ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
10
894
Input
stringclasses
0 values
Output
stringlengths
110
13.8k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
6 values
License
stringclasses
2 values
Finance_1972
Finance
การเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ จะส่งผลอย่างไร ระหว่าง ทำให้ตัดสินใจพลาด หรือ ทำให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล
null
ทำให้ตัดสินใจพลาด เพราะการเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ จะทำให้ตัดสินใจพลาด ส่วนการทำให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล เป็นสิ่งสำคัญของจิตใจ วิกฤตไวรัส Covid-19 ถือว่าเป็นวิกฤต 2 เด้ง เด้งแรกคือ เป็นวิกฤตโรคระบาดที่แพร่กระจายได้รวดเร็วระดับโลก มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นมากมาย เด้งที่สองคือ วิกฤตโรคระบาดนี้ทำได้เกิดวิกฤตทางการเงินตามมาด้วย ปกติโรคระบาดจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว แต่เคสของปี 2563 มีหลายๆ เรื่องเข้ามายำรวมกันด้วย อย่างเรื่องสงครามน้ำมันเป็นต้น ทำให้ช่วงนี้กองทุนลงกันค่อนข้างหนัก อย่างที่ทุกคนทราบกัน ทีนี้ในช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ ควรบริหารสภาพจิตใจของตัวเองยังไง เพื่อที่จะผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ ใช้คำว่า “บริหารสภาพจิตใจ” เพราะเป็นเรื่องที่ต้องดูแลสำรวจตัวเองอยู่ตลอด เหตุผลที่ต้องสังเกตใจตัวเอง เพราะ หนึ่ง เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ sensitive กับจิตใจ เหตุผลที่สอง การลงทุนต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นต้องสบายใจที่จะลงทุนได้นานๆ เหตุผลที่สาม การเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จะทำให้ตัดสินใจพลาด วิธีการบริหารสภาพจิตใจขึ้นอยู่กับแต่ละคน ต้องหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ได้แก่ - ใช้เงินเย็นในการลงทุน ถึงแม้ว่ากองทุนจะขึ้นจะลงก็ไม่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน คุณภาพชีวิตไม่เปลี่ยน ทำให้สามารถตัดสินใจได้โดยไม่เอาเรื่องคุณภาพชีวิตมาเกี่ยวข้อง - ตามข่าวแต่พอดี ฟังมุมมองจากหลายๆ ด้าน การมีความรู้ที่มากขึ้น เป็นวิธีในการลดความเสี่ยงในการลงทุนวิธีหนึ่ง - ไม่ต้องไปดูพอร์ตบ่อยเกินไป ยิ่งดูบ่อยยิ่งทำให้อยากเข้าไปยุ่ง และอาจทำให้ลงทุนได้ไม่นาน - ทบทวนเป้าหมายระยะยาวของตัวเอง ว่ายังทำตามแผนอยู่หรือไม่ เช่น ถ้าลงทุนตามแผนที่มีการ DCA ทุกเดือน ก็ควรที่จะลงเพิ่มทุกเดือนเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งเป็นตามแผนการลงทุนระยะยาว
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1977
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความสำคัญของการประกันภัยสำหรับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
null
การประกันภัยสำหรับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล มีความสำคัญในการพิจารณาถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนของระบบนิเวศของ Cryptocurrency เนื่องจาก Cryptocurrency มีส่วนประกอบที่เป็น Startups และศูนย์ซื้อขายที่ไม่เพียงพอต่อการทำให้อุตสาหกรรมประกันภัยเห็นโอกาสในการตลาดและมีส่วนร่วมอุตสาหกรรม เมื่อราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเสี่ยงต่อการเกิดมิจฉาชีพได้ ดังนั้น มิจฉาชีพที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency ถ้าเปรียบได้ก็เปรียบกับ Wild West เพราะการขาดกฎระเบียบและเป็นสิ่งที่ใหม่มากของประชาชนทั่วไป บทเรียนจากย่อหน้านี้ ความสำคัญของการประกันภัยสำหรับศูนย์ซื้อขายฯ ปัจจุบันธุรกิจ Cryptocurrency ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วย Startups และศูนย์ซื้อขายฯ ไม่มากพอที่จะให้อุตสาหกรรมประกันภัยเห็นโอกาสทางการตลาดและเข้ามามีส่วนร่วมในการอุตสาหกรรมชนิดใหม่นี้ จากข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชนแม้แต่ศูนย์ซื้อขายฯ สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนืออย่าง Coinbase ก็มีเพียง 2% ของเหรียญที่ได้รับการประกันกับ Lloyd’s of London เหรียญเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ Hot Wallet ส่วนที่เหลือจะถูกเก็บไว้ Cold Wallet และไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับสถานะการประกันของพวกเขาเลย การประกัน Crypto มีความสำคัญก็ต่อเมื่อคุณพิจารณาถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนของ ระบบนิเวศของ Cryptocurrency เมื่อราคามีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Bitcoin และ Cryptocurrencies อื่น ๆ ได้ก่อให้เกิดมิจฉาชีพที่ต้องการจะขโมยเงินจำนวนมากในการซื้อกระเป๋าเงินออนไลน์และขโมยจากศูนย์ซื้อขายฯ ตลาด Cryptocurrency ได้รับการเปรียบเทียบกับ Wild West เนื่องจากขาดกฎระเบียบและยังเป็นอะไรที่ใหม่มากในสายตาของคนทั่วไป พวกเขาอนุญาตให้ทำธุรกรรมค่อนข้างรวดเร็ว ราคาถูกและมีผลประโยชน์มากมาย อย่างไรก็ตามก็มีข้อเสียเช่นกัน การขโมย Cryptocurrency เป็นความเสี่ยงอย่างมากที่ทุกคนยังกังวล
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1978
Finance
นักลงทุนควรซื้อกองทุนรวม B-TNTV ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กองทุนรวม B-TNTV ลงทุนในพันธบัตรที่มีระดับความน่าเชื่อถือสูง (High credit rating) ประมาณ 90% ของพอร์ตการลงทุน พันธบัตรมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง พันธบัตรมักมีราคาปรับตัวขึ้น การลงทุนในกองทุนรวม B-TNTV จึงช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม อย่างไรก็ตาม กองทุนรวม B-TNTV มีผลตอบแทนคาดหวัง (Expected return) ต่ำกว่าหุ้น นักลงทุนควรพิจารณาเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม B-TNTV เหตุผลเพิ่มเติม: ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง นักลงทุนมักมีความกังวลและต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน พันธบัตรมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น เพราะมีกระแสเงินสด (Cash flow) ที่คาดการณ์ได้ รัฐบาลและบริษัทใหญ่ๆ มักเป็นผู้ออกพันธบัตร ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง นักลงทุนมักจะขายหุ้นและซื้อพันธบัตร ส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้น กองทุนรวม B-TNTV ลงทุนในพันธบัตรที่มีระดับความน่าเชื่อถือสูง หมายความว่า มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ข้อควรระวัง: กองทุนรวม B-TNTV มีผลตอบแทนคาดหวัง (Expected return) ต่ำกว่าหุ้น นักลงทุนควรพิจารณาเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม B-TNTV นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวม B-TNTV เพิ่มเติม เช่น นโยบายการลงทุน ผลตอบแทนที่ผ่านมา ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมต่างๆ สรุป นักลงทุนควรซื้อกองทุนรวม B-TNTV ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน แต่ควรพิจารณาเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1983
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สงครามน้ำมันซาอุฯ คือปัจจัยที่ตลาดคาดไม่ถึง
null
ในประเทศซาอุดิอาระเบีย มีสงครามที่เกิดขึ้นกับน้ำมัน เป็นการประกาศสงครามที่มีผลให้ราคาน้ำมันทั่วโลกลดลงหนักมาก ทำให้ส่งผลกระทบต่าง ๆ มากมาย ในส่วนของประชาชน มีผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน ในส่วนของนักลงทุน จะส่งผลให้การลงทุนได้รับการขาดทุน ในส่วนของบริษัทมีสถานะทางการเงินเข้มแข็งก็จะไม่มีผลอะไรมากนัก แต่ถ้าเกิดกับบริษัทที่มีการเก็งกำไรผิดทาง ผลที่ตามมาก็คือการขาดทุนนั่นเอง แต่ที่หนักที่สุดก็คือ บริษัทใดที่มีหนี้ค้างอยู่ จะส่งผลกระทบให้บริษัทต้องล้มละลายและปิดตัวในที่สุด บทเรียนจากย่อหน้านี้ สงครามนำ้มันซาอุฯ คือปัจจัยที่ตลาดคาดไม่ถึง ไม่มีใครคาดว่าซาอุดิอาระเบีย จะประกาศสงครามราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาน้ำมันลดหนักทั่วโลก น้ำมันเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน จริงอยู่ที่ราคาน้ำมันลงเป็นผลบวกกับผู้ซื้อ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าทุก ๆ วันมีการทำสัญญาซื้อขายทั่วโลกเป็นหลายล้านสัญญา การเหวี่ยงของราคาน้ำมันในระดับนี้จะส่งผลให้นักลงทุน หรือกองทุนหลายกองต้องขาดทุนอย่างหนักทันที บริษัทที่เก็งกำไรไว้ผิดทางต้องรับขาดทุน … กรณีนี้ถ้าบริษัทมีสถานะทางการเงินเข้มแข็งก็น่าจะผ่านไปได้ แต่ประเด็นคือบริษัทส่วนใหญ่ก็มีหนี้ การลดลงอย่างกระทันหันของน้ำมันครั้งนี้อาจทำให้หลายบริษัทต้องปิดหรือผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโลกโดยรวม
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1985
Finance
ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เมื่อพิจารณาปัจจัยดังกล่าว - ระดับความเสี่ยงที่รับได้ - ระยะเวลาการลงทุน - เป้าหมายทางการเงิน
null
การปรับกลยุทธ์การลงทุนในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ มีข้อเสนอดังนี้ 1. ทบทวนเหตุผลของการลงทุน: พิจารณาว่าเหตุผลในการลงทุนของคุณยังอยู่หรือไม่ เป้าหมายระยะยาวของคุณยังคงเดิมหรือไม่ ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน 2. เรียนรู้ ทำการบ้าน เก็บเงินสด: ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดและสินทรัพย์ วิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาส เก็บเงินสดสำรองไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน 3. ลงทุนระยะยาว: มองข้ามความผันผวนระยะสั้น เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี รอคอยจังหวะซื้อสินทรัพย์ undervalued 4. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ลงทุนในหุ้นหลายกลุ่ม เลือกกองทุนรวมที่มีกลยุทธ์เหมาะสม 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หาคำแนะนำจากนักลงทุนมืออาชีพ เลือกผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ การปรับกลยุทธ์การลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้: 1. ระดับความเสี่ยงที่รับได้: - นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร รัฐบาล - นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง สามารถลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และกระจายความเสี่ยง - นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง แต่มีความเสี่ยงสูง 2. ระยะเวลาการลงทุน: - นักลงทุนระยะสั้น ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง - นักลงทุนระยะยาว สามารถลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโต 3. เป้าหมายทางการเงิน: - นักลงทุนควรตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน - เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: - DCA (Dollar Cost Averaging): ลงทุนเงินจำนวนเท่ากันเป็นประจำทุกงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น - VI (Value Investing): ลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง - Growth Investing: ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ข้อควรระวัง: - หลีกเลี่ยงการ "ช้อนหุ้น" ที่ตกลงมาแรง โดยไม่พิจารณาพื้นฐาน - ระวัง "หุ้นปั่น" - ไม่ลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ บทสรุป: การปรับกลยุทธ์การลงทุนในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรทำเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยง ลงทุนอย่างมีสติ ศึกษาข้อมูล และมีวินัย
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1987
Finance
การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: -ความผันผวนสูง: คริปโตเคอร์เรนซีมีราคาที่ผันผวนรุนแรง ตัวอย่างเช่น บิทคอยน์ (Bitcoin) อาจมีราคาขึ้นลง 1500 ดอลลาร์สหรัฐภายในหนึ่งวัน ความผันผวนนี้อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อนักลงทุนบางประเภท โดยเฉพาะผู้ที่มีความอดทนต่ำ หรือผู้ที่ต้องการเงินลงทุนในระยะสั้น -ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: คริปโตเคอร์เรนซียังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูง มีกรณีการโจรกรรมเหรียญคริปโตเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นักลงทุนควรมีความรู้และเข้าใจวิธีจัดเก็บเหรียญคริปโตอย่างปลอดภัย -ความเข้าใจตลาด: คริปโตเคอร์เรนซีเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ นักลงทุนควรมีความรู้และเข้าใจกลไกตลาด เทคโนโลยี และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง นักลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี: -นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง: นักลงทุนประเภทนี้ยอมรับความเสี่ยงสูง เข้าใจกลไกตลาด และสามารถทนต่อความผันผวนของราคาได้ -นักลงทุนที่มีระยะเวลาลงทุนระยะยาว: คริปโตเคอร์เรนซียังเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ นักลงทุนควรมีมุมมองระยะยาว และสามารถรอคอยการเติบโตของตลาดในอนาคต -นักลงทุนที่มีความรู้และเข้าใจตลาด: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เทคโนโลยี และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ข้อควรระวัง: -ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในคริปโตเคอร์เรนซี: นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ด้วย -ไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น: คริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรลงทุนด้วยเงินที่ไม่ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงิน -ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เทคโนโลยี และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สรุป: การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เข้าใจกลไกตลาด และสามารถทนต่อความผันผวนของราคาได้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน และไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในคริปโตเคอร์เรนซี
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1988
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ REIT
null
REIT คือ กองทรัสต์ที่ลงทุนในธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นสินทรัพย์แบบ 2 in 1 ที่มีทั้งในแง่ของการเติบโตและผลตอบแทน ต่างจากสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีในแง่ของการเติบโตอย่างเดียว REIT แปรผันตรงกับภาวะเศรษฐกิจ คือ ถ้าเศรษฐกิจดี ผลประกอบการก็จะดีตามไปด้วย ทำให้ราคาของ REIT เติบโตดีขึ้น และมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล แม้ยามภาวะเศรษฐกิจได้รับแรงกดดัน ก็ส่งผลกระทบที่ต่ำในราคาของ REIT นอกจากนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่สามารถจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ “REIT” หรือกองทรัสต์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทำไมต้อง REIT? สินทรัพย์แบบ 2 in 1 กลมกล่อม หากเทียบกับสินทรัพย์รูปแบบอื่นอย่างหุ้นคงเปรียบได้กับกาแฟขมๆ ขาดความนุ่มนวลกลมกล่อม เพราะส่วนใหญ่เล่นได้แค่ในแง่ของ “การเติบโต (Growth play)” เพียงอย่างเดียว แต่กลับกัน สินทรัพย์อย่าง REIT นั้นเป็นเหมือนกาแฟรสนุ่ม กลมกล่อม เพราะมีส่วนผสมทั้งในแง่ของ “Defensive play” และ “Growth play” ในถ้วยเดียวกัน ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตดี สินทรัพย์อย่าง REIT ก็จะมีผลประกอบการที่ดีตาม ส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์อย่าง REIT เติบโตขึ้น อีกทั้งยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้มากขึ้นด้วย (Growth play) และส่วนใหญ่จะมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกัน ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลงดังเช่นเศรษฐกิจไทยในตอนนี้ที่ถูกกดดันโดยการแข็งค่าของค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อที่ตํ่า จนทำให้ทางรัฐต้องลดดอกเบี้ย แต่ราคาของสินทรัพย์อย่าง REIT ได้รับผลกระทบในระดับที่ต่ำ และก็ยังสามารถจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ (Defensive play) ถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1991
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Crypto Trade Signals
null
Crypto Trade Signals คือ สัญญาณซื้อขายคริปโต เป็นสิ่งที่นำมาประกอบในการตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลตามสัญญาณที่เกิดจากการวิเคราะห์ในตรรกะ ซึ่งตรรกะที่ได้มานั้น จะต้องผ่านการวิเคราะห์โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน, การวิเคราะห์เชิงเทคนิค และการวิเคราะห์สภาวะของตลาดในปัจจุบัน นอกจากองค์ประกอบที่กล่าวมาแล้ว ตรรกะที่ได้นั้นจะอ้างอิงมาจากเครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคที่พิเศษมาก ๆ ยิ่งกว่าเครื่องชี้วัดปกติ ก็เพราะว่าจะนำมาซึ่งสัญญาณที่ดีและมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล บทเรียนจากย่อหน้านี้ สัญญาณซื้อขายคริปโต หรือ Crypto Trade Signals คืออะไรกันแน่ ? Crypto Trade Signals สามารถใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจหรือแม้กระทั่งตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลตามสัญญาณที่เกิดขึ้นเพราะมีการวิเคราะห์ตรรกะมาแล้วเป็นอย่างดี การวิเคราะห์ที่ใช้มาจาก 3 องค์ประกอบหลัก ๆ คือ 1. การวิเคราะห์พื้นฐาน 2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค 3.การวิเคราะห์อารมณ์ตลาดในปัจจุบัน เพื่อให้สัญญาณมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้อัลกอริทึมที่ใช้ยังมีการออกแบบมาโดยอ้างอิงจากเครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคอลที่พิเศษกว่ารูปแบบทั่วไป ทั้งหมดนี้เพื่อที่จะได้สัญญาณหรือคำแนะนำประกอบการตัดสินใจที่มีประโยชน์ต่อนักลงทุนในการลงทุนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ว่าเมื่อไหร่กันที่เขาควรซื้อ ถือ หรือขาย เพื่อที่จะปิดประตูเจ๊งและเร่งกำไรให้กับนักลงทุน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1993
Finance
Stanley Druckenmiller ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของ Fed ที่น่าสนใจในปี 2020 อย่างไรบ้าง
null
Stanley Druckenmiller ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของ Fed ที่น่าสนใจในปี 2020 ดังนี้ Stanley Druckenmiller มองว่าทาง Fed ดำเนินนโยบายได้อย่างไม่เหมาะสม โดยในปีที่ 2019 ที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง การกู้ยืมอยู่ในระดับตํ่า และเศรษฐกิจยํ่าแย่ ทาง Fed กลับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงทำ Quatitative tightening (ดำเนินนโยบายอย่างรัดกุม) ซะอย่างนั้น กลับกันในปี 2020 การกู้ยืมปรับตัวขึ้น, บริษัท IPO ผุดขึ้นมา ทาง Fed กลับลดดอกเบี้ย มุมมองที่น่าสนใจเป็นอย่างมากอีกหนึ่งมุมมองก็คือ ประธานาธิบดีในขณะนั้นอย่าง Donald Trump อาจกดดันการดำเนินนโยบายของ Jerome Powell ถึงแม้ว่า Powell จะเคยยืนกรานว่า “ จะดำเนินนโยบายตามสมควร” โดยพูดทิ้งท้ายติดตลกว่า “Jerome Powell เหมือน Jenet Yellen (ประธาน Fed คนเก่า) ในเวอร์ชั่นที่อ่อนกว่า การดำเนินนโยบายของ Fed สมัยนี้ไม่ห้าวหาญเอาซะเลย” โดยรวมมองว่าทาง Jerome Powell จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยและไม่ลดเช่นกัน (คงที่) ในปี 2020 อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจก็คือ Stanley กล่าวไว้ว่า “การดำเนินนโยบายในยุคปัจจุบันมันช่างยากที่จะลงเงินแล้วพนันไปกับมัน” รวมถึงทิ้งท้ายติดตลกไว้ว่า “อย่าตาม Fed เพราะการกระทำของ Fed มันผิดมากๆ”
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1996
Finance
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยงของราคาหุ้น: หุ้นปันผลก็มีความเสี่ยงของราคาหุ้นเช่นเดียวกับหุ้นประเภทอื่น แม้จะจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แต่ราคาหุ้นอาจจะลดลงได้ ความผันผวนของตลาด: ตลาดหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนควรมีระยะเวลาลงทุนระยะยาว ความรู้และความเข้าใจ: นักลงทุนควรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทและกลยุทธ์การลงทุน ตัวอย่าง - นักลงทุนที่ต้องการเงินลงทุนระยะสั้น: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผลอาจไม่เหมาะสม เพราะราคาหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ - นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล อาจไม่เหมาะสม เพราะผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าหุ้นประเภทอื่น - นักลงทุนที่ไม่มีความรู้และความเข้าใจ: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล อาจไม่เหมาะสม เพราะนักลงทุนอาจเลือกหุ้นที่ไม่ดี ข้อดีของกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล: - สร้างรายได้สม่ำเสมอ: นักลงทุนจะได้รับเงินปันผลเป็นประจำ - ลดความเสี่ยง: หุ้นปันผล มักมีปัจจัยพื้นฐานดี - ลงทุนระยะยาว: เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว ข้อเสียของกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล: - ผลตอบแทนอาจไม่สูง: ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าหุ้นประเภทอื่น - ราคาหุ้นมีความผันผวน: ราคาหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ - ความรู้และความเข้าใจ: นักลงทุนควรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทและกลยุทธ์การลงทุน สรุป: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยง และลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรมี knowledge และ understanding หมายเหตุ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผล เป็นเพียงกลยุทธ์การลงทุนหนึ่งในหลาย ๆ กลยุทธ์ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง คำแนะนำ: - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน - นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว - นักลงทุนควรลงทุนระยะยาว
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1997
Finance
ควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการตัดสินใจซื้อบ้าน โดยคำนึงถึงทั้งการออมเงินและราคาบ้านที่ rising อย่างรวดเร็ว?
null
กลยุทธ์ในการตัดสินใจซื้อบ้าน โดยคำนึงถึงทั้งการออมเงินและราคาบ้านที่ rising อย่างรวดเร็ว มีดังนี้: 1. ประเมินสถานะทางการเงิน: ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายของคุณ พิจารณาว่าสามารถผ่อนชำระค่าบ้านไหวหรือไม่ ตรวจสอบ credit score ของคุณ คะแนนเครดิตที่ดีจะช่วยให้คุณกู้เงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เตรียมเงินดาวน์ให้เพียงพอ เงินดาวน์ที่มากขึ้น จะช่วยลดจำนวนเงินกู้และภาระผ่อนชำระ 2. ศึกษาข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์: ศึกษาแนวโน้มราคาบ้านในพื้นที่ที่คุณสนใจ เปรียบเทียบราคาบ้านจากโครงการต่างๆ พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ขนาด สิ่งอำนวยความสะดวก การเดินทาง 3. วางแผนการออม: ตั้งเป้าหมายการออมเงินสำหรับซื้อบ้าน จัดสรรเงินออมอย่างสม่ำเสมอ พิจารณาลงทุนเงินออมเพื่อเพิ่มผลตอบแทน 4. พิจารณากลยุทธ์การซื้อบ้าน: ซื้อบ้านมือสอง: บ้านมือสองมักมีราคาถูกกว่าบ้านมือหนึ่ง ซื้อบ้านพร้อมผู้เช่า: การมีผู้เช่าจะช่วยผ่อนภาระค่าผ่อนชำระ ซื้อบ้านร่วมกับผู้อื่น: การซื้อบ้านร่วมกับผู้อื่น จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษานักวางแผนการเงิน เพื่อวางแผนการเงินและการออม ปรึกษานายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อหาบ้านที่เหมาะกับความต้องการ การตัดสินใจซื้อบ้านเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ กลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อบ้านได้อย่างชาญฉลาด โดยคำนึงถึงทั้งการออมเงินและราคาบ้านที่ rising อย่างรวดเร็ว เพิ่มเติม: การรอซื้อบ้านอาจทำให้ราคาบ้านพุ่งสูงเกินเอื้อม แต่การรีบซื้อบ้านโดยไม่มีการวางแผน อาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงิน ควรหาจุดสมดุลระหว่างการออมเงินและการซื้อบ้าน การออมเงินช่วยให้คุณมีเงินดาวน์ที่มากขึ้น และสามารถผ่อนชำระค่าบ้านได้เร็วขึ้น การซื้อบ้านเร็วเกินไป อาจทำให้คุณไม่มีเงินออมสำรอง เผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1999
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยในการพิจารณาเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
null
สำหรับปัจจัยในการพิจารณาเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล จะมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง อย่างแรกที่เราต้องมีเลยคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการวิเคราะห์เพื่อดูแนวโน้มของราคาของสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างที่สอง คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นการวิเคราะห์เพื่อดูสิ่งที่จะผลักดันราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลให้เพิ่มสูงขึ้น และอย่างสุดท้ายก็คือ การวิเคราะสภาพของตลาด เป็นการวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบจิตวิทยาของคนที่เข้ามาลงทุนว่ามีทิศทางไหน ดังนั้นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีประสิทธิภาพที่ดีได้ ต้องมาจากการวิเคราะห์จากปัจจัยทั้งสามอย่างนี้ค่ะ บทเรียนจากย่อหน้านี้ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล คือหนทางเดียวที่จะเอาชนะตลาดนี้ได้ การจะใช้แค่เพียงการคาดเดาว่าสกุลเงินดิจิทัลตัวใดจะร้อนแรงและมีมูลค่ามากกว่าตัวอื่นนั้น ทำได้ยากมาก ๆ เนื่องจากความไม่แน่นอนของโครงการรวมถึงความผันผวนของราคาเหรียญที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงพริบตา นักลงทุนเองจึงต้องอาศัย 3 ปัจจัยในการพิจารณาเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล 1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อจับจังหวะการซื้อขาย เพื่อดูแนวโน้มของราคา 2. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อดูสิ่งที่จะมาขับเคลื่อนและเป็นปัจจัยในการผลักดันราคาให้เพิ่มสูงขึ้น 3. การวิเคราะสภาพตลาดหรืออารมณ์ตลาด เพื่อตรวจสอบจิตวิทยาของผู้อื่นที่เข้ามาลงทุนว่าคนส่วนใหญ่มองไปในทิศทางไหน ความโลภหรือความกลัวที่กำลังครอบงำตลาดอยู่ในตอนนี้ หากพิจารณาทั้ง 3 ปัจจัยประกอบกัน เชื่อว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะปลอดภัยและมีประสิทธิเพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการวิเคราะห์และค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ก็ยังเป็นงานที่เหนื่อยพอสมควร แต่เชื่อว่ามันคุ้มค่าแน่นอนหากตั้งใจกับมัน ในปัจจุบันก็ยังมีบริการให้คำแนะนำด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการคาดการณ์อนาคตเกี่ยวกับเหรียญต่าง ๆ ให้เลือกใช้บริการอยู่มากมาย แต่อย่าลืมว่า ควรใช้เป็นส่วนประกอบในการพิจารณาเข้าลงทุนเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด ประสบการณ์จึงมีความสำคัญอย่างมากในการพิจารณาที่จะเข้าซื้อ ถือ หรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2000
Finance
การลงทุนในหุ้นกับความรัก เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
null
ถ้าเปรียบเทียบการลงทุนกับความรัก การเลือกหุ้นสักตัวอาจจะเหมือนการเลือกคนรักที่เราจะอยู่ด้วยไปตราบนานเท่านาน การซื้อแล้วถือหุ้นเหมือนการแต่งงาน จะต่างกันตรงที่ในการแต่งงานจริงเราแต่งแล้วอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่สำหรับหุ้นเราจะขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน เราคาดผิด หรือเราเจอหุ้นที่ดีกว่าแล้วมีเงินไม่พอ ดังนั้นถ้าเปรียบเทียบการลงทุนเหมือนกับความรักแล้ว การเลือกหุ้นสักตัวเราก็ควรศึกษาให้เข้าใจบริษัทในทุกแง่ทุกมุม เหมือนเราคบหาดูใจกับคนรักให้รู้จักกันจริงๆ ก่อนจะแต่งงาน อาจจะต้องใช้เวลา ความพยายามและความอดทนมาก แต่ก็จะทำให้เรามั่นใจจริงๆ และสามารถถือหุ้นบริษัทได้อย่างสบายใจเหมือนกับการอยู่กับคนที่เราเลือกมาแล้วอย่างดีนั่นเอง ขั้นตอนแรก เวลาเราจะเลือกใครสักคนเราก็ต้องไปจีบเขาถูกไหม แต่ก่อนจะจีบเราก็น่าจะมีจุดที่เราประทับใจคนคนนั้นก่อน การที่เราประทับใจใครสักคนก็อาจจะมาจากหลายๆ สาเหตุ เช่น เราไปเที่ยวกับเพื่อนเราแล้วเจอเพื่อนของเพื่อนที่สวยน่ารักมากแล้วเราถูกใจ เราเจอสาวสวยน่ารักคนหนึ่งตอนเรากำลังขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านทุกวันจนอยากจะรู้จักกัน เราถูกใจสาวดาวคณะที่ใครๆ ก็อยากจีบ หรือสำหรับบางคนอาจจะเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมาแล้ววันหนึ่งเราพบว่าเราไม่ได้อยากจะเป็นแค่เพื่อนแล้วก็ เลยตัดสินใจขอเปลี่ยนสถานะ สำหรับหุ้น การที่เรารู้จักหุ้นสักตัวอาจจะมาจากการที่เราถามเพื่อนแล้วเพื่อนแนะนำหุ้นเด็ดมาให้ การค้นพบหุ้นจากกิจการที่เราใช้บริการทุกวันแล้วพบว่าคนซื้อของเขาเยอะมาก เราเลยสนใจว่าบริษัทอยู่ในตลาดหุ้นไหม ไม่ก็อาจจะเป็นหุ้นดังที่ใครต่อใครพูดถึง หรือเราทำงานแล้วพบว่าเรามีความสุขในการทำงานดี กิจการบริษัทก็ดีวันดีคืน แล้วพอดีบริษัทเราเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีก แบบนี้เราก็อาจจะอยากเปลี่ยนสถานะจากแค่พนักงานเป็นเจ้าของกิจการบางส่วน ผ่านการถือหุ้นของบริษัทก็ได้ เมื่อเริ่มประทับใจแล้วก็ต้องทำความรู้จักกันเพิ่มขึ้น ปกติเวลาเราอยากรู้จักใครมากขึ้นก็อาจจะหาทางเข้าไปทำความรู้จัก อาจจะให้เพื่อนแนะนำให้ เดินเข้าไปลองถามเวลาหรือเส้นทางแล้วหาทางคุยยาวๆ ต่อ ไปซื้อบัตรจับมือ หรือเริ่มคุยแบบเพื่อนไปก่อนแต่ก็ดูท่าทีและแสดงออกบ้างว่าเราสนใจเขา เป็นต้น สำหรับหุ้นเวลาเราอยากจะทำความรู้จักมากขึ้นอาจจะง่ายกว่านั้นมาก เพราะสามารถดูข้อมูลบริษัทหลายๆอย่างได้จาก Factsheet ที่รวบรวมข้อมูลโดยสรุปในหน้าเดียวของหุ้นไว้ ทั้งลักษณะธุรกิจ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ รายชื่อคณะกรรมการบริษัท วันที่เข้า IPO ราคา PAR งบการเงินแบบ สรุป (แต่ก็สามารถดูตัวเต็มเพิ่มได้ด้วย) อัตราส่วนทางการเงินแบบคร่าวๆ และข้อมูลเบื้องต้นอื่นๆ พอจะทำให้เราได้ทำความรู้จักกับบริษัทที่เราสนใจได้ดีมากขึ้น พอเริ่มทำความรู้จักแล้วขั้นต่อไปคือทำความคุ้นเคยและศึกษากันในเชิงลึกมากขึ้น ถ้าเป็นคนที่เราจีบก็อาจจะลองคุยกันบ่อยๆ หาเวลาไปทานข้าว ดูหนัง หรือไปเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น สำหรับหุ้นการรู้จักกันในเชิงลึกขึ้นก็อย่างเช่น ลองหารายงานประจำปี หรือ แบบ 56-1 มาลองอ่านดู ในนี้บอกเรื่องราวทุกอย่างของบริษัท เช่น ลักษณะของธุรกิจ รายได้และกำไรในปีล่าสุดเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราส่วนรายได้และกำไรของบริษัทตามธุรกิจที่มี เช่น บริษัทสร้างบ้านก็มีรายได้จากการสร้างบ้านขาย แต่ก็มีรายได้จากส่วนที่ทำเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ให้เช่าด้วย เป็นต้น ส่วนนี้จะบอกถึงว่าบริษัทมีการกระจายความเสี่ยงของรายได้หรือไม่ และรายได้ส่วนไหนส่งผ่านมาเป็นกำไรมากกว่ากัน
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2003
Finance
บทเรียนที่คุณได้รับจากการขาดทุนหลักสิบล้าน
null
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนที่เริ่มต้นมาก็คล้ายๆ กับทุกคนคือ เป็นนักลงทุนที่มีความ “ฝัน” เข้าตลาดหุ้นมาเพราะอยากรวยเร็ว แต่แล้วเหตุการณ์มักจะไม่เป็นไปตามที่คาดคิด เหมือนนักลงทุนส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาในวงการก็ต้องจ่าย “ค่าครู” ก่อนที่จะได้พบกับความสำเร็จ ค่าครูรอบนั้นเป็นเงินหลักสิบล้านที่ขาดทุนจากการเล่นหุ้นสื่อฯ ตัวหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน หุ้นสื่อฯ ตัวนั้นเป็นหุ้นที่กำลังร้อนแรงจาก Story การ Turnaround ธุรกิจ มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารใหม่ และผลประกอบการก็กำลังอยู่ในขาขึ้น แต่แล้วเหตุการณ์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หุ้นตัวนั้น ประกาศเข้าลงทุนธุรกิจทีวีดิจิตอล ส่งผลให้ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนัก จากเลข 2 หลัก ลงไปเหลือ 1 หลัก และสุดท้ายลงไปเหลือหลัก “สตางค์” สุดท้ายตัวเขารอดชีวิตมาจากหุ้นตัวนี้ได้ ไม่ถึงกับ “หมดตัว” แต่ก็ต้องรับความผิดพลาดจากความ “โลภ” และความ “ไม่รู้” ของตนเอง จ่ายค่าครูเป็นจำนวนเงินมหาศาล บทเรียนในครั้งนั้นได้สร้างเป็นกฎเหล็กของการลงทุนไว้ ขอนำมาแชร์ไว้ในพื้นที่ตรงนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับนักลงทุนคนอื่นๆ เรียนรู้จากความผิดพลาด และไม่ตกลงใน “กับดัก” ของตลาดทุนอันโหดร้าย 1. อย่ายุ่งกับไฟ หุ้นตัวนั้นมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เรียกได้ว่าเป็น “ตัวพ่อ” ในวงการ ชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่วิกฤตปี ’40 เขาเอาตัวรอดมาได้ แต่หุ้นที่เขาเคยถือนั้นปัจจุบันแทบไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ นักลงทุนหลายคนต้องจบชีวิตเพราะเขา ในวันแถลงข่าวเขาคนนั้นก็อยู่ในงานด้วย ถึงกระนั้นด้วยความโลภที่บังตา นักลงทุนยังเชื่อว่า “เขาคนนั้น” ได้กลับตัวแล้ว … แต่ผลก็เป็นอย่างที่เห็น บทเรียนแรกของบทความนี้คือ อย่ายุ่งกับไฟ เพราะต่อให้คุณจะเก่งแค่ไหนก็อาจจะพลาดได้เสมอ แต่ถ้าคุณไม่เก่งคุณอาจจะถูกไฟคลอกตายทั้งเป็น 2. มีสติ อย่าโลภ คนเรามักจะมั่นใจในตัวเองมากเกินไป เมื่อเราประสบความสำเร็จหลายๆ ครั้ง ติดต่อกัน ซึ่งในความเป็นจริงมันอาจจะเป็นเพียงโชคชะตาที่เล่นตลก แค่ชั่วคราวก็เป็นได้ อย่าให้โชคชะตาแปรเปลี่ยนเป็นความหายนะ การลงทุนต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา และมองโลกด้วยความเป็นจริง หุ้นเมื่อมีขึ้นย่อมต้องมีลง ความเก่งกาจของนักลงทุนหลายๆ ครั้งไม่ได้วัดกันที่ “ขาขึ้น” ว่าได้ไปเท่าไหร่ แต่วัดกันที่ “ขาลง” ว่าเสียไปเท่าไหร่มากกว่า คุณอาจกำไร 100% ใน 3 ปี แต่ถ้าคุณขาดทุน 80% ในปีถัดมา คุณจะแทบไม่มีอะไรเหลือเลย ต้องทำกำไร 150% เพื่อให้เท่าทุน และต้องทำกำไรถึง 400% เพื่อให้กลับอยู่ที่เดิมที่เคยกำไร ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมาก 3. อย่าซื้อหุ้นด้วยอารมณ์ และตัดสินใจถือต่อด้วยหลักการ หลายคนซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรโดยไม่ได้ศึกษาข้อมูล แต่พอติดดอยเมื่อไหร่ เป็น “วีไอ” ขึ้นมาทันที มีเซียนคนหนึ่งเคยบอกว่า เราซื้อหุ้นด้วยเหตุผลอะไร ก็ควรขายด้วยเหตุผลเดียวกัน ซื้อเพื่อเก็งกำไร ถ้าขาดทุนก็ควรต้อง Cut loss ไม่ใช่ถือต่อแล้วก็บอกว่าพื้นฐานยังดี รอจนสายไปก็โดนไปหลายล้าน 4. เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตนเองรู้ อย่าคิดว่าเราเข้าใจทุกอย่างดีทั้งหมด เพราะในบางครั้งแม้แต่ตัวผู้บริหารบริษัทซึ่งรู้ข้อมูลบริษัทตัวเองดี ยังบอกไม่ได้ว่าราคาหุ้นควรเป็นเท่าไหร่ เราเป็นนักลงทุนข้างนอก ไม่ได้มีข้อมูลภายใน แต่กลับบอกได้ว่าหุ้นควรจะวิ่งไปราคาเท่าไหร่? มันแปลกไปไหม … สุดท้ายตลาดนี่แหละที่เป็นคนตัดสินว่าใครควรแพ้ไป และใครควรได้ไปต่อ 5. ไม่ขาย ไม่ขาดทุน มีแค่ในฝัน หุ้นที่ดีซื้อแล้วต้องขึ้น แต่คนมักจะถือหุ้นที่ลงเก็บไว้ แล้วขายหุ้นที่ขึ้นทำกำไรทิ้งไป แล้วก็มาบอกว่าไม่ขาย ยังไม่ขาดทุน แน่นอนถ้าหุ้นตัวนั้นดีอาจจะกลับมาได้และไม่ขาดทุนจริงๆ ประเด็นอยู่ที่ว่า แล้วหุ้นในตลาดไทยมี “หุ้นดี” แบบนั้นมากแค่ไหน? จะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นที่เราถืออยู่ถือหุ้นดี ถ้าไม่ได้มีข้อมูลมากเพียงพอ ตัดใจขายแล้วยอมรับขาดทุน เพื่อมาเริ่มต้นใหม่ ดีกว่าต้องช้ำใจอยู่กับหุ้นแย่ๆ ไปอีกแรมปี
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2004
Finance
ขอแนวคิดของเรื่อง "เบื้องหลังสมองของบิล: สัมผัสด้วยวิสัยทัศน์"
null
"Inside Bill’s Brain" เป็นซีรีส์สารคดีที่ออกอากาศบน Netflix ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างภาพรวมเกี่ยวกับชีวิตและความคิดของบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งของไมโครซอฟท์และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งของมูลนิธิและธุรกิจต่าง ๆ ที่มีผลกระทบอย่างมากในโลกเทคโนโลยีและสังคมในสมัยนี้ แนวคิดหลักของ "Inside Bill’s Brain" คือการสำรวจและตีความเกี่ยวกับกระบวนการคิดของบิล เกตส์ ว่าเขาเป็นอย่างไร วิสัยทัศน์และความเชื่อของเขาเป็นอย่างไร โดยใช้วิธีการสัมผัสและการสัมภาษณ์กับบิล เกตส์เอง รวมถึงบุคคลในวงการและครอบครัวของเขา เพื่อให้เกิดภาพคร่าวๆ ของวิธีการคิดและการทำงาน นอกจากนี้ "Inside Bill’s Brain" ยังสร้างแนวคิดเกี่ยวกับการเป็นผู้นำและการสร้างองค์กรใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งมองเห็นได้จากความสำเร็จของไมโครซอฟท์และกิจกรรมที่มูลนิธิที่เขาก่อตั้งได้ทำ เช่นมูลนิธิเกตส์ มูลนิธิที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญในโลก เช่น การสร้างสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยการผสมผสานระหว่างการสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นวิธีการที่เข้าถึงข้อมูลจากแหล่งที่มีนักวิจัยต่างๆ และภาพยนตร์ที่สวยงามและน่าสนใจ ซีรีส์นี้สร้างความสนใจและแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมที่สนใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับบริบทที่แตกต่างของการคิดและการปฏิบัติของผู้นำที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจและการกุศลอย่างบิล เกตส์
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2009
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Leverage Buyout
null
Leverage Buyout คือ การกระทำของผู้บริหารที่กู้เงินมาเทคโอเวอร์บริษัทซึ่งไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่มาควบคุมบริษัท เป็นการปลดปล่อยคุณค่าหุ้นจากผู้บริหารบริษัทที่รู้คุณค่าของหุ้นจริง ๆ โดยจะสามารถทำได้นั้น ต้องขึ้นอยู่กับมูลค่าพื้นฐานของบริษัทที่สูงกว่าราคาหุ้น เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยเงินกู้ให้ผู้บริหารเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดอย่างเพียงพอ เมื่อซื้อหุ้นได้แล้ว ผู้บริหารจะปล่อยทรัพย์สินให้ตนเอง บทเรียนจากย่อหน้านี้ การปลดปล่อยคุณค่าของหุ้นที่ทำโดยผู้บริหารบริษัทที่มักจะรู้คุณค่าหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นจริงอีกแบบหนึ่งก็คือการที่ผู้บริหารทำ Leverage Buyout หรือผู้บริหารกู้เงินมาเทคโอเวอร์บริษัทที่ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่อื่นที่ควบคุมบริษัทอยู่ การทำแบบนี้ได้ก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าพื้นฐานของกิจการที่ต้องสูงมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินยอมปล่อยเงินกู้ให้กับผู้บริหารเพียงพอที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท เมื่อซื้อหุ้นได้ทั้งหมดแล้ว ผู้บริหารก็มักจะต้องปลดปล่อยทรัพย์สินออกมาให้กับตนเอง เช่นจ่ายปันผลมโหฬารให้กับตนเองที่เป็นผู้ถือหุ้นเพื่อไปคืนหนี้ หรือขายทรัพย์สินบางส่วนที่ขายได้ง่ายเพื่อนำเงินนั้นมาจ่ายคืนหนี้ด้วย การทำ Leverage Buyout นั้น เพื่อที่จะดึงดูดให้นักลงทุนเทนเดอร์หรือขายหุ้นให้กับผู้บริหาร เขาก็มักจะต้องเสนอราคาค่อนข้างสูงในระดับ 50% บวกเหนือราคาตลาดในขณะนั้น และนี่ก็เป็นการปลดปล่อยคุณค่าหุ้นได้ค่อนข้างมาก ในตลาดหุ้นไทยนั้นยังมีกรณีแบบนี้ไม่มากแต่ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2015
Finance
กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้นที่ถูก Disrupt หรือไม่ จงอธิบาย
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) นั้น อาจจะ เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้นที่ถูก Disrupt ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เหตุผลที่ VI อาจจะเหมาะสม: VI มุ่งเน้นไปที่การซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐาน: หุ้นที่ถูก Disrupt มักมีราคาตกลงมาอย่างมาก VI มองหุ้นที่มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง: ถึงแม้ว่าธุรกิจจะถูก Disrupt แต่หากยังมีจุดแข็งและสามารถปรับตัวได้ ก็อาจจะกลับมาเติบโตได้ VI มองระยะยาว: การ Disrupt มักใช้เวลา อย่างไรก็ตาม VI จำเป็นต้อง: วิเคราะห์อย่างละเอียด: ประเมินความรุนแรงของ Disruption ศักยภาพของธุรกิจในการปรับตัว ระยะเวลาที่ธุรกิจจะกลับมาเติบโต อดทนรอ: หุ้นที่ถูก Disrupt อาจจะใช้เวลานานกว่าหุ้นทั่วไปในการกลับมาเติบโต ตัวอย่าง: หุ้นธนาคาร: ถูก Disrupt จาก Fintech แต่ยังมีธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง หุ้นค้าปลีก: ถูก Disrupt จาก e-Commerce แต่ยังมีจุดแข็งในเรื่องหน้าร้านและสินค้าเฉพาะกลุ่ม ข้อควรระวัง: ไม่ใช่ทุกหุ้นที่ถูก Disrupt จะกลับมาเติบโต: ธุรกิจบางประเภทอาจจะถูก Disrupt จนหายไป บางธุรกิจอาจจะใช้เวลานานมาก การวิเคราะห์หุ้นที่ถูก Disrupt นั้นยาก: จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์ ข้อมูลบางประเภทอาจจะหายาก สรุป: VI อาจจะเหมาะกับการลงทุนในหุ้นที่ถูก Disrupt แต่ต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด อดทนรอ และรับความเสี่ยงได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2018
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540
null
การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 จะมีแค่คนเล่นหุ้นระดับบิ๊ก ๆ ที่เข้ามาหาเงินจากตลาดหุ้น และนักลงทุนรายย่อยที่ชอบเก็งกำไรหรือไม่ก็ชอบเล่นการพนัน ส่วนคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นในสมัยนั้นยังไม่ค่อยมี ในสมัยนั้นการเล่นหุ้นก็คือ การอ่านข่าวสารที่เป็นกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ และ ข้อมูลภายในที่เกี่ยวกับผลประกอบการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลที่ได้มาจากนักลงทุนรายใหญ่อีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ สมัยก่อน คือช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 เป็นเวลา 22 ปี นั้น คนที่ “ลงทุนในตลาดหุ้น” นั้น แทบจะเรียกว่าไม่มี มีแต่คน “เล่นหุ้น” ที่เป็น “รายใหญ่” หน่อยก็มักเป็นคนทำธุรกิจที่ชอบเก็งกำไรและมีเงินมากหน่อยก็จะเข้ามาเล่นหาเงินจากตลาดหุ้น นักลงทุนที่เหลือก็คือนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยที่มักจะเป็นแม่บ้านหรือคนที่ชอบเก็งกำไรหรือเล่นการพนัน คนที่เป็นพนักงานบริษัทที่จะเล่นหุ้นนั้นจะมีก็แต่คนที่อยู่ในวงการการเงินและหลักทรัพย์ การเล่นหุ้นนั้นมักจะอาศัยข่าวสารข้อมูลที่เป็นเรื่องของภาพใหญ่และเหตุการณ์และกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ “ข้อมูลภายใน” เกี่ยวกับผลประกอบการและการเข้ามาเล่นของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลขับเคลื่อนราคาหุ้นได้
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2021
Finance
ประโยชน์ของตราสารอนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยง มีอะไรบ้าง
null
ประโยชน์ของตราสารอนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยง 1. สำหรับนักลงทุนทั่วไป นักลงทุนทั่วไปสามารถนำตราสารอนุพันธ์มาลดผลการขาดทุนจากการลงทุนได้ โดยวิธีการใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงอาจจะเข้าใจยาก ตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อหุ้น X ไว้ที่ราคา 10 บาท เพราะหวังว่าราคากำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 บาท แล้วก็จะได้กำไร 20% แต่สมมติว่าราคาหุ้นเกิดลดลงเป็น 8 บาท ก็จะขาดทุน 20% ดังนั้น ถ้าอยากจะลดความเสี่ยงในการลงทุนครั้งนี้ อาจจะซื้อหุ้น X พร้อมกับทำสัญญา Futures ขายหุ้น X ที่ราคา 12 บาทไว้ หรือเรียกอีกแบบคือซื้อ Put Option (สิทธิ์ในการขาย) หุ้น X ไว้ที่ราคา 12 บาท ต่อให้มูลค่าหุ้น X จะลดลงเป็น 8 บาท ก็จะได้กำไรจาก Futures หรือ Option มาชดเชยที่เสียไป คือ ขาดทุนจากการขายหุ้น X ในตลาดหุ้นทั้งหมด 20% (ซื้อมา 10 บาท ขายได้แค่ 8 บาท) แต่ได้กำไรจากตลาด TFEX 20% มาชดเชย (ซื้อมา 10 บาท ขายให้กับคู่สัญญา 12 บาท) ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูสัดส่วนอีกที ว่าแบ่งระหว่างซื้อหุ้นปกติกับซื้อสัญญาอย่างไร ถ้าทำสัญญาไว้ในสัดส่วนที่น้อยกว่า ก็จะขาดทุนนิดหนึ่งในช่วงเวลาที่หุ้นตก นั่นหมายความว่าหากสัดส่วนเท่ากันระหว่างซื้อหุ้นปกติ กับซื้อสัญญา ก็จะหมายความว่าจะไม่ได้ทั้งกำไรทั้งขาดทุน 2. สำหรับนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนสถาบันที่ต้องจ่ายเงินคืนให้กับผู้ที่ลงทุนในกองทุนในกำหนดเวลาแน่นอน เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Provident Fund, PVD) ก็สามารถใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อรับประกันว่าจะมีเงินก้อนมากพอที่จะมาจ่ายให้ผู้ลงทุนได้ในกำหนดเวลา เช่น กอง PVD กองหนึ่งต้องการใช้เงิน 1,000 ล้านบาทในอีก 1 ปี เพราะจะมีผู้อยู่ในกองทุนที่ครบอายุการลงทุน (อายุ 55 ปี) แล้วจะถอนเงินออกจากกองทุน แต่ผู้จัดการกองทุนไม่แน่ใจว่าราคาหุ้นในอีก 1 ปีจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงทำให้อาจจะไม่สามารถจ่ายเงินให้ผู้ลงทุนได้ตามจำนวน 1,000 ล้านบาทได้ถ้าราคาหุ้นลดลง ผู้จัดการกองทุน PVD จึงอาจจะซื้อตราสารอนุพันธ์ไว้ในจำนวนหนึ่งเพื่อตรึงราคาขายของหุ้นไว้ที่ราคาปัจจุบันเพื่อให้ได้เงิน 1,000 ล้านบาทตามที่ต้องการในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องกังวลว่าราคาหุ้นจะลดลง เป็นต้น 3. สำหรับผู้ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก สำหรับผู้ทำธุรกิจที่ต้องนำเข้าหรือส่งออก ก็สามารถนำตราสารอนุพันธ์มาใช้ประโยชน์ในการควบคุมต้นทุนการนำเข้า (กรณีเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า) หรือรักษารายได้จากการส่งออกสินค้า (กรณีเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า) ได้เช่นกัน โดยการทำการซื้อตราสารอนุพันธ์ของอัตราแลกเปลี่ยนไว้บางส่วน เป็นต้น
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2025
Finance
ถ้าอยากประหยัดขึ้น ไม่อยากใช้เงินเยอะเกินความจำเป็น ต้องทำอย่างไร
null
ถ้าอยากประหยัดขึ้น ไม่อยากใช้เงินเยอะเกินความจำเป็น ก็ต้องรู้ทันความคิดตัวเองอยู่เสมอ ช่วงแรกการหักห้ามใจอาจจะทำได้ยาก แต่ถ้าฝึกทำให้ได้บ่อยๆ ก็จะหักห้ามใจได้ง่ายขึ้น ทุกครั้งที่เกิด “ความอยาก” ลองถามตัวเองดูว่า สิ่งที่กำลังจะจ่ายเงินซื้อมันมีประโยชน์กับตนเองจริงๆ หรือไม่ มันจำเป็นกับตนเองจริงๆ หรือไม่ หรือมันแค่ความสุขชั่วคราว และกำลังจะส่งผลร้ายในอนาคต อย่าลืมว่า “สิ่งที่ให้ความสุข” ไม่ใช่ “สิ่งที่จำเป็น” เสมอไป ถ้าอยากเก็บเงินให้ได้เยอะขึ้น อย่าเชื่อสมองของตัวเองมาก ถ้ามีสติ แล้วแยกแยะได้ว่าสิ่งที่กำลังอยากอยู่ตอนนี้ มันจำเป็นกับตนเองจริงๆ หรือเป็นแค่การไล่ตามความสุขระยะสั้น ก็จะสามารถควบคุมชีวิตของตนเองได้ดีขึ้น รวมถึงเรื่องการเงินก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะได้เปลี่ยนจากการมองหาความสุขแบบเร่งด่วน (instant gratification) ให้กลายเป็นการมองหาความสุขในระยะยาว (delayed gratification) เรียบร้อยแล้ว จริงอยู่ที่ไม่สามารถกำจัดความอยากซื้อนู่นซื้อนี่ออกไปจากสมองได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สมองจะบอกให้ไล่ตามความสุขอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้ถ้าอยากให้ชีวิตดีขึ้น คือ ต้องมีสติ แยก “สิ่งที่ให้ความสุข” กับ “สิ่งที่จำเป็น” ออกจากกันให้ได้
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2030
Finance
รูปแบบราคา Ascending Triangle กับ Descending Triangle บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา (Trend Reversal) หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. รูปแบบราคา Ascending Triangle และ Descending Triangle เป็นรูปแบบราคา "การต่อเนื่องของแนวโน้ม" (Trend Continuation) ไม่ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา เกิดขึ้นใน "ขาขึ้น" (Bullish Trend) โดยมีแนวต้านเป็นเส้นแนวนอน และแนวรับลาดขึ้น ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะ " breakout ขึ้น" ไปต่อ 2. รูปแบบ Descending Triangle เกิดขึ้นใน "ขาลง" (Bearish Trend) โดยมีแนวรับเป็นเส้นแนวนอน และแนวต้านลาดลง ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะ " breakout ลง" ไปต่อ ทั้งสองรูปแบบ "ไม่ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา" เพียงแต่บอกถึง "การพักตัว" ของราคา ก่อนที่จะกลับมา "เคลื่อนที่ต่อในแนวโน้มเดิม" รูปแบบ Ascending Triangle และ Descending Triangle อาจจะ "พลิกกลับ" เป็นรูปแบบ "การเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา" ได้ แต่ต้องมี "สัญญาณยืนยันเพิ่มเติม" เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น หรือการ breakout ผ่านแนวต้าน/แนวรับ ตัวอย่าง: -Ascending Triangle: ราคาหุ้น XYZ อยู่ในขาขึ้น และสร้างรูปแบบ Ascending Triangle ราคา breakout ขึ้นไปเหนือแนวต้าน บ่งบอกถึง "การต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น" นักลงทุนอาจเข้าซื้อหุ้น XYZ "เพื่อเก็งกำไรขาขึ้น" -Descending Triangle: ราคาหุ้น ABC อยู่ในขาลง และสร้างรูปแบบ Descending Triangle ราคา breakout ลงไปต่ำกว่าแนวรับ บ่งบอกถึง "การต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง" นักลงทุนอาจเข้าขายหุ้น ABC "เพื่อเก็งกำไรขาลง" ข้อควรระวัง: -รูปแบบ Ascending Triangle และ Descending Triangle เป็นเพียง"เครื่องมือช่วยวิเคราะห์" -ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน -นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด และวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เพิ่มเติม สรุป: รูปแบบราคา Ascending Triangle และ Descending Triangle "ไม่ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา" แต่เป็นรูปแบบ "การต่อเนื่องของแนวโน้ม" นักลงทุนควรใช้รูปแบบราคาเหล่านี้เป็น "เครื่องมือช่วยวิเคราะห์" ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2035
Finance
ในภาวะตลาดผันผวน นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร โดยใช้รูปแบบ Pennants และ Flags
null
รูปแบบ Pennants และ Flags เป็นรูปแบบการสะสมราคาที่เกิดขึ้นระหว่างแนวโน้ม แสดงถึงการพักตัวของราคาก่อนที่จะวิ่งต่อไปตามแนวโน้มเดิม นักลงทุนสามารถใช้รูปแบบเหล่านี้ปรับกลยุทธ์การลงทุนในภาวะตลาดผันผวน ดังนี้ 1. เข้าซื้อ: รอให้ราคา breakout จากกรอบแนวต้านของ Pennants หรือ Flags รอให้แท่งเทียนปิดเหนือกรอบแนวต้าน พิจารณาระดับความเสี่ยงและจุดตัดขาดทุน 2. ตั้งจุดทำกำไร: ตั้งจุดทำกำไรที่แนวต้านถัดไปของการพักช่วงราคา พิจารณาใช้ปัจจัยอื่นๆ วิเคราะห์แนวโน้มต่อ เช่น Higher low, indicators ปรับจุดทำกำไรให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง 3. ตั้งจุดตัดขาดทุน: ตั้งจุดตัดขาดทุนหลังเส้นแนวต้านของ Pennants หรือ Flags พิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุนแบบลึกหรือตื้น ขึ้นอยู่กับโอกาสและความเสี่ยง ปรับจุดตัดขาดทุนให้เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุน ตัวอย่าง: 1. หุ้น XYZ อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ราคาพักตัวในรูปแบบ Pennants รอให้ราคา breakout จากกรอบแนวต้าน เข้าซื้อเมื่อแท่งเทียนปิดเหนือกรอบแนวต้าน ตั้งจุดทำกำไรที่แนวต้านถัดไป ตั้งจุดตัดขาดทุนหลังเส้นแนวต้าน 2. หุ้น ABC อยู่ในแนวโน้มขาลง ราคาพักตัวในรูปแบบ Flags รอให้ราคา breakout จากกรอบแนวต้าน เข้าซื้อเมื่อแท่งเทียนปิดเหนือกรอบแนวต้าน ตั้งจุดทำกำไรที่แนวต้านถัดไป ตั้งจุดตัดขาดทุนแบบลึก เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ ข้อควรระวัง: รูปแบบ Pennants และ Flags ไม่ได้แม่นยำเสมอไป ควรใช้ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ วิเคราะห์ บริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม สรุป: รูปแบบ Pennants และ Flags เป็นเครื่องมือที่ช่วยนักลงทุนตัดสินใจในภาวะตลาดผันผวน แต่ต้องใช้อย่างมีสติ ศึกษาข้อมูล และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2036
Finance
ดร.แอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษคนใหม่ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 หรือไม่?
null
มีโอกาสสูงที่ดร.แอนดริว ไบเลย์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 เหตุผล: ดร. ไบเลย์ มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Hawkish) เขาเคยทำงานในสายงานนโยบายสถาบันการเงินมาเป็นเวลานาน จึงให้ความสำคัญกับเสถียรภาพด้านการเงิน เขาเคยแสดงความคิดเห็นว่า ควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ เขามีบุคลิกที่รัดกุมและเฉียบคม มองเรื่องเศรษฐกิจแบบรอบคอบ ธนาคารกลางอังกฤษกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ 5.4% สูงสุดในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางอังกฤษคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงถึง 7.25% ในปี 2566 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะช่วยลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อ เศรษฐกิจอังกฤษมีสัญญาณการฟื้นตัว ธนาคารกลางอังกฤษคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเติบโต 3.7% ในปี 2566 ตลาดแรงงานอังกฤษมีสภาพคล่องดี อัตราว่างงานต่ำ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัว ธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย - ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในเดือนมีนาคม 2566 - ธนาคารกลางยุโรป เตรียมยุติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปลายปี 2566 อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจทำให้ ดร. ไบเลย์ ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ความเสี่ยงจากสงครามในยูเครน สงครามในยูเครนสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก ธนาคารกลางอังกฤษอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อติดตามผลกระทบจากสงคราม ความเสี่ยงจาก Brexit - Brexit ยังสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจอังกฤษ - ธนาคารกลางอังกฤษอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดูผลกระทบระยะยาวของ Brexit โดยสรุป: มี โอกาส สูง ที่ ดร. ไบเลย์ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในปี 2566 เหตุผลหลัก คือ แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดของ ดร. ไบเลย์ แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจทำให้ ดร. ไบเลย์ ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เช่น ความเสี่ยงจากสงครามในยูเครน และ Brexit
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2039
Finance
นักลงทุนควรใช้รูปแบบการกลับตัวของราคาแบบ Double top และ Triple top ในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล : รูปแบบ Double top และ Triple top ไม่ได้แม่นยำ 100% : รูปแบบเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางในการวิเคราะห์ราคา ไม่ได้บ่งบอกถึงอนาคตของราคาได้อย่างแน่นอน ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อราคาหุ้น รูปแบบ Double top และ Triple top ใช้เวลานาน : การก่อตัวของรูปแบบเหล่านี้อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน นักลงทุนอาจพลาดโอกาสในการซื้อขาย รูปแบบ Double top และ Triple top มีความเสี่ยง : การซื้อขายโดยใช้รูปแบบเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนได้ ตัวอย่าง : ตัวอย่างของ Double top ที่ล้มเหลว :ราคาหุ้นบริษัท A ก่อตัวเป็นรูปแบบ Double top แต่ราคาไม่สามารถ breakout ผ่านแนวต้านได้ ราคาหุ้นจึงปรับตัวลง ตัวอย่างของ Triple top ที่ล้มเหลว : ราคาหุ้นบริษัท B ก่อตัวเป็นรูปแบบ Triple top แต่ราคาไม่สามารถ breakout ผ่านแนวต้านได้ ราคาหุ้นจึงปรับตัวลง ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้รูปแบบ Double top และ Triple top เพียงอย่างเดียว: ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท: ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมีความสำคัญมากกว่ารูปแบบทางเทคนิค ควรมีกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง : กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop loss) เพื่อจำกัดความเสี่ยง สรุป: รูปแบบ Double top และ Triple top เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น แต่ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือตัดสินใจเพียงอย่างเดียว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง คำแนะนำเพิ่มเติม : ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบทางเทคนิคอื่นๆ : มีรูปแบบทางเทคนิคอื่นๆ อีกมากมายที่นักลงทุนสามารถเรียนรู้เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น ฝึกฝนการวิเคราะห์ราคาหุ้น : การวิเคราะห์ราคาหุ้นต้องอาศัยการฝึกฝน นักลงทุนสามารถฝึกฝนโดยใช้บัญชี Demo ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2041
Finance
นักลงทุน VI ไทยควรเลิกลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: เศรษฐกิจเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตสูง: เวียดนามเป็นประเทศที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก ประมาณ 65% ของประชากรทั้งหมด อายุต่ำกว่า 35 ปี GDP ของเวียดนามเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามมี Valuation ที่น่าสนใจ: P/E Ratio ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 15 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค มีหุ้น VI ที่ดีในตลาดหุ้นเวียดนาม: ยังมีหุ้น VI ที่ดีในตลาดหุ้นเวียดนามอีกมากมาย หุ้นเหล่านี้มีปัจจัยพื้นฐานดี ราคาถูก จ่ายปันผลสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ดังนี้: - ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีขนาดเล็ก: Market Cap. ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 350 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค - นักลงทุนต่างชาติมีอิทธิพลต่อตลาดมาก: นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนามประมาณ 30% - สภาพคล่องของตลาดยังไม่ดี: หุ้นบางตัวมีสภาพคล่องต่ำ ดังนั้น นักลงทุน VI ไทยที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามควร: - ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้นเวียดนามให้ละเอียด - เลือกหุ้น VI ที่ดี - กระจายความเสี่ยง - ลงทุนระยะยาว สรุป: ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตสูง แต่ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง นักลงทุน VI ไทยที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เลือกหุ้น VI ที่ดี กระจายความเสี่ยง และลงทุนระยะยาว
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2042
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ จุดเด่นของกองทุนบัวหลวงทศพล (BTP)
null
กองทุนบัวหลวงทศพล (BTP) เป็นกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 มีจุดเด่นในการลงทุนคือ การรับโอกาสการลงทุนกับกองทุนหุ้นไทยในตำนาน โดยกองทุนบัวหลวงทศพล เป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมวดหุ้นไทยขนาดใหญ่ มีผลการดำเนินงานในอดีตที่ยอดเยี่ยมแม้ประเทศไทยจะเจอวิกฤตก็ตาม มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นไทยที่ผู้จัดการกองทุนคาดหมายว่าจะให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด 10 อันดับแรก และมีความเสี่ยงมาจากความผันผวนของหุ้น และมูลค่าสำหรับหุ้นไทยที่ค่อนข้างสูง บทเรียนจากย่อหน้านี้ BTP กองทุนบัวหลวงทศพล “รับโอกาสการลงทุนกับกองทุนหุ้นไทยในตำนาน” - กองทุนบัวหลวงทศพล หรือ BTP เป็นกองทุนที่มีประวัติการลงทุนยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 - BTP เป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมวดหุ้นไทยขนาดใหญ่ (Thai Equity Large Cap) จากข้อมูล ณ วันที่ 4 ธ.ค. 62 มีขนาดกองทุนทะลุ 13,000 ล้านบาท - BTP ทำผลการดำเนินงานในอดีตได้ดีเยี่ยม ทั้งในช่วงวิกฤติปี 2540 ที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงกว่า 86.0% แต่กองทุนปรับตัวลงเพียง 64.32% เท่านั้น (ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดถึง 24.60%) - BTP มีนโยบายการลงทุนแบบ High Conviction ที่เน้นการลงทุนในหุ้นไทยที่ผู้จัดการกองทุนคาดหมายว่าจะให้ผลตอบแทนรวมสูงสุด 10 อันดับแรก (ไม่ได้ลงทุนในหุ้น 10 ตัวที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในตลาด) - ในฝั่งของผลตอบแทนเทียบหัวปีท้ายปี BTP ชนะ SET Total Return Index ถึง 11 ครั้งใน 16 ปีที่ผ่านมาล่าสุด (2003 – 2018) หรือคิดสัดส่วนที่ชนะเป็น 68.75% - และหากคิดเป็นการซื้อถือยาว (Buy And Hold) นับตั้งแต่มีดัชนี SET Total Return Index ณ ต้นปี 2002 จะพบว่าให้อัตราผลตอบแทนต่างกันถึง 3.13% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค. 62) ซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าเงินที่ลงทุนที่ต่างกันถึง 62.76% - หมายความว่า เมื่อผ่านไป 17 ปี เงิน 10,000 ที่ลงทุนใน SET Total Return Index จะกลายเป็น 103,941.90 บาท ในขณะที่ถ้าลงทุนใน BTP เงิน 10,000 บาทจะกลายเป็น 167,814.98 บาท) - ความเสี่ยงที่สำคัญของกองทุนหลักๆ มาจากความผันผวนของหุ้น และมูลค่าที่ค่อนข้างสูงแล้วสำหรับหุ้นไทย ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและหาจังหวะเข้าลงทุนดีๆ ก่อนตัดสินใจ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2045
Finance
สำหรับนักลงทุนสายอาร์ทที่มองกราฟเป็นศิลปะ มีเทคนิคหรือกลยุทธ์อะไรเพิ่มเติม ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดความเสี่ยงในการลงทุน โดยไม่ต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบดั้งเดิมมากนัก?
null
สำหรับนักลงทุนสายอาร์ทที่มองกราฟเป็นศิลปะ มีเทคนิคหรือกลยุทธ์เพิ่มเติม ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดความเสี่ยงในการลงทุน โดยไม่ต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบดั้งเดิมมากนัก ดังนี้: 1. การผสมผสานระหว่างศิลปะและเทคนิค: ฝึกฝนการมองกราฟเป็นภาพ โดยใช้ทักษะมิติสัมพันธ์ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้เทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคพื้นฐาน เช่น แนวรับแนวต้าน รูปแบบแท่งเทียน เส้นแนวโน้ม ผสมผสานทั้งสองเข้าด้วยกัน โดยใช้ศิลปะในการตีความกราฟ และใช้เทคนิคเพื่อยืนยันแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขาย 2. การใช้เครื่องมือ辅助: ใช้เครื่องมือ绘图 เช่น เส้น รูปทรง และ Fibonacci retracement เพื่อช่วยในการวิเคราะห์กราฟ ใช้เครื่องมือวัดค่า เช่น Relative Strength Index (RSI) Moving Average Convergence Divergence (MACD) เพื่อดูสัญญาณทางเทคนิค ใช้เครื่องมือแจ้งเตือน เช่น alerts indicators เพื่อติดตามราคาและสัญญาณซื้อขาย 3. การบริหารความเสี่ยง: กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ทุกครั้งที่เข้าซื้อขาย กระจายความเสี่ยง โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลงทุนด้วยเงินเย็น ที่ไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายหลัก 4. การเรียนรู้และพัฒนา: ศึกษาทฤษฎีการลงทุน กลยุทธ์การซื้อขาย และเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติม ฝึกฝนการวิเคราะห์กราฟ โดยใช้โปรแกรม模拟炒股 หรือบัญชีจริงจำนวนน้อย เรียนรู้จากประสบการณ์ จดบันทึกการซื้อขาย วิเคราะห์จุดผิดพลาด และพัฒนาตัวเอง 5. การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษานักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เข้าร่วมอบรม สัมมนา หรือ Workshop เกี่ยวกับการลงทุน ติดตามข่าวสาร บทความ และข้อมูลเกี่ยวกับตลาดการเงิน ตัวอย่างเทคนิคเพิ่มเติม การใช้ Fibonacci retracement เพื่อหาจุดเข้าซื้อขาย โดยวัด retracement ของขาขึ้นหรือขาลง การใช้ Elliott waves เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคา โดยวิเคราะห์รูปแบบคลื่นของราคา การใช้ Candlestick patterns เพื่อหาสัญญาณการกลับตัวของราคา โดยวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน ข้อควรระวัง การมองกราฟเป็นศิลปะเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝน ไม่ควรใช้เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อขาย เทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ใช่วิธีการที่แม่นยำ 100% ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อราคาหุ้น การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยสรุป นักลงทุนสายอาร์ทสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ โดยการผสมผสานเทคนิค เครื่องมือ และกลยุทธ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ควบคู่ไปกับการศึกษา ฝึกฝน และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2047
Finance
นักลงทุนแบบ VI ควรลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เหตุผล: 1. ความเสี่ยง: สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูงมากกว่าหุ้นทั่วไป ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังมีการกำกับดูแลน้อย นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน 2. ผลตอบแทน: สินทรัพย์ดิจิทัลมีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูง แต่ผลตอบแทนที่สูงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่รับได้ 3. กลยุทธ์การลงทุน: กลยุทธ์การลงทุนแบบ VI เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำ กลยุทธ์นี้ยังไม่เหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนควรศึกษาและพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสินทรัพย์ดิจิทัล 4. สัดส่วนการลงทุน: นักลงทุนควรลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในสัดส่วนที่น้อย ไม่ควรลงทุนเกินกว่าเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้ นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ 5. กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลยังมีการพัฒนาอยู่ กฎระเบียบใหม่ ๆ สามารถส่งผลต่อราคาและการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎระเบียบอยู่เสมอ สรุป: นักลงทุนแบบ VI ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้ ผลตอบแทนที่คาดหวัง กลยุทธ์การลงทุน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและลงทุนอย่างระมัดระวัง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2048
Finance
กรณีครอบครัวมีลูกเล็ก การจัดตั้ง Trust ดีกว่าการทำประกันชีวิตหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเป้าหมายทางการเงินของครอบครัว เหตุผล: การจัดตั้ง Trust : ข้อดี : 1. ความยืดหยุ่น : ผู้ก่อตั้ง Trust สามารถกำหนดเงื่อนไขและวิธีการส่งต่อมรดกได้อย่างละเอียด เช่น กำหนดจำนวนเงินที่ลูกจะได้รับต่อเดือน กำหนดอายุที่ลูกจะได้รับเงินก้อน เป็นต้น 2. การป้องกัน : Private Family Trust หรือ Asset Protection Trust อาจจะช่วยป้องกันสินทรัพย์จากเจ้าหนี้ได้ 3. การลงทุน : สามารถลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น ข้อเสีย : 1. ค่าธรรมเนียม : มีค่าธรรมเนียมในการจัดตั้งและดูแล Trust สูง 2. ความซับซ้อน : กระบวนการจัดตั้ง Trust ค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้ความรู้ทางกฎหมาย การทำประกันชีวิต : ข้อดี : 1. ความเรียบง่าย : กระบวนการทำประกันชีวิตง่ายกว่าการจัดตั้ง Trust ค่าธรรมเนียม: generally has lower fees than Trust 2. การได้รับเงิน : ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินก้อนตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ข้อเสีย : 1. ตัวเลือก : ตัวเลือกในการส่งต่อมรดกมีจำกัด 2. การลงทุน : typically limited to cash investments 3. ภาษี : may be subject to taxes สรุป : Trust เหมาะกับ : 1. ครอบครัวที่มีลูกเล็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ 2. ครอบครัวที่มีเป้าหมายการส่งต่อมรดกที่ซับซ้อน 3. ครอบครัวที่มีสินทรัพย์จำนวนมาก ประกันชีวิตเหมาะกับ : 1. ครอบครัวที่มีงบจำกัด 2. ครอบครัวที่ต้องการความเรียบง่าย 3. ครอบครัวที่ต้องการมอบเงินก้อนให้กับผู้รับผลประโยชน์
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2053
Finance
กองทุน SCBWIN มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนใด
null
กองทุน SCBWIN มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุน BGF Global Multi Asset Income เพียงกองทุนเดียว หรือที่เรียกกันว่ากองทุนหลัก ซึ่งมีนโยบายการลงทุนกระจายในหลายสินทรัพย์ เพื่อสร้างผลตอบแทนเหนือค่าเฉลี่ยโดยไม่สูญเสียการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว บริหารพอร์ตการลงทุนโดยทีมจาก BlackRock นำโดยคุณ Michael Fredericks ในตำแหน่ง Lead Portfolio Manager เมื่อดูผลงานจากเวปไซต์ citywireselector.com พบว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้เหนือค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของผู้จัดการกองทุนในประเภทเดียวกัน (Mixed Assets) ผสมผสานการคัดเลือกหลักทรัพย์ ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแบบ Top-Down และ Bottom-up ผ่านการวิเคราะห์ด้านมูลค่า ภาพรวมเศรษฐกิจ มุมมองของตลาด รวมไปถึงปัจจัยเฉพาะ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายในหลายสินทรัพย์ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงที่คอยวิเคราะห์และทบทวนทั้งด้านปัจจัย มูลค่า และมุมมองการลงทุน กองทุน BGF Global Multi Asset Income มีสัดส่วนการลงทุนใน Fixed Income ทั้งในและนอกสหรัฐฯ นอกจากนั้นยังลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่น เช่น Global REITs, Mortgage-Backed Securities (MBS) และต้องมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่กระจายทั้งในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) นอกจากนี้กองทุนยังใช้กลยุทธ์ Covered Call ที่เป็นการซื้อหุ้นพร้อมขายสิทธิ์ในการซื้อหุ้น โดยกลยุทธ์นี้มีไว้เพื่อสร้างผลตอบแทนในระดับที่มีเสถียรภาพให้กับกองทุน ซึ่งสะท้อนผ่านความผันผวนของผลตอบแทนกองทุนที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน อยู่ที่ 97% ของสินทรัพย์ทั้งหมด (ข้อมูล ณ 4/12/2019)
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2056
Finance
อะไรคืออุปสรรคหลักที่ทำให้เศรษฐกิจบราซิลไม่สามารถพัฒนาไปได้อย่างที่ควรจะเป็น?
null
อุปสรรคหลักที่ทำให้เศรษฐกิจบราซิลไม่สามารถพัฒนาไปได้อย่างที่ควรจะเป็น มีหลายประการ ดังนี้ 1. ปัญหาคอร์รัปชั่น: ปัญหาคอร์รัปชั่นฝังรากลึกในสังคมบราซิล ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารประเทศและการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส 2. ความวุ่นวายทางการเมือง: การเมืองบราซิลมีความขัดแย้งสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำบ่อยครั้ง ส่งผลต่อเสถียรภาพและความต่อเนื่องของนโยบาย 3. นโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน: รัฐบาลบราซิลยังขาดนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าการวางแผนระยะยาว 4. ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน: โครงสร้างพื้นฐานของบราซิลยังมีข้อจำกัด ถนนหนทาง ระบบขนส่งสาธารณะ และระบบไฟฟ้ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ 5. ปัญหาอาชญากรรม: ปัญหาอาชญากรรมในบราซิลมีอัตราสูง ส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 6. ปัญหาสิ่งแวดล้อม: บราซิลเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง เช่น การเผาทำลายป่าอเมซอน ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศและการท่องเที่ยว 7. ปัญหาความเหลื่อมล้ำ: บราซิลเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง ส่งผลต่อเสถียรภาพทางสังคม 8. ปัญหาการศึกษา: ระบบการศึกษาของบราซิลยังมีคุณภาพต่ำ ส่งผลต่อทักษะแรงงานและการพัฒนาเศรษฐกิจ 9. ปัญหาสุขภาพ: ระบบสาธารณสุขของบราซิลยังมีข้อจำกัด ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้ยาก 10. ปัญหาเศรษฐกิจโลก: เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลต่อเศรษฐกิจบราซิลที่พึ่งพาการส่งออก ตัวอย่างผลกระทบทาง Finance: ค่าเงินอ่อน: ค่าเงินเรอัลของบราซิลอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อราคาสินค้านำเข้าและเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง: ธนาคารกลางบราซิลต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลต่อภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ การลงทุนชะลอตัว: นักลงทุนต่างประเทศลังเลที่จะลงทุนในบราซิล เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ เศรษฐกิจเติบโตต่ำ: เศรษฐกิจบราซิลเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ส่งผลต่อรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน แนวทางการแก้ไข: รัฐบาลบราซิลต้องจริงจังกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น พัฒนานโยบายเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาระบบการศึกษาและระบบสาธารณสุข สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคและประเทศมหาอำนาจ สรุป: เศรษฐกิจบราซิลมีศักยภาพที่จะเติบโตสูง แต่ต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาที่ฝังรากลึกทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รัฐบาลบราซิลต้องมีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงการสรุปประเด็นสำคัญจากบทความ "บราซิล ประเทศที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ยังไปไม่ถึงจุดหมาย" เท่านั้น ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ควรศึกษาเพิ่มเติม
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2057
Finance
กลยุทธ์การลงทุนแบบ "วีไอ" เหมาะสมกับภาวะตลาดหุ้นผันผวนหรือไม่? อธิบาย reasoning เบื้องหลัง
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบ "วีไอ" หรือ Value Investing มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยนักลงทุนวีไอจะวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียดเพื่อหาหุ้นที่มีศักยภาพ undervalued ในภาวะตลาดหุ้นผันผวน กลยุทธ์วีไอสามารถเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องด้วยเหตุผลหลัก ดังนี้: 1. หุ้น undervalued มีโอกาสฟื้นตัวสูง: เมื่อตลาดหุ้นตก หุ้นที่มีราคาถูกมักจะถูกเทขายลงมาอย่างรุนแรง โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน ส่งผลให้หุ้นเหล่านี้ undervaluation มากขึ้น เมื่อตลาดหุ้นฟื้นตัว หุ้น undervalued เหล่านี้มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วและแรงกว่าหุ้นทั่วไป 2. นักลงทุนวีไอมีวินัยและใจเย็น: กลยุทธ์วีไอเน้นการลงทุนระยะยาว นักลงทุนวีไอจะไม่หวั่นไหวกับความผันผวนระยะสั้นของตลาด วินัยและความใจเย็นช่วยให้นักลงทุนวีไอสามารถซื้อหุ้น undervalued ในช่วงตลาดตก และถือจนกว่าราคาจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง 3. กลยุทธ์วีไอช่วยลดความเสี่ยง: หุ้น undervalued มักจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นทั่วไป เพราะมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีรองรับ การกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้น undervalued หลายตัว ช่วยให้นักลงทุนวีไอสามารถลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์วีไอมีข้อจำกัด ดังนี้: 1. ใช้เวลา: กลยุทธ์วีไอต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์หุ้นและรอให้ราคาฟื้นตัว นักลงทุนวีไอต้องอดทนและรอคอยอย่างใจเย็น 2. ทักษะ: กลยุทธ์วีไอต้องการทักษะในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท นักลงทุนวีไอต้องมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจและสามารถอ่านงบการเงิน 3. ความเสี่ยง: แม้ว่าหุ้น undervalued จะมีความเสี่ยงน้อย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่เสมอ นักลงทุนวีไอต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: กลยุทธ์วีไอ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในภาวะตลาดหุ้นผันผวน เหมาะกับนักลงทุนที่มีวินัย ใจเย็น และมีความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน กลยุทธ์วีไอช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้น undervalued ในราคาถูก และถือจนกว่าราคาจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2058
Finance
การ IPO ของ ThaiBev ครั้งนี้ จะทำให้ธุรกิจโรงบ่มของ ThaiBev เติบโตก้าวกระโดดดังเช่น การ takeover บริษัท ซาเบโก (Sabeco) หรือไม่?
null
เป็นไปได้ เหตุผล: 1. การ IPO ช่วยเพิ่มเงินทุน ThaiBev จะได้รับเงินทุนจากการ IPO ประมาณ 3 แสนล้านบาท เงินทุนเหล่านี้สามารถนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจโรงบ่มได้หลายวิธี เช่น ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ซื้อโรงบ่มใหม่ ขยายกำลังการผลิตของโรงบ่มที่มีอยู่ 2. การ IPO ช่วยเพิ่มชื่อเสียง การ IPO ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้กับธุรกิจโรงบ่มของ ThaiBev สิ่งนี้อาจดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ และนักลงทุน ช่วยให้ ThaiBev สามารถขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้ง่ายขึ้น 3. การ IPO ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง เมื่อหุ้นของ ThaiBev เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนจะสามารถซื้อขายหุ้นเหล่านี้ได้ง่าย สิ่งนี้อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องของธุรกิจโรงบ่ม ช่วยให้ ThaiBev สามารถระดมทุนเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น 4. ซาเบโกเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ การ takeover ซาเบโก ของ ThaiBev นั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก ซาเบโก กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน การ IPO ของ ThaiBev ครั้งนี้อาจประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับซาเบโก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจโรงบ่มของ ThaiBev 1. การแข่งขัน ธุรกิจโรงบ่มเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ThaiBev เผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทอื่น ๆ เช่น สิงห์ คอปเปอร์เรชั่น 2. กฎระเบียบ ธุรกิจโรงบ่มอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎระเบบยบที่เข้มงวด กฎระเบียบเหล่านี้อาจจำกัดการเติบโตของธุรกิจ 3. เศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลต่อความต้องการสินค้าของ ThaiBev โดยสรุป การ IPO ของ ThaiBev ครั้งนี้ มีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจโรงบ่มของ ThaiBev เติบโตก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2066
Finance
ในการซื้อหุ้นเราควรมีหุ้นในมือกี่ธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยง ระหว่าง 1-2 ธุรกิจ, 3-5 ธุรกิจ, มากกว่า 5 ธุรกิจ
null
3-5 ธุรกิจ การซื้อหุ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ควรมีหุ้น 3-5 ธุรกิจ เพราะการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็คือการทำธุรกิจโดยการเป็นเจ้าของธุรกิจบางส่วน ถ้าเรามีแค่ 1-2 ธุรกิจอาจไม่พอในยามที่วงจรธุรกิจเปลี่ยนเร็วมากเช่นปัจจุบัน หุ้นที่เราถืออาจจะขึ้นสูงมากหรือตกต่ำมากไปเลย หรือมีความเสี่ยงสููงนั่นเอง จึงน่าจะมีหุ้นซัก 3 หรือ 4 หรือ 5 ธุรกิจ เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน แต่ก็ไม่ควรมีธุรกิจจำนวนมากเกินไปจนเราไม่สามารถรู้หรือติดตามได้ว่าธุรกิจที่เราซื้อนั้นกำลังอยู่ในวงจรไหนของการเติบโต ซึ่งจะทำให้เราลงทุนในธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าและทำให้เราเสียหายได้ นอกจากนี้ การซื้อหุ้นหลายตัวมากเกินไปนั้น ในที่สุดเราก็มักจะซื้อมาขายไป ซื้อหุ้นตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อเก็งกำไร กลายเป็นว่าเรากำลัง “เล่นหุ้น” คือไม่ได้คิดถึงพื้นฐานของการเป็นธุรกิจเลย ไม่ได้คิดถึงการลงทุนในธุรกิจในฐานะเจ้าของร่วม เอาแต่เก็งว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะสั้นแข่งกับคนอื่นเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่วิธีกระจายความเสี่ยงในการลงทุน อย่างไรก็ตามหากเราวิเคราะห์หุ้นไม่เป็น ไม่สามารถติดตามธุรกิจต่าง ๆ ได้ อาจแก้ปัญหาโดยการซื้อกองทุนรวมโดยเฉพาะที่เป็นกองทุนอิงดัชนีหลัก ๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ เปรียบได้กับการเลือกลงทุนในหุ้นหรือกิจการ “ชั้นนำ” ที่สุดของประเทศไทยหรือของต่างประเทศ มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนและรักษาความมั่งคั่งของตนและครอบครัวไว้ได้มาก
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2067
Finance
การออมเงินเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องลงทุน เพียงพอสำหรับการเกษียณหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: อัตราเงินเฟ้อ: เงินออมจะสูญเสียมูลค่าตามกาลเวลา อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในประเทศไทยอยู่ที่ 2.37% - 3.94% ต่อปี หมายความว่า 10 ปีข้างหน้า เงิน 100 บาท จะมีค่าซื้อน้อยลง 23.7% - 39.4% ระยะเวลาเกษียณ: คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ย 77 ปี หมายความว่า เงินออมต้องเพียงพอสำหรับใช้จ่าย 20-30 ปีหลังเกษียณ ผลตอบแทน: การออมเงินแบบออมทรัพย์หรือฝากประจำ มีผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ความเสี่ยง: เงินออมอาจสูญเสียจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ปัญหาสุขภาพ ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณอายุ 30 ปี ต้องการเกษียณตอนอายุ 60 ปี ตั้งเป้าหมายใช้จ่ายหลังเกษียณเดือนละ 20,000 บาท กรณีออมเงินอย่างเดียว: ต้องการเงินออม 12,600,000 บาท (คำนวณจากสูตร PV = PMT * [1 - (1 + r)^(-n)] / r) โดยที่ PV คือ เงินปัจจุบัน PMT คือ เงินที่ต้องจ่ายต่อเดือน r คือ อัตราดอกเบี้ย n คือ จำนวนงวด) เงินออมจะสูญเสียมูลค่า 39.4% ใน 30 ปี เงินออม 12,600,000 บาท อาจไม่เพียงพอสำหรับใช้จ่าย 20-30 ปีหลังเกษียณ กรณีออมเงินและลงทุน: ลงทุนในกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี ต้องการเงินออม 7,000,000 บาท เงินออมมีโอกาสเติบโตมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ เงินออมมีโอกาสเพียงพอสำหรับใช้จ่าย 20-30 ปีหลังเกษียณ สรุป: การออมเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอสำหรับการเกษียณ การลงทุนเป็นวิธีเพิ่มผลตอบแทนและรักษามูลค่าเงินออม ช่วยให้มีโอกาสเกษียณอย่างสบาย
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2068
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 5 หลุมพรางของความขยันที่ทำให้จน
null
หลุมพรางของความขยันที่ทำให้จน มีอยู่ 5 อย่าง อย่างแรกคือ ความขยันให้กับความฝันของคนอื่น เป็นความขยันที่เหมือนจะดี แต่กลับเป็นสิ่งที่คอยขวางไม่ให้รวย อย่างที่สองเป็น ความขยันทำในสิ่งที่ไม่ได้รัก เพราะการทำงานที่ไม่ได้รัก จะทำให้ได้โบนัสที่เป็นความทุกข์ อย่างที่สามคือ ความขยันที่เน้นเชิงปริมาณ เป็นความขยันที่ไม่ได้สนใจว่างานที่ออกมามีคุณภาพดีหรือไม่ อย่างที่สี่ คือ ความขยันแบบเอาหัวพุ่งชน แม้จะขยันเพราะเปี่ยมไปด้วยความรัก ก็ยากที่จะเป็นเศรษฐีเพราะยังขยันอย่างผิดพลาด และอย่างสุดท้ายคือ ความขยันเพื่อขายเวลาแลกเงิน เนื่องจากเวลามีจำกัด ถ้าขยันทำงานเพื่อขายเวลาแลกเงิน ก็จะไม่มีวันรวย บทเรียนจากย่อหน้านี้ หลุมพรางของความขยัน 1. ขยันให้กับความฝันของคนอื่น คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะมีฝัน คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะมีเป้าหมายของตัวเอง ความขยันเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตาม มีความขยันอีกแบบที่เหมือนจะดี แต่กลับเป็นสิ่งที่คอยขวางไม่ให้รวย ก็คือ ‘ความขยันในการสร้างฝันให้คนอื่น’ คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต คือคนที่ต้องทำงานให้กับคนที่มีเป้าหมายในชีวิต ถ้ายังหาฝันของตัวเองยังไม่เจอ จะมีคนจ้างไปทำให้ฝันเป็นจริง จงถามใจตัวเองว่า ตอนนี้ขยันเพื่อฝันของตัวเอง หรือ ตอนนี้ขยันเพื่อฝันของคนอื่น 2) ขยันทำในสิ่งที่ไม่ได้รัก ‘การทำงานที่ไม่ได้รัก จะทำให้เราได้โบนัสทุกวัน…เป็นความทุกข์’ – ขุนเขา หลายคนก้มหน้าก้มตาทำงานหนักอย่างขยันในงานที่พวกเขาไม่ได้รัก คิดว่า ทำในสิ่งที่รัก กับทำในสิ่งที่ไม่ได้รัก ทำแบบไหน ผลงานจะออกมามีคุณภาพมากกว่ากัน? จงมีฉันทะ จงทำในสิ่งใจรัก ใจที่รักอันเกิดจากความศรัทธาและเชื่อมั่นต่อสิ่งที่ทำ ขอเพียงขยันในสิ่งที่รัก สิ่งที่เชื่อ นั่นละ เป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวย 3) ขยันเน้นเชิงปริมาณ การเน้นเชิงปริมาณหมายถึง ขยันทำให้ได้มากที่สุด ขยันโดยไม่สนใจว่า งานที่ออกมามีคุณภาพดีหรือไม่ ยาจกจะใช้เวลาทำงานมาก ‘เท่าที่คุ้น’ ซึ่งหมายความว่า ยาจกเคย ‘คุ้น’ กับการทำงานด้วยเวลามากแค่ไหน เขาก็จะใช้เวลามากแค่นั้นกับทุกๆ งาน ไม่ว่างานนั้นจะเล็กหรือใหญ่ สำคัญหรือไม่สำคัญก็ตาม ในขณะที่เศรษฐีจะใช้เวลาทำงานมากเท่าที่ ‘ควร’ นั่นคืองานไหนสำคัญและใหญ่เขาจะใช้เวลาอย่างเต็มที่ ยิ่งกว่างานอื่น และเน้นการสร้างผลลัพธ์ที่ดีมากกว่า เน้นการใช้เวลาให้มากเข้าไว้นั่นเอง จงอย่าขยันเน้นจำนวน จงเน้นขยันเชิงคุณภาพ 4) ขยันแบบเอาหัวพุ่งชน แม้ว่าจะมีความขยันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความฝัน และประสิทธิภาพ ก็ยังยากจะเป็นเศรษฐีได้ หากยังขยันอย่างผิดพลาดอยู่ นั่นคือ ‘การขยันอย่างตะบี้ตะบัน ไม่สร้างสรรค์ และปรับปรุง’ วิมังสา การทบทวนในสิ่งที่ทำ การทบทวนตัวเอง ทบทวนในสิ่งที่ได้คิดสิ่งได้ทำผ่านมาว่าเกิดผลดีผลเสียอย่างไร ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัวเองและเป็นเรื่องที่ร่วมคิดร่วมทำกับคนอื่น เพื่อปรับปรุงปรับแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น 5) ขยันเพื่อขายเวลาแลกเงิน เวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด ถ้าขยันทำงานเพื่อขายเวลาแลกเงิน จะไม่มีวันรวย ถ้าเลือกขยันเพื่อขายเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน ให้กับนายจ้าง รายได้จึงจำกัด ถ้าเลือกขายเวลาเพื่อเงิน จะไม่มีทางได้พบกับ อิสรภาพทางการเงินและอิสรภาพทางเวลา คนรวยต้องการความมั่งคั่ง พวกเขาคิดว่าเวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด เวลาไม่สามารถเก็บเอาไว้ใช้ได้ และไม่ไหลย้อนกลับ ดังนั้นพวกเขาเลือกขยันที่จะรับเงินตามผลของงาน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2075
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ กระบวนการวางแผนแบบ Goal-Based Investing
null
การวางแผนแบบ Goal-Based Investing เริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายชีวิต โดยเป้าหมายของชีวิตจะเขียนลงใน 4 ช่อง อันประกอบด้วย เป้าหมายที่จำเป็น และ ระยะเวลาสั้น, เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะสั้น, เป้าหมายที่จำเป็น และระยะยาว และเป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะยาว สำหรับการกำหนดนโยบายการลงทุนตามแต่ละช่อง ตามเป้าหมายนั้น จะเป็นแบบนี้ เป้าหมายแรกคือ เป้าหมายที่จำเป็น และ ระยะเวลาสั้น อาจเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต เก็บในรูปแบบเงินสด เป้าหมายที่สอง คือ เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะสั้น อาจเป็นเงินเก็บสำหรับไปเที่ยวกับครอบครัว เป้าหมายที่สาม คือ เป้าหมายที่จำเป็น และระยะยาว อาจเป็นเงินที่ส่งลูกเรียนหนังสือ และเป้าหมายสุดท้าย เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะยาว อาจเป็นเงินสำหรับหลังเกษียณ บทเรียนจากย่อหน้านี้ กระบวนการวางแผนแบบ Goal-Based Investing ขั้นตอนดังนี้ กำหนด เป้าหมายของชีวิต ให้กำหนดเป้าหมายของชีวิต เช่น การศึกษาบุตร / การเกษียณ / พาลูกไปเที่ยวต่างประเทศ หลังจากนั้น ให้เขียนมาเขียนลงใน 4 ช่องตามดังนี้ ช่องที่ 1 : เป้าหมายที่จำเป็น และ ระยะเวลาสั้น เช่น ค่าใช้จ่ายทั่วไปในการดำเนินชีวิต ช่องที่ 2: เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะสั้น เช่น เก็บเงินอีก 2-3 ปีที่เที่ยวกับครอบครัว ช่องที่ 3: เป้าหมายที่จำเป็น และระยะยาว เช่น ต้องการส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี ช่องที่ 4: เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะยาว เช่น ต้องการเกษียณใช้ชีวิตที่ดี หรือ ต้องการสร้างมรดกให้ลูก กำหนดนโยบายการลงทุนตามแต่ละช่อง ตามเป้าหมาย เช่น ช่องที่ 1 : เป้าหมายที่จำเป็น และ ระยะเวลาสั้น ค่าใช้จ่ายทั่วไปในการดำเนินชีวิต จะต้องเก็บให้รูปเงินสด หรือ ตราสารเงินที่มีการันตีแน่นอน ตัวอย่างของพอร์ต เงินสด 50% และ ตราสารเงิน 50% ช่องที่ 3: เป้าหมายที่จำเป็น และระยะยาว ต้องการส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี จะต้องจัดพอร์ตการเติบโตอย่างคงที่ และมีการจัดพอร์ตป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุน ตัวอย่างของพอร์ต หุ้น 50% REIT 10% และ ตราสารหนี้ 40% ช่องที่ 4: เป้าหมายที่เป็นความปรารถนา และระยะยาว ต้องการเกษียณใช้ชีวิตที่ดี หรือ ต้องการสร้างมรดกให้ลูก จะต้องจัดพอร์ตการเติบโต ตัวอย่างพอร์ต หุ้น 60% REIT 20% และ ตราสารหนี้ 20% จะเห็นได้ว่า การลงทุนแบบ Goal-Based Investing จะไม่ได้ลงทุนแบบใช้ Risk profile อีกต่อไป แต่จะพิจารณาถึง ความสำคัญของเป้าหมายและเวลาในการลงทุนอีกด้วย
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2076
Finance
จากบทความข้างต้น อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในยุคหลังดรากี?
null
1. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันน้อย (uncorrelated) 2. มองหานโยบายการคลัง: ติดตามข่าวสารและนโยบายการคลังของประเทศต่างๆ ลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการคลัง เลือกประเทศที่มีนโยบายการคลังที่สนับสนุนการเติบโต 3. เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน: ศึกษาและเข้าใจความเสี่ยงต่างๆ ในตลาด ตั้งเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ 4. มองหาโอกาสในตลาด: ศึกษาและวิเคราะห์ตลาดอย่างสม่ำเสมอ มองหาสินทรัพย์ที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง ลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หาสถาบันการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ ปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตรงกับความต้องการ ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนในหุ้น: เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เติบโตสม่ำเสมอ และมีราคาถูก ลงทุนในพันธบัตร: เน้นพันธบัตรที่มีคุณภาพสูง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ลงทุนในทองคำ: เก็บไว้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ลงทุนในกองทุนรวม: กระจายความเสี่ยงและลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญ ข้อควรระวัง: ไม่มีกลยุทธ์การลงทุนใดที่รับประกันผลตอบแทน การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต สรุป: ในยุคหลังดรากี นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและการเงินที่เปลี่ยนแปลง เน้นกระจายความเสี่ยง มองหานโยบายการคลัง เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน มองหาโอกาสในตลาด และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2077
Finance
รัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้ประกาศเป็นทางการว่า จะทำการ IPO หุ้น Aramco ในตลาดหุ้นใด
null
รัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้ประกาศแบบเป็นทางการว่า จะทำการ IPO หุ้น Aramco ในตลาดหุ้นทาดาวัล ในกรุงริยาร์ดของซาอุดิอาระเบีย โดยจะมีการเผยแพร่รายละเอียดเอกสารการนำเสนอหุ้นเพื่อการจองหุ้น Aramco ที่จะเข้าตลาด ระหว่าง 17 พ.ย. ถึง 4 ธ.ค. 2019 โดยราคาท้ายสุดของ Aramco จะประกาศ 1 วันหลังจากนั้น ทั้งนี้จำนวนหุ้นของบริษัทมีทั้งหมด 2 แสนล้านหุ้น ตามเอกสารที่ได้ทำ Filing กับกลต.ของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งได้เปิดเผยว่าจะมีการนำเสนอขายต่อสาธารณชนไม่เกิน 0.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หรือ 1 พันล้านหุ้น จะเสนอขายต่อลูกค้ารายย่อย ทว่าไม่ได้ระบุว่าจะขายมากน้อยเท่าใดให้กับนักลงทุนสถาบัน หากอ้างอิงแหล่งข่าววงในเกี่ยวกับกระบวนการ IPO ได้ระบุว่า ทางรัฐบาลซาอุดิอาระเบียมีแผนที่จะขายหุ้นของบริษัทราว 1-3% ของทั้งหมด หรือ ระดมทุนประมาณ 2-6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าทางซาอุดิอาระเบียจะลดมูลค่ารวมหุ้นที่เคยเผยตัวเลขออกมาที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ให้เหลือราว 1.2-1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ มูลค่าตลาดที่ใหญ่ได้รับการหนุนจากสำรองน้ำมันดิบมูลค่า 256.9 พันล้านบาร์เรล ซึ่งมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบใหญ่กว่า Exxon ที่มีสำรองเพียง 24 พันล้านบาร์เรลเท่านั้น นอกจากนี้ สำรองของ Aramco เป็นน้ำมันดิบถึง 88% ของสำรองทั้งหมด ในขณะที่ Exxon มีน้ำมันดิบเพียง 40% ของสำรองทั้งหมด นอกจากนี้ Aramco ยังมีกำไรสุทธิ 1.11 แสนล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว และ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ใน 9 เดือนของปี 2019 ถือว่าบริษัทมีกำไรสุทธิเยอะที่สุด เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ของโลก นอกจากนี้ ตามเอกสาร Filing IPO ของ Aramco ยังให้สัญญาว่าจะจ่ายเงินปันผลต่อนักลงทุนปีละ 37.5 เซนต์ต่อหุ้น (คิดจาก 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์หารด้วย 2 แสนล้านหุ้น) ระหว่างปี 2020 – 2024 โดยอัตราร้อยละผลตอบแทนเงินปันผลที่ 5% ถือว่าสูงกว่าเพื่อนโดยส่วนใหญ่ ทว่าหากราคาน้ำมันดิบลดต่ำลง ราคาหุ้น Aramco ก็จะตกลง เนื่องจากนักลงทุนจะคาดการณ์ว่าเงินปันผลจะลดต่ำลงกว่า 37.5 เซนต์หลังปี 2024 ซึ่งตรงนี้ทำให้หุ้น Aramco คล้ายกับหุ้นบุริมสิทธิ์มากกว่าหุ้นสามัญ หากพิจารณา Aramco ที่ราคา 7.5 ดอลลาร์ต่อหุ้น จะมีค่า P/E เท่ากับ 16 เท่า ด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2019 คาดไว้ที่ 46 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่า Exxon และ Chevron แต่สูงกว่า BP และ Shell โดยหากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทางนักวิเคราะห์ของเบิร์นสตีน คาดว่ากำไรสุทธิจะเท่ากับ 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2020 โดยปี 2019 คาดมีกำไรสุทธิ 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์ และหากราคาเบรนท์ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล Aramco จะมีกำไรสุทธิ 1.09 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2020
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2078
Finance
ลักษณะธุรกิจของ AWC คืออะไร
null
ลักษณะธุรกิจของ AWC คือ บริษัทประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ โดยมีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักซึ่งก่อให้เกิดกำไรหลัก 12 บริษัท สำหรับสินทรัพย์ของกิจการทั้งหมดตีมูลค่าไว้ราว 9.2 หมื่นล้านบาท โดย 52% หรือสัดส่วนใหญ่จะเป็น Hospitality Asset ก็คือ ธุรกิจการบริการ หมายรวมถึง การโรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น สัดส่วนอีก 30% เป็น Office หรือสำนักงานให้เช่า ตึกให้เช่า และสุดท้ายเป็นพื้นที่ค้าปลีกอีกราว 18% ถ้าแยกสินทรัพย์ออกเป็นส่วน ๆ จะเห็นว่า Hospitality มีโรงแรมทั้งหมด 15 แห่ง มีห้องชุดราว 4,960 ห้อง และส่วนของค้าปลีกมี 10 แห่ง พื้นที่ค้าปลีกราว 3.4 แสนตารางเมตร สุดท้ายส่วนของสำนักงานให้เช่า มี 4 ตึก พื้นที่รวมราว 2.7 แสนตารางเมตร สิ่งที่นักลงทุนสนใจใคร่จะรู้อีกประการก็คือ การเติบโตของกิจการที่คิดจะลงทุน เมื่อมาดูแนวโน้มรายได้ และกำไรของกิจการนี้จะพบว่า ปี 2559 มีรายได้ 8,256 ล้านบาท ปี 2560 มีรายได้ 9,630 ล้านบาท และปี 2561 มีรายได้ 10,563 ล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจก็คือ รายได้ โตเร็วมาก โดยโตจาก 8.2 พันล้านบาท จนทะลุหมื่นล้านภายในสามปี ในส่วนของกำไร ข้อมูลได้ในปี 2561 ทำกำไรสุทธิได้ 469.58 ล้านบาท และครึ่งปี 2562 ทำกำไรสุทธิไปแล้ว 366.66 ล้านบาท ถือว่ามีการเติบโตให้ได้เห็นเหมือนกัน ตัวเลขจากปี 2561 ที่มีกำไรต่อหุ้นราว 0.03 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2562 มีกำไรต่อหุ้นราว 0.012 หรือถ้าคิดเต็มปีเอาแบบกำไรเท่ากับครึ่งปีแรก จะมีกำไรต่อหุ้น 0.023 บาทต่อหุ้น โดยสาเหตุที่กำไรต่อหุ้นลดลงน่าจะมาจากจำนวนหุ้นที่เข้า IPO มีปริมาณมากขึ้น เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที 6.05 บาทต่อหุ้นจะคิดพีอีได้ราว 260 เท่า ถ้าคิดในแง่ของการทำกำไรคือมีราคาแพง แต่หากคิดในแง่ของสินทรัพย์ที่ทาง AWC ตีมูลค่าไว้เกือบแสนล้าน กับขนาดกิจการ ณ ปี 2562 ที่มีขนาดกิจการราว 187,289.85 ล้านบาท ลองพิจารณากันดูว่าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่เสี่ยงที่สุดของหุ้นตัวนี้ คงหนีไม่พ้น PE ที่สูงลิบลิ่ว หากกิจการไม่สามารถสร้างกำไรเติบโตได้ดังความคาดหวังของนักลงทุนในตลาด อาจได้เห็นราคาหุ้นขยับปรับลง สิ่งที่สำคัญก็คือ หุ้นดีต้องราคาดีด้วย
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2086
Finance
มีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้ประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย?
null
มีวิธีซึ่งสามารถช่วยให้ประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตัวอย่างวิธีเพิ่มเติม ดังนี้: 1. วางแผนการลงทุน: ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริม เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมตราสารทุนระยะยาว (LTF) กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ลงทุนในประกันชีวิตแบบ Unit-linked ที่เน้นลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) 2. บริจาคเงิน: บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลที่ได้รับการยกเว้นภาษี บริจาคเงินเพื่อการศึกษา บริจาคอวัยวะ 3. ใช้สิทธิประกันสังคม: จ่ายเงินสมทบประกันสังคมเต็มจำนวน ใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษาพยาบาล 4. วางแผนการเกษียณอายุ: ออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ ซื้อประกันบำนาญ 5. ใช้สิทธิลดหย่อนอื่นๆ: ลดหย่อนค่าจ้างเลี้ยงดูบุตร ลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่ ลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย 6. ศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสาร: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากรอย่างสม่ำเสมอ ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายภาษีของรัฐบาล 7. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษานักวางแผนการเงิน หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการประหยัดภาษีที่เหมาะสมกับสถานะและเป้าหมายทางการเงินของคุณ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ คุณต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของแต่ละวิธีอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพื่อให้แน่ใจว่าวิธีนั้นๆ เหมาะสมกับคุณ และถูกต้องตามกฎหมายภาษีอากร ตัวอย่างเพิ่มเติม: สมมติว่า คุณมีรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว 366,000 บาท คุณสามารถนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม LTF เพิ่มอีก 4,000 บาท ทำให้เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษีของคุณเหลือ 362,000 บาท ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีของคุณลง 1,200 บาท การวางแผนภาษีที่ดี จะช่วยให้คุณประหยัดเงินและเพิ่มเงินออมของคุณได้ อย่าลืม ศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของแต่ละวิธีอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการประหยัดภาษีที่เหมาะสมกับคุณ
การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,กลยุทธ์การลงทุน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2092
Finance
นักลงทุนสามารถติดตามราคาทองคำแบบ Real-time ผ่าน FINNOMENA Money ได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: FINNOMENA Money เป็นมินิแอปพลิเคชั่นบน LINE ที่ให้บริการข้อมูลด้านการเงินการลงทุน หนึ่งในฟังก์ชั่นหลักของ FINNOMENA Money คือ การแสดงราคาทองคำแบบ Real-time ราคาทองคำที่แสดงบน FINNOMENA Money แบ่งออกเป็น 2 ประเภท: - ราคาทองไทย: อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมค้าทองคำ - ราคาทองโลก: อ้างอิงข้อมูลจากตลาด Gold Spot ราคาทองคำแบบ Real-time บน FINNOMENA Money ช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของราคาทองคำได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอการอัปเดตข้อมูล นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลราคาทองคำแบบ Real-time บน FINNOMENA Money เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำ ตัดสินใจซื้อขายทองคำ หรือใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนอื่นๆ ข้อควรระวัง ราคาทองคำมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อขาย ข้อมูลราคาทองคำบน FINNOMENA Money เป็นเพียงข้อมูลอ้างอิง นักลงทุนควรตรวจสอบข้อมูลจาก แหล่งอื่นเพิ่มเติม แหล่งข้อมูล FINNOMENA Money: เมื่อข้อมูลการลงทุน อยู่ใกล้แค่คลิก: [URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว] รู้หรือไม่!? ทองคำไทยไม่เหมือนทองคำโลก I POCKET MONEY EP43 - FINNOMENA: [URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว] สรุป นักลงทุนสามารถติดตามราคาทองคำแบบ Real-time ผ่าน FINNOMENA Money ได้ โดยข้อมูลราคาทองคำบน FINNOMENA Money อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของราคาทองคำได้แบบเรียลไทม
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2094
Finance
เงินสำรองฉุกเฉิน คืออะไร
null
เงินออมของเราประเภทหนึ่ง หลังจากที่พี่หมอเคยเกริ่นเรื่องสมการการออม ที่ว่า รายรับ – เงินออม = รายจ่ายไปแล้ว , เงินออมตัวแรกที่ทุกคนควรมีก็คือ เงินออมในเงินสำรองฉุกเฉินนั่นเอง ซึ่งเงินสำรองฉุกเฉินนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้เกิดผลประโยชน์จากการลงทุนให้ได้ดอกผล (เราจะไม่ได้ร่ำรวยจากเงินส่วนนี้) แต่เป็นเงินที่สำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น เวลาที่เราตกงาน ถูกให้ออกจากงาน ระหว่างรอหางานใหม่ คนในครอบครัวเจ็บป่วย ค่าใช้จ่ายที่อื่นๆ ที่อาจมาโดยไม่ได้วางแผนมาก่อน เป็นต้น เสมือนเงินที่มีไว้ประกันความเสี่ยง ให้เรามีใช้ยามจำเป็น ไม่ต้องไปหยิบยืม กู้ยืมใคร เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะคงไม่มีใครอยากเป็นลูกหนี้ มีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไหรดี ก่อนอื่นต้องเข้าใจจุดประสงค์ของมันก่อน ว่ามันมีไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเรื่องฉุกเฉินในแต่ละเรื่องมีความรุนแรงไม่เท่ากัน เราต้องเป็นคนประเมินความรุนแรงเองว่าหนักหนาสาหัสแค่ไหน ใจความสำคัญคือมีให้มากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายของเราอย่างน้อย 6-12 เดือน (ตัวเลขนี้ปรับได้แล้วแต่บุคคล) โดย ให้น้องๆ คำนวณค่าใช่จ่ายคงที่ (Fixed Cost) ต่อเดือนก่อน เช่น ภาระหนี้สินต่อเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน/คอนโด 20,000 บาท ค่าผ่อนรถยนต์ 7,000 บาท ค่าน้ำมันรถยนต์ 3,000 บาท ค่าโทรศัพท์ 500 บาท ค่าตอบแทนบุพการี 10,000 บาท ค่าใช้กิน ค่าจิปาถะอื่น คิดวันละ 300 X 30 วัน = 9,000 บาท รวมต่อเดือนประมาณ 49,500 บาท เป็นต้น ทั้งนี้จะคำนวณได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อเราทำบัญชีรายรับรายจ่าย พอได้ตัวเลขกลมๆ 50,000 บาท มาแล้ว เราก็ทยอยเก็บเงินสำรองฉุกเฉินให้ได้ 6-12 เท่า ก็คือ 300,000 – 600,000 บาทนั่นเอง ตัวเลขเงิน 6-12 เดือนอาจปรับได้ตามความมั่นคงทางการเงินของเรา ตามอาชีพ พื้นฐานมาจากภายใน 6-12 เดือน เราน่าจะหางานใหม่ เพื่อให้รายได้คงเดิม กล่าวคือ อาชีพข้าราชการ มีความมั่นคงสูง ตกงานยาก แต่ก็จำเป็นต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอยู่ดี อาจปรับลดเป็น 3-6 เดือนได้ (แต่พี่หมอก็อยากแนะนำให้เป็น 6-12 เดือนอยู่ดี) อาชีพพนักงานเอกชน มีความเสี่ยงถูกเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้าได้มาก ยิ่งในช่วงที่บริษัทเกิดวิกฤติเช่นช่วงนี้ ควรคงไว้ที่ 6-12 เดือน กลุ่มอาชีพต่อมา คืออาชีพที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ค้าขาย, Freelance ซึ่งคาดการณ์รายได้ได้ยาก พี่หมอแนะนำให้สำรองไว้ 12-18 เดือนเลย (เกินดีกว่าขาด)
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2097
Finance
บุคคลที่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ควรมีเงินออมอย่างน้อย 10% ของรายได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: หลักการออมเงินทั่วไป: แนะนำให้มีเงินออมอย่างน้อย 10% ของรายได้ เพื่อเป็นเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย ตกงาน หรือรถเสีย รายได้ 50,000 บาทต่อเดือน: ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ค่าใช้จ่าย: โดยเฉลี่ยแล้ว ค่าใช้จ่ายของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 50-60% ของรายได้ เงินออม 10%: -ช่วยให้มีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน: เงินออม 5,000 บาทต่อเดือน เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 1 เดือน -ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน: เงินออม 5,000 บาทต่อเดือน สามารถนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน -สร้างความมั่นคงทางการเงิน: เงินออม 5,000 บาทต่อเดือน ช่วยลดความกังวลเรื่องเงิน ข้อดีของการออมเงิน: -สร้างความมั่นคงทางการเงิน: มีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน -บรรลุเป้าหมายทางการเงิน: เงินออมนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน -สร้างอิสรภาพทางการเงิน: มีเงินออมเพียงพอสำหรับเกษียณอายุ ข้อเสียของการไม่ ออมเงิน: -ไม่มีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน: อาจต้องกู้ยืมเงิน -บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ยาก: ไม่มีเงินออมนำไปลงทุน -ไม่มีอิสรภาพทางการเงิน: ต้องทำงานไปเรื่อยๆ กรณีพิเศษ: บุคคลที่มีภาระหนี้สิน: ควรออมเงินเพื่อชำระหนี้ก่อน บุคคลที่มีรายได้น้อย: ควรออมเงินเท่าที่สามารถทำได้ สรุป: บุคคลที่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ควรมีเงินออมอย่างน้อย 10% ของรายได้ เพื่อเป็นเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน บรรลุเป้าหมายทางการเงิน และสร้างความมั่นคงทางการเงิน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2100
Finance
กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing - VI) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง มีโอกาสประสบความสำเร็จหรือมีความเสี่ยงอย่างไร เมื่อต้องเผชิญกับ "หุ้นปั่น" ที่มีราคาถูกแต่ถูก "แต่ง" ให้ดูน่าสนใจ?
null
กลยุทธ์ VI นั้นเป็นหลักการลงทุนที่มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของกิจการอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง กลยุทธ์นี้มักใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลและรอคอยจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งอาจขัดแย้งกับ "หุ้นปั่น" ที่ต้องการผลตอบแทนรวดเร็ว โดยใช้กลวิธีหลอกล่อให้ผู้ลงทุนเข้าซื้อหุ้น ความเสี่ยงของ VI กับหุ้นปั่น: ราคาถูกแต่ไม่จริง: หุ้นปั่นมักถูก "แต่ง" ให้ดูน่าสนใจผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ ข่าวลือ หรือปั่นราคา VI อาจเข้าใจผิดคิดว่าหุ้น undervalued สูญเสียเงินทุน: เมื่อราคาหุ้นปั่นกลับมาที่ราคาที่แท้จริง นักลงทุน VI อาจสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก เสียเวลาและโอกาส: การลงทุนในหุ้นปั่น เสียเวลาและโอกาสในการลงทุนหุ้น VI ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว การหาจุดสมดุล: วิเคราะห์อย่างละเอียด: นักลงทุน VI ควรวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของกิจการอย่างละเอียด ไม่ควรเชื่อข่าวลือหรือคำแนะนำจากผู้อื่น ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ: ตรวจสอบข้อมูลของกิจการ ผู้บริหาร และที่มาของข่าว ติดตามอย่างต่อเนื่อง: ติดตามผลการดำเนินงานของกิจการ และข่าวสารที่เกี่ยวข้อง กระจายความเสี่ยง: กระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว กลยุทธ์ VI กับหุ้นปั่น: VI ไม่ได้ต่อต้านหุ้นปั่น: VI บางกลุ่มอาจใช้กลยุทธ์ "contrarian" ซื้อหุ้นปั่นที่ราคาถูก แต่ต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด และรอคอยจังหวะที่เหมาะสม VI เน้นระยะยาว: VI มุ่งเน้นไปที่ผลตอบแทนระยะยาว ไม่ควรใจร้อน และไม่ควรลงทุนในหุ้นปั่นที่หวังผลตอบแทนรวดเร็ว VI ต้องเรียนรู้: VI ต้องเรียนรู้กลยุทธ์ เทคนิค และวิธีการป้องกันตัวเองจาก "หุ้นปั่น" สรุป: กลยุทธ์ VI ยังคงเป็นหลักการลงทุนที่มั่นคง แต่ VI จำเป็นต้องเรียนรู้ เข้าใจ และวิเคราะห์ "หุ้นปั่น" อย่างละเอียด เพื่อป้องกันความเสี่ยง และรักษาผลตอบแทนระยะยาว คำแนะนำเพิ่มเติม: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ VI เพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เพื่อขอคำแนะนำในการลงทุน ลงทุนด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2104
Finance
นักลงทุนควรเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนในยุค Disruption?
null
1. เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง: ศึกษาและติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ ของเทคโนโลยี วิเคราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวเก่ง และสามารถเติบโตในยุค Disruption 2. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลงทุนในธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กันน้อย (uncorrelated) ลงทุนในบริษัทที่มีขนาดและอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย 3. มองหาโอกาสใหม่: ศึกษาธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี ลงทุนในธุรกิจที่มีโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง มองหาธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง 4. ลงทุนระยะยาว: อดทนรอคอยผลตอบแทน ไม่ควรลงทุนตามกระแส เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานดี 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หาสถาบันการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ ปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตรงกับความต้องการ ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: - ลงทุนในหุ้น เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เติบโตสม่ำเสมอ และมีราคาถูก - ลงทุนในพันธบัตร เน้นพันธบัตรที่มีคุณภาพสูง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ - ลงทุนในทองคำ เก็บไว้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง - ลงทุนในกองทุนรวม กระจายความเสี่ยงและลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญ ข้อควรระวัง: - ไม่มีกลยุทธ์การลงทุนใดที่รับประกันผลตอบแทน - การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ - ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต สรุป: ในยุค Disruption นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและการเงินที่เปลี่ยนแปลง เน้นกระจายความเสี่ยง มองหาโอกาสใหม่ ลงทุนระยะยาว และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2105
Finance
จงบอกวิธีให้เงินงอกเงย
null
1. เงินออม ฝากประจำ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย มีการสรุปอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั้งแบบออมทรัพย์ ฝากถอนเมื่อไรก็ได้ และทั้งแบบฝากประจำกี่เดือน ๆ ทุกธนาคารที่เดียว เทียบให้หมด ทางเลือกแรก Basic สำหรับทุกคน ปลอดภัย มีแค่ว่าฝากประจำ ถ้าสมมติต้องรีบใช้เงินแล้วถอนออกมาก่อน อาจมีเงื่อนไข เช่น ไม่จ่ายดอกเบี้ยเลย หรือ จ่ายในเรทที่ถูกกว่าได้ เป็นสิ่งที่ต้องแลกเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น 2. ME by TMB ของทางธนาคารทหารไทย อัตราดอกเบี้ยต่อปีค่อนข้างสูง เกือบใกล้เคียงกับฝากประจำ 24 เดือน ในข้อ 1 (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2562) แต่อย่าลืมดูรายละเอียดดี ๆ จะมีเงื่อนไขในส่วนของอัตราดอกเบี้ยในเว็บ ต้องมีเงินเข้าในบัญชีนั้นในแต่ละเดือนสูงกว่าเงินออก ถ้าเปิดบัญชีใหม่ใช้สำหรับการออมเงินอย่างเดียว ใส่เดือนละพันทุกเดือน แบบนี้ไม่เป็นปัญหา 3. TMRW by UOB แอปฯ ธนาคารหน้าตาน่ารัก จากแบงค์ UOB มีหลายอย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตที่ Cashback ได้อัตราสูง แต่หารู้ไม่ ก็สามารถฝากเงินได้ดอกเบี้ย 1.6% ต่อปีเช่นกัน 4. ลงทุนกองทุนรวม ประเภท ตราสารเงิน / ตราสารหนี้ระยะสั้น การลงทุนในกองทุนรวมตราสารเงิน / หนี้ระยะสั้นเหมือนการนำเงินไปให้ผู้จัดการกองทุนรวมลงทุนในตราสารจำพวกพันธบัตรรัฐบาล หรือ ของแบงค์ชาติ บัตรเงินฝาก ตั๋วแลกเงิน หรือแม้กระทั่งหุ้นกู้เอกชน ซึ่งกองทุนรวมประเภทนี้จะมีความเสี่ยงน้อยกว่ากองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นมาก และการที่เลือกเป็นตราสารเงิน หรือตราสารหนี้ระยะสั้น ก็เปรียบเสมือนการปล่อยกู้ระยะสั้นตั้งแต่ระยะรายวัน ถึง ไม่เกิน 1 ปีซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าการปล่อยกู้ยาว ๆ ข้อดีคือ มีผลตอบแทนต่อปีที่ค่อนข้างดีกว่าเงินฝาก รวมถึงไม่มีข้อจำกัดเรื่องการต้องฝากเพิ่ม หรือ ถอน อย่างไรก็ตามการลงทุนในกองทุนนั้น จะมีความเสี่ยงเพิ่มเข้ามา ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เป็นการการันตีว่าอนาคตจะได้อีก ต้องดูตามสภาวะตลาดที่เกิดขึ้นด้วย นอกจากนี้การขายกองทุน หรือ ถอนเงินออกจากกองทุนนี้มาใช้ จำเป็นที่จะต้องรอ 1 วันทำการ ถอนวันนี้ ได้พรุ่งนี้ ไม่ใช่ได้ทันที แต่ว่าไม่มีข้อผูกมัดอย่างไร ผลตอบแทนได้ทุกวัน 5. ลงทุนจัดพอร์ตแบบจริงจัง จัดทัพกองทุนหุ้น ตราสารหนี้ มาแบบครบๆ (ต้อง 2,500 บาทต่อเดือนในปัจจุบัน) หากลงทุนดี ๆ 1 ล้านบาท จาก 83 ปี เหลือแค่ 24 ปี ข้อสำคัญที่ทำให้ได้ระยะเวลาน้อยเช่นนั้นมาจากผลตอบแทนต่อปี
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2118
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ตราสารหนี้ : เป็นสัญญาการกู้ยืมเงินระหว่างนักลงทุน (เจ้าหนี้) กับผู้ออก (ลูกหนี้) โดยผู้ออกจะจ่ายดอกเบี้ยให้กับนักลงทุนเป็นระยะ ๆ และชำระเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด ตราสารทุน : เป็นสัญญาการร่วมลงทุนในธุรกิจ โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผล และ/หรือ กำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น ความเสี่ยงของตราสารหนี้ โดยทั่วไป จะต่ำกว่าตราสารทุน เนื่องมาจาก 1. ความมั่นคงของเงินต้น : ตราสารหนี้มีการจ่ายเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด 2. ความสม่ำเสมอของผลตอบแทน : ตราสารหนี้จ่ายดอกเบี้ยเป็นระยะ ๆ 3. ความผันผวนของราคา โดยทั่วไป ต่ำกว่า ตราสารทุน อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น - ความเสี่ยงจากเครดิต ของผู้ออก - ความเสี่ยงจากอัตรดอกเบี้ย - ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง ตัวอย่าง: 1. กองทุนรวมตราสารหนี้ มักลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ บัตรเงินคลัง 2. กองทุนรวมตราสารทุน มักลงทุนในหุ้น โดยทั่วไป ผลตอบแทนของ กองทุนรวมตราสารหนี้ จะ ต่ำกว่า กองทุนรวมตราสารทุน แต่ มีความเสี่ยง ต่ำกว่า สรุป : การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมแต่ละประเภทก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2119
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ วิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Sum Of The Parts (SOTP)
null
วิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Sum Of The Parts (SOTP) เป็นการหามูลค่าหุ้นบริษัทลูกหรือบริษัทที่บริษัทโฮลดิ้งถืออยู่ว่ารวมกันแล้วเท่ากับเท่าไร ในกรณีที่บริษัทเองทำธุรกิจเอง แต่ไม่ได้เป็น Pure Holding จะต้องดูว่าธุรกิจนั้นเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่บริษัทแม่ถือหุ้น 100% แล้วตัวเลขมูลค่าหุ้นทั้งหมดจะเป็นตัวบอกว่า Market Cap. ของหุ้นแม่ ซึ่งควรจะเป็นเท่าไร วิธีประเมินนี้มีความแม่นยำ เพราะอิงอ้างกับมูลค่าหุ้นของแต่ละกิจการที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทโฮลดิ้งที่สามารถขายได้จริง ถ้าส่วนที่บริษัทถือนั้นมีอยู่ไม่มาก เมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมด บทเรียนจากย่อหน้านี้ การวิเคราะห์หรือประเมินมูลค่าหุ้นโฮลดิ้งนั้น วิธีแรกก็คือ การหามูลค่าหุ้นบริษัทลูกหรือบริษัทที่บริษัทโฮลดิ้งถืออยู่ ดูว่ารวมกันแล้วเท่ากับเท่าไร นอกจากนั้น ถ้าตัวบริษัทเองก็ทำธุรกิจเองด้วย ไม่ได้เป็น Pure Holding แบบนี้ก็ต้องดูเสมือนหนึ่งว่าธุรกิจนั้นก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่บริษัทแม่ถือหุ้น 100% ตัวเลขมูลค่าหุ้นทั้งหมดรวมกันนี้ก็จะเป็นตัวบอกว่า Market Cap. ของหุ้นแม่นั้นควรจะเป็นเท่าไรตามทฤษฎี ในวงการหุ้นเรียกว่าเป็นวิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Sum Of The Parts (SOTP) แต่เพื่อให้ปลอดภัยและเป็นการประเมินแบบอนุรักษ์นิยม นักวิเคราะห์ก็มักจะ “ลดมูลค่า” ทรัพย์สินหรือหุ้นที่บริษัทโฮลดิ้งถืออยู่ประมาณ 20-25% เพราะเขาคิดว่าถ้าบริษัท “ขาย” หุ้นต่าง ๆ ที่ถืออยู่เพื่อให้ได้เงินจริง ๆ บริษัทก็จะต้อง “จ่ายภาษี” นิติบุคคล 20% เป็นต้น วิธีประเมินแบบ SOTP นั้น เป็นวิธีที่น่าจะใกล้เคียงและมีความแม่นยำกว่าวิธีอื่นเนื่องจากมันอิงอยู่กับตัวเลขมูลค่าหุ้นของแต่ละกิจการที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทโฮลดิ้งสามารถขายได้จริงถ้าส่วนที่บริษัทถือนั้นไม่ได้มากเมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมดของกิจการเช่น อาจจะถือแค่ 10-20% เป็นต้น แต่ถ้าหุ้นที่บริษัทถือนั้นสูงมากเช่น 50% ของทุนจดทะเบียนขึ้นไปซึ่งมักทำให้ “ขายไม่ได้” เพราะจะไม่ได้ราคาที่เห็น แบบนี้ เราก็อาจจะต้องคำนวณมูลค่าอีกแบบหนึ่งเฉพาะในหุ้นตัวนั้น
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2120
Finance
การออมเงินเป็นประจำ จะช่วยให้รวยได้จริงหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: -การออมเงินช่วยให้มีเงินทุนสำรอง: เงินออมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การตกงาน การเจ็บป่วย หรือการสูญเสียทรัพย์สิน -การออมเงินช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน: เงินออมช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาว เช่น การซื้อบ้าน การเกษียณอายุ หรือการส่งลูกเรียน -การออมเงินช่วยให้มีอิสรภาพทางการเงิน: เงินออมช่วยให้เราสามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ตัวอย่าง: -สมมติว่าเราออมเงิน 10,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่นำไปลงทุน เงินออมของเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 บาท -เงินออม 1,200,000 บาท สามารถนำไปใช้เป็นเงินทุนสำรองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ นำไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มผลตอบแทน -เงินออม 1,200,000 บาท ช่วยให้เราสามารถเกษียณอายุได้เร็วขึ้น หรือ ส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศ ข้อดี: 1.ช่วยให้มีเงินทุนสำรอง 2.ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน 3.ช่วยให้มีอิสรภาพทางการเงิน ข้อเสีย: 1.ต้องใช้ความอดทน 2.ต้องมีวินัย 3.ผลตอบแทนอาจไม่สูง สรุป: -การออมเงินเป็นประจำเป็นพฤติกรรมที่สำคัญสำหรับการบรรลุเป้าหมายทางการเงิน และสร้างความมั่นคงทางการเงิน -ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2121
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ แนวคิดของการมองหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
null
สำหรับแนวคิดของการมองหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง จะมีอยู่ 2 แนวคิด แนวคิดแรก คือ การมองหาหุ้นที่มีอนาคตว่าจะเติบโต และโตขึ้นได้เรื่อย ๆ มาจากรายได้ที่เติบโตขึ้น ทำห้กำไรเติบโตตาม หรือ รายได้เติบโตไม่มาก แต่กำไรกลับเติบโตมาก เพราะการปรับเปลี่ยนแนวทางธุรกิจ ส่วนอีกแนวคิดหนึ่ง นั่นก็คือ การมองหาหุ้นที่ถูกลดราคาลงมาแบบอัศจรรย์และเหลือเชื่อว่าทำได้จริง เนื่องจากความกลัวจนเกินเหตุ หรือตลาดไม่เป็นใจ บทเรียนจากย่อหน้านี้ แนวคิดของการมองหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงนั้น แบ่งออกได้สองแนวคิด ได้แก่ การมองที่มองเห็นมูลค่าเพิ่มในอนาคต แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง และการที่เห็นหุ้นลดราคาลงมาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในปัจจุบัน แนวคิดแรก … จะมองหาหุ้นที่อนาคตมีแววจะเติบโต และโตขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตอาจจะมาจาก รายได้ที่เติบโตขึ้น ส่งผลให้กำไรเติบโตตาม หรือ อาจมาจากการที่รายได้เติบโตไม่มาก แต่กำไรกลับเติบโตมาก เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนแนวทางในการทำธุรกิจบางอย่าง แนวคิดที่สองก็คือ … จะมองหาหุ้นที่ถูกลดราคาลงมาอย่างเหลือเชื่อ อาจเป็นเพราะผู้คนตื่นกลัวจนเกินเหตุ หรือตลาดไม่เป็นใจ แต่หากคิดผิด พื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงไปจริงจัง แบบนี้ก็จะเป็นการลงทุนที่เลวร้ายได้เลย
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2122
Finance
การผกผันของ Yield Curve เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยเสมอไปหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: การผกผันของ Yield Curve เป็นสัญญาณเตือน ว่าเศรษฐกิจอาจถดถอย แต่ไม่ใช่สัญญาณที่แน่นอน Yield Curve ผกผัน หมายถึง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 3 เดือน สาเหตุ ของการผกผัน Yield Curve มีหลายประการ เช่น - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ - นักลงทุน คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลงในอนาคต - นักลงทุน ต้องการซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อความปลอดภัย การผกผัน Yield Curve เคยเกิดขึ้นก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในอดีต แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่ Yield Curve ผกผันจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตัวอย่าง ของ Yield Curve ผกผันที่ไม่ได้นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น - ปี 1998 เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ Yield Curve ผกผัน แต่เศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย - ปี 2019 Yield Curve ผกผัน แต่เศรษฐกิจยังคงเติบโต ปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาร่วมกับ Yield Curve - ตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น อัตราการว่างงาน การเติบโตของ GDP - นโยบายการเงิน ของเฟด - ความเสี่ยงทางการเมือง สรุป การผกผันของ Yield Curve เป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจอาจถดถอย แต่ไม่ใช่สัญญาณที่แน่นอน ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมกับ Yield Curve เพื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจ การวิเคราะห์เศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ซับซ้อน ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2123
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สิ่งชี้วัดภายในที่บ่งบอกถึงปรัชญาการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์
null
วอร์เรน บัฟเฟตต์ สอนเด็กนักเรียนไฮสคูลให้เป็นคนดี ผ่านสารคดี Becoming Warren Buffett ของ HBO ในปี 2017 โดยเขาได้สอนเกี่ยวกับกฏ 2 ข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน ซึ่งแนวคิดที่ว่าก็คือ สิ่งชี้วัดภายในที่บ่งบอกถึงปรัชญาการลงทุน โดยแนวคิดนี้จะมีง่าย ๆ แค่ 2 ข้อ คือ ห้ามขาดทุน และอย่าลืมที่จะห้ามขาดทุน การใช้วิธีลงทุนที่สมเหตุสมผล เป็นสิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดมั่นมาตลอด เพราะเขาลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อขาดทุน บทเรียนจากย่อหน้านี้ ในสารคดีของ HBO ที่ชื่อ Becoming Warren Buffett ในปี 2017 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้สอนเด็กนักเรียนไฮสคูลกลุ่มหนึ่ง เขาไม่ได้สอนเรื่องวิธีการทำเงินหรอก แต่เป็นวิธีการใช้ชีวิตที่ดี รวมถึงการเป็นคนที่ดีต่างหาก อย่าลืมกฏ 2 ข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน สิ่งชี้วัดภายในที่บ่งบอกถึงปรัชญาการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นมีสั้น ๆ ง่าย ๆ แค่สองข้อ “ข้อ 1 คือ ห้ามขาดทุน ข้อที่ 2 คือ อย่าลืมข้อที่ 1” สิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดมั่นมาตลอดก็คือ Mindset ของเขา นั่นคือการใช้วิธีลงทุนที่สมเหตุสมผล อธิบายให้เห็นภาพขึ้นก็คือการทำการบ้านก่อน การหาบริษัทที่ยั่งยืนและมีชื่อเสียงดี ไม่ทำตัวเหลาะแหละหรือมองการลงทุนเป็นการพนัน บัฟเฟตต์ไม่เคยเตรียมตัวลงทุนเพื่อที่จะขาดทุน พวกเราเองก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2125
Finance
แผนการลงทุนให้เป้าหมายชีวิตไม่ไกลเกินเอื้อม มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
null
แผนการลงทุนให้เป้าหมายชีวิตไม่ไกลเกินเอื้อม มีขั้นตอนดังนี้ 1. การวางแผนงบประมาณและค่าใช้จ่าย อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ว่าแป็นพื้นฐานที่สำคัญเลย เพราะการบันทึกค่าใช้จ่ายทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วจ่ายเงินไปกับอะไร เท่าไหร่ และเหลือเงินเก็บในแต่ละเดือนแค่ไหน ถ้าเหลือมากก็สามารถแบ่งเงินมาออม หรือว่าลงทุนได้มาก ซึ่งจะมีผลให้เราบรรลุเป้าหมายได้มากด้วย ส่วนนี้สามารถใช้ Application บันทึกค่าใช้จ่ายได้ 2. ระบุจำนวนเงินที่ต้องใช้ในแต่ละเป้าหมายและเวลาที่ใช้ในการลงทุน ขั้นตอนนี้จะสอดคล้องกับขั้นตอนที่ 1 คือ ควรวางเป้าหมายให้เหมาะกับเงินออมที่เหลือในแต่ละเดือนด้วย 3. การเลือกสินทรัพย์สำหรับลงทุน โดยการเลือกสินทรัพย์ควรสอดคล้องกันระหว่างความจำเป็นในการใช้เงิน กับช่วงเวลาในการลงทุนด้วย สินทรัพย์แต่ละประเภทสร้างผลตอบแทนให้ได้ไม่เท่ากัน 4. ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการลงทุน คือ การบริหารความเสี่ยง เพราะว่าการลงทุนไม่ได้มีแต่ผลตอบแทนเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงที่สินทรัพย์ที่ลงทุนจะมีราคาลดลงในแต่ละช่วงเวลา โดยการลดลงจะไม่เท่ากันและขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ต่างกันด้วย ระยะเวลายิ่งใกล้ถึงเป้าหมายยิ่งต้องมีสัดส่วนสินทรัพย์ที่ราคาไม่ผันผวน เช่น กองทุน ตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือเงินสด มากขึ้น หรืออย่างในกรณีแผนเกษียณควรมีการปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเมื่อใกล้เวลาเกษียณเช่นกัน แต่ในระหว่างทางอาจจะลงทุนในหุ้นได้เพราะหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุดในสินทรัพย์ทางการเงินแบบปกติ และไม่จำเป็นต้องเอาเงินที่ลงทุนมาใช้ระหว่างทาง 5. การลงทุนควรจัดสรรเงินเป็นพอร์ต (Portfolio) คือ การจัดสัดส่วนเงินลงทุนที่มีว่าจะลงทุนกับสินทรัพย์อะไรในสัดส่วนเท่าไหร่และควรมีการปรับสัดส่วนพอร์ตเมื่อสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตเปลี่ยนไป อาจจะขายหุ้นบางส่วนมาซื้อตราสารหนี้เพื่อให้มีสัดส่วนหุ้นต่อตราสารหนี้เป็น 50 ต่อ 50 เท่าเดิม วีธีการ Rebalance Portfolio จะทำให้ขายสินทรัพย์ที่ราคาแพงขึ้นไปซื้อสินทรัพย์ที่ราคาถูกลงอย่างอัตโนมัติ และทำให้ความผันผวนของพอร์ตลดลงด้วย 6. การวางแผนสำรองต่างๆ เช่น การทำประกัน และเงินสดสำรองฉุกเฉิน (ควรสำรองไว้ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี) เผื่อกรณีตกงานหรือเจ็บป่วย ก็ยังมีเงินใช้ในช่วงนั้นโดยไม่ต้องรบกวนเงินที่เก็บไว้เพื่อเป้าหมายต่าง ๆ 7. การวางแผนภาษี เพราะการวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้มีเงินมากขึ้นได้ สุดท้ายนี้แม้ว่าการวางแผนการเงินการลงทุนจะเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ว่าถ้าเริ่มลงมือทำก็น่าจะช่วยให้ชีวิตทางการเงินราบรื่นและบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ที่ตั้งไว้ได้ด้วยดี
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2126
Finance
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับเงิน 10 ล้านบาทหลังเกษียณควรมีลักษณะอย่างไร?
null
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับเงิน 10 ล้านบาทหลังเกษียณนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น เป้าหมายการใช้ชีวิต ระดับความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาการเกษียณ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม บทความได้นำเสนอ 2 ทางเลือกหลักๆ ดังนี้ 1. นำเงิน 10 ล้านเก็บไว้ใช้ มอบความสุขให้กับชีวิต: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เน้นการใช้เงินเพื่อซื้อความสุข ไม่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม - ข้อดี: ใช้ชีวิตอย่างสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ควบคุมการใช้จ่ายได้ง่าย - ข้อเสีย: เงินอาจหมดลงก่อนวัยอันควร พลาดโอกาสในการต่อยอดเงิน เงินเฟ้ออาจกัดกินมูลค่าเงิน 2. นำเงิน 10 ล้านไปลงทุนต่อยอด: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการต่อยอดเงินให้เติบโต เน้นสร้างกระแสเงินสด passive income ต้องการความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว - ข้อดี: มีโอกาสต่อยอดเงินให้เติบโต สร้างกระแสเงินสด passive income มั่นคงทางการเงินในระยะยาว - ข้อเสีย: มีความเสี่ยง ผลตอบแทนไม่แน่นอน ต้องใช้ความรู้และความเข้าใจในการลงทุน กลยุทธ์ที่เหมาะสม: จากข้อดีและข้อเสียของทั้ง 2 ทางเลือก กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับเงิน 10 ล้านบาทหลังเกษียณ ควรเป็นการผสมผสานระหว่างทั้ง 2 แนวทาง ดังนี้ 1. แบ่งเงินเป็น 2 ส่วน: ส่วนที่ 1: เก็บไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน คิดเป็น 30-50% ของเงินทั้งหมด ส่วนที่ 2: นำไปลงทุนต่อยอด คิดเป็น 50-70% ของเงินทั้งหมด 2. เลือกวิธีลงทุนที่เหมาะสม: สำหรับเงินที่เก็บไว้ใช้จ่าย เน้นความปลอดภัยและสภาพคล่อง เช่น เงินฝากธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล สำหรับเงินที่นำไปลงทุน เน้นสร้างกระแสเงินสด passive income และความมั่นคงในระยะยาว เช่น หุ้นปันผล กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) 3. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว เลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันน้อย (uncorrelated) ลงทุนในบริษัทที่มีขนาดและอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย 4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หาสถาบันการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ ปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตรงกับความต้องการ 5. ทบทวนกลยุทธ์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: ปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เปลี่ยนสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ขายสินทรัพย์ที่ขาดทุนและซื้อสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโต
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2128
Finance
นักลงทุน VI ควรลงทุนในหุ้น Consumer ไทยหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เหตุผล: 1. ศักยภาพการเติบโต: ข้อดี: หุ้น Consumer ไทยบางตัวมี "ยี่ห้อสินค้าที่โดดเด่น" สร้าง Durable Competitive Advantage (CA) ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้า ยอมจ่ายราคาแพงกว่า ธุรกิจมั่นคง กำไรดี เหมาะกับนักลงทุน VI ที่ต้องการความมั่นคง ข้อเสีย: ตลาด Consumer ไทย "อิ่มตัว" ประชากรไทย "แก่ตัวลง" เกิดน้อย การบริโภคต่อหัว "ทรงตัว" โอกาสเติบโต "จำกัด" 2. การขยายตลาดไปต่างประเทศ: ข้อดี: เพิ่มโอกาสเติบโต ตลาดจีนมีประชากรมาก ข้อเสีย: คนจีน "ไม่นิยม" สินค้าไทย รสนิยม รสชาติ การใช้สินค้า "แตกต่าง" ภาพพจน์สินค้าไทย "ด้อยกว่า" สินค้าไทย "ไม่ดัง" ทั่วโลก 3. กลยุทธ์อื่น: แนวตั้ง: ลดต้นทุน ตั้งโรงงาน จัดการ Logistic เพิ่มยี่ห้อสินค้า: จับ Segment ใหม่ เจอ "เจ้าถิ่น" แข่งขันสูง 4. มูลค่าหุ้น: ข้อดี: หุ้น Consumer ไทย "ปันผลดี" เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกินปันผล ข้อเสีย: หุ้น Consumer ไทย "ราคาแพง" ค่า PE สูง ความเสี่ยงสูง 5. บทเรียนจากหุ้น "นางฟ้า": หุ้น Consumer ไทย "ตกลงมามาก" นักลงทุนควร "ระวัง" สรุป: หุ้น Consumer ไทย "ดีพอใช้" เติบโตช้า เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง ต้องการกินปันผล มูลค่าหุ้น "ไม่ถูก" ความเสี่ยงสูง นักลงทุน VI ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ carefully ก่อนตัดสินใจลงทุน คำเตือน: บทความนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม วิเคราะห์ปัจจัยอื่น ๆ ประเมินความเสี่ยง ตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเอง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2130
Finance
การออมเงินจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7% มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเงินล้านภายในระยะเวลาเท่าใด
null
จากบทความ "Get Wealth Soon" แนะนำให้ตั้งเป้าหมายการออมเงินที่สอดคล้องกับความเป็นจริง และเลือกวิธีการออมที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ในกรณีนี้ เป้าหมายคือการมีเงินล้าน โดยใช้กลยุทธ์การออมเงินจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7% เพื่อคำนวณระยะเวลาที่ใช้ในการบรรลุเป้าหมาย เราสามารถใช้สูตรการคำนวณดอกเบี้ยทบต้นดังนี้ A = P(1 + r/n)^(nt) โดยที่ A = เงินต้น + ดอกเบี้ย P = เงินต้น r = อัตราดอกเบี้ย n = จำนวนทบต้นต่อปี t = จำนวนปี แทนค่าในสูตร P = 5,000 บาท r = 7% n = 12 (รายเดือน) t = ? แก้สมการหา t t = log(A/P) / log(1 + r/n) t = log(1,000,000/5,000) / log(1 + 0.07/12) t = 27.32 ปี ผลลัพธ์: จากการคำนวณ การออมเงินจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7% มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเงินล้านภายในระยะเวลา ประมาณ 27.32 ปี ปัจจัยเพิ่มเติม: ผลตอบแทนที่แท้จริง: ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนอาจไม่ใช่ 7% เป๊ะ ๆ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน ภาวะเศรษฐกิจ และความเสี่ยง เงินเฟ้อ: เงินเฟ้อจะทำให้ค่าเงินในอนาคตมีมูลค่าลดลง การปรับเงินออม: ควรปรับเงินออมให้สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ข้อเสนอแนะ: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน สรุป: การออมเงินเป็นประจำ ลงทุนอย่างชาญฉลาด และอดทน รอคอยผลตอบแทนระยะยาว เป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทางการเงิน หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยให้เข้าใจหลักการออมเงินและการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2131
Finance
นักลงทุนไทยควรพิจารณาอะไรบ้างก่อนตัดสินใจลงทุนใน Smart Beta ETF?
null
Smart Beta ETF นำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายเงินลงทุนไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน: 1. กลยุทธ์การลงทุน: Smart Beta ETF แต่ละตัวมีกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจกลยุทธ์เหล่านั้น เลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้ 2. ค่าธรรมเนียม: แม้ว่า Smart Beta ETF จะมีค่าธรรมเนียมไม่แพง แต่ค่าธรรมเนียมก็ยังมีผลต่อผลตอบแทนระยะยาว นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของ Smart Beta ETF แต่ละตัวก่อนตัดสินใจ 3. สภาพคล่อง: Smart Beta ETF บางตัวมีสภาพคล่องต่ำ อาจยากต่อการซื้อขาย นักลงทุนควรตรวจสอบสภาพคล่องของ Smart Beta ETF ก่อนตัดสินใจ 4. ความเสี่ยง: Smart Beta ETF ยังมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับการลงทุนใน ETF ทั่วไป นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของ Smart Beta ETF แต่ละตัวก่อนตัดสินใจ 5. ภาษี: การลงทุนใน Smart Beta ETF ที่ซื้อขายในต่างประเทศ อาจมีภาระภาษีเพิ่มเติม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลภาษีก่อนตัดสินใจ ตัวอย่างคำถามเพิ่มเติมที่นักลงทุนควรพิจารณา: กลยุทธ์ Smart Beta นี้มีประวัติผลการดำเนินงานอย่างไร? กลยุทธ์ Smart Beta นี้มีความเสี่ยงอะไรบ้าง? Smart Beta ETF นี้มีสภาพคล่องอย่างไร? ใครเป็นผู้จัดการกองทุน Smart Beta ETF นี้? ค่าธรรมเนียมของ Smart Beta ETF นี้เปรียบเทียบกับ ETF อื่นๆอย่างไร? Smart Beta ETF เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายเงินลงทุนไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2136
Finance
จงบอกความลับเงินล้านของ โดนัลด์ ทรัมป์
null
1. พ่อของทรัมป์เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฯ รายใหญ่คนหนึ่ง เงินที่ทรัมป์ได้รับจากพ่อมีมูลค่าเป็นเงินแบบปรับเงินเฟ้อแล้ว สูงถึง 413 ล้านเหรียญ ทรัมป์มีความมั่งคั่ง 3,100 ล้านเหรียญ เขาได้รับผลบุญจากพ่อของเขาเป็นจำนวน 1 ใน 10 ของความมั่งคั่งทั้งหมด 2. พ่อของทรัมป์โอนสินทรัพย์มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญให้กับลูกๆ ของเขา ตามกฏหมายของสหรัฐอเมริกาแล้วต้องจ่ายภาษีที่ 55% ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงถึง 550 ล้านเหรียญ แต่ท่านจ่ายภาษีเพียง 52 ล้านเหรียญหรือเทียบเป็นอัตราภาษีเพียง 5% เท่านั้น 3. ทรัมป์เป็นเศรษฐีมาตั้งแต่แบเบาะ เขาได้รับเงิน 200,000 เหรียญจากพ่อของเขาตอนอายุ 3 ขวบ ติดอันดับเศรษฐีตอนอายุ 8 ขวบ แม้ว่าเขาจะอายุ 40 ปีแล้วแต่ยังได้รับเงินจากพ่อของเขาปีละ 5 ล้านเหรียญ 4. ทรัมป์อ้างว่าเขาได้รับเงินจากพ่อเพียง 1 ล้านเหรียญเท่านั้น ในรูปแบบของเงินกู้ แต่ The Times ได้รับรายงานว่า เฟรด ทรัมป์ ได้ให้ลูกเขากู้เงินสูงถึง 60.7 ล้านเหรียญในอดีต นับเป็นเงินที่ 140 ล้านเหรียญ 5. ในการทำธุรกิจของทรัมป์หลายๆ ครั้ง พ่อของเขาต้องเขามาช่วยรวมถึงตอนที่เขาช็อต พ่อของเขาต้องเข้ามาค้ำประกันให้ 6. จุดตกต่ำที่สุดของทรัมป์น่าจะอยู่ในปี 1990 เพราะพ่อของเขาต้องถอนเงินออกมาจากธุรกิจของเขาสูงถึง 50 ล้านเหรียญ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเอาออกมาทำอะไรเพราะไม่มีข่าว แต่ The Times คิดว่าเป็นไปได้สูงที่จะเอามาช่วยธุรกิจของลูกชายนั่นเอง 7. ในปี 1990 ยังมีเหตุการณ์ที่แปลกเกิดขึ้น ธุรกิจคาสิโนของทรัมป์ต้องจ่ายหนี้หุ้นกู้เป็นเงินจำนวน 18.4 ล้านเหรียญ พ่อของทรัมป์ไปซื้อชิปที่คาสิโนด้วยเงิน 3.5 ล้านเหรียญแต่ไม่ลงเล่นพนัน สุดท้ายโดนปรับไป 65,000 เหรียญด้วยข้อหาให้เงินกู้แบบผิดกฏหมาย 8. ในปี 1987 ทรัมป์กู้เงินพ่อเขาไปกว่า 11 ล้านเหรียญ ถ้าพ่อเขายกเงินกู้ก้อนนั้นให้ ทรัมป์ต้องจ่ายภาษีเงินได้หลักล้านเหรียญ สิ่งที่พ่อของทรัมป์ทำคือเอาเงิน 15 ล้านเหรียญไปซื้อหุ้นในคอนโดของทรัมป์ หลังจากนั้น 4 ปีขายหุ้นนั้นออกไปในราคาแค่ 10,000 เหรียญ ผู้ซื้อไม่ใช่ใคร โดนัลด์ ทรัมป์นี่เอง การทำธุรกรรมครั้งนี้ต้องเสียภาษีกว่า 5 ล้านเหรียญแต่ทรัมป์ก็รอดไปได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี 9. ที่ตลกที่สุดคือ หลังจากที่เฟรด ทรัมป์ตาย สินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดของเขาคือ สัญญาเงินกู้จากลูกชายของเขาเอง
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2138
Finance
การทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เหมาะกับคนทุกวัยหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. เบี้ยประกัน : เบี้ยประกันชีวิตแบบตลอดชีพจะคำนวณจากอายุของผู้เอาประกัน โดยทั่วไปแล้ว อายุที่มากขึ้น เบี้ยประกันก็จะยิ่งสูงขึ้น 2. ระยะเวลาคุ้มครอง : ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ จะคุ้มครองผู้เอาประกันจนถึงอายุ 90 หรือ 99 ปี ซึ่งหมายความว่า ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันเป็นระยะเวลานาน 3. ผลตอบแทน: ผลตอบแทนของประกันชีวิตแบบตลอดชีพค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประกันแบบอื่นๆ เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ 4. กลุ่มบุคคลที่เหมาะสมกับการทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพ : - ผู้ที่มีภาระผูกพันทางการเงินระยะยาว เช่น มีสินเชื่อบ้าน หรือมีลูกเล็ก - ผู้ที่ต้องการสร้างมรดกให้กับคนข้างหลัง: ประกันชีวิตแบบตลอดชีพจะจ่ายทุนประกันให้กับผู้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต - ผู้ที่มีรายได้สูง: สามารถจ่ายเบี้ยประกันที่สูงได้ 5. กลุ่มบุคคลที่ไม่เหมาะสมกับการทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพ : - ผู้ที่มีรายได้น้อย : อาจจะจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหว - ผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูง: ควรเลือกประกันแบบอื่นๆ ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า - ผู้ที่ไม่มีภาระผูกพันทางการเงิน : ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันที่มีระยะเวลาคุ้มครองยาวนาน 6. ทางเลือกอื่นๆ แทนประกันชีวิตแบบตลอดชีพ - ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์: มีผลตอบแทนสูงกว่า ประกันชีวิตแบบบำนาญ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ - กองทุนรวม : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาว สรุป : ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เหมาะกับผู้ที่มีภาระผูกพันทางการเงินระยะยาว ต้องการสร้างมรดกให้กับคนข้างหลัง และมีรายได้สูง 7. ข้อควรพิจารณาก่อนทำประกัน: - เปรียบเทียบเบี้ยประกัน และผลตอบแทนของประกันจากหลายๆ บริษัท - เลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความต้องการ และความสามารถทางการเงิน - ศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดของกรมธรรม์อย่างละเอียด 8. คำเตือน : - การทำประกันชีวิต เป็นการลงทุนระยะยาว ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ - ไม่ควรซื้อประกันเกินความจำเป็น - ควรมีเงินสำรองเผื่อไว้สำหรับจ่ายเบี้ยประกัน 9. คำแนะนำ : ปรึกษากับตัวแทนประกัน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2139
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมประเภท Global Income Focus (GIF) เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยง : กองทุน GIF ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ 2. ผลตอบแทน: ผลตอบแทนที่คาดหวังของกองทุน GIF อยู่ที่ 6-8% ต่อปี ซึ่งถือว่าปานกลาง นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง อาจมองหากองทุนประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า 3. กระแสเงินสด: กองทุน GIF มุ่งเน้นจ่ายกระแสเงินสดทุกเดือน นักลงทุนที่ต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อใช้จ่ายในอนาคต อาจไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ 4. ระยะเวลาการลงทุน : กองทุน GIF เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว นักลงทุนที่ต้องการใช้เงินในระยะสั้น อาจไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ 5. สภาพคล่อง : กองทุน GIF เป็นกองทุนรวมเปิด นักลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ แต่นักลงทุนควรตระหนักว่า สภาพคล่องของตลาดอาจส่งผลต่อราคาซื้อขายหน่วยลงทุน 6. ภาษี : เงินปันผลที่ได้รับจากกองทุน GIF จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นักลงทุนควรคำนวณผลตอบแทนสุทธิหลังหักภาษีแล้ว 7. ตัวอย่างนักลงทุนที่ไม่เหมาะกับการลงทุนในกองทุน GIF: - นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย: เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีรายได้น้อย - นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง: เช่น นักลงทุนที่ต้องการเกษียณอายุเร็ว - นักลงทุนที่ต้องการเงินก้อนใหญ่: เช่น นักลงทุนที่ต้องการซื้อบ้าน ซื้อรถ - นักลงทุนที่ต้องการใช้เงินในระยะสั้น: เช่น นักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน - นักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องสูง: เช่น นักลงทุนที่ต้องการซื้อขายหน่วยลงทุนบ่อยๆ 8. ตัวอย่างนักลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนในกองทุน GIF: - นักลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง: เช่น วัยทำงานที่มีรายได้ปานกลาง - นักลงทุนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ: เช่น - นักลงทุนที่ต้องการวางแผนเกษียณอายุ - นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว: เช่น นักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน 9. ข้อควรพิจารณาก่อนลงทุน : - ศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน - ปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานะทางการเงิน - ตัดสินใจลงทุนโดยคำนึงถึงความเสี่ยง ผลตอบแทน ระยะเวลาการลงทุน และสภาพคล่อง สรุป : กองทุน GIF เหมาะกับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง ต้องการสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ และต้องการลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2140
Finance
อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng ผู้จัดการกองทุน PYN ELITE
null
กลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng ผู้จัดการกองทุน PYN ELITE มุ่งเน้นไปที่ 3 หลักการหลัก ดังนี้ 1. เน้นลงทุนในตลาดหุ้นที่ถูก: Petri มองหาตลาดหุ้นที่ตกลงมามากจากวิกฤตเศรษฐกิจ และเชื่อว่าตลาดหุ้นเหล่านี้จะต้องฟื้นตัวในอนาคต ตัวอย่างเช่น เขาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 1999 หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 และเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามในปี 2013 หลังจากวิกฤตการเงินและอสังหาริมทรัพย์ 2. ลงทุนในหุ้น Value Stock ที่ราคาถูก: Petri เลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูก วัดจากค่า PE และ PB ที่ต่ำ ตัวอย่างเช่น เขาจะซื้อหุ้นที่มีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า และ PB ไม่เกิน 1 เท่า 3. ถือหุ้นระยะยาว: Petri ถือหุ้นที่ลงทุนไว้เป็นระยะเวลายาว เฉลี่ย 2-3 ปี รอให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปจนถึงมูลค่าพื้นฐานที่ควรเป็น กลยุทธ์เพิ่มเติม: เน้นลงทุนในหุ้นตัวเล็กถึงกลาง ลงทุนแบบ Focus ถือหุ้นไม่มาก ประมาณ 10 ตัว ศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด เข้าพบและพูดคุยกับผู้บริหาร ควบคุมความเสี่ยง ไม่ถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิน 20% ของพอร์ต มุ่งเน้นหาหุ้น Deep Discount ที่ราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐาน ผลลัพธ์: กลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng ประสบความสำเร็จอย่างสูง กองทุน PYN ELITE ทำผลตอบแทนได้ 18.2% ต่อปีแบบทบต้น หรือเงินลงทุนเริ่มต้นโตขึ้นถึง 28 เท่าในเวลา 20 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ “สุดยอด” กองทุนหนึ่ง บทเรียน: กลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng สอนให้เรารู้ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นที่ถูก มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง การลงทุนในหุ้น Value Stock ที่ราคาถูก เป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว การถือหุ้นระยะยาว ช่วยให้เราได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของธุรกิจ การศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด ช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ การควบคุมความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ การประยุกต์ใช้: นักลงทุนสามารถนำกลยุทธ์การลงทุนของ Petri Deryng มาประยุกต์ใช้กับการลงทุนของตัวเอง โดย ศึกษาหาตลาดหุ้นที่ถูก ค้นหาหุ้น Value Stock ที่ราคาถูก ลงทุนในหุ้นที่มั่นใจในระยะยาว ศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด ควบคุมความเสี่ยง กระจายเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2141
Finance
เขีนนโฆษณาแคมเปญเรื่อง "เลือก Phatra Smart MV เพื่อการลงทุนที่มั่นคงและสร้างความมั่นใจในการเงิน"
null
"สุดยอดโอกาสการลงทุนกับ Phatra Smart MV!" เมื่อกำลังมองหาวิธีในการลงทุนที่ปลอดภัยและมีผลตอบแทนที่น่าพอใจ ขอแนะนำ Phatra Smart MV !! Phatra Smart MV เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนแบบเป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความผันผวนในการลงทุนของคุณ เราเชื่อมั่นในการเลือกทรัพยากรที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้เทคโนโลยีและวิธีการที่ทันสมัย ทำไมคุณควรเลือก Phatra Smart MV? 1. ลดความผันผวน: ด้วยกองทุนที่มีการคาดการณ์และการจัดการการลงทุนที่ดีเยี่ยม ทำให้คุณมั่นใจได้ในการลงทุนของคุณ 2. การดำเนินการโดยมีความรอบคอบ: ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากมายพร้อมให้บริการและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ 3. ความเข้าใจและความโปร่งใส: เรารับประกันให้คุณทราบถึงข้อมูลการลงทุนและผลตอบแทนของคุณอย่างชัดเจน อย่าพลาดโอกาสที่ดีเหล่านี้! เลือก Phatra Smart MV เเลือก Phatra Smart MV เพื่อการลงทุนที่มั่นคงและสร้างความมั่นใจในการเงิน เพื่อการลงทุนที่ปลอดภัยและมั่นใจ มาเริ่มต้นลงทุนกับเราวันนี้และเติมเต็มโอกาสในการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน!! "Phatra Smart MV ช่วยลดความผันผวนในการลงทุนด้วยกองทุนที่มีการคาดการณ์และการจัดการการลงทุนที่ดีเยี่ยม ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากมายพร้อมให้บริการและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ความเข้าใจและความโปร่งใสในข้อมูลการลงทุนทำให้คุณมั่นใจและพร้อมที่จะเริ่มต้นการลงทุนที่ปลอดภัยและมั่นใจได้ทันที!"
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2142
Finance
จงบอกสิ่งที่ทำให้หุ้น CHG หรือ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) เติบโต ตั้งแต่ปี 2558-2561
null
1. สาขาของโรงพยาบาล CHG มีจำนวนสาขาโรงพยาบาลกว่า 13 แห่ง กระจายกันอยู่ที่จังหวัดกรุงเทพฯ สมุทรปราการ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี เรียกได้ว่า ครอบคลุมในส่วนพื้นที่ที่เขาถนัด นั่นคือ ในเขตเมืองอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทย การกระจายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ที่เขาถนัด ทำให้การสร้างรายได้ทำได้ดี โดยรายได้หลักไม่ได้มาจากประกันสังคมแล้ว แต่สัดส่วนรายได้จะมาจากผู้ป่วยเงินสดมากกว่า 2. โครงสร้างรายได้ของกิจการ รายได้หลักจะมาจากกลุ่มผู้ป่วยทั่วไป โดยแบ่งไปรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอกกว่า 32.8% และรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน 29.7% รวมรายได้ในส่วนนี้กว่า 62.5% ส่วนรายได้รองจะมาจากโครงการสวัสดิการภาครัฐ โดยแยกเป็นส่วนจากโครงการประกันสังคม 32% และโครงการภาครัฐอื่น ๆ 5.5% รวมรายได้ในส่วนนี้กว่า 37.5% จะเห็นว่าสัดส่วนรายได้ภาครัฐกลายเป็นสัดส่วนที่น้อยลง ซึ่งเป็นผลดีต่อการเบิกจ่ายเงินจากภาครัฐที่บางครั้งอาจจะล่าช้า และไม่คุ้มทุน 3. การเติบโตของโรงพยาบาล กิจการเติบโตเฉลี่ยราว 10.08% ในแง่ของรายได้ แต่ในเรื่องราวของกำไรยังไม่ได้มีภาพนี้ โดยภาพการเติบโตมีดังต่อไปนี้ - รายได้ปี 2558 3,178.83 ล้านบาท กำไร 538.38 ล้านบาท - รายได้ปี 2559 3,657.88 ล้านบาท กำไร 564.29 ล้านบาท - รายได้ปี 2560 3,896.42 ล้านบาท กำไร 565.44 ล้านบาท - รายได้ปี 2561 4,430.84 ล้านบาท กำไร 633.88 ล้านบาท ในส่วนของกำไรนั้น เริ่มเห็นกำไรเติบโตลดลงในช่วงไตรมาสสองของปี 2562 สาเหตุจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ ทำให้มีค่าใช้จ่าย และโรงพยาบาลใหม่ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า หากถึงจุดคุ้มทุนเมื่อไหร่ กำไรอาจมีแนวโน้มกลับมาเติบโตอีกครั้ง
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2145
Finance
นักลงทุนเชิงรุกควรลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นเสมอหรือไม่?
null
ไม่ เพราะการลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (Undervalued Stocks) เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนเชิงรุกนิยมใช้ กลยุทธ์นี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นจะสร้างผลตอบแทนที่ดี ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: - เหตุผลที่ราคาหุ้นต่ำ ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ปัจจัยทางเทคนิค ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หรือปัจจัยภายนอก - ความยั่งยืนของธุรกิจ นักลงทุนต้องตรวจสอบว่าธุรกิจของบริษัทมีพื้นฐานที่ดี มีโอกาสเติบโตในอนาคต - ความเสี่ยง หุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมักมีความเสี่ยงสูง - ระยะเวลาการลงทุน กลยุทธ์นี้ต้องการเวลาในการพิสูจน์ผล ตัวอย่าง: หุ้น A มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น แต่ราคาหุ้นต่ำเพราะบริษัทมีปัญหาทางการเงิน นักลงทุนที่ซื้อหุ้น A มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุน สรุป: นักลงทุนเชิงรุกควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่างก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นเพียงอย่างเดียว ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว ข้อเสนอแนะ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2147
Finance
มีวิธี DCA กองทุนรวมดัชนีอย่างไรบ้าง?
null
วิธี DCA กองทุนรวมดัชนี มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบของนักลงทุน ดังนี้ 1. DCA แบบรายเดือน: เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ นักลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน และตัดเงินออมไปซื้อกองทุนรวมดัชนีทุกเดือน เช่น วันที่ 5 ของทุกเดือน วิธีนี้ช่วยให้กระจายความเสี่ยงจากการซื้อกองทุนรวมดัชนีในราคาที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น นักลงทุนต้องการ DCA กองทุนรวมดัชนี SET50 ด้วยเงินจำนวน 5,000 บาท/เดือน 2. DCA แบบรายปักษ์: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนบ่อยขึ้น นักลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน และตัดเงินออมไปซื้อกองทุนรวมดัชนีทุก 15 วัน เช่น วันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน วิธีนี้ช่วยให้กระจายความเสี่ยงจากการซื้อกองทุนรวมดัชนีในราคาที่แตกต่างกัน 3. DCA แบบรายสัปดาห์: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนบ่อยที่สุด นักลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน และตัดเงินออมไปซื้อกองทุนรวมดัชนีทุกสัปดาห์ วิธีนี้ช่วยให้กระจายความเสี่ยงจากการซื้อกองทุนรวมดัชนีในราคาที่แตกต่างกัน แต่การซื้อขายรายสัปดาห์อาจมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่สูงกว่า 4. DCA แบบ Flexible: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความคล่องตัวสูง นักลงทุนสามารถกำหนดจำนวนเงินและช่วงเวลาในการซื้อกองทุนรวมดัชนีเอง ตัวอย่างเช่น นักลงทุนอาจจะ DCA กองทุนรวมดัชนี 5,000 บาท/เดือน แต่เมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวลง นักลงทุนอาจจะเพิ่มเงินลงทุนเป็น 10,000 บาท/เดือน 5. DCA ผ่านกองทุนรวมที่มีกลยุทธ์ DCA ในตัว: กองทุนรวมประเภท Feeder Fund บางประเภทมีกลยุทธ์ DCA ในตัว กองทุนรวมประเภทนี้จะทยอยซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหลัก (Master Fund) เป็นประจำตามช่วงเวลาที่กำหนด เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวก ไม่ต้องการจัดการ DCA ด้วยตัวเอง ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกวิธี DCA กองทุนรวมดัชนี: วัตถุประสงค์ในการลงทุน ระยะเวลาในการลงทุน เงินลงทุนขั้นต่ำของกองทุนรวมดัชนี ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ความสะดวกและความชอบของนักลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2148
Finance
Cash Flow Management คืออะไร
null
Cash Flow Management เป็นการวางแผนรายรับ-รายจ่าย ดูว่ามีรายจ่ายในแต่ละเดือนเท่าไหร่ เพื่อดูต่อว่าในยามจำเป็น ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้เท่าไหร่ ซึ่งเงินสำรองฉุกเฉินนี้มีไว้ใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ ภาพที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ยามขาดรายได้ จะเกิดขึ้นได้เวลาเปลี่ยนงานกะทันหัน ยังไม่ได้เริ่มทำงานที่ใหม่ในทันที ก็จะเป็นช่วงที่เงินสำรองฉุกเฉินจะได้ทำงาน ระหว่างรอได้งานใหม่ เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่ แต่ละคนจะมีส่วนนี้ไม่เท่ากัน แต่ละอาชีพก็จะมีส่วนนี้ไม่เท่ากันเช่นกัน ตามตำราบอกว่า ควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เป็นตัวเลขที่เห็นด้วย เพราะเวลาออกจากงาน ระหว่างรอสัมภาษณ์ได้งานใหม่ ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน ก็จะเป็นเงินส่วนนี้ที่หล่อเลี้ยงชีวิตในระยะสั้นๆ ได้ แต่สำหรับคนที่ทำอาชีพเป็น Freelance หรือ ธุรกิจส่วนตัว อาจจะต้องเผื่อเงินส่วนนี้ไปมากถึง 6-12 เดือน เพราะมีรายได้ที่ไม่แน่นอน เงินสำรองฉุกเฉินเป็นเงินส่วนที่เอามาใช้ในยามฉุกเฉิน ดังนั้น จะต้องเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง นำออกมาใช้ได้ง่าย เช่น เงินฝากออมทรัพย์ หรือ กองทุนรวมตลาดเงิน ที่รอเงินเพียง T+1 หรือ 1 วันทำการ นับจากวันที่ขายเท่านั้นเอง แต่ข้อดีที่มีมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ คือ มีการกระจายการลงทุนมากกว่าเงินฝาก มีไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น อายุไม่เกิน 1 ปี ทำให้กองทุนรวมตลาดเงินมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝากออมทรัพย์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2151
Finance
เราควรลงทุนอะไรระหว่างหุ้นและกองทุน
null
ไม่สามารถบอกได้ว่า ควรใน หุ้น หรือกองทุน เนื่องจากมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน แล้วแต่บุคคล หุ้น คือ การที่เราเข้าไปลงทุนในกิจการนั้นโดยตรง และร่วมเป็นเจ้าของของกิจการหรือบริษัทดังกล่าว ถ้าบริษัทเติบโตและมีกำไร เราก็จะมีโอกาสได้กำไรด้วย โดยกำไรอาจจะมาในรูป แบบของการปันผล หรือการขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาทุนของเรา - เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง - เหมาะกับคนมีเวลาศึกษาเรื่องของการลงทุน กองทุน คือ การที่ผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญการด้านบริหารเงิน นำเงินของนักลงทุนมารวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ เข้าไปลงทุนในกิจการ หรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายของแต่ละกองทุน เพื่อให้เกิดกำไรและผลตอบแทน - เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ทุกระดับ เนื่องจากมีหลากหลายสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ - เหมาะกับคนไม่ค่อยมีเวลา มืออาชีพคอยบริหารจัดการลงทุนให้ ลงทุนในกองทุนมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เนื่องจากมีระดับความเสี่ยงให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ต่ำ กลาง สูง ตามแต่นโยบายการลงทุน แต่ถ้ามีประสบการณ์ในตลาดลงทุนระดับหนึ่ง การลงทุนในหุ้นก็อาจสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า ตรงกันข้าม ถ้าประสบการณ์น้อย การลงทุนในกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญจัดการบริหารให้ อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อีกทั้งบางกองทุนยังสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจลงทุนกับอะไรเราอยากฝากไว้ว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แต่เราจะเผชิญกับความเสี่ยงที่ยิ่งกว่าหากเราเลือกการลงทุนที่ไม่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเราเอง
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2157
Finance
การวางแผนเกษียณเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการทำ “สองบัญชี” ได้แก่อะไรบ้าง
null
การวางแผนเกษียณเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการทำ “สองบัญชี” ได้แก่ บัญชีแรก คือ บัญชีรายได้เข้า ทั้งจากเงินเดือนสำหรับพนักงานประจำ หรือเงินจากธุรกิจส่วนตัวสำหรับผู้ประกอบการ บัญชีที่สอง คือ บัญชีเพื่อการวางแผน เปิดไว้เพื่อออมเงินและลงทุนทางการเงิน ดังนั้นแทนที่จะถอนออกมาใช้จ่ายโดยตรงเมื่อมีเงินเข้า ก็เปลี่ยนเป็นการโอนตามสัดส่วนที่วางเป้าหมายทางการเงินไว้ เพื่อให้เงินที่ย้ายไปยังกระเป๋าที่สองหรือบัญชีที่สองทำงาน และเติบโตงอกเงยเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็ทำได้ และทุกคนที่มีรายได้ควรบริหารการเงินง่ายๆ ของตัวเองในลักษณะนี้ ถ้าเป็นพนักงานประจำ ยิ่งทำงาน มีอายุงานมาก มีความรับผิดชอบมาก ยิ่งต้องวางแผนโอนเงินออกมาทำเงินให้โตเท่ากับรายได้ที่ได้รับตอนยังไม่เกษียณ เพื่อคงไว้ซึ่งมาตรฐานชีวิตพื้นฐานไม่ให้ต่ำกว่าเดิม พร้อมทั้งปกป้อง รักษา และทำให้เติบโตไปเรื่อยๆ จนวันสุดท้ายของชีวิต ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ การส่งต่อธุรกิจให้ทายาทในยุคปัจจุบันอาจไม่ราบรื่นเหมือนเคย เพราะคนใน Gen X Y Z มีข้อมูลใหม่ๆ ด้านธุรกิจมากมาย จำนวนไม่น้อยมีแพสชั่นในการสร้างธุรกิจของตัวเอง ทำให้คนรุ่นพ่อซึ่งบุกเบิกและทุ่มเทก่อร่างสร้างธุรกิจ จนขยายและต่อยอดออกไปกว้างไกลเพื่อจะส่งต่อให้ลูกนั้น อาจเกิดการสะดุดในช่วง Transferring Stage คนกลุ่มนี้ต้องจัดสัดส่วนเงินที่เป็นกำไรอันเกิดจากการทำธุรกิจ ถ่ายโอนออกมาบริหารเงินให้เติบโตในตลาดการเงิน แทนที่จะนำกำไรทั้งหมดไปต่อยอดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ไม่ให้กลายเป็นยิ่งขยายยิ่งรวย แต่ยิ่งขยายก็ยิ่งยุ่ง จนเข้าสำนวนที่ว่า “ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้” กรณี Landing ของเจ้าของธุรกิจที่มีทายาทสานต่อธุรกิจ ควรแบ่งสรรปันส่วนสินทรัพย์ทั้งในธุรกิจและมรดกสินทรัพย์อื่นๆ ให้เรียบร้อยลงตัว ยุติธรรม และมีเหตุผล ไม่ควรแบ่งด้วยอารมณ์ห่วงคนนั้นหรือรักคนนี้มากกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและฟ้องร้องกันจนกลายเป็นศึกสายเลือด การ landing ของต้นตระกูลแล้วส่งต่อให้กัปตันคนใหม่นำเครื่องทะยานต่อไปให้ไกลกว่าเดิม อาจกลายเป็นล้อไม่กาง ยางแตก ไฟลุกท่วม จนเป็นมรดกเลือดทิ้งไว้แทนก็เป็นได้
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2159
Finance
ช่วยแต่งนิยายเรื่อง 'การลงทุนในชีวิตแห่งการเรียนรู้'' ให้หน่อย
null
ในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขา มีคุณยายท่านหนึ่งชื่อดอริส นับว่าเป็นผู้หญิงที่อายุมากมีประสบการณ์มากมายในชีวิต ความรู้และประสบการณ์สะสมของเธอนั้น กลายเป็นแหล่งกำเนิดของคำปรึกษาและคำแนะนำที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับชุมชนในบ้านดอริส ในวันหนึ่ง มีหนุ่มชื่ออาร์ต ได้เข้ามาเยี่ยมดอริส ทั้งสองคนได้นั่งพูดคุยกันเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน และเมื่อเรื่องคุยมาถึงเรื่องการเงิน อาร์ตก็ถามดอริสเกี่ยวกับการลงทุนในชีวิตหลังศึกษาจบ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนในวัยทำงาน ที่รู้สึกว่าจะมีความก้าวหน้าเหมือนคนอื่นๆ ดอริสสอนให้อาร์ตฟังเรื่องราวของเธอเองในช่วงวัยทำงาน ที่เธอตัดสินใจที่จะลงทุนในการซื้อบ้านเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยในอนาคต แม้ว่าในวันที่เธอตัดสินใจที่จะลงทุน คนในชุมชนหลาย คนก็ไล่เธอออก และบอกว่าเธอเป็นคนโง่ที่ไม่มีเหตุผลในการทำเช่นนั้น แต่ดอริสไม่รู้จะทำอย่างไร แทนที่จะยอมแพ้ เธอกลับมองโอกาสที่ซ่อนอยู่ในที่ที่คนอื่นๆ มองข้ามไป "เมื่อคุณพร้อมที่จะลงทุน คุณก็ควรจะทำตามใจของคุณ" ดอริสพูดไปอย่างเชี่ยวชาญ "การลงทุนไม่ได้หมายถึงแค่เงิน แต่มันยังเป็นการลงทุนในความสุขของชีวิตของคุณด้วย" อาร์ตเริ่มเข้าใจและนึกถึงการลงทุนในช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเงิน การลงทุนในความสุข การศึกษาต่อ หรือการพัฒนาทักษะต่างๆ ซึ่งทั้งนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะคำแนะนำนี้ อาร์ตเริ่มมองเห็นและเข้าใจถึงแง่มุมในการลงทุนที่แตกต่างไป และจากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะลงทุนในการศึกษาต่อ เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ ในอนาคต ดอริสยิ้มและปรากฏให้เห็นถึงความสุขในใจ "การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวคุณเอง อาร์ต" ดอริสกล่าวด้วยเสียงเอียงอุ่นใจ ทำให้ความเข้าใจของอาร์ตในเรื่องการลงทุนไม่เพียงแต่เรื่องเงิน แต่ยังเป็นการลงทุนในชีวิตและความสุขด้วย
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2161
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความเสี่ยงที่เกิดจากนักการเมืองและธนาคารกลาง
null
สำหรับความเสี่ยงที่เกิดจากนักการเมืองและธนาคารกลาง อย่างแรกก็คือ การจำกัดกรอบการลงทุนให้แคบลงสู่ระดับประเทศ จะต้องพบกับความเสี่ยงด้านการเมืองจากการลงทุน การเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายก็ส่งผลกระทบด้วย เมื่อสกุลเงินอ่อนค่าก็จะทำให้สูญเสียผลตอบแทน ส่วนอีกหนึ่งความเสี่ยงคือ ความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ จากการที่เงินเฟ้อลดกำลังซื้อ วิธีป้องกันความเสี่ยงคือ การวางแผนเป้าหมายการลงทุนให้ไม่แพ้เงินเฟ้อ เพื่อจะทำให้กำลังซื้อไม่เกิดการสูญเสีย บทเรียนจากย่อหน้านี้ ความเสี่ยงที่เกิดจากนักการเมืองและธนาคารกลาง เมื่อจำกัดกรอบการลงทุนให้แคบลง ไปสู่การโฟกัสเป็นภูมิภาค ประเทศ หรือสินทรัพย์บางชนิด ปัจจัยความเสี่ยงก็อาจต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เมื่อลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะเผชิญความเสี่ยงด้านการเมืองและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศนั้นๆ การตัดสินใจทางการเมืองสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางกฏหมายที่สามารถส่งผลกระทบต่อการลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยนได้ สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า อย่างเช่น ตราสารหนี้ จะอ่อนไหวง่ายกว่าต่อการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยน หากสกุลเงินใดอ่อนค่าลงอย่างมีนัยเมื่อเทียบกับสกุลเงินบ้านเรา ก็จะทำให้สูญเสียผลตอบแทนไปได้ อีกความเสี่ยงหนึ่งที่ส่งผลกระทบคือความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Risk) เงินเฟ้อลดกำลังซื้อ ฉะนั้น เป้าหมายการลงทุนคือไม่ควรแพ้เงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้สูญเสียกำลังซื้อ โดยในอดีตนั้น ผู้คนใช้สินทรัพย์ที่จับต้องได้และโลหะมีค่าอย่างทองคำเพื่อป้องกันตัวเองจากเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม หุ้นก็น่าจะเป็นเครื่องมือต่อสู้เงินเฟ้อที่ดีเช่นกัน ในเมื่อธุรกิจสามารถปรับราคาให้สอดคล้องไปกับเงินเฟ้อได้ นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ตราสารหนี้บางประเภทก็ได้รับการป้องกันจากเงินเฟ้อ เช่น พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Treasury Inflation-Protected Securities (TIPS))
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2164
Finance
การลงทุนใน FINNOMENA PORT 1stM เหมาะกับคนที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทอยู่แล้วหรือไม่?
null
ไม่ เพราะเป้าหมายของ FINNOMENA PORT 1stM ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักลงทุนเก็บเงินล้านแรก เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่มีเงินเก็บน้อย ต้องการลงทุนระยะยาว เน้นความสะดวก ง่ายต่อการจัดการ กลยุทธ์การลงทุน: เน้นลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน ผสมผสานระหว่างหุ้นไทยและต่างประเทศ เน้นการกระจายความเสี่ยง มุ่งหวังผลตอบแทนระยะยาว ผลตอบแทนคาดหวัง: อยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปี ซึ่งถือว่าปานกลาง เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่รับ เงินลงทุนขั้นต่ำ: 5,000 บาท เหมาะกับผู้เริ่มต้น ระยะเวลาการลงทุน: ประมาณ 17 ปี เหมาะกับผู้ต้องการลงทุนระยะยาว สำหรับบุคคลที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทอยู่แล้ว เป้าหมายทางการเงิน น่าจะเปลี่ยนไป เน้นการรักษามูลค่าเงิน กลยุทธ์การลงทุนอาจจะเปลี่ยนไป เน้นการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ผลตอบแทนคาดหวัง อาจจะเปลี่ยนไป ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอนมากกว่า เงินลงทุนใช้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาการลงทุน ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ดังนั้น การลงทุนใน FINNOMENA PORT 1stM อาจจะไม่เหมาะกับบุคคลที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทอยู่แล้ว เหตุผลเพิ่มเติม: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนมีความเสี่ยง เงินต้นอาจจะหายได้ ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต มีหลายทางเลือกสำหรับการลงทุน ข้อควรพิจารณา: เป้าหมายทางการเงิน: ต้องการอะไรจากการลงทุน ความเสี่ยงที่รับได้: รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ระยะเวลาการลงทุน: ต้องการลงทุนนานแค่ไหน ผลตอบแทนคาดหวัง: ต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ คำแนะนำ: ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง สรุป: การลงทุนใน FINNOMENA PORT 1stM ไม่เหมาะกับบุคคลที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทอยู่แล้ว บุคคลเหล่านี้ควรพิจารณาเป้าหมายทางการเงิน ความเสี่ยงที่รับได้ ระยะเวลาการลงทุน และผลตอบแทนคาดหวัง เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2166
Finance
กลยุทธ์ทางการเงินแบบใดที่นักลงทุนทั่วไปสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยหัวกลับ (Inverted Yield Curve)
null
นักลงทุนทั่วไปจึงควรมีกลยุทธ์ทางการเงินเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น กลยุทธ์ทางการเงินที่นักลงทุนทั่วไปสามารถนำมาประยุกต์ใช้มีดังนี้: 1. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป ควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นกลุ่ม Consumer Staples ลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุสั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น 2. เพิ่มสภาพคล่อง: ควรมีเงินสดสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง 3. ปรับพอร์ตการลงทุน: ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย 4. ศึกษาหาความรู้: ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน ติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก 5. ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำในการลงทุน ตัวอย่างกลยุทธ์ทางการเงินเพิ่มเติม: กลยุทธ์ "Value Investing": เน้นลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง กลยุทธ์ "Dividend Investing": เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ กลยุทธ์ "Contrarian Investing": เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังถูกตลาดเมินเฉย อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ทางการเงินที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยง และระยะเวลาการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคน นักลงทุนควรศึกษาหาความรู้และปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: ปรากฏการณ์ IYC นั้น เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าเศรษฐกิจถดถอยกำลังจะมาถึง นักลงทุนทั่วไปควรมีกลยุทธ์ทางการเงินเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยกระจายความเสี่ยง เพิ่มสภาพคล่อง ปรับพอร์ตการลงทุน ศึกษาหาความรู้ และปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2172
Finance
FINNOMENA PORT GOAL คืออะไร
null
FINNOMENA PORT GOAL เป็นแผนการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็บเงินก้อนตามวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพื่อเรียนต่อปริญญาโท ซื้อบ้าน/ซื้อรถ เพื่อการศึกษาลูก หรือ เพื่อการเกษียณ ทุกๆ ช่วงอายุจะใช้เงินลงทุนก้อนแรกจำนวน 20,000 บาท ตามจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกของ FINNOMENA PORT GOAL โดยลงทุนที่ระดับความเสี่ยง 7 คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นปีละ 10% ทุกๆ ช่วงอายุจะมีเงินในพอร์ตประมาณ 30 ล้านบาท ณ วันเกษียณที่อายุ 60 ปี เมื่อเกษียณอายุแล้ว จะนำเงินก้อนจากแผนการลงทุน FINNOMENA PORT GOAL มาลงทุนต่อในแผนการลงทุน FINNOMENA PORT GIF เป็นแผนการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดกลับมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 5% ต่อปี ได้คำนวณโดยหักเงินเฟ้อ 2.5% ต่อปีแล้ว การที่จะมีเงิน 30 ล้านในวันที่เกษียณ เริ่มจะมีความยากขึ้นมา สำหรับวัยใกล้เลข 4 หากเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 25 ปี จะต้องลงทุนต่อเดือนประมาณ 7,600 บาท แต่ว่ายังเป็นจำนวนเงินลงทุนต่อเดือนที่สูง แต่จำนวน 7,600 บาทนี้ เป็นจำนวนเงินลงทุนคงที่จนถึงอายุ 60 ปี สำหรับใครที่ยังลงทุนต่อเดือนเท่านี้ไม่ไหว ก็ไม่เป็นไร ลงทุนเท่าที่ไหวไปก่อน เพื่อลดความตึงในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แล้วในวันที่รายได้โตขึ้น ตอนนั้นค่อยกลับมาทยอยลงทุนเพิ่มก็ยังไม่สาย
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2173
Finance
นักลงทุน VI ควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้างก่อนตัดสินใจ "ซื้อ" หุ้น?
null
นักลงทุน VI ควรพิจารณาปัจจัยหลัก 3 ประการก่อนตัดสินใจ "ซื้อ" หุ้น ดังนี้ 1. พื้นฐานทางการเงินของบริษัท: ความแข็งแกร่งของงบการเงิน: วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เช่น ROE, ROA, Gross Profit Margin, Net Profit Margin, DE ratio ตรวจสอบว่าบริษัทมีหนี้สินมากเกินไปหรือไม่ วิเคราะห์กระแสเงินสดว่าบริษัทมีเงินสดเพียงพอต่อการดำเนินงานหรือไม่ การเติบโตของกำไร: วิเคราะห์กลยุทธ์ของบริษัท ประเมินแนวโน้มการเติบโตของกำไรในอนาคต เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม ความสามารถในการแข่งขัน: วิเคราะห์ว่าบริษัทมีจุดแข็งอะไร มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างไร มีโอกาสถูก Disrupt จากเทคโนโลยีใหม่หรือไม่ 2. มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น: เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าที่แท้จริง: วิเคราะห์ด้วยวิธี DCF (Discounted Cash Flow) วิเคราะห์ด้วยวิธี P/E Ratio วิเคราะห์ด้วยวิธี PBV Ratio พิจารณาปัจจัยอื่นๆ: สภาพคล่องของหุ้น ความเสี่ยงของตลาด ความเสี่ยงของอุตสาหกรรม 3. ตัวเร่งที่จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งเข้าสู่มูลค่าที่ควรจะเป็น: บริษัทมีแผนอะไรที่จะเพิ่มผลกำไร: ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายสาขา เข้าซื้อกิจการ มีข่าวสารอะไรที่จะหนุนราคาหุ้น: รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน บริษัทได้งานใหญ่ คู่แข่งถอนตัวออกจากตลาด ตัวอย่าง: บริษัท XYZ เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง มีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ 10 บาทต่อหุ้น จากการวิเคราะห์ DCF พบว่ามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นอยู่ที่ 15 บาทต่อหุ้น บริษัทมีแผนขยายโรงงานใหม่ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิต 20% คาดว่าจะทำให้กำไรสุทธิเติบโต 15% ในปีหน้า จากข้อมูลข้างต้น นักลงทุน VI อาจตัดสินใจ "ซื้อ" หุ้น XYZ เพราะว่า บริษัทมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นอยู่เหนือราคาตลาด มีตัวเร่งที่จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งเข้าสู่มูลค่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2174
Finance
จากบทความข้างต้น อะไรคือกลยุทธ์ทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับการเตรียมตัวก่อนซื้อบ้าน?
null
กลยุทธ์ทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับการเตรียมตัวก่อนซื้อบ้าน: 1. ตรวจสอบความพร้อมทางการเงิน: บันทึกรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด เป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน วิเคราะห์สัดส่วนรายจ่ายต่อรายได้ ห้ามเกิน 40% จ่ายหนี้บัตรเครดิตให้หมด หรืออย่างน้อยต้องเหลือไม่เกิน 30% ของวงเงินบัตร คำนวณเงินผ่อนบ้านล่วงหน้า โดยใช้เครื่องมือคำนวณสินเชื่อ เตรียมเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของราคาบ้าน 2. วางแผนการออมเงิน: ตั้งเป้าหมายการออมเงิน เลือกวิธีการออมเงินที่เหมาะสม เช่น ฝากประจำ, กองทุนรวม เพิ่มรายได้ หาช่องทางเพิ่มรายได้ 3. เลือกสินเชื่อบ้านที่เหมาะสม: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขจากธนาคารต่างๆ เลือกประเภทสินเชื่อบ้านที่ตรงกับความต้องการ เลือกผ่อนชำระระยะยาว 4. เตรียมเอกสารสำหรับการยื่นกู้: เอกสารส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารแสดงรายได้ เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน ใบเสร็จรับเงิน เอกสารแสดงหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น โฉนดที่ดิน 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษากับธนาคารเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน ปรึกษานักวางแผนการเงินเพื่อวางแผนการเงิน ตัวอย่างกลยุทธ์: ออมเงิน 30% ของรายได้ต่อเดือน เป็นเวลา 3 ปี สำหรับเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายจิปาถะ ลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อเพิ่มผลตอบแทน เลือกสินเชื่อบ้านแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ เพื่อความมั่นคง เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนยื่นกู้ ข้อควรระวัง: การซื้อบ้านเป็นภาระผูกพันระยะยาว ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ ไม่ควรซื้อบ้านเกินตัว คำแนะนำเพิ่มเติม: ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเผื่อไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด ควรทำประกันอัคคีภัยและประกันชีวิต ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2176
Finance
การแห่ตามกันซื้อหุ้นร้อน มักจะทำให้นักลงทุนต้องเจ็บตัวเสมอ ใช่หรือไม่
null
ใช่ เพราะเมื่อทุกคนแห่ตามกันซื้อ หุ้นที่ทุกคนคิดว่าดี สุดท้ายราคาหุ้นก็จะแตก และหุ้นจะตกอย่างรุนแรง และไม้สุดท้ายที่ไปรับราคาหุ้นที่จุดสูงสุดก็จะต้องเจ็บตัวอย่างหนัก ต้องเข้าใจว่าธุรกิจบางอย่างจะมีปีที่ดีและไม่ดี การลงทุนระยะยาวนั้น หากเราคิดจะเป็นเจ้าของธุรกิจจริง ๆ เราต้องตั้งมั่นในใจว่า จะถือธุรกิจนั้น ๆ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-5 ปี เราจึงจะคิดลงทุน ดังนั้น หากปีไหนที่ธุรกิจเราไม่ดี หรือสภาพตลาดไม่เอื้ออำนวย และเราวิเคราะห์มองเห็นแล้วว่า มันคือปีที่ไม่ดีชั่วคราว นักลงทุนระยะยาวจะทำใจถือต่อไปได้ ตราบเท่าที่ธุรกิจยังไม่ได้ถดถอย แถมจะยังซื้อเพิ่มเสียด้วยซ้ำ หากมันลดราคาลงมามาก ผิดกับนักลงทุนระยะสั้นที่มักจะแห่ตามคนส่วนใหญ่ เขาจะรีบขายกิจการที่ดีทิ้ง เพียงเพราะราคามันกำลังตกต่ำ (ชั่วคราว) สิ่งนี้เมื่อระยะเวลาผ่านไปนานวัน จะเริ่มเห็นความแตกต่างมากขึ้น ข้อสรุป คือ… นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะผิดเสมอหรือไม่ ที่จริงแล้วเราไม่ควรใส่ใจให้มากนัก สิ่งที่เราควรโฟกัสเป็นประจำ ก็คือ เราต้องมีใจมองให้เห็นเป็นกลาง หมั่นตรวจสอบความคิดเราสม่ำเสมอ และลงทุนระยะยาวกับธุรกิจที่เราเข้าใจมันได้ดีกว่าใครนั่นเอง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2177
Finance
ทำไมผู้ประกอบการจะต้องเตรียมเงินก้อนหลังเกษียณให้พนักงาน
null
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เป็นการยกระดับการคุ้มครองลูกจ้างให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล แต่นายจ้างจะต้องควักเงินในกระเป๋าออกมาจ่ายให้กับลูกจ้างเพิ่มขึ้นกว่าที่ผ่านมา พ.ร.บ ได้มีการเพิ่มเพิ่มอัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างให้กับลูกจ้างเป็น 6 อัตราจาก 5 อัตรา ดังนี้ 1. ลูกจ้างที่ทำงานมาครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้ค่าชดเชย 30 วัน 2. ลูกจ้างหากทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้ค่าชดเชย 90 วัน 3. ลูกจ้างทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี จะได้รับเงินชดเชย 180 วัน 4. ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้รับเงินชดเชย 240 วัน 5. ลูกจ้างทำงานครบ 10 ปี แต่ไม่ครบ 20 ปีได้เงินชดเชย 300 วัน 6. ลูกจ้างทำงานครบ 20 ปีขึ้นไป ได้รับเงินชดเชย 400 วัน ดูแล้วก็ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไร จะทำให้ล้มละลายได้อย่างไร ? ปัญหาคือ ถ้าลูกจ้างเกษียณอายุ 60 ปี หรือ ขึ้นอยู่กับนายจ้างกำหนด นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยด้วย เพราะการเกษียณของลูกจ้าง เป็นการเลิกจ้าง แต่ละบริษัทจะทำอย่างไร เมื่อในอนาคตจะมีลูกจ้างเกษียณออกมาจำนวนเยอะมาก? บริษัทจะทำการตั้งเงินสำรองเป็นเงินกองทุนของบริษัทเพื่อเอาไว้จ่ายลูกจ้างในอนาคต ในปัจจุบัน บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทมหาชน จะใช้มาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 19 (TAS 19) เรื่อง ผลประโยชน์พนักงาน ที่ใช้หลักคณิตศาสตร์ประกันภัยในการคำนวณ เพื่อตั้งสำรองให้เหมาะสม กลับมามองที่ SME จะต้องทำอย่างไร เจ้าของธุรกิจคงจะต้องเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาจุดนี้ ถ้าเจ้าของธุรกิจจะต้องส่งต่อธุรกิจให้ทายาท ก็ควรจะมีแผนจัดการความเสี่ยงก่อนที่จะส่งต่อ อย่าให้ทายาทมาเจอกับปัญหาที่รุ่นพ่อแม่สร้างไว้
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2178
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Doomsayer และการทำนายวิกฤติในปี 2020 ที่สหรัฐอเมริกา
null
Doomsayer คือ บุคคลที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถทำนายเรื่องร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ ในด้านเศรษฐศาสตร์มีการทำนายเหตุการณ์ร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ วิกฤติในปี 2020 ที่สหรัฐอเมริกา แต่มันมีน้ำหนักที่จะเกิดขึ้นน้อย เพราะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกายังไม่มีปัญหา เนื่องจากการขาดดุลการค้าและอัตราดอกเบี้ยไม่สมดุล และเศรษฐกิจในอเมริกายังดีอย่างต่อเนื่อง ในประวัติศาสตร์จะไม่ค่อยเกิดขึ้นและจบลงด้วยการถดถอยหรือเกิดวิกฤติ บทเรียนจากย่อหน้านี้ ว่าที่จริงคนที่มีชื่อเสียงทางด้านเศรษฐศาสตร์บางคนทำนายมานานพอสมควรแล้วว่า อเมริกาจะเกิดวิกฤติในปี 2020 คือ ปีหน้าตั้งแต่เศรษฐกิจอเมริกันยังไม่มีปัญหา ยังไม่มีเรื่องสงครามการค้าและปรากฎการณ์ IYC เหตุผลจำไม่ได้ชัดแต่น่าจะมาจากการที่เศรษฐกิจอเมริกาไม่สมดุลเช่นการขาดดุลการค้าและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำต่อเนื่องกันยาวนานเป็นต้น แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นอาจจะมาจากการที่เศรษฐกิจดีต่อเนื่องมายาวนานจนเกินไปคือเกิน 10 ปีซึ่งตามประวัติศาสตร์ไม่ค่อยเกิดขึ้นและมักจะจบลงด้วยการถดถอยหรือวิกฤติ ในตอนนั้นก็แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้ให้น้ำหนักมากเพราะว่าเรื่องการทำนายทายทักเรื่อง “โลกาวินาศ” นั้น มีอยู่ตลอดเวลา คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “Doomsayer” หรือคนที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถทำนายเรื่องร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้แม่นยำนั้นมีอยู่มากมายและพวกเขาก็ “ทำนายอยู่เรื่อย ๆ” จนคนไม่ค่อยสนใจแล้ว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หลาย ๆ เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ก็น่าจะทำให้คนหลายเริ่มสนใจและอาจจะเชื่อมากขึ้นว่า “วิกฤติกำลังจะมา” และนั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนอย่างแรง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2182
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ผลกระทบต่อนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวม กรณีที่กองทุนรวมมีการจ่ายปันผลให้บุคคลธรรมดา จากประกาศของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) ปี พ.ศ. 2562
null
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) ปี พ.ศ. 2562 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 2562 โดยแก้ไขปรับปรุงการเก็บภาษีจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่ผ่านกองทุนรวม และเปลี่ยนแปลงประเภทเงินได้ตามกฎหมาย จะมีผลกระทบต่อนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวม กรณีที่กองทุนรวมมีการจ่ายปันผลให้บุคคลธรรมดา คือ ต้องลงทุนในทุกกองทุนรวมที่ไม่ใช่กองทุนตราสารหนี้ และรายได้ของมาตรา 40(4)(ข) จะถูก บลจ. หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ของจำนวนเงินปันผลที่ลงทุนทุกกรณี ตามคำสั่งของกรมสรรพากร บทเรียนจากย่อหน้านี้ สืบเนื่องจาก พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) ปี พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 19 พ.ค. 2562 ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. เป็นต้นไป ได้มีการแก้ไขปรับปรุงการเก็บภาษีจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่ผ่านกองทุนรวม และมีการเปลี่ยนแปลงประเภทเงินได้ตามกฎหมาย ซึ่งจากประกาศนี้ จะมีผลกระทบต่อนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมทุกประเภท (ยกเว้น กองทุนรวมตราสารหนี้) กรณีที่กองทุนรวมมีการจ่ายปันผลให้บุคคลธรรมดา ซึ่งรายได้ตรงนี้ เป็นรายได้มาตรา 40(4)(ข) จะถูก บลจ. หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% ของจำนวนเงินปันผลที่นักลงทุนได้รับในทุกกรณี ตามคำสั่งกรมสรรพากร ทั้งนี้ ถึงแม้จะเลือกไม่ให้ บลจ. หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ ทาง บลจ. ก็จำเป็นต้องหักภาษีดังกล่าว ทั้งนี้ ยังคงสิทธิของนักลงทุนในการเลือกว่า เงินปันผลที่ได้รับ จะนำไปรวมคำนวนหรือไม่รวมคำนวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ได้ สาเหตุที่ยกเว้น กองทุนรวมตราสารหนี้ ก็เพราะจะถูกหักภาษี 15% ไปแล้ว
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2186
Finance
บุคคลทั่วไปควรเริ่มลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุตั้งแต่อายุยังน้อยหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผลดังนี้ 1. ผลตอบแทนทบต้น: การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้มีเวลาในการออมและลงทุนที่ยาวนาน เงินลงทุนมีเวลาเติบโตทบต้น (Compound Interest) ผลตอบแทนจากเงินต้นจะทบต้นต่อยอด ผลตอบแทนทบต้น เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยให้เงินออมเติบโตแบบทวีคูณ ยกตัวอย่าง: - ลงทุน 10,000 บาทต่อปี ผลตอบแทน 7% ต่อปี เป็นเวลา 30 ปี เงินลงทุนจะเติบโตเป็น 761,225 บาท - ลงทุน 10,000 บาทต่อปี ผลตอบแทน 7% ต่อปี เป็นเวลา 40 ปี เงินลงทุนจะเติบโตเป็น 1,646,895 บาท จะเห็นได้ว่า การลงทุนเพียง 10,000 บาทต่อปี เป็นเวลา 10 ปี เพิ่มเติม เงินลงทุนจะเติบโตมากกว่า 885,670 บาท หรือ เกือบ 1 เท่าตัว 2. ความเสี่ยง: - บุคคลอายุน้อย มีความเสี่ยงรับได้สูง (Risk Tolerance) สามารถลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk) มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูง (High Return) - เมื่ออายุมากขึ้น สามารถปรับพอร์ตการลงทุน (Investment Portfolio) ลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ (Low Risk) รักษาเงินต้น (Capital Preservation) 3. วินัย: การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้ฝึกฝนวินัยการออม (Saving Discipline) วินัยในการลงทุน (Investment Discipline) วินัยเหล่านี้ส่งผลดีต่อการเงินส่วนตัว (Personal Finance) ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน (Financial Goals) เช่น การเกษียณอายุ (Retirement) 4. เงินเฟ้อ (Inflation) ทำให้ค่าของเงินลดลง การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้เงินออมมีโอกาสเติบโต ชนะเงินเฟ้อ 5. สวัสดิการ: ปัจจุบัน สวัสดิการหลังเกษียณ เช่น บำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีแนวโน้มลดลง การออมและลงทุนเพื่อการเกษียณ จึงมีความสำคัญมากขึ้น ข้อควรระวัง: - ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน - เลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัย เป้าหมาย และความเสี่ยงรับได้ - กระจายความเสี่ยง (Diversification) - ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ - ตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมอย่างสม่ำเสมอ - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน สรุป: การเริ่มลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุตั้งแต่อายุยังน้อย
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2188
Finance
การใช้แผน GOAL ของ FINSTREET ในการเก็บเงินจัดงานแต่งงาน เหมาะสำหรับทุกคนหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยง: แผน GOAL ของ FINSTREET นั้นลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งมีความเสี่ยงจากราคา NAV ของกองทุน หาก NAV ลดลง เงินออมของเราอาจจะหายไป ดังนั้น แผน GOAL จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือคนที่ต้องการเงินออมที่แน่นอน ผลตอบแทน : ผลตอบแทนของแผน GOAL นั้นเป็นเพียงการคาดการณ์ ไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทน ดังนั้น เงินออมของเราอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ หรืออาจจะขาดทุนได้ วินัย: แผน GOAL นั้นต้องการวินัยในการลงทุน เราต้องลงทุนทุกเดือน ตามจำนวนเงินที่กำหนด หากเราไม่มีวินัย หรือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน เงินออมของเราอาจจะไม่เพียงพอ ระยะเวลา: แผน GOAL นั้นเหมาะสำหรับการเก็บเงินระยะยาว หากเราต้องการเงินออมในระยะสั้น แผน GOAL อาจจะไม่เหมาะสม ความยืดหยุ่น: แผน GOAL นั้นมีความยืดหยุ่นน้อย เราไม่สามารถปรับเปลี่ยนจำนวนเงินลงทุน หรือระยะเวลาการลงทุนได้ ตามใจชอบ ดังนั้น แผน GOAL ของ FINSTREET นั้นเหมาะสำหรับคนที่มีความเสี่ยงปานกลาง ต้องการเก็บเงินระยะยาว มีวินัย และต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีเก็บเงินจัดงานแต่งงานอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การฝากเงิน การซื้อทองคำ การซื้อประกันชีวิต ฯลฯ เราควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการ และความเสี่ยงของเรา สำหรับคนที่ต้องการเก็บเงินจัดงานแต่งงาน เราขอแนะนำให้ ตั้งเป้าหมายว่าต้องการเก็บเงินเท่าไร วางแผนการใช้จ่าย,เลือกวิธีเก็บเงินที่เหมาะสม,มีวินัยในการเก็บเงิน เเละติดตามผลการเก็บเงิน หากเราทำตามคำแนะนำเหล่านี้ เราจะสามารถเก็บเงินจัดงานแต่งงานได้สำเร็จ และมีความสุขกับงานแต่งงานของเรา
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2192
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่คนไม่เล่นหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
null
เหตุผลที่คนไม่เล่นหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน ข้อแรก คือ เป็นกิจการที่ไม่สามารถมีความได้เปรียบที่ยั่งยืน ผู้เล่นทุกรายจะสามารถแสวงหามาได้ แม้ว่าจะเข้ามาเล่นได้ไม่นาน จะเกิดขึ้นส่วนใหญ่โดยเฉพาะหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ทำบ้านขาย ข้อที่ 2 คือ เป็นธุรกิจที่คนไม่ซื้อซ้ำ จะไม่ซื้ออีกเป็นเวลาสิบปี มีการลูกค้าใหม่ทุกปี ทำเลที่ตั้งเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อัตราดอกเบี้ยในการกู้เงินมีผลต่อความสามารถในการซื้อบ้านของลูกค้า และข้อสุดท้าย คือ มักจะมีวงจรของความเฟื่องฟูและการตกต่ำที่รุนแรง ซึ่งจะเกิดขึ้นบ่อยตามสภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่ผันแปรในอดีต บทเรียนจากย่อหน้านี้ เหตุผลที่คนไม่เล่นหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ข้อแรก หุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ทำบ้านขายนั้น โดยธรรมชาติมักจะเป็นกิจการที่ไม่สามารถจะมีความได้เปรียบที่ยั่งยืน แทบทุกปัจจัยในการแข่งขันนั้นผู้เล่นทุกรายสามารถแสวงหามาได้แม้ว่าจะเข้ามาเล่นไม่นาน ตัวอย่างเช่น ปัจจัยในการแข่งขันที่สำคัญมากที่สุดเช่นเรื่องของทำเลที่ตั้งนั้น ทุกบริษัทสามารถหาซื้อมาได้ด้วยราคาต้นทุนเท่า ๆ กัน ไม่มีใครผูกขาดทำเลดี ๆ ได้คนเดียว เรื่องของการออกแบบบ้านหรือคอนโดเองนั้น ทุกบริษัทสามารถจ้างสถาปนิกที่เก่งกาจมีความสามารถได้เท่า ๆ กันและก็ต้องจ่ายค่าจ้างเท่า ๆ กัน ไม่มีใครออกแบบได้เก่งกว่าใคร เรื่องของการผลิตหรือการก่อสร้างเองนั้น แทบทุกบริษัทก็จ้างคนภายนอกมาก่อสร้าง ดังนั้น ไม่มีใครได้เปรียบทางด้านต้นทุน ในบางครั้งบางบริษัทก็ลงทุนสร้างบ้านเองด้วยเทคโนโลยีที่เป็น “พรีแฟ็บ” ผลิตชิ้นส่วนเช่นโครงบ้านและฝาผนังจากโรงงานทำให้สามารถลดต้นทุนและเวลาก่อสร้างได้ แต่นี่ก็มักจะเป็นการได้เปรียบแค่ชั่วคราว เพราะหลังจากนั้น ถ้ามันดี คู่แข่งหรือคนอื่นก็ทำตามได้เสมอ บางบริษัทเคยพยายามสร้างความสามารถในการแข่งขันผ่านบริการหลังการขายหรือคุณภาพของการสร้างบ้านที่ “เหนือกว่า” แต่นี่ก็เช่นเดียวกัน คู่แข่งทำตามได้ไม่ยาก นอกจากนั้น ปัจจัยเรื่องเหล่านี้ก็อาจจะมีน้ำหนักให้คนซื้อบ้านไม่มากพอที่จะทำให้เกิดบริษัทที่เหนือกว่าบริษัทอื่น ดังนั้น ในธุรกิจนี้ เราจึงมักจะไม่เห็น “ผู้ชนะ” อย่างถาวรจริง ๆ ทุกคน “เสมอ” กัน ไม่มีซุปเปอร์คอมพานีหรือบริษัทที่ “สุดยอด” ข้อสอง ธุรกิจพัฒนาบ้านขายนั้น เป็นธุรกิจที่คนไม่ซื้อซ้ำ ซื้อไปแล้วส่วนใหญ่ก็จะไม่ซื้ออีกเป็นเวลาสิบ ๆ ปีหรือตลอดไป บริษัทต้องหา “ลูกค้าใหม่” ทั้งหมดทุกปี นอกจากนั้นทำเลที่ตั้งของโครงการก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ซึ่งบางทีบริษัทก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีลูกค้ามากน้อยแค่ไหน และอีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยการกู้เงินที่มีผลอย่างสูงต่อความสามารถในการซื้อบ้านของลูกค้า ทั้งหมดนี้ทำให้การคาดการณ์ในเรื่องของผลประกอบการทำได้ไม่แม่นยำ ทำให้นักลงทุนมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในธุรกิจอื่นที่ขายสินค้าให้กับบุคคลทั่วไปที่สามารถคาดการณ์ยอดขายได้ดีกว่าเพราะลูกค้ามักจะซื้อซ้ำและการตัดสินใจซื้อขึ้นอยู่กับปัจจัยน้อยอย่างเช่นขึ้นอยู่กับรายได้ของตนเป็นหลัก เป็นต้น ผลก็คือ หุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายให้กับบุคคลธรรมดามักจะต้องถูก Discount หรือให้มูลค่าลดลงเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่มากกว่า ข้อสุดท้าย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น มักจะมี Cycle หรือวงจรของความเฟื่องฟูและการตกต่ำที่รุนแรง ซึ่งบ่อยครั้งก็เกิดขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่มักจะมีความผันแปรไปเรื่อย ๆ ในอดีตเองนั้น มีการพูดกันว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นมักจะเกิดวิกฤติแทบจะ “ทุก 7 ปี” เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าในอดีตนั้น อัตราดอกเบี้ยก็มักจะขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ได้นิ่งมายาวนานเหมือนในปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจเองก็ขึ้นลงแรงเช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ การจ้างงาน การลงทุน การเติบโตของจำนวนแรงงานและคนชั้นกลางที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองซึ่งส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นต้น ทั้งหมดนี้ทำให้คนที่ลงทุนในหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ “กลัว” และมักจะไม่กล้าให้ Value หรือมูลค่าหุ้นที่สูง และนั่นทำให้หุ้นอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างบ้านขายมีราคาที่ถูกมากแทบจะเรียกว่าถูกที่สุดในหุ้นกลุ่มหลัก ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2199
Finance
คนไทยควรออมเงินเพื่อเกษียณอายุอย่างน้อย 20 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปีหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: - อายุขัยที่ยืนยาว : คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 77 ปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 84 ปีภายในปี 2593 หมายความว่า เงินออมที่เตรียมไว้สำหรับเกษียณจะต้องเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายเป็นเวลา 20-30 ปี - ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น: ค่าครองชีพในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นสูงมากในช่วงวัยชรา - ระบบสวัสดิการที่ไม่แน่นอน: ระบบสวัสดิการของรัฐบาลไทย เช่น กองทุนประกันสังคม อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในยามเกษียณ - ผลตอบแทนจากเงินออมที่ไม่แน่นอน: ผลตอบแทนจากเงินออมในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินฝากออมทรัพย์ อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในยามเกษียณ - ความเสี่ยงด้านสุขภาพ: ความเสี่ยงด้านสุขภาพในวัยชรามีมากขึ้น - ตัวอย่าง: สมมติว่าค่าใช้จ่ายรายปีของคุณหลังเกษียณอยู่ที่ 300,000 บาท คุณควรมีเงินออมอย่างน้อย 6 ล้านบาท (300,000 บาท x 20) เงินออม 6 ล้านบาท สามารถนำมาใช้จ่ายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน (6,000,000 บาท / 300 เดือน) เงิน 20,000 บาทต่อเดือน อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดในยามเกษียณ - ข้อเสนอแนะ: เริ่มต้นออมเงินเพื่อเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ ลงทุนเงินออมในรูปแบบที่เหมาะสมกับความเสี่ยง ปรึกษานักวางแผนการเงินมืออาชีพ -สรุป : การออมเงินเพื่อเกษียณอย่างน้อย 20 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปี เป็นแนวทางที่ช่วยให้มั่นใจว่าคุณจะมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในยามเกษียณ แม้จะมีอายุยืนยาว ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และระบบสวัสดิการที่ไม่แน่นอน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2206
Finance
จงบอกหุ้นที่โดนกฎหมาย Antitrust
null
ต้นเดือนมิถุนายน 2562 ตลาดถูกบังคับให้สนใจกับ “กฏหมายป้องกันการผูกขาด” หรือ Antitrust หลังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) และคณะกรรมาธิการการค้า (FCT) พุ่งเป้าการตรวจสอบไปที่ดาวเด่นกลุ่มเทคโนโลยี ส่งผลให้หุ้นทุกตัวในกลุ่มนี้ ร่วงลงเฉลี่ย 5% ภายในวันที่มีข่าว Antitrust เป็นกฏหมายป้องกันไม่ให้บริษัทใหญ่ แสวงหากำไรด้วยการกีดกันคู่แข่งหรือผูกขาดตลาด โดยผู้ที่ถูกตัดสินว่าผูกขาด จะต้องจ่ายค่าปรับและแก้ไขปัญหา หุ้นที่โดนกฎหมาย Antitrust - IBM เคยเจอกับข้อกล่าวหาในช่วงปี 1969 เพราะมีสัดส่วนการตลาด Mainframe 70% บริษัทต้องต่อสู้ในประเด็นกฏหมายถึง 13 ปี แม้สุดท้ายจะไม่ถูกดำเนินคดี แต่การเติบโตของยอดขาย Hardware ก็ลดลงจาก 20% เหลือไม่ถึง 10% - AT&T โดนกฏหมาย Antitrust เล่นงานในปี 1974 เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาด 70% ในธุรกิจสื่อสาร ศาลตัดสินให้แตกบริษัทออกในปี 1984 สุดท้ายการเติบโตของยอดก็ขายลดลงจาก 10% ในช่วงก่อนหน้าเหลือเพียง 4% - Microsoft คุมตลาด OS 97% ในช่วงปี 2000 พบกับคำสั่งให้แยกบริษัทและห้ามขาย Software การต่อสู้ในเชิงกฏหมายเกิดขึ้นยาวนานถึงปี 2012 ท้ายที่สุดบริษัทก็ล้มลุกคลุกคลานหลังช่วงวิกฤติดอทคอม และถูกซื้อขายที่ P/E เพียง 0.6 เท่าของช่วงก่อนที่จะเจอปัญหา - Google เข้าข่าย Antitrust และจ่ายค่าปรับในยุโรปไปแล้วกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ - Facebook ถูกมองว่าเป็นธุรกิจ Social Network ที่ผูกขาดแถมยังเคยปล่อยข้อมูลลูกค้าให้รั่วไหล อย่างไรก็ดี บริษัทดูจะรู้ตัว และนับตั้งแต่ต้นปี 2562 ก็ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบของ FCT ไว้แล้วถึง 3 พันล้านดอลลาร์
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2209
Finance
อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการ "จับผิด" หุ้น?
null
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการ "จับผิด" หุ้น: 1. กระจายความเสี่ยง : ลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มอุตสาหกรรม ลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ 2. ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: - วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท - วิเคราะห์งบการเงิน ติดตามข่าวสาร 3. เลือกหุ้นที่มีราคาเหมาะสม : - เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าพื้นฐาน - วิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค 4. ลงทุนระยะยาว : -ไม่ควรซื้อขายหุ้นบ่อย - มองข้ามความผันผวนระยะสั้น 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ : - ปรึกษานักวางแผนการเงิน - ปรึกษากองทุนรวม ตัวอย่างกลยุทธ์: 6. ลงทุนในหุ้น 30 ตัว กระจายใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรม 7. ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี 8. ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า 9. ซื้อทองคำเก็บไว้ ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: - นักลงทุนควรมีวินัยในการลงทุน - ควรควบคุมอารมณ์ - ควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_221
Finance
Supply Shock คืออะไร
null
Supply Shock คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จนทำให้อุปทานของสินค้านั้น ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งท้ายที่สุด ก็จะส่งผลกระทบมายังราคาของสินค้า โดย Supply Shock มี 2 รูปแบบ คือ - Negative Supply Shock คือ เหตุการณ์ที่ทำให้ อุปทานลดลง ส่งผลให้ ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น - Positive Supply Shock คือ เหตุการณ์ที่ทำให้ อุปทานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ราคาสินค้าลดลง โดยเหตุการณ์ที่ทำให้เกิด Supply Shock มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น - เหตุการณ์ภัยธรรมชาติอย่าง น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว ทำให้โรงงานผลิตในพื้นที่นั้น ๆ เกิดความเสียหายจนไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อได้ - เกิดสงครามระหว่างประเทศ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าบางชนิดหยุดลงกลางคัน โดยเหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้อุปทานของสินค้าลดลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะทำให้ราคาของสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน อาจไม่ได้เกิดขึ้นกับสินค้าที่ใช้โดยตรง แต่เกิดขึ้นกับสินค้าชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันดิบ และน้ำมันปาล์ม เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสินค้าโภคภัณฑ์ จะเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าชนิดอื่น หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง “ต้นทุนในการผลิต” ที่สำคัญ และเมื่อต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง จนผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนเหล่านี้ไม่ไหว ภาระนี้ก็จะถูกผลักไปยังผู้บริโภค ผ่านการขึ้นราคานั่นเอง ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ เหตุการณ์ที่ทำให้เกิด Negative Supply Shock หรือ เหตุการณ์ที่ทำให้อุปทานลดลง ซึ่งก็จะส่งผลให้ราคาของสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งความจริงแล้ว Supply Shock ยังมีอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ให้ผลตรงข้ามกัน นั่นคือ Positive Supply Shock หรือ เหตุการณ์ที่ทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ราคาของสินค้าลดลง ยกตัวอย่างเช่น การคิดค้นเทคโนโลยี, นวัตกรรมใหม่ หรือคิดค้นกระบวนการผลิตใหม่ที่เพิ่มกำลังการผลิตให้กับโรงงานเป็นอย่างมาก ในระยะเวลาอันสั้น หรือสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2211
Finance
ต้นแบบแท็คติคสำหรับ Trade War ของโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นนำมาใช้กับคู่แข่ง ประเทศจีนหรือญี่ปุ่น
null
ประเทศจีน ต้นแบบแท็คติคสำหรับ Trade War ของโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นนำมาใช้กับคู่แข่ง ประเทศจีนหรือญี่ปุ่น คำตอบคือจีน เพราะ การแก้ปัญหาด้านการเงินของบริษัทที่เกิดย่ำแย่จากผลกระทบของราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นและการนำเข้าของรถยนต์ญี่ปุ่น ด้วยการขอให้กระทรวงการคลังสหรัฐช่วยค้ำประกันหุ้นกู้ที่บริษัทออกมาจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป ท่ามกลางการต่อต้านจากหลายฝ่าย ว่าไม่ควรให้รัฐเข้ามาอุ้มบริษัทที่จะเจ๊ง ทว่าทางการสหรัฐก็ตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือด้านการเงินต่อไคร์สเลอร์ จนทำให้บริษัทมีเงินพอที่จะออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยที่ฮิตที่สุด ได้แก่ รถจี๊บ (Jeep Grand Cherokee) ที่มีพื้นที่ใช้สอยโอ่โถ่ง ด้วยการใช้ภาพลักษณ์ตัวเองที่ดูจริงใจ โดยใช้สโลแกนที่เปรียบเหมือนในยุคนี้ว่า ‘เชื่อไอคอคค่า’ ต่อจากนั้น ด้วยความที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับภาครัฐ ไอคอคค่าก็สามารถล๊อบบี้ทางการได้อีกครั้ง ให้อนุญาตผ่านสเป็ค ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางเมื่อเทียบกับขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้ ในปี 1983 เพื่อออกรถรุ่น minivan จนรถยนต์ดังกล่าวติดตลาดในเวลาต่อมา พร้อมๆ กันนี้ ไอคอคค่าก็ล๊อบบี้ให้รัฐบาลสหรัฐตั้งกำแพงภาษีรถยนต์ประเภทกระบะจากญี่ปุ่น 25% เพื่อสกัดการแข่งขันของต่างชาติอีกแรงหนึ่งด้วย ซึ่งตรงนี้ กลายเป็นต้นแบบแท็คติคสำหรับ Trade War ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่นำมาใช้กับคู่แข่งอย่างจีนในปัจจุบัน ทั้งหมด
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2221
Finance
การซื้อรถยนต์มือหนึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ค่าเสื่อมราคา: มูลค่าของรถยนต์จะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อใช้งานไป ระยะเวลา 5 ปีแรก มูลค่ารถยนต์อาจลดลง 50% หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับรุ่น ยี่ห้อ และสภาพรถ ค่าใช้จ่ายแฝง: นอกจากค่าผ่อนรถแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ค่าน้ำมัน ประกันรถ พรบ. ภาษี ค่าจอดรถ ค่าล้างรถ ค่าบำรุงรักษา ฯลฯ ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ การโจรกรรม และความเสียหายอื่นๆ ผลตอบแทน: ไม่ได้เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทางการเงิน ทางเลือกอื่น: มีทางเลือกอื่นที่สะดวก ประหยัด และคุ้มค่ากว่า เช่น การใช้รถสาธารณะ การเช่ารถ หรือการใช้บริการ Grab/Uber ตัวอย่าง: สมมติว่า คุณซื้อรถยนต์มือหนึ่งราคา 1 ล้านบาท ใช้งานไป 5 ปี มูลค่ารถเหลือ 5 แสนบาท หมายความว่า คุณเสียค่าเสื่อมราคาปีละ 1 แสนบาท ค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ ประมาณปีละ 50,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดปีละ 150,000 บาท สรุป: การซื้อรถยนต์มือหนึ่งไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่า เป็นการใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างโดยประมาณ การตัดสินใจซื้อรถยนต์ควรพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ความจำเป็นในการใช้รถ สถานะทางการเงิน และความชอบส่วนตัว
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2223
Finance
Libra จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหรือไม่?
null
มีโอกาสสูง เหตุผล: - Libra เป็นเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ Libra ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีความผันผวนต่ำ โดยอ้างอิงกับตะกร้าของสกุลเงินหลักและสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งจะทำให้ Libra น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและผู้ใช้ทั่วไป - Libra มีศักยภาพในการแทนที่เงิน fiat บางส่วน Libra อาจถูกนำมาใช้แทนเงิน fiat (เงินที่ออกโดยรัฐบาล) ในบางธุรกรรม โดยเฉพาะธุรกรรมออนไลน์ สิ่งนี้จะส่งผลต่ออุปสงค์ของเงิน fiat และอาจนำไปสู่การลดลงของอัตราดอกเบี้ย - ธนาคารกลางอาจต้องปรับนโยบายการเงิน ธนาคารกลางอาจต้องปรับนโยบายการเงินเพื่อตอบสนองต่อ Libra ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางอาจต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดแรงจูงใจในการถือครอง Libra - Libra อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน Libra อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน if it becomes widely used. ธนาคารกลางจะต้องติดตามการใช้งาน Libra อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ตัวอย่าง สมมติว่า Libra กลายเป็นที่นิยมอย่างมาก ผู้คนจะเริ่มแปลงเงิน fiat ของตนเป็น Libra สิ่งนี้จะลดอุปสงค์ของเงิน fiat และอาจนำไปสู่การลดลงของอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางอาจกังวลว่า Libra อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน ธนาคารกลางอาจตอบโต้โดยการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดแรงจูงใจในการถือครอง Libra ข้อควรพิจารณา ผลกระทบของ Libra ต่ออัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับการใช้งาน Libra นโยบายของธนาคารกลาง และสภาพเศรษฐกิจโลก ยังมีข้อไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Libra ตัวอย่างเช่น ยังไม่ชัดเจนว่า Libra จะได้รับการกำกับดูแลอย่างไร สรุป Libra มีศักยภาพที่จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ธนาคารกลางจะต้องติดตามการพัฒนาของ Libra อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินตาม
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2224
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ กฎเหล็ก 3 ข้อ ที่จะทำให้ทฤษฎีมาร์ติงเกลสัมฤทธิ์ผล
null
ทฤษฎีมาร์ติงเกล จะมีกฎเหล็กที่ทำให้สัมฤทธิ์ผล 3 ข้อ ข้อแรกคือ ทฤษฎีนี้จะคำนวณหาโอกาสความน่าจะเป็นจากการทายได้ถูกมาก่อน แต่ถ้าเล่นเงื่อนไขให้ซับซ้อนมากขึ้น ก็จะสามารถสร้างเงื่อนไขพิเศษขึ้นมาได้ ข้อที่ 2 คือ เงินหน้าตักที่ได้จากคำนวณมาอย่างดี ต้องถามว่าจะมีเพียงพอในการเล่นได้กี่ครั้ง และข้อสุดท้ายก็คือ จะหยุดเล่นเมื่อไรก็ได้ ถ้าได้เงินครบตามที่ต้องการ โดยสามารถเลือกจบเกมได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องห้ามจบเกม บทเรียนจากย่อหน้านี้ มีอยู่วิธีหนึ่งที่ไม่ว่าโอกาสจะออกเป็นเลขอะไร ก็ไม่ต้องสนใจ ขอแค่รักษาสายป่านเอาไว้ก็พอ วิธีนี้เรียกว่า การบริหารเงินหน้าตัก จากเทคนิคการแทงทบ นั่นเอง หรือในภาษาคณิตศาสตร์เราจะเรียกมันว่า ทฤษฎีมาร์ติงเกล (Martingale) กฎเหล็ก 3 ข้อ ที่จะทำให้วิธีแทงทบนี้สัมฤทธิ์ผลก็คือ 1. คำนวณหาโอกาสความน่าจะเป็นหรือสถิติของการจะทายได้ถูกมาก่อน เช่น ถ้าทายตัวเลขของลูกเต๋ามา 1 หน้า โอกาสก็จะเป็น 1 ใน 6 ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ลงเล่นจะเสียเปรียบมาก (เพราะโอกาสถูกมีน้อยกว่าครึ่ง) แต่ถ้าเล่นเงื่อนไขให้มันซับซ้อนขึ้นมาอีก ก็สามารถสร้างเงื่อนไขพิเศษขึ้นมา เช่น ทำเป็น แทง 1 จ่าย 2 ซึ่งก็จะทำให้โอกาสที่จะชนะเฉลี่ยได้กลายเป็น 2 ใน 6 เป็นต้น 2. เงินหน้าตักนั้น ได้คำนวณมาแล้วอย่างดี ว่ามีเพียงพอจะเล่นได้กี่ครั้ง หรือถ้ามีมากมายไม่จำกัด ทำให้เล่นได้นับครั้งไม่ถ้วน ก็ถือว่าเงื่อนไขนี้ผ่านได้เลย 3. คนที่แทงทบจะหยุดเล่นเมื่อไรก็ได้ เมื่อได้เงินครบตามที่ตัวเองต้องการก็สามารถเลือกที่จะจบเกมได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ห้ามจบเกมเอาดื้อๆ
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2225
Finance
ประกันควบการลงทุน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากประกันชีวิตแบบใหม่ ใช่หรือไม่ใช่
null
ไม่ใช่ เพราะยูนิตลิงค์ (Unit Linked) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประกันควบการลงทุน” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากประกันชีวิตแบบดั้งเดิม (Traditional Product) โดยมุ้งเน้นที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการ ความยืดหยุ่นในการนำเบี้ยประกันไปลงทุน โดยสามารถเลือกรูปแบบการลงทุนตามความต้องการของผู้ถือกรมธรรม์ในแต่ละช่วงจังหวะชีวิต และ ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยการนำเบี้ยประกันที่ได้รับ (หลังหักค่าใช้จ่าย) ส่วนใหญ่จะไปลงทุนในกองทุนซึ่งมีระดับความเสี่ยง และความคาดหวังต่อผลตอบแทนที่หลากหลายกว่า แบบประกันรูปแบบอื่นๆ ความยืดหยุ่นในด้านความคุ้มครอง สะสมทรัพย์ และ การเข้าถึงเงินของผู้ถือกรมธรรม์ โดยสามารถปรับเพิ่มหรือลดทุนประกัน ปรับเพิ่มหรือลดเบี้ยประกัน ถอนเงินบางส่วน หรือหยุดจ่ายเบี้ยบางช่วงเวลา เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน ตามแต่ละช่วงจังหวะเวลาของชีวิต ที่อาจมีความไม่แน่นอนและต่างจากที่วางแผนทางการเงินไว้ในตอนต้น ซึ่งความยืดหยุ่นเหล่านี้ เป็นสิ่งที่แบบประกันอื่นๆ ทำได้ยาก ความโปร่งใสในกลไกการทำงานของผลิตภัณฑ์ประกันภัยโดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรเบี้ยประกัน มูลค่ากรมธรรม์ และ ผลประโยชน์ ณ ช่วงต่าง ๆ เพื่อที่ผู้ถือกรมธรรม์สามารถตัดสินใจต่อเหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อสถานะทางการเงิน หรือความคุ้มครองได้ง่ายดายและเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงรับรู้ว่าเงินที่ตนจ่ายนั้นถูกนำไปใช้จ่าย และส่งผลต่อผลประโยชน์ของตนอย่างไร และทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของกรมธรรม์ประเภทนี้ ที่ประกันชีวิตแบบดั้งเดิม (Traditional Product) ทำไม่ได้
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2229
Finance
กลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets เหมาะสมสำหรับการลงทุนหลังเกษียณหรือไม่?
null
ใช่ กลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets เหมาะสมสำหรับการลงทุนหลังเกษียณ เหตุผล: 1. กลยุทธ์นี้ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน โดยแบ่งเงินออกเป็น 3 ตะกร้า ตะกร้าแรก (Cash Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ตะกร้าที่สอง (Conservative Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง ตะกร้าที่สาม (Aggressive Buckets) ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง กลยุทธ์นี้ช่วยให้มั่นใจว่ามีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณ ตะกร้าแรกใช้สำหรับค่าใช้จ่ายใน 2-3 ปีแรก ตะกร้าที่สองใช้สำหรับค่าใช้จ่ายหลังจาก 2-3 ปีแรก ตะกร้าที่สามใช้สำหรับค่าใช้จ่ายในระยะยาว กลยุทธ์นี้ช่วยให้เงินเติบโต ตะกร้าที่สองและสามมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตะกร้าแรก เงินในตะกร้าที่สามจะไหลไปยังตะกร้าที่สอง เพื่อรักษาเงินต้นและสร้างผลตอบแทน 2 ข้อดีของกลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets: - กระจายความเสี่ยง - มั่นใจว่ามีเงินเพียงพอ สำหรับใช้จ่าย - เงินเติบโต 3. ข้อเสียของกลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets: - ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ - อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ตัวอย่าง : นายสมชาย เกษียณอายุ 60 ปี มีเงินออม 10 ล้านบาท เขาใช้กลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets ตะกร้าแรก: 3 ล้านบาท ลงทุนในเงินฝากออมทรัพย์ ตะกร้าที่สอง: 5 ล้านบาท ลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ ตะกร้าที่สาม: 2 ล้านบาท ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น นายสมชายจะถอนเงินจากตะกร้าแรก 200,000 บาทต่อปี เพื่อใช้จ่ายใน 2-3 ปีแรก หลังจาก 2-3 ปี เขาจะถอนเงินจากตะกร้าที่สอง 300,000 บาทต่อปี และเขาจะถอนเงินจากตะกร้าที่สาม 400,000 บาทต่อปี กลยุทธ์นี้ช่วยให้นายสมชายมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณ และเงินของเขามีโอกาสเติบโต สรุป : กลยุทธ์การถอนเงินแบบ Buckets เป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการลงทุนหลังเกษียณ กลยุทธ์นี้ช่วยกระจายความเสี่ยง มั่นใจว่ามีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่าย และเงินเติบโต แต่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2230
Finance
อยากซื้อหุ้นโรงพยาบาลลงทุนยาว ๆ ต้องเริ่มอย่างไรบ้าง
null
ประการแรก “ประเภทของหุ้นโรงพยาบาล” ก่อนอื่นขอแบ่งหุ้นโรงพยาบาลออกเป็นสองประเภทคร่าว ๆ ได้แก่ โรงพยาบาลที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ เช่น BDMS BH และประเภทที่สอง คือ โรงพยาบาลที่เน้นลูกค้าท้องถิ่น เช่น VIBHA CHG เป็นต้น หลายคนอาจแย้งว่า มันคลุมเครือ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ โรงพยาบาลแต่ละแห่งเขาก็มีนโยบายจับลูกค้าที่เน้นเป็นพิเศษ การที่ตั้งใจจะเลือกว่าจะลงทุนกับโรงพยาบาลประเภทไหนนั้น จะทำให้สามารถจับจุดวิเคราะห์ได้ถูก เพราะหากเป็น รพ. ที่เน้นต่างชาติ ก็ต้องดูภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ เป็นสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น หุ้นโรงพยาบาล ที่จับลูกค้ากลุ่มตะวันออกกลาง พอประเทศในกลุ่มมีปัญหาเศรษฐกิจ ก็มาใช้บริการน้อยลงนั่นเอง ประการที่สอง … “ดูตัวเลขทางการเงิน” ตัวเลขทางการเงินที่ดูกันหลัก ๆ ก็คือ ความถูกแพงของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไร หรือ PE , มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น เมื่อเทียบกับราคา หรือ P/BV , อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ROE การเปรียบเทียบจากตัวเลขทางการเงิน ช่วยบอกคร่าว ๆ ได้ว่า หุ้นตัวไหนถูก หรือแพง และหุ้นตัวไหนให้ผลตอบแทนกลับมาดีกว่ากัน โดยอาจเปรียบเทียบเบื้องต้นกับหุ้นหลาย ๆ ตัวก่อน จากนั้นเมื่อเลือกมาได้ ค่อยมาเจาะดูย้อนหลังก็สามารถทำได้ ประการที่สาม … “ดูการเติบโต” โรงพยาบาลหลายแห่งมีเป้าหมายการเติบโตแตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างโรงพยาบาลที่เคยเติบโตจากกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้ 1) กลยุทธ์การเติบโต ด้วยการควบรวมกิจการ กลยุทธ์นี้เคยใช้ได้ผลดีในอดีต โรงพยาบาลที่อยากโตเร็ว ๆ ก็ใช้วิธีการซื้อโรงพยาบาลอื่น แล้วนำมาปรับปรุงใหม่ สวมแบรนด์ของเขาเข้าไป ซึ่งได้ผลดี 2) กลยุทธ์สร้างโรงพยาบาลใหม่ในพื้นที่เฉพาะ กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยเวลา ต้องก่อสร้างโรงพยาบาลตั้งแต่เริ่มต้น สร้างเสร็จก็ต้องรอให้คนไข้เต็ม จนเลยจุดคุ้มทุน ใครที่ถือหุ้นโรงพยาบาลที่ขยายตัวจากการสร้างตึกใหม่ ก็ต้องรอกันหน่อย เพราะหลังจากสร้างเสร็จก็มีค่าเสื่อมราคา ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมามากมาย 3) กลยุทธ์จับกลุ่มเฉพาะทาง กลยุทธ์นี้น่าสนใจยิ่ง มีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจับกลุ่มคนจีนที่อยากมีลูก ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็ได้ผลดี ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และมากไปกว่านั้น เขายังไปเปิดศูนย์เฉพาะทางที่เมืองจีน นั่นคือโรงพยาบาล EKH นั่นเอง 4) กลยุทธ์อื่น ๆ ยังมีกลยุทธ์อีกมากมายหลายรูปแบบ เข่น สร้างศูนย์พักคนชรา รับลูกค้าประกันสังคม และอื่น ๆ เป็นต้น
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2235
Finance
นักลงทุนควรมีวิธีการอย่างไร ในการลงทุนระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูง
null
1. การกระจายความเสี่ยง: แทนที่จะลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว หรือลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นหลายตัว กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ 2. การเลือกหุ้น: ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตในระยะยาว เลือกหุ้นที่มีราคาเหมาะสม 3. การลงทุนระยะยาว: อดทนรอคอยผลตอบแทน ไม่ควรใจร้อน ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ 4. ศึกษาหาความรู้: ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ 5. ควบคุมอารมณ์: ไม่ควรตัดสินใจลงทุนด้วยอารมณ์ ควบคุมความโลภและความกลัว ตัวอย่างวิธีการลดความเสี่ยง: - การใช้กลยุทธ์ Stop-loss: กำหนดจุดตัดขาดทุน เพื่อจำกัดความเสี่ยงกรณีราคาหุ้นร่วงลง - การใช้กลยุทธ์ Dollar-cost averaging: ลงทุนเงินจำนวนเท่าๆ กันเป็นประจำทุกเดือน โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น - การใช้กลยุทธ์ Value investing: เลือกซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ตัวอย่างเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยง: - กองทุนรวมตราสารหนี้: ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำ - กองทุนรวมผสม: ลงทุนในทั้งหุ้นและตราสารหนี้ - กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์: ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ข้อควรระวัง: - การลงทุนมีความเสี่ยง - ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การลงทุนระยะยาวเพื่อผลตอบแทนทบต้นนั้นเป็นวิธีการที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยง นักลงทุนควรมีวิธีการที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูง
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2238
Finance
แนวทางการวางแผนเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน มีอะไรบ้าง
null
1. วิเคราะห์แหล่งเงินได้ รายได้หลักนั้น สามารถสร้างรายได้ให้กับเราได้นานแค่ไหน อนาคตเทคโนโลยีสามารถเข้ามาเปลี่ยนหรือทำลาย อาชีพ หรือธุรกิจได้หรือไม่ มีแหล่งรายได้อื่นที่เป็นรายได้พิเศษ หรืออีกช่องทางหรือไม่ (การมีรายได้ทางเดียว เสี่ยงที่สุด ) 2. ตรวจเช็กสุขภาพประจำปี ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ หากสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัว ก็จะมีผลกระทบต่อการทำงาน มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในครอบครัว 3. เริ่มต้นด้วยการเขียน รายรับ รายจ่าย ทั้งหมดที่มี แยก “รายจ่ายคงที่” ซึ่งรายจ่ายคงที่ไม่ควรเกิน 35% ของรายได้ เช่น ค่าบ้าน ค่ารถ “รายจ่ายผันแปร” เช่น ค่ากิน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง “รายจ่ายเพื่อการออมหรือลงทุน” เช่น เงินฝากประจำ กองทุนรวม ประกันออมทรัพย์ แล้วนำรายรับ – รายจ่าย = คงเหลือ ? ระวังอย่าให้ติดลบ 4. บันทึกรายรับ รายจ่ายประจำวัน : ตั้งเป้าหมายการใช้จ่าย เช่น ค่ากิน ในแต่ละวัน ว่าไม่เกินเท่าไหร่ และมีรายจ่ายตัวไหนที่สามารถลด หรือประหยัดได้ 5. สำรวจทรัพย์สิน หนี้สิน ทั้งหมดที่มี : สินทรัพย์ แบ่งเป็น 3 ประเภท - สินทรัพย์สภาพคล่อง (เพื่อเป็นเงินสำรองหมุนเวียน) เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร - สินทรัพย์ส่วนตัว (ทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) เช่น บ้านที่อยู่อาศัย รถ เครื่องประดับ - สินทรัพย์เพื่อการลงทุน (ทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้) เช่น ที่ดิน กองทุนรวม หุ้น ทองคำ ในส่วนของสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ควรมี หนี้สิน แบ่งเป็น 2 ประเภท - หนี้สินระยะสั้น ( ไม่เกิน 1 – 3 ปี ) เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนสินค้า - หนี้สินระยะยาว ( มากกว่า 3 ปี ) เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ *ทรัพย์สิน / หนี้สิน = ? ประเมินทรัพย์สิน และ หนี้สิน อย่าให้มีหนี้สินเกิน 50% ของทรัพย์สิน 6. สำรวจกรมธรรม์ประกันภัยและประกันชีวิต ที่มีอยู่ สรุปผลประโยชน์แต่ละกรมธรรม์ที่มี สัญญาครบหรือสิ้นสุดเมื่อไหร่ คุ้มครองและครอบคลุมอะไรบ้างในแต่ละกรมธรรม์ - ด้านประกันทรัพย์สิน เช่น ประกันอัคคีภัยบ้านที่อยู่อาศัย ประกันภัยรถ - ด้านประกันชีวิต เช่น วงเงินประกันคุ้มครองมีเท่าไหร่ เงินออม / ทุนประกันที่เตรียมไว้ – ภาระหนี้สิน ค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัว ทุนการศึกษาบุตร เป็นต้น = ? ประกันสุขภาพแผนที่ทำ กับ ค่ารักษาพยาบาล ณ ปัจจุบัน วงเงินเพียงพอหรือไม่ เพื่อวางแผนเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่ครอบคลุม
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2240
Finance
การลงทุน ทำเล เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรลงทุนใช่หรือไม่
null
ใช่ ทำเลถือเป็นหนึ่งในสุดยอดสินทรัพย์ในการลงทุนมาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ปัญหาในยุคปัจจุบันคือการจะหาทำเลที่ดีจริงๆ นั้นยากเหลือเกิน ของดีมักจะอยู่ในมือของนักลงทุนรายใหญ่ เพราะถ้ามีร้านอาหารหรือร้านค้าตั้งอยู่ทำเลดีแล้วนับว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง แต่หากไม่มีโอกาสเข้าถึงที่ดินหรือทำเลดีๆ เหล่านั้นได้ การจะทำการค้าหรือเปิดธุรกิจใหม่เรียกได้ว่าเสียเปรียบไปแล้วตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าการลงทุนแล้วทางออกย่อมไม่ได้มีทางเดียวหนทางที่นักลงทุนธรรมดาสามารถทำกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ทำเลดีๆ ได้นั้นมีอยู่จริง การลงทุนในกองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะการลงทุนคล้ายๆ กองทุนรวมถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ใครๆ ก็ทำกำไรจากอสังหาฯ สุดยอดทำเลได้ ยกตัวอย่างเช่น กองทรัสต์ AIMCG ลงทุนในสินทรัพย์อสังหาฯ ทำเลดีเยี่ยม 3 ที่ด้วยกัน 1. 72 คอร์ทยาร์ด (72 Courtyard) แหล่งรวมร้านนั่งชิวและไลฟ์สไตล์ยามค่ำคืน ใจกลางทองหล่อของนักธุรกิจใหญ่ที่เรารู้จักกันดีคือเฮียฮ้อ แห่งRS นั่นเอง จุดเด่นของ 72 คอร์ทยาร์ดคือ อัตราการเช่า 100% พื้นที่ทองหล่อถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่แพงที่สุดในประเทศไทย ที่ดิน 1 ไร่สามารถมีราคาสูงได้ถึงไร่ละ 600 ล้านบาท ด้วยความที่ศักยภาพในการใช้จ่ายของชาวไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นในทองหล่อสูงมาก จึงทำให้ธุรกิจร้านอาหารและบันเทิงในพื้นที่ประสบความสำเร็จมากมาย อัตราการเช่าของพื้นที่ให้เช่าเฉลี่ยสูงถึง 90% พูดภาษาชาวบ้านคือหัวบันไดไม่แห้ง มีคนมาเช่าตลอดธุรกิจดีไม่ดีอาจเปลี่ยนไปได้ แต่ทำเลที่ดียากมากที่จะเปลี่ยนแปลง นี่คืออีกจุดที่โดดเด่นของการเล่น “อสังหาฯ”
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2242
Finance
การลงทุนในแร่หายาก (Rare Earth) ในปัจจุบัน เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทั่วไปหรือไม่?
null
ไม่เหมาะสม เหตุผล: - ความเสี่ยงด้านราคา แร่หายากมีราคาผันผวนสูง ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายของรัฐบาลจีน ภัยธรรมชาติ และ เทคโนโลยีใหม่ - ความเสี่ยงด้านกฎหมาย กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่หายากมีความเข้มงวด ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจนี้ - ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม กระบวนการทำเหมืองแร่หายากอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางน้ำและดิน - สภาพคล่องต่ำ ตลาดแร่หายากยังมีขนาดเล็ก illiquidity - ความรู้และประสบการณ์ การลงทุนในแร่หายากจำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจนี้ ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม นักลงทุนทั่วไปอาจเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์เกี่ยวกับแร่หายากได้ยาก การลงทุนในแร่หายากควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในบริษัทต่างๆ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและธุรกิจแร่หายากอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป การลงทุนในแร่หายากมีความเสี่ยงสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ ประสบการณ์ และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง คำแนะนำ นักลงทุนทั่วไปควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแร่หายากอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และควรพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในแร่หายาก แทนการลงทุนโดยตรง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2247
Finance
จะยกตัวอย่าง กรณีศึกษาเด็กสาวจบปริญญาหมาดๆคนหนึ่ง กับการใช้บัตรเครดิต
null
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กสาวจบปริญญาหมาดๆคนหนึ่ง ได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนย่านใจกลางกรุงเทพฯ งานนี้ถือเป็นงานแรกสำหรับเธอ เธอตั้งใจไว้ว่า เงินเดือนเดือนแรกของเธอจะให้ผู้ซึ่งเป็นบุพพการีทั้งจำนวนเพื่อถือเป็นการตอบแทนที่ท่านได้เลี้ยงดูจนมาถึงทุกวันนี้ ความฝันของเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากหนุ่มสาวในวัยเดียวกันมากนัก แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจ ในช่วงแรกๆเธอคิดจะหาประสบการณ์จากการทำงานไปซักพัก ค่อยเริ่มคิดว่า ในอนาคตข้างหน้าอาจจะออกไปเปิดร้านกาแฟเล็กๆ เป็นนายตัวเอง ไม่ต้องทำงานให้ใคร แต่ไปๆมาๆก็ลังเลว่าพนักงานเงินเดือนก็ไม่ได้มีความเสี่ยงมากเท่ากับการประกอบกิจการของตัวเอง ถึงจะไม่รวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่น่าจะเครียดกว่าออกไปทำธุรกิจส่วนตัวแน่ๆ คิดไปคิดมา เธอก็ดึงสติกลับมาได้ว่า มันเป็นเรื่องของอนาคต ในเมื่อตอนนี้ยังมีเวลา ก็ใช้เวลาในวันนี้ให้ดีที่สุดไปก่อน แล้วค่อยไปว่ากันทีหลังเมื่อถึงเวลา ผ่านไป ๓ ปี จากเด็กสาวก็กลายเป็นหญิงสาว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ เธอยังคงทำงานที่เดิม และยังตั้งใจจะใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุดเหมือนวันนั้นที่เคยตั้งใจไว้ สิ่งที่ยังเหมือนเดิมในวันแรกที่เธอเข้าทำงานก็คือ เธอยังไม่มีเงินเก็บ แต่ตอนนี้เธอยังไม่รู้สึกว่าเดือดร้อนอะไรครับ สาเหตุที่เธอไม่ได้เดือนร้อนอะไรก็เพราะ เธอคิดว่าในช่วงแรกของการทำงาน ใครๆก็บอกว่าเงินเดือนยังน้อย ไม่จำเป็นต้องรีบเก็บ ไม่จำเป็นต้องรีบออม พอโตขึ้น ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น เดี๋ยวเราก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเอง พอรายได้เพิ่มขึ้น วันนั้นเราต้องเก็บเงินได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ จากโพลสำรวจของตัวผมเอง ได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เงินเดือนเพิ่มขึ้น แล้วเงินเก็บจะเพิ่มขึ้นตามเงินเดือนนะ เช่นเดียวกัน ไม่มีใครการันตีได้ว่า การที่เราทำความดี แล้วเราจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะทั้งการมีเงินเก็บ และการบรรลุธรรมขั้นสูง ต่างก็ไม่ได้เกิดจากเหตุและปัจจัยเพียงแค่อย่างเดียว แต่เกิดจากเหตุและปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทำไมเงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่เงินเก็บในบัญชีธนาคารยังไม่เพิ่มขึ้น? หนึ่งตัวอันตรายที่คอยดึงเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ของเราโดยไม่รู้ตัวก็คือ บัตรเครดิต (Credit Card) นั้นเอง ผมไม่ได้บอกว่าบัตรเครดิตมีแต่ข้อเสียนะครับ ข้อดีของบัตรเครดิตก็มีเยอะแยะ ๑. ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่มีราคาสูงๆ โดยไม่ต้องพกเงินสดให้ตุงกระเป๋า ๒. ใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน กรณีที่เราเกิดปัญหาและต้องการเงินสดทันที ๓. มีระยะเวลาให้ชำระเงินที่จ่ายผ่านบัตรเครดิตโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ไม่คิดดอกเบี้ยสูงสุดนานถึง ๔๕ วัน ต่างจากการซื้อสินค้าและบริการโดยใช้เงินสด เพราะจะต้องชำระค่าสินค้าทันที ๔. ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในกรณีเดินทางไปต่างประเทศ (เพราะต่างประเทศส่วนใหญ่ เขาไม่รับชำระสินค้าด้วยสกุลเงินบาท) แต่บัตรเครดิต เมื่อชำระค่าบริการจะถูกแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลประเทศที่เราไป ให้เป็นสกุลเงินที่ได้รับการยอมรับให้ชำระได้ตามกฎหมายของประเทศนั้น ๕. สะสมคะแนนเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้แลกส่วนลด หรือของสมนาคุณ โดยที่เราเองจะต้องการหรือไม่ต้องการของสิ่งนั้นก็ตามแต่ นับข้อดีไปๆมาๆก็ได้ถึง ๕ ข้อ งั้นตกลงใจสมัครบัตรเครดิตวันนี้เลยก็ถือว่าโอเคใช่มั้ย? หญิงสาวกลับไปสำรวจตัวเองว่า ผ่านไป ๓ ปี ทำไมเหมือนเดินย้ำอยู่กับที่ ถ้าไม่มีเงินเก็บ แล้วจะออกมาทำธุรกิจส่วนตัวได้อย่างไร หรือถ้าจะทำงานกินเงินเดือนต่อไปโดยใช้ชีวิตแบบเดิม ก็เหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่ดี คิดได้ดังนั้นก็เปิดกระเป๋าสตางค์และสำรวจทันที สิ่งที่พบในวันนี้คือสิ่งเดิม แต่การรับรู้ของเธอกลับเปลี่ยนไป เธอพบว่า ตัวเองพกบัตรเครดิตถึง ๔ ใบ จากหลายๆสถาบันการเงิน …หรือเป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้เธอไม่เคยเก็บเงินอยู่เลย ถ้าลองดูข้อดีของการพกบัตรเครดิตที่ผมยกตัวอย่างมาทั้งหมด ๕ ข้อข้างต้น จะพบว่า การพกบัตรเครดิตถึง ๔ ใบ ไม่ได้ช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากมันเพิ่มขึ้นมากนัก จะยกเว้นก็แต่ข้อ ๕. ที่แต่ละใบให้ส่วนลดและของสมนาคุณที่แตกต่างกันไปบ้าง แล้วทำไมต้องพกถึง ๔ ใบ ทั้งๆที่เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลแล้ว ใครๆก็รู้ว่า มันคือการเพิ่มภาระชัดๆ เหตุผลง่ายๆก็ยกตัวอย่างเช่น สมัครง่าย ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี, ได้ของแถมตอนสมัครครั้งแรก, เผื่อๆไว้เพราะบัตรนั้นลดอันนี้ไม่ได้ ส่วนบัตรนี้ไปเอาส่วนลดอันนั้นได้ ฯลฯ มันคงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับถ้าเราแค่พกไว้เฉยๆแล้วไม่ได้ใช้อะไร แต่ที่เก็บเงินไม่อยู่ ก็เพราะเรายอมเป็นหนี้บัตรเครดิตต่างหาก สิ่งนี้สำคัญนะ บัตรเครดิต ทำให้เราสามารถซื้อสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเกินกว่ารายได้ของเรา ยกตัวอย่างเช่น ซื้อกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ซื้อมือถือ iPhone รุ่นใหม่ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ครบชุดมาไว้ในห้องรับแขก สิ่งเหล่านี้ บัตรเครดิตให้คุณได้ด้วยการดูดรายได้ในอนาคตของคุณมาใช้ก่อน ผู้ขายสินค้าก็แสนจะฉลาด อนุญาตให้เราแบ่งจ่ายรายเดือน คิดดอกเบี้ยน้อยๆ หรือบางทีก็ไม่คิดดอกเบี้ยเลยก็มี ยอดชำระก้อนใหญ่ๆ พอแบ่งเป็น ๖ งวดบ้าง ๑๒ งวดบ้าง ก็ดูน้อยลงทันที ใครบ้างล่ะจะไม่อยากซื้อ จ่ายเงินไปยังไม่เต็มจำนวน แต่ได้สินค้ามาใช้ก่อน โอ้ว… ฉันฉลาดจริงๆ หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นห้องนอน หาใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตมากางดู แทบจะเป็นลม เพราะตอนนี้ยอดค้างชำระเดือนหน้า สูงกว่าเงินเดือนที่เธอได้รับเสียแล้ว สาเหตุเป็นเพราะ เธอใช้จ่ายเกินตัวในบางเดือน และพอถึงรอบการชำระหนี้บัตรเครดิตที่ผ่านมา เธอชำระไม่เต็มจำนวน เมื่อชำระไม่เต็มจำนวน เงินส่วนที่ค้างชำระจะถูกคิดดอกเบี้ยและรวมไปจ่ายในรอบบัญชีถัดไป ด้วยดอกเบี้ยทบต้นที่สูงกว่า ๑๕%!! ทำผิดพลาดแค่ครั้งสองครั้ง กลับกลายเป็นมีหนี้ก้อนโต สินค้าที่หรูหราราคาแพง ที่เหมือนจะมาสร้างความสุขให้กับเราแน่ๆ หากเราได้มาเป็นเจ้าของ มาตอนนี้กลับกลายเป็นนำทุกข์มาให้แทน มาถึงตรงนี้ อนาคตที่หญิงสาวคิดไว้ว่าจะหาทางเก็บเงิน สร้างฐานะ เพื่อสะสมไว้เปิดร้านกาแฟของตัวเอง กลับกลายเป็นต้องมาทำงานชดใช้หนี้บัตรเครดิตที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแทน ข้อเสียของบัตรเครดิตจากเหตุการณ์นี้ก็คือ ๑. บัตรเครดิตไม่เคยเตือนเราว่า ตอนนี้เราได้ใช้จ่ายไปเกินกำลังของเราแล้วหรือไม่ มีแต่เราที่ต้องเตือนตัวเอง ๒. การใช้บัตรเครดิตในการซื้อสินค้า บ่อยครั้งเราตัดสินใจง่ายกว่าการใช้เงินสดซื้อ ทำให้เรามีโอกาสที่จะซื้อสินค้าหรือบริการที่ไม่จำเป็นเพิ่มขึ้น ๓. หากชำระค่าใช้จ่ายไม่เต็มจำนวน ดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณจากยอดค้างชำระจะสูงมาก ทำให้แบกภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เหมือนกับเราซื้อสินค้าในราคาที่แพงกว่าปกติจากดอกเบี้ยที่ต้องชำระไป ถ้ามองในเชิงปริมาณ ข้อดี ๕ ข้อ หักลบข้อเสีย ซึ่งมีแค่ ๓ ข้อ ก็เท่ากับยังเหลือข้อดีอีกตั้ง ๒ ข้อ เพราะฉะนั้น บัตรเครดิตมีข้อดีกว่าข้อเสีย คิดอย่างนี้ได้ไหม? ไม่ได้นะครับ อย่าเข้าข้างตัวเองเด็ดขาด ข้อดี ๕ ข้อ บางคนก็ไม่ได้ทั้งหมด ๕ ข้อนั้นนะ ต่างประเทศก็แทบไม่เคยได้ไป คะแนนสะสมก็ไม่เคยรู้ว่าตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่ แถมข้อเสียของการใช้บัตรเครดิตนั้น กระทบกับการวางแผนการเงินในอนาคตอย่างมากนะ ตกลงหญิงสาวต้องทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี? ประการแรกเลยคือ ลดจำนวนบัตรเครดิตในกระเป๋าลง เพราะการมีบัตรเครดิตหลายใบ บางครั้งเวลาใบแจ้งหนี้ส่งมาถึงบ้าน ตัวเราเองจะไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือนเป็นเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เห็นพร้อมๆกันทั้ง ๔ ใบ จนอาจคิดเข้าข้างตัวเองได้ว่า ตัวเองยังมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยเหมือนเดิม แต่เรื่องจริงคือ ยอดหนี้เกินเงินเดือนไปแล้ว ประการที่สองคือ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายใหม่ทันทีครับ การใช้บัตรเครดิตให้มีประสิทธิภาพและไม่กระทบกับแผนการเงินของเราก็คือ ชำระเงินค่าบัตรเครดิตครบทั้งจำนวนให้ตรงวันครบกำหนดชำระ เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยอันใหญ่โตมโหฬารที่จะตามมา ประการสุดท้าย มีสติ จริงๆถือว่าสำคัญที่สุดใน ๓ ประการ หากเราระลึกรู้ถึงผลของการใช้จ่ายตามใจสุรุ่ยสุร่าย และมองเห็นข้อเสียที่จะตามมาหลังจากยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานเขาเอาไปรูดแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า อยากซื้อ หรือไม่อยากซื้อ แต่เราจะใช้เหตุผลในการตัดสินใจว่า ควรซื้อ หรือไม่ควรซื้อ ถ้าหมั่นเจริญสติบ่อยๆ ก่อนจะได้นิพพาน ผลข้างทางที่เกิดจากการเจริญสติ ยังทำให้เราใช้จ่ายอย่างมีเหตุมีผลด้วย ใครที่เห็นว่าวางแผนการเงินเป็นเรื่องยาก เก็บเงินยาก จริงๆมีแค่ตัวเดียว ก็เปลี่ยนชีวิตเราทั้งชีวิตเลยครับ “สติ” นั้นเอง ดังคำกล่าวที่ว่า สตินั้น จำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_225
Finance
งบกำไร-ขาดทุน คืออะไร
null
งบกำไร-ขาดทุน เป็นตัวช่วยบอกว่า ผลดำเนินงานของบริษัทในช่วงเวลานั้น ๆ เป็นอย่างไร ทำให้รู้ว่า บริษัทมีรายได้เท่าไร มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และธุรกิจมีกำไรเท่าไร งบการเงิน จะมีหลายประเภท เช่น งบดุล, งบกระแสเงินสด และงบกำไร-ขาดทุน ซึ่งงบการเงินที่นักธุรกิจส่วนใหญ่สนใจมากที่สุด ก็คือ “งบกำไร-ขาดทุน” โดยทั่วไปแล้ว หากพูดถึงภาพกว้าง ๆ หน้าตาของ งบกำไร-ขาดทุน ก็จะเป็น รายได้ - ค่าใช้จ่ายทั้งหมด = กำไร แต่แน่นอนว่า หากลองกาง งบกำไร-ขาดทุน ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ออกมาแล้วก็จะพบว่า หน้าตาไม่ได้ง่ายเหมือนที่กล่าวมาสักเท่าไร ส่วนแรก ซึ่งก็คือ “รายได้” จะบอกให้รู้ว่า รายได้ของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ซึ่งหากนำไปเทียบกับรายได้ในช่วงที่ผ่านมา ก็จะช่วยให้เห็นถึงแนวโน้มรายได้ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น ต่อมาคือในส่วนของ “ค่าใช้จ่าย” ซึ่งหลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายออกมาได้เป็น - ค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนขาย เช่น ค่าวัตถุดิบ - ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา - ค่าใช้จ่ายในการขาย เช่น ค่าโฆษณา ค่าเช่าสถานที่ - ค่าใช้จ่ายบริหาร เช่น เงินเดือนผู้บริหารและพนักงาน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ - ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากการกู้ยืม - ค่าใช้จ่ายทางภาษี นอกจากนี้ จะยังมีค่าใช้จ่ายหลายรายการที่เป็นประมาณการทางบัญชี โดยไม่ได้สัมพันธ์กับเงินสดที่จ่ายไปในงวดนั้น เช่น ค่าเสื่อมราคา, การด้อยค่าของสินทรัพย์ หลังจากที่นำค่าใช้จ่ายมาหักออกจากรายได้แล้ว ก็จะได้กำไรในแต่ละขั้น ซึ่งแบ่งเป็น 1. กำไรขั้นต้น (Gross Profit) กำไรขั้นต้น = รายได้ - ต้นทุนขาย ในส่วนนี้ อาจเป็นตัวช่วยบอกได้ว่า สินค้าและบริการของบริษัท สามารถตั้งราคาขายได้สูงกว่าต้นทุนมากน้อยเพียงใด ซึ่งก็จะมีปัจจัยในหลายเรื่องเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ชื่อเสียงของแบรนด์, คุณภาพสินค้า, อุตสาหกรรมของธุรกิจนั้น, การแข่งขันของตลาดที่บริษัททำธุรกิจอยู่ 2. กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) กำไรจากการดำเนินงาน = รายได้ - ต้นทุนขาย - ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กำไรจากการดำเนินงานจะเป็นตัวช่วยสะท้อนให้เห็นภาพการทำธุรกิจของบริษัทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 3. กำไรสุทธิ (Net Profit) กำไรสุทธิ = รายได้ - ต้นทุนขาย - ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร - ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย - ภาษี กำไรสุทธิ คือ รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งกำไรสุทธิ จะเป็นการสะท้อนภาพการทำกำไรของบริษัทว่าท้ายที่สุดแล้ว หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด บริษัทจะมีกำไรเหลือเท่าไร สรุปแล้ว งบกำไร-ขาดทุน จะทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยทำให้เห็นภาพว่าในช่วงเวลานั้น ๆ บริษัทมีรายได้เท่าไร มีค่าใช้จ่ายอะไร หลังจากหักลบกันแล้ว เหลือออกมาเป็นกำไรมากน้อยแค่ไหน หรือที่เรียกกันว่า ผลดำเนินงานนั่นเอง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0