ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
10
894
Input
stringclasses
0 values
Output
stringlengths
110
13.8k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
6 values
License
stringclasses
2 values
Finance_686
Finance
เขียนย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์ที่บอกเกี่ยวกับความหมายของ MEVT Call
null
"สวัสดีค่ะ วันนี้บล็อกของเราได้รับความอนุเคราะห์จาก FINNOMENA ให้มาเขียนบล็อกเกี่ยวกับ MEVT Call เพื่อมาบอกต่อ(หรือขายของ)เกี่ยวกับคำแนะนำการลงทุนของ FINNOMENA อันนี้กัน ก่อนอื่นเรามารู้จักเจ้า MEVT Call กันก่อนนะคะ MEVT Call ก็คือ คำแนะนำจาก FINNOMENA ที่จะมาช่วยให้คุณคัดเลือกกองทุนอย่างเมพในจังหวะที่เข้าขั้น(จะ)เทพ โดยจะเจาะโอกาสด้านการลงทุนผ่าน Framework มีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาช่วย ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาลงรายละเอียดในย่อหน้าถัดไปค่ะ" บทเรียนจากย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์นี้ MEVT Call หรือ เมพคอล คือ คำแนะนำการลงทุนแบบใหม่จาก FINNOMENA Investment Team ที่เป็นตัวช่วยในการคัดเลือกกองทุนอย่างเมพในจังหวะขั้นเทพ โดยจะเน้นเจาะโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework เน้นปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิคมาประกอบ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันผ่านกรอบการลงทุน 4 ด้าน ได้แก่ Macro (มหภาค) – ปัจจัยเชิงมหภาค เงินเฟ้อ นโยบายการเงินและการคลัง ประชากรศาสตร์ และอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อหาโอกาสการลงทุนที่เหมาะสม Earnings (กำไร) – วิเคราะห์การเติบโตของกำไร แนวโน้มการปรับประมาณการกำไร และงบดุลของบริษัท Valuation (มูลค่า) – การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุนว่ามีความน่าสนใจมากขนาดไหน เพื่อแนะนำเข้าลงทุนในราคาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้ Technical (เทคนิค) – ปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยเชิงพื้นฐาน เช่น fund flow, sentiment, seasonal statistic และ technical analysis เพื่อการลงทุนที่รอบด้าน นำไปสู่การลงทุนที่ดีกว่า
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_688
Finance
พฤติกรรมทางจิตวิทยาในโลกการลงทุนแบบไหนสร้างผลลัพธ์ให้เราระหว่าง "กล้าเสี่ยงเมื่อมีกำไร" กับ "กล้าเสี่ยงเมื่อขาดทุน"
null
กล้าเสี่ยงเมื่อมีกำไร “7 พฤติกรรมทางจิตวิทยาในโลกการลงทุน” ซึ่งสามารถสร้างผลลัพธ์ให้กับเราได้ทั้งทางบวกและทางลบ ดังนั้น ถ้าเรารู้จักพฤติกรรมเหล่านี้ดีพอจะช่วยให้เราสังเกตตัวเองได้ว่ากำลังมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงกับการลงทุนหรือไม่ 1. กลัวความเสี่ยง (Snake Bite Effect) ทฤษฎีนี้ใช้อธิบายพฤติกรรม ‘กลัวความเสี่ยง’ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากการขาดทุนอย่างหนัก เปรียบเหมือนการถูก ‘งูฉก’ (Snake Bite) ในพงหญ้า ก็จะทำให้เราไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ๆ พงหญ้าอีกต่อไป ทฤษฎีนี้ใช้อธิบายพฤติกรรม ‘กลัวความเสี่ยง’ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากการขาดทุนอย่างหนัก เปรียบเหมือนการถูก ‘งูฉก’ (Snake Bite) ในพงหญ้า ก็จะทำให้เราไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ๆ พงหญ้าอีกต่อไป 2. กล้าเสี่ยงเมื่อมีกำไร (House Money Effect) House Money หมายถึง เงินของเจ้ามือ ซึ่งมักถูกใช้ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการพนันหรือคาสิโน โดยนักลงทุนจะมีแนวโน้มลงทุนแบบเสี่ยงมากขึ้นหลังจากได้กำไร เพราะเหมือนกับนำเงินของคนอื่นมาลงทุน House Money หมายถึง เงินของเจ้ามือ ซึ่งมักถูกใช้ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการพนันหรือคาสิโน โดยนักลงทุนจะมีแนวโน้มลงทุนแบบเสี่ยงมากขึ้นหลังจากได้กำไร เพราะเหมือนกับนำเงินของคนอื่นมาลงทุน 3. พยายามเอาคืน (Trying to Break Even Effect) การพยายามเอาคืนหลังจากขาดทุนอย่างหนัก จะทำให้นักลงทุนพยายามที่จะเพิ่มความเสี่ยง เพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้นแต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เนื่องจากทำการซื้อขายด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล จิตวิทยาข้อนี้เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของบ่อนการพนัน การพยายามเอาคืนหลังจากขาดทุนอย่างหนัก จะทำให้นักลงทุนพยายามที่จะเพิ่มความเสี่ยง เพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้นแต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เนื่องจากทำการซื้อขายด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล จิตวิทยาข้อนี้เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของบ่อนการพนัน 4. ต้นทุนจม (Sunk Cost Effect) เมื่อนักลงทุนขาดทุนมาก ๆ จะไม่ยอมขาย ซึ่งตรงกับจิตวิทยาเรื่องการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด (ข้อถัดไป) โดยเมื่อนักลงทุนเริ่มขาดทุน ความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อขาดทุนมากขึ้นและนานขึ้น ความเจ็บปวดจะลดลง ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ทนถือส่วนที่ขาดทุนได้อย่างยาวนาน เมื่อนักลงทุนขาดทุนมาก ๆ จะไม่ยอมขาย ซึ่งตรงกับจิตวิทยาเรื่องการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด (ข้อถัดไป) โดยเมื่อนักลงทุนเริ่มขาดทุน ความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อขาดทุนมากขึ้นและนานขึ้น ความเจ็บปวดจะลดลง ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ทนถือส่วนที่ขาดทุนได้อย่างยาวนาน 5. หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด (Disposition Effect) จิตวิทยาข้อนี้อธิบายการขาดทุนของใครหลายคนได้เป็นอย่างดี โดยธรรมชาติ ผู้คนจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิด ‘ความเสียใจ’ และแสวงหาการกระทำที่ทำให้เกิด ‘ความภูมิใจ’ (Regret and Pride) ดังนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่จะขายสินทรัพย์ที่ได้กำไรทิ้งเพื่อสร้างความภูมิใจ และถือตัวขาดทุนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด จิตวิทยาข้อนี้อธิบายการขาดทุนของใครหลายคนได้เป็นอย่างดี โดยธรรมชาติ ผู้คนจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิด ‘ความเสียใจ’ และแสวงหาการกระทำที่ทำให้เกิด ‘ความภูมิใจ’ (Regret and Pride) ดังนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่จะขายสินทรัพย์ที่ได้กำไรทิ้งเพื่อสร้างความภูมิใจ และถือตัวขาดทุนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด 6. ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นเดือนมกราคม (January Effect) ทฤษฎีที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในเดือนมกราคม เนื่องจากนักลงทุนจะขายทำกำไรจากการลงทุนช่วงสิ้นปีก่อนหยุดยาว และช่วงเดือนมกราคมจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่อีกครั้งในสินทรัพย์ที่ราคายังไม่แพง คำอธิบายที่เป็นไปได้อีกทางหนึ่งคือ นักลงทุนซื้อคืนภาษีช่วงต้นปี หรืออาจจะนำเงินโบนัสช่วงสิ้นปีมาลงทุนในช่วงเดือนถัดไป ทฤษฎีที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นในเดือนมกราคม เนื่องจากนักลงทุนจะขายทำกำไรจากการลงทุนช่วงสิ้นปีก่อนหยุดยาว และช่วงเดือนมกราคมจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่อีกครั้งในสินทรัพย์ที่ราคายังไม่แพง คำอธิบายที่เป็นไปได้อีกทางหนึ่งคือ นักลงทุนซื้อคืนภาษีช่วงต้นปี หรืออาจจะนำเงินโบนัสช่วงสิ้นปีมาลงทุนในช่วงเดือนถัดไป 7. การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ (Snowball Effect) ผลกระทบที่เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ จนกลายเป็นผลกระทบขนาดใหญ่
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_690
Finance
เขียนย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์ที่บอกเกี่ยวกับความหมายของ FINT Halving
null
"สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ นักลงทุนคงจะได้ยินเกี่ยวกับการ Halving หรือ การลดลงครึ่งหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลใช่ไหมคะ แต่ว่าในบล็อกนี้ เราจะมาพูดถึงการ Halving ที่ไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว นั่นคือ "FINT Halving" ซึ่งมันก็คือ การลดจำนวนสกุลเงินดิจิทัลที่จะแจกในโครงการ Invest-to-Earn ลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของกลไกนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เป็นของทาง FINNOMENA นั่นเอง ซึ่งเขาเรียกสกุลเงินดิจิทัลในกลไกนี้ว่า FINT และเป็นรางวัลให้กับนักลงทุนที่ซื้อกองทุนของเขาอีกด้วยค่ะ" บทเรียนจากย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์นี้ FINT Halving คือ การลดจำนวน FINT ที่จะแจกในโครงการ Invest-to-Earn ลงครึ่งหนึ่ง ปัจจุบัน FINT ถูกแจกเป็นรางวัลตอบแทนให้แก่นักลงทุนที่ซื้อกองทุนผ่าน FINNOMENA โดยเมื่อลงทุน 5,000 บาท ก็จะได้รับ 1 FINT แต่ด้วยกลไกของ FINT Halving จะทำให้จำนวน FINT ที่จะแจกนั้นลดลงครึ่งหนึ่ง แปลง่าย ๆ ก็คือในอนาคตถ้าลงทุน 5,000 บาทเท่าเดิม จะได้รับ 0.5 FINT แทน จากปัญหาของสกุลเงินในปัจจุบันที่ไม่สามารถคงมูลค่าเอาไว้ได้ในระยะยาว เนื่องจากการรวมศูนย์ (centralized) เช่น การที่หน่วยงานกลางพิมพ์เงินใหม่มาโดยไม่มีสินทรัพย์มาพยุงมูลค่าเอาไว้ ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา และสุดท้ายส่งผลให้มูลค่าของสกุลเงินนั้นลดลงในระยะยาว FINT เล็งเห็นปัญหาดังกล่าว และให้ความสำคัญอย่างมากกับการคงมูลค่าของเหรียญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดียวกันกับที่สกุลเงินพบเจอ จึงเป็นที่มาของการประยุกต์ใช้กลไกที่ชื่อว่า Halving วัตถุประสงค์ของการทำ FINT Halving คือ เพื่อคงมูลค่าของ FINT ให้คงอยู่เอาไว้ได้ในระยะยาว และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการการเฟ้อของเหรียญ FINT (anti-inflation)
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_698
Finance
5 วิกฤตการเงิน สะเทือนขวัญคนทั้งโลก มีอะไรบ้าง
null
1. ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ยุค 1930s (The Great Depression) สืบเนื่องมาจากการที่เพิ่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ทหารปลดประจำการหลั่งไหลไปเป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรม​จนทำให้ค่าแรงตก ผลผลิตทางการเกษตรราคาต่ำและมีการปล่อยกู้มาก สุดท้ายจึงเกิดฟองสบู่แตกในทั้งระบบเศรษฐกิจ​และตลาดหุ้น 2. วิกฤตหนี้สาธารณะในละตินอเมริกา ยุค 1980s (The International Debt Crisis) สาเหตุของวิกฤตเกิดขึ้นในช่วง 1960s-1970s เมื่อประเทศในแถบละตินอเมริกา ได้แก่ บราซิล อาเจนตินา และเม็กซิโก ได้กู้เงินจำนวนมหาศาลจากเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ หรือธนาคารเอกชน ในที่สุดประเทศเหล่านี้ประกาศว่าไม่มีเงินจ่ายคืนเงินกู้ ซึ่งมีผลให้ปัญหาหนี้ยืดเยื้อจนถึงปี 1989 3. วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 1997 (วิกฤตหนี้ในเอเชีย) ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) โดยสาเหตุหลักคือการที่ไม่สามารถมี 1) กระแสเงินทุนไหลเข้าออกอย่างเสรี 2) นโยบายการเงินที่อิสระ และ 3) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราคงที่ ในเวลาเดียวกันได้ทั้ง 3 ปัจจัย ซึ่ง จอร์จ โซรอส (George Soros) และกองทุน Hedge Fund ต่าง ๆ ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในการโจมตีค่าเงินบาทจนทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างหนัก 4. วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ / ซับไพรม์ ปี 2008 (The Great Recession) เริ่มจากการที่ภาวะฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา และการผิดชำระหนี้ของสินเชื่อซับไพรม์และสินเชื่อดอกเบี้ยลอยตัวเริ่มตั้งแต่ปี 2005-2006 โดยปัญหาเริ่มปรากฏชัดขึ้นในช่วงปี 2007 แล้วก็เจอปัญหาอย่างหนักในช่วงปี 2008 วิกฤตนี้นับเป็นวิกฤตการเงินที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 5. วิกฤตโรคระบาดโควิด ปี 2020 (COVID-19) มีสาเหตุมาจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม 2019 โดยพบครั้งแรกในนครอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การระบาดนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ จนทำให้เศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักเพราะจำเป็นต้องล็อกดาวน์ประเทศ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_704
Finance
FINT Token คืออะไร
null
FINT Token คือ Utility token ใหม่ล่าสุดจาก FINNOMENA ที่พร้อมมอบสิทธิประโยชน์สุดพิเศษให้กับผู้ที่ถือครอง ไม่ว่าจะเป็นการนำโทเคนมาแลก เพื่อเป็นส่วนลดค่าธรรมเนียม แลกสินค้าและบริการ เข้าถึงฟังก์ชั่นส่องกองทุนแบบเจาะลึกและการวิเคราะห์สุดพิเศษ และอื่น ๆ โดยโทเคนจะถูกนำมาเบิร์นหรือทำลายทิ้งเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ถูกนำมาแลกคืนเพื่อลดอุปทาน ช่วยให้โทเคนเกิดการขาดแคลน (Scarcity) และอาจหนุนนำมูลค่าของโทเคนให้เพิ่มขึ้น ข้อสงวนสิทธิ 1. บริษัท ฟินท์ โทเคนส์ จำกัด (“บริษัท“) เป็นผู้ออกเหรียญ FINT โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ถือเหรียญที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมของบริษัท หรือกิจกรรมอื่นใดตามเงื่อนไขที่บริษัทระบุเท่านั้น 2. เหรียญ FINT ไม่มีมูลค่าเป็นเงินตรา ไม่อาจก่อตั้งสิทธิในทรัพย์สินของผู้ถือและไม่สามารถซื้อ ขาย โอน หรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ไม่ว่าภายใต้เหตุการณ์ใดเหรียญ FINT จะไม่สามารถซื้อ ขาย โอน แลกเปลี่ยนหรือให้แก่ผู้ใช้ สำหรับการให้ที่มีมูลค่า เป็นเงินตรา หรือการกระทำอื่นใดในลักษณะเดียวกัน 3. ผู้ถือจะต้องดำเนินการศึกษาข้อมูลของเหรียญ FINT ก่อนการดำเนินการรับ หรือใช้สิทธิประโยชน์อย่างใดก็ตามอย่างครบถ้วน ทั้งนี้หากเกิดข้อบกพร่อง ผิดพลาด จากการกรณีที่ศึกษาข้อมูล หรือเข้าใจวัตถุประสงค์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญบิดเบือนจากข้อเท็จจริงดังกล่าว บริษัทจะไม่รับผิดชอบในความประมาทของผู้ถือแต่อย่างใด 4. บริษัทขอสงวนสิทธิในการยกเลิก แก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และให้ถือว่าการตัดสินใจใดๆ ของบริษัทถือเป็นที่สุด
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_717
Finance
อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอินเดีย?
null
กลยุทธ์การลงทุนในอินเดีย: กลยุทธ์การลงทุนในอินเดียที่น่าสนใจดังนี้: 1. ลงทุนในกองทุนรวม: เลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในอินเดียโดยเฉพาะ เลือกกองทุนรวมที่มีค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำ ศึกษาผลการดำเนินงานและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ตัวอย่างกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในอินเดีย: กองทุนรวม KTAM India Fund กองทุนรวม TMB India Equity Fund กองทุนรวม Aberdeen India Equity Fund 2. ลงทุนในหุ้นรายตัว: เลือกหุ้นบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตสูงในอินเดีย ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว ตัวอย่างหุ้นบริษัทอินเดียที่มีศักยภาพเติบโตสูง: Reliance Industries Tata Consultancy Services Infosys 3. ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างละเอียด ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีพื้นฐานเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหลายตัว ตัวอย่างสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีพื้นฐานเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง: Polygon (MATIC) Theta Network (THETA) Chainlink (LINK) 4. ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างละเอียด ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพเติบโตสูง กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพหลายตัว ตัวอย่างธุรกิจสตาร์ทอัพอินเดียที่มีศักยภาพเติบโตสูง: Byju's (EdTech) Nykaa (E-commerce) PhonePe (FinTech) 5. ลงทุนในทองคำ: ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ อินเดียเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก ลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมทองคำ หรือซื้อทองคำแท่ง ข้อควรระวัง: การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในประเทศ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรลงทุนเฉพาะเงินที่สามารถสูญเสียได้ สรุป: อินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและแสวงหาผลตอบแทนระยะยาว นักลงทุนสามารถลงทุนในอินเดียได้หลายวิธี เช่น ลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในหุ้นรายตัว ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ และลงทุนในทองคำ อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนเฉพาะเงินที่สามารถสูญเสียได้
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_737
Finance
จุดเริ่มต้นของ The Graph เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของปี 2017 กับ 2018 มีความเป็นมาอย่างไร
null
จุดเริ่มต้นของ The Graph เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของปี 2017 กับ 2018 เริ่มจากนักพัฒนาซอฟต์แวร์สามคน ได้แก่ Yaniv Tal, Janis Pohlmann และ Brandon Ramirez โดยก่อนหน้านั้นทั้งสามคนทำงานร่วมกันในบริษัทสตาร์ทอัปพัฒนาซอฟต์แวร์แห่งหนึ่ง ในช่วงปี 2017 ทั้งสามคนได้รู้จักกับ Ethereum และรู้สึกสนใจในตัวเทคโนโลยีของ Ethereum เป็นอย่างมาก เนื่องจากการทำธุรกิจโดยปกติมีความรวมศูนย์ (centralized) พอสมควร ทุกวันนี้เราใช้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อยู่เพียงไม่กี่แห่ง เช่น Google, Amazon, Facebook และบริษัทเหล่านี้เป็นเจ้าของข้อมูลผู้ใช้งานมากมายมหาศาลเกินกว่าจะประเมินมูลค่าได้ และทำให้บริษัทอื่น ๆ ที่ต้องการนำข้อมูลผู้ใช้งานไปวิเคราะห์ต่อ ต้องซื้อข้อมูลจากบริษัทกลุ่มนี้ และบริษัทกลุ่มนี้มีอำนาจที่จะปกปิดข้อมูลได้อีกด้วย ทั้งสามคนจึงเริ่มพัฒนาแอปพลิเคชันบน Ethereum และพบว่า Ethereum ในช่วงเวลานั้นยังไม่ได้มีการจัดระเบียบ (indexing) ข้อมูลที่เกิดขึ้น ซึ่งการไม่ได้จัดระเบียบข้อมูล จะทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้ยาก และเป็นข้อจำกัดสำคัญสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันบนบล็อกเชนของ Ethereum ทั้งสามคนจึงเริ่มคิดค้นวิธีการจัดเก็บข้อมูลบน Ethereum โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างเทคโนโลยีการจัดเก็บและจัดเรียงข้อมูลแบบกระจายศูนย์ขึ้นมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ The Graph
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_739
Finance
บอก 5 เหรียญคริปโตน่าจับตามอง ที่มีโอกาสเติบโตในปี 2023
null
1. Bitcoin (BTC) : พระเอกของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ด้วย Market Cap สูงสุด และยูสเคส (Use Case) ระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) ในประเทศเอลซัลวาดอร์ และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง, เป็นรูปแบบการรับชำระเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย (Payment Method) ในประเทศบราซิล พระเอกของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ด้วย Market Cap สูงสุด และยูสเคส (Use Case) ระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) ในประเทศเอลซัลวาดอร์ และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง, เป็นรูปแบบการรับชำระเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย (Payment Method) ในประเทศบราซิล ล่าสุด ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements: BIS) อนุญาตให้ธนาคารกลางแห่งชาติเก็บ Bitcoin (BTC) เป็นเงินสำรองได้ถึง 2% ล่าสุด ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements: BIS) อนุญาตให้ธนาคารกลางแห่งชาติเก็บ Bitcoin (BTC) เป็นเงินสำรองได้ถึง 2% เรียกได้ว่าตลาดหมีรอบนี้ Bitcoin (BTC) มียูสเคสเกิดขึ้นมากมาย และนักลงทุนส่วนใหญ่ก็มองว่า ในกลางปี 2023 จะเป็นช่วงเก็บสะสม BTC ก่อนการ Halving จะมาถึงในปี 2024 เรียกได้ว่าตลาดหมีรอบนี้ Bitcoin (BTC) มียูสเคสเกิดขึ้นมากมาย และนักลงทุนส่วนใหญ่ก็มองว่า ในกลางปี 2023 จะเป็นช่วงเก็บสะสม BTC ก่อนการ Halving จะมาถึงในปี 2024 2. Ethereum (ETH) : อีกหนึ่งเหรียญคริปโตสุดแข็งแกร่ง Altcoin อันดับ 1/คริปโตอันดับ 2 ของตลาด ยูทิลิตี้โทเคน (Utility Token) ของบล็อกเชนสาย Smart Contract อย่าง Ethereum ซึ่งเป็นบล็อกเชนที่มียูสเคสมากที่สุด เมื่อเทียบกับ Altcoin อื่น ๆ ในตลาด อีกหนึ่งเหรียญคริปโตสุดแข็งแกร่ง Altcoin อันดับ 1/คริปโตอันดับ 2 ของตลาด ยูทิลิตี้โทเคน (Utility Token) ของบล็อกเชนสาย Smart Contract อย่าง Ethereum ซึ่งเป็นบล็อกเชนที่มียูสเคสมากที่สุด เมื่อเทียบกับ Altcoin อื่น ๆ ในตลาด ในปี 2022 ที่ผ่านมา Ethereum (ETH) ได้เปิดตัวการอัปเกรดครั้งใหญ่ อย่าง The Merge ซึ่งเป็นการอัปเกรดที่เปลี่ยนกลไกฉันทามติของบล็อกเชน จาก PoW (Proof of Work) มาเป็น PoS (Proof of Stake) ซึ่งช่วยลดอัตราการใช้พลังงานถึง 99% ในปี 2022 ที่ผ่านมา Ethereum (ETH) ได้เปิดตัวการอัปเกรดครั้งใหญ่ อย่าง The Merge ซึ่งเป็นการอัปเกรดที่เปลี่ยนกลไกฉันทามติของบล็อกเชน จาก PoW (Proof of Work) มาเป็น PoS (Proof of Stake) ซึ่งช่วยลดอัตราการใช้พลังงานถึง 99% นอกจากนี้ นักพัฒนาหลักของ Ethereum ยังตั้งเป้าสำหรับการอัปเกรดครั้งใหม่ ในชื่อ “เซี่ยงไฮ้” หรือ EIP-4895 ซึ่งจะเพิ่มฟีเจอร์การถอน ETH ที่ Stake ไว้กับ Validator ในเดือนมีนาคม ปี 2023 นับว่าเป็นอีกหนึ่งเหรียญคริปโตที่น่าจับตามอง นอกจากนี้ นักพัฒนาหลักของ Ethereum ยังตั้งเป้าสำหรับการอัปเกรดครั้งใหม่ ในชื่อ “เซี่ยงไฮ้” หรือ EIP-4895 ซึ่งจะเพิ่มฟีเจอร์การถอน ETH ที่ Stake ไว้กับ Validator ในเดือนมีนาคม ปี 2023 นับว่าเป็นอีกหนึ่งเหรียญคริปโตที่น่าจับตามอง 3. Chainlink (LINK) : โทเคนโครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชนโอราเคิล ทำหน้าที่เป็นตัวนำข้อมูลต่าง ๆ จากโลกภายนอกบล็อกเชน (Off-chain Information) เข้าสู่ Smart Contract หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือ เป็นตัวกลางเชื่อมข้อมูลในโลกความเป็นจริง กับโลกบล็อกเชน โทเคนโครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชนโอราเคิล ทำหน้าที่เป็นตัวนำข้อมูลต่าง ๆ จากโลกภายนอกบล็อกเชน (Off-chain Information) เข้าสู่ Smart Contract หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือ เป็นตัวกลางเชื่อมข้อมูลในโลกความเป็นจริง กับโลกบล็อกเชน Chainlink (LINK) เป็นบล็อกเชนที่นำข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ (Real-Time) เข้าสู่บล็อกเชน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการ Swap โทเคนให้ได้ราคาที่แม่นยำ หรืออัปเดตโทเคนออนเชน (On-chain) ที่ติดตามราคาของหุ้นในโลกความจริง Chainlink (LINK) เป็นบล็อกเชนที่นำข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ (Real-Time) เข้าสู่บล็อกเชน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการ Swap โทเคนให้ได้ราคาที่แม่นยำ หรืออัปเดตโทเคนออนเชน (On-chain) ที่ติดตามราคาของหุ้นในโลกความจริง 4. Polkadot (DOT) แพลตฟอร์มบล็อกเชนที่มีจุดประสงค์ในการเชื่อมต่อหลาย ๆ บล็อกเชนเข้าด้วยกัน จากแนวคิดที่ว่า โลกเกิดขึ้นจาก ‘จุด’ หลาย ๆ จุดรวมกันจนเป็นหนึ่งเดียว Polkadot (DOT) จึงพัฒนาเพื่อเป็นสะพานในการเชื่อมต่อ ‘จุด’ ต่าง ๆ หรือบล็อกเชนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เฉพาะตัว สามารถทำงานร่วมกันได้กับบล็อกเชนอื่น ๆ อีกมากมาย แพลตฟอร์มบล็อกเชนที่มีจุดประสงค์ในการเชื่อมต่อหลาย ๆ บล็อกเชนเข้าด้วยกัน จากแนวคิดที่ว่า โลกเกิดขึ้นจาก ‘จุด’ หลาย ๆ จุดรวมกันจนเป็นหนึ่งเดียว Polkadot (DOT) จึงพัฒนาเพื่อเป็นสะพานในการเชื่อมต่อ ‘จุด’ ต่าง ๆ หรือบล็อกเชนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เฉพาะตัว สามารถทำงานร่วมกันได้กับบล็อกเชนอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ Polkadot (DOT) ยังผุดไอเดีย “ล่าค่าหัวสแกมเมอร์” (อ่านได้ที่นี่: ซึ่งจะช่วยกวาดล้างเหล่าสแกมเมอร์ออกจากคอมมูนิตี้ และสร้างบล็อกเชนที่ปราศจากมลพิษ ตามแนวคิดของ ‘เกวิน วูด’ (Gavin Wood) ผู้ก่อตั้ง Polkadot (DOT) และอดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum (ETH) นอกจากนี้ Polkadot (DOT) ยังผุดไอเดีย “ล่าค่าหัวสแกมเมอร์” (อ่านได้ที่นี่: ) ซึ่งจะช่วยกวาดล้างเหล่าสแกมเมอร์ออกจากคอมมูนิตี้ และสร้างบล็อกเชนที่ปราศจากมลพิษ ตามแนวคิดของ ‘เกวิน วูด’ (Gavin Wood) ผู้ก่อตั้ง Polkadot (DOT) และอดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum (ETH) 5. Uniswap (UNI) : ผู้นำด้าน DEX (Decentralized Exchange) หรือ แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง ที่ใช้ Smart Contract ในการดำเนินงาน โดยปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จากเหตุการณ์ความชุลมุนวุ่นวายของมหากาพย์ CEX (Centralized Exchange) อันดับ 1 และ อดีตอันดับ 2 ของโลก อย่าง Binance และ FTX ในปีนี้ (2022) ได้ทำให้แพลตฟอร์ม DEX ได้รับกระแสความสนใจมากยิ่งขึ้น ผู้นำด้าน DEX (Decentralized Exchange) หรือ แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง ที่ใช้ Smart Contract ในการดำเนินงาน โดยปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จากเหตุการณ์ความชุลมุนวุ่นวายของมหากาพย์ CEX (Centralized Exchange) อันดับ 1 และ อดีตอันดับ 2 ของโลก อย่าง Binance และ FTX ในปีนี้ (2022) ได้ทำให้แพลตฟอร์ม DEX ได้รับกระแสความสนใจมากยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_743
Finance
เขียนย่อหน้าสุดท้ายของบล็อกโพสต์ เกี่ยวกับข้อดีของกองทุน Index
null
"หลังจากที่ได้พูดถึงความหมาย และที่มาที่ไปของกองทุน Index แล้ว สุดท้ายนี้ก่อนการตัดสินลงทุน เราจะมาบอกข้อดีของกองทุน Index โดยกองทุน Index มีข้อดีคือ คุณจะได้ผลตอบแทนเคลื่อนไหวไปพร้อมกับดัชนี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้จัดการกองทุนในการเลือกหุ้น และสามารถเลือกหุ้นให้เท่ากับน้ำหนักของตลาด ณ ขณะนั้น และข้อดีอีกข้อหนึ่งของกองทุน Index ก็คือ เป็นกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายในการจัดการที่ถูก ไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง และผลตอบแทนสามารถไปถึงเป้าหมายได้ด้วย พูดมาซะขนาดนี้แล้ว ถ้าอยากลงทุนกับกองทุน Index ต้องลองกันสักตั้งแล้วล่ะ " บทเรียนจากย่อหน้าสุดท้ายนี้ ข้อดีของกองทุน Index ดีอย่างไร? 1. ผลตอบแทนเคลื่อนไหวไปพร้อมดัชนี ไม่ต้องพึ่งพาผู้จัดการกองทุนในการเลือกหุ้น เลือกหุ้นให้ได้เท่ากับน้ำหนักของตลาด ณ ขณะนั้น 2. มีค่าใช้จ่ายในการจัดการที่ถูก เปรียบเสมือน Low Cost Airline ผลตอบแทนถึงเป้าหมายได้ โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง กองทุน Index ที่มีอยู่ตลาด มักจะลงทุนผ่านกองทุน ETF ที่เทรดอิงกับดัชนีนั้น ๆ โดยตรง กองทุน Index ที่ให้เลือกซื้อได้ มีดังนี้ 1. MSCI World Index ดัชนีรวมหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น USA ยุโรป ญี่ปุ่น เป็นต้น 2. MSCI All Country World Index (ACWI) ดัชนีรวมหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) 3. Emerging Markets กลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ 3.1 MSCI Emerging Markets Index ดัชนีรวมหุ้นประเทศเกิดใหม่ เช่น จีน, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, อินเดีย และบราซิล เป็นต้น 3.2 Latin America ดัชนี Latin America 40 รวมหุ้นใหญ่ของลาตินอเมริกา 40 ตัวแรก รวม บ. ขนาดใหญ่ ใน Mexico, Brazil และ Argentina 3.3 B.R.I.C. Countries ดัชนีรวมกลุ่ม บ. ในกลุ่มประเทศ B.R.I.C. คือ Brazil, Russia, India และ China 4. MSCI AC Asia Pacific Ex. Japan Index ดัชนีรวมหุ้นในเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น 5. ตลาดหุ้น USA 5.1 S&P500 ตะกร้าหุ้น 500 ตัวแรกของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดใน USA (จัดตาม Market Cap Weight) 5.2 Dow Jones ตะกร้าหุ้น 30 ตัว ที่เป็นตัวแทนตลาดหุ้น USA (จัดตาม Price cap weight) 5.3 NASDAQ ดัชนีตลาด NASDAQ100 เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ไม่มีกลุ่มการเงิน 5.4 Russell 2000 ดัชนีหุ้นขนาดเล็กที่สุด 2,000 ตัวในตลาดหุ้น USA 6. ตลาดหุ้น EU 6.1 STOXX600 ดัชนีหุ้นของภูมิภาค EU รวมหุ้นขนาดใหญ่ 600 ตัว 6.2 STOXX50 จาก STOXX600 ย่อเหลือ 50 ตัวแรก 7. ตลาดหุ้น Germany มีอยู่หนึ่งดัชนีคือ DAX50 หรือหุ้นใหญ่ 50 ตัวแรก 8. ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 8.1 ดัชนีนิคเคอิ 225 จัดทำโดย บ. The Nikkei ตั้งแต่ปี 1950 8.2 ดัชนี Tokyo Stock Price (TOPIX) ของ Tokyo Stock Exchange โดยตรง 9. ตลาดหุ้นจีน 9.1 ดัชนี Hangseng หุ้นฮ่องกง + หุ้นจีนเอแชร์ 9.2 ดัชนี CSI300 หุ้นเอแชร์ 300 ตัวแรก ในตลาดเซี่ยงไฮ้-เซินเจิ้น 9.3 ดัชนี FTSE A50 หุ้นเอแชร์ขนาดใหญ่ 50 ตัวแรก 10. ตลาดหุ้นอินเดีย 10.1 ดัชนี Nifty50 รวมหุ้น Large Cap 50 ตัวแรกใน National Stock Exchange 10.2 ดัชนี MSCI India ที่รวมหุ้นอินเดียทั้งประเทศ ราว ๆ 90 ตัว ปัจจุบันยังไม่มีดัชนี SENSEX ที่อยู่ในตลาด Bombay 11. ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ กองทุนที่ลงทุนใน ETF ตามดัชนี MSCI Korea 25/50 ที่มี Samsung เป็นเจ้าของสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด ประมาณ 20% ในปัจจุบันยังไม่มีดัชนี KOSPI ให้ลงทุน 12. ตลาดหุ้นเวียดนาม กองทุน ETF หนึ่งเดียวที่สามารถซื้อผ่าน Streaming Pro ได้ง่าย ๆ คือ E1VFVN3001 หรือเป็น ETF DR ที่จัดการนำลงทุนไปยังตลาดหุ้นประเทศเวียดนาม ในชื่อ VFMVN30 ETF ลงทุนในหุ้นใหญ่ 30 ตัวแรกตามดัชนีหุ้นเวียดนาม HOSE 13. ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย กองทุนดัชนี MVIS Indonesia Index ลงทุนในหุ้นที่ทำธุรกิจหรือเกี่ยวข้องกับประเทศอินโดนีเซีย มีอย่างน้อย 25 บริษัทและมีสัดส่วนหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากที่สุด 8% นับเป็นตัวแทนของตลาดอินโดนีเซียได้ 14. ตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET, SET100, SET50 และ Jumbo25 โดยทั้งหมดเรียงสัดส่วนของหุ้นในดัชนีแบบ Market Cap Weight ขนาดใหญ่ไปเล็ก หุ้นขนาดใหญ่มักจะได้ประโยชน์จากการที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน เนื่องจากมีสภาพคล่องและการกำกับดูแลที่ดี
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_750
Finance
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 17 – 23 ธ.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมบ้าง?
null
กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น 1. KF-LATAM – กองทุนเปิดกรุงศรีลาตินอเมริกาอิควิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.41% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +10.89% 2. SCBCP1Y4 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 1 ปี 4 ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.44% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +2.69% 3. SCBCP1Y1 – กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ มุ่งรักษาเงินต้น 1 ปี 1 ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.36% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +2.61% หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) กองทุนยอดนิยม 1. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.26% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -44.85% 2. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -3.22% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -31.41% 3. K-VIETNAM : กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -3.70% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -27.85% คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_762
Finance
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 10 – 16 ธ.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมบ้าง?
null
กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น 1. PRINCIPAL GCLOUD-A – กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล คลาวด์ คอมพิวติ้ง ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +10.16% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -45.91% 2. KFGTECH-A – กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเทคโนโลยีอิควิตี้-สะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.33% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -49.77% 3. K-USA-A(A) และ K-USA-A(D) – กองทุนเปิด เค ยูเอสเอ หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า และ ชนิดจ่ายเงินปันผล ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.01% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -48.51% และ -49.09% หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) กองทุนยอดนิยม 1. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.61% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -29.12% 2. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.41% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -41.17% 3. K-VIETNAM : กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.60% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -25.08%
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_763
Finance
ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับการซื้อรถอย่างไร?
null
ผลกระทบของประกาศฯ ใหม่ต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้: 1. เพดานดอกเบี้ย: ประกาศฯ ใหม่กำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับการซื้อรถใหม่ไว้ที่ 10% ต่อปี รถยนต์ใช้แล้วไม่เกิน 15% ต่อปี และรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 23% ต่อปี เพดานดอกเบี้ยนี้อาจ help ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อรถ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย However ผู้บริโภคควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากหลายๆ สถาบันการเงินก่อนตัดสินใจเลือก 2. การคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก: ประกาศฯ ใหม่ไม่ได้กำหนดให้ผู้ให้เช่าซื้อต้องคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการคิดดอกเบี้ยแบบต่างๆ before ตัดสินใจเลือกสัญญาเช่าซื้อ 3. ส่วนลดค่าปิดหนี้: ประกาศฯ ใหม่กำหนดให้ผู้ให้เช่าซื้อต้องให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าซื้อที่ต้องการปิดหนี้ก่อนครบกำหนด ส่วนลดนี้อาจ incentivize ผู้บริโภคให้ปิดหนี้เร็วขึ้น However ผู้บริโภคควรคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมด including ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย before ตัดสินใจปิดหนี้ 4. ผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้โดยรวม: ยังtoo early ที่จะบอกได้ว่าประกาศฯ ใหม่จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้โดยรวมอย่างไร Possible ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับการซื้อรถmay ลดลง However ปัจจัยอื่นๆ เช่น นโยบายการเงินของธนาคารกลาง also ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย 5. คำแนะนำสำหรับผู้บริโภค: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากหลายๆ สถาบันการเงิน ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการคิดดอกเบี้ยแบบต่างๆ คำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมด including ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย before ตัดสินใจเลือกสัญญาเช่าซื้อ พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น เงื่อนไขการผ่อนชำระ and บริการเสริมต่างๆ บทสรุป: ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 may ส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่ต้องการซื้อรถ However ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบตัวเลือกต่างๆ before ตัดสินใจ เพิ่มเติม: 1. ผู้บริโภคสามารถ check อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับการซื้อรถจากเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย 2. ผู้บริโภค can ร้องเรียนกรณีถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินเพดานที่กำหนดได้ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค 3. ผู้บริโภค should ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน if ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม 4. ผู้บริโภค should ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลาง as this could ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_766
Finance
เขียนบทสนทนาถาม-ตอบของกลุ่มเพื่อน 4 คน เกี่ยวกับ 10 สุดยอดหุ้นแบรนด์สุดฮอต บริษัทยักษ์ที่คนทั้งโลกเทใจให้ในปี 2022
null
บทสนทนาถาม-ตอบของกลุ่มเพื่อน 4 คน ได้แก่ กล้า แก้ว ก้อย และกิต เกี่ยวกับ 10 สุดยอดหุ้นแบรนด์สุดฮอต บริษัทยักษ์ที่คนทั้งโลกเทใจให้ในปี 2022 กล้า : ทุกคนครับ มีใครรู้บ้างว่าบริษัทใดติด 10 สุดยอดหุ้นแบรนด์สุดฮอต บริษัทยักษ์ที่คนทั้งโลกเทใจให้ในปี 2022 แก้ว : บริษัทแรก ก็ต้อง Apple เจ้าของ iPhone ไงล่ะ กิต : อันที่สองต้องนี่เลย Microsoft ก้อย : อันดับที่ 3 เราขอตอบเป็น Alphabet หรือที่เรารู้จักในนาม Google แล้วกัน กล้า : เราขอตอบอันที่ 4 นะ เราตอบว่า Amazon แก้ว : Tesla อันดับ 5 เจ้าแห่งรถยนต์ไฟฟ้า!!! กิต : Visa เจ้าแห่งบัตรเดบิตและบัตรเครดิต อันดับที่ 6 ครับ ก้อย : ถ้าฉันพูดอันต่อไปอาจจะไม่รู้จัก JPMorgan มันคือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา อันดับ 7 จ้า กล้า : เหลืออีก 3 อันดับ เรายกให้ที่เหลือบอกแล้วกัน แก้ว : Meta อันดับ 8 เจ้าของ Facebook กิต : P&G เจ้าของ Head & Shoulder อันดับ 9 ครับ ก้อย : สุดท้ายเราตอบว่า Mastercard นะ กล้า : ทุกคนเก่งมาก ๆ เลยนะ ทั้งหมดที่กล่าวมาติดอันดับหมดเลย บทเรียนจากบทสนทนานี้ 10 สุดยอดหุ้นแบรนด์สุดฮอต บริษัทยักษ์ที่คนทั้งโลกเทใจให้ในปี 2022 1) Apple บริษัทสุดยอดนวัตกรรมและดีไซน์แห่งยุค เปลี่ยนผ่านความสุดยอดของ CEO อย่างสตีฟ จ็อบส์ มายัง ทิม คุก CEO ผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการ เน้นลดต้นทุนและทำกำไรได้อย่างไร้ที่ติ นอกจากนั้นในยุคของ ทิม คุก ถึงแม้จะไม่ได้เห็นนวัตกรรมว้าว ๆ เปลี่ยนโลกออกมาใหม่มากนัก แต่ความเป็นสุดยอดแบรนด์ของ Apple ส่งผลให้ลูกค้ายังยอมจ่ายเงินไม่ว่าราคาจะแพงแค่ไหน อีกทั้งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ผูกติดกันยังส่งผลให้เกิด Switching cost จนลูกค้ายากที่จะย้ายออกจากลูปวงจรของผลิตภัณฑ์ของ Apple ทำให้การสร้างรายได้ของธุรกิจมีความแข็งแกร่งเอามาก ๆ 2) Microsoft Word Excel Powerpoint 3 สิ่งนี้คือสิ่งที่อธิบายเจ้าของซอฟต์แวร์ฮอตฮิตตระกูล Microsoft Office อย่าง Microsoft ได้ดีที่สุด เพราะ นึกถึงเรื่องงาน ก็นึกถึงแต่ Microsoft ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Microsoft คืออีกหนึ่งที่สุดของเทคโนโลยีแห่งยุค เพราะหากคิดง่าย ๆ ตอนนี้ว่าจะเลิกใช้ Microsoft Office ได้อย่างไรทุกคนคงจะนึกภาพไม่ออก เพราะทุกคนก็ยังใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เหมือน ๆ กันหมด ต่อให้ย้ายไปจดโน้ตในที่อื่น สุดท้ายก็คงต้องมาแปะงานใน Google Doc หรือ Word อยู่ดี นอกจากนั้น Microsoft ยังมีเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งอย่างระบบคลาวด์ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลสำหรับองค์กร ทำให้ไม่ต้องเก็บข้อมูลบนกระดาษที่หนาเป็นปึก ๆ อีกต่อไป และแน่นอนถ้าหากพูดถึงสเกลระดับองค์กร Switching cost หรือการเลิกไปใช้เจ้าอื่นนี่แทบไม่มีภาพ เพราะเปลี่ยนเจ้าทีต้องจัดการข้อมูลใหม่ยุ่งเหยิง คนคงไม่มีใครอยากทำ และกลับกันนั้นสิ่งนี้ส่งผลให้รายได้ของ Microsoft มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก 3) Alphabet “Google it!” หรือ “เสิร์ช Google” คือ วลีสำคัญแห่งยุคล่าสุดไปเป็นที่เรียบร้อย Google คือผู้ยกระดับการเข้าถึงข้อมูลของโลกไปอย่างสิ้นเชิง การ Google เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน และเป็นภาพจำในหัวของเราไปที่เรียบร้อย และถ้าหากจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งในเรื่องนี้ “Google it!” เป็นวลีที่ตอบโจทย์เอามาก ๆ เพราะคงแทบจะไม่ได้ยินใครพูดว่า “Yahoo it!” 4) Amazon เวลาทำธุรกิจสิ่งแรก ๆ ที่เรานึกถึงก็คงจะเป็นเรื่องของกำไร แต่ไม่ใช่กับ Amazon “Customer experience” หรือ “ประสบการณ์ของลูกค้า” คือสิ่งที่ Amazon ให้ความสำคัญนับตั้งแต่ Day 1 โดยสุดยอดอดีต CEO อย่างคุณ Jeff Bezos Amazon เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้กลยุทธ์รีวิวสินค้า โดยเลิกสนใจว่าจะได้รับผลตอบรับเชิงลบจนขายไม่ได้ แต่กลับกันแล้วสิ่งนี้กลับทำให้นักช้อปเกิดความมั่นใจมากขึ้นจบปัญหาเรื่องซื้อของออนไลน์แล้วกลัวได้ของไม่ดี นอกจากนั้นทุกวันนี้สิ่งเหล่านี้ยังไม่หายไปไหน ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งสินค้าไวผ่านโดรน การคืนสินค้าไว และอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ Amazon กลายเป็นสุดยอดแบรนด์ที่ติดตราตรึงใจ On top of consumers’ mind 5) Tesla หากพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า คำตอบแรกในหัวทุกคนคงหนีไม่พ้น Tesla เพราะนอกจากราคาหุ้นที่หวือหวาแล้ว Tesla ถือเป็น Top of mind ในหมวดรถยนต์ไฟฟ้าอีกแบรนด์หนึ่ง ด้วยการที่ไม่หยุดพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ดีไซน์สมรรถนะที่โฉบเฉี่ยวสวยงามดูดีมีคุณภาพ รวมถึงเป็นผู้ breakthrough มุ่งมั่นในการพัฒนาระบบไร้คนขับอย่างสมบูรณ์ภายใต้การนำของ CEO อย่าง Elon Musk อีกด้วย 6) Visa หากลองหยิบบัตรเดบิต เครดิต มีโอกาสที่โลโก้ของ Visa จะเป็นสิ่งที่ติดอยู่บนบัตร Visa คือหนึ่งในแพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการชำระเงินได้ทั่วโลก และมักจะมีตราแปะอยู่บนบัตรเครดิตจนทำให้เมื่อนึกถึงบัตรเครดิตเราจึงนึกถึง Visa ไปโดยปริยาย ที่สำคัญก็คือ Visa หาใช่ผู้ทำธุรกิจบัตรเครดิตแต่คือผู้ประมวลผลธุรกรรมการเงิน โลโก้ของ Visa จึงถูกแปะไว้บนบัตรซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นภาพจำในหัวทุกคน 7) JPMorgan ในไทยอาจจะคุ้นหู JPMorgan ในแง่ของการลงทุนเป็นส่วนใหญ่ แต่หากพูดถึงในสหรัฐฯ แล้ว JPMorgan คือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง ให้บริการครบถ้วนจบ ๆ ในที่เดียวไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การธนาคาร หรือการลงทุน 8) Meta หนึ่งในผู้บุกเบิกการทำโซเชียลมิเดียให้ติดตลาดผ่านแอปพลิเคชั่นชื่อดังอย่าง Facebook Meta คือผู้ปฏิวัติการท่องโลกสื่อสังคมออนไลน์อย่างแท้จริง เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยสิ่งที่เรียกว่า Network effect ทำให้เติบโตได้รวดเร็ว จนมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากเก็บค่าโฆษณาได้หนำใจ และถึงแม้ช่วงหลัง Meta จะมีข่าวเรื่องการนำเงินไปพัฒนา Metaverse การเข้ามาของ TikTok หรือราคาหุ้นที่ตกอย่างรุนแรงอยู่บ้าง แต่พื้นฐาน จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน (MAU) ก็ยังไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นเสียด้วย อีกทั้งราคาหุ้นยังถูกแบบสุด ๆ 9) P&G ผู้ผลิตสินค้าจำเป็นตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาปรับผ้านุ่ม มีดโกน แชมพู และอื่น ๆ ซึ่งเป็นสินค้าที่ทุกคนใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน ส่วนตัวอย่างสินค้าที่เราน่าจะคุ้นหูก็เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม Downy หรือแชมพู Head & Shoulder ซึ่งของเหล่านี้ใช้แล้วมีแต่จะไปใช้ไปเรื่อย ๆ เลิกไม่ได้ และของคุณภาพทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้ P&G กลายเป็นภาพจำในหัวทุกคน 10) Mastercard คล้ายกันกับ Visa เพราะ Mastercard ก็คือผู้ให้บริการการประมวลผลธุรกรรมทางการเงินเช่นกัน แปะอยู่บนบัตรจนเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นภาพจำติดในหัว Mastercard คืออีกหนึ่งคู่แข่งคู่บุญของ Visa ที่มีปริมาณ transaction เป็นอันดับต้น ๆ ในอุตสาหกรรม
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_776
Finance
มุมมองของผู้จัดการกองทุน B-CHINE-EQ ต่อเศรษฐกิจจีนเป็นอย่างไรบ้าง
null
มุมมองของผู้จัดการกองทุน B-CHINE-EQ ต่อเศรษฐกิจจีน ค่อนข้างเป็นบวก โดยนโยบาย Zero COVID อยู่ระหว่างการพิจารณาผ่อนคลายบางส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และธนาคารกลางจีน โดยจีนได้ออกแนวปฏิบัติ 20 ข้อ เพื่อทยอยผ่อนคลายนโยบาย Zero COVID ซึ่งนโยบาย Zero COVID ที่มีอยู่แต่เดิมทำให้บรรยากาศด้านเศรษฐกิจและสภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างเป็นลบ อาทิ คนจีนไม่จับจ่ายใช้สอย และสิ้นหวังด้านเศรษฐกิจ ภาคอสังหาริมทรัพย์น่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวเช่นเดียวกัน โดยเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นทั้งหมด 16 มาตรการ เช่น การส่งเสริมการออกหุ้นกู้สำหรับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ การส่งเสริมการปล่อยกู้ให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างและส่งมอบให้ลูกค้าได้ตามเป้าหมาย การสนับสนุนการควบรวมระหว่างบริษัทอสังหาริมทรัพย์ การส่งเสริมการเจรจาหากมีการผิดนัดชำระหนี้ การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และการช่วยเหลือทางการเงินของบริษัทปล่อยอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ซึ่งการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทที่มีคุณภาพนี้ (ซึ่งมีความสำคัญกว่า 30% ของ GDP) น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินจีนอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งทาง BBLAM มองว่าธนาคารกลางจีนยังมีอีกหลายเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้สามารถยังกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อได้อีก
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_791
Finance
กลยุทธ์ Dual Momentum เหมาะกับนักลงทุนประเภทไหน?
null
กลยุทธ์ Dual Momentum เหมาะกับนักลงทุนที่: ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ: กลยุทธ์ Dual Momentum มุ่งเน้นไปที่การลดความผันผวนของพอร์ต ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง: กลยุทธ์ Dual Momentum มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัว แต่มีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ลงทุนระยะยาว: กลยุทธ์ Dual Momentum เหมาะกับการลงทุนระยะยาว เข้าใจกลยุทธ์: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ Dual Momentum นักลงทุนประเภทต่อไปนี้อาจไม่เหมาะกับกลยุทธ์ Dual Momentum: นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงสุด: กลยุทธ์ Dual Momentum มุ่งเน้นไปที่การลดความผันผวน นักลงทุนที่รับความเสี่ยงไม่ได้: กลยุทธ์ Dual Momentum ยังมีความเสี่ยงอยู่ นักลงทุนระยะสั้น: กลยุทธ์ Dual Momentum เหมาะกับการลงทุนระยะยาว คำแนะนำเพิ่มเติม: นักลงทุนควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ Dual Momentum นักลงทุนควรติดตามผลการดำเนินงานของกลยุทธ์ Dual Momentum แหล่งข้อมูล: บทความ "ป้องกัน Drawdown ด้วย Dual Momentum Strategy" เว็บไซต์ของ Morningstar ตัวอย่าง: นักลงทุนที่ต้องการเกษียณอายุในอีก 10 ปีข้างหน้า นักลงทุนที่มีเงินออม 1 ล้านบาท นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง **นักลงทุนประเภทนี้อาจพิจารณาลงทุนในกลยุทธ์ Dual Momentum ข้อควรระวัง: กลยุทธ์ Dual Momentum ไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทน นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง สรุป: กลยุทธ์ Dual Momentum เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
การบริหารสินทรัพย์,กลยุทธ์การลงทุน,เครื่องมือทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_793
Finance
กองทุนลดหย่อนภาษี SSF & RMF รองรับการเติบโตระยะยาวในปี 2565 มีอะไรบ้าง
null
กองทุน SCBRMS&P500, กองทุน SCBS&P500-SSF, กองทุน KKP NDQ100-H-SSF, กองทุน SCBRMNDQ(A), กองทุน TLUSNDQ-H-SSF, กองทุน SCBRMCTECH, กองทุน TMB-ES-STARTECH-RMF, กองทุน B-INDIAMRMF, กองทุน B-VIETNAMRMF, กองทุน TMBEAERMF, กองทุน KT-ASHARES RMF, กองทุน BCARERMF, กองทุน BCARESSF, กองทุน K-CHANGE-SSF, กองทุน KCHANGERMF, กองทุน ONE-UGERMF-A, กองทุน ONE-UGG-ASSF, กองทุน KFGGRMF และกองทุน PWINRMF คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_799
Finance
ในภาวะที่ Dollar Index ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการลงทุน
null
Dollar Index ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อการลงทุนอย่างไร เมื่อ Dollar Index ปรับตัวสูงขึ้น หมายความว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ ส่งผลต่อการลงทุนดังนี้ ราคาสินทรัพย์ที่ซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะถูกลง เช่น น้ำมัน ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ เงินทุนไหลเข้าสหรัฐอเมริกา นักลงทุนจะสนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่ denominated เป็นเงินดอลลาร์มากขึ้น ค่าเงินประเทศอื่น ๆ อ่อนค่าลง ส่งผลต่อนักลงทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ กลยุทธ์การลงทุนในภาวะ Dollar Index ปรับตัวสูงขึ้น กระจายความเสี่ยง ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียว ควรกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ และในต่างประเทศ ลงทุนในสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน เช่น ทองคำ หุ้น defensive เก็งกำไรค่าเงิน นักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์สามารถเก็งกำไรค่าเงินโดยใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น ฟิวเจอร์ส ออปชั่น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน ลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น หุ้นกลุ่ม Consumer Staples หุ้นกลุ่ม Healthcare ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ เน้นลงทุนใน債券ที่ denominated เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลงทุนในทองคำ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Haven) มักปรับตัวสูงขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน เก็งกำไรค่าเงิน นักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์สามารถเก็งกำไรค่าเงินโดยใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น ฟิวเจอร์ส ออปชั่น ข้อควรระวัง การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ สรุป Dollar Index เป็นดัชนีที่วัดความแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ นักลงทุนควรติดตาม Dollar Index และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาด
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_819
Finance
จงเล่าเรื่องสั้นเรื่อง "เปลี่ยนแปลงทางการเงิน: มหากาพย์ของ DeFi บน TikTok" ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
null
ในโลกที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและการเงินอินเทอร์เน็ต การเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นที่ภูมิปัญญาหรือที่กระแสสังคม การเงินดิจิทัลเป็นหนึ่งในนั้น และเรื่องราวของ DeFi (การเงินดิจิทัลที่ไม่ใช่เอกซ์เฉพาะที่แลกเปลี่ยน) กำลังเข้ามาในตำนานในโลกของ TikTok. ในอนาคตที่น่าฝันของเรา การเงินทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อเราถึง TikTok ไม่ใช่เพียงแค่สถานที่สำหรับสร้างวิดีโอสั้น แต่ยังเป็นเวทีสำหรับการเชื่อมโยงกับโลกของ DeFi ด้วย นี่คือเรื่องราวของเอ็กซ์โปเนนเชียลในปี 2024: ในปีนี้ TikTok ได้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้โพสต์เกี่ยวกับการเงินดิจิทัลและ DeFi อย่างเป็นทางการ นักวิจัยและนักเทรดเดอร์กำลังนำเสนอความคิดใหม่ ๆ และวิธีในการใช้ DeFi เพื่อสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าในชีวิตประจำวันของพวกเขา เรื่องราวเริ่มต้นจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ Mike ผู้มีความสนใจในการเทรดคริปโต แต่เขาไม่มีประสบการณ์เทรดในการเงินดิจิทัล เขาได้มีการเรียนรู้เกี่ยวกับ DeFi ผ่าน TikTok จากการรับชมวิดีโอที่สอนเกี่ยวกับการใช้งานและการทำกำไรจากการเทรด DeFi เมื่อเขาเข้าใจและมีความมั่นใจในการทำธุรกรรม DeFi เขาเริ่มต้นการเทรดด้วยเงินทุนเล็ก ๆ แต่ก็ได้ผลตอบแทนที่น่าทึ่ง การเทรดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ยังเปิดโอกาสให้เขาเข้าถึงการเงินและสถานการณ์ทางการเงินที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน เรื่องราวของ Mike กลายเป็นที่น่าสนใจในชุมชนของ TikTok และเริ่มสร้างความสนใจให้กับ DeFi ในระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินและการเชื่อมต่อโลกในอนาคตด้วยการเข้าถึงที่ง่ายดายผ่านแพลตฟอร์มที่เคลื่อนไหวอยู่เสมออย่าง TikTok การเงินดิจิทัลและ DeFi กำลังเป็นที่น่าสนใจและน่าสนใจต่อประชาชนทั่วไป การเปลี่ยนแปลงที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงทิศทางของการเงินและโลกของเราในปัจจุบันและอนาคต เรื่องราวนี้สร้างความสนใจในชุมชนและเปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ มีโอกาสที่จะเข้าถึงการเงินดิจิทัลและ DeFi ในอนาคตได้ง่ายขึ้นผ่านแพลตฟอร์มที่เคลื่อนไหวอย่าง TikTok โดยการเป็นตัวอย่างการเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีและการเงินที่เปลี่ยนแปลงทิศทางของโลกของเราในปัจจุบันและอนาคต การเรื่องราวนี้ย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหาและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_823
Finance
ในฐานะนักลงทุน เราควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อคว้าโอกาสในการลงทุนหลังวิกฤติ
null
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เราได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากวิกฤติตลาดหุ้นในอดีต 2 ครั้ง คือ ปี 2543 และ 2551 ว่าหลังวิกฤติมักมี "โอกาสทอง" ของการลงทุนรออยู่ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อคว้าโอกาสนี้? 1. ศึกษาบทเรียนจากอดีต: วิเคราะห์สาเหตุของวิกฤติ ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัท ศึกษาพฤติกรรมของตลาดหุ้นหลังวิกฤติ 2. ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน: วิเคราะห์ความรุนแรงของวิกฤติ ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและประเทศไทย วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้น 3. วางแผนการลงทุน: กำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม เลือกสรรหุ้นที่มีศักยภาพ กระจายความเสี่ยง เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน 4. พัฒนาทักษะการลงทุน: เรียนรู้การวิเคราะห์หุ้น ฝึกฝนการควบคุมอารมณ์ ศึกษาการบริหารความเสี่ยง 5. เตรียมเงินทุน: ออมเงินสำรองฉุกเฉิน แบ่งเงินลงทุนตามแผน ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างเพิ่มเติม ศึกษาแนวทางการลงทุนแบบ VI (Value Investing) ติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ข้อควรระวัง ไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ควรลงทุนโดยไม่มีความรู้ ไม่ควรลงทุนตามกระแส การเตรียมตัวที่ดี จะช่วยให้นักลงทุนคว้าโอกาสในการลงทุนหลังวิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_835
Finance
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับ EBITDA มากน้อยแค่ไหน?
null
EBITDA เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์ธุรกิจ แต่ไม่ควรใช้เป็นตัววัดผลเพียงตัวเดียว ข้อดีของ EBITDA: - ช่วยให้สามารถเปรียบเทียบธุรกิจในประเภทเดียวกันได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงนโยบายการบัญชี โครงสร้างเงินทุน และค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน - ช่วยให้มองเห็นศักยภาพในการทำกำไรของธุรกิจ โดยไม่ต้องคำนึงถึงค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ซึ่งอาจมีความผันผวนสูง - ช่วยให้วิเคราะห์ความสามารถของผู้บริหารในการบริหารจัดการต้นทุน ข้อจำกัดของ EBITDA: - EBITDA ไม่ได้สะท้อนถึงกระแสเงินสดของธุรกิจ - EBITDA ไม่ได้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่สำคัญบางประการ เช่น ดอกเบี้ย ภาษี และค่าเช่า - EBITDA อาจถูกนำมาใช้เพื่อบิดเบือนภาพลักษณ์ของธุรกิจ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ - ประเภทของธุรกิจ - โครงสร้างเงินทุน - นโยบายการบัญชี - กระแสเงินสด - ค่าใช้จ่ายที่สำคัญ นอกจาก EBITDA ยังมีเครื่องมืออื่นๆ ที่นักลงทุนควรใช้ - อัตราส่วนทางการเงิน - งบการเงิน -บทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ สรุป EBITDA เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์ธุรกิจ แต่ไม่ควรใช้เป็นตัววัดผลเพียงตัวเดียว นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย คำแนะนำ: - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน - นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ไอเดียใหม่: - นักลงทุนสามารถพัฒนาระบบการวัดผลที่ผสมผสานระหว่าง EBITDA กับตัววัดผลอื่นๆ - นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่าง EBITDA กับตัววัดผลอื่นๆ ตัวอย่าง: - นักลงทุนสามารถใช้ EBITDA ร่วมกับอัตราส่วนการเติบโตของรายได้เพื่อหาธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง - นักลงทุนสามารถใช้ EBITDA ร่วมกับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพื่อหาธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_837
Finance
จงเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับ "การผจญภัยในโลกของ Vulcan Forged: การสร้างชีวิตใหม่ในโลก GameFi"
null
ในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์, มนุษย์ได้เริ่มต้นการผจญภัยในโลกของ Vulcan Forged ซึ่งเป็นสตูดิโอ GameFi ที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน. ในเรื่องของเรา, มีนักผจญภัยชื่อว่าเอเวอร์ ที่เป็นมหาเศรษฐีแห่งโลกเสมือน Vulcan Forged. เขาคือนักลงทุนและนักธุรกิจที่มีความชอบในการสร้างสรรค์โลกใหม่ผ่านการเล่นเกม. วันหนึ่ง เอเวอร์ได้เข้าสู่โลกของ Vulcan Forged ด้วยความคาดหวังที่จะสร้างชีวิตใหม่ในโลกนี้ และเพื่อให้เขาได้รับการยอมรับและความเคารพจากผู้เล่นคนอื่นๆ เมื่อเขาเข้าสู่โลก, เอเวอร์ได้พบกับท้องถิ่นที่สวยงามและสะดุดตา จากที่มีที่อยู่สุดยอดที่เต็มไปด้วยบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นผลงานแสนสวยงามจากการสร้างของผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมการสร้างสรรค์โลกใหม่ใน Vulcan Forged. เขาได้เริ่มต้นการผจญภัยของตนเองด้วยการสร้างบ้านที่สวยงามและการค้นหาสิ่งมหัศจรรย์ในโลกนี้ ซึ่งรอคอยที่จะถูกค้นพบเฉพาะใน Vulcan Forged เท่านั้น แต่ในการผจญภัยของเขา, เอเวอร์ก็ต้องพบกับอุปสรรคและความท้าทาย ทั้งการต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่เข้มแข็งและการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เป็นการโจมตีความคิดสร้างสรรค์ของเขา แม้กล่าวว่ามันเป็นที่ยากลำบาก, แต่เอเวอร์ก็ไม่ยอมแพ้ ด้วยความมุ่งมั่นและความสามารถในการเชื่อมต่อกับชุมชนของเขา, เขาเรียนรู้และเจรจาต่อรองกับความท้าทายที่เกิดขึ้น และกลับมาอย่างแข็งแกร่ง ในท้ายที่สุด, เอเวอร์ได้สร้างชีวิตใหม่ในโลกของ Vulcan Forged ให้เจริญเติบโต และเป็นตัวอย่างแรงบันดาลใจให้กับผู้เล่นคนอื่นๆ ที่มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์โลกใหม่ในเกมนี้ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการปรับตัวให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง ** เรื่องสั้นนี้เล่าเรื่องของเอเวอร์ นักผจญภัยชาว Vulcan Forged ที่เข้าสู่โลกเสมือนของเกมตื่นชีวิตขึ้นใหม่ โดยมีความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นที่จะสร้างชีวิตใหม่ในโลกนี้ พบกับการปรับตัวและความท้าทายต่างๆ และสุดท้ายก็สร้างความสำเร็จและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้เล่นคนอื่นๆ ในการสร้างสรรค์โลกใหม่ในเกม Vulcan Forged ผ่านความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับอุปสรรคและความเปลี่ยนแปลงในโลกเสมือนนี้.
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_838
Finance
ตลาดการเงินช่วงสิ้นปี 2022 มีแนวโน้มเป็นอย่างไร
null
1. ตลาดคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่เกิน 5.0% แต่เฟดเลือกที่จะไปไกลกว่านั้น - นโยบายการเงินสุดโต่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด - เพราะปัจจุบัน เงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐ (Core PCE) อยู่ที่ 4.9% และสูงกว่า 4.0% ติดต่อกันมาถึง 11 เดือน การที่จะเห็นดอกเบี้ยสูงกว่าเงินเฟ้อตาที่เฟดหวังถ้าไม่เกิดจากเศรษฐกิจถดถอยจนราคาสินค้าปรับฐาน ก็ต้องใช้ดอกเบี้ยที่สูงผิดปกติ - ถ้าเกิดขึ้น ความเสี่ยงคือยีลด์จะปรับตัวขึ้น ราคาบอนด์ลดลง หุ้นปรับฐาน ราคาทองคำย่อตัว แต่แรงกระแทกไม่น่าจะรุนแรงเหมือนต้นปี ผมมองเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสะสมบอนด์กลุ่ม Investment Grade กลับเข้ามาในพอร์ต 2. ตลาดเชื่อว่ายุโรปจะรับมือกับปัญหาพลังงานขาดแคลนได้ แต่สุดท้ายกลับหนีไม่พ้นวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย - นโยบายที่ยุโรปนำมาใช้ในปัจจุบันคือ ลดการใช้พลังงานช่วงพีคลง 5-10% กำหนดกรอบกำไรของบริษัทผลิตไฟฟ้า และเพิ่มภาษีน้ำมันขึ้น 20% ไปที่ 33% - ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่ราคาพลังงานจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ แต่อยู่ที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวมากแค่ไหนจากนโยบายกดดันการบริโภคเหล่านี้ - ปัจจุบัน Bloomberg Consensus คาดการณ์เศรษฐกิจยุโรปในไตรมาส 3 แค่จะไม่เติบโต ดังนั้นถ้าเห็นการหดตัวลงทันที อาจสร้างแรงกดดันด้านเศรษฐกิจให้กับตลาดหุ้นยุโรป ยีลด์ทั่วยุโรปจะสูงขึ้นจากความเสี่ยงด้านเครดิต - อย่างไรก็ดี มองว่าเป็นโอกาสสะสมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือกในยุโรป ซึ่งคาดว่าจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐไปพร้อมกับวิกฤติด้วยเช่นกัน 3. ตลาดคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่มีทางขึ้นดอกเบี้ย แต่ BOJ กลับลำเหมือนธนาคารกลางใหญ่อื่นๆ - เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นได้ถ้าเงินเยนอ่อนค่าทะลุ 150 เยนต่อดอลลาร์ - ทางเลือกของ BOJ มีมากมายไม่ว่าจะเป็นขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ปรับคาดการณ์ดอกเบี้ย หรือปรับ Yield Curve Control - ถ้านโยบายการเงินของ BOJ เข้มงวดจะส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วตลาดบอนด์ ยีลด์ทั่วโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้น ส่วนเงินเยนแข็งค่ากลับ 10% จะกดรายได้ของบริษัทญี่ปุ่นลงได้ถึง 6-12% - เหตุการณ์นี้จะเป็นลบกับทั้งบอนด์ ดอลลาร์ และหุ้นเอเชีย แต่อาจได้ที่หลบพักเงินกลับมาทั้งเยน หยวน และยูโร 4. ตลาดคาดว่าสหรัฐและจีนแค่ขู่ แต่กลับกลายเป็นสงครามการค้ารอบใหม่ - แม้ทั้งตลาดมองว่าสหรัฐและจีนไม่สามารถกลับมาเป็นพันธมิตรกันได้ แต่กลับไม่มีใครคิดว่าแรงกดดันของสองมหาอำนาจจะนำไปสู่สงครามการค้ารอบใหม่ - ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นได้ถ้าจีนต้องการตอบโต้สหรัฐหรือมองว่าการเมืองสหรัฐอ่อนแอลง - ถ้าเกิดขึ้น หุ้นทั่วโลกอาจปรับฐานลงทั้งหมด ดอลลาร์จะแข็งค่าระยะสั้นจากตลาดที่ปิดรับความเสี่ยง แต่ธนาคารกลางอาจต้องหยุดขึ้นดอกเบี้ย เงินจะไหลไป Safe Haven เก่าอย่างเงินเยนหรือทองคำ 5. ตลาดมองว่าดอลลาร์ต้องหยุดแข็ง แต่กลับทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องไปถึงสิ้นปี - เพราะแนวโน้มของดอลลาร์สหรัฐ ถูกขับเคลื่อนด้วยสามปัจจัยหลัก คือทิศทางนโยบายการเงิน เศรษฐกิจสหรัฐเทียบกับทั่วโลก และการเปิดรับความเสี่ยงของตลาด (Risk-On Risk-Off) - ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นได้ในกรณีที่เศรษฐกิจทั่วโลกไม่ฟื้น หรือขึ้นดอกเบี้ยไม่ไหว หรือเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ EM ขนาดใหญ่ - อย่างไรก็ดี เชื่อว่าต่อจากนี้ผลจากดอลลาร์แข็งจะสะท้อนกลับมาสู่เศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การหาข้อตกลงร่วมกัน เช่นเดียวกับ Plaza Accord ในปี 1985 - นั่นอาจเป็นโอกาสของสกุลเงินประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากๆ เช่นจีน แคนาดา หรือเม็กซิโก - เรื่องที่คิดว่ารู้แต่สุดท้ายอาจไม่เป็นไปตามคาดเหล่านี้ มีโอกาสเกิดต่ำมาก แต่เมื่อหลายเรื่องในตลาดไม่เป็นไปตามคาดบ่อยครั้งขึ้น ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ - คิดกลยุทธ์รับมือไว้ ถ้าสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเราก็จะรู้ทัน และพร้อมรับมือกันครับ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_843
Finance
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นเวียดนามเผชิญกับวิกฤต นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร?
null
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ได้ให้ข้อคิดและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับตลาดหุ้นเวียดนาม ดังนี้ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของเวียดนามยังแข็งแกร่ง เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มเติบโตสูง ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับ "ถูกมาก" ค่า P/E ของตลาดน่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10-12 เท่า มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ที่ปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นนักเล่นหุ้นรายย่อย ที่เก็งกำไร กลยุทธ์การลงทุนที่ควรพิจารณา ลงทุนระยะยาว: เน้นลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตสูง มองข้ามความผันผวนระยะสั้น กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว กระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม ลงทุนอย่างมีวินัย: ศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน ตั้งจุดตัดสินใจซื้อขายที่ชัดเจน ไม่ตื่นเต้นหรือตกใจกับข่าวลือ ติดตามข่าวสาร: ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ธุรกิจ และตลาดหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ข้อควรระวัง อย่าลงทุนด้วยเงินที่ต้องการใช้ในระยะสั้น อย่าใช้มาร์จิ้น อย่าเก็งกำไร ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน ลงทุนใน ETF Diamond: ลงทุนในกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นเวียดนามขนาดใหญ่ 20 ตัว ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive: ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น กลุ่ม Consumer Staples ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง: ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว การค้าปลีก และบริการ คำแนะนำเพิ่มเติม ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้นเวียดนามเพิ่มเติม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ สรุป ตลาดหุ้นเวียดนามมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและกลยุทธ์การลงทุนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_855
Finance
เขียนบทสนทนาถาม-ตอบ ระหว่างกลุ่มเพื่อน 3 คน เกี่ยวกับ 8 หุ้นอังกฤษ ยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจเมืองผู้ดีในปี 2022
null
บทสนทนาถาม-ตอบ ระหว่างกลุ่มเพื่อน 3 คน คือ บี ครีม และตุ้ม เกี่ยวกับ 8 หุ้นอังกฤษยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจเมืองผู้ดี ในปี 2022 บี : นี่ทุกคน เราอยากรู้ว่ามีหุ้นตัวไหนของอังกฤษบ้างที่พอจะรู้จัก เพราะว่าเราสามคนเคยไปแลกเปลี่ยนที่นั่นมา อาจจะรู้จักก็ได้นะ เอามาซัก 8 บริษัทแล้วกัน ครีม : อันแรกต้องนี่เลย ปั๊มน้ำมัน Shell ตุ้ม : อันที่สอง เราขอตอบว่า...Astrazeneca วัคซีนโควิดที่เราไปฉีดมาน่ะ บี : เราขอตอบบ้างนะ HSBC ที่เป็นธนาคารอ่ะ ครีม : อันนี้ด้วยนะ Unilever บริษัทที่ผลิตสินค้าให้เราได้ใช้ในชีวิตประจำวันไง ตุ้ม : อันนี้เราอาจจะไม่รู้จักแต่เพื่อนเราที่อังกฤษรู้จัก มันคือ Diageo ที่ทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จ้า บี : ต่อมาก็ BP ที่เป็นบริษัทด้านพลังงาน ครีม : อันนี้เราก็ไม่น่าจะรู้จักนะ BATS ที่ผลิตบุหรี่ ตุ้ม : อันสุดท้ายแล้ว RKT ที่ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพจ้า บี : โอ้โห! เก่งมาก ๆ เลยจ้า บทเรียนจากบทสนทนานี้ 8 หุ้นอังกฤษ ยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจเมืองผู้ดี ในปี 2022 1. ‘Shell’ เป็นบริษัทพลังงานและปิโตรเคมีรายใหญ่ที่สุดในยุโรป บริษัทด้านพลังงานที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดเป็นอันดับสี่ของโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.ย. 2565) และเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับห้า 2. ‘Astrazeneca’ เป็นบริษัทยาและเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน หนึ่งในบริษัทยารายใหญ่ที่สุดของโลก และได้ขยายขีดความสามารถทางธุรกิจโดยการเข้าซื้อบริษัทต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับยาและเทคโนโลยีชีวภาพมากมาย เช่น Cambridge Antibody Technology บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากประเทศอังกฤษ (เข้าซื้อในปี 2006), MedImmune หน่วยงานวิจัยและพัฒนาด้านชีววิทยา (เข้าซื้อในปี 2007), Spirogen บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ (เข้าซื้อในปี 2013) และ Definiens บริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (เข้าซื้อในปี 2014) เป็นต้น 3. ‘HSBC’ เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ให้บริการด้านการเงินและการธนาคารแก่ลูกค้ารายย่อย ลูกค้าธุรกิจ ลูกค้าภาครัฐ ไปจนถึงลูกค้าองค์กรและสถาบัน 4. ‘Unilever’ เป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค FMCG (Fast Moving Consumer Goods) เป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียอดขายสูงสุดในโลก มีผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Unliever มากกว่า 2.5 พันล้านคนต่อวัน มีแบรนด์สินค้ามากกว่า 400 แบรนด์ ที่วางจำหน่ายอยู่ใน 190 ประเทศทั่วโลก 5. ‘Diageo’ เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สก๊อตวิสกี้ ไอริชวิสกี้ อเมริกันวิสกี้ วิสกี้แคนาดา บรั่นดี วอดก้า เหล้า รัม เตกิลา ไวน์ เบียร์ ไซเดอร์ ไป่จิ่ว ค็อกเทล และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ 6. ‘BP’ เป็นบริษัทด้านพลังงานระดับโลกที่ดำเนินงานแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น การสำรวจ การสกัด การกลั่น การขนส่ง และการจัดจำหน่ายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 7. ‘British American Tobacco’ เป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายบุหรี่ ยาสูบ และผลิตภัณฑ์นิโคตินอื่น ๆ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1.) กลุ่ม Non-Combustible ประกอบไปด้วยแบรนด์ Vuse, Glo, Velo และ Grizzly 2.) กลุ่ม Combustible ประกอบไปด้วยแบรนด์ Dunhill, Kent, Lucky Strike, Pall Mall และ Rothmans 8. ‘Reckitt Benckiser’ เป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเน้นไปที่การผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ สุขอนามัย และโภชนาการ ขยายฐานธุรกิจโดยการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภคมากมาย เช่น Gaviscon ยาลดกรดไหลย้อน, Air Wick น้ำหอมปรับอากาศ, Lehn & Fink เจ้าของ Lysol แบรนด์สเปรย์ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย, SSL International เจ้าของแบรนด์ถุงยางอนามัย Durex และรองเท้าเพื่อสุขภาพ Scholl, Enfamil นมผงสำหรับทารก และ K-Y เจลหล่อลื่น เป็นต้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_864
Finance
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นจีนเผชิญกับวิกฤตต่างๆ มากมาย นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Defensive อย่างไร?
null
ข้อคิดและแนวทางการลงทุนแบบ Defensive ในตลาดหุ้นจีน มีดังนี้ 1. เลือกกลุ่ม Defensive: เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น - กลุ่ม Consumer Staples: สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ยา - กลุ่ม Utilities: ธุรกิจสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำ ประปา -กลุ่ม Healthcare: ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล ยา เวชภัณฑ์ 2. เลือกหุ้นที่มี Valuation ต่ำ: - พิจารณามูลค่า P/E, P/B, Dividend Yield - เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดและกลุ่มธุรกิจเดียวกัน 3. เลือกหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง: - พิจารณาอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) - กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) - สภาพคล่อง 4. เลือกหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ: - พิจารณา Dividend Yield - อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไร (Payout Ratio) - ประวัติการจ่ายเงินปันผล 5. กระจายความเสี่ยง: - ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว - กระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนแบบ Defensive: - ลงทุนใน ETF Defensive: ลงทุนในกองทุน ETF ที่ลงทุนในกลุ่ม Defensive เช่น CHXD (Consumer Staples) - ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Utilities: เลือกหุ้นที่มี Valuation ต่ำ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เช่น CLP Holdings (0002.HK) - ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare: เลือกหุ้นที่มี Valuation ต่ำ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เช่น Ping An Insurance (2318.HK) ข้อควรระวัง: - กลยุทธ์การลงทุนแบบ Defensive ไม่ได้การันตีผลตอบแทน - ผลตอบแทนอาจน้อยกว่าการลงทุนในกลุ่มอื่น - กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ มองผลตอบแทนระยะยาว คำแนะนำเพิ่มเติม: - ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้นจีนเพิ่มเติม - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน - ลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ สรุป: กลยุทธ์การลงทุนแบบ Defensive เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในภาวะตลาดผันผวน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุน เพิ่มเติม: - กลยุทธ์การลงทุนแบบ Defensive ไม่ได้หยุดนิ่ง นักลงทุนควรติดตามข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์สถานการณ์ และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมอยู่เสมอ - การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุน
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_866
Finance
เขียนย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์ ที่บรรยายเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของการใช้ BTC เป็นสกุลเงินหลักของเอลซัลวาดอร์
null
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Bitcoin กลายเป็นสกุลเงินหลักของประเทศเอลซัลวาดอร์! ถามว่าเพราะอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ จุดเริ่มต้นมันมาจากในเดือนกันยายน ปี 2021 ประธานาธิบดี Nayib Bukele แห่งสาธารณรัฐเอลซัลวาดอร์ ได้มีการประกาศให้ BTC เป็นหนึ่งในสกุลเงินหลักของประเทศ ถือได้ว่าสร้างความฮือฮาแบบมาก...ถึงมากที่สุดเลยทีเดียว นี่คือสิ่งที่น่าจับตามองมาก ๆ ส่วนแนวคิดที่เป็นเหตุว่าทำไม BTC กลายมาเป็นสกุลเงินของประเทศเอลซัลวาดอร์ เราจะมาเริ่มอธิบายกันในบรรทัดต่อไป" บทเรียนจากย่อหน้าแรกนี้ ทำความรู้จักเอลซัลวาดอร์ - เอลซัลวาดอร์ หรือชื่อทางการก็คือสาธารณรัฐเอลซัลวาดอร์ เป็นประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกากลาง - มีประชากรเพียงประมาณ 7 ล้านคน แต่ก็นับว่ามีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดในทวีป - อีกทั้งเป็นประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวย รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรอยู่ที่ประมาณ 4,000 ดอลลาร์ซึ่งน้อยกว่าประเทศไทย - เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในฐานะสวรรค์ของนักเล่นเซิร์ฟ มีเมล็ดกาแฟหอมอร่อยขึ้นชื่อ - ประเทศแรกของโลกที่รับรองให้ Bitcoin เป็นหนึ่งในสกุลเงินหลักของประเทศร่วมกันกับดอลลาร์สหรัฐ จุดเริ่มต้นของการใช้ BTC เป็นสกุลเงินหลักของเอลซัลวาดอร์ - เอลซัลวาดอร์ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Nayib Bukele เริ่มต้นประกาศให้ BTC เป็นหนึ่งในสกุลเงินหลักของประเทศตั้งแต่กันยายน ปี 2021 ที่ผ่านมา - นับว่าเรียกเสียงฮือฮาทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจากผู้คนทั่วทั้งโลก - ไม่ว่าใครจะมีความคิดเห็นอย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นห้องทดลองใช้งานคริปโตฯ ในชีวิตประจำวันครั้งสำคัญที่น่าศึกษาและจับตามองที่สุด
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_871
Finance
แชร์แม่ชม้อยอยู่ได้นานและดึงดูดคนจำนวนมากถึงกว่า 13,000 คน และเงินที่เสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเหตุใด ระหว่าง ในสมัยนั้นคนทั่วไปและอาจจะรวมถึงเจ้าหน้าที่ยังไม่รู้จักแชร์ลูกโซ่ว่าคืออะไร หรือ รับเงินลงทุนของคนลงทุนคนแรกและจ่ายผลตอบแทนด้วยเงินลงทุนของนักลงทุนคนที่สอง
null
ในสมัยนั้นคนทั่วไปและอาจจะรวมถึงเจ้าหน้าที่ยังไม่รู้จักแชร์ลูกโซ่ว่าคืออะไร แชร์แม่ชม้อยอยู่ได้นานและดึงดูดคนจำนวนมากถึงกว่า 13,000 คน และเงินที่เสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะในสมัยนั้นคนทั่วไปและอาจจะรวมถึงเจ้าหน้าที่ยังไม่รู้จักแชร์ลูกโซ่ว่าคืออะไรและทำงานอย่างไรรวมถึงกฎหมายก็อาจจะยังไม่รองรับ อย่างไรก็ตาม ชม้อยก็ถูกจับและติดคุกฐานฉ้อโกงประชาชนร่วมกับพวกอีก 7 คน เป็นเวลาคนละกว่า 100,000 ปี เพราะมีผู้เสียหายมาก แต่ตามตามกฎหมายก็ถูกจำคุกสูงสุดได้แค่ 20 ปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการลดโทษ 2 ครั้งในช่วงเวลานั้นทำให้ชม้อยอยู่ในเรือนจำเพียงประมาณ 8 ปีเท่านั้น ส่วนการรับเงินลงทุนของคนลงทุนคนแรกและจ่ายผลตอบแทนด้วยเงินลงทุนของนักลงทุนคนที่สอง เกี่ยวข้องกับเรื่องของแชร์ลูกโซ่คนแรกที่ทำและดังมากจนชื่อของเขากลายเป็นชื่อของแชร์ลูกโซ่แบบนี้ก็คือคนอเมริกันชื่อนาย Charles Ponzi โดยที่เขาตั้งบริษัทชื่อ “Securities Exchange Company” หรือ “บริษัทตลาดหลักทรัพย์” ขึ้นมาเพื่อที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายคูปองการส่งไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นคงเป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในเทรนด์ของการเก็งกำไรสูงมากจนคนรู้สึกว่ามันเป็น “ธุรกิจแห่งอนาคต” ที่คนทันสมัยและหัวก้าวหน้าอยากลงทุนด้วย โดยที่ Ponzi สัญญาว่าถ้าใครลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 50% ในเวลา 45 วันหรือ 100% ในเวลา 90 วัน ผลก็คือ มีคนเชื่อและเข้าร่วมลงทุนจำนวนมาก แต่ข้อเท็จจริงก็คือ พอนซี่ไม่ได้ลงทุนในคูปอง เขาเพียงแต่รับเงินลงทุนของคนลงทุนคนแรก และจ่ายผลตอบแทนด้วยเงินลงทุนของนักลงทุนคนที่สอง และก็จ่ายเงินให้คนที่สองด้วยเงินของคนที่สามและก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ยิ่งมีคนมาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็สามารถจ่ายเงินผลตอบแทนให้กับคนที่ลงทุนได้ตามสัญญา แต่เมื่อใดก็ตามที่คนใหม่เข้ามาลงทุนน้อยลงหรือเริ่มหยุดลง ซึ่งจะทำให้คนเก่าไม่ได้รับเงินผลตอบแทน “แชร์” ก็ล้ม คนเสียหายมากที่สุดก็คือคนที่เข้าทีหลัง คนที่เข้ามาก่อนและออกไปแล้วอาจจะได้กำไร แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะขาดทุนเพราะออกไม่ทัน คนที่กำไรมากที่สุดก็คือ “เจ้ามือ” ที่มักจะเชิดเงินหนีหรือถูกตำรวจจับไปแล้ว
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_882
Finance
การวิเคราะห์เหตุผล หรือตรรกะของข่าวสารว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในระยะยาวนั้น เรียกว่าเป็นอะไร
null
การวิเคราะห์เหตุผล หรือตรรกะของข่าวสารว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในระยะยาวนั้น เรียกว่าเป็น “Information” ซึ่งจะเป็นตัวชี้ว่าแนวโน้มหรือเทรนด์อย่างน้อยในระยะ 3-4 ปีขึ้นไปจะเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งถือว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศนั้น ข่าวสารว่าเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปนั้นน่าจะตกต่ำลงในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าและนั่นทำให้ตลาดหุ้นตกลงมาแรง ถ้าใครจะถามว่าควรลงทุนในหุ้นอเมริกาหรือหุ้นไทยไหมหรือควรขาย? ก็คงไม่อยากตอบ เพราะนี่คือคำถามสำหรับคนที่เทรดหุ้นระยะสั้น ถ้าจะลงทุนระยะยาวแล้ว คงต้องตอบให้ได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐหรือยุโรปในระยะยาวจะโตแค่ไหนอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของ Information เช่น ปัจจัยในการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรวัยทำงาน ประสิทธิภาพของคนที่ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและระบบการปกครองของรัฐที่เอื้ออำนวยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะรวมไปถึงเรื่องของสงครามการค้าหรือสงครามเย็นที่อาจจะกำลังเกิดด้วย ดังนั้น ดัชนีหรือราคาหุ้นที่ขึ้นลง สำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้นจะ “ไม่มีความหมาย” ต้องวิเคราะห์ข่าวสารแบบ Information ซึ่งถ้าออกมาว่าประเทศหรือหุ้นน่าลงทุนและหุ้นกำลังตก นี่ก็จะเป็นโอกาสที่ดี ได้ซื้อของถูก
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_886
Finance
เขียนโฆษณาเคมเปญ "สร้างโลกใหม่กับ Oasis Network: สัมพันธ์ Meta และ Blockchain ที่เชื่อถือได้"
null
หัวข้อ: "เปลี่ยนโลกดิจิทัลด้วย Oasis Network: เทคโนโลยีที่ Meta เลือกใช้" เริ่มต้นด้วยการเน้นความทันสมัยและความยืดหยุ่นของ Oasis Network ในการแก้ไขปัญหาในโลกดิจิทัล โดยเชื่อมโยงกับคำว่า "Meta เลือกใช้" เพื่อเสริมความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ว่าเทคโนโลยีของ Oasis Network เป็นที่ยอมรับและได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ Meta อย่างแท้จริง แนะนำ - เปิดเริ่มต้นด้วยคำบรรยายที่ยกย่องความทันสมัยและการพัฒนาใหม่ๆ ของ Oasis Network - ระบุว่า Oasis Network ถูก Meta เลือกใช้เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในโลกดิจิทัล คุณสมบัติและประโยชน์ - กล่าวถึงคุณสมบัติหลักของ Oasis Network เช่น โซลูชันสำหรับการจัดการความเป็นส่วนตัวที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย - โปรโมทประโยชน์ของการใช้ Oasis Network โดยเน้นว่าผู้ใช้ Meta จะได้รับประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่สูงขึ้นในการใช้งานแพลตฟอร์ม เชื่อมโยงกับ Meta - ติดต่อ Meta เพื่อยืนยันถึงการเลือกใช้ Oasis Network และความมั่นใจในเทคโนโลยีนี้ - เชื่อมโยงกับสิ่งที่ Meta กำลังทำในด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเพื่อเน้นถึงความสอดคล้องของ Oasis Network เรียกใช้สถานการณ์ - ใช้เหตุผลที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันเช่น กระแสการโจมตีและการละเมิดความเป็นส่วนตัวในโลกดิจิทัล - วิจัยเกี่ยวกับกรณีศึกษาที่เชื่อมโยงกับปัญหานี้และวิธีการที่ Oasis Network ช่วยแก้ไข เรียกใช้การกระจาย - ใช้สื่อสังคมและแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแพร่กระจายข้อความและความเชื่อมั่นใน Oasis Network และความสัมพันธ์กับ Meta ** โดยสรุปแนวคิดในเรื่องราวของแคมเปญเป็นการเน้นความสำคัญของ Oasis Network ในการเสริมความปลอดภัยและความเชื่อถือในโลกดิจิทัล ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ Meta ได้เลือกใช้เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ ในขณะเดียวกันยังเน้นถึงความสอดคล้องของ Oasis Network กับความต้องการในการป้องกันความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในโลกดิจิทัลในยุคปัจจุบัน ด้วยคำวิจารณ์เพียงแค่ในหัวข้อเรื่องราวนี้ก็สามารถเสริมความเชื่อมั่นและประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างมากเพื่อประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายของ Meta ในการทำให้โลกดิจิทัลเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ในทุกๆ ด้าน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_888
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจผันผวนแบบนี้ นักลงทุนควรพิจารณาอะไรเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุน MRENEW?
null
จากบทความของ MFC เกี่ยวกับกองทุน MRENEW “มุมมองการลงทุนในกองทุนพลังงานทดแทน” มีประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนดังนี้ 1. มูลค่าการลงทุน: ดัชนี S&P Global Clean Energy มี P/E สูงใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในอดีต P/E ของกองทุน Blackrock Sustainable Energy (กองทุนหลักของ MRENEW) อยู่ที่ 25 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P Global Clean Energy นักลงทุนควรพิจารณา P/E ของกองทุน MRENEW เปรียบเทียบกับดัชนี และกองทุนรวมประเภทเดียวกัน 2. ความเสี่ยง: กองทุน MRENEW ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้มีความผันผวนสูง นักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงของกองทุน MRENEW เทียบกับความเสี่ยงที่รับได้ 3. สัดส่วนการลงทุน: MFC แนะนำให้น้ำหนักการลงทุนในกองทุน MRENEW ประมาณ 15-20% จากการลงทุนในหุ้นทั้งหมด นักลงทุนควรพิจารณาสัดส่วนการลงทุน MRENEW ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด เศรษฐกิจ กลยุทธ์ และเป้าหมายการลงทุน 4. ทางเลือกอื่น: นักลงทุนควรศึกษาทางเลือกอื่นในการลงทุนธีมพลังงานทดแทน เช่น ลงทุนในหุ้นรายตัว กองทุนรวม ETF หรือลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนโดยตรง 5. การกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนควรกระจายเงินลงทุนในกองทุน MRENEW ผสมผสานกับกองทุนรวมประเภทอื่น เพื่อลดความเสี่ยง 6. ข้อมูลข่าวสาร: นักลงทุนควรติดตามข้อมูลข่าวสาร นโยบาย ความเคลื่อนไหวของตลาด และผลประกอบการของกองทุน MRENEW อย่างสม่ำเสมอ 7. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อรับคำแนะนำและข้อมูลเพิ่มเติม 8. ระยะเวลาการลงทุน: การลงทุนในกองทุน MRENEW เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว ที่มีความอดทนต่อความผันผวน 9. ภาษี: นักลงทุนควรพิจารณาผลตอบแทนหลังหักภาษี เปรียบเทียบกองทุน MRENEW ประเภท RMF, SSF กับกองทุนประเภททั่วไป 10. ความเข้าใจ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล นโยบาย เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน MRENEW อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การลงทุนในกองทุน MRENEW เป็นโอกาสในการลงทุนธีมพลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เพิ่มเติม ประเมินความเสี่ยง กระจายเงินลงทุน ศึกษาข้อมูล ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และอดทนต่อความผันผวน เพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_895
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเรื่อง "สำรวจและเติบโตด้วยกัน! แคมเปญ 'วิถีวินัยการลงทุน' ด้วย 19 คติเตือนใจจาก Warren Buffett"
null
เรื่อง "คมกริบ! รวม 19 คติเตือนใจนักลงทุนและการใช้ชีวิตของ Warren Buffett" นั้นเป็นแคมเปญที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้และปฏิบัติตามคติเตือนจาก Warren Buffett ผู้บริหารอันเป็นที่รู้จักด้านการลงทุนและการดำเนินชีวิตอย่างยาวนาน คุณอาจจะเคยได้ยินถึงชื่อของเขามาแล้ว แต่ตอนนี้เรามีโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์และคติเตือนของเขาอย่างเป็นทางการ! "คมกริบ! รวม 19 คติเตือนใจนักลงทุนและการใช้ชีวิตของ Warren Buffett" ค้นพบสิ่งที่มีค่ากับชีวิตของคุณ: ทำไมต้องศึกษาจากที่มาของปัญหาเมื่อเราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของนักลงทุนตำนานอย่าง Buffett ผู้ที่เคยเดินทางผ่านความสำเร็จและความล้มเหลวและมาแบ่งปันกับเราทั้งหมด! เรียนรู้เคล็ดลับในการลงทุน: ตั้งแต่การเลือกหุ้นจนถึงการจัดการการเงิน เราจะแชร์ความรู้และเคล็ดลับจาก "โอราเคิลของการลงทุน" เพื่อช่วยให้คุณก้าวทันกับตลาดทุนได้อย่างมั่นคง! วิธีการตั้งเป้าหมายและดำเนินชีวิต: คุณไม่ต้องเป็นนักลงทุนเพียงแต่ต้องเป็นคนที่มีแผนการที่ดีในชีวิต! เราจะแนะนำวิธีการตั้งเป้าหมายและดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับคติเตือนจาก Buffett เพื่อให้คุณมีชีวิตที่สุขภาพและร่ำรวย! มาเรียนรู้และเติบโตด้วยกัน: ร่วมกับเราในการสร้างชีวิตที่เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์และความสำเร็จ ด้วยคำแนะนำและเคล็ดลับจาก Warren Buffett ผู้ที่ได้รับการยอมรับในวงการการลงทุน! ไม่มีเวลาที่ดีที่จะเริ่มต้นการเติบโตและเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ มากกว่านี้! ร่วมเราในแคมเปญ "คมกริบ! รวม 19 คติเตือนใจนักลงทุนและการใช้ชีวิตของ Warren Buffett" และให้ชีวิตของคุณเติบโตไปพร้อมกัน! ** แนวคิดหลักของแคมเปญ "คมกริบ! รวม 19 คติเตือนใจนักลงทุนและการใช้ชีวิตของ Warren Buffett" คือการเสนอโอกาสให้กับผู้ที่สนใจในการลงทุนและการพัฒนาตนเองในด้านการเงินและการดำเนินชีวิต โดยใช้ประสบการณ์และคำแนะนำจาก Warren Buffett เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างความรู้และความเข้าใจเพื่อพัฒนาทักษะในการลงทุนและการจัดการเงินในชีวิตประจำวัน โดยเน้นไปที่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและการพัฒนาตนเองเพื่อให้เติบโตและประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต และเชิญชวนผู้ที่สนใจมาร่วมกันเรียนรู้และพัฒนาตนเองในแคมเปญนี้ด้วยกันโดยใช้ช่องทางและเครื่องมือต่างๆ เช่น การเรียนรู้ออนไลน์ การแชร์ความรู้และประสบการณ์ และการสร้างชุมชนที่สนับสนุนกันในการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองต่อไป โดยเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้รับประโยชน์และความมั่นใจในการจัดการชีวิตและการเงินในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_911
Finance
น้ำมันที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ เกิดจากปัจจัยสำคัญอะไรบ้าง
null
น้ำมันที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ เกิดจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ Supply หรือความต้องการขายน้ำมัน - กลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกมีอยู่น้อยราย หนึ่งในนั้นคือ OPEC (องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน) และชาติพันธมิตร หรือที่เรียกว่า OPEC+ ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบได้สูงถึง 40% ของปริมาณการผลิตทั้งหมดในตลาดโลก จึงนับได้ว่าเป็นผู้กำหนดสมดุลในตลาดซื้อขายน้ำมัน อีกทั้งยังมีอำนาจในการปรับราคาขึ้นและลดราคาลง - อิทธิพลของปัจจัยนี้เห็นได้ชัดจากกรณีสงครามรัสเซียยูเครน เมื่อรัสเซียเป็นหนึ่งในสมาชิก OPEC+ สงครามที่เกิดขึ้นจึงส่งผลต่อความกังวลเรื่องอุปทาน ดันราคาน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปี Demand หรือความต้องการซื้อน้ำมัน - เศรษฐกิจที่ยิ่งเติบโต ก็มีส่วนที่ทำให้ราคาน้ำมันยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เพราะความต้องการซื้อน้ำมันก็มักจะเพิ่มขึ้นตามนั่นเอง ไม่ว่าจะด้วยการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น การจับจ่ายใช้สอย หรือการเดินทางคมนาคมของผู้คนที่เพิ่มขึ้น - สถานการณ์ที่เห็นได้ชัด คือ ช่วงเริ่มต้นของวิกฤติโควิด-19 ที่การเดินทางทั้งในและระหว่างประเทศหยุดชะงักแทบพร้อมกันทั่วโลก ราคาน้ำมันก็ปรับลดลง และเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เริ่มเปิดเมืองเปิดประเทศ ราคาน้ำมันก็เพิ่มขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา - เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบราคาน้ำมันได้ เพราะน้ำมันมักถูกซื้อขายกันในตลาดโลกด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก - ในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ก็จะทำให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันในไทยยิ่งสูงขึ้น
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_912
Finance
แนะนำการลงทุนแบบแบบสุลต่านดูไบหน่อย
null
1. บินไปอเมริกาเข้าคาสิโนกดแจ็คพอต วิธีนี้น่าจะอารมณ์คล้าย ๆ ถูกหวยรางวัลใหญ่ โชคดีหมุนสล็อตแบบปัง ๆ ใช้เงินเพียง 3 ดอลลาร์ หรือราว ๆ 100 กว่าบาทต่อครั้ง ถูกทีรวยรวดเดียว 10 ล้านเหรียญ หรือตีเป็นเงินไทย ~300 กว่าล้านบาท* แต่ความเป็นไปได้ของวิธีนี้ถือว่าต่ำมาก ๆๆๆๆๆ โดยความเป็นไปได้ของวิธีนี้อยู่ที่ 1 ใน 49,836,032 หรือคิดเป็น 0.00000002% นอกจากนั้นยังมีการประมาณว่าเราต้องใช้เงินเฉลี่ยประมาณ 15.2 ล้านเหรียญ ถึงจะถูกแจคพ็อตสักครั้ง ซึ่งถ้าแลกกับรางวัลเพียง 10 ล้านเหรียญเพียงเท่านั้น วิธีนี้จึงถือได้ว่าไม่คุ้มเอาเสียเลย! และอาจจะถือว่าไม่เวิร์คสักเท่าไร *อิงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินดอลลาร์/บาท ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2022 เวลา 07:33 นาฬิกา ลงทุนในตลาดหุ้นซาอุฯ แบบสุลต่าน รู้หรือไม่? เรื่องน่ารู้ก็คือดัชนีตลาดหุ้นซาอุฯ สามาถทำผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 10.37% เลยนะ แต่การจะเปลี่ยนเงิน 500,000 ให้กลายเป็น 300 กว่าล้านบาทด้วยวิธีนี้ เราต้องใช้เวลาถึง ~66.49 ปีเลยทีเดียว แต่ใด ๆ ก็ตามวิธีนี้ถือว่ายังพอเป็นไปได้ เพราะ หากเราเชื่อว่าประเทศซาอุฯ จะเติบโตเรื่อย ๆ ดัชนีหุ้นก็ควรสะท้อนตามการเติบโตของบริษัทในดัชนีตามไปด้วย 2. เป็นสุดยอดนักลงทุนหุ้นทบต้น 20% ต่อปี นักลงทุนระดับโลกที่มี Track record ยาวนานไม่ว่าจะเป็นคุณ George Soros Warren Buffett หรือ Peter Lynch ที่เรารู้จักกันน่าจะมีผลงานประมาณนี้ (เว้นแต่คุณ Jim Simon ที่ถือว่าสุดยอดมาก ๆ ที่ 66% ต่อปี) โดยคุณอาจจะเลือกหุ้นเอง ใช้ Margin Leverage หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมก็ได้ แต่ท้ายที่สุดเมื่อพอร์ตของคุณใหญ่มาก ๆ คุณก็อาจจะไม่สามารถลงทุนในหุ้นตัวเล็ก ๆ ได้อีกต่อไป และคงมีจุดที่ไม่อยาก All in อัด Margin Leverage เพราะอยากรักษาความมั่งคั่ง ท้ายที่สุดตัวเลขผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 20% ต่อปีน่าจะเหมาะสมที่สุด แต่การจะสร้างเงินก้อน ~300 ล้านบาทในปลายทาง คุณต้องใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 35.99 ปี ดังนั้นวิธีนี้หากมีฝีมือเลือกหุ้น + เริ่มไว ก็อาจจะอยู่ทันใช้เงินได้อยู่นะ 3. ซื้อ Bitcoin แล้ว TO THE MOON!! ย้อนเวลาหาอดีตซื้อ Bitcoin ตั้งแต่ยังถูก ๆ แล้ว TO THE MOON หากอิงจากผลตอบแทนนับตั้งแต่ปี 2010 – 2021 Bitcoin สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 1,576% ต่อปี ซึ่งถ้าคุณเริ่มต้นด้วยเงิน 5 แสนบาท และสร้างผลตอบแทนแบบทบต้นเฉลี่ยที่ 1,576% ต่อปี คุณก็จะใช้เวลาเพียง ~4.08 ปี ในการสร้างเงินปลายทางที่ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งวิธีนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!! หากคุณรู้ลึกรู้จริง เชื่อมั่นว่า Bitcoin มีโอกาสเติบโตในระดับสูง!! แต่คำถามก็คือในยุคนั้นจะมีสักกี่คนที่กล้าเดินเข้าไปในของที่ราคาผันผวนมาก ๆ อีกทั้งยังนิ่งแช่อิ่มไปอีกนานหลายปีกว่าจะรวยจนถึงทุกวันนี้ หากคุณทำได้คุณก็อาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้ายังไม่ได้ทำตอนนี้บิทคอยน์แตะเกือบล้านเข้าไปแล้ว วิ่งเป็นสองล้านผลตอบแทนก็เหลือเพียงหนึ่งเด้ง ไม่เช่นนั้นก็อาจจะต้องไปหาเหรียญเล็ก ๆ มีศักยภาพลงทุนแทน 4. ลงทุนกองทุนรวม Passive แบบบ้าน ๆ วิธีนี้เอาจริงดูจะกาวน้อยสุด ซึ่งวิธีการก็เรียบง่ายลงทุนในดัชนีหุ้น กองทุนที่มีการกระจายการลงทุนและเลือกลงทุนในประเทศที่เราเชื่อว่ามีศักยภาพการเติบโตที่ดี ซึ่งผลตอบแทนที่ได้ตามค่าเฉลี่ยหุ้นโลกก็น่าจะอยู่ที่ราว ๆ 8 % ต่อปี ใช้เวลา 85.26 ปี เราก็จะมีเงินเท่าแจ็คพอต ใด ๆ ก็ตามบทความนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำทุกคนให้ทำวิธีแปลก ๆ แต่อย่างใด (และก็ไม่ได้บอกว่าวิธีเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้) ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล ประเด็นสำคัญของบทความนี้ก็คือจะชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนเงินให้รวยเร็วแบบไว ๆ ง่าย ๆ ในระยะสั้น ๆ นั้นน่าจะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก อนาคตนั้นไม่เที่ยงแท้มีปัจจัยยุ่บยั่บเต็มไปหมดและเราก็ไม่สามารถรู้อนาคตได้อย่างแม่นยำเช่นเดียวกัน ข้อคิดสำคัญจากบทความนี้ก็คือถ้าเราทำผลตอบแทนได้ดี ระยะเวลาในการถึงเป้าหมายก็จะสั้นลงตามไปด้วย กลับกันแล้วหากผลตอบแทนเราพอ ๆ กับตลาด การเริ่มไวจะช่วยให้เราถึงฝั่งฝันได้เช่นกัน หากใครสงสัยดูจากภาพด้านล่างได้เลย
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_921
Finance
ในส่วนของเงินลงทุน กองทุนที่นายนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ถือครอง ตามรายการแสดงทรัพย์สิน ปี พ.ศ. 2565 มีรายการอะไรบ้าง
null
วันที่ 11 สิงหาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ในส่วนของเงินลงทุน กองทุนที่นายชัชชาติถือครอง ตามรายการแสดงทรัพย์สิน มีรายการดังต่อไปนี้ 1.กองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ ชนิดเพื่อการออก ASP-SME-SSF มูลค่า 198,191.46 บาท 2.กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเทคโนโลยีอิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ 10,426.6588 มูลค่า 101,756.89 บาท 3.กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน-สะสมมูลค่า 29.9331 มูลค่า 400.08 บาท 4.SCBLT1 หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 จำนวน 141,267.4150 มูลค่า 2,480,345.02 บาท 5.RGHC โกลบอลเฮลธ์แคร์ เพื่อการเลี้ยงชีพ 113,233.8312 มูลค่า 1,550,680.70 บาท 6.SCBSFF ตราสารหนี้ระยะสั้น 296.7747 มูลค่า 6,173.92 บาท 7.GOLDH โกลด์ THB เฮดจ์ 109.6539 มูลค่า 1,075.80 บาท นอกจากนี้ นายชัชชาติยังเปิดเผยรายได้ต่อปี รวม 1,362,720 บาท ประกอบด้วย รายได้ประจำ เงินเดือนผู้ว่าฯ กทม. 864,720 บาท เงินเพิ่มตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. 498,000 บาท รายจ่ายต่อปี รวม 1,072,595 บาท ประกอบด้วย ค่าอุปโภคบริโภค 960,000 บาท ค่าเบี้ยประกันชีวิต 112,595 บาท และข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา 1,805,000 บาท
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_930
Finance
จงแต่งนิยายเรื่อง เรื่องเล่า "เงาสนธยา: การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพื่อควบคุมไต้หวัน" ให้หน่อย
null
เรื่องเล่า "เงาสนธยา : การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพื่อควบคุมไต้หวัน" คืนนี้ แสงจันทร์ปรากฏสวยงามเหมือนเค้าหลังหนึ่งของเงาสนธยา เมื่อทุกคนนำหน้ามองสู่ท้องฟ้าในคืนดึกของเมืองไต้หวัน แต่ในเงาเขมรที่เติบโตเป็นเงายาวไปด้วยการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน เรื่องราวของชาวไต้หวันกำลังจะถูกเขียนใหม่อย่างไม่แน่นอน ในห้องประชุมเล็กๆ ภายในสถานทูตของสหรัฐฯ ณ เมืองไต้หวัน ที่ระหว่างฝันและความหวังของชาวประเทศนี้ มีการประชุมที่ลับลมกำลังจะเกิดขึ้นระหว่างนักทูตสองฝ่าย ทูตสหรัฐฯ พูดอย่างจริงจัง : "เรื่องราวนี้ต้องหยุดนะ เราไม่สามารถให้จีนเข้ามาควบคุมไต้หวันได้." ทูตจีนยิ้มที่มุมปาก : "แต่ไต้หวันก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของจีน มันไม่เป็นไรที่เราต้องการควบคุมแผ่นดินเดิมเหล่านั้น" ทูตสหรัฐฯ ตอบโต้อย่างเข้มงวด : "แต่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจะไม่ได้รับการยอมรับ! เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง เงาสนธยาที่ดำเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วพื้นดินและท้องฟ้ามือดับ แสดงถึงการแข่งขันที่ไม่รู้จบระหว่างกำลังหทาร นักรบให้แก่ไต้หวัน และเรื่องราวนี้ยังคงต่อเนื่องอย่างไม่หยุดนิ่งในเงาสนธยาที่มืดมิด เรื่องสั้น "เงาสนธยา : การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพื่อควบคุมไต้หวัน" เป็นการสรุปถึงความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเกี่ยวกับการควบคุมทางการเมืองและความมั่นคงของไต้หวัน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความขัดแย้งทางการเมือง. สหรัฐฯ มุ่งมั่นในการสนับสนุนความเสรีและประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะเดียวกัน จีนพยายามเพิ่มอำนาจและควบคุมในภูมิภาคเดียวกัน ทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างสองประเทศในการควบคุมไต้หวัน ซึ่งมีผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคนี้ การแข่งขันนี้สร้างความไม่สมดุลทางการเมืองและความไม่แน่นอนในภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลต่อความสงบสังคมและความมั่นคงของภูมิภาคได้ เรื่องราวนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการรักษาความสมดุลและความสงบสังคมในภูมิภาค และความสำคัญของการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_956
Finance
ช่วงหลังปี 2543 หรือปี 2000 ที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเทคในอเมริกาและดัชนีหุ้นไทยตกลงไปถึง 44% เป็นวิกฤติตลาดหุ้น ที่ทำให้หุ้นตกลงไปเหลือเพียงสองร้อยกว่าจุด และนั่นก็เป็นที่มาของคำว่าอะไร ระหว่าง หุ้นเตี้ย หรือ บาทตก
null
หุ้นเตี้ย ช่วงหลังปี 2543 หรือปี 2000 ที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเทคในอเมริกาและดัชนีหุ้นไทยตกลงไปถึง 44% เป็น “วิกฤติตลาดหุ้น” ที่ทำให้หุ้นตกลงไปเหลือเพียงสองร้อยกว่าจุด และนั่นก็เป็นที่มาของคำว่า “หุ้นเตี้ย” ส่วนคำว่า “บาทตก” เป็นที่มาในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทกำลังตกลงมาจากประมาณ 40 บาทเป็น 44-45 บาทหรือตกลงมาถึง 10% อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาดังกล่าวที่น่าจะต้องปรับตัวขึ้นเพื่อป้องกันบาทตกนั้น กลับปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจากประมาณ 6.5% ต่อปี ในช่วงสิ้นปี 2543 เป็น 2.25% ในปี 2544 และเหลือเพียง 1.25% ในปี 2545 เป็นช่วงเวลา “ดอกเบี้ยต่ำ” ที่ทำให้คนฝากเงินเดือดร้อน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะพอร์ตการลงทุนแบบ “Value Investment” ที่ใช้ในการลงทุนและพยายามเผยแพร่แนวคิดซึ่งยังใหม่มากในเวลานั้น มีกำไร ผลตอบแทนยังบวกถึง 22% ในยามที่ดัชนีตกไป 44% แต่ในเวลานั้น คนที่เข้าไปชมงานสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับการเงินครั้งนั้น ต่างก็มีอารมณ์คึกคักในการเข้าชมบูทที่สถาบันการเงินต่างก็มาเปิดเพื่อหาลูกค้า คนหนุ่มสาวที่เป็นคนรุ่นใหม่ เริ่มเข้ามาสนใจการเงินกันมากขึ้น การลงทุนในหุ้นที่แทบจะหายไปอานิสงส์จากวิกฤติปี 2540 เริ่มกลายเป็นอดีตของ “คนรุ่นเก่า” “การเงินยุคใหม่” กำลังมาพร้อมกับคน “รุ่นใหม่” ที่มีความรู้และมีรายได้หรือเงินเดือนสูง การลงทุนในหุ้นกำลังเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นต้องทำสำหรับพวกเขา
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_957
Finance
ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยเผชิญภาวะ Twin Deficits ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจนี้ได้อย่างไรบ้าง
null
1. ออมเงิน: การออมเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ประชาชนทั่วไปสามารถทำได้เพื่อช่วยบรรเทาปัญหา Twin Deficits การออมเงินจะช่วยลดการใช้จ่ายในประเทศ ส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 2. ลดการพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศ: ประชาชนควรหันมาบริโภคสินค้าไทยมากขึ้น และลดการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ 3. สนับสนุนสินค้าและบริการของไทย: การสนับสนุนสินค้าและบริการของไทยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ และช่วยลดการขาดดุลการค้า 4. ลงทุนในสินทรัพย์ไทย: การลงทุนในสินทรัพย์ไทย เช่น หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม จะช่วยดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ 5. เพิ่มทักษะและความรู้: การพัฒนาทักษะและความรู้ จะช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโต 6. ส่งเสริมการท่องเที่ยว: การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของประเทศ ประชาชนสามารถช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว 7. จ่ายภาษีอย่างตรงเวลา: การจ่ายภาษีอย่างตรงเวลา จะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพียงพอสำหรับการพัฒนาประเทศ 8. มีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ: การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ จะช่วยป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น 9. เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ: ประชาชนสามารถเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับภาครัฐ 10. ร่วมรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ: การรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ จะช่วยให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์ และสามารถร่วมมือกันแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ยังมีแนวทางอื่นๆ ที่ประชาชนสามารถช่วยบรรเทาปัญหา Twin Deficits ได้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับความสามารถและโอกาสของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญคือ ประชาชนทุกคนต้องตระหนักถึงปัญหา Twin Deficits และร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหา หากทุกคนร่วมมือกัน ประเทศไทยก็จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจนี้ไปได้
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_971
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเรื่อง "เฮลธ์แคร์ ไบโอเทคโซลูชัน : ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและสุขภาพ" ให้หน่อย
null
เรื่อง: "โลกเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย แต่กองทุนไบโอเทค-ดิจิตอล เฮลธ์แคร์สู้ได้" "เมื่อโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจ และปัญหาที่เข้มงวดทางสุขภาพ คุณไม่ต้องห่วงใย เพราะมีคำตอบที่ช่วยให้มั่นใจและสามารถเผชิญหน้ากับอุปสรรคทั้งสองได้อย่างมั่นคง กองทุนไบโอเทค-ดิจิตอล เฮลธ์แคร์ มุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างสุขภาพที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพเพื่อการรักษาโรค หรือนวัตกรรมทางด้านดิจิตอลที่ช่วยให้การดูแลสุขภาพได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เพียงแค่สร้างสุขภาพที่ดีให้กับทุกคน แต่ยังช่วยให้ทุกคนเติบโตเศรษฐกิจของตนเองในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ด้วยการลงทุนที่มั่นคงและมีการคาดการณ์อย่างแม่นยำ เชื่อมั่นว่าคุณสามารถสร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์และเต็มไปด้วยความสุขได้ กับกองทุนไบโอเทค-ดิจิตอล เฮลธ์แคร์ ร่วมกันสร้างโลกที่แข็งแกร่งทั้งทางเศรษฐกิจและสุขภาพ สนใจทราบข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมกองทุนได้ที่เว็บไซต์ "กองทุนไบโอเทค-ดิจิตอล เฮลธ์แคร์ - เพื่อโลกที่มั่นคงและสุขภาพที่ดี" โฆษณาเน้นที่ความเสี่ยงในเศรษฐกิจและสุขภาพที่ถูกต้องในปัจจุบัน แต่กลับมอบความมั่นใจให้กับผู้ชมด้วยคำว่า "กองทุนไบโอเทค-ดิจิตอล เฮลธ์แคร์สู้ได้" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายดังกล่าวได้อย่างมั่นคงและสำเร็จในการลงทุนในด้านเทคโนโลยีที่ส่งเสริมสุขภาพและเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเน้นว่ากองทุนนี้ไม่เพียงช่วยสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้ลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคที่มีความท้าทายมากมายด้วยการลงทุนที่มั่นคงและมีการคาดการณ์ที่แม่นยำ เพื่อสร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์และเต็มไปด้วยความสุขให้กับผู้ลงทุนได้ทุกคน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_982
Finance
จงเขียนเรื่องสั้น เรื่อง "ล่า Rug Pull: การผจญภัยในโลกดิจิทัลของชัญญาและมอลลี่"
null
ชัญญาและมอลลี่จะเป็นตัวละครหลักที่ต้องเผชิญกับความเป็นจริงของ Rug Pull ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ไม่เห็นได้ในโลกดิจิทัล ซึ่งจะใช้ความชัดเจนของตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องเพื่อให้ เข้าใจได้ง่ายและนำไปสู่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Rug Pull และวิธีป้องกัน เรื่อง: Rug Pull ตอนที่ 1: การเปิดตัวและสัมผัสแรก - เริ่มต้นด้วยการเสนอแนวคิดของ Rug Pull ผ่านตัวละครชัญญา ผู้ที่เป็นนักลงทุนในโลกดิจิทัลที่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและเทคโนโลยีบล็อกเชน - มอลลี่ เป็นนักเขียนเสรีที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการเงินดิจิทัล ตอนที่ 2: การเข้าใจความเสี่ยง - ชัญญา เริ่มสนใจในโครงการใหม่ที่ถูกเสนอในโลกดิจิทัลแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า "Cryptoverse" ซึ่งมีราคาเหรียญเสมือนขึ้นอยู่กับมูลค่าของ NFT ที่เกี่ยวข้อง - มอลลี่ ทำการวิจารณ์และคิดว่ามันอาจเป็นการลงทุนที่เสี่ยง แต่พูดกับชัญญาว่าเขาควรทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อนที่จะลงทุน ตอนที่ 3: Rug Pull เกิดขึ้น - ชัญญา ตัดสินใจลงทุนใน Cryptoverse โดยไม่ได้ทำการวิเคราะห์ให้เพียงพอ - เมื่อ Cryptoverse เผยแพร่และมีการเพิ่มมูลค่าของ NFT ชัญญาได้รับกำไรอย่างรวดเร็ว - แต่ในฐานะของนักเขียนที่มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี มอลลี่ ตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น - มันก็เกิดขึ้น! Cryptoverse ทำการ Rug Pull โดยใช้วิธีการโกงและแยกแยะผู้ลงทุนจากเงินลงทุนของพวกเขา ตอนที่ 4: การป้องกัน - ชัญญา รู้สึกหดหู่และผิดหวังเมื่อเห็นการล่วงล้ำที่เกิดขึ้น แต่มอลลี่กล่าวว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์นี้สำคัญ - พวกเขาเริ่มวางแผนการป้องกันต่อการโกงและ Rug Pull ในอนาคต โดยการทำความเข้าใจในโครงสร้างและการทำงานของโครงการที่ต้องการลงทุน - และการเรียนรู้ที่หนักและการร่วมมือกันของชัญญาและมอลลี่นำพาไปสู่การป้องกันต่อภัยคุกคามในโลกดิจิทัล การเรียนรู้และการเตรียมความพร้อม - ชัญญาและมอลลี่ร่วมกันเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาและการเรียนรู้จากการผ่านมา - มันเป็นบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมและการศึกษาเพื่อป้องกันตนเองและความเงินของพวกเขาในโลกดิจิทัล เรื่อง Rug Pull สามารถเสนอข้อคิดเกี่ยวกับความรับผิดชอบในการลงทุนและการเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนในโลกดิจิทัล นอกจากนี้ยังสามารถเสนอเรื่องของความน่าเชื่อถือในโลกดิจิทัลและการสร้างความเข้าใจในการทำงานของโครงการก่อนที่จะลงทุน รวมถึงความสำคัญของการร่วมมือกันในการค้นหาและการป้องกันตนเองจากการเป็นเหยื่อของโครงการที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ข้อคิดที่สร้างขึ้นจากเรื่อง Rug Pull อาจเกี่ยวกับความรับผิดชอบ การศึกษาเพิ่มเติมและการร่วมมือเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนในโลกดิจิทัล
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_987
Finance
The Merge คืออะไร
null
The Merge หรือ Ethereum 2.0 คือ การเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบธุรกรรมจากกลไก Proof-of-Work (PoW) เป็นกลไก Proof-of-Stake (PoS) เนื่องจากระบบ Proof-of-Work ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการตรวจสอบธุรกรรม ดังนั้น Ethereum จึงเปลี่ยนระบบเป็น Proof-of-Stake เพราะสามารถลดพลังงานไปได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับกลไกเดิม เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 Ethereum ได้เริ่มต้นใช้ระบบ Proof-of-Stake โดยสร้าง Beacon Chain มาเป็นเชนคู่ขนานกับ Ethereum Blockchain ที่ยังเป็นระบบ Proof-of-Work อยู่ และมี Validator ที่ Stake เหรียญ ETH บนเครือข่ายกว่า 40,000 คน สำหรับ The Merge ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะมีการผสาน Beacon Chain และระบบ Proof-of-Work เข้าด้วยกันและเปลี่ยนระบบเป็น Proof-of-Stake อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากการอัปเกรด The Merge เสร็จสิ้น นักขุด (Miner) ไม่ต้องตรวจสอบธุรกรรมอีกต่อไป เนื่องจาก Validator จะเป็นผู้ที่ตรวจสอบธุรกรรมแทน สำหรับการเป็น Validator ได้นั้นจะมีการต้อง Stake เหรียญ ETH บนเครือข่ายก่อน การเปลี่ยนไปใช้กลไก Proof-of-Stake ส่งผลให้เปลี่ยนผู้ตรวจสอบธุรกรรมด้วย โดยเปลี่ยนจากนักขุด (Miner) เป็น Validator ผู้ที่อยากจะเป็น Validator ได้นั้นจะต้อง Stake เหรียญ 32 ETH บนเครือข่ายเพื่อรัน Node และได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของ Block Rewards, Tips และ MEV จำนวนผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ที่เข้ามา Stake และปริมาณกิจกรรมบนเครือข่าย ดังนั้น เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนหรือ Yield จะอยู่ในช่วงระหว่าง 7% – 13% และสำหรับผู้ที่ Stake เหรียญไปแล้วจะต้องมีการเข้าคิวในการเป็น Validator ใช้ระยะเวลารอมากกว่า 2 อาทิตย์ ถ้าหากมี Validator หรือ Staker หน้าใหม่เข้ามาอาจจะทำให้ระยะเวลาในการรอคิวนานกว่าเดิม สำหรับใครที่มีทุนไม่เพียงพอหรือไม่ต้องการที่จะรับผิดชอบในการรัน Node ก็สามารถใช้บริการแพลตฟอร์ม Decentralized Exchange (DEX) ได้ แพลตฟอร์มจะทำหน้าที่เป็นตัวรวบรวมเหรียญ ETH เพื่อเป็น Validator Node และสำหรับผู้ที่ Stake เหรียญ ETH เข้ามาในแพลตฟอร์ม DEX จะได้รับเหรียญ stETH เป็นผลตอบแทนซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 1 ETH และสามารถแลกคืนเป็น ETH ได้ก็ต่อเมื่อ The Merge เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ซึ่งยังไม่มีการกำหนดวันไว้อย่างแน่ชัด
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_990
Finance
แนะนำหุ้นใหญ่ ๆ ที่เราน่าช้อนซื้อให้หน่อย
null
1. หุ้น NETFLIX หุ้นตกลงมาหนักที่สุดบริษัทหนึ่งคือตกลงมาจากจุดสูงสุดถึงประมาณ 72% จาก เกือบ 700 ดอลลาร์ เหลือ 191 ดอลลาร์เมื่อ 2-3 วันก่อน ค่า P/E อยู่ที่ 17.3 เท่า ในขณะที่ ธุรกิจของเน็ตฟลิกซ์นั้นก็น่าจะยังแข็งแกร่งและแข่งขันได้ทั่วโลก และความต้องการสินค้าหรือบริการของเน็ตฟลิกซ์นั้น น่าจะยังมีอยู่ต่อไปและไม่ลดลงในหลาย ๆ ปีข้างหน้า 2. หุ้นเฟซบุ๊กหรือ META ตกลงมาจากจุดสูงสุดที่ประมาณ 379 เหรียญเหลือเพียง 171 ดอลลาร์ หรือลดลงประมาณ 55% ในเวลาไม่ถึงปีเช่นเดียวกัน และค่า P/E ก็ลดต่ำลงจนแทบไม่น่าเชื่อเหลือเพียง 12.7 เท่า กลายเป็นหุ้น Value ไปแล้ว ในขณะที่ตัวธุรกิจเองนั้น คงใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่อไปเรื่อย ๆ นี่เป็นเรื่องของ Network Effect ที่ลูกค้าไม่ย้ายหรือหนีไปไหนได้ง่ายเพราะเขาต้องการที่จะติดต่อกับคนที่ใช้เครือข่ายสังคมนี้เหมือนกัน 3. หุ้น AMZN แอมะซอนตกลงมา 38% จาก 186 เหลือ 116 เหรียญ แต่ราคาหุ้นนั้นยังถือว่าแพงมาก มีค่า P/E 56 เท่า และเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้น บาบา ที่คล้าย ๆ กันแต่มีค่า P/E 35 เท่า ก็ไม่แน่ใจว่าหุ้นอะมาซอนนั้นน่าซื้อหรือยัง แต่ในความรู้สึกก็คือ หุ้นนี้ยังไม่น่าจะเป็นหุ้น Value ที่เน้นว่าหุ้นต้องถูก 4. หุ้น GOOG กูเกิล หรืออัลฟาเบ็ท คือ เป็นธุรกิจสุดยอดในแง่ของความแข็งแกร่งที่ไม่ค่อยมีตัวเทียบและโอกาสถูกทำลายก็ยากมาก และมันเป็นที่รวมความรู้ของโลกที่ทุกคนต้องใช้ พูดกันถึงขนาดว่าต่อไปเวลาจะเรียนรู้หรืออยากจะรู้อะไรก็ให้ถาม “อากู๋” อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นตกลงมาจาก 2,999 ดอลลาร์ เหลือ 2,371ดอลลาร์หรือลดลง 21% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นเทคอื่น แต่ราคาหุ้นก็ไม่แพงเลย ค่า P/E เท่ากับ 21.4 เท่า พอ ๆ กับหุ้นธรรมดา ๆ ในตลาด 5. หุ้นไมโครซอฟท์ MSFT ต้องถือว่าเป็นหุ้นที่มั่นคงที่สุดในแง่ของเทคเนื่องจากว่าคอมพิวเตอร์ทุกตัวต้องใช้ ราคาร่วงลงมาจากสูงสุดที่ 26.23 เป็น 20.25 ดอลลาร์ หรือลดลง 23% โดยมีค่า P/E ที่ 26.64 เท่า ซึ่งก็น่าจะเรียกว่าสมเหตุผล และไม่แพงเพราะกิจการคงจะอยู่ไปได้เรื่อย ๆ และก็น่าจะยังเติบโตต่อไปอย่างช้า ๆ ตามการใช้คอมพิวเตอร์ของโลก 6. หุ้น AAPL หรือแอปเปิล ตกลงมาจาก 179 ดอลลาร์ เป็น 142 ดอลลาร์ หรือลดลง 21% พอ ๆ กับหุ้นกูเกิลและไมโครซอฟท์ ในขณะที่ค่า P/E เท่ากับ 23 เท่า ซึ่งก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับเงินสดในบริษัทที่มีมากมาย อย่างไรก็ตาม มองไปในอนาคตไกล ๆ ความแข็งแกร่งก็ยังน่าจะเป็นรองหุ้นทั้ง 2 ตัวนั้น เพราะมีโอกาสที่เทคโนโลยีมือถือเปลี่ยนมากกว่าเรื่องของซอฟท์แวร์ที่คนจะติดมากกว่า 7. หุ้น LVMH หรือหุ้นเจ้าของหลุยส์วิตตอง เป็นหุ้นยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่หุ้นเทคเลย แต่ยิ่งใหญ่ในสายตาของลูกค้าทั่วโลก คนแข่งยากพอ ๆ กับหุ้นเทค ราคาหุ้นตกจาก 734 ดอลลาร์ เป็น 587 ดอลลาร์ หรือลดลง 20% ทั้ง ๆ ที่ในยามวิกฤติโควิดและรวมถึงเรื่องของเงินเฟ้อนั้น สินค้าของบริษัทก็ยังขายดีมาก คนยังต้องเข้าคิวเพื่อเอาเงินไปจ่ายให้กับร้าน ราคาหุ้นล่าสุดเองก็ไม่แพง ค่า P/E อยู่ที่ 24.6 เท่า
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_998
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและเผชิญกับ Stagflation นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร
null
1. กระจายความเสี่ยง: การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นักลงทุนควรทำในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน นักลงทุนควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น - หุ้น - พันธบัตร - ทองคำ - อสังหาริมทรัพย์ - สินทรัพย์ดิจิทัล 2. ลงทุนในสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อ: ในภาวะเงินเฟ้อสูง นักลงทุนควรลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ เช่น - หุ้นกลุ่ม Defensive Stock - อสังหาริมทรัพย์ - ทองคำ 3. ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ: ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน นักลงทุนควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เช่น พันธบัตร 4. ลงทุนระยะยาว: การลงทุนระยะยาวเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการเอาชนะความผันผวนของตลาด นักลงทุนควรมีมุมมองระยะยาวและไม่ควรตื่นกลัวกับความผันผวนระยะสั้น 5. ปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของตลาด 6. ศึกษาหาความรู้: นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาด 7. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำในการลงทุน นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ อีกมากมายที่นักลงทุนสามารถใช้เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและเผชิญกับ Stagflation สิ่งสำคัญคือ นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้และทำความเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนที่คาดหวังในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Legal_46102
Legal
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ได้มีบทบัญญัติที่สำคัญเกี่ยวกับทหารและกองทัพปรากฏอยู่ใน 4 ลักษณะ ใช่หรือไม่
null
ใช่ ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ได้มีบทบัญญัติที่สำคัญเกี่ยวกับทหารและกองทัพปรากฏอยู่ใน 4 ลักษณะ ได้แก่ เรื่องที่ 1 การกำหนดหน้าที่ให้บุคคลเป็นทหาร[3] เรื่องที่ 2 การกำหนดความจำเป็นในการมีกองกำลังทหารให้มีเท่าที่จำเป็น[4] เรื่องที่ 3 การกำหนดให้ทหารเป็นของชาติโดยอยู่ในบังคับบัญชาของพระมหากษัตริย์ไม่ขึ้นต่อเอกชน คณะบุคคลหรือพรรคการเมืองใดๆ[5] ซึ่งรวมถึงการกำหนดมิให้เอกชน คณะบุคคล และพรรคการเมืองจะนำทหารไปเป็นเครื่องมือไม่ได้[6] และ เรื่องที่ 4 การกำหนดบทบาทหน้าที่ของทหารพึงใช้เพื่อการรบหรือการสงคราม หรือเพื่อปราบปรามการจลาจล และจะใช้ได้ก็แต่โดยกระแสพระบรมราชโองการ[7] บทบัญญัติทั้ง 4 เรื่องนี้ได้กลายมาเป็นต้นแบบให้กับรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา ให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับทหารและกองทัพในลักษณะเดียว อย่างไรก็ดี ในบางช่วงเวลาบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวอาจจะมีเนื้อหาแตกต่างไปบ้างและบางเรื่องอาจจะไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอิทธิพลทางการเมืองของทหารและกองทัพในเวลานั้นๆ แต่สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทหารและกองทัพได้ถูกผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเมืองสำคัญตามกฎหมายที่กำหนดโครงสร้างและรูปร่างหน้าตาของรัฐ พึงสังเกตไว้ว่า การเข้ามามีบทบาทของทหารในทางกฎหมายมักจะมาภายหลังจากการมีรัฐประหาร อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 หรือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ก็ลอกเรียนแบบตามๆ กันมา นอกจากนี้ พึงสังเกตว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจกับทหารและกองทัพเอาไว้มาก แต่นัยดังกล่าวนั้นมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลต่อตำแหน่งแห่งที่ของทหารและกองทัพในการเมืองไทย ทหารและกองทัพในรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย นอกจากบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว รัฐธรรมนูญยังประกอบไปด้วยมิติเชิงวัฒนธรรมในฐานะข้อกำหนดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมหนึ่งๆ
กฎหมายทหาร,กฎหมายรัฐธรรมนูญ,กฎหมายสิทธิมนุษยชน
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46108
Legal
พาสปอร์ต (passport) สำคัญอย่างไร
null
เป็นเอกสารสำคัญอย่างหนึ่งที่ใครหลายๆ คนจำเป็นต้องมีเพื่อใช้ในการเดินทางไปมาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วหากบุคคลนั้นเป็นบุคคลสำคัญระดับประมุขหรือผู้บริหารประเทศ การมีพาสปอร์ตยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นในฐานะเป็นตัวแทนของรัฐหรือรัฐบาล ในบางประเทศมีการออกพาสปอร์ตพิเศษสำหรับการเดินทางเพื่อประโยชน์ทางการทูต เช่น หนังสือเดินทางทูต (diplomatic passport) เป็นต้น แต่ก็มีบางบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตในการเดินทาง บุคคลนั้นก็คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะประมุขของประเทศสหราชอาณาจักร ข้อสำคัญของการอธิบายว่า ทำไมสมเด็จพระราชินีนาถฯ ถึงไม่ต้องใช้พาสปอร์ตนั้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรว่ามีสถานะอยู่ในลักษณะใด และเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจเรื่องสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ ทำไมสมเด็จพระราชินีนาถฯ ถึงไม่ต้องใช้พาสปอร์ต พาสปอร์ต (passport) หรือหนังสือเดินทาง เป็นเอกสารสำคัญซึ่งออกโดยรัฐบาลเพื่อใช้สำหรับยืนยันตัวบุคคลหรือสัญชาติของบุคคลในการเดินทางระหว่างประเทศ โดยหนังสือเดินทางมาตรฐานนั้นจะประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆ ที่ชี้เฉพาะและยืนยันตัวบุคคล เช่น ชื่อผู้ถือพาสปอร์ต ที่อยู่อาศัย วันเกิด รูปถ่าย ลายเซ็น และข้อมูลระบุตัวตนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการยืนยันตัวบุคคลหรือสัญชาติของบุคคล
กฎหมายคนเข้าเมือง-การทำงานของคนต่างด้าว,กฎหมายระหว่างประเทศ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46109
Legal
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รับรองสิทธิสวัสดิการสาธารณสุขหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 47 บัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขจากรัฐซึ่งต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ" มาตรา 48 บัญญัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิของมารดา เด็ก และผู้สูงอายุ ในการได้รับบริการสาธารณสุข มาตรา 50 บัญญัติว่า "รัฐมีหน้าที่จัดให้มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึง" มาตรา 51 บัญญัติให้รัฐจัดให้มีบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส หลักฐานสนับสนุน: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ข้อควรระวัง: สิทธิสวัสดิการสาธารณสุข ไม่ได้หมายความว่า ประชาชนจะได้รับบริการสาธารณสุขฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ประชาชนอาจต้องจ่ายเงินบางส่วนสำหรับบริการสาธารณสุข ขึ้นอยู่กับประเภทของบริการ สถานที่ให้บริการ และสิทธิประกันสุขภาพที่มี รัฐมีหน้าที่จัดให้มีบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและมาตรฐานอย่างทั่วถึง แต่ทรัพยากรที่มีอยู่อาจจำกัด ส่งผลให้การเข้าถึงบริการสาธารณสุขอาจไม่สะดวกเท่าเทียมกันทุกพื้นที่ สรุป: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รับรองสิทธิสวัสดิการสาธารณสุข ประชาชนทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขจากรัฐซึ่งต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ รัฐมีหน้าที่จัดให้มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ,กฎหมายสิทธิมนุษยชน,กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46114
Legal
ในร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดก พุทธศักราช 2475 มีการกำหนดอัตราภาษีมรดกอย่างไร และมีความเหมาะสมหรือไม่ จงอธิบาย
null
การกำหนดอัตราภาษีมรดก: ร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดก พุทธศักราช 2475 ได้กำหนดอัตราภาษีมรดกไว้ดังนี้ - มรดกที่มีมูลค่าไม่เกิน 25,000 บาท: ไม่ต้องเสียภาษี - มรดกที่มีมูลค่า 25,001 - 50,000 บาท: เสียภาษี 3% ของมูลค่าที่เกิน 25,000 บาท - มรดกที่มีมูลค่า 50,001 - 100,000 บาท: เสียภาษี 3% ของมูลค่า 25,000 บาทแรก + 4% ของมูลค่าที่เกิน 50,000 บาท - มรดกที่มีมูลค่า 100,001 - 500,000 บาท: เสียภาษี 3% ของมูลค่า 25,000 บาทแรก + 4% ของมูลค่า 50,000 บาทถัดไป + 5% ของมูลค่าที่เกิน 100,000 บาท - มรดกที่มีมูลค่า 500,001 - 1,000,000 บาท: เสียภาษี 3% ของมูลค่า 25,000 บาทแรก + 4% ของมูลค่า 50,000 บาทถัดไป + 5% ของมูลค่า 400,000 บาทถัดไป + 6% ของมูลค่าที่เกิน 500,000 บาท - มรดกที่มีมูลค่า 1,000,001 บาทขึ้นไป: เสียภาษี 3% ของมูลค่า 25,000 บาทแรก + 4% ของมูลค่า 50,000 บาทถัดไป + 5% ของมูลค่า 400,000 บาทถัดไป + 6% ของมูลค่า 500,000 บาทถัดไป + 7% ของมูลค่าที่เกิน 1,000,000 บาท ความเหมาะสม: ในร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดก พุทธศักราช 2475 นั้น มีการยกเว้นภาษีมรดกสำหรับมรดกที่มีมูลค่าไม่เกิน 25,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้รับมรดกที่มีฐานะยากจน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเหมาะสมของอัตราภาษีมรดกดังนี้ ผู้เห็นด้วยกับอัตราภาษี: - มองว่าเป็นการจัดหารายได้ให้กับรัฐบาล - เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม - เป็นการกระตุ้นให้ผู้มั่งมีแบ่งปันทรัพย์สินให้กับผู้อื่น ผู้คัดค้านอัตราภาษี: - มองว่าอัตราภาษีสูงเกินไป - เป็นการกีดกันการสะสมทุน - เป็นการลดทอนกำลังใจในการประกอบอาชีพ สรุป: การกำหนดอัตราภาษีมรดกในร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดก พุทธศักราช 2475 นั้น มีทั้งผู้เห็นด้วยและคัดค้าน โดยมีเหตุผลสนับสนุนและต่อต้านที่แตกต่างกัน ประเด็นทางกฎหมาย: ประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาษีมรดกในร่างพระราชบัญญัติอากรมฤดก พุทธศักราช 2475 นั้น มีดังนี้ ความเป็นธรรม: อัตราภาษีมรดกควรจะกำหนดไว้ในระดับที่เป็นธรรม ไม่สูงจนเกินไปจนเป็นภาระหนักแก่ผู้รับมรดก และไม่ต่ำจนไม่สามารถบรรลุ
กฎหมายภาษี,กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46123
Legal
มาตรการควบคุมราคาสินค้าโดยรัฐบาล เป็นการแทรกแซงกลไกตลาดหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กลไกตลาด: กลไกตลาดปกติจะกำหนดราคาสินค้าผ่านอุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) เมื่อสินค้ามีอุปทานน้อย อุปสงค์มาก ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น กลไกนี้กระตุ้นให้ผู้ผลิตผลิตสินค้ามากขึ้น และลดการบริโภคลง เพื่อปรับสมดุล supply-demand การควบคุมราคา: การกำหนดราคาสินค้าโดยรัฐบาล เป็นการแทรกแซงกลไกตลาดโดยตรง รัฐบาลกำหนดเพดานราคาสินค้า ไม่ให้สูงเกินกว่าที่กำหนด ผลกระทบ: อุปทาน: การควบคุมราคาอาจทำให้ผู้ผลิตมีแรงจูงใจในการผลิตน้อยลง เพราะกำไรน้อยลง อุปสงค์: ผู้บริโภคอาจต้องการสินค้ามากขึ้น เมื่อราคาถูก การขาดแคลน: สินค้าอาจขาดแคลน เพราะผู้ผลิตผลิตน้อยลง ผู้บริโภคซื้อมากขึ้น ตลาดมืด: สินค้าอาจถูกนำไปขายในตลาดมืด ในราคาที่สูงกว่า ตัวอย่าง: กรณีเนื้อหมูราคาแพง รัฐบาลกำหนดเพดานราคา ผล: ผู้เลี้ยงหมูขาดทุน หมูขาดแคลน เกิดตลาดมืด ข้อดี: ช่วยให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าในราคาถูก ป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ข้อเสีย: สินค้าอาจขาดแคลน เกิดตลาดมืด บิดเบือนกลไกตลาด รัฐบาลต้องใช้ทรัพยากรในการบังคับใช้กฎหมาย สรุป: การควบคุมราคาสินค้าโดยรัฐบาล เป็นการแทรกแซงกลไกตลาด มีทั้งข้อดีและข้อเสีย รัฐบาลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนใช้มาตรการนี้ เพิ่มเติม: มาตรการควบคุมราคาสินค้า มีหลายรูปแบบ เช่น เพดานราคา กำหนดราคาสินค้าควบคุม ตรึงราคา การแทรกแซงกลไกตลาด ยังมีรูปแบบอื่น ๆ เช่น การให้เงินอุดหนุน การเก็บภาษีศุลกากร การแทรกแซงกลไกตลาด มีทั้งที่ส่งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับประเภทของมาตรการ สินค้า สถานการณ์ และบริบท
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46124
Legal
อุปสรรคที่ทำให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายภาพยนตร์ในประเทศไทยเกิดความไม่สะดวกมีอะไรบ้าง
null
การเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศภายในประเทศไทย กองถ่ายภาพยนตร์จะต้องขอใบอนุญาตหลายใบถึงจะสามารถเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ภายในประเทศได้ ซึ่งบรรดาใบอนุญาตทั้งหลายนี้ ก็ไม่ได้รวมกันอยู่ภายใต้หน่วยงานเดียวกัน ซึ่งก็เป็นปัญหาในกรณีที่จะต้องมีการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศที่จะต้องมีการติดต่อเพื่อขอใบอนุญาตหลายจุด การมีจำนวนใบอนุญาตเป็นจำนวนมากนี้ไม่ได้มีผลเพียงแค่ต้องติดต่อหลายหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว บรรดาใบอนุญาตดังกล่าวยังกลายเป็นต้นทุนและเป็นเงื่อนไขที่ต้องรอก่อนจึงจะสามารถเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ได้ ผลของการมีใบอนุญาตหลายใบนั้น กลายมาเป็นอุปสรรคที่ทำให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายภาพยนตร์ในประเทศไทยนั้นเกิดความไม่สะดวกทั้งในแง่ของการติดต่อ การประสานงาน และการดำเนินการ ซึ่งหากรัฐบาลจะอำนวยความสะดวกนั้นควรที่จะทำให้ใบอนุญาตนั้นควรจะมีเพียงแค่ใบเดียว หรือถ้าในระยะเบื้องต้นไม่สามารถรวมใบอนุญาตไว้เพียงแค่ใบเดียวได้นั้นก็ควรที่จะลดการติดต่อของต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการขอใบอนุญาตโดยอาจจะทำเป็น One Stop Service ที่สามารถขอใบอนุญาตในที่เดียวจบ นอกจากความวุ่นวายในการขอใบอนุญาตแล้ว สิ่งที่พ่วงมากับการขอใบอนุญาตก็คือ กระบวนการหลายกรณี การขอใบอนุญาตเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเกิดขึ้นมาจากนโยบายการเซนเซอร์ของรัฐบาลในการตรวจสอบบทภาพยนตร์ ทำให้เกิดปัญหาว่าในหลายๆ กรณีกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศเลือกที่จะเปลี่ยนประเทศเพื่อไปถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศอื่นที่มีบรรยากาศและโลเคชันใกล้เคียงกับประเทศไทยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกปรับเปลี่ยนบทภาพยนตร์ ประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ประเทศไทยอาจจะต้องทบทวนกันเสียใหม่ เพราะควรมองให้เห็นประโยชน์ของการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์มากกว่าจะให้ความสำคัญกับการถ่ายทำซึ่งไม่อาจแน่ใจได้ด้วยซ้ำว่าเนื้อหาที่นำเสนอนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะสิ่งที่มาถ่ายทำก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งฟุตเทจ ปัญหาอีกประการที่เกี่ยวข้องกับการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยนั้นยังมีปัญหาเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทย (ดารา นักแสดง และสมาชิกกองถ่ายที่เป็นคนต่างด้าวทั้งหมดต้องขอใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทย) ซึ่งกองถ่ายต่างประเทศจำเป็นต้องขอใบอนุญาต ในประเด็นนี้หากรัฐบาลจะอำนวยความสะดวกจริงๆ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนอาจจะจำเป็นต้องคิดนอกกรอบโดยการออกประเภทวีซ่าใหม่สำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์โดยเฉพาะให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และยกเว้นใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวเนื่องจากใบอนุญาตดังกล่าวอาจจะไม่ได้เหมาะสมกับการทำงานของกองถ่ายภาพยนตร์
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46135
Legal
บุคคลธรรมดาที่ประกอบอาชีพค้าขาย มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ประมวลรัษฎากร มาตรา 40 บัญญัติว่า บุคคลธรรมดามีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเงินได้พึงประเมินในประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้ เงินได้ประเภทที่ 1 เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน เงินได้ประเภทที่ 2 เงินได้จากธุรกิจการค้าและบริการ เงินได้ประเภทที่ 3 เงินได้จากการประกอบวิชาชีพ เงินได้ประเภทที่ 4 เงินได้จากการรับเหมา เงินได้ประเภทที่ 5 เงินได้จากการเกษตรกรรม เงินได้ประเภทที่ 6 เงินได้จากการประมง เงินได้ประเภทที่ 7 เงินได้จากค่าเช่า เงินได้ประเภทที่ 8 เงินได้จากดอกเบี้ย เงินได้ประเภทที่ 9 เงินได้จากเงินปันผล เงินได้ประเภทที่ 10 เงินได้จากทรัพย์สิน เงินได้ประเภทที่ 11 เงินได้อื่นๆ การประกอบอาชีพค้าขาย หมายถึง การทำธุรกิจซื้อมาขายไปเพื่อแสวงหาผลกำไร ซึ่งถือเป็นการประกอบกิจการอันเป็นการค้าและบริการ ตามมาตรา 40(2) บุคคลธรรมดามีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเงินได้ประเภทที่ 2 เงินได้จากธุรกิจการค้าและบริการ ดังนั้น บุคคลธรรมดาที่ประกอบอาชีพค้าขาย มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คำอธิบายเพิ่มเติม: ประเภทของเงินได้ที่บุคคลธรรมดาต้องเสียภาษี ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เงินได้จากการจ้างแรงงานเท่านั้น แต่รวมไปถึงเงินได้จากอาชีพอื่นๆ including การค้าขายด้วย อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินได้พึงประเมิน บุคคลธรรมดาที่ประกอบอาชีพค้าขาย มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90/91 การไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี หรือ ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไม่ถูกต้อง มีโทษปรับและอาจถูภาษีเพิ่มเติม ตัวอย่าง: นาย A ประกอบอาชีพขายเสื้อผ้าออนไลน์ นาย A มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเงินได้ที่ได้จากการขายเสื้อผ้า นาง B เปิดร้านขายของชำ นาง B มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเงินได้ที่ได้จากการขายสินค้าในร้าน สรุป: บุคคลธรรมดาที่ประกอบอาชีพค้าขาย มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
กฎหมายการคลัง
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46269
Legal
อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ คืออะไร
null
อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจก่อตั้งระบอบการเมือง และก่อตั้งองค์กร ทางการเมือง อาทิ รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดี จะแบ่งแยกไม่ได้ หมายความว่า รัฐธรรมนูญก่อตั้งระบบเอกรัฐ หรือรัฐเดียวขึ้น และ มาตรา ๒ ระบุว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ส่วนนี้ เป็นการก่อตั้งระบอบการเมือง โดยให้มีประมุขของรัฐ เป็นพระมหากษัตริย์ อีกทั้ง บัญญัติให้มีรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล เพราะฉะนั้น อำนาจ สถาปนารัฐธรรมนูญ จึงเป็นอำนาจสูงสุด อำนาจองค์กรทั้งหลาย ที่รัฐธรรมนูญก่อตั้ง ย่อมเป็นอำนาจที่รับมอบจากรัฐธรรมนูญ ประมุขของรัฐมีอำนาจเท่าที่รัฐธรรมนูญให้ อำนาจไว้ รัฐธรรมนูญจึงอยู่สูงกว่าองค์กรที่รัฐธรรมนูญก่อตั้ง องค์กรที่ถูกก่อตั้งขึ้น โดยรัฐธรรมนูญ ย่อมกระทําขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญไม่ได้ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญกําหนดขอบเขตอำนาจ รูปแบบการใช้อำนาจ ตลอดจนกระบวนการใช้อำนาจ อาทิ รัฐธรรมนูญฉบับ ปี ๒๕๖๐ กําหนดว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะตราขึ้นโดยคําแนะนํา และ ความยินยอมของรัฐสภา แล้วยังกําหนดกระบวนการลงคะแนนเสียงผ่านกฎหมายไว้ด้วย อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญกับอำนาจจัดทํารัฐธรรมนูญ อาจไม่อยู่จุดเดียวกัน อำนาจจัดทํารัฐธรรมนูญ คือ ยกร่าง อาทิ รัฐธรรมนูญฉบับสหรัฐอเมริกา ปี ๑๗๘๗ บุคคลที่เขียนรัฐธรรมนูญ คือ สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งกรุงฟิลาเดลเฟีย แต่บุคคลลงมติให้ประกาศใช้ กลับเป็นสภาคองเกรส รวมถึงประชาชน ในมลรัฐ ๑๓ มลรัฐ ฉะนั้น จึงอาจมิใช่สิ่งเดียวกันในทางกลับกันอาจเป็นอำนาจเดียวกันก็ได้ อาทิ รัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว ปี ๒๕๕๗ บุคคลที่สถาปนารัฐธรรมนูญ คือ พระมหากษัตริย์ ภายหลัง คณะรักษาความสงบแห่งชาติยึดอำนาจแล้ว โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติมิได้ยกร่างเองคงมอบให้คณะกรรมการกฤษฎีกายกร่าง อย่างไรก็ตาม คณะรักษาความสงบ แห่งชาติ เป็นผู้ยกร่างที่แท้จริง แต่พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เช่นนี้แล้ว ทุกองค์กรที่รัฐธรรมนูญสถาปนาขึ้น จําต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ รัฐสภา ซึ่งรับมอบอำนาจนิติบัญญัติมาก็ออกกฎหมายขัดแย้งรัฐธรรมนูญไม่ได้ นอกจากนี้ การตีความรัฐธรรมนูญจักต้องตีความตามเจตนารมณ์ของผู้มีอำานาจสถาปนาเป็นหลัก
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46270
Legal
แนวคิดเรื่องสัญญาประชาคม เกี่ยวพันกับรัฐธรรมนูญ อันแบ่งความสําคัญ ได้แก่อะไรบ้าง
null
๑) ต้องให้ประชาชนเป็นคนจัดทํารัฐธรรมนูญ หรือเห็นชอบรัฐธรรมนูญ หาใช่ ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมานั่งเขียนและประกาศใช้เองไม่ โดยประชาชนต้องมีสิทธิ และ เสียงในการจัดทํารัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นสัญญาประชาคม ๒) รัฐธรรมนูญต้องคุ้มครอง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเสมอภาค ๓) รัฐธรรมนูญต้องแบ่งแยกการใช้อํานาจอธิปไตย โดยมีองค์กรนิติบัญญัติ องค์กรบริหาร และศาล โดยให้มีการคานดุลอํานาจกัน ๔) อํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครอง และผู้ปกครองเกิดจากความยินยอม ของประชาชน ด้วยการเลือกตั้งของประชาชน ๕) การปกครองต้องกระทําโดยกฎหมาย เรียกว่า “หลักนิติรัฐ” ต่อมา แม้ประเทศหลายประเทศเป็นประชาธิปไตย และคุ้มครองสิทธิกับเสรีภาพ ส่วนบุคคลแล้ว แต่ก็ยังเกิดความไม่เสมอภาคในความเป็นจริง แม้รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า บุคคลทุกคนเสมอภาคกัน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เสมอภาคแต่อย่างใด บุคคลที่เป็น นายทุนกับกรรมกรมีความแตกต่างกันเรื่องฐานะ เกิดการเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า โดยเป็นเช่นนี้ทั้งในภาคพื้นยุโรปช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นกรณีเกิดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจ และสังคม เป็นเหตุให้มีกระแสนักคิดหลายกระแส โดยกระแส กลุ่มที่ ๑) คือ นักปราชญ์ ชื่อ คาร์ล มาคล์ มีความคิดล้มล้างนายทุนให้หมด ด้วยการยึดทรัพย์ นายทุนมาเป็นของกรรมกร และให้กรรมกรปกครอง เรียกว่า “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์” แนวคิดนี้ นําไปปฏิวัติรัสเซียและโค่นล้มพระเจ้าซาร์สําเร็จในปี ๑๙๑๗ จากนั้น รัสเซีย เข้าสู่ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ในภูมิภาคเอเชีย บุคคลที่นําแนวคิดนี้มาใช้สําเร็จ คือ เหมาเจ๋อตุง โดยยึดประเทศจีน และขับไล่เจียงไคเช็คไปอยู่ไต้หวัน และนําจีนเข้าสู่ ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ กลุ่มที่ ๒) กลุ่มนาซีที่มีความเชื่อว่า ความไม่เป็นธรรม เกิดจากเจ้าของโรงงานที่เป็นชาวยิว ฉะนั้น นาซีต้องฆ่ายิว กลุ่มนี้เรียกว่า ลัทธิชาตินิยม หรือ สังคมชาตินิยม กลุ่มที่ ๓) คือ กลุ่มยุโรป ซึ่งมีความคิดคุ้มครองผู้อ่อนแอกว่า จึงนํารัฐธรรมนูญไปใช้สถาปนาความคิดที่เรียกว่า “รัฐสวัสดิการ” (Welfare State)
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46283
Legal
การที่ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากสามีและภริยาน้อยหรือหญิงอื่นนั้น ภริยาต้องทำอย่างไร
null
การที่ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากสามีและภริยาน้อยหรือหญิงอื่นนั้น ภริยาต้องฟ้องหย่าสามีและเรียกค่าทดแทนในคดีฟ้องหย่านั้นให้เสร็จสิ้นเป็นคดีเดียวกัน หากภริยาหย่าขาดจากสามีด้วยความยินยอม โดยจดทะเบียนการหย่าแล้ว ภริยาจะฟ้องสามีเรียกค่าทดแทนที่สามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาไม่ได้ค่าทดแทนที่สามีและภริยาน้อยต้องชดใช้แก่ภริยา ศาลจะกำหนดให้เป็นเงินก้อน โดยคำนึงถึงพฤติการณ์และฐานะในสังคมของภริยา หากภริยาไม่ฟ้องหย่าสามี ภริยามีสิทธิเพียงเรียกค่าทดแทนจากภริยาน้อยที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวเท่านั้น ภริยาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากสามีไม่ได้ ส่วนกรณีที่สามีไปเป็นชู้กับภริยาผู้อื่นหรือไปร่วมประเวณีกับหญิงอื่นเป็นอาจิณนั้น ตามปกติแล้วการกระทำดังกล่าวจะต้องปกปิด แอบลักลอบกระทำกันในที่ลับ แม้หญิงอื่นจะล่วงละเมิดสิทธิในครอบครัวของภริยาก็ตาม ภริยาก็เรียกค่าทดแทนจากภริยาผู้อื่นหรือหญิงอื่นนั้นไม่ได้ เพราะหญิงดังกล่าวไม่ได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวต่างกับกรณีที่ชายอื่นล่วงเกินภริยาในทางชู้สาว แม้กระทำในที่ลับสามีก็เรียกค่าทดแทนจากชายอื่นนั้นได้ สำหรับจำนวนค่าทดแทนที่ภริยาน้อยต้องชำระให้แก่ภริยานั้นส่วนใหญ่มักจะเรียกร้องให้ชำระเป็นเงินก้อน แต่ภริยาจะบังคับให้ภริยาน้อยยุติความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีไม่ได้ นอกจากนี้ หากภริยาน้อยยังไม่ยอมยุติความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามี ภริยาจะอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิของภริยาตาม มาตรา ๔๒๐ และมาตรา ๔๔๗ ขอให้ภริยาน้อยชำระค่าเสียหายเป็นรายเดือนนับแต่วัน ฟ้องไปจนกว่าจะยุติความสัมพันธ์เช่นว่านี้มิได้ เพราะเป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นพิเศษตามมาตรา ๑๕๒๓ วรรคสองเท่านั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายเยาวชนและครอบครัว
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46305
Legal
ในกรณีที่จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ เวนคืนเอกสาร หรือแทงเพิกถอน จำเลยจะนำสืบการใช้เงินเพื่อชำระหนี้ได้หรือไม่?
null
ในกรณีดังกล่าว จำเลยจะนำสืบการใช้เงินเพื่อชำระหนี้ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า "ถ้าไม่มีหลักฐานตามวรรคหนึ่ง ให้จำเลยนำสืบการใช้เงินไม่ได้" หมายความว่า หากมีการกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไป และไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ เวนคืนเอกสาร หรือแทงเพิกถอน จำเลยจะนำพยานหลักฐานอื่นมาสืบเพื่อแสดงว่าได้ชำระหนี้แล้วไม่ได้ เหตุผล กฎหมายต้องการความแน่นอนในการพิสูจน์การชำระหนี้ การนำสืบพยานบุคคลอาจไม่น่าเชื่อถือ ป้องกันมิให้ลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อยกเว้นบางประการที่จำเลยสามารถนำสืบการใช้เงินได้ แม้จะไม่มีหลักฐานตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง เช่น กรณีมีเหตุสุดวิสัย เช่น สัญญาถูกไฟไหม้ เอกสารสูญหาย กรณีมีพยานหลักฐานอื่น เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร กรณีโจทก์ยอมรับ ในทางปฏิบัติ แนะนำให้ทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือทุกครั้ง ระบุรายละเอียดให้ชัดเจน เก็บหลักฐานการชำระหนี้ไว้ และปรึกษาทนายความหากมีข้อสงสัย ตัวอย่างฎีกา - ฎีกาที่ 36/2555 จำเลยอ้างว่าได้ใช้เงินให้โจทก์แล้ว แต่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เวนคืนเอกสาร หรือแทงเพิกถอน ศาลฎีกาพิพากษาว่า จำเลยนำสืบการใช้เงินไม่ได้ - ฎีกาที่ 1612/2512 จำเลยอ้างว่าชำระหนี้แล้ว โจทก์จึงคืนโฉนดให้ แต่ไม่ได้คืนสัญญากู้ โดยโจทก์อ้างว่าหาย ศาลฎีกาพิพากษาว่า จำเลยนำสืบการใช้เงินไม่ได้ สรุป การไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เวนคืนเอกสาร หรือแทงเพิกถอน สร้างความยากลำบากในการนำสืบการใช้เงินเพื่อชำระหนี้ จำเลยควรทำสัญญาเป็นหนังสือ เก็บหลักฐาน และปรึกษาทนายความเพื่อความมั่นใจ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายกู้ยืม-ยืมใช้คงรูป-ยืมใช้สิ้นเปลือง,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46311
Legal
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำ หนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๘๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๖๘๑ อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไขจะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริงก็ประกันได้แต่ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการก่อหนี้รายที่ค้ำประกัน ลักษณะของมูลหนี้ จำนวนเงินสูงสุดที่ค้ำประกันใช่หรือไม่
null
ใช่ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำ หนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๘๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๖๘๑ อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไขจะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริงก็ประกันได้แต่ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการก่อหนี้รายที่ค้ำประกัน ลักษณะของมูลหนี้ จำนวนเงินสูงสุดที่ค้ำประกัน และระยะเวลาในการก่อหนี้ที่จะค้ำประกัน เว้นแต่เป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวตามมาตรา ๖๙๙ จะไม่ระบุระยะเวลาดังกล่าวก็ได้ สัญญาค้ำประกันต้องระบุหนี้หรือสัญญาที่ค้ำประกันไว้โดยชัดแจ้ง และผู้ค้ำประกันย่อมรับผิดเฉพาะหนี้หรือสัญญาที่ระบุไว้เท่านั้น หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้เพราะทำด้วยความสำคัญผิดหรือเพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้นก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำ ประกันรู้เหตุสำคัญผิด หรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่เข้าทำสัญญาผูกพันตน” มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๖๘๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “มาตรา ๖๘๑/๑ ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ” มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๖๘๕/๑ ของหมวด ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไปของลักษณะ ๑๑ ค้ำประกัน ของบรรพ ๓ เอกเทศสัญญา แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “มาตรา ๖๘๕/๑ บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แตกต่างไปจากมาตรา ๖๘๑ วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา ๖๙๔ มาตรา ๖๙๘ และมาตรา ๖๙๙ เป็นโมฆะ” มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๘๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๖๘๖ เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ำประกันที่จะชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง เมื่อเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้หรือผู้ค้ำประกันมีสิทธิชำระหนี้ได้ตามวรรคหนึ่งผู้ค้ำประกันอาจชำระหนี้ทั้งหมดหรือใช้สิทธิชำระหนี้ตามเงื่อนไขและวิธีการในการชำระหนี้ที่ลูกหนี้มีอยู่กับเจ้าหนี้ก่อนการผิดนัดชำระหนี้ ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ตนต้องรับผิดก็ได้ และให้นำความในมาตรา ๗๐๑ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม ในระหว่างที่ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามเงื่อนไขและวิธีการในการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามวรรคสามเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพราะเหตุที่ลูกหนี้ผิดนัดในระหว่างนั้นมิได้ การชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันตามมาตรานี้ ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของผู้ค้ำประกันตามมาตรา ๖๙๓” มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๙๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๖๙๑ ในกรณีที่เจ้าหนี้กระทำการใด ๆ อันมีผลเป็นการลดจำนวนหนี้ที่มีการค้ำประกันรวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้น ถ้าลูกหนี้ได้ชำระหนี้ตามที่ได้ลดแล้วก็ดี ลูกหนี้ชำระหนี้ตามที่ได้ลดดังกล่าวไม่ครบถ้วนแต่ผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือนั้นแล้วก็ดี ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามที่ได้ลดดังกล่าวแต่ผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ตามที่ได้ลดนั้นแล้วก็ดี ทั้งนี้ไม่ว่าจะล่วงเลยกำหนดเวลาชำระหนี้ตามที่ได้ลดดังกล่าวแล้วหรือไม่ก็ตาม ให้ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากการค้ำประกัน ข้อตกลงใดที่มีผลเป็นการเพิ่มภาระแก่ผู้ค้ำประกันให้มากกว่าที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ” มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๐๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๗๐๐ ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอนและเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่ผู้ค้ำประกันจะได้ตกลงด้วยในการผ่อนเวลานั้น ข้อตกลงที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ล่วงหน้าก่อนเจ้าหนี้ผ่อนเวลาอันมีผลเป็นการยินยอมให้เจ้าหนี้ผ่อนเวลาข้อตกลงนั้นใช้บังคับมิได้” มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๑๔/๑ ของหมวด ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไปของลักษณะ ๑๒ จำนอง ของบรรพ ๓ เอกเทศสัญญา แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “มาตรา ๗๑๔/๑ บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการจำนองที่แตกต่างไปจากมาตรา ๗๒๘ มาตรา ๗๒๙ และมาตรา ๗๓๕ เป็นโมฆะ” มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๒๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๗๒๗ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๖๙๑ มาตรา ๖๙๗ มาตรา ๗๐๐ และมาตรา ๗๐๑ มาใช้บังคับกับกรณีที่บุคคลจำนองทรัพย์สินเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระด้วยโดยอนุโลม” มาตรา ๑๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๒๗/๑ ของหมวด ๓ สิทธิและหน้าที่ของผู้รับจำนองและผู้จำนอง ของลักษณะ ๑๒ จำนอง ของบรรพ ๓ เอกเทศสัญญา แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “มาตรา ๗๒๗/๑ ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ผู้จำนองซึ่งจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ ไม่ต้องรับผิดในหนี้นั้นเกินราคาทรัพย์สินที่จำนองในเวลาที่บังคับจำนองหรือเอาทรัพย์จำนองหลุด ข้อตกลงใดอันมีผลให้ผู้จำนองรับผิดเกินที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง หรือให้ผู้จำนองรับผิดอย่างผู้ค้ำประกัน ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ ทั้งนี้ ไม่ว่าข้อตกลงนั้นจะมีอยู่ในสัญญาจำนองหรือทำเป็นข้อตกลงต่างหาก” มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗๒๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46343
Legal
ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตัดสินคดีผู้ใหญ่ห้ามปรามเด็กโดยละม่อม ในงานวัดกิ่งแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการเมื่อ 112 ปีที่แล้ว ว่าอย่างไรบ้าง
null
ศาลอุทธรณ์ตัดสินคดีผู้ใหญ่ห้ามปรามเด็กโดยละม่อม ในงานวัดกิ่งแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการเมื่อ 112 ปีที่แล้ว ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดและไม่ควรมีโทษ โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานอัยการได้ยื่นฎีกา ว่าศาลอุทธรณ์ตัดสินไม่ตรงรูปความ ศาลฎีกาจึงตัดสินคดีผู้ใหญ่ห้ามปรามเด็กโดยละม่อม ในงานวัดกิ่งแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการเมื่อ 112 ปีที่แล้ว ว่า 1. ต้นเหตุแห่งการวิวาทไม่ได้เกิดขึ้นจากนายด้วง (เจ้าของงาน) และสมีไข่ (ซึ่งเป็นพระภิกษุในวัดนั้น เมื่อนายหงอ นายเริญ นายบุญและนายหรี่ได้วิวาทกันขึ้นแล้ว นายด้วงและสมีไข่จึงเป็นผู้ห้ามปราม โจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้เป็นต้นเหตุแห่งการวิวาท แต่มาฟ้องผู้ห้ามปราม 2. ทางพิจารณาได้ความแล้วว่า นายด้วงและสมีไข่ได้ตีพวกวิวาทบ้างก็เพราะว่า ผู้วิวาทได้วิ่งถือไม้มา และไล่จับเพื่อจะห้ามปราม การที่ทำก็เป็นการธรรมดาของผู้หลักผู้ใหญ่ในที่นั้น ถึงแม้ว่าจะหนักแรงไปบ้างเล็กน้อย ก็เห็นได้ว่าไม่ได้ตั้งใจ ก็เรียกได้ว่าทำแต่โดยละม่อม เมื่อการที่ทำนั้นไปเป็นเหตุให้นายหรี่ถึงแก่ความตาย นายด้วงและสมีไข่ก็ไม่มีความผิด ซึ่งคดีนี้ตัดสินเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2444 ซึ่่งมีผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เป็นองค์คณะได้แก่ รพีพัฒนศักดิ์ สีหราชฤทธิไกร และศิริธัชสังกาศ
คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46345
Legal
การพนันตามหลักกฎหมายฝรั่งเศสคืออย่างไร
null
ข้อ ๑ การพนันซึ่งกฎหมายไม่จำกัดว่าต้องเล่นโดยมีข้อขีดขั้นนั้น ถึงแม้จะเป็นการเสี่ยงโชคพนันขันต่อ (Jeu et pari) ก็ดี ย่อมเล่นกันได้ระหว่างครอบครัวในบ้านของตน แต่ต้องไม่ใช่ตั้งบ่อนชุมนุมคนมาเล่น ซึ่งมีผิดตามลักษณะกฎหมายอาญา คำว่า "ครอบครัว" นั้น หมายถึง บิดา มารดา ภริยา สามี บุตร หลาน ญาติ บ่าว คนใช้ที่อยู่ร่วมในบ้านเรือนเดียวกัน กฎหมายอาญาห้ามไม่ให้ตั้งบ่อน หรือประชุมกันเล่นเช่นบ่อนโดยใครจะมาเล่นก็ได้ ฤาไปเที่ยวเชื้อเชิญกันมาจะเป็นญาติมิตรก็ตาม คือห้ามไม่ให้คนนอกบ้านเข้ามาเล่นการพนัน (French Penal Code Art.410;475;477) ข้อ ๒ ถ้าจะเล่นกันในสโมสรที่ไม่ได้ตั้งขึ้นสำหรับเป็นสโมสรการพนัน บุคคลภายนอกเข้าเล่นด้วยไม่ได้ เข้าใจว่าคงไม่มีความผิดตามกฎหมายอาญาที่กข้อ ๑ อย่างไรก็ดีในการตั้งสโมสรขึ้นจะต้องปฏิบัติการตามข้อบังคับการปกครองเรื่องตั้งสโมสรสุดแล้วแต่รัฐบาลจะห้ามการเล่นอย่างใดฤาไม่ ทั้งนี้เกี่ยวกับรัฐประศาสโนบายถ้าสโมสรตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์อื่น มีข้อบังคับห้ามบุคคลภายนอกมิให้เข้ามาได้ พวกสมาชิกจะเล่นระหว่างกันเอง คิดว่าคงเทียบลงได้ว่า เป็นการเล่นระหว่าง "ครอบครัว" จัดเป็นเรื่องRecreation เห็นจะได้ แต่หาหลักฐานโดยตรงประกอบความเห็นนี้ยังไม่พบถ้าเป็นสโมสรตั้งขึ้นเพื่อเล่นการพนันแล้ว มีกฎหมายพิเศษบังคับดังที่ได้อ้างไว้ในบันทึกฉบับก่อนแล้ว ข้อ ๓ กฎหมายอาญาทำโทษเพราะถือว่าเป็น public nuisance อย่างหนึ่ง และเพราะเมื่อตั้งบ่อนขึ้นแล้ว ใครอยากเล่นเมื่อใดก็ไปได้สะดวก บ่อนชนิดนี้อาจเป็นช่องหากินของคนทุจริตด้วยประการต่างๆ การพนันที่เล่นโดยมิได้ตั้งบ่อน ฤามิได้เล่นขัดกับกฎหมายห้ามฤาบทบัญญัติเป็นพิเศษแล้ว ย่อมพ้นจากขีดขั้นของกฎหมายอาญา ไม่มีโทษ
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46376
Legal
กฎหมายใดมีที่มาที่เกิดขึ้นกับคนเก็บขยะของกรุงเทพมหานคร
null
กฎหมายที่เกี่ยวกับซีดี วีซีดี ที่เป็นภาพและเสียงที่เรียกว่า โสตวัสดุ เป็นที่มาของกฎหมายที่เกิดขึ้นกับคนเก็บขยะของกรุงเทพมหานคร ที่ศาลสูงสุดเพิ่งพิพากษายืนให้ปรับสองแสนบาท กฎหมายฉบับนี้มีที่มาคือ ผู้สร้าง ภาพยนตร์ ลงทุนไปเยอะ เมื่อสร้างเสร็จไปฉายในโรงก็ถูกก็อปปี้เอามาทำเป็นแผ่น ขายคลองถม ผู้สร้างก็เดือดร้อน ขณะนั้นผู้สร้างโรงภาพยนตร์มีอิทธิพลมากก็ผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายฉบับนี้ ความจริงสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ของผู้สร้างงานสร้างสรรค์ ทั้งหลายเป็นสิทธิของส่วนรวมหรือของปัจเจก เจ้าของควรจะรักษาประโยชน์ด้วยกระบวนการยุติธรรมปกติที่มีอยู่แล้ว สามารถที่จะฟ้องดำเนินคดีทั้งอาญาทั้งแพ่ง มีความผิดอยู่แล้ว สามารถที่จะใช้ทนายความไปดำเนินการได้ แต่กฎหมายฉบับนี้กลับ ผลักภาระให้เป็นภาระของประชาชน ไปเขียนกฎหมายว่า ซีดี ดีวีดีทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องบังคับให้ ผู้ที่มีผู้ที่ครอบครอง ผู้ที่จำหน่ายจ่ายแจก จะต้องได้รับอนุญาต ต้องไปขออนุญาตโดยสถานประกอบการ ๑ ใบ ต้องมีใบอนุญาต ๑ ใบ ค่าธรรมเนียม ใบอนุญาต ๑ ปี หรือ ๒ ปี โดยต้องเสียค่าธรรมเนียม ๕,๐๐๐ บาท การเขียนกฎหมายให้เป็นภาระของประชาชนคือ ถ้าประชาชนที่ถูกบังคับไม่มีใบอนุญาตก็จะใช้ กระบวนการยุติธรรมคือ เอาตำรวจไปจับ เอาอัยการไปฟ้องเอาศาลมาพิจารณาอย่างที่ รัฐเป็นฝ่ายลงทุนให้ทั้งหมด เอกชนไม่ต้องลงทุนเลย แล้วยังเขียนโทษปรับสูงมาก มีโทษจำคุกและปรับ กฎหมายฉบับนี้มีโทษสูงสุดปรับถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ยังให้แบ่งค่าปรับให้แก่เจ้าของ คือเจ้าของได้รับค่าทดแทนจากค่าปรับด้วย พอเขียนกฎหมายอย่างนี้แล้วไม่เขียนข้อยกเว้นไว้ด้วย ชาวบ้านที่ไปซื้อแผ่นเพลงหรือแผ่นภาพยนตร์หรือ แผ่นเล่นเกมส์มาจากแผงทั้งหลายในตลาดและนอกตลาด ซื้อมาแล้วใช้เบื่อแล้ว ตอนที่เศรษฐกิจไม่ดีก็ไปเปิดท้ายรถขายเขาขายแผ่นละ ๒๐ บาท แล้วกฎหมายเขียนบังคับว่าถ้าจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายคือ ต้องไปขออนุญาตคือเสียค่าธรรมเนียม ๕,๐๐๐ บาท คนเก็บขยะรู้กฎหมายไหม ไม่รู้ ถ้าเขาจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เขาไปขออนุญาตเสีย ๕,๐๐๐บาท แล้วมาขาย ๒๐ บาท หรือ ๕๐ บาท เป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจหรือความถูกต้องของสังคมไหม เป็นไปไม่ได้ พอเขาถูกจับเขาก็ถูกแนะนำว่า คดีนี้เล็กน้อย รับสารภาพ ไปถึงศาลศาลก็ปล่อยแล้วโดยไม่อธิบายว่า โทษปรับสูงสุดเท่าไร ต่ำสุดเท่าไร โทษปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ – ๕oo,ooo บาท ๒๐๐๐,๐๐๐ - ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีขั้นต่ำ พอมีขั้นต่ำรับสารภาพศาลก็ลดต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ หรือ ๒๐๐,๐๐๐ ไม่ได้
กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46383
Legal
การออกกฎหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักนิติธรรมหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: หลักนิติธรรม (Rule of Law) หมายถึง หลักการที่ว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน กฎหมายที่ใช้อยู่ในสังคมต้องถูกตราขึ้นโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการละเมิดหลักนิติธรรม เพราะเป็นการใช้อำนาจโดยพลการ โดยไม่ผ่านการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ กระบวนการนิติบัญญัติ มีไว้เพื่อตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ความเหมาะสม ความโปร่งใส และความเป็นธรรม ของกฎหมาย การออกกฎหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการปิดกั้นโอกาส การมีส่วนร่วม ของประชาชน ในการแสดงความคิดเห็นและตรวจสอบกฎหมาย การออกกฎหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการเปิดช่องทาง ให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบ และคอรัปชั่น ตัวอย่าง ของการออกกฎหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น การออกกฎหมายโดยคณะรัฐประหาร หรือ การออกกฎหมายโดยหน่วยงานบริหาร หลักนิติธรรม เป็นหลักการสำคัญ ของระบอบประชาธิปไตย การออกกฎหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรม และ เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย สรุป: การออกกฎหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการละเมิดหลักนิติธรรม หลักนิติธรรม เป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย การออกกฎหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรม และ เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46386
Legal
ศาลยุติธรรมในประเทศไทยมีอิสระจากฝ่ายบริหารหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๗๖ บัญญัติให้ศาลมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีโดยปราศจาก อิทธิพลหรือการแทรกแซงจากฝ่ายใดๆ มาตรา ๒๗๗ บัญญัติให้ผู้พิพากษาและตุลาการมีวาระการดำรงตำแหน่งแน่นอน และสามารถพ้นจากตำแหน่งได้ตามกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น มาตรา ๒๘๑ บัญญัติให้มีคณะกรรมการตุลาการ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่ปกครองดูแล และรักษาความเป็นกลางของตุลาการ มาตรา ๒๘๕ บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใด ยุ่งเหยิงในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕ บัญญัติให้ศาล มีอำนาจในการจัดการพิจารณาคดีตามที่เห็นสมควร โดยไม่ต้องมีกฎหมายบังคับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา มาตรา ๑๘ บัญญัติให้ศาล มีอำนาจในการจัดการพิจารณาคดีอาญาตามที่เห็นสมควร โดยไม่ต้องมีกฎหมายบังคับ ตัวอย่าง: ในอดีตเคยมีกรณีที่ฝ่ายบริหารพยายามแทรกแซงการพิจารณาคดีของศาล แต่ศาลได้ยืนหยัดต่อต้านและรักษาความเป็นอิสระไว้ได้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินให้รัฐบาลยุบสภา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศาลมีอำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร ปัจจุบันมีการถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูปตุลาการ แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศาลยังคงมีอิสระในการพิจารณาคดี สรุป: แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูปตุลาการ แต่โดยหลักการแล้วศาลยุติธรรมในประเทศไทยมีอิสระจากฝ่ายบริหาร ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติไว้
กฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46400
Legal
ศาลจังหวัดธัญบุรีมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเช็คที่ธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดนนทบุรีหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: สถานที่เกิดเหตุคดี: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 บัญญัติไว้ว่า "เมื่อความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าเกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลใด ให้ชำระที่ศาลนั้น" กรณีนี้ ธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดนนทบุรี จึงถือว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุคดี ความผิดฐานออกเช็ค: ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 บัญญัติว่า "ผู้ใดออกเช็คเพื่อใช้แทนเงิน....แล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน....ผู้สั่งจ่ายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" ความผิดฐานออกเช็ค เกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เขตอำนาจศาล: จากคำอธิบายข้างต้น ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ คือ ศาลจังหวัดนนทบุรี เพราะว่า เป็นสถานที่เกิดเหตุคดี ธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงิน ตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดนนทบุรี คำพิพากษาศาลฎีกา: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2530 และ 1229/2519 ได้วินิจฉัยไว้สอดคล้องกันว่า "สถานที่ตั้งของธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เป็นสถานที่ที่ความผิดฐานออกเช็คเกิดขึ้น" สรุป: ศาลจังหวัดธัญบุรีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ เพราะว่าไม่ใช่สถานที่เกิดเหตุคดี และธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงิน ตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดนนทบุรี ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ คือ ศาลจังหวัดนนทบุรี เพิ่มเติม: โจทก์สามารถฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดนนทบุรี โจทก์สามารถร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในเขตอำนาจศาลจังหวัดนนทบุรี โจทก์ควรปรึกษาทนายความเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
กฎหมายตั๋วเงิน-เช็ค,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46430
Legal
กรณีบุคคล A ขับรถชนบุคคล B บนทางเท้า บุคคล B เสียชีวิต ถือว่าบุคคล A กระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่?
null
ใช่ บุคคล A กระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาทเลินเล่อ เหตุผล: การกระทำของบุคคล A เป็นการละเมิดต่อกฎหมายจราจรทางบก กฎหมายจราจรทางบก มาตรา 43 (1) ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถบนทางเท้า เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีนี้ บุคคล A ขับรถบนทางเท้า ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายจราจรทางบก การกระทำของบุคคล A เป็นการประมาทเลินเล่อ บุคคล A ขับรถบนทางเท้า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จัดไว้สำหรับคนเดินเท้าโดยเฉพาะ แสดงว่าบุคคล A ไม่ได้ระมัดระวังและไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น การกระทำของบุคคล A เป็นเหตุให้บุคคล B เสียชีวิต การที่บุคคล A ขับรถชนบุคคล B บนทางเท้า เป็นเหตุให้บุคคล B เสียชีวิต แสดงว่าการกระทำของบุคคล A มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น องค์ประกอบของ "ฆ่าคนตายโดยประมาทเลินเล่อ" ครบถ้วน จากเหตุผลข้างต้น การกระทำของบุคคล A ครบองค์ประกอบของ "ฆ่าคนตายโดยประมาทเลินเล่อ" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ดังนี้ มีการกระทำ : บุคคล A ขับรถชนบุคคล B บนทางเท้า มีเจตนา : บุคคล A ประมาทเลินเล่อ มีผลลัพธ์ : บุคคล B เสียชีวิต มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผล : การกระทำของบุคคล A เป็นเหตุให้บุคคล B เสียชีวิต สรุป: บุคคล A กระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาทเลินเล่อ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายจราจร
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46437
Legal
รัฐบาลมีหน้าที่พิทักษ์สิทธิในทรัพย์สินของเอกชนตามหลักลัทธิเสรีนิยมหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ลัทธิเสรีนิยมมีองค์ประกอบที่ถือเป็นหัวใจอยู่ 4 ประการ ประการที่สอง คือ เรื่อง "สิทธิในทรัพย์สินของเอกชน" (private property) คือแนวคิดในสิทธิตามธรรมชาติในทรัพย์สินของเอกชน จอห์น ล็อค นักปราชญ์คนสำคัญของลัทธินี้ กล่าวว่า ปัจเจกชนย่อมมีสิทธิอันล่วงละเมิดมิได้ที่จะเข้าถือเอาทรัพย์สมบัติอะไรก็ตามที่สามารถถือเอาได้โดยแรงงานของตน และ สิทธินี้ย่อมอยู่เหนือหรือนำหน้าข้ออ้างของสังคมและรัฐบาล ล็อคยังยืนยันอีกว่า สิทธิในทรัพย์สินเป็นสิ่งคักดิ์สิทธิ์และแยกไม่ได้ จากมนุษย์ มนุษย์รวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลก็เพื่อพิทักษ์สิทธิในทรัพย์สิน หลักฐานสนับสนุน: หนังสือรวมคำบรรยายเนติบัณฑิต 2/67 วิชา สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม(อ.วิชัย วิวิตเสวี) เล่มที่1 คำอธิบายเพิ่มเติม: ลัทธิเสรีนิยมเชื่อว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติในทรัพย์สินของตน รัฐบาลมีหน้าที่พิทักษ์สิทธิ์นี้ สิทธิในทรัพย์สินเป็นรากฐานของสิทธิอื่น ๆ และต้องให้ความสำคัญก่อนสิทธิอื่น ๆ รัฐบาลที่มีอำนาจจำกัด หน้าที่หลักคือ พิทักษ์สิทธิในทรัพย์สิน ตลาดเสรี จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพิทักษ์สิทธิในทรัพย์สิน หลักนิติธรรม เป็นระบบความคิดทางนิติศาสตร์ที่ค้ำจุนลัทธิเสรีนิยม
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46472
Legal
มาตราสำคัญ กลุ่มวิชากฎหมายแพ่ง มีอะไรบ้าง
null
ทรัพย์-ที่ดิน มาตรา 144,145,146,1299,1300,1304,1305,1306,1307,1308,1309,1310,1311,1312,1314,1329,1330,1331,1332,1349,1350,1367,1373,1375,1377,1378,1381,1382,1385,1387,1388,1389,1390,1391,1392,1393,1394,1395,1396,1397,1398,1399,1400,1401 หนี้ มาตรา 194,195,203,204,205,206,207,213,214,215,217,218,219,222,223,224,226,227,228,229,233,234,235,236,237,238,239,240,291,292,293,300,303,304,305,306,307,308,314,321,340,341,349,350,351,352,353 นิติกรรม-สัญญา มาตรา 149,150,151,152,155,156,157,158,159,160,162,164,165,166,169,172,173,174,175,176,177,178,179,354,355,356,357,358,359,360,366,369,370,371,372,373,374,375,376,377,378,379,380,381,382,383,386,387,388,389,390,391 ละเมิด มาตรา 420,421,423,425,426,427,428,429,430,431,432,433,434,435,436,437,438,439,440,441,442,443,444,445,446,447,448,449,450,451,452 ซื้อขาย-ขายฝาก มาตรา 453,455,456,458,459,460,461,462,465,466,472,473,474,475,476,477,478,479,480,481,482,483,484,485,486,488,489,490,491,492,493,494,495,496,497,498,499,501,502 เช่าทรัพย์ มาตรา 537,538,540,541,544,545,546,547,548,549,552,553,554,558,559,560,562,563,564,566,567,569,570,572,573,574 ยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ มาตรา 640,641,643,644,645,646,647,648,649,650,652,653,654,655,656 มาตรา 680,681,682,683,684,685,686,687,688,689,690,691,692,693,694,695,696,697,698,699,700,701 มาตรา 702,703,705,706,707,709,710,711,712,713,714,715,716,718,719,720,721,722,723,724,726,727,728,729,730,731,732,733,735,736,737,738,743,,744,745,746,747,748,749,750,751,752,753,754,755,756,758,759,761,762,764,765,767,769 ตั๋วเงิน มาตรา 898,899,900,901,902,903,904,905,908,909,910,911,912,913,914,916,917,918,919,920,921,927,928,931,937,938,939,940,941,943,944,945,948,949,959,967,968,969,970,982,983,985,987,989,990,991,992,993,1001,1002,1003,1004,1005,1006,1007,1008 หุ้นส่วน-บริษัท มาตรา 1012,1022,1025,1026,1027,1028,1029,1030,1031,1032,1033,1034,1035,1036,1037,1038,1039,1040,1041,1042,1043,1044,1045,1046,1047,1048,1049,1050,1051,1052,1053,1054,1055,1056,1057,1058,1059,1060,1061,1062,1063,1064,1065,1066,1068,1069,1070,1071,1072,1073,1074,1075,1076,1077,1078,1079,1080,1081,1082,1083,1087,1088,1091,1092,1093,1094,1095,1096,1097,1099,1105,1108,1109,1110,1112,1113,1114,1119,1120,1121,1124,1125,1126,1129,1130,1131,1132,1133,1135,1143,1145,1149,1151,1153,1154,1155,1156,1161,1163,1167,1168,1169,1170,1171,1172,1173,1174,1175,1176,1178,1182,1184,1185,1187,1190,1194,1195,1201,1202,1203,1220,1221,1222,1226 ครอบครัว-มรดก มาตรา 1435,1436,1437,1438,1439,1440,1441,1442,1443,1444,1447,1448,1449,1450,1451,1452,1453,1454,1455,1456,1457,1458,1471,1472,1474,1475,1476,1480,1481,1494,1495,1496,1497,1498,1499,1501,1502,1503,1505,1506,1507,1509,1511,1512,1514,1515,1533,1534,1536,1537,1538,1539,1541,1547,1555,1557,1558,1560,1598/19,1598/20,1598/25,1598/26,1598/27,1598/28,1598/29,1598/30,1598/31,1598/32,1598/33,1598/36,1598/37 มาตรา 1599,1600,1601,1602,1603,1604,1605,1606,1607,1608,1609,1612,1613,1614,1615,1616,1617,1618,1619,1620,1622,1623,1624,1625,1627,1628,1629,1630,1631,1633,1634,1635,1636,1639,1640,1641,1642,1643,1644,1645,1646,1647,1649,1652,1653,1654,1656,1657,1658,1663,1665,1666,1668,1670,1671,1694,1695,1696,1697,1698,1699,1702,1703,1704,1705,1706,1707,1708,1709,1710,1711,1713,1715,1717,1718,1733,1745,1746,1748,1750,1753,1754,1755 กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4 บทนิยามคำว่า “ผู้สร้างสรรค์” , “วรรณกรรม” , “นาฎกรรม” , “ศิลปกรรม” , “ดนตรีกรรม”, “นักแสดง” , “ทำซ้ำ” , “ดัดแปลง” , “เผยแพร่ต่อสาธารณชน” มาตรา 6,7,8,9,10,11,12,14,15,16,17,19,21,22,25,26,27,28,31,32,33,34,36,37,44,46,49,52,53,64, พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 3 บทนิยามคำว่า “สิทธิบัตร” , “อนุสิทธิบัตร” , “การประดิษฐ์” , “กรรมวิธี” , “แบบผลิตภัณฑ์” มาตรา 5,6,7,8,9,10,11,12,13,14,16,17,19,19 ทวิ, 24,35,35 ทวิ,36,36 ทวิ,38,39,41,53,54,55,56,57,58,59,62,62 ทวิ,63,64,65 ทวิ,65 ตรี พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บทนิยามคำว่า “เครื่องหมายการค้า” , “เครื่องหมายบริการ” มาตรา 6,7,8,13,27,28,35,40,42,44,45,46,47,48,49,51,53,62,66,67,68 กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 3,4,5,6,7,8,9,10,13,16 และ ป.พ.พ. มาตรา 609 ว.2,616,626 พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 3 บทนิยามคำว่า “ผู้ขนส่ง” , “ผู้ขนส่งอื่น” , “ภาชนะขนส่ง” , “หน่วยการขนส่ง” , “ใบตราส่ง” มาตรา 4,5,6,8,12,13,17,21,22,24,26,27,28,31,33,34,36,37,39,40,41,44,45,46,47,51,52,53,55,56,58,60
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายนิติบุคคล,กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า),กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายป่าไม้และอุทยาน,กฎหมายภาษี,กฎหมายล้มละลาย-ฟื้นฟูกิจการ,กฎหมายหลักทรัพย์,กฎหมายลักษณะหนี้ พรบ,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม,กฎหมายละเมิด,กฎหมายทรัพย์สิน-กรรมสิทธิ์-ทรัพย์อิงสิทธิ,กฎหมายมรดก-พินัยกรรม,กฎหมายซื้อขาย,กฎหมายเช่าทรัพย์,กฎหมายเช่าซื้อ,กฎหมายจ้างแรงงาน,กฎหมายจ้างทำของ,กฎหมายกู้ยืม-ยืมใช้คงรูป-ยืมใช้สิ้นเปลือง,กฎหมายค้ำประกัน,กฎหมายจำนำ,กฎหมายจำนอง,กฎหมายตัวแทน,กฎหมายนายหน้า,กฎหมายประนีประนอมยอมความ,กฎหมายการพนันขันต่อ,กฎหมายหุ้นส่วน-บริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46477
Legal
บริษัท A ส่งจดหมายบอกเลิกสัญญาจ้างพนักงาน B ไปยังที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน แต่ B ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว จดหมายถูกตีกลับมา บริษัท A ถือว่าการบอกเลิกสัญญาจ้างมีผลสมบูรณ์หรือไม่? คำถาม: การบอกเลิกสัญญาจ้างของบริษัท A มีผลสมบูรณ์หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: การบอกเลิกสัญญาจ้างเป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 การแสดงเจตนานั้นมีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา ในกรณีนี้ จดหมายบอกเลิกสัญญาจ้างถูกตีกลับมา แสดงว่า B ไม่ได้รับจดหมาย ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาจ้างของบริษัท A ยังไม่มีผล หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 การวิเคราะห์: -บริษัท A ควรใช้วิธีการอื่นในการบอกเลิกสัญญาจ้าง เช่น ส่งจดหมายไปยังที่อยู่ปัจจุบันของ B หรือติดต่อ B ทางโทรศัพท์ -บริษัท A ควรเก็บหลักฐานการส่งจดหมายบอกเลิกสัญญาจ้างไว้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้น ข้อควรระวัง: -การบอกเลิกสัญญาจ้างต้องเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน -บริษัท A ควรปรึกษาทนายความก่อนดำเนินการบอกเลิกสัญญาจ้าง สรุป: การบอกเลิกสัญญาจ้างของบริษัท A ไม่ได้ผลสมบูรณ์ บริษัท A ควรใช้วิธีการอื่นในการบอกเลิกสัญญาจ้าง เช่น ส่งจดหมายไปยังที่อยู่ปัจจุบันของ B หรือติดต่อ B ทางโทรศัพท์ คำแนะนำ: -บริษัท A ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า B ได้รับจดหมายบอกเลิกสัญญาจ้าง -บริษัท A ควรเก็บหลักฐานการส่งจดหมายบอกเลิกสัญญาจ้างไว้ -บริษัท A ควรปรึกษาทนายความก่อนดำเนินการบอกเลิกสัญญาจ้าง
กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46490
Legal
หุ้นส่วนคนหนึ่งของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน มีอำนาจฟ้องร้องคดีในนามของห้างหุ้นส่วนได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1033 หุ้นส่วนทุกคนมีอำนาจจัดการห้างหุ้นส่วนได้ การฟ้องร้องคดีเป็นการจัดการห้างหุ้นส่วน ดังนั้น หุ้นส่วนคนหนึ่งของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน จึงมีอำนาจฟ้องร้องคดีในนามของห้างหุ้นส่วนได้ อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาฎีกาที่ 259/2526 ได้วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโรงแรมจำเลยที่ 1 โรงแรมจำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ หลักฐานทางกฎหมาย: 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1033 2. คำพิพากษาฎีกาที่ 259/2526 ตัวอย่าง: ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนชื่อ "ร้านขายของชำ ABC" หุ้นส่วน A ต้องการฟ้องร้องร้านขายของชำ D หุ้นส่วน A ไม่สามารถ ฟ้องร้องในนามของ "ร้านขายของชำ ABC" หุ้นส่วน A ต้องฟ้องร้องในนามของตัวเอง บทสรุป: หุ้นส่วนคนหนึ่งของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ไม่มีอำนาจ ฟ้องร้องคดีในนามของห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนคนนั้นต้องฟ้องร้องในนามของตัวเอง คำแนะนำ: 1. ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนควรมีหนังสือมอบอำนาจให้หุ้นส่วนคนหนึ่งมีอำนาจฟ้องร้องคดีในนามของห้างหุ้นส่วน 2. การทำสัญญาควรทำในนามของหุ้นส่วนทุกคน หมายเหตุ: คำตอบข้างต้นเป็นเพียงคำแนะนำทั่วไป ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม
กฎหมายหุ้นส่วน-บริษัท,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46502
Legal
พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 กำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนไว้อย่างไร
null
มีการกำหนดให้ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีซึ่งเด็กและเยาวชนต้องหาว่ากระทำความผิดทางอาญา คดีอาญาที่โอนมาจากศาลธรรมดาในกรณีที่จำเลยอายุยังไม่เกิน 20ปีบริบรูณ์ เนื่องจากศาลที่พิจารณาคดีนั้นได้พิจารณาโดยคำนึงถึงร่างกาย สติปัญญาสุขภาพ ภาวะแห่งจิตและนิสัยแล้วเห็นว่าบุคคลนั้นยังมีสภาพเช่นเดียวกันเด็กและเยาวชน ตลอดจนถึงคดีครอบครัว คดีคุ้มครองสวัสดิภาพ และคดีอื่นที่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลเยาวชนและครอบครัว คดีอาญาที่มีข้อหาว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำความผิดให้ถืออายุเด็กหรือเยาวชนนั้นในวันที่การกระทำความผิดได้เกิดขึ้น โดย “เด็ก” หมายความว่า บุคคลอายุยังไม่เกิน 15 ปีบริบูรณ์จากแต่เดิม ที่กำหนดให้ “เด็ก” หมายความว่า บุคคลอายุเกิน 7 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์ และ “เยาวชน” หมายความว่า บุคคลอายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ การออกหมายจับเด็กและเยาวชนให้ศาลคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิเด็กหรือเยาวชนเป็นสำคัญิโดยเฉพาะในเรื่องอายุ เพศ และอนาคตของเด็กหรือเยาวชนที่พึงได้รับการพัฒนาและปกป้องคุ้มครอง หากการออกหมายจับจะมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเด็กหรือเยาวชนอย่างรุนแรงโดยไม่จำเป็น ให้พยายามเลี่ยงการออกหมายจับ โดยใช้วิธีติดตามตัวเด็กหรือเยาวชนนั้นด้วยวิธีอื่นก่อน นอกจากนั้น ห้ามมิให้เจ้าพนักงานผู้จับกุมเด็กหรือเยาวชน หรือพนักงานสอบสวนจัดให้มีหรืออนุญาตให้มีหรือยินยอมให้มีการถ่ายภาพหรือบันทึกภาพเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดเว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการสอบสวน ในกรณีที่เด็กหรือเยาวชนสำนึกในการกระทำก่อนฟ้องคดีเมื่อคำนึงถึงอายุประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สภาพร่างกาย สภาพจิต อาชีพ ฐานะและเหตุแห่งการกระทำความผิดแล้ว หากผู้อำนวยการสถานพินิจพิจารณาเห็นว่าเด็กหรือเยาวชนนั้นอาจกลับตนเป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้องให้จัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูให้เด็กหรือเยาวชนปฏิบัติ โดยได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายและเด็กหรือเยาวชนด้วย
กฎหมายเยาวชนและครอบครัว,ประมวลกฎหมายอาญา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46504
Legal
คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวง คืออะไร
null
๑. กรณีไม่มีการจับ (ผู้ต้องหามอบตัวโดยไม่มีหมายจับ หรือถูกควบคุมตัวคดีอื่น) ถ้าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาผู้ต้องหาแล้ว ต้องฟ้องภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่แจ้งข้อหา ถ้าฟ้องไม่ทัน ต้องผัดฟ้อง หรือ ขออนุญาตฟ้อง แล้วแต่กรณีเหมือนมีการจับทุกประการ ตาม ม.๗ วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ (เดิม...ผู้ต้องหามอบตัวโดยไม่มีหมายจับ หรือถูกควบคุมตัวคดีอื่น ไม่จำต้องฟ้องในกำหนด ไม่ต้องผัดฟ้อง ไม่ต้องขออนุญาตฟ้อง) ๒. ในระหว่างสอบสวน หากผู้ต้องหาซึ่งถูกแจ้งข้อหาได้หลบหนีไป พนักงานสอบสวนส่งสำนวนที่สอบสวนเสร็จสิ้นแล้วให้อัยการพิจารณาได้ โดยไม่ต้องส่งตัวผู้ต้องหาไปพร้อมสำนวน ถ้าพ้นกำหนดผัดฟ้อง ขออนุญาตอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องไว้ก่อนได้ ตาม มาตรา ๗ วรรคท้าย (เดิม กรณีได้ตัวผู้ต้องหามาสอบสวนแล้ว ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้องต้องส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนให้อัยการ เว้นแต่ผู้ต้องหาถูกขังอยู่ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๔๒) ๓. ผู้ต้องหามอบตัวไม่มีหมายจับ ถ้ามีเหตุออกหมายขัง พนักงานสอบสวนขอศาลขังผู้ต้องหาได้พร้อมการขอผัดฟ้องตาม วิ.แขวง มาตรา ๗ และ ๘ ถ้าผู้ต้องหาไม่ยอมไปศาล ตามคำสั่งพนักงานสอบสวนเพื่อขอศาลขังในกรณีนี้ พนักงานสอบสวนมีอำนาจจับผู้ต้องหาโดยไม่มีหมายจับ ควบคุม และให้ประกันได้ ตาม ป.วิ.อาญา ม. ๑๓๔ วรรคห้า ประกอบ วิ.แขวง ม. ๔ , ๘ วรรคห้า (กรณีนี้แก้ไขให้สอดคล้อง ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๓๔) ๔. กรณีผู้ต้องหาไม่ถูกควบคุมตัว ถ้าผู้ต้องหารับสารภาพตลอดข้อหา พนักงานสอบสวนสั่งผู้ต้องหาให้ไปพบพนักงานอัยการเพื่อฟ้องศาลด้วยวาจา “โดยมิต้องทำการสอบสวน” ตาม มาตรา ๒๐ (เพิ่มเติมข้อความเรื่องสั่งผู้ต้องหาให้ไปพบอัยการ เพื่อสอดคล้อง มาตรา ๗ วรรคสอง) ๕. คดีค้างเก่าที่ไม่มีการจับ แต่แจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาไว้ก่อน วิ.แขวง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๖ ใช้บังคับ ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการพร้อมกับสั่งผู้ต้องหาไปพบอัยการเพื่อฟ้องให้ทันภายในสี่สิบแปดชั่วโมง นับแต่ วิ.แขวง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๖ มีผลใช้บังคับ (วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๐.๐๐ น.) ถ้าฟ้องไม่ทัน...ต้องผัดฟ้อง...ขออนุญาตฟ้อง แล้วแต่กรณี ตาม วิ.แขวง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๘ ๖. อำนาจการออกข้อบังคับ (เสมือนกฎกระทรวง) ของอัยการสูงสุด เพื่อปฏิบัติการตาม วิ.แขวง โดยเฉพาะข้อบังคับการขออนุญาตฟ้อง ตาม วิ.แขวง มาตรา ๙ วรรคสอง ที่เพิ่มเติมใหม่ และ ม. ๒๖ ที่แก้ไขใหม่
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46508
Legal
กฎอัยการศึกคืออะไร
null
คือ กฎที่ประกาศใช้เมื่อเวลามีเหตุอันจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยจากภัย ซึ่งจะมาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักรแล้ว จะได้มีประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้กฎอัยการศึกทุกมาตราหรือแต่บางมาตรา หรือข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งของมาตรา ตลอดจนการกำหนดเงื่อนไขแห่งการใช้บทบัญญัตินั้นบังคับในส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรหรือตลอดทั่วราชอาณาจักร และถ้าได้ประกาศใช้เมื่อใด หรือ ณ ที่ใดแล้ว บรรดาข้อความในพระราชบัญญัติหรือบทกฎหมายใด ๆ ซึ่งขัดกับความของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับต้องระงับและใช้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับนั้นแทน เมื่อมีสงครามหรือจลาจลขึ้น ณ แห่งใดให้ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่นั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือเป็นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใดๆ ของทหาร มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก เฉพาะในเขตอำนาจหน้าที่ของกองทหารนั้นได้่ แต่จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วทีสุด การที่จะเลิกใช้กฎอัยการศึกแห่งใดนั้น จะเป็นไปได้ต่อมีประกาศกระแส พระบรมราชโองการเสมอ ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยและเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก
กฎหมายทหาร
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46514
Legal
ในคดียื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก จำเป็นต้องมีทนายความเป็นผู้ดำเนินการหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า คดีไม่มีข้อพิพาท หมายความว่า คดีที่คู่ความยินยอมกันในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย คดียื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก โดยปกติแล้วจัดเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ทายาทสามารถยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีทนายความ ขั้นตอนการยื่นคำร้อง มีดังนี้ เตรียมเอกสาร เขียนคำร้อง ยื่นคำร้องต่อศาล ชำระค่าธรรมเนียม เตรียมตัวไต่สวนคำร้อง คัดถ่ายคำสั่ง เอกสารที่ต้องเตรียม ใบมรณะบัตร สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนของผู้ตายและทายาท บัญชีเครือญาติ รายการทรัพย์สิน หนังสือให้ความยินยอมจากทายาท (ถ้ามี) การเขียนคำร้อง ศึกษาแบบฟอร์มการเขียนคำร้อง ปรึกษาเจ้าหน้าที่ศาลหรืออัยการ ระบุข้อมูลให้ครบถ้วน แนบเอกสารประกอบ การยื่นคำร้อง ยื่นต่อศาลจังหวัดที่ผู้ตายมีภูมิลำเนา ชำระค่าธรรมเนียม 200 บาท การไต่สวน ศาลจะนัดไต่สวน เตรียมเอกสารตัวจริง เตรียมคำเบิกความ คำสั่ง ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก คัดถ่ายคำสั่ง อย่างไรก็ตาม คดีบางคดีอาจมีความซับซ้อน ทายาทอาจไม่มีเวลาหรือความรู้ การปรึกษาทนายความอาจช่วยให้ เข้าใจขั้นตอน เตรียมเอกสาร เขียนคำร้อง ดำเนินการไต่สวน ทนายความมี ความรู้ทางกฎหมาย ประสบการณ์ ทักษะการต่อสู้คดี สรุป ทายาทสามารถยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกด้วยตนเอง การมีทนายความไม่ใช่สิ่งจำเป็น ทายาทควรพิจารณาความซับซ้อนของคดี เวลา และความรู้
กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46541
Legal
คำพิพากษาศาลฎีกาใดที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โดยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และโจทก์ประสงค์บังคับจำนองเอาแก่ที่ดินตามฟ้อง
null
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10078/2551 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดต่อโจทก์โดยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และโจทก์ประสงค์บังคับจำนองเอาแก่ที่ดินตามฟ้อง อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าว เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นกฎหมายสารบัญญัติ และเป็นคดีมีข้อพิพาท ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีเข้าสู่ศาล ศาลย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติในการที่จะวินิจฉัยและพิพากษาคดี โดยหากวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้าเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกฎหมายสารบัญญัติ ก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ตามสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งห้าในทางแพ่ง สำหรับคดีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ รวมทั้งให้โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินตามฟ้องในฐานะเจ้าหนี้จำนองผู้ทรงทรัพยสิทธิจำนองเหนือที่ดินตามฟ้องตามกฎหมายสารบัญญัติด้วย ความรับผิดดังกล่าวของจำเลยทั้งห้าก็คือ หนี้ตามคำพิพากษา หากจำเลยทั้งห้าในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบ โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ย่อมมีสิทธิบังคับคดี และในกรณีหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้เงิน การบังคับคดีย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 มาตรา 278 และมาตรา 282 คือการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้าหรือบุคคลภายนอกซึ่งเป็นลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องของจำเลยทั้งห้า เพื่อนำออกขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ อันเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่กฎหมายให้สิทธิแก่โจทก์โดยสืบเนื่องจากผลแห่งคำพิพากษา และไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจำต้องระบุสิทธิในการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้าไว้ในคำพิพากษาด้วย ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้อง และโจทก์ก็ได้มีคำขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้า การที่คำพิพากษามิได้ระบุให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดอันเป็นขั้นตอนในการบังคับคดี จึงหาเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องและอุทธรณ์ฎีกาในเหตุดังกล่าวโดยตรงขึ้นมายังศาลสูง ก็ชอบที่ศาลจะต้องกล่าวในคำพิพากษาให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะบังคับคดียึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าไว้ด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่คู่ความและเจ้าพนักงานบังคับคดีในการปฏิบัติให้บรรลุผลตามคำพิพากษาในเนื้อหาคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษาให้ครบถ้วนตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),คำพิพากษาศาลฎีกา,กฎหมายลักษณะหนี้,กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46550
Legal
จำเลยที่ให้การรับสารภาพในคดีอาญา แต่ต่อมาอ้างว่าไม่มีเจตนา หรือเข้าใจว่าเป็นความผิด จะถือว่าเป็นการรับสารภาพโดยปราศจากเจตนาหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: หลักทั่วไป: การรับสารภาพของจำเลยถือเป็นหลักฐานสำคัญประเภทหนึ่งในคดีอาญา ศาลจะนำมาประกอบการพิจารณาพิพากษาคดี องค์ประกอบของการรับสารภาพ: การรับสารภาพจะต้องเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์ประกอบของความผิดโดยปราศจากข้อกังขา การอ้างว่าไม่มีเจตนา: กรณีจำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนาหรือเข้าใจว่าเป็นความผิด เป็นการโต้แย้งประเด็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์ประกอบของความผิด ผลของการโต้แย้ง: การโต้แย้งดังกล่าวย่อมมีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของการรับสารภาพ แนวทางปฏิบัติของศาล: ศาลจะพิจารณาคำให้การของจำเลยโดยรวม ร่วมกับพยานหลักฐานอื่นๆ ในคดี ตัวอย่าง: คดีฎีกาที่ 13516/2553 จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ต่อมาอ้างว่าไม่ทราบว่าแผ่นวีซีดีเป็นของลามก ศาลฎีกายกฟ้องโจทก์ คดีฎีกาที่ 5597/2553 จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ต่อมาอ้างว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของมรดก ศาลฎีกายกฟ้องโจทก์ สรุป: การอ้างว่าไม่มีเจตนาหรือเข้าใจว่าเป็นความผิด ย่อมมีผลต่อความสมบูรณ์ของการรับสารภาพ ศาลจะพิจารณาคำให้การของจำเลยโดยรวม ร่วมกับพยานหลักฐานอื่นๆ ในคดี หมายเหตุ: ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละคดี ทนายความมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาแก่จำเลยเกี่ยวกับผลทางกฎหมายของการรับสารภาพ
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),คำพิพากษาศาลฎีกา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46562
Legal
ในกรณีที่โจทก์ฟ้องร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายไม้ฟืน จำเลยอ้างเหตุว่า ไม่สามารถส่งมอบไม้ฟืนให้แก่โจทก์ได้ เพราะมีคำสั่งกระทรวงเกษตรฯ ให้สัมปทานทำไม้ในเขตป่าไม้ที่จำเลยจะทำไม้ฟืนส่งมอบให้โจทก์สิ้นสุดลง กรณีนี้ จำเลยจะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์หรือไม่ อย่างไร
null
จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ เหตุผล: สัญญาซื้อขายไม้ฟืน: โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ส่งมอบไม้ฟืนตามสัญญาซื้อขาย จำเลยไม่ได้ให้การว่าส่งมอบไม้ฟืนให้โจทก์แล้ว จึงรับฟังได้ว่าจำเลยไม่เคยส่งมอบไม้ฟืนให้แก่โจทก์เลย การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย: จำเลยอ้างว่า ไม่สามารถส่งมอบไม้ฟืนได้ เพราะมีคำสั่งกระทรวงเกษตรฯ ให้สัมปทานทำไม้ในเขตป่าไม้ที่จำเลยจะทำไม้ฟืนส่งมอบให้โจทก์สิ้นสุดลง กรณีนี้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้ที่ตกเป็นพ้นวิสัย ผลของการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย: ตามมาตรา 218 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย (ลูกหนี้) จะหลุดพ้นจากการชำระหนี้ แต่ในสัญญาต่างตอบแทน (ลูกหนี้) จะไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตอบแทน โจทก์มีสิทธิเรียกร้องมัดจำคืน: สัญญาซื้อขายไม้ฟืนเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยไม่ส่งมอบไม้ฟืน จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินมัดจำ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องมัดจำคืนจากจำเลย สรุป: จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินมัดจำ หมายเหตุ: คดีนี้ จำเลยไม่สามารถส่งมอบไม้ฟืนให้โจทก์ได้ เพราะมีคำสั่งกระทรวงเกษตรฯ ให้สัมปทานทำไม้ในเขตป่าไม้ที่จำเลยจะทำไม้ฟืนส่งมอบให้โจทก์สิ้นสุดลง ถือว่าเป็นการชำระหนี้ที่ตกเป็นพ้นวิสัย จำเลยจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้ แต่จำเลยไม่มีสิทธิได้รับเงินมัดจำ กรณีการชำระหนี้ที่มีหลายอย่าง มาตรา 198-202 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะใช้บังคับไม่ได้ เพราะกรณีนี้ เป็นกรณีที่มีวัตถุแห่งหนี้แน่นอน คือ ไม้ฟืน กรณีการชำระหนี้ที่ตกเป็นพ้นวิสัย มี 3 ระยะ ก่อนหนี้เกิด – การพ้นวิสัยที่เกิดขึ้นก่อนหนี้เกิด จะถือว่าโมฆะ หนี้เกิดแล้วแต่หนี้เกิดเป็นพ้นวิสัยก่อนมีการเลือก – เลือกเท่าที่ยังเป็นวิสัย เป็นพ้นวิสัยหลังจากหนี้ที่แน่นอนแล้ว – โยงไปมาตรา 370, 371, 372
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายลักษณะหนี้,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46577
Legal
หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: มาตรา 5 ของพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่" หลักการนี้สอดคล้องกับ หลักความรับผิดโดยกฎหมาย ที่กำหนดว่า ผู้ใดใช้บุคคลอื่นเพื่อการงานของตน ย่อมต้องรับผิดในการละเมิดของบุคคลนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังในการเลือกสรรและควบคุมดูแลบุคคลนั้นสมควรแล้ว เหตุผลที่กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย เนื่องจาก: -หน่วยงานของรัฐมี อำนาจหน้าที่ ในการควบคุมดูแลเจ้าหน้าที่ -หน่วยงานของรัฐมี ทรัพยากร เพียงพอที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย -การให้หน่วยงานของรัฐรับผิด จะช่วย กระตุ้นให้หน่วยงานของรัฐ ควบคุมดูแลเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวัง -การให้หน่วยงานของรัฐรับผิด จะช่วย คุ้มครองผู้เสียหาย ให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายประชาชนโดยไม่มีเหตุอันสมควร pronouncements pronouncements ) ศาลปกครองพิพากษาให้หน่วยงานของรัฐ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่เทศบาลขับรถยนต์ของหน่วยงานของรัฐประมาทเลินเล่อ ทำให้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต pronouncements ( pronouncements ) ศาลปกครองพิพากษาให้หน่วยงานของรัฐ (เทศบาล) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อยกเว้นบางประการที่หน่วยงานของรัฐจะไม่ต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย เช่น กรณีที่เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดโดยไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือ กรณีที่เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดโดยเจตนา สรุป หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ หลักการนี้สอดคล้องกับหลักความรับผิดโดยกฎหมาย เหตุผลที่กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรับผิดต่อผู้เสียหาย เนื่องจากหน่วยงานของรัฐมีอำนาจหน้าที่ ทรัพยากร และเพื่อกระตุ้นให้ควบคุมดูแลเจ้าหน้าที่
กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง)
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46585
Legal
กรรมการหรือผู้ถือหุ้นสามารถร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ที่ลงมติแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีคนเดียวได้หรือไม่ เมื่อมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 นั้น มีการลงมติเรื่องผู้ชำระบัญชีใหม่ ทั้งที่มติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1 ลงมติให้มีผู้ชำระบัญชี 2 คน?
null
ได้้ เหตุผล: มติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ขัดต่อข้อบังคับของบริษัท: ข้อบังคับของบริษัทกำหนดให้มีผู้ชำระบัญชี 2 คน แต่ที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ลงมติให้มีผู้ชำระบัญชีคนเดียว มติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1168: มาตรานี้กำหนดว่า บริษัทจำกัดที่มีทุนไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้มีผู้ชำระบัญชี 2 คน กรรมการหรือผู้ถือหุ้นมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ที่ผิดระเบียบ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 กรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายหรือข้อบังคับของบริษัท การร้องขอต่อศาลต้องทำภายในกำหนด 1 เดือน: กรรมการหรือผู้ถือหุ้นต้องร้องขอต่อศาลภายใน 1 เดือนนับแต่วันลงมติ กรณีนี้ ผู้ร้องมายื่นคำร้องต่อศาลภายใน 1 เดือน: ปรากฏตามคำร้องว่า มติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ลงมติเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2498 และผู้ร้องมายื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2498 ซึ่งอยู่ในกำหนดเวลา 1 เดือน สรุป: กรรมการหรือผู้ถือหุ้นสามารถร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ที่ลงมติแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีคนเดียวได้ เพราะมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 นั้น ขัดต่อข้อบังคับของบริษัท และขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1168 หมายเหตุ: คดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง เพราะผู้ร้องไม่ได้กล่าวอ้างว่า ผู้ชำระบัญชีคนเดียวที่แต่งตั้งโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 นั้น เป็นบุคคลที่ไม่สมควรหรือบกพร่องต่อหน้าที่ คดีนี้ ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5), 246, 247 เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายหุ้นส่วน-บริษัท
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46601
Legal
พระราชบัญญัติฉบับหนึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 180 วัน เป็นเงื่อนไขบังคับก่อนหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: เงื่อนไขบังคับก่อน หมายถึง ข้อความในกฎหมายที่กำหนดให้ต้องมีเหตุการณ์หรือการกระทำใดๆ เกิดขึ้นก่อน จึงจะทำให้กฎหมายนั้นมีผลบังคับใช้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ กำหนดให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 180 วัน หมายความว่า กฎหมายนี้จะยังไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะครบ 180 วัน ดังนั้น ข้อความ "เมื่อพ้นจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 180 วัน" เป็นเงื่อนไขบังคับก่อน ตัวอย่าง: พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัด/ศาลแขวงฯ มักจะกำหนดว่า ให้ศาลจังหวัดเปิดทำการก็ต่อเมื่อได้ตราพระราชกฤษฎีกาประกาศเปิดทำการศาล กรณีนี้ "เมื่อได้ตราพระราชกฤษฎีกาประกาศเปิดทำการศาล" เป็นเงื่อนไขบังคับก่อน หลักการและทฤษฎี: หลักการทั่วไปของกฎหมายแพ่งและกฎหมายมหาชน กำหนดให้เงื่อนไขบังคับก่อน เป็นข้อยับยั้งมิให้นิติกรรมเกิดผลบังคับใช้ กฎหมายจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะครบกำหนดเงื่อนไขบังคับก่อน การตีความกฎหมาย: การตีความกฎหมาย มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กำหนดให้ "หลักทั่วไปแห่งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บังคับใช้แก่การปฏิบัติราชการทางปกครอง เท่าที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้" ดังนั้น หลักการของกฎหมายแพ่ง μπορείใช้ตีความกฎหมายมหาชนได้ สรุป: พระราชบัญญัติฉบับหนึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 180 วัน เป็นเงื่อนไขบังคับก่อน การตีความกฎหมายต้องพิจารณาหลักการและทฤษฎีประกอบถ้อยคำกฎหมาย หมายเหตุ: การตีความกฎหมายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและบริบทของกฎหมายแต่ละฉบับ ประกอบด้วย ควรปรึกษานักกฎหมายเพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46602
Legal
สัญญาทางปกครองแบ่งได้เป็น ๒ ลักษณะ คืออะไรบ้าง
null
สัญญาทางปกครองแบ่งได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ (๑) สัญญาทางปกครองตามความหมายนัยบทนิยามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ฯ มีด้วยกัน ๔ กรณี ได้แก่ ๑.๑ สัญญาสัมปทาน ๑.๒ สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ ๑.๓ สัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค ๑.๔ สัญญาที่แสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ (๒) สัญญาทางปกครองตามนัยการตีความของศาลปกครอง (มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ ๖/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๔) มีด้วยกัน ๒ กรณี ได้แก่ ๒.๑ สัญญาที่ให้เข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง เช่น สัญญาจ้างลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ สัญญารับทุนการศึกษา สัญญาลาศึกษา ๒.๒ สัญญาที่มีข้อกำหนดซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้อำนาจทางปกครองหรือการดำเนินกิจการทางปกครองซึ่งก็คือ “บริการสาธารณะ” บรรลุผล เช่น สัญญาซื้อขายที่ดินที่ถูกเวนคืน
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง)
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46609
Legal
การที่จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าซื้อที่ยังไม่ได้กรอกข้อความไว้ แสดงถึงเจตนาทุจริตในการฉ้อโกงหรือไม่ จงอธิบาย
null
ไม่ การที่จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าซื้อที่ยังไม่ได้กรอกข้อความไว้ ไม่ แสดงถึงเจตนาทุจริตในการฉ้อโกง เหตุผล: 1. พฤติการณ์ของจำเลย: จำเลยชำระเงินดาวน์ 150,000 บาท ในวันทำสัญญา - จำเลยมอบสำเนาบัตรประจำตัวข้าราชการและสำเนาทะเบียนบ้านให้แก่ผู้เสียหาย - พฤติการณ์เหล่านี้แสดงว่าจำเลยมีความประสงค์จะซื้อรถจริง 2. สัญญา: สัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าซื้อยังไม่ได้กรอกข้อความรายละเอียด แสดงว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาปกปิดข้อมูลสำคัญ 3. การยกเลิกสัญญา: บริษัทเงินทุนจีอี แคปปิตอล จำกัด ยกเลิกสัญญาเช่าซื้อ เนื่องจากจำเลยไม่นำรถไปตรวจสภาพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง 4. ความเสียหาย: ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริษัทเงินทุนจีอี แคปปิตอล จำกัด ไม่ได้เกิดจากการหลอกลวงของจำเลย สรุป: จากเหตุผลข้างต้น การกระทำของจำเลย ไม่ เข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง เพราะไม่มีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหาย ประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: - ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 - องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง - เจตนาทุจริต - การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ - การปกปิดข้อความจริง บทวิเคราะห์เพิ่มเติม: - คดีนี้แสดงให้เห็นว่า ศาลจะพิจารณาเจตนาของผู้กระทำความผิดเป็นสำคัญ - การลงลายมือชื่อในสัญญาที่ยังไม่กรอกข้อความ ไม่ได้หมายความว่าผู้ลงลายมือชื่อมีเจตนาทุจริตเสมอไป - ผู้เสียหายควรตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาก่อนลงลายมือชื่อ - กรณีมีข้อสงสัย ควรปรึกษาทนายความ
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายซื้อขาย,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46636
Legal
ตัวบทกฎหมายเกี่ยวกับเรื่อง จำนอง มีมาตราใดบ้าง
null
ตัวบทกฎหมายเกี่ยวกับเรื่อง จำนอง - ม. 702 จำนอง คือ สัญญาซึ่งผู้จำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจำนอง เป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้น ว. 2 ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้ จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือไม่ -ม. 707 ให้นำมาตรา 681 คือเรื่องค้ำประกันได้เฉพาะหนี้สมบูรณ์ มาบังคับใช้ในการจำนองโดยอนุโลม - ม. 708 สัญญาจำนองต้องมีจำนวนเงินระบุไว้เป็นเงินไทยและมีจำนวนแน่นอน - ม. 711 การที่ตกลงกันไว้ก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ให้ผู้รับจำนองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จำนอง หรือให้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่น ข้อตกลงเช่นว่านั้นไม่สมบูรณ์ - ม. 712 แม้มีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่น ทรัพย์สินซึ่งจำนองไว้แก่บุคคลหนึ่งนั้น จะเอาไปจำนองแก่อีกบุคคลหนึ่งในระหว่างที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้ - ม. 714 สัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ - ม. 717 แม้ทรัพย์สินซึ่งจำนองจะแบ่งออกเป็นหลายส่วน ท่านว่าจำนองก็ยังคงครอบไปถึงหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่ ว.2 ถ้าผู้รับจำนองยินยอม จะโอนทรัพย์สินส่วนใดไปปลอดจำนองก็ได้ แต่ความยินยอมนั้นถ้ามิได้จดทะเบียน จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกมิได้ - ม. 725 เมื่อบุคคล 2 คน หรือกว่านั้น ได้จำนองประกันหนี้รายเดียวกันโดยมิได้ระบุลำดับไว้ไซร้ ท่านว่าผู้จำนองซึ่งได้ชำระหนี้หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งต้องถูกบังคับจำนองนั้น หามีสิทธิไล่เบี้ยผู้จำนองคนอื่นได้ไม่ - ม. 726 บุคคลหลายคนได้จำนองประกันหนี้รายเดียวกัน และได้ระบุลำดับไว้ การที่ผู้รับจำนองยอมปลดหนี้ให้แก่ผู้จำนองคนหนึ่ง ย่อมทำให้ผู้จำนองคนหลังๆ ได้หลุดพ้นเพียงขนาดที่เขาต้องได้รับความเสียหาย -ม. 727 ถ้าบุคคลคนเดียวจำนองประกันหนี้อันบุคคลอื่นต้องชำระ ให้ใช้มาตรา 697, 700 และ 701 มาบังคับโดยอนุโลม หมายเหตุ มาตรา 697 คือเรื่องการกระทำของเจ้าหนี้ทำให้ไม่อาจรับช่วงได้ มาตรา 700 คือเรื่องเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ มาตรา 701 คือ ผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้เมื่อถึงกำหนดชำระได้ - ม. 728 เมื่อจะบังคับจำนอง ผู้รับจำนองจะต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรก่อน ถ้าลูกหนี้ละลเยเสีย ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดก็ได้ - ม. 730 เมื่อทรัพย์สินหนึ่งได้จำนองแก่ผู้รับจำนองหลายคน ให้ถือลำดับเรียงตามวันและเวลาจดทะเบียน ผู้รับจำนองก่อนจักได้รับใช้หนี้ก่อน - ม. 733 ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด และราคาทรัพย์สินนั้นต่ำกว่าจำนวนหนี้ที่ค้างก็ดี หรือถ้าเอาขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี ส่วนที่ขาดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ - ม. 734 ถ้าจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งประกันหนี้รายเดียวมิได้ระบุลำดับไว้ ผู้รับจำนองจะใช้สิทธิบังคับแก่ทรัพย์สินทั้งหมด หรือบางสิ่งก็ได้ แต่ห้ามเกินหนี้ตามสิทธิของตน - ม. 744 จำนองย่อมระงับ (1) เมื่อหนี้ที่ประกันระงับสิ้นไป โดยมิใช่เหตุอายุความ (2) เมื่อปลดจำนองเป็นหนังสือ (3) เมื่อผู้จำนองหลุดพ้น (4) เมื่อถอนจำนอง (5) เมื่อขายทอดตลาดเพราะบังคับจำนอง (6) เมื่อเอาทรัพย์ซึ่งจำนองนั้นหลุด
กฎหมายจำนอง
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46639
Legal
กรณีบุคคล A สร้างโรงเรือนบนที่ดินของบุคคล B โดยสุจริต บุคคล A จะเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้นหรือไม่?
null
ใช่ บุคคล A เป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น เหตุผล: มาตรา 1310 วรรคแรก: บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น กรณีนี้: บุคคล A สร้างโรงเรือนบนที่ดินของบุคคล B โดยสุจริต ผล: บุคคล A เป็นเจ้าของโรงเรือนนั้นตามมาตรา 1310 วรรคแรก มาตรา 1310 วรรคสอง: แต่เจ้าของที่ดิน (บุคคล B) ต้องใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น กรณีนี้: ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น ผล: ยังไม่มีการระบุค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม: - บุคคล B สามารถบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือน และให้บุคคล A รื้อถอนโรงเรือนและทำที่ดินให้เป็นตามเดิมได้ เว้นแต่: การรื้อถอนทำไม่ได้โดยใช้เงินพอควร - บุคคล B เลือกที่จะรับค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น มาตรา 1310 วรรคสอง: แต่ถ้าเจ้าของที่ดินพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อ จะบอกปัดไม่ยอมรับและให้รื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมก็ได้ เว้นแต่ถ้าการนี้จะทำไม่ได้โดยใช้เงินพอควร เจ้าของที่ดินจะให้ผู้สร้างซื้อที่ดินทั้งหมดหรือบางส่วน ตามราคาตลาดก็ได้ กรณีนี้: ยังไม่มีข้อมูลว่า บุคคล B พิสูจน์ได้หรือไม่ว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อ หรือ บุคคล B เลือกที่จะทำอย่างไร ผล: ยังไม่มีการระบุผลลัพธ์ บุคคล B ต้องเสียค่าที่ดินให้แก่บุคคล A มาตรา 1310 วรรคสอง: แต่เจ้าของที่ดินต้องใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น กรณีนี้: ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น ผล: ยังไม่มีการระบุค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น บุคคล A ต้องจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม มาตรา 1310 วรรคสาม: และจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม กรณีนี้: ยังไม่มีข้อมูลว่า บุคคล A ได้จดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมหรือไม่ ผล: ยังไม่มีการระบุผลลัพธ์ สรุป: บุคคล A เป็นเจ้าของโรงเรือนตามมาตรา 1310 วรรคแรก แต่บุคคล B มีสิทธิบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือน และให้บุคคล A รื้อถอนโรงเรือนและทำที่ดินให้เป็นตามเดิม หรือ บุคคล B เลือกที่จะรับค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บุคคล A ต้องเสียค่าที่ดินให้แก่บุคคล B และจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการสรุปประเด็นหลัก ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงสำหรับกรณีของคุณ
ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายทรัพย์สิน-กรรมสิทธิ์-ทรัพย์อิงสิทธิ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46640
Legal
เด็กอายุ 13 ปี กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเป็นต้องรับโทษจำคุกหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 73 บัญญัติว่า เด็กอายุไม่เกิน 10 ปี กระทำความผิดทางอาญา ไม่ต้องรับโทษ เด็กอายุ 13 ปี อยู่ในช่วงอายุ 10 ปี ถึง 15 ปี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 บัญญัติว่า เด็กอายุเกิน 10 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี กระทำความผิด ให้ใช้วิธีการสำหรับเด็ก "วิธีการสำหรับเด็ก" หมายถึง มาตรการทางสังคม ศึกษาสงเคราะห์ พัฒนาการ หรือการฝึกอบรม แทนการลงโทษจำคุก ดังนั้น เด็กอายุ 13 ปี กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่จำเป็นต้องรับโทษจำคุก แต่จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อรับมาตรการทางสังคม ศึกษาสงเคราะห์ พัฒนาการ หรือการฝึกอบรม แทน เพิ่มเติม มาตรการทางสังคม ศึกษาสงเคราะห์ พัฒนาการ หรือการฝึกอบรม มีหลายรูปแบบ เช่น การว่ากล่าวตักเตือน การส่งไปยังสถานฝึกอบรม การให้ทำกิจกรรมบริการสังคม การให้เข้ารับการบำบัดรักษา รูปแบบของมาตรการที่จะใช้ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ของเด็ก ความร้ายแรงของความผิด และดุลพินิจของศาล วัตถุประสงค์ของการใช้วิธีการสำหรับเด็ก เน้นการช่วยเหลือและแก้ไขพฤติกรรมเด็ก มากกว่าการลงโทษ เด็กที่เข้ารับมาตรการทางสังคม ศึกษาสงเคราะห์ พัฒนาการ หรือการฝึกอบรม จะได้รับโอกาสในการปรับตัวและกลับมาเป็นพลเมืองดีของสังคม ตัวอย่างคำถาม Yes/No เพิ่มเติม เด็กอายุ 13 ปี กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเป็นต้องถูกส่งตัวไปยังสถานฝึกอบรมหรือไม่? (ตอบ: ไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ของเด็ก ความร้ายแรงของความผิด และดุลพินิจของศาล) เด็กอายุ 13 ปี กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จะต้องถูกจำคุกตลอดชีวิตหรือไม่? (ตอบ: ไม่ เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไม่ต้องรับโทษจำคุก) เด็กอายุ 13 ปี กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จะต้องถูกบันทึกประวัติอาชญากรรมหรือไม่? (ตอบ: ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล) หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น การตีความกฎหมายและการดำเนินคดีอาญา ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในแต่ละคดี
ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46642
Legal
กฎหมายอาญามาตราใด บัญญัติว่า เป็นเจ้าพนักงาน ทำให้เสียหาย ทำลาย ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใด อันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้โดยเจตนา ระหว่าง มาตรา 147, มาตรา 151 หรือ มาตรา 158
null
มาตรา 158 เพราะกฎหมายอาญา มาตรา 158 บัญญัติว่า เป็นเจ้าพนักงาน ทำให้เสียหาย ทำลาย ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใด อันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้โดยเจตนา ส่วนกฎหมายอาญา มาตรา 147 บัญญัติว่า เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียกบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต โดยเจตนา และกฎหมายอาญา มาตรา 151 บัญญัติว่า เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ใช้อำนาจในตำแหน่งอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ โดยทุจริต โดยเจตนา
ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46644
Legal
มาตราใดที่เกี่ยวข้องกับการผ่อนเวลาตามตั๋วเงิน
null
มาตรา 903 ในการใช้เงินตามตั๋วเงินท่านมิให้ให้วันผ่อน กฎหมายลักษณะตั๋วเงินวางหลักเกณฑ์ไว้ในมาตรา 903 ว่า ในการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้น มิให้มีการผัดผ่อนวันเวลาการใช้เงินอีกต่อไป เหตุที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังนี้ เพราะว่า ปกติแล้วการชำระหนี้ด้วยตั๋วเงิน ส่วนมากแล้วเท่ากับเป็นการที่เจ้าหนี้ย่อมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ไปในตัว จึงไม่ควรให้มีการผ่อนเวลาอีก และเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือว่า บุคคลที่เข้ามาเกี่ยวพันในเรื่องตั๋วเงินโดยเฉพาะที่เข้ามาเป็นลูกหนี้นั้นมิได้โดยไม่จำกัดจำนวนด้วยเพียงลายมือชื่อผู้ที่ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินทุกคนตกอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้จะต้องร่วมกันรับผิดใช้เงินตามตั๋วแก่ผู้ทรง ลูกหนี้ทุกคนเขาก็ประสงค์จะทราบว่าตั๋วเงินฉบับนั้น ๆ มีการใช้เงินหรือไม่ เนื่องจากตนเองก็เป็นลูกหนี้ด้วย ไม่มีใครต้องการผูกพันในเรื่องตั๋วเงินเป็นระยะเวลานาน ๆ ถ้ามีการผ่อนเวลาใช้เงินในเรื่องตั๋วเงิน ผลจะเป็นอย่างไร ? การผ่อนเวลาให้ใช้เงิน ซึ่งฝ่าฝืนมาตรา 903 นั้น กฎหมาย จะมีบทลงโทษเฉพาะในเรื่องตั๋วแลกเงินเท่านั้น ตามมาตรา 948 ที่บัญญัติว่า “ถ้าผู้ทรงตั๋วแลกเงินยอมผ่อนเวลาให้แก่ผู้จ่าย ท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้มีคู่สัญญาคนก่อน ๆ ซึ่งมิได้ตกลงในการผ่อนเวลานั้น” มาตรา 903 จะคู่กับ มาตรา 948 เท่านั้น ส่วนในเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินกับเช็ค ไม่มีกฎหมายบัญญัติบทลงโทษไว้ ดังนั้น กรณีตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือเช็ค ถ้าผู้ทรงผ่อนเวลาให้แก่ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน จะมีผลต่อลูกหนี้คนอื่นหรือไม่ ? อันนี้ไม่มีผลเพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายตั๋วเงิน-เช็ค
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46650
Legal
มาตรา 911 เป็นบทบัญญัติในเรื่องอะไร
null
มาตรา 911 เป็นบทบัญญัติในเรื่องตั๋วแลกเงิน มาตรา 911 ผู้สั่งจ่ายจะเขียนข้อความกำหนดลงไว้ว่าจำนวนเงิน อันจะพึงใช้นั้นให้คิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้ และในกรณีเช่นนั้น ถ้ามิได้กล่าวลงไว้เป็นอย่างอื่น ดอกเบี้ยย่อมคิดแต่วันที่ลงในตั๋วเงิน กฎหมายบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้สั่งจ่ายซึ่งเป็นบุคคลที่ให้กำเนิดตั๋วแลกเงินขึ้นมาว่า ผู้สั่งจ่ายนั้นจะเขียนข้อความกำหนดลงในตั๋วแลกเงินไว้ว่าจำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้นให้คิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้ เพราะฉะนั้น ในเรื่องตั๋วแลกเงินกฎหมายก็ให้สิทธิแก่ผู้สั่งจ่ายสามารถเขียนข้อความกำหนดเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ยในตั๋วแลกเงินได้ มาตรา 911 ถึงแม้จะเป็นบทบัญญัติในเรื่องตั๋วแลกเงินแต่เรานำไปใช้กับตั๋วสัญญาใช้เงินด้วย ตามมาตรา 985 บัญญัติให้นำมาตรา 911 ไปใช้กับตั๋วสัญญาใช้เงิน ด้วย เพราะฉะนั้น ตัวผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินหรือผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินสามารถที่จะเขียนข้อกำหนดให้ใช้ดอกเบี้ยลงในตั๋วด้วยก็ได้ (ฎีกาที่ 193/2536) แต่ถ้าเป็นเรื่องเช็ค บทบัญญัติในมาตรา 989 กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้นำมาตรา 911 ไปใช้บังคับในเรื่องเช็คด้วย ผลก็เป็นว่าในเรื่องเช็คนั้น ผู้สั่งจ่ายเช็คจะไปเขียนข้อกำหนดเรื่องอัตราดอกเบี้ยลงในเช็คไม่ได้ เหตุที่กฎหมายให้สิทธิผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วเขียนข้อกำหนดในเรื่องดอกเบี้ยลงในตั๋วได้ในเรื่องตั๋วแลกเงินและเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่ไม่อนุญาตให้เขียนกำหนดในเรื่องเช็ค เหตุผลก็เพราะว่าในเรื่องตั๋วแลกเงินกับตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น จะมีวันที่ตั๋วถึงกำหนดใช้เงินได้หลายกรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 913 และวันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วแลกเงินกับบตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น จะมีระยะเวลานับแต่วันออกตั๋วไปจนถึงกำหนดใช้เงินจะมีระยะห่าง ซึ่งเป็นระยะที่ให้เจ้าหนี้หรือผู้ทรงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในช่วงนี้ได้ แต่ถ้าเป็นเช็คเนื่องจากเช็คจะมีวันถึงกำหนดใช้เงินอย่างเดียว ก็คือ “เมื่อทวงถาม” หมายความว่าเช็คไม่มีวันถึงกำหนดใช้เงิน เช็คลงวันที่เท่าไหร่วันนั้นถึงกำหนดเลย จึงไม่มีช่วงระยะเวลาที่จะให้คิดดอกเบี้ยกัน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายตั๋วเงิน-เช็ค,คำพิพากษาศาลฎีกา
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46651
Legal
ในกรณีที่ผู้สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า และนำไปขายลดตั๋วเงินกับธนาคาร แต่ธนาคารเรียกเก็บเงินจากผู้รับเงินตามเช็คไม่ได้ ธนาคารสามารถฟ้องร้องผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังเช็คอย่างไร?
null
ธนาคารสามารถฟ้องร้องผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังเช็คได้ดังนี้: 1. ฟ้องร้องตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน กรณีนี้ธนาคารจะต้องฟ้องร้องตามข้อตกลงในสัญญาขายลดตั๋วเงิน โดยทั่วไปสัญญามักระบุให้ผู้ขายลดตั๋วเงิน (ผู้สั่งจ่าย) รับผิดชำระหนี้ตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยในกรณีที่ธนาคารเรียกเก็บเงินจากผู้รับเงินไม่ได้ อัตราดอกเบี้ยจะต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654) ตัวอย่างเช่น กรณีฎีกาที่ 643/2522 ธนาคารฟ้องร้องผู้สั่งจ่ายตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน ศาลฎีกาตัดสินให้จำเลย (ผู้สั่งจ่าย) รับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา 2. ฟ้องร้องตามเช็ค ธนาคารสามารถฟ้องร้องผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 989 กรณีนี้ธนาคารจะเรียกค่าเงินตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็ค ดอกเบี้ยจะคิดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน (ตามมาตรา 911) ตัวอย่างเช่น กรณีฎีกาที่ 3567/2525 ธนาคารฟ้องร้องผู้สลักหลังเช็ค ศาลฎีกาตัดสินให้จำเลย (ผู้สลักหลัง) รับผิดชำระค่าเงินตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็ค พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ข้อควรสังเกต ธนาคารจะต้องเลือกฟ้องร้องตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน หรือฟ้องร้องตามเช็คเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อนจากทั้งสองกรณีได้ ธนาคารจะต้องมีหลักฐานแสดงว่าได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากผู้รับเงินแล้ว แต่ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ ธนาคารจะต้องฟ้องร้องภายในอายุความฟ้องร้อง 5 ปี สำหรับการฟ้องร้องตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน 3 ปี สำหรับการฟ้องร้องตามเช็ค สรุป ธนาคารสามารถฟ้องร้องผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังเช็คได้ทั้งตามสัญญาขายลดตั๋วเงินและตามเช็ค แต่ต้องเลือกฟ้องเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ธนาคารจะต้องมีหลักฐานแสดงว่าได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากผู้รับเงินแล้ว แต่ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ และต้องฟ้องร้องภายในอายุความฟ้องร้อง ประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654, 911, 989 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายตั๋วเงิน-เช็ค
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46653
Legal
บุคคลที่ 3 ซึ่งไม่ได้ลงลายมือชื่อในตั๋วแลกเงิน จะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วแลกเงินเสมอไปหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: หลักทั่วไป: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 บุคคลใดลงลายมือชื่อในตั๋วเงิน บุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงิน ข้อยกเว้น: กฎหมายมีบทบัญญัติเป็นพิเศษสำหรับบุคคลที่ 3 ซึ่งไม่ได้ลงลายมือชื่อในตั๋วแลกเงิน แต่ต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วแลกเงิน ดังนี้ 1. การมอบอำนาจ: มาตรา 1008 วรรคแรก: บุคคลใดมอบอำนาจให้บุคคลอื่นลงลายมือชื่อแทนตนในตั๋วแลกเงิน บุคคลนั้นต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงิน ตัวอย่าง: นาย A มอบอำนาจให้นาง B ลงลายมือชื่อแทนตนในตั๋วแลกเงิน นาง B ลงลายมือชื่อในตั๋วแลกเงิน นาย A ต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงิน 2. การเป็นผู้ต้องตัดบท: มาตรา 1008 วรรคสอง: บุคคลใดรู้ว่าลายมือชื่อของตนถูกปลอม หรือลงโดยปราศจากอำนาจ แต่แสดงพฤติการณ์ให้บุคคลภายนอกหลงเชื่อว่าลายมือชื่อนั้นเป็นของตน หรือเป็นลายมือชื่อที่ลงไว้โดยได้รับมอบอำนาจจากตน บุคคลนั้นต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงิน ตัวอย่าง: นาย A รู้ว่าลายมือชื่อของตนถูกปลอมในตั๋วแลกเงิน แต่ไม่ได้แจ้งให้ธนาคารทราบ นาย A ต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงิน นาย A มอบอำนาจให้นาง B ลงลายมือชื่อในตั๋วแลกเงิน แต่ลับหลัง นาย A บอกกับนาย C ว่า นาง B ไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนตน นาย C ซื้อตั๋วแลกเงินจากนาย B นาย A ต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงิน 3. การให้สัตยาบัน: มาตรา 1008 วรรคสาม: บุคคลใดรู้ว่าลายมือชื่อของตนถูกปลอม หรือลงโดยปราศจากอำนาจ แต่ภายหลังได้ให้สัตยาบัน บุคคลนั้นต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงิน ตัวอย่าง: นาย A รู้ว่าลายมือชื่อของตนถูกปลอมในตั๋วแลกเงิน แต่ต่อมา นาย A ได้ยืนยันกับธนาคารว่า ลายมือชื่อนั้นเป็นของตน นาย A ต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงิน นาย A มอบอำนาจให้นาง B ลงลายมือชื่อในตั๋วแลกเงิน แต่ลับหลัง นาย A บอกกับนาย C ว่า นาง B ไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนตน นาย C ซื้อตั๋วแลกเงินจากนาย B ภายหลัง นาย A ได้ยืนยันกับนาย C ว่า ลายมือชื่อนั้นเป็นของตน นาย A ต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงิน สรุป: บุคคลที่ 3 ซึ่งไม่ได้ลงลายมือชื่อในตั๋วแลกเงิน อาจต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วแลกเงิน ในกรณีดังต่อไปนี้ มอบอำนาจให้บุคคลอื่นลงลายมือชื่อแทน เป็นผู้ต้องตัดบท ให้สัตยาบัน หมายเหตุ: บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้เป็นคำแนะนำทางกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความหากมีคำถามเกี่ยวกับกฎหมาย specific
กฎหมายตั๋วเงิน-เช็ค,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46658
Legal
ในข้อกำหนด Incoterms 2010 กลุ่มการขนส่งทุกรูปแบบ ผู้ขายมีหน้าที่อะไรบ้าง?
null
ในข้อกำหนด Incoterms 2010 กลุ่มการขนส่งทุกรูปแบบ หน้าที่ของผู้ขายจะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดที่เลือกใช้ แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ขายมีหน้าที่หลัก ดังนี้: 1. เตรียมสินค้า: ผู้ขายต้องเตรียมสินค้าให้พร้อมสำหรับการขนส่งตามข้อตกลงในสัญญาซื้อขาย สินค้าต้องอยู่ในสภาพดี เหมาะสมสำหรับการขนส่ง ผู้ขายต้องบรรจุสินค้าอย่างเหมาะสม ปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ขายต้องติดฉลากสินค้าอย่างถูกต้อง ชัดเจน ระบุข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ส่ง ผู้รับ รายละเอียดสินค้า น้ำหนัก ฯลฯ 2. จัดหาและจองการขนส่ง: ผู้ขายต้องจัดหาและจองการขนส่งสินค้าตามข้อตกลงในสัญญาซื้อขาย ผู้ขายต้องเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมกับสินค้า ปลายทาง และงบประมาณ ผู้ขายต้องจองพื้นที่ขนส่งล่วงหน้า ผู้ขายต้องประสานงานกับบริษัทขนส่ง เตรียมเอกสาร และดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็น 3. โหลดสินค้า: ผู้ขายมีหน้าที่โหลดสินค้า onto the means of transport (e.g., truck, train, airplane) ผู้ขายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการโหลดสินค้า ผู้ขายต้องโหลดสินค้าอย่างระมัดระวัง ปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมาย 4. เตรียมเอกสาร: ผู้ขายต้องเตรียมเอกสารที่จำเป็นสำหรับการขนส่งสินค้า เช่น ใบขนสินค้า ใบกำกับสินค้า ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า ฯลฯ เอกสารต้องถูกต้อง ครบถ้วน และตรงตามข้อกำหนดของกฎหมาย 5. แจ้งการขนส่ง: ผู้ขายต้องแจ้งการขนส่งให้กับผู้ซื้อทราบ แจ้งข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขการขนส่ง วันที่ เวลา สถานที่ ฯลฯ 6. จ่ายค่าธรรมเนียม: ผู้ขายต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า เช่น ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ฯลฯ 7. ส่งมอบสินค้า: ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้กับผู้ซื้อตามข้อตกลงในสัญญาซื้อขาย ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าตรงเวลา ณ สถานที่ที่ตกลงกันไว้ 8. รับผิดชอบความเสี่ยง: ผู้ขายรับผิดชอบความเสี่ยงต่อสินค้าจนกว่าจะถึงจุดส่งมอบตามข้อกำหนด Incoterms ที่เลือกใช้ ผู้ขายต้องรับผิดชอบหากสินค้าสูญหาย เสียหาย หรือล่าช้า 9. จัดการกับปัญหา: ผู้ขายต้องจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่งสินค้า เช่น สินค้าสูญหาย เสียหาย ล่าช้า ฯลฯ 10. ปฏิบัติตามกฎหมาย: ผู้ขายต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า หมายเหตุ: หน้าที่ของผู้ขายอาจแตกต่างกันไป depending on the specific Incoterm rule chosen. ผู้ขายควรศึกษาข้อกำหนด Incoterms 2010 อย่างละเอียดก่อนเลือกใช้ ผู้ขายควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหากมีข้อสงสัย ตัวอย่าง Incoterms 2010 กลุ่มการขนส่งทุกรูปแบบ: EXW (Ex Works) FCA (Free Carrier) CPT (Carriage Paid To) CIP (Carriage and Insurance Paid To) DAP (Delivered At Place) DDP (Delivered Duty Paid)
กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46684
Legal
คำวินิจฉัยคดียึดทรัพย์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 7.6 หมื่นล้านบาท ในกรณีแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงิน และ โรมมิ่ง มีมติเป็นอย่างไร
null
คำวินิจฉัยคดียึดทรัพย์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 7.6 หมื่นล้านบาท ในกรณีแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงิน และ โรมมิ่ง มีมติเสียงข้างมาก การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้วยการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน (PREPAID CARD) ส่งผลให้เอไอเอส จ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ทศท ในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543-30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ ชินคอร์ปฯ และเอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้กับ บริษัท ทศท. และบริษัท กสท.ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น เอไอเอส จะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งบริษัท ชินคอร์ป ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นใน ดังนั้นผลประโยชน์ที่ เอไอเอส ได้รับดังกล่าวจึงตกกับหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯที่ผู้ถูกกล่าวหาถือในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนกระทั้งได้มีการขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ วินิจฉัยว่า ภาระเอไอเอสลดน้อยลง แต่มีรายได้เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 44-49 โดยลำดับ ตั้งแต่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขสัญญาดังกล่าว และผู้ถูกกล่าวหามีหุ้นในชินคอร์ป ผลประโยชน์จึงตกแก่ผู้ถูกกล่าวหา เงินที่ขายหุ้นให้เทมาเส็ก จึงได้มาโดยไม่สมควร
กฎหมายว่าด้วยคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง,พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46685
Legal
การที่นายกรัฐมนตรีไปออกรายการโทรทัศน์ "ชิมไปบ่นไป" โดยได้รับค่าตอบแทนจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: รัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ห้ามนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นลูกจ้างของบุคคลใด คำว่า "ลูกจ้าง" ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 มีความหมายกว้างกว่าคำนิยามของกฎหมาย การที่นายกรัฐมนตรีไปออกรายการโทรทัศน์ "ชิมไปบ่นไป" โดยได้รับค่าตอบแทนจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เข้าข่ายเป็นการรับจ้างทำการงาน การรับจ้างทำการงานดังกล่าว เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 คำอธิบายเพิ่มเติม: ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยในคดีนายสมัคร สุนทรเวช ว่า การที่นายกรัฐมนตรีไปออกรายการโทรทัศน์ "ชิมไปบ่นไป" โดยได้รับค่าตอบแทนจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า คำว่า "ลูกจ้าง" ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 มีความหมายกว้างกว่าคำนิยามของกฎหมาย หมายถึง บุคคลที่ตกลงทำงานให้นายจ้าง โดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร การที่นายกรัฐมนตรีไปออกรายการโทรทัศน์ "ชิมไปบ่นไป" โดยได้รับค่าตอบแทนจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เข้าข่ายเป็นการรับจ้างทำการงาน การรับจ้างทำการงานดังกล่าว เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ข้อสรุป: การที่นายกรัฐมนตรีไปออกรายการโทรทัศน์ "ชิมไปบ่นไป" โดยได้รับค่าตอบแทนจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงการสรุปประเด็นสำคัญจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ควรศึกษาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็มเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
กฎหมายรัฐธรรมนูญ,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46694
Legal
ในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 12 พุทธศักราช 2520 มีการกำหนดให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 27 ได้อย่างไร?
null
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 12 พุทธศักราช 2520 ได้ให้อำนาจพิเศษแก่นายกรัฐมนตรีตามมาตรา 27 ดังนี้ 1. เงื่อนไขการใช้อำนาจพิเศษ: นายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจพิเศษได้ เฉพาะกรณี ที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดภัยพิบัติแก่ประเทศ การใช้อำนาจพิเศษ ต้อง ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และ สภานโยบายแห่งชาติ 2. รูปแบบของอำนาจพิเศษ: นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออก พระราชกำหนด แทนพระราชบัญญัติ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจ สั่งการ ให้กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานของรัฐ ดำเนินการใดๆ โดยไม่ต้อง ผ่าน มติคณะรัฐมนตรี อยู่ ในบังคับของกฎหมาย 3. ข้อจำกัดของอำนาจพิเศษ: นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถ ใช้อำนาจพิเศษเพื่อ: แก้ไข รัฐธรรมนูญ ล้มล้าง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กระทบ สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน 4. การตรวจสอบการใช้อำนาจพิเศษ: สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจ ตรวจสอบ การใช้อำนาจพิเศษของนายกรัฐมนตรี ประชาชนมีสิทธิ ร้องเรียน การใช้อำนาจพิเศษของนายกรัฐมนตรีต่อศาลรัฐธรรมนูญ 5. ความเห็นเกี่ยวกับอำนาจพิเศษ: การให้อำนาจพิเศษแก่นายกรัฐมนตรีตามมาตรา 27 ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเป็นการให้อำนาจที่ มากเกินไป แก่บุคคลเพียงคนเดียว มีการถกเถียง ว่า การให้อำนาจพิเศษนี้ ขัดต่อหลักการ ของประชาธิปไตย 6. บทสรุป: อำนาจพิเศษตามมาตรา 27 เป็นการให้อำนาจที่ กว้างขวาง แก่นายกรัฐมนตรี การใช้อำนาจพิเศษนี้ ต้องอยู่ภายใต้ เงื่อนไข และ ข้อจำกัด ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูนูญ จำเป็น ต้องมีกลไกการตรวจสอบ การใช้อำนาจพิเศษ ของนายกรัฐมนตรี อย่างมีประสิทธิภาพ หมายเหตุ: รัฐธรรมนูญฉบับที่ 12 พุทธศักราช 2520 มีผลบังคับใช้ เพียง 1 ปี 1 เดือน 13 วัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถูกยกเลิก โดย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46700
Legal
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ใช้ระบบสภาเดียวหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผลเพราะ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ใช้ระบบสภาเดียวคือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 ใช้ระบบสภาเดียวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่มีการใช้ระบบสองสภาในช่วงเริ่มต้น กล่าวคือ • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ใช้ระบบสภาเดียว โดยมีสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ออกกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 ประกาศใช้หลังรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีลักษณะผสมผสานระหว่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 กับ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ในช่วงเริ่มต้นของการใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 มีการใช้ระบบสองสภา ประกอบด้วย 1. สภาผู้แทนราษฎร 2. วุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 มีบทเฉพาะกาลให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ประเภท คือ 1. สมาชิกประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้ง 2. สมาชิกประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองประเภทมีวาระครบ 5 ปี หลังจากผ่านไป 5 ปี ระบบจะเปลี่ยนไปใช้สภานิติบัญญัติซึ่งมีสภาเดียวโดยมีเพียงสมาชิกที่ได้รับเลือกเท่านั้น สรุป • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 ไม่ได้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ใช้ระบบสภาเดียว • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 ใช้ระบบสองสภาในช่วงเริ่มต้น และเปลี่ยนมาใช้ระบบสภาเดียวหลังจาก 5 ปี
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46701
Legal
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มีความสำคัญอย่างไร
null
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มีความสำคัญในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. หลักการประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากฉบับหนึ่ง โดยมีการบัญญัติถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างละเอียดถึง 20 มาตรา ตัวอย่างเช่น สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ สิทธิเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ สิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร 2. การแยกราชการประจำออกจากการเมือง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทน และรัฐมนตรี จะเป็นข้าราชการประจำมิได้ เป็นการแยกราชการประจำออกจากการเมือง เพื่อป้องกันทหารประจำการไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 3. การมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้มีระบบรัฐสภาโดยมี 2 สภา ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4. การถ่วงดุลอำนาจ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้มีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจ ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย 5. การพัฒนาประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้มีแนวนโยบายแห่งรัฐเป็นครั้งแรก เป็นการวางกรอบแนวทางการพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีอายุสั้นเพียง 2 ปี 8 เดือน 6 วัน ก็ถูกฉีกทิ้งโดยการรัฐประหาร บทสรุป รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 แม้จะมีอายุสั้น แต่ก็มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ 1. เป็นการปูพื้นฐานแนวคิดประชาธิปไตย 2. เป็นการนำเสนอแนวทางการถ่วงดุลอำนาจ 3. เป็นการวางกรอบแนวทางการพัฒนาประเทศ 4. เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพ 5. เป็นบทเรียนสำคัญทางการเมือง
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายรัฐธรรมนูญ,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46703
Legal
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาธิปไตยที่สุดฉบับหนึ่งของไทยหรือไม่
null
ใช่ เหตุผล: มีระบบรัฐสภา: รัฐธรรมนูญ 2489 กำหนดให้ประเทศไทยปกครองในระบบรัฐสภา ซึ่งหมายความว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ราษฎรมีสิทธิเลือกผู้แทนของตนเข้าไปบริหารประเทศผ่านการเลือกตั้ง มีการแบ่งแยกอำนาจ: รัฐธรรมนูญ 2489 แบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ การแบ่งแยกอำนาจนี้ช่วยป้องกันมิให้อำนาจในมือคนใดคนหนึ่ง มีการคุ้มครองเสรีภาพ: รัฐธรรมนูญ 2489 คุ้มครองเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการเขียน เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพในการรวมกลุ่ม มีกลไกตรวจสอบ: รัฐธรรมนูญ 2489 กำหนดให้มีกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งกระทู้ถาม และการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไป ตัวอย่าง รัฐธรรมนูญ 2489 เป็นฉบับแรกที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการตั้งพรรคการเมือง รัฐธรรมนูญ 2489 เป็นฉบับแรกที่จัดตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้น เพื่อทำหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญและวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ 2489 เป็นฉบับแรกที่ห้ามข้าราชการประจำเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรี ข้อจำกัด รัฐธรรมนูญ 2489 มีอายุสั้น เพียง 1 ปี 5 เดือน 28 วัน ก็ถูกฉีกทิ้งโดยการรัฐประหาร รัฐธรรมนูญ 2489 ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีบทบัญญัติบางประการที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย เช่น บทเฉพาะกาลที่ให้สมาชิกสภาผู้แทนเลือกสมาชิกพฤฒสภา สรุป แม้รัฐธรรมนูญ 2489 จะมีอายุสั้น แต่ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาธิปไตยที่สุดฉบับหนึ่งของไทย รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับประชาธิปไตยในประเทศไทย และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในปัจจุบัน
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46711
Legal
การตีความสัญญาสำเร็จรูปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 นั้น จะต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้บริโภคเสมอหรือไม่
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 บัญญัติว่า "สัญญานั้นท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย" ซึ่งหมายความว่า ในการตีความสัญญานั้นต้องคำนึงถึง 3 ประการ ดังนี้ ความประสงค์หรือเจตนาอันมีร่วมกันของคู่สัญญา ซึ่งเป็นเจตนาอันคาดหมายโดยสุจริต ปกติประเพณีในระหว่างคู่สัญญาเอง หรือประเพณีในทางการค้า เนื้อหาของสัญญา มาตรา 368 ไม่ได้กำหนดให้ต้องตีความสัญญาไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้บริโภคเสมอไป แต่ให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิจารณาจาก 3 ประการข้างต้น ตัวอย่างกรณี สัญญาสำเร็จรูประบุให้ผู้บริโภคชำระค่าปรับในกรณีผิดนัดชำระหนี้ กรณีนี้ ศาลจะพิจารณาว่าค่าปรับที่กำหนดไว้นั้น "สมเหตุสมผล" หรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนเงินค่าปรับ อัตราดอกเบี้ย ประเภทของสินค้าหรือบริการ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบธุรกิจ สัญญาสำเร็จรูประบุให้ผู้บริโภคสละสิทธิ์ในการฟ้องร้อง กรณีนี้ ศาลจะพิจารณาว่าข้อสัญญานี้ "เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค" หรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น อำนาจต่อรองของคู่สัญญา ความร้ายแรงของผลเสียที่ผู้บริโภคจะได้รับ มีทางเลือกอื่นหรือไม่ ดังนั้น การตีความสัญญาสำเร็จรูปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 นั้น จะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของแต่ละกรณี ศาลจะพิจารณาเจตนาของคู่สัญญา ปกติประเพณี และเนื้อหาของสัญญา โดยคำนึงถึงความยุติธรรมและความสมเหตุสมผล ข้อจำกัด การตีความสัญญาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อน ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของแต่ละกรณี ผู้บริโภคอาจเสียเปรียบในทางกฎหมาย เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจมักมีทีมทนายความที่เชี่ยวชาญ สรุป การตีความสัญญาสำเร็จรูปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 นั้น ไม่ได้กำหนดให้ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้บริโภคเสมอไป ศาลจะพิจารณาเจตนาของคู่สัญญา ปกติประเพณี และเนื้อหาของสัญญา โดยคำนึงถึงความยุติธรรมและความสมเหตุสมผล
กฎหมายนิติกรรม-สัญญา-ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46720
Legal
เงินจำนวน ๔๔,๗๐๐ บาท ของผู้คัดค้านที่ ๒ จะถูกริบ ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. การยึดหรืออายัดทรัพย์สินสิ้นสุดลง: ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้องผู้คัดค้านที่ ๒ คดีถึงที่สุด ตามมาตรา ๓๒ แห่ง พ.ร.บ.มาตรการฯ การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ ๒ ย่อมสิ้นสุดลง 2. ศาลไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สิน: เมื่อการยึดหรืออายัดทรัพย์สินสิ้นสุดลง ศาลไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ ๒ แม้เงินจำนวน ๔๔,๗๐๐ บาท จะถูกยึดไว้ แต่ศาลไม่สามารถริบเงินจำนวนนี้ได้ 3. ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น: เนื่องจากศาลไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สิน จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าเงินจำนวน ๔๔,๗๐๐ บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ ผู้คัดค้านที่ ๒ ได้เงินนี้มาโดยสุจริตหรือไม่ 4. หลักทั่วไปเกี่ยวกับการริบทรัพย์สิน: ทรัพย์สินจะถูกริบได้ก็ต่อเมื่อ พิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด เจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้มาโดยสุจริต ในกรณีนี้ ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเงินจำนวน ๔๔,๗๐๐ บาท เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด beneficiary ของเงินจำนวนนี้ ไม่ได้ถูกพิสูจน์ว่ามีความผิด 5. หลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ: บุคคลย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินของตน ทรัพย์สินจะถูกริบได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลอันสมควรตามกฎหมาย ในกรณีนี้ ยังไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะริบเงินจำนวน ๔๔,๗๐๐ บาท 6. แนววินิจฉัยฎีกา: ฎีกาที่ ๑๘๖๘/๒๕๕๔ : ทรัพย์สินจะถูกริบได้ต้องพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด สรุป: เงินจำนวน ๔๔,๗๐๐ บาท ของผู้คัดค้านที่ ๒ จะไม่ถูกริบ ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ เหตุผลหลักคือ การยึดหรืออายัดทรัพย์สินสิ้นสุดลง ศาลไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สิน หมายเหตุ: คำตอบข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายทั่วไป ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่อาจต้องพิจารณาเพิ่มเติม ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีเฉพาะ
กฎหมายยาเสพติดให้โทษ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46721
Legal
บุคคลที่มีกัญชาไว้ในครอบครอง 10 กรัม จะถูก สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อจำหน่ายหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. การแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๖๐: มาตรา ๑๕ วรรคสาม มาตรา ๑๗ วรรคสอง และมาตรา ๒๖ วรรคสอง ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ เปลี่ยนจาก "ถือว่า" เป็น "ให้สันนิษฐานว่า" 2. การเปลี่ยนแปลงความหมาย: การเปลี่ยนแปลงนี้มีความหมายสำคัญ เดิมที บุคคลที่มีกัญชาไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กำหนด ถือว่า มีไว้เพื่อจำหน่ายโดยเด็ดขาด ไม่มีโอกาสพิสูจน์เจตนา 3. หลักการใหม่: ภายใต้หลักการใหม่ บุคคลที่มีกัญชาไว้ในครอบครอง 10 กรัม ให้สันนิษฐานว่า มีไว้เพื่อจำหน่าย แต่ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิพิสูจน์ความจริง ว่าไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย 4. ภาระการพิสูจน์: ภาระการพิสูจน์ย้ายไปอยู่ที่ผู้ต้องหาหรือจำเลย ต้องแสดงหลักฐานว่า กัญชา 10 กรัม นั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย อาจใช้เพื่อการรักษา หรือเพื่อประโยชน์อื่น 5. แนวทางปฏิบัติ: แนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคดี จะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และดุลยพินิจของศาล 6. ตัวอย่าง: บุคคลที่มีกัญชา 10 กรัม อ้างว่าใช้เพื่อรักษาโรค ศาลอาจพิจารณาจาก ใบรับรองแพทย์ ประวัติการรักษา หรือหลักฐานอื่น 7. บทสรุป: บุคคลที่มีกัญชาไว้ในครอบครอง 10 กรัม จะถูก สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๖๐ แต่มีสิทธิพิสูจน์ความจริง ว่าไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย หมายเหตุ: คำตอบข้างต้นเป็นการวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายทั่วไป ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่อาจต้องพิจารณาเพิ่มเติม ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีเฉพาะ
กฎหมายยาเสพติดให้โทษ
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46726
Legal
จากสำนวนภาษิตกฎหมายลาตินที่ว่า "Allegans contraria non est audiendus" แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่าอย่างไร
null
จากสำนวนภาษิตกฎหมายลาตินที่ว่า "Allegans contraria non est audiendus" แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า One making contradictory statements is not to be heard.
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46744
Legal
กรณีบุคคลอื่นเข้าครอบครองที่ดินมือเปล่าของบุคคลอื่นโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ที่ดินมือเปล่า หมายถึง ที่ดินที่ไม่มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ เช่น โฉนดที่ดิน น.ส.3 ก. น.ส.3 ข. หรือโฉนดตราจอง เป็นต้น ที่ดินประเภทนี้เจ้าของจะมีเพียง สิทธิครอบครอง ไม่ได้มี กรรมสิทธิ์ ในที่ดิน การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดย การครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 บุคคลนั้นต้องครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ ของผู้อื่นโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 6 บัญญัติว่า ที่ดินมือเปล่า ไม่มีโฉนด ทอดทิ้งเกิน 5 ปี ติดต่อกัน ที่ดินนั้นตกเป็นของรัฐ กรณีบุคคลอื่นเข้าครอบครองที่ดินมือเปล่าของบุคคลอื่น แม้จะครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ก็ตาม บุคคลนั้น ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดิน เหตุผล กฎหมายไม่รับรองการครอบครองปรปักษ์ ในที่ดินมือเปล่า สิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่ามีอายุความ 5 ปี เมื่อครบกำหนด 5 ปี ที่ดินตกเป็นของรัฐ บุคคลอื่นที่เข้าครอบครอง ไม่มีสิทธิ ฟ้องร้องเพื่อขอให้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 บัญญัติว่า เจ้าของที่ดินมือเปล่า สูญเสียสิทธิ ในที่ดิน กรณีถูกบุคคลอื่นแย่งการครอบครอง ไม่ฟ้องร้องเรียกคืนภายใน 1 ปี กรณีนี้ บุคคลอื่นเข้าครอบครองที่ดินมือเปล่า เจ้าของที่ดินมือเปล่า มีสิทธิฟ้องร้อง เรียกคืนภายใน 1 ปี ไม่ใช่ฟ้องร้องเพื่อขอ กรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่เป็นการฟ้องร้องเพื่อ เรียกคืนการครอบครอง โดยสรุป บุคคลอื่นเข้าครอบครองที่ดินมือเปล่า แม้จะครบ 10 ปี ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดิน เจ้าของที่ดินมือเปล่า สูญเสียสิทธิ ในที่ดิน ภายใน 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปี หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นการอธิบายหลักกฎหมายโดยทั่วไป กรณีข้อเท็จจริงแต่ละกรณี อาจมีความแตกต่างกัน ควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายที่ดิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46756
Legal
กรณีใดบ้างที่ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้?
null
จากบทความที่ระบุไว้ มีหลายกรณีที่ไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้ ดังนี้ 1. ลักษณะของที่ดิน -ที่ดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ ที่ชายตลิ่ง - ที่เขา ที่ภูเขา หรือที่สงวนหวงห้ามหรือ ที่ดินที่ทางราชการเห็นว่าควรสงวนไว้เพื่ทรัพยากรธรรมชาติ - ที่ดินที่ไม่ได้มีระวางแผนที่เพื่อการออกโฉนดที่ดิน 2. สถานะการครอบครองที่ดิน -ที่ดินที่ยังไม่มีการครอบครองและทำประโยชน์ -ที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ พื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่า หรือพื้นที่ที่ได้จำแนกให้เป็นเขตป่าไม้ถาวร กรณีนี้ ผู้ครอบครองที่ดินจะต้องมีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง (ส.ค. 1) หรือได้ออกใบจอง ใบเหยียบย่ำ ตราจอง ไว้ก่อนการสงวนหรือหวงห้ามที่ดิน -ที่ดินอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ผู้ครอบครองที่ดินจะต้องมีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง (ส.ค. 1), ใบแจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดิน ตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน หรือมีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หรือมีหลักฐาน น.ค. 3, ก.ส.น. 5 ก่อนประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน -พื้นที่ที่มีความลาดชันโดยเฉลี่ยร้อยละ 35 ขึ้นไป ผู้ครอบครองที่ดินจะต้องมีสิทธิครอบครองมาก่อน การบังคับใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน (ก่อน 1 ธันวาคม 2497) หรือมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น มีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง (ส.ค. 1) 3. หลักฐาน ไม่มีหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดินตามที่กฎหมายกำหนด 4. กรณีพิพาท มีผู้โต้แย้งคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน 5. กรณีอื่นๆ -ที่ดินที่อยู่ในเขตที่ดินราชพัสดุ -ที่ดินที่อยู่ในเขตที่ดินของวัด -ที่ดินที่อยู่ในเขตที่ดินของมัสยิด -ที่ดินที่อยู่ในเขตที่ดินของนิคมสร้างตนเอง -ที่ดินที่อยู่ในเขตที่ดินของสหกรณ์นิคม โดยสรุป การขอออกโฉนดที่ดินดังนี้ -ลักษณะของที่ดินต้องไม่ใช่ที่ดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่เขา ที่ภูเขา หรือที่สงวนหวงห้าม -ผู้ขอต้องมีหลักฐานการได้มาซึ่งที่ดินตามที่กฎหมายกำหนด -ที่ดินต้องมีระวางแผนที่เพื่อการออกโฉนดที่ดิน -ที่ดินต้องไม่ใช่ที่ดินที่มีข้อพิพาท
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายที่ดิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Legal_46777
Legal
กรณีจำเลยที่ 1 นำสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์และแผงเลขที่ 97 กับแผงเลขที่ 97/1 มาเป็นประกันการชำระหนี้กับผู้ร้อง ถือเป็นการจำนำที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 กำหนดไว้ว่า ทรัพย์สินที่จำนำกันได้นั้นจะต้องเป็นสังหาริมทรัพย์ สิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์และแผงซึ่งเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่จัดเป็นสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 101 ดังนั้น การนำสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์และแผงดังกล่าวมาจำนำ จึงไม่เป็นการจำนำที่ถูกต้องตามกฎหมาย วิเคราะห์เพิ่มเติม: สิทธิการเช่าอาคารเป็นบุคคลสิทธิ ไม่ใช่ทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์สิทธิที่มีตราสาร สิทธิในสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่อาจถือเป็นสังหาริมทรัพย์ที่จำนำได้ แม้จำเลยที่ 1 จะมอบสัญญาเช่าและหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องโอนสิทธิการเช่า แต่ก็ไม่ทำให้การจำนำนั้นมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ประเด็นสำคัญ: ประเภทของทรัพย์สินที่สามารถนำมาจำนำได้ถูกจำกัดไว้ในกฎหมาย สิทธิการเช่าอาคารไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ จึงไม่อาจนำมาจำนำได้ การทำสัญญาจำนำทรัพย์สินที่ไม่ใช่สังหาริมทรัพย์นั้น ไม่อาจก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมาย สรุป: การนำสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์และแผงเลขที่ 97 กับแผงเลขที่ 97/1 มาจำนำกับผู้ร้องนั้น ไม่เป็นการจำนำที่ถูกต้องตามกฎหมาย คำอธิบายเพิ่มเติม: ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายเกี่ยวกับจำนำ ซึ่งเป็นสัญญาประกันหนี้ประเภทหนึ่ง กฎหมายได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ทรัพย์สินที่สามารถนำมาจำนำได้นั้น จะต้องเป็นสังหาริมทรัพย์เท่านั้น สิทธิการเช่าอาคารเป็นบุคคลสิทธิ ไม่ใช่ทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์สิทธิที่มีตราสาร และไม่อาจถือเป็นสังหาริมทรัพย์ที่จำนำได้ ดังนั้นการที่โจทก์พยายามยึดดอกเบี้ยสิทธิการเช่าของจำเลยเพื่อเป็นหลักประกันหนี้จึงไม่มีผลตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายเช่าทรัพย์
Classification
cc-by-sa-4.0
Legal_46787
Legal
เจ้าของบ้านมีหน้าที่แจ้งการรื้อถอนบ้านต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายใน 15 วัน นับแต่วันรื้อถอนเสร็จหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กฎหมายกำหนดให้เจ้าของบ้านมีหน้าที่แจ้งการรื้อถอนบ้าน: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1342: "บุคคลใดมีหน้าที่ต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย" พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2526 มาตรา 18: "เจ้าบ้านมีหน้าที่แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง เมื่อมีการ...รื้อถอนบ้าน..." การแจ้งการรื้อถอนบ้าน เป็นการแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสถานะบ้าน: -บ้านเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย และเป็นส่วนหนึ่งของระบบทะเบียนบ้าน -การรื้อถอนบ้าน ส่งผลต่อสถานะของบ้าน และจำนวนประชากรในทะเบียนบ้าน -การแจ้งการรื้อถอนบ้าน จึงเป็นการแจ้งข้อเท็จจริง เพื่อให้ข้อมูลในทะเบียนบ้านเป็นปัจจุบัน การแจ้งการรื้อถอนบ้าน ช่วยให้การบริหารจัดการทะเบียนบ้านมีประสิทธิภาพ: -ช่วยให้นายทะเบียนสามารถติดตามจำนวนประชากรในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง -ช่วยลดปัญหาการแอบอ้างสิทธิ์ในทะเบียนบ้าน -ช่วยให้การวางแผนพัฒนาพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การไม่แจ้งการรื้อถอนบ้าน มีโทษปรับ: พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2526 มาตรา 67: "ผู้ใดฝ่าฝืน... มาตรา 18... ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท" การแจ้งการรื้อถอนบ้าน เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม: -การปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นหน้าที่ของพลเมือง -การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย สรุป เจ้าของบ้านมีหน้าที่แจ้งการรื้อถอนบ้านต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายใน 15 วัน นับแต่วันรื้อถอนเสร็จ เพิ่มเติม: -การแจ้งการรื้อถอนบ้าน สามารถทำได้ที่สำนักงานเทศบาล สำนักงานเมืองพัทยา สำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร ที่ว่าการอำเภอ หรือกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี -เอกสารที่ใช้ในการแจ้งการรื้อถอนบ้าน ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน และใบสำคัญแสดงการรื้อถอนบ้าน -การไม่แจ้งการรื้อถอนบ้าน นอกจากจะมีโทษปรับแล้ว ยังอาจส่งผลต่อสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทะเบียนบ้าน เช่น การขอรับเงินสวัสดิการ การศึกษา การรักษาพยาบาล ฯลฯ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์
Classification
cc-by-sa-4.0