอนาคต แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง และการที่เห็นหุ้นลดราคาลงมาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในปัจจุบัน
แนวคิดแรก … จะมองหาหุ้นที่อนาคตมีแววจะเติบโต และโตขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตอาจจะมาจาก รายได้ที่เติบโตขึ้น ส่งผลให้กำไรเติบโตตาม หรือ อาจมาจากการที่รายได้เติบโตไม่มาก แต่กำไรกลับเติบโตมาก เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนแนวทางในการทำธุรกิจบางอย่าง
แนวคิดที่สองก็คือ … จะมองหาหุ้นที่ถูกลดราคาลงมาอย่างเหลือเชื่อ อาจเป็นเพราะผู้คนตื่นกลัวจนเกินเหตุ หรือตลาดไม่เป็นใจ แต่หากคิดผิด พื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงไปจริงจัง แบบนี้ก็จะเป็นการลงทุนที่เลวร้ายได้เลย | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2122 | Finance | การผกผันของ Yield Curve เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยเสมอไปหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
การผกผันของ Yield Curve เป็นสัญญาณเตือน ว่าเศรษฐกิจอาจถดถอย แต่ไม่ใช่สัญญาณที่แน่นอน
Yield Curve ผกผัน หมายถึง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 3 เดือน
สาเหตุ ของการผกผัน Yield Curve มีหลายประการ เช่น
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
- นักลงทุน คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลงในอนาคต
- นักลงทุน ต้องการซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อความปลอดภัย
การผกผัน Yield Curve เคยเกิดขึ้นก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในอดีต แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่ Yield Curve ผกผันจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตัวอย่าง ของ Yield Curve ผกผันที่ไม่ได้นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น
- ปี 1998 เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ Yield Curve ผกผัน แต่เศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย
- ปี 2019 Yield Curve ผกผัน แต่เศรษฐกิจยังคงเติบโต
ปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาร่วมกับ Yield Curve
- ตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น อัตราการว่างงาน การเติบโตของ GDP
- นโยบายการเงิน ของเฟด
- ความเสี่ยงทางการเมือง
สรุป
การผกผันของ Yield Curve เป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจอาจถดถอย แต่ไม่ใช่สัญญาณที่แน่นอน
ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมกับ Yield Curve เพื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจ การวิเคราะห์เศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ซับซ้อน ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2123 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สิ่งชี้วัดภายในที่บ่งบอกถึงปรัชญาการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ | null | วอร์เรน บัฟเฟตต์ สอนเด็กนักเรียนไฮสคูลให้เป็นคนดี ผ่านสารคดี Becoming Warren Buffett ของ HBO ในปี 2017 โดยเขาได้สอนเกี่ยวกับกฏ 2 ข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน ซึ่งแนวคิดที่ว่าก็คือ สิ่งชี้วัดภายในที่บ่งบอกถึงปรัชญาการลงทุน โดยแนวคิดนี้จะมีง่าย ๆ แค่ 2 ข้อ คือ ห้ามขาดทุน และอย่าลืมที่จะห้ามขาดทุน การใช้วิธีลงทุนที่สมเหตุสมผล เป็นสิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดมั่นมาตลอด เพราะเขาลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อขาดทุน
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ในสารคดีของ HBO ที่ชื่อ Becoming Warren Buffett ในปี 2017 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้สอนเด็กนักเรียนไฮสคูลกลุ่มหนึ่ง เขาไม่ได้สอนเรื่องวิธีการทำเงินหรอก แต่เป็นวิธีการใช้ชีวิตที่ดี รวมถึงการเป็นคนที่ดีต่างหาก
อย่าลืมกฏ 2 ข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน
สิ่งชี้วัดภายในที่บ่งบอกถึงปรัชญาการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นมีสั้น ๆ ง่าย ๆ แค่สองข้อ
“ข้อ 1 คือ ห้ามขาดทุน ข้อที่ 2 คือ อย่าลืมข้อที่ 1”
สิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดมั่นมาตลอดก็คือ Mindset ของเขา นั่นคือการใช้วิธีลงทุนที่สมเหตุสมผล อธิบายให้เห็นภาพขึ้นก็คือการทำการบ้านก่อน การหาบริษัทที่ยั่งยืนและมีชื่อเสียงดี ไม่ทำตัวเหลาะแหละหรือมองการลงทุนเป็นการพนัน บัฟเฟตต์ไม่เคยเตรียมตัวลงทุนเพื่อที่จะขาดทุน พวกเราเองก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2125 | Finance | แผนการลงทุนให้เป้าหมายชีวิตไม่ไกลเกินเอื้อม มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง | null | แผนการลงทุนให้เป้าหมายชีวิตไม่ไกลเกินเอื้อม มีขั้นตอนดังนี้
1. การวางแผนงบประมาณและค่าใช้จ่าย
อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ว่าแป็นพื้นฐานที่สำคัญเลย เพราะการบันทึกค่าใช้จ่ายทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วจ่ายเงินไปกับอะไร เท่าไหร่ และเหลือเงินเก็บในแต่ละเดือนแค่ไหน ถ้าเหลือมากก็สามารถแบ่งเงินมาออม หรือว่าลงทุนได้มาก ซึ่งจะมีผลให้เราบรรลุเป้าหมายได้มากด้วย ส่วนนี้สามารถใช้ Application บันทึกค่าใช้จ่ายได้
2. ระบุจำนวนเงินที่ต้องใช้ในแต่ละเป้าหมายและเวลาที่ใช้ในการลงทุน
ขั้นตอนนี้จะสอดคล้องกับขั้นตอนที่ 1 คือ ควรวางเป้าหมายให้เหมาะกับเงินออมที่เหลือในแต่ละเดือนด้วย
3. การเลือกสินทรัพย์สำหรับลงทุน
โดยการเลือกสินทรัพย์ควรสอดคล้องกันระหว่างความจำเป็นในการใช้เงิน กับช่วงเวลาในการลงทุนด้วย สินทรัพย์แต่ละประเภทสร้างผลตอบแทนให้ได้ไม่เท่ากัน
4. ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการลงทุน คือ การบริหารความเสี่ยง
เพราะว่าการลงทุนไม่ได้มีแต่ผลตอบแทนเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงที่สินทรัพย์ที่ลงทุนจะมีราคาลดลงในแต่ละช่วงเวลา โดยการลดลงจะไม่เท่ากันและขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ต่างกันด้วย ระยะเวลายิ่งใกล้ถึงเป้าหมายยิ่งต้องมีสัดส่วนสินทรัพย์ที่ราคาไม่ผันผวน เช่น กองทุน ตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือเงินสด มากขึ้น หรืออย่างในกรณีแผนเกษียณควรมีการปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเมื่อใกล้เวลาเกษียณเช่นกัน แต่ในระหว่างทางอาจจะลงทุนในหุ้นได้เพราะหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุดในสินทรัพย์ทางการเงินแบบปกติ และไม่จำเป็นต้องเอาเงินที่ลงทุนมาใช้ระหว่างทาง
5. การลงทุนควรจัดสรรเงินเป็นพอร์ต (Portfolio)
คือ การจัดสัดส่วนเงินลงทุนที่มีว่าจะลงทุนกับสินทรัพย์อะไรในสัดส่วนเท่าไหร่และควรมีการปรับสัดส่วนพอร์ตเมื่อสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตเปลี่ยนไป อาจจะขายหุ้นบางส่วนมาซื้อตราสารหนี้เพื่อให้มีสัดส่วนหุ้นต่อตราสารหนี้เป็น 50 ต่อ 50 เท่าเดิม วีธีการ Rebalance Portfolio จะทำให้ขายสินทรัพย์ที่ราคาแพงขึ้นไปซื้อสินทรัพย์ที่ราคาถูกลงอย่างอัตโนมัติ และทำให้ความผันผวนของพอร์ตลดลงด้วย
6. การวางแผนสำรองต่างๆ
เช่น การทำประกัน และเงินสดสำรองฉุกเฉิน (ควรสำรองไว้ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี) เผื่อกรณีตกงานหรือเจ็บป่วย ก็ยังมีเงินใช้ในช่วงนั้นโดยไม่ต้องรบกวนเงินที่เก็บไว้เพื่อเป้าหมายต่าง ๆ
7. การวางแผนภาษี
เพราะการวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้มีเงินมากขึ้นได้
สุดท้ายนี้แม้ว่าการวางแผนการเงินการลงทุนจะเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ว่าถ้าเริ่มลงมือทำก็น่าจะช่วยให้ชีวิตทางการเงินราบรื่นและบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ที่ตั้งไว้ได้ด้วยดี | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2126 | Finance | กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับเงิน 10 ล้านบาทหลังเกษียณควรมีลักษณะอย่างไร? | null | กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับเงิน 10 ล้านบาทหลังเกษียณนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น เป้าหมายการใช้ชีวิต ระดับความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาการเกษียณ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม บทความได้นำเสนอ 2 ทางเลือกหลักๆ ดังนี้
1. นำเงิน 10 ล้านเก็บไว้ใช้ มอบความสุขให้กับชีวิต: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เน้นการใช้เงินเพื่อซื้อความสุข ไม่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม
- ข้อดี: ใช้ชีวิตอย่างสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ควบคุมการใช้จ่ายได้ง่าย
- ข้อเสีย: เงินอาจหมดลงก่อนวัยอันควร พลาดโอกาสในการต่อยอดเงิน เงินเฟ้ออาจกัดกินมูลค่าเงิน
2. นำเงิน 10 ล้านไปลงทุนต่อยอด: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการต่อยอดเงินให้เติบโต เน้นสร้างกระแสเงินสด passive income ต้องการความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
- ข้อดี: มีโอกาสต่อยอดเงินให้เติบโต สร้างกระแสเงินสด passive income มั่นคงทางการเงินในระยะยาว
- ข้อเสีย: มีความเสี่ยง ผลตอบแทนไม่แน่นอน ต้องใช้ความรู้และความเข้าใจในการลงทุน
กลยุทธ์ที่เหมาะสม: จากข้อดีและข้อเสียของทั้ง 2 ทางเลือก กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับเงิน 10 ล้านบาทหลังเกษียณ ควรเป็นการผสมผสานระหว่างทั้ง 2 แนวทาง ดังนี้
1. แบ่งเงินเป็น 2 ส่วน:
ส่วนที่ 1: เก็บไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน คิดเป็น 30-50% ของเงินทั้งหมด
ส่วนที่ 2: นำไปลงทุนต่อยอด คิดเป็น 50-70% ของเงินทั้งหมด
2. เลือกวิธีลงทุนที่เหมาะสม:
สำหรับเงินที่เก็บไว้ใช้จ่าย เน้นความปลอดภัยและสภาพคล่อง เช่น เงินฝากธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล
สำหรับเงินที่นำไปลงทุน เน้นสร้างกระแสเงินสด passive income และความมั่นคงในระยะยาว เช่น หุ้นปันผล กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs)
3. กระจายความเสี่ยง:
ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว
เลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันน้อย (uncorrelated)
ลงทุนในบริษัทที่มีขนาดและอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
หาสถาบันการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
ปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม
เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตรงกับความต้องการ
5. ทบทวนกลยุทธ์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ:
ปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เปลี่ยนสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
ขายสินทรัพย์ที่ขาดทุนและซื้อสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโต | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2127 | Finance | ช่วยสรุปบทความ LINE ScaleUP สร้าง Startup Unicorn สัญชาติไทย ขยายธุรกิจผ่านฐานผู้ใช้งานไลน์ | LINE ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะร่วมเป็นกำลังสำคัญในการสร้าง Startup Unicorn สัญชาติไทย ซึ่งหมายถึงบริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญขึ้นไปให้ได้เป็นครั้งแรก โดยได้จัดโครงการ LINE ScaleUP เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพไทยได้ขยายโปรดักส์ของตนเองสู่แพลตฟอร์ม LINE โครงการ LINE ScaleUP เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่ผ่านเข้าร่วมโครงการสามารถขยายธุรกิจผ่าน feature ที่คนไทยใช้กันทั้งประเทศทั้ง LINE Official Account, LINE MAN, Rabbit LINE PAY, LINE TV, LINE Today และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งแน่นอนจะทำให้บริษัทสตาร์ทอัพไทยมีโอกาสที่จะเข้าถึงฐานลูกค้านับสิบล้านคนทั่วประเทศ สำหรับโครงการ LINE ScaleUP ปี 2562 นี้มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 6 บริษัท ได้แก่ FINNOMENA (แนะนำการลงทุนด้วยเทคโนโลยี Robo-advisor), Claimdi (เคลมประกันรถยนต์), Gowabi (จองสปาและร้านเสริมสวย), Choco CRM (ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า), Tellscore (แพลตฟอร์ม Micro-influencer) และ Seekster (หาพนักงานทำความสะอาด และบำรุงรักษาบ้าน คอนโด สำนักงาน) | LINE จัดโครงการ LINE ScaleUP สร้าง Startup Unicorn สัญชาติไทย หรือบริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญขึ้นไป เพื่อให้สตาร์ทอัพไทยขยายผลิตภัณฑ์โปรดักส์ของตัวเองผ่านแพลตฟอร์ม LINE ได้ โดยสตาร์ทอัพที่ผ่านเข้าร่วมโครงการสามารถขยายธุรกิจผ่าน feature ที่คนไทยใช้ทั่วประเทศอย่าง LINE Official Account, LINE MAN, Rabbit LINE PAY, LINE TV, LINE Today และอื่นๆ ช่วยให้เข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนมาก และโครงการ LINE ScaleUP ในปี 2562 ก็มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 6 บริษัท คือ FINNOMENA (แนะนำการลงทุนด้วยเทคโนโลยี Robo-advisor), Claimdi (เคลมประกันรถยนต์), Gowabi (จองสปาและร้านเสริมสวย), Choco CRM (ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า), Tellscore (แพลตฟอร์ม Micro-influencer) และ Seekster (หาพนักงานทำความสะอาด และบำรุงรักษาบ้าน คอนโด สำนักงาน) | การวิเคราะห์ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2128 | Finance | นักลงทุน VI ควรลงทุนในหุ้น Consumer ไทยหรือไม่? | null | ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เหตุผล:
1. ศักยภาพการเติบโต:
ข้อดี:
หุ้น Consumer ไทยบางตัวมี "ยี่ห้อสินค้าที่โดดเด่น" สร้าง Durable Competitive Advantage (CA)
ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้า ยอมจ่ายราคาแพงกว่า
ธุรกิจมั่นคง กำไรดี
เหมาะกับนักลงทุน VI ที่ต้องการความมั่นคง
ข้อเสีย:
ตลาด Consumer ไทย "อิ่มตัว"
ประชากรไทย "แก่ตัวลง" เกิดน้อย
การบริโภคต่อหัว "ทรงตัว"
โอกาสเติบโต "จำกัด"
2. การขยายตลาดไปต่างประเทศ:
ข้อดี:
เพิ่มโอกาสเติบโต
ตลาดจีนมีประชากรมาก
ข้อเสีย:
คนจีน "ไม่นิยม" สินค้าไทย
รสนิยม รสชาติ การใช้สินค้า "แตกต่าง"
ภาพพจน์สินค้าไทย "ด้อยกว่า"
สินค้าไทย "ไม่ดัง" ทั่วโลก
3. กลยุทธ์อื่น:
แนวตั้ง:
ลดต้นทุน
ตั้งโรงงาน
จัดการ Logistic
เพิ่มยี่ห้อสินค้า:
จับ Segment ใหม่
เจอ "เจ้าถิ่น"
แข่งขันสูง
4. มูลค่าหุ้น:
ข้อดี:
หุ้น Consumer ไทย "ปันผลดี"
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกินปันผล
ข้อเสีย:
หุ้น Consumer ไทย "ราคาแพง"
ค่า PE สูง
ความเสี่ยงสูง
5. บทเรียนจากหุ้น "นางฟ้า":
หุ้น Consumer ไทย "ตกลงมามาก"
นักลงทุนควร "ระวัง"
สรุป:
หุ้น Consumer ไทย "ดีพอใช้"
เติบโตช้า
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง
ต้องการกินปันผล
มูลค่าหุ้น "ไม่ถูก"
ความเสี่ยงสูง
นักลงทุน VI ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ carefully ก่อนตัดสินใจลงทุน
คำเตือน:
บทความนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้น
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
วิเคราะห์ปัจจัยอื่น ๆ
ประเมินความเสี่ยง
ตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเอง | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2130 | Finance | การออมเงินจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7% มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเงินล้านภายในระยะเวลาเท่าใด | null | จากบทความ "Get Wealth Soon" แนะนำให้ตั้งเป้าหมายการออมเงินที่สอดคล้องกับความเป็นจริง และเลือกวิธีการออมที่เหมาะสมกับเป้าหมาย
ในกรณีนี้ เป้าหมายคือการมีเงินล้าน โดยใช้กลยุทธ์การออมเงินจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7%
เพื่อคำนวณระยะเวลาที่ใช้ในการบรรลุเป้าหมาย เราสามารถใช้สูตรการคำนวณดอกเบี้ยทบต้นดังนี้
A = P(1 + r/n)^(nt)
โดยที่
A = เงินต้น + ดอกเบี้ย
P = เงินต้น
r = อัตราดอกเบี้ย
n = จำนวนทบต้นต่อปี
t = จำนวนปี
แทนค่าในสูตร
P = 5,000 บาท
r = 7%
n = 12 (รายเดือน)
t = ?
แก้สมการหา t
t = log(A/P) / log(1 + r/n)
t = log(1,000,000/5,000) / log(1 + 0.07/12)
t = 27.32 ปี
ผลลัพธ์:
จากการคำนวณ การออมเงินจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7% มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเงินล้านภายในระยะเวลา ประมาณ 27.32 ปี
ปัจจัยเพิ่มเติม:
ผลตอบแทนที่แท้จริง: ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนอาจไม่ใช่ 7% เป๊ะ ๆ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน ภาวะเศรษฐกิจ และความเสี่ยง
เงินเฟ้อ: เงินเฟ้อจะทำให้ค่าเงินในอนาคตมีมูลค่าลดลง
การปรับเงินออม: ควรปรับเงินออมให้สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ข้อเสนอแนะ:
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน
กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
สรุป:
การออมเงินเป็นประจำ ลงทุนอย่างชาญฉลาด และอดทน รอคอยผลตอบแทนระยะยาว เป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทางการเงิน
หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยให้เข้าใจหลักการออมเงินและการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2131 | Finance | นักลงทุนไทยควรพิจารณาอะไรบ้างก่อนตัดสินใจลงทุนใน Smart Beta ETF? | null | Smart Beta ETF นำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายเงินลงทุนไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน:
1. กลยุทธ์การลงทุน:
Smart Beta ETF แต่ละตัวมีกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจกลยุทธ์เหล่านั้น เลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้
2. ค่าธรรมเนียม:
แม้ว่า Smart Beta ETF จะมีค่าธรรมเนียมไม่แพง แต่ค่าธรรมเนียมก็ยังมีผลต่อผลตอบแทนระยะยาว นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของ Smart Beta ETF แต่ละตัวก่อนตัดสินใจ
3. สภาพคล่อง:
Smart Beta ETF บางตัวมีสภาพคล่องต่ำ อาจยากต่อการซื้อขาย นักลงทุนควรตรวจสอบสภาพคล่องของ Smart Beta ETF ก่อนตัดสินใจ
4. ความเสี่ยง:
Smart Beta ETF ยังมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับการลงทุนใน ETF ทั่วไป นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของ Smart Beta ETF แต่ละตัวก่อนตัดสินใจ
5. ภาษี:
การลงทุนใน Smart Beta ETF ที่ซื้อขายในต่างประเทศ อาจมีภาระภาษีเพิ่มเติม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลภาษีก่อนตัดสินใจ
ตัวอย่างคำถามเพิ่มเติมที่นักลงทุนควรพิจารณา:
กลยุทธ์ Smart Beta นี้มีประวัติผลการดำเนินงานอย่างไร?
กลยุทธ์ Smart Beta นี้มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
Smart Beta ETF นี้มีสภาพคล่องอย่างไร?
ใครเป็นผู้จัดการกองทุน Smart Beta ETF นี้?
ค่าธรรมเนียมของ Smart Beta ETF นี้เปรียบเทียบกับ ETF อื่นๆอย่างไร?
Smart Beta ETF เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายเงินลงทุนไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2132 | Finance | ช่วยสรุปบทความ จดรายจ่ายให้เป๊ะ…อาจเก็บเงินได้มากขึ้น! จริงเหรอ? | 5 สิ่งที่การจดรายจ่ายแบบ Real Time สุดๆ ได้ช่วยให้เรามีเงินเก็บมากขึ้น
1) ได้รู้สึกว่าก่อนจะควักตังค์แต่ละที ต้องคิดให้รอบคอบ
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่จดรายรับรายจ่าย เงินไหลออกจากกระเป๋าอย่างง่ายดายมากบอกเลย คิดอยากได้อะไรก็ซื้อไปตามอารมณ์ ไม่ค่อยใช้เหตุผลเท่าไรหรอกฮะ ตราบใดที่ยังมีเงินในกระเป๋าตังค์ก็ซื้อไป แต่เดี๋ยวนี้ยิ่งง่ายไปกันใหญ่เพราะจ่ายออนไลน์ก็ได้ ไหลลื่นมากๆ ถ้าไม่ยับยั้งสตินี่ฉุดไม่อยู่แน่
วิธียั้งสติอย่างหนึ่งคือการจดรายรับรายจ่ายนี่แหละ ใช่ จดมันตรงนั้นเลย ตรงที่ใช้เงินนั่นแหละ ไม่ต้องรอจดสิ้นวัน ไม่ต้องรอจดสิ้นเดือน จดมันตรงหน้าร้านนั่นเลย หยิบมือถือขึ้นมาแล้วเข้าแอปฯ จดรายรับรายจ่ายซะ จะจดก่อนหรือจดหลังจ่ายตังค์ก็ได้ ขอให้จด ณ ตอนนั้น
การคิดว่าเราจะต้องจดรายจ่ายทุกๆ การจ่ายเงินนี่มันก็เหมือนเหยียบเบรกให้เราได้ระดับหนึ่งเลยนะ อย่างน้อยที่สุดเลย มันจะทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าต้องซื้อสิ่งนี้ เราต้องหยิบมือถือขึ้นมาจดรายจ่ายนะ ขี้เกียจอะ ไม่ซื้อแล้วก็ได้ =3= กลายเป็นการเซฟเงินที่จะไหลรั่วออกไปได้เสียอย่างนั้น
2) ได้รู้สึกผิดบ่อยขึ้นมาก
จากข้อแรก ถ้าไม่สามารถเหยียบเบรกให้ตัวเองได้ เราก็จ่ายเงินไป แล้วก็จดรายจ่ายไป แต่สิ่งที่การจดรายจ่ายซ้ำๆ จะให้เราคือความรู้สึกผิดที่มารัวๆ เวลาใช้จ่ายเรื่อยเปื่อย เช่น เห็นขนมน่ากินก็ซื้อ เอ๊ยอันนั้นก็น่ากิน ซื้ออีก ว้ากินน้ำด้วยดีกว่าคอแห้ง เอ้าชานมไข่มุกไปอีก เอาเข้าไป นอกจากรู้สึกผิดที่เสียเงินแล้วยังรู้สึกผิดกับร่างกายตัวเองอีก
หรือบางที เราต้องจ่ายเงินที่จำนวนเยอะกว่าปกติ เช่น ไปงานหนังสือก็หอบกลับมาสิบๆ เล่มแม้ว่าที่บ้านจะยังอ่านไม่หมดก็ตาม รายจ่ายหมดไปเป็นพัน เฮือก! แม้จะปลอบใจตัวเองว่าแค่ปีละสองครั้งก็เถอะ แต่มันก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
บางทีเห็นตัวเลขเยอะๆ ก็ฉุกใจขึ้นมา โห เยอะขนาดนี้เลยเหรอ จิ้มนิ้วกดแต่ละตัวเลขแล้วทรมานใจ ไม่เอาแล้วก็ได้! มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น! (สะกดจิตตัวเอง)
3) ได้รู้ว่าแค่เดือนสองเดือนมันไม่พอให้รู้จริงๆ ว่าพฤติกรรมเราเป็นยังไง
ช่วงเดือนแรกๆ ที่จดรายจ่าย พอจบไปเดือนแรกนี่รู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะมากที่ทำสำเร็จ แถมมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเยอะอีก! แต่พอเดือนต่อมาก็เจอว่าค่าใช้จ่ายพุ่งขึ้นเฉย เพราะเพื่อนมาจากต่างจังหวัดนัดกินข้าว เพราะเป็นวันเกิดญาติ เพราะกางเกงตัวเก่าขาด ฯลฯ คือเราต้องเข้าใจแหละว่ามันจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์โผล่มาได้เรื่อยๆ ทำให้เรากะไม่ได้ว่าค่าใช้จ่ายจะคงที่หรือเปล่า บางทีมันอาจจะพุ่งกว่าเดือนที่แล้ว บางทีอาจจะลดลง แค่เดือนสองเดือนไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเห็น pattern การใช้เงินของตัวเอง
ทางที่ดีคือทำให้ติดเป็นนิสัยเลย แล้วเราจะได้เห็นว่าพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของเราเป็นยังไงกันแน่ บางทีเรื่องเซอร์ไพรส์ต่างๆ อาจจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว? (เช่น วันเกิดเพื่อน ญาติพี่น้อง) เมื่อรู้แบบนี้ เราก็จัดสรรเงินของเราได้ดียิ่งขึ้น ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวอาทิตย์หน้าเพื่อนจะมา เราก็เช็กได้ว่าเดือนนี้เราใช้ไปเท่าไรแล้ว เราควรลดค่าใช้จ่ายอะไรลงไหม เพื่อปันเงินบางส่วนไปต้อนรับเพื่อน
4) ได้รู้สึกว่าถึงเวลาต้องเก็บเงินเพิ่มแล้ววว!
พอเห็นรายชื่อค่าใช้จ่ายที่ยาวเป็นหางว่าว เห็นรายรับที่มีอยู่ไม่กี่ช่องทาง ก็เริ่มจะทำให้รู้สึกว่า เอ หรือว่าเราจะต้องเก็บเงินเพิ่มนะ รู้สึกเหมือนเงินปลิวมาก อยากจะหาทางลดค่าใช้จ่ายให้ได้มากกว่านี้ เราก็จะเริ่มดูละว่าเราหมดเงินไปกับอะไรเยอะที่สุด เราจะสามารถจัดการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ยังไงบ้าง เพื่อที่เราจะได้มีเงินเก็บเพิ่ม? บางทีเราอาจจะต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิตนิดหน่อย เช่น ใครหมดไปกับเรื่องอาหารเยอะก็อาจจะลองทำอาหารกินเอง หรือ ตั้งกฏให้ตัวเองว่าซื้อขนมได้แค่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ใครหมดไปกับคอนเสิร์ตเยอะก็อาจจะลองดูว่าสามารถลดได้ไหม มีงานไหนที่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ หรือต้องใช้เงินจริงๆ ก็จะได้รู้ว่าควรเก็บเงินเพิ่มเท่าไร
5) ได้รู้ว่าเราควรตั้งงบการใช้จ่ายต่อเดือนไว้เท่าไร
ช่วงแรกๆ ที่จดรายรับรายจ่าย เราอาจจะยังกะไม่ถูกว่าควรตั้งงบใช้จ่ายชีวิตประจำวันไว้เท่าไรดี สมมติว่าเราเริ่มต้นหักรายได้ 10% เป็นเงินเก็บ เงินออม เงินลงทุน อะไรก็ว่าไป แล้ว 90% นั้นคือเงินใช้จ่ายล้วนๆ หากเราจดรายรับรายจ่าย เราอาจจะค้นพบว่า เฮ้ย เดือนนึงเราใช้ 90% นั้นไม่หมดแฮะ ยังเหลือเงินอีก แสดงว่าจริงๆ เราก็ใช้เงินไม่เยอะนี่นา ทีนี้เราก็ลองปรับสัดส่วนเงินเก็บของเราได้ เช่น เราอาจจะลองปรับเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 20% หักออกไปก่อนเลย เป็นการทำให้มั่นใจว่าเงินก้อนนี้จะปลอดภัยจากตัวเรา ไม่ปลิวไปกับสิ่งเร้าต่างๆ แน่นอน
ยิ่งใครสามารถหักเงินออกไปได้เยอะเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานะการเงินของแต่ละคนด้วยนะ ถ้าหักเงินออกไปเก็บเยอะเกินจนทำให้มาตรฐานชีวิตตกต่ำเกินไป อยู่อย่างไม่เป็นสุข กลับมาตัดพ้อกับท้องฟ้าทุกคืน อันนี้ก็อาจจะแปลว่าเราตึงกับชีวิตเกินไป ก็ต้องลองปรับให้ยืดหยุ่นขึ้น | 5 สิ่งที่การจดรายจ่ายช่วยให้เรามีเงินเก็บมากขึ้น
1.การควักตังค์ควรคิดรอบคอบและจดรายรับรายจ่ายเพื่อเซฟเงิน การจดรายจ่ายที่ทันทีที่ใช้เงินจะช่วยยับยั้งการใช้เงินอย่างไม่คิดเช่นเดิม การบันทึกรายละเอียดในแอปมือถือช่วยเพิ่มสติในการใช้เงินและช่วยเซฟเงินได้ เป็นวิธีที่ดีในการควบคุมการใช้เงินในยุคที่การใช้จ่ายออนไลน์
2.ได้รู้สึกผิดบ่อยขึ้นมาก เนื่องจากการใช้เงินอย่างไม่คิดรอบคอบ การจดรายจ่ายทันทีช่วยยับยั้งการใช้เงินอย่างไม่คิดเช่นเดิม การเห็นรายการจ่ายซ้ำๆ ทำให้รู้สึกผิดเกี่ยวกับการสูญเสียเงิน บางครั้งการจ่ายเงินที่มากกว่าปกติทำให้รู้สึกไม่พอใจต่อตัวเอง
3. ได้รู้ว่าแค่เดือนสองเดือนมันไม่พอให้รู้จริงๆ ว่าพฤติกรรมเราเป็นยังไง
ครั้งแรกที่จัดทำรายการจ่ายเงินรู้สึกสำเร็จและมีเงินเหลือเพิ่ม แต่เดือนถัดมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น บางทีมันอาจจะพุ่งกว่าเดือนที่แล้ เพราะฉะนั้นจ้องทำให้ติดเป็นนิสัย เพื่อเข้าใจลำดับเหตุการณ์และคาดการณ์รายจ่ายในอนาคตได้
4.รู้สึกว่าต้องเริ่มเก็บเงินเพิ่มเนื่องจากรายจ่ายมีมากมายและรายรับไม่มีหลายทาง ตัดสินใจลดค่าใช้จ่ายโดยพิจารณาที่ใช้เงินมากที่สุด มองดูว่าทำอย่างไรให้เปลี่ยนแปลงได้ เพื่อเพิ่มยอดเงินออมที่เก็บได้ในแต่ละเดือน
5.รู้ว่าควรตั้งงบใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไรจากรายจ่ายเกินมากทำให้รู้ว่าเราสามารถปรับสัดส่วนเงินเก็บได้ เพิ่มยอดเงินออมหรือลงทุน การหักเงินเก็บมีความยืดหยุ่นตามสถานะการเงินแต่ละคน | การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2136 | Finance | จงบอกความลับเงินล้านของ โดนัลด์ ทรัมป์ | null | 1. พ่อของทรัมป์เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฯ รายใหญ่คนหนึ่ง เงินที่ทรัมป์ได้รับจากพ่อมีมูลค่าเป็นเงินแบบปรับเงินเฟ้อแล้ว สูงถึง 413 ล้านเหรียญ ทรัมป์มีความมั่งคั่ง 3,100 ล้านเหรียญ เขาได้รับผลบุญจากพ่อของเขาเป็นจำนวน 1 ใน 10 ของความมั่งคั่งทั้งหมด
2. พ่อของทรัมป์โอนสินทรัพย์มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญให้กับลูกๆ ของเขา ตามกฏหมายของสหรัฐอเมริกาแล้วต้องจ่ายภาษีที่ 55% ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงถึง 550 ล้านเหรียญ แต่ท่านจ่ายภาษีเพียง 52 ล้านเหรียญหรือเทียบเป็นอัตราภาษีเพียง 5% เท่านั้น
3. ทรัมป์เป็นเศรษฐีมาตั้งแต่แบเบาะ เขาได้รับเงิน 200,000 เหรียญจากพ่อของเขาตอนอายุ 3 ขวบ ติดอันดับเศรษฐีตอนอายุ 8 ขวบ แม้ว่าเขาจะอายุ 40 ปีแล้วแต่ยังได้รับเงินจากพ่อของเขาปีละ 5 ล้านเหรียญ
4. ทรัมป์อ้างว่าเขาได้รับเงินจากพ่อเพียง 1 ล้านเหรียญเท่านั้น ในรูปแบบของเงินกู้ แต่ The Times ได้รับรายงานว่า เฟรด ทรัมป์ ได้ให้ลูกเขากู้เงินสูงถึง 60.7 ล้านเหรียญในอดีต นับเป็นเงินที่ 140 ล้านเหรียญ
5. ในการทำธุรกิจของทรัมป์หลายๆ ครั้ง พ่อของเขาต้องเขามาช่วยรวมถึงตอนที่เขาช็อต พ่อของเขาต้องเข้ามาค้ำประกันให้
6. จุดตกต่ำที่สุดของทรัมป์น่าจะอยู่ในปี 1990 เพราะพ่อของเขาต้องถอนเงินออกมาจากธุรกิจของเขาสูงถึง 50 ล้านเหรียญ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเอาออกมาทำอะไรเพราะไม่มีข่าว แต่ The Times คิดว่าเป็นไปได้สูงที่จะเอามาช่วยธุรกิจของลูกชายนั่นเอง
7. ในปี 1990 ยังมีเหตุการณ์ที่แปลกเกิดขึ้น ธุรกิจคาสิโนของทรัมป์ต้องจ่ายหนี้หุ้นกู้เป็นเงินจำนวน 18.4 ล้านเหรียญ พ่อของทรัมป์ไปซื้อชิปที่คาสิโนด้วยเงิน 3.5 ล้านเหรียญแต่ไม่ลงเล่นพนัน สุดท้ายโดนปรับไป 65,000 เหรียญด้วยข้อหาให้เงินกู้แบบผิดกฏหมาย
8. ในปี 1987 ทรัมป์กู้เงินพ่อเขาไปกว่า 11 ล้านเหรียญ ถ้าพ่อเขายกเงินกู้ก้อนนั้นให้ ทรัมป์ต้องจ่ายภาษีเงินได้หลักล้านเหรียญ สิ่งที่พ่อของทรัมป์ทำคือเอาเงิน 15 ล้านเหรียญไปซื้อหุ้นในคอนโดของทรัมป์ หลังจากนั้น 4 ปีขายหุ้นนั้นออกไปในราคาแค่ 10,000 เหรียญ ผู้ซื้อไม่ใช่ใคร โดนัลด์ ทรัมป์นี่เอง การทำธุรกรรมครั้งนี้ต้องเสียภาษีกว่า 5 ล้านเหรียญแต่ทรัมป์ก็รอดไปได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี
9. ที่ตลกที่สุดคือ หลังจากที่เฟรด ทรัมป์ตาย สินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดของเขาคือ สัญญาเงินกู้จากลูกชายของเขาเอง | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2138 | Finance | การทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เหมาะกับคนทุกวัยหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. เบี้ยประกัน : เบี้ยประกันชีวิตแบบตลอดชีพจะคำนวณจากอายุของผู้เอาประกัน โดยทั่วไปแล้ว อายุที่มากขึ้น เบี้ยประกันก็จะยิ่งสูงขึ้น
2. ระยะเวลาคุ้มครอง : ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ จะคุ้มครองผู้เอาประกันจนถึงอายุ 90 หรือ 99 ปี ซึ่งหมายความว่า ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันเป็นระยะเวลานาน
3. ผลตอบแทน: ผลตอบแทนของประกันชีวิตแบบตลอดชีพค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประกันแบบอื่นๆ เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
4. กลุ่มบุคคลที่เหมาะสมกับการทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพ : - ผู้ที่มีภาระผูกพันทางการเงินระยะยาว เช่น มีสินเชื่อบ้าน หรือมีลูกเล็ก
- ผู้ที่ต้องการสร้างมรดกให้กับคนข้างหลัง: ประกันชีวิตแบบตลอดชีพจะจ่ายทุนประกันให้กับผู้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต
- ผู้ที่มีรายได้สูง: สามารถจ่ายเบี้ยประกันที่สูงได้
5. กลุ่มบุคคลที่ไม่เหมาะสมกับการทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพ :
- ผู้ที่มีรายได้น้อย : อาจจะจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหว
- ผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูง: ควรเลือกประกันแบบอื่นๆ ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า
- ผู้ที่ไม่มีภาระผูกพันทางการเงิน : ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันที่มีระยะเวลาคุ้มครองยาวนาน
6. ทางเลือกอื่นๆ แทนประกันชีวิตแบบตลอดชีพ
- ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์: มีผลตอบแทนสูงกว่า
ประกันชีวิตแบบบำนาญ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ
- กองทุนรวม : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาว
สรุป : ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เหมาะกับผู้ที่มีภาระผูกพันทางการเงินระยะยาว ต้องการสร้างมรดกให้กับคนข้างหลัง และมีรายได้สูง
7. ข้อควรพิจารณาก่อนทำประกัน:
- เปรียบเทียบเบี้ยประกัน และผลตอบแทนของประกันจากหลายๆ บริษัท
- เลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความต้องการ และความสามารถทางการเงิน
- ศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดของกรมธรรม์อย่างละเอียด
8. คำเตือน :
- การทำประกันชีวิต เป็นการลงทุนระยะยาว ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
- ไม่ควรซื้อประกันเกินความจำเป็น
- ควรมีเงินสำรองเผื่อไว้สำหรับจ่ายเบี้ยประกัน
9. คำแนะนำ :
ปรึกษากับตัวแทนประกัน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2139 | Finance | การลงทุนในกองทุนรวมประเภท Global Income Focus (GIF) เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. ความเสี่ยง : กองทุน GIF ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้
2. ผลตอบแทน: ผลตอบแทนที่คาดหวังของกองทุน GIF อยู่ที่ 6-8% ต่อปี ซึ่งถือว่าปานกลาง นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง อาจมองหากองทุนประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
3. กระแสเงินสด: กองทุน GIF มุ่งเน้นจ่ายกระแสเงินสดทุกเดือน นักลงทุนที่ต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อใช้จ่ายในอนาคต อาจไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้
4. ระยะเวลาการลงทุน : กองทุน GIF เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว นักลงทุนที่ต้องการใช้เงินในระยะสั้น อาจไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้
5. สภาพคล่อง : กองทุน GIF เป็นกองทุนรวมเปิด นักลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ แต่นักลงทุนควรตระหนักว่า สภาพคล่องของตลาดอาจส่งผลต่อราคาซื้อขายหน่วยลงทุน
6. ภาษี : เงินปันผลที่ได้รับจากกองทุน GIF จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นักลงทุนควรคำนวณผลตอบแทนสุทธิหลังหักภาษีแล้ว
7. ตัวอย่างนักลงทุนที่ไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุน GIF:
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย: เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีรายได้น้อย
- นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง: เช่น นักลงทุนที่ต้องการเกษียณอายุเร็ว
- นักลงทุนที่ต้องการเงินก้อนใหญ่: เช่น นักลงทุนที่ต้องการซื้อบ้าน ซื้อรถ
- นักลงทุนที่ต้องการใช้เงินในระยะสั้น: เช่น นักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน
- นักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องสูง: เช่น นักลงทุนที่ต้องการซื้อขายหน่วยลงทุนบ่อยๆ
8. ตัวอย่างนักลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนในกองทุน GIF:
- นักลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง: เช่น วัยทำงานที่มีรายได้ปานกลาง
- นักลงทุนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ: เช่น - นักลงทุนที่ต้องการวางแผนเกษียณอายุ
- นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว: เช่น นักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน
9. ข้อควรพิจารณาก่อนลงทุน :
- ศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน
- ปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานะทางการเงิน
- ตัดสินใจลงทุนโดยคำนึงถึงความเสี่ยง ผลตอบแทน ระยะเวลาการลงทุน และสภาพคล่อง
สรุป : กองทุน GIF เหมาะกับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง ต้องการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ และต้องการลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจ | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_214 | Finance | ช่วยสรุปนโยบายทางการเงินว่ามีอะไรบ้าง | Monetary Policy หรือ นโยบายทางการเงิน
คือ นโยบายของธนาคารกลาง ที่ใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบ
ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์คือ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ Monetary Policy หรือ นโยบายทางการเงิน
คือ นโยบายของธนาคารกลาง ที่ใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบ
ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์คือ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยทั่วไปแล้วเครื่องมือหลัก ๆ ที่ธนาคารกลาง ใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบก็จะมี 1. การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน
เช่น การทำ QE หรือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ, การทำ QT หรือการถอนเงินออกจากระบบ 2. การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือลง 3. การปรับ Reserve Requirement หรือเงินสำรองส่วนที่ธนาคารต้องมีไว้ โดยห้ามนำไปปล่อยกู้ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ จะถูกปรับใช้ตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ๆ เช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังร้อนแรงมากเกินไป เช่น เศรษฐกิจในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งสูงกว่าระดับปกติ ธนาคารกลางก็จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ ในการปรับลดความร้อนแรงนั้นลง เช่น การถอนสภาพคล่องออกจากระบบ, การขึ้นอัตราดอกเบี้ย, การปรับเพิ่มสัดส่วนเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเราจะเรียกนโยบายนี้ว่า Contractionary Monetary Policy หรือ “นโยบายการเงินแบบหดตัว”
ยกตัวอย่างการใช้นโยบายการเงินแบบหดตัว เช่น - ธนาคารกลางทำการสั่งให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องมี Reserve Requirement ในสัดส่วนที่สูงขึ้น
เพราะการมีสัดส่วนเงินสำรองที่มากขึ้น จะทำให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ได้ในปริมาณที่น้อยลง โดยทั่วไปแล้วนโยบายเหล่านี้ ก็จะส่งผลให้เงินในระบบมีปริมาณลดลง ซึ่งก็จะช่วยลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลงได้ กลับกัน ในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอย เช่น ในช่วงที่ GDP ติดลบติดต่อกันหลายไตรมาส ธนาคารกลางก็จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ ในการกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการขยายตัว เช่น การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ, การลดอัตราดอกเบี้ย, การปรับลดสัดส่วนเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเราจะเรียกนโยบายนี้ว่า Expansion Policy หรือ “นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย” | Monetary Policy หรือ นโยบายทางการเงิน คือ นโยบายของธนาคารกลาง ที่ใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบ ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ มีจุดประสงค์ คือ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เครื่องมือหลัก ๆ ที่ธนาคารกลาง ใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบ คือ
1. การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน
2. การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือลง
3. การปรับ Reserve Requirement หรือเงินสำรองส่วนที่ธนาคารต้องมีไว้ ห้ามนำไปปล่อยกู้ ซึ่งจะถูกปรับใช้ตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆ ได้แก่
3.1 ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังร้อนแรงมากเกินไป ธนาคารกลางจะปรับเพิ่มสัดส่วนเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเราจะเรียกนโยบายนี้ว่า Contractionary Monetary Policy หรือ “นโยบายการเงินแบบหดตัว” ในการปรับลดความร้อนแรงนั้นลง
3.2 ในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอย ธนาคารกลางจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการขยายตัว เช่น การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ, การลดอัตราดอกเบี้ย, การปรับลดสัดส่วนเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเราจะเรียกนโยบายนี้ว่า Expansion Policy หรือ “นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย” | เครื่องมือทางการเงิน,กฎหมายการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2140 | Finance | อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng ผู้จัดการกองทุน PYN ELITE | null | กลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng ผู้จัดการกองทุน PYN ELITE มุ่งเน้นไปที่ 3 หลักการหลัก ดังนี้
1. เน้นลงทุนในตลาดหุ้นที่ถูก: Petri มองหาตลาดหุ้นที่ตกลงมามากจากวิกฤตเศรษฐกิจ และเชื่อว่าตลาดหุ้นเหล่านี้จะต้องฟื้นตัวในอนาคต ตัวอย่างเช่น เขาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 1999 หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 และเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามในปี 2013 หลังจากวิกฤตการเงินและอสังหาริมทรัพย์
2. ลงทุนในหุ้น Value Stock ที่ราคาถูก: Petri เลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูก วัดจากค่า PE และ PB ที่ต่ำ ตัวอย่างเช่น เขาจะซื้อหุ้นที่มีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า และ PB ไม่เกิน 1 เท่า
3. ถือหุ้นระยะยาว: Petri ถือหุ้นที่ลงทุนไว้เป็นระยะเวลายาว เฉลี่ย 2-3 ปี รอให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปจนถึงมูลค่าพื้นฐานที่ควรเป็น
กลยุทธ์เพิ่มเติม:
เน้นลงทุนในหุ้นตัวเล็กถึงกลาง
ลงทุนแบบ Focus ถือหุ้นไม่มาก ประมาณ 10 ตัว
ศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด เข้าพบและพูดคุยกับผู้บริหาร
ควบคุมความเสี่ยง ไม่ถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิน 20% ของพอร์ต
มุ่งเน้นหาหุ้น Deep Discount ที่ราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐาน
ผลลัพธ์:
กลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng ประสบความสำเร็จอย่างสูง กองทุน PYN ELITE ทำผลตอบแทนได้ 18.2% ต่อปีแบบทบต้น หรือเงินลงทุนเริ่มต้นโตขึ้นถึง 28 เท่าในเวลา 20 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ “สุดยอด” กองทุนหนึ่ง
บทเรียน:
กลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng สอนให้เรารู้ว่า
การลงทุนในตลาดหุ้นที่ถูก มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง
การลงทุนในหุ้น Value Stock ที่ราคาถูก เป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว
การถือหุ้นระยะยาว ช่วยให้เราได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจ
การศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด ช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ
การควบคุมความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
การประยุกต์ใช้:
นักลงทุนสามารถนำกลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng มาประยุกต์ใช้กับการลงทุนของตัวเอง โดย
ศึกษาหาตลาดหุ้นที่ถูก
ค้นหาหุ้น Value Stock ที่ราคาถูก
ลงทุนในหุ้นที่มั่นใจในระยะยาว
ศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด
ควบคุมความเสี่ยง กระจายเงินลงทุน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง | กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2141 | Finance | เขีนนโฆษณาแคมเปญเรื่อง "เลือก Phatra Smart MV เพื่อการลงทุนที่มั่นคงและสร้างความมั่นใจในการเงิน" | null | "สุดยอดโอกาสการลงทุนกับ Phatra Smart MV!"
เมื่อกำลังมองหาวิธีในการลงทุนที่ปลอดภัยและมีผลตอบแทนที่น่าพอใจ ขอแนะนำ Phatra Smart MV !!
Phatra Smart MV เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนแบบเป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความผันผวนในการลงทุนของคุณ เราเชื่อมั่นในการเลือกทรัพยากรที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้เทคโนโลยีและวิธีการที่ทันสมัย
ทำไมคุณควรเลือก Phatra Smart MV?
1. ลดความผันผวน: ด้วยกองทุนที่มีการคาดการณ์และการจัดการการลงทุนที่ดีเยี่ยม ทำให้คุณมั่นใจได้ในการลงทุนของคุณ
2. การดำเนินการโดยมีความรอบคอบ: ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากมายพร้อมให้บริการและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์
3. ความเข้าใจและความโปร่งใส: เรารับประกันให้คุณทราบถึงข้อมูลการลงทุนและผลตอบแทนของคุณอย่างชัดเจน
อย่าพลาดโอกาสที่ดีเหล่านี้! เลือก Phatra Smart MV เเลือก Phatra Smart MV เพื่อการลงทุนที่มั่นคงและสร้างความมั่นใจในการเงิน เพื่อการลงทุนที่ปลอดภัยและมั่นใจ มาเริ่มต้นลงทุนกับเราวันนี้และเติมเต็มโอกาสในการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน!!
"Phatra Smart MV ช่วยลดความผันผวนในการลงทุนด้วยกองทุนที่มีการคาดการณ์และการจัดการการลงทุนที่ดีเยี่ยม ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากมายพร้อมให้บริการและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ความเข้าใจและความโปร่งใสในข้อมูลการลงทุนทำให้คุณมั่นใจและพร้อมที่จะเริ่มต้นการลงทุนที่ปลอดภัยและมั่นใจได้ทันที!" | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2142 | Finance | จงบอกสิ่งที่ทำให้หุ้น CHG หรือ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) เติบโต ตั้งแต่ปี 2558-2561 | null | 1. สาขาของโรงพยาบาล CHG มีจำนวนสาขาโรงพยาบาลกว่า 13 แห่ง กระจายกันอยู่ที่จังหวัดกรุงเทพฯ สมุทรปราการ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี เรียกได้ว่า ครอบคลุมในส่วนพื้นที่ที่เขาถนัด นั่นคือ ในเขตเมืองอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทย การกระจายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ที่เขาถนัด ทำให้การสร้างรายได้ทำได้ดี โดยรายได้หลักไม่ได้มาจากประกันสังคมแล้ว แต่สัดส่วนรายได้จะมาจากผู้ป่วยเงินสดมากกว่า
2. โครงสร้างรายได้ของกิจการ รายได้หลักจะมาจากกลุ่มผู้ป่วยทั่วไป โดยแบ่งไปรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอกกว่า 32.8% และรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน 29.7% รวมรายได้ในส่วนนี้กว่า 62.5% ส่วนรายได้รองจะมาจากโครงการสวัสดิการภาครัฐ โดยแยกเป็นส่วนจากโครงการประกันสังคม 32% และโครงการภาครัฐอื่น ๆ 5.5% รวมรายได้ในส่วนนี้กว่า 37.5% จะเห็นว่าสัดส่วนรายได้ภาครัฐกลายเป็นสัดส่วนที่น้อยลง ซึ่งเป็นผลดีต่อการเบิกจ่ายเงินจากภาครัฐที่บางครั้งอาจจะล่าช้า และไม่คุ้มทุน
3. การเติบโตของโรงพยาบาล กิจการเติบโตเฉลี่ยราว 10.08% ในแง่ของรายได้ แต่ในเรื่องราวของกำไรยังไม่ได้มีภาพนี้ โดยภาพการเติบโตมีดังต่อไปนี้
- รายได้ปี 2558 3,178.83 ล้านบาท กำไร 538.38 ล้านบาท
- รายได้ปี 2559 3,657.88 ล้านบาท กำไร 564.29 ล้านบาท
- รายได้ปี 2560 3,896.42 ล้านบาท กำไร 565.44 ล้านบาท
- รายได้ปี 2561 4,430.84 ล้านบาท กำไร 633.88 ล้านบาท
ในส่วนของกำไรนั้น เริ่มเห็นกำไรเติบโตลดลงในช่วงไตรมาสสองของปี 2562 สาเหตุจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ ทำให้มีค่าใช้จ่าย และโรงพยาบาลใหม่ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า หากถึงจุดคุ้มทุนเมื่อไหร่ กำไรอาจมีแนวโน้มกลับมาเติบโตอีกครั้ง | ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2145 | Finance | นักลงทุนเชิงรุกควรลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นเสมอหรือไม่? | null | ไม่ เพราะการลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (Undervalued Stocks) เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนเชิงรุกนิยมใช้ กลยุทธ์นี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นจะสร้างผลตอบแทนที่ดี
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา:
- เหตุผลที่ราคาหุ้นต่ำ ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ปัจจัยทางเทคนิค ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หรือปัจจัยภายนอก
- ความยั่งยืนของธุรกิจ นักลงทุนต้องตรวจสอบว่าธุรกิจของบริษัทมีพื้นฐานที่ดี มีโอกาสเติบโตในอนาคต
- ความเสี่ยง หุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมักมีความเสี่ยงสูง
- ระยะเวลาการลงทุน กลยุทธ์นี้ต้องการเวลาในการพิสูจน์ผล
ตัวอย่าง: หุ้น A มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น แต่ราคาหุ้นต่ำเพราะบริษัทมีปัญหาทางการเงิน นักลงทุนที่ซื้อหุ้น A มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุน
สรุป: นักลงทุนเชิงรุกควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่างก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นเพียงอย่างเดียว ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว
ข้อเสนอแนะ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2147 | Finance | มีวิธี DCA กองทุนรวมดัชนีอย่างไรบ้าง? | null | วิธี DCA กองทุนรวมดัชนี มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบของนักลงทุน ดังนี้
1. DCA แบบรายเดือน:
เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่
นักลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน และตัดเงินออมไปซื้อกองทุนรวมดัชนีทุกเดือน เช่น วันที่ 5 ของทุกเดือน
วิธีนี้ช่วยให้กระจายความเสี่ยงจากการซื้อกองทุนรวมดัชนีในราคาที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น นักลงทุนต้องการ DCA กองทุนรวมดัชนี SET50 ด้วยเงินจำนวน 5,000 บาท/เดือน
2. DCA แบบรายปักษ์:
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนบ่อยขึ้น
นักลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน และตัดเงินออมไปซื้อกองทุนรวมดัชนีทุก 15 วัน เช่น วันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน
วิธีนี้ช่วยให้กระจายความเสี่ยงจากการซื้อกองทุนรวมดัชนีในราคาที่แตกต่างกัน
3. DCA แบบรายสัปดาห์:
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนบ่อยที่สุด
นักลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน และตัดเงินออมไปซื้อกองทุนรวมดัชนีทุกสัปดาห์
วิธีนี้ช่วยให้กระจายความเสี่ยงจากการซื้อกองทุนรวมดัชนีในราคาที่แตกต่างกัน
แต่การซื้อขายรายสัปดาห์อาจมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่สูงกว่า
4. DCA แบบ Flexible:
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความคล่องตัวสูง
นักลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินและช่วงเวลาในการซื้อกองทุนรวมดัชนีเอง
ตัวอย่างเช่น นักลงทุนอาจจะ DCA กองทุนรวมดัชนี 5,000 บาท/เดือน แต่เมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวลง นักลงทุนอาจจะเพิ่มเงินลงทุนเป็น 10,000 บาท/เดือน
5. DCA ผ่านกองทุนรวมที่มีกลยุทธ์ DCA ในตัว:
กองทุนรวมประเภท Feeder Fund บางประเภทมีกลยุทธ์ DCA ในตัว
กองทุนรวมประเภทนี้จะทยอยซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหลัก (Master Fund) เป็นประจำตามช่วงเวลาที่กำหนด
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวก ไม่ต้องการจัดการ DCA ด้วยตัวเอง
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกวิธี DCA กองทุนรวมดัชนี:
วัตถุประสงค์ในการลงทุน
ระยะเวลาในการลงทุน
เงินลงทุนขั้นต่ำของกองทุนรวมดัชนี
ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย
ความสะดวกและความชอบของนักลงทุน | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2148 | Finance | Cash Flow Management คืออะไร | null | Cash Flow Management เป็นการวางแผนรายรับ-รายจ่าย ดูว่ามีรายจ่ายในแต่ละเดือนเท่าไหร่ เพื่อดูต่อว่าในยามจำเป็น ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้เท่าไหร่ ซึ่งเงินสำรองฉุกเฉินนี้มีไว้ใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ ภาพที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ยามขาดรายได้ จะเกิดขึ้นได้เวลาเปลี่ยนงานกะทันหัน ยังไม่ได้เริ่มทำงานที่ใหม่ในทันที ก็จะเป็นช่วงที่เงินสำรองฉุกเฉินจะได้ทำงาน ระหว่างรอได้งานใหม่
เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่ แต่ละคนจะมีส่วนนี้ไม่เท่ากัน แต่ละอาชีพก็จะมีส่วนนี้ไม่เท่ากันเช่นกัน ตามตำราบอกว่า ควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เป็นตัวเลขที่เห็นด้วย เพราะเวลาออกจากงาน ระหว่างรอสัมภาษณ์ได้งานใหม่ ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน ก็จะเป็นเงินส่วนนี้ที่หล่อเลี้ยงชีวิตในระยะสั้นๆ ได้ แต่สำหรับคนที่ทำอาชีพเป็น Freelance หรือ ธุรกิจส่วนตัว อาจจะต้องเผื่อเงินส่วนนี้ไปมากถึง 6-12 เดือน เพราะมีรายได้ที่ไม่แน่นอน
เงินสำรองฉุกเฉินเป็นเงินส่วนที่เอามาใช้ในยามฉุกเฉิน ดังนั้น จะต้องเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง นำออกมาใช้ได้ง่าย เช่น เงินฝากออมทรัพย์ หรือ กองทุนรวมตลาดเงิน ที่รอเงินเพียง T+1 หรือ 1 วันทำการ นับจากวันที่ขายเท่านั้นเอง แต่ข้อดีที่มีมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ คือ มีการกระจายการลงทุนมากกว่าเงินฝาก มีไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น อายุไม่เกิน 1 ปี ทำให้กองทุนรวมตลาดเงินมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2151 | Finance | เราควรลงทุนอะไรระหว่างหุ้นและกองทุน | null | ไม่สามารถบอกได้ว่า ควรใน หุ้น หรือกองทุน เนื่องจากมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน แล้วแต่บุคคล
หุ้น คือ การที่เราเข้าไปลงทุนในกิจการนั้นโดยตรง และร่วมเป็นเจ้าของของกิจการหรือบริษัทดังกล่าว ถ้าบริษัทเติบโตและมีกำไร เราก็จะมีโอกาสได้กำไรด้วย โดยกำไรอาจจะมาในรูป แบบของการปันผล หรือการขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาทุนของเรา
- เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
- เหมาะกับคนมีเวลาศึกษาเรื่องของการลงทุน
กองทุน คือ การที่ผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญการด้านบริหารเงิน นำเงินของนักลงทุนมารวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ เข้าไปลงทุนในกิจการ หรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายของแต่ละกองทุน เพื่อให้เกิดกำไรและผลตอบแทน
- เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ทุกระดับ เนื่องจากมีหลากหลายสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- เหมาะกับคนไม่ค่อยมีเวลา มืออาชีพคอยบริหารจัดการลงทุนให้
ลงทุนในกองทุนมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เนื่องจากมีระดับความเสี่ยงให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ต่ำ กลาง สูง ตามแต่นโยบายการลงทุน แต่ถ้ามีประสบการณ์ในตลาดลงทุนระดับหนึ่ง การลงทุนในหุ้นก็อาจสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า ตรงกันข้าม ถ้าประสบการณ์น้อย การลงทุนในกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญจัดการบริหารให้ อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อีกทั้งบางกองทุนยังสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจลงทุนกับอะไรเราอยากฝากไว้ว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แต่เราจะเผชิญกับความเสี่ยงที่ยิ่งกว่าหากเราเลือกการลงทุนที่ไม่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเราเอง | ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2157 | Finance | การวางแผนเกษียณเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการทำ “สองบัญชี” ได้แก่อะไรบ้าง | null | การวางแผนเกษียณเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการทำ “สองบัญชี” ได้แก่
บัญชีแรก คือ บัญชีรายได้เข้า ทั้งจากเงินเดือนสำหรับพนักงานประจำ หรือเงินจากธุรกิจส่วนตัวสำหรับผู้ประกอบการ
บัญชีที่สอง คือ บัญชีเพื่อการวางแผน เปิดไว้เพื่อออมเงินและลงทุนทางการเงิน
ดังนั้นแทนที่จะถอนออกมาใช้จ่ายโดยตรงเมื่อมีเงินเข้า ก็เปลี่ยนเป็นการโอนตามสัดส่วนที่วางเป้าหมายทางการเงินไว้ เพื่อให้เงินที่ย้ายไปยังกระเป๋าที่สองหรือบัญชีที่สองทำงาน และเติบโตงอกเงยเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็ทำได้ และทุกคนที่มีรายได้ควรบริหารการเงินง่ายๆ ของตัวเองในลักษณะนี้
ถ้าเป็นพนักงานประจำ ยิ่งทำงาน มีอายุงานมาก มีความรับผิดชอบมาก ยิ่งต้องวางแผนโอนเงินออกมาทำเงินให้โตเท่ากับรายได้ที่ได้รับตอนยังไม่เกษียณ เพื่อคงไว้ซึ่งมาตรฐานชีวิตพื้นฐานไม่ให้ต่ำกว่าเดิม พร้อมทั้งปกป้อง รักษา และทำให้เติบโตไปเรื่อยๆ จนวันสุดท้ายของชีวิต
ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ การส่งต่อธุรกิจให้ทายาทในยุคปัจจุบันอาจไม่ราบรื่นเหมือนเคย เพราะคนใน Gen X Y Z มีข้อมูลใหม่ๆ ด้านธุรกิจมากมาย จำนวนไม่น้อยมีแพสชั่นในการสร้างธุรกิจของตัวเอง ทำให้คนรุ่นพ่อซึ่งบุกเบิกและทุ่มเทก่อร่างสร้างธุรกิจ จนขยายและต่อยอดออกไปกว้างไกลเพื่อจะส่งต่อให้ลูกนั้น อาจเกิดการสะดุดในช่วง Transferring Stage คนกลุ่มนี้ต้องจัดสัดส่วนเงินที่เป็นกำไรอันเกิดจากการทำธุรกิจ ถ่ายโอนออกมาบริหารเงินให้เติบโตในตลาดการเงิน แทนที่จะนำกำไรทั้งหมดไปต่อยอดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ไม่ให้กลายเป็นยิ่งขยายยิ่งรวย แต่ยิ่งขยายก็ยิ่งยุ่ง จนเข้าสำนวนที่ว่า “ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้”
กรณี Landing ของเจ้าของธุรกิจที่มีทายาทสานต่อธุรกิจ ควรแบ่งสรรปันส่วนสินทรัพย์ทั้งในธุรกิจและมรดกสินทรัพย์อื่นๆ ให้เรียบร้อยลงตัว ยุติธรรม และมีเหตุผล ไม่ควรแบ่งด้วยอารมณ์ห่วงคนนั้นหรือรักคนนี้มากกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและฟ้องร้องกันจนกลายเป็นศึกสายเลือด การ landing ของต้นตระกูลแล้วส่งต่อให้กัปตันคนใหม่นำเครื่องทะยานต่อไปให้ไกลกว่าเดิม อาจกลายเป็นล้อไม่กาง ยางแตก ไฟลุกท่วม จนเป็นมรดกเลือดทิ้งไว้แทนก็เป็นได้ | ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2159 | Finance | ช่วยแต่งนิยายเรื่อง 'การลงทุนในชีวิตแห่งการเรียนรู้'' ให้หน่อย | null | ในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขา มีคุณยายท่านหนึ่งชื่อดอริส นับว่าเป็นผู้หญิงที่อายุมากมีประสบการณ์มากมายในชีวิต ความรู้และประสบการณ์สะสมของเธอนั้น กลายเป็นแหล่งกำเนิดของคำปรึกษาและคำแนะนำที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับชุมชนในบ้านดอริส
ในวันหนึ่ง มีหนุ่มชื่ออาร์ต ได้เข้ามาเยี่ยมดอริส ทั้งสองคนได้นั่งพูดคุยกันเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน และเมื่อเรื่องคุยมาถึงเรื่องการเงิน อาร์ตก็ถามดอริสเกี่ยวกับการลงทุนในชีวิตหลังศึกษาจบ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนในวัยทำงาน ที่รู้สึกว่าจะมีความก้าวหน้าเหมือนคนอื่นๆ
ดอริสสอนให้อาร์ตฟังเรื่องราวของเธอเองในช่วงวัยทำงาน ที่เธอตัดสินใจที่จะลงทุนในการซื้อบ้านเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยในอนาคต แม้ว่าในวันที่เธอตัดสินใจที่จะลงทุน คนในชุมชนหลาย
คนก็ไล่เธอออก และบอกว่าเธอเป็นคนโง่ที่ไม่มีเหตุผลในการทำเช่นนั้น แต่ดอริสไม่รู้จะทำอย่างไร แทนที่จะยอมแพ้ เธอกลับมองโอกาสที่ซ่อนอยู่ในที่ที่คนอื่นๆ มองข้ามไป
"เมื่อคุณพร้อมที่จะลงทุน คุณก็ควรจะทำตามใจของคุณ" ดอริสพูดไปอย่างเชี่ยวชาญ "การลงทุนไม่ได้หมายถึงแค่เงิน แต่มันยังเป็นการลงทุนในความสุขของชีวิตของคุณด้วย"
อาร์ตเริ่มเข้าใจและนึกถึงการลงทุนในช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเงิน การลงทุนในความสุข การศึกษาต่อ หรือการพัฒนาทักษะต่างๆ ซึ่งทั้งนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
เพราะคำแนะนำนี้ อาร์ตเริ่มมองเห็นและเข้าใจถึงแง่มุมในการลงทุนที่แตกต่างไป และจากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะลงทุนในการศึกษาต่อ เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์
ในอนาคต
ดอริสยิ้มและปรากฏให้เห็นถึงความสุขในใจ "การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวคุณเอง อาร์ต" ดอริสกล่าวด้วยเสียงเอียงอุ่นใจ ทำให้ความเข้าใจของอาร์ตในเรื่องการลงทุนไม่เพียงแต่เรื่องเงิน แต่ยังเป็นการลงทุนในชีวิตและความสุขด้วย | ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2160 | Finance | ช่วยสรุป "ประสบการณ์ 40 ปีของคนเล่นหวยของพี่มี" ให้หน่อยค่ะ | “ประสบการณ์ 40 ปีของคนเล่นหวย” มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังครับ… ผมมีแม่บ้านคนหนึ่งชื่อว่า “พี่มี” พี่มีเป็นคนอีสาน เสี่ยงโชคเข้ามาเมืองกรุงเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว ทิ้งบ้าน ทิ้งที่นา ทิ้งชีวิตในจังหวัดชัยภูมิเข้าเมืองกรุงมาเสี่ยงโชคเช่นเดียวกับคนทั่วประเทศอีกหลายล้านคน คงเป็นพรหมลิขิตที่เราได้เจอกัน ตั้งแต่รู้จักพี่มีมา พี่มีซื้อหวยเดือนละ 2 ครั้งไม่เคยขาด ภายใต้คติประจำใจ “ข้าวอดได้ หวยอดไม่ได้” ซื้อแต่ละครั้งก็ตามกำลัง ครั้งละตั้งแต่ 500 – 2,000 บาทเคยเห็นที่ซื้อมากที่สุดประมาณ 5,000 บาท เฉลี่ยแล้วงวดละประมาณ 1,500 บาท หรือเดือนละ 3,000 บาท รู้ไหมครับว่าที่พี่มีซื้อหวยเดือนละ 3,000 มายาวนานถึง 40 ปี ใช้เงินไปเท่าไร? 1,440,000 บาทครับ! ซึ่งหากพี่มีเอาเงินค่าหวยเดือนละ 3,000 บาทไปลงทุน แบบผลตอบแทนต่ำๆ ประมาณ 6% วันนี้พี่มีจะมีเงินเท่าไรรู้ไหมครับ? 5.5 ล้านบาทครับ!! ตั้งแต่รู้จักกันมาพี่มีถูกหวยสักปีละครั้งได้ รางวัลใหญ่สุดที่จำได้เป็นเลขท้าย 3 ตัว เป็นเงินหลักหมื่นบาท แต่ไม่เคยถูกรางวัลใหญ่กว่านั้นเลย การเล่นหวยให้ความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่โอกาสที่คนจะบรรลุความฝันนั้นได้มันน้อยยิ่งกว่าน้อย “ทำไมไม่ถูกหวย” หลายคนมีคำถามในใจว่า แล้วเรามีโอกาสถูกหวยแค่ไหน? จริง ๆ แล้วคำตอบอยู่ด้านหลังสลากทุกใบที่เราซื้อนั่นเองครับ หลังสลากในกรอบด้านขวามีเขียนอยู่ชัดเจนว่าในแต่ละชุดมีรางวัลกี่ประเภท แต่ละประเภทมีกี่รางวัล และจ่ายรางวัลละกี่บาท ในรูปด้านล่างเป็นสลากของพี่มีเองครับ แน่นอนว่ากำลังเตรียมต่ออายุความฝันในงวดถัดไป จากการคำนวณเชิงสถิติ โอกาสที่เราจะถูกหวยสักรางวัลมีเพียง 1.4% โอกาสที่เราจะไม่ถูกหวยเลยคือ 98.6% โอกาสที่เราจะถูกรางวัลที่ 1 มีแค่ 0.0001% หรือแปลได้ว่าทุก ๆ 10,000,000 คนจะมีคนถูกหวยรางวัลที่ 1 เพียง 1 คนเท่านั้น และแน่นอนว่าตลอด 40 ปีที่ผ่านมาพี่มีไม่ได้เป็นหนึ่งใน 40 คนนั้น… จากตารางด้านหลังทางขวา ในสลาก 1 ชุด มีจำนวน 1 ล้านฉบับ รางวัลที่ 1 มีจำนวน 1 รางวัล – มีโอกาสถูก 1 ในล้าน = 0.0001% รางวัลที่ 2 มีจำนวน 5 รางวัล – มีโอกาสถูก 5 ในล้าน = 0.0005% รางวัลที่ 3 มีจำนวน 10 รางวัล – มีโอกาสถูก 10 ในล้าน = 0.0010% คำนวณอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบทุกรางวัลจะเห็นว่าผลรวมของ “โอกาสถูกรางวัล” มีเพียงแค่ 1.4168% เท่านั้น ซึ่งโอกาสถูกรางวัลคือถูกรางวัลไหนก็ได้ อาจจะเป็นรางวัลที่ 1 หรือแค่เลขท้าย 2 ตัวก็ได้ โดยสรุปแล้วการซื้อหวยได้ลุ้นและได้ฝัน… ส่วนโอกาสได้เงินนั้นมีน้อยมาก “สรุป” กลับมาที่พี่มี วันนี้พี่มีเล่นหวยเดือนละไม่กี่ร้อยเองครับ.. ใช่ ผมหักเงินเขา… ในทุก ๆ เดือนผมจะหักเงินออกจากเงินเดือนของพี่มี และเอาเงินที่หักมาเริ่มต้นลงทุนให้เขา จุดมุ่งหมายแรกของการเก็บเงินสำหรับพี่มีคือ “อยากมีเงินล้าน” พอร์ตการลงทุนของพี่มีจึงลงทุนอยู่ในแผน “ล้านแรก หรือ 1st Million” ให้คำแนะนำลงทุนโดยบริษัทของผมเองครับ นั่นก็คือ FINNOMENA (https://www.finnomena.com) เมื่อตอนเริ่มต้น ผมต้องช่วยพี่มีต่อสู้กับความเคยชิน 40 ปีกันพอสมควร…การเปลี่ยนสิ่งที่ทำมา 40 ปีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย… ผมเริ่มจากการนำเงินฝากของพี่มีเท่าที่มีอยู่ (และสมทบอีกส่วนหนึ่ง) มาลงทุนเป็นเงินประเดิม หลังจากนั้นก็ขึ้นเงินเดือนให้ และหักออกทันทีเพื่อมานำมาทำ DCA ลงทุนเฉลี่ยอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ผมบอกพี่มีว่าจริง ๆ พี่มีก็มีเงินล้านได้นะ 40 ปีที่ผ่านมาแล้วผิดพลาดก็ให้มันผ่านไป เริ่มต้นใหม่ยังไม่สาย เงินล้านสร้างได้เสมอถ้ารู้จักลงทุนให้ถูกทาง เอาเงินไปใส่ให้ถูกที่ ใคร ๆ ก็ทำได้ การที่พี่เลี้ยงมีเงินก้อน ไม่ได้ทำให้เขาอยากไปจากคุณหรอกครับ… แต่จะทำให้เขาไม่ไปจากคุณต่างหากล่ะ… กรณีของผม พี่มีอยู่กันมานานเหมือนเป็นญาติคนหนึ่ง ก็ดูแลกันไปครับ อ่อ… วันนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบริษัทผมครับ การเปิดบัญชีเริ่มลงทุน ทำจากที่ไหนก็ได้ จากจังหวัดไหนก็ได้ ไม่ต้องส่งเอกสารมาที่บริษัทแล้ว เปิดพอร์ตลงทุนผ่าน app ที่บ้านได้เลย ให้พี่เลี้ยงอยู่กับคุณ 15- 20 นาทีก็เปิดเสร็จแล้วครับ เปิดบัญชีล้านแรกให้พี่เลี้ยง >> https://www.finnomena.com/line/intro เข้าห้องแชตแล้วคลิกเมนูด้านล่าง จะมีปุ่มให้สร้างแผนปรากฏขึ้นมา ลองเข้าไปได้เลย | พี่มีมีอาชีพเป็นแม่บ้าน ทิ้งบ้าน ที่นาและชีวิตในจังหวัดชัยภูมิเข้ากรุงเทพมหานครเมื่อ 40 ปีที่แล้ว พี่มีซื้อหวยเดือนละ 2 ครั้งภายใต้คติประจำใจ ข้าวอดได้ หวยอดไม่ได้ โดยซื้อตามกำลัง ครั้งละ 500 – 2,000 บาท ซื้อมากที่สุดประมาณ 5,000 บาท เฉลี่ยแล้วงวดละประมาณ 1,500 บาท หรือเดือนละ 3,000 บาท พี่มีซื้อหวยเดือนละ 3,000 มายาวนานถึง 40 ปี โดยใช้เงิน 1,440,000 บาท หากเอาเงินค่าหวยไปลงทุนแบบผลตอบแทนต่ำๆ ประมาณ 6% จะมีเงิน 5.5 ล้านบาท พี่มีถูกหวยรางวัลใหญ่สุดเป็นเลขท้าย 3 ตัว แต่ไม่เคยถูกรางวัลใหญ่กว่านั้นเลย
ปัจจุบันพี่มีเล่นหวยเดือนละไม่กี่ร้อย และเริ่มลงทุนโดยจุดมุ่งหมายแรกของการเก็บเงินคือ อยากมีเงินล้าน จึงลงทุนในพอร์ตการลงทุนแผน ล้านแรก จากบริษัท FINNOMENA โดยเจ้าของบริษัทนำเงินฝากของพี่มีที่มีอยู่มาลงทุนเป็นเงินประเดิม จากนั้นก็ขึ้นเงินเดือนให้ และหักออกทันทีเพื่อนำมาทำ DCA ลงทุนเฉลี่ยอย่างต่อเนื่องทุกเดือน | ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2161 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความเสี่ยงที่เกิดจากนักการเมืองและธนาคารกลาง | null | สำหรับความเสี่ยงที่เกิดจากนักการเมืองและธนาคารกลาง อย่างแรกก็คือ การจำกัดกรอบการลงทุนให้แคบลงสู่ระดับประเทศ จะต้องพบกับความเสี่ยงด้านการเมืองจากการลงทุน การเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายก็ส่งผลกระทบด้วย เมื่อสกุลเงินอ่อนค่าก็จะทำให้สูญเสียผลตอบแทน ส่วนอีกหนึ่งความเสี่ยงคือ ความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ จากการที่เงินเฟ้อลดกำลังซื้อ วิธีป้องกันความเสี่ยงคือ การวางแผนเป้าหมายการลงทุนให้ไม่แพ้เงินเฟ้อ เพื่อจะทำให้กำลังซื้อไม่เกิดการสูญเสีย
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ความเสี่ยงที่เกิดจากนักการเมืองและธนาคารกลาง
เมื่อจำกัดกรอบการลงทุนให้แคบลง ไปสู่การโฟกัสเป็นภูมิภาค ประเทศ หรือสินทรัพย์บางชนิด ปัจจัยความเสี่ยงก็อาจต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เมื่อลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะเผชิญความเสี่ยงด้านการเมืองและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศนั้นๆ การตัดสินใจทางการเมืองสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางกฏหมายที่สามารถส่งผลกระทบต่อการลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยนได้ สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า อย่างเช่น ตราสารหนี้ จะอ่อนไหวง่ายกว่าต่อการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยน หากสกุลเงินใดอ่อนค่าลงอย่างมีนัยเมื่อเทียบกับสกุลเงินบ้านเรา ก็จะทำให้สูญเสียผลตอบแทนไปได้
อีกความเสี่ยงหนึ่งที่ส่งผลกระทบคือความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Risk) เงินเฟ้อลดกำลังซื้อ ฉะนั้น เป้าหมายการลงทุนคือไม่ควรแพ้เงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้สูญเสียกำลังซื้อ โดยในอดีตนั้น ผู้คนใช้สินทรัพย์ที่จับต้องได้และโลหะมีค่าอย่างทองคำเพื่อป้องกันตัวเองจากเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม หุ้นก็น่าจะเป็นเครื่องมือต่อสู้เงินเฟ้อที่ดีเช่นกัน ในเมื่อธุรกิจสามารถปรับราคาให้สอดคล้องไปกับเงินเฟ้อได้ นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ตราสารหนี้บางประเภทก็ได้รับการป้องกันจากเงินเฟ้อ เช่น พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Treasury Inflation-Protected Securities (TIPS)) | ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2164 | Finance | การลงทุนใน FINNOMENA PORT 1stM เหมาะกับคนที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทอยู่แล้วหรือไม่? | null | ไม่ เพราะเป้าหมายของ FINNOMENA PORT 1stM ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักลงทุนเก็บเงินล้านแรก เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่มีเงินเก็บน้อย ต้องการลงทุนระยะยาว เน้นความสะดวก ง่ายต่อการจัดการ
กลยุทธ์การลงทุน: เน้นลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน ผสมผสานระหว่างหุ้นไทยและต่างประเทศ เน้นการกระจายความเสี่ยง มุ่งหวังผลตอบแทนระยะยาว
ผลตอบแทนคาดหวัง: อยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปี ซึ่งถือว่าปานกลาง เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่รับ
เงินลงทุนขั้นต่ำ: 5,000 บาท เหมาะกับผู้เริ่มต้น
ระยะเวลาการลงทุน: ประมาณ 17 ปี เหมาะกับผู้ต้องการลงทุนระยะยาว
สำหรับบุคคลที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทอยู่แล้ว เป้าหมายทางการเงิน น่าจะเปลี่ยนไป เน้นการรักษามูลค่าเงิน กลยุทธ์การลงทุนอาจจะเปลี่ยนไป เน้นการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ผลตอบแทนคาดหวัง อาจจะเปลี่ยนไป ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอนมากกว่า เงินลงทุนใช้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาการลงทุน ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ดังนั้น การลงทุนใน FINNOMENA PORT 1stM อาจจะไม่เหมาะกับบุคคลที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทอยู่แล้ว
เหตุผลเพิ่มเติม: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนมีความเสี่ยง เงินต้นอาจจะหายได้ ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต มีหลายทางเลือกสำหรับการลงทุน
ข้อควรพิจารณา:
เป้าหมายทางการเงิน: ต้องการอะไรจากการลงทุน
ความเสี่ยงที่รับได้: รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
ระยะเวลาการลงทุน: ต้องการลงทุนนานแค่ไหน
ผลตอบแทนคาดหวัง: ต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่
คำแนะนำ: ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง
สรุป: การลงทุนใน FINNOMENA PORT 1stM ไม่เหมาะกับบุคคลที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทอยู่แล้ว บุคคลเหล่านี้ควรพิจารณาเป้าหมายทางการเงิน ความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาการลงทุน และผลตอบแทนคาดหวัง เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน | เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2166 | Finance | กลยุทธ์ทางการเงินแบบใดที่นักลงทุนทั่วไปสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยหัวกลับ (Inverted Yield Curve) | null | นักลงทุนทั่วไปจึงควรมีกลยุทธ์ทางการเงินเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น
กลยุทธ์ทางการเงินที่นักลงทุนทั่วไปสามารถนำมาประยุกต์ใช้มีดังนี้:
1. กระจายความเสี่ยง:
ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป ควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นกลุ่ม Consumer Staples
ลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุสั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
2. เพิ่มสภาพคล่อง:
ควรมีเงินสดสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
ขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
3. ปรับพอร์ตการลงทุน:
ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง
เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย
4. ศึกษาหาความรู้:
ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน
ติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก
5. ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำในการลงทุน
ตัวอย่างกลยุทธ์ทางการเงินเพิ่มเติม:
กลยุทธ์ "Value Investing": เน้นลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
กลยุทธ์ "Dividend Investing": เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
กลยุทธ์ "Contrarian Investing": เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังถูกตลาดเมินเฉย
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ทางการเงินที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยง และระยะเวลาการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคน
นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้และปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
สรุป:
ปรากฏการณ์ IYC นั้น เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าเศรษฐกิจถดถอยกำลังจะมาถึง นักลงทุนทั่วไปควรมีกลยุทธ์ทางการเงินเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยกระจายความเสี่ยง เพิ่มสภาพคล่อง ปรับพอร์ตการลงทุน ศึกษาหาความรู้ และปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ | ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2168 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง "การคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง" ให้หน่อยค่ะ | วันนี้เราเลยจะขอมาอธิบายถึงความสำคัญของปัจจัยแต่ละข้อ พร้อมเครื่องมือที่ชื่อว่า Fund Filter ที่จะทำให้คุณคัดเลือกกองทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น! ก่อนอื่นเลย เข้าไปที่ https://www.finnomena.com/fund/filter แล้วเลือกแถบที่เขียนว่า “จัดอันดับกองทุน” ก่อนอื่นเลย เข้าไปที่ https://www.finnomena.com/fund/filter แล้วเลือกแถบที่เขียนว่า “จัดอันดับกองทุน” เราขอแบ่งข้อมูลสำหรับการกรอง เป็นสองส่วนใหญ่ๆ นั่นคือ 1. ข้อมูลเบื้องต้นของกองทุน และ 2. ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ซึ่งยิ่งย้อนไปยาวเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เราเห็นภาพรวมของกองทุนนั้นๆ ชัดเจนขึ้น ว่าแล้วก็มาเริ่มกันที่แถบแรกก่อน เราขอแบ่งข้อมูลสำหรับการกรอง เป็นสองส่วนใหญ่ๆ นั่นคือ ซึ่งยิ่งย้อนไปยาวเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เราเห็นภาพรวมของกองทุนนั้นๆ ชัดเจนขึ้น ว่าแล้วก็มาเริ่มกันที่แถบแรกก่อน 1. ข้อมูลเบื้องต้นของกองทุน เราในฐานะผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อมูลเบื้องต้นของกองทุนที่เราสนใจก่อน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวตอบโจทย์เป้าหมายของเรา ไม่ว่าเราจะลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไรก็ตาม ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ของกองทุนควรสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของเรา เราในฐานะผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อมูลเบื้องต้นของกองทุนที่เราสนใจก่อน เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวตอบโจทย์เป้าหมายของเรา ไม่ว่าเราจะลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไรก็ตาม ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ของกองทุนควรสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของเรา ประเภทกองทุน ถือเป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรดู เพราะประเภทกองทุนจะบอกเราว่ากองทุนนั้นๆ ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนเป็นหลัก ซึ่งสินทรัพย์แต่ละประเภทก็จะมีความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนคาดหวังที่แตกต่างกันไป เราสามารถแบ่งประเภทกองทุนออกคร่าวๆ ได้ 6 แบบด้วยกัน ตามภาพเลย ในแต่ละแบบยังมีแยกย่อยลงไปอีก ลองจิ้มที่ลูกศรใกล้ๆ ชื่อของประเภทกองทุนดูนะ ถือเป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรดู เพราะประเภทกองทุนจะบอกเราว่ากองทุนนั้นๆ ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนเป็นหลัก ซึ่งสินทรัพย์แต่ละประเภทก็จะมีความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนคาดหวังที่แตกต่างกันไป เราสามารถแบ่งประเภทกองทุนออกคร่าวๆ ได้ 6 แบบด้วยกัน ตามภาพเลย ในแต่ละแบบยังมีแยกย่อยลงไปอีก ลองจิ้มที่ลูกศรใกล้ๆ ชื่อของประเภทกองทุนดูนะ บลจ. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. คือสถาบันการเงินผู้ออกกองทุนรวม ที่เราคุ้นเคยชื่อกันส่วนใหญ่ก็จะเป็น บลจ. ที่อยู่ในเครือเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์ แต่จริงๆ แล้วก็มี บลจ. ที่ไม่ได้อยู่ในเครือเดียวกับธนาคารด้วยเช่นกัน การเลือก บลจ. ก็อาจจะขึ้นอยู่กับแนวทางการบริหารของแต่ละ บลจ. ที่มีความโดดเด่นแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. คือสถาบันการเงินผู้ออกกองทุนรวม ที่เราคุ้นเคยชื่อกันส่วนใหญ่ก็จะเป็น บลจ. ที่อยู่ในเครือเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์ แต่จริงๆ แล้วก็มี บลจ. ที่ไม่ได้อยู่ในเครือเดียวกับธนาคารด้วยเช่นกัน การเลือก บลจ. ก็อาจจะขึ้นอยู่กับแนวทางการบริหารของแต่ละ บลจ. ที่มีความโดดเด่นแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทกองทุน ผลประโยชน์ทางภาษี สำหรับมนุษย์วัยทำงาน นอกจากกองทุนรวมแบบปกติแล้ว ยังมีกองทุนรวมที่ช่วยลดหย่อนภาษี อย่าง LTF และ RMF ด้วย โดย LTF นั้นจะลงทุนแค่หุ้นไทย แต่ RMF จะลงทุนได้หลากหลายกว่า สำหรับมนุษย์วัยทำงาน นอกจากกองทุนรวมแบบปกติแล้ว ยังมีกองทุนรวมที่ช่วยลดหย่อนภาษี อย่าง LTF และ RMF ด้วย โดย LTF นั้นจะลงทุนแค่หุ้นไทย แต่ RMF จะลงทุนได้หลากหลายกว่า เงินปันผล เงินปันผลคือกระแสเงินสดที่ทางกองทุนจะจ่ายออกมาให้เรา เมื่อกองทุนทำกำไรได้ หรือ บริษัทที่กองทุนไปลงทุนนั้นจ่ายปันผลออกมา เราจะเลือกรับปันผลหรือเปล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนของเรา หากมีเงินก้อนใหญ่แล้วต้องการกระแสเงินสด กองทุนที่จ่ายปันผลก็น่าสนใจ แต่ถ้าต้องการให้เงินงอกเงยต่อไปเรื่อยๆ และยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเร็วๆ นี้ การเลือกกองทุนไม่จ่ายปันผลก็จะเป็นตัวเลือก เงินปันผลคือกระแสเงินสดที่ทางกองทุนจะจ่ายออกมาให้เรา เมื่อกองทุนทำกำไรได้ หรือ บริษัทที่กองทุนไปลงทุนนั้นจ่ายปันผลออกมา เราจะเลือกรับปันผลหรือเปล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนของเรา หากมีเงินก้อนใหญ่แล้วต้องการกระแสเงินสด กองทุนที่จ่ายปันผลก็น่าสนใจ แต่ถ้าต้องการให้เงินงอกเงยต่อไปเรื่อยๆ และยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเร็วๆ นี้ การเลือกกองทุนไม่จ่ายปันผลก็จะเป็นตัวเลือก มาลองดูตัวอย่างการคัดเลือกกองทุนกัน 2. ผลดำเนินการย้อนหลัง ผลตอบแทนย้อนหลัง อาจจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่หลายคนเลือกดู เพราะใครๆ ก็อยากได้ผลตอบแทนกันทั้งนั้น การดูผลตอบแทนย้อนหลังจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เราควรทำคือดูผลตอบแทนย้อนหลังยาวๆ ยิ่งยาวเท่าไรยิ่งดี เพราะจะทำให้เราเห็นภาพรวมของกองทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องอย่าลืมว่าผลการดำเนินงานในอดีตมิได้ยืนยันผลตอบแทนในอนาคต เราจึงไม่สามารถอ้างอิงการตัดสินใจทั้งหมดกับผลตอบแทนในอดีตได้ สิ่งนี้มีไว้เพื่อประกอบการตัดสินใจบางส่วนของเราเท่านั้น อาจจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่หลายคนเลือกดู เพราะใครๆ ก็อยากได้ผลตอบแทนกันทั้งนั้น การดูผลตอบแทนย้อนหลังจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เราควรทำคือดูผลตอบแทนย้อนหลังยาวๆ ยิ่งยาวเท่าไรยิ่งดี เพราะจะทำให้เราเห็นภาพรวมของกองทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องอย่าลืมว่าผลการดำเนินงานในอดีตมิได้ยืนยันผลตอบแทนในอนาคต เราจึงไม่สามารถอ้างอิงการตัดสินใจทั้งหมดกับผลตอบแทนในอดีตได้ สิ่งนี้มีไว้เพื่อประกอบการตัดสินใจบางส่วนของเราเท่านั้น Standard Deviation (SD) นอกจากผลตอบแทนแล้วเราก็ต้องดูความเสี่ยงด้วย ค่า Standard Deviation หรือ SD คือตัววัดค่าเบี่ยงเบนจากมาตรฐาน หรือพูดง่ายๆ ว่าผลตอบแทนที่เราอาจจะได้รับนั้นมีสิทธิ์เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงจากค่าเฉลี่ยมากน้อยแค่ไหน ยิ่งตัวเลขมี % สูงมากเท่าไร ก็ยิ่งหมายความว่าผลตอบแทนมีความผันผวนมากเท่านั้น นั่นหมายความว่ากองทุนที่ลงในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างหุ้นหรือโภคภัณฑ์ ก็จะมีค่า SD ที่สูงกว่ากองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อย่าง ตราสารหนี้หรือตราสารเงิน นอกจากผลตอบแทนแล้วเราก็ต้องดูความเสี่ยงด้วย ค่า Standard Deviation หรือ SD คือตัววัดค่าเบี่ยงเบนจากมาตรฐาน หรือพูดง่ายๆ ว่าผลตอบแทนที่เราอาจจะได้รับนั้นมีสิทธิ์เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงจากค่าเฉลี่ยมากน้อยแค่ไหน ยิ่งตัวเลขมี % สูงมากเท่าไร ก็ยิ่งหมายความว่าผลตอบแทนมีความผันผวนมากเท่านั้น นั่นหมายความว่ากองทุนที่ลงในสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างหุ้นหรือโภคภัณฑ์ ก็จะมีค่า SD ที่สูงกว่ากองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อย่าง ตราสารหนี้หรือตราสารเงิน Sharpe Ratio Sharpe Ratio คือผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง ฟังแล้วอาจจะยังงงๆ แต่จริงๆ แล้วมันก็คืออัตราผลตอบแทนหารด้วยความเสี่ยงนั่นเอง ตัวเลขที่จะได้รับ ก็คือเราจะได้รู้ว่าผลตอบแทนนั้นนับเป็น “กี่เท่า” ของ 1 หน่วยความเสี่ยง สมมติว่าถ้าผลออกมา 1 ก็แปลว่าความเสี่ยงกับผลตอบแทนมีค่าเท่ากัน แต่ถ้าน้อยกว่า 1 แปลว่าความเสี่ยงเยอะกว่าผลตอบแทน ถ้ามากกว่า 1 ก็แปลว่าความเสี่ยงน้อยกว่าผลตอบแทน โดยรวมแล้ว ยิ่งตัวเลข Sharpe Ratio สูง ก็ยิ่งดี Sharpe Ratio คือผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง ฟังแล้วอาจจะยังงงๆ แต่จริงๆ แล้วมันก็คืออัตราผลตอบแทนหารด้วยความเสี่ยงนั่นเอง ตัวเลขที่จะได้รับ ก็คือเราจะได้รู้ว่าผลตอบแทนนั้นนับเป็น “กี่เท่า” ของ 1 หน่วยความเสี่ยง สมมติว่าถ้าผลออกมา 1 ก็แปลว่าความเสี่ยงกับผลตอบแทนมีค่าเท่ากัน แต่ถ้าน้อยกว่า 1 แปลว่าความเสี่ยงเยอะกว่าผลตอบแทน ถ้ามากกว่า 1 ก็แปลว่าความเสี่ยงน้อยกว่าผลตอบแทน โดยรวมแล้ว ยิ่งตัวเลข Sharpe Ratio สูง ก็ยิ่งดี Max Drawdown Max Drawdown คือผลขาดทุนสูงสุด ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ทำให้เราเห็นภาพว่าถ้าเราลงทุนจริงๆ ในช่วงนี้ เรามีโอกาสสูญเสียเงินต้นมากที่สุดเท่าไร ตัวเลขนี้จะทำให้เราเข้าใจความเสี่ยงของกองทุนมากขึ้น เพราะเป็นเปอร์เซ็นต์ติดลบที่เราสามารถลองนำมาคำนวณดูได้ เช่น ถ้าลงทุนด้วยเงินต้น 1,000,000 บาท แล้ว Max Drawdown ในระยะเวลา 3 ปีคือ -10% แปลว่าหากเราใช้เงินก้อนนี้ลงทุนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราจะเจอจุดที่เงินต้นเราเหลือเพียง 900,000 บาท ณ จุดๆ หนึ่ง Max Drawdown คือผลขาดทุนสูงสุด ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ทำให้เราเห็นภาพว่าถ้าเราลงทุนจริงๆ ในช่วงนี้ เรามีโอกาสสูญเสียเงินต้นมากที่สุดเท่าไร ตัวเลขนี้จะทำให้เราเข้าใจความเสี่ยงของกองทุนมากขึ้น เพราะเป็นเปอร์เซ็นต์ติดลบที่เราสามารถลองนำมาคำนวณดูได้ เช่น ถ้าลงทุนด้วยเงินต้น 1,000,000 บาท แล้ว Max Drawdown ในระยะเวลา 3 ปีคือ -10% แปลว่าหากเราใช้เงินก้อนนี้ลงทุนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราจะเจอจุดที่เงินต้นเราเหลือเพียง 900,000 บาท ณ จุดๆ หนึ่ง ทีนี้ ลองมาดูตัวอย่างว่าถ้าเรากรอกข้อมูลผลตอบแทนกับความเสี่ยงเพิ่ม จะเป็นอย่างไร ค่าธรรมเนียม เป็นอีกสิ่งที่สมควรตรวจสอบมากๆ เพราะค่าธรรมเนียมก็เหมือนค่าซื้อกองทุนนั่นเอง หากกองทุน 2 กองมีความเหมือนกันทุกอย่าง สิ่งที่จะช่วยให้เราตัดสินใจเลือกกองได้ก็คือค่าธรรมเนียม ยิ่งถูกยิ่งดี เพราะค่าธรรมเนียมนี้จะกระทบผลตอบแทนที่เราได้รับด้วย บางกองก็มี Front-End Fee หรือค่าธรรมเนียมขาเข้า (ตอนซื้อ) บางกองก็มี Back-End Fee หรือค่าธรรมเนียมขาออก (ตอนขาย) แต่ที่ต้องมีทุกๆ กองคือ Management Fee หรือค่าธรรมเนียมการจัดการ ซึ่งจะจัดเก็บเป็นรายปี อย่าลืมเทียบค่าธรรมเนียมเหล่านี้ในแต่ละกองด้วยนะ เป็นอีกสิ่งที่สมควรตรวจสอบมากๆ เพราะค่าธรรมเนียมก็เหมือนค่าซื้อกองทุนนั่นเอง หากกองทุน 2 กองมีความเหมือนกันทุกอย่าง สิ่งที่จะช่วยให้เราตัดสินใจเลือกกองได้ก็คือค่าธรรมเนียม ยิ่งถูกยิ่งดี เพราะค่าธรรมเนียมนี้จะกระทบผลตอบแทนที่เราได้รับด้วย บางกองก็มี Front-End Fee หรือค่าธรรมเนียมขาเข้า (ตอนซื้อ) บางกองก็มี Back-End Fee หรือค่าธรรมเนียมขาออก (ตอนขาย) แต่ที่ต้องมีทุกๆ กองคือ Management Fee หรือค่าธรรมเนียมการจัดการ ซึ่งจะจัดเก็บเป็นรายปี อย่าลืมเทียบค่าธรรมเนียมเหล่านี้ในแต่ละกองด้วยนะ หากอยากจะเคลียร์ข้อมูล คัดเลือกใหม่ทั้งหมด ก็กดที่ปุ่ม “รีเซ็ตการกรอง” ได้เลย | การคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
1. เข้าไปที่ https://www.finnomena.com/fund/filter แล้วเลือก จัดอันดับกองทุน
2. ใส่ข้อมูลเบื้องต้นของกองทุนเพื่อกรองข้อมูล
2.1. เลือกประเภทกองทุนรวม โดยมีให้เลือกหลักๆ 6 แบบ สามารถจิ้มที่ลูกศรใกล้ๆ ชื่อของประเภทกองทุนเพื่อดูประเภทย่อยได้ด้วย
2.2. เลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดยขึ้นอยู่กับแนวทางการบริหารของแต่ละบริษัทที่มีความโดดเด่นในแต่ละประเภทกองทุน
2.3. เลือกประเภทกองทุนรวมว่าเป็นกองทุนทั่วไปหรือกองทุน LTF และ RMF
2.4. เลือกว่าจะเอากองทุนจ่ายหรือไม่จ่ายเงินปันผล
3. ดูผลตอบแทนย้อนหลังยาวๆ ยิ่งยาวเท่าไรยิ่งดี เพราะทำให้ภาพรวมของกองทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
4. ตรวจสอบค่าธรรมเนียม เพราะจะกระทบผลตอบแทนที่ได้รับด้วย
5. ถ้าอยากเคลียร์ข้อมูลและคัดเลือกใหม่ทั้งหมด ให้กดปุ่ม รีเซ็ตการกรอง | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2172 | Finance | FINNOMENA PORT GOAL คืออะไร | null | FINNOMENA PORT GOAL เป็นแผนการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็บเงินก้อนตามวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพื่อเรียนต่อปริญญาโท ซื้อบ้าน/ซื้อรถ เพื่อการศึกษาลูก หรือ เพื่อการเกษียณ ทุกๆ ช่วงอายุจะใช้เงินลงทุนก้อนแรกจำนวน 20,000 บาท ตามจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกของ FINNOMENA PORT GOAL โดยลงทุนที่ระดับความเสี่ยง 7 คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นปีละ 10% ทุกๆ ช่วงอายุจะมีเงินในพอร์ตประมาณ 30 ล้านบาท ณ วันเกษียณที่อายุ 60 ปี
เมื่อเกษียณอายุแล้ว จะนำเงินก้อนจากแผนการลงทุน FINNOMENA PORT GOAL มาลงทุนต่อในแผนการลงทุน FINNOMENA PORT GIF เป็นแผนการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดกลับมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 5% ต่อปี ได้คำนวณโดยหักเงินเฟ้อ 2.5% ต่อปีแล้ว
การที่จะมีเงิน 30 ล้านในวันที่เกษียณ เริ่มจะมีความยากขึ้นมา สำหรับวัยใกล้เลข 4 หากเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปี จะต้องลงทุนต่อเดือนประมาณ 7,600 บาท แต่ว่ายังเป็นจำนวนเงินลงทุนต่อเดือนที่สูง แต่จำนวน 7,600 บาทนี้ เป็นจำนวนเงินลงทุนคงที่จนถึงอายุ 60 ปี สำหรับใครที่ยังลงทุนต่อเดือนเท่านี้ไม่ไหว ก็ไม่เป็นไร ลงทุนเท่าที่ไหวไปก่อน เพื่อลดความตึงในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แล้วในวันที่รายได้โตขึ้น ตอนนั้นค่อยกลับมาทยอยลงทุนเพิ่มก็ยังไม่สาย | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2173 | Finance | นักลงทุน VI ควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้างก่อนตัดสินใจ "ซื้อ" หุ้น? | null | นักลงทุน VI ควรพิจารณาปัจจัยหลัก 3 ประการก่อนตัดสินใจ "ซื้อ" หุ้น ดังนี้
1. พื้นฐานทางการเงินของบริษัท:
ความแข็งแกร่งของงบการเงิน:
วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เช่น ROE, ROA, Gross Profit Margin, Net Profit Margin, DE ratio
ตรวจสอบว่าบริษัทมีหนี้สินมากเกินไปหรือไม่
วิเคราะห์กระแสเงินสดว่าบริษัทมีเงินสดเพียงพอต่อการดำเนินงานหรือไม่
การเติบโตของกำไร:
วิเคราะห์กลยุทธ์ของบริษัท
ประเมินแนวโน้มการเติบโตของกำไรในอนาคต
เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม
ความสามารถในการแข่งขัน:
วิเคราะห์ว่าบริษัทมีจุดแข็งอะไร
มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างไร
มีโอกาสถูก Disrupt จากเทคโนโลยีใหม่หรือไม่
2. มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น:
เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าที่แท้จริง:
วิเคราะห์ด้วยวิธี DCF (Discounted Cash Flow)
วิเคราะห์ด้วยวิธี P/E Ratio
วิเคราะห์ด้วยวิธี PBV Ratio
พิจารณาปัจจัยอื่นๆ:
สภาพคล่องของหุ้น
ความเสี่ยงของตลาด
ความเสี่ยงของอุตสาหกรรม
3. ตัวเร่งที่จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งเข้าสู่มูลค่าที่ควรจะเป็น:
บริษัทมีแผนอะไรที่จะเพิ่มผลกำไร:
ออกผลิตภัณฑ์ใหม่
ขยายสาขา
เข้าซื้อกิจการ
มีข่าวสารอะไรที่จะหนุนราคาหุ้น:
รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน
บริษัทได้งานใหญ่
คู่แข่งถอนตัวออกจากตลาด
ตัวอย่าง:
บริษัท XYZ เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง มีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ 10 บาทต่อหุ้น จากการวิเคราะห์ DCF พบว่ามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นอยู่ที่ 15 บาทต่อหุ้น บริษัทมีแผนขยายโรงงานใหม่ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิต 20% คาดว่าจะทำให้กำไรสุทธิเติบโต 15% ในปีหน้า
จากข้อมูลข้างต้น นักลงทุน VI อาจตัดสินใจ "ซื้อ" หุ้น XYZ เพราะว่า
บริษัทมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง
มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นอยู่เหนือราคาตลาด
มีตัวเร่งที่จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งเข้าสู่มูลค่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน | เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2174 | Finance | จากบทความข้างต้น อะไรคือกลยุทธ์ทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับการเตรียมตัวก่อนซื้อบ้าน? | null | กลยุทธ์ทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับการเตรียมตัวก่อนซื้อบ้าน:
1. ตรวจสอบความพร้อมทางการเงิน:
บันทึกรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด เป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน
วิเคราะห์สัดส่วนรายจ่ายต่อรายได้ ห้ามเกิน 40%
จ่ายหนี้บัตรเครดิตให้หมด หรืออย่างน้อยต้องเหลือไม่เกิน 30% ของวงเงินบัตร
คำนวณเงินผ่อนบ้านล่วงหน้า โดยใช้เครื่องมือคำนวณสินเชื่อ
เตรียมเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของราคาบ้าน
2. วางแผนการออมเงิน:
ตั้งเป้าหมายการออมเงิน
เลือกวิธีการออมเงินที่เหมาะสม เช่น ฝากประจำ, กองทุนรวม
เพิ่มรายได้ หาช่องทางเพิ่มรายได้
3. เลือกสินเชื่อบ้านที่เหมาะสม:
เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขจากธนาคารต่างๆ
เลือกประเภทสินเชื่อบ้านที่ตรงกับความต้องการ
เลือกผ่อนชำระระยะยาว
4. เตรียมเอกสารสำหรับการยื่นกู้:
เอกสารส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน
เอกสารแสดงรายได้ เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน ใบเสร็จรับเงิน
เอกสารแสดงหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น โฉนดที่ดิน
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
ปรึกษากับธนาคารเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน
ปรึกษานักวางแผนการเงินเพื่อวางแผนการเงิน
ตัวอย่างกลยุทธ์:
ออมเงิน 30% ของรายได้ต่อเดือน เป็นเวลา 3 ปี สำหรับเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายจิปาถะ
ลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อเพิ่มผลตอบแทน
เลือกสินเชื่อบ้านแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ เพื่อความมั่นคง
เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนยื่นกู้
ข้อควรระวัง:
การซื้อบ้านเป็นภาระผูกพันระยะยาว
ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ
ไม่ควรซื้อบ้านเกินตัว
คำแนะนำเพิ่มเติม:
ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเผื่อไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
ควรทำประกันอัคคีภัยและประกันชีวิต
ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน | กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2175 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงกลยุทธ์ Risk Parity ไม่ถูกต้อง | 1. สามารถลงทุนได้ทุกสภาวะการณ์ของเศรษฐกิจ
2. ใช้ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ในการแบ่งสัดส่วนของการลงทุน
3. ใช้ความเสี่ยงเป็นตัวกำหนดสัดส่วนของการลงทุน
4. เป็นแนวคิดหลักสำคัญในกลยุทธ์ All Weather ของ Ray Dalio
5. จุดเด่นเปรียบได้กับ จอมยุทธ์บูรพาไม่แพ้ | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 2. เพราะว่า เพราะกลยุทธ์ Risk Parity มีแนวคิดที่ไม่ได้ใช้ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ในการแบ่งสัดส่วนของการลงทุน แต่จะใช้ความเสี่ยงเป็นตัวกำหนดสัดส่วนของการลงทุน จะแบ่งตามความเสี่ยงตามความสัมพันธ์ของสินทรัพย์กับปัจจัยกระตุ้นในแต่ละสภาวะตลาด
Risk Parity เป็นแนวคิดหลักสำคัญในกลยุทธ์ All Weather ของผู้จัดการกองทุนชื่อดัง Ray Dalio แห่ง Bridgewater Associate ด้วยจุดเด่นของ Risk Parity เปรียบได้กับ จอมยุทธ์ “บูรพาไม่แพ้” สามารถลงทุนได้ทุกสภาวะการณ์ของเศรษฐกิจ
การให้สัดส่วนและน้ำหนักการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ง่ายเหมือนกับเราจัดสัดส่วนแบบดั้งเดิม (Traditional approach)
ถ้าเป็นนักลงทุนรายย่อย ก็น่าจะเป็นการลงทุนเพื่อเกษียณ ให้เวลาที่เข้าใกล้อายุเกษียณ เช่น อยากจะเกษียณอายุ 55 ตอนนี้อยู่ที่อายุ 50 เป็นต้น หรือ ลงทุนหลังเกษียณก็ได้ โดยเงินที่ลงทุนด้วยการจัดพอร์ตแบบ Risk Parity อยู่ในตะกร้าที่ 3 | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2176 | Finance | การแห่ตามกันซื้อหุ้นร้อน มักจะทำให้นักลงทุนต้องเจ็บตัวเสมอ ใช่หรือไม่ | null | ใช่ เพราะเมื่อทุกคนแห่ตามกันซื้อ หุ้นที่ทุกคนคิดว่าดี สุดท้ายราคาหุ้นก็จะแตก และหุ้นจะตกอย่างรุนแรง และไม้สุดท้ายที่ไปรับราคาหุ้นที่จุดสูงสุดก็จะต้องเจ็บตัวอย่างหนัก ต้องเข้าใจว่าธุรกิจบางอย่างจะมีปีที่ดีและไม่ดี การลงทุนระยะยาวนั้น หากเราคิดจะเป็นเจ้าของธุรกิจจริง ๆ เราต้องตั้งมั่นในใจว่า จะถือธุรกิจนั้น ๆ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-5 ปี เราจึงจะคิดลงทุน
ดังนั้น หากปีไหนที่ธุรกิจเราไม่ดี หรือสภาพตลาดไม่เอื้ออำนวย และเราวิเคราะห์มองเห็นแล้วว่า มันคือปีที่ไม่ดีชั่วคราว นักลงทุนระยะยาวจะทำใจถือต่อไปได้ ตราบเท่าที่ธุรกิจยังไม่ได้ถดถอย แถมจะยังซื้อเพิ่มเสียด้วยซ้ำ หากมันลดราคาลงมามาก ผิดกับนักลงทุนระยะสั้นที่มักจะแห่ตามคนส่วนใหญ่ เขาจะรีบขายกิจการที่ดีทิ้ง เพียงเพราะราคามันกำลังตกต่ำ (ชั่วคราว) สิ่งนี้เมื่อระยะเวลาผ่านไปนานวัน จะเริ่มเห็นความแตกต่างมากขึ้น
ข้อสรุป คือ… นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะผิดเสมอหรือไม่ ที่จริงแล้วเราไม่ควรใส่ใจให้มากนัก สิ่งที่เราควรโฟกัสเป็นประจำ ก็คือ เราต้องมีใจมองให้เห็นเป็นกลาง หมั่นตรวจสอบความคิดเราสม่ำเสมอ และลงทุนระยะยาวกับธุรกิจที่เราเข้าใจมันได้ดีกว่าใครนั่นเอง | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2177 | Finance | ทำไมผู้ประกอบการจะต้องเตรียมเงินก้อนหลังเกษียณให้พนักงาน | null | พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เป็นการยกระดับการคุ้มครองลูกจ้างให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล แต่นายจ้างจะต้องควักเงินในกระเป๋าออกมาจ่ายให้กับลูกจ้างเพิ่มขึ้นกว่าที่ผ่านมา พ.ร.บ ได้มีการเพิ่มเพิ่มอัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างให้กับลูกจ้างเป็น 6 อัตราจาก 5 อัตรา ดังนี้
1. ลูกจ้างที่ทำงานมาครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้ค่าชดเชย 30 วัน
2. ลูกจ้างหากทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้ค่าชดเชย 90 วัน
3. ลูกจ้างทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี จะได้รับเงินชดเชย 180 วัน
4. ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้รับเงินชดเชย 240 วัน
5. ลูกจ้างทำงานครบ 10 ปี แต่ไม่ครบ 20 ปีได้เงินชดเชย 300 วัน
6. ลูกจ้างทำงานครบ 20 ปีขึ้นไป ได้รับเงินชดเชย 400 วัน
ดูแล้วก็ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไร จะทำให้ล้มละลายได้อย่างไร ? ปัญหาคือ ถ้าลูกจ้างเกษียณอายุ 60 ปี หรือ ขึ้นอยู่กับนายจ้างกำหนด นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยด้วย เพราะการเกษียณของลูกจ้าง เป็นการเลิกจ้าง
แต่ละบริษัทจะทำอย่างไร เมื่อในอนาคตจะมีลูกจ้างเกษียณออกมาจำนวนเยอะมาก?
บริษัทจะทำการตั้งเงินสำรองเป็นเงินกองทุนของบริษัทเพื่อเอาไว้จ่ายลูกจ้างในอนาคต ในปัจจุบัน บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทมหาชน จะใช้มาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 19 (TAS 19) เรื่อง ผลประโยชน์พนักงาน ที่ใช้หลักคณิตศาสตร์ประกันภัยในการคำนวณ เพื่อตั้งสำรองให้เหมาะสม กลับมามองที่ SME จะต้องทำอย่างไร เจ้าของธุรกิจคงจะต้องเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาจุดนี้ ถ้าเจ้าของธุรกิจจะต้องส่งต่อธุรกิจให้ทายาท ก็ควรจะมีแผนจัดการความเสี่ยงก่อนที่จะส่งต่อ อย่าให้ทายาทมาเจอกับปัญหาที่รุ่นพ่อแม่สร้างไว้ | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2178 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Doomsayer และการทำนายวิกฤติในปี 2020 ที่สหรัฐอเมริกา | null | Doomsayer คือ บุคคลที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถทำนายเรื่องร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ ในด้านเศรษฐศาสตร์มีการทำนายเหตุการณ์ร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ วิกฤติในปี 2020 ที่สหรัฐอเมริกา แต่มันมีน้ำหนักที่จะเกิดขึ้นน้อย เพราะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกายังไม่มีปัญหา เนื่องจากการขาดดุลการค้าและอัตราดอกเบี้ยไม่สมดุล และเศรษฐกิจในอเมริกายังดีอย่างต่อเนื่อง ในประวัติศาสตร์จะไม่ค่อยเกิดขึ้นและจบลงด้วยการถดถอยหรือเกิดวิกฤติ
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ว่าที่จริงคนที่มีชื่อเสียงทางด้านเศรษฐศาสตร์บางคนทำนายมานานพอสมควรแล้วว่า อเมริกาจะเกิดวิกฤติในปี 2020 คือ ปีหน้าตั้งแต่เศรษฐกิจอเมริกันยังไม่มีปัญหา ยังไม่มีเรื่องสงครามการค้าและปรากฎการณ์ IYC เหตุผลจำไม่ได้ชัดแต่น่าจะมาจากการที่เศรษฐกิจอเมริกาไม่สมดุลเช่นการขาดดุลการค้าและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำต่อเนื่องกันยาวนานเป็นต้น แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นอาจจะมาจากการที่เศรษฐกิจดีต่อเนื่องมายาวนานจนเกินไปคือเกิน 10 ปีซึ่งตามประวัติศาสตร์ไม่ค่อยเกิดขึ้นและมักจะจบลงด้วยการถดถอยหรือวิกฤติ ในตอนนั้นก็แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้ให้น้ำหนักมากเพราะว่าเรื่องการทำนายทายทักเรื่อง “โลกาวินาศ” นั้น มีอยู่ตลอดเวลา คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “Doomsayer” หรือคนที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถทำนายเรื่องร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้แม่นยำนั้นมีอยู่มากมายและพวกเขาก็ “ทำนายอยู่เรื่อย ๆ” จนคนไม่ค่อยสนใจแล้ว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หลาย ๆ เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ก็น่าจะทำให้คนหลายเริ่มสนใจและอาจจะเชื่อมากขึ้นว่า “วิกฤติกำลังจะมา” และนั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนอย่างแรง | การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2181 | Finance | 5 วิธีประหยัดเงินง่ายๆ เพื่อมาเติมพอร์ตลงทุน มีอะไรบ้าง | 5 วิธีประหยัดเงินง่ายๆ เพื่อมาเติมพอร์ตลงทุน
หลังจากที่ได้แชร์วิธีที่ป๊าสอนให้ลงทุนแล้ว (อ่านได้ที่ คลิก) บางคนอาจจะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเพื่อสะสมเงินมาเติมพอร์ต ซึ่งเนยขอแชร์และยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริงนะคะ คลิก ทำบัญชีราย-รับรายจ่าย ส่วนนี้จะทำให้เรารู้ว่า ใน 1 เดือนเราใช้จ่ายอะไรไปบ้าง ซึ่งเนยแนะนำให้โหลด App บันทึกรายรับรายจ่ายไว้ในมือถือแล้วบันทึกในเวลานั้นเลยค่ะ เพราะบางทีเราซื้อของระหว่างวัน แล้วจะกลับมาบันทึกในสมุดก็อาจจะลืม เราเลยต้องใช้ของที่ติดตัวเราให้เป็นประโยชน์กันนะคะ แถมจะพกสมุดจดไปนู้นนี่ก็คงไม่มีใครทำ ***App ที่เนยใช้จะชื่อว่า Spendee ค่ะ มันสามารถถ่ายรูปใบเสร็จ แล้วพิมพ์หมวดหมู่ของรายจ่ายตามสไตล์ของเราได้ด้วย ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก พอเราบันทึกรายรับรายจ่ายแล้ว เราก็จะรู้ว่าเราเสียเงินกับอะไรที่มันไม่จำเป็นบ้าง ซึ่งบางทีเราก็อาจจะไม่รู้ตัว อย่างเช่น กาแฟแก้วละเกือบร้อย ซึ่งถ้ากินทุกวัน ก็ตกเดือนละ ~3,000 บาท หรือบางทีก็อาจจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ๆ ซึ่งบางทีเราก็จับชุดเก่ามา Mix and Match ให้เป็นสไตล์ใหม่ๆ ก็ได้ค่ะ ตามหาโปรโมชั่น ขอเริ่มจากบิลค่าโทรศัพท์ก่อนค่ะ เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องตามหาว่าเขาจัดโปรกับอะไร ซึ่งเนยใช้ของ AIS แล้วเขามีโปรว่าถ้าจ่ายผ่าน Rabbit Line Play จะได้เงินคืน
ต่อมาเป็น Grab ทั้งรถรับส่งและสั่งอาหาร ซึ่งบางทีฝนตกรถติด เราขี้เกียจออกไปข้างนอก ก็ตามหาโปรโมชั่นได้จากเพจนี้ค่ะ บางทีโชคดีก็อาจจะได้โปรนั่งฟรีมาด้วย
ต่อมาเป็นการซื้อของจุกจิกทั่วไป เนยจะสมัครแอป Shopback เพื่อรับเงินคืนจากหลายๆ ร้าน วิธีก็ง่ายมาก คือเข้าไปในแอป แล้วกดไปที่ร้านที่เราจะซื้อ พอเรากดซื้อของ ก็จะได้เงินคืนตามเงื่อนไขที่เขากำหนด
และสุดท้าย โปรโมชั่นที่เนยใช้คือตัว Truemoney wallet ค่ะ เอาไว้จ่ายของที่เซเว่น แมคโคร แล้วก็สะสมแต้มมาเป็นส่วนลด หรือบางทีก็ไล่สะสมโปรโมชั่นเอาไว้เผื่อซื้อของด้วย ซื้อของให้ถูกแหล่ง เราจะต้องรู้ก่อนว่า แต่ละที่อะไรมีราคาถูกและคุณภาพดีบ้าง อย่างเช่นเนยจะชอบซื้อของใช้ยกแพคที่แมคโครค่ะ ซึ่งถ้าเป็นของใช้จะไปซื้อเดือนละครั้ง พวกแชมพู ครีมนวด โฟมล้างหน้า สบู่ ทิชชู่ ผ้าอนามัย ส่วนของกินพวกเนื้อสัตว์ โยเกิร์ต จะไปอาทิตย์ละครั้ง เพราะเทียบราคาแล้วถูกกว่าตลาดแถวบ้าน แต่จะซื้อผักผลไม้ที่ตลาดหรือไม่ก็ดอยคำโครงการหลวง เพราะมีหนอนและปลอดสารพิษค่ะ ส่วนพวกน้ำมันมะกอกทำกับข้าวก็จะไปซื้อที่ท็อปส์ เพราะชอบจัดโปรโมชั่นลดราคาสำหรับสมาชิกค่ะ ใช้กฎ 24 ชม.และการเปรียบเทียบ อันนี้เป็นการหักห้ามใจตัวเองค่ะ บางทีเราเห็นของที่ขายทั่วไปแล้วอยากซื้อ ก็ต้องมานั่งทบทวนกับตัวเองก่อนว่ามันจำเป็นมั้ย อย่างเช่น เคสโทรศัพท์, เสื้อผ้า, รองเท้า, อุปกรณ์ IT เนยจะกลับมาคิดก่อน 1 วัน ว่าอยากได้จริงๆ มั้ย มันจำเป็นจริงๆ กับการใช้ชีวิตรึเปล่า แล้วของชิ้นนั้น เราต้องทำงานกี่ชั่วโมงถึงจะได้มันมา ถ้าคำตอบคือ ไม่จำเป็น เนยก็จะหยุด แล้วเอาเงินที่เหลือมาออมไว้ค่ะ
และนี่ก็เป็นเคล็ดลับการประหยัดเงินที่ทำได้ง่ายๆ หวังว่าจะช่วยให้พี่ๆ หรือน้องๆ ที่อ่าน ได้ไอเดียเอาไปปรับใช้นะคะ อันนี้เป็นการหักห้ามใจตัวเองค่ะ บางทีเราเห็นของที่ขายทั่วไปแล้วอยากซื้อ ก็ต้องมานั่งทบทวนกับตัวเองก่อนว่ามันจำเป็นมั้ย อย่างเช่น เคสโทรศัพท์, เสื้อผ้า, รองเท้า, อุปกรณ์ IT เนยจะกลับมาคิดก่อน 1 วัน ว่าอยากได้จริงๆ มั้ย มันจำเป็นจริงๆ กับการใช้ชีวิตรึเปล่า แล้วของชิ้นนั้น เราต้องทำงานกี่ชั่วโมงถึงจะได้มันมา ถ้าคำตอบคือ ไม่จำเป็น เนยก็จะหยุด แล้วเอาเงินที่เหลือมาออมไว้ค่ะ
และนี่ก็เป็นเคล็ดลับการประหยัดเงินที่ทำได้ง่ายๆ หวังว่าจะช่วยให้พี่ๆ หรือน้องๆ ที่อ่าน ได้ไอเดียเอาไปปรับใช้นะคะ อันนี้เป็นการหักห้ามใจตัวเองค่ะ บางทีเราเห็นของที่ขายทั่วไปแล้วอยากซื้อ ก็ต้องมานั่งทบทวนกับตัวเองก่อนว่ามันจำเป็นมั้ย อย่างเช่น เคสโทรศัพท์, เสื้อผ้า, รองเท้า, อุปกรณ์ IT เนยจะกลับมาคิดก่อน 1 วัน ว่าอยากได้จริงๆ มั้ย มันจำเป็นจริงๆ กับการใช้ชีวิตรึเปล่า แล้วของชิ้นนั้น เราต้องทำงานกี่ชั่วโมงถึงจะได้มันมา ถ้าคำตอบคือ ไม่จำเป็น เนยก็จะหยุด แล้วเอาเงินที่เหลือมาออมไว้ค่ะ
และนี่ก็เป็นเคล็ดลับการประหยัดเงินที่ทำได้ง่ายๆ หวังว่าจะช่วยให้พี่ๆ หรือน้องๆ ที่อ่าน ได้ไอเดียเอาไปปรับใช้นะคะ อันนี้เป็นการหักห้ามใจตัวเองค่ะ บางทีเราเห็นของที่ขายทั่วไปแล้วอยากซื้อ ก็ต้องมานั่งทบทวนกับตัวเองก่อนว่ามันจำเป็นมั้ย อย่างเช่น เคสโทรศัพท์, เสื้อผ้า, รองเท้า, อุปกรณ์ IT เนยจะกลับมาคิดก่อน 1 วัน ว่าอยากได้จริงๆ มั้ย มันจำเป็นจริงๆ กับการใช้ชีวิตรึเปล่า แล้วของชิ้นนั้น เราต้องทำงานกี่ชั่วโมงถึงจะได้มันมา ถ้าคำตอบคือ ไม่จำเป็น เนยก็จะหยุด แล้วเอาเงินที่เหลือมาออมไว้ค่ะ และนี่ก็เป็นเคล็ดลับการประหยัดเงินที่ทำได้ง่ายๆ หวังว่าจะช่วยให้พี่ๆ หรือน้องๆ ที่อ่าน ได้ไอเดียเอาไปปรับใช้นะคะ | 1. ทำบัญชีราย-รับรายจ่าย
ส่วนนี้จะทำให้รู้ว่า ใน 1 เดือนใช้จ่ายอะไรไปบ้าง แนะนำให้โหลด App บันทึกรายรับรายจ่ายไว้ในมือถือแล้วบันทึกในเวลานั้น เพราะบางทีซื้อของระหว่างวัน แล้วจะกลับมาบันทึกในสมุดก็อาจจะลืม เลยต้องใช้ของที่ติดตัวให้เป็นประโยชน์
2. ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก
พอบันทึกรายรับรายจ่ายแล้ว ก็จะรู้ว่าเสียเงินกับอะไรที่มันไม่จำเป็นบ้าง ซึ่งบางทีก็อาจจะไม่รู้ตัว อย่างเช่น กาแฟแก้วละเกือบร้อย ซึ่งถ้ากินทุกวัน ก็ตกเดือนละ ~3,000 บาท หรือบางทีก็อาจจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ๆ ซึ่งบางทีก็จับชุดเก่ามา Mix and Match ให้เป็นสไตล์ใหม่ๆ ก็ได้
3. ตามหาโปรโมชั่น
- บิลค่าโทรศัพท์ เป็นหน้าที่ที่ต้องตามหาว่าเขาจัดโปรกับอะไร
- Grab ทั้งรถรับส่งและสั่งอาหาร ซึ่งบางทีฝนตกรถติด ขี้เกียจออกไปข้างนอก ก็ตามหาโปรโมชั่นได้จากเพจ
- การซื้อของจุกจิกทั่วไป จะสมัครแอป Shopback เพื่อรับเงินคืนจากหลายๆ ร้าน วิธีก็ง่ายมาก คือเ ข้าไปในแอป แล้วกดไปที่ร้านที่จะซื้อ พอกดซื้อของ ก็จะได้เงินคืนตามเงื่อนไขที่กำหนด
- โปรโมชั่น Truemoney wallet เอาไว้จ่ายของที่เซเว่น แมคโคร แล้วก็สะสมแต้มมาเป็นส่วนลด หรือบางทีก็ไล่สะสมโปรโมชั่นเอาไว้เผื่อซื้อของด้วย
4. ซื้อของให้ถูกแหล่ง
จะต้องรู้ก่อนว่า แต่ละที่อะไรมีราคาถูกและคุณภาพดีบ้าง
5. ใช้กฎ 24 ชม.และการเปรียบเทียบ
เป็นการหักห้ามใจตัวเอง บางทีเห็นของที่ขายทั่วไปแล้วอยากซื้อ ก็ต้องมานั่งทบทวนกับตัวเองก่อนว่ามันจำเป็นไหม อย่างเช่น เคสโทรศัพท์, เสื้อผ้า, รองเท้า, อุปกรณ์ IT จะกลับมาคิดก่อน 1 วัน ว่าอยากได้จริงๆ ไหม มันจำเป็นจริงๆ กับการใช้ชีวิตหรือเปล่า แล้วของชิ้นนั้น ต้องทำงานกี่ชั่วโมงถึงจะได้มันมา ถ้าคำตอบคือ ไม่จำเป็น ก็จะหยุด แล้วเอาเงินที่เหลือมาออมไว้ | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2182 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ผลกระทบต่อนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวม กรณีที่กองทุนรวมมีการจ่ายปันผลให้บุคคลธรรมดา จากประกาศของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) ปี พ.ศ. 2562 | null | พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) ปี พ.ศ. 2562 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 2562 โดยแก้ไขปรับปรุงการเก็บภาษีจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่ผ่านกองทุนรวม และเปลี่ยนแปลงประเภทเงินได้ตามกฎหมาย จะมีผลกระทบต่อนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวม กรณีที่กองทุนรวมมีการจ่ายปันผลให้บุคคลธรรมดา คือ ต้องลงทุนในทุกกองทุนรวมที่ไม่ใช่กองทุนตราสารหนี้ และรายได้ของมาตรา 40(4)(ข) จะถูก บลจ. หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ของจำนวนเงินปันผลที่ลงทุนทุกกรณี ตามคำสั่งของกรมสรรพากร
บทเรียนจากย่อหน้านี้
สืบเนื่องจาก พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) ปี พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 19 พ.ค. 2562 ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. เป็นต้นไป ได้มีการแก้ไขปรับปรุงการเก็บภาษีจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่ผ่านกองทุนรวม และมีการเปลี่ยนแปลงประเภทเงินได้ตามกฎหมาย
ซึ่งจากประกาศนี้ จะมีผลกระทบต่อนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมทุกประเภท (ยกเว้น กองทุนรวมตราสารหนี้) กรณีที่กองทุนรวมมีการจ่ายปันผลให้บุคคลธรรมดา ซึ่งรายได้ตรงนี้ เป็นรายได้มาตรา 40(4)(ข) จะถูก บลจ. หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ของจำนวนเงินปันผลที่นักลงทุนได้รับในทุกกรณี ตามคำสั่งกรมสรรพากร ทั้งนี้ ถึงแม้จะเลือกไม่ให้ บลจ. หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ ทาง บลจ. ก็จำเป็นต้องหักภาษีดังกล่าว ทั้งนี้ ยังคงสิทธิของนักลงทุนในการเลือกว่า เงินปันผลที่ได้รับ จะนำไปรวมคำนวนหรือไม่รวมคำนวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ได้
สาเหตุที่ยกเว้น กองทุนรวมตราสารหนี้ ก็เพราะจะถูกหักภาษี 15% ไปแล้ว | ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2186 | Finance | บุคคลทั่วไปควรเริ่มลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุตั้งแต่อายุยังน้อยหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผลดังนี้
1. ผลตอบแทนทบต้น: การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้มีเวลาในการออมและลงทุนที่ยาวนาน
เงินลงทุนมีเวลาเติบโตทบต้น (Compound Interest) ผลตอบแทนจากเงินต้นจะทบต้นต่อยอด ผลตอบแทนทบต้น เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยให้เงินออมเติบโตแบบทวีคูณ
ยกตัวอย่าง:
- ลงทุน 10,000 บาทต่อปี ผลตอบแทน 7% ต่อปี เป็นเวลา 30 ปี เงินลงทุนจะเติบโตเป็น 761,225 บาท
- ลงทุน 10,000 บาทต่อปี ผลตอบแทน 7% ต่อปี เป็นเวลา 40 ปี เงินลงทุนจะเติบโตเป็น 1,646,895 บาท
จะเห็นได้ว่า การลงทุนเพียง 10,000 บาทต่อปี เป็นเวลา 10 ปี
เพิ่มเติม เงินลงทุนจะเติบโตมากกว่า 885,670 บาท หรือ เกือบ 1 เท่าตัว
2. ความเสี่ยง:
- บุคคลอายุน้อย มีความเสี่ยงรับได้สูง (Risk Tolerance) สามารถลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk) มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูง (High Return)
- เมื่ออายุมากขึ้น สามารถปรับพอร์ตการลงทุน (Investment Portfolio) ลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low Risk) รักษาเงินต้น (Capital Preservation)
3. วินัย: การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้ฝึกฝนวินัยการออม (Saving Discipline) วินัยในการลงทุน (Investment Discipline) วินัยเหล่านี้ส่งผลดีต่อการเงินส่วนตัว (Personal Finance) ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน (Financial Goals) เช่น การเกษียณอายุ (Retirement)
4. เงินเฟ้อ (Inflation) ทำให้ค่าของเงินลดลง การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้เงินออมมีโอกาสเติบโต ชนะเงินเฟ้อ
5. สวัสดิการ: ปัจจุบัน สวัสดิการหลังเกษียณ เช่น บำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีแนวโน้มลดลง การออมและลงทุนเพื่อการเกษียณ จึงมีความสำคัญมากขึ้น
ข้อควรระวัง:
- ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
- เลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัย เป้าหมาย และความเสี่ยงรับได้
- กระจายความเสี่ยง (Diversification)
- ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมอย่างสม่ำเสมอ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน
สรุป: การเริ่มลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุตั้งแต่อายุยังน้อย | ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_2188 | Finance | การใช้แผน GOAL ของ FINSTREET ในการเก็บเงินจัดงานแต่งงาน เหมาะสำหรับทุกคนหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
ความเสี่ยง: แผน GOAL ของ FINSTREET นั้นลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งมีความเสี่ยงจากราคา NAV ของกองทุน หาก NAV ลดลง เงินออมของเราอาจจะหายไป ดังนั้น แผน GOAL จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือคนที่ต้องการเงินออมที่แน่นอน
ผลตอบแทน : ผลตอบแทนของแผน GOAL นั้นเป็นเพียงการคาดการณ์ ไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทน ดังนั้น เงินออมของเราอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ หรืออาจจะขาดทุนได้
วินัย: แผน GOAL นั้นต้องการวินัยในการลงทุน เราต้องลงทุนทุกเดือน ตามจำนวนเงินที่กำหนด หากเราไม่มีวินัย หรือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน เงินออมของเราอาจจะไม่เพียงพอ
ระยะเวลา: แผน GOAL นั้นเหมาะสำหรับการเก็บเงินระยะยาว หากเราต้องการเงินออมในระยะสั้น แผน GOAL อาจจะไม่เหมาะสม
ความยืดหยุ่น: แผน GOAL นั้นมีความยืดหยุ่นน้อย เราไม่สามารถปรับเปลี่ยนจำนวนเงินลงทุน หรือระยะเวลาการลงทุนได้ ตามใจชอบ
ดังนั้น แผน GOAL ของ FINSTREET นั้นเหมาะสำหรับคนที่มีความเสี่ยงปานกลาง ต้องการเก็บเงินระยะยาว มีวินัย และต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีเก็บเงินจัดงานแต่งงานอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การฝากเงิน การซื้อทองคำ การซื้อประกันชีวิต ฯลฯ เราควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการ และความเสี่ยงของเรา
สำหรับคนที่ต้องการเก็บเงินจัดงานแต่งงาน เราขอแนะนำให้ ตั้งเป้าหมายว่าต้องการเก็บเงินเท่าไร
วางแผนการใช้จ่าย,เลือกวิธีเก็บเงินที่เหมาะสม,มีวินัยในการเก็บเงิน เเละติดตามผลการเก็บเงิน
หากเราทำตามคำแนะนำเหล่านี้ เราจะสามารถเก็บเงินจัดงานแต่งงานได้สำเร็จ และมีความสุขกับงานแต่งงานของเรา | ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |