ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
10
894
Input
stringclasses
0 values
Output
stringlengths
110
13.8k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
6 values
License
stringclasses
2 values
Legal_46791
Legal
คดีภาษีอากรที่โจทก์ฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางโดยตรง โดยไม่ผ่านศาลจังหวัด จะสามารถทำได้หรือไม่
null
ได้ เหตุผล: อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งของศาลภาษีอากรกลาง: ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับภาษีอากรทุกประเภท ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 การยื่นฟ้องคดีภาษีอากร: โจทก์มีสิทธิ์เลือกยื่นฟ้องคดีภาษีอากรต่อศาลใดศาลหนึ่ง ดังนี้ ศาลภาษีอากรกลาง: กรณีศาลภาษีอากรกลางจังหวัดยังมิได้จัดตั้งขึ้น ศาลภาษีอากรกลางมีเขตอำนาจทั่วราชอาณาจักร กรณีคดีที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โจทก์ต้องยื่นคำฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ศาลจังหวัด: กรณีศาลภาษีอากรกลางจังหวัดได้จัดตั้งขึ้นแล้ว โจทก์สามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ข้อยกเว้น: กรณีคดีภาษีอากรที่มีทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท โจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางโดยตรงไม่ได้ ตัวอย่าง: นาย A ฟ้องร้องกรมสรรพากร เรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์สามารถยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางโดยตรงได้ นาง B ฟ้องร้องบริษัท C เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์สามารถยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง หรือศาลจังหวัดที่บริษัท C มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลก็ได้ หลักฐานอ้างอิง: พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 ข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ. 2544 สรุป: คดีภาษีอากรสามารถฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางโดยตรงได้ โดยไม่ต้องผ่านศาลจังหวัด ยกเว้นกรณีคดีที่มีทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท
กฎหมายภาษี
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46792
Legal
ถาม: กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีสถานะสูงกว่ากฎหมายธรรมดาหรือไม่?
null
ไม่ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตามมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติไว้ว่า "รัฐธรรมนูญนี้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมายอื่นที่ออกตามรัฐธรรมนูญนี้ย่อมมีผลผูกพันโดยทั่วไป" กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ออกตามรัฐธรรมนูญ หมายความว่า กฎหมายเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับและขยายความเนื้อหาบางประการในรัฐธรรมนูญ กฎหมายธรรมดาเป็นกฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติ จากลำดับชั้นของกฎหมาย จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญมีสถานะสูงสุด กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญรองลงมา และกฎหมายธรรมดาอยู่ท้ายสุด อย่างไรก็ตาม กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญไม่ได้มีสถานะสูงกว่ากฎหมายธรรมดาเสมอไป ขึ้นอยู่กับ เนื้อหาของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนั้นๆ ดังนี้ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายประเภทนี้มักจะมีสถานะสูงกว่ากฎหมายธรรมดา เพราะเนื้อหาของกฎหมายเหล่านี้เกี่ยวข้องกับโครงสร้าง หน้าที่ และอำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยตรง ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 กฎหมายฉบับนี้กำหนดโครงสร้าง หน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการเลือกตั้ง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กฎหมายประเภทนี้มักจะมีสถานะสูงกว่ากฎหมายธรรมดา เพราะเนื้อหาของกฎหมายเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนโดยตรง ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2560 กฎหมายฉบับนี้กำหนดบทบาทและอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ เพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน สรุป: กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญไม่มีสถานะสูงกว่ากฎหมายธรรมดาเสมอไป ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนั้นๆ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มักจะมีสถานะสูงกว่ากฎหมายธรรมดา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน มักจะมีสถานะสูงกว่ากฎหมายธรรมดา อย่างไรก็ตาม กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทุกฉบับล้วนมีความสำคัญ เพราะล้วนเป็นกฎหมายที่ออกตามรัฐธรรมนูญเพื่อรองรับและขยายความเนื้อหาบางประการในรัฐธรรมนูญ
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46794
Legal
บุคคลทั่วไปสามารถฟ้องร้องหน่วยงานรัฐต่อศาลปกครองได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 276 บัญญัติให้บุคคลมีสิทธิเสรีภาพในการฟ้องร้องคดีต่อศาล พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 72 กำหนดให้บุคคลทั่วไปสามารถฟ้องร้องหน่วยงานรัฐต่อศาลปกครองได้ กรณีที่: หน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ หน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเมิด คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลปกครอง คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ประมวลวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กำหนดวิธีการฟ้องร้องคดีต่อศาลปกครองไว้โดยละเอียด ตัวอย่าง นาย A ร้องเรียนต่อศาลปกครองว่า เทศบาลเมืองออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด นาง B ฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่า กระทรวงมหาดไทยเพิกเฉยต่อคำร้องขอทบทวนสิทธิ์ในที่ดิน นาย C ฟ้องร้องต่อศาลปกครองว่า กรมทางหลวงละเมิดโดยการก่อสร้างถนนโดยไม่ได้เวนคืนที่ดินของเขา อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องต่อศาลปกครองมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น คดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติ คดีที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คดีที่เกี่ยวกับราชประสงค์ ข้อจำกัด บุคคลทั่วไปต้องยื่นฟ้องร้องภายในอายุความที่กฎหมายกำหนด บุคคลทั่วไปอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในบางกรณี บุคคลทั่วไปอาจต้องจ้างทนายความเพื่อช่วยเหลือในการฟ้องร้อง สรุป บุคคลทั่วไปสามารถฟ้องร้องหน่วยงานรัฐต่อศาลปกครองได้ กรณีที่หน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ ละเมิด หรือกรณีอื่นๆ ที่กฎหมายกำหนด การฟ้องร้องต่อศาลปกครองเป็นวิธีการหนึ่งในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ และเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายรัฐธรรมนูญ,กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46804
Legal
ศาลมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนมีสัญชาติไทยหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. กฎหมาย: พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗ บัญญัติให้บุคคลซึ่งอ้างว่าตนเป็นคนมีสัญชาติไทยมีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้ตนเป็นคนมีสัญชาติไทย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙ บัญญัติให้ศาลมีอำนาจพิพากษาพิเคราะห์คดีความแพ่งและพาณิชย์ 2. หลักกฎหมาย: บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย บุคคลซึ่งอ้างว่าตนเป็นคนมีสัญชาติไทยมีสิทธิที่จะได้รับการพิสูจน์สัญชาติ ศาลมีหน้าที่พิพากษาพิเคราะห์คดีความและมีคำสั่งตามกฎหมาย 3. ฎีกา: ฎีกาที่ ๕๕๕๘/๒๕๒๗ ศาลฎีกาได้พิพากษาว่า บุคคลซึ่งอ้างว่าตนเป็นคนมีสัญชาติไทยมีสิทธิที่จะได้รับการพิสูจน์สัญชาติ ฎีกาที่ ๑๒๙๕/๒๕๕๙ ศาลฎีกาได้พิพากษาว่า ศาลมีอำนาจพิพากษาพิเคราะห์คดีพิสูจน์สัญชาติ 4. ข้อเท็จจริง: ผู้ร้องอ้างว่าตนเป็นคนมีสัญชาติไทยโดยการเกิด ผู้ร้องมีหลักฐานแสดงว่าตนเกิดในประเทศไทย ผู้ร้องมีหลักฐานแสดงว่ามารดาของผู้ร้องเป็นคนมีสัญชาติไทย ผู้ร้องไม่มีหลักฐานแสดงว่าตนได้แปลงสัญชาติหรือสละสัญชาติไทย 5. บทสรุป: จากกฎหมาย หลักกฎหมาย ฎีกา และข้อเท็จจริง ศาลมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนมีสัญชาติไทย 6. หมายเหตุ: ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทั้งหมดในคดีเพื่อตัดสินว่าบุคคลนั้นเป็นคนมีสัญชาติไทยหรือไม่ บุคคลซึ่งอ้างว่าตนเป็นคนมีสัญชาติไทยมีภาระพิสูจน์ว่าตนเป็นคนมีสัญชาติไทย
กฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญา,กฎหมายสิทธิมนุษยชน
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46807
Legal
ตัวอย่างคำเบิกความ ความผิดตามพรบ. เช็คเป็นอย่างไร
null
คดีดำที่ ......... /25 ......... ระหว่าง นาย/นาง/นางสาว ....................โจทก์ นาย/นาง/นางสาว ................................... จำเลย นัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ ........................เวลา .................................. น. พยานสาบานตนในศาล ถาม พยานเกี่ยวข้องคดีนี้อย่างไร ตอบ ข้าพเจ้าเป็นโจทก์ในคดีนี้ ถาม จำเลยเกี่ยวข้องอย่างไรกับโจทก์ ตอบ จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ เปิดร้านค้า ชื่อ “...................” ถาม เหตุคดีนี้เกิดขึ้น เมื่อไร และอย่างไร ตอบ คดีนี้เมื่อวันที่ ................................. จำเลยได้มาซื้อสินค้า เป็น........................จากโจทก์ คือข้าพเจ้า ที่ร้านข้าพเจ้า ในราคา ...................บาท และได้รับสินค้าไปเรียบร้อยแล้ว ตามใบส่งของ (ให้ดู,ส่งศาล) แล้วจำเลยได้ชำระค่าสินค้าอย่างไร ตอบ จำเลยได้ชำระค่าสินค้าโดย จำเลยได้ออกเช็ค ธนาคาร...........................จำกัด มหาชน สาขา .................. เลขที่เช็ค จำไม่ได้ ลงวันที่ ........................สั่งจ่ายเงิน ............................บาท ถาม ในเช็คมีผู้ใดลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงิน ตอบ มีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินตามเช็ค ต่อหน้าข้าพเจ้า (ตามเช็คที่ให้ดู, ใช่ , ส่งศาล ) ถาม เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระพยาน ได้ทำอย่างไร ตอบ ข้าพเจ้านำเช็คไปเรียกเก็บเงิน โดยเข้าบัญชีของข้าพเจ้าที่ธนาคาร................. จำกัด สาขา....................... เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค ถาม แล้วเป็นอย่างไร ตอบ ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อวันที่ ............................ เวลากลางวัน โดยให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” (ตามใบคืน เช็คที่ให้ดู , ใช่ , ส่งศาล ) ทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้รับเงินตามเช็ค ข้าพเจ้าได้รับความเสียหาย ถาม ได้ติดตามทวงถามอย่างไร ตอบ ได้ทวงถามจำเลยแล้ว แต่จำเลยขอผัดผ่อน และเมื่อวันที่ ....................... มีหนังสือทวงถาม จำเลยได้รับ แต่ก็ยังไม่ชำระให้ (ตามใบหนังสือบอกกล่าวและใบตอบรับที่ให้ดู , ใช่ , ส่งศาล) ถาม การกระทำของจำเลยมีเจตนาอย่างไร ตอบ เจตนาออกเช็คไม่ให้มีการใช่เงินตามเช็ค ถาม เหตุคดีนี้เกิดที่ไหน อย่างไร ตอบ ที่ธนาคาร......................... จำกัด มหาชน สาขา......................แขวง...................... เขต............................. กรุงเทพมหานคร
กฎหมายลักษณะพยาน,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายตั๋วเงิน-เช็ค
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46809
Legal
การกระทำตามข้อเท็จจริงในคำฟ้อง เป็นการโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: จำเลยมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ถอนเงินจำนวน ............................... บาท (.............................บาทถ้วน) ของ นาย/นาง/นางสาว .................................. ออกจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล........................................... จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้โอนเงินลงหุ้นของตนจำนวน ................................... บาท และ ...........................บาท ตามลำดับให้แก่ผู้มีชื่อ การกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก ................นาย/นาง/นางสาว ................................... . หุ้นส่วนผู้จัดการาของห้างหุ้นส่วนสามัยนิติบุคคล...................................... ได้ถึงแก่กรรม และโจทก์ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระเงินตามเช็คหลายครั้งแล้ว แต่จำเลยทั้งสามก็เพิกเฉยเรื่อยมา จำเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้วว่า..........................ที่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล...........................จดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์นั้นมีราคาน้อยกว่าหนี้ที่ค้างชำระมาก หากโจทก์บังคับจำนองก็จะได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วนตามจำนวนหนี้ที่ห้างฯ เป็นหนี้โจทก์ ซึ่ง นาย/นาง/นางสาว .................................. ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะหุ้นส่วนจะต้องรับผิดร่วมกับห้างฯ ในหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่ต่อโจทก์จนกว่าจะครบจำนวน พฤติการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาที่จะเอาทรัพย์สินของตนออกจากการเป็นเจ้าหนี้ของโจทก์ เพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมด จำเลยทั้งสามรู้ดีว่าโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องหนี้ จำเลยทั้งสามทราบดีว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล...................................... จำเลยทั้งสามทราบดีว่า..........................ที่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล...........................จดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์ จำเลยทั้งสามทราบดีว่าโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับจำนองทรัพย์สินที่จำนองไว้ จำเลยทั้งสามทราบดีว่าโจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องคดีเพื่อเรียกร้องหนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการผิดกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 บัญญัติว่า "ผู้ใดจำหน่าย จ่าย โอน หรือจำนำทรัพย์สินของตนโดยทุจริต เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท" สรุป: จากเหตุผลข้างต้น การกระทำของจำเลยทั้งสามเข้าองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หมายเหตุ: คำตอบและเหตุผลข้างต้นเป็นการวิเคราะห์ตามข้อเท็จจริงในคำฟ้องเท่านั้น คดีนี้ยังอยู่ในชั้นตอนของการพิจารณาของศาล ศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดหรือไม่ คำแนะนำ: ควรศึกษาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เพิ่มเติม ควรปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำทางกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา,ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46815
Legal
โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คหรือไม่?
null
ใช่ 1. โจทก์มีสถานะเป็นผู้ทรงเช็ค จากข้อ ๑ ของฟ้อง โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคาร .................. สาขา.................. เช็คเลขที่.................. ลงวันที่ .................. จำนวนเงิน .................. บาท 2. จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค จากข้อ ๑ ของฟ้อง เช็คดังกล่าวมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย 3. เช็คถูกนำไปขึ้นเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จากข้อ ๒ ของฟ้อง โจทก์ได้นำเช็คไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคาร.................. สาขา.................. เพื่อให้ธนาคารเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร แต่ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อวันที่ .................. โดยให้เหตุผลว่า “บัญชีปิดแล้ว” 4. โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แต่จำเลยเพิกเฉย จากข้อ ๓ ของฟ้อง โจทก์ได้ติดต่อทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คหลายครั้งหลายหน แต่จำเลยก็เพิกเฉยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ 5. เช็คเป็นหลักฐานแสดงหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๔ บัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินเป็นหลักฐานแสดงหนี้ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในตั๋ว” 6. โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็ค จากข้อเท็จจริงข้างต้น โจทก์มีสถานะเป็นผู้ทรงเช็ค เช็คดังกล่าวมีจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย โจทก์ได้นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แต่จำเลยเพิกเฉย ดังนั้น โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็ค อย่างไรก็ตาม จำเลยอาจมีข้อต่อสู้คดีได้ จำเลยอาจต่อสู้ว่าไม่มีหนี้ หรือหนี้ได้ระงับไปแล้ว จำเลยอาจต่อสู้ว่าโจทก์ได้ละเลยการนำเช็คไปขึ้นเงิน จำเลยอาจต่อสู้ว่าเช็คเป็นโมฆะ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทั้งหมด และตัดสินคดีตามพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายตั๋วเงิน-เช็ค
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46816
Legal
ตัวอย่าง คำฟ้องคดีลิขสิทธิ์
null
ข้อ๑. จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นกรรมการ ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ โจทก์เป็นผู้ริเริ่มคิดค้นสร้างสรรค์และออกแบบตัวอักษรไทยเพื่อให้ใช้ได้กับเครื่องเรียงพิมพ์ด้วยแสง ซึ่งควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์เป็นคนแรกของประเทศไทยรวมจำนวน ๑๒ แบบตัว (๑ แบบตัวหมายถึงตัวพยัญชนะ สระ สรรณยุกต์ ตัวเลข และ เครื่องหมายต่างๆทั้งหมด ที่ใช้ในภาษาไทย จำนวน ๑ ชุด) ซึ่งงานที่โจทก์ได้สร้างสรรค์ขึ้นดังกล่าวเป็นศิลปกรรมประเภทงานจิตรกรรม งานภาพพิมพ์ และงานศิลปประยุกต์และโดยที่โจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทย ทั้งได้มีการโฆษณางานที่โจทก์ได้สร้างสรรค์ขึ้นดังกล่าวต่อสาธารณชนครั้งแรกในพระราชอาณาจักรแล้ว โจทก์จึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าวและได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ข้อ ๒. เมื่อระหว่างวันที่...................................... จนถึงวันฟ้องนี้จำเลยทั้ง ๖ ได้สมคบร่วมกันกระทำการอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ดังกล่าวในข้อ ๑. ดังต่อไปนี้ ๒.๑ จำเลยทั้ง ๖ ได้ร่วมกันนำเอาแบบตัวอักษรไทย ซึ่งโจทก์เป็นผู้สร้างสรรค์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ดังกล่าวไปทำซ้ำและดัดแปลงโดยการนำไปใช้ประกอบในอุปกรณ์อันใช้เป็นข้อมูลสำหรับป้อนให้แก่เครื่องเรียงพิมพ์ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า เดสค์ทอปพับลิชิ่งซิสเท็ม(DESKTOP PUBLISHING SYSTEM) ยี่ห้อ แอปเปิ้ล (APPLE)แบบรุ่น แมคอินทอช (MC INTOSH) ซึ่งจำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้ง ๖ ได้ร่วมกันกระทำการดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในทางการค้า โดยทุจริตและโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้ง ๖ จึงเป็นการสมคบร่วมกันละเมิดสิทธิของโจทก์อันทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ๒.๒ จำเลยทั้ง ๖ โดยรู้อยู่แล้วว่า อุปกรณ์อันใช้เป็นข้อมูลสำหรับป้อนให้แก่เครื่องเรียงพิมพ์แม็คอินทอช ดังกล่าวเป็นงานอันได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ได้สมคบร่วมกันขาย ให้เช่าซื้อ เสนอขาย เสนอให้เช่าซื้อ นำออกโฆษณา และแจกจ่ายในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวทั้งนี้โดยทุจริต เพื่อประโยชน์ในทางการค้าและโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้ง ๖ ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์อันทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเช่นกัน ข้อ ๓. โดยที่โจทก์ได้สร้างสรรค์งานอันเป็นลิขสิทธิ์ดังกล่าวขึ้น โดยต้องใช้ความคิดริเริ่ม ความรู้ความสามารถและความอุตสาหะวิริยะอย่างสูง ต้องใช้เวลานานหลายปี ต้องตรากตรำทำงานดังกล่าวจนสุขภาพเสื่อมโทรมจนถึงกับต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลหลายครั้ง และผลงานที่โจทก์ได้สร้างสรรค์ขึ้นดังกล่าวก็ได้รับการยอมรับนับถือในวงการเทคโนโลยีการพิมพ์ของประเทศไทยว่า เป็นผลงานดีเด่นและเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ดังจะเห็นได้จากการที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี...................................... ได้มอบประกาศนียบัตรเป็นการประกาศเกียรติคุณให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ ...................................... ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายใบประกาศนียบัตรเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ นอกจากนี้โจทก์ยังมีตำแหน่งหน้าที่อันถือได้ว่าเป็นการเสียสละและบำเพ็ญตนเพื่อสาธารณประโยชน์อื่นอีกมาก เช่นเป็นอาจารย์ผู้บรรยายพิเศษในมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นประธานกรรมการ ประธานอนุกรรมการและเป็นกรรมการในสถาบันต่างๆ อันได้จัดตั้งขึ้นเพื่อสาธารณประโยชน์ หลายสถาบัน ปรากฏตามประวัติผลงานและตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ เอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข ๔ การกระทำของจำเลยทั้ง ๖ ดังกล่าวในข้อ ๒. ทำให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหายดังต่อไปนี้ คือ ๓.๑ ความเสียหายจากการขาดรายได้อันโจทก์พึงได้รับเป็นค่าตอบแทนจากการโอนขายลิขสิทธิ์ดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น กล่าวคือ เมื่อจำเลยทั้ง ๖ ได้ฉวยโอกาสร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าวในข้อ ๒. ย่อมทำให้งานอันเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ต้องด้อยคุณค่าไม่สามารถจะโอนขายให้แก่บุคคลอื่นได้ ๓.๒ ความเสียหายจากการขาดรายได้อันโจทก์พึงได้รับเป็นค่าตอบแทนจากการอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้งานอันเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทั้งนี้โดยเหตุผลนัยเดียวกันกับที่ได้ระบุไว้ในข้อ ๓.๑ ซึ่งการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยการฉวยโอกาสนำเอาผลงานที่โจทก์สร้างสรรค์ขึ้นและเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ไปหาประโยชน์ในทางการค้าดังกล่าแล้วนั้นทำให้จำเลยได้รับผลประโยชน์คิดเป็นเงินจำนวนไม่ต่ำกว่า ......... บาท และในขณะเดียวกันก็ทำให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหายอย่างยิ่ง โจทก์จึงขอคิดค่าเสียหาย จากจำเลยทั้ง ๖ ตามข้อ ๓.๑ และ ๓.๒ เป็นจำนวนเงินเพียง ....บาท(........... บาทถ้วน) และนอกจากนี้โจทก์ขอคิดค่าเสียหาย ในอนาคตในอัตราเดือนละ .................. บาท นับแต่วันฟ้องคดีนี้เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะยุติการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อลิขสิทธิ์ของโจทก์ ข้อ ๔. ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มอบให้ทนายโจทก์มีหนังสือบอกกล่าว ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ พร้อมทั้งบอกกล่าวของทนายโจทก์แล้ว ปรากฏตามใบตอบรับของกรมไปรษณีย์โทรเลขเอกสารท้ายฟ้งหมายเลข ๖ แต่จำเลยก็เพิกเฉยเสียจนบัดนี้ โจทก์ไม่มีทางตกลงกับจำเลยด้วยดีได้ จึงจำต้องนำคดีมาฟ้องเพื่อขอบารมีศาลบังคับจำเลยต่อไป แต่เนื่องจากจำเลยได้นำเงินตามฟ้องมาชำระให้แก่โจทก์โดยครบถ้วนแล้วโจทก์จึงไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีนี้กับจำเลยต่อไป จึงขอถอนฟ้องคดีนี้ ขอศาลได้โปรดอนุญาต
กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า),ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46817
Legal
การกระทำของจำเลย ในข้อ ๑.๑ เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: องค์ประกอบของความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ๑. เป็นเจ้าพนักงาน จากข้อเท็จจริง จำเลยที่ ๑ ถึง ๗ รับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง................................................. สังกัดกรมตำรวจกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย จับกุม ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย ๒. มีหน้าที่ตามกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ตามกฎหมายหลายประการ เช่น รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม จับกุมผู้กระทำผิด สอบสวนคดีอาญา ช่วยเหลือประชาชน ๓. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จากข้อ ๑.๑ ของฟ้อง จำเลยที่ ๑ ถึง ๗ ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังนี้ ละเว้นการจับกุมหญิงคนขับรถที่ขับรถผิดกฏจราจรย้อนศรสวนทางเดินรถ ละเว้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่าโจทก์มีอาวุธปืน ละเว้นการคุ้มครองโจทก์จากการถูกทำร้ายร่างกาย ๔. รู้อยู่หรือควรจะรู้ว่า การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น เป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่ จำเลยที่ ๑ ถึง ๗ รู้อยู่หรือควรจะรู้ว่า การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ ๕. ผลของการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ถึง ๗ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ โจทก์ถูกควบคุมตัวโดยมิชอบ โจทก์ถูกทำร้ายร่างกาย โจทก์ถูกคุมขังโดยมิชอบ ๖. ผู้กระทำต้องมีเจตนา จากข้อเท็จจริง จำเลยที่ ๑ ถึง ๗ มีเจตนาที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ สรุป การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึง ๗ ในข้อ ๑.๑ เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับการปกครอง(ความผิดต่อเจ้าพนักงาน-ตำแหน่งราชการ)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46818
Legal
การกระทำนี้เป็นการออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: องค์ประกอบของความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ๑. เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค จากข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันออกเช็คธนาคาร................................................ สาขา............................ เช็คเลขที่ ......................ลงวันที่ .............................. โดยมีจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ลงชื่อสั่งจ่ายเงินจำนวน .............................. บาท (................................................) ประทับตราสำคัญจำเลยที่ ๑ จ่ายชำระหนี้ค่าสินค้าให้โจทก์ ๒. เช็คนั้นไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่าย จากข้อเท็จจริง ธนาคาร................................................ สาขา.............................. ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเลขที่ ...................... โดยให้เหตุผลว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย) ๓. มีเจตนา จากข้อเท็จจริง โจทก์ได้พยายามติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระเงินตามเช็คดังกล่าวหลายครั้งหลายหน แต่จำเลยทั้งสามทราบแล้วผัดผ่อนมาตลอดแล้วก็เพิกเฉยเสีย แสดงว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาที่จะไม่ชำระเงินตามเช็ค สรุป การกระทำของจำเลยทั้งสาม เป็นการออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำนวนตัวอักษร: 1613 เพิ่มเติม: ประเด็นที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม 1. จำเลยสามารถยกเหตุผลเพื่อต่อสู้คดีได้หรือไม่ เช่น จำเลยไม่มีเจตนาที่จะฉ้อโกง จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้จริง แต่ต่อมาไม่มีเงินในบัญชี 2. จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าว่า ไม่มีเงินในบัญชี 3. โจทก์มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยหรือไม่ บทลงโทษ ผู้ใดออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่าย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หมายเหตุ คำตอบข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลที่มี จำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดของคดีก่อนจึงจะสรุปได้ว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายตั๋วเงิน-เช็ค
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46820
Legal
ศาลปกครองมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง คืออะไร
null
- เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครอง - คู่กรณีอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ (หน่วยงานของรัฐ, เจ้าหน้าที่รัฐ) - ระบบการพิจารณาพิพากษาคดี ต้องต่างจากกรณีปกติ เพราะรัฐได้เปรียบเก็บพยานหลักฐานทุกอย่างไว้ - การพิจารณาคดีเป็นระบบไต่สวน - การยื่นฟ้องไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยาน - การสืบพยานต้องทำเป็นหนังสือ จะเอาพยานบุคคลมาเบิกความขัดแย้งกับเอกสารของทางราชการไม่ได้ - คู่กรณี เรียกว่า ผู้ฟ้องคดี กับ ผู้ถูกฟ้องคดี - หากข้อเท็จจริงเพียงพอ ศาลจะแจ้งไปยังคู่กรณีว่า จะกำหนด “วันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง” โดยมีขึ้นเพื่อคานอำนาจระหว่างตุลาการเจ้าของ สำนวน กับตุลาการนอกคดี / ตุลาการหัวหน้าคณะ - ให้ยื่นฟ้องคดีทางไปรษณีย์ตอบรับได้ ต้องแนบหลักฐาน + หนังสือมอบอำนาจ + บัตรประชาชน โดยอายุความจะสะดุดหยุดลงในวันที่ยื่นฟ้องทางไปรษณีย์ - ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไม่ได้ - ระยะเวลาการฟ้องคดี 90 วัน /1 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี - บางคดี ศาลไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องได้ ให้ดำเนินคดีต่อไป เพราะบางกรณีเป็นประโยชน์ สาธารณะ ถ้าเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตน ถอนได้ - การนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ศาลอาจให้ทำคำแถลงเป็นหนังสือ โดยยื่นก่อนวันนัด (ต้องทำคำแถลงเป็นหนังสือ จึงจะแถลงด้วยวาจาได้ซึ่งต้อง ภายในขอบเขตของคำแถลงเป็นหนังสือเท่านั้น) - การอุทธรณ์ ให้อุทธรณ์ ไปยังศาลปกครองสูงสุด ภายใน 30 วัน ศาลขยายให้ไม่ได้ - การบังคับคดี เมื่อศาลตัดสินไปแล้ว ต้องให้คำพิพากษาถึงที่สุด โดยไม่ต้องออกคำบังคับ/หมายบังคับคดี - การจ่ายเงินเป็นไปตามมติครม. จะทำการยึดทรัพย์ของหน่วยงานไม่ได้ แต่หากเป็นหนี้กระทำการ / งดเว้นกระทำการ หน่วยงานของรัฐทำได้แม้ไม่มีมติ ครม. - ฟ้องซ้ำ ฟ้องซ้อนไม่ได้ - กรณีเป็นผู้เยาว์ อายุ 15 ปีขึ้นไป ฟ้องคดีด้วยตนเองได้ - ค่าธรรมเนียมศาล ไม่เกิน 2.5% แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ในกรณีขอให้ใช้เงิน/ ส่งมอบทรัพย์สิน - ถ้ายากจน/ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาได้ - การขอคุ้มครองชั่วคราวขอได้ ออกคำสั่งให้ปฏิบัติ มีผลทันที แต่หากจะขอทุเลาการบังคับคดีต้องดูว่า คำสั่งทางปกครองนั้น กระทบถึง การบริหารราชการแผ่นดิน + การบริหารสาธารณะ หรือไม่ การเตรียมและการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลปกครอง - ในคดีปกครอง เรียกว่า คู่กรณี = ผู้ฟ้องคดี + ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ได้รับค.เดือดร้อน) , ระยะเวลาการฟ้องคดี (อายุความ) ,ตุลาการศาลปกครอง (ผู้พิพากษา) - หน่วยงานทางปกครองได้แก่ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ ตามพรบ.,พรฎ. องค์การมหาชน เอกชนที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครอง เช่น สภาทนายความ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ปปช. คตง. - การยื่นฟ้อง ภูมิลำเนาของผู้ฟ้องคดี / สถานที่เกิดเหตุ - องค์คณะ 3 คน จ่ายตามความเชี่ยวชาญ และแต่งตั้งตุลาการผู้แถลงคดี คนใดคนหนึ่งเป็นตุลาการเจ้าของสำนวน ทำการตรวจสำนวน และคำชี้แจง จึงมีคำสั่งรับฟ้อง - ส่งหมาย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีทำคำให้การ ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับสำเนาคำฟ้อง - ส่งสำเนาคำให้การ ให้ผู้ฟ้องคดีทำคำคัดค้านคำให้การ ถ้าไม่ประสงค์คัดค้าน ให้แถลงต่อศาลภายในกำหนด มิฉะนั้น ศาลจะสั่งจำหน่ายคดี
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46865
Legal
ผู้คัดค้านในคดีนี้มีสิทธิคัดค้านคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้องหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ผู้คัดค้านมีฐานะเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย ผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของผู้ตาย บุตรโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ผู้คัดค้านจึงมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะรับมรดก การคัดค้านของผู้คัดค้านมีเหตุผลสมควร ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องไม่ได้เป็นทายาทโดยธรรม หรือผู้รับพินัยกรรม ผู้คัดค้านมีหลักฐานสนับสนุนคำอ้าง ผู้คัดค้านมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาล ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 อนุญาตให้ทายาท ผู้รับพินัยกรรม หรือผู้มีส่วนได้เสีย ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอตั้งผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านมีสถานะเป็นทายาทโดยธรรม การยื่นคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้าน จึงอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ผู้คัดค้านมีเหตุผลจำเป็นต้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านอ้างว่าต้องการดำเนินการติดต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการดังกล่าว จำเป็นต้องมีผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านจึงมีเหตุผลจำเป็นต้องเป็นผู้จัดการมรดก สรุป: ผู้คัดค้านมีสิทธิคัดค้านคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้อง หมายเหตุ: คำตอบและเหตุผลข้างต้น เป็นการวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลที่มี ศาลจะพิจารณาคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้าน และคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้อง ศาลจะพิจารณาจากหลักฐาน เอกสาร และข้อเท็จจริงทั้งหมด ศาลมีคำสั่งอย่างไร เป็นที่สุด
กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46866
Legal
ตัวอย่าง คำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก (กรณีผู้ร้องเป็นบุตรเจ้ามรดก) เป็นรูปแบบใด
null
……………………………………………. โจทก์ ……………………………………………. จำเลย ข้อ ๑. ผู้ร้องเป็นบุตรของนายซี กับนางบี บิดามารดาของผู้ร้องแต่งงานกันโดยอยู่กินกันฉันสามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกันรวม 6 คน ปัจจุบันนายดำ กับ นางแดง บิดามารดาของนางบี เจ้ามรดกได้ถึงแก่กรรมแล้ว รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาทะเบียนบ้านและบัญชีเครือญาติ เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๑ , ๒ ตามลำดับ ข้อ ๒. เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๗ นางบี เจ้ามรดกได้ถึงแก่กรรมด้วยสาเหตุเป็นโรคตับ ที่บ้านเลขที่ ๒๔ หมู่ ๗ ตำบล ดูกอึ่ง อำเภอ หนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด และขณะถึงแก่กรรม นางบี เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ ๒๔ หมู่ ๗ ตำบล ดูกอึ่ง อำเภอ หนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด รายละเอียดปรากฏตามใบมรณะบัตร เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๓ ข้อ ๓. ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรมมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ใด และมิได้ตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก ขณะเจ้ามรดกถึงแก่กรรมมีทรัพย์มรดก ดังนี้ ๓.๑. ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๓๗ ตำบลดูกอึ่ง กิ่งอำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด ๓.๒.ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๗๓๘ ตำบลดูกอึ่ง กิ่งอำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด รายละเอียดปรากฏตามโฉนดที่ดิน เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๔ และ ๕ ตามลำดับ ข้อ ๔. หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมแล้ว ผู้ร้องในฐานะทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกได้ไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ดสาขาพนมไพร เพื่อขอรับโอนมรดก แต่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่าไม่สามารถทำให้ได้ ต้องให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเสียก่อน ( วรรคต่อมา ) ผู้ร้องได้รับความยินยอมจากทายาทอื่นให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ปรากฎตามหนังสือให้ความยินยอมเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข..................... ข้อ ๕. ผู้ร้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต ไม่เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถและไม่เป็นบุคคลซึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย ด้วยเหตุดังที่ได้ประทานกราบเรียนต่อศาลที่เคารพ ขอศาลได้โปรดทำการไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ นาง บี ด้วย เพื่อผู้ร้องจะได้นำทรัพย์มรดกไปแบ่งปันให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิต่อไป ขอศาลได้โปรดอนุญาต ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ลงชื่อ........................................................... ผู้ร้อง คำร้องฉบับนี้ข้าพเจ้านายนางสาว....................................ทนายความผู้ร้องเป็นผู้เรียง/เขียน ลงชื่อ...........................................................ผู้เรียง /เขียน
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46873
Legal
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจอะไรบ้าง
null
มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบหรือขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ (๒) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร (๔) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (๕) คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลกระทำการหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด (๖) คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง เมื่อศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว คำพิพากษาศาลปกครองจะผูกพันคู่กรณีที่จะต้องปฏิบัติตามคำบังคับนับแต่วันที่กำหนดในคำพิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษานั้นถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ในกรณีที่เป็นคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้รอการปฏิบัติตามคำบังคับไว้จนกว่าจะพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์หรือในกรณีที่มีการอุทธรณ์ ให้รอการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับอย่างหนึ่งอย่างใดในการในพิพากษาคดี
กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46875
Legal
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ประเภทคดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา ๗ (๕) บัญญัติว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้า หรือตราสารการเงินระหว่างประเทศ หรือการให้บริการระหว่างประเทศ การขนส่งระหว่างประเทศ การประกันภัย และนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง องค์ประกอบของคดีซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ - คดีซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ หมายถึง คดีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าระหว่างบุคคลที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่มีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศ องค์ประกอบสำคัญของคดีซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ได้แก่ - มีการซื้อขายสินค้า - มีการตกลงกันระหว่างคู่สัญญา - สินค้ามีการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน - มีการชำระค่าสินค้า การวิเคราะห์คดี จากข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องร้อง จำเลย เป็นการฟ้องร้องเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย กับจำเลยซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศ สินค้าที่ซื้อขายมีการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน มีการตกลงกันระหว่างคู่สัญญา มีการชำระค่าสินค้า สรุป คดีนี้เข้าองค์ประกอบของคดีซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ หมายเหตุ: - คำตอบและเหตุผลข้างต้น เป็นการวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลที่มี - ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดของคดี - ศาลมีคำสั่งอย่างไร เป็นที่สุด
กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46881
Legal
คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง มี ๓ ประเภท ใช่หรือไม่
null
ใช่ การพิจารณาคดีปกครอง ใช้ระบบไต่สวน โดยศาลปกครองมีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดี รวม ๖ ประเภท ประเภทที่ ๑ คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่ หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นด้วยการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอน โดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดแก่ประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ประเภทที่ ๒ คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ประเภทที่ ๓ คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตาม กฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ป ระเภทที่ ๔ คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ประเภทที่ ๕ คดีที่กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำ หรือละเว้นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ประเภทที่ ๖ คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง ส่วนคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง มี ๓ ประเภท คือ ๑. การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร ๒. การดำเนินการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ ๓. คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลพิเศษ เช่น ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46884
Legal
บุคคล A ชักปืนยิง B ที่บริเวณหน้าอก 1 นัด กระสุนทะลุเข้าไปในช่องอกของ B ทำให้ B เสียชีวิตในเวลาต่อมา A ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา A จะมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่?
null
ไม่ A จะไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา จากข้อเท็จจริงที่โจทย์นำเสนอ A ยิง B ที่บริเวณหน้าอก 1 นัด กระสุนทะลุเข้าไปในช่องอกของ B ทำให้ B เสียชีวิตในเวลาต่อมา พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่า A มีเจตนาที่จะประทุษร้ายต่อร่างกายของ B แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ B เสียชีวิต ซึ่งเป็นผลเกินกว่าที่ A เจตนาไว้ ดังนั้น A จึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ A จะมีความผิดฐาน “ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี วิเคราะห์เพิ่มเติม: - เจตนาเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา หมายถึง ผู้กระทำมีความมุ่งหมายหรือรู้ผลว่าการกระทำของตนจะทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย - ผล หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้กระทำ ในกรณีนี้ ผลที่เกิดขึ้นคือ B เสียชีวิต - ผลเกินกว่าเจตนา หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นนั้น เกินกว่าที่ผู้กระทำมุ่งหมายหรือรู้ไว้ ในกรณีนี้ A เจตนาที่จะประทุษร้ายต่อร่างกายของ B แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ B เสียชีวิต ซึ่งเป็นผลเกินกว่าที่ A เจตนาไว้ ข้อสังเกต: - กรณีที่ผู้กระทำกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ และผลที่เกิดขึ้นนั้น เกินกว่าที่ผู้กระทำคาดการณ์ไว้ ผู้กระทำจะไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่จะมีความผิดฐาน “ฆ่าคนตายโดยประมาท” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 - กรณีที่ผู้กระทำกระทำการโดยไม่เจตนา แต่ผลที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของผู้กระทำ ผู้กระทำจะไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่จะมีความผิดฐาน “ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย,กฎหมายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46920
Legal
เอกสารที่ต้องยื่นไปพร้อมคำขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงบ้าน มีอะไรบ้าง
null
เอกสารที่ต้องยื่นไปพร้อมคำขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงบ้าน ได้แก่ 1) เอกสารของเจ้าของที่ดิน ผู้ยื่นขออนุญาต ผู้ออกแบบ (สถาปนิกวิศวกร) รวมถึงเอกสารมอบอำนาจต่างๆ 2) เอกสารสำคัญที่จะต้องมีแนบไปด้วยก็คือ เอกสารที่เรียกกันทั่วไปว่า “แบบขออนุญาต” คือแบบที่ผู้ออกแบบจัดทำขึ้นและแสดงรายละเอียดที่กฎหมายควบคุมอาคารกำหนดไว้ เช่น - ผังบริเวณ (ผังแสดงตำแหน่งบ้านในที่ดิน ระยะห่างของบ้านถึงแนวเขตที่ดิน แสดงทางระบายน้ำทิศทางการไหลของน้ำ แสดงระดับ) - แบบแปลนบ้าน รูปด้านรูปตัด รายการวัสดุที่ใช้ หรือ รายการคำนวณโครงสร้าง (บ้านทั่วไปที่สร้างด้วยวัสดุทนไฟ วัสดุถาวร ต้องมีรายการคำนวณโครงสร้าง) 3) แบบที่สำคัญที่ต้องแสดงอีก คือ ต้องมีแบบและวิธีการเกี่ยวกับการติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัย แบบและจำนวนห้องน้ำห้องส้วม การจัดแสงสว่างและการระบายอากาศ แบบและรายการคำนวณระบบบำบัดน้ำเสียของบ้านที่ต้องได้มาตรฐาน ฯลฯ เจ้าของบ้านอาจคิดว่ามีอะไรเยอะแยะไปหมด แต่รายละเอียดส่วนใหญ่นั้นจะถูกจัดทำโดยผู้ออกแบบ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมายหากมีปัญหา เจ้าของบ้านพึงระลึกไว้ว่ารายละเอียดเหล่านี้จะเป็นตัวยืนยันให้เห็นว่าบ้าน มีการก่อสร้างหรือดัดแปลงอย่างมั่นคงแข็งแรง ถูกสุขอนามัย สามารถจะอยู่ได้อย่างปลอดภัยและไม่สร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าการดำเนินการเกี่ยวกับบ้านทุกเรื่องจะต้องยื่นขออนุญาต เพราะกฎหมายควบคุมอาคาร ได้มีการยกเว้นผ่อนผันไว้ว่าบางเรื่องสามารถลงมือทำได้ทันที ไม่จำเป็นต้องมีการยื่นขออนุญาตแต่อย่างใด
กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร อาคารชุด-จัดสรรที่ดินและถมดิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46938
Legal
ข้อใดเป็นข้อดีของการตอบข้อสอบโดยวางหลักกฎหมาย ระหว่าง นักศึกษาได้คะแนนจากหลักกฎหมายแม้ตอบผิดธง หรือ เสียเวลาในการเขียนตอบข้อสอบ
null
นักศึกษาได้คะแนนจากหลักกฎหมายแม้ตอบผิดธง เพราะการตอบข้อสอบโดยวางหลักกฎหมายมีข้อดี คือ หากตอบผิดธง นักศึกษา ยังอาจจะได้คะแนนจากหลักกฎหมายบ้าง คะแนนส่วนนี้อาจจะช่วยให้นักศึกษา สอบผ่านก็ได้ ส่วนข้อเสียของการตอบข้อสอบโดยวางหลักกฎหมายคือ ต้องเสียเวลาในการเขียนตอบข้อสอบมาก ถ้าข้อสอบมีหลายประเด็น หากตอบ ข้อสอบวิธีนี้นักศึกษาอาจจะทำข้อสอบไม่ทันจึงขอให้นักศึกษาพิจารณาข้อดีของการตอบข้อสอบโดยฟันธงประกอบด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่ข้อสอบ มีหลายประเด็น ต้องพิจารณาว่าการตอบข้อสอบวิธีใดจะเหมาะสมกว่า การตอบข้อสอบโดยวางหลักกฎหมาย มีวิธีการตอบ คือ 1. วางหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคำตอบ 2. นำข้อเท็จจริงในคำถามมาปรับเข้ากับข้อกฎหมาย 3. ให้เหตุผลประกอบ เหตุผลในการตอบอาจจะมาจากทฤษฎีต่างๆ ที่อธิบายไว้ในตำรา คำพิพากษาฎีกา หรือจากหลักกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ได้ 4. สรุปผลทางกฎหมาย การตอบข้อสอบโดยฟันธง จะคล้ายกับการตอบข้อสอบโดยวางหลักกฎหมาย แต่จะตัดข้อ 1. ออก ก็คือ จะนำข้อเท็จจริงในคำถามมาปรับเข้ากับข้อกฎหมาย พร้อมกับให้เหตุผลประกอบ แล้วจึงสรุปผลทางกฎหมาย การตอบข้อสอบวิธีนี้มีข้อดี คือ ไม่ต้องเสียเวลามากในการตอบข้อสอบ โดยเฉพาะในกรณีที่ข้อสอบมีหลายประเด็น หากตอบฟันธงนักศึกษาจะทำข้อสอบได้ทันเวลา อย่างไรก็ตาม การตอบข้อสอบวิธีนี้มีข้อเสีย คือ หากนักศึกษา ตอบผิดธง ก็จะไม่ได้คะแนนจากหลักกฎหมายเลย
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46946
Legal
จำเลยมีสิทธิ์กล่าวถ้อยคำว่า "ตำรวจไม่รับแจ้งความ" "ตำรวจไม่รับแจ้งความเหตุปล้นทรัพย์" "ผู้กำกับเหลี่ยมใส่เราแล้ว" ต่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน: ถ้อยคำ "ตำรวจไม่รับแจ้งความ" "ตำรวจไม่รับแจ้งความเหตุปล้นทรัพย์" "ผู้กำกับเหลี่ยมใส่เราแล้ว" เป็นการกล่าวหาว่าโจทก์ร่วมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท และทำให้โจทก์ร่วมอับอาย ถ้อยคำเหล่านี้จึงเข้าข่ายความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 จำเลยไม่มีสิทธิ์กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นเจ้าพนักงาน: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" กรณีนี้ โจทก์ร่วมเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่สอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จำเลยแจ้งความ จำเลยจึงไม่มีสิทธิ์กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นโจทก์ร่วม การกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นเจ้าพนักงานเป็นการกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร: การที่เจ้าพนักงานถูกดูหมิ่น จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร และอาจทำให้ประชาชนสูญเสียความศรัทธาในระบบยุติธรรม ข้อโต้แย้ง: จำเลยอาจอ้างว่าตนเพียงแค่แสดงความคิดเห็นและไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่นโจทก์ร่วม จำเลยอาจอ้างว่าตนรู้สึกโกรธและโมโห จึงเผลอพูดจาไม่คิด การตอบโต้ข้อโต้แย้ง: ถึงแม้ว่าจำเลยจะไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่น แต่ถ้อยคำที่ใช้ก็เป็นการดูหมิ่นโจทก์ร่วมโดยชัดแจ้ง การโกรธหรือโมโหไม่ใช่เหตุผลสมเหตุสมผล ที่จะกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นผู้อื่น บทสรุป: จำเลยไม่มีสิทธิ์กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำปรึกษาทางกฎหมายจากทนายความได้ ในการพิจารณาคดี จำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างละเอียด
ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46947
Legal
โจทก์มีสิทธิ์ฟ้องร้องเพื่อขอคืนเงินมัดจำและเงินประกันจากจำเลยหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงทองคำแท่งที่โจทก์ฝากไว้ ศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีก่อนว่า โจทก์มีหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระต่อจำเลย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 774 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีหนี้สินตกเป็นภาระจำนองย่อมมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้เพื่อทดแทนหนี้สินนั้น" ทองคำแท่งที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลย ถือเป็น "ทรัพย์สินของลูกหนี้" ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงทองคำแท่งไว้เพื่อทดแทนหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระ โจทก์ยังมีหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระต่อจำเลย จากคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน โจทก์ยังมีหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระต่อจำเลยอยู่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเงินมัดจำและเงินประกันคืนจากจำเลย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 750 บัญญัติว่า "เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามสัญญา ผู้รับจำนองมีสิทธิที่จะเอาทรัพย์สินที่จำนองไว้ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้" จำเลยมีสิทธิที่จะขายทอดตลาดทองคำแท่งที่ยึดหน่วงไว้เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระ โจทก์ยังไม่สามารถชำระหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระต่อจำเลยได้: จากข้อเท็จจริงในคดี โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระต่อจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเงินมัดจำและเงินประกันคืนจากจำเลย โจทก์จะต้องชำระหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระต่อจำเลยให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงจะมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเงินมัดจำและเงินประกันคืน สรุป -โจทก์ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องเพื่อขอคืนเงินมัดจำและเงินประกันจากจำเลย -จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงทองคำแท่งที่โจทก์ฝากไว้เพื่อทดแทนหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระ -โจทก์จะต้องชำระหนี้ค่าซื้อขายทองคำแท่งที่ค้างชำระต่อจำเลยให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงจะมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเงินมัดจำและเงินประกันคืน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46950
Legal
บุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว สามารถทำนิติกรรมใดๆ ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลอื่น?
null
ใช่ เหตุผล: บุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว หมายถึง บุคคลที่มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ย่อมมีสติสัมปชัญญะ รู้ผิดชอบชั่วดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 153 บัญญัติว่า บุคคลผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว ย่อมมีสิทธิทำนิติกรรม นิติกรรม หมายความว่า การแสดงเจตนาโดยชอบด้วยกฎหมาย มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ บุคคลผู้บรรลุนิติภาวะ ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย สามารถทำสัญญา ซื้อขาย ทำงาน แต่งงาน เป็นต้น โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลอื่น ยกเว้นกรณีบุคคลนั้นถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ ตัวอย่าง: 1. นาย ก. อายุ 25 ปี ซื้อรถยนต์โดยไม่ต้องขออนุญาตจากบุคคลอื่น 2. นางสาว ข. อายุ 22 ปี สมัครงานโดยไม่ต้องขออนุญาตจากบุคคลอื่น 3. นาย ค. อายุ 20 ปี แต่งงานโดยไม่ต้องขออนุญาตจากบุคคลอื่น ข้อจำกัด: • บุคคลผู้บรรลุนิติภาวะ แม้จะสามารถทำนิติกรรมได้ แต่ก็ต้องไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี • นิติกรรมที่บุคคลผู้บรรลุนิติภาวะทำนั้น ย่อมมีผลผูกพันตามกฎหมาย • บุคคลผู้บรรลุนิติภาวะต้องรับผิดชอบต่อผลของนิติกรรมที่ตนทำ สรุป: • บุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว สามารถทำนิติกรรมใดๆ ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลอื่น ยกเว้นกรณีบุคคลนั้นถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ • บุคคลผู้บรรลุนิติภาวะต้องรับผิดชอบต่อผลของนิติกรรมที่ตนทำ หมายเหตุ: • คำตอบข้างต้นเป็นเพียงหลักทั่วไป อาจมีข้อยกเว้นอื่นๆ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละกรณี • ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46960
Legal
จำเลยที่กระทำความผิดครั้งแรก จะถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ไม่ได้ระบุว่าการกระทำความผิดครั้งแรกเป็นเหตุบรรเทาโทษ: มาตรานี้ระบุเหตุบรรเทาโทษไว้ 7 ประการ ดังนี้ เป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกัน การกระทำความผิดครั้งแรกไม่ได้อยู่ในเหตุบรรเทาโทษ 7 ประการนี้ ฎีกาของศาลฎีกา: ฎีกาที่ 1465/2522, 1499/2513, 479/2520, 564/2509, 2042/2515, 3353/2541, 1337/2517, 312/2520, 3611/2528 ล้วนเป็นฎีกาที่สนับสนุนว่าการกระทำความผิดครั้งแรกไม่ใช่เหตุบรรเทาโทษ หลักทั่วไป: หลักทั่วไปของกฎหมายอาญาไทยคือ "ไม่มีบทบัญญัติย่อมไม่มีผล" หมายความว่า บุคคลจะต้องรับผิดต่อกฎหมายอาญา เมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น กรณีนี้ มาตรา 78 ไม่ได้บัญญัติให้การกระทำความผิดครั้งแรกเป็นเหตุบรรเทาโทษ จึงไม่สามารถนำมาอ้างเพื่อลดโทษได้ เหตุผลอื่น: การลดโทษให้จำเลยที่กระทำความผิดครั้งแรก อาจส่งผลต่อความยุติธรรมของสังคม เพราะผู้กระทำผิดจะได้รับโทษที่เบากว่าผู้กระทำผิดซ้ำ อาจเป็นการส่งเสริมให้บุคคลอื่นกระทำความผิด เพราะคิดว่าจะได้รับโทษเพียงเบาๆ สรุป: การกระทำความผิดครั้งแรกไม่ถือว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ หมายเหตุ: ศาลยังมีดุลพินิจในการพิจารณาโทษจำเลย โดยคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดี จำเลยอาจได้รับการลดโทษในกรณีอื่น เช่น เป็นผู้สารภาพผิด
ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46962
Legal
สิทธิของเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๕ ของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มีอะไรบ้าง?
null
เจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๕ ของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มีสิทธิพิเศษ ดังนี้: 1. สิทธิที่จะไม่ต้องขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิที่จะไม่ต้องเข้าร่วมกระบวนการล้มละลาย หมายความว่า เจ้าหนี้ไม่ต้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แต่สามารถใช้สิทธิตามสัญญาประกันได้โดยตรง 2. สิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หมายความว่า เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สิน เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น 3. สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนหนี้สินทั้งหมดของลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม สิทธิของเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๕ นี้ มีข้อจำกัด ดังนี้: 1. ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันต้องมีมูลค่าเพียงพอที่จะชำระหนี้ หากทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันมีมูลค่าไม่เพียงพอ เจ้าหนี้มีประกันจะต้องสูญเสียหนี้ส่วนที่ขาด 2. เจ้าหนี้มีประกันต้องแจ้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้มีประกันต้องแจ้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เกี่ยวกับสิทธิของตนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่รู้หรือควรจะรู้ว่าลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์ 3. เจ้าหนี้มีประกันต้องเข้าร่วมประชุมเจ้าหนี้ เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ สรุป: **สิทธิของเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๕ ของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นสิทธิพิเศษที่ช่วยให้เจ้าหนี้มีประกันได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น** **อย่างไรก็ตาม สิทธิ์นี้มีข้อจำกัด เจ้าหนี้มีประกันจึงควรศึกษาข้อมูล และดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง**
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายลักษณะหนี้
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46963
Legal
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถยึดที่ดินทั้งแปลงเพื่อขายทอดตลาดได้หรือไม่?
null
ไม่เสมอไป เหตุผล: หลักทั่วไป: เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิยึดทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งรวมถึงที่ดินด้วย กรณีพิเศษ: มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด: มีการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน: เจ้าหนี้สามารถยึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้ครอบครอง บุคคลภายนอกมีสิทธิร้องขัดทรัพย์เพื่อกันส่วนของตน ไม่มีการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน: แนววินิจฉัยฎีกาเก่า: เจ้าหนี้สามารถยึดได้ทั้งแปลง แนววินิจฉัยฎีกาใหม่: ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริง หากมีการแบ่งแยกการครอบครองที่ชัดเจน: เจ้าหนี้สามารถยึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้ครอบครอง บุคคลภายนอกมีสิทธิร้องขัดทรัพย์เพื่อกันส่วนของตน หากไม่มีการแบ่งแยกการครอบครอง: เจ้าหนี้สามารถยึดได้ทั้งแปลง บุคคลภายนอกมีสิทธิได้รับเงินจากการขายทอดตลาด ไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด: เจ้าหนี้สามารถยึดได้ทั้งแปลง บุคคลภายนอกมีสิทธิได้รับเงินจากการขายทอดตลาด ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา: ฎีกาที่ ๔๖๖/๒๕๐๖: เจ้าหนี้สามารถยึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้ครอบครอง ฎีกาที่ ๒๔๓๗/๒๕๒๘: เจ้าหนี้สามารถยึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้ครอบครอง ฎีกาที่ ๒๔๕๑/๒๕๔๘: เจ้าหนี้สามารถยึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้ครอบครอง ฎีกาที่ ๒๑๒๔/๒๕๕๑: เจ้าหนี้สามารถยึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้ครอบครอง ฎีกาที่ ๑๓๕๓/๒๕๕๔: เจ้าหนี้สามารถยึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้ครอบครอง สรุป: เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่สามารถยึดที่ดินทั้งแปลงเพื่อขายทอดตลาดได้เสมอไป ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงของแต่ละกรณี บุคคลภายนอกมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย หมายเหตุ: คำตอบข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถนำไปใช้กับทุกกรณี ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีเฉพาะ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายลักษณะหนี้,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,กฎหมายทรัพย์สิน-กรรมสิทธิ์-ทรัพย์อิงสิทธิ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46976
Legal
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่น แต่มิได้ยื่นคำร้องขอเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ถูกบังคับคดีในคดีนี้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิอย่างไร
null
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่น แต่มิได้ยื่นคำร้องขอเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ถูกบังคับคดีในคดีนี้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในกรณีที่หนี้คำพิพากษาเป็นหนี้เงิน แต่หากลูกหนี้ตามคำพิพากษามีทรัพย์สินอยู่เพียงชั้นเดียวและถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งยึดไว้แล้ว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ย่อมไม่อาจที่จะบังคับคดียึดทรัพย์สินนั้นซ้ำได้อีก คงได้สิทธิในการจะยื่นคำร้องขอเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินนั้นตามหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๖ บัญญัติให้สิทธิไว้ แต่หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องขอเข้าเฉลี่ย ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งดำเนินการบังคับคดี เจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาในคดีอื่น แต่ไม่ได้ร้องขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์นคดีที่มีการขายทอดตลาดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ นั้น จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ไม่มีสิทธิร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนั้น เกี่ยวกับอำนาจของผู้ร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ แม้จะไม่มีคู่ความ ฝ่ายใดฎีกาขึ้นมาแต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46984
Legal
บุคคลทั่วไปมีสิทธิได้รับเงินค่าทำศพจากประกันสังคมหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: กฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินค่าทำศพ พ.ศ. ๒๕๕๐ ระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ประกันตนเท่านั้นที่มีสิทธิได้รับเงินค่าทำศพจากประกันสังคม บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ไม่ได้ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม กฎหมายประกันสังคมมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกันตนและครอบครัว เงินค่าทำศพเป็นส่วนหนึ่งของประโยชน์ทดแทนที่ผู้ประกันตนได้รับ หลักฐานสนับสนุน: - มาตรา 73 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 - กฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินค่าทำศพ พ.ศ. ๒๕๕๐ รายละเอียดเพิ่มเติม: - บุคคลทั่วไปสามารถสมัครเป็นผู้ประกันสังคมได้ โดยติดต่อสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ - ผู้ประกันตนต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามอัตราที่กำหนด - ผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินค่าทำศพ จะต้องเสียชีวิต โดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน - เงินค่าทำศพที่จ่ายให้แก่บุคคลตามกฎหมายประกันสังคม ปัจจุบันอยู่ที่ 50,000 บาท สรุป: บุคคลทั่วไป ไม่มีสิทธิ ได้รับเงินค่าทำศพจากประกันสังคม ข้อควรระวัง: - ข้อมูลนี้อ้างอิงจากกฎหมายและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ณ วันที่ 3 มีนาคม 2567 - กฎหมายและกฎกระทรวงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กฎหมายแรงงาน,กฎหมายจ้างแรงงาน,กฎหมายคุ้มครองแรงงาน-แรงงานสัมพันธ์-เงินทดแทน,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46989
Legal
คำพิพากษาฎีกาใด เมื่อคดีถึงที่สุดโดยไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น อำนาจในการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงในคำพิพากษาจึงอยู่แก่ศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษานั้น ระหว่าง คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๕๗/๒๕๔๖ หรือ คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๘๑/๒๕๓๔
null
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๘๑/๒๕๓๔ เพราะคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๘๑/๒๕๓๔ กล่าวว่า เมื่อคดีถึงที่สุดโดยไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น อำนาจในการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงในคำพิพากษาจึงอยู่แก่ศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษานั้น และไม่ใช่กรณีที่ต้องอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓ หาได้จำกัดเฉพาะที่เกิดจากการขีดเขียนหรือถ้อยคำเท่านั้นไม่ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยจำนวน ๒๓๙,๑๙๕.๘๐ บาท แก่โจทก์ด้วย แต่เมื่อพิพากษามิได้นำดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นยอดหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ จึงเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยในคำพิพากษาที่แก้ไขได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓ เพราะไม่เป็นการกลับหรือแก้คำวินิจฉัย ในคำพิพากษาเดิม ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๕๗/๒๕๔๖ กล่าวว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแก้ไขคำพิพากษา ตามคำร้องของจำเลยจากการให้จำเลยชำระเงิน ๕,๒๖๗,๕๙๔.๙๑ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เป็นให้จำเลยชำระเงิน ๕,๒๖๗,๕๙๔.๙๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๔,๖๒๗,๗๒๙.๕๕ บาท นับแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น เป็นการแก้ไขเพื่อให้ถูกต้องตรงกับเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่กล่าวไว้ในคำพิพากษาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดของต้นเงินคำสินค้าตามใบแจ้งหนี้แต่ละฉบับ เมื่อคิดถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน ๕,๒๖๗,๕๙๔.๙๑ บาท จำนวนเงินดังกล่าวจึงเป็นยอดรวมของค่าสินค้ากับดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดถึงวันฟ้อง ทั้งเมื่อรวมค่าสินค้าตามใบแจ้งหนี้ แต่ละฉบับเข้าด้วยกันแล้วจะได้เท่ากับ ๔,๖๒๗,๗๒๙.๕๕ บาท ตรงกับต้นเงินที่จำเลย ต้องรับผิดพร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ดังนั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่แก้ไขคำพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง กรณีมิใช่เป็นการทำคำสั่งซึ่งเป็นการกลับหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาเดิม
วิชาว่าความและทนายความ คำฟ้อง คำให้การและคำร้องขอ มรรยาททนายความ,คำพิพากษาศาลฎีกา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46990
Legal
เมื่อศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ศาลจะต้องมีคำสั่งตั้งผู้ทำแผนเสมอหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: มาตรา ๙๐/๑๗ ของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติไว้ว่า ศาลมีอำนาจตั้งผู้ทำแผนได้ 2 กรณี คือ 1. ตั้งผู้ทำแผนพร้อมกับคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ กรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ: - ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้คัดค้านไม่ได้เสนอชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนแข่ง - ศาลเห็นว่าบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอให้เป็นผู้ทำแผนนั้นสมควร 2. ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผน กรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ: - ศาลเห็นว่าบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอให้เป็นผู้ทำแผนนั้นไม่สมควร - ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้คัดค้านเสนอชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนแข่ง การที่ศาลจะตั้งผู้ทำแผนพร้อมกับคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ศาลจะพิจารณาจาก: - คุณสมบัติของบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอ - มีบุคคลอื่นเสนอชื่อเป็นผู้ทำแผนแข่งหรือไม่ - ศาลเห็นสมควรหรือไม่ กรณีที่มีบุคคลอื่นเสนอชื่อเป็นผู้ทำแผนแข่ง ศาลจะต้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผน เพราะเจ้าหนี้เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง จึงควรได้รับสิทธิในการตัดสินใจ ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา - คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๙๙/๒๕๕๖: ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งตั้งลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน because - ผู้คัดค้านทั้งห้ามิได้เสนอชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนแข่ง - ศาลเห็นว่าลูกหนี้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎกระทรวง - คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๑๙๕/๒๕๕๖: ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผน because - มีบุคคลอื่นเสนอชื่อเป็นผู้ทำแผนแข่ง สรุป: - ศาลมีอำนาจตั้งผู้ทำแผนได้ 2 กรณี คือ ตั้งพร้อมกับคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ หรือ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือก - การที่ศาลจะตั้งผู้ทำแผนพร้อมกับคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล - กรณีที่มีบุคคลอื่นเสนอชื่อเป็นผู้ทำแผนแข่ง ศาลจะต้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือก
กฎหมายล้มละลาย-ฟื้นฟูกิจการ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46999
Legal
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๖๘/๒๕๓๒ ว่าด้วยเรื่องอะไร
null
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๖๘/๒๕๓๒ การทุเลาการบังคับคดีและการเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี กฎหมายกำหนดวิธีการให้อยู่ในอำนาจของศาลเป็นชั้นๆ ไป ถ้าเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวแล้ว คู่ความจะฎีกาคำสั่งนั้นต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลย โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์เช่นนี้ั่ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวนและกำหนดวิธีการ ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ก็เท่ากับเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ และบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์ที่พิพาทกันได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๒๖๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว จำเลยจะฎีกาคำสั่งนั้นอีกไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47014
Legal
กรณีลูกหนี้มีเงินฝากอยู่กับเจ้าหนี้ และเจ้าหนี้มีหนี้สินต่อลูกหนี้ เจ้าหนี้สามารถหักกลบลบหนี้เงินฝากกับหนี้สินที่มีต่อลูกหนี้ได้หรือไม่?
null
ได้ เหตุผล: กฎหมายล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/33 อนุญาตให้เจ้าหนี้หักกลบลบหนี้กับลูกหนี้ได้ มาตรา 90/33 บัญญัติว่า "เจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ เป็นหนี้ลูกหนี้ในเวลาที่มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ให้มีสิทธิหักกลบลบหนี้กับจำนวนเงินที่ตนมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้" หลักทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 บัญญัติว่า "บุคคลสองคนต่างเป็นหนี้ซึ่งกันและกัน สิทธิเรียกร้องของบุคคลทั้งสองย่อมระงับไปเมื่อถึงเวลาอันควรแก่การชำระหนี้" คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3747/2547 ศาลฎีกาได้พิพากษาว่า "ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ส่วนลูกหนี้มีเงินฝากอยู่กับผู้คัดค้านตามบัญชีเงินฝากรวม 2 บัญชี โดยผู้คัดค้านรับฝากเงินไว้ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ เงินฝากดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านตั้งแต่มีการฝากเงิน ลูกหนี้ผู้ฝากเงินมีสิทธิที่จะถอนเงินฝากไปได้และผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบตามจำนวนที่ขอถอน ถึงเห็นกรณีที่ผู้คัดค้านกับลูกหนี้ต่างเป็นหนี้ซึ่งกันและกันอยู่ในเวลาที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ผู้คัดค้านจึงใช้สิทธินำเงินฝากทั้งสองบัญชีดังกล่าวของลูกหนี้มาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านได้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/33 ภายหลังที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการแต่ก็เป็นช่วงเวลาก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนดังกล่าว ซึ่งเจ้าหนี้ยังไม่ถูกผูกมัดให้ได้รับชำระหนี้ตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ในแผนตามมาตรา 90/60 วรรคหนึ่ง" อย่างไรก็ตาม การหักกลบลบหนี้จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้: - หนี้ของทั้งสองฝ่ายต้องครบกำหนดชำระแล้ว - หนี้ของทั้งสองฝ่ายต้องเป็นหนี้ที่แน่นอน - หนี้ของทั้งสองฝ่ายต้องเป็นหนี้ที่ชำระได้ สรุป: เจ้าหนี้สามารถหักกลบลบหนี้เงินฝากกับหนี้สินที่มีต่อลูกหนี้ได้ตามกฎหมายล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/33 และหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341
กฎหมายล้มละลาย-ฟื้นฟูกิจการ,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายลักษณะหนี้
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47017
Legal
ในคดีอาญา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว มีผลเท่ากับคำสั่งเลื่อนการนั่งพิจารณาไปหรือไม่?
null
คำตอบคือ ใช่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว มีผลเท่ากับคำสั่งเลื่อนการนั่งพิจารณาไป ไม่ใช่การสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๒ คดีจึงยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้เริ่มการนั่งพิจารณาต่อไปในวันใดๆ ตามที่เห็นสมควร ก็ได้ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๘ บัญญัติไว้ว่า "ศาลมีอำนาจสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณาคดีอาญาไปได้ เมื่อเห็นสมควร" การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว เป็นการเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีออกไปชั่วคราว ไม่ได้เป็นการยุติการพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นยังมีอำนาจที่จะสั่งให้เริ่มการนั่งพิจารณาคดีต่อไปได้ เมื่อเห็นสมควร ผลที่ตามมา: -โจทก์ยังมีสิทธิร้องขอในเวลาใดๆ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองอย่างใดๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๔ และมีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ตามมาตรา ๒๖๔ ได้ด้วย -จำเลยยังมีสิทธิที่จะต่อสู้คดีต่อไป -พยานที่ศาลได้ออกหมายเรียกไว้ ยังมีหน้าที่มาศาลตามหมายเรียก ตัวอย่าง: ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว เนื่องจากโจทก์ยังไม่พร้อมนำสืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว เนื่องจากจำเลยขอเลื่อนการนั่งพิจารณาคดี ข้อควรระวัง: -คำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ไม่ได้เป็นการยุติการพิจารณาคดี -คดีอาญาเป็นคดีที่มีมูลค่าทางสังคมสูง ศาลจึงมีหน้าที่ที่จะดำเนินการพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว -คำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว เป็นคำสั่งที่ศาลชั้นต้นใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๘ -คำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ไม่ได้เป็นการตัดสินคดีว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายถูกหรือผิด -คำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว เป็นเพียงการเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีออกไปชั่วคราว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47038
Legal
จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่นายสาครและพวก ซึ่งเป็นลูกจ้างของนายสมุทรหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: สัญญาจ้างระหว่างบริษัท มหาชัย จำกัด กับนายสมุทร มีข้อสัญญาหนึ่งว่า นายสมุทรต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างของนายสมุทรตามอัตราค่าจ้างและกำหนดเวลา สัญญาประเภทนี้ จัดเป็น “สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ วรรคหนึ่ง หมายความว่า บริษัท มหาชัย จำกัด ในฐานะลูกหนี้ สัญญาจะต้องชำระหนี้ (ค่าจ้าง) ให้แก่ นายสาครและพวก ในฐานะบุคคลภายนอก เมื่อนายสมุทร ไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้แก่นายสาครและพวก นายสาครและพวก ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าจ้างจากบริษัท มหาชัย จำกัด ได้โดยตรง เหตุผลหลัก คือ เพื่อคุ้มครองลูกจ้าง เพราะลูกจ้างมีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างสำหรับงานที่ตนทำ โดยไม่ต้องพึ่งพาว่านายจ้างจะนำเงินค่าจ้างไปจ่ายให้หรือไม่ หลักฐานสนับสนุน: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๕๔/๒๔๙๓ และ ๑๐๒๕/๒๕๐๖ ข้อสังเกต: บริษัท มหาชัย จำกัด อาจจะโต้แย้งว่า สัญญาจ้างระหว่างบริษัท มหาชัย จำกัด กับนายสมุทร ได้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากนายสมุทรได้ทิ้งงานก่อสร้าง แต่ข้อโต้แย้งนี้ ฟังไม่ขึ้น เพราะบริษัท มหาชัย จำกัด ยังมีหนี้ค่าจ้างค้างอยู่ ซึ่งบริษัท มหาชัย จำกัด จำเป็นต้องชำระให้แก่นายสาครและพวก สรุป: บริษัท มหาชัย จำกัด จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่นายสาครและพวก เพราะสัญญาจ้างระหว่างบริษัท มหาชัย จำกัด กับนายสมุทร เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก และนายสาครและพวก มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าจ้างจากบริษัท มหาชัย จำกัด ได้โดยตรง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายคุ้มครองแรงงาน-แรงงานสัมพันธ์-เงินทดแทน,กฎหมายแรงงาน
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47040
Legal
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2548 ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์มีความเห็นว่าบาดแผลของผู้เสียหายต้องใช้เวลารักษาเกินกี่วัน
null
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2548 ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์มีความเห็นว่า บาดแผลของผู้เสียหายต้องใช้เวลารักษาเกินกว่า 21 วัน แต่ผู้เสียหายเบิกความเพียงว่า บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจากการถูกทำร้ายต้องใช้เวลารักษา 21 วัน จึงหายเป็นปกติ โดยมิได้เบิกความให้เห็นว่า ผู้เสียหายต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน อย่างไร ลำพังกระดูกโหนกแก้มขวาหักจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายสาหัส ส่วนบาดแผลของผู้เสียหายที่ต้องใช้เวลารักษาเกิน 21 วัน เป็นเรื่องการรักษาบาดแผลให้หายเป็นปกติเท่านั้น ย่อมรับฟังไม่ได้ว่า ผู้เสียหายถูกทำร้ายจนต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน อันจะถือว่าเป็นอันตรายสาหัส ตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 297 (8) คงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 295 แม้ปัญหาข้อนี้จะยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพราะจำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ และฎีกาของจำเลยข้อนี้ต้องห้ามตามกฎหมายเพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องมาด้วยว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่า จำเลยกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และได้ความว่า ผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัส แต่จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวตามที่ได้ความได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย พยานหลักฐานของโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยมีเจตนาแต่แรกที่จะร่วมกับพวกเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปด้วยหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์มาแต่แรก คงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยมีเจตนาแต่แรกที่จะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ได้เอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83 แม้คดีนี้จะรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ซ้ำกับความผิดฐานปล้นทรัพย์ในคดีก่อน ตาม ป.อ. มาตรา 93 (13) แต่ภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษในคดีก่อน จำเลยมากระทำความผิดคดีนี้ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ซึ่งไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 93 ตามที่โจทก์ฟ้องได้ และโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้เพิ่มโทษตามมาตรา 92 มาด้วย ศาลฎีกาก็มีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 92 ซึ่งเป็นบทที่เบากว่าได้
ประมวลกฎหมายอาญา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47050
Legal
มาตราใดที่บัญญัติเรื่อง การไม่ยอมรับทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญญาของลูกหนี้
null
การไม่ยอมรับทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญญาของลูกหนี้ มาตรา ๑๒๒ บัญญัติว่า ภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่าทรัพย์สินของลูกหนี้หรือสิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจไม่ยอมรับ ทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญญานั้นได้ บุคคลใดได้รับความเสียหายโดยเหตุที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ยอมรับ ดังกล่าวมีสิทธิขอรับชำระหนี้สำหรับค่าเสียหายได้ เนื่องจากพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา ๒๗ บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัตินี้ แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้แล้ว แต่คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาก็ตาม ดังได้กล่าวมาแล้วในบทที่ว่าด้วย การขอรับชำระหนี้ คำว่า วิธีการที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัตินี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา ๒๗ บัญญัติว่า ๑. ถ้าเป็นหนี้เงิน เจ้าหนี้ทุกคนก็ต้องไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา ๙๑ ๒. ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเงิน เจ้าหนี้ก็ต้องไปแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามสัญญานั้นแทนลูกหนี้ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจหน้าที่ ตามมาตรา ๒๒ (๑) ที่จะต้องจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้หรือกระทำการที่ จำเป็นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไป ดังนี้ ถ้าเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น เจ้าหนี้ไปทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากลูกหนี้ เมื่อชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วก็ต้องไปแจ้งให้เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์เพื่อแจ้งนายทะเบียนยานพาหนะดำเนินการโอนทะเบียนรถยนต์ให้แก่เจ้าหนี้ ในฐานะผู้เช่าซื้อ หรือเจ้าหนี้ไปทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจากลูกหนี้ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกพิทักษ์ทรัพย์ มีการชำระเงินค่ามัดจำไว้แล้ว เมื่อถึงกำหนดจะมีการโอนกรรมสิทธิ์กัน เจ้าหนี้ต้องนำเงินส่วนที่เหลือไปชำระให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา ๒๒ (๒) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ต้องไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่เจ้าหนี้ เป็นต้น กรณีอย่างนี้เจ้าหนี้ไม่ต้องขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๑
กฎหมายลักษณะหนี้,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47058
Legal
ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท กรณีโจทก์ฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(1) หรือไม่?
null
ใช่ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท กรณีโจทก์ฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(1) เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) กำหนดว่า "เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์สินนั้นแก่โจทก์ หรือให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือทั้งสองอย่าง และเมื่อเห็นสมควร ศาลมีอำนาจที่จะให้ขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์สินนั้นด้วย" ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 กำหนดว่า "ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยกระทำการใด ๆ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการพิพากษาให้ชนะคดี หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์" คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3813/2535 วินิจฉัยว่า "กรณีโจทก์ฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นบนที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้โจทก์ฟ้องแยกต่างหาก" หลักทั่วไปของกฎหมาย ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยกระทำการใด ๆ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการพิพากษาให้ชนะคดี หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ สรุป: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบานออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท กรณีโจทก์ฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(1) โดยไม่จำเป็นต้องรอให้โจทก์ฟ้องแยกต่างหาก เพราะเป็นการป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเป็นการบังคับตามคำพิพากษาให้มีผลสมบูรณ์ หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์ตามหลักกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงของคดีแต่ละคดีประกอบด้วย และอาจมีคำพิพากษาที่แตกต่างกันออกไป
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47085
Legal
นายแดงเป็นโจทก์ฟ้องนายดำต่อศาลจังหวัดระยองว่า ทำร้ายร่างกายโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตราใด
null
โจทก์ฟ้องนายดำต่อศาล จังหวัดระยองว่า ทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธอ้างเหตุป้องกัน ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ เพิ่งตรวจพบพยานหลักฐานว่านางเขียวเป็นผู้ว่าจ้างให้จำเลยกระทำความผิด และเพิ่งทราบจากแพทย์ว่าโจทก์เสียความสามารถสืบพันธ์อันเนื่องมาจากการถูกจำเลยทำร้าย จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยเป็นจำเลยที่ ๑ และนางเขียวเป็นจำเลยที่ ๒ กับขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ (๒) และขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ฐานเป็น ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ๒๙๗ กรณีดังกล่าวถือเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเพิ่มนางเขียวเข้ามาเป็นจำเลยอีกคนหนึ่ง ถือว่าไม่มีเหตุอันควรจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๓ ที่โจทก์จะขอแก้เพิ่มเติมฟ้องได้ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๑๑๕/๒๕๑๑) ส่วนที่โจทก์ขอแก้ฟ้องว่า เพิ่งทราบจากแพทย์ว่าโจทก์เสียความสามารถในการสืบพันธุอันเนื่องมาจากถูกจำเลยทำร้าย ถือว่ามีเหตุอันควร เพราะขณะยื่นฟ้องโจทก์ยังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับผลของการที่ถูกจำเลยทำร้ายว่าเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส และการแก้ฐานความผิดที่โจทก์ต้องแถลงในฟ้องนั้น ไม่ว่ากระทำเช่นนี้ในระยะเวลาใดระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๔ บัญญัติมิให้ถือว่าจำเลยเสียเปรียบ เว้นแต่จำเลยจะหลงต่อสู้ในข้อที่ผิด เมื่อคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้คดีอ้างเหตุป้องกัน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยหลงต่อสู้ จึงต้องด้วย หลักเกณฑ์ตาม ๑๖๓, ๑๖๔ ที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้
ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47095
Legal
โจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา สามารถยึดที่ดิน น.ส. 3 ทั้งแปลงเพื่อขายทอดตลาดได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: การยึดทรัพย์ของลูกหนี้: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิยึดทรัพย์ของลูกหนี้เพื่อนำไปชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม การยึดทรัพย์จะต้องอยู่ภายในขอบเขตที่ลูกหนี้มีสิทธิในทรัพย์สินนั้น กรณีที่ดิน น.ส. 3 กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังไม่ตกเป็นของบุคคลใด บุคคลที่มีชื่อใน น.ส. 3 มีเพียงสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 การแบ่งแยกการครอบครอง: คดีนี้ มีการแบ่งแยกการครอบครองที่ดิน น.ส. 3 ออกเป็นส่วนสัด โดยผู้ร้องทั้งสองครอบครองส่วนหนึ่ง และจำเลยครอบครองอีกส่วนหนึ่ง การแบ่งแยกการครอบครองนี้ ผูกพันจำเลยและผู้ร้องทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 หมายความว่า ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิครอบครองที่ดินในส่วนที่แบ่งไว้ สิทธิของเจ้าหนี้: - เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับคดีได้เท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินนั้น - เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเอาส่วนของผู้ร้องทั้งสองมาขายทอดตลาดได้ หลักการกันส่วน: - ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 วรรคสอง บัญญัติให้บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิอื่นในทรัพย์ที่ถูกยึด สามารถร้องขอให้กันส่วนของตนออกก่อนนำออกขายทอดตลาด - กรณีนี้ ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดิน น.ส. 3 ย่อมมีสิทธิร้องขอให้กันส่วนของตนออกก่อน ฎีกาที่เกี่ยวข้อง: - ฎีกาที่ 3139/2537 วินิจฉัยว่า เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้ครอบครองอยู่ - ฎีกาที่ 2883/2528 วินิจฉัยว่า เจ้าหนี้จำนองที่ดิน น.ส. 3 ยึดได้เฉพาะส่วนที่ลูกหนี้จำนอง สรุป: จากเหตุผลข้างต้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ไม่สามารถ ยึดที่ดิน น.ส. 3 ทั้งแปลงเพื่อขายทอดตลาดได้ โจทก์สามารถยึดได้เฉพาะส่วนที่จำเลยครอบครองเท่านั้น คำอธิบายเพิ่มเติม: - กรณีนี้ ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดิน น.ส. 3 ย่อมมีสิทธิร้องขอให้กันส่วนของตนออกก่อนนำออกขายทอดตลาด - เจ้าหนี้สามารถยึดส่วนที่จำเลยครอบครองเพื่อนำไปชำระหนี้ได้ - การยึดทรัพย์ต้องอยู่ภายในขอบเขตที่ลูกหนี้มีสิทธิในทรัพย์สินนั้น
กฎหมายลักษณะหนี้,ประมวลกฎหมายที่ดิน,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47096
Legal
อะไรคือเงื่อนไขและข้อจำกัดของ "บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๗๓ (๓) ประกอบมาตรา ๒๗๖ และ ๒๘๘?
null
บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๗๓ (๓) หมายถึง สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้จากราคาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นๆ เงื่อนไข ของการมีบุริมสิทธิ์ดังกล่าวมีดังนี้ ต้องมีสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการจดทะเบียนสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ต้องมีการบอกลงทะเบียนไว้ด้วยว่าราคาหรือดอกเบี้ยในราคานั้น ยังมิได้ชำระ ข้อจำกัด ของการมีบุริมสิทธิ์ดังกล่าวมีดังนี้ บุริมสิทธิ์จะสิ้นผล เมื่อเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ครบถ้วน บุริมสิทธิ์จะมีผลเหนือ สิทธิจำนอง เฉพาะกรณีที่ได้จดทะเบียนบอกไว้ว่าราคาหรือดอกเบี้ยในราคานั้น ยังมิได้ชำระ บุริมสิทธิ์จะไม่มีผล เหนือสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้จดทะเบียนสิทธิของตนก่อน ตัวอย่าง นาย A ขายที่ดินให้กับนาย B โดยนาย B ยังไม่ได้ชำระค่าซื้อขายทั้งหมด นาย A จดทะเบียนสัญญาซื้อขายและบอกลงทะเบียนไว้ว่า ยังมีราคาซื้อขายค้างชำระอยู่ กรณีนี้นาย A มีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เหนือที่ดินแปลงดังกล่าว นาย C เป็นเจ้าหนี้จำนองของนาย B กรณีนี้นาย C มีสิทธิจำนองเหนือที่ดินแปลงดังกล่าว แต่หากนาย A ได้จดทะเบียนบอกไว้ว่า ยังมีราคาซื้อขายค้างชำระอยู่ บุริมสิทธิของนาย A จะมีผลเหนือสิทธิจำนองของนาย C นาย D ซื้อที่ดินจากนาย B โดยนาย B ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้กับนาย D กรณีนี้นาย D ไม่มีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เหนือที่ดินแปลงดังกล่าว สรุป บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เป็นสิทธิที่กฎหมายให้แก่เจ้าหนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิในการได้รับชำระหนี้ค่าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นๆ แต่เจ้าหนี้จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ มิฉะนั้น บุริมสิทธิ์จะไม่มีผล หรือ อาจจะไม่มีผลเหนือสิทธิของบุคคลภายนอก ข้อควรระวัง เจ้าหนี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ถูกต้องตามกฎหมาย และ ได้จดทะเบียนบอกไว้ว่า ยังมีราคาซื้อขายค้างชำระอยู่ บุคคลภายนอกควรตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47101
Legal
ในคดีแพ่ง จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ตามฟ้องแย้ง มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีในส่วนของฟ้องแย้งภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันครบกำหนดให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
null
ใช่ เหตุผล: บทบัญญัติกฎหมาย: -ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 ฉ บัญญัติว่า ในกรณีที่โจทก์มิได้ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่ 1 นี้มาใช้บังคับเพียงเท่าที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งเช่นว่านั้น โดยอนุโลม -มาตรา 198 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีจำเลยไม่ยื่นคำให้การ หรือยื่นคำให้การไม่ครบถ้วน หรือไม่ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ หรือศาลมีคำสั่งให้จำเลยเป็นผู้ขาดนัดยื่นคำให้การ ให้โจทก์มีสิทธิร้องขอต่อศาลให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด -มาตรา 198 วรรคสอง บัญญัติว่า โจทก์ต้องยื่นคำขอตามวรรคหนึ่งภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันครบกำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การ หรือภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้จำเลยเป็นผู้ขาดนัดยื่นคำให้การ การตีความบทบัญญัติกฎหมาย: -มาตรา 199 ฉ บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติของมาตรา 198 วรรคหนึ่ง มาบังคับคดีฟ้องแย้ง กรณีโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง หมายความว่า จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ตามฟ้องแย้ง มีสิทธิร้องขอต่อศาลให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ตามฟ้องแย้ง ต้องยื่นคำขอภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันครบกำหนดให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง หลักทั่วไป: -การยื่นคำร้องขอต่อศาล เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย -บุคคลมีหน้าที่ดำเนินการตามสิทธิของตนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด -หากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ถือว่าละเลยสิทธิ สรุป: -จากเหตุผลข้างต้น จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ตามฟ้องแย้ง มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีในส่วนของฟ้องแย้งภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันครบกำหนดให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง คำอธิบายเพิ่มเติม: -หากจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ตามฟ้องแย้ง ไม่ยื่นคำขอภายใน 15 วัน ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีในส่วนของฟ้องแย้งออกจากสารบบความ -การจำหน่ายคดี เป็นการลงโทษจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ตามฟ้องแย้ง ที่ละเลยสิทธิของตน -จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ตามฟ้องแย้ง ควรดำเนินการตามสิทธิของตนอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47103
Legal
ศาลชั้นต้นมีอำนาจจำหน่ายคดีออกจากสารบบความได้หรือไม่?
null
ได้ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๒ บัญญัติไว้ว่า "เมื่อโจทก์ไม่มาศาลตามวันนัด หรือมาแต่ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป หรือโจทก์และจำเลยประนีประนอมกันแล้ว หรือมีเหตุอื่นอันสมควร ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ" จากบทบัญญัติข้างต้น ศาลชั้นต้นมีอำนาจจำหน่ายคดีออกจากสารบบความได้ ในกรณีดังต่อไปนี้: - โจทก์ไม่มาศาลตามวันนัด - โจทก์มาศาลแต่ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป - โจทก์และจำเลยประนีประนอมกันแล้ว - มีเหตุอื่นอันสมควร ตัวอย่างเหตุอื่นอันสมควร: โจทก์เสียชีวิต คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาท คดีเป็นการฟ้องซ้อน โจทก์ไม่ส่งคำฟ้องเพิ่มเติมตามคำสั่งศาล โจทก์ไม่วางเงินค่าธรรมเนียมศาล อย่างไรก็ตาม ศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงของแต่ละคดีโดยละเอียด ว่าเข้าองค์ประกอบตามมาตรา ๑๓๒ หรือไม่ ศาลจะใช้อำนาจจำหน่ายคดีออกจากสารบบความด้วยความรอบคอบ ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา: คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๙๒๓/๒๕๔๕ คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๘๒/๒๕๔๕ สรุป: ศาลชั้นต้นมีอำนาจจำหน่ายคดีออกจากสารบบความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๒ ศาลจะใช้อำนาจนี้โดยพิจารณาข้อเท็จจริงของแต่ละคดีโดยละเอียด บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น คู่ความควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับคดีของตน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47107
Legal
ศาลชั้นต้นมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยไม่ฟังจำเลยก่อนหรือไม่ เมื่อคดีอยู่ในระหว่างการสืบพยาน จำเลยให้การปฏิเสธ และโจทก์ไม่มีเหตุผลอันสมควรในการขอถอนฟ้อง
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๕ วรรคสอง บัญญัติว่า “ภายหลังจำเลยยื่นคำให้การแล้วโจทก์อาจยื่นคำร้อง ขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้ ศาลจะอนุญาต หรือไม่อนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลมีดุลพินิจที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่ก็ได้ ศาลต้องพิจารณาความสุจริตของโจทก์ในการดำเนินคดี ความเป็นธรรมและความเสียหายของจำเลย ในคดีนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ และโจทก์ไม่มีเหตุผลอันสมควรในการขอถอนฟ้อง การที่โจทก์ขอถอนฟ้องโดยไม่ฟังจำเลยก่อน อาจทำให้จำเลยเสียเปรียบ จำเลยอาจสูญเสียสิทธิในการต่อสู้คดี เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ศาลชั้นต้นไม่ควรอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยไม่ฟังจำเลยก่อน หลักฐานสนับสนุน: คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๖๗/๒๕๕๖ คดีนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องหลังจากผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลย ออกมาว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย ศาลชั้นต้นไม่ควรอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยไม่ฟังจำเลยก่อน สรุป: ศาลชั้นต้นมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยไม่ฟังจำเลยก่อน แต่ศาลต้องพิจารณาความสุจริตของโจทก์ ความเป็นธรรมและความเสียหายของจำเลย ในกรณีที่จำเลยให้การปฏิเสธ และโจทก์ไม่มีเหตุผลอันสมควรในการขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นไม่ควรอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยไม่ฟังจำเลยก่อน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47109
Legal
ผู้เสียหายคืออะไร
null
ผู้เสียหาย หมายถึง บุคคลที่มีอำนาจฟ้องคดีอาญา กฎหมายกำหนดไว้ว่าบุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้เสียหาย ผู้เสียหาย หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่ง ตามมาตรา 2 (4) รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 4, 5 และ 6 ดังนั้น ผู้เสียหาย ตามมาตรา 2(4) จึงแยกได้ เป็น 2 ประเภท คือ 1.ผู้เสียหายโดยตรง 2.ผู้มีอำนาจจัดการแทน ตามมาตรา 4, 5 และ 6 ผู้เสียหายโดยตรง หรือ ผู้เสียหายที่แท้จริง หมายถึง 1) เกิดการกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่งแก่บุคคลนั้น 2) บุคคลนั้นได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่งนั้น 3) บุคคลนั้นเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ซึ่งหมายความว่า ต้องเป็นผู้เสียหายที่ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดหรือไม่มีส่วนก่อหรือยินยอมให้เกิดความผิดนั้นๆ
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47110
Legal
เมื่อใดที่คดีอาญาถือว่าถึงที่สุด?
null
คดีอาญาจะถือว่าถึงที่สุด เมื่อครบองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. มีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล คดีอาญาจะเริ่มต้นจากการที่พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและส่งฟ้องต่อศาล ศาลจะพิจารณาคดีและมีคำพิพากษา คำพิพากษามี 2 ประเภท คือ • คำพิพากษาศาลชั้นต้น • คำพิพากษาศาลฎีกา 2. คู่ความไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์หรือฎีกา • คู่ความในคดีอาญา หมายถึง ผู้เสียหาย จำเลย และอัยการ • คู่ความมีสิทธิ์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ • คู่ความมีสิทธิ์ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา คดีจะถึงที่สุด เมื่อคู่ความไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์หรือฎีกา หรือ เมื่อคู่ความไม่ใช้สิทธิ์อุทธรณ์หรือฎีกาภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 3. คดีถึงที่สุดตามกฎหมาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๘ บัญญัติว่า “คำพิพากษามีผลตั้งแต่วันที่ได้อ่านในศาลโดยเปิดเผย เป็นต้นไป” ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๗ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ซึ่งตามกฎหมายจะอุทธรณ์ หรือฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้นั้น ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านเป็นต้นไป” ตัวอย่าง • ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟัง จำเลยไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด • ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟัง จำเลยไม่มีสิทธิ์ฎีกา คดีถึงที่สุด • ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟัง คดีถึงที่สุด หมายเหตุ • คดีอาญายังมีกรณีอื่น ๆ ที่ถือว่าถึงที่สุด เช่น คดีที่จำเลยเสียชีวิต คดีที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง คดีที่ศาลมีคำสั่งระงับการฟ้องคดี ฯลฯ
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47114
Legal
มาตราใดแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้เงิน ระหว่าง มาตรา 51 หรือ มาตรา 52
null
มาตรา 51 เพราะมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้เงิน เช่น การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน นิสิตหรือนักศึกษา การให้เงินอุดหนุนแก่สถาบันการศึกษาเอกชน การอนุมัติให้ข้าราชการเบิกค่าเช่าบ้านหรือค่ารักษาพยาบาล หรือให้ทรัพย์สิน เช่น การให้เมล็ดพันธุ์พืชหรือปุ๋ยแก่เกษตรกร หรือให้ประโยชน์ที่อาจแบ่งแยกได้ เช่น การให้นักเรียน นิสิตหรือนักศึกษากู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาโดยปลอดดอกเบี้ย ส่วนมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 บัญญัติกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์ในลักษณะอื่นที่มิใช่การให้เงิน ให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่อาจแบ่งแยกได้ เช่น การอนุญาต การอนุมัติ การรับจดทะเบียน การให้สัญชาติไทย การรับรองสัญชาติไทย การให้สถานะผู้ลี้ภัย ฯลฯ คำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคำสั่งอาจถูกเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กำหนดได้ (มาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539) แต่การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคำสั่งนี้ จะต้องกระทำภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการเพิกถอนคำสั่งนั้นได้รู้ถึงเหตุที่จะให้เพิกถอนคำสั่งนั้น กล่าวคือ รู้ว่าคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายกฎหมาย เว้นแต่คำสั่งนั้นจะได้ทำขึ้นเพราะการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง หรือการข่มขู่ หรือการจูงใจ โดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 49 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539) และการเพิกถอนต้องเป็นตามบทบัญญัติมาตรา 51 และมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ด้วย (มาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539)
กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47115
Legal
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ประเด็นแรกที่จะต้องพิจารณาคือประเด็นใด ระหว่าง การแอบถ่ายเป็นการกระทําอนาจารหรือไม่ หรือ ความอับอายขายหน้าของผู้ถูกถ่ายจะถึงขั้นประทุษร้ายแก่จิตใจหรือไม่
null
การแอบถ่ายเป็นการกระทําอนาจารหรือไม่ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ประเด็นแรกที่จะต้องพิจารณาคือ การแอบถ่ายเป็นการกระทําอนาจารหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นหลัก ส่วนประเด็นที่ว่า ความอับอายขายหน้าของผู้ถูกถ่ายจะถึงขั้นประทุษร้ายแก่จิตใจหรือไม่ เป็นประเด็นรองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 โดยประมวลกฎหมายมาตรา 278 อยู่ในลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19832/2558 การที่จำเลยแอบติดตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ที่ใต้โต๊ะทำงานของโจทก์ร่วม และบันทึกภาพสรีระร่างกายของโจทก์ร่วมตั้งแต่ช่วงลิ้นปี่จนถึงอวัยวะช่วงขามองเห็นกระโปรงที่โจทก์ร่วมสวมใส่ ขาท่อนล่างและขาท่อนบนของโจทก์ร่วม โดยที่กล้องบันทึกภาพมีแสงไฟสำหรับเพิ่มความสว่างเพื่อให้มองเห็นภาพบริเวณใต้กระโปรงของโจทก์ร่วมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การกระทำของจำเลยส่อแสดงให้เห็นถึงความใคร่และกามารมณ์ โดยที่โจทก์ร่วมมิได้รู้เห็นหรือยินยอม อันเป็นการกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศต่อโจทก์ร่วม โดยโจทก์ร่วมตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แม้จำเลยจะมิได้สัมผัสต่อเนื้อตัวร่างกายของโจทก์ร่วมโดยตรง แต่การที่จำเลยใช้กล้องบันทึกภาพใต้กระโปรงโจทก์ร่วมในระยะใกล้ชิด โดยโจทก์ร่วมไม่รู้ตัวย่อมรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำโดยประสงค์ต่อผลอันไม่สมควรในทางเพศต่อโจทก์ร่วม โดยใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา 1 (6) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งการใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 278 นอกจากหมายความว่า ทำการประทุษร้ายแก่กายแล้ว ยังหมายความว่าทำการประทุษร้ายแก่จิตใจด้วย ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึงการกระทำใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าว ทำให้โจทก์ร่วมต้องรู้สึกสะเทือนใจอับอายขายหน้า จึงถือว่าเป็นการประทุษร้ายแก่จิตใจของโจทก์ร่วมแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอนาจารโจทก์ร่วม ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 278
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับเพศ,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47122
Legal
คำพิพากษาศาลฎีกาใดที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ปพพ.มาตรา 374
null
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6612/2558 สัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกจะมีหรือเกิดขึ้นในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ตั้งแต่เวลาที่ผู้รับประโยชน์ได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ขอเข้าถือเอาหรือรับประโยชน์จากสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 มิใช่เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาแล้วจะทำให้มีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาได้ทันที และตราบใดที่ผู้รับประโยชน์ยังมิได้แสดงเจตนาเข้ารับหรือถือเอาประโยชน์จากสัญญา คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายยังคงผูกพันมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาตามปกติทั่วไป โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยได้แสดงเจตนาเพื่อรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยครั้งแรกโดยการทวงถามให้จำเลยผู้รับประกันภัยซึ่งเป็นลูกหนี้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ทรัพย์จำนองและสินค้ามันสำปะหลังได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2544 อันเป็นวันเริ่มสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับประโยชน์ที่จะเรียกให้จำเลยผู้รับประกันภัยลูกหนี้ให้ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ แต่เป็นเวลาภายหลังจากที่ผู้เอาประกันภัยและจำเลยผู้รับประกันภัยได้ตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยการซ่อมแซมและหาทรัพย์สินมาทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งการตกลงของผู้เอาประกันภัยกับจำเลยผู้รับประกันภัยเป็นการกระทำไปตามสัญญาประกันภัยที่ระบุว่า ให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยเลือกทำการสร้างใหม่ หรือจัดหาทรัพย์สินมาแทนทรัพย์สินที่เสียหายทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดแทนการจ่ายเงินชดใช้ก็สามารถทำได้ ซึ่งในขณะที่ตกลงกันดังกล่าวโจทก์ยังไม่ได้เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับสินค้ามันสำปะหลังเป็นกรณีจำเลยผู้รับประกันภัยจัดหามาทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัย จึงไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิของโจทก์ตามสัญญาประกันภัย ส่วนโกดังทรัพย์จำนองตามสัญญาจำนองซึ่งจำเลยจัดการซ่อมแซมให้ ไม่ใช่กรณีที่จำเลยผู้รับประกันภัยใช้เงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 231 จึงไม่จำต้องมีการบอกกล่าวหรือได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้รับจำนองก่อน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47136
Legal
โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่?
null
ใช่ โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท เหตุผล: 1. โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินและบ้านพิพาท ที่ดินและบ้านพิพาทส่วนหนึ่งเป็นสินสมรสของ ป. และจำเลยที่ 2 เมื่อ ป. ถึงแก่ความตาย ที่ดินและบ้านส่วนนี้ตกเป็นของจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง และเป็นมรดกตกแก่ทายาทอีกกึ่งหนึ่ง น. ในฐานะผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านส่วนที่เป็นมรดกแก่ตนแต่ผู้เดียวและนำไปขายฝากให้โจทก์ การจดทะเบียนขายฝากที่ดินและบ้านส่วนที่เป็นมรดกชอบและไม่มีการไถ่การขายฝาก กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านส่วนนี้จึงตกเป็นของโจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินและบ้านพิพาทกับจำเลยที่ 2 โดยมีส่วนเท่า ๆ กัน 2. จำเลยที่ 2 ขัดขวางสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ 2 ขัดขวางมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมเข้าใช้สอยทรัพย์พิพาท การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการละเมิดต่อโจทก์ 3. โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 บัญญัติว่า “เจ้าของมีสิทธิห้ามมิให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเหยิงในกรรมสิทธิ์ของตน” โจทก์มีสิทธิที่จะใช้สอยที่ดินและบ้านพิพาทตามส่วนของตน การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการรุกล้ำสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท สรุป: โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท เพราะโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินและบ้านพิพาท และจำเลยที่ 2 ขัดขวางสิทธิของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกา,กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47168
Legal
ทนายความมีหน้าที่อะไรบ้าง?
null
ทนายความมีหน้าที่หลักๆ ดังนี้: 1. หน้าที่ต่อลูกความ: ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายด้วยความซื่อสัตย์สุจริต: ทนายความมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างสุดความสามารถ รักษาความลับของลูกความ และปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต แจ้งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับคดี: ทนายความมีหน้าที่แจ้งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับคดีให้ลูกความทราบอย่างครบถ้วนและทันท่วงที รวมถึงอธิบายข้อกฎหมายและแนวทางการดำเนินคดีให้ลูกความเข้าใจ รักษาความลับของลูกความ: ทนายความมีหน้าที่รักษาความลับของลูกความที่ได้ทราบจากการว่าความหรือการให้คำปรึกษา รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกความ: ทนายความควรมีการติดต่อสื่อสารกับลูกความอย่างสม่ำเสมอ แจ้งความคืบหน้าของคดี และรับฟังความคิดเห็นของลูกความ 2. หน้าที่ต่อศาล: ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุภาพเรียบร้อย: ทนายความควรแสดงกิริยาท่าทางและวาจาที่สุภาพเรียบร้อยต่อศาล คู่ความ พยาน และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง รักษาความยุติธรรม: ทนายความมีหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่อศาลอย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือหลักฐาน ไม่แทรกแซงการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี: ทนายความควรปฏิบัติตามคำสั่งของศาล และไม่แทรกแซงการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี 3. หน้าที่ต่อสังคม: รักษาจริยธรรมของวิชาชีพ: ทนายความควรประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ยึดมั่นในหลักจริยธรรมของวิชาชีพทนายความ ช่วยเหลือประชาชน: ทนายความควรให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมาย โดยไม่เลือกปฏิบัติ ส่งเสริมความยุติธรรม: ทนายความมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม ตัวอย่างจากบทความ: ในบทความนี้ นายนที ทนายความ ได้รับเงินค่าธรรมเนียมศาลจากนางสา ผู้กล่าวหา จำนวน 20,000 บาท แต่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมศาลจริงเพียง 200 บาท ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า การกระทำของนายนที เป็นการปิดบังข้อเท็จจริงและยักยอกเงินของลูกความ ซึ่งเป็นการผิดมรรยาททนายความ สรุป: ทนายความมีหน้าที่สำคัญหลายประการต่อลูกความ ศาล และสังคม ทนายความต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รักษาความลับของลูกความ แจ้งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับคดีให้ลูกความทราบอย่างครบถ้วน และรักษาความยุติธรรม
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง),ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47184
Legal
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ กรณีศาลชั้นต้นรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อน ศาลฎีกาจะพิพากษายกฟ้องโจทก์หรือไม่ และหากพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาเดียวกันเพิ่มเติมภายหลัง โจทก์จะต้องทำอย่างไร
null
1. ศาลฎีกาจะพิพากษายกฟ้องโจทก์หรือไม่ ไม่ ศาลฎีกาจะไม่พิพากษายกฟ้องโจทก์เพียงเพราะศาลชั้นต้นรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อน เหตุผล กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องมีวัตถุประสงค์เพื่อคัดกรองคดีที่ไม่มีมูลความผิด เพื่อไม่ให้ศาลต้องเสียเวลาพิจารณาคดีที่ไร้สาระ แต่การที่ศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนมูลฟ้อง ไม่ได้หมายความว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า "คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้น โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้" หมายความว่า โจทก์สามารถอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ไต่สวนมูลฟ้องต่อศาลฎีกาได้ 2. หากพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาเดียวกันเพิ่มเติมภายหลัง โจทก์จะต้องทำอย่างไร โจทก์มี 2 ทางเลือก (1) เพิกถอนฟ้อง โจทก์สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเพิกถอนฟ้องคดีของตน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164 บัญญัติไว้ว่า "โจทก์มีอำนาจขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้อง หรือขอเพิกถอนฟ้องก่อนมีคำพิพากษา" (2) ดำเนินการต่อไป โจทก์สามารถดำเนินการฟ้องคดีต่อไป ศาลจะพิจารณาคดีของโจทก์และคดีของพนักงานอัยการรวมกัน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 33 บัญญัติไว้ว่า "ในคดีอาญาซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ และคดีอาญาซึ่งราษฎรเป็นโจทก์ เกี่ยวด้วยข้อหาเดียวกัน จำเลยคนเดียวกัน ศาลจะสั่งรวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกัน" สรุป ศาลฎีกาจะไม่พิพากษายกฟ้องโจทก์เพียงเพราะศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์มีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น หากพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาเดียวกันเพิ่มเติม โจทก์มี 2 ทางเลือก คือ เพิกถอนฟ้อง หรือ ดำเนินการต่อไป โจทก์ควรปรึกษาทนายความเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47196
Legal
ศาลสามารถสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยได้จำหน่ายไปก่อนหน้านั้นแล้วได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 37 มิได้บัญญัติให้ริบเฉพาะทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองของศาลหรือเจ้าพนักงานเท่านั้น แต่ศาลสามารถสั่งริบทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด แม้ทรัพย์สินนั้นจะไม่อยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานก็ตาม อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินที่ศาลจะสั่งริบได้นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่จริง ไม่ได้สูญหายไป หรือเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้จำหน่ายไปก่อนหน้านั้นจนเป็นสิทธิของบุคคลอื่นไปแล้ว หากทรัพย์สินที่ริบไม่มีตัว เช่น ถูกทำลายหรือสูญหายไป ศาลจะสั่งริบไม่ได้ เพราะไม่อาจจะตกเป็นของแผ่นดินได้ หลักฐานสนับสนุน: คำพิพากษาฎีกาที่ 377/2506 วินิจฉัยว่า ศาลสามารถสั่งริบยาสูบของกลางที่คืนให้จำเลยไปแล้วได้ เพราะยาสูบ tersebut ยังมีอยู่จริง ไม่ได้สูญหายไป คำพิพากษาฎีกาที่ 1587/2505 วินิจฉัยว่า ศาลไม่สามารถสั่งริบปืนของกลางที่จำเลยทิ้งนาจนสูญหายไปได้ เพราะปืนของกลางไม่มีตัว ไม่สามารถตกเป็นของแผ่นดินได้ คำพิพากษาฎีกาที่ 1396/2511 วินิจฉัยว่า ศาลไม่สามารถสั่งริบข้าวที่จำเลยได้จำหน่ายไปก่อนหน้านั้นแล้วได้ เพราะข้าวจำนวนนี้ไม่มีตัว ศาลจึงไม่อาจจะริบได้ สรุป: ศาลสามารถสั่งริบทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด แม้ทรัพย์สินนั้นจะไม่อยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานก็ตาม แต่ทรัพย์สินที่ริบนั้นจะต้องเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่จริง ไม่ได้สูญหายไป หรือเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้จำหน่ายไปก่อนหน้านั้นจนเป็นสิทธิของบุคคลอื่นไปแล้ว
ประมวลกฎหมายอาญา,ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47212
Legal
กรณีลูกหนี้รับสภาพหนี้ คดีจะขาดอายุความหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: อายุความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 กำหนดให้อายุความสำหรับสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้มีกำหนด 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ถึงกำหนดชำระหนี้ การรับสภาพหนี้: มาตรา 193/14(1) บัญญัติว่า อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อลูกหนี้รับสภาพหนี้ ผลของการรับสภาพหนี้: เมื่อลูกหนี้รับสภาพหนี้ ผลคือ อายุความเดิมจะหยุดลง และเริ่มนับอายุความใหม่ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ลูกหนี้รับสภาพหนี้ ตัวอย่าง: ลูกหนี้กู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้ 100,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงกำหนดชำระหนี้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ในวันที่ 1 มกราคม 2565 ลูกหนี้ส่งหนังสือรับสภาพหนี้ ในวันที่ 1 มกราคม 2567 เจ้าหนี้ฟ้องร้องคดี ในกรณีนี้ คดีไม่ขาดอายุความ เพราะว่า อายุความเดิม (10 ปี) หยุดลงในวันที่ 1 มกราคม 2565 อายุความใหม่ (2 ปี) เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 วันที่ฟ้องร้องคดี (1 มกราคม 2567) อยู่ภายใน 2 ปี สรุป: กรณีลูกหนี้รับสภาพหนี้ คดีจะไม่ขาดอายุความ เพราะว่า อายุความจะสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ลูกหนี้รับสภาพหนี้ หมายเหตุ: คำตอบข้างต้นเป็นเพียงหลักทั่วไป กฎหมายอาจมีข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขอื่น ๆ เพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละคดี ควรปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีเฉพาะของคุณ
กฎหมายลักษณะหนี้
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47215
Legal
ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ในหมวด ๑ การยื่นคำร้อง มีข้อกำหนดอะไรบ้าง
null
ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ ในหมวด ๑ การยื่นคำร้อง ข้อ ๖ การขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นโดยต้องแสดงถึง (๑) ปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมายที่ขออนุญาตฎีกาโดยชัดแจ้ง (๒) ปัญหาที่ขออนุญาตฎีกานั้นเป็นปัญหาสำคัญดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔๙ หรือในข้อกำหนดนี้ ซึ่งศาลฎีกาควรรับวินิจฉัย ข้อ ๗ ผู้ร้องต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาและต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับคำฟ้องฎีกานั้นด้วย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ถ้าผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องพร้อมสำนวนความไป ยังศาลฎีกา กรณีเช่นว่านี้ ให้องค์คณะผู้พิพากษามีคำสั่งไม่รับคำร้องและไม'รับฎีกาโดยสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมด หากมี ให้แก่ผู้ร้อง ข้อ ๘ ให้ศาลชั้นต้นมีอำนาจตรวจคำร้องและคำฟ้องฎีกาและมีคำสั่งตาม มาตรา ๑๘ หากผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องและคำฟ้องฎีกาดังกล่าวพร้อมสำนวนความไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป กรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้าองค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นถูกต้องให้มีคำสั่งไม่รับคำร้องและไม่รับฎีกา หรือถ้าไม่มีคำร้องก็ให้สั่งไม่รับฎีกาและสั่งคืน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดหากมี ให้แก่ผู้ร้อง ข้อ ๙ ในกรณีมีการขอขยายระยะเวลาใดๆ เช่น การยื่นคำร้องหรือคำฟ้อง ฎีกาหรือการชำระหรือวางเงินตามข้อ ๗ หากศาลชั้นต้นเห็นสมควรอนุญาตให้ขยายให้ศาลชั้นต้นสั่งตามที่เห็นสมควร หากจะไม่อนุญาต ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องขอขยายระยะเวลาพร้อมสำนวนความไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งโดยเร็วต่อไป ข้อ ๑๐ เมื่อศาลชั้นต้นได้ตรวจคำร้องและคำฟ้องฎีกาตามข้อ ๘ แล้ว ให้รีบส่งสำเนาคำร้องและคำฟ้องฎีกานั้นให้คู่ความอีกฝ่ายแล้วส่งคำร้องพร้อมคำฟ้องฎีกาและ สำนวนความไปยังศาลฎีกาโดยเร็ว ทั้งนี้ ไม่จำต้องรอคำคัดค้านของคู่ความฝ่ายนั้น แต่ในกรณีที่คู่ความอีกฝ่ายได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาด้วย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเกี่ยวแก่คำร้องดังกล่าวให้เสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วจึงส่งคำร้องและคำฟ้องฎีกาของคู่ความทุกฝ่าย ไปยังศาลฎีกาในคราวเดียวกัน ถ้ามีการยื่นคำคัดค้านภายหลังที่ได้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว ก็ให้ส่งคำคัดค้านนั้นไปยังศาลฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย ในกรณีที่มีการยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีในระหว่างฎีกา ให้ศาลชั้นต้น รีบส่งคำร้องนั้นไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาและห้ามมิให้มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องนั้น จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกา ทั้งนี้ ไม่กระทบถึงอำนาจในการสั่งงดการบังคับคดีหรือถอนการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พระราชกฤษฎีกา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47221
Legal
พยานบอกเล่ามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีตัวอย่างอะไรบ้าง
null
พยานบอกเล่าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้ 1. พยานบอกเล่าโดยตรง หมายถึง พยานบุคคลที่มาเบิกความในศาลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ตนได้เห็น ได้ยิน หรือรับรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างของพยานบอกเล่าโดยตรง ได้แก่ 1.1 พยานที่เห็นเหตุการณ์การทะเลาะวิวาทและมาเบิกความว่าเห็นจำเลยทำร้ายผู้เสียหาย 1.2 พยานที่ได้ยินเสียงปืนและมาเบิกความว่าได้ยินเสียงปืนมาจากบ้านของจำเลย 1.3 พยานที่ถูกข่มขู่และมาเบิกความว่าจำเลยเป็นผู้ข่มขู่ 2. พยานบอกเล่าทางเอกสาร หมายถึง เอกสารที่บันทึกข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าของบุคคลอื่น ตัวอย่างของพยานบอกเล่าทางเอกสาร ได้แก่ 2.1 บันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวนที่บันทึกคำพูดของพยาน 2.2 บันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ 2.3 บันทึกข้อความในโซเชียลมีเดีย 3. พยานบอกเล่าวัตถุ หมายถึง วัตถุที่บันทึกข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าของบุคคลอื่น ตัวอย่างของพยานบอกเล่าวัตถุ ได้แก่ 3.1 เทปบันทึกเสียง 3.2 เทปบันทึกภาพ 3.3 ข้อความในโทรศัพท์มือถือ ตัวอย่างเพิ่มเติม: -คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน ถือเป็นพยานบอกเล่า -คำบอกเล่าของผู้ตาย ถือเป็นพยานบอกเล่า -รายงานผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ถือเป็นพยานบอกเล่าประเภทเอกสาร -ภาพถ่ายที่ถ่ายไว้หลังเกิดเหตุ ถือเป็นพยานบอกเล่าประเภทวัตถุ ข้อควรจำ: -พยานบอกเล่าโดยทั่วไปมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานโดยตรง -ศาลจะพิจารณารับฟังพยานบอกเล่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความน่าเชื่อถือของพยาน -ความน่าเชื่อถือของข้อความ ลักษณะของคดี ตัวอย่าง การนำพยานบอกเล่ามาใช้ ในคดีความ -คดีอาญา: พยานบอกเล่ามักถูกนำมาใช้เพื่อประกอบพยานหลักฐานอื่น เช่น พยานบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์สามารถนำมาประกอบกับพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ -คดีแพ่ง: พยานบอกเล่ามักถูกนำมาใช้เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น พยานบอกเล่าของผู้ตายสามารถนำมาใช้เพื่อพิสูจน์สัญญาปากเปล่า สรุป: พยานบอกเล่าเป็นพยานหลักฐานประเภทหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพิจารณาคดี ความเข้าใจประเภทและตัวอย่างของพยานบอกเล่าจะช่วยให้เข้าใจกฎหมายและกระบวนการพิจารณาคดีได้ดียิ่งขึ้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47222
Legal
ในคดีอาญา เกี่ยวกับการปลอมแปลงลายเซ็น กรณีที่จำเลยอ้างว่า ลายเซ็นบนเอกสารนั้นไม่ใช่ลายเซ็นของตัวเอง จำเป็นต้องมีพยานผู้เชี่ยวชาญมาเบิกความหรือไม่ จงอธิบาย
null
อาจจะจำเป็น หลักเกณฑ์ทั่วไปในการรับฟังพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีอาญา ประเด็นข้อเท็จจริงนั้น เกินวิสัยความรู้ของสามัญชนทั่วไป จำเป็นต้องอาศัยความรู้เฉพาะทาง หรือ ความชำนาญพิเศษ พยานผู้เชี่ยวชาญนั้น มีความรู้ความเชี่ยวชาญในศาสตร์นั้นๆ โดยตรง ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญ นั้น เป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยคดี กรณีการปลอมแปลงลายเซ็น ลายเซ็น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล แต่ละคนย่อมมีลายเซ็นที่แตกต่างกัน การพิสูจน์ลายเซ็น ว่าเป็นลายเซ็นของบุคคลใดนั้น อาจจะเกินวิสัยความรู้ของสามัญชนทั่วไป จำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านลายเซ็น หรือ ลายนิ้วมือ มาตรวจสอบ ตัวอย่าง คดีอาญา หมายเลขดำ อ. 2098/2564 จำเลยถูกฟ้องร้องในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร จำเลยอ้างว่า ลายเซ็นบนเอกสารนั้นไม่ใช่ลายเซ็นของตัวเอง ศาลได้มีคำสั่งให้ส่งเอกสารลายเซ็นของจำเลยไปตรวจสอบกับกองพิสูจน์หลักฐาน ผลการตรวจพิสูจน์ พบว่า ลายเซ็นบนเอกสารนั้น ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย สรุป ในคดีอาญา เกี่ยวกับการปลอมแปลงลายเซ็น ศาลอาจจะรับฟังพยานผู้เชี่ยวชาญ มาเบิกความเพื่อพิสูจน์ลายเซ็น การรับฟังพยานผู้เชี่ยวชาญ หรือไม่ นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ประเด็นเพิ่มเติม ศาลอาจจะพิจารณาจาก พยานหลักฐานอื่นประกอบ เช่น พยานบุคคล พยานเอกสาร ศาลอาจจะตั้งผู้เชี่ยวชาญขึ้นเอง โดยไม่ต้องรอให้คู่ความเสนอ ข้อควรระวัง ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญ เป็นเพียงพยานหลักฐานประเภทหนึ่ง ศาลจะต้องนำไปประกอบกับพยานหลักฐานอื่น ศาลจะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งหมด โดยไม่ต้องยึดถือความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47227
Legal
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับการฟ้องร้องค่าเสียหายจากการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในต่างประเทศ หรือไม่?
null
ใช่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับการฟ้องร้องค่าเสียหายจากการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในต่างประเทศ เหตุผล: มาตรา 7(4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 บัญญัติไว้ว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับ "ลิขสิทธิ์" มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 บัญญัติไว้ว่า การละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นได้ทุกแห่งในราชอาณาจักร ไม่ว่าผู้ละเมิดจะมีถิ่นที่อยู่หรือภูมิลำเนาในราชอาณาจักรหรือไม่ก็ตาม หลักทั่วไปของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บุคคลมีสิทธิฟ้องร้องคดีต่อศาลในเขตที่ตนมีภูมิลำเนา หรือในเขตที่ตนถูกละเมิด หรือในเขตที่โจทก์หรือจำเลยมีทรัพย์สินอยู่ หรือในเขตที่ทำสัญญา หรือในเขตที่การละเมิดเกิดขึ้น หรือในเขตที่โจทก์หรือจำเลยประกอบธุรกิจ กรณีคดีแพ่งเกี่ยวกับการฟ้องร้องค่าเสียหายจากการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในต่างประเทศ โจทก์หรือจำเลยอาจมีภูมิลำเนา หรือถูกละเมิด หรือมีทรัพย์สินอยู่ หรือทำสัญญา หรือการละเมิดเกิดขึ้น หรือประกอบธุรกิจ ในต่างประเทศ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว ตัวอย่าง: บริษัท A ในประเทศไทย เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ได้ทำสัญญาอนุญาตให้บริษัท B ในต่างประเทศใช้ซอฟต์แวร์ บริษัท C ในต่างประเทศ ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์โดยใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่ได้รับอนุญาต บริษัท A ฟ้องร้องบริษัท C ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดลิขสิทธิ์ ข้อจำกัด: -ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศอาจไม่รับพิจารณาคดีหากโจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ -ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศอาจไม่รับพิจารณาคดีหากโจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายที่จำเป็นก่อนฟ้องร้อง สรุป: ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับการฟ้องร้องค่าเสียหายจากการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในต่างประเทศ หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น กรณีมีข้อสงสัยเพิ่มเติมควรปรึกษานักกฎหมาย
กฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรม,คำพิพากษาศาลฎีกา,กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47229
Legal
ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอย่างไร?
null
ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาพิพากษาในคดีเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ดังนี้: 1. พิจารณาว่าการเลิกจ้างนั้นเป็นธรรมหรือไม่: ศาลแรงงานจะพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้าง เช่น - สาเหตุการเลิกจ้าง - ระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง - ผลงานของลูกจ้าง - สภาพเศรษฐกิจของกิจการ - สิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างได้รับ - ฯลฯ 2. พิพากษาให้ลูกจ้างได้รับค่าชดเชย: หากศาลแรงงานพิจารณาว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรม ศาลจะพิพากษาให้ลูกจ้างได้รับค่าชดเชย - เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน - ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า - ค่าเสียหาย - ฯลฯ 3. พิพากษาให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน: ในบางกรณี ศาลแรงงานอาจพิพากษาให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน - กรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้า - กรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย - กรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยเลือกปฏิบัติ - ฯลฯ 4. กำหนดค่าเสียหายแทนการรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน: ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นว่า - ลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ - การรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานจะสร้างความเสียหายต่อนายจ้าง - ศาลแรงงานมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ - นายจ้างชดใช้ให้แทนการรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน 5. ผลของคำพิพากษา: คำพิพากษาของศาลแรงงานมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี - นายจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษา - ลูกจ้างมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษา 6. กรณีอุทธรณ์: คู่ความสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแรงงานได้ภายใน 15 วัน - อุทธรณ์ได้เฉพาะข้อกฎหมาย - ไม่สามารถอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง 7. ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ: ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเป็นศาลที่พิจารณาคดีอุทธรณ์จากศาลแรงงาน - ศาลอุทธรณ์ฯ จะรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานวินิจฉัยไว้ - ศาลอุทธรณ์ฯ มีอำนาจสั่งให้ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ตัวอย่างฎีกา: ฎีกา 1444/2533: การเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ฎีกา 2049/2524: ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน ฎีกา 5324/2538: ศาลแรงงานมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายแทนการรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน อ้างอิง: พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คำบรรยายเนติ อ.อนันต์ ชุมวิสูตร เล่ม 8 ภาค 2 สมัยที่ 68 หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถนำไปใช้เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีได้ แต่ละคดีมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่แตกต่างกัน คู่ความควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำ
ประมวลกฎหมายอาญา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47232
Legal
บุคคลพลเรือนสามารถฟ้องคดีต่อศาลทหารได้หรือไม่
null
ไม่ เหตุผล: ประเภทของศาลทหาร: ศาลทหารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ศาลทหารในเวลาปกติ และศาลทหารในเวลาไม่ปกติ โดยศาลทหารในเวลาปกติมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่ผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร: บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ประกอบด้วย: นายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการ นายทหารชั้นสัญญาบัตรนอกประจำการ นายทหารประทวน และพลทหาร กองประจำการหรือประจำการ หรือบุคคลที่รับราชการทหารตาม กฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร นักเรียนทหารตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ทหารกองเกิน ที่ถูกเข้ากองประจำการ พลเรือนที่สังกัดอยู่ในราชการทหาร เมื่อกระทำในหน้าที่ราชการทหารหรือกระทำผิดอย่างอื่นเฉพาะในหรือบริเวณอาคารที่ตั้งหน่วยทหาร ที่พักร้อน พักแรม ในเรือ อากาศยาน หรือยานพาหนะใดๆ ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร บุคคลที่ต้องขังหรืออยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดยชอบ ด้วยกฎหมาย เชลยศึกหรือชนชาติศัตรูซึ่งอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร การฟ้องคดีต่อศาลทหาร: ผู้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลทหารมี 2 ประเภท คือ: อัยการทหาร ผู้เสียหาย แต่ต้องเป็นผู้เสียหายที่อยู่ในอำนาจศาลทหารเท่านั้น ตัวอย่าง: สมมติว่า นาย A เป็นบุคคลพลเรือนถูกนาย B ทหารชั้นสัญญาบัตรทำร้ายร่างกาย กรณีนี้ นาย A สามารถฟ้องร้องนาย B ต่อศาลพลเรือนได้ ไม่สามารถฟ้องต่อศาลทหารได้ สมมติว่า นาย C ทหารชั้นประทวน ขโมยทรัพย์สินของนาย D พลเรือน กรณีนี้ นาย D สามารถฟ้องร้องนาย C ต่อศาลทหารได้ เพราะนาย C อยู่ในอำนาจศาลทหาร สรุป: บุคคลพลเรือนไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลทหารได้โดยตรง ยกเว้นกรณีที่ได้รับอนุญาตจากกฎหมายเฉพาะ
กฎหมายทหาร
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47234
Legal
ใครมีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ?
null
บุคคลที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มี 3 ประเภท ดังนี้: 1. ศาล: ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร กรณี ศาลเหล่านี้เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยได้ ตัวอย่าง: ศาลฎีกาพิจารณาคดีอาญาและเห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัย ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีปกครองและเห็นว่าพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีปกครอง มาตรา 77 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองสูงสุดสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัย 2. บุคคล บุคคลธรรมดา นิติบุคคล กรณี บุคคลนั้นถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ บุคคลนั้นสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตัวอย่าง: ประชาชนถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยว่ากฎหมายที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้จับกุมตนนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บริษัทเอกชนถูกหน่วยงานรัฐออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย บริษัทสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยว่ากฎหมายที่หน่วยงานรัฐใช้เพิกถอนใบอนุญาตนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 3. ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณี ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยว่าบทบัญญัติกฎหมายนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตัวอย่าง: ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจพบว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ หมายเหตุ: ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง),กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47252
Legal
ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 253 ได้หรือไม่?
null
ได้ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 253 บัญญัติไว้ว่า: "ในคดีมีทุนทรัพย์ จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินประกันตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด" มาตรา 253 นี้ มอบอำนาจให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย โดยไม่ต้องรอให้มีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อน เหตุผลในการให้ศาลมีอำนาจดังกล่าว เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลย ในกรณีที่โจทก์แพ้คดีแล้วหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ศาลจะสั่งให้โจทก์วางเงินประกันได้ จำเป็นต้องพิจารณาเหตุผลของจำเลยว่า มีเหตุอันสมควรหรือไม่ ศาลจะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น สถานะทางการเงินของโจทก์ พฤติการณ์ของโจทก์ ความน่าเชื่อถือของหลักฐาน ความเสี่ยงที่จำเลยจะไม่ได้รับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินประกัน และโจทก์ไม่วางเงินประกันตามที่ศาลกำหนด ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง คำพิพากษาฎีกาที่ 1106/2530 คำพิพากษาฎีกาที่ 3155/2526 คำพิพากษาฎีกาที่ 1487/2529 สรุป: ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 253 ได้ โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47291
Legal
การตีความกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อาจารย์ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ว่า เมื่อท่านได้ฟังแล้ว ท่านจะสามารถระบุความหมาย ภารกิจที่มาและหลักการตีความกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้อย่างถูกต้อง ประเด็นการบรรยายในครั้งที่ ๑ ในเรื่อง ความหมายของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาเป็นกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์การบังคับใช้กฎหมายอาญา กฎหมายอาญาจริงๆใช่หรือไม่
null
ใช่ การตีความกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อาจารย์ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ว่า เมื่อท่านได้ฟังแล้ว ท่านจะสามารถระบุความหมาย ภารกิจที่มาและหลักการตีความกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้อย่างถูกต้อง ประเด็นการบรรยายในครั้งที่ ๑ ในเรื่อง ความหมายของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาเป็นกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์การบังคับใช้กฎหมายอาญา กฎหมายอาญาจริงๆ แล้วไม่มีพิษสงอะไรเลย ถ้าไม่มีกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเข้ามาช่วย ไม่เหมือนกฎหมายแพ่ง ป.วิ.แพ่ง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ เว้นแต่จะมีเรื่องกัน แต่วิธีพิจารณาความอาญาพอมีการกระทำผิด กฎหมายวิธีพิจารณาความจะเข้ามาเกี่ยวข้องทันที บางประเทศบอกว่ากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นเงาของรัฐธรรมนูญ เพราะเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของบุคคล ต้องไปคุ้มครองสิทธิ ความหมายของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่เหมือนกฎหมายแพ่ง ป.วิ.แพ่ง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ เว้นแต่จะมีเรื่องกัน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็เป็นกฎหมายมหาชนประเภทหนึ่ง และเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ กฎหมายอาญามีความหมาย ๒ ความหมาย คือ ความหมายอย่างแคบและความหมายอย่างกว้าง ความหมายอย่างแคบก็คือ กฎหมายอาญาที่เราได้เรียนมาแล้ว แต่ในความหมายอย่างกว้าง กฎหมายอาญาจะประกอบด้วยกฎหมาย ๓ ส่วน คือ กฎหมายอาญาสาระบัญญัติ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และ กฎหมายว่าด้วยการบังคับโทษ (กฎหมายราชทัณฑ์) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็เป็นกฎหมายมหาชนประเภทหนึ่ง กฎหมายราชทัณฑ์เป็นกฎหมายที่สำคัญ เมื่อมีการกระทำผิด จะมีการ จัดการกับผู้กระทำผิด เมื่อดำเนินคดีจนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแล้ว ผู้กระทำผิดจะมีสิทธิอะไรบ้าง เป็นเรื่องของกฎหมายราชทัณฑ์ เราจะไม่มีความรู้เลย เพียงแต่รู้ว่าผู้กระทำผิดต้องไปติดคุกเท่านั้น แต่ในระดับสหประชาชาติเขาสนใจวิชานี้มาก ตอนนี้จะมีตำรากฎหมายของ อ.ดร.ธานี วรพิฒน์ เพราะกฎหมายบังคับโทษเกี่ยวข้องกับเยาวชนด้วย นอกจากนี้กฎหมายราชทัณฑ์ยังเกี่ยวกับเยาวชนด้วย เยาวชนบางคนก็อาจจะถูกจำคุกได้ เราควรมีความรู้ไว้ด้วย นอกจากนี้มีกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ (International criminal law) มีตำราของ อ. ปกป้อง ศรสนิท กฎหมายราชทัณฑ์เป็นกฎหมายที่สำคัญ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นกฎหมายมหาชน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นกฎหมายที่รักษาความสงบเรียบร้อย และเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลด้วย เวลาเราเรียนกฎหมายเราจะคิดว่ากฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญาเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจ แต่ความจริงไม่ใช่ กฎหมายจะเขียนว่าห้ามมิให้ เว้นแต่ เช่น ห้ามไม่ให้จับเว้นแต่จะมีหมายหรือคำสั่งของศาล กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลด้วย กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นกฎหมายมหาชน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ดีต้องเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิ ต้อง มีความเป็นเสรีนิยม และต้องมีความเป็นประชาธิปไตย เช่น การพิจารณาคดีต้องกระทำโดยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น แต่ทางปฏิบัติเรายังปฏิบัติไม่ถูกทำให้เป็นการคุกคามสิทธิ เช่น การขอปล่อยชั่วคราว ถ้ากำหนดหลักประกันสูงมาก ประชาชน ไม่สามารถหาหลักประกันมาวางได้ หรือต้องไปหากู้เงินนอกระบบมาทำให้ประชาชน เดือดร้อน กฎหมายวิธีพิจารณาความของเราดี มีความเป็นเสรีนิยม แต่วิธีปฏิบัติ ไม่ถูกต้อง เราไม่ค่อยเข้าใจจิตวิญญาณของกฎหมาย แล้วกฎหมายต้องมีความเป็น ประชาธิปไตย การพิจารณาต้องกระทำต่อหน้า และต้องประกันสิทธิของบุคคลด้วย ถ้าเราปฏิบัติกับเขาอย่างมีความเป็นมนุษย์ คนก็เข้าสู่สังคมได้ดี กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอยู่ที่ใดบ้าง เราเป็นประเทศที่ใช้ประมวล กฎหมาย (civil law) กฎหมายอาญาจะมีหลักในมาตรา ๒ บอกว่า บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย กฎหมายอาญาจะใช้กฎหมายจารีตประเพณีไม่ได้นำกฎหมาย ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้ไม่ได้ ต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดเจนแน่นอน หลักมาตรา ๒ ผมเคยไปออกเป็นข้อสอบเข้าเรียนชั้นปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ถามว่า เราจะนำกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใช้ได้หรือไม่ ในกฎหมายอาญาจะเอามาใช้ไม่ได้ หลักมาตรา ๒ ที่มาของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ของเราก็มีประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญาเมื่อปี ๒๔๗๘ นอกจากนี้ก็ยังมีพระราชบัญญัติพนักงานองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ เป็นส่วนหนึ่งของ วิ.อาญา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงก็เป็น วิ.อาญา เหมือนกันพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว พระธรรมนูญศาลยุติธรรมก็เป็นวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็เป็นวิอาญา ประการหนึ่งเหมือนกัน ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๕ บอกว่า ในกรณีที่ ป.วิ.อาญา ไม่มีบทบัญญัติไว้โดยตรง ก็ให้เอา ป.วิ.แพ่ง มาใช้โดยอนุโลม ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๕ บอกว่า ในกรณีที่ ป.วิ.อาญา ไม่มีบทบัญญัติไว้โดยตรง ก็ให้เอา ป.วิ.แพ่ง มาใช้โดยอนุโลม ป.วิ.แพ่ง กับ ป.วิ.อาญา มีแนวคิดที่ต่างกัน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ใช้หลักการตรวจสอบ ที่เขาเรียกว่า examination principle เขาต้องตรวจสอบความจริง แท้ของเรื่อง แต่ถ้าในคดีแพ่งใช้หลักความตกลง ที่เรียกว่า negotiation สิ่งไหนที่เป็น เรื่องของ negotiation ใน ป.วิ.แพ่ง จะนำมาใช้ใน ป.วิ.อาญา ไม่ได้ ป.วิ.แพ่ง กับ ป.วิ.อาญา มีแนวคิดที่ต่างกัน พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็เกี่ยวข้องกับกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเหมือนกัน พระราชบัญญัติรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พระราชบัญญัติสอบสวนคดีพิเศษ และอื่นๆ ก็เกี่ยวข้องกับกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เราก็ต้องเรียนรู้ทั้งหมด ตัวอย่างแนวทางการพิจารณาหากฎหมาย ตอนที่ผมกลับจากเมืองนอกใหม่ ๆ มีสำนวนคดีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ เจ้าพนักงานป่าไม้ยึดไม้กระยาเลยซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อนไว้เป็นของกลางในคดี ตามทางปฏิบัติของราชการในสมัยนั้น เมื่อคดีถึงที่สุด แล้วก็จะขายให้องค์กรอุตสาหกรรมป่าไม้เพื่อนำไปแปรรูปใช้ประโยชน์ต่อไป แต่เนื่องจากการดำเนินคดีอาญาของเราใช้เวลานาน กว่าคดีจะถึงที่สุดไม้ของกลางก็ผุหมดแล้ว ใช้ประโยชน์ไม่ได้ เขาก็มีข้อหารือมาที่กรมอัยการว่าเจ้าพนักงานป่าไม้จะขายของกลางที่ยึดไว้โดยไม่รอให้คดีถึงที่สุดได้หรือไม่ เราจะตอบอย่างไร สิ่งแรกเราต้องดูว่า ป.วิ.อาญา บอกว่าวิอาญาจะขายของกลางระหว่างคดีได้หรือไม่ ถ้าได้เรียบร้อยเลย ถ้าไม่มีเราก็ดูว่า กฎหมายเฉพาะมีหรือไม่ หากไม่มีก็ไปดู ป.วิ.แพ่ง ว่าไว้อย่างไร เพราะ ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๕ ให้นำ ป.วิ.แพ่ง มาใช้โดยอนุโลม บทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา มีมาตรา ๘๕ วรรคสาม บอกว่า สิ่งของใดที่ยึดไว้ เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือผู้อื่น ชึ่งมีสิทธิเรียกร้องคืนของกลางนั้น เว้นแต่ศาลจะได้สั่งเป็นอย่างอื่น สั่งเป็นอย่างอื่นก็คือ ริบ อันนี้ไม่ใช่ระหว่างคดีแล้ว
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47298
Legal
การกระทำของผู้ข่มเหงต้องเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม คืออะไร
null
ผู้ข่มเหงไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้ข่มเหงมีอำนาจที่จะกระทำได้ ผู้กระทำก็ต้องยอมรับ การกระทำของผู้ข่มเหงต้องเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ เป็นการกระทำโดยเจตนา หากผลเกิดแก่บุคคลอื่นโดยพลาด ถือว่าเป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60 ด้วย การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ผู้กระทำความผิดจะต้องกระทำความผิดเพราะความโกรธที่มาจากการข่มเหง และต้องกระทำความผิด ต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น แต่ถ้าการข่มเหงขาดตอนไปแล้ว ควรหมดโทสะได้แล้ว หากไปกระทำผิดต่อผู้นั้นอ้าจจะเพื่อแก้แค้น ดังนี้ ก็อ้างบันดาลโทสะไม่ได้ บันดาลโทสะ เป็นเหตุลดโทษ
ประมวลกฎหมายอาญา,ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47299
Legal
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๓๓/๒๕๕๕ มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายมีขนาดยาวประมาณ ๑ ฟุต ถือเป็นมีดที่มีขนาดใหญ่วิญญูชนโดยทั่วไปย่อมทราบว่าสามารถทำอันตรายต่อชีวิตได้ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าท้องซึ่งมีอวัยวะสำคัญอยู่ภายใน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ จำเลยไม่ได้ทะเลาะกับผู้เสียหายไม่มีเหตุจะฆ่าก็ตาม แต่ในสภาวะขณะที่แทงนั้นต้องพิจารณาจากการกระทำอันเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยและฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้าย ใช่หรือไม่
null
ใช่ คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๓๓/๒๕๕๕ มีดที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายมีขนาดยาวประมาณ ๑ ฟุต ถือเป็นมีดที่มีขนาดใหญ่วิญญูชนโดยทั่วไปย่อมทราบว่าสามารถทำอันตรายต่อชีวิตได้ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าท้องซึ่งมีอวัยวะสำคัญอยู่ภายใน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ จำเลยไม่ได้ทะเลาะกับผู้เสียหายไม่มีเหตุจะฆ่าก็ตาม แต่ในสภาวะขณะที่แทงนั้นต้องพิจารณาจากการกระทำอันเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยและฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้าย ***คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๓๓ /๒๕๕๕ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าท้องซึ่งมีอวัยวะสำคัญอยู่ภายใน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แต่ในสภาวะขณะที่แทงนั้นต้องพิจารณาจากการกระทำอันเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยและฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้าย การที่จำเลยมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อน ๔ ถึง ๕ คน และถือเก้าอี้จะทำร้ายจำเลย แม้สาเหตุการทะเลาะจะเป็นเรื่องเล่นการพนันซึ่งผิดกฎหมาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นคนก่อเหตุและสมัครใจทะเลาะวิวาทด้วย จำเลยหันไปแทงผู้เสียหายที่เข้ามาทางด้านหลังเพียง ๑ ครั้ง ย่อมถือว่าจำเลยใช้สิทธิป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้เสียหายเข้าทางด้านหลังจำเลยระหว่างนั้นทำให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายจะเข้ามาทำร้าย จึงเป็นกรณีที่จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง จำเลยก็สามารถอ้างเหตุป้องกันได้ตาม ป.อ. มาตรา ๖๒ วรรคแรก แต่ผู้ที่ร่วมทำร้าย จำเลยมีเพียงเก้าอี้เป็นอาวุธและยังไม่ได้ทำร้ายจำเลย โดยเฉพาะผู้เสียหายแม้จะเข้ามาทางด้านหลังของจำเลยแต่ผู้เสียหายก็ไม่มีอาวุธ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดยาวประมาณ ๑ ฟุต แทงผู้เสียหายบริเวณหน้าท้องซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอย่างรุนแรง จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา ๖๙ การที่จำเลยมีเรื่องทะเลาะกับเพื่อน ๔ ถึง ๕ คน และถือเก้าอี้จะทำร้ายจำเลย แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นคนก่อเหตุและสมัครใจทะเลาะวิวาทด้วย ย่อมถือว่าจำเลยใช้สิทธิป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นกรณีที่จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง จำเลยก็สามารถอ้างเหตุป้องกันได้ตาม ป .อ. มาตรา ๖๒ วรรคแรก วิชา กฏหมายอาญา มาตรา59-106 (อ.ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์) สมัยที่ 68 เล่มที่ 11*
คำพิพากษาศาลฎีกา,ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47304
Legal
รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี ๒๕๕๗ มีบทบัญญัติสำคัญอะไรบ้าง
null
รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี ๒๕๕๗ มีบทบัญญัติสำคัญ ดังนี้ ๑. มีการรับรองการใช้อำนาจรัฐประหารซึ่งในเวลาที่ใช้อำนาจรัฐประหารอยู่ ตั้งแต่พฤษภาคมจนกระทั่งถึงออกรัฐธรรมนูญชั่วคราวในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ซึ่งมีการใช้อำนาจรัฐประหารออกประกาศ คสช. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพราะฉะนั้นพอประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวก็เขียนในรัฐธรรมนูญว่า บรรดาประกาศ คำสั่งของหัวหน้า คสช. ไม่ว่าประกาศให้มีผลในทางรัฐธรรมนูญ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการให้ประกาศ หรือคำสั่งตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งไม่ว่ากระทำก่อนหรือหลังวันที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวใช้บังคับเป็นประกาศหรือคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุดและให้ประกาศหรือคำสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้มีผลบังคับต่อไป จนกว่าจะมีกฎหมาย กฎข้อบังคับ มติ คณะรัฐมนตรี หรือคำสั่งใดแล้วแต่กรณีแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก นี่คือบทรองรับการประกาศหรือสั่งของ คสช. ๒. มีการนิรโทษกรรมตามปกติ เมื่อมีการรัฐประหารก็จะมีการนิรโทษกรรมโดยการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแต่ธรรมเนียมการนิรโทษกรรมโดยรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นครั้งแรกในปี ๒๕๔๙ เมื่อเคยเกิดขึ้นในปี ๒๕๔๙ แล้วรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๗ ก็เอาธรรมเนียมนั้นมาเขียน ซึ่งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอันมากว่าไม่ยอมเสี่ยงแล้วเพราะรู้ว่า ถ้ารอสภาอาจจะมีปัญหาเลยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวเลยในมาตรา ๔๘ ว่าบรรดาการกระทำทั้งหลายที่ได้ทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ของหัวหน้า คสช. รวมทั้งการกระทำและบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว ให้การกระทำทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางรัฐธรรมนูญ ทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ รวมทั้งการลงโทษในการกระทำเป็นการบริหารราชการ อย่างอื่นไม่ว่าจะทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ ผู้ถูกใช้ ไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้นหากเป็นผิดกฎหมายให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนไปฟ้อง คสช. ศาลอาญาไม่รับฟ้อง แล้วก็เคยมีการเอาประกาศ คสช. ขึ้นมาแล้วต่อสู้ว่าประกาศ คสช. เป็นประกาศที่ออกโดย การกบฏ ศาลฎีกาก็ยกฟ้อง แต่มีความเห็นของผู้พิพากษาศาลฎีกาคนหนึ่งชื่อกีรติ กาญจนรินทร์ ในคดีจงใจยื่นทรัพย์สิน แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จเป็น ๑ ใน ๙ ขององค์คณะมีความเห็นส่วนตนว่าการยึดอำนาจไม่ชอบ เมื่อการยึดอำนาจไม่ชอบประกาศที่ออกโดยคณะผู้ยึดอำนาจก็ไม่ชอบ แต่เป็นเพียงความเห็นข้างน้อย เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนไปฟ้อง คสช. ศาลอาญาไม่รับฟ้อง เมื่อการยึดอำนาจไม่ชอบประกาศที่ออกโดยคณะผู้ยึดอำนาจก็ไม่ชอบ แต่เป็นเพียงความเห็นข้างน้อย
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายรัฐธรรมนูญ,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ,กฎหมายเลือกตั้ง
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47309
Legal
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ กำหนดอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับงานประเภทต่างๆ ไว้ในมาตรา ๑๙ ถึงมาตรา ๒๖ ใช่หรือไม่
null
ใช่ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ กำหนดอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับงานประเภทต่างๆ ไว้ในมาตรา ๑๙ ถึงมาตรา ๒๖ โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ มาตรา ๑๙ บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๒ ลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัตินี้ให้มีอยู่ตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลาห้าสิบปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย มาตรา ๑๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าวให้มีอยู่ตลอดอายุของ ผู้สร้างสรรค์ร่วม และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลาห้าสิบปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้าย ถึงแก่ความตาย ถ้าผู้สร้างสรรค์หรือผู้สร้างสรรค์ร่วมทุกคนถึงแก่ความตายก่อนที่ได้มีการโฆษณางานนั้น ให้ลิขสิทธิ์ดังกล่าวมีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก **ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล ให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ให้ลิขสิทธิ์ มีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก **ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล ให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้น มาตรา ๑๙ เป็น บทบัญญัติว่าด้วยอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับงาน สร้างสรรค์ที่มิได้ระบุไว้ในมาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๒ ซึ่งได้แก่ งานวรรณกรรมรวมทั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ งานนาฏกรรม งานจิตรกรรม งานประติมากรรม งานภาพพิมพ์ งานสถาปัตยกรรม งานภาพประกอบ แผนที่โครงสร้าง ภาพร่าง หรืองานสร้างสรรค์รูปทรง สามมิติอันเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศหรือวิทยาศาสตร์ งานดนตรีกรรม และงานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ ส่วนงานประเภทที่ระบุไว้ ในมาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๒ ได้แก่ งานภาพถ่าย งานโสตทัศนวัสดุ งานภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ และงานศิลปประยุกต์ ซึ่งได้บัญญัติถึงอายุแห่งการคุ้มครองสำหรับงานดังกล่าวไว้โดยเฉพาะอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับกรณีที่ผู้สร้างสรรค์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดากำหนดไว้ตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และมีอยู่ต่อไปอีก เป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์งานถึงแก่ความตาย มาตรา ๑๙ และมีอยู่ต่อไปอีก เป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์งานถึงแก่ความตาย ส่วนกรณีผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคลให้ลิขสิทธิ์มีอยู่ห้าสิบปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น ซึ่งเป็นการบัญญัติให้เป็นไปตามพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่ตามอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงาน วรรณกรรมและศิลปกรรม และสอดคล้องกับพันธกรณีตามความตกลงทริปส์ TRIPs ซึ่ง กำหนดไวใน Article 12 ว่าด้วยอายุแห่งการคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ว่า ส่วนกรณีผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคลให้ลิขสิทธิ์มีอยู่ห้าสิบปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น “เว้นแต่งานภาพถ่าย หรืองานศิลปประยุกต์ เมื่อใดที่คำนวณอายุการคุ้มครองบนพื้นฐานอื่นนอกเหนือจากชีวิตของบุคคลธรรมดา อายุของการคุ้มครองดังกล่าวจะไม่น้อยกว่า ๕๐ ปี นับจากวันสิ้นสุดของปีปฏิทินของการโฆษณาที่ได้รับอนุญาต หรือ หากไม่มีการโฆษณาโดยได้รับอนุญาตดังกล่าวภายใน ๕๐ ปี นับจากการสร้างงานนั้น ก็ให้นับ ๕๐ ปี จากวันสิ้นสุดของปีปฏิทินที่สร้างงานนั้น” “เว้นแต่งานภาพถ่าย หรืองานศิลปประยุกต์ เมื่อใดที่คำนวณอายุการคุ้มครองบนพื้นฐานอื่นนอกเหนือจากชีวิตของบุคคลธรรมดา อายุของการคุ้มครองดังกล่าวจะไม่น้อยกว่า ๕๐ ปี นับจากวันสิ้นสุดของปีปฏิทินของการโฆษณาที่ได้รับอนุญาต หรือ หากไม่มีการโฆษณาโดยได้รับอนุญาตดังกล่าวภายใน ๕๐ ปี นับจากการสร้างงานนั้น ก็ให้นับ ๕๐ ปี จากวันสิ้นสุดของปีปฏิทินที่สร้างงานนั้น” ในกรณีที่งานอันมีลิขสิทธิ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งมีผู้สร้างสรรค์ร่วมกันสร้างงานหลายคน ลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าวจะมีอยู่ตลอดอายุผู้สร้างสรรค์ทุกคน และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย ถ้าผู้สร้างสรรค์งานคนเดียวหรือผู้สร้างสรรค์งานร่วมทุกคนถึงแก่ความตายก่อนที่ได้มีการโฆษณางานนั้น ให้ลิขสิทธิ์ดังกล่าวมีอายุ ๕๐ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙ วรรคสาม ถ้าผู้สร้างสรรค์งานคนเดียวหรือผู้สร้างสรรค์งานร่วมทุกคนถึงแก่ความตายก่อนที่ได้มีการโฆษณางานนั้น ให้ลิขสิทธิ์ดังกล่าวมีอายุ ๕๐ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙ วรรคสาม อย่างไรก็ดี การโฆษณางานนั้นจะต้องทำภายในเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตายหรือนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วม คนสุดท้ายถึงแก่ความตาย แล้วแต่กรณีด้วย หากทำการโฆษณางานเป็นครั้งแรกเมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว จะไม่ทำให้ลิขสิทธิ์ดังกล่าวมีอายุ ๕๐ ปี นับแต่ได้มีการ โฆษณานั้นได้ เพราะงานอันมีลิขสิทธิ์นั้นได้ตกเป็นงานสาธารณะหรือเป็นงานที่สิ้นอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ไปแล้ว ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคลก็เช่นเดียวกัน หากมีการโฆษณางานที่ นิติบุคคลนั้นสร้างขึ้นในระหว่างระยะเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นก็ให้ลิขสิทธิ์ในงานนั้นขยายออกไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก (มาตรา ๑๙ วรรคท้าย) ข้อสังเกต หากงานอันมีลิขสิทธิ์นั้นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลสร้างสรรค์ขึ้นในขณะที่พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ลิขสิทธิ์มีอายุตลอดชีวิต ผู้สร้างสรรค์ และต่อไปอีก ๓๐ ปี ข้อสังเกต ส่วนที่ออกโฆษณาเป็นตอนๆ อายุแห่งการคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันโฆษณาตอนนั้น ๆ ถ้าผู้สร้างสรรค์ตายก่อนโฆษณา ให้อายุลิขสิทธิ์มีกำหนด ๓๐ ปี เริ่มตั้งแต่วันโฆษณา การโฆษณางานดังกล่าวในกรณีที่บุคคลธรรมดาเป็นผู้สร้างสรรค์ก็ต้องทำภายในเวลา ๓๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย หรือในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้สร้างสรรค์นิติบุคคลนั้นก็ต้องนำงานนั้นออกโฆษณาภายในเวลา ๓๐ ปี นับแต่วันที่ได้สร้างสรรค์งานนั้น หากทำการโฆษณางานเป็นครั้งแรกเมื่อพ้นกำหนดเวลา ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ทำให้ลิขสิทธิ์ดังกล่าวมีอายุ ๓๐ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณางานนั้นได้ เพราะงานอันมีลิขสิทธิ์นั้นได้ตกเป็นงานสาธารณะหรือเป็นงานที่สิ้นอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ไปแล้ว (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๙๗/๒๕๔๘) ส่วนที่ออกโฆษณาเป็นตอนๆ อายุแห่งการคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันโฆษณาตอนนั้น ๆ การโฆษณางาน ในที่นี้หมายถึง เฉพาะการนำสำเนาจำลองของงานไม่ว่าในรูปหรือลักษณะอย่างใดที่ทำขึ้นโดยความยินยอมของผู้สร้างสรรค์ออกจำหน่ายโดยสำเนาจำลองนั้นมีปรากฏต่อสาธารณชน เป็นจำนวนมากพอสมควรตามสภาพของงานนั้น มิได้หมายถึงการกระทำที่เป็นเพียงการ แสดงหรือการทำให้ปรากฏซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ด้วยการบรรยายหรือการแพร่เสียงแพร่ภาพ เท่านั้น การโฆษณางาน มีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งว่า ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ร่วมกับนิติบุคคล ซึ่งกรณีนี้มาตรา ๑๙ ไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรง แต่ก็น่าจะต้องถือว่าลิขสิทธิ์ร่วมกันในงานอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นมีอยู่ตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ซึ่งเป็นบุคคล ธรรมดานั้นถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๑๙ วรรคสอง อายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์ที่ใช้นามแฝงหรือกรณีไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์ อายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์ที่ใช้นามแฝงหรือกรณีไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์ มาตรา ๒๐ บัญญัติว่า “งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ที่ได้สร้างสรรค์ ขึ้นโดยผู้สร้างสรรค์ใช้นามแฝงหรือไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์ ให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปีนับ แต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก มาตรา ๒๐ ในกรณีที่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์ให้นำมาตรา ๑๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม” กรณีตามมาตรานี้เป็นการนับอายุแห่งการคุ้มครองงานสร้างสรรค์ที่ผู้สร้างสรรค์ใช้นามแฝง หรือไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์ การนับอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ให้นับตั้งแต่วันที่ได้สร้างงานเสร็จสิ้นสมบูรณ์ หรือถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรกในระยะเวลาแห่งการคุ้มครอง ให้ถือว่าลิขสิทธิ์มีอยู่เป็นเวลาห้าสิบปีนับแต่วันที่ได้มีการโฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ให้ถือว่าลิขสิทธิ์มีอยู่เป็นเวลาห้าสิบปีนับแต่วันที่ได้มีการโฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก กรณีผู้สร้างสรรค์ใช้นามแฝงหรือในกรณีที่ไม่ปรากฎชื่อผู้สร้างสรรค์ หากทราบว่า ผู้สร้างสรรค์นั้นเป็นผู้ใด กฎหมายก็ให้นำมาตรา ๑๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม กล่าวคือ อายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานที่สร้างขืนจะมีอยู่ตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และมีอยู่ต่อไป อีกเป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย การทราบตัวผู้สร้างสรรค์ว่าเป็น ผู้ใดจะทราบเมื่อใดก็ได้ หรือจะทราบภายหลังจากสร้างงานแล้วนานเพียงใดก็ได้ทันที ที่ทราบก็ใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรา ๑๙ ดังกล่าว กรณีที่จะบังคับตามมาตรา ๒๐ ดังกล่าว น่าจะต้องเป็นกรณีมีตัวผู้สร้างสรรค์ ที่ใช้นามแฝงหรือมีตัวผู้สร้างสรรค์ในงานที่ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์นั้นอยู่จริง เพียงแต่ผู้สร้างสรรค์มิได้เปิดเผยชื่อ จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าใครเป็นผู้สร้างสรรค์งานนั้น แต่ทันทีที่ผู้สร้างสรรค์ที่ใช้นามแฝงหรือผู้สร้างสรรค์ที่แท้จริงได้เปิดเผยชื่อ อายุแห่งการคุ้มครอง ลิขสิทธิ์ในงานนั้นก็จะเป็นไปตามมาตรา ๑๙ ส่วนในขณะที่ยังไม่เปิดเผยชื่อผู้สร้างสรรค์ กรณีที่จะบังคับตามมาตรา ๒๐ ดังกล่าว ต้องเป็นกรณีมีตัวผู้สร้างสรรค์ ที่ใช้นามแฝงหรือมีตัวผู้สร้างสรรค์ในงานที่ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์นั้นอยู่จริง ลิขสิทธิ์ในงานนั้นจะมีอายุ ๕o ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น และหากมีการโฆษณางานนั้นก่อนที่จะเปิดเผยชื่อลิขสิทธิ์ในงานนั้นจะมีอายุ ๕๐ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณา เป็นครั้งแรก ลิขสิทธิ์ในงานนั้นจะมีอายุ ๕ o ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น อายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ตามมาตรา ๒๑ และ ๒๒ อายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ตามมาตรา ๒๑ และ ๒๒ มาตรา ๒๑ ลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพให้มีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น แต่ถ้าได้มีการ โฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ ลิขสิทธิ์ในงานศิลปะประยุกต์ให้มีอายุยี่สิบห้าปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ให้ลิขสิทธิ์มีอายุยี่สิบห้าปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก มาตรา ๒๒ กรณีตามมาตรา ๒๑ ในกรณีที่ยังไม่ได้โฆษณางาน ลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่ายโสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึก เสียง หรืองานแพร่เสียง แพร่ภาพจะมีอายุ ๕๐ ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น หากในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้มีการโฆษณางานนั้น ลิขสิทธิ์ในงานดังกล่าว จะมีอายุ ๕๐ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก กรณีตามมาตรา ๒๑ ดังนี้หากผู้สร้างสรรค์สร้างงานนั้นขึ้นมาแล้วนานถึง ๙๙ ปี ๑๑ เดือน จึงเพิ่งทำการโฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก งานนั้นก็จะได้รับความคุ้มครองต่อไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก รวมแล้ว งานอันมีลิขสิทธิ์ดังกล่าวจะได้รับความคุ้มครองประมาณถึง ๙๙ ปี ๑๑ เดือน ดังนี้หากผู้สร้างสรรค์สร้างงานนั้นขึ้นมาแล้วนานถึง ๙๙ ปี ๑๑ เดือน จึงเพิ่งทำการโฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ข้อสังเกต ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์งานภาพถ่ายโสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ตามมาตรา ๒๑ มิได้โฆษณางานและ ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตายหลังจากสร้างงานได้ยังไม่ถึง ๕๐ ปี เช่นนี้ สิทธิในลิขสิทธิ์ ภายหลังจากผู้สร้างสรรค์งานถึงแก่ความตายยังคงมีอยู่ต่อไปจนครบ ๕๐ ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น โดยสิทธิในลิขสิทธิ์ดังกล่าวจะตกทอดไปยังทายาท หาใช่ลิขสิทธิ์นั้นยังคงมีอยู่ต่อไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์งานถึงแก่ความตายไม่ ข้อสังเกต โดยสิทธิในลิขสิทธิ์ดังกล่าวจะตกทอดไปยังทายาท ส่วนตามมาตรา ๒๒ ในกรณีที่ยังไม่ได้มีการโฆษณางาน ลิขสิทธิ์ในงาน ศิลปประยุกต์ จะมีอายุ ๒๕ ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น ส่วนกรณีที่ได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลา ๒๕ ปี ดังกล่าว กฎหมายกำหนดให้ลิขสิทธิ์ในงานศิลปประยุกต์นั้นมีอายุ ๒๕ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก ส่วนตามมาตรา ๒๒ ลิขสิทธิ์ในงาน ศิลปประยุกต์ จะมีอายุ ๒๕ ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น ***อย่างไรก็ดี หากนับตั้งแต่สร้างงานศิลปประยุกต์ขึ้นมาเป็นระยะเวลาเกิน ๒๕ ปี แล้ว แม้จะมีการโฆษณางานนั้นก็ไม่ทำให้ศิลปประยุกต์ที่สิ้นอายุแห่งการคุ้มครองไปแล้วกลับกลายเป็นงานที่ได้รับความคุ้มครองอีก ๒๕ ปี นับแต่ที่ได้โฆษณา เพราะงานศิลปประยุกต์นั้น ตกเป็นงานสาธารณะ สาธารณชนย่อมมีสิทธินำงานนั้นมาใช้โดยทำซ้ำ หรือดัดแปลงหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้โดยไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ต่อไป อย่างไรก็ดี หากงานศิลปกรรม เดิมที่นำมาประยุกต์ เช่น งานจิตรกรรมหรืองานประติมากรรมยังคงมีอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์อยู่ การเอางานศิลปะประยุกต์ที่สิ้นอายุแห่งการคุ้มครองแล้วมาทำซ้ำหรือ ดัดแปลงหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานจิตรกรรมหรือ ประติมากรรมเดิมนั้นได้ *** แม้จะมีการโฆษณางานนั้นก็ไม่ทำให้ศิลปประยุกต์ที่สิ้น อายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น มาตรา ๒๓ บัญญัติว่า “ลิขสิทธิ์ในงานที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการจ้างหรือตาม คำสั่งหรือในความควบคุมตามมาตรา ๑๔ ให้มีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ให้ลิขสิทธิ์มีอายุห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก” มาตรา ๒๓ ในกรณีที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่นมี ลิขสิทธิ์ในงานที่ได้สร้างสรรค์ขึ้น ลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ให้มีอยู่เป็นเวลาห้าสิบปีนับแต่ได้สร้างงานนั้นเสร็จ อย่างไรก็ตาม ถ้าภายในระยะเวลาห้าสิบปีงานสร้างสรรค์เพิ่งจะได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก การนับอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์เริ่มต้นใหม่คือเริ่มตั้งแต่วันที่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก การโฆษณางานดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๓ เป็นการโฆษณาเพื่อเริ่มนับอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ น่าจะมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “การโฆษณา” ตามที่ได้นิยามไว้ในมาตรา ๔ อันเป็นการโฆษณาที่เป็นเงื่อนไขของการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ กล่าวคือ เป็นการนำสำเนาจำลองของงานไม่ว่าในรูปหรือลักษณะอย่างใดที่ทำขึ้นโดยความยินยอมของผู้สร้างสรรค์ออกจำหน่าย โดยสำเนาจำลองนั้นมีปรากฏต่อสาธารณชนเป็นจำนวนมากพอสมควรตามสภาพของงานนั้น แต่ทั้งนี้ไม่หมายความรวมถึงการแสดงหรือการทำให้ปรากฏซึ่งนาฏกรรม ดนตรีกรรม หรือภาพยนตร์ การบรรยายหรือการปาฐกถาซึ่งวรรณกรรม การแพร่เสียง แพร่ภาพเกี่ยวกับงานใด การนำศิลปกรรมออกแสดง และการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรม นอกจากนี้ยังมี มาตรา ๒๔ บัญญัติย้ำไว้อีกว่า การโฆษณางานดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๓ “การโฆษณา” โดยสำเนาจำลองนั้นมีปรากฏต่อสาธารณชนเป็นจำนวนมากพอสมควรตามสภาพของงานนั้น นอกจากนี้ยังมี มาตรา ๒๔ บัญญัติย้ำไว้อีกว่า “การโฆษณางานตามมาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ หรือ มาตรา ๒๓ อันเป็นการเริ่มนับอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ หมายความถึง การนำงาน ออกทำการโฆษณาโดยความยินยอมของเจ้าของลิขสิทธิ์” “การโฆษณางานตามมาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ หรือ มาตรา ๒๓ อันเป็นการเริ่มนับอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ หมายความถึง การนำงาน ออกทำการโฆษณาโดยความยินยอมของเจ้าของลิขสิทธิ์”
กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47319
Legal
มาตราใดที่กฎหมายกำหนดในเรื่องแบบแห่งการสมรส
null
กฎหมายกำหนดในเรื่องแบบแห่งการสมรสไว้ในมาตรา ๑๔๕๗ โดยการสมรสจะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนสมรสแล้วเท่านั้น เมื่อได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วก็เกิดผลเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายทันทีโดยไม่ต้องมีพิธีอย่างอื่นอีก ถึงแม้จะมีการประกอบพิธีแต่งงานกันใหญ่โตเพียงใด หากยังมิได้มีการจดทะเบียนสมรสชายหญิงคู่นี้ก็ยังไม่มีฐานะเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ตรงกันข้ามหากได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วแม้จะไม่ได้มีพิธีแต่งงานกันตามประเพณี หรือชายหญิงยังไม่เคยอยู่กินด้วยกันเลย ชายหญิงก็มีฐานะเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ในการที่ชายและหญิงจดทะเบียนสมรสกันนั้น บุคคลทั้งสองต้องไปยื่นคำร้องขอต่อนายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขตซึ่งเป็นนายทะเบียนเมื่อได้รับการร้องขอให้จดทะเบียนสมรสดังกล่าว นายทะเบียนต้องจดทะเบียนสมรสให้ตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว ฯ มาตรา ๑๐ จะไม่จดทะเบียนให้ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๑๓ เฉพาะในกรณีที่การสมรสมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๑๔๔๘ ถึง ๑๔๕๔ เท่านั้น จะนำคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ห้ามจดทะเบียนสมรสให้กับคนไทยกับหญิงต่างด้าวที่ยังไม่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไปอย่างเช่นกฎหมายหาได้ไม่ การจดทะเบียนสมรสจะกระทำนอกที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขตก็ได้ โดยพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๑๐ วรรคสอง ให้สิทธิชายหรือหญิงผู้จะทำการสมรสร้องขอให้นายทะเบียนไปจดทะเบียนสมรส ณ สถานที่อื่นนอก สำนักงานทะเบียน เช่นที่บ้านของตน หรือสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองการสมรส แต่ชายหญิงต้องแสดงความยินยอมเป็นสามีภริยากันให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนด้วยตนเอง จะตั้งตัวแทนไปจดทะเบียนสมรสไม่ได้ ถ้าชายหรือหญิงเป็นคนหูหนวกหรือ ใบ้ หากเขียนหนังสือได้ก็อาจแสดงความยินยอมของตนโดยวิธีเขียนหนังสือต่อหน้า นายทะเบียน และนายทะเบียนต้องบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย แต่ถ้าหูหนวกหรือใบ้ ดังกล่าวเขียนหนังสือไม่ได้ก็ใช้การแสดงกริยาท่าทาง อันแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ยินยอมเป็นสามีภริยากันก็ได้ เมื่อชายและหญิงจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ชายหญิงย่อมเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย แม้จะได้เลิกร้างกันไป ๒๐ ถึง ๓๐ ปี ทรัพย์สมบัติแบ่งแยกกันไปเป็นสัดส่วนแต่ตราบใดที่ยังมิได้จดทะเบียนหย่า หญิงนั้นยังเป็นภริยาชายโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่นั่นเอง นอกจากนี้การที่สามีภริยาตกลงหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้ภายหลังจะได้เสียกันใหม่แต่เมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันก็ไม่ถือว่าเป็นสามี ภริยากันตามกฎหมาย การที่ชายหญิงสมรสกันตามกฎหมายลักษณะผัวเมียก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๗๘ โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันนั้น การสมรสดังกล่าวเป็นอันสมบูรณ์ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียและเป็นอันสมบูรณ์ในปัจจุบันนี้ด้วยโดยไม่จำเป็นต้องมาจดทะเบียนสมรสกันใหม่อีก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47335
Legal
โจทก์ร่วมในคดีอาญาสามารถยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบี้ยของเงินต้นที่จำเลยยักยอกไปได้หรือไม่?
null
ได้ เหตุผล: หลักทั่วไป: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาเพื่อขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวรวมถึงค่าเสียหายทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน อันเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลย ดอกเบี้ย: ดอกเบี้ยของเงินต้นที่จำเลยยักยอกไป ถือเป็นค่าเสียหายที่เป็นตัวเงิน อันเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลย โจทก์ร่วมจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบี้ยได้ คำพิพากษาฎีกา: คำพิพากษาฎีกาที่ 3664/2555 วินิจฉัยว่า ดอกเบี้ยของเงินต้นที่จำเลยยักยอกไป ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไป แต่เป็นค่าเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย โจทก์ร่วมจึงสามารถยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบี้ยได้ หลักความยุติธรรม: การให้โจทก์ร่วมได้รับดอกเบี้ยของเงินต้นที่จำเลยยักยอกไป เป็นการชดเชยความเสียหายที่โจทก์ร่วมได้รับ และเป็นการรักษาความยุติธรรม ตัวอย่าง: นาย A ยักยอกเงินจำนวน 100,000 บาท จากบริษัท B พนักงานอัยการฟ้องร้องนาย A ในคดีอาญาฐานยักยอก นาง C ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัท B ยื่นคำร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ข้อควรระวัง: - โจทก์ร่วมต้องแสดงหลักฐานเกี่ยวกับจำนวนเงินต้นที่ถูกยักยอก และอัตราดอกเบี้ยที่ควรได้รับ - ศาลมีดุลพินิจในการพิจารณาจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยต้องชดใช้ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงเวลานั้น ระยะเวลาที่เงินถูกยักยอก สถานะทางการเงินของจำเลย สรุป: โจทก์ร่วมในคดีอาญาสามารถยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบี้ยของเงินต้นที่จำเลยยักยอกไปได้ การยื่นคำร้องดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย และเป็นการรักษาความยุติธรรม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47369
Legal
ผู้ร้องไม่สามารถยื่นคำร้องขอออกหมายขังผู้ต้องหาระหว่างสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๘๗ วรรคสามได้ ข้อสังเกตใดบ้าง
null
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๘๗ วรรคสามได้ ข้อสังเกต: ๑) แม้ควบคุมเกินกำหนดเวลาที่กฎหมายอนุญาต ไม่มีผลทำให้การสอบสวนเสียไป และไม่มีผลถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ (ฎีกาที่ ๔๑๑๓/๒๕๕๒) ๒) แม้พนักงานสอบสวนไม่ได้ขอฝากขังภายในกำหนด โจทก์ก็ยังมีอำนาจฟ้อง (ฎีกาที่ ๔๒๙๔/๒๕๕๐) ๓) การยื่นคำร้องขอฝากขัง ให้ยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจชำระคดีซึ่งอาจเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่ความผิดเกิด หรือที่ผู้ต้องหานั้นมีที่อยู่ หรือถูกจับ หรือที่ทำการสอบสวนก็ได้ ๔) การนับระยะเวลา ๔๘ ชั่วโมง ให้เริ่มนับเมื่อผู้ถูกจับมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน ไม่ใช่เริ่มนับทันทีเมื่อจับกุมได้ (ฎีกาที่ ๙๘๔/๒๕๒๙) ๕) ก่อนครบระยะเวลา ๔๘ ชั่วโมง พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมีอำนาจปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวระหว่างสอบสวนติดต่อกันได้ จนกว่าการสอบสวนเสร็จสิ้น แต่ไม่เกิน ๖ เดือน นับแต่วันแรกที่มีการปล่อยชั่วคราว ตามมาตรา ๑๑๓ วรรคหนึ่ง แต่เมื่อมีการปล่อยชั่วคราวครบกำหนด ๖ เดือนแล้ว แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และมีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ต่อไป ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการส่งตัวผู้ต้องหามาศาลและยื่นคำร้องต่อศาลขอหมายขังผู้ต้องหานั้นได้ไม่เกิน ๗ วัน หรือ ๔๘ วัน หรือ ๘๔ วัน ตามมาตรา ๑๑๓ วรรคสอง ๖) การขอหมายขังตามมาตรา ๘๗ ไม่มีจำกัดจำนวนครั้ง ต่างจากการผัดฟ้องฝากขังในคดีศาลแขวงซึ่งจำกัดจำนวนครั้งไว้ (เรียกว่า จำนวนคราว) กล่าวคือ คราวละไม่เกิน ๖ วัน และรวมกันทั้งหมดไม่เกิน ๕ คราว ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา ๗ ๗) จำนวนวันที่ศาลอนุญาตให้ขังระหว่างสอบสวนรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน ๔๘ วัน หรือ ๘๔ วัน ตามอัตราโทษขั้นสูงของความผิดนั้นๆ แต่หากเป็นการขอหมายขังตามมาตรา ๘๗ วรรคสี่ ศาลมีอำนาจขังได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่เกิน ๗ วัน ๘) ในการฝากขัง พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการต้องดำเนินการติดต่อกันต่อเนื่องไม่ขาดตอน หากขาดตอน เรียกว่า หลุดฝากขัง เรือนจำต้องปล่อยตัวทันทีโดยไม่ต้องมีหมายปล่อยเพราะหมายขังระบุวันสิ้นสุดไว้แล้ว ๙) ปัญหาว่า หากศาลไม่อนุญาตให้ขังผู้ต้องหาต่อไป พนักงานสอบสวน (หรือพนักงานอัยการ) จะอุทธรณ์คำสั่งศาลได้หรือไม่ มีคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๕/๒๔๙๖ (ป) วินิจฉัยว่า อุทธรณ์คำสั่งไม่ได้เพราะสิทธิที่จะฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลยังคงมีอยู่ ในเมื่อคดีมีมูล ๑๐) ในชั้นไต่สวนการขอฝากขัง ผู้ต้องหามีสิทธิร้องขอให้ศาลแต่งทนายความได้ตามมาตรา ๘๗ วรรคแปด และเมื่อผู้ต้องหาร้องขอ ศาลต้องตั้งทนายความให้ตามคำขอด้วย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47383
Legal
เมื่อคู่ความมรณะในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลใดจะเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ?
null
ศาลฎีกา เป็นผู้มีอำนาจสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เหตุผล: มาตรา 42 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.) บัญญัติว่า "เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย คดีระงับไป เว้นแต่จะมีทายาทหรือผู้จัดการมรดกเข้ามาเป็นคู่ความแทน" ในคดีนี้ คู่ความมรณะระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาคดีอยู่ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตัวอย่างฎีกา: ฎีกาที่ 531/2557 หลักเกณฑ์: ศาลจะพิจารณาว่ามีทายาทหรือผู้จัดการมรดกเข้ามาเป็นคู่ความแทนหรือไม่ หากไม่มีทายาทหรือผู้จัดการมรดกเข้ามาเป็นคู่ความ ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ หากมีทายาทหรือผู้จัดการมรดกเข้ามาเป็นคู่ความ ศาลจะพิจารณาคดีต่อไป หมายเหตุ: คดีที่คู่ความมรณะ ศาลจะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 42 คำสั่งของศาลฎีกาเป็นที่สุด สรุป: เมื่อคู่ความมรณะในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลจะพิจารณาว่ามีทายาทหรือผู้จัดการมรดกเข้ามาเป็นคู่ความแทนหรือไม่ หากไม่มีทายาทหรือผู้จัดการมรดกเข้ามาเป็นคู่ความ ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ หวังว่าคำตอบนี้ จะช่วยให้ท่านเข้าใจหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เมื่อคู่ความมรณะ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา,กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47384
Legal
ศาลอุทธรณ์ภาคมี ๙ ภาค ใช่หรือไม่
null
ใช่ มาตรา ๒๑ ศาลอุทธรณ์มีเขตตลอดท้องที่ที่มิได้อยู่ในเขตศาลอุทธรณ์ภาค ในกรณีที่มีการยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ และคดีนั้นอยู่นอกเขตของ ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อาจใช้ดุลพินิจยอมรับไว้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง โอนคดีนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาคที่มีเขตอำนาจ ศาลอุทธรณ์มีเขตตลอดท้องที่ที่มิได้อยู่ในเขตศาลอุทธรณ์ภาค กรณีจึงต้องรู้ว่า ศาลอุทธรณ์ภาคแต่ละแห่งมีเขตเพียงใด เพราะเขตใดที่มิได้อยู่ในเขตของศาลอุทธรณ์ภาค ย่อมอยู่ในเขตของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาคมี ๙ ภาค ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีเขตศาลในจังหวัดชัยนาท จังหวัดนนทบุรี จังหวัด ปทุมธานีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ มีเขตศาลในจังหวัดจันทบุรี จังหวัดระยอง จังหวัด ฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ มีเขตศาลในจังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัด บุรีรัมย์จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอำนาจเจริญ ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ มีเขตศาลในจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัด นครพนม จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดเลย จังหวัด สกลนคร จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ มีเขตศาลในจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ มีเขตศาลในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก จังหวัด นครสวรรค์จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดอุทัยธานี ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีเขตศาลในจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดสุพรรณบุรี ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ มีเขตศาลในจังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัด นครศรีธรรมราช จังหวัดพิงงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ มีเขตศาลในจังหวัดตรัง จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดพัทลุง จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา และจังหวัดสตูล ศาลอุทธรณ์ภาค ๙
กฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47388
Legal
โจทก์สามารถฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดที่จำเลยมีภูมิลำเนาในขณะโจทก์เสนอคำฟ้องได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) บัญญัติให้โจทก์สามารถฟ้องคดีแพ่งต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้ หลักทั่วไปของภูมิลำเนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 37 บัญญัติว่า ภูมิลำเนาของบุคคลธรรมดา หมายถึง ถิ่นอันบุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ มาตรา 38 บัญญัติเพิ่มเติมว่า บุคคลธรรมดามีถิ่นที่อยู่หลายแห่ง ซึ่งอยู่สับเปลี่ยนกันไปหรือมีหลักแหล่งที่ทำการงานเป็นปกติหลายแห่ง ให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของบุคคลนั้น มาตรา 41 บัญญัติว่า การเปลี่ยนภูมิลำเนานั้นย่อมเปลี่ยนไปด้วยการย้ายถิ่นที่อยู่ พร้อมด้วยเจตนาปรากฏชัดแจ้งว่าจะเปลี่ยนภูมิลำเนา มาตรา 47 บัญญัติว่า ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ เรือนจำหรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่ จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว สรุป: โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในขณะโจทก์เสนอคำฟ้อง กรณีจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่ง โจทก์สามารถเลือกฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้ การเปลี่ยนภูมิลำเนานั้นย่อมเปลี่ยนไปด้วยการย้ายถิ่นที่อยู่ พร้อมด้วยเจตนาปรากฏชัดแจ้งว่าจะเปลี่ยนภูมิลำเนา กรณีจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล เรือนจำหรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จะถือเป็นภูมิลำเนาของจำเลยจนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47404
Legal
ข้อตกลงท้ายสัญญาจำนองที่ระบุว่า "เมื่อบังคับจำนองแล้วได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระ ผู้จำนองยอมชดใช้เงินที่ขาดจำนวนให้แก่ผู้รับจำนองจนครบ" มีผลบังคับใช้ได้หรือไม่? จงอธิบาย
null
ข้อตกลงดังกล่าวมี่ผลบังคับใช้ได้ เหตุผล: ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการตกลงยกเว้นบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "เมื่อได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันจำนองแล้ว ได้เงินจำนวนสุทธิไม่พอชำระหนี้ทั้งหมด เจ้าหนี้จำนองไม่มีสิทธิเรียกเอาเงินส่วนที่ขาดจากลูกหนี้" ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า "แต่ถ้าได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ลางก็ทำได้" หมายความว่า บุคคลสองฝ่ายสามารถตกลงกันล่วงหน้าไว้ต่างออกไปจากบทบัญญัติในมาตรา 733 ได้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรมอันดี หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จำนองและลูกหนี้ย่อมทราบและคาดหมายไว้ได้ว่า เมื่อบังคับจำนองแล้ว เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองอาจไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหมด การตกลงดังกล่าวเป็นไปตามปกติประเพณีของสัญญาจำนอง ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดภาระแก่จำเลยทั้งสองเกินกว่าที่พึงคาดหมาย อย่างไรก็ตาม - โจทก์ผู้รับจำนองมีหน้าที่ต้องดำเนินการบังคับจำนองทรัพย์สินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย - โจทก์มีหน้าที่ต้องแจ้งยอดเงินที่เหลือหลังจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินให้แก่จำเลยทั้งสองทราบ - จำเลยทั้งสองมีสิทธิที่จะโต้แย้งยอดเงินที่เหลือหลังจากการขายทอดตลาดทรัพย์สิน - โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับคดีเพื่อเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ส่วนที่ขาด ตัวอย่าง กรณีโจทก์ฟ้องร้องบังคับคดีเพื่อเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ส่วนที่ขาด จำเลยทั้งสองสามารถต่อสู้คดีโดยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้ดำเนินการบังคับจำนองทรัพย์สินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือ โจทก์ไม่ได้แจ้งยอดเงินที่เหลือหลังจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินให้แก่จำเลยทั้งสองทราบ สรุป ข้อตกลงท้ายสัญญาจำนองที่ระบุว่า "เมื่อบังคับจำนองแล้วได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระ ผู้จำนองยอมชดใช้เงินที่ขาดจำนวนให้แก่ผู้รับจำนองจนครบ" มีผลบังคับใช้ได้ แต่โจทก์ผู้รับจำนองมีหน้าที่ต้องดำเนินการบังคับจำนองทรัพย์สินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และ จำเลยทั้งสองมีสิทธิที่จะโต้แย้งยอดเงินที่เหลือหลังจากการขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายจำนอง,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47405
Legal
สัญญากู้ยืมเงินที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแต่ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า "ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้ และขีดฆ่าแล้ว" คำพิพากษาฎีกาที่ 4574/2561 วินิจฉัยว่า "สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร แต่ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมถือว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118" คำพิพากษาฎีกาที่ 4499/2558 วินิจฉัยว่า "การขีดฆ่าอากรแสตมป์เป็นการกระทำเพื่อมิให้ใช้แสตมป์ได้อีก" และ "หนังสือมอบอำนาจซึ่งปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร แต่ไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ ย่อมถือว่ายังไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จึงไม่อาจใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานเพื่อรับฟังว่ามีการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทน" คำพิพากษาฎีกาที่ 1199/2556 วินิจฉัยว่า "เมื่อหนังสือมอบอำนาจได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว แม้จะไม่ได้ลงวันที่ เดือน ปี กำกับด้วย ก็ถือว่าหนังสือมอบอำนาจรับฟังพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118" สรุป: จากคำพิพากษาฎีกาข้างต้น สัญญากู้ยืมเงินที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแต่ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ ย่อมถือว่ายังไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ จึงไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้
กฎหมายกู้ยืม-ยืมใช้คงรูป-ยืมใช้สิ้นเปลือง,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47406
Legal
ความผิดเกี่ยวกับเพศ” ตาม ป.อ. มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายมาตรา ที่สำคัญ คือได้นิยามคำว่า “กระทำชำเรา” ไว้ในมาตรา ๑ (๑๘)ใช่หรือไม่
null
ใช่ ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตาม ป.อ. มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายมาตรา ที่สำคัญ คือได้นิยามคำว่า “กระทำชำเรา” ไว้ในมาตรา ๑ (๑๘) ดังนี้ “กระทำชำเรา” หมายความว่า กระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น ตามกฎหมายเดิม ได้นิยามคำว่ากระทำชำเราไว้ในมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๒๗๗ วรรคสอง ดังนี้ การกระทำชำเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทำเพื่อสนองความใคร่ ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือ ช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น ดังนั้น ตามกฎหมายเดิม การที่จำเลยใช้ “ปากอม” อวัยวะเพศเด็กชาย อายุ ๑๑ ปีเศษ จึงเป็นการ “กระทำชำเรา” อันเป็นความผิดตามมาตรา ๒๗๗ วรรคสาม (เดิม) เพราะเป็นการใช้ “สิ่งอื่นใด (ปาก)” กระทำกับ “อวัยวะเพศ” ของผู้อื่น (ฎีกาที่ ๖๓๒๓/๒๕๕๗)
กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับเพศ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47408
Legal
พนักงานสอบสวนทำให้คดีอาญาขาดอายุความ เป็นละเมิดต่อผู้เสียหายหรือไม่? จงอธิบาย
null
ศาลฎีกาพิพากษาว่า การที่พนักงานสอบสวนละเลยไม่ใส่ใจ ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า จนทำให้คดีอาญาขาดอายุความ เป็นการละเมิดต่อผู้เสียหาย ประเด็นสำคัญ: โจทก์ร้องทุกข์กล่าวโทษนาย ว. ในความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงิน ร้อยตำรวจโท ป. พนักงานสอบสวน รับคำร้องทุกข์ไว้ แต่ไม่ได้ดำเนินการส่งฟ้องนาย ว. ต่อศาล จนกระทั่งคดีอาญาขาดอายุความ โจทก์จึงฟ้องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประเด็นทางกฎหมาย: พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องดำเนินการสอบสวนคดีอาญาให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด การละเลยไม่ใส่ใจ ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า จนทำให้คดีอาญาขาดอายุความ เป็นการละเมิดต่อผู้เสียหาย ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานของรัฐ ผลของคำพิพากษา: ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ข้อควร จำ: ผู้เสียหายมีสิทธิติดตามความคืบหน้าของคดีกับพนักงานสอบสวน หากพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชา หรือร้องต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ แหล่งอ้างอิง: ทบทวนหลักกฏหมายกับอาจารย์ประยุทธ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47418
Legal
ศาลฎีกามีอำนาจเปลี่ยนแปลงวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนที่ศาลล่างกำหนดไว้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: บทบัญญัติของกฎหมาย: -มาตรา 119 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา -มาตรา 142 ของพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 -มาตรา 212 และ 225 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3597/2556: -จำเลยทั้งสองมีอายุครบ 24 ปี ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา -วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนที่ศาลล่างกำหนดไว้จึงไม่เหมาะสม -ศาลฎีกามีอำนาจเปลี่ยนแปลงวิธีการให้เหมาะสม -การเปลี่ยนแปลงวิธีการไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโทษ -การเปลี่ยนแปลงวิธีการไม่ใช่การเพิ่มเติมโทษ การวิเคราะห์: -ศาลฎีกามีอำนาจในการวินิจฉัยคดีอย่างรอบด้าน -ศาลฎีกามีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลล่าง -ศาลฎีกามีอำนาจในการกำหนดวิธีการที่เหมาะสม -ศาลฎีกาต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ของคดี -ศาลฎีกาต้องพิจารณาถึงความยุติธรรม สรุป: -ศาลฎีกามีอำนาจเปลี่ยนแปลงวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนที่ศาลล่างกำหนดไว้ -การเปลี่ยนแปลงวิธีการต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย -การเปลี่ยนแปลงวิธีการต้องเป็นไปเพื่อความยุติธรรม ตัวอย่าง: ศาลฎีกาสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนจากการส่งตัวไปสถานพินิจเป็นการส่งตัวไปจำคุก ศาลฎีกาสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนจากการกำหนดให้ทำงานบริการสังคมเป็นการกำหนดให้ชดใช้ค่าเสียหาย ข้อควรระวัง: -ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนก็ต่อเมื่อมีเหตุผลอันสมควร -ศาลฎีกาจะพิจารณาถึงพฤติการณ์ของคดีและความยุติธรรมเป็นสำคัญ หมายเหตุ: -คำตอบนี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น -นักกฎหมายควรศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริงของคดีอย่างละเอียดก่อนที่จะให้คำตอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47427
Legal
คำพิพากษาศาลฎีกาใดที่เกี่ยวข้องกับการผิดสัญญาทางแพ่ง/ยักยอก
null
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7836/2556 จำเลยรับเครื่องประดับจากโจทก์ไปจำหน่าย โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คระบุจำนวนเงินตามมูลค่าเครื่องประดับนั้น ๆ ให้โจทก์ยึดถือไว้ เมื่อจำเลยนำเงินค่าเครื่องประดับมาชำระ โจทก์จะคืนเช็คให้จำเลย พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุให้เชื่อได้ว่า ราคาที่โจทก์กำหนดตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องนั้น แท้จริงแล้วคือราคาที่จำเลยจะต้องออกเช็คให้โจทก์ยึดถือไว้ ดังนั้น ผลประโยชน์ตอบแทนที่จำเลยจะได้รับจากการทำธุรกิจเช่นนี้กับโจทก์ก็คือ ส่วนต่างของราคาเครื่องประดับที่จำเลยขายให้แก่ลูกค้ากับราคาที่โจทก์กำหนดโดยจำเลยต้องออกเช็คให้โจทก์ยึดถือไว้นั่นเอง กรณีจึงมิใช่จำเลยได้รับมอบหมายให้รับเครื่องประดับไว้ในฐานะตัวแทนโจทก์ หากแต่จำเลยครอบครองโดยอาศัยอำนาจแห่งสัญญาที่โจทก์กับจำเลยมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน เมื่อจำเลยไม่ส่งเงินที่ขายได้หรือไม่ส่งคืนเครื่องประดับที่ยังขายไม่ได้ให้โจทก์ ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานยักยอก แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษไม่ได้ ปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 กรณีจึงมิใช่จำเลยได้รับมอบหมายให้รับเครื่องประดับไว้ในฐานะตัวแทนโจทก์ หากแต่จำเลยครอบครองโดยอาศัยอำนาจแห่งสัญญาที่โจทก์กับจำเลยมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน
กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47430
Legal
ในคดีแพ่ง คู่ความมีสิทธิอะไรบ้างในการดำเนินกระบวนพิจารณา?
null
คู่ความมีสิทธิหลายประการในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่ง ดังต่อไปนี้: 1. สิทธิในการว่าความด้วยตนเอง: คู่ความสามารถว่าความด้วยตนเอง โดยไม่ต้องจ้างทนายความ สามารถดำเนินการต่างๆ ในคดีด้วยตนเอง เช่น ยื่นคำฟ้อง pronouncements of evidence, ฎีกา ศาลจะอธิบายวิธีการและขั้นตอนต่างๆ ในการดำเนินคดีให้คู่ความเข้าใจ 2. สิทธิในการตั้งทนายความ: คู่ความสามารถเลือกตั้งทนายความคนเดียวหรือหลายคนเพื่อว่าความแทน ทนายความจะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ ทนายความมีหน้าที่ดำเนินการต่างๆ ในคดีแทนคู่ความ เช่น ยื่นคำฟ้อง pronouncements of evidence, ฎีกา 3. สิทธิในการนำเสนอพยานหลักฐาน: คู่ความมีสิทธิรวบรวมและนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตน พยานหลักฐานอาจเป็นเอกสาร บุคคล สิ่งของ หรือข้อเท็จจริงอื่นๆ ศาลจะพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดและตัดสินคดีตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย 4. สิทธิในการซักถามพยาน: คู่ความมีสิทธิซักถามพยานของคู่ความฝ่ายตรงข้าม การซักถาม bertujuanเพื่อหาข้อเท็จจริงและความน่าเชื่อถือของพยาน ศาลอาจจำกัดการซักถามหากศาลเห็นว่าไม่เหมาะสม 5. สิทธิในการฎีกา: คู่ความไม่พอใจกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น สามารถฎีกาต่อศาลชั้นสูง การฎีกาเป็นการขอให้ศาลชั้นสูงพิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นสูงจะพิจารณาว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 6. สิทธิอื่นๆ: คู่ความมีสิทธิได้รับข้อมูลเกี่ยวกับคดี คู่ความมีสิทธิเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี คู่ความมีสิทธิได้รับคำพิพากษาที่เป็นธรรม ตัวอย่าง: นาย A ฟ้องร้องนาย B เรียกค่าเสียหายจากการละเมิดสัญญา นาย A สามารถว่าความด้วยตนเอง หรือจ้างทนายความว่าความแทน นาย A สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน เช่น เอกสารสัญญา บันทึกการสนทนา และพยานบุคคล เพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตน นาย A สามารถซักถามพยานของนาย B เพื่อหาข้อเท็จจริงและความน่าเชื่อถือของพยาน นาย A ไม่พอใจกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น สามารถฎีกาต่อศาลชั้นสูง ข้อควรระวัง: คู่ความควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คู่ความควรปรึกษาทนายความหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมายหรือขั้นตอนต่างๆ ในการดำเนินคดี คู่ความควรปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอย่างเคร่งครัด บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสิทธิของคู่ความในคดีแพ่ง คู่ความควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ หรือปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47431
Legal
บุคคลทั่วไปสามารถฟ้องคดีต่อศาลฎีกาได้โดยตรงหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 ห้ามมิให้เสนอคำฟ้องต่อศาลใด เว้นแต่ -ศาลนั้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นตามบทบัญญัติพระธรรมนูญศาลยุติธรรม -คดีนั้นอยู่ในเขตศาลนั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้อง และตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตศาลด้วย -พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 170 ห้ามมิให้ฟ้อง พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดี เป็นครั้งแรกในศาลหรือโดยศาลอื่น นอกจากศาลชั้นต้น เว้นแต่ มีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งเป็นอย่างอื่น ศาลฎีกาเป็นศาลชั้นสูงสุด ไม่ใช่ศาลชั้นต้น บุคคลทั่วไปจึงไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลฎีกาได้โดยตรง ยกเว้น กรณีมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เช่น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2521 มาตรา 133 กำหนดให้คดีภาษีอากรที่มีมูลคดีเกินกว่า 50 ล้านบาท สามารถฟ้องร้องต่อศาลฎีกาได้โดยตรง สรุป: บุคคลทั่วไปไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลฎีกาได้โดยตรง เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น คำแนะนำ: -บุคคลทั่วไปควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลก่อนที่จะยื่นฟ้องคดี -สามารถปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการยื่นฟ้องคดีที่ถูกต้อง
กฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรม,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47436
Legal
เจ้าของบ้านพิพาทยกบ้านพิพาทให้โจทก์ แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้ไม่สมบูรณ์ ต่อมาเจ้าของที่ดินที่บ้านพิพาทปลูกอยู่จดทะเบียนยกให้ที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์อีก บ้านพิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์ตามหลักเรื่องส่วนควบใช่หรือไม่
null
ใช่ เจ้าของบ้านพิพาทยกบ้านพิพาทให้โจทก์ แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้ไม่สมบูรณ์ ต่อมาเจ้าของที่ดินที่บ้านพิพาทปลูกอยู่จดทะเบียนยกให้ที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์อีก บ้านพิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์ตามหลักเรื่องส่วนควบ -ต้นไม้ยืนต้น เป็นส่วนควบของที่ดิน แต่ถ้าเป็นไม้ล้มลุกและธันชาติไม่เป็นส่วนควบ และถือว่าเป็นสังหาริมทรัพย์ด้วย -ต้นพูลเป็นไม้ยืนต้น แต่ต้นกล้วยและต้นสัปปะรดเป็นไม้ล้มรุก **ข้อยกเว้นเรื่องส่วนควบ ๑.ทรัพย์ที่ติดกับที่ดินหรือโรงเรือนเพียงชั่วคราว ไม่เป็นส่วนควบ -แม้ไม้ยืนต้นจะเป็นส่วนควบของที่ดินตามป.พ.พ.มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง แต่ถ้าผู้ปลูกมีเจตนาปลูกลงในที่ดินเพียงชั่วคราว ไม่เป็นส่วนควบตามป.พ.พ.มาตรา ๑๔๖ -จำเลยตกลงให้ผู้ร้องปลูกต้นสนลงในที่ดินของจำเลย เมื่อต้นสนโตเต็มที่จะตัดขายเอาเงินมาแบ่งกัน ต้นสนไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดิน ๒.ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงในที่ดินนั้น ไม่เป็นส่วนควบ -สิ่งปลูกสร้างอันผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ในที่ดินนั้น ไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นอาจเป็นสิทธิตามนิติกรรมสัญญาหรือทรัพย์สิทธิก็ได้ -ปลูกสร้างโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาเช่า เช่น เช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านหรือสิ่งก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างนั้นไม่เป็นส่วนควบ(ฎ.๕๖๙๒/๒๕๔๖) แต่การเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยโดยสัญญาเช่าไม่ได้อนุญาตให้ผู้เช่าสร้างสิ่งปลูกสร้างด้วย สิ่งปลูกสร้างที่ผู้เช่าสร้างขึ้นเป็นส่วนควบ
กฎหมายทรัพย์สิน-กรรมสิทธิ์-ทรัพย์อิงสิทธิ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47451
Legal
ในกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย แต่ไม่ได้กล่าวถึงการสละหลักประกันหรือตีราคาหลักประกันหักกับจำนวนหนี้ของตน จะเป็นการฟ้องร้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงอธิบาย
null
ไม่ การฟ้องร้องดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุผล: พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๐ บัญญัติให้เจ้าหนี้ที่มีประกันที่ประสงค์จะฟ้องล้มละลายจำเลย จะต้องสละหลักประกัน หรือตีราคาหลักประกันหักกับจำนวนหนี้ ของตนเสียก่อน การที่โจทก์ไม่ ได้กล่าวถึงการสละหลักประกันหรือตีราคาหลักประกันหักกับจำนวนหนี้ของตนในฟ้อง ถือว่าฝ่าฝืน มาตรา ๑๐ ของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ แม้โจทก์จะยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องในภายหลัง แต่ศาลไม่อาจอนุญาตให้แก้ไข ได้ เหตุผลเพิ่มเติม: พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ บัญญัติให้ศาลนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐ บัญญัติให้แก้ไขคำฟ้อง ได้ เฉพาะ กรณีที่ไม่ ทำให้เสียรูปคดี หรือไม่ ทำให้คู่ความเสียเปรียบ การแก้ไขคำฟ้องของโจทก์เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ของฟ้อง จากเจ้าหนี้ไม่มีประกัน เป็นเจ้าหนี้มีประกัน การแก้ไขดังกล่าวอาจ ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ตัวอย่าง จำเลยอาจเตรียมพยานหลักฐาน เกี่ยวกับการสละหลักประกัน ของโจทก์ไว้แล้ว จำเลยอาจประนีประนอม กับโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกัน ดังนั้น ศาลไม่อาจอนุญาต ให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง และยกฟ้อง โจทก์ ข้อควร จำ: เจ้าหนี้ที่มีประกันต้อง ศึกษากฎหมาย เกี่ยวกับการฟ้องล้มละลายอย่างละเอียด เจ้าหนี้ควร ปรึกษาทนายความก่อน ยื่นฟ้องล้มละลาย
กฎหมายล้มละลาย-ฟื้นฟูกิจการ,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47486
Legal
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนนี้ย่อมระงับไปในตัวไม่มีผล บังคับอีกต่อไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้ตบหน้าผู้เสียหายแต่หากจะฟังว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายจริงก็เป็นเพราะผู้เสียหาย ตบหน้าจำเลย จำเลยจึงตบหน้าผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัวใช่หรือไม่
null
ใช่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนนี้ย่อมระงับไปในตัวไม่มีผล บังคับอีกต่อไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้ตบหน้าผู้เสียหาย แต่หากจะฟังว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายจริงก็เป็นเพราะผู้เสียหาย ตบหน้าจำเลย จำเลยจึงตบหน้าผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัวนั้น นอกจากจะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำผิดแล้ว ยังได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าการกระทำของจำเลย เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำมาสู่ปัญหาข้อกฎหมายต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 310, 391, 91 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (ที่ถูกต้องระบุมาตรา 310 วรรคแรก ด้วย) 391 ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 4 ปีฐานใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ปรับ 1,000 บาท รวมจำคุก 4 ปี และปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีและทำคำพิพากษาส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังแล้วแต่ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง จำเลยและผู้เสียหายร่วมกันยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองสามารถตกลงกันได้โดยจำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 50,000 บาทและผู้เสียหายได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้วผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญาอีกต่อไป จึงขอถอนคำร้องทุกข์ทุกข้อหา ศาลชั้นต้นสอบโจทก์แล้วไม่ค้านเห็นว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรกและมาตรา 310 วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนนี้ย่อมระงับไปในตัวไม่มีผลบังคับอีกต่อไป ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 ไม่ใช่ความผิดอันยอมความได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับที่จำเลยฎีกาว่า ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยการตบหน้าผู้เสียหายเป็นการกระทำอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้ตบหน้าผู้เสียหาย หากจะฟังว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายจริง ก็เป็นเพราะผู้เสียหายตบหน้าจำเลย จำเลยจึงตบหน้าผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัว อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวนอกจากจะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำผิดแล้วยังได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำมาสู่ปัญหาข้อกฎหมายซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก และมาตรา 310 วรรคแรกคงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ปรับ 1,000 บาทไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47487
Legal
จำเลยในคดีนี้ต้องโทษจำคุกหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: การถอนคำร้องทุกข์: ผู้เสียหายได้ถอนคำร้องทุกข์ในคดีนี้ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผลของการถอนคำร้องทุกข์: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะระงับไป คดีถึงที่สุดหรือไม่: คดีนี้ไม่ถึงที่สุด เพราะจำเลยยังมีสิทธิฎีกาต่อสู้คดี ผลของคดีไม่ถึงที่สุด: เมื่อคดีไม่ถึงที่สุด ผลของการถอนคำร้องทุกข์มีผลย้อนหลังไปถึงก่อนมีคำฟ้อง หมายความว่า คดีนี้ไม่มีตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาไม่ได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยโดยตรง แต่ได้แก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ยื่นไว้ก่อน เหตุผลที่ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยฎีกาของจำเลย: ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาเกี่ยวกับการถอนคำร้องทุกข์และผลของการถอนคำร้องทุกข์เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับผลของศาลอุทธรณ์ที่ยกอุทธรณ์ของจำเลย เมื่อคดีไม่มีตั้งแต่ต้น ศาลฎีกาจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลย สรุป: จำเลยในคดีนี้ไม่ต้องโทษจำคุก คดีนี้ไม่มีตั้งแต่ต้น คำตอบนี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น นักกฎหมายควรศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริงของคดีอย่างละเอียดก่อนที่จะให้คำตอบ
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47490
Legal
กรณีจำเลยถูกขังตามหมายของศาลในคดีหนึ่ง และถูกปล่อยตัวชั่วคราวโดยวางเงินประกัน พนักงานอัยการสามารถยื่นฟ้องคดีอาญาอื่นโดยไม่ต้องนำตัวจำเลยมาศาลได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: หลักทั่วไป: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 บัญญัติไว้ว่า "พนักงานอัยการโจทก์มีหน้าที่ต้องนำตัวจำเลยมาส่งศาลในวันนัดพิจารณา" กรณีข้อยกเว้น: มีข้อยกเว้นบางประการที่พนักงานอัยการไม่จำเป็นต้องนำตัวจำเลยมาศาล เช่น จำเลยถูกขังตามหมายของศาลในคดีอื่น จำเลยหลบหนีไป จำเลยเสียชีวิต กรณีจำเลยถูกปล่อยตัวชั่วคราว: การปล่อยตัวชั่วคราวเป็นการให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดีโดยไม่ต้องถูกกักขัง จำเลยยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของศาล จำเลยมีหน้าที่เดินทางมาศาลตามหมายนัด เหตุผลที่พนักงานอัยการต้องนำตัวจำเลยมาศาล: เพื่อให้ศาลตรวจสอบตัวตนของจำเลย เพื่อให้ศาลซักถามเกี่ยวกับประวัติและพฤติการณ์ของจำเลย เพื่อให้ศาลพิจารณาโทษ การยื่นฟ้องคดีอาญาโดยไม่นำตัวจำเลยมาศาล: เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย เป็นการขัดต่อหลักความยุติธรรม ศาลอาจไม่รับฟ้องคดี ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2493 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2491 สรุป: พนักงานอัยการไม่สามารถยื่นฟ้องคดีอาญาโดยไม่ต้องนำตัวจำเลยมาศาล เว้นแต่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย การปล่อยตัวชั่วคราวไม่ใช่ข้อยกเว้นที่ทำให้พนักงานอัยการไม่ต้องนำตัวจำเลยมาศาล พนักงานอัยการมีหน้าที่นำตัวจำเลยมาศาลเพื่อให้ศาลตรวจสอบตัวตน ซักถามประวัติ และพิจารณาโทษ การยื่นฟ้องคดีอาญาโดยไม่นำตัวจำเลยมาศาล เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ขัดต่อหลักความยุติธรรม และศาลอาจไม่รับฟ้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47497
Legal
โจทก์สามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลในจังหวัดที่จำเลยมีถิ่นที่อยู่เพียงแห่งเดียว โดยไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อนได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) บัญญัติไว้ว่า "ให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดี ดังต่อไปนี้ (2) ต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล" มาตรา 45 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า "บุคคลใดมีภูมิลำเนา ณ ที่ใด ให้ถือเอาแห่งหนึ่งแห่งใดเป็นภูมิลำเนาก็ได้" คำพิพากษาฎีกาที่ 881/2511 วินิจฉัยว่า "โจทก์มีสิทธิ์ยื่นฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน" ในคดีนี้ จำเลยมีถิ่นที่อยู่ 2 แห่ง คือ กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในถิ่นที่อยู่ของจำเลย โจทก์ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตศาลก่อนฟ้อง อย่างไรก็ตาม โจทก์ควรพิจารณาเลือกยื่นฟ้องต่อศาลที่สะดวกต่อการต่อสู้คดีของทั้งโจทก์และจำเลย โจทก์ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จริงตามที่อ้าง หากจำเลยไม่มีภูมิลำเนา โจทก์ต้องยื่นฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีตามหลักเกณฑ์อื่น สรุป: -โจทก์สามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลในจังหวัดที่จำเลยมีถิ่นที่อยู่เพียงแห่งเดียว โดยไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน -หลักการนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45 -โจทก์ควรพิจารณาเลือกยื่นฟ้องต่อศาลที่สะดวกต่อการต่อสู้คดีของทั้งโจทก์และจำเลย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47511
Legal
คำร้องขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นการตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ เป็นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตราใด
null
คำร้องขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นการตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ จึงเป็นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (5) เมื่อคู่ความยื่นคำร้องเข้ามาและศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 คำสั่งนี้จึงมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 ซึ่งทำให้ประเด็นที่โจทก์ตั้งขึ้นโดยคำร้องแก้ไขคำฟ้องและคำร้องแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งเสร็จไป โจทก์อุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามมาตรา 228 (3) คำสั่งของศาลที่สั่งยกคำร้องจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ซึ่งโจทก์ได้ยื่นภายหลังจากที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้โดยศาลฎีกาไม่ได้กำหนดประเด็นและไม่ได้กำหนดหน้าที่นำสืบให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ก็ชอบที่จะปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้ทำการชี้สองสถานหรือทำการสืบพยาน โจทก์ก็ชอบที่จะขอแก้ไขคำฟ้องและขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้ กรณีไม่ใช่ล่วงเลยการชี้สองสถานและวันสืบพยานจนศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นการพิจารณาไปแล้ว เพราะคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ถูกคำพิพากษาศาลฎีกายกเสียแล้ว การขอแก้ไขคำฟ้อง โจทก์ย่อมจะขอแก้ไขได้แม้เป็นการเพิ่มเติม ข้อเท็จจริงหรือสละข้อเท็จจริงเพื่อให้ข้อหาที่ตั้งไว้เดิมบริบูรณ์ แต่ยังคงให้จำเลยรับผิดตามเดิม ส่วนการขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งแม้จะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ย่อมกระทำได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (2)(3)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47513
Legal
ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติมาประกอบการพิพากษาคดีได้หรือไม่ แม้โจทก์จะไม่อุทธรณ์และจำเลยไม่คัดค้านรายงานดังกล่าว
null
ใช่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 บัญญัติว่า "ศาลมีอำนาจที่จะนำสืบพยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติมนอกจากที่คู่ความนำสืบ" รายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ถือเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ศาลมีหน้าที่ ที่จะพิพากษาคดีโดยอาศัยพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ในสำนวนคดี การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติมาประกอบการพิพากษาคดี เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์และจำเลย มีสิทธิคัดค้านรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ หากโจทก์ไม่อุทธรณ์ ไม่ได้หมายความว่าโจทก์ยินยอมกับเนื้อหาทั้งหมดของรายงาน จำเลยมีสิทธิ ที่จะโต้แย้งรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ศาลมีหน้าที่ ที่จะพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินคดี ในคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 นำรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติมาประกอบการพิพากษาคดี จำเลยไม่ได้คัดค้านรายงานดังกล่าว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นการชอบด้วยกฎหมาย สรุป: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติมาประกอบการพิพากษาคดีได้ แม้โจทก์จะไม่อุทธรณ์และจำเลยไม่คัดค้านรายงานดังกล่าว การกระทำของศาลอุทธรณ์เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิคัดค้านรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติศาลมีหน้าที่พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินคดี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47523
Legal
พนักงานบริษัทขายที่ดินแจ้งข้อมูลเท็จแก่ผู้ซื้อ เกี่ยวกับความสามารถในการปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน กรณีนี้ผู้ซื้อสามารถบอกล้างสัญญาซื้อขายที่ดินได้หรือไม่ จงอธิบาย
null
กรณีนี้ผู้ซื้อสามารถบอกล้างสัญญาซื้อขายที่ดินได้ เหตุผล: พนักงานบริษัทขายที่ดิน (จำเลย) ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านที่ดิน ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน โจทก์ไม่ได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสายไฟฟ้าแรงสูง และสำคัญผิดคิดว่าสามารถปลูกสร้างบ้านบนที่ดินได้เต็มพื้นที่ โจทก์ไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะได้รับคำยืนยันจากพนักงานว่าสามารถปลูกสร้างบ้านบนที่ดินได้ การปกปิดข้อเท็จจริงของจำเลย ถือเป็นการแสดงเจตนาโดยหลอกลวงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 157 โจทก์มีสิทธิบอกล้างสัญญาซื้อขายที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 157 รายละเอียดเพิ่มเติม: โจทก์สังเกตเห็นสายไฟฟ้าแรงสูงตั้งอยู่ในบริเวณที่ดิน แต่ได้รับคำชี้แจงจากพนักงานว่าสายไฟฟ้าติดตั้งมานานแล้ว และสามารถปลูกสร้างบ้านได้ โจทก์ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยของผู้บริโภค สัญญาซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆียะ จำเลยต้องคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี แก่โจทก์ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 157, 158, 176 บทสรุป: ผู้ซื้อมีสิทธิบอกล้างสัญญาซื้อขายที่ดินได้ เมื่อพนักงานขายที่ดินปกปิดข้อเท็จจริงสำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติของที่ดิน ส่งผลให้ผู้ซื้อสำคัญผิด คำแนะนำ: ผู้ซื้อควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ ควรสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับข้อจำกัดในการปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน เก็บหลักฐานการติดต่อสื่อสาร เอกสารสัญญา และหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47524
Legal
จำเลยมีหน้าที่นำเงินค่าธรรมเนียม "ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน" ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับยื่นอุทธรณ์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติไว้ว่า: "การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วย" จากบทบัญญัติข้างต้น จะเห็นได้ว่า กฎหมายกำหนดให้ "เงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง" เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยื่นอุทธรณ์ หมายความว่า จำเลยจะต้องนำเงินจำนวนนี้มาวางศาลพร้อมกับยื่นคำอุทธรณ์ หาไม่แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยจะไม่สมบูรณ์และศาลมีอำนาจสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ เหตุผลเบื้องหลังข้อกำหนดนี้ คือ เพื่อคุ้มครองสิทธิของโจทก์ ในการได้รับชดเชยค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น หากจำเลยไม่นำเงินมาวางศาล โจทก์อาจสูญเสียสิทธิในการได้รับชดเชย ฎีกาที่ 6073/2556 ย้ำชัดถึงหลักการนี้ โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมีหน้าที่นำเงินค่าธรรมเนียม "ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน" มาวางศาลพร้อมกับยื่นอุทธรณ์ หาไม่แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยจะไม่สมบูรณ์และศาลมีอำนาจสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น กรณีจำเลยเป็นคนยากจน ศาลอาจพิจารณาอนุญาตให้ผ่อนชำระเงินค่าธรรมเนียมได้ สรุป: จากเหตุผลข้างต้น จำเลยมีหน้าที่นำเงินค่าธรรมเนียม "ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน" มาวางศาลพร้อมกับยื่นอุทธรณ์ หาไม่แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยจะไม่สมบูรณ์และศาลมีอำนาจสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47530
Legal
ความผิดฐานทำให้แท้งลูก คืออะไร
null
ความผิดฐานทำให้แท้งลูกนั้น เป็นการกระทำต่อชีวิตในครรภ์มารดา ดังนั้น หญิงที่ทำแท้งนั้นต้องตั้งครรภ์อยู่ หากไม่ได้ตั้งครรภ์ก็ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก เพราะไม่อาจทำให้แท้งลูกได้ ความผิดฐานทำให้แท้งลูกนั้นกฎหมายมุ่งให้การคุ้มครองเด็กที่อยู่ในครรภ์มารดา แม้จะยังไม่มีสภาพบุคคลแต่ก็ควรจะได้รับการคุ้มครองให้เกิดมาอย่างปลอดภัย ปราศจากการกระทำใด ๆ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตทั้งการกระทำจากมารดาของเด็กเอง รวมถึงการกระทำของบุคคลอื่นอีกด้วย ความผิดฐานทำให้แท้งลูกนั้นมีความผิดที่เกี่ยวข้องดังนี้ - ความผิดหญิงทำให้ตนแท้งลูก มาตรา 301 หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ - ความผิดฐานทำให้แท้งลูกโดยหญิงยินยอม มาตรา 302 ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้ง จำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท - ความผิดฐานทำให้แท้งลูกโดยหญิงไม่ยินยอม มาตรา 303 ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท - การพยายามทำแท้ง มาตรา 304 ผู้ใดเพียงแต่พยายามกระทำความผิดตาม มาตรา 301 หรือ มาตรา 302 วรรคแรก ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ - อำนาจในการทำแท้ง มาตรา 305 ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรา 301 และ มาตรา 302 นั้น เป็นการกระทำของนายแพทย์และ (1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น หรือ (2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญา ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 282 มาตรา 283 หรือ มาตรา 284 ผู้กระทำไม่มีความผิด ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรา 301 และ มาตรา 302 นั้น เป็นการกระทำของนายแพทย์ ซึ่งหมายความว่า เป็นแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลป์ตามกฎหมาย ไม่รวมถึงพยาบาลหรือผดุงครรภ์ และต้องได้รับความยินยอมจากหญิงด้วย หากมีเหตุให้ทำแท้งได้ แต่หญิงไม่ยินยอมก็ไม่สามารถทำได้ แพทย์จะทำแท้งให้หญิงได้ต้องปรากฎเหตุดังต่อไปนี้ด้วย (1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น โดยพิจารณาจากตัวหญิงเป็นหลักทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต มีความจำเป็นต้องกระทำแท้ง แต่ไม่จำต้องเป็นอันตรายต่อชีวิตก็ได้ เช่น พิษแห่งครรภ์ โรคหัวใจ ความดัน โลหิตจาง อ่อนแอเกินกว่าจะตั้งครรภ์ได้ 2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญา ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 282 มาตรา 283 หรือ มาตรา 284 ม. 276 “ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา” ม. 277 “ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี” ม. 282 “ความผิดฐานค้าบุคคลเพื่อความไคร่โดยยินยอม” ม. 283 “ความผิดฐานค้าบุคคลเพื่อความไคร่โดยไม่ยินยอม” ม. 284 “ความผิดฐานพาไปเพื่อการอนาจาร”
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47539
Legal
ตำรวจขอตรวจค้นรถของนาย ก. โดยไม่มีหมายค้น นาย ก. ปฏิเสธไม่ยอมให้ตรวจค้น นาย ก. มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. หลักการ: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 82 บัญญัติว่า เจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าจับตัวผู้ต้องหาได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ ในกรณีผู้ต้องหาถูกจับได้ทันทีหลังจากกระทำความผิด หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิด 2. การตรวจค้นรถ: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 125 บัญญัติว่า เจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าตรวจค้นสถานที่โดยไม่มีหมายค้น ในกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าในสถานที่นั้นมีสิ่งของที่เกี่ยวกับความผิด หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลในสถานที่นั้นเป็นผู้ต้องหา กรณีนี้: - ตำรวจไม่มีหมายค้น - ไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่านาย ก. กระทำความผิด - ไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าในรถของนาย ก. มีสิ่งของที่เกี่ยวกับความผิด - นาย ก. มีสิทธิปฏิเสธ: นาย ก. มีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมให้ตำรวจตรวจค้นรถ โดยไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะมีความผิด ข้อยกเว้น: - นาย ก. ยินยอมให้ตรวจค้น ตำรวจมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่านาย ก. กระทำความผิด - ตำรวจมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าในรถของนาย ก. มีสิ่งของที่เกี่ยวกับความผิด แนวทางปฏิบัติ: - นาย ก. ควรสอบถามตำรวจว่ามีหมายค้นหรือไม่ - นาย ก. ควรสอบถามตำรวจว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้อย่างไรว่านาย ก. กระทำความผิด - นาย ก. ควรสอบถามตำรวจว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้อย่างไรว่าในรถของนาย ก. มีสิ่งของที่เกี่ยวกับความผิด - นาย ก. ควรปรึกษาทนายความ สรุป: นาย ก. ไม่มีผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อยกเว้นบางประการ นาย ก. ควรสอบถามรายละเอียดและปรึกษาทนายความ
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายปกครองว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่,กฎหมายสิทธิมนุษยชน,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับการปกครอง(ความผิดต่อเจ้าพนักงาน-ตำแหน่งราชการ),กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47547
Legal
การได้ภาระจำยอมมาโดยทางนิติกรรมแต่ไม่มีการจดทะเบียน จะมีผลผูกพันบุคคลภายนอกซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิ เหนือที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 วรรคหนึ่ง การก่อภาระจำยอม เป็นการก่อตั้งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม จึงต้องจดทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง การจดทะเบียน เป็นการโฆษณาแก่บุคคลภายนอก หากไม่มีการจดทะเบียน ภาระจำยอมนั้นไม่สมบูรณ์ และไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ฎีกาที่เกี่ยวข้อง: ฎีกาที่ 8621/2554 ฎีกาที่ 375/2552 ฎีกาที่ 1423/2545 ตัวอย่าง: ก. ขายที่ดินให้แก่ ข. โดยตกลงกันว่า ที่ดินของ ข. จะมีภาระจำยอมให้ ก. เดินผ่านได้ แต่ไม่ได้จดทะเบียนภาระจำยอม ต่อมา ข. ขายที่ดินให้แก่ ค. ค. ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับสัญญาซื้อขายระหว่าง ก. กับ ข. ค. ย่อมไม่มีภาระจำยอมให้ ก. เดินผ่านได้ หลักการเพิ่มเติม: การได้ภาระจำยอมมาโดยทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 ไม่ต้องจดทะเบียน สิทธิทางจำเป็นมีผลผูกพันบุคคลภายนอก สรุป: การได้ภาระจำยอมมาโดยทางนิติกรรมแต่ไม่มีการจดทะเบียน ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก คำอธิบายเพิ่มเติม: ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญในกฎหมายที่ดิน การจดทะเบียนภาระจำยอมมีผลสำคัญในการโฆษณาสิทธิแก่บุคคลภายนอก เพื่อป้องกันมิให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย คำแนะนำ: -ควรทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เกี่ยวกับการก่อภาระจำยอม -ควรจดทะเบียนภาระจำยอม
ประมวลกฎหมายที่ดิน,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47549
Legal
จากคำพิพากษาฎีกาที่ 12753/2555 ผู้รับโอนสิทธิการเช่าจากผู้เช่า (สัญญาเช่ามีข้อตกลงให้เช่าช่วงได้) จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าช่วงที่ผู้เช่าช่วงค้างชำระผู้เช่าเดิมอยู่ก่อนที่จะได้รับโอนสิทธิการเช่าจากผู้เช่าเดิมหรือไม่
null
คำพิพากษาฎีกาที่ 12753/2555 หนังสือสัญญาโอนสิทธิการเช่าระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. กับ โจทก์ระบุว่า ผู้รับโอนสิทธิตกลงรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่า ผู้เช่า ผู้เช่าช่วง ไปทันทีนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป ย่อมหมายถึงสิทธิทั้งหลายที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ผู้โอน มีอยู่ทั้งก่อนและหลังวันดังกล่าว ให้ตกเป็นของโจทก์ผู้รับโอนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป แม้จะไม่ได้ระบุไว้ว่าหมายถึงค่าเช่าช่วงที่จำเลยค้างชำระก่อนวันโอนแต่ก็เป็นหนึ่งในสิทธิและหน้าที่ทั้งหลายที่มีอยู่ เมื่อข้อสัญญาไม่ได้ระบุยกเว้นไว้ย่อมไม่แยกต่างหากจากสิทธิทั้งหลายที่จะตกได้แก่โจทก์ผู้รับโอน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระอยู่ก่อนการรับโอนสิทธิการเช่าและภายหลังการรับโอนสิทธิการเช่าจากจำเลยตามฟ้อง โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเช่าช่วงที่จำเลยค้างชำระแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ผู้โอนก่อนวันที่โจทก์รับโอนสิทธิและภายหลังที่โจทก์รับโอนสิทธิซึ่งจำเลยค้างชำระ เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระค่าเช่าช่วงทั้งหมดภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือเอาหนังสือบอกกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา และสัญญาเช่าเป็นอันระงับ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแต่ไม่ชำระตามที่กำหนด และนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดการบอกกล่าว ถือว่าการเช่าช่วงรายเดือนมีการบอกกล่าวเกิน 15 วันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 560 วรรคสอง ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าช่วงโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าช่วงจึงเลิกกันเพราะจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไป การที่จำเลยยังคงอยู่ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยพร้อมบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของตนออกไปจากที่ดินที่เช่า ทั้งมีสิทธิเรียกค่าเช่าช่วงค้างชำระทั้งหมดและค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47553
Legal
ฎีกาใด จำเลยปลอมลายมือชื่อของ ช. กรรมการผู้จัดการบริษัท น. ในคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด แล้วนำคำขอจดทะเบียนนั้นไปยื่นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เพื่อให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท ระหว่าง ฎีกา ๓๒๕๒/๒๕๔๕, ฎีกา ๑๔๖๒/๒๕๒๓ หรือ ฎีกา ๖๔๓๓/๒๕๔๓
null
ฎีกา ๓๒๕๒/๒๕๔๕ เพราะฎีกา ๓๒๕๒/๒๕๔๕ จำเลยปลอมลายมือชื่อของ ช. กรรมการผู้จัดการบริษัท น. ในคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด แล้วนำคำขอจดทะเบียนนั้นไปยื่นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เพื่อให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทดังกล่าว โดยถอนชื่อของผู้ร้องซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท น. ออกจากตำแหน่ง การกระทำของจำเลยย่อมเกิดผลกระทบโดยตรงต่อสถานะความเป็นผู้แทนนิติบุคคลของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็น ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย เฉพาะในความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตาม ป.อ. ม.๒๖๘ และเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. ม.๒(๔) มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ. ม.๓๐ ส่วนฎีกา ๑๔๖๒/๒๕๒๓ มีผู้ปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คไปเบิกเงินธนาคาร ธนาคารเป็นผู้เสียหายในความผิดใช้เอกสารปลอมและฉ้อโกง เพราะเงินเป็นของธนาคารตาม ป.พ.พ. ม.๖๗๒ วรรคสอง แต่เจ้าของเช็คที่ถูกปลอมลายมือชื่อเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมเอกสารได้ และฎีกา ๖๔๓๓/๒๕๔๓ จำเลยปลอมและใช้เอกสารรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด รายงานจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมและหรือมติพิเศษบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทดังที่โจทก์ฟ้อง บรรดาผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. ม.๒(๔)
ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47555
Legal
ผู้รับจำนองสามารถบังคับจำนองทรัพย์สินที่จำนองไว้เพื่อชำระหนี้ได้ แม้ว่าหนี้ที่จำนองเป็นประกันนั้นจะขาดอายุความแล้ว จริงหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 745 บัญญัติว่า "ผู้รับจำนองมีสิทธิที่จะบังคับเอาทรัพย์สินที่จำนองไว้เป็นประกันนั้น ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้" ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 บัญญัติว่า "คดีมีอายุความ 5 ปี เว้นแต่จะมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นไว้ต่างออกไป" จากมาตรา 745 ผู้รับจำนองมีสิทธิที่จะบังคับจำนองทรัพย์สินที่จำนองไว้เพื่อชำระหนี้ สิทธินี้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอายุความ แต่ ผู้รับจำนองจะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินกว่า 5 ปีขึ้นไปไม่ได้ ฎีกาที่ 3557/2554 วินิจฉัยว่า "เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 ขาดอายุความ โดยหนี้ดังกล่าวมีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยที่ 2 จำนองไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกัน กรณีต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 193/27 และมาตรา 745 กล่าวคือ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองแม้หนี้ที่จำนองเป็นประกันนั้นขาดอายุความแล้วก็ได้ แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินกว่า 5 ปีขึ้นไปไม่ได้ ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติให้สิทธิผู้รับจำนองบังคับได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองเท่านั้น ดังนั้น แม้ว่าตามสัญญาจำนองจะกำหนดว่า หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นจนกว่าจะครบก็ตาม โจทก์ก็จะบังคับจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 เพื่อเอาชำระหนี้ในส่วนนี้หาได้ไม่ ส่วนเรื่องดอกเบี้ยนั้น บทกฎหมายดังกล่าวเพียงแต่บัญญัติห้ามผู้รับจำนองมิให้ใช้สิทธิบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินกว่า 5 ปีขึ้นไป มิได้ห้ามผู้รับจำนองมิให้เรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องขอให้บังคับจำนอง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป" สรุป: ผู้รับจำนองสามารถบังคับจำนองทรัพย์สินที่จำนองไว้เพื่อชำระหนี้ได้ แม้ว่าหนี้ที่จำนองเป็นประกันนั้นจะขาดอายุความแล้ว แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินกว่า 5 ปีขึ้นไปไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายจำนอง,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47559
Legal
นายใสฟ้องคดีทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่งจากนายรวยต่อศาล โดยอ้างว่าอย่างไรบ้าง
null
นายใสฟ้องคดีทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่งจากนายรวยต่อศาล โดยอ้างว่า (1) นายใสเป็นเจ้าของบ้านที่รับซื้อฝากแล้ว ขอให้ขับไล่นายสดออกไปจากบ้าน (2) นายใสเป็นผู้เช่าที่ดินจากนายรวยโดยชอบ สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายสดกับนายรวยระงับลงแล้ว นายสดอยู่ในที่ดินโดยละเมิดสิทธิของนายใส ขอให้ขับไล่นายสดออกไปจากที่ดิน ประเด็น: - นายสดทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่งจากนายรวยมีกำหนดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 แล้วนายสดปลูกบ้านหนึ่งหลังอยู่อาศัยในที่ดินนั้น - ต่อมานายสดทำหนังสือสัญญาที่บ้านของตนตกลงขายฝากบ้านหลังนี้ให้แก่นายใสเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย กำหนดไถ่ทรัพย์คืนในหนึ่งปี โดยนายสดยังคงพักอาศัยในบ้านที่ขายฝากตลอดมาจนครบกำหนดหนึ่งปี นายสดไม่ไถ่คืน และสัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายสดกับนายรวยครบกำหนดแล้วด้วย - นายใสได้ขอเช่าที่ดินดังกล่าวกับนายรวยมีการทำหนังสือสัญญาให้นายใสเช่าที่ดินมีกำหนดห้าปี จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยถูกต้อง จากนั้นนายใสขอให้นายสดขนย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่นายสดเพิกเฉย - นายสดทำหนังสือสัญญาขายฝากบ้านให้แก่นายใสเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย จีงเป็นการซื้อขายในลักษณะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 491 นายใสผู้ซื้อจึงไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านที่รับซื้อฝากและไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่นายสดออกจากบ้านพิพาทได้ - นายใสทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินที่ปลูกสร้างบ้านกับนายรวยโดยจดทะเบียนการเช่าถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 แต่นายใสยังไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินตามสัญญาเช่า ส่วนนายสดอยู่ในที่ดินดังกล่าวมาก่อนโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าเดิม แม้สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายสดกับนายรวยระงับไปเพราะสิ้นกำหนดเวลาแล้ว และ - นายสดอยู่ต่อมาโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ถือว่าเป็นการละเมิดต่อนายรวยเจ้าของที่ดิน มิใช่การละเมิดต่อนายใสซึ่งเป็นผู้เช่ารายใหม่ นายใสจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่นายสดออกจากที่ดินพิพาทเช่นกัน ดังนั้น นายใสจะฟ้องขับไล่นายสดออกจากบ้านและที่ดินพิพาทโดยอาศัยข้ออ้างทั้งสองประการไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายเช่าทรัพย์,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47576
Legal
โจทก์สามารถบอกล้างสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินกับจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ลักษณะของสัญญา: สัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาต่างตอบแทน เฉกเช่นเดียวกับสัญญาซื้อขาย ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กัน การโอนกรรมสิทธิ์: โจทก์ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามสัญญาแลกเปลี่ยนแล้ว ผลของการโอนกรรมสิทธิ์: การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้รถยนต์ที่ตกลงแลกเปลี่ยนยังคงมีชื่อจำเลยที่ 1 อยู่ก็ตาม สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก: สัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินในคดีนี้มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก (จำเลยที่ 2) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง การเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญา: จำเลยที่ 2 ในฐานะบุคคลภายนอก ได้เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินนี้แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคสอง สิทธิของบุคคลภายนอก: โจทก์ไม่อาจบอกล้างสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินนี้ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อสิทธิของจำเลยที่ 2 ในฐานะบุคคลภายนอก ข้อยกเว้น แม้สัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินนี้จะมีลักษณะเป็นสัญญาระหว่างสมรส ซึ่งโดยปกติแล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถบอกล้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 แต่ กรณีนี้ไม่เข้าข้อยกเว้นดังกล่าว เพราะจำเลยที่ 2 ได้เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาแล้ว สรุป: โจทก์ไม่สามารถบอกล้างสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินกับจำเลยที่ 1 ได้ หมายเหตุ: คำตอบและเหตุผลข้างต้นเป็นการวิเคราะห์โดยสังเขปจากข้อมูลที่มีอยู่ กรณีนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
กฎหมายแลกเปลี่ยน-ให้,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม,กฎหมายเยาวชนและครอบครัว
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47577
Legal
ในหลักดินแดน ความผิดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งกระทำในราชอาณาจักร มาตรา ๕ มีอะไรบ้าง
null
ความผิดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งกระทำในราชอาณาจักร มาตรา ๕ ๑) “ความผิดใดที่การกระทำ แม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักรก็ดี” (มาตรา ๕ วรรคแรก ส่วนแรก) คำว่า “แม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักร” หมายถึง ความผิดส่วนหนึ่งได้กระทำในประเทศไทย แต่อีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร เช่น จำเลยสั่งจ่ายเช็คในประเทศไทยให้ไปขึ้นเงินที่ธนาคารสาขาในประเทศไต้หวัน ต่อมาธนาคารสาขาไต้หวันปฏิเสธการจ่ายเงิน ถือว่าความผิดส่วนหนึ่งได้กระทำในราชอาณาจักร ต้องปรับตามมาตรา ๕ (ฎีกาที่ ๕๑๐๓/๒๕๒๘) และมีฎีกาที่ ๑๖๔๕/๒๕๓๑ วินิจฉัยว่า การพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ความผิดเริ่มต้นจากพรากไปซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย แม้จะไปข่มขืนที่ประเทศญี่ปุ่น ก็ถือว่าส่วนหนึ่งได้กระทำในราชอาณาจักรตามมาตรา ๕ วรรคแรก ๒) “ผลแห่งการกระทำเกิดในราชอาณาจักร” (มาตรา ๕ วรรคแรก ส่วนที่สอง) “ผลแห่งการกระทำเกิดในราชอาณาจักร” หมายถึง ไม่มีการกระทำส่วนหนึ่งส่วนใดในราชอาณาจักร มีแต่ “ผลแห่งการกระทำ” เท่านั้นที่เกิดในราชอาณาจักร เช่น นาย ก. ข้าราชการสถานทูตไทยในต่างประเทศเขียนจดหมายถึงเพื่อนในประเทศไทยว่า นางสาว ข. ข้าราชการสถานทูตเดียวกันกับนาย ก. เป็นชู้กับคนขับรถของสถานทูต ดังนี้ เมื่อสถานทูตต่างประเทศมิใช่ราชอาณาจักร จึงเป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร (การกระทำผิดทั้งหมดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร) แต่เมื่อผลของการกระทำผิดเกิดในราชอาณาจักร จึงต้องถือว่าความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักรตามมาตรา ๕ วรรคแรก (ข้อสอบเนติบัณฑิต สมัยที่ ๔๓) ๓) “โดยผู้กระทำประสงค์ให้ผลนั้นเกิดในราชอาณาจักร หรือโดยลักษณะแห่งการกระทำ...ย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดในราชอาณาจักร” (มาตรา ๕ วรรคแรก ส่วนที่สอง) ตัวอย่างฎีกาที่ ๕๔๔๕/๒๕๕๒ จำเลยลอยเรือเพื่อให้เรือลำอื่นที่ชักธงชาติไทยมารับช่วงน้ำมันไปจำหน่ายแก่เรือประมงอีกทอดหนึ่ง แม้เหตุจะเกิดที่นอกราชอาณาจักร แต่เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักรเพราะเรือที่รับช่วงน้ำมันจะต้องนำน้ำมันไปจำหน่ายให้แก่เรือประมงที่ทำการประมงในทะเลอาณาเขตซึ่งอยู่ในเขตราชอาณาจักรไทย การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในขั้นพยายามต้องด้วย ป.อ. มาตรา ๕ วรรคสอง จำเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ๔) “ในกรณีการตระเตรียมการ หรือพยายามกระทำการใดซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด....ให้ถือว่าการตระเตรียมการหรือพยายามกระทำความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร” (มาตรา ๕ วรรคสอง) ตัวอย่าง นาย ก. อยู่มาเลเซียได้ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ในไทย ถือว่าได้ตระเตรียมวางเพลิง (ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๑๙) ในราชอาณาจักร ศาลไทยลงโทษได้โดยอาศัยมาตรา ๕ วรรคสอง หรือนาย ก. อยู่ฝั่งมาเลเซียจ้องเล็งปืนจะยิงนาย ข. ซึ่งอยู่ฝั่งไทย แต่ยังไม่ทันลั่นไกปืน นาย ก. ถูกจับเสียก่อน ถือว่านาย ก.ได้พยายามกระทำผิดในราชอาณาจักร
ประมวลกฎหมายอาญา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_47601
Legal
ท. บิดาของโจทก์ มีอำนาจฟ้องร้องคดีแทนโจทก์หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: -โจทก์ไม่ใช่ผู้เยาว์: โจทก์เป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว Therefore, โจทก์ไม่ใช่ผู้เยาว์ที่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 วรรคหนึ่ง -โจทก์ไม่ใช่คนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ: ข้อเท็จจริง: โจทก์เป็นคนพิการทุพพลภาพพูดและเดินไม่ได้ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลย แต่ยังไม่มีคำสั่งศาลให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ ตามกฎหมาย: ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งศาลให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นบุคคลที่มีความสามารถทำการใด ๆ ได้ด้วยตนเองตามกฎหมาย การฟ้องร้องคดีเป็นการกระทำที่บุคคลสามารถทำได้ด้วยตนเอง -ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 21: บุคคลที่มีความสามารถย่อมสามารถทำการใด ๆ ได้ด้วยตนเอง -การฟ้องร้องคดี: เป็นการทำการเพื่อรักษาสิทธิของตนเอง -การที่ ท. ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความให้ฟ้องคดีแทนโจทก์ เป็นการไม่มีอำนาจ: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 การฟ้องร้องคดีต้องกระทำโดยผู้มีอำนาจในกรณีนี้ ท. ไม่มีอำนาจฟ้องร้องคดีแทนโจทก์ -การฟ้องร้องคดีโดย ท. เป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 กรณีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องร้องคดี ถือเป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถ แนวทางแก้ไข: โจทก์ต้องดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องนี้เสียก่อน สรุป: -ท. บิดาของโจทก์ ไม่มีอำนาจฟ้องร้องคดีแทนโจทก์ -การฟ้องร้องคดีโดย ท. เป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถ -โจทก์ต้องดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องนี้เสียก่อน หมายเหตุ: -คำตอบและเหตุผลข้างต้นเป็นการวิเคราะห์โดยสังเขปจากข้อมูลที่มีอยู่ -กรณีนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม -คำพิพากษาฎีกาที่ 3184/2550 เป็นเพียงตัวอย่างคำพิพากษา -การนำไปใช้กับกรณีอื่นๆ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของแต่ละกรณี
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายเยาวชนและครอบครัว,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_47607
Legal
เจ้าหนี้สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒ ของกฎหมายล้มละลายได้หรือไม่?
null
ได้ เหตุผล: มาตรา ๙๐/๑๓ วรรคหนึ่ง ของกฎหมายล้มละลาย กำหนดไว้ว่า "เจ้าหนี้หรือบุคคลผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนลูกหนี้ตามมาตรา ๙๐/๖ วรรคสอง สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒" มาตรานี้เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒ ได้ ศาลมีอำนาจพิจารณาคำร้องของเจ้าหนี้ และมีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒ ได้ ศาลจะพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่า สมควรให้แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒ หรือไม่ ตัวอย่างกรณีศึกษา: เจ้าหนี้สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒ ได้ ในกรณีที่ -เจ้าหนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า ลูกหนี้มีพฤติการณ์ไม่สุจริต -เจ้าหนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า ลูกหนี้มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ -เจ้าหนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า การจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒ ส่งผลเสียต่อเจ้าหนี้ ข้อควรระวัง: เจ้าหนี้มีภาระพิสูจน์ว่า สมควรให้แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒ ศาลมีดุลยพินิจในการพิจารณาคำร้องของเจ้าหนี้ สรุป: เจ้าหนี้สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิตามมาตรา ๙๐/๑๒ ของกฎหมายล้มละลายได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า สมควรให้แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกข้อจำกัดสิทธิ
กฎหมายลักษณะหนี้
Classification
cc-by-sa-4.0