ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
10
894
Input
stringclasses
0 values
Output
stringlengths
110
13.8k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
6 values
License
stringclasses
2 values
Finance_1003
Finance
เพราะเหตุใด เศรษฐกิจญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว ยังคงอยู่ในโหมดการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเต็มตัว
null
ฮารุอิโกะ คูโรด้า ได้ให้คำตอบว่า มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. GDP: ขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังเล็กกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 2.7 สภาพถือว่าใกล้เคียงกับบ้านเราในขณะนี้ ส่วนขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปใหญ่กว่าตอนก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 3.7 และ 0.6 ตามลำดับ ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตรรกะในการคิดออกจะคล้ายกับแบงก์ชาติบ้านเราคือควรผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจไปก่อน 2. Terms of Trade: แม้ว่าอัตราการเติบโต GDP ของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 2.1 เมื่อวัดในปีแบบงบประมาณ 2021 ทว่าหากพิจารณาจาก ตัววัด GNI (Gross National Income) ซึ่งทำการเพิ่มปัจจัยอื่น ๆ อาทิ รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ และ รายได้จากกำไร หรือขาดทุนจากการค้า ซึ่งมีค่าเป็นลบจากการที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์ แม้ว่าค่าเงินเยนจะช่วยให้การส่งออกสินค้าและบริการ มีราคาในประเทศปลายทางที่ถูกลง ทว่าไม่ได้ช่วยด้านการนำเข้าแต่อย่างใด ดังนั้นการผ่อนคลายนโยบายการเงินต้องมาช่วยชดเชยในส่วนการนำเข้าที่สูงขึ้นด้วย 3. Inflation: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสด ในเดือนเมษายน 2022 จะเท่ากับร้อยละ 2.1 ทว่าเมื่อนำปัจจัยราคาจากด้านพลังงานออกไปจากการคิดเงินเฟ้อ ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในเดือนเมษายน 2022 จะเหลือร้อยละ 0.8 ในขณะที่ทางการญี่ปุ่นได้ประมาณการ อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสดในปี 2022 ว่าเท่ากับร้อยละ 1.9 ทว่าในปี 2023 จะเหลือเพียงร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับเข้าเป้าหมายควรจะใกล้เคียงระดับร้อยละ 2 เมื่อคิดแบบเฉลี่ยตลอดวัฏจักรเศรษฐกิจ จึงทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นควรจะดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีก นั่นคือ น่าจะกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินไปอีกพักใหญ่
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1011
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับความหมายของ LUNA (Terra)
null
LUNA (Terra) คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลัง UST (Terra USD) ที่ทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้สมดุลอยู่เสมอ มีกลไกคือ ถ้า UST สูงกว่า 1 ระบบจะซื้อ LUNA คืนเพื่อแลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่ม Supply UST และกดระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้ลดลง แต่ในทางกลับกัน ถ้า UST น้อยกว่า 1 ระบบ จะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ เป็นการลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้นนั่นเอง โดย Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน และยังมีการใช้เงินจากคลัง ในการสนับสนุนอัดฉีด Decentralized Application ที่มีคุณภาพอีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้าข้างต้น LUNA คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลังอย่าง UST (Terra USD) ซึ่งทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้เสถียรสมดุลดั่งใจหวังอยู่เสมอ โดยอธิบายเป็นกลไกง่าย ๆ ก็คือ ถ้า UST มีมูลค่าสูงกว่า 1 ระบบจะทำการซื้อคืน LUNA แลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน (เป็นการเพิ่ม Supply UST และกดให้ระดับอตราแลกเปลี่ยนที่เฟ้อลดลง) ในทางกลับกันหาก UST มีมูลค่าน้อยกว่า 1 ระบบจะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ (ลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้น) นอกจากนี้เหรียญ LUNA ยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ อย่างระบบที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนอันต่อเนื่องกับผู้ขุดเหรียญอีกด้วย ความผันผวนทางด้านราคาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ และกลายเป็นอุปสรรคของการนำสกุลเงินมาปรับใช้ เพราะหากคิดภาพง่าย ๆ คงไม่มีใครอยากใช้เงินที่จู่ ๆ วันนึงราคาเพิ่มเป็นสองเท่า และวันดีคืนดีอาจลดลงมาอีก 2 เท่ากันเป็นแน่ เงินอะไรถือทีเดิมพันเหมือนเข้าคาซิโน ซึ่งปัญหาดังกล่าวก็จะยิ่งสร้างอุปสรรคให้กับธุรกรรมที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เช่น การผ่อนหรือแบ่งจ่ายที่ต้องจ่ายเป็นงวด ๆ หลายเดือนหรืออาจจำหลายปี การจำนองบ้าน รวมไปถึงสัญญาค่าจ้างต่าง ๆ เพราะ คงไม่มีใครอยู่ดี ๆ เป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาเท่าตัวใน 5 วัน หรือเจ้าหนี้ได้รับเงินน้อยลงกว่าตอนปล่อยกู้จากค่าเงินที่ผันผวนอย่างหนัก Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ว่าในคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน คล้ายกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่หรือ Fixed rate ที่ไทยก็เคยใช้มาก่อนในการเข้ามาแก้ปัญหาความผันผวนของค่าเงิน นอกจากนั้น Terra จะมีการใช้เงินจากคลัง (Treasury) ในการสนับสนุนอัดฉีดแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ App หรือ Decentralized Application ที่มีคุณภาพ มีผลการดำเนินงานดีและได้การอนุมัติโดยผู้มีสิทธิโหวต
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1013
Finance
Meme coin คืออะไร
null
Meme coin เป็นสกุลคริปโตฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุก บางครั้งเพื่อการล้อเลียน แซว เสียดสี โดยมีแรงบันดาลจากมาจากมีมต่างๆ ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ meme coin ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวบุกเบิก คือ เหรียญคริปโตฯ Dogecoin ที่เปิดตัวในปี 2013 โดย Jackson Palmer และ Billy Markus เป็นผู้ริเริ่ม มีจุดประสงค์ในการสร้างเหรียญเพื่อความสนุก ใช้รูปสุนัขพันธุ์ชิบะอินุเป็นโลโก้ของเหรียญ ก่อนที่ภายหลัง Elon Musk มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัท Tesla จะทำการทวีตถึงเหรียญนี้ และก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนรุนแรงในช่วงเวลาหนึ่ง หลังจาก Dogecoin ก็มี meme coin อื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมา เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งกับ Dogecoin หรือ Dogelon Mars ที่ตั้งใจตั้งชื่อให้คล้ายกับ Elon Musk ที่หลายคนยกให้เป็นเสด็จพ่อเหรียญ Dogecoin ในช่วงหนึ่ง และหากไปดูโลโก้ของเหรียญในตระกูล meme coin ส่วนใหญ่ จะพบว่ามักจะมีลักษณะเป็นรูปการ์ตูนสุนัขตลกๆ ค่อนข้างเยอะ ข้อมูลจาก coinmarketcap พบว่ามี meme coin กว่า 250 เหรียญ หากแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ ที่เลือกใช้ มีเหรียญประเภทนี้ให้ซื้อขาย ก็เท่ากับว่าสามารถลงทุนใน meme coin ได้ไม่ต่างกับเหรียญคริปโตฯ อื่น ในบางครั้งเหรียญประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงมหาศาล เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่หากซื้อได้ในราคา ณ วันที่ 1 ม.ค. 2021 และถือมาจนวันที่ 29 ธันวาคม ของปี 2021 จะคิดเป็นผลตอบแทนมหาศาลถึง 49,000,000 % (แน่นอนว่าคงไม่น่ามีใครที่ซื้อและขายได้พอดีขนาดนี้)
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1015
Finance
ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนใดภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ระหว่าง กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing หรือ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health
null
แนะนำกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing เพราะธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health เป็นกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต แนะนำ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cyber Security ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งจะทวีความสำคัญในอนาคต ที่จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลสำคัญ 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนธุรกิจกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ และกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต เป็นหุ้น Defensive ซึ่งผลประกอบการไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก และได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด (outperform) ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุน 2 กลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ซึ่งเป็นธุรกิจวิจัยและพัฒนายา-วัคซีนรักษารวมถึงป้องกันโรค 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1016
Finance
จงบอกประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565
null
ประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565 1. กนง. มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี (กรรมการเสียงข้างน้อย 3 เสียงมองว่าต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ได้แล้ว) 2. เป็นครั้งแรกของปีที่คณะกรรมการเสียงแตก โดย 2 ครั้งก่อนมีเสียงเป็นเอกฉันท์ 3. คณะกรรมการมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยได้แรงบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ให้ กนง.ปรับคาดการณ์ การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2565 เป็น 3.3% จากเดิม 3.2% พร้อมปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็น 6.0 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4 แสนคนจากเป้าหมายเดิม 5.6 ล้านคน 4. คณะกรรมการยอมรับว่ามองเงินเฟ้อผิดพลาด จากที่มองเป็นแค่มองเป็นแค่เรื่องชั่วคราว กลับลำเป็นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอยู่นานกว่าที่ประเมินไว้เดิม จนต้องมีการปรับเป้าเงินเฟ้อในปี 2565 ขึ้นมา 6.2% จากเดิม 4.9% และปี 2566 เป็น 2.5% จากเดิม 1.7% 5. คณะกรรมการมองว่า ความจำเป็นการใช้นโยบายการเงินลดลง อย่างไรก็ตามเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องตามคาด จึงยังให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อไปก่อน 6. คณะกรรมการมีการย้ำในช่วงท้ายของรายงานการประชุมว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีความชัดเจนขึ้น จึงเห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินทีผ่อนคลายในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะลดลงในระยะข้างหน้า 7. คณะกรรมการจะพิจารณาเวลาที่เหมาะสมในการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสอดคล้องกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1018
Finance
เงินเฟ้อ หมายถึงอะไร
null
เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะเศรษฐกิจที่ระดับราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือถ้าพิจารณาจากค่าของเงิน เงินเฟ้อ คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ค่าเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจะซื้อของชิ้นเดิมนั้นต้องใช้เงินมากกว่าเดิม แปลง่าย ๆ อีกแบบก็คือ ของแพงขึ้นนั่นเอง ตัวอย่างแบบง่าย ๆ เลยคือ เมื่อก่อนมีเงิน 40 บาท ตอนเด็ก ๆ ก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวกินคนเดียวได้ตั้ง 4 ชาม แต่ตอนนี้ เรื่องมันเศร้าขอตังค์เยอะ ๆ ราคาก๋วยเตี๋ยวได้ขยับราคาขึ้นตามน้ำหนัก กลายเป็น 40 บาท ซื้อได้แค่ชามเดียว ถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไปอีก 30 ปีข้างหน้า ต้องอดกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท ราคามันจะต้องขยับขึ้นแซงน้ำหนักไปจนถึงชามละ 100 กว่าบาทแน่นอน เงินเฟ้อมันเกิดจากต้นทุนสินค้ามันแพงขึ้น และความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ต้นทุนในการผลิตสินค้าที่สูงขึ้น (Cost-Push Inflation) ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (Demand-Pull Inflation) เจ้า 2 ตัวนี้แหละที่เอาไว้มาวัดเงินเฟ้อว่าเท่าไหร่ ข้อดีของเงินเฟ้อ คือ ถ้าเงินเฟ้อนิดหน่อย ๆ ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1019
Finance
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) คืออะไร
null
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ มีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่หลักคือ ดูแลเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ อย่างเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยร้อนแรงหรือซบเซาเกินไป แบงก์ชาติก็อาจกำหนดนโยบายการเงิน อย่างการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นต้น แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันก็คงเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายอยู่พอสมควร ที่แม้แต่อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติต่างก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงปัญหาเงินเฟ้อด้วยนั่นเอง ตัวอย่างประเด็นสำคัญจากมุมมองของอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ คุณชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติที่เคยอยู่ในฉากหน้าของวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งเรื่องภาระหนี้สูง การขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารนโยบายแบบประชานิยม และหากรัฐบาลไม่สามารถดูแลนโยบายการคลังได้ดีกว่านี้ ภาระจะตกที่นโยบายการเงินต่อไป ทั้งที่ปัญหาการเงินเป็นปัญหาปลายเหตุ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติผู้ซึ่งมีผลงานสำคัญในเรื่องการฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อแบงก์ชาติในยุคหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง แสดงทรรศนะไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือมีความกังวลต่อวินัยทางการคลังของรัฐบาล และมองว่านโยบายการคลังในเวลานี้ไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะดำเนิน คุณวิรไท สันติประภพ พูดถึงประเด็นที่มองว่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นระเบิดเวลา รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้เกินจำเป็น อย่างสินเชื่อเงินทอน ที่ให้วงเงินสูงเกินกว่าความจำเป็นในการขอสินเชื่อ เป็นต้น
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1024
Finance
การที่ User 692 ล้านคน ของ Meituan แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ user 1 คน อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะเหตุใด
null
การที่ User 692 ล้านคน ของ Meituan แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ user 1 คน อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะแม้จำนวน user ไม่โตแต่ Meituan สามารถทำให้ user เดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในแอป แม้ Meituan จะโดนผลกระทบจากรัฐบาลเหมือนกัน แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ Group-buying เพราะทั้ง Alibaba, Pinduoduo, DiDi เจอการคุมเข้มกว่ามาก อย่างในเคส DiDi โดนไปถึงให้ออกตลาดหุ้น แม้มาช้ากว่าใครแต่การเติบโต e-commerce ของ Meituan จัดว่าเร็วทีเดียว จากต้นปีที่ 2021 ที่รัฐบาลเริ่มทุบหุ้นเทคแต่ Meituan ยังโตได้ถึง 50% YoY ในส่วนธุรกิจ New initiatives ทางด้านแนวทางค่อนข้างคล้ายกับ Pinduoduo ในการให้ user รวมกลุ่มซื้อเพื่อกดราคาสินค้าให้ถูกลง โดย Meituan จะเน้นไปที่การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรง ตัดพ่อค้าคนกลางออกเพื่อลดต้นทุนนั่นเอง แต่ต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลเข้มงวดเรื่องการขยายธุรกิจเทคขาดทุนไปก่อน ซึ่งตัว Meituan ก็หนีไม่พ้นต้องลดการขายขาดทุนเพื่อเพิ่ม user และลดงบการตลาด ทำให้เริ่มกระทบการเติบโต ตัวธุรกิจต้องจับตาว่าหลังลดเผาเงินแล้ว e-commerce จะยังโตต่อได้ไหม ถ้าได้จะเป็นสัญญานบวกเพราะ Meituan ได้ user ใหม่เข้ามาเยอะมาก สามารถเข้ามาใช้บริการอื่นจากแอปได้อีก กลับกันถ้าลดเผาเงินแล้ว e-commerce ยอดตกแรงก็เป็นสัญญานลบ แสดงว่ายอดโตเพราะการลด แลก แจก แถม ไม่ได้ยั่งยืนในระยะยาว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1025
Finance
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ควรจะยุติการทำ QE และเริ่มทำ QT เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือไม่?
null
ไม่ เพราะถึงแม้ว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันจะอยู่ในระดับสูง แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้ออาจเริ่มชะลอตัวลง ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 8.5% ซึ่งแม้จะสูง แต่ก็ลดลงจาก 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2566 การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 ในส่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น negatively ด้านเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ การระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง สำหรับนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันของนโยบายการเงิน ส่วนผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ negatively ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม: Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด Fed ควรประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ Fed ควรสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน สรุป: การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ และสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1026
Finance
เหรียญ USDT ของ Tether คืออะไร
null
เหรียญ USDT เป็นเหรียญ Stablecoin ที่สร้างขึ้นโดย Tether และมีการตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราส่วน 1:1 กล่าวคือ 1 USDT มีมูลค่าเท่ากับ 1 USD ซึ่งได้รับการสำรองอย่างเต็มจำนวนจากเงินสำรองของ Tether นอกจากเหรียญ USDT ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว Tether ยังได้ออกเหรียญ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินอื่น ๆ อีกด้วย ได้แก่ EURT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินยูโร, CNHT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินหยวน, MXNT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินเปโซเม็กซิโก โดยในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ Tether มีการรองรับบนหลาย Blockchain ด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น Ethereum Blockchain, Polygon Blockchain, Solana Blockchain, Avalanche Blockchain เป็นต้น ด้วยความที่เหรียญ Stablecoin แต่ละเหรียญของ Tether มีความเชื่อมโยงกับเงินสำรองโดยตรง Tether จึงได้มีการให้บริษัทตรวจสอบบัญชี Moore Cayman เข้ามาตรวจสอบในทุก ๆ ไตรมาส และจะมีการประกาศรายงานการสำรองดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ Tether เพื่อทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจในเรื่องความโปร่งใสและมีการสำรองอย่างครบถ้วน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1028
Finance
การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะเหตุใด ระหว่าง แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน หรือ ให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ
null
แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะแต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน เช่น ช่วงกลางปี 2564 สหรัฐและยุโรปเปิดประเทศ แต่หลายประเทศในเอเชีย รวม ไทย ประกาศล็อกดาวน์ Demand จึงยิ่งฉีกห่างออกจาก Supply เงินเฟ้อมันถึงได้เร่งตัว ความจริงเงินเฟ้อมาตั้งแต่ต้นปี 2564 แล้ว เห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะพวกโลหะมีค่ามันพุ่งกระฉูดทะลุเพดานกันเป็นว่าเล่น และความที่เงินมันสะพัดมาก (จากการอัดเงินของ Fed) บรรดาพวกสินทรัพย์เสี่ยง ถึงได้ขึ้นกันเป็นสิบ ๆ เท่า ดังนั้นปัญหาเงินเฟ้อรอบนี้ ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ด้วยว่า ไม่ใช่เพราะเรื่อง supply bottleneck เหมือนอย่างที่ Fed หรือใครๆ บอกออกมา แต่มันเป็นเพราะตัว Fed ล้วน ๆ ส่วนการให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ เป็นเป้าหมายใหญ่ของการทำ QE Fed แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าจะทำให้โลกวุ่นวายขนาดไหน โอกาสที่ Fed ขึ้นดอก ทำ QT เพื่อการเพิ่มกระสุนให้ตัวเอง และเตรียมกลับมาทำ QE ในอนาคต กลไกนี้มันเกิดขึ้นแน่ ๆ อยู่แล้ว หากเศรษฐกิจมันตกต่ำมาก ๆ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของเงินเฟ้อต่ำด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ในตอนที่ Stagflation มันชัดเจนซะขนาดนี้ ภารกิจหลักจึงต้องจัดการเงินเฟ้อ ไม่ใช่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1044
Finance
จงตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในกองทุน LHPROPIA
null
กองทุน LHPROPIA หรือกองทุนเปิด แอล เอช พร็อพเพอร์ตี้ อินฟรา เฟล็กซิเบิล A เป็นกองทุนรวมประเภท Mixed fund มีนโยบายการลงทุนคือ - ลงทุนในหลักทรัพย์/ตราสารในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ - กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน - ทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ จะลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ประเทศอื่นในเอเชีย และประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจะเน้นไปที่ประเทศสิงคโปร์และประเทศไทยเป็นหลัก ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในกองทุน LHPROPIA - CPN REIT – Retail REITs ไทยที่จะสามารถดัน Performance ของ REITs ให้พุ่งขึ้นได้ โดยทางกองให้น้ำหนักในการลงทุนมากที่สุดคือ CPN REIT ซึ่งกระจายการลงทุนทั้งในส่วนของตัวห้างสรรพสินค้า 85% ออฟฟิศ 10% และโรงแรม 5% การเติบโตที่จะกลับมาในปี 2022 คือ Traffic Recovery (จำนวนผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้า) ที่อยู่ในระดับ 80% อันเป็นตัวกระตุ้นที่จะทำให้ตัวผลตอบแทนของ CPN REIT อาจปรับสูงได้มากกว่า 6% ในปี 2022 ซึ่งกลุ่ม Retail REITs เป็นกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นทุนเดิม - DIF – กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม มีการกระจายการลงทุนทั้งในส่วนของเสาโทรคมนาคม และ Fiber Optic ซึ่งเป็นธุรกิจอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ และมีความเกี่ยวพันกับเงินเฟ้อ ซึ่งสามารถปรับเพิ่มค่าเช่าขึ้นได้ กองทุน DIF ได้รับความสนใจจากต่างประเทศ เนื่องจากมี Market cap อยู่ที่หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาทไทย และมี Dividend Yield ประมาณ 8% นอกจากนี้ DIF ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนสถาบัน และมีสัดส่วนการลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติของการเป็นหุ้นที่ดี ทั้งรายได้จากค่าเช่าที่สม่ำเสมอ มีอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง และมีสภาพคล่องสูงมาก
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1049
Finance
SEA Group มีงบใน Q1/22 เท่าไหร่บ้าง
null
SEA Group ประกอบธุรกิจหลัก ๆ ด้วยกัน 3 อย่าง 1. Digital Entertainment ภายใต้ Garena ที่มีเกมดัง ๆ อย่าง PUBG, League of Legends, ROV และ Free Fire โดยหารายได้จากการขายไอเทมให้กับผู้เล่นเกม ซึ่งคิดเป็นประมาณ 41% ของรายได้ทั้งหมด 2. E-commerce ภายใต้ Shopee แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำที่เป็นที่รู้จักกันดีในภูมิภาคอาเซียน ขยายไปไกลถึง Latin America โดยมีรายได้มาจากการขายสินค้าด้วยตัวเองผ่าน Official Store เช่น Shopee Mall รวมถึงค่าธรรมเนียมที่คิดกับร้านค้าภายนอก และค่าโฆษณาในแพลตฟอร์ม 3. Digital Financial Services ภายใต้ seaMoney ที่มีทั้ง AirPay, ShopeePay, และ SPayLater เกาะกระแส BNPL ด้วยตัวเอง ไม่ต้องง้อการพาร์ทเนอร์กับคนนอก ราคาหุ้น SE ร่วงจากจุดสูงสุดราว ๆ 78% แล้ว จากความกังวลเรื่องการเปิดเมือง จะส่งผลต่อธุรกิจหลักของ SEA อย่าง Garena และ Shopee เพราะ SEA ยังเป็นหุ้นที่ขาดทุนอยู่มาก เพื่อแลกกับการเติบโตของธุรกิจอย่างก้าวกระโดด รวมถึงข่าวร้ายที่โดน India แบนทั้งที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย และ Tencent ยักษ์ใหญ่แดนมังกรขายหุ้นไปกว่า แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยังขยายบริการเพิ่มใน 5 ประเทศคือ บราซิล โปแลนด์ เม็กซิโก กัมพูชา และชิลี ในปี 2021 งบ Q1/22 - รายได้รวม $2.9 Billion + 64% YoY มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 2.86 Billion - Gross Profit 1.2 Billion +81.3% YoY - รายได้จาก E-commerce 1.5 Billion +64% YoY - รายได้จาก Digital Entertainment 1.1 Billion +45% YoY - รายได้จาก Digital Financial Services 236 Million +360% YoY - ขาดทุนต่อหุ้น -$0.8 น้อยกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ -$1.4 ในงบหากมองแบบ YoY จะไม่เห็นผลกระทบชัดเจน แต่ถ้าหากมองแบบ QoQ จะเห็นการชะลอตัวในบริการต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1051
Finance
สิ่งใดของอุตสาหกรรมชิปที่เป็นตัวทายตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้ดีมาก ๆ ระหว่าง การขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิป หรือ นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล
null
การขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิป ชิปนั้นใช้ในเกือบทุกอย่างของสินค้าเทคโนโลยี เหล่าสินค้ารอบตัวนั้นมีชิปอยู่ภายใน ทั้ง มือถือ, คอม, รถยนต์ หรือการใช้บริการ Facebook, Instagram, Netflix ล้วนมีการทำงานผ่าน server ที่ต้องการชิปเช่นกัน สรุปได้ว่าการขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิปเป็นตัวทายตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้ดีมาก ๆ และถ้าศึกษาลงไปอีก จะเห็นว่า supply chain ของอุตสาหกรรมนี้ใหญ่มาก ๆ เกี่ยวข้องกับหุ้นใหญ่หลายตัว และทั้งหมดใช้ supplier เจ้าเดียวกัน หรือมีคอขวดที่เดียวกัน 4 บริษัทเครื่องจักรผลิตชิปของโลก ASML, AMAT, Lam Research, Tokyo Electron รวมกัน 80% แม้รายได้จะสูงเมื่อเทียบอดีต แต่การเติบโตเทียบช่วงเดียวกันของปี 2021 %YoY เหลือเพียง 5% ก็คือแทบจะไม่โตแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นจากทั้งกำลังการผลิตเต็ม และเรื่องกำลังซื้อผู้บริโภคที่หายไปจากเงินเฟ้อ ส่วนนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล เป็นปัจจัยที่ขึ้นกับการที่ตลาดจะกลับมาดีขึ้น ปกติแล้วกว่าที่ตลาดจะกลับมา ได้ต้องใช้เวลาราว 6 – 12 เดือน หรือนานกว่า ขึ้นกับนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1052
Finance
จงบอกเหตุผลที่ SET แข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน ในปี 2022
null
เหตุผลที่ SET แข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน 1. ตัวเลขการส่งออก และ ภาคท่องเที่ยว ในปี 2022 ประมาณการไม่ได้รับการทบทวนในเชิงลบจากสภาพัฒน์ รวมถึง การบริโภคภาคเอกชน (Core ของ เศรษฐกิจไทย) ประมาณการลดลงเพียงเล็กน้อย 2. ประเทศไทย น่าจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่น่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 ทว่าสำรองเงินตราระหว่างประเทศ หรือ Forex Reserve และนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนจะช่วยประคองเงินบาทไปในระหว่างนี้ 3. การเมืองไทย ดูแล้วไม่เป็นลบ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน 4. ตลาดหุ้นไทยชอบนโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทย อาทิ ภาษีน้ำมันดีเซล และ นโยบายเงินชราภาพของประกันสังคม 5. นโยบายเปิดเมืองจากโควิดจากประเทศต่าง ๆ ไทยได้รับอานิสงก์เชิงบวกมากสุดในอาเซียน เนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยต่อจีดีพีเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1059
Finance
ในการลงทุนพอร์ต 1st Million ของ FINNOMENA จะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำเท่าไหร่
null
“เงินล้าน” คือ เป้าหมายในฝันของใครหลาย ๆ คน ถือเป็นหมุดหมายแห่งความมั่งคั่งที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างสรรค์สิ่งอื่น ๆ ได้ แต่เวลาพูดถึงเงินล้าน ใครหลายคนก็อาจจะรู้สึกว่าช่างเกินเอื้อมเหลือเกิน โดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อย หรือยังมีเงินไม่มาก แต่จริง ๆ แล้ว เงินล้านสร้างได้ เพียงแค่เริ่มต้นรู้จักออมเงินและลงทุน ทาง FINNOMENA เลยสร้างพอร์ต 1st Million ขึ้นมาตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ ถ้าลงทุนในพอร์ตนี้ จะมีเงินล้านภายในกี่ปี ในการลงทุนพอร์ต 1st Million จะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำ 5,000 บาท และลงทุนต่อเดือนอย่างต่ำ 2,500 บาท จะเห็นได้ว่าถ้าลงทุนขั้นต่ำนี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการเพิ่มเงิน จะใช้เวลา 16 ปีกว่าจะได้เงินล้านแรก แม้จะเห็นฝั่งฝันแต่ฟังดูแล้วยาวนาน แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการเพิ่มเงินลงทุน ซึ่งยิ่งลงทุนเยอะเท่าไร โอกาสที่จะถึงล้านแรกโดยเร็วก็มีมากขึ้นเท่านั้น การเพิ่มเงินลงทุนระหว่างทางเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็ช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าควรตรวจสอบสถานะการเงินตัวเองก่อน ว่าสะดวกลงทุนด้วยเงินเท่าไร เอาแบบที่ไม่ลำบากตัวเองจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตคงไม่มีความสุขแน่ ๆ อีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ เรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง ต้องเข้าใจว่าการลงทุนนั้นมีขึ้นมีลง บางปีอาจจะติดลบ บางปีอาจจะได้กำไร เพราะฉะนั้นหากลงทุนระยะสั้น ความเสี่ยงที่จะเจอความผันผวนก็จะเยอะกว่าลงทุนระยะยาว ในระยะยาวนั้นความผันผวนกับผลตอบแทนก็จะถูกเฉลี่ย ๆ กันไป ไม่เหวี่ยงเท่ากรอบเวลาสั้น คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง เงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจาก ผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการจำลองเงินลงทุนในอนาคตเป็นเพียงผลลัพธ์จากการคำนวณเชิงปริมาณ โดยมีพื้นฐานจากผลตอบแทนในอดีต และเป็นเพียงเครื่องมือ ศึกษาช่วยประกอบการตัดสินใจแก่นักลงทุน มิใช่สิ่งยืนยันผลตอบแทนในอนาคต ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1062
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19
null
การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19 แค่การเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นคงไม่พอ เพราะตลาดสินค้าแบรนด์เนมเติบโตสูงมากหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤตแบบนี้ก็ตาม จากการแพร่ระบาดของโรคในช่วงแรกๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมได้หยุดชะงักลงไปแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่การเปลี่ยนผ่านช่องทางการขายหลักมาเป็นช่องทางออนไลน์แทนนั้น ทำให้ในปี 2019 มูลค่าของตลาดสินค้าแบรนด์เนมสูงขึ้นมากกว่า 10 ล้านล้านบาท ยาวไปจนถึงปี 2021 จนทำให้หลายๆ บริษัท ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิที่เติบโตสูงขึ้นในช่วงเวลานั้นหลายแบรนด์เลยทีเดียว บทเรียนจากย่อหน้านี้ การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19 - “เมื่อซื้อหุ้น จะไม่เคยเห็นแม้แต่ใบหุ้น แต่เมื่อคซื้อนาฬิกาหรือเสื้อผ้าแบรนด์เนม ทุกคนจะมองเห็นสิ่งนี้ในทุกที่ที่สวมใส่มัน” - ตลาดสินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่แค่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังยิ่งเติบโตมากขึ้นระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์แม้กระทั่งในช่วงเวลาของวิกฤติโควิด-19 - ในช่วงที่เริ่มต้นวิกฤติโควิด-19 ใหม่ ๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมชะงักไปแต่ก็แค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะเมื่อปักหลักการขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมก็กลับมาเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 10 ล้านล้านบาทในปี 2019 - ต่อเนื่องจนถึงปี 2021 ที่ LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Dior, Tiffany & Co. และ Sephora ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิว่าเติบโตถึง 156% - ส่วนบริษัท Hermes ก็ได้ออกมาอวดว่าเป็น “ปีทองของ Birkin Bag” พร้อมโชว์ผลกำไรสุทธิเติบโต 77% - แม้แต่ JP Morgan ก็ยังคาดการณ์ว่ามูลค่าการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมจะยังเพิ่มขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านล้านบาท ในปี 2022 อีกด้วย
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1064
Finance
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 7 – 13 พ.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมบ้าง?
null
กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น 1. KT-ENERGY – กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.50% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +32.08% 2. ONE-ACTIVE6/2 – กองทุนเปิด วรรณ แอคทีฟ6/2 ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.48% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +30.14% 3. KT-OIL – กองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.24% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +33.49% หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) กองทุนยอดนิยม 1. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -13.32% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -43.00% 2. TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.16% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -22.50% 3. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.98% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -15.73%
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1065
Finance
ควรซื้ออะไรเข้าพอร์ต ถึงจะช่วยให้เงินได้ดิบได้ดีมากที่สุด ระหว่าง กำไร หรือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว
null
การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว เพราะเมื่อรู้แล้วว่าระยะยาวยังไงหุ้นก็ให้ผลตอบแทนได้ดี ควรยัดหุ้นแบบไหนเข้าพอร์ตถึงจะช่วยให้เงินได้ดิบได้ดีมากที่สุด คำตอบก็คือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้วและหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีการปรับฐานที่รุนแรงน้อยกว่า อีกทั้งยังฟื้นตัวได้ไวกว่า หุ้นในตลาดพัฒนาแล้วมีโอกาสในการฟื้นตัวในปีที่เกิดการปรับฐานได้ไวกว่า และมีการขาดทุนจากจุดสูงสุด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ที่น้อยกว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่ อีกทั้งยามฟื้นตัวยังบวกได้มากกว่าจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งในระยะยาวมาก ๆ ยังสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าอีกด้วย ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง NASDAQ 100 ยังมีความโดดเด่นมากที่สุดในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการปรับฐานที่มีความรุนแรงน้อยกว่าในทุกช่วงเวลาและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว ส่วนกำไร เป็นสาเหตุที่ราคาของดัชนีหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเติบโตได้ดี ซึ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ก้าวกระโดดและโดดเด่นอย่างแท้จริง ซึ่งถ้าถือยาว ๆ ก็อาจเป็นผู้ชนะได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามหากถอดใจไปก่อน อาจต้องเผชิญการขายหมู และอาจจะนึกได้ว่ารู้งี้ถือต่ออีกหน่อยดีกว่าก็เป็นได้
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1067
Finance
กองทุน SCBPGF ลงทุนในกองทุนหลักใด
null
กองทุน SCBPGF ลงทุนในกองทุนหลัก DWS Invest CROCI Sectors Plus ใน Share Class FCH (P) ไม่น้อยกว่า 80% โดยกองทุน SCBPGF จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยกระบวนการคัดเลือกหุ้นของ CROCI โดยจะคัดเลือก 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีค่าเฉลี่ยของ CROCI Economic P/E ต่ำที่สุด จาก 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้ได้พอร์ตหุ้นเน้นคุณค่าซึ่งไม่ค่อยเห้นกองทุนที่เน้นคุณค่าในตลาดหุ้นไทยสักเท่าไรนัก ความเห็นของเด็กการเงินต่อพอร์ตกองทุน SCBPGF - พอร์ตหุ้นมีแนวคิดที่ดี ผลงานย้อนหลังยอดเยี่ยม - ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับปานกลาง - จำนวนหุ้นทั้งหมด 30 ตัว มี Top 10 Holdings ไม่กระจุกตัว (<50% ของทั้งพอร์ต) - สัดส่วนที่แนะนำ 10-20% ของ Core Port ควบคู่กับสไตล์อื่นเช่น Growth - มีสัดส่วนการลงทุนที่ไม่เหมือนกับกองทุนหุ้นโลกโดยทั่วไป ใช้ในการกระจายความเสี่ยงได้ - ระยะเวลาการลงทุนที่แนะนำ 5 ปี ขึ้นไป คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสากรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1068
Finance
หุ้นนอกตลาดแตกรับมือยังไงดี?
null
เมื่อเข้าสู่สถานการณ์หุ้นต่างประเทศตลาดแตก สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงหากตัดสินใจลงทุนคือ ลงทุนในหุ้นประเภทที่มีการเติบโตอย่างแน่นอน หรือเป็นเป็น MEGA Trend ที่มีการเติบโต ต้องเป็นหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีนโยบายจากรัฐให้การสนับสนุน หากมองทางฝั่งอเมริกา รัฐบาลให้การสนับสนุนเรื่องของ R&D and Manufacturing, Electric Vehicles, Clean Energy tax credits โดยจะมุ่งไปที่ Electric Vehicles เป็นหลัก นอกจากนี้ กระแสของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรงตั้งแต่ช่วงปี 2021 อาจกล่าวได้ว่า เทรนด์ที่กำลังมาและมีแนวโน้มเติบโตคือ EV & AV (Electric Vehicle and autonomous vehicles) ประกอบกับอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านมาสู่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และพัฒนาเป็นระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหม่ของรถยนต์ที่จะได้เห็นกันในวงกว้าง หากบริษัทใดสามารถผลิตรถยนต์ตามคุณสมบัตินี้ได้ ก็จะมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในภาวะตลาดช่วงขาลง สิ่งที่นักลงทุนจะต้องตระหนักคือ ราคาหุ้นย่อมขึ้นลงเป็นวัฏจักร ถ้าหากมีเงินทุนสำรอง และเป็นหุ้นที่ดี เป็นกองทุนที่ดี ก็สามารถอดทนถือต่อไปได้ เพื่อรอจังหวะที่ราคาหุ้นจะขึ้น อีกครั้ง หากเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาด อาจจะต้องรอจังหวะให้ราคาหุ้นสูงขึ้น เพื่อให้ตลาดมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น ยกเว้นผู้ที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูงก็สามารถเข้าซื้อได้ ทั้งนี้ หากไม่เลือกลงทุนในตลาดหุ้น อาจจะมองในส่วนของ Alternative Investment ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกอย่างหลากหลาย หรืออาจลงทุนในหุ้นจำพวก Commodity หรือสินทรัพย์ที่เป็น MEGA trend ที่มีการเติบโต และได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐ ฯ อาจทำให้สามารถลงทุนต่อไปได้
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1069
Finance
The Sandbox มีโมเดลธุรกิจอย่างไร? อะไรคือกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ The Sandbox และมูลค่าของ SAND token?
null
โมเดลธุรกิจ: The Sandbox มีโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยระบบเศรษฐกิจเสมือนจริงภายในแพลตฟอร์ม โดยมีองค์ประกอบหลักดังนี้: การขายที่ดินเสมือน (LAND): ผู้เล่นสามารถซื้อที่ดินเสมือนในรูปแบบของ NFT บน Ethereum blockchain ที่ดินเหล่านี้สามารถใช้สร้างเกม ประสบการณ์ หรือพื้นที่สำหรับใช้งานอื่น ๆ การซื้อขาย NFT: ผู้เล่นสามารถสร้างและซื้อขาย NFT ภายใน Marketplace ของ The Sandbox NFT เหล่านี้สามารถเป็นตัวละคร ไอเท็ม อุปกรณ์ หรือสิ่งของอื่น ๆ ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: The Sandbox เก็บค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม เช่น การซื้อขาย NFT การเช่าที่ดิน และการใช้บริการอื่น ๆ การให้สิทธิ์การใช้งาน: The Sandbox เสนอการให้สิทธิ์การใช้งานแก่ผู้พัฒนาเกมและผู้สร้างเนื้อหาอื่น ๆ เพื่อเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการสร้างประสบการณ์บนแพลตฟอร์ม กลไกขับเคลื่อนการเติบโต: การขยายฐานผู้ใช้: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดผู้ใช้ใหม่ ๆ เข้าสู่แพลตฟอร์มผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การจับมือกับพันธมิตร การออกแคมเปญการตลาด และการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ existing ผ่านการจัดกิจกรรม การอัปเดตเนื้อหาใหม่ และการสร้างระบบเศรษฐกิจเสมือนที่ยั่งยืน การขยายระบบนิเวศ: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การขยายระบบนิเวศของแพลตฟอร์มโดยดึงดูดนักพัฒนาเกม ผู้สร้างเนื้อหา และพันธมิตรใหม่ ๆ มูลค่าของ SAND token: การใช้ SAND token: SAND token ถูกใช้สำหรับ various purposes บนแพลตฟอร์ม The Sandbox เช่น การซื้อที่ดิน NFT การจ่ายค่าธรรมเนียม และการเข้าร่วมใน governance ของแพลตฟอร์ม ความต้องการ SAND token: ความต้องการ SAND token ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้ การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และการขยายระบบนิเวศของ The Sandbox การเก็งกำไร: SAND token ยังถูกใช้สำหรับการเก็งกำไร โดยนักลงทุนคาดหวังว่ามูลค่าของ token จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ข้อเสี่ยง: การแข่งขัน: The Sandbox เผชิญกับการแข่งขันจากแพลตฟอร์ม Metaverse อื่น ๆ กฎระเบียบ: กฎระเบียบด้าน cryptocurrency อาจส่งผลกระทบต่อ The Sandbox การพึ่งพา Ethereum: The Sandbox พึ่งพา Ethereum blockchain ซึ่งอาจประสบปัญหา scalability และความปลอดภัย สรุป: The Sandbox เป็นแพลตฟอร์ม Metaverse ที่มีโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยระบบเศรษฐกิจเสมือนจริง การเติบโตของแพลตฟอร์มขึ้นอยู่กับการขยายฐานผู้ใช้ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และการขยายระบบนิเวศ มูลค่าของ SAND token ขึ้นอยู่กับการใช้ token บนแพลตฟอร์ม ความต้องการ token และการเก็งกำไร อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การแข่งขัน กฎระเบียบ และการพึ่งพา Ethereum
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1070
Finance
มีการแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธีม Megatrends 3 กลุ่ม ได้แก่ เทคโนโลยีแห่งอนาคต นวัตกรรมการแพทย์ และจีน แต่ไม่ได้พูดถึงความเสี่ยงของกองทุนเหล่านี้ นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงอะไรบ้าง
null
1. ความเสี่ยงด้านราคา: กองทุน Megatrends ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง แต่หุ้นเหล่านี้มักมีราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 2. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: บางกองทุน Megatrends ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งอาจมีสภาพคล่องต่ำ 3. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: กองทุน Megatrends มักลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย 4. ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: เทคโนโลยีมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา กองทุน Megatrends ลงทุนในธุรกิจที่อาจถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ 5. ความเสี่ยงด้านความผันผวน: กองทุน Megatrends มักมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรมี Risk Tolerance ที่สูง 6. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: รัฐบาลแต่ละประเทศมีกฎระเบียบที่แตกต่างกัน กองทุน Megatrends ลงทุนในธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบ 7. ความเสี่ยงด้านความสามารถของผู้จัดการกองทุน: ผลการดำเนินงานของกองทุน Megatrends ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุน 8. ความเสี่ยงด้านค่าธรรมเนียม: กองทุน Megatrends มักมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด คำแนะนำ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน Megatrends อย่างละเอียด พิจารณาความเสี่ยงทั้งหมดก่อนตัดสินใจลงทุน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนที่แตกต่างกัน ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน นอกจากนี้นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจในธีม Megatrends ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง สรุป: กองทุน Megatrends มีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1076
Finance
สิ่งแรกที่ต้องรู้จักจาก Subprime Crisis คืออะไร
null
สิ่งแรกที่ต้องรู้จักจาก Subprime Crisis คือ MBS (Mortgage-Backed Security: หลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกัน) โดยกลไกของมันคือ สถาบันการเงินจะนำเงินไปปล่อยกู้ (ในกรณีนี้คือให้กู้ซื้อบ้าน) จากนั้นนำก้อนหนี้มามัดรวมกันเแล้วตั้งเป็น MBS ขึ้นมา ซึ่งเจ้า MBS นี้สามารถนำไปขายต่อให้นักลงทุนที่สนใจ รับผลตอบแทนจากการปล่อยกู้และรับความเสี่ยงแทนสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินจะได้นำเงินก้อนกลับมาจากการขาย MBS และมาปล่อยกู้ต่อ การลงทุนดังกล่าวจะมีสินทรัพย์จากลูกหนี้เป็นหลักประกัน และหนี้บ้านถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ทำให้นักลงทุนตอนนั้นมองกันว่ามีความปลอดภัย (ถ้าลูกหนี้ไม่เบี้ยวหนี้ ทิ้งบ้านหรือบ้านราคาลดลงอย่างรุนแรง) โดยทั่วไปแล้ว MBS จะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าธนบัตรรัฐบาลเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า และอัตราผลตอบแทนจะมากขึ้นตามเครดิตของผู้มากู้ ยิ่งเครดิตแย่ ยิ่งผลตอบแทนสูง (ความเสี่ยงโดนเบี้ยวหนี้สูงกว่า) ถ้าเปรียบ MBS เหมือนหุ้นรายตัวในตลาดหุ้น CDO (A collateralized debt obligation) ก็เหมือนกองทุนนั้นเอง เพียงแต่เป็นกองทุนที่ขายให้สถาบันการเงิน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะเกิดวิกฤตคือมีการสอดไส้ MBS ที่ขายไม่ออก หรือเกรดต่ำ ไว้ในกอง CDO ด้วย พบว่า CDO บางตัวที่ได้รับความประเมินว่ามีความมั่นคงมากระดับ AAA จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง Fitch, Moody’s หรือ S&P แต่ CDO เหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยสินเชื่อที่ปล่อยให้ผู้มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่าครึ่ง หลังสถาบันการเงิน ซื้อ CDO ไป MBS ที่ขายไม่ออก ก็จะมีเงินไหลเข้ามา และขายออกตามไปด้วย ในเมื่อ MBS และ CDO ถูกสร้างมาเพื่อสถาบันการเงิน แต่ว่ามีคนอื่น ๆ อยากเข้าถึงเครื่องมือนี้เหมือนกัน synthethic CDO จึงเกิดขึ้น synthethic นั้นหมายความว่า มันไม่ใช่ของจริง แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์เดียวกัน ทำให้ผู้ซื้อ-ขาย รายย่อยสามารถได้กำไรจากการส่วนต่างราคา ถ้าเครื่องมือ MBS และ CDO เหมือนหวย Synthetic CDO ก็ไม่ต่างจากหวยใต้ดินที่คนไปแทงขึ้น-ลงกันนอกกระดาน เพียงแต่มันบ้ากว่านั้นมาก
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1081
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ มุมมองต่อหุ้น Alibaba
null
มุมมองต่อหุ้น Alibaba ถ้าให้มองสถานการณ์กำไรของบริษัท เรียกได้ว่ารายได้ของบริษัทนั้นต่ำกว่าการคาดการณ์ค่อนข้างมาก เหตุผลเนื่องจากแรงกดดันที่เกิดจากการค่าปรับด้านการผูกขาด ด้านมุมมองต่อหุ้นในระยะสั้นนั้น นอกจากแรงกดดันแล้วยังได้รับแรงกดดันจาก Covid-19 ที่กลับมาระบาดในประเทศจีน ทำให้เกิดการอ่อนตัวลงด้านการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตของยอดขายสินค้ารวมและรายได้ของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ สงครามยูเครน รัสเซียก็ส่งผลกระทบด้านการขนส่ง อุปสงค์อ่อนตัวทำให้การเติบโตของธุรกิจ Cloud ช้าลง ในส่วนของมุมมองต่อหุ้นในระยะยาว ก็ต้องรอความชัดเจนจากการลงทุนด้านการบริหารต้นทุน ว่าจะมีนัยยะสำคัญต่อทางพื้นฐานธุรกิจหรือไม่ ถ้ามี คำตอบที่ได้ก็คือ กำไรอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ มุมมองต่อหุ้น Alibaba สถานการณ์กำไรบริษัท ระยะหลังรายได้บริษัทต่ำกว่าการคาดการณ์ไปค่อนข้างมากเนื่องจากมีแรงกดดันจากการค่าปรับด้านการผูกขาด ระยะสั้น - ยังได้รับแรงกดดันจาก Covid-19 ที่กลับมาระบาดอีกรอบในประเทศจีน ซึ่งทำให้การบริโภคภายในประเทศเริ่มอ่อนตัวลง และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของยอดขายสินค้ารวม หรือ GMV (Gross Merchandise Value) และรายได้ในส่วนของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า CMR (Customer Management Revenue) - สงครามยูเครน รัสเซียยังส่งผลกระทบกต่อธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับด้านการขนส่ง (Logistic) เป็นหลัก - ธุรกิจ Cloud เริ่มเติบโตช้าลงจากอุปสงค์ (Demand) ที่เริ่มอ่อนตัว - มีโอกาสถูกหั่นประมาณการเพิ่มเติม ระยะยาว ยังต้องรอความชัดเจนจากการลงทุนด้านการบริหารต้นทุน (Cost Optimization) ว่าจะมีนัยยะสำคัญต่อทางพื้นฐานธุรกิจหรือไม่ เพราะอาจช่วยให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1090
Finance
ปัจจัยที่นักขุด Bitcoin ต้องคำนึงถึงปัจจัยใดเป็นสำคัญสำหรับการขุด Bitcoin ระหว่าง เครื่องขุด, ค่าไฟฟ้า หรือ โครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย
null
ค่าไฟฟ้า เพราะในการขุด Bitcoin จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น ค่าไฟฟ้าจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการขุด Bitcoin นักขุด Bitcoin มืออาชีพส่วนใหญ่มักจะตั้งเหมืองขุดในประเทศที่มีค่าไฟฟ้าต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่ำ เพื่อลดต้นทุนในส่วนนี้ โดยต้องต่ำกว่า $0.06 ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง จึงจะสามารถทำกำไรจากการขุด Bitcoin ได้แม้ว่าจะอยู่ในภาวะตลาดหมี ส่วนเครื่องขุด นักขุดต้องทำการซื้อเครื่องขุด Bitcoin โดยเฉพาะ หรือที่เรียกกันว่า ASIC แม้ว่าจะสามารถขุด Bitcoin ได้ด้วย CPU ทั่วไปที่ใช้ GPU หรือ FPGA แต่การขุดจะทำได้อย่างช้า ๆ ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าไฟโดยเปล่าประโยชน์ เพราะมีคู่แข่งจำนวนไม่น้อยที่ใช้เครื่องขุด Bitcoin สเปคเทพ มาลงสนามขุด Bitcoin ไปพร้อมกับตนเอง และสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย ความเร็วของเครือข่ายไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนกับกระบวนการขุด Bitcoin อย่างไรก็ตาม นักขุดต้องแน่ใจว่าอินเทอร์เน็ตของตนเองมีการเชื่อมต่อที่เสถียรพร้อมรับการใช้งานของโปรแกรมขุด Bitcoin ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะหากการเชื่อมต่อของอินเทอร์เน็ตถูกตัดไป กระบวนการขุดอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อผิดพลาดหลังจากอินเทอร์เน็ตกลับมาเชื่อมต่อได้อีกครั้ง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1091
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ "โอกาสในการเติบโตของตลาด Private Markets"
null
ตลาด Private Markets จะมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการลงทุนในตลาดนี้จะทำให้มีโอกาสลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย จึงทำให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุน หากตลาดอยู่ในภาวะการณ์เงินเฟ้อ และมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนอาจมี exposure ไปลงทุนที่ Private Debt ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากอัตราส่วนต่างของดอกเบี้ย แม้แต่อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน ก็เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างโอกาสรับรายได้อย่างสม่ำเสมอในยุคที่เงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ Private Markets คือ การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนและไม่ได้มีการซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น จึงมีกลุ่มผู้ลงทุนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่มีโอกาสเข้าถึง Private Markets ได้ การลงทุนในตลาด Private Markets มีข้อจำกัดในเรื่องของ Login Period หรือการกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขาย ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ นอกจากนี้ การลงทุนใน Private Markets มักใช้เงินลงทุนในปริมาณสูง และการเสนอขายจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน หรือกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (Ultra-High Net Worth) โอกาสในการเติบโตของตลาด Private Markets - Private Markets มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง - การลงทุนใน Private Markets ทำให้มีโอกาสลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และทรัพยากรธรรมชาติ ที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ - เมื่อสินทรัพย์มีความหลากหลาย จึงมีความยืดหยุ่นในการลงทุน หากตลาดอยู่ในภาวะการณ์เงินเฟ้อ และมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนอาจมี exposure ไปลงทุนที่ Private Debt ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากอัตราส่วนต่างของดอกเบี้ย หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ (Real estate) และ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ก็เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างโอกาสรับรายได้อย่างสม่ำเสมอในยุคที่เงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้น
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1102
Finance
แนะนำวิธีเล่นคริปโตฯ ยังไงให้ปัง สำหรับมือใหม่เลยมือเก๋าให้หน่อย
null
1. ศึกษา White Paper ก่อนลงทุนเสมอ ถ้าเป็นหุ้นก็ต้องศึกษางบการเงินของบริษัทก่อนลงทุน ถ้าเป็นกองทุนก็ต้องศึกษาหนังสือชี้ชวนก่อนลงทุน แต่หากเป็นคริปโตฯ เราต้องศึกษาสิ่งที่เรียกว่า “White Paper” ก่อนลงทุนในเหรียญใด ๆ เสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะ White Paper เป็นเอกสารที่ผู้สร้างเหรียญระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับเหรียญทั้งหมด ใช้ช่วยประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกลงทุนในเหรียญนั้น โดยเราควรศึกษาก่อนลงทุนเสมอว่าเหรียญที่เราสนใจลงทุนกำลังทำโปรเจกต์อะไรอยู่ มีความเป็นไปได้ในอนาคตมากน้อยแค่ไหน ฟังก์ชันและโครงสร้างพื้นฐานของเหรียญเป็นอย่างไร มีกลไกอะไรที่ควบคุมอุปทาน (Supply) ของเหรียญอยู่ อุปทานของเหรียญมีอย่างจำกัดหรือไม่ ชื่อเสียงของเหรียญเป็นไปในทางบวกหรือลบ เพราะปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อราคาเหรียญทั้งสิ้น 2. ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง ไม่ใช่แค่เพียงการลงทุนในคริปโตฯ ก่อนลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การศึกษารายละเอียดคือการ “ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง” ใครที่ตามข่าวคริปโตฯ อยู่ก็คงจะทราบกันดีว่า ตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูงมาก ราคาเคลื่อนไหวเร็ว ขึ้นแรงลงแรง แถมยังเปิดซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดเหมือนตลาดหุ้น ลองประเมินความเสี่ยงดูว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด หากรับความเสี่ยงไม่ได้มากแต่ยังอยากลงทุนในคริปโตฯ อยู่ ลองศึกษาวิธีลงทุนอื่น ๆ นอกเหนือจากการเทรดดู เลือกวิธีที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้มากที่สุด เราจะได้ลงทุนอย่างมีความสุขในโลกคริปโตฯ ไปแบบได้ยาว ๆ 3. เลือกวิธีการลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง สืบเนื่องจากข้อ 2 การลงทุนในคริปโตฯ ไม่ได้มีแค่การเทรดอย่างเดียว ลองหาวิธีลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ในบทความนี้เราจึงรวบรวมวิธีการลงทุนในคริปโตฯ ที่หลากหลายมาฝากกัน การลงทุนระยะยาว (Hodl) – สำหรับนักลงทุนระยะยาวในวงการคริปโตฯ จะเรียกนักลงทุนสายนี้ว่า “Hodl” ย่อมาจาก “Hold on for dear life” ความหมายคือ ถือเหรียญคริปโตฯ ไปแบบยาว ๆ โดยอาจจะถือเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่ขาย ไม่ว่าราคาตลาดจะเป็นเช่นไร จะผันผวนสักแค่ไหน ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนสายนี้ต้องคำนึงคือโครงสร้างพื้นฐานของเหรียญที่เราจะเข้าไปซื้อถือว่ามีโอกาสที่จะเติบโตมากน้อยเพียงใด มีศักยภาพเติบโตได้ในระยะยาวหรือไม่ การเทรด (Trading) – เป็นการทำกำไรในคริปโตฯ โดยใช้โอกาสระยะสั้นจากความผันผวนของราคาคริปโตฯ อย่างทราบกันว่าคริปโตฯ ราคาเคลื่อนไหวค่อนข้างไว จึงมีนักเก็งกำไรไม่น้อยที่เข้ามาหาโอกาสทำกำไรจากตลาดคริปโตฯ ซึ่งกลยุทธ์การเทรดก็มีหลากหลายทั้งแบบ Scalping, Day Trade และ Swing Trade อย่างไรก็ตาม การที่จะเป็นสายเทรดเดอร์ได้เราต้องมีทักษะการวิเคราะห์และเทคนิคต่าง ๆ ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จและคาดการณ์ราคาเหรียญได้อย่างแม่นยำ Staking – เป็นการนำเหรียญไปฝากไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่รองรับการ Stake และล็อกมันไว้ เหรียญที่เราฝากไว้จะถูกนำไปใช้ในกระบวนการความถูกต้องของธุรกรรมบนบล็อกเชนแบบ Proof of Stake (PoS) โดยผลตอบแทนจากการ Stake จะอยู่ในรูปแบบของดอกเบี้ย ซึ่งอัตราก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม การ Stake มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาการปลดล็อกอยู่ ซึ่งอาจทำให้เราไม่สามารถถอนเหรียญที่เราฝากไว้ได้ทันที Yield Farming – หรือที่เรียกกันติดปากว่าการ “ฟาร์ม” เป็นอีกหนึ่งวิธีการหารายได้จากคริปโตฯ ด้วยการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากไว้ใน Liquidity Pool ของแพลตฟอร์ม Decentralized Finance (DeFi) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มนั้น ๆ โดยผลตอบแทนที่จะได้รับจากการฟาร์มจะอยู่ในรูปแบบของค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย รวมถึงโทเคน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ควรศึกษาก่อนว่าแต่ละแพลตฟอร์มเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งแพลตฟอร์ม DeFi ที่ได้รับความนิยมก็เช่น Uniswap, Sushiswap และ AAVE เป็นต้น 4. จัดพอร์ตการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” เป็นประโยคที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวมาในโลกการลงทุนต้องเคยได้ยินกันแน่ ๆ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ประโยคนี้สำหรับโลกการลงทุนหมายถึง “การกระจายความเสี่ยง” นั่นเอง ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม เราจะต้องทำการจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือการทำ “Asset Allocation” ใครที่ได้ยินคำนี้บ่อยแล้วก็อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อน เพราะอนาคตเราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จะส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่เราลงทุนมากหน่อยเพียงใด ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในโลกการลงทุน แม้ว่าจะประเมินความเสี่ยงแล้วรับความเสี่ยงได้มาก แต่การกระจายความเสี่ยงก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว 5. เลือกกระดานเทรดให้ตอบโจทย์ ปัจจุบันมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนในประเทศไทยมากมาย แต่ละเจ้าก็งัดจุดแข็งมาพิชิตใจลูกค้ากันแบบสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีที่สุดแสนจะง่ายดายผ่านทางออนไลน์ ค่าธรรมเนียมการเทรดที่ต่ำ ฯลฯ ลองเปรียบเทียบแพลตฟอร์มแต่ละเจ้าดูว่ามีเหรียญที่เราอยากลงทุนเปิดให้ซื้อขายหรือไม่ แอปพลิเคชันซื้อขายสะดวกต่อการใช้งานไหม มีฟังก์ชันครบตามที่เราต้องการรึเปล่า ฝากเงินถอนเงินสะดวกไหม และต้องการมีอัปเดตข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคริปโตฯ ให้ลูกค้าทราบเรื่อย ๆ ด้วยเพราะการติดตามข่าวสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการลงทุนในคริปโตฯ เพื่อให้ไม่พลาดโอกาสในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ ต้องดูเรื่องของสภาพคล่องด้วย เนื่องจากตลาดคริปโตฯ เปิดให้ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และหากเป็นเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ด้วยก็จะสามารถมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูง โดยสามารถดูแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1106
Finance
คำพูดใดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาวแบบ VI ที่ต้องจินตนาการถึงอนาคต ระหว่าง "Try not to become a man of success but rather try to become a man of value." หรือ "Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world."
null
Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. เพราะ Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้นั้นจำกัด จินตนาการนั้นโอบล้อมโลก” เป็นคำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เตือนให้คิดตลอดเวลาว่าต้องมีจินตนาการเวลาจะคิดหรือทำอะไรโดยเฉพาะอย่างในเรื่องของการลงทุน เพราะการลงทุนระยะยาวแบบ VI นั้น ต้องจินตนาการถึงอนาคต ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นนั้น อีก 5 ปี 10 ปีจะเปลี่ยนไปอย่างไร ส่วนคำพูดที่ว่า Try not to become a man of success but rather try to become a man of value. แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “อย่าพยายามเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ควรเป็นคนที่มีคุณค่า” คือ การพยายามทำอะไรที่เป็นประโยชน์หรือมีคุณค่ากับคนอื่น โดยไม่ต้องคิดว่ามันเป็นความสำเร็จของตนเอง การเผยแพร่และสอนการลงทุนที่ถูกต้องในแนว VI นั้น คือความสำเร็จอย่างแท้จริงตั้งแต่เริ่มเดินทางในโลกของการลงทุน แม้แต่เรื่องของเม็ดเงินหรือความมั่งคั่งนั้นก็เป็นแค่ผลพลอยได้ ดังนั้น คำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาวแบบ VI ที่ต้องจินตนาการถึงอนาคต คือ Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. หรือ “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้นั้นจำกัด จินตนาการนั้นโอบล้อมโลก”
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1108
Finance
ประมาณช่วงปี 2016 ถึง 2018 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแอปเปิ้ล ใช้เงินประมาณเท่าไหร่ ระหว่าง 36,000 ล้านเหรียญ หรือ 12,000 ล้านดอลลาร์
null
36,000 ล้านเหรียญ เพราะประมาณช่วงปี 2016 ถึง 2018 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแอปเปิ้ล ใช้เงินประมาณ 36,000 ล้านเหรียญ และคิดเป็นประมาณ 5.4% ของหุ้นแอปเปิ้ล และประมาณ 45% ของพอร์ตของเบิร์กไชร์ในวันนี้ ซึ่งถึงวันนี้ก็กำไรไปประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.3 เท่าในเวลาประมาณ 5 ปี สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของการลงทุนซื้อขายหุ้น แต่มันคืออีกธุรกิจหนึ่งของเขาเช่นเดียวกับหุ้นอย่างโค๊กหรือประกันภัยอย่าง General Re และอีกหลายบริษัท เพราะเขาคือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของแอปเปิ้ล และนี่ก็คือแนวความคิดในการลงทุนของบัฟเฟตต์มานานหลายสิบปีแล้วที่ “ไม่เคยเปลี่ยน” ส่วน 12,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเงินที่บัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้น IBM ที่ครั้งหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของโลกคอมพิวเตอร์ของอเมริกาและของโลก เขาไม่ได้ซื้อเพราะว่ามันเป็นเทค แต่เขาซื้อเพราะว่า IBM นั้นโตจนอิ่มตัวและคอมพิวเตอร์ก็เริ่มเป็นเครื่องมือธรรมดาที่ทุกธุรกิจจะต้องใช้ และ IBM ก็เข้าไป “ให้บริการ” งานคอมพิวเตอร์ทั้งหมดแบบ In-house ถึงที่ ซึ่งทำให้รายได้และกำไรมาอย่างสม่ำเสมอมั่นคงเหมือนกับงานบริการอื่น ๆ ที่ลูกค้าไม่หนีไปไหน ถ้าหากมีเหตุผลเชิงธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้และกำไรหรือมีเหตุผลในด้านของการใช้สอยที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญที่สุดสามารถประเมินถึงมูลค่าได้อย่างมีความแน่นอนระดับหนึ่ง บัฟเฟตต์ก็อาจจะลงทุนได้ แม้ว่ากลุ่มคนที่เล่นเหรียญชื่อดังอย่าง Peter Thiel กูรูนักลงทุนไฮเทคสตาร์ทอัพเบอร์ต้น ๆ ของโลกจะบอกว่าบัฟเฟตต์คือคนแก่ที่ขวางโลกและเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของคนเล่นเหรียญโดยเฉพาะบิตคอยน์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1114
Finance
เหรียญ DeFi ที่น่าสนใจ ในปี 2022 มีอะไรบ้าง
null
เหรียญ DeFi ที่น่าสนใจ ในปี 2022 ได้แก่ - Maker (MKR) เป็นแพลตฟอร์มกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานบน Ethereum Blockchain และ MakerDAO ซึ่งเป็นองค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Autonomous Organization: DAO) โดยแพลตฟอร์มของ Maker ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้การยืมและการให้ยืมสกุลเงินดิจิทัลทำได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลาง การกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากราคามีความผันผวนและเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว อย่างไรก็ตาม Maker แก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการผสานการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลกับเหรียญ Stablecoin ของตัวเองที่ใช้ชื่อว่าเหรียญ “DAI” ซึ่งอ้างอิงกับมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ทำให้การกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยแพลตฟอร์ม Maker มีเหรียญ “MKR” เป็น Governance Token ซึ่งผู้ถือเหรียญ MKR จะมีสิทธิ์โหวตหรือเสนอนโยบายและความเห็นในการพัฒนาแพลตฟอร์มได้ Maker Protocol ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดยกลุ่มนักพัฒนาที่นำทีมโดย “Rune Christensen” ซึ่งในปี 2017 ทีม Maker ได้ระดมทุนกว่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการขายโทเคน “MKR” ให้กับบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz, Cryptocurrency Polychain Capital และบริษัทร่วมทุนอื่น ๆ เช่น 1Confirmation และได้ระดมทุนเพิ่มอีก 27.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019 จากบริษัทร่วมทุน Paradigm และ Dragonfly Capital Partners เพื่อขยายสู่ตลาดเอเชีย Market Cap: 2.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 1,005,577 MKR Total Value Locked (TVL): 17.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - Aave (AAVE) เป็นแพลตฟอร์ม Decentralized Finance (DeFi) ที่ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain โดยเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม DeFi ชั้นนำที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเป็นผู้ให้ยืมหรือผู้ยืมสกุลเงินดิจิทัลได้โดยไม่ผ่านตัวกลางใด ๆ จุดเด่นของ Aave คือ มีสกุลเงินดิจิทัลให้ผู้ใช้งานกู้ยืมได้หลากหลายสกุล ไม่ว่าจะเป็น Ethereum (ETH), Decentraland (MANA) และอื่น ๆ นอกจากนี้ Aave ยังมี “Flash Loans” ที่เป็นระบบการกู้แบบไม่ต้องใช้หลักประกัน ซึ่งการกู้ยืมผ่านระบบนี้สามารถทำได้รวดเร็วด้วยเวลาเพียง 13 วินาทีเท่านั้น Aave ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดยใช้ชื่อ “ETHLend” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Aave ในปี 2018 โดยมี “Stani Kulechov” เป็นผู้ก่อตั้ง แพลตฟอร์มของ Aave มีเหรียญ “AAVE” เป็นโทเคนดั้งเดิม (Native Token) โดยมีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนพฤศจิกายน 2017 และระดมทุนได้กว่า 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ณ ตอนนั้นยังใช้ชื่อเหรียญว่า LEND) นอกจากนี้เหรียญ AAVE ยังเป็น Governance Token ที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือเหรียญในการเสนอความเห็นพัฒนาระบบได้ Market Cap: 3.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 16,000,000 AAVE Total Value Locked (TVL): 11.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - Curve Finance (CRV) เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Exchange: DEX) สร้างขึ้นบน Ethereum Blockchain ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับ Uniswap แต่ Curve Finance จะเน้นไปที่การแลกเปลี่ยนเหรียญในกลุ่ม Stablecoin เป็นหลัก เช่น เหรียญ Tether (USDT), USD Coin (USDC) และ Binance USD (BUSD) เป็นต้น Curve Finance เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคมปี 2020 โดยมี “Michael Egorov” นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย เป็นผู้ก่อตั้ง Curve ใช้ระบบ “Automated Market Maker” (AMM) ซึ่งเป็นโปรโตคอลผู้ดูแลสภาพคล่องการซื้อขายอัตโนมัติที่ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง ทำให้ค่าธรรมเนียมต่ำลง ช่วยเสริมสร้างสภาพคล่อง และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แพลตฟอร์ม Curve มีเหรียญ “CRV” เป็นโทเคนดั้งเดิม (Native Token) โดยผู้ใช้งานสามารถนำเหรียญ CRV ไปฝากบนแพลตฟอร์มของ Curve เพื่อทำการ Staking และรับผลตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียมได้ นอกจากนี้ผู้ถือเหรียญ CRV ยังมีสิทธิ์โหวตหรือเสนอความเห็นในการพัฒนา Curve Finance ได้ Market Cap: 1.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 3,303,030,299 CRV Total Value Locked (TVL): 10.80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - Uniswap (UNI) เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Exchange: DEX) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีเหรียญ “UNI” เป็น Governance Token ตัวแพลตฟอร์ม Uniswap จะใช้สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บน Ethereum Blockchain ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Uniswap ยังเป็นผู้บุกเบิกระบบ “Automated Market Maker” (AMM) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ช่วยให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่ต้องพึ่งตัวกลาง อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มของ Uniswap จะรองรับเฉพาะการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานบน Ethereum Blockchain เท่านั้น Uniswap เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนปี 2018 โดยอดีตวิศวกรเครื่องกลของ Siemens ที่ชื่อว่า “Hayden Adams” Uniswap ได้รับเงินทุนจากบริษัทร่วมทุน เช่น Andreessen Horowitz, Paradigm Venture Capital, Union Square Ventures และ ParaFi ต่อมาได้มีการเปิดตัวเวอร์ชัน 2 (Uniswap V2) ในเดือนพฤษภาคม 2020 และเปิดตัวเวอร์ชัน 3 (Uniswap V3) ในเดือนพฤษภาคม 2021 Market Cap: 8.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 1,000,000,000 UNI Total Value Locked (TVL): 7.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - Compound Finance (COMP) เป็นโปรโตคอลที่เชื่อมโยงผู้ให้กู้และผู้กู้โดยใช้สัญญาอัจฉิรยะ (Smart Contract) ที่ทำงานบน Ethereum Blockchain แบบไม่ผ่านตัวกลาง ผู้ที่ต้องการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลต้องทำการวางหลักประกันด้วยเหรียญคริปโตฯ โดยกู้ยืมได้สูงสุดตามจำนวนหลักประกันที่วาง และหากผู้กู้ต้องการหลักประกันคืนจะต้องทำการคืนเหรียญที่ยืมมาพร้อมชำระค่าธรรมเนียมในการกู้ สำหรับผู้ที่ต้องการปล่อยกู้สินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องทำการฝากเหรียญที่ต้องการปล่อยกู้เข้าทำการ Stake หลังจากนั้นระบบจะส่ง cTokens เพื่อใช้แสดงสิทธิ์การ Stake โดย cToken สามารถโอนย้ายหรือแลกเปลี่ยนได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่จะแลกเปลี่ยนได้เฉพาะสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกล็อกไว้อยู่ในโปรโตคอลเท่านั้น โดยผู้ให้กู้จะได้รับดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้ซึ่งอยู่ในรูปของเหรียญ COMP ตามจำนวน cTokens ที่อยู่ในกระเป๋าเงิน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ๆ ยิ่งมีสภาพคล่องมาก อัตราดอกเบี้ยก็จะยิ่งต่ำลง Compound ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดย “Robert Leshner” และ “Geoffrey Hayes” ในปี 2018 Compound ระดมทุนได้ 8.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัทร่วมทุนที่มีชื่อเสียง ซึ่งได้แก่ Andreessen Horowitz และ Bain Capital Ventures และได้มีการระดมทุนอีก 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019 จากทั้ง 2 บริษัท รวมถึงบริษัทผู้ร่วมทุนรายใหม่อย่าง Paradigm Capital Market Cap: 1.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Total Supply: 10,000,000 COMP Total Value Locked (TVL): 6.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หมายเหตุ: ข้อมูล Market Cap, Total Supply และ Total Value Locked (TVL) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1116
Finance
Inverted Yield Curve เกิดขึ้นเมื่อไหร่
null
Inverted Yield Curve เกิดขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว ซึ่งตลาดมองว่าเป็นภาวะที่ผิดปกติ เพราะโดยทั่วไปอัตราผลตอบแทนพันธบัตเมื่อเทียบในระยะต่าง ๆ หรือ Yield Curve ควรจะมีลักษณะที่ชันขึ้น หรือยิ่งซื้อพันธบัตรระยะยาว (ฝากเงินระยะยาว) ก็ควรจะได้ผลตอบแทนมากกว่าการซื้อพันธบัตรระยะสั้น ในอดีต สัญญาณของ Inverted Yield Curve จะเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ได้ดีในอนาคต และก็เป็นสัญญาณที่ถูกต้องมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่จากมุมมองของ Trader แล้ว ทำสัญญาณอาจยังไม่ได้สร้างความกังวลมากนัก หรืออย่างน้อยหากตลาดจะเกิด Recession ขึ้นจริง ๆ มันยังไม่ใช่เพราะ Inverted Yield Curve เพิ่งเกิดขึ้น แต่อาจเป็นเพราะตัวแปรอื่น ๆ เริ่มแย่ลงไปด้วยต่างหาก เปรียบเทียบการ “ฝากเงินเข้าธนาคาร” ตามปกติ ถ้าเงินต้องไปฝากอยู่กับธนาคารนาน ๆ ส่วนมากก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เพราะธนาคารสามารถนำเงินไปหมุนหรือลงทุนในระยะยาว ๆ ได้ และก็ต้องถือความเสี่ยงนั้นไว้นาน ว่าธนาคารนั้นจะล้มหายตายจากไปไหนไหม ทำให้โดยธรรมชาติแล้วควรต้องได้ผลตอบแทนที่สูงมากกว่าการฝากเงินแค่ระยะสั้น ๆ นี่คือผลตอบแทนของการฝากเงินในภาวะปกติ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็เปรียบเทียบได้คล้ายกับ “การฝากเงินเข้าธนาคารของบริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลก” แต่แค่บริษัทใหญ่ ๆ นำเงินไปฝากกับรัฐบาลสหรัฐไว้แทน (ไม่ใช่ธนาคาร) ตามปกติอัตราผลตอบแทนในระยะสั้นก็จะต่ำกว่าระยะยาวเช่นเดียวเหมือนกัน แต่สิ่งนึงที่ต่างจากธนาคารคือ ผลตอบแทนของ Bond Yield นั้น จะขึ้นลงตามความต้องการซื้อขายของนักลงทุน หากมีคนฝากในระยะไหน ๆ เยอะผลตอบแทนของระยะนั้นก็จะลดลงตามไป ซึ่งก็เปรียบได้เสมือนกับธุรกิจปกติ หากสินค้าไหนมีความต้องการเยอะ ก็จะเพิ่มราคาขึ้น ในขณะเดียวกันสินค้าที่ขายไม่ออก ก็จะลดราคามันลง พันธบัตรรัฐบาลก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการคิดผลตอบแทนดอกเบี้ย หากมีแต่คนอยากซื้อพันธบัตรระยะยาว ราคาหน้าตั๋วของพันธบัตรนั้นก็จะสูงขึ้น หรือในทางกลับกันก็คือ พันธบัตรจะให้ Yield หรือผลตอบแทนที่ลดลง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1118
Finance
จงบอกสินทรัพย์ที่มีการลงทุนในการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Asset Allocation
null
ในการลงทุน ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะให้ผลตอบแทนดีหรือแย่ได้ตลอดไป แต่ละสินทรัพย์มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากน้อยต่างกันตามแต่ละวัฏจักรเศรษฐกิจ และสภาวะตลาดในแต่ละช่วง จึงเป็นที่มาของการจัดพอร์ตลงทุนแบบ “Asset Allocation” หรือกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ เพื่อให้นักลงทุนได้มีส่วนร่วมในหลายสินทรัพย์ถ้าหากตลาดเป็นขาขึ้น และยังสามารถลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้หากตลาดเป็นขาลง นอกจากการจัด Asset Allocation แล้ว การลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก หากบอกว่ารับความเสี่ยงได้สูง แต่พอเห็น Worst Case แล้วรู้สึกรับไม่ได้ ก็ควรพิจารณาปรับพอร์ตโดยลดสินทรัพย์เสี่ยงลง ตัวอย่างผลตอบแทนในอดีตของตลาดหุ้นโลกมาทำ Asset Allocation โดยอ้างอิงข้อมูลผลตอบแทนจาก Boyd Wealth Management เป็นข้อมูลผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2006-2020 รวม 15 ปี แบ่งเป็น 3 เคสคือ Worst case ผลตอบแทนปีที่ติดลบมากที่สุด, Base Case ผลตอบแทนเฉลี่ย 15 ปี และ Best Case ผลตอบแทนปีที่บวกมากที่สุด โดยสินทรัพย์ที่มีการลงทุนในการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Asset Allocation มีดังนี้ - U.S. Large Cap อ้างอิงจาก S&P 500 index - U.S. Mid Cap อ้างอิงจาก S&P MidCap 400 index - U.S. Small Cap อ้างอิงจาก S&P SmallCap 600 index - Developed Market อ้างอิงจาก MSCI EAFE index (ไม่รวม USA & Canada) - Emerging Market อ้างอิงจาก MSCI EM index - Fixed Income อ้างอิงจาก BBgBarc US Aggregate Bond Index (Investment Grade Bond) - Real Estate อ้างอิงจาก DJ US Select REIT Index
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1121
Finance
เขียนย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์เกี่ยวกับ “หนึ่งเดียวคนนี้” ของ 3 ธนาคารกลางหลักโลก
null
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าธนาคารกลางหลักของโลก 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่น ตัดสินใจโหวตการคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ด้วยเสียง 8-1 เหมือนกันในการประชุมสัปดาห์เดียวกัน เมื่อเดือนมีนาคม 2022 โดยธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางอังกฤษโหวตเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น โหวตเรื่องการคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เป็นสิ่งที่น่าสนใจแล้วแหละค่ะว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินจะไปในทิศทางไหนกันแน่ บล็อกนี้จะมาอธิบายเกี่ยวกับความเห็นของธนาคารกลางหลักของโลกทั้ง 3 แห่งกันค่ะ บทเรียนจากย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์นี้ เดือนมีนาคม 2022 ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารกลางหลักของโลก 3 แห่ง โหวตด้วยเสียง 8-1 เหมือนกันในการประชุมสัปดาห์เดียวกัน โดยธนาคารกลาง 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด และ ธนาคารกลางอังกฤษขึ้นดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น ตัดสินใจคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เหมือนเดิม สิ่งที่น่าสนใจคือ หากจะมองหาว่าธนาคารกลางหลักของโลก จะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินที่ทำอยู่ในตอนนี้ไปในทิศทางใด ช่องทางที่น่าจะดีที่สุดคือการติดตามมุมมองและเหตุผลของเสียงส่วนน้อยแบบ “หนึ่งเดียวคนนี้” สำหรับการโหวตสวนกับเสียงส่วนใหญ่ในธนาคารกลางหลักโลก 3 แห่ง ธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินโหวตให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 0.75 โดยสมาชิกที่โหวตสวนได้แก่ จอน คันลิฟ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ สาขาเสถียรภาพด้านการเงิน เขาอยากให้คงดอกเบี้ยในครั้งนี้ที่ร้อยละ 0.5 ไปก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าสงครามรัสเซียบุกยูเครนอาจทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษชะลอลงกว่าที่คาดไว้ ธนาคารกลางสหรัฐ “หนึ่งเดียวคนนี้” ที่โหวตสวนทางกับท่านอื่น ซึ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ได้แก่ เจมส์ บูลลาร์ด ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขาเซ็นหลุยส์ ที่คว่ำหวอดในวงการเฟดมานานกว่า 15 ปี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บูลลาร์ดค่อนข้างจะมีเสียงที่โหวตคล้ายกับเสียงส่วนใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทว่าก็มีในบางครั้งที่จะมีความคิดเห็นเป็นของตนเองอย่างครั้งนี้ ซึ่งเขาถือเป็นสมาชิกเฟดที่ออกความเห็นต่อสาธารณชนค่อนข้างบ่อยอยู่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น “หนึ่งเดียวคนนี้” ที่โหวตสวนทางกับท่านอื่น โดยผู้ที่มาโหวตสวนก็ถือเป็นเจ้าประจำของเสียงส่วนน้อย ได้แก่ โกวชิ คาทาโอกะ โดยเขาให้เหตุผลสำหรับการโหวตในครั้งนี้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น ควรจะมีมาตรการด้านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเข้มข้นมากกว่านี้ โดยทำให้อัตราดอกเบี้ย ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดลงมากกว่านี้อีก เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บริษัทภาคเอกชนญี่ปุ่นหันมาลงทุนในโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติมหลังเหตุการณ์โควิด ในการทำให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเข้าใกล้เป้าหมายที่ร้อยละ 2
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1128
Finance
ในวันที่เท่าไหร่ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน ที่บริษัทชั้นนำมากมายประกาศถอนตัวออกจากประเทศยูเครนชั่วคราว ระหว่าง ในวันที่ 15 ของสงคราม หรือ ในวันที่ 4 ของสงคราม
null
ในวันที่ 15 ของสงคราม เพราะในวันที่ 15 ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน บริษัทชั้นนำมากมายประกาศถอนตัวออกจากประเทศยูเครนชั่วคราว เช่น McDonald’s, Starbucks, Coca-Cola, Pepsi และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยปูตินประกาศกร้าวจะแข็งแกร่งขึ้น มาตรการคว่ำบาตรททั้งหลายจะสะท้อนกลับไปหาชาติตะวันตก ต้องเข้าใจก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้หลังโซเวียตล่มสลายรัสเซียก็ถูกคว่ำบาตรมาอย่างต่อเนื่อง แต่รัสเซียก็ยังสามารถยืนได้ ครั้งนี้ปูตินบอกก็จะเป็นเช่นเดิม และจะแข็งแกร่งขึ้นดั่งเดิม ในมุมสงครามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว สงครามกำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยทัพรัสเซียเริ่มปิดล้อมเมืองหลวงอย่างกรุงเคียฟ โดยขบวนทัพรัสเซียยาวกว่า 64 กม. กระจายตัวนอกเมือง เหลือแค่รอสัญญาณการบุกโจมตีเท่านั้น ส่วนในวันที่ 4 ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน สื่อรายงานถึงการอพยพจากถิ่นฐานถึง 8.5 แสนราย โดยกองทัพรัสเซียกลับขยายอาณานิคมขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่าขบวนพาหนะกองทัพได้เคลื่อนตัวสู่เมืองใหญ่อันดับที่ 2 อย่างคาร์คีฟเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นานนาโต้ ประกาศสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ช่วยเหลือยูเครนตามคำร้องของ ปธน. เซเลนสกี้ มูลค่าราว 8.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทางรัสเซียได้รับความกดดันครั้งใหญ่จากประชาคมโลกจากการคว่ำบาตร นำโดยสหรัฐฯ และชาติตะวันตก ขับธนาคคารใหญ่รัสเซียออกจากระบบการเงินโลก (SWIFT) ซึ่งเป็นสื่อกลางในการโอนเงินระหว่างธนาคาร ยิ่งไปกว่านั้นยุโรป และสมาชิกนาโต้หลายประเทศประกาศสั่งห้ามเที่ยวบินบางเที่ยวจากรัสเซียลงจอด และก็จบลงที่เรื่องน่าเหลือเชื่อ ปูตินสั่งกองกำลังป้องปรามนิวเคลียร์ เตรียมพร้อมในระดับสูงเพื่อตอบโต้นาโต้ (สร้างกระแสการจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 )
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1129
Finance
สงครามยูเครน จีนจะช่วยรัสเซียแค่ไหน
null
ถ้าตัดเรื่องกำลังทหารแล้ว รัสเซียแทบจะไม่ได้มีอะไรที่สู้ตะวันตกได้ โดยเฉพาะการถูกรุม Sanction ทางเศรษฐกิจ การเปิดรับการช่วยเหลือจากจีนเป็นเรื่องค่อนข้างจำเป็น และช่วงที่ผ่านมาทั้ง Xi และ Putin นัดพบปะกันบ่อยครั้ง เพราะถูกตะวันตกหาเรื่องทั้งคู่ โดยเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ตอนนี้เป็นการถูกตัดออกจากระบบ SWIFT ที่กระทบรัสเซียโอนเงินเข้า-ออกประเทศไม่ได้ ซึ่งฝั่งจีนเองมีทางช่วยอย่างการเปิดระบบ Digital Yuan ให้รัสเซียร่วมใช้ หรือการให้เข้าร่วมระบบชำระเงินแบบอื่น ถ้าจีนช่วยเหลือจะเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้เงินหยวนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนต้องการนำมาต่อกรกับ US dollar อยู่แล้ว กำลังทหารตัดสินปัญหาระดับประเทศเสมอ เพื่อให้เข้าใจความขัดแย้งระหว่างประเทศ เราต้องรู้ก่อนว่าในระดับนานาชาตินั้น กำลังทหารมักถูกนำใช้เพื่อจัดการปัญหา เนื่องจากปัญหาระหว่างประเทศไม่มีศาล ตำรวจ หรือกฎหมาย ที่ชัดเจนเหมือนการปกครองในประเทศ (อันนี้ BottomLiner เสริมให้ว่าศาลโลก ตำรวจโลก เป็นเพียงตัวแทนของชาติตะวันตก ที่มักจะใช้จัดการกับปัญหาเล็ก ๆ เท่านั้น ดูได้เลยว่าความขัดแย้งระดับมหาอำนาจด้วยกันแทบไม่เคยนำเรื่องขึ้นศาลเพราะฝ่ายเสียเปรียบจะไม่ยอมอยู่ดี) ความขัดแย้งระหว่างประเทศมักเริ่มจากมาตรการทางเศรษฐกิจก่อน เช่น แบนสินค้าคู่แข่ง Sanction ซึ่งถ้ายังลดระดับความขัดแย้งไม่ได้ ส่วนใหญ่มักลงเอยด้วย สงคราม และผู้ที่มีกำลังทหารเหนือกว่าจะเป็นผู้ชนะและมีสิทธิ์กำหนดว่าผู้แพ้ควรทำอย่างไร เราเห็นแล้วว่าช่วงที่ผ่านมา Super Sanction ถูกใช้ลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ซึ่งเป็นสัญญานลบว่าอีกไม่นานสงครามจะขยายตัวเกินยูเครน โดยจนถึงตอนนี้ยังไม่มีการตอบโต้จริงจังจากรัสเซีย (นอกจากขู่ยิงนิวเคลียร์) แต่เป็นเรื่องน่ากังวลเพราะเป็นความเสี่ยงที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะลงเอยแบบไหน ตอนนี้คู่ขัดแย้งทุกประเทศทั้ง สหรัฐ EU รัสเซีย ยูเครน ถูกมัดมือชกกันหมด เพราะสถานการณ์บังคับให้คุณต้องสู้หรือจะประกาศยอมแพ้ แต่ทุกการตัดสินใจมีต้นทุนที่ต้องจ่าย ถ้าเลือกสู้ย่อมแลกด้วยเงินและชีวิตคน ถ้าเลือกยอมแพ้ ศักดิ์ศรีประเทศจะเสียหายหนัก เพราะนานาชาติจับตาดูอยู่ สถานการณ์ความเสี่ยงแบบนี้ทำให้ Ray นึกถึงวิกฤตนิวเคลียร์ Cuba ในปี 1962 ซึ่งรัสเซียพยายามนำหัวรบนิวเคลียร์มาติดตั้งใกล้สหรัฐ ซึ่งในช่วงความตึงเครียดดูราวกับว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีใครยอมใคร แต่สุดท้ายก็เจรจาถอยหลังคนละก้าวกันได้ จึงหวังว่าปัญหายูเครนจะยังพอเหลือพื้นที่เจรจา
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1130
Finance
กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับภาวะรูปแบบใด ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แลกกับโอกาสกำไรจากราคาที่ลดลง ระหว่าง หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น, ลงทุนสินทรัพย์จริง หรือ กระจายการลงทุนสู่หลายภูมิภาค
null
หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น เพราะกลยุทธ์หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แลกกับโอกาสกำไรจากราคาที่ลดลงเช่น High Yield Credit, AT1, CLO ไปจนถึงหุ้นที่ธุรกิจไม่เติบโตแต่ให้ปันผลสูง สัดส่วนการลงทุนเหมาะสมเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1987 อยู่ที่ราว 30% ของพอร์ต สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการลงทุน Hybrid เหล่านี้คือกับดักมูลค่า (Value Trap) เพราะตอบแทนที่สูง มักเกิดจากสินทรัพย์นี้ความเสี่ยงบางอย่างมากกว่าการลงทุนปรกติ ส่วนกลยุทธ์ลงทุนสินทรัพย์จริง เป็นการลงทุนที่เด่นในช่วง Stagflation ในอดีต เนื่องจากสินทรัพย์จริง ตอบเงินเฟ้อได้หลายโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบ Demand Pull สินค้าโภคภัณฑ์ก็ถือไว้แก้ปัญหา Cost Push เช่นเดียวกับทองคำและ Digital Asset ก็ใช้หลบเงินเฟ้อจาก Currency Debasement สัดส่วนการลงทุนในภาวะ Stagflation ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในอดีตคือ 30% สินค้าโภคภัณฑ์ 30% ทองและ 40% อสังหาริมทรัพย์ และกลยุทธ์ กระจายการลงทุนสู่หลายภูมิภาค ช่วงที่น่าสนใจคือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงนั้นต้องลงทุน 30% บอนด์ 5% ยุโรป 8% อังกฤษ 19% ญี่ปุ่น 15% ตลาดเกิดใหม่ (EM) และ 23% สหรัฐ เหตุผลหลักคือภาวะเงินเฟ้อมักแตกต่างกันของในแต่ละประเทศ ยิ่งต่างมากเท่าไหร่ การกระจายความเสี่ยงก็จะยิ่งมีประโยชน์ อย่างไรก็ดี สัดส่วนนี้จะไม่เหมือนกันในแต่ละยุคสมัย สำหรับปัจจุบัน GS มองสัดส่วนการลงทุนที่คุ้มที่สุดบน Real Risk/Reward คือ 70% หุ้นญี่ปุ่นและ 30% EM
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1132
Finance
คำพูดที่ว่า “ล้านแรกได้แล้ว ล้านต่อไปจะง่ายขึ้น” นั้นจริง เพราะเหตุใด
null
คำพูดที่ว่า “ล้านแรกได้แล้ว ล้านต่อไปจะง่ายขึ้น” นั้นจริง เพราะเงินต้น 1 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับเงินที่ DCA อย่างต่อเนื่อง เป็นต้นทุนเงินก้อนที่นำมาสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้น (compounding) ผลตอบแทนที่ได้จึงเกิดเป็นล้านต่อมาได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการที่เงินต้น 1 ล้าน ไปยัง 10 ล้านบาท ระยะเวลาที่เป็นเงินใกล้ 10 ล้านบาทจะยิ่งเร็วขึ้น เช่น 9 ไป 10 ล้าน จะไวกว่า 1 ไป 2 ล้าน เพราะเงินก้อนได้โตขึ้นแบบ exponential (ยกกำลัง) นั่นเอง การตั้งเป้าการลงทุนแบบ DCA หรือลงทุนด้วยเงินก้อนสม่ำเสมอทุกเดือน ในพอร์ตหรือสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่คาดหวังได้ 5% ต่อปี จะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะเป็น 1 ล้านแรก? - เดือนละ 2,000 บาท ใช้เวลา 22.5 ปี - เดือนละ 5,000 บาท ใช้เวลา 12.1 ปี - เดือนละ 10,000 บาท ใช้เวลา 7 ปี - เดือนละ 20,000 บาท ใช้เวลา 3.8 ปี เมื่อได้ 1 ล้านบาทแรกแล้ว จะนำเงินดังกล่าวไปลงทุน เพื่อให้ได้เติบโตเป็น 2 ล้านบาท (หรือเรียกว่า ล้านที่ 2) ด้วยผลตอบแทนที่คาดหวัง 5% ต่อปี เช่นเดิม จะใช้เวลาแค่ไหนในการสร้างล้านที่ 2 ? - เดือนละ 2,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 10.3 ปี - เดือนละ 5,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 7.5 ปี - เดือนละ 10,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 5.2 ปี - เดือนละ 20,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 3.2 ปี จะเห็นได้ว่า การสร้างล้านต่อไปใช้เวลาน้อยลง
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1134
Finance
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร? และนักลงทุนควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร?
null
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบหลักๆ มีดังนี้: 1. ราคาพลังงาน: รัสเซียเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก สงครามจะส่งผลให้ราคาพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในหลายภาคส่วน กระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ 2. ห่วงโซ่อุปทาน: สงครามจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก เนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบสำคัญ เช่น ข้าวสาลี ปุ๋ย โลหะ ส่งผลให้สินค้าเหล่านี้มีราคาสูงขึ้น และอาจเกิดปัญหาขาดแคลน 3. ตลาดการเงิน: สงครามจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวลง นักลงทุนอาจหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล 4. เศรษฐกิจโลก: สงครามจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัว ธนาคารกลางหลายแห่งอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร? กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป ควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย: ควรลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล เพื่อป้องกันความเสี่ยง ติดตามข่าวสาร: ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสงครามอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อรับคำแนะนำในการลงทุนที่เหมาะสม ผลกระทบต่อภาคการเงิน: ธนาคารกลางหลายแห่งอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น ธุรกิจและผู้บริโภคอาจชะลอการลงทุนและการใช้จ่าย ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวัง ตัวอย่าง: ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2023 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากรัสเซียบุกยูเครน นักลงทุนหันไปลงทุนในทองคำและพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น คำแนะนำสำหรับนักลงทุน: กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง อดทนและใจเย็น ไม่ควรตื่นตระหนกกับความผันผวนของตลาด ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน สรุป: สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมือโดยกระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ติดตามข่าวสาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
README.md exists but content is empty. Use the Edit dataset card button to edit it.
Downloads last month
0
Edit dataset card