ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
10
894
Input
stringclasses
0 values
Output
stringlengths
110
13.8k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
6 values
License
stringclasses
2 values
Finance_1637
Finance
เราควรทำประกันสุขภาพก่อนที่จะป่วยเป็นโควิด เพราะเหตุใด
null
ถ้าถามว่า ควรทำประกันสุขภาพ หรือ ประกันโควิดก่อน? ตอบได้เลยว่า “ควรทำประกันสุขภาพก่อน” เพราะในชีวิตจริง ไม่ได้เจอแค่เชื้อโควิดเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเจอโรคร้ายแรงอื่น ๆ ในอนาคตด้วย เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น และที่สำคัญประกันสุขภาพเอง นอกจากจะคุ้มครองในด้านค่าใช่จ่ายโรคร้ายแรงต่าง ๆ แล้ว ยังครอบคลุมไปถึงค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 ด้วย ความจริงแล้ว ในเรื่องของการรักษาโรคโควิด-19 ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ให้สิทธิ์ในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนอยู่แล้ว ซึ่งถ้าอยากได้ความอุ่นใจเผื่อในกรณีที่อาจเป็นโรคอื่นด้วย การซื้อประกันสุขภาพก็ตอบโจทย์ที่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 และโรคอื่นเช่นเดียวกัน แล้วจำเป็นต้องซื้อประกันภัยโควิด-19 หรือเปล่า ? แน่นอนว่า ประกันสุขภาพ เป็นสิ่งที่ควรมี แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประกันภัยโควิด-19 ยังคงมีความจำเป็น โดยเฉพาะประกันภัยโควิดแบบเจอจ่ายจบ เพราะการติดเชื้อชนิดนี้ หากต้องกักตัวรักษาเป็นเวลานาน อาจจะทำให้ไม่สามารถออกไปทำงานหารายได้มาจุนเจือครอบครัวได้ ดังนั้น ประกันภัยโควิด ที่ให้ความคุ้มครองแบบเจอจ่ายจบ ก็จะช่วยให้มีเงินก้อน มาจุนเจือครอบครัว หรือ ใช้ดูแลตัวเอง ได้ดีขึ้น เพียงแต่ต้องอย่าลืมว่าประกันชนิดนี้ส่วนใหญ่จะคุ้มครอง “ผู้ที่ป่วยด้วยโรคโควิดครั้งแรก” เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า จะไม่สามารถทำเป็นครั้งที่สองได้อีกนั่นเอง สรุปคือ ถ้าทำประกันสุขภาพ มีโอกาสจะได้ความคุ้มครองในระยะยาวกว่า เมื่อเทียบกับการทำประกันภัยโควิดแบบเจอจ่ายจบ ที่อาจจะได้รับเงินก้อนเพียงครั้งแรกครั้งเดียว และที่สำคัญต้องรู้ว่า ถ้ายังไม่ได้ทำประกันสุขภาพเอาไว้ก่อนที่จะป่วยเป็นโควิด ก็อาจหมดสิทธิ์จะทำประกันสุขภาพไปเลยก็เป็นได้
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1638
Finance
จงเขียบบทสนทนาเรื่อง "เสวนาความเข้าใจผิดของรถยนต์ไฟฟ้า: การพูดคุยระหว่างแบงค์และนิก" ให้หน่อย
null
การสนทนาเรื่อง EV ระหว่างแบงค์และนิก แบงค์: สวัสดีนิก คิดว่า EV คืออะไร? นิก: สวัสดีเช่นกันแบงค์ ผมคิดว่า EV คือรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงที่ใช้ในรถยนต์ทั่วไปครับ แบงค์: ใช่ เราสามารถเรียก EV ว่ารถยนต์ไฟฟ้าได้เลย แต่มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแหล่งพลังงานที่ใช้เท่านั้น มันยังมีความแตกต่างในเทคโนโลยีและพฤติกรรมการใช้งานอีกด้วย นิก: แน่นอนครับแบงค์ รถยนต์ไฟฟ้ามีการทำงานที่แตกต่างกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงในหลายๆ ด้าน เช่น การเคลื่อนที่โดยไม่มีเสียง การชาร์จไฟฟ้า และประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ที่สูงขึ้น แบงค์: ใช่!! เราสามารถชาร์จ EV ที่บ้านหรือที่จุดชาร์จสาธารณะได้ และการใช้งานที่เงียบสงบยังเป็นเรื่องที่คนหลายคนชื่นชอบด้วย นิก: แต่คนบางคนอาจจะคิดว่า EV มีข้อเสียเกี่ยวกับระยะทางที่เดินทางได้ต่อการชาร์จแบตเตอรี่ครับ และยังมีความกังวลเกี่ยวกับพื้นที่ที่จะชาร์จได้ แบงค์: นั่นเป็นปัญหาที่ยังต้องพัฒนาต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และระยะทางที่ EV สามารถเดินทางได้ก็กำลังขยายออกไปเรื่อยๆ นิก: ใช่ครับ!! การพัฒนาในด้านนี้ย่อมมีการเพิ่มมูลค่าให้กับ EV อีกด้วย และเราอาจจะเห็นการใช้งานที่มากขึ้นเมื่อเทคโนโลยีนี้ก้าวหน้าไปอีกขั้น แบงค์: แน่นอน การเข้าใจความเป็นจริงเกี่ยวกับ EV และการพัฒนาที่ต้องเกิดขึ้นถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในอนาคต นิก: ใช่ครับ ฉะนั้น การสนทนาเรื่อง EV ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจและมีประโยชน์อย่างแน่นอนครับ ** สรุปการสนทนาเรื่อง EV ระหว่างแบงค์และนิกได้แบ่งเป็นหลายจุดสำคัญดังนี้ 1. EV คือรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน. 2. EV มีความแตกต่างในเทคโนโลยีและพฤติกรรมการใช้งาน เช่น เคลื่อนที่เงียบสงบและการชาร์จไฟฟ้า. 3. ข้อเสียของ EV อาจคือระยะทางที่เดินทางได้ต่อการชาร์จแบตเตอรี่และความกังวลเกี่ยวกับพื้นที่ที่จะชาร์จ. 4. แต่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและระยะทางที่ EV สามารถเดินทางได้กำลังขยายขึ้น. 5. การเข้าใจความเป็นจริงเกี่ยวกับ EV และการพัฒนาเทคโนโลยีนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มีประโยชน์สูงสุดในอนาคต. การสนทนานี้เน้นถึงประโยชน์และความสำคัญของ EV และการพัฒนาในอนาคต เพื่อการใช้งานที่ยั่งยืนและมีประโยชน์สูงสุดในระยะยาว.
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1639
Finance
กลยุทธ์ Breakout เหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนมากที่สุด?
null
จากบทความ Quantable Podcast EP17 : กลยุทธ์ Buy on Breakout ไม่เวิร์คจริงหรือไม่ ? เพราะเทรดยังไงก็ไม่รวย! กลยุทธ์ Breakout นั้นมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ 1.1 หุ้น: กลยุทธ์ Breakout เหมาะกับหุ้นที่มีแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หุ้นที่มีการ Breakout ผ่านแนวต้านสำคัญ มักมีโอกาสวิ่งต่อสูง ควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ผลประกอบการดี เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ ตัวอย่าง: หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มส่งออก 1.2 ฟอเร็กซ์: กลยุทธ์ Breakout เหมาะกับการเทรดในช่วงที่มีความผันผวนสูง เช่น ช่วงตลาดลอนดอนเปิด ควรเลือกคู่เงินที่มีสภาพคล่องสูง ควรใช้กลยุทธ์ Money Management ควบคู่ไปด้วย เพื่อจำกัดความเสี่ยง ตัวอย่าง: คู่เงิน EUR/USD, USD/JPY 1.3 คริปโทเคอร์เรนซี: กลยุทธ์ Breakout เหมาะกับคริปโทที่มีแนวโน้มขาขึ้น คริปโทมีความผันผวนสูง เทรดด้วยความระมัดระวัง ควรศึกษาข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานประกอบ ตัวอย่าง: Bitcoin, Ethereum 1.4 สินค้าโภคภัณฑ์: กลยุทธ์ Breakout เหมาะกับสินค้าที่มีความผันผวนสูง เช่น น้ำมัน ทองคำ ควรวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน อุปสงค์ อุปทาน ควบคู่ไปด้วย ควรใช้กลยุทธ์ Hedging เพื่อป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่าง: น้ำมันดิบ WTI, ทองคำ สรุป: กลยุทธ์ Breakout เหมาะกับสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มขาขึ้น และมีความผันผวนสูง แต่ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ผลประกอบการดี และใช้กลยุทธ์ Money Management ควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จและจำกัดความเสี่ยง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1642
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ Wildcat Currency – Wildcat Bank คืออะไร
null
ความหมายของ Wildcat Bank ในอดีต คือ การนำเงินไปใช้กับธนาคารที่ตั้งไกล ๆ ความหมายนี้เป็นความหมายที่เล่าขานกันตำนาน บ้างก็บอกว่า มันคือธนาคารพิมพ์เงิน บ้างก็บอกว่าใช้รูปแมวป่าเป็นสัญลักษณ์ แต่จุดเริ่มต้นมันมาในช่วงปี 1830s ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ประมาณช่วง ค.ศ. 1816-1863 ธนาคารสหรัฐจะดำเนินการภายใต้กฎของแต่ละมลรัฐ ที่แตกต่างกัน จะไม่มีกฏหมายจากส่วนกลางมาควบคุม ต่อมาในปี 1838 ได้นำเงินมาใช้กับเชิงธุรกิจที่มีความอันตรายและเสี่ยงมาก ๆ ดังนั้น Wildcat Bank จึงมีหมายถึงที่แท้จริงว่า ธนาคารที่ไม่เสถียร และมีโอกาสล้มได้ มาถึงยุคปัจจุบัน มันก็คือ Wildcat Currency ซึ่งหมายถึง เงินที่ออกโดยธนาคารที่ในยุคก่อน 1863 มีการผ่าน National Bank Act บทเรียนจากย่อหน้านี้ Wildcat Currency – Wildcat Bank คืออะไร สมัยก่อน ธนาคารสหรัฐดำเนินการภายใต้กฎของแต่ละมลรัฐ (State Law) ที่แตกต่างกัน ยังไม่มีกฏหมายจากส่วนกลางมาควบคุม (Federal Regulation) เรียกว่า Free Banking Era อยู่ในช่วงค.ศ. 1816-1863 ตำนานกล่าวไว้ว่า คำว่า Wildcat Bank เริ่มต้นจากการนำไปใช้กับพวกธนาคารที่แอบไปตั้งไกล ๆ ในช่วงปี 1830s ในมิชิแกน ซึ่งคนถือว่ามีแมวป่าเยอะ บ้างกล่าวว่าเกิดจากธนาคารพิมพ์เงินและใช้รูปแมวป่าเป็นสัญลักษณ์ อ้างอิงจาก investopedia จริง ๆ แล้วในปี 1812 คำว่า wildcat เป็นคำเปรียบเปรยของนักเก็งกำไรแบบเม่าสุด ๆ หลอกง่าย ตัดสินใจง่าย ต่อมาในปี 1838 เริ่มนำมาใช้กับเชิงธุรกิจ หมายถึงธุรกิจที่ดู “เต็มไปด้วยความอันตราย” “ดูเสี่ยงสุด ๆ” Wildcat Bank จึงหมายถึงธนาคารที่ความไม่เสถียร มีโอกาสล้ม มาในปัจจุบัน หมายถึงเงินที่ออกโดยธนาคารที่ในยุคก่อน 1863 ที่มีการผ่าน National Bank Act เรียกรวม ๆ ว่า Wildcat Currency บ้างไม่มีค้ำประกัน บ้างมีสิ่งค้ำประกัน คือ เหรียญทองหรือเหรียญเงิน บ้างใช้พันธบัตร ตราสาร หรือ Mortgage มาค้ำประกัน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1646
Finance
US Vegan Climate Index คืออะไร
null
US Vegan Climate Index (VEGAN) คือ ดัชนีที่รวบรวมหุ้นเกือบ 300 ตัว ผู้สร้างดัชนีคือ Beyond Investing บริษัทแพลตฟอร์มการลงทุนที่ยึดหลัก Vegan & Cruelty-Free ผลิตภัณฑ์การลงทุนจากบริษัทนี้จึงจะคำนึงถึงปัจจัยเรื่องผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตด้วย โดย US Vegan Climate Index นั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2018 เป็นดัชนีที่ถอดมาจากดัชนี Solactive US Large Cap Index ซึ่งรวบรวมหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ประมาณ 500 บริษัท แต่ดัชนี VEGAN ได้ทำการคัดกรองบางบริษัทออกให้เหลือแค่บริษัทที่ไม่ข้องเกี่ยวกับสัตว์ (Vegan) และเป็นบริษัทที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate-Conscious) และแม้ดัชนีจะถือหุ้นขนาดใหญ่เป็นส่วนมาก แต่ดัชนีก็อาจจะพิจารณานำหุ้นขนาดกลางที่ตรงคุณสมบัติเข้ามาด้วยเช่นกัน เพื่อเติมเข้ามาแทนที่บริษัทที่ถูกตัดออกไปเพราะไม่เข้าเกณฑ์ ด้วยเหตุนี้ดัชนีเลยมีโอกาสรับการเติบโตจากหุ้นขนาดกลางด้วย ดังนั้น บริษัทที่จะไม่มีทางเจอใน US Vegan Climate Index แน่ ๆ ก็คือบริษัทใด ๆ ก็ตามที่มีการใช้งานสัตว์ การกดขี่แรงงานมนุษย์ การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการทำกิจกรรมใด ๆ ก็ตามที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ใครที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้เหมือนกันก็สามารถใช้ดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดได้
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1648
Finance
จงบอกแบรนด์มือถือที่เป็นลูกค้าของ Qorvo
null
Qorvo เป็นผู้นำธุรกิจผลิตชิป Radio Frequency (RF) ซึ่งใช้ทุกวันและอยู่ใกล้ตัวมาก จากการเชื่อมต่อ WiFi, Bluetooth หรือสัญญาน Internet ที่ใช้ในมือถือ ทั้งหมดล้วนมีชิป RF อยู่เบื้องหลัง การเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้งหมด (Wireless) ต้องใช้ชิป RF เป็นหลัก Qorvo มีรายได้ 70% มาจากการขายชิปที่ใช้ในอุปกรณ์ Electronic พื้นฐานรอบตัว เช่น มือถือ โน้ตบุ้ค และเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่ม IoTs ที่ต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ขณะที่รายได้อีก 30% มาจากกลุ่มผู้ติดตั้งเสาสัญญานที่กำลังจะเติบโตเร็วมากในปี 2021 จากการเร่งขยาย 5G ทั่วโลก จากมือถือผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย ภายในจะต้องมีชิป RF อยู่ แล้ว Qorvo เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ แบรนด์มือถือที่เป็นลูกค้าของ Qorvo ได้แก่ - Apple - Samsung - Xiaomi - Oppo - Vivo ซึ่งแบรนด์มือถือเหล่านี้ เป็นลูกค้าของ Qorvo และเป็นกลุ่มที่จะโตเร็วมาก เนื่องจากมือถือทุกเครื่องที่จะรองรับ 5G ได้ต้องติดตั้งชิป RF รุ่นใหม่ และจากการคำนวณพบว่าจะแพงกว่าชิป RF ใน 4G ถึง 30% แสดงให้เห็นว่า มือถือรุ่นใหม่ที่โฆษณาว่ารองรับ 5G ได้ เป็นเงินของ Qorvo ทั้งนั้น นอกจากนี้ถ้าไปดูนโยบายประเทศใหญ่ ๆ จะเห็นว่าระบบ 5G กำลังถูกเร่งติดตั้ง โดยเฉพาะสหรัฐที่ Joe Biden ประกาศแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ารวม 2.25 ล้านล้านดอลลาร์ออกแล้ว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1649
Finance
FINNOMENA 3D Diagram มีไว้ทำอะไร ระหว่าง ประกอบการตัดสินใจ หรือ วิเคราะห์กองทุนด้วยตัวเอง
null
ประกอบการตัดสินใจ FINNOMENA 3D Diagram พัฒนาขึ้น เพื่อใช้เป็น ‘ตัวช่วย’ ให้กับนักลงทุนในการคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดในกลุ่มที่คุณสนใจ โดยโมเดลจะใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative) ซึ่งหมายถึงการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขต่างๆ มาวัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของกองทุนนั้นๆ จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับตัวเลขของกองทุนในหมวดเดียวกันแล้วเปลี่ยนให้กลายเป็น Diagram 3D Diagram 3D Diagram คือตัวแปรสำคัญที่ใช้วัดการดำเนินของกองทุนกันเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว โดยตัวแปรที่ FINNOMENA เลือกนำมาวิเคราะห์มีอยู่ 3 ตัวแปรด้วยกัน ได้แก่ Past Performance, Risk Adjusted Return และ Maximum Drawdown ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปลงรายละเอียดกันทีละตัวครับ ตัวเลขที่ FINNOMENA คัดเลือกมาใช้คำนวณเป็น 3D Diagram คือตัวแปรสำคัญที่ใช้วัดการดำเนินของกองทุนกันเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว กองทุนรวมทั้งประเทศมีเป็นพันกอง ถ้าวิเคราะห์เฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมก็ต้องเปรียบเทียบกันเป็นหลักสิบกอง การนำตัวเลขยิบย่อยมาเปรียบเทียบกันทีละค่าค่อนข้างยุ่งยาก เราจึงแปลงตัวเลขให้กลายเป็นภาพให้สามารถเปรียบเทียบกันได้ง่าย โดยยิ่งกองทุนไหนมีพื้นที่สีฟ้าบน Diagram มาก กองทุนนั้นยิ่งดี ถ้านึกภาพไม่ออก อาจจะลองนึกภาพเป็นค่าสถานะของนักเตะในเกมก็ได้ครับ
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1653
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ กลยุทธ์ที่สามารถอิงกับธีมการลงทุน ESG
null
ธีมการลงทุน ESG มีกลยุทธ์ที่สามารถอิงกันได้ นั่นก็คือ การลงทุนในสไตล์ยั่งยืน (Sustainable Investing) และธีมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด (Clean Energy) ความต้องการลงทุนและบริหารความเสี่ยงของพอร์ตได้พร้อมกันนั้น จะต้องตอบโจทย์ด้วยการลงทุนสไตล์ยั่งยืน ซึ่งมาจากการใช้ธีมการลงทุน ESG สิ่งที่นักลงทุนหวังเป็นความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตที่จะลดลง แต่หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นและสามารถลงทุนในระยะยาวได้ ก็ต้องเลือกลงทุนที่แตกต่างในด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะมีความผันผวนสูงมาก ต้องใช้ธีมการลงทุน ESG เพื่อดูดเงินลงทุนหรือลด Tail Risk ลง บทเรียนจากย่อหน้านี้ สองกลยุทธ์ที่สามารถอิงกับธีมนี้ได้คือ การลงทุนในสไตล์ยั่งยืน (Sustainable Investing) และธีมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด (Clean Energy) ถ้าต้องการลงทุนและบริหารความเสี่ยงของพอร์ตไปพร้อมกัน ก็ควรตอบโจทย์ด้วยการลงทุนสไตล์ยั่งยืน ที่มีการใช้ ESG เป็น Filter สิ่งที่นักลงทุนควรหวังจากการลงทุนเหล่านี้ ไม่ใช่ผลตอบแทนที่สูงกว่าปรกติ แต่ควรเป็นความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตที่ลดลง แต่ถ้าต้องการผลตอบแทนคาดหวังที่สูงขึ้นและลงทุนระยะยาวได้ ก็ต้องหาทางมอง ESG ให้เป็น Factor เลือกลงทุนที่แตกต่างด้านเทคโนโลยี หรือส่วนแบ่งตลาดต่ำแต่อยู่ในขาขึ้น หรือไม่มีกำไรแต่ยอดขายเติบโตก้าวกระโดด การลงทุนเหล่านี้จะผันผวนสูงมาก จึงต้องมี ESG เพื่อดึงดูดเงินลงทุนหรือลด Tail Risk ด้านอื่นออก ตัวอย่างเห็นได้ชัดจึงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Clean Energy ที่แทบไม่มีกำไรในระยะสั้นเลย แต่ราคาหุ้นกลับปรับตัวขึ้นหวือหวาเพราะตลาดมองว่ามีอนาคต
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1656
Finance
กลยุทธ์ Magic Formula ของ Joel Greenblatt ดีกว่าการลงทุนในดัชนี S&P 500 หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ผลตอบแทนย้อนหลัง: กลยุทธ์ Magic Formula มีผลตอบแทนเฉลี่ย 30% ต่อปีแบบทบต้น ในช่วงปี 1988 ถึง 2004 แต่หลังจากปี 2004 ผลตอบแทนของกลยุทธ์ Magic Formula เริ่มตามหลังดัชนี S&P 500 กองทุนที่ใช้กลยุทธ์ Magic Formula ให้ผลตอบแทนรายปี 12.05% เทียบกับ S&P 500 ที่ 15.07% ผลตอบแทนสะสมของกองทุน Magic Formula อยู่ที่ 79.93% เทียบกับ S&P 500 ที่ 106.53% 2. ลักษณะของกลยุทธ์: กลยุทธ์ Magic Formula เน้นลงทุนในหุ้นมูลค่า (Value Investing) หุ้นมูลค่ามักมีราคาถูกกว่าหุ้นเติบโต (Growth Investing) แต่หุ้นมูลค่าอาจมีสภาพคล่องต่ำ และมีความเสี่ยงจากปัจจัยพื้นฐาน 3. ข้อจำกัดของกลยุทธ์: กลยุทธ์ Magic Formula ใช้อัตราส่วนทางการเงินเพียง 2 ตัว ไม่ได้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท อาจทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพสูง 4. ความเสี่ยง: กลยุทธ์ Magic Formula ไม่ได้กระจายความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นจำนวนน้อย เพิ่มความเสี่ยงจากการขาดทุน สรุป: กลยุทธ์ Magic Formula เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เรียบง่าย แต่ไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เพิ่มเติม เช่น ระยะเวลาในการลงทุน ความเสี่ยง และเป้าหมายทางการเงิน คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1660
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Index Fund และ MSCI Index
null
Index Fund คือ กองทุนดัชนี เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่ประกอบกันได้แล้วเป็นดัชนี ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หากลงทุนแล้วก็จะได้ผลที่ดีขึ้นไปตามอัตโนมัติ ส่วน MSCI Index หมายถึง ดัชนีอ้างอิงของบริษัท Morgan Stanley Capital International หรือ MSC บริษัททำดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเกณฑ์มาตรฐานให้นักลงทุนต่างประเทศได้คัดเลือกหุ้นและดูผลตอบแทน บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุนดัชนี หรือ Index Fund คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นดัชนี หรือก็คือ กองทุนที่ลงทุนโดยพยายามเลียนแบบให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี จากความหมายข้างต้นนี้ แปลว่าถ้าเลือกสินทรัพย์หรือหุ้นเข้ามาประกอบเป็นดัชนีได้ดีแล้วเราลงทุนตามดัชนีนั้นไป ผลลัพธ์ของการลงทุนก็จะดีขึ้นตามไปโดยอัตโนมัติ จนมีนักลงทุนและสถาบันที่พยายามพัฒนาดัชนีใหม่ๆ จาก Condition ใหม่ๆ อยู่เสมอ ที่มีการพูดถึงกันเยอะ เช่น MSCI MSCI Index คืออะไร เป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัท Morgan Stanley Capital International (MSCI) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก มีขึ้นมาเพื่อเป็นเกณฑ์มาตรฐานให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ในการคัดเลือกหุ้นและดูผลตอบแทน โดยมีการแบ่งเป็นสินทรัพย์หลายประเภท เช่นหุ้น ก็จะแยกเป็นอเมริกา จีน ไทย หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ยังไม่พัฒนา ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ตลาดเงิน เป็นต้น และมีเกณฑ์การคัดในมิติที่หลากหลาย เช่น สภาพคล่อง , Free Float , Market Cap พอได้เป็นดัชนีมาแล้ว กองทุนประเทศต่างๆ ก็มักจะลงทุนตามดัชนีเหล่านั้น เปรียบเหมือนว่ามีตัวกรองมาแล้วส่วนหนึ่ง จากนั้นจะจับจังหวะหรือซื้อขายตามดัชนีไปเลยก็ทำได้เช่นเดียวกัน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1661
Finance
การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่จาก 0.5% เป็น 10 อันดับแรก ส่งผลดีต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ลดความโปร่งใสของตลาด: การเปิดเผยข้อมูลน้อยลงทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของบริษัทได้ยากขึ้น ส่งผลเสียต่อการตัดสินใจลงทุน จำกัดการเข้าถึงข้อมูล: ข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนในการวิเคราะห์กลยุทธ์และแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลอาจสร้างช่องว่างระหว่างนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อย ลดประสิทธิภาพของตลาด: ตลาดที่มีประสิทธิภาพควรมีข้อมูลที่สมบูรณ์และเท่าเทียม การจำกัดข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพของตลาด ขัดขวางการวิเคราะห์: ข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถูกใช้วิเคราะห์พฤติกรรมการลงทุน โครงสร้างการถือครองหุ้น และความเสี่ยงของบริษัท การจำกัดข้อมูลจำกัดการวิเคราะห์เหล่านี้ เพิ่มความเสี่ยง: การขาดข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทำให้การวิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัทมีประสิทธิภาพน้อยลง ส่งผลให้นักลงทุนต้องเผชิญความเสี่ยงที่มากขึ้น ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล: การเปิดเผยข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญของธรรมาภิบาล การจำกัดข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขัดต่อหลักการนี้ ข้อโต้แย้ง: - การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล: ผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางรายอาจไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว - ภาระต้นทุน: การเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพิ่มภาระต้นทุนให้กับบริษัทจดทะเบียน การตอบโต้ข้อโต้แย้ง: - ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถจัดทำระบบเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล - ภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสามารถชดเชยได้ด้วยประโยชน์ที่ได้รับจากการเปิดเผยข้อมูล สรุป: การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ส่งผลเสียต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ มากกว่าผลดี
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1663
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ ดัชนี และ ดัชนี SET
null
ดัชนี หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เราต้องการจะติดตาม ซึ่งผลที่ได้นั้นมาจากการคำนวณทางสถิติ ถ้ามองในเชิงการเงิน ก็จะเป็นดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั่นก็คือ เครื่องมือบ่งชี้ระดับราคาและแนวโน้มของตลาดหุ้น ที่เรียกว่า ดัชนีราคาหุ้น นั่นเอง ส่วนดัชนี SET หมายถึง ดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นทุกตัวที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากการเปรียบเทียบมูลค่าตลาด ณ ปัจจุบัน กับมูลค่าตลาดในวันฐาน (วันที่ 30 เมษายน 2518) ได้ผลลัพธ์เป็นการถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด บทเรียนจากย่อหน้านี้ ดัชนี คืออะไร? - ดัชนีเป็นเครื่องมือชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ต้องการติดตาม ซึ่งได้มาจากการคำนวณทางสถิติ ในภาคเศรษฐกิจก็จะมีดัชนีที่เป็นที่รู้จักกันอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เป็นต้น - ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือดัชนีราคาหุ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือบ่งชี้ระดับราคาและแนวโน้มของตลาดหุ้น ดัชนี SET - ดัชนี SET คือดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นทุกตัวที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย - ได้มาจากการถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด ด้วยการเปรียบเทียบมูลค่าตลาด ณ ปัจจุบัน กับมูลค่าตลาดในวันฐาน ซึ่งก็คือวันที่ 30 เมษายน 2518 ซึ่งค่าดัชนีตอนนั้นเริ่มต้นที่ 100 จุด
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1674
Finance
หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง บริษัทด้านการลงทุนด้านกองทุนอีทีเอฟแนว Old Power Values กับ New Power Values จะพบความแตกต่างอย่างไรบ้าง
null
หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง บริษัทด้านการลงทุนด้านกองทุนอีทีเอฟแนว Old Power Values กับ New Power Values จะพบความแตกต่าง ดังนี้ 1. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านกองทุนรวมเจ้าเดิม ๆ นั้น จะมีระบบการบริหารจัดการแบบเป็นทางการ รวมถึงคนทำงานที่รู้จริงในรายละเอียดของเรื่องราวการลงทุนต่าง ๆ ก็ยังอยู่ภายใต้คำสั่งหรือกรอบของหน่วยงานหรือสถาบันที่ตนสังกัดอยู่ ในขณะที่ ARK มีการกำกับแบบที่เป็นเครือข่าย นั่นคือ ผู้จัดการกองทุนหรือนักวิเคราะห์คนใดของ ARK เมื่อเห็นโอกาสการลงทุนในสาขาที่ตนถนัด ก็เพียงแค่ไปคุยกับแคธี่ วู้ด เพื่อการตัดสินใจครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เดินหน้าลงทุนได้เลย 2. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนในอดีต มักชอบที่จะให้นักวิเคราะห์หรือผู้จัดการกองทุนในบริษัทแข่งขันกันเองเพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุด รวมถึงมีการกั๊กทรัพยากรระหว่างพนักงานด้วยกัน หรือแม้กระทั่งเล่นการเมืองแบบลับ ๆ ระหว่างเจ้านายที่เริ่มไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองกับลูกน้องที่มีศักยภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือที่เรียกว่าสกัดดาวรุ่ง ในขณะที่ ARK เน้นให้เกิดความร่วมมือและแชร์ข้อมูลกับบทวิเคราะห์ระหว่างพนักงานด้วยกันเอง โดยการที่ ARK สามารถทำได้ดีในจุดนี้นั้น หนึ่งในเหตุผลคือ จำนวนบุคลากรในทีมการลงทุนของ ARK ยังค่อนข้างน้อยอยู่ โดยที่แต่ละคนจะรับผิดชอบ Product ของตนเอง โดยที่ไม่ไปเกี่ยวข้องหรือแข่งขันกับท่านอื่น รวมถึงแคธี่ วู้ดเองก็ดูแลลูกน้องทุกคนได้แบบค่อนข้างเข้าถึงตัวได้โดยตรง 3. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนเจ้าเดิม ๆ มักจะชอบมีความลับด้านการลงทุน หวงสูตรการลงทุนที่ตนเองมี และมีการแบ่งแยกระหว่างโลกส่วนตัวของบริษัทกับโลกที่เปิดเผยให้กับสาธารณชน ในขณะที่ ARK นั้น หุ้นทุกตัวที่แคธี วู้ด เข้าลงทุน จะได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนในวันถัดไป โดยที่ไม่เสียเปรียบต่อคู่แข่ง เนื่องจากมีหุ้นหลายตัวที่ ARK ถือเยอะจนบริษัทอื่นซื้อแทบไม่ได้ รวมถึง ARK เองก็เน้นการขายออกค่อนข้างบ่อยระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้กลยุทธ์การเลียนแบบ ARK ก็ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มเท่าที่ควรต่อคู่แข่ง 4. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนในอดีต มักจะชอบให้ตนเองมีความชำนาญแบบมืออาชีพ โดยที่เน้นความรู้ที่เป็นเฉพาะด้าน ในขณะที่ ARK เน้นไปหาหุ้นใหม่ ๆ จากเทคโนโลยีในสาขาที่ยังไม่นิ่งซึ่งยังต้องการวัฒนธรรมที่กล้าลองของใหม่ จึงเหมือนเป็นการไม่ยึดติดกับความรู้ที่เป็นเฉพาะด้าน ซึ่งจะไม่ได้มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอีกต่อไปแล้ว 5. สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนเจ้าเดิม ๆ นั้น ผู้บริหารชอบให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีในความเก่งของตนเองแบบนาน ๆ โดยที่ไม่ได้ให้ลูกน้องมีส่วนร่วมมากเท่าไหร่นัก ส่วน ARK เน้นให้ลูกค้าใช้บริการผลิตภัณฑ์ที่โดนใจในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นของตนเองเมื่อมีความฮ๊อตมากกว่า รวมถึงบรรดาลูกน้องของแคธี วู้ดต่างมีส่วนร่วมต่อการลงทุนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ในบริษัทและในโลกออนไลน์
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1677
Finance
ใครถูกขนานนามว่า บิดาแห่งการลงทุนตามแนวโน้ม (Trend following) ระหว่าง Richard Davoud Donchian หรือ Richard Dennis
null
Richard Davoud Donchian เพราะ Richard Davoud Donchian เป็นนักเก็งกำไรชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนียที่ลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และ สัญญาฟิวเจอร์ โดยเขาเกิดเมื่อปี 1905 จนถึงแก่กรรมเมื่อปี 1933 เนื่องด้วยผลงานมีมากมายจนได้เป็นที่ยอมรับกันใน Wall Street และถูกขนานนามว่า บิดาแห่งการลงทุนตามแนวโน้ม (Trend following) อีกด้วย ระบบช่องราคาของดอนเชี่ยน หรือ Donchian Channel ซึ่งตัวระบบนั้นถูกคิดค้นราวปี 1970 โดยจะอาศัยหลักการแบบ Trend following ( การเล่นหุ้นโดยตั้งสมมติฐานว่า ราคาของหุ้นจะเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้มหลักของมันจนกว่าแนวโน้มหลักของมันได้เปลี่ยนแปลงไป) จะประกอบไปด้วยสองส่วนหลักๆ คือกรอบด้านบนที่ถูกคำนวณจากจุดสูงสุดของราคาย้อนหลังไปเป็นจำนวน n วัน ส่วนกรอบด้านล่างจะคำนาณจากจุดต่ำสุดของราคาย้อยหลังไปเป็นจำนวน n วัน โดยใช้ค่า n ตามกฎ 4 สัปดาห์ หรือ 4 weeks rule (20 วัน) ที่คุณ Donchian ใช้ในตลาดฟิวเจอร์ เพื่อเป็นกำหนดแนวโน้มหรือแนวรับแนวต้านที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ส่วน Richard Dennis เป็นนักเก็งกำไรชื่อดังในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และเป็นหนึ่งผู้ให้กำเนิดกลุ่ม Turtle Trading System ร่วมกับ Bill Eckhardt เพื่อทำการทดสอบว่าการลงทุนนั้นสามารถถ่ายทอดให้กันได้หรือไม่ โดยทำการเปิดรับสมัครผู้คนที่มีความสนใจเข้ามาสัมภาษณ์ผ่านทางหนังสือพิมพ์ Wall Street
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1678
Finance
การซื้อหุ้นตามกูรูในช่วงตลาดขาขึ้น โดยไม่วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดหรือไม่?
null
ไม่ใช่ เหตุผล: ความน่าเชื่อถือของกูรู: กูรูแต่ละคนมีความรู้และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แหล่งที่มาของข้อมูล ความน่าเชื่อถือ และความแม่นยำของการวิเคราะห์ก็แตกต่างกันไป การติดตามกูรูโดยไม่กลั่นกรองข้อมูล อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ความเสี่ยง: ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง การซื้อหุ้นตามกูรูโดยไม่วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงตลาดขาขึ้น อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนได้ กลยุทธ์การลงทุน: กลยุทธ์การลงทุนของกูรูอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทุกคน นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การวิเคราะห์ข้อมูล: การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจธุรกิจ ความเสี่ยง และศักยภาพของหุ้น การพึ่งพาตนเอง: การพึ่งพาตนเอง ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด โดยไม่ต้องพึ่งพากูรูหรือบุคคลอื่น ตัวอย่าง: - กูรู A แนะนำให้ซื้อหุ้น X โดยอ้างว่าราคาหุ้นจะขึ้น แต่กูรู B วิเคราะห์แล้วพบว่า หุ้น X มีปัญหาทางการเงิน - กูรู C แนะนำให้ซื้อหุ้น Y โดยอ้างว่า หุ้น Y มีศักยภาพการเติบโตสูง แต่กูรู D วิเคราะห์แล้วพบว่า หุ้น Y มีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง สรุป: การซื้อหุ้นตามกูรูโดยไม่วิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตัวเอง เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1684
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีการคัดแยกกองทุน USA
null
กองทุน USA นั้นมีวิธีการคัดแยกออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ซึ่งวิธีการคัดแยกกองทุนนี้เป็นข้อมูลจากวันที่ 16 มีนาคม 2564 ค่ะ มาเริ่มที่วิธีแรกกันเลยนะคะ การคัดแยกกองทุน USA ที่เป็นประเภท US Equity จะมีกองทุน USA ที่อยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด 34 กองทุนค่ะ วิธีที่สอง คือ การคัดแยกกองทุน USA ที่เป็นกองทุนที่รายย่อยจะสามารถลงทุนได้ มีกองทุนที่อยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด 29 กองทุน ค่ะ และวิธีสุดท้ายก็คือ การคัดแยกกองทุนที่มาจากวิธีที่สองอีกทีหนึ่งค่ะ ซึ่งมีทั้งหมด 29 กองทุน เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก กองทุนประเภท passive 16 กองทุน และกลุ่มที่สอง กองทุนประเภท active 13 กองทุนค่ะ บทเรียนจากย่อหน้านี้ วิธีการคัดแยกกองทุน USA (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มีนาคม 2564) 1. กองทุนประเภท US Equity มีอยู่ 34 กองทุน 2. เป็นกองทุนที่รายย่อยสามารถลงทุนได้ 29 กองทุน 3. ใน 29 กองทุนนั้นแบ่งออกเป็น กองทุนประเภท passive และ active จำนวน 16 และ 13 กอง ตามลำดับ กองทุน passive เน้นการบริหารกองทุนให้ได้ใกล้เคียง Benchmark ที่สุด หรือลงทุนใน ETF ซึ่งก็เคลื่อนไหวตามดัชนีที่ ETF พยายาม tracking ให้ใกล้เคียงที่สุด กองทุน passive ของ USA มีดังนี้ – ดัชนี S&P500 หุ้นใหญ่ 500 ตัว – NASDAQ 100 หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา 100 ตัวแรก – ETF ดัชนี Top Billionaire Investors Index รวม 30 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด ที่บริหารงานโดย Self-made Billionaires เช่น Tesla, Facebook, Amazon และ Crowdstrike เป็นต้น – ETF ที่ลงทุนใน Financial Sector ของ S&P 500 มีอยู่ด้วยกันหนึ่งกอง คือ TUSFIN-A กองทุน active หรือกองทุนที่บริหารงานโดยผู้จัดการกองทุน เน้นจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อเอาชนะ Benchmark มีดังนี้ - กองทุนแบบผสม มีทั้งแบบ value และ growth ยกตัวอย่างกลุ่ม growth เช่น KF-US, KT-US-A และ TMBUSO ยกตัวอย่างกลุ่ม value เช่น TMBBLUESHIP นอกนั้นมีการผสมกันระหว่างสองกลุ่ม - กองทุนรวมหุ้นไซส์ขนาดกลางและเล็ก ขนาดไม่เกิน $6 Bn. กองทุนที่เน้น sector ธนาคารใน USA ที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง คือ MN-USABANK-A
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1686
Finance
การใช้ Market Filter ในการลงทุน สร้าง Alpha ได้จริงหรือไม่?" เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับกลยุทธ์การใช้ Market Filter ในการลงทุน
null
จากบทความ เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับกลยุทธ์การใช้ Market Filter ในการลงทุน 1. Market Filter ไม่ได้ช่วยให้ผลตอบแทนดีขึ้นเสมอไป จากผลการทดสอบ พบว่าพอร์ตที่ใช้ SET Index เป็น Market Filter มีผลตอบแทนทบต้น (CAGR) สูงกว่าพอร์ตที่ไม่ใช้ Market Filter (16% vs 8%) แต่ Max DD ของพอร์ตที่ใช้ Market Filter กลับต่ำกว่า (16% vs 40%) 2. Market Filter ช่วยลดความเสี่ยง จากผลการทดสอบ พบว่าพอร์ตที่ใช้ Market Filter มี Max DD ต่ำกว่าพอร์ตที่ไม่ใช้ Market Filter แสดงว่า Market Filter ช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตลง 3. Market Filter ช่วยลดจำนวนการซื้อขาย จากผลการทดสอบ พบว่าพอร์ตที่ใช้ Market Filter มีจำนวนการซื้อขาย (Trade) น้อยกว่าพอร์ตที่ไม่ใช้ Market Filter แสดงว่า Market Filter ช่วยให้นักลงทุนมีวินัยในการลงทุนมากขึ้น 4. Market Filter มีข้อจำกัด จากผลการทดสอบ พบว่าพอร์ตที่ใช้ Market Filter มี Win Rate ต่ำกว่าพอร์ตที่ไม่ใช้ Market Filter (35% vs 30%) แสดงว่า Market Filter ไม่ได้ช่วยให้ชนะตลาดได้เสมอไป 5. กลยุทธ์การใช้ Market Filter มีหลายแบบ ในบทความนี้ เป็นเพียงการทดสอบกลยุทธ์การใช้ Market Filter แบบง่ายๆ ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ อีกมากมายที่นักลงทุนสามารถลองนำไปใช้ คำแนะนำเพิ่มเติม นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การใช้ Market Filter เพิ่มเติม ควรทดสอบกลยุทธ์การใช้ Market Filter ด้วยบัญชีจำลองก่อนนำไปใช้จริง ควรเลือก Market Filter ที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง ควรติดตามผลการดำเนินงานของ Market Filter อย่างสม่ำเสมอ สรุป กลยุทธ์การใช้ Market Filter เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนมีผลตอบแทนที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงลง แต่ Market Filter ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนชนะตลาดได้เสมอไป นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้และทดสอบกลยุทธ์การใช้ Market Filter เพิ่มเติมก่อนนำไปใช้จริง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1689
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เทคนิคในการหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
null
เทคนิคในการหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง มีอยู่มากมายเลยทีเดียวค่ะ การหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เริ่มต้นจากการที่สินทรัพย์นั้นอาจจะมาจากการที่มีคนรู้จักและเข้าใจได้น้อย หรือมาจากกลุ่มประเทศที่คนไม่ค่อยสนใจ มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานทางบริษัท ประเด็นที่พูดถึงนั้นมีการถกเถียงและผู้คนต่างหวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะกับพอร์ตการลงทุน เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับความสนใจของผู้คนหมู่มาก เป็นสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนย่ำแย่แบบเป็นเอามาก และสินทรัพย์นั่นเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนเลย บทเรียนจากย่อหน้านี้ เทคนิคในการหาสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง - มีคนรู้จักน้อยและคนเข้าใจน้อย ยกตัวอย่าง ก็อาจจะเป็นหุ้นเทคต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนใหม่ ๆ ก็ได้ หรือ อาจจะเป็นกลุ่มประเทศที่คนไม่ค่อยสนใจ แบบอินเดีย หรือ บราซิล แต่ต้องระวังเรื่องความเสี่ยงประเทศอีกที - ตั้งคำถามเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ อาจจะเป็น balance sheet สตอรี่ธุรกิจ บริษัท - เป็นที่ถกเถียงและผู้คนต่างหวาดกลัว อย่างเช่น น้ำมันที่มีความผันผวน - ไม่เหมาะสมสำหรับพอร์ตการลงทุน เช่น น้ำมัน - ไม่เป็นที่นิยม ไม่ได้รับความสนใจ เช่น เหล็ก น้ำมัน - มีผลตอบแทนย่ำแย่ เช่น น้ำมัน หุ้นธนาคาร - ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับลงทุนและเก็บสะสม เช่น น้ำมัน หุ้นธนาคาร ในช่วงที่ผ่านมา
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1691
Finance
นักลงทุน “มือใหม่” ไม่เคยลงทุนแบบเดียวกับที่อเมริกา เพราะเหตุใด
null
พวกเขาส่วนใหญ่เป็น “มือใหม่” ไม่เคยลงทุนแบบเดียวกับที่อเมริกา เหตุผลที่เข้าตลาดคือ เกิดจากโควิดที่ทำให้ตกงานและอยู่กับบ้าน เครื่องมือลงทุนสำหรับรายย่อยก็พร้อมและไม่ได้เสียเปรียบรายใหญ่ เช่นเดียวกับข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้ฟรี เม็ดเงินที่ใช้ลงทุนนั้นว่าที่จริงไม่เคยสูงอยู่แล้วและมีเงินแค่หลักพันบาทก็เล่นหุ้นได้สบายมาก ไม่เหมือนของตลาดหุ้นอเมริกาในสมัยก่อนแค่ไม่เกิน 10 ปีที่ต้องใช้เงินซื้อ-ขายหุ้นสูงเนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่มีราคาสูงมาก ราคาหุ้นละหลายพันหรือหลายหมื่นบาทเป็นเรื่องปกติ หุ้นเบิร์กไชร์ของบัฟเฟตต์เองนั้นราคาหุ้นละเป็นหลายล้านบาท นักลงทุนรุ่นใหม่ที่เข้าตลาดหุ้นรอบนี้ก็เช่นเดียวกับที่อเมริกา คือ มีอายุค่อนข้างต่ำ คาดว่าก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 30 เศษ ๆ เป็นส่วนใหญ่ และเป็นนักลงทุนที่กล้าได้กล้าเสียเล่นเร็วซึ่งทั้งหมดทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้นไทยสูงเป็นแสนล้านบาทกลายเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับที่ตลาดหุ้นเวียตนามที่โวลุมสูงเป็นประวัติการณ์เป็นหลักหมื่นหรือสองสามหมื่นล้านบาทในบางวันจนทำให้ระบบเทรดหุ้นของตลาดรองรับไม่ไหวแล้ว การแห่เข้ามาเล่นหุ้นของนักลงทุนส่วนบุคคลรอบนี้ ทำให้เกิดการ “ผิดเพี้ยน” หรือ “ไร้เหตุผล” ของราคาหุ้นและหลักทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงบิทคอยน์ ในความเห็นของชาลี มังเกอร์ บอกว่า คนรุ่นใหม่เหล่านี้ไม่ได้อิงกับพื้นฐานแต่เก็งกำไรอย่างกับการเล่นม้า คำสัมภาษณ์ของเขาถูกตอบโต้ในอินเตอร์เน็ตว่า “อย่ามายุ่ง ตาแก่ขี้ฉุน” คิดว่านี่ก็คงเหมือนกับในตลาดหุ้นไทยที่หุ้นจำนวนมากที่ต่างก็วิ่งกันโดยไม่สมเหตุผลและเชื่อว่าส่วนสำคัญมาจากนักเล่นหุ้น “เก็งกำไร” โดยเฉพาะจากคนรุ่นใหม่ที่เข้ามา “รุม” หาหุ้นที่จะเล่นทุกวัน ซึ่งผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปบางทีหลายเท่าในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน คล้าย ๆ กับหุ้นเกมสต็อปและหลักทรัพย์ “เก็งกำไร” อื่น ๆ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1695
Finance
จงบอก 5 เหตุผลทำไมถึงต้องลงทุนในหุ้น E-commerce
null
5 เหตุผลทำไมถึงต้องลงทุนในหุ้น E-commerce - E-commerce เป็นทางเลือกที่ปฏิเสธไม่ได้ของธุรกิจรายย่อย ที่ต้องการความคล่องตัวสูง ทุนไม่จม ไม่เจ็บหนัก หรือ ไม่เจ็บเลยหากไม่สต็อคสินค้า รวมไปถึงรายใหญ่ที่ต้องปรับตัวเข้ามาต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ในตลาดนี้มากขึ้น หลังตลาด E-commerce เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราที่สูงมาก ๆ - ยอดขายออนไลน์ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบแบบทบต้นที่ 20% ต่อปี ในช่วงปี 1999-2020 จากรายงานของกระทรวงการค้าสหรัฐฯ - มีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักช้อปออนไลน์จะเติบโตที่ 25% ต่อปี ในช่วงปี 2019-2023 - E-commerce กำลังเข้ามาแย่งพื้นที่ในโลกของการค้าขายแบบมีหน้าร้าน โดยครองพื้นที่สัดส่วนอยู่ที่ 21.3% ของยอดขายสินค้าทั้งหมดในปี 2020 และมีแนวโน้มเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลในอดีต - ตลาด E-commerce เติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2020 หลัง COVID-19 เข้ามาเร่งอัตราการเติบโตในระดับที่สูงมาก ๆ E-commerce จึงอาจเป็นแนวโน้มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีแนวโน้มปัจจัยพื้นฐานยืนยันอย่างชัดเจน นโยบายการลงทุนและความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ทำธุรกิจ มีรายได้หรือได้ประโยชน์จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซจากทางตรงหรือทางอ้อม เช่น บริษัทที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์ ลงทุนในหุ้นต่างประเทศตามลักษณะข้างต้น ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดโดยกองทุนจะมี net exposure ในตราสารทุนต่างประเทศตามลักษณะข้างต้น รวมกันโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ระดับความเสี่ยงระดับ 6
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1701
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยง: การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงสูง ความผันผวน: ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูง ดัชนี SET เคยร่วงลงกว่า 50% ในช่วงวิกฤตปี 2540 สัดส่วนการลงทุน: นักลงทุนรายย่อยไทยส่วนใหญ่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ความหลากหลาย: การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว ทำให้พอร์ตการลงทุนขาดความหลากหลาย โอกาส: - การเติบโต: ตลาดหุ้นไทยมีศักยภาพการเติบโตจำกัด - เศรษฐกิจ: เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตต่ำ - ประชากร: ประชากรไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทางเลือก: - ตลาดหุ้นต่างประเทศ: ตลาดหุ้นต่างประเทศมีศักยภาพการเติบโตสูง - สินทรัพย์ประเภทอื่น: สินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ตัวอย่าง: นักลงทุนรายย่อยไทย ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงสูง ดัชนี SET ร่วงลง 50% นักลงทุนสูญเสียเงินลงทุน ข้อควรระวัง: - การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยง - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน - นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง สรุป: - นักลงทุนรายย่อยควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ - การลงทุนในต่างประเทศมีศักยภาพการเติบโตสูง - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1702
Finance
บอกสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ''รีวิวกองทุน KFINFRA-A: คว้าโอกาสลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่'' ให้หน่อย
null
"รีวิวกองทุน KFINFRA-A : คว้าโอกาสลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่" เป็นหัวข้อที่น่าสนใจเนื่องจากมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับกองทุนนี้ที่มีศักยภาพในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นี่คือบางจุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกองทุน KFINFRA-A: 1. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน : กองทุน KFINFRA-A เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นที่ต้องการในยุคปัจจุบัน เช่น ถนน ระบบขนส่ง พลังงาน และสารสนเทศ-การสื่อสาร เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและพัฒนาฐานรากฐานของประเทศ. 2. การดำเนินงานโดยความเชี่ยวชาญ : กองทุนนี้มักจะมีผู้จัดการที่มีความเชี่ยวชาญในการทำงานในสายงานของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าการจัดการและการลงทุนนั้นถูกดำเนินโดยผู้เชี่ยวชาญ. 3. การดำเนินการในยุคใหม่ : กองทุนนี้อาจมีแนวโน้มที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของยุคใหม่ เช่น การลงทุนในพื้นที่เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) หรือการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การใช้งานปัญญาประดิษฐ์ในการดูแลรักษาสถานที่สาธารณะ. 4. โอกาสและความเสี่ยง: เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุนอื่น ๆ การลงทุนใน KFINFRA-A ก็มีโอกาสและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยความเสี่ยงอาจมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการ หรือความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเศรษฐกิจทั่วไปของประเทศ. การตัดสินใจในการลงทุนใน KFINFRA-A หรือกองทุนใด ๆ ควรพิจารณาข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่อย่างรอบคอบ และปรึกษากับที่ปรึกษาการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนก่อนที่จะตัดสินใจเพื่อให้มั่นใจในการตัดสินใจของตนเอง.
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1706
Finance
ช่วยแต่งนิยายเรื่อง "รอยหมุนของชีวิต ของหกบุคคล" ให้หน่อยได้ไหม
null
เรื่องราวของนิยายที่เกี่ยวกับ"ประกันสังคม: จ่ายแล้ว...ไปไหน?" ชื่อเรื่อง: รอยหมุนของชีวิต ของหกบุคคล ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนของชีวิต เราต้องหันสู่ระบบประกันสังคมเพื่อความคุ้มครองในช่วงเวลาที่เรายังไม่รู้จักแนวทางของอนาคต นี่คือเรื่องราวของหกบุคคลที่มีชีวิตแต่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนของชีวิตและระบบประกันสังคมที่พวกเขาอยู่ในกระแสของมัน 1. นางสาวพลอย : นักเรียนมหาวิทยาลัยที่พยายามทำงานเพื่อเอาตัวรอดจากค่าเล่าเรียนที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่เธอพบว่าการทำงานที่เธอทำมีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นไปได้ในการซึมเศร้า 2. คุณป้ามาลี: หญิงสาวกลางอายุที่ทำงานเกษียณแล้ว แต่พบว่าการรับเงินเกษียณไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งเธอต้องเริ่มคิดใหม่เกี่ยวกับการผ่อนชำระค่าเช่าหอพักและค่าน้ำ-ค่าไฟ 3. นายอภิสิทธิ์: ผู้จัดการในบริษัทที่ต้องการที่จะเกษียณอายุแต่พบว่าเงินออมไม่เพียงพอ และเขาต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อแผนการเกษียณของเขา 4. คุณป้าศรีรัตน์: หญิงสาวที่สูญเสียงานเนื่องจากการล้างบัตรของธนาคาร ซึ่งเธอต้องเริ่มต้นใหม่โดยการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการกับการเงินและการลงทุนในช่วงเวลาที่ยังไม่มั่นใจ 5. นายวรเดช: นักลงทุนที่มีเงินในบัญชีส่วนตัวมากมาย แต่เขาพบว่าการเงินในชีวิตส่วนตัวและระบบประกันสังคมเกิดความแตกต่างอย่างมาก และเขาต้องพยายามหาทางเชื่อมโยงระหว่างการลงทุนกับชีวิตประจำวันของเขา 6. นางสาวอรชร : ผู้หญิงสาวที่เพิ่งเริ่มชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเธอต้องพบกับความไม่แน่นอนในการหางานและการเข้าถึงระบบประกันสังคมเป็นครั้งแรก นิยายเรื่อง "รอยหมุนของชีวิต" เป็นเรื่องราวที่สร้างความรู้สึกถึงความเป็นมาของระบบประกันสังคมและผลกระทบที่มันส่งผลต่อชีวิตของคนทั้งหกคนนี้ โดยแต่ละตอนของนิยายจะเป็นการพูดถึงประสบการณ์และความกังวลของแต่ละตัวละครในการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของชีวิตและระบบที่ควรคุ้มครองชีวิต และโชคชะตาที่อาจจะประสบในอนาคตที่ไม่แน่นอนนี้
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1708
Finance
ASP-POWER ลงทุนผ่าน 3 กองทุน ได้แก่กองทุนใดบ้าง
null
ASP-POWER ลงทุนผ่าน 3 กองทุนพร้อมการจัดการแบบยืดหยุ่นเพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุด 1) iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) กองทุน ETF จากค่าย iShares ที่เน้นลงทุนในพลังงานทางเลือกอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานสะอาดในรูปแบบอื่น ๆ 2) Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) ลงทุนแบบจัดเต็มในเทคโนโลยีลิเธียมจากการขุดและการกลั่นแร่ ไปจนถึงการผลิตแบตเตอรี่ 3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF เฟ้นหาการลงทุนในบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าหรือมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนา ในส่วนของการผลิต เทคโนโลยีไร้คนขับ แบตเตอรี่แบบลิเธียม รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้า *กองทุนอาจลงทุนในแต่ละธีมในสัดส่วนเท่า ๆ กัน แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุนในแต่ละกองทุน 1) iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) 1.1) PLUG POWER INC ผู้ให้บริการเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ผลิตเซลล์พลังงานแบบไฮโดรเจนที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมและสำหรับตลาดพลังงานสะอาด ซึ่งมีสินค้าและบริการหลัก ๆ อย่าง Genkey ที่ช่วยให้คำปรึกษาในการปรับเปลี่ยนในการใช้เซลล์พลังงานทางเลือก, GenDrive เซลล์พลังงานสำหรับพาหนะ, GenFuel ระบบการขนส่งพลังงานแบบไฮโดรเจน, และ GenCare สำหรับให้บริการการดูแลผลิตภัณฑ์จาก GenDrive และ GenFuel 1.2) ENPHASE ENERGY INC ผู้ให้บริการการจัดการพลังงานทางเลือกตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การดีไซน์ระบบ การพัฒนา การผลิต ไปจนถึงการขาย อย่างครบครัน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์อย่างอุปกรณ์ Microinverter ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้คู่กับแผงโซลาร์เซลล์รูปแบบใหม่ ซึ่งใช้แผงวงจรแบบแยกที่จะช่วยลดการขัดข้อง จากเดิมที่เป็นการต่อรวมกันรวดเดียว 1.3) DAQO NEW ENERGY ADR REPRESENTING บริษัทผู้ผลิต Polysilicon (ใช้ในแผงโซลาร์เซลล์ แผงวงจรและอุปกรณ์ semiconductor) และ wafer (ซิลิคอนเกรดที่ใช้สำหรับ semiconductor) ในจีนซึ่งใช้เป็นฉนวนสำหรับอุตสาหกรรมมาแรงอย่าง semiconductor และแผงโซลาร์เซลล์ โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 12,150 เมตริกตันในเขตซินเจียง 2) Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) 2.1) ALBEMARLE CORP บริษัทผู้ให้บริการระดับโลกในการพัฒนา การผลิต ในส่วนของสารเคมีเฉพาะทาง เช่น ลิเธียม ซึ่งเป็นสารสำคัญที่เปรัยบเสมือนแขนขาของแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน 2.2) GANFENG LITHIUM CO LTD-A บริษัทจากจีนที่เน้นวิจัย พัฒนา และผลิต ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับลิเธียมโดยเฉพาะ มีทั้งแบบเป็นสารประกอบ เหล็กลิเธียมไปจนถึงแบตเตอรี่ลิเธียม 2.3) SAMSUNG SDI CO LTD บริษัทจากเกาหลีชื่อคุ้นหู ที่หันมาทำในส่วนของแบตเตอรี่ที่ทั้งผลิต จัดจำหน่าย แบตเตอรี่มือถือ แบตเตอรี่ยานยนต์ รวมไปถึงอุปกรณ์เก็บพลังงาน ซึ่งจัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ 3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF 3.1) NIO INC – ADR บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ที่มีระบบไร้คนขับและเทคโนโลยี AI โดยมีสินค้าอย่างรถ SUV 7 ที่นั่งที่เร่งความเร็วถึง 100 กม/ชม. ในเวลา 4.4 วินาที 3.2) INFINEON TECHNOLOGIES AG บริษัทเทคโนโลยีจากเยอรมันที่ออกแบบ พัฒนาและผลิต semiconductor สำหรับยานยนต์ อุตสาหกรรมต่าง ๆ และชิปต่าง ๆ 3.3) SOUTHERN COPPER CORP บริษัท ผู้ผลิตโลหะทองแดงซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับใช้ในการผลิตแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งการใช้ทองแดงกำลังมีการเติบโตล้อไปกับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน
ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1714
Finance
บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ เหมาะกับการเก็บเงินระยะยาวหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ข้อดี ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์มักให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์แบบดั้งเดิม สะดวก: สามารถเปิดบัญชีและทำธุรกรรมได้ทั้งหมดผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ โดยไม่ต้องไปธนาคาร ไม่มีค่าธรรมเนียม: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน หรือค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ข้อเสีย ความเสี่ยงทางไซเบอร์: บัญชีออนไลน์มีความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล เงื่อนไขการให้ดอกเบี้ย: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์บางบัญชีมีเงื่อนไขการให้ดอกเบี้ยที่ยุ่งยาก เช่น ต้องรักษายอดเงินคงเหลือขั้นต่ำ หรือต้องทำธุรกรรมผ่านบัญชีออนไลน์ ตัวเลือกการลงทุนจำกัด: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย ปัจจัยที่ต้องพิจารณา เป้าหมายทางการเงิน ระยะสั้น: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์อาจเป็นตัวเลือกที่ดี ระยะยาว: อาจต้องการพิจารณาตัวเลือกอื่นที่มีผลตอบแทนสูงกว่า เช่น กองทุนรวม หรือประกันชีวิต ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความเสี่ยงต่ำ: บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์เป็นตัวเลือกที่มีความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงสูง: อาจต้องการพิจารณาตัวเลือกอื่นที่มีผลตอบแทนสูงกว่า แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า ความสะดวก ต้องการความสะดวกในการทำธุรกรรม บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์เป็นตัวเลือกที่ดี ค่าธรรมเนียม เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของบัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ต่างๆ ตัวเลือกการลงทุน ต้องการตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี สรุป บัญชีออมทรัพย์ออนไลน์อาจเหมาะกับการเก็บเงินระยะยาว ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และปัจจัยอื่นๆ คำแนะนำ - เปรียบเทียบบัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ต่างๆ - ศึกษาเงื่อนไขการให้ดอกเบี้ย - พิจารณาตัวเลือกการลงทุนอื่นๆ - ตัดสินใจโดยคำนึงถึงเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1716
Finance
ทำไมธีม Energy Transition ถึงน่าสนใจ
null
เหตุผลที่ Energy Transtion เป็นเรื่องน่าสนใจ คือ "ภาวะโลกร้อน” ทุกคนต่างก็ได้ยินสภาวะนี้มานานแล้ว การที่อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แบบผิดปกตินั้น เป็นเหตุมาจากการที่มนุษย์ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้น เมื่อกิจกรรมทางอุตสาหกรรมของมนุษย์เพิ่มขึ้น การปล่อย CO2 ก็มากขึ้นตาม ทำให้เกิดการสะสมความร้อนมากตามมา ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน หรือถ้าให้เรียกแบบครอบคลุมกว่า ก็คือ “การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตโดยรวม เหล่าประเทศพัฒนาแล้วต่าง ๆ ก็ไม่นิ่งนอนใจ เหล่ารัฐบาลต่างสนับสนุน - สหรัฐฯ: กลับเข้าสู่ Paris Agreement ที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมอุณหภูมิโลก สะท้อนผ่านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่มีแผนลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม - จีน: ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ตั้งเป้าว่าในปี 2060 จะไม่มีการปล่อยก๊าซ CO2 เลย และมีแผนสนับสนุนเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมในอีก 5 ปีข้างหน้า - สหภาพยุโรป: อีกหนึ่งภูมิภาคที่ตั้งเป้าว่าจะไม่ปล่อยก๊าซ CO2 เลยในปี 2050 ตอนนี้ก็มีการเพิ่มเงินสนับสนุนสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมาก เป็นผลมาจาก Paris Agreement และแผน European Green Deal และยังมีอีกหลาย ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ที่ตั้งเป้าลดก๊าซ CO2 เช่นกัน นอกจากนี้ยังมี 3 ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุน Energy Transition: 1. ประชากรที่เพิ่มขึ้น: ปัจจุบัน (ก.พ. 2021) ประชากรโลกอยู่ที่ 7.8 พันล้านคน ข้อมูลจากเว็บ Our Word in Data คาดการณ์ว่าในปี 2050 ประชากรทั่วโลกจะอยู่ระดับ 9.7 พันล้านคน และในปี 2100 จะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านคน 2. ความต้องการบริโภคพลังงานที่เพิ่มขึ้น: ผลจากข้อที่แล้ว ยิ่งมีคนมากขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจเติบโตขึ้น พลังงานก็ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น แต่ถ้าจะให้พึ่งเชื้อเพลิงที่ทำให้โลกร้อนต่อไปก็คงไม่ไหว 3. เป้าหมายลด CO2: จากที่แต่ละประเทศตั้งปณิธานกันว่าจะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซ CO2 ก็จะยิ่งช่วยให้แต่ละธุรกิจต้องหาวิธีใช้พลังงานแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ทำร้ายโลก ซึ่งปัจจุบันนั้น CO2 จากอุตสาหกรรมนั้นนับเป็น 70% ของการปล่อย CO2 ทั้งหมด แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจพลังงานสีเขียวที่จะเข้ามาช่วยลดสัดส่วนตรงนี้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1720
Finance
การซื้อบิทคอยน์จำนวน 1.5 พันล้านเหรียญและการประกาศว่าเทสลาจะรับบิทคอยน์เป็นค่าซื้อรถเทสลาของ อีลอน มัสก์ เป็น “ข่าวใหญ่” ในแวดวงธุรกิจการเงินและการลงทุน หลังจากที่ข่าวออกไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 64 ราคาบิทคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นถึงเท่าไหร่
null
การซื้อบิทคอยน์จำนวน 1.5 พันล้านเหรียญและการประกาศว่าเทสลาจะรับบิทคอยน์เป็นค่าซื้อรถเทสลาของ อีลอน มัสก์ เป็น “ข่าวใหญ่” ในแวดวงธุรกิจการเงินและการลงทุน หลังจากที่ข่าวออกไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 64 ราคาบิทคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นถึง 19% เป็นประมาณ 1.4 ล้านบาทไทยและสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้มูลค่าทั้งหมดหรือ Market Cap. ของบิทคอยน์เท่ากับประมาณ 8.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26 ล้านล้านบาทไทย แน่นอนว่า “อิทธิพล” ของมัสก์ ได้ช่วยขับเคลื่อนราคาของบิทคอยน์ขึ้นไปมาก คนคงจะเชื่อมั่นในตัวมัสก์ว่ามองอะไรไม่ผิด เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นเทสลาของเขาก็มีการปรับตัวขึ้นมามโหฬารจนมีมูลค่าประมาณ 8.2 แสนล้านดอลลาร์ใกล้เคียงกับมูลค่าของบิทคอยน์ ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นเทสลาปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5.6 เท่า ในขณะที่บิทคอยน์ก็ขึ้นมาประมาณ 4.6 เท่า ใกล้เคียงกัน ถ้ามองทางด้านของ “พื้นฐาน” หรือเหตุผลที่ทั้งสองหลักทรัพย์หรือตราสารมีคล้าย ๆ กันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เทสลานั้นขายความเป็น “โลกแห่งอนาคต” ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้คนขับที่จะ “ปฏิวัติ” รถยนต์ดั้งเดิมของโลก ในขณะที่บิทคอยน์เองนั้นก็จะเป็น “โลกแห่งอนาคต” ของ “เงิน” ที่จะใช้กันทั่วโลกในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ดังนั้น ราคาที่ขึ้นมาแรงและเร็วมากจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า เทสลาจะยิ่งใหญ่มากในโลกของรถยนต์ ในขณะที่บิทคอยน์ก็จะยิ่งใหญ่มากในโลกของเงินที่เรียกว่า “Cryptocurrency” ที่วันหนึ่งคนจะใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันทั่วโลกแทนระบบเงินตราปัจจุบันที่เป็นดอลลาร์ หยวน หรือบาทและอื่น ๆ ที่เป็นเงินของแต่ละประเทศที่ใช้กันมานาน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1721
Finance
เขียนบทสนทนา ถาม-ตอบ ระหว่างนักลงทุน 2 คน เกี่ยวกับ 6 ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้
null
บทสนทนา ถาม-ตอบ ระหว่างนักลงทุน 2 คน คือ เชิดกับสิน เกี่ยวกับ 6 ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้ เชิด : สิน นายได้อ่านหนังสือ Thinking, Fast and Slow ไปหรือยัง สิน : อ่านแล้ว ได้ข้อคิดเยอะเลย เชิด : เราก็อ่านจบแล้วเหมือนกัน เอางี้ มาไล่ข้อคิดทีละข้อกันเลย สิน : หนังสือเล่มนี้ได้ข้อคิดตั้ง 6 ข้อ เลย เชิด : อ๋อเหรอ งั้นเรามาผลัดกันตอบนะ สิน : ข้อแรก อย่าเผลอยึดผลลัพธ์ เชิด : ข้อสอง อย่าซื้อขายระยะสั้น ถ้าใจไม่ถึง สิน : ข้อสาม บัญชีในใจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เชิด : ข้อสี่ อะไรที่ไปสูงมาก หรือตกต่ำมาก สุดท้ายก็จะกลับคืนสู่จุดสามัญ สิน : ข้อห้า ทำไมบางคนขายหุ้นดี ทนถือหุ้นแย่ เชิด : และข้อสุดท้าย พูดพร้อมกันนะ สิน/เชิด : “ต้นทุนจม” ตัวฉุดไม่ให้เราก้าวหน้า!!! บทเรียนจากบทสนทนานี้ ข้อคิด จากหนังสือ Thinking, Fast and Slow ที่นำไปปรับใช้กับการลงทุนได้ 1. อย่าเผลอยึดผลลัพธ์ Outcome Bias คือชื่อเรียกของความลำเอียงประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเราตัดสินใจโดยอ้างอิงจากผลลัพธ์ล้วน ๆ ไม่ได้ดูลึกลงไปว่าอะไรทำให้เกิดผลลัพธ์นั้น ๆ เช่น หากขาดทุนจากการลงทุน อาจจะมองว่ากลยุทธ์การลงทุนที่ผ่านมานั้นผันผวน เสี่ยงสูงเกินไป หรือสินทรัพย์ที่ลงทุนนั้นเป็นสินทรัพย์ที่ “แย่” ในขณะเดียวกันหากได้กำไร ก็จะมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดี เหมาะกับตัวเอง มองว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนไปนั้น “ดีเยี่ยม” ความลำเอียงนี้จะส่งผลกับการตัดสินใจต่อ ๆ ไป หากเคยขาดทุน ก็จะระมัดระวังมากขึ้น (จนเผลอมองข้ามโอกาสดี ๆ อื่น ๆ) และหากเคยกำไร ก็จะยิ่งบู๊มากขึ้น (จนไม่ทันระวังตัวก็มี) ซึ่งถามว่าการตัดสินใจมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลตอบแทนไหม ก็ต้องตอบว่ามีบางส่วน แต่สิ่งที่คาดคะเนไม่ได้เลยคือปัจจัยอื่น ๆ ที่จะมาพร้อมกับโชค ทางที่ดีคือ ควรมองหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ใช่แค่ตัวเลขเงินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างเดียว แล้วยึดว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่ควรดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยส่งให้การลงทุนที่ผ่านมานั้นดี/แย่ บางทีอาจจะเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เลย 2. อย่าซื้อขายระยะสั้น ถ้าใจไม่ถึง เวลาตัดสินใจมักจะมองเป็นอย่าง ๆ ไป หรือที่เรียกว่า Narrow Framing เพราะมันง่ายกว่า แต่ถ้ามองอีกแบบ มองแบบภาพรวม (Broad Framing) ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป การพนันด้วยการทอยเหรียญเพียงครั้งเดียว แล้วเสี่ยงดวงเอาครึ่งต่อครึ่งว่าจะเสียเงินหรือได้เงิน ฟัง ๆ แล้วอาจจะดูไม่น่าสนใจ ฟังดูเสี่ยงเกินไป โดยเฉพาะสำหรับคนที่กลัวความเสี่ยง แม้ว่าจะเป็นจำนวนเท่า ๆ กัน แต่การเสียนั้นจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับความรู้สึกดีใจจากการได้ในจำนวนเท่า ๆ กันเสียอีก (ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Loss Aversion) ถ้าเป็นการพนันหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็คงจะชนะบ้างแพ้บ้าง จะดูน่าสนใจขึ้นทันทีหากมองภาพรวม โอกาสการสูญเสียถูกลดทอนน้ำหนักลงไป ส่วนโอกาสการชนะก็ถูกเน้นย้ำมากขึ้น จุดนี้มีการเปรียบเทียบกับการลงทุน หนังสือบอกว่าคนที่มองการลงทุนเป็นภาพรวม เป็น “พอร์ตโฟลิโอ” ระยะยาวจะสามารถบริหารการลงทุน (และสภาพจิตใจ) ได้ดีกว่าคนที่มองว่าการลงทุนคือการซื้อ ๆ ขาย ๆ ระยะสั้นในแต่ละครั้ง ตรงกับวลีที่ว่าเวลาคือเพื่อนของนักลงทุน 3. “บัญชีในใจ” มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยปกติแล้ว “เงิน” ก็คือ “เงิน” เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีค่าเท่ากัน และสามารถใช้แทนกันได้หมด แต่ปรากฏการณ์ Mental Accounting ไม่ทำให้คิดแบบนั้น มองในแง่ดี Mental Accounting ช่วยให้แบ่งเงินออกตามวัตถุประสงค์การใช้งานได้ เช่น เงินก้อนนี้สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินก้อนนี้เป็นเงินลงทุนระยะยาว เงินก้อนนี้ไว้สำหรับไปเที่ยว ฯลฯ ซึ่งนี่ก็คือลักษณะของ Narrow Framing ช่วยให้บริหารจัดการเงินได้ดีขึ้น ผลเสียของ Mental Accounting มีไหม ต้องบอกว่ามีเหมือนกัน เพราะบางครั้งมันอาจจะส่งผลให้ตัดสินใจ “ใช้เงินเยอะ” ในส่วนที่เป็นเงินโบนัส หรือเงินจากการถูกหวย ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันก็คือเงินเหมือนกัน เหมือนกับเงินเดือนที่ขวนขวายหามา หรือเงินทุนที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อหุ้น นั่นก็เพราะพอเป็นเงินที่หามาได้จากความพยายาม อาจจะไม่กล้าใช้มันเท่าไร แต่พอเป็นเงินลาภลอย ก็จะกล้าใช้มากขึ้น ทั้งที่จริง ๆ สามารถนำลาภลอยไปเก็บออม ไปลงทุนต่อก็ได้ 4. อะไรที่ไปสูงมาก หรือตกต่ำมาก สุดท้ายก็จะกลับคืนสู่จุดสามัญ Regression to The Mean คือแนวคิดที่ว่าอะไรที่สุดโต่งมาก ๆ สุดท้ายก็จะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่จุดค่าเฉลี่ยของมันเอง เด็กที่เคยสอบได้คะแนนสูงมาก ๆ ในครั้งแรก มักจะทำได้ไม่ดีเท่าเดิมในครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกเขาอาจจะโชคดีมาก ๆ และโอกาสที่จะโชคดีเท่าเดิมนั้นก็ไม่เยอะ (ในเชิงจิตใจ เด็กอาจจะกดดันในครั้งที่สอง ทำให้ทำข้อสอบได้ไม่ดีเท่าครั้งแรก) ในขณะที่เด็กซึ่งทำผลสอบได้ไม่ดีในครั้งแรก ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งต่อไปจะไม่ดีเช่นกัน เสร็จจากครั้งนั้นเขาอาจจะไปติวมากขึ้น ทำให้รอบต่อไปผลสอบดีขึ้นได้ ในฝั่งของการลงทุน อาจจะได้เห็นผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ที่เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง บางปีก็ขึ้นสูงมาก บางปีก็ตกต่ำมาก แต่แน่นอนว่าไม่มีสินทรัพย์ไหนเลยที่จะขึ้นไปตลอด หรือลงไปตลอด สุดท้ายทุก ๆ สินทรัพย์ย่อมกลับมาสู่จุดค่าเฉลี่ยระยะยาว นี่ก็ส่งผลต่อระยะเวลาการลงทุนด้วยเช่นกัน หากลงทุนสั้น ๆ ซื้อขายไว ๆ ก็จะพบกับความเสี่ยงที่มากกว่า เพราะอาจจะเจอปีที่ “โชคดีเป็นพิเศษ” หรือ “โชคร้ายเป็นพิเศษ” ก็ได้ แต่ถ้าเลงทุนยาว ๆ ไป ความเสี่ยงหรือ “โชค” ระยะสั้นจะไม่มีผลมากนัก ผลตอบแทนก็จะได้เป็นค่าเฉลี่ยระยะยาวไป 5. ทำไมบางคนขายหุ้นดี ทนถือหุ้นแย่ Disposition Effect เป็นปรากฏการณ์ที่ใช้อธิบายว่าทำไมนักลงทุนบางคนถึงขายหุ้นที่กำไรดี ๆ ไป แต่ยังทนขาดทุนกับหุ้นแย่ ๆ เหตุผลคือการขายหุ้นดี ๆ ที่กำไรแล้ว จะทำให้เขารู้สึกว่า “ทำแต้ม” ได้ ในขณะที่การขายหุ้นแย่ ๆ แบบขาดทุนจะทำให้เขารู้สึกว่า “เสียแต้ม” สมมติว่า ต้องการขายหุ้นสักตัว มีตัวเลือกระหว่างหุ้นดีอย่างหุ้น A ที่กำไรแล้ว กับหุ้น B ที่เป็นหุ้นแย่แถมกำลังขาดทุนอยู่ หากขายหุ้น A จะทำกำไรได้ 5,000 บาท ส่วนหุ้น B นั้น มูลค่าทั้งหมดที่ถือตอนนี้อยู่ที่ 5,000 บาท น้อยกว่าตอนที่ซื้อมันมา หากโดน Disposition Effect ครอบงำ ก็จะเลือกขายหุ้น A เพราะมันทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้กำไร ทั้งที่จริง ๆ แล้วหากขายหุ้น B เราก็ได้ 5,000 บาทเหมือนกัน แต่จะรู้สึกแย่กว่าเพราะว่าขายหุ้น B แบบขาดทุน 6. “ต้นทุนจม” ตัวฉุดไม่ให้ก้าวหน้า Sunk-Cost Fallacy เป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายถึงการจมปลักอยู่กับสถานการณ์ที่แย่ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มีตัวเลือกอื่น ๆ ที่ดีกว่าอยู่ ตัวอย่างในด้านการเงินการลงทุนก็เช่น สมมติทุ่มเงินซื้อหุ้นไปแล้ว แต่หุ้นดันตกหนักมาก ขณะเดียวกันก็เห็นว่ามีหุ้นอีกตัวหนึ่งที่เป็นขาขึ้น ทำกำไรได้ดี จะขายหุ้นที่ขาดทุนอยู่ทิ้งแล้วไปซื้อหุ้นอีกตัวที่มีแนวโน้มดีกว่าหรือไม่ หากโดนกับดักของ Sunk-Cost Fallacy จะไม่กล้า เพราะมองว่าได้เสียเงินไปกับหุ้นแย่ตัวนี้แล้ว ถ้าขายไปมันจะกลายเป็น Sure Loss ทนถือ ๆ ไปหน่อย ทั้งที่ความจริงไม่ควรนำต้นทุนที่เสียไปแล้ว มากำหนดการตัดสินใจ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ควรผ่านไป แล้วมองไปข้างหน้าดีกว่าว่ามีโอกาสอะไรให้คว้าบ้าง ถ้าหยุดใช้ระบบ 2 เข้ามาไตร่ตรอง ก็จะเข้าใจว่าเงินที่ได้มันเท่ากัน ทีนี้ก็ต้องไปดูที่หุ้นรายตัวแล้วละว่าตัวไหนมีแนวโน้มไปได้ดีต่อ และตัวไหนที่ควรขายทิ้ง ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเผลอขายหมู หรือติดดอย อีกวิธีที่จะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์นี้ได้คือ การจัดพอร์ตให้มีหลาย ๆ สินทรัพย์ นั่นเพราะในช่วงเวลา ณ ขณะหนึ่ง ไม่มีทางที่ทุกสินทรัพย์จะพร้อมใจกันทำผลงานได้ดีสุด ๆ หรือแย่สุด ๆ จะต้องมีสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งที่ดี หรือ ไม่ดี ปะปนกันไป การจัดพอร์ตให้ครอบคลุมทุก ๆ สินทรัพย์ จะช่วยพยุงการลงทุนระยะยาวของเราไปได้อย่างมั่นคงมากขึ้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1725
Finance
จางหยิน ราชินีแห่งขยะ ผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper Holdings คือใคร
null
คุณจางหยิน (Zhang Yin) เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper Holdings บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องด้วยมูลค่าบริษัท ณ ปัจจุบันสูงกว่า 1,7 ล้านล้านบาท โดย Nine Dragon Paper Holdings เป็นบริษัทที่นำเศษกระดาษหรือกระดาษที่ใช้แล้ว มารีไซเคิลเป็น cardboard หรือก็คือ กระดาษแข็ง ที่นำมาประกอบเป็นกล่องกระดาษสำหรับใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ใส่ของเล่น หรือใส่สินค้าอื่น ๆ ทั่วไป ณ ปัจจุบัน Nine Dragon Paper ถือเป็นบริษัทกระดาษที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน สำหรับคุณจางหยิน จากการจัดอันดับในปี ค.ศ. 2018 เธอเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดอันดับ 4 ของประเทศจีน ด้วยทรัพย์สินกว่า 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ หนึ่งแสนล้านบาท อะไรที่ทำให้เธอเห็นโอกาสจากธุรกิจ “ขยะ” เหล่านี้ และทำไมบริษัทถึงมีมูลค่าหลักล้านล้านบาท ? จุดเริ่มต้นของเรื่องราว เกิดขึ้นหลังจากที่คุณจางหยินได้เริ่มทำงานเป็นพนักงานบัญชีของบริษัทผลิตกระดาษแห่งหนึ่งในเมืองเสิ่นเจิ้น โดยในช่วงทศวรรษ 1980 เสิ่นเจิ้นถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน และถือเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าจีนแห่งหนึ่ง ที่เมืองเสิ่นเจิ้น และบริษัทที่คุณจางหยินทำงานอยู่ ทำให้เธอเริ่มเห็นโอกาสในการรีไซเคิลกระดาษเป็นบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งออก หลังจากทำงานเป็นพนักงานบัญชีสักพัก ในปี ค.ศ. 1985 คุณจางหยินเองได้เริ่มหันมาเปิดธุรกิจค้าเศษกระดาษที่ฮ่องกงเอง ด้วยเงินเก็บเพียง 1 แสนบาทเท่านั้น ด้วยภาวะเศรษฐกิจประเทศจีน ณ ขณะนั้น ที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทั้งการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ ไม่ว่าสินค้าใด ๆ ก็ตาม ต่างต้องการบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษมาบรรจุสินค้า ทำให้เศษกระดาษหรือกระดาษที่ใข้แล้ว ซึ่งจะนำไปรีไซเคิลเป็นลังกระดาษต่อไปมีความต้องการสูงมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ประเทศจีนกำลังอยู่ภาวะขาดแคลนกระดาษอย่างมาก และไม่มีต้นไม้เหลือพอให้ตัดมาทำกระดาษอีกแล้วครับในปี ค.ศ. 1990 คุณจางหยิน ก็เลยย้ายธุรกิจของตัวเองไปอยู่ที่เมืองลอสแองเจลิส และก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า “America Chung Nam” ขึ้นมาร่วมกับสามีของเธอ โมเดลธุรกิจนั้นเรียบง่ายมาก เธอกับสามีจะตระเวนไปยังแหล่งของเสีย หรือแหล่งที่มีกระดาษที่ถูกใช้แล้วแถวแคลิฟอร์เนีย เพื่อขอซื้อเศษกระดาษ เธอจะซื้อกระดาษที่ใช้แล้วในละแวกนั้นด้วยราคาไม่ถึง 100 เหรียญต่อตัน ซึ่งถ้าผลิตกระดาษใหม่จากต้นไม้ อาจมีต้นทุนถึงสูงถึง 500 เหรียญสหรัฐในขณะนั้น เมื่อคุณจางหยินตระเวนซื้อเศษกระดาษมาแล้ว ก็จะดำเนินการซื้อพื้นที่ตู้คอนเทนเนอร์โล่งๆ ที่จะต้องส่งกลับจีนอยู่แล้ว ในตู้คอนเทนเนอร์ที่จะส่งกลับจีน (ซึ่งปกติว่างเปล่า) จึงเต็มไปด้วยเศษกระดาษ ที่จะถูกนำกลับมาขายที่ประเทศจีน โดยในปี 2001 America Chung Nam ของเธอ นับว่าเป็นบริษัทที่ส่งออกกระดาษอันดับหนึ่งของสหรัฐ การดำเนินธุรกิจของคุณจางหยินยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่เธอดำเนินธุรกิจส่งเศษกระดาษกลับมาขายที่จีนแล้ว ตัวคุณจางหยินเอง ก็กลับมาที่ฮ่องกงในปีค.ศ. 1995 เพื่อก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper ร่วมกับสามีและน้องชาย เพื่อดำเนินธุรกิจที่ไม่ใช่แค่ขายเศษกระดาษ แต่นำเศษกระดาษเหล่านั้นมารีไซเคิลเป็นบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษเพื่อใส่สินค้า โดยปกติแล้วการจะรีไซเคิลเศษกระดาษเป็นกระดาษแข็ง จะต้องใช้น้ำจนวนมาก จากข้อมูลบนเว็บไซต์ Recycle Paper UK ระบุว่า ปกติแล้วกระบวนการรีไซเคิลกระดาษ จะใช้น้ำอยู่ที่ประมาณ 23,400 ลิตร ต่อกระดาษหนึ่งตัน คุณจางหยินเองก็ตระหนักถึงปัญหานี้ เมื่อบริษัทเริ่มมีกำไรจากการแปรรูปและค้าเศษกระดาษ ก็จะนำกำไรเหล่านั้นมาลงทุนใน R&D (Research and Development) เพื่อพัฒนาเทคนิคการแปรรูปกระดาษที่ใช้น้ำน้อยกว่าเดิมมาก ทำให้ลดปริมาณการใช้น้ำลงได้มาก นอกจากนี้ เวลาบริษัทไปตั้งโรงงานที่ไหน ก็มักจะตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ หรืออยู่ใกล้บริเวณเมืองที่ไม่ขาดแคลนน้ำ จากในปี ค.ศ. 1995 ที่เริ่มก่อตั้ง Nine Dragon Paper Holdings พอถึง ปี ค.ศ. 2006 บริษัทได้ทำการ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ด้วยมูลค่ากว่าหนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาท จาก ค.ศ. 2006 จนถึงปัจจุบัน Nine Dragon Paper ถือเป็นบริษัทผลิตกระดาษแข็ง ลังกระดาษ และบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยบริษัทได้ส่งบรรจุภัณฑ์ หรือลังกระดาษแข็ง ออกไปขายแทบจะทั่วโลก บริษัทดัง ๆ ที่ใช้บริการก็เช่น Nike, Coca-Cola, Sony, และ TCL เป็นต้น บนเว็บไซต์ของ Nine Dragon Paper ได้มีการระบุวิสัยทัศน์ไว้ว่า “บริษัทมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการรีไซเคิลกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทใช้แต่เศษกระดาษหรือกระดาษที่ใช้แล้ว นำมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์เท่านั้น” การใช้แต่กระดาษที่ใช้แล้วมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ ก็เพื่อที่จะยึดมั่นต่อลูกค้าว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทุกอย่าง ล้วนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดำเนินธุรกิจของคุณจางหยิน และบริษัท Nine Dragon Paper อาจเรียกได้ว่าเป็นการดำเนินธุรกิจแบบ Win-Win เพราะลูกค้าเองก็ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่บริษัทเองก็มีรายได้จากผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เรื่องราวของคุณจางหยิน ผู้ก่อตั้งบริษัท Nine Dragon Paper และร่ำรวยระดับแสนล้านบาทจากธุรกิจที่หลายคนอาจมองข้าม อย่างการรีไซเคิลกระดาษ อาจเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาได้ว่า จริง ๆ แล้วธุรกิจที่ทำเงินได้เป็นแสนล้าน หรือล้านล้านบาท ก็สามารถเป็นธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1730
Finance
ประกันที่สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ มี 3 ประเภท ได้แก่อะไรบ้าง
null
ประกันที่สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ มี 3 ประเภท ได้แก่ 1. ประกันชีวิต ให้ความคุ้มครองชีวิตแก่ผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้ โดยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันก็จะจ่ายเงินตามทุนประกัน ให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญา ซึ่งก็จะเป็นผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการจากไปของผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้ทางใดทางหนึ่ง เช่น บุคคลในครอบครัว ประกันชีวิตที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป จะได้แก่ 1. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ: เบี้ยประกันถูก ทุนประกันสูง แต่ไม่มีเงินคืนระหว่างทาง 2. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์: ให้เงินคืนระหว่างทาง แต่ให้ทุนประกันต่ำ และมักคุ้มครองในระยะเวลาสั้น 3. ประกันชีวิตแบบ Unit-Linked: ให้ทุนประกันสูง เบี้ยประกันถูกใกล้เคียงแบบตลอดชีพ มีความยืดหยุ่นสูง ปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายเบี้ยประกันได้ แต่ไม่สามารถการันตีผลตอบแทน เพราะเป็นการควบการลงทุนในกองทุนรวม 4. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term): จะเป็นแบบที่เบี้ยประกันต่ำ ความคุ้มครองสูง แต่จะไม่มีเงินคืนและไม่มีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ เป็นการจ่ายเบี้ยประกันแลกกับความคุ้มครองชีวิตล้วน ๆ เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีที่มีคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ ก็สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้อีก ไม่เกิน 10,000 บาท ประกันชีวิตที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ จะต้องให้ความคุ้มครองชีวิตอย่างน้อย 10 ปีเป็นต้นไป และถ้าเป็นแบบที่มีการจ่ายเงินคืนระหว่างทางก็จะต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันสะสมในแต่ละช่วงเวลา ในส่วนของ Unit-Linked จะนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียมความคุ้มครองเท่านั้น ส่วนที่เป็นเงินในกองทุนรวม ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 2. ประกันสุขภาพ ให้ความคุ้มครองสุขภาพ ทั้งกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ และด้วยอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพที่ได้รับความนิยมหลัก ๆ ก็จะได้แก่ 1. ประกันสุขภาพแบบคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล 2. ประกันชดเชยรายได้รายวัน กรณีนอนโรงพยาบาล 3. ประกันโรคร้ายแรงแบบให้เงินชดเชยเป็นเงินก้อน เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ประกันสุขภาพแบบชดเชยรายได้รายวัน กรณีนอนโรงพยาบาล จะเป็นแบบเดียวในนี้ที่ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ประกันโควิดที่หลายคนน่าจะได้ซื้อกันไว้ ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข สำหรับใครที่ซื้อประกันสุขภาพประเภท UDR ที่ย่อมาจาก Unit Deducting Rider ซึ่งเป็นประกันสุขภาพประเภทที่ซื้อพ่วงกับประกันชีวิตแบบ Unit-Linked ได้เท่านั้น ก็จะนำมาลดหย่อนภาษีได้ เฉพาะส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียมเพื่อความคุ้มครองสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้านี้ที่ลดหย่อนได้ 15,000 เท่านั้น และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว จะนำมาลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับใครที่คุณพ่อคุณแม่ ที่มีเงินได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพให้คุณพ่อคุณแม่ แล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท โดยไม่ต้องพิจารณาอายุของคุณพ่อคุณแม่ และถ้ามีพี่น้อง ก็สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพพ่อแม่มาหารแบ่งกันเพื่อยื่นลดหย่อนภาษีของแต่ละคนได้ 3. ประกันบำนาญ ให้ความคุ้มครองในรูปแบบการการันตีรายได้หลังเกษียณเป็นหลัก ประกันลักษณะนี้จะมีลักษณะกำหนดให้จ่ายเบี้ยประกันต่อเนื่องไปจนกว่าจะเริ่มรับเงินบำนาญ คือเมื่ออายุครบ 55 ปีเป็นอย่างน้อย แล้วจะการันตีเงินเกษียณเป็นงวดรายปีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบสัญญา สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประกันบำนาญ 1. เป็นการล็อกผลตอบแทนแบบการันตีในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่ผลตอบแทนสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำมีแนวโน้มลดลงเรื่อย 2. ประกันบำนาญก็อาจไม่เหมาะกับการวางแผนความคุ้มครองชีวิต เพราะถึงมีความคุ้มครองชีวิตด้วย แต่ก็ให้ความคุ้มครองน้อยมากเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่ได้จ่าย รวมถึงทุนประกันแต่ละปีก็ไม่แน่นอน คือจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงที่จ่ายเบี้ยประกัน และลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเริ่มรับเงินบำนาญแล้ว เกณฑ์การลดหย่อนภาษี ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ และไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อการเกษียณอื่นๆ เช่น Provident fund, กบข. และ RMF ก็จะนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ถ้าส่วนประกันชีวิตและประกันสุขภาพยังไม่ครบ 100,000 ก็สามารถนำเบี้ยประกันบำนาญส่วนที่เกินโควต้า 15% หรือ 200,000 มาโปะในช่องประกันชีวิตและสุขภาพได้
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1734
Finance
Arkk Disruptive Innovation Fund คืออะไร
null
Arkk Disruptive Innovation Fund เป็นกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปี 2564 ในประเทศไทย มี 2 กองทุนรวมที่ได้นำ Arkk Disruptive Innovation Fund มาให้คนไทยได้ลงทุน ซึ่งนั่นก็คือ TMB-ES-GINNO และ TNEXTGEN TMB-ES-GINNO เป็นกองทุนรวมที่นำเงินของนักลงทุน ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่บริหารโดย Nikko AM Disruptive Innovation Fund กองทุนนี้บริหารโดย Nikko Assetment Management ซึ่งได้รับคำแนะนำโดย Arkk Investment Manageme Team ส่วน TNEXTGEN เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนผ่านกอง The ARK Next Generation Internet ETF กองทุนหลักถูกบริหารและจัดการโดย Arkk Investment Management TMB-ES-GINNO และ TNEXTGEN จะเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีสินค้าและบริการที่เน้นเทคโนโลยีในการตอบโจทย์ต่อ mega trend อย่างไรก็ตาม 2 กองทุนนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อย TMB-ES-GINNO จะมีการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านพันธุกรรม (Gene sequencing) เมื่อดูสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2019 TNEXTGEN (Arkk Next Generation) ทำผลตอบได้ค่อนข้างโดดเด่นกว่า TMB-ES-GINNO (Nikko Am Disruptive Innovation Fund) ทั้งในแง่ของผลตอบและความเสี่ยง แม้ว่าผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนที่บริหารโดย Arkk Investment Management จะดูโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนี SET Index และ Nasdaq แต่ในแง่ของความเสี่ยงกองทุนทั้ง 2 กองมีความผันผวนค่อนข้างมากและมีโอกาสปรับตัวลงจากจุดสูงสุดได้มากกว่า SET Index และ Nasdaq ดังนั้น กองทุนของ Arkk ETF เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมาก
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1745
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของกองทุน B-INNOTECH
null
B-INNOTECH คือกองทุนรวมประเภทอุตสาหกรรม ที่สามารถลงทุนได้ในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เป็นกองทุนเปิดที่เน้นเจาะหุ้นเฉพาะกลุ่ม และมีความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 7 โดย B-INNOTECH มีชื่อกองทุนเป็นภาษาไทยว่า กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี จะมีการลงทุนตามกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD ซึ่งเป็นกองทุนแม่ของกองทุนรวมนี้ ส่วนใหญ่กองทุน B-INNOTECH จะถือหุ้นที่เป็นหุ้นจากบริษัทเทคโนโลยี บทเรียนจากย่อหน้านี้ B-INNOTECH ชื่อเต็มคือ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี เป็นกองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (เจาะหุ้นเฉพาะกลุ่ม มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 7) ลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก โดยกอง B-INNOTECH ลงทุนตามกองแม่ (Feeder Fund) คือ Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD กองนี้ถือหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเป็นส่วนใหญ่ หลายบริษัททุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านเหรียญเป็นบริษัทแรกของสหรัฐฯ และตอนนี้ก็ยังอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เรียกได้ว่าโตวันโตคืน, Samsung Electronics บริษัทที่ทุกคนรู้ว่าผลิตมือถือ แต่รายได้จากการขายมือถือมีสัดส่วนไม่ถึงครึ่ง รายได้ส่วนใหญ่มาจาก Semiconductor ต่างหาก, Alphabet ทุกวันนี้เว็บไซต์ที่คนเข้าเยอะสุดทุกวัน 2 อันดับแรกคือ Google และ Youtube ซึ่งทั้งสองเว็บเป็นของ Alphabet ทั้งหมด และตัวอย่างบริษัทอื่นๆ ที่เราอาจจะไม่คุ้นชื่อ เช่น NXP, Analog Devices หรือแม้แต่บริษัทที่รู้จักคุ้นหูกันเป็นดีอย่าง Intel บริษัทเหล่านี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Semiconductor และการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์ไอทีที่ใช้อยู่ทุกวันล้วนต้องอาศัยชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งนั้น ซึ่งสามารถเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกได้ง่ายๆ เพียงแค่มีกองทุน B-INNOTECH อยู่ในพอร์ต ซึ่งกองทุน B-INNOTECH จะไปลงทุนในกอง Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD อีกที ซึ่งกองนี้จะไปคัดเลือกและซื้อหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพมาสะสมไว้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1751
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สมมติฐานและเงื่อนไขที่กำหนดใน Fix % VS Volatility
null
สำหรับ Fix % VS Volatility มีสมมติฐานและเงื่อนไขที่จะต้องกำหนด 4 อย่างด้วยกัน ได้แก่ เงินลงทุนซึ่งต้องเริ่มต้น 1 ล้านบาท ช่วงเวลาที่ทดสอบ จะใช้วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ดังนั้น การทดสอบจะใช้เวลา 5 ปี ต่อมาเป็นกลยุทธ์การซื้อขาย ใช้แบบ Donchian Channel และเงื่อนไขสุดท้ายก็คือ สินทรัพย์ที่ใช้ทดสอบ โดยใช้สกุลเงิน Cryptocurrency ทั้งหมด 6 ชนิด บทเรียนจากย่อหน้านี้ Fix % VS Volatility สมมติฐานและเงื่อนไขที่กำหนดคือ - เงินลงทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท - ช่วงเวลาที่ทดสอบ 1/1/2015-31/10/2020 - กลยุทธ์การซื้อขาย Donchian Channel - สินทรัพย์ที่ทดสอบ Cryptocurrency 6 ชนิด จะสังเกตเห็นว่าการกำหนดน้ำหนักการลงทุนแบบ Fix % เอาไว้ที่ 20 % ต่อหนึ่งตัว พูดง่ายๆ คือในพอร์ตจะลงทุนเต็มที่ได้เพียง 5 เหรียญเท่านั้น ซึ่งการกำหนดแบบนี้จะง่ายต่อการทำความเข้าใจ ง่ายต่อการใช้จริง เพราะไม่ต้องคำนวณอะไรมากมาย แต่ข้อเสียคือ ไม่ได้นำความผันผวนหรือความเสี่ยงของแต่ละเหรียญเข้ามาคำนวณเลย จะทราบดีว่าช่วงเวลาเดียวกันแต่สินทรัพย์แต่ละตัวก็มีความผันผวนไม่เท่ากัน ฉะนั้นไม่ Make Sense เลยที่จะซื้อเหรียญที่ผันผวนสูงเท่ากับเหรียญที่ผันผวนต่ำๆ
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1752
Finance
จงบอกหุ้น 5 อันดับแรก ที่กองทุน 1AMSET50-RA ลงทุน
null
กองทุน 1AMSET50-RA ลงทุนในหุ้น 91.98% ในสินทรัพย์และหนี้สินอื่น 8.02% โดยหุ้น 5 อันดับแรกที่กองทุนนี้ถือ คือ 1. PTT 2. AOT 3. INTUCH 4. IVL 5. ADVANC กองทุน 1AMSET50-RA มีชื่อ SET50 แอบแฝงอยู่ แต่จะแตกต่างจากกองทุน SET50 อื่นๆ เนื่องจากเป็นกองทุน Active ที่ถือหุ้นทั้งหมดประมาณ 25-30 บริษัท เพื่อให้ผลตอบแทนมีโอกาสชนะตลาดได้ โดยจะกระจายการลงทุนในหุ้นใหญ่เป็นหลักประมาณ 65% และอีก 35% เป็นการไปลงทุนในบริษัทนอก SET50 โดยจะมีการเลือกลงทุนในอุตสาหกรรม (Sector) ตามแนวโน้มเศรษฐกิจ (Top-Down Approach) ผลตอบแทนของกองทุน 1AMSET50-RA ถือว่าทำได้ดี ชนะค่าเฉลี่ยในกลุ่ม ส่วนในฝั่งของ Standard Deviation หรือ ค่าความเสี่ยง ยิ่งต่ำยิ่งดี จะเห็นว่ามีค่าที่ใกล้เคียงกับในกลุ่ม นั่นหมายถึงในความเสี่ยงที่เท่ากัน กองทุนนี้สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่า ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ กองทุน 1AMSET50-RA มีค่าธรรมเนียมขาเข้าอยู่ที่ 0.27% ถ้าเทียบกับในกอง Active ด้วยกันถือว่าถูกมาก เพราะกองทุนหุ้นส่วนใหญ่จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 1% ทว่าถ้าเทียบกับกอง Passive ใน SET50 ก็จะสูงกว่า (ไม่มาก) แต่มีโอกาสที่จะทำผลตอบแทนได้ดีกว่า เนื่องจากผู้จัดการมีการคัดเลือกหุ้นให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด มูลค่าสำหรับการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดๆ ไปเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1756
Finance
การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับทุกคนหรือไม่ จงอธิบาย
null
การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับผู้ที่มีรายได้และต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ หรือเพื่อการศึกษาบุตร ข้อดี: สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ลงทุนในกองทุน SSF และ RMF ไปหักลดหย่อนภาษีได้ โอกาสรับผลตอบแทน: มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินออมทรัพย์ วินัยในการออม: การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF เป็นการส่งเสริมวินัยในการออมเงิน ข้อเสีย: ความเสี่ยง: กองทุน SSF และ RMF ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าเงินลงทุน หรืออาจขาดทุน สภาพคล่อง: เงินลงทุนในกองทุน SSF และ RMF มีสภาพคล่องต่ำ ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ก่อนครบกำหนด **ดังนั้น การลงทุนในกองทุน SSF และ RMF นั้น เหมาะกับผู้ที่มีรายได้และต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว ** ผู้ลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน: เป้าหมายการลงทุน: เป้าหมายการลงทุนของผู้ลงทุนคืออะไร ระยะเวลาการลงทุน: ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้นานแค่ไหน ความเสี่ยงที่รับได้: ผู้ลงทุนรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน สภาพคล่อง: ผู้ลงทุนต้องการใช้เงินลงทุนก่อนครบกำหนดหรือไม่ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน SSF และ RMF อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกอื่น ๆ สำหรับการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น ประกันชีวิต: ประกันชีวิตบางประเภทมีเงินออมครบกำหนด กองทุนรวม: กองทุนรวมมีหลากหลายประเภท ผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง การออมเงินแบบออมทรัพย์พิเศษ: เงินฝากออมทรัพย์พิเศษมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ผู้ลงทุนควรเลือกวิธีออมเงินที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ความเสี่ยง และสภาพคล่องของตนเอง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1759
Finance
การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนหรือไม่
null
ใช่ การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน เหตุผล: Bitcoin มีความผันผวนสูง: ราคา Bitcoin มีการขึ้นลงรุนแรงในระยะสั้น การลงทุนโดยไม่มีวินัย เช่น ซื้อตอนราคาสูง ขายตอนราคาต่ำ อาจทำให้สูญเสียเงินทุน การพลาดโอกาส: Bitcoin มีผลตอบแทนรายปีที่สูง แต่มีบางเดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ การลงทุนโดยไม่มีความสม่ำเสมอ เช่น พลาดโอกาสลงทุนในเดือนที่มีผลตอบแทนสูง อาจทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตลดลง อารมณ์: การลงทุนโดยไม่มีวินัย อาจทำให้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เช่น ซื้อตอน FOMO ขายตอน Panic ส่งผลต่อผลตอบแทนของพอร์ต ตัวอย่าง: จากข้อมูลของ FINNOMENA Podcast Ep.7 พบว่า: Bitcoin มีผลตอบแทนรายปีที่สูง แต่มีบางเดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ การตัดเดือนที่มีผลตอบแทนดีที่สุด 1 เดือน ออกไป ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตลดลง การตัดเดือนที่มีผลตอบแทนดีที่สุด 2 เดือน ออกไป ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตลดลง significantly สรุป: การลงทุนใน Bitcoin โดยไม่มีวินัยและความสม่ำเสมอ อาจทำให้พลาดโอกาส สูญเสียเงินทุน และผลตอบแทนของพอร์ตลดลง คำแนะนำ: ลงทุนใน Bitcoin ตามกลยุทธ์ที่ชัดเจน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ใจเย็น มีวินัย และควบคุมอารมณ์ หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1767
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: กองทุนรวมตราสารหนี้ ลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรองค์กร เอกสารสิทธิ์การเงิน ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อค้ำประกัน ฯลฯ -ตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเช่นกัน -กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี หมายถึง กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี ซึ่งหมายความว่า เงินลงทุนจะถูกผูกไว้กับตราสารหนี้เหล่านี้เป็นเวลา 3 ปี -เงินทุนสำรองฉุกเฉิน ควรเป็นเงินที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอขายตราสารหนี้ การขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด อาจทำให้ได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดไว้ หรืออาจขาดทุนได้ หากต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว นาย A ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ยามจำเป็น นาย A ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี 3 ปีต่อมา นาย A ประสบอุบัติเหตุ ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉินเพื่อรักษาพยาบาล นาย A ต้องการขายกองทุนรวมตราสารหนี้ เพื่อนำเงินมาใช้ แต่เนื่องจากตลาดตราสารหนี้กำลังผันผวน ราคาตราสารหนี้ตกลง นาย A ขายกองทุนรวมตราสารหนี้ ขาดทุน นาย A ไม่ได้เงินทุนสำรองฉุกเฉิน ไปใช้ยามจำเป็น สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปี ไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน เนื่องจากเงินลงทุนจะถูกผูกไว้กับตราสารหนี้เป็นเวลา 3 ปี และอาจขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนดได้ยาก ทางเลือก: -เงินฝากออมทรัพย์: ให้ผลตอบแทนต่ำ แต่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง -กองทุนรวมตลาดเงิน: ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ แต่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง -กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุสั้น: ให้ผลตอบแทนมากกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน แต่มีความเสี่ยงมากกว่า สภาพคล่องปานกลาง นักลงทุนควรเลือกสินทรัพย์สำหรับเงินทุนสำรองฉุกเฉินให้เหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงที่รับได้
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1773
Finance
การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Clean Energy (พลังงานสะอาด) ภายใต้การบริหารของ Joe Biden มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology (เทคโนโลยี) หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. นโยบายของ Biden สนับสนุน Clean Energy: Biden สนับสนุนนโยบายแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นโยบายเหล่านี้จะส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่ม Clean Energy 2. Technology เผชิญความเสี่ยงจากนโยบาย Biden: Biden มีนโยบายขึ้นภาษี นโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ บริษัทเหล่านี้มีกำไรสูงและจ่ายภาษีน้อย การขึ้นภาษีจะทำให้กำไรของบริษัทเหล่านี้ลดลง 3. Clean Energy มีความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk น้อยกว่า: ธุรกิจ Clean Energy ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ มีโอกาสได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ มีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk 4. Technology เผชิญความเสี่ยงด้าน Regulatory Risk สูง: ธุรกิจเทคโนโลยีอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง หน่วยงานกำกับดูแลเหล่านี้มีแนวโน้มออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมธุรกิจเทคโนโลยี กฎหมายใหม่เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจเทคโนโลยี 5. Clean Energy มีความผันผวนของราคาหุ้น (Volatility) น้อยกว่า: ธุรกิจ Clean Energy มีความมั่นคง รายได้ของธุรกิจ Clean Energy ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ราคาหุ้นของธุรกิจ Clean Energy จึงมีความผันผวนน้อย 6. Technology มีความผันผวนของราคาหุ้น (Volatility) สูง: ธุรกิจเทคโนโลยีมีการแข่งขันสูง เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาหุ้นของธุรกิจเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง สรุป: การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Clean Energy ภายใต้การบริหารของ Joe Biden มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Technology ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1774
Finance
ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin ผ่าน White Paper เมื่อวันที่เท่าไหร่
null
ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin ผ่าน White Paper เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2008 โดยระบุว่า Bitcoin คือ สกุลเงินดิจิทัลแบบ Peer-to-Peer หรือ การเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายด้วยกันเองแบบไม่มีตัวกลาง โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain Blockchain ก็คือ เทคโนโลยีที่ใช้เก็บข้อมูลธุรกรรมแบบไม่มีตัวกลาง โดยทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะเก็บชุดข้อมูลที่เหมือนกัน ข้อมูลในเครือข่ายจะถูกเก็บชุด ๆ หรือเรียกว่าเป็น Block ที่ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ ส่วนการสร้างข้อมูลชุดใหม่ขึ้นบนเครือข่ายจะถูกตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากทั้งเครือข่ายผ่านระบบที่เรียกว่า Proof-of-Work หมายความว่ายิ่งเป็นเครือข่าย Blockchain ที่ใหญ่แค่ไหน ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น ข้อมูลธุรกรรมชุดแรกของ Bitcoin (Block 0 หรือ Genesis Block) ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009 โดยมีรางวัลในการสร้าง Block ที่ 50 Bitcoin ถือเป็นวันที่เครือข่าย Bitcoin ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ และพลิกโฉมประวัติศาสตร์การเงินของโลกมานับตั้งแต่นั้น การที่ Bitcoin มีเทคโนโลยีหลังบ้านที่เรียกว่า Blockchain ในการเก็บข้อมูลธุรกรรม ทำให้ Bitcoin คือ สกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลกที่เป็น “Decentralized” แตกต่างกับสกุลเงินที่ใช้กันในปัจจุบันหรือที่เรียกว่า Fiat Currency ที่เป็นแบบ “Centralized” มูลค่าของ Bitcoin จึงขึ้นอยู่กับปริมาณอุปสงค์-อุปทานของตลาดอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ยังถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้าน Bitcoin ด้วยความมั่นคงของเครือข่าย การใช้งานที่กว้างขวาง และจำนวนที่จำกัด Bitcoin จึงได้รับการยอมรับว่าเป็น Digital Gold สำหรับระบบการเงินในยุคใหม่ และด้วยคุณสมบัตินี้เอง ทำให้บรรดาสถาบันการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือ Federal Reserve รวมถึงบริษัทเอกชนต่าง ๆ เช่น MicroStrategy, Square และ Skybridge พากันถือ Bitcoin เป็นทรัพย์สินสำรอง ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin ได้ขึ้นแตะระดับ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 18 ล้านล้านบาท)
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1777
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion
null
วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion จะมีหลักการดังนี้ หุ้นนำตลาดจะจบรอบหลังจากที่ราคาได้เร่งตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากกองทุนอยากจะให้มีแรงซื้อในตลาดมากที่สุด เพื่อให้คนมาซื้อหุ้น เมื่อมีแรงขายของกองทุนมากกว่าแรงซื้อของรายย่อย หุ้นจะถล่มลงมา เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องเอามาขายบ้าง เพราะอาจเกิด Climax Top หรือสัญญาณที่หุ้นวิ่งขึ้นแรงกว่าเดิมจากการที่หุ้นนำตลาดขึ้นมาอย่างแข็งแรงในหลาย ๆ เดือน บทเรียนจากย่อหน้านี้ วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion หุ้นนำตลาดมักจะจบรอบหลังจากราคาเร่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง เพราะสถาบันหรือกองทุนต้องการให้เกิดแรงซื้อมากที่สุด เพื่อให้มีคนมารับซื้อหุ้นจำนวนมหาศาลต่อจากพวกเขา อาจจะเหมือนหุ้นบางตัวที่ขึ้นแรงในไม่กี่วัน แท่งเขียวยาว บวกวันละร้อยบาท คือ ตอนที่เขาออกของนั่นเอง และเมื่อแรงขายจำนวนมากของกองทุนมากกว่าแรงซื้อของรายย่อย หุ้นตัวนั้นก็ถล่มลงมา ถ้ารอให้เห็นการถล่มก่อนก็อาจจะไม่ทันการณ์ ดังนั้นคือ ควรจะขายออกมาบ้าง ถ้าเห็นหุ้นนำตลาดที่ขึ้นมาอย่างแข็งแรงหลายเดือน เริ่มวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงกว่าเดิม เพราะนั่นคือ สัญญาณของ Climax Top ในกรณีของหุ้น RBF Checklist ในการขายแบบ Climax Top - ราคาวิ่งจากฐานเดิมเยอะ จะมีการสร้างฐานราคา มากกว่า 4-5 ฐาน ก็ควรจะระวัง - PE Expend ขึ้นมาจากเดิมสูงมาก ถ้าสูงกว่าการเติบโตในอนาคตจะต้องระวัง - การเติบโตของ EPS เริ่มจะลดลง แนวโน้ม Q ต่อไปลดลงจากเดิม ถ้าลดลงมากจะต้องระวังให้จงมาก - มีการเร่งราคาขึ้นแบบอย่างรุนแรง เป็นลักษณะของ Climax Top ในกรณีของ DELTA จุดที่ทำ Climax Top ชัดเจนมาก ราคาเร่งขึ้นแบบรวดเร็ว PE สูงขึ้นผิดปกติ มากกว่า % การเติบโตของกำไร นี่เป็นจุดที่จะต้องขาย ห้ามซื้อ ก็ซื้อเหมือนไปรับของแพงจากคนอื่นมา
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1783
Finance
กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับสินทรัพย์ประเภทใด?
null
กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับสินทรัพย์ประเภท "ดัชนีหุ้น" มากกว่า "สินทรัพย์ดิจิทัล" เหตุผล ดัชนีหุ้น: มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ค่อนข้างผันผวน แต่มีแนวโน้มที่จะ "กลับสู่ค่าเฉลี่ย" (Mean Reversion) ในระยะยาว สินทรัพย์ดิจิทัล: มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ "เป็นเทรนด์" (Trend) ชัดเจน หมายความว่าราคาจะขึ้นหรือลงแรง และอาจไม่กลับมาที่ราคาเดิม ผลลัพธ์ ดัชนีหุ้น: กลยุทธ์ "Take Profit" ที่ 20% ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการ "Let Profit Run" และมีความเสี่ยงที่ไม่แตกต่างกันมาก สินทรัพย์ดิจิทัล: กลยุทธ์ "Take Profit" ทุกระดับ ให้ผลตอบแทน "น้อยกว่า" การ "Let Profit Run" อย่างมาก ข้อควรระวัง กลยุทธ์ "Take Profit" ไม่ได้**"รับประกัน"** ผลตอบแทนที่ดีเสมอไป กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่มี "วินัย" และสามารถ "ควบคุมอารมณ์" ได้ คำแนะนำ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุนอย่างละเอียด พิจารณากลยุทธ์ "Take Profit" ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและความเสี่ยงที่รับได้ สรุป กลยุทธ์ "Take Profit" เหมาะกับ "ดัชนีหุ้น" มากกว่า "สินทรัพย์ดิจิทัล" นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณากลยุทธ์อื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1785
Finance
SET Index จะเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของอะไร
null
SET Index จะเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ทั้งหมด (Composite Index) และจะมี SET50 Index คำนวณ โดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 50 อันดับแรก และ SET100 Index คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 100 อันดับแรก โดยคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หุ้นที่อยู่ใน SET 50 เป็นหุ้นที่มี market cap ขนาดใหญ่ทั้งหมด ซึ่งหุ้นมีน้ำหนักกับ SET Index ค่อนข้างมาก ดังนั้น การที่ SET Index ตกติดลบทุกวัน ก็ไม่ได้หมายถึงหุ้นตัวอื่น ๆ จะโดนไปด้วย ในปี 2020 มีกรณีศึกษา หุ้นที่วิ่งสวนตลาด หรือ วิ่งคนละทางกับ SET Index หุ้นตัวแรกเป็นหุ้นขนาดกลาง Asian ผลตอบแทนตั้งแต่ในปี 2019 ประมาณเดือน ต.ค 2019 วิ่งสวนผลตอบแทนของ SET index ในช่วงปี 2020 มาก เพราะผลประกอบการของ Asian Q1 โตแบบปีต่อปี ถึงประมาณ 75% และโตแบบราย 3 เดือนต่อ 3 เดือน โตประมาณ 500% และโตต่อเนื่องไป Q2 และ Q3 หุ้นตัวที่สอง เป็นหุ้นขนาดใหญ่ Delta ผลตอบแทนตั้งแต่ในปี 2019 ประมาณเดือน ต.ค 2019 วิ่งสวนผลตอบแทนของ SET index ในช่วงปี 2020 มาก เพราะแม้ผลประกอบการของ Delta Q1 โตแบบปีต่อปี ติดลบประมาณ – 21% แต่ โตแบบราย 3 เดือนต่อ 3 เดือน โตประมาณ 120% และโตต่อเนื่องแบบปีต่อปีใน Q2 และ Q3 ระดับบวก 100% กว่าขึ้นไป ดังนั้น อย่าให้ SET Index ลวงตาหลอกว่า ตลาดแย่แล้ว ไม่ดีไปหมด เพราะหุ้นผู้นำที่เติบโตเหนือตลาดยังมี
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1786
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory)
null
ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory) เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการที่ทุกคนในตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนมีความสามารถ มีจุดมุ่งหมาย และมีความมุ่งมั่นในการลงทุน จากความเท่าเทียมกัน ข้อมูลจึงออกมาในตลาดผ่านราคาที่ไร้ข้อบกพร่องในทุก ๆ สินทรัพย์ และมีการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสมเหตุสมผลได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ราคาเป็นไปอย่างเท่าเทียม เป็นเหตุให้ราคาหุ้นในตลาดสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้อย่างสมบูรณ์ ความผิดพลาดของผู้คนก็ไม่มีโอกาสเกิด บทเรียนจากย่อหน้านี้ ทฤษฎีตลาดสมบูรณ์ (Efficient Market Theory) ทุก ๆ คนในตลาดเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนมีความสามารถ มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน มีความมุ่งมั่นและทำงานอย่างหนักกับการลงทุน รวมถึงวิธีการวิเคราะห์ของทุก ๆ คนนั้นเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป และเนื่องด้วยการที่ทุก ๆ คนใช้ความพยายามอย่างเท่าเทียมกัน ข้อมูลจึงสะท้อนออกไปในตลาดผ่านราคาอย่างไร้ข้อบกพร่องในทุก ๆ สินทรัพย์ และผู้คนในตลาดจะทำการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีมูลค่าที่สมเหตุสมผลตลอดเวลา จึงทำให้ราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ สะท้อนออกมาอย่างเท่าเทียม ดังนั้น ราคาหุ้นในตลาดจึงสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้น ๆ อย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ไม่มีโอกาสผ่านความผิดพลาดของผู้คน สินทรัพย์ทุก ๆ ชนิดจึงให้ผลตอบแทนอย่างสมเหตุสมผลโดยตลอดและไล่ไปตามความเสี่ยง (พันธบัตรไปยังหุ้น หุ้นไปยังตราสารหนี้เกรดต่ำและอื่น ๆ) แต่ถึงอย่างนั้นหากทฤษฎีที่ว่ามีอยู่จริง คงไม่ได้เห็นผลตอบแทนพันธบัตรในระดับที่สูงกว่าหุ้น คงไม่ได้เห็นพันธบัตรระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรระยะยาว และที่สำคัญคงไม่ได้เห็นนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett หรือนักเก็งกำไรระดับโลกอย่าง George Soros กันเป็นแน่ เพราะว่านักลงทุนและนักเก็งกำไรเหล่านั้นต่างก็หาโอกาสจากความไม่สมเหตุสมผลของคน ไม่ว่าจะเป็น bargain หรือข้อต่อรองที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จากการคิดมูลค่าทรัพย์สินของบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่าราคาที่สะท้อนออกไปในมุมมองของนักลงทุน หรือจะเป็นความไม่สมเหตุสมผลและความร้อนแรงที่เกินเหตุ หรือความสุดโต่งของอะไรบางอย่างที่ทำให้นักเก็งกำไร เล็งเห็นโอกาสและสร้างผลตอบแทนอันน่าทึ่งมานัดต่อนัด และ Michael Burry เองก็อาจจะเป็นคนที่มองเห็นโอกาสส่วนนั้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1787
Finance
4 ขั้นตอนง่าย ๆ ใน การอ่านงบการเงิน
null
1. เริ่มที่กำไรสุทธิ อาจจะสวนทางกับคำแนะนำของคนอื่น แต่ผมอยากให้เปิดดูก่อนเลยว่า หุ้นที่เราสนใจกำไรเท่าไหร่ เพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ที่บอกแบบนี้เพราะว่า กำไรเป็นสิ่งที่ตลาดคาดหวัง เป็นสิ่งที่ทุกคนถามกันตลอด เราก็ควรต้องเปิดดูก่อน ซึ่งเราสามารถดูได้จากหลายที่เลยทั้งตาม Line ของโบรกเกอร์ต่าง ๆ FINNOMENAหรือ Jitta ก็มี แต่ขอให้ดูแบบนี้ • ดู YoY เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว แต่ให้ระวังอย่างนึงคือช่วงนี้เป็นงบปี เราจะไม่เห็นงบ Q4 บางครั้งการที่กำไรเพิ่มขึ้นเยอะ ๆ อาจจะมาจาก 9 เดือนแรกก็ได้ อย่าเพิ่งรีบดีใจเพราะตัวเลขอาจหลอกตาเราได้ • ดู QoQ เปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้ว เพื่อให้เห็นพัฒนาการ แต่ให้ระวังว่าบางธุรกิจมี seasonal เช่น โรงพยาบาล Q3 โรงแรมและท่องเที่ยว Q4 กับ Q1 พัดลม เครื่องดื่ม Q2 • เห็นกำไรโตเป็น 100% อย่าเพิ่งรีบดีใจเยอะ ให้ยิ้มที่มุมปากนิดเดียวพอ เพราะบางทีอาจมีกำไรพิเศษ ต้องตามไปดูต่อว่าใช่มั้ย 2. ดูคำอธิบายงบการเงิน เข้าไปที่ www.set.or.th พิมพ์ชื่อหุ้นที่สนใจ กดเลือกที่ “ข่าว” แล้วคลิกไปที่ข่าวที่เขียนว่า “สรุปผลการดำเนินงาน” หน้านี้ก็จะมีกำไรขาดทุนให้ดูเหมือนกัน แต่สิ่งที่อยากให้ดูมากกว่า คือข้อความที่เขียนว่า “รายงานของผู้ตรวจสอบบัญชี” ซึ่งจะมีด้วยกัน 5 แบบดังนี้ • ไม่มีเงื่อนไข • ไม่มีเงื่อนไขแต่ให้ข้อสังเกต • มีเงื่อนไข • ไม่แสดงความเห็น หรือ ไม่แสดงความเชื่อมั่น • งบการเงินไม่ถูกต้อง ถ้าเจอแบบแรกก็สบายใจ เปิดอ่านได้ตามสะดวก ไม่น่ากังวล แต่ถ้าเจอแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะ 2 แบบหลัง อาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล อาจมีคดีความ หรือมีอะไรผิดปกติซ่อนอยู่ในงบ ให้ระวัง 3. คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการหรือเรียกว่า MD&A เป็นคำอธิบายของบริษัทที่จะมาบอกเราว่า กำไรที่เราเห็นเพิ่มขึ้นหรือลดลง มาจากสาเหตุอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทว่าจะอธิบายละเอียดมากน้อยแค่ไหน มีหลายบริษัทที่ดีเขียนอธิบายที่มาที่ไป รายได้แยกเป็นกลุ่ม ต้นทุน ค่าใช้จ่ายตามรายการ ภาพรวมอุตสาหกรรม แนวโน้ม ฯลฯ แต่ก็มีอีกหลายบริษัทที่เขียนแบบเสียไม่ได้ เช่น รายได้โต xx% ต้นทุนเพิ่ม xx% ทำให้กำไรเพิ่ม xx% คือ อ่านแล้วไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ 4. Zip File งบการเงิน บางครั้งใน MD&A ไม่ได้บอกรายละเอียด ให้เรามาที่หน้า “ข่าว” อีกครั้ง เปิดตรงที่เขียนว่า “งบการเงิน” ที่เป็น zip file คลิ๊กเข้าไปจะเจอะ 3 ไฟล์สำคัญ คือ • Auditor’s Report คือ รายงานผู้สอบบัญชี ที่เราเคยคุยกันไปในข้อ 2 ข้อสังเกตง่าย ๆ คือ ถ้าเปิดมาแล้วสั้น ๆ 1-2 หน้าคือดี แต่ถ้าเปิดมาแล้วยาวเหยียด 5-10 หน้า อันตรายแล้วแบบนี้ • Financial Statements เป็น excel มีทั้งงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด วิธีอ่านงบดุลก็คล้าย ๆ กับที่บอกไว้ในข้อ 3 ส่วน Cash Flow ให้ดูเงินสดเข้าออกแต่ละประเภทอย่างไร (เรื่องนี้ยาว เดี๋ยวไว้มีโอกาสหยิบมาเขียนอีกทีครับ) • Notes เป็นหมายเหตุประกอบงบ คือ ถ้าเราเปิด excel บางบรรทัดจะมีตัวเลขกำกับไว้ ก็ให้เรามาเปิดใน Notes ดูจะเห็นรายละเอียดที่มากขึ้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1788
Finance
จงบอกกลยุทธ์การวิจัยจากการนำแนวคิดการลงทุนแบบ Fundamental Analysis และ Technical Analysis ด้วยรูปแบบของ Quantitative ที่วัดและประเมินผลได้โดยไม่ Bias
null
- Technical – Momentum Based กลยุทธ์ตามแนวโน้ม สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นจะต้องรู้จักการดูกราฟ เพราะเป็นสิ่งที่ง่าย ใช้เวลาน้อย สามารถปรับใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ทั่วโลก แต่จากการลองผิดลองถูก มันสามารถปรับใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ก็จริง แต่ต้องปรับจูนพอสมควร เพราะการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการเอา Data ของราคามาทำการคำนวณและเข้าสูตรทางคณิตศาสตร์มากมายจนได้เส้น ๆ ขีด ๆ แบบที่ทุกคนเห็น แต่มันเป็นเพียงเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์เท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมดของการลงทุน - ทดสอบกลยุทธ์การลงทุนแบบ Momentum Based สามารถใช้ได้จริงหรือไม่ในระยะยาว จึงหยิบกลยุทธ์ง่าย ๆ ที่มีชื่อว่า 52 Week High หรือ การซื้อตามแนวโน้มเมื่อราคาทะลุแนวต้านใหญ่ในรอบ 1 ปีโดยประมาณ และใช้ Indicator ใส่เข้าไปนิดหน่อย ซึ่งกำหนดเงินเริ่มต้นไว้ 1 ล้านบาท จำนวนหุ้นสูงสุดที่ซื้ออยู่ที่ไม่เกิน 20 ตัว หรือ 5 % ต่อ 1 ตัว ช่วงเวลาที่ทบสอบคือตั้งแต่ปี 1/2000 – 11/2020 สินทรัพย์ที่เลือกมาทดสอบคือหุ้นไทยทั้งหมด - ทดสอบกลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Based เลือกหยิบ F-Score formula ของ Mr.Joseph D. Piotroski เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดหุ้น โดยมีเกณฑ์ถึง 9 เกณฑ์ตามแนวทางการเลือกหุ้นแบบ Value Investing โดยมีการให้คะแนนถ้าผ่านเกณฑ์และให้ 0 ถ้าไม่ผ่าน สุดท้ายก็เอามาทำเป็น Score - Hybrid Investment ส่วนผสมที่ลงตัวของโลกการลงทุน หยิบปัจจัยทั้งของ TA และ FA เข้ามาไว้ด้วยกัน คือ เอาทั้ง Data Price และ Data งบการเงินเข้ามาประกอบกันและทดสอบในเชิง Quantitative - Bitcoin ก็มี Model ที่คาดการณ์ราคาในอนาคตเหมือนกัน แม้ BTC จะไม่มีปัจจัยพื้นฐานเช่น งบการเงินมาให้วิเคราะห์ แต่เนื่องจากมีเรื่องเกี่ยวกับ Demand Supply ของเหรียญที่ออกมาหมุนเวียนในตลาดจากการขุด จึงมีคนทำ Model เพื่อคาดการณ์ราคาในอนาคต ซึ่งมีความแม่นยำในอดีตสูงงมาก แต่ในอนาคตไม่อาจตอบได้ โมเดลนี้มีชื่อว่า Stock to Flow Model
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1790
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ หมวดหมู่หุ้นกับค่า P/E
null
การแบ่งหมวดหมู่หุ้นตามลักษณะของค่า P/E สามารถแบ่งได้ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ หุ้นมูลค่า เป็นหุ้นที่มีทรัพย์สินในราคาตลาดที่ต่ำกว่าความเป็นจริง หลายคนคิดว่ามีค่า P/E ที่ไม่สูง แต่ความเป็นจริงแล้ว หุ้นมูลค่ามีค่า EPS growth ที่ไม่สูงนัก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือ หุ้นเติบโต เป็นหุ้นที่คาดหวังในการเติบโต มีค่า PE สูง ราคาก็สูง ค่า EPS Growth ที่คาดหวังก็สูงตามด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ หมวดหมู่หุ้นกับค่า P/E โดยทั่วไปแล้วหลัก ๆ อาจจะแบ่งหุ้นตามลักษณะ P/E ได้เป็น 2 กลุ่ม 1) หุ้นมูลค่า (Value Stocks) หุ้นที่มีทรัพย์สิน หรือหลังจากคิดมูลค่าเนื้อแท้ของบริษัทแล้ว ราคาในตลาดต่ำกว่าความเป็นจริง หรือหุ้นที่ดูมูลค่าได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นหุ้นเหล่านี้ราคาก็ไม่ได้สะท้อนตาม value จริง ๆ เสมอไป อาจจะมีช่วงที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงหรือสูงกว่าความเป็นจริงจากความไม่สมเหตุสมผลของคนนั่นเอง ตลาดมักจะมองว่ากลุ่ม value มี P/E ที่ไม่สูงจะมีค่า P/E ที่ไม่สูงมากอาจจะ 10x 20x ว่ากันไป … แต่จริงๆแล้วก็คือมี EPS growth ที่ไม่สูงนัก 2) หุ้นเติบโต (Growth Stocks) เป็นหุ้นที่เล่นล้อไปกับอนาคต ราคาแพง PE สูง เนื่องจากคาดหวังการเติบโต คาดหวัง EPS Growth ที่สูง หรือราคาอาจให้ความหวังไปกับสตอรี่และนวัตกรรมต่าง ๆ ในอนาคต ดังนั้นจึงเห็นค่า PE สูง ๆ ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่ม Healthcare ที่มีโปรเจคเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตต่าง ๆ โดยอาจจะสูงถึงหลัก 100x หรือ 1,000x ก็มีมาแล้ว (เนื่องจากฐานต่ำ หรือมองว่าเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก มูลค่าตลาดมหาศาลรออยู่) ต้องคำนึงไว้อย่างนึงด้วยว่า หุ้นเติบโตเป็นหุ้นที่เล่นไปกับอนาคตผ่านความคาดหวังที่ค่อนข้างสูงซึ่งอาจมีความไม่แน่นอนได้ เช่น บริษัทอาจวางแผนพัฒนา product ขึ้นมาซึ่งคาดการณ์ว่าจะเสร็จในปี 20XX แต่เลื่อนกำหนดการณ์ออกไป ส่งผลให้นักลงทุนผิดหวังและราคาอาจจะปรับตัวลงมารุนแรงจากค่า P/E ที่สูงกว่า
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1792
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020
null
เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 คือ ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่มันก็ส่งผลให้เกิดความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้สกุลเงินดอลลาร์สูญเสียมูลค่า แถมยังส่งผลกระทบต่ระบบเศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ ที่ใช้มาตราการแบบเดียวกับสหรัฐอเมริกา บทเรียนจากย่อหน้านี้ เหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 มาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Federal Reserve เช่นการปรับลดดอกเบี้ย หรือพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากวิกฤติ COVID-19 แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่อาจทำให้สกุลเงินดอลลาร์สูญเสียมูลค่าไปได้ และไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น หลาย ๆ ภาคเศรษฐกิจทั่วโลกก็มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่บรรดาสถาบันทางการเงินรายใหญ่ ๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจใน Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีต่าง ๆ เพื่อถือเป็นทรัพย์สินสำรอง เช่นสถาบัน Greyscale ที่เข้าถือ Bitcoin มากกว่า 500,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 8.3 พันล้านดอลลาร์ แต่ข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการคริปโตมากที่สุด ก็คือข่าวที่ Paypal ประกาศเตรียมเปิดให้บริการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซีภายในปี 2021 นี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ Paypal เกือบ 300 ล้านรายสามารถเข้าถึงคริปโตได้นั่นเอง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1799
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในกองทุน Quant หรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับ เหตุผล: ข้อดีของกองทุน Quant: 1. ผลตอบแทนที่โดดเด่น: กองทุน Quant หลายกองสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดได้ในอดีต ตัวอย่างเช่น กองทุน Renaissance Technologies ของ Jim Simons เคยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) มากกว่า 30% เป็นเวลายาวนาน 2. ความเสี่ยงที่ต่ำ: กองทุน Quant บางกองมีกลยุทธ์ที่ควบคุมความเสี่ยงได้ดี ทำให้มี Max Drawdown (การลดลงสูงสุดของเงินทุน) ที่ต่ำ 3. การกระจายความเสี่ยง: กองทุน Quant หลายกองลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ 4. ความสะดวก: กองทุน Quant เป็นการลงทุนแบบ Passive นักลงทุนไม่จำเป็นต้องติดตามตลาดหรือเลือกหุ้นเอง ข้อเสียของกองทุน Quant: 1. ค่าธรรมเนียมที่สูง: กองทุน Quant หลายกองมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่ากองทุนรวมแบบ Active 2. ความซับซ้อน: กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน Quant นั้นซับซ้อน นักลงทุนอาจจะเข้าใจได้ยาก 3. ผลตอบแทนในอดีตไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต: ผลตอบแทนในอดีตของกองทุน Quant ไม่ได้เป็นประกันว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 4. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง: กองทุน Quant บางกองอาจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ยากต่อการขาย ปัจจัยที่นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุน Quant: 1. เป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนควรมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และพิจารณาว่ากองทุน Quant นั้นเหมาะสมกับเป้าหมายของตนหรือไม่ 2. ระดับความเสี่ยงที่รับได้: นักลงทุนควรประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนรับได้ และเลือกกองทุน Quant ที่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ตนสามารถรับได้ 3. ระยะเวลาการลงทุน: นักลงทุนควรลงทุนในกองทุน Quant ในระยะยาว เนื่องจากผลตอบแทนในอดีตของกองทุน Quant นั้นไม่ได้เป็นประกันว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 4. ค่าธรรมเนียม: นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของกองทุน Quant ต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน 5. ความเข้าใจกลยุทธ์: นักลงทุนควรศึกษาและเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน Quant ก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: กองทุน Quant นั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด และควบคุมความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนรายย่อยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1800
Finance
Margin of Safety คืออะไร
null
Margin of Safety คือ ส่วนเผื่อความปลอดภัย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการลงทุนได้ในการหา Bargain หรือข้อต่อรองที่จะหาได้ในเวลาที่ตลาด ราคาพังครืนร่วงลงมาแรง ๆ จนทำให้หุ้นบางตัวหรือแม้แต่ตราสารหนี้มี “มูลค่านำราคา” และอาจทำให้หุ้นตัวนั้น ๆ นำพาราคากลับไปสู่มูลค่าที่แท้จริงได้ในเวลาถัดไป ซึ่งในส่วนของตราสารหนี้ อาจจะหาตราสารหนี้ที่มีเครดิตที่ดีมีศักยภาพจ่ายหนี้ได้สูง ในจังหวะที่ราคาร่วงลงมาจนตำ่กว่าราคาตั้งต้น (ราคา par) และยิ่งราคาต่ำกว่าราคาตั้งต้นเท่าไรส่วนเผื่อความปลอดภัยที่ว่าก็จะมากขึ้นเท่านั้น และในส่วนของหุ้นอาจจะหาหุ้นที่มีมูลค่า “ถูก” จากมูลค่าสินทรัพย์หรือจากศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทหรือที่ชอบใช้กันในรูปแบบของ PE และ PBV มุมมองของภาพรวมตลาดที่หากดูในเรื่องส่วนของ Margin of Safety แล้ว อาจจะค่อนข้างอันตราย ซึ่งโดยปกติแล้วในเชิงของตลาดผลตอบแทนของหุ้นก็ควรอยู่ในระดับที่สูงกว่าตราสารหนี้หรือพันธบัตร ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า และยิ่งส่วนต่างนี้สูงมากเท่าไรก็หมายความว่าส่วนเผื่อความปลอดภัยก็จะยิ่งมากขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่เชื่อและเข้าใจก็คือ เหล่านักลงทุนเน้นคุณค่าหรือนักลงทุน VI จะใส่ใจกับเรื่องดังกล่าวมากเป็นพิเศษ จนทำให้เขาเข้าซื้อในจุดที่ได้เปรียบและถึงแม้นักลงทุนเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เขาก็จะมีส่วนเผื่อความปลอดภัยและขาดทุนได้ยากกว่านักลงทุนแนวเก็งกำไร
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1803
Finance
รายละเอียดของมาตรการช้อปดีมีคืน มีอะไรบ้าง
null
รายละเอียดของมาตรการช้อปดีมีคืน - สินค้าและบริการที่เมื่อซื้อแล้วสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามโครงการนี้จะได้แก่ 1. สินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จด VAT 2. สินค้า OTOP และ 3. หนังสือ - สำหรับสินค้ากลุ่มแรก (สินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จด VAT) ต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปด้วย ส่วนวิธีการที่จะทำให้รู้ว่าร้านค้าไหนจด VAT หรือไม่จด VAT ง่าย ๆ เลยเพียงแค่ถามว่าร้านสามารถออกใบกำกับภาษีให้ได้หรือไม่ - ส่วนสินค้ากลุ่มที่ 2 (สินค้า OTOP) และ 3 (หนังสือ) สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ถึงแม้ร้านค้าจะไม่ได้จด VAT แต่ต้องขอใบเสร็จที่มีการลงรายละเอียดสำคัญ เช่น ชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชาชน ชื่อสินค้าหรือบริการที่ซื้อ ราคาสินค้า และวันที่ของใบเสร็จก็ต้องลงเป็นวันที่ในช่วงระหว่างวันที่ 23 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2563 - ผู้มีเงินได้ สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ/ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าดังกล่าว ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท - สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 - ระยะเวลาโครงการ: 23 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2563 - หากใช้สิทธิ์ในโครงการนี้แล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ของอีก 2 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ นั่นคือ 1) โครงการคนละครึ่ง และ 2) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สินค้า/บริการที่ไม่ร่วมโครงการช้อปดีมีคืน ได้แก่ - สุรา เบียร์ และไวน์ - ยาสูบ - น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ - รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ - หนังสือพิมพ์ & นิตยสาร - บริการหนังสือพิมพ์ & นิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ - บริการจัดนำเที่ยว - ที่พักในโรงแรม
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1812
Finance
เขียนย่อหย้าเกี่ยวกับ การกระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ
null
การกระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ จะมีวิธีก็คือ ถ้าอยากลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แล้วอยากลงทุน SET50 ทั้งดัชนี จะทำอย่างไร ความเป็นจริงเราสามารถลงทุนในตลาดหุ้นก็ได้แต่จะเหนื่อย เพราะฉะนั้น วิธีที่ง่ายกว่าคือ การกระจายการลงทุนในกองทุนรวม สมมติว่าสนใจการลงทุนในดัชนี เพรามันโตตามเศรษฐกิจได้ในระยะยาว และสนใจ SET50 ด้วย ก็ไม่ซื้อหุ้นในตลาดหุ้นทีละตัว แค่ซื้อเฉพาะหน่วยลงทุน ก็สามารถครอบครองหุ้นในดัชนีนั้นได้แล้ว บทเรียนจากย่อหน้านี้ กระจายการลงทุนให้อัตโนมัติ สมมติอยากลงทุนหุ้นเทคโนโลยี จะเลือกลงตัวไหนดี แต่ละตัวลงในสัดส่วนเท่าไร สมมติอยากลงทุน SET50 ทั้งดัชนี ต้องทำยังไง ต้องไปไล่ซื้อเองทุกตัวเลยรึเปล่า จริงๆ ลงทุนในตลาดหุ้นก็สามารถทำเองได้ (อาจจะเหนื่อยหน่อย) แต่เรื่องกระจายการลงทุนเป็นเรื่องที่กองทุนรวมทำได้ง่ายกว่ามาก เช่น ถ้าสนใจการลงทุนในดัชนี เพราะมองว่าดัชนียังไงก็โตตามเศรษฐกิจในระยะยาว ดัชนีที่ไม่โตคือประเทศที่เจ๊ง ถ้าสนใจ SET50 ก็ไม่ต้องไปนั่งซื้อในตลาดหุ้นทีละตัว แค่ซื้อหน่วยลงทุนจากกองทุนที่ลงใน SET50 ก็เหมือนได้ครอบครองหุ้นในดัชนีนั้นแล้ว หรือถ้าสนใจลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ถ้ามองว่าช่วงนี้หุ้นเทคโนโลยีเติบโตดี ก็แค่ซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ก็จะได้ลงทุนในหุ้นเด่นในกลุ่มทันที ทีนี้ก็ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงดวงว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น เพราะเหมาหมด ถึงจะมีตัวขาดทุนบ้าง แต่ถ้ามีตัวขึ้นแรงๆ ก็จะสามารถชดเชยและดันให้ผลตอบแทนของกองนั้นเป็นบวกได้ (หลักการคล้ายๆ ลงทุนในดัชนี)
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1815
Finance
นักลงทุนควรขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนหรือไม่?
null
ไม่ เพราะ การขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนอาจส่งผลเสียต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ การพยายามจับจังหวะตลาดนั้นยากและอาจทำได้ไม่ดีเท่าการลงทุนระยะยาว การขายหุ้นทั้งหมดอาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นกลับมา คำอธิบายเพิ่มเติม: ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ หมายความว่า ราคาหุ้นมีขึ้นมีลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะในระยะสั้น ความผันผวนนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ข่าวเศรษฐกิจ สถานการณ์การเมือง ภัยธรรมชาติ ฯลฯ การพยายามจับจังหวะตลาด หมายถึง การพยายามขายหุ้นเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวน และซื้อหุ้นกลับเมื่อตลาดหุ้นกลับมา เป็นกลยุทธ์ที่ยากและอาจทำได้ไม่ดีเท่าการลงทุนระยะยาว เพราะว่า การคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงนั้นยากมาก แม้จะคาดการณ์ได้ถูกต้อง แต่การจับจังหวะซื้อขายให้ตรงกับจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดของตลาดนั้นยากยิ่ง การซื้อขายหุ้นบ่อยครั้งอาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายและภาษีมากขึ้น การลงทุนระยะยาว หมายถึง การลงทุนในหุ้นเป็นระยะเวลาหลายปี โดยไม่คำนึงถึงความผันผวนของตลาดหุ้นในระยะสั้น กลยุทธ์นี้มีหลักการว่า ในระยะยาว ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น ตัวอย่าง: สมมติว่านักลงทุนคนหนึ่งลงทุนในดัชนี S&P 500 ในปี 2000 และขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวนในปี 2008 นักลงทุนคนนี้จะพลาดโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นกลับมาในปี 2009 และ 2010 ผลตอบแทนการลงทุนของนักลงทุนคนนี้จะน้อยกว่านักลงทุนที่ลงทุนระยะยาว ในทางตรงกันข้าม สมมติว่านักลงทุนอีกคนหนึ่งลงทุนในดัชนี S&P 500 ในปี 2000 และถือหุ้นไว้จนถึงปี 2020 นักลงทุนคนนี้จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี แม้จะผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหลายครั้งก็ตาม ข้อควรระวัง: - การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงอยู่เสมอ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน - นักลงทุนควรเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ - นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สรุป: - นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการขายหุ้นทั้งหมดเมื่อตลาดหุ้นเริ่มผันผวน - การลงทุนระยะยาวเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้น - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1820
Finance
จงบอก 7 ความคิดต้องห้ามถ้าอยากรวย ในรูปแบบของการเปรียบเทียบคำพูดระหว่างพ่อจนกับพ่อรวย
null
1. พ่อจนบอกว่า “ฉันซื้อมันไม่ได้หรอก” พ่อรวยบอกว่า “ฉันจะซื้อมันได้อย่างไร” ประโยคของพ่อจนเป็นเพียงประโยคบอกเล่าที่ชวนให้ท้อถอยเสียเหลือเกิน แค่พูดคำนี้สมองก็ไม่ทำงานต่อแล้ว ส่วนประโยคของพ่อรวยเป็นคำถามที่กระตุ้นสมองให้คิดหาวิธีสร้างเงินเพื่อมาซื้อสิ่งนั้น ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าควรจะซื้อทุกอย่างที่ปรารถนา แต่ประเด็นอยู่ที่การฝึกสมองให้คิดหาคำตอบเรื่อยๆ ต่างหาก ว่าจะหาทางสร้างเงินอย่างไร 2. พ่อจนบอกว่า “ฉันทำงานเพื่อเงิน” พ่อรวยบอกว่า “เงินทำงานให้ฉัน” ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนธรรมดาอย่างหนึ่ง คือ วิธีที่พวกเขาได้รับเงิน คนธรรมดาส่วนใหญ่ทำงานแลกเวลาหาเงินกันไป แม้จะการันตีว่าได้เงินแน่นอนแต่ถ้ามัวแต่ทำงานแบบนี้อย่างเดียวโดยไม่หาทางให้เงินงอกเงยทางอื่นเลย ก็อาจจะทำให้เงินไม่พอในอนาคต และมีความเสี่ยงหากเกิดกรณีตกงานอีก ในขณะที่คนรวยนั้นส่วนใหญ่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ทำงานแบบมีค่าคอมมิชชั่น หรือเลือกลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ 3. พ่อจนบอกว่า “เรื่องเงินทอง อย่าไปเสี่ยง” พ่อรวยบอกว่า “จงเรียนรู้วิธีบริหารความเสี่ยง” มีหลายคนที่กลัวความเสี่ยง จึงเก็บเงินไว้กับตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าจริง ๆ ว่าความเสี่ยงนั้นสามารถบริหารจัดการกันได้ คนรวยส่วนใหญ่ลงเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ ซึ่งต้องมีความกล้าได้กล้าเสียระดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็สามารถรับความไม่แน่ไม่นอนได้ นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่ได้แค่หลับหูหลับตาก้าวเข้าไปสู้รบแบบไม่รู้เรื่องอะไร แบบนั้นอันตราย พวกเขาต้องกล้าที่จะรับความเสี่ยงแบบชาญฉลาด ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความรู้ระดับหนึ่ง ดังนั้น เพื่อที่จะให้ได้ประสบการณ์และความรู้มากขึ้น ก็ต้องลองผิดลองถูกและเรียนรู้ทุกครั้งเมื่อสำเร็จหรือล้มเหลว เพื่อช่วยสร้างความแข็งแกร่งและเข้าใจความเสี่ยงมากขึ้น 4. พ่อจนบอกว่า “บ้านของฉันคือสินทรัพย์” พ่อรวยบอกว่า “บ้านของฉันคือหนี้สิน” ความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์และหนี้สิน คือ สินทรัพย์คือสิ่งที่จะยังทำเงินได้ ส่วนหนี้สินจะดึงเงินออกจากตนเอง จุดสำคัญคือต้องเข้าใจว่าสินทรัพย์และหนี้สินต่างกันอย่างไร 5. พ่อจนบอกว่า “เรียนให้หนักเข้าไว้ จะได้ทำงานในบริษัทดีๆ” พ่อรวยบอกว่า “เรียนให้หนักเข้าไว้ จะได้สามารถเป็นเจ้าของบริษัทดีๆ ได้” เหล่าคนรวยมักไม่กลัวที่จะคิดการใหญ่ ตั้งความหวังไว้สูงๆ และคาดหวังว่าจะทำเงินได้เยอะๆ ในขณะที่คนธรรมดาทั่วไปคาดหวังว่าจะต้องลำบาก และไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงมาก 6. พ่อจนบอกว่า “ฉันไม่มีวันรวยหรอก” พ่อรวยบอกว่า “ฉันเป็นคนรวย” แม้ว่าพ่อรวยจะเจอภาวะล้มละลาย ก็ยังเรียกตัวเองว่า “คนรวย” โดยเสริมว่า ความแตกต่างระหว่างการล้มละลายกับความจนคือ การล้มละลายมันแค่ชั่วคราว แต่ความจนคือตลอดไป 7. พ่อจนบอกว่า “ฉันไม่สนใจเรื่องเงินหรอก” พ่อรวยบอกว่า “เงินคืออำนาจ” ส่วนใหญ่มักถูกสอนให้เรียนดีๆ หางานดีๆ และพอใจในชีวิตที่มีอยู่ จะว่าเป็นความคิดที่ดีมันก็ดี มันทำให้ไม่โลภอยากได้อะไรเกินตัวเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะปิดกั้นศักยภาพบางอย่างที่อาจจะเติบโตได้อีก ในทางตรงกันข้าม คนรวยจะคิดถึงเรื่องเงินแบบเป็นขั้นเป็นตอน และมองเงินว่าเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจซึ่งสามารถนำมาซึ่งตัวเลือกและโอกาสต่างๆ ได้ พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าเงินจะถูกมองไม่ดีอย่างไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีเงินเยอะๆ ก็ถือเป็นแต้มต่อให้ชีวิตจริงๆ
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1821
Finance
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวม มีอะไรบ้าง
null
1. ศึกษาหาความรู้: - เรียนรู้พื้นฐานการลงทุน ประเภทของกองทุนรวม ความเสี่ยง ผลตอบแทน - ศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมที่สนใจ เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน นโยบายการลงทุน - ศึกษากลยุทธ์การลงทุน 2. เริ่มต้นลงทุน: - ลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย เรียนรู้จากประสบการณ์จริง - กระจายความเสี่ยง ลงทุนในกองทุนรวมหลายประเภท - ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องกังวลกับภาวะตลาด 3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: - ปรึกษานักวางแผนการเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน - เลือกใช้บริการ robo-advisor 4. อดทนรอคอย: - เข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้น มีทั้งขาขึ้นและขาลง - อดทนรอคอย ผลตอบแทนที่ดีจะมาในระยะยาว เพิ่มเติม: เริ่มต้น: ลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ ตั้งเป้าหมาย: ระบุเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลา เงินทุน ควบคุมอารมณ์: ลงทุนอย่างมีสติ ไม่ใช้อารมณ์ ทบทวนพอร์ต: ตรวจสอบผลการลงทุน ปรับพอร์ตตามความเหมาะสม ตัวอย่าง: ศึกษา: เข้าคอร์สเรียนการลงทุน อ่านหนังสือ บทความ เว็บไซต์ เกี่ยวกับการลงทุน เริ่มต้น: ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ ปรึกษา: ปรึกษานักวางแผนการเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน อดทน: อดทนรอคอย ผลตอบแทนที่ดีจะมาในระยะยาว สรุป: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้ เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย กระจายความเสี่ยง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และอดทนรอคอย
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1823
Finance
กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การเก็งกำไรระยะสั้นหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การลงทุนระยะยาว เขาให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้น เขาลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้ว่าธุรกิจเหล่านั้นจะยังไม่盈亏平衡ก็ตาม คำอธิบายเพิ่มเติม: Jack Ma เริ่มต้นธุรกิจ Alibaba ด้วยเงินลงทุนเพียง $20,000 เขาเชื่อว่า Alibaba มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ในที่สุด Alibaba ก็กลายเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน ปัจจุบัน Alibaba มีมูลค่าตลาดมากกว่า $200 พันล้าน ตัวอย่าง: ในปี 1999 Jack Ma ลงทุนในธุรกิจ Taobao ซึ่งเป็นเว็บไซต์ประมูลออนไลน์ ในช่วงแรก Taobao ไม่ได้盈亏平衡 แต่ Jack Ma ยังคงลงทุนในธุรกิจต่อไป เขาเชื่อว่า Taobao มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ในที่สุด Taobao ก็กลายเป็นเว็บไซต์ประมูลออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ข้อควรระวัง: การลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยงอยู่เสมอ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรเลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สรุป: กลยุทธ์การลงทุนของ Jack Ma เน้นไปที่การลงทุนระยะยาว เขาให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้น เขาลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้ว่าธุรกิจเหล่านั้นจะยังไม่盈亏平衡ก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1824
Finance
การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ผ่านแพลตฟอร์ม Zipmex เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยงสูง: คริปโทเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง (High Volatility) ราคาสามารถขึ้นลงได้อย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด 2. ความรู้ความเข้าใจ: การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) กลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) 3. กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น กฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ นักลงทุนอาจเผชิญความเสี่ยงด้านกฎหมาย 4. ค่าธรรมเนียม: แพลตฟอร์ม Zipmex มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี นักลงทุนควรศึกษาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมก่อนตัดสินใจลงทุน 5. ความปลอดภัย: แพลตฟอร์ม Zipmex เป็นเป้าหมายของแฮ็กเกอร์ นักลงทุนควรศึกษาและเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย ประเภทของนักลงทุนที่เหมาะสม: นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk Tolerance) เข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชน กลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค การบริหารความเสี่ยง ศึกษาและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบ เข้าใจค่าธรรมเนียม เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย ประเภทของนักลงทุนที่ไม่เหมาะสม: นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low Risk Tolerance) ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน กลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค การบริหารความเสี่ยง ไม่ศึกษาและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบ ไม่เข้าใจค่าธรรมเนียม ไม่เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ปลอดภัย สรุป: การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีผ่านแพลตฟอร์ม Zipmex ไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง กฎระเบียบ ค่าธรรมเนียม และความปลอดภัยก่อนตัดสินใจลงทุน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1826
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การตัดสินใจเลือกลงทุนกับ FINNOMENA ของคุณพล ตัณฑเสถียร
null
การตัดสินใจเลือกลงทุนกับ FINNOMENA ของคุณพล ตัณฑเสถียร เกิดจากการพูดคุยกับทีมงาน และได้เห็นว่ามีการให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และทราบมาว่า FINNOMENA มีการทำ Core Portfolio ให้มีคนดูแลพอร์ต ทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน และมีความหลากหลายในทางเลือกกองทุน จึงตัดสินมาลงทุนกับ FINNOMENA คุณพลคิดว่า FINNOMENA สามารถแก้ไขปัญหาการลงทุนจากความหลากหลายกองทุน มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่สะดวก สามารถเข้ากับความเสี่ยงที่รับได้ และมีการอัปเดตพอร์ตแบบวันต่อวัน ทำให้รู้ความเคลื่อนที่ของการลงทุนผ่านมือถือและเว็บไซต์ ได้อย่างสะดวก และ FINNOMENA มีความแตกต่างจากการลงทุนที่อื่น เพราะมีแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย สามารถดูผลตอบแทนได้ง่าย มีทางเลือกในการเลือกกองทุนที่หลากหลาย และคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก บทเรียนจากย่อหน้านี้ เพราะอะไรคุณพลถึงตัดสินใจเลือกลงทุนกับ FINNOMENA? หลังจากการที่ได้พูดคุยกับทีมงานของ FINNOMENA จึงเห็นถึงความเด่นชัดในการให้ข้อมูลที่มั่นใจได้ว่าเชื่อถือได้ อีกทั้งรู้ว่า FINNOMENA มีการทำ Core Portfolio ที่มั่นใจได้ว่ามีคนดูแลพอร์ตเหล่านี้ ทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน และทางเลือกกองทุนที่มีความหลากหลาย จึงตัดสินใจลงทุนกับ FINNOMENA คุณพลคิดว่า FINNOMENA สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาการลงทุนในจุดไหนได้บ้าง? หลัก ๆ คือ การมีหลากหลายกองทุนจากหลายที่ให้เลือก มันตอบโจทย์มาก และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ทำให้สะดวกในการเลือกซื้อก็เป็นส่วนสำคัญ อีกทั้งสามารถเข้ากับความเสี่ยงที่รับได้ด้วย ตลอดจนการอัปเดตพอร์ตวันต่อวันที่ทำให้รู้ถึงความเคลื่อนที่ของการลงทุนแบบง่าย ๆ บนมือถือและเว็บไซต์ คุณพลมองว่า FINNOMENA แตกต่างจากการลงทุนที่อื่นอย่างไร? ความแตกต่างที่สัมผัสได้คือ มีแอปพลิเคชันที่ค่อนข้างใช้ง่าย สามารถดูเรื่องของผลตอบแทนได้ง่ายกว่ารูปแบบเดิม ส่วนต่อมาคือทางเลือกในการเลือกกองทุนที่หลากหลายกว่าที่อื่น และแม้ FINNOMENA จะมี Core Portfolio แต่ FINNOMENA ก็คำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เข้ากับตนเอง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1829
Finance
ในฐานะนักลงทุนรายย่อย ควรเริ่มต้นวางแผนการเงินอย่างไร?
null
1. กำหนดเป้าหมายทางการเงิน: เป้าหมายระยะสั้น: เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน ซื้อรถ ท่องเที่ยว เป้าหมายระยะยาว: เช่น เกษียณอายุอย่างสบาย ส่งลูกเรียนต่อ สร้างมรดก 2. ประเมินสถานะการเงินปัจจุบัน: รายรับ: เงินเดือน รายได้จากธุรกิจ รายได้อื่นๆ รายจ่าย: ค่าใช้จ่ายประจำ ค่าใช้จ่ายแปรปรวน หนี้สิน สินทรัพย์: เงินสด เงินฝาก ลงทุน 3. จัดทำงบประมาณ: วางแผนการใช้จ่าย: ควบคุมค่าใช้จ่าย จดบันทึกรายรับ-รายจ่าย เก็บออม: แยกเงินออมสำหรับเป้าหมายต่างๆ ชำระหนี้สิน: จัดลำดับความสำคัญ วางแผนการชำระหนี้ 4. ศึกษาความรู้ด้านการเงิน: เรียนรู้ประเภทของสินทรัพย์: หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ เข้าใจความเสี่ยง: ศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนแต่ละประเภท กลยุทธ์การลงทุน: เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง 5. เริ่มต้นลงทุน: ลงทุนในสินทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: ลงทุนเป็นประจำ เช่น ทุกเดือน ระยะยาว: อดทน ลงทุนระยะยาว ไม่หวั่นไหวกับตลาดระยะสั้น 6. ปรับแผนตามสถานการณ์: ทบทวนแผนการเงินเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ปรับแผนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เช่น รายได้ รายจ่าย เป้าหมาย 7. หาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้วางแผนการเงิน หากต้องการคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง ศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น หนังสือ บทความ เว็บไซต์ การวางแผนการเงินไม่ใช่เรื่องยาก นักลงทุนรายย่อยสามารถเริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง เพียงศึกษาข้อมูล จัดระเบียบการเงิน และลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การวางแผนที่ดีจะช่วยให้นักลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน สร้างความมั่นคง และความสุขในชีวิต
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1833
Finance
จงบอก 3 ข้อ แนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง รวดเร็ว ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนจาก SCGP ณ ปี 2562
null
1) ตลาดบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างร้อนแรง คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าอีคอมเมิร์ซยังสามารถเติบโตได้อีกมาก และหากว่ากันถึงตลาดบรรจุภัณฑ์สำหรับอีคอมเมิร์ซที่ SCGP กำลังดำเนินธุรกิจอยู่นั้นก็ถือได้ว่ามีอัตราเติบโตที่น่าทึ่งเช่นกัน จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ธุรกิจแห่งอนาคตที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ 2) ยอดการใช้งานบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ กำลังเติบโต นอกจากการเติบโตในตลาดใหญ่อย่างอีคอมเมิร์ซแล้ว ยอดการใช้งานสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มประเทศที่ SCGP ทำธุรกิจด้วย ก็มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในปี 2562-2567 นั้นอยู่ที่ 5.87% และในช่วง COVID-19 ทำให้ผู้คนอยู่บ้านและใช้บริการอีคอมเมิร์ซ ซื้อของออนไลน์กันมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่เคยทดลองใช้บริการได้เรียนรู้ และคุ้นชินกับการจับจ่ายออนไลน์ จึงอาจทำให้อีคอมเมิร์ซเติบโตมากกว่าที่เคยเป็น 3) ยอดผู้ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและกระดาษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในส่วนของการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและกระดาษ บรรจุภัณฑ์กระดาษถือเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของ SCGP ยอดการใช้ต่อหัวในไทยนั้นอยู่ที่ 50 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แซงหน้าจีนที่ 35 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ในส่วนของบรรจุภัณฑ์พลาสติกเองศักยภาพการเติบโตของ GDP ที่ 5.1% ณ ปี 2562 รวมกับปริมาณประชากรในอาเซียนที่ 650 ล้านคนแล้ว ก็ถือได้ว่ากลุ่มคนในภูมิภาคอาเซียนขนาดใหญ่กำลังมีการเติบโตทางฐานรายได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการจับจ่ายใช้สอย และนำไปสู่การบริโภคสินค้า ที่จะส่งผลบวกสอดคล้องไปกับกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเหมือนชิ้นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในสินค้าต่าง ๆ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1835
Finance
เปรียบเทียบระหว่างกองทุนสุดยอดหุ้นเติบโต KFHTECH-A และ ONE-UGG-RA
null
สรุปจุดเด่น KFHTECH-A - เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ - ลงทุนผ่าน BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก - มีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นเทคโนโลยีในจีนที่แข็งแกร่งอย่าง Alibaba และ Tencent - เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบและเชื่อมั่นว่าจีนจะก้าวมาเป็นมหาอำนาจในอนาคตได้ เพราะกองทุนกระจายการลงทุนในจีนเป็นสัดส่วนที่มากกว่าปกติ สรุปจุดเด่น ONE-UGG-RA - เลือกหุ้นได้แบบไร้ขีดจำกัดทั่วโลก ทำให้ไม่พลาดโอกาสจากหุ้นเติบโตในประเทศต่าง ๆ - เลือกหุ้นผ่านผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่มีความเข้าใจธุรกิจอย่างดีเยี่ยม - เน้นลงทุนใน “หุ้นเด้ง” หรือ “หุ้นเติบโตหลายเท่า” ที่สร้างผลตอบแทนได้สูง - ผลการดำเนินงานย้อนหลังโดดเด่นเหนือดัชนีชี้วัดหุ้นโลก (MSCI AC World Index) เป็นอย่างมาก ข้อแตกต่างสำคัญระหว่าง ONE-UGG-RA กับ KFHTECH-A ก็คือ ตัวกองทุน ONE-UGG-RA ไม่ได้จำกัดตัวเองแค่ในหุ้นหมวดเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ตัวกองทุนสามารถเฟ้นหาหุ้นเติบโตได้ทั่วโลกและทุกภูมิภาค เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ซึ่งก็จะแตกต่างกับตัวกองทุน KFHTECH-A ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นหลัก แต่ถึงอย่างนั้นหากนำผลงานของกองทุนเทคโนโลยี มาเทียบกับกองทุนหุ้นโลกก็คงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก ดังนั้นเอาเป็นว่าหากใครที่ชอบและสนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็ให้เป็นหน้าที่ของกองทุน KFHTECH-A ส่วนใครที่ชอบการเฟ้นหาหุ้นเติบโตทั่วโลกและเชื่อมั่นในฝีมือผู้จัดการกองทุนและทีมงานก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกองทุน ONE-UGG-RA
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1839
Finance
การพัฒนา Decentralized Finance (DeFi) จะส่งผลดีต่อระบบการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) หรือไม่?
null
มีแนวโน้มที่จะส่งผลดี เหตุผล: 1. DeFi เพิ่มทางเลือกและโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน: DeFi ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น ธนาคาร ผู้ใช้สามารถฝาก กู้ยืม แลกเปลี่ยน และลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ โดยตรงผ่านแอปพลิเคชั่น DeFi สิ่งนี้ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้ที่อาจไม่มีบัญชีธนาคารหรือถูกจำกัดการเข้าถึงบริการทางการเงินแบบดั้งเดิม 2. DeFi เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: DeFi ทำงานบนระบบบล็อกเชน ซึ่งช่วยให้ธุรกรรมมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และปลอดภัย ธุรกรรม DeFi ไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลาง จึงช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรม ผู้ใช้สามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการฝากเงินและลงทุนใน DeFi 3. DeFi ส่งเสริมนวัตกรรมในระบบการเงิน: DeFi กระตุ้นให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชั่นและบริการทางการเงินใหม่ ๆ บนบล็อกเชน สิ่งนี้ช่วยเพิ่มการแข่งขันในระบบการเงินและนำไปสู่บริการที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ ตัวอย่างนวัตกรรม DeFi เช่น การให้กู้ยืมแบบไร้หลักประกัน การแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (DEX) และการระดมทุนแบบ Initial DEX Offering (IDO) 4. DeFi ช่วยให้ระบบการเงินมีความยืดหยุ่นและทนทานต่อแรงกระแทก: DeFi กระจายอำนาจและควบคุมระบบการเงินออกจากตัวกลาง สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงจาก systemic risk DeFi ช่วยให้ระบบการเงินสามารถทำงานต่อไปได้แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม DeFi ยังมีข้อจำกัดบางประการ: ความซับซ้อนทางเทคนิค: ผู้ใช้ DeFi จำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและ Smart Contract ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: DeFi ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การถูกโจมตีทางไซเบอร์ กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับ DeFi ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ โดยสรุป: DeFi มีศักยภาพที่จะส่งผลดีต่อระบบการเงินแบบดั้งเดิม DeFi เพิ่มทางเลือก โอกาส ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมให้กับระบบการเงิน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ต้องได้รับการแก้ไข การพัฒนา DeFi อย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีการ พัฒนาเทคโนโลยีให้ใช้งานง่ายขึ้น เพิ่มมาตรการความปลอดภัย กำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจน เมื่อข้อจำกัดเหล่านี้ได้รับการแก้ไข DeFi จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบการเงินในอนาคต
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1845
Finance
เขียนนิยายเรื่อง "รุ่งอรุณหลังพัง: ทางออกในวิกฤติเศรษฐกิจ" ให้หน่อย
null
ชื่อเรื่อง: "รุ่งอรุณหลังพัง: ย้อนรอยวิกฤติเศรษฐกิจ" เมื่อเวลาผ่านไป ย้อนกลับไปในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจ มีวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์ในทุกๆ มุมมอง มันไม่เพียงแต่เป็นประสบการณ์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับมิติที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับการทำงานของระบบเศรษฐกิจและความผันผวนของมัน ในปี 2000 ของ "เมืองฮาร์ดทอป" ชุมชนเล็กๆ บนภูเขา กำลังพยายามที่จะเอาชีวิตต่อไป แต่การลงทุนที่ไม่ระมัดระวังและการเล่นเกมในตลาดทุนที่เสี่ยงกาจได้นำพาสู่วิกฤติทางเศรษฐกิจที่ทำให้เมืองต้องต่อสู้กับความขาดแคลนและความเปลี่ยนแปลงที่ขัดแย้งกันของความคิดเห็น ทุกคนในเมืองเริ่มรับรู้ถึงผลกระทบที่ตามมาจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ การสูญเสียงาน การลดลงของรายได้ และความไม่มั่นคงในอนาคต ซึ่งส่งผลให้เกิดความเครียดและความกังวลในชุมชน แต่ก็มีแสงหวาดในมืด การร่วมมือและความเข้าใจในชุมชนเพื่อสร้างความเข้มแข็งในเวลาที่ยากลำบาก มนุษย์หันมาหาวิธีในการช่วยเหลือกัน ด้วยการแบ่งปันทรัพยากรและการสร้างชุมชนที่แข็งแรงขึ้น เมื่อความไม่มั่นคงจากวิกฤติเศรษฐกิจได้รับการปรับปรุง ชุมชนเริ่มก้าวข้ามไปข้างหน้า ด้วยการสร้างแผนการเรียนรู้เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤติในอนาคต และการพัฒนาศักยภาพในการจัดการเงินทุน เมื่อสภาพเศรษฐกิจของเมืองฮาร์ดทอปเริ่มฟื้นตัวขึ้น มันไม่ได้แค่เป็นการกู้คืนสภาพทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นฟูความมั่นคงในชุมชน และสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจไม่ใช่แค่ความเสียหายและความเจ็บปวด แต่ยังเป็นโอกาสในการเรียนรู้และการเติบโต ความทุ่มเทในการฟื้นฟูชุมชนจะช่วยให้มนุษย์เติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติสำคัญในอนาคตที่ยั่งยืนได้ เรื่องนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและการรับมือกับวิกฤติทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทำความเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้เราเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง เตือนใจให้ระมัดระวังและระมัดระวังในการจัดการเงินและการลงทุน เพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากับวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เป็นไปไม่ได้ และให้มีการวางแผนและก้าวข้ามไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในทุกสถานการณ์
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1848
Finance
ทำไมถึงควรมีทองคำไว้ในพอร์ต
null
นอกจากข้อดีของทองคำที่เห็นได้ชัดอย่างการ “เก็งกำไร” แล้ว การมีทองคำถือว่าเป็นการ “กระจายความเสี่ยง” การมีทองคำในสัดส่วนที่พอดีในพอร์ต จะช่วยลดความผันผวนให้พอร์ตได้ ปกติราคาทองจะมีความสัมพันธ์ในลักษณะไปทางเดียวกัน (Correlation) กับตลาดหุ้นค่อนข้างน้อย หรือบางครั้งจะขึ้นสวนทางกับตลาดหุ้นด้วยซ้ำไป ดังนั้น การที่มีทองคำไว้ในพอร์ต จะช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตที่มีหุ้นได้ ทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตเสถียรมากขึ้น ผันผวนน้อยลง ตอบโจทย์การจัดพอร์ตลงทุนในระยะยาว สาเหตุที่ทองคำมักไม่ได้เคลื่อนที่ไปตามตลาดหุ้น เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเองอยู่แล้ว ทองคำอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นทองคำ ไม่ว่าช่วงเวลาไหนทองก็ยังเป็นโลหะมีค่าที่คนต้องการ ทำให้ทองถูกเรียกว่าเป็น สินทรัพย์หลบภัย (Safe Haven) สรุปข้อดีของทองคำ คือ ใช้ปกป้องความเสี่ยงในพอร์ต และเพิ่มโอกาสในการเก็งกำไร ในช่วงที่ตลาดอื่นเป็นขาลงได้ ข้อควรระวังในการลงทุนในทองคำ - ทองคำไม่ได้เป็นสินทรัพย์อ้างอิงกับการเติบโตเหมือนหุ้น ราคาเกิดจากอุปสงค์อุปทานล้วนๆ เพราะฉะนั้นจะผันผวนสูง - ถ้าวันหนึ่งคนไม่ให้ค่าทองแล้ว ทองอาจจะกลายเป็นแค่หินธรรมดา (แต่คงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะทองใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ใช้เป็นเครื่องประดับ ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ยังมี) - ค่าเงินดอลลาร์ใช้ซื้อขายทองคำโดยตรง เพราะฉะนั้นการขึ้นลงของค่าเงินดอลลาร์จะมีผลกับราคาทองคำค่อนข้างมาก การคาดการณ์ทิศทางทองคำต้องดูค่าเงินดอลลาร์ด้วย - ทองคำถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง (กองทุนทองมีความเสี่ยงระดับ 8) ต้องศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1853
Finance
นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้างก่อนตัดสินใจลงทุนใน BCH
null
1. ปัจจัยพื้นฐานของ BCH เทคโนโลยี: ความเร็วในการทำธุรกรรม: BCH ใช้ระบบ Storm ช่วยให้ยืนยันธุรกรรมได้รวดเร็ว Smart Contract: BCH ใช้ Cashscript ภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยม โครงสร้างพื้นฐาน: ทีมพัฒนา BCH กำลังพัฒนา Graphene Version 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้งาน: BCH ได้รับความนิยมในบางประเทศ การใช้งาน BCH ยังไม่แพร่หลายเท่า Bitcoin การยอมรับ: ร้านค้าที่รับ BCH ยังมีจำนวนจำกัด กระดานเทรดคริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่รองรับ BCH 2. ปัจจัยทางการเงิน ราคา: ราคา BCH มีความผันผวนสูง ราคา BCH เคยแตะจุดสูงสุดที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขาย BCH น้อยกว่า Bitcoin สภาพคล่องของ BCH ต่ำกว่า Bitcoin ผลตอบแทนจากการลงทุน: ผลตอบแทนจากการลงทุนใน BCH สูงกว่า Bitcoin ในบางช่วง BCHมีความเสี่ยงสูงกว่า Bitcoin 3. กลยุทธ์การลงทุน กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนใน BCH ทั้งหมด ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ลงทุนระยะยาว: BCH เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ควรลงทุนระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยง ติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCH และเทคโนโลยีบล็อกเชน วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางการเงิน 4. สรุป BCH เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีศักยภาพ แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1857
Finance
การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงในอดีต จะส่งผลให้ได้ผลตอบแทนสูงในอนาคต หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต: ผลตอบแทนของสินทรัพย์ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ มากมาย เช่น สภาพเศรษฐกิจ สภาพคล่องของตลาด นโยบายการเงิน และความเสี่ยงของสินทรัพย์ ปัจจัยเหล่านี้เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ในอดีตอาจไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลตอบแทนในอนาคต 2. ตัวอย่าง: หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 14.5% ต่อปี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2553 - 2562) แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2558 - 2562) หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 4.8% ต่อปี แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากในช่วงเวลาที่ต่างกัน 3. ความเสี่ยง: การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงในอดีต มักมีความเสี่ยงสูง สินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนสูง ราคาอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ 4. กลยุทธ์การลงทุน: นักลงทุนควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ใดเพียงอย่างเดียว ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน 5. สรุป: การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงในอดีต ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าจะได้ผลตอบแทนสูงในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน เพิ่มเติม: นักลงทุนควรศึกษาโมเดลการคาดการณ์ผลตอบแทน เช่น Capital Asset Pricing Model (CAPM) โมเดลเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนประมาณการผลตอบแทนที่คาดหวังจากสินทรัพย์ นักลงทุนควรใช้โมเดลเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจลงทุน คำแนะนำ: นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินสามารถช่วยนักลงทุนเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1860
Finance
จงเปรียบเทียบการลงทุนคริปโต ระหว่าง ซื้อถือยาว กับ เก็งกำไรระยะสั้น
null
กลยุทธ์ Buy and Hold สมมุติฐาน เงินลงทุนตั้งต้น 1 ล้านบาท สินทรัพย์ดิจิทัลที่หยิบมาทดสอบ คือ Bitcoin ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ 1/1/2020 – 1/08/2020 จากเงิน 1 ล้านบาทที่ลงทุนซื้อ BTC ขยับขึ้นมาเป็น 42.5 ล้านบาทภายใน 5 ปีกับ 8 เดือน คิดเป็นผลตอบแทนทั้งสิ้น 4153 % หรือเป็นต่อปี 96 % ซึ่งจากตัวเลขนี้ทุกคนคงโอเคมาก ๆ กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะหาสินทรัพย์เสี่ยงจากไหนก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนเท่านี้ได้ แต่ช้าก่อน มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะชี้ให้ทุกคนดูคือสิ่งที่เรียกว่า Max drawdown % หรือช่วงที่พอร์ตลดต่ำลงมากที่สุด จากกลยุทธ์ซื้อแล้วถือยาวใน Bitcoin นั้นมีค่า Max drawdown % ถึง 83 % นั่นหมายความว่ามีบางช่วงเวลาที่พอร์ตติดลบไปกว่า 83 % ก็คือช่วงสิ้นปี 2018 นั่นเอง เอาจริง ๆ แล้วไม่มีใครยอมรับผลขาดทุนที่ลึกแบบนี้ได้หรอก เครียดกัดเล็บมือฉีกกันพอดี!! ดังนั้นสายของนักลงทุนแบบ Quantitative Investor จึงมีการเปรียบผลตอบแทนกับความเสี่ยงแบบง่าย ๆ ชื่อว่า Mar Ratio โดยผลตอบแทนต่อปี มาหารด้วย Max DD % จะมีค่าอยู่ที่ 1.16 ซึ่งเป็นค่าที่กลาง ๆ ยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่เพราะผลตอบแทนต่อความเสี่ยงใกล้เคียงกัน ส่วนตัวเลขด้านล่างนั้นคือผลตอบแทนรายเดือนของแต่ละเดือนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจจากตัวนี้บอกเราได้ว่าผลตอบแทนของ Bitcoin ในช่วงเดือน Jan Mar Sep โดยเฉลี่ยติดลบ เดือน Jan ติดลบเฉลี่ย -6.49 % ,Mar -11.82 % ,Sep -4.49 % นั่นอาจทำให้เราอาจจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าใน 3 เดือนนี้มีอะไรพิเศษรึเปล่า จะได้หลีกเลี่ยงลงทุนในช่วงนี้ เป็นต้น กลยุทธ์จับจังหวะซื้อขายโดยใช้ Technical Analysis สมมุติฐาน เงินลงทุนตั้งต้น 1 ล้านบาท สินทรัพย์ดิจิทัลที่หยิบมาทดสอบ คือ Bitcoin ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ 1/1/2020 – 1/08/2020 ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย 0.2 % จากเงินทุน 1 ล้านบาทขยับเพิ่มขึ้นมาเป็น 30 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนทั้งสิ้น 2900 % หรือเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ 84.11 % หากมองแค่นี้ก็ถือได้ว่าพอร์ตนี้โตช้ากว่ากลยุทธ์ Buy and Hold ถึง 12 ล้านบาท แต่มองแค่ผลตอบแทนโดยที่ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงไม่ได้ ด้วยความที่กลยุทธ์นี้มีการซื้อขายที่ชัดเจนทำให้ในหลาย ๆ ครั้งสามารถป้องกันพอร์ตจากความเสียหายได้ทันท่วงที ทำให้มีค่า Max drawdown % อยู่ที่ 39 % ต่างกับกลยุทธ์แรกถึงครึ่งหนึ่ง Mar Ratio จึงมีค่าที่สูงขึ้นเป็น 2.16 แปลว่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงดีขึ้นกว่าเดิม และกลยุทธ์ง่าย ๆ แบบนี้ให้ความแม่นยำในการซื้อขายถึง 62.5 % หรือก็คือ หากเทรด 100 ครั้ง จะได้กำไรประมาณ 62 ครั้ง และจากข้อมูลในรูปประกอบปีที่ได้ผลตอบแทนเยอะที่สุดคือปี 2017 คือบวกไปกว่า 596.51 % ปีที่ขาดทุนมีเพียงปีเดียวคือ 2018 ขาดทุนไป 15.61 %
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1862
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้นหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: กองทุนรวมตราสารหนี้: ลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรองค์กร ตั๋วแลกเงิน ฯลฯ ซึ่งโดยทั่วไปให้ผลตอบแทน ค่อนข้าง มั่นคง แต่ ไม่สูงมาก ผลตอบแทนระยะสั้น: หมายถึง ผลตอบแทนที่คาดหวังภายใน 1-3 ปี ตราสารหนี้: โดยทั่วไปมีอายุการลงทุน มากกว่า 3 ปี ความผันผวน: ตราสารหนี้อาจมีความผันผวน น้อย กว่าหุ้น แต่ มากกว่า เงินฝากออมทรัพย์ สภาพคล่อง: ตราสารหนี้บางประเภท สามารถ ขายก่อนครบกำหนดได้ แต่ อาจ ได้ราคาไม่เต็มจำนวน ข้อสรุป: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะกับนักลงทุนที่ ต้องการผลตอบแทนระยะยาว (มากกว่า 3 ปี) ไม่เหมาะ กับนักลงทุนที่ ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น (1-3 ปี) นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น ควรพิจารณากองทุนรวมประเภทอื่น เช่น กองทุนรวมตราสารทุน ตัวอย่าง: นายสมชาย ต้องการเงินทุนสำรองไว้ใช้ยามเกษียณอายุ อีก 10 ปีข้างหน้า เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ นางสาวสมหญิง ต้องการเงินทุนสำรองไว้ซื้อบ้าน อีก 3 ปีข้างหน้า ไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ หมายเหตุ: ผลตอบแทนของกองทุนรวมตราสารหนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของตราสารหนี้ นโยบายการลงทุนของกองทุน สภาพเศรษฐกิจ ฯลฯ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลกองทุนรวมตราสารหนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1866
Finance
EOS คืออะไร
null
EOS เป็นหนึ่งในโครงการการระดมทุนที่ยอดเยี่ยมผ่าน ICO ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2017 และระดมทุนเรียบร้อยในวันที่ 1 มิถุนายน 2018 ซึ่งใช้ระยะเวลากว่าหนึ่งปี และได้รับเงินระดมทุนไปกว่า 1,000 ล้าน USD ถือว่าเป็นหนึ่งใน ICO ที่ระดมทุนนานที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ EOS ถูกขนานนามว่าเป็นเหรียญที่ออกมาเพื่อฆ่า Ethereum โดยแท้ เนื่องจากมีคุณสมบัติทั้งหมดที่ Ethereum มีแต่ดันเหนือกว่ามากในเรื่องความเร็วในการประมวลผล EOS บอกว่าสามารถประมวลธุรกรรมได้ถึง 1 ล้านธุรกรรมต่อหนึ่งวินาที หากเรื่องนี้เป็นความจริง ไม่ใช่แค่ Ethereum แล้วที่ต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ แต่ระบบการประมวลผลจาก Centralised ทั้งหลายก็สู้ไม่ได้เหมือนกัน ด้วยความเร็วที่สูงเช่นนี้ของ EOS จึงได้เพิ่มการพัฒนา DApps ซึ่งย่อมาจาก Decentralized แอปพลิเคชัน เนื่องจาก EOS มีคุณสมบัติทั้งหมดที่ Ethereum blockchain นำเสนอทุกอย่างตั้งแต่ Smart Contracts ไปจนถึง DApps โครงการอื่น ๆ เช่น BitShares และ Graphene ที่ให้ความเร็วการทำธุรกรรมที่สูงมาก อย่างไรก็ตามพวกเขายังขาดคุณสมบัติของ Smart Contracts ที่มีใน Ethereum blockchain แต่ EOS นั้นเปรียบเหมือนกับการรวมสิ่งที่ดีที่สุดของทั้ง BitShares และ Ethereum ไว้ในที่เดียวกัน ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในปัจจุบันรวมถึงในอนาคตเป็นอย่างมาก
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1868
Finance
อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
null
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล มีดังนี้: 1. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนใน Bitcoin เพียงบางส่วน: ไม่ควรลงทุนใน Bitcoin ทั้งหมด แนะนำให้ลงทุนในสัดส่วนที่รับความเสี่ยงได้ ลงทุนใน Altcoin: ลงทุนใน Altcoin ที่มีความน่าเชื่อถือ มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ลงทุนในสินทรัพย์อื่น: กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ หุ้น พันธบัตร 2. ลงทุน DCA: ลงทุนเป็นประจำ: ลงทุนใน Bitcoin เป็นประจำทุกเดือน regardless of price ลดความเสี่ยง: กลยุทธ์ DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากการซื้อ Bitcoin ในราคาสูง ลงทุนระยะยาว: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว 3. ใช้กลยุทธ์ Stop-Loss: จำกัดความเสี่ยง: กำหนดจุด Stop-Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง ป้องกันการสูญเสีย: ขาย Bitcoin เมื่อราคา跌至จุด Stop-Loss กลยุทธ์ที่หลากหลาย: มีกลยุทธ์ Stop-Loss หลายแบบ เลือกให้เหมาะกับสไตล์การลงทุน 4. ศึกษาข้อมูล: ศึกษา Bitcoin: ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี เบื้องหลัง ศึกษาปัจจัยพื้นฐาน: ศึกษาปัจจัยพื้นฐานของ Bitcoin ติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Bitcoin 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน รับคำแนะนำ: รับคำแนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน เรียนรู้จากประสบการณ์: เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น ตัวอย่าง: นักลงทุนที่มีเงินลงทุน 100,000 บาท อาจจะลงทุนใน Bitcoin 50,000 บาท และ Altcoin 50,000 บาท นักลงทุนสามารถลงทุนใน Bitcoin เป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท นักลงทุนสามารถกำหนดจุด Stop-Loss ไว้ที่ 10% ข้อควรระวัง: ความเสี่ยง: การลงทุนใน Bitcoin มีความเสี่ยงสูง ความผันผวน: ราคา Bitcoin มีความผันผวนสูง กลยุทธ์: กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมอาจจะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ สรุป: นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถลงทุนใน Bitcoin ได้ แต่ต้องเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม กระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูล และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1872
Finance
การลงทุนใน Litecoin นั้นปลอดภัยกว่าการลงทุนใน Bitcoin หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา: ทั้ง Litecoin และ Bitcoin ต่างเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนของราคาสูง ราคาของทั้งสองสกุลเงินดิจิทัลนี้สามารถขึ้นหรือลงได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงที่ผ่านมา ราคาของ Litecoin นั้นมีความผันผวนมากกว่า Bitcoin สาเหตุหลักมาจาก Litecoin มีมูลค่าตลาด (Market Cap) ที่เล็กกว่า Bitcoin มาก ทำให้ราคาของ Litecoin นั้นสามารถถูก操纵ได้ง่ายกว่า 2. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: ทั้ง Litecoin และ Bitcoin ต่างเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไม่มีกฎระเบียบรองรับที่ชัดเจน ทำให้มีความเสี่ยงที่รัฐบาลต่างๆ จะออกกฎระเบียบที่เข้มงวด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาของทั้งสองสกุลเงินดิจิทัล 3. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: ทั้ง Litecoin และ Bitcoin ต่างใช้เทคโนโลยี Blockchain เทคโนโลยี Blockchain นั้นยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อาจเกิดช่องโหว่ที่ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถขโมยเงินดิจิทัล 4. ความเสี่ยงด้านการขุด: Litecoin นั้นใช้ระบบ Proof-of-Work (PoW) ในการขุด การขุด PoW นั้นใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขุด Litecoin นั้นสูง ในอนาคตอาจมีการพัฒนาระบบการขุดใหม่ ซึ่งอาจทำให้การขุด Litecoin นั้นไม่คุ้มทุน 5. ความเสี่ยงด้านการยอมรับ: Bitcoin นั้นเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มีร้านค้าและผู้ให้บริการจำนวนมากที่ยอมรับ Bitcoin Litecoin นั้นยังมีการยอมรับที่น้อยกว่า Bitcoin สรุป: การลงทุนใน Litecoin นั้นมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนใน Bitcoin Litecoin นั้นมีความผันผวนของราคาสูงกว่า มีมูลค่าตลาดที่เล็กกว่า ยังไม่มีกฎระเบียบรองรับที่ชัดเจน และมีความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1877
Finance
อะไรคือโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนลงทุนในธุรกิจ Food Tech
null
โอกาส -ธุรกิจ Food Tech มีศักยภาพการเติบโตสูงอายุ และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มากขึ้น -นำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารปลอดภัย อาหารสะดวกทาน -สามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ -สามารถใช้ข้อมูลวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจ -สามารถใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ความเสี่ยง -มีการแข่งขันสูง -เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ธุรกิจต้องปรับตัวให้ทัน -ธุรกิจ Food Tech อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด -ผู้บริโภคอาจยังไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ -อาหารบางประเภทอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ คำแนะนำสำหรับนักลงทุน: -ศึกษาข้อมูลธุรกิจ Food Tech เทรนด์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ -วิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงของธุรกิจ -พิจารณาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ -เลือกธุรกิจที่มีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน -กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในธุรกิจ Food Tech หลายประเภท
ตลาดการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน,การเงินดิจิทัล,เทคโนโลยีทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1878
Finance
คำถามที่ 1: Blockchain มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างไรต่ออุตสาหกรรมการเงิน คำถามที่ 2: บริษัทใดบ้างที่เริ่มนำ Blockchain มาใช้ในอุตสาหกรรมการเงิน คำถามที่ 3: ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงินมีอะไรบ้าง คำถามที่ 4: อนาคตของ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงินเป็นอย่างไร
null
คำตอบที่ 1 Blockchain มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเงินในหลายด้าน ดังนี้ - ลดต้นทุนการทำธุรกรรม Blockchain ช่วยลดความจำเป็นในการมีตัวกลางในการดำเนินการธุรกรรมต่างๆ เช่น ธนาคารหรือตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกรรมลดลง - เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรม Blockchain ช่วยให้ธุรกรรมมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากข้อมูลธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้ในระบบกระจายและไม่สามารถแก้ไขได้ - เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนข้อมูล Blockchain ช่วยให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ในอุตสาหกรรมการเงินเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบเหล่านี้อาจส่งผลให้อุตสาหกรรมการเงินเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น ธนาคารอาจต้องลดขนาดหรือเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงาน ในขณะที่บริษัท Fintech ใหม่ๆ อาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น คำตอบที่ 2 บริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมการเงินเริ่มนำ Blockchain มาใช้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น - ธนาคาร หลายธนาคารทั่วโลกเริ่มนำ Blockchain มาใช้ในบริการต่างๆ เช่น การโอนเงินข้ามประเทศ การชำระเงิน และการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ - บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เริ่มนำ Blockchain มาใช้ในบริการต่างๆ เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์ การออกตราสารหนี้ และการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ - บริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยเริ่มนำ Blockchain มาใช้ในบริการต่างๆ เช่น การออกกรมธรรม์ประกันภัย การเคลมประกัน และการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ ตัวอย่างของบริษัทที่เริ่มนำ Blockchain มาใช้ในอุตสาหกรรมการเงิน ได้แก่ - ธนาคารกรุงเทพ ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการโอนเงินข้ามประเทศ - ธนาคารกสิกรไทย ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการชำระค่าสินค้าและบริการ -บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการซื้อขายหลักทรัพย์ -บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการออกตราสารหนี้ -บริษัทประกันภัยกรุงเทพ ได้นำ Blockchain มาใช้ในบริการออกกรมธรรม์ประกันภัย คำตอบที่ 3 ข้อดีของการใช้ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงิน ได้แก่ 1. ลดต้นทุนการทำธุรกรรม 2. เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรม 3. เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเสียของการใช้ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงิน ได้แก่ 1. มีความซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 2. ยังไม่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างแพร่หลาย คำตอบที่ 4 Blockchain มีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการเงินมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากข้อดีต่างๆ ของ Blockchain เช่น การลดต้นทุน เพิ่มความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมการเงิน อย่างไรก็ตาม การนำ Blockchain มาใช้ในอุตสาหกรรมการเงินยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ความซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งอาจทำให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางไม่พร้อมที่จะนำ Blockchain มาใช้ นอกจากนี้ Blockchain ยังยังไม่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างแพร่หลาย ซึ่งอาจส่งผลต่อการนำ Blockchain มาใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยรวมแล้ว อนาคตของ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงินยังคงมีความไม่แน่นอน แต่แนวโน้มในระยะยาวคาดว่า Blockchain จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมการเงิน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1881
Finance
อะไรบ้างที่เป็นสัญญาณในการบ่งบอกการล่มสลายของธุรกิจครอบครัว
null
1) ขาดความชัดเจนในการทำงานร่วมกัน การทำงานร่วมกันไม่ง่าย ยิ่งเป็นญาติพี่น้องก็ยิ่งยาก ดังนั้นการขาดความชัดเจนความชัดเจนในกฎกติกาย่อมนำมาซึ่งปัญหา เช่น ขาดการจัดการโครงสร้างของธุรกิจและหุ้น ถ้าไม่ชัดเจนว่าใครถือหุ้นเท่าไร ใครมีหน้าที่ทำให้ในธุรกิจ ขาดการจัดการเรื่องเอกสารทางกฏหมาย แม้ว่าจะมีการกำหนดชัดเจนใครถือหุ้นเท่าไร แต่ถ้าขาดข้อบังคับตามกฏหมายก็ไม่มีประโยชน์ เช่น ข้อบังคับของบริษัทสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับการจัดการหุ้นหรือ แม้แต่พินัยกรรมก็ต้องชัดเจน เช่น หุ้นที่สามีถือจะตกเป็นของภรรยา(คนนอกครอบครัว) หรือไม่ถ้าสามีเสียชีวิต ขาดการจัดการเมื่อนำคนให้ครอบครัวมาทำงานในธุรกิจ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนในครอบครัวนำลูกมาทำงานในธุรกิจได้โดยไม่มีการคัดเลือก ธุรกิจครอบครัวอาจจะพังด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้ ดังนั้นจะต้องระบบการคัดเลือกเข้าทำงานเช่นเดียวกับพนักงานและลูกจ้างคนอื่นๆ ยิ่งความชัดเจนในการทำงานร่วมกันน้อยเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้นเท่านั้น 2) ขาดกลไกจัดการเกี่ยวกับผลประโยชน์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกชายคนโตได้รับหุ้นมากกว่า ลูกคนอื่นๆ หรือ กลุ่มเขยและสะใภ้ที่เป็นสมาชิกในครอบครัว ไม่มีหุ้นแต่เข้ามาช่วยเงินในกิจการโดยได้แค่ผลตอบแทน แต่ไม่ได้เงินปันผล สิ่งสำคัญคือ จะจัดสรรผลประโยชน์ให้เป็นไปอย่างเที่ยงธรรมได้อย่างไร เที่ยงธรรมไม่ได้หมายถึงเท่ากันแต่ต้องเหมาะสมและยุติธรรม และต้องจัดการสื่อสารระหว่างสมาชิกให้เข้าใจได้มากน้อยเพียงใด 3) ขาดการสื่อสารที่ดี จากการวิจัยพบว่า ความเสื่อมถอยของธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่เกิดจาก การสื่อสารระหว่างเจ้าของรุ่นส่งมอบกับสมาชิกรุ่นที่รับมอบ และโดยเฉพาะการสื่อสารกันระหว่างสมาชิกต่างรุ่นกันก็จะทำให้มีปัญหาได้ โดยเฉพาะวัฒนธรรมของไทยจะมีเรื่องของอาวุโส ซึ่งทำให้มักจะมีปัญหาเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ถ้าธุรกิจครอบครัว ใดมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร โอกาสการมีปัญหาเรื่องการทำธุรกิจครอบครัวมาก 4) ขาดการวางแผนสืบทอดธุรกิจ ปัญหาของธุรกิจครอบครัวของไทยคือ รุ่นที่ 1 ก่อตั้งธุรกิจมักจะทำงานคนเดียวจนถึงแก่ความตาย โดยไม่ยอมปล่อยให้รุ่นลูกเข้ามาร่วมตัดสินใจในกิจการ การขาดซึ่งกระบวนการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่และการคัดเลือกผู้ทำหน้าสืบทอดธุรกิจ จะนำมาซึ่งปัญหาในอนาคต 5) ขาดกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจ ในสมัยก่อน ธุรกิจมีวงจรชีวิตที่ยาวนานกว่า อัตราการเติบโตของไทยยังอยู่ที่สูง แต่โลกเข้าสู่ยุค internet ยุค digital ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป เกิดสิ่งที่เรียกกว่า Business Disruption หรือ การทำลายล้างของธุรกิจ สมัยก่อนพ่อค้าของกลางจำเป็น แต่เดี๋ยวนี้มีช่องทาง Online ตัดพ่อค้าคนกลางไม่จำเป็นออก มีหลากหลายธุรกิจครอบครัวที่โดน Business Disruption เช่น ธุรกิจการเดินรถ ธุรกิจการรับจ้างทำของต่อ หรือ ธุรกิจสิ่งทอ ดังนั้นธุรกิจครอบครัวจะไปต่อได้ก็จะต้องมีกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจที่ดีมีแผนการระยะยาว และแค่กลยุทธ์อย่างเดียวไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดจริงได้ก็ต้องได้รับความร่วมมือกันภายในครอบครัว
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1883
Finance
การออก Central Bank Digital Currency (CBDC) โดยธนาคารกลาง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินในประเทศไทยหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ลดต้นทุนการทำธุรกรรม: CBDC นั้นสามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมลง significantly. เพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม: CBDC นั้นสามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอการเคลียร์เงินผ่านระบบ ACH หรือ SWIFT ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน: CBDC นั้นสามารถเข้าถึงได้โดยทุกคน โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคาร ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร ส่งเสริมการรวมกลุ่มทางการเงิน (Financial Inclusion): CBDC นั้นสามารถช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางการเงิน โดยช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น เพิ่มความโปร่งใส: CBDC นั้นสามารถติดตามการทำธุรกรรมได้ง่ายกว่าเงินสด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการฟอกเงิน เพิ่มประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ: CBDC นั้นสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจโดยช่วยให้การชำระเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างประเทศที่ออก CBDC: บาฮามาส: ออก Sand Dollar จีน: ออก Digital Yuan ไนจีเรีย: ออก eNaira สวีเดน: ออก e-Krona ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: CBDC นั้นอาจถูกแฮ็กเกอร์ขโมยได้ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: CBDC นั้นอาจถูกควบคุมโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ: CBDC นั้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สรุป: การออก CBDC นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังศึกษาและพัฒนา CBDC อยู่ โดย ธปท. ได้เปิดเผยผลการศึกษา "The Way Forward for Retail Central Bank Digital Currency in Thailand" ซึ่งสรุปว่า CBDC นั้นมีศักยภาพที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินในประเทศไทย หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และควรพิจารณาความเสี่ยงทั้งหมดก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1890
Finance
กลยุทธ์ Arbitrage ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร เมื่อเทียบกับการลงทุนแบบเก็งกำไร
null
ข้อดี 1.ความเสี่ยงต่ำ: ในทางทฤษฎี การ Arbitrage เป็นการแสวงหากำไรโดยปราศจากความเสี่ยง เพราะเราซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำจากตลาดหนึ่ง นำไปขายในตลาดที่ราคาสูงกว่า หักค่าธรรมเนียมแล้ว จะได้กำไร 2.โอกาสทำกำไรได้บ่อย: ช่องว่างของราคา (Price Gap) เกิดขึ้นได้บ่อยในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ Arbitrage หาโอกาสทำกำไรได้บ่อย 3.ใช้เวลาทำธุรกรรมสั้น: การ Arbitrage ใช้เวลาทำธุรกรรมสั้น เพียงไม่กี่นาที นักลงทุนสามารถหมุนเงินได้เร็ว เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ: กลยุทธ์ Arbitrage เข้าใจง่าย เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ ข้อเสีย 1.กำไรต่อครั้งน้อย: กำไรจากการ Arbitrage ต่อครั้งมักจะน้อย ประมาณ 1% หรือต่ำกว่า 2.ต้องใช้ความรวดเร็ว: ช่องว่างของราคา (Price Gap) เกิดขึ้นและหายไปเร็ว นักลงทุนต้องมีความรวดเร็วในการตัดสินใจและทำธุรกรรม 3.มีค่าธรรมเนียม: การทำธุรกรรมในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีค่าธรรมเนียม นักลงทุนต้องคำนวณให้ดีว่า กำไรที่ได้หักค่าธรรมเนียมแล้ว จะคุ้มค่าหรือไม่ 4.ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา: สินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดความผิดพลาดและขาดทุนได้ 5.ต้องมีความรู้และประสบการณ์: การ Arbitrage ที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาด ความเสี่ยง และกลยุทธ์ต่างๆ กลยุทธ์ Arbitrage เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ โอกาสทำกำไรได้บ่อย เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ แต่กำไรต่อครั้งมักจะน้อย จำเป็นต้องใช้ความรวดเร็ว และมีความรู้เกี่ยวกับตลาด การลงทุนแบบเก็งกำไร มีโอกาสทำกำไรต่อครั้งสูง แต่มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1893
Finance
Heikin-Ashi คืออะไร
null
Heikin-Ashi (ไฮ-เค็น-อะ-ชิ) มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลรวมกันว่า ‘average bar’ หรือ ‘แท่งเทียนเฉลี่ย’ ไม่ใช่กราฟแท่งเทียนธรรมดา แต่เป็นกราฟที่ถูกปรับด้วยสูตรคำนวณของ Heikin-Ashi เรียบร้อยแล้ว ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับกราฟแท่งเทียนแบบปกติก็จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน สิ่งที่ Heikin-Ashi เข้ามาช่วยก็คือ การทำให้กราฟ ‘Smooth’ ขึ้น คำว่า Smooth ในที่นี้คือ การตัดทอน Noise ที่เป็นความผันผวนระยะสั้นต่างๆ โดยการนำราคา open-high-low-close ของแท่งเทียนแบบปกติมาคำนวณใหม่แล้วพล็อตบนกราฟใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้คือกราฟที่ดูง่ายขึ้น ข้อดีของการ Simplify กราฟแบบนี้ ข้อแรกคือเห็นเทรนด์ชัดเจนขึ้น Heikin-Ashi ไม่สนใจการขึ้นลงเล็กๆ ระหว่างวัน หรือแท่งเทียนไม่กี่แท่งที่ขึ้นสวนทางเทรนด์หลัก มันจะเปลี่ยนให้กลายเป็นแท่งสีเขียวไม่ก็สีแดงเหมือนกันหมดเลย ซึ่งก็โยงไปเกี่ยวข้องกับข้อดีข้อที่สอง คือ ทำให้อยู่ในเทรนด์ได้นานขึ้นและไม่รีบขายเร็วเกินไป ถ้าอ้างอิงจากจิตวิทยาการลงทุน ระหว่างที่ลงทุนจะมีความกลัวหลายแบบเกิดขึ้นในจิตใจ ทั้งกลัวเสียเงิน กลัวตกรถ และอีกความกลัวที่สำคัญก็คือ กลัวเสียเงินที่เกือบจะได้มาแล้ว ภาษาอังกฤษเรียกเป็นสำนวนว่า ‘leaving money on the table’ ความกลัวนี้แหละที่ทำให้นักลงทุนขายหมูมานักต่อนัก พอเริ่มเห็นกำไร ก็จะเริ่มอยากปิดออเดอร์แล้วเก็บเงินออกมา เพราะกลัวว่าจะเสียกำไรส่วนนั้นไป สุดท้ายพอปิดไปก็ต้องทนเจ็บใจเห็นกราฟพุ่งไปต่อ เป็นเรื่องที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในตลาด Heikin-Ashi จะช่วยกำจัด Noise ที่ทำให้จิตใจหวั่นไหวออกไป เห็นเทรนด์ได้ชัดขึ้น อยู่ในเทรนด์นานขึ้น ทำกำไรได้มากขึ้น
ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1895
Finance
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูงหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ความผันผวนของราคา: สินทรัพย์ดิจิทัลมีราคาที่ผันผวนสูงมาก ตัวอย่างเช่น ในปี 2564 ราคา Bitcoin เคยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 68,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตกลงมาอยู่ที่ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลาเพียง 3 เดือน ความผันผวนนี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ข่าวสาร กฎระเบียบ เทคโนโลยี และอารมณ์ของนักลงทุน นักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ลงทุนในหลาย ๆ เหรียญ และลงทุนในจำนวนเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลยังมีการพัฒนาอยู่ กฎระเบียบใหม่ ๆ สามารถส่งผลต่อราคาและการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ เคยเกิดเหตุการณ์แฮ็กเว็บไซต์แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล และนักลงทุนสูญเสียเงิน นักลงทุนควรเลือกเว็บไซต์แลกเปลี่ยนที่น่าเชื่อถือ และเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: สินทรัพย์ดิจิทัลใช้เทคโนโลยี Blockchain เทคโนโลยี Blockchain ยังมีความใหม่ และมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย นักลงทุนควรศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ความเสี่ยงด้านความรู้: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจำเป็นต้องมีความรู้ นักลงทุนควรศึกษาเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เทคโนโลยี Blockchain และกลยุทธ์การลงทุน การลงทุนโดยไม่มีความรู้ อาจนำไปสู่การสูญเสียเงิน สรุป: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน และลงทุนในจำนวนเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1901
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา: กองทุนรวมตราสารทุนลงทุนในหุ้น ซึ่งมีราคาผันผวนมากกว่าตราสารหนี้ หุ้นมีราคาที่ขึ้นลงตามปัจจัยต่างๆ เช่น ผลประกอบการของบริษัท สภาพเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ ฯลฯ ตราสารหนี้มีราคาที่ค่อนข้างคงที่ อัตราผลตอบแทนแน่นอน และความเสี่ยงต่ำ 2. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง: กองทุนรวมตราสารทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ แต่ราคาอาจผันผวน กองทุนรวมตราสารหนี้บางประเภท อาจมีอายุยาว และอาจมีสภาพคล่องต่ำ 3. ความเสี่ยงจากเครดิต: กองทุนรวมตราสารหนี้บางประเภท ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงจากเครดิต ตราสารหนี้ที่มีเครดิตต่ำ มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงกว่า 4. ระยะเวลาการลงทุน: กองทุนรวมตราสารทุน เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว (มากกว่า 5 ปี) กองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้น (น้อยกว่า 5 ปี) ตัวอย่าง: กองทุนรวมตราสารทุน A ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ราคา NAV ของกองทุนมีโอกาสขึ้นลงสูงตามผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยี กองทุนรวมตราสารหนี้ B ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ราคา NAV ของกองทุนมีโอกาสผันผวนน้อย อัตราผลตอบแทนแน่นอน สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวังก่อนตัดสินใจลงทุน หมายเหตุ: ผลตอบแทนที่คาดหวังของกองทุนรวมตราสารทุน มักสูงกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมหลายประเภท นักลงทุนควรลงทุนตามเป้าหมายการเงิน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ คำแนะนำ: ศึกษาข้อมูลกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อดทน รอคอยผลตอบแทนระยะยาว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1903
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การคำนวณงบประมาณเบื้องต้นในการซื้อคอนโด
null
สำหรับการคำนวณงบประมาณในการซื้อคอนโดนั้น มีวิธีคำนวณเบื้องต้นโดยการเข้าไปที่ www.1213.or.th/th/tools/programs/Pages/loans.aspx โดยขั้นตอนการคำนวณจะเริ่มจากการกดไปที่เมนู “คุณจะกู้ได้เท่าไร” จากนั้นให้ดูช่อง “จำนวนเงินที่ต้องการชำระต่อเดือน” คำนวณงบประมาณจากสูตร 40% x เงินเดือนปัจจุบัน ต่อมาดูที่ช่อง “จำนวนปีของการกู้ยืม” แล้วใช้สูตร 60 – อายุปัจจุบัน ถ้าเป็นกรณีที่คำนวณออกมาแล้วได้ผลลัพธ์เกิน 30 ก็ให้เอาเลขนี้เป็นหลักไปเลย เนื่องจากมันเป็นจำนวนปีที่ธนาคารปล่อยกู้โดยส่วนใหญ่ ต่อมาก็มาดูที่ช่อง “อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปี” จะคำนวณแบบอัตราเดียวตลอดอายุสัญญา ลองใส่ตัวเลขสัก 5-6% แล้วกดปุ่มคำนวณ ก็จะได้งบประมาณการซื้อคอนโดในเบื้องต้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ ควรซื้อคอนโดราคาเท่าไหร่ ? สามารถคำนวณเบื้องต้นได้จาก https://www.1213.or.th/th/tools/programs/Pages/loans.aspx โดยกดไปที่ 1. เมนู “คุณจะกู้ได้เท่าไร” 2. ในช่อง “จำนวนเงินที่ต้องการชำระต่อเดือน” ให้คำนวณจาก [40% x เงินเดือนปัจจุบัน] เช่น ปัจจุบันเงินเดือน 40,000 บาท ช่องนี้จะใส่ 16,000 บาท ที่ต้องไม่เกิน 40% ของรายได้ เพราะยังต้องเผื่อค่าส่วนกลาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ 3. ในช่อง “จำนวนปีของการกู้ยืม” ให้เอา [60 – อายุปัจจุบัน] ถ้าคำนวณแล้วเกิน 30 ก็ให้ยึดที่ 30 เพราะส่วนใหญ่ธนาคารจะปล่อยกู้ 30 ปี เช่น เราอายุ 25 ปี คำนวณแล้วจะได้ 35 ปี ก็ใส่ตัวเลขช่องนี้ที่ 30 ปี 4. ในช่อง “อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปี” เป็นการคำนวณแบบอัตราเดียวตลอดอายุสัญญา ซึ่งการกู้เงินจริงๆ อัตราดอกเบี้ยแต่ละช่วงจะไม่เท่ากันเลย แต่สำหรับการใส่คร่าวๆ แบบเผื่อเหลือเผื่อขาด ลองคำนวณที่ 5-6% ก่อนได้ 5. กดปุ่ม “คำนวณ” กดคำนวณแล้วจะเจอกับจำนวนเงินที่จะกู้ได้ ตามเงื่อนไขที่เราใส่ไป ตัวเลขนี้แหละ คือ ตัวเลขงบประมาณเบื้องต้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1906
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Silk Road
null
Silk Road เป็นเว็บไซต์ค้าขายยาเสพติดที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ในศตวรรษที่ 20 โดยตัวเว็บไซต์มีแนวคิดคือ ไร้ตัวตน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเว็บไซต์ตลาดออนไลน์สำหรับที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องระบุตัวตน ซึ่งผู้พัฒนาเว็บไซต์นี้คือ รอส อัลบริท เขาต้องการสร้างเว็บไซต์ Dark E-Commerce ในรูปแบบ Dark Web เพื่อเข้าถึงผ่านทาง TOR ซึ่งเป็นเว็บเบราเซอร์ที่มีการปกปิด IP Address และซ่อนข้อมูลผู้ใช้งาน อีกทั้งมีการทำลายข้อมูลที่ผู้ใช้เคยค้นหาอีกด้วย ซึ่งปณิธานในการสร้างเว็บไซต์นี้ ก็เพื่อสร้างตลาดในอุดมคติที่ลูกค้าสามารถมาซื้อขายอย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวล บทเรียนจากย่อหน้านี้ ประวัติของ “เส้นทางสายไหม” ของยุคศตวรรษที่ 20 หลายคนน่าจะมีคำถามในใจว่า.. แต่เอ๊ะ! มันมีด้วยเหรอ? ต้องบอกว่านี่ถือว่าเป็นตลาดที่ถือเป็นยุคบุกเบิกของการใช้ Bitcoin เป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างแพร่หลายระหว่างผู้ใช้ด้วยกัน เว็บไซต์นั้นมีชื่อว่า Silk Road ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับค้าขายยาเสพติดชื่อดังระดับโลก ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปท์ Anonymous (ไร้ตัวตน) เพื่อสร้างตลาดออนไลน์สำหรับที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมีการระบุตัวตน ด้วยแนวคิดที่ต้องการปกปิดตัวตนของผู้ใช้แบบไร้ร่องรอยที่จะสาวถึงได้และหลบหลีกจากสายตาของตำรวจ ทางผู้พัฒนา “นายรอส อัลบริท (Ross Ulbricht)” จากเท็กซัสจึงได้พัฒนาเว็บไซต์ Dark E-Commerce นี้ขึ้นมาในรูปแบบของ Dark Web ซึ่งจะสามารถเข้าถึงได้ผ่านทาง TOR ซึ่งเป็นเว็บเบราเซอร์เฉพาะ ที่มีคุณสมบัติในการปกปิด IP Address รวมไปถึงซ่อนข้อมูลของผู้ใช้งาน รวมไปถึงทำลายข้อมูลที่ผู้ใช้เคยค้นหาทั้งหมด ที่น่าสนใจคือเบราเซอร์ตัวนี้ยังคงเปิดใช้งานได้อย่างปกติ ใครที่ค่อนข้างมีความกังวลกับความเป็นส่วนตัวของตนเองมาก ๆ ก็ลองศึกษาดูได้ นายรอสได้มีปณิธานอันตั้งมั่นใจการสร้างตลาดค้าขายออนไลน์ที่ผู้ใช้มีสถานะแทบจะล่องหน และตลาดในอุดมคติแห่งนี้ใคร ๆ ก็สามารถมาตั้งซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องกฏหมาย ด้วยเหตุนี้เองเว็บไซต์ที่เป็นตำนานของ Bitcoin นี้ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 นั่นเอง
ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1911
Finance
จงบอกข้อดีของกลยุทธ์ Hybrid แบบ Core-Satellite
null
หนึ่งในความท้าทายของนักลงทุน คือ การเอาชนะตลาดในระยะยาว และไม่พลาดทั้งโอกาสการลงทุนทั้ง หุ้นเติบโต และหุ้นเน้นคุณค่าขนาดใหญ่ กลยุทธ์ที่จะตอบโจทย์ความต้องการแบบนี้ คือ กลยุทธ์ “Hybrid แบบ Core-Satellite” ซึ่งกลยุทธ์นี้ จะใช้ ETF ประเภท Index เป็น Core หรือ แกนกลาง และ ETF แบบ Active เป็น Satellite โดยมีข้อดีของกลยุทธ์ ดังนี้ - ต้นทุนต่ำ เนื่องจาก ETF แบบ Index มีต้นทุนต่ำ ง่ายต่อการจัดการสำหรับ ETF แบบ Index ไม่ต้องเลือกผู้จัดการกองทุน ไม่ต้องเลือกหุ้น - ลงทุนได้ระยะยาวกับ ETF แบบ Index จากผลสำรวจในระยะยาว ETF แบบ Active ผลงานไม่ต่อเนื่อง - กระจายการลงทุน ETF แบบ Index จะกระจายการลงทุนกว้าง ในขณะที่กองทุน ETF อาจจะเจาะจงเลือกบ้างกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ เลือกหุ้นเติบโตเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะมีความเสี่ยงมากกว่า - สร้างผลตอบแทนเหนือตลาด ด้วย ETF แบบ Active ซึ่งเป็นแสวงหากำไรในระยะสั้น-ปานกลาง - Hybrid = ETF แบบ Active + ETF แบบ Passive Core จะใช้ ETF แบบ Passive ที่เน้นลงทุนใน หุ้นขนาดใหญ่ ส่วน Satellite จะใช้ ETF แบบ Active ที่เน้นลงทุนในหุ้นเติบโต ETF ประเภท Passive จะให้น้ำหนักเท่าตลาดซึ่งจะลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เป็น Value Stock แต่ ETF ประเภท Active จะพยายามชนะตลาดโดยไปลงทุนหุ้นเติบโตด้วย ดังนั้น พอร์ตลงทุนจะมีการผสมกันระหว่าง Passive กับ Active
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1913
Finance
กองทุนรวม KF-GTECH เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. กองทุน KF-GTECH มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี: นโยบายการลงทุนของกองทุน KF-GTECH เน้นลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยี หรือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรงกับเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี 2. ผลตอบแทนระยะยาวของกองทุน KF-GTECH ดี: ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของกองทุน KF-GTECH ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2015 อยู่ที่ 14.42% ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของกองทุน KF-GTECH ในช่วง 1 ปี อยู่ที่ 21.4% ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของกองทุน KF-GTECH ในช่วง 3 ปี อยู่ที่ 9.01% 3. กองทุน KF-GTECH บริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์: กองทุน KF-GTECH บริหารจัดการโดย บลจ.กรุงศรี ซึ่งมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจเทคโนโลยี กองทุนแม่ของ KF-GTECH คือ T. Rowe Price Funds Sicav – Global Technology Equity Fund ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในอดีต 4. กองทุน KF-GTECH ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ: กองทุน KF-GTECH ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เช่น Alibaba, Salesforce.com, Amazon, Netflix, Facebook, Visa, Intuit, Atlassian หุ้นเหล่านี้มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีการเติบโตสูง และมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว 5. กองทุน KF-GTECH มีความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว: กองทุน KF-GTECH ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่มีความผันผวนสูง อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวควรสามารถทนต่อความผันผวนระยะสั้นได้ ข้อควรระวัง: กองทุน KF-GTECH ลงทุนในต่างประเทศ นักลงทุนจึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน กองทุน KF-GTECH ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี นักลงทุนควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม สรุป: กองทุน KF-GTECH เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นเทคโนโลยี กองทุนมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจนมีผลการดำเนินงานที่ดีในอดีตบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำมีความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1916
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ต้นตอของปัญหาหนี้
null
ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่มากมาย มีสาเหตุที่จะสำคัญมาก ๆ เลย นั่นก็คือ การขาด Financial Literacy ทีนี้มาดูความหมายแบบแยกคำกันก่อน คำว่า Financial หมายถึง การเงิน ส่วนคำว่า Literacy หมายถึง ความสามารถในการอ่านและเขียน ดังนั้น Financial Literacy จึงหมายถึง ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเงิน เพราะฉะนั้น การขาด Financial Literacy ก็คือการขาดความรู้และความเข้าใจในด้านการเงินนั่นเอง ส่วนสาเหตุของปัญหานี้ ก็มาจากพฤติกรรมการใช้เงินของเรานี่แหละค่ะ ใช้เงินโดยไม่คิด เพราะไม่ได้ทำการศึกษาที่ดีพอหรือไม่มีความรู้เลย ปัญหาหนี้ก็เลยเกิด บทเรียนจากย่อหน้านี้ ต้นตอของปัญหาหนี้ คือ การขาด Financial Literacy Financial แปลว่า การเงิน Literacy แปลว่า ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ แปลรวมกัน Financial Literacy คือ การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเงิน ตัวอย่างเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากการขาด Financial Literacy ที่ดี เช่น ประเมินรายได้ของตัวเองต่ำเกินไป ทำให้ใช้จ่ายเกินตัว อยากได้อะไรก็ซื้อทันที หรือหาเงินมาได้แล้วไม่เก็บออม ไม่เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้เงินก็ลำบาก ต้องไปกู้เงินเพิ่ม เป็นหนี้อีก จะเห็นว่าต้นตอของปัญหาหนี้จริงๆ มันเริ่มต้นมาจากพฤติกรรมการใช้เงินส่วนบุคคล แต่ถามว่าคนที่เป็นหนี้ผิดหรือไม่ที่บริหารเงินได้ไม่ดี ก็ไม่ได้ผิดทั้งหมด เพราะคนที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องเงินมาก่อน ไม่ได้เรียนรู้เรื่องเงินมาก่อน ก็ยากที่จะทำอะไรถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก และการศึกษาไทยก็ไม่ได้สอนเรื่องนี้กันในโรงเรียนด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องเงินสำหรับคนไทย ถ้าไม่ไปเจอประสบการณ์จริงด้วยตัวเองแล้วเรียนรู้ ก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือแนะนำให้ไปในทางที่ถูกต้อง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1920
Finance
ในภาวะตลาดขาลงแบบนี้ กลยุทธ์การลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" (Value Investing) ยังมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่ จงอธิบาย
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" (Value Investing) ยังคงมีประสิทธิภาพอยู่แม้จะอยู่ในภาวะตลาดขาลง แต่ต้องปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนี้ 1. มองหา "หุ้น Value" ที่แท้จริง: หุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Undervalued) มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ธุรกิจแข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตในระยะยาว ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย 2. เลือก "Sector" ที่ใช่: เน้นหุ้นในกลุ่ม Defensive เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น หุ้นที่มี Dividend Yield สูง หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่ม Cyclical ที่มีความเสี่ยงสูง 3. ใจเย็นและอดทน: การลงทุนแบบ Value Investing ต้องใช้เวลา ไม่ควรใจร้อนซื้อหรือขายตามกระแสตลาด รอคอยจังหวะ "ซื้อของถูก" มองระยะยาว 4. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว กระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น 5. ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ เข้าใจความเสี่ยง ไม่ควรลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ ตัวอย่างกลยุทธ์: การลงทุนแบบ "Contrarian" : ซื้อหุ้นที่คนอื่นกำลังขาย การลงทุนแบบ "Deep Value" : มองหาหุ้นที่มีราคาถูกมาก การลงทุนแบบ "Dividend Investing" : เน้นหุ้นที่มี Dividend Yield สูง ข้อควรระวัง: ตลาดขาลงอาจยาวนาน หุ้น Value อาจปรับตัวลงต่อ ต้องอดทนรอคอย สรุป: กลยุทธ์การลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" ยังมีประสิทธิภาพอยู่แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าในภาวะตลาดขาลง นักลงทุนควรเลือกหุ้น Value ที่แท้จริง เลือก Sector ที่ใช่ ใจเย็น อดทน กระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และระวังความเสี่ยง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1921
Finance
การขยายตัวของเศรษฐกิจ (Economic Growth) ส่งผลดีต่อตลาดการเงิน (Financial Market) เสมอไปหรือไม่?
null
ไม่เสมอไป เหตุผล: เงินเฟ้อ (Inflation): การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจนำไปสู่เงินเฟ้อ ซึ่งหมายถึงราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น เงินเฟ้อที่สูงเกินไปจะส่งผลเสียต่อตลาดการเงิน ดังนี้ - ลดกำลังซื้อของประชาชน: เงินเฟ้อจะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อน้อยลง ส่งผลให้การบริโภคชะลอตัว - เพิ่มภาระหนี้สิน: เงินเฟ้อจะทำให้มูลค่าหนี้สินที่ต้องชำระคืนในอนาคตมีค่าลดลง - เพิ่มความเสี่ยง: เงินเฟ้อที่สูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการลงทุน - อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate): ธนาคารกลางมักจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ - อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น: จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มสูงขึ้น - ลดการลงทุน: ส่งผลให้ธุรกิจชะลอการลงทุน - ลดการบริโภค: ส่งผลให้ประชาชนชะลอการบริโภค - ความผันผวน (Volatility): การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดการเงิน - นักลงทุน: นักลงทุนอาจวิตกกังวลกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น - การเทขาย: อาจเกิดการเทขายสินทรัพย์ในตลาด - ความสูญเสีย: ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อนักลงทุน - ฟองสบู่ (Bubble): การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจนำไปสู่การเกิดฟองสบู่ในตลาดการเงิน - ราคาสินทรัพย์: ราคาสินทรัพย์อาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินจริง - การเก็งกำไร: นักลงทุนอาจเก็งกำไรในสินทรัพย์ - การล่มสลาย: ฟองสบู่เมื่อแตกจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ร่วงลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจก็ส่งผลดีต่อตลาดการเงินในบางแง่มุม ดังนี้ กำไรของบริษัท: กำไรของบริษัทมักจะเพิ่มสูงขึ้น ความมั่นใจของนักลงทุน: นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น การระดมทุน: ธุรกิจสามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้น สรุป: การขยายตัวของเศรษฐกิจส่งผลดีต่อตลาดการเงินในบางแง่มุม แต่ก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ระดับเงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ หมายเหตุ: คำตอบนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1924
Finance
การลงทุนใน ETF ผ่าน Feeder Fund มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรงหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: การลงทุนใน Feeder Fund หมายถึง การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนใน ETF ต่างประเทศอีกที ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรง Feeder Fund มีค่าธรรมเนียม 2 ชั้น ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมของกองทุน Feeder Fund เอง และค่าธรรมเนียมของ ETF ที่กองทุน Feeder Fund ไปลงทุน การลงทุนใน Feeder Fund มีสภาพคล่องน้อยกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรง เนื่องจากต้องรอ NAV ของกองทุน Feeder Fund การลงทุนใน Feeder Fund มีความเสี่ยงจากค่าเงินบาท เนื่องจาก NAV ของกองทุน Feeder Fund จะเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่าง: สมมติว่า คุณต้องการลงทุนใน ETF QQQ ซึ่งติดตามดัชนี Nasdaq-100 คุณสามารถลงทุนใน ETF QQQ โดยตรงผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศ หรือ คุณสามารถลงทุนใน Feeder Fund ที่ลงทุนใน ETF QQQ กรณีที่ 1: ลงทุนใน ETF QQQ โดยตรง ค่าธรรมเนียม: 0.20% ต่อปี สภาพคล่อง: สูง ความเสี่ยงจากค่าเงินบาท: มี กรณีที่ 2: ลงทุนใน Feeder Fund ที่ลงทุนใน ETF QQQ ค่าธรรมเนียม: 1.00% ต่อปี (0.50% ของกองทุน Feeder Fund และ 0.50% ของ ETF QQQ) สภาพคล่อง: ต่ำ ความเสี่ยงจากค่าเงินบาท: มี จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน Feeder Fund มีค่าธรรมเนียม สภาพคล่อง และความเสี่ยงจากค่าเงินบาท มากกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรง อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน Feeder Fund มีข้อดีบางประการ เช่น: - เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนใน ETF ต่างประเทศ - ไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีโบรกเกอร์ต่างประเทศ - ลงทุนได้ตั้งแต่จำนวนเงินน้อย สรุป: การลงทุนใน ETF ผ่าน Feeder Fund ไม่ได้มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรง นักลงทุนควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของทั้งสองวิธี ก่อนตัดสินใจลงทุน คำอธิบายเพิ่มเติม: การลงทุนใน ETF เป็นวิธีการลงทุนในต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ETF ที่ต้องการลงทุนให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1928
Finance
7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต มีกองทุนอะไรบ้าง
null
7 กองทุน ETF เทคโนโลยีแห่งอนาคต 1) First Trust Cloud Computing ETF (SKYY) กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: Cloud Computing ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.60% มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $3.1 พันล้าน ดัชนีที่ลงทุนตาม: ISE Cloud Computing Index 2) ALPS Clean Energy ETF (ACES) กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: พลังงานสะอาด ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.65% มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $160.8 ล้าน ดัชนีที่ลงทุนตาม: CIBC Atlas Clean Energy Index 3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF (KARS) กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: รถยนต์ไฟฟ้า / ระบบการเคลื่อนที่ ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.70% มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $17.5 ล้าน ดัชนีที่ลงทุนตาม: Solactive Electric Vehicles and Future Mobility Index 4) ROBO Global Robotics & Automation Index ETF (ROBO) กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: หุ่นยนต์ / ระบบอัตโนมัติ ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.95% มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $1 พันล้าน ดัชนีที่ลงทุนตาม: Robo-Stox Global Robotics and Automation Index 5) ETFMG Video Game Tech ETF (GAMR) กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: วิดีโอเกม ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.75% มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $81.2 ล้าน ดัชนีที่ลงทุนตาม: EEFund Video Game Tech Index 6) Defiance Next Gen Connectivity ETF (FIVG) กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: ระบบ 5G ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.30% มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $267.7 ล้าน ดัชนีที่ลงทุนตาม: BlueStar 5G Communications Index 7) Amplify Online Retail ETF (IBUY) กลุ่มเทคโนโลยีที่ลงทุน: E-Commerce ค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.65% มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน: $299 ล้าน ดัชนีที่ลงทุนตาม: EQM Online Retail Index
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1937
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ทำไมค่าธรรมเนียม ETF ถึงถูกกว่ากองทุนรวม
null
เหตุผลที่ค่าธรรมเนียมของกองทุน ETF จึงถูกกว่าค่าธรรมเนียมของกองทุนรวม เพราะว่ากองทุน ETF เป็นทุนแบบ Passive กองทุนจะอิงกับตัวดัชนี ไม่ต้องวิเคราะห์ หรือซื้อขายกองทุนมากเท่ากองทุนรวมที่เป็นกองทุนแบบ Active การซื้อขายโดยตรงโดยไม่ต้องผ่าน บลจ. จะเป็นการลดค่าธรรมเนียมของกองทุน ETF ด้วย ส่วนค่าธรรมเนียมที่ซื้อขาย ด้วยความที่เป็นกองทุนแบบ Passive ค่าธรรมเนียมจะถูกกว่ากองทุนรวมที่เป็นกองทุนแบบ Active บทเรียนจากย่อหน้านี้ ทำไมค่าธรรมเนียม ETF ถึงถูกกว่ากองทุนรวม? ในฝั่งของค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ ของ ETF จะถูกกว่ากองทุนที่ส่วนใหญ่เป็น Active เพราะใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive อิงไปกับดัชนีเลย ไม่ได้มุ่งหวังจะเอาชนะดัชนี ผู้จัดการกองทุนจึงไม่ต้องทำการรีเสิร์ช วิเคราะห์ หรือซื้อขายกองทุนมากเท่ากองทุน Active อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดค่าธรรมเนียม ETF คือการที่ผู้ซื้อ-ขายสามารถซื้อขายกันโดยตรงได้โดยไม่ต้องผ่าน บลจ. เหมือนกองทุนรวม ที่หากเราต้องการซื้อ-ขายกองทุน ทาง บลจ. ก็จะต้องคอยจัดการ ทางผู้จัดการกองทุนจะต้องเข้าไปซื้อ-ขายสินทรัพย์ ทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้น ในฝั่งของค่าธรรมเนียมที่ซื้อขาย ก็จะเหมือนเวลาซื้อหุ้น ในประเทศไทยหากใช้บริการโบรกเกอร์ผ่านอินเตอร์เน็ตจะอยู่ที่ประมาณ 0.15% แต่บางเจ้าอาจจะมีขั้นต่ำวันละ 50 บาท ดังนั้นสามารถลองตรวจสอบดูก่อนว่าโบรกเกอร์เจ้านั้นมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำต่อวันหรือไม่ หากเป็นกองทุนรวม Active ค่าธรรมเนียมการซื้อขายจะอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 0.5%-1% ส่วนกองทุน Passive ก็จะต่ำกว่า บางเจ้าอาจจะไม่เก็บขาเข้า-ออกเลย หากลังเลระหว่าง ETF กับกองทุน Passive ก็อาจจะลองนำกองทุนดังกล่าวมาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมกันดู โดยหาข้อมูลได้จากหนังสือชี้ชวนของกองทุน หรือจะเปรียบเทียบผ่าน https://www.finnomena.com/fund ก็ได้เช่นกัน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1941
Finance
กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA กับกองทุนรวมมีความเสี่ยงระดับใด และควรลงทุนในสัดส่วนเท่าใด?
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) กับกองทุนรวมนั้นมีความเสี่ยงที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทของกองทุนรวมที่เลือก 1. กองทุนรวมตลาดเงิน (ความเสี่ยงต่ำ) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง ความผันผวนต่ำ ตัวอย่าง: กองทุนรวมตลาดเงินในประเทศ กองทุนรวมตลาดเงินต่างประเทศ กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น สัดส่วนการลงทุน: 30-50% ของพอร์ต 2. กองทุนรวมตราสารหนี้ (ความเสี่ยงปานกลาง) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดเงิน ตัวอย่าง: กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมตราสารหนี้ กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง สัดส่วนการลงทุน: 30-50% ของพอร์ต 3. กองทุนรวมผสม (ความเสี่ยงปานกลาง-สูง) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง ตัวอย่าง: กองทุนรวมผสม 50/50 (ตราสารหนี้ 50% หุ้น 50%) กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง สัดส่วนการลงทุน: 20-40% ของพอร์ต 4. กองทุนรวมหุ้น (ความเสี่ยงสูง) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูง ตัวอย่าง: กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนรวมดัชนี กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สัดส่วนการลงทุน: 10-30% ของพอร์ต 5. กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก (ความเสี่ยงสูง) เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ ความเข้าใจ ตัวอย่าง: กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมทองคำ กลยุทธ์ DCA กับกองทุนประเภทนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ ความเข้าใจ สัดส่วนการลงทุน: 5-10% ของพอร์ต ข้อควรระวัง: กลยุทธ์ DCA ไม่ได้ช่วยรับประกันผลตอบแทน ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ควรเลือกกองทุนรวมให้เหมาะสมกับความเสี่ยง กระจายการลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ ลงทุนระยะยาว สรุป: กลยุทธ์ DCA กับกองทุนรวมเป็นวิธีการลงทุนที่เรียบง่าย เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกรูปแบบ
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1942
Finance
คำถามที่ 1: เหตุใดแพทย์จึงต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินเป็นพิเศษ คำถามที่ 2: อะไรคือความผิดพลาดในการวางแผนการเงินที่แพทย์มักทำกัน คำถามที่ 3: วงจรแผนการเงินของแพทย์แบ่งออกเป็นกี่ช่วงอายุ และแต่ละช่วงอายุควรให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง คำถามที่ 4: อะไรคือสิ่งสำคัญที่แพทย์ควรพิจารณาในการวางแผนเกษียณ คำถามที่ 5: อะไรคือสิ่งที่แพทย์ควรคำนึงถึงในการส่งต่อมรดกให้ทายาท คำถามที่ 6: แพทย์ควรเริ่มวางแผนการเงินเมื่ออายุเท่าไหร่
null
คำตอบที่ 1 แพทย์เป็นอาชีพที่มีรายได้สูง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงเช่นกัน ประกอบกับมีภาระรับผิดชอบมากทั้งด้านการทำงานและครอบครัว ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องวางแผนการเงินอย่างรอบคอบเพื่อความมั่นคงในชีวิต คำตอบที่ 2 ความผิดพลาดในการวางแผนการเงินที่แพทย์มักทำกัน ได้แก่ - ผิดพลาดในการวางแผนเกษียณ - เน้นการลงทุนระยะสั้นมากเกินไป - ไม่ได้บริหารพอร์ตลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ คำตอบที่ 3 วงจรแผนการเงินของแพทย์แบ่งออกเป็น 4 ช่วงอายุ ได้แก่ วัยเรียนและฝึกงาน (อายุไม่เกิน 30 ปี) วัยสร้างครอบครัว (อายุระหว่าง 30-45 ปี) วัยเก็บเกี่ยว (อายุระหว่าง 45-65 ปี) วัยเกษียณ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) คำตอบที่ 4 สิ่งสำคัญที่แพทย์ควรพิจารณาในการวางแผนเกษียณ ได้แก่ ความต้องการในการเกษียณ สุขภาพ สินทรัพย์ คำตอบที่ 5 สิ่งที่แพทย์ควรคำนึงถึงในการส่งต่อมรดกให้ทายาท ได้แก่ เป้าหมายในการส่งต่อมรดก สภาพคล่องของสินทรัพย์ ภาษี คำตอบที่ 6 แพทย์ควรเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ควรรอให้อายุมากแล้วค่อยเริ่ม เพราะยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น โดยปกติ แพทย์จะเรียนนานกว่าอาชีพอื่น และอาจต้องทำงานหนักในช่วงเริ่มต้นอาชีพ จึงอาจไม่มีเวลาหรือความสนใจในการวางแผนการเงินมากนัก อย่างไรก็ตาม แพทย์ควรตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต แพทย์ควรเริ่มวางแผนการเงินอย่างน้อยตั้งแต่อายุ 25 ปี โดยตั้งเป้าหมายทางการเงินของตนเอง เช่น ต้องการมีเงินเก็บไว้เท่าไหร่เมื่อเกษียณอายุ ต้องการมีเงินไว้สำหรับการศึกษาบุตร ต้องการมีเงินไว้สำหรับซื้อบ้านหรือรถ เป็นต้น จากนั้นจึงเริ่มออมเงินและลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากแพทย์เริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย แพทย์จะมีเวลาออมเงินและลงทุนมากขึ้น จึงมีโอกาสที่จะมีเงินเก็บไว้เพียงพอสำหรับอนาคตมากขึ้น นอกจากนี้ แพทย์ยังมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารการเงินมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้เป็นข้อดีของการเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อยสำหรับแพทย์ มีเวลาออมเงินและลงทุนมากขึ้น มีเวลาเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารการเงินมากขึ้น มีเวลากระจายความเสี่ยงของการลงทุนมากขึ้น มีเวลาปรับเปลี่ยนแผนการเงินได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น แพทย์จึงควรเริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1945
Finance
ในช่วงปี 2563-2573 เป็นโอกาสที่อาจจะกำเนิดเกิดขึ้นของ “เศรษฐีหุ้น” ยุคใหม่ จริงหรือไม่?
null
จริง เหตุผล: การ Disruption เทคโนโลยีใหม่ ๆ disrupt ธุรกิจแบบเดิม ๆ เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ที่เติบโตสูง การเข้าถึงข้อมูล นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การวิเคราะห์ กลยุทธ์การลงทุน ได้ง่ายขึ้น เครื่องมือการลงทุน มีเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลาย ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้สะดวก ดอกเบี้ยต่ำ เงินฝากออมทรัพย์ให้ผลตอบแทนต่ำ กระตุ้นให้นักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้น ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมตลาดทุน ตัวอย่าง: - ธุรกิจ E-commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว - ธุรกิจ Fintech เข้ามา disrupt ธุรกิจการเงินแบบดั้งเดิม - ธุรกิจ Cloud Computing เติบโตสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ กลยุทธ์ และบริหารความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อควรระวัง: - การเก็งกำไร อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุน - การลงทุนโดยไม่มีความรู้ อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุน - การลงทุนในธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุน สรุป:ในช่วงปี 2563-2573 เป็นโอกาสที่อาจจะกำเนิดเกิดขึ้นของ “เศรษฐีหุ้น” ยุคใหม่ แต่นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์กลยุทธ์ และบริหารความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1949
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ อนาคตของ Libra
null
Libra เงินดิจิทัลจาก Facebook มีโครงสร้าธุรกิจที่เปลี่ยนไป หลังจากมีสมาชิกในโครงการขอถอนตัวไป ทำให้เหลือเพียง 21 บริษัท จาก 28 บริษัท โดย Sherrod Brown และ Brian Schatz วุฒิสมาชิก มีการส่งหนังสือไปถึง Visa, Mastercard และ Stripe เพื่อทบทวนการมีส่วนร่วมในโปรเจค Libra อีกครั้ง ในส่วนของ Facebook จะยังคงพัฒนาโครงการนี้ต่อไปท่ามกลางข่าวด้านลบที่เกิดขึ้น โดยมีแพลนเปิดตัวโครงการในปี 2020 แต่จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการเงินดิจิทัล เพราะแนวโน้มของ Libra จะเปลี่ยนจากการเป็นวิธีชำระเงินสำหรับทำธุรกรรมในประเทศที่พัฒนาแล้ว มาเป็นวิธีชำระเงินข้ามพรมแดนสำหรับการใช้งานจากผู้ใช้รายบุคคล บทเรียนจากย่อหน้านี้ อนาคตของ Libra หลังการพิจารณาของรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้สมาชิกโครงการ Libra จากเดิมมี 28 บริษัท และถอนตัวไปอีกรายเหลือเพียง 21 บริษัท โดยรายล่าสุดที่ถอนตัวคือ Booking Holding บริษัทแม่ของเว็บไซต์ Booking.com, Priceline, และ Kayak.com. โดยบริษัท Mastercard, Visa, eBay, Stripe, Mercado Pago, และ Paypal มีการถอนตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากวุฒิสมาชิก Sherrod Brown และ Brian Schatz ได้ส่งหนังสือถึง Visa, Mastercard และ Stripe เพื่อโน้มน้าวให้ทบทวนการมีส่วนร่วมในโปรเจค Libra อีกครั้งจากปัจจัยเสี่ยงของ Libra เงินดิจิทัลของ Facebbook Facebook ควรไปต่อหรือไม่? แม้ว่าจะมีข่าวด้านลบถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ Facebook ก็ยังคงเดินหน้าพัฒนา Libra ต่อไป และตั้งใจเปิดตัวในปี 2020 อย่างไรก็ตามการเปิดตัวครั้งนี้อาจไม่สะเทือนวงการและไม่น่าจะดึงความสนใจจากผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างที่คาดการณ์ Facebook ยอมรับว่า Libra มีความเป็นไปได้น้อยที่จะกลายเป็นวิธีการชำระเงินสำหรับการทำธุรกรรมจริงทั่วโลกในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และในภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป แต่มีแนวโน้มที่จะใช้เป็นวิธีการชำระเงินข้ามพรมแดนสำหรับการใช้งานจากผู้ใช้รายบุคคลมากกว่า แม้ว่าจะมีสมาชิกถอนตัวไปแล้ว 7 ราย แต่อีก 21 สมาชิกที่เหลือก็ยังดำเนินกิจกรรมต่อไป โดยจัดประชุมสมาคมฯ อย่างเป็นทางการครั้งแรกที่กรุงเจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการปูทางสำหรับโครงการที่จะดำเนินต่อไปในปี 2020 โดยสมาคม Libra รวมตัวกันจัดตั้งสภาสมาคมฯ พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารขึ้นมา ประกอบด้วย David Marcus (อดีตผู้นำ Facebook Blockchain), Katie Hun (Andreeson Horowitz), Wences Cesares (Xapo), Patrick Ellis (PayU), และ Matthew Davie (Kiva).
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1950
Finance
เรื่อง The Benefits of Staying Invested PIMCO ของ PIMCOพบว่านักลงทุนจะมีความกังวลต่อเรื่องใด
null
เรื่อง The Benefits of Staying Invested PIMCO ของ PIMCO พบว่านักลงทุนจะมีความกังวลต่อการตกของหุ้นก็จะเทขายกองทุนที่ถือไว้ออกมา และจะทำการเข้าซื้อคืนเมื่อตลาดพลิกกลับตัวเป็นขาขึ้น ถ้าจัดพอร์ตการลงทุนแบบ 60% / 40% โดยนักลงทุนเริ่มลงทุน 100,000 ปรากฏว่า พอร์ตขึ้นไปแล้วถึง เกือบ 120,000 หลังจากตลาดหุ้นตกลงอย่างเร็วทำให้การลงทุนเหลือ 90,000 นักลงทุนเริ่มทนไม่ไหว ขายทิ้ง พอตลาดหุ้นกลับมา นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนใหม่ ณ ราคาที่ 90,000 ปรากฏว่า เมื่อเวลาผ่านไป เงินจะเพิ่มเป็น 93,320 เทียบกับ 111,694 ถ้าไม่ได้ขายทิ้ง ดังนั้น ถ้านักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้ ถ้ามีการกระจายพอร์ตการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ จัดพอร์ตตามเป้าหมายการลงทุน นักลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องรีบตัดขาดทุน ให้มองเป็นพอร์ตการลงทุน แต่แน่นอนการไม่ตัดขาดทุนก็จะทำให้นักลงทุนจะประสบปัญหา drawdown มากกว่าไม่ขาย ดู backtest ย้อนหลัง โดยใช้ 60/40 All world ETF โดยใช้ BNCH โดยประกอบด้วย ETF IEF 40%, EFA 30% and VTI 30% โดยทดสอบ เทียบกับ BNCH แบบ buy and hold กับ BNCH ที่ซื้อและขายตามเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และ 200 วัน โดยจะซื้อ ตอนเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ตัดขึ้น กับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน โดยจะขาย ตอนเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ตัดลง กับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน จากการทดสอบจะเห็นได้ว่า ถ้าจัดพอร์ตการลงทุนตามที่เหมาะสมกับเป้าหมายแล้ว การลงทุนต่อเนื่องแม้ยามเกิดตลาดขาลง ผลตอบแทนแบบ buy and hold จะให้ผลตอบแทนดีกว่า แต่ว่าอาจจะมี max drawdown มากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็สามารถปรับสัดส่วนของพอร์ตการลงทุนได้ตามสภาวะตลาด แต่ไม่ได้หมายถึง ขายทิ้งทั้งพอร์ตและกลับไปซื้อใหม่ การลงทุนเป็นเกมระยะยาว เป้าหมายการลงทุนต้องชัดเจน อดทนและรอคอยความสำเร็จ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1952
Finance
Hedge แปลว่าอะไร
null
Hedge แปลว่า การป้องกันความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น มีร้านค้าร้านหนึ่ง แล้วทำประกันน้ำท่วมไว้ ก็แสดงว่ากำลัง hedge หรือป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับร้านค้าอยู่ ในเรื่องกองทุน การ Hedge มักหมายถึง การป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน เป็นหลัก คอนเส็ปต์ของการ Hedge ไม่ใช่การที่ทำให้ได้กำไรมากขึ้น แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินบางอย่างเพื่อลดผลกระทบ กรณีผลลัพธ์ไม่เป็นไปในทางที่ต้องการ นโยบายการ Hedge จะมีเฉพาะในกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศเท่านั้น โดยอ่านได้ในหนังสือชี้ชวนว่ากองทุนนั้นมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินหรือไม่ แล้วถ้ามี เป็นการป้องกันความเสี่ยงบางส่วนหรือป้องกันทั้งหมด การไปลงทุนในต่างประเทศ กองทุนต้องแลกเงินบาทเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ซึ่งเวลาแลกกลับมาเป็นเงินบาท ค่าเงินอาจจะผันผวน ซึ่งอาจจะกระทบต่อผลกำไรของกองทุนได้ ถ้าเงินบาทอ่อน กำไรจะมากขึ้น ถ้าเงินบาทแข็ง กำไรจะน้อยลง ดังนั้น การที่กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยง จะทำให้ไม่ต้องกังวลว่าเงินบาทกำลังจะอ่อนหรือแข็ง แต่นั่นก็หมายความว่าถ้าเงินบาทเกิดอ่อนขึ้นมา ก็ต้องยอมเสียผลกำไรที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนไป สำหรับหลักการเลือกว่าจะลงทุนในกองที่มีการ Hedge ค่าเงินหรือไม่มีนั้น ถ้าเกิดว่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงในอนาคต การเลือกกองทุนที่ Unhedge ค่าเงินจะช่วยให้ผลกำไรที่ได้มากขึ้น ส่วนถ้าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น ก็ควรเลือกกองทุนที่ช่วย Hedge ทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินให้ตนเอง อย่างไรก็ตาม จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคนด้วย ถ้าเกิดกังวลกับการขึ้นๆ ลงๆ ของค่าเงิน การเลือกกองทุนที่ Hedge ค่าเงิน ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่สบายใจ ทำให้ลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1955
Finance
จงบอกข้อดีข้อเสียของบิทคอยน์ว่าเป็นอย่างไร
null
หากมองในแง่ของข้อดี บิทคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลเพียงเหรียญเดียวที่ระบบได้รับการยอมรับว่า Decentralized มากที่สุด และมีโครงข่ายและผู้ใช้กระจายตัวไปทั่วโลก จะเห็นได้ว่าดังข้อที่ไม่ใช่เงินสกุลหลักของโลก… แต่เรียกว่าเงินสกุลหนึ่งที่ให้อิสรภาพกับผู้ถือมากที่สุดในโลกจะเหมาะกว่า ด้วยความผันผวนของราคา ณ ปัจจุบันคงยากถ้าจะเรียกว่าบิทคอยน์เป็นสกุลเงินหรือแม้แต่ในอนาคตที่จำนวนบิทคอยน์ถูกขุดขึันมาทั้งหมดด้วยคุณสมบัติและจำนวนของมัน “อาจ” มีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะกลายเป็นเหมือน “ไอค่อนหรือของสะสม” เพิ่มมูลค่าขึ้นไปมากกว่าจะนำมาใช้จ่ายเป็นเงินตราอยู่ดี ข้อดีของบิทคอยน์ ได้แก่ 1. ความไร้พรหมแดน: การทำธุรกรรมใดที่สามารถทำได้แบบข้ามโลกและไร้พรหมแดน 2. อิสระจากเวลา: ไม่ต้องกังวลว่าจะมีลิมิตการโอนได้เท่าไหร่ เปิดทำการเวลาใดเหมือนธนาคารในโลกแห่งความจริง (ยกเว้นหากท่านฝากเงินไว้ในกระดานซื้อขายสินทรัพย์และเค้าปิดปรับปรุงก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) 3. ความเป็นส่วนตัว: ไร้การถูกติดตามและละเมิดความเป็นส่วนตัวทางด้านการเงินจากหน่วยงานต่าง ๆ ตัดปัญหาความผิดพลาดจากตัวกลาง ไม่ต้องกลัวว่าค่าเงินจะผันผวนหากเกิดวิกฤตในประเทศใดประเทศหนึ่ง เนื่องด้วยคนถือมีอยู่ทั่วโลก (แต่หากเกิดวิกฤตที่กระทบไปทั่วโลกก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) 4. มูลค่าที่ไม่ขึ้นอยู่กับรัฐใดรัฐหนึ่ง: แต่ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เหรียญบิทคอยน์ในชุมชน ที่ซื้อและให้มูลค่าราคามันเป็นมูลค่าที่เกิดจากส่วนรวมที่ซื้อขายมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศใดควบคุม จำนวนจำกัดที่แน่นอน 21 ล้านเหรียญ เหรียญไหนอยู่ที่ใครเท่าไหร่คนในชุมชมช่วยกันตรวจสอบได้หมด การเพิ่มจำนวนเหรียญโมเมมาให้เกินจำนวนนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามเหตุผลหลัก ๆ ที่ส่งให้บิทคอยน์ไม่สามารถเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้ ได้แก่ 1. ความผันผวนของราคาสูงเกินไป บิทคอยน์ถือว่าสอบตกในเรื่องความเสถียรของราคาอย่างร้ายแรง การที่ราคาต่อบิทจะพุ่งขึ้นและตกลงกว่า 20-30% ถือเป็นปกติของตลาดนี้ 2. ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงบิทคอยน์ได้ เนื่องด้วยบิทคอยน์นั้นเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อให้ไร้ตัวกลางที่สุด หรือจะเรียกตรง ๆ ก็คือ “ระบบที่มีความตัวใครตัวมันมากที่สุด” ผู้ใช้ต้องอาศัยความเข้าใจและมีความรับผิดชอบเงินและคีย์ในมือแบบสูงลิ่ว ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับตลาดนี้ โดยเฉพาะกลุ่มวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุหลายท่านที่ขาดความเข้าใจในเทคโนโลยี และส่วนมากเป็นผู้ที่ถือทรัพย์สินในมูลค่าที่มีอัตราส่วนมากที่สุดในโลก 3. ความกลัวของผู้คนทำให้คนอีกจำนวนมากไม่ยอมรับมัน ใครหลาย ๆ คนในวงการอาจเคยเห็นประโยคเหล่านี้ผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง “น่าเชื่อถือยังไงหน่วยงานไหนก็ไม่รองรับ” “รัฐบาลไม่ให้การยอมรับจะเชื่อถือได้หรือ” “เงินอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรแบ็คอัพเลยไม่กล้าใช้” ประกอบกับความใหม่ของมันทำให้ร้านค้ามากมายยังขายความรู้ความเข้าใจและไม่ได้รองรับมัน ทำให้การใช้จ่ายทุกอย่างด้วยบิทคอยน์ยังห่างไกลคำว่าสะดวกสบายอยู่มาก แม้จะมีระบบรับ Swap ค่าเงินกับบิทคอยน์เกิดขึ้นมามากมายแต่ส่วนมากก็ติดที่ค่าธรรมเนียมที่แพงไปอยู่ดี 4. การต่อต้านของรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีการแทนค่าว่าบิทคอยน์คือ “สินทรัพย์” ชนิดหนึ่งมิใช่เงินตรา เพราะหาก Bitcoin กลายเป็นเงินตราเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงทุก ๆ Transaction ที่เกิดขึ้นนั้นคือการ “แลกเปลี่ยนเงิน” (Remittance) และการขาดอำนาจในการควบคุมมูลค่าของนั่นหมายถึงความมั่นคงของรัฐเลยทีเดียว 5. ภัยจากวาฬหรือนักลงทุนเจ้ามือ ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้บิทคอยน์จะเป็นอิสระจากการควบคุมกลไกราคาของภาครัฐใดรัฐหนึ่ง แต่การเคลื่อนไหวของวาฬในตลาดก็ส่งผลต่อราคาของมันอยู่ดี
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1959
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ผลลัพธ์ของคริปโตเคอเรนซี่ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
null
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ จะมีผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นนั้น ตั้งแต่ช่วงปี 2015 จะมีแค่ 2 เหรียญที่สำคัญนั่นก็คือ Bitcoin และ Litecoin แต่จะมีเหรียญคริปโตเคอเรนซี่อีกมากมายที่จะนำมาเทรดบนกระดานหลังช่วงปี 2017 ส่วนผลลัพธ์ของคริปโตเคอเรนซี่ในระยะยาว จะมีผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นธรรมดา 10 เท่าภายในระยะเวลาที่เท่ากัน และจะส่งผลให้ผลตอบแทนของคริปโตเคอเรนซี่ต่อเดือนนั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ บทเรียนจากย่อหน้านี้ ผลลัพธ์ของคริปโตเคอเรนซี่ระยะสั้น หลังจากปี 2017 มีเหรียญคริปโตเคอเรนซี่มากมายที่ถูกนำมาเทรดบนกระดาน แต่เหรียญดั้งเดิมที่ถูกนำมาตั้งซื้อขายแลกเปลี่ยนตั้งแต่ช่วงปี 2015 มีแค่ Bitcoin กับ Litecoin เท่านั้น เหรียญแต่ละเหรียญจึงมีผลตอบแทนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่น Tronix (TRX) มีผลตอบแทนสูงสุด 1049.3% ต่อเดือนเป็นเวลา 4 เดือนตั้งแต่เดือน สิงหาคมที่ TRX เข้ากระดานเทรดจนสิ้นปี 2017 ซึ่งนั้นทำให้ตลาดคริปโตเคอเรนซี่กลายเป็นที่น่าจับตามองยิ่งขึ้น เพราะคนทั่วไปต่างมองว่าโอกาสในการทำกำไรจากตลาดนี้ดูง่ายดาย ผลลัพธ์ของคริปโตเคอเรนซี่ในระยะยาว จากการสำรวจความเสี่ยงและผลตอบแทนของคริปโตเคอเรนซี่ระยะยาวนั้น หากเปรียบเทียบกับหุ้น ในระยะเวลา 3 ปี (หากนับตามปีที่เหรียญ Bitcoin และ Litecoin เข้ากระดานเทรดปี 2015-2017) จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของการลงทุนในคริปโตนั้นสูงกว่าตลาดหุ้นธรรมดาถึง 10 เท่าในระยะเวลาที่เท่ากัน และมีผลตอบแทนต่อเดือนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และหากจะพูดถึงผลตอบแทนระยะยาวนั้น เหรียญ BTC และ LTC นั้นมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงมากด้วยตัวแปรหลาย ๆ อย่าง แต่ขณะเดียวกันผลตอบแทนสูงมากหากเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นปกติ
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1961
Finance
ในภาวะวิกฤติตลาดหุ้น นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาว?
null
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เคยกล่าวว่า วิกฤติตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ และส่งผลกระทบต่อนักลงทุนทุกกลุ่ม กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในภาวะวิกฤตินั้น จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาว ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ 1. เข้าใจความเสี่ยง: - ตระหนักว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง" โดยเฉพาะความเสี่ยงจาก "วิกฤติตลาดหุ้น" - วิกฤติตลาดหุ้นเกิดขึ้นทุก 10 ปี โดยประมาณ - หุ้นบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นสถาบันการเงิน, สินค้าโภคภัณฑ์, หุ้นขนาดเล็ก-กลางที่โตเร็ว 2. ลงทุนระยะยาว: - เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการดี สินค้าหรือบริการจำเป็นต่อชีวิต - หลีกเลี่ยงการเก็งกำไร - รอคอยจังหวะซื้อหุ้นดีในราคาถูก 3. กระจายความเสี่ยง: - ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท - ลงทุนในหุ้นหลายกลุ่ม - เลือกกองทุนรวมที่มีกลยุทธ์เหมาะสม 4. ศึกษาข้อมูล: - ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ ธุรกิจ - วิเคราะห์งบการเงิน - เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุน 5. มีวินัย: - ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ - ไม่ตื่นกลัวหรือโลภ - อดทนรอคอยผลตอบแทน 6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: - หาคำแนะนำจากนักลงทุนมืออาชีพ - เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: DCA (Dollar Cost Averaging): ลงทุนเงินจำนวนเท่ากันเป็นประจำทุกงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น VI (Value Investing): ลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง Growth Investing: ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ข้อควรระวัง: - หลีกเลี่ยงการ "ช้อนหุ้น" ที่ตกลงมาแรง โดยไม่พิจารณาพื้นฐาน - ระวัง "หุ้นปั่น" - ไม่ลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ บทสรุป: กลยุทธ์การลงทุนที่ดีในภาวะวิกฤต จะช่วยให้นักลงทุนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และประสบความสำเร็จในระยะยาว สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยง ลงทุนอย่างมีสติ ศึกษาข้อมูล และมีวินัย คำแนะนำเพิ่มเติม: - ศึกษาและเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนเพิ่มเติม - ฝึกฝนการวิเคราะห์หุ้น - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน - ลงทุนอย่างมีสติ ไม่ประมาท
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1962
Finance
อะไรคือความแตกต่างหลักระหว่างการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) กับการลงทุนแบบเทคนิคอล (Technical)
null
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) และ การลงทุนแบบเทคนิคอล (Technical) เป็นสองแนวทางการลงทุนที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยสรุปความแตกต่างหลัก ๆ มีดังนี้ 1. ปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์: VI: เน้นวิเคราะห์ ปัจจัยพื้นฐาน ของกิจการ เช่น งบการเงิน ผลประกอบการ โครงสร้างธุรกิจ กลยุทธ์ แผนงาน ทีมผู้บริหาร ฯลฯ โดยให้ความสำคัญกับ มูลค่าพื้นฐาน ของหุ้นว่าถูกกว่าราคาตลาดหรือไม่ Technical: เน้นวิเคราะห์ กราฟราคา และ ปริมาณการซื้อขาย โดยเชื่อว่าราคาหุ้นในอดีตสามารถบอกถึงแนวโน้มราคาในอนาคตได้ 2. ระยะเวลาในการลงทุน: VI: เน้นลงทุนระยะยาว มักถือหุ้นเป็นเวลาหลายปี Technical: เน้นลงทุนระยะสั้น อาจจะถือหุ้นเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ 3. จิตวิทยาการลงทุน: VI: เน้นการ "ซื้อถูก ถือยาว" ใจเย็น มองข้ามความผันผวนระยะสั้น Technical: เน้นการ "ซื้อตามเทรนด์ ขายตามสัญญาณ" อาศัยจังหวะเข้าซื้อ-ขายที่รวดเร็ว 4. ผลตอบแทน: VI: คาดหวังผลตอบแทนจาก การเติบโตของธุรกิจ ในระยะยาว Technical: คาดหวังผลตอบแทนจาก ความผันผวนของราคาหุ้น ในระยะสั้น 5. ตัวอย่าง: VI: Warren Buffett, Benjamin Graham Technical: Jesse Livermore, William J. O'Neil ข้อควรพิจารณา: ไม่มีวิธีการลงทุนไหนที่ "ดีที่สุด" ขึ้นอยู่กับ จริต ความชอบ เป้าหมาย และ ระยะเวลา ของนักลงทุนแต่ละคน การลงทุนแบบ VI ต้องการ ความอดทน ความรู้ และ ความเข้าใจ ในธุรกิจ การลงทุนแบบ Technical ต้องการ ทักษะ ประสบการณ์ และ การติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด สรุป: การลงทุนทั้งแบบ VI และ Technical ต่างมีจุดเด่นและจุดด้อยของตัวเอง นักลงทุนควรศึกษาและเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด คำแนะนำเพิ่มเติม: ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนทั้งสองแบบ ทดลองลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยก่อน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ลงทุนอย่างมีสติ ควบคุมความเสี่ยง
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1965
Finance
แอปพลิเคชั่นที่มีมูลค่าของระบบ DiFi สูงที่สุด 3 อันดับแรก ณ วันที่ 19 ก.พ. 2563 มีอะไรบ้าง
null
แอปพลิเคชั่นที่มีมูลค่าของระบบ DiFi สูงที่สุด 3 อันดับแรก ณ วันที่ 19 ก.พ. 2563 ได้แก่ 1. MakerDAO กับแนวคิดการสร้าง Stablecoin เดิมทีการสร้าง Stablecoin หรือการสร้างสกุลเงินที่สามารถ “คงมูลค่า” และใช้เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการนั้น ในอดีตมีเพียงรัฐบาลของแต่ละประเทศเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวการออกสกุลเงินต่างๆ ได้ โดยการใช้ทองคำ, พันธบัตร, เครดิตต่างๆ ค้ำประกัน แต่ในโลกของระบบ Decentralized ระบบจะแทนค่า 1 DAI = 1 ETH และแม้ราคาของ ETH จะไม่ค่อยคงที่ก็ไม่เป็นปัญหา ด้วยระบบ Smart Contract ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ 2. Compound ระบบการกู้ยืมเงินแบบ Decentralized คล้ายกับระบบของ MakerDao แต่เป็นระบบกู้ยืมเงินที่ทางผู้ใช้สามารถนำเหรียญสกุลอะไรก็ได้ที่ทำงานอยู่บนบล็อคเชนของ ETH ไปค้ำประกันเพื่อแลกเหรียญดิจิทัลสกุลอื่นๆ ในระบบ และรายได้ของผู้ที่นำเหรียญมาปล่อยกู้จะเป็นดอกเบี้ยจะถูกคำนวนจาก Demand และ Supply ในระบบ 3. Synthetix กับการจำลองสินทรัพย์เข้าสู่โลกของดิจิทัล ได้มีการสร้างระบบที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถนำสินทรัพย์ (เหรียญสกุลดิจิทัล) ของตนเองมาค้ำประกันเพื่อสร้าง “สินทรัพย์จำลองขึ้นมาในโลกดิจิทัล” แต่ต้องวางเงินค้ำประกันสูงถึง 750% ของมูลค่าสินทรัพย์ที่จะสร้าง (ค้ำโดยเหรียญ SNX) ถือว่าเป็นระบบที่น่าสนใจ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ค่อนข้างมาก เนื่องด้วยในปัจจุบันระบบสินทรัพย์จำลองนั้นยังไม่ถูกรองรับในแพลทฟอร์มอื่นๆ นอกจากของ Synthetix โดยตรง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1970
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เงินสำรองฉุกเฉิน
null
เงินสำรองฉุกเฉิน เป็นเงินที่ควรจะมีไว้สำหรับใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน ซึ่งจำนวนเงินฉุกเฉินที่ควรมี จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละอาชีพ ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือน จะมี 3 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน ถ้าเป็น Freelance จะมี 6 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน หรือถ้าเป็นคนที่รายได้ไม่สม่ำเสมอ จะมี 12 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน สำหรับเงินสำรองฉุกเฉิน จะสามารถเก็บได้ในสินทรัพย์สภาพคล่องสูง และสามารถนำออกมาใช้ได้เลย บทเรียนของย่อหน้านี้ เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่? ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของอาชีพ ถ้าเป็นอาชีพปกติ อย่างมนุษย์เงินเดือน แนะนำที่ 3 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน เสี่ยงขึ้นมาหน่อย อย่าง Freelance แนะนำที่ 6 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน เสี่ยงสุดๆ รายได้ไม่สม่ำเสมอเลย 12 เดือนของรายจ่ายต่อเดือน อุ่นใจที่สุด รายจ่ายต่อเดือนรวมทั้งรายจ่ายผันแปรและรายจ่ายคงที่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า แม้จะได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ แต่ยังสามารถจ่ายค่าผ่อนรถ ค่าเช้าห้องได้อยู่สัก 3 เดือนขึ้นไป เงินสำรองฉุกเฉินควรเก็บที่ไหน? ควรเก็บไว้ในสินทรัพย์สภาพคล่องสูง จะใช้ก็สามารถนำออกมาได้เลย เช่น เงินฝากออมทรัพย์ แต่สำหรับใครที่กลัวว่าเอาเงินไว้ในนั้นเยอะๆ แล้วจะหมดไปกับค่า shopping แทน แบ่งบางส่วนเข้ากองทุนรวมตลาดเงินก็ได้ เสี่ยงขึ้นมานิดนึง แต่ยังถือว่าเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0