ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
10
894
Input
stringclasses
0 values
Output
stringlengths
110
13.8k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
6 values
License
stringclasses
2 values
Finance_3024
Finance
Daiso มียอดขายปี 2016 เฉพาะในญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณกี่ล้านบาท
null
ณ เดือน พ.ค. 60 Daiso มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 4,260 สาขา ยอดขายปี 2016 เฉพาะในญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 110,000 ลบ. ดำเนินงานใน 25 ประเทศ ประเทศที่มีสาขาเยอะสุดคือ ญี่ปุ่น 2,800 เกาหลีใต้ 975 สาขา และไทยเป็นอันดับสามที่ 64 สาขา มีสินค้ามากกว่า 100,000 รายการ 40% ของสินค้าทั้งหมดทำในประเทศจีน มีศูนย์กระจายสินค้าต่างประเทศ 3 แห่งคือที่ เซี่ยงไฮ้, ตงก่วน ประเทศจีนและประเทศไทย ส่วนในญี่ปุ่นมีอีก 7 แห่ง แม้ Daiso จะเป็นร้านขายของถูก แต่ร้านขายของถูกอื่นๆ ไม่ได้เป็นเหมือน Daiso อย่างแรกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือขนาดของธุรกิจและความสำเร็จในระดับโลก แล้วอะไรที่แยก Daiso ออกจากร้านขายของถูกทั่วๆ ไป เป็นเพราะ Daiso ไม่ได้มีดีแค่ของถูกเพียงอย่างเดียว หากดูที่ Core value ของ Daiso อาจจะแปลกใจว่าไม่มีแม้แต่เงาของคำว่า “ราคาถูก” ด้วยซํ้าไป แต่กลับมีคำที่ตรงกันข้ามอย่าง คุณภาพ, ความหลากหลาย และเอกลักษณ์เฉพาะ คุณภาพของ Daiso ไม่ใช่คุณภาพของการซื้อสินค้าแต่เพียงอย่างเดียวแต่เป็นคุณภาพของการช๊อปปิ้งโดยรวม Daiso พยายามทำให้ลูกค้ารู้สึก “WoW” ทุกครั้งที่เห็นสินค้าในร้านของ Daiso ลูกค้าจะ Surprise อย่างมากว่ามีสินค้าแบบนี้ขาย ด้วยราคาแค่นี้เอง เหตุที่ทำให้ Daiso ขายสินค้าในราคาถูกได้ไม่ได้มาจากทำของถูกที่คุณภาพไม่ดี แต่เกิดจาก Economy of scale หรือการประหยัดจากการผลิตสินค้า 1 ชนิดด้วยจำนวนหลักล้านชิ้น เสร็จแล้วก็จะส่งไปขายทั่วโลก สินค้าที่มีความหลากหลายมากจากแนวคิดของ Daiso ที่ต้องการเน้นสร้างความ “สนุก” ในการช๊อปปิ้ง เริ่มด้วยการมีสินค้าที่หลากหลายมากๆ จัดเรียงตามลักษณะการใช้งาน มีสินค้าที่คนต้องการใช้ในชีวิตประจำวัน และมีสินค้าที่คนอาจจะคิดว่าต้องใช้ในอนาคตด้วย Daiso ลงทุนในการทำบรรยากาศในร้านให้ดี เน้นลูกค้าสามารถมองเห็นสินค้าได้ง่ายๆ แต่แค่การจัดร้านไม่สามารถให้ความ “สนุก” กับลูกค้าได้อย่างเต็มที่ Daiso ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบสินค้าด้วยตัวเองด้วย
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3026
Finance
ในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วง Tokyo Olympic 2020 สำหรับครอบครัวทั้งหมด 4 คน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง
null
ในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วง Tokyo Olympic 2020 สำหรับครอบครัวทั้งหมด 4 คน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1. ค่าเดินทางไป-กลับ ระหว่างที่พัก และสนามบินในประเทศ เนื่องจากเดินทางไปทั้งครอบครัว ดังนั้น การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวสะดวกที่สุด สอดคล้องกับสัมภาระที่มาก ดังนั้น ค่าใช้จ่ายหลักประมาณ 1,320 บาท แบ่งเป็น ค่าน้ำมันในการเดินทาง (500 บาท) ค่าทางด่วน (120 บาท) และ ค่าที่จอดรถ 5 วัน (700 บาท) หากใครเดินทางด้วยวิธีอื่นก็ลองเปลี่ยนตัวเลขกันดูได้ 2. ค่าตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากช่วงที่จะเดินทางน่าจะเป็นช่วงที่คนแห่กันไปญี่ปุ่น ดังนั้น ประมาณค่าใช้จ่ายจากตั๋วการบินไทยช่วงกลางเดือนเมษายนปี 2018 (High Season) พบว่า หากเดินทางวันศุกร์ กลับวันอังคาร ตามแผนที่ตั้งใจไว้ค่าตั๋วเครื่องบินจะอยู่ที่ประมาณ 30,950 บาทต่อคน หรือทั้งหมด 123,800 บาท (30,950 x 4) แต่ถ้าเดินทางวันเสาร์ กลับวันพุธ ค่าตั๋วเครื่องบินอยู่ที่ 17,102 บาทต่อคน หรือทั้งหมด 68,410 บาท (17102 x 4) จะเห็นได้ว่า ช่วงวันและเวลาในการเดินทางมีผลกับค่าใช้จ่าย ดังนั้น ในการประมาณการขอใช้ค่าเฉลี่ย ประมาณ 25,000 บาท ต่อคน หรือ ประมาณ 100,000 บาท (25,000 x 4) ซึ่งคิดเป็น 33% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่คาดไว้ 3. ค่าที่พักในต่างประเทศ ค่าที่พักในประเทศญี่ปุ่นกรณีพักรวม 4 คน พ่อ แม่ ลูก ใช้ค่าประมาณการ 3,000 เยนต่อคน หรือประมาณ 12,000 เยนต่อคืน ตามแผนพักทั้งหมด 4 คืน ค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักจะอยู่ที่ 48,000 เยน (12,000 x 4) หรือประมาณ 16,000 บาท 4. ค่าประกันภัยการเดินทาง ในการเดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง ควรทำประกันภัยการเดินทาง โดยเน้นความคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ หรือ เจ็บป่วย โดยสามารถสำรวจค่าเบี้ยประกันด้วยการค้นหาใน Google พิมพ์คำว่า Travel Insurance หรือ ประกันการเดินทาง ค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับระยะเวลาเดินทางเท่าที่สำรวจ สำหรับความคุ้มครองประมาณ 500,000 – 1,000,000 บาท เบี้ยประกันไม่เกิน 300 บาทต่อคน สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 1,200 บาท 5. ค่าใช้จ่ายการเดินทางในต่างประเทศ การเดินทางในประเทศญี่ปุ่น ในกรณีที่ต้องการเดินทางเฉพาะใน Tokyo ลองพิจารณา JR TOKYO Wide Pass เป็นตั๋วเหมา ผู้ใหญ่คนละ 10,000 เยน เด็ก (อายุ 6-11 ปี) คนละ 5,000 เยน โดย Pass นี้ใช้ได้ 3 วัน ในการวางแผนภาพรวม ใช้แบบเหมาค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 เยน หรือ ประมาณ 10,000 บาท การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแผนการเดินทางอย่างละเอียดในการวางแผนเที่ยว ซึ่งถ้าวางแผนเดินทางเปลี่ยนสถานที่ไม่มาก และไม่มีการเปลี่ยนเมือง แนะนำให้ไปซื้อตั๋วที่สถานีเป็นคราวๆ ไปจะประหยัดกว่า 6. ค่ากินอยู่ในต่างประเทศ เมื่อกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรื่องอาหารการกิน ถือเป็นประเด็นสำคัญของการเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ เพราะถ้ากังวลกับค่าใช้จ่ายในการกินแล้วพลาดโอกาสการลิ้มรสอาหารจะเสียดายภายหลัง ราคาค่าอาหารในแต่ละมื้อไม่เกิน 2,000 เยนต่อคนต่อมื้อ (บางมื้อกินหรู บางมื้อกินอาหารในร้านสะดวกซื้อ กินขนม ดื่มกาแฟ และอื่น ๆ เหมารวมกันได้) จำนวนเงินค่าอาหารทั้งหมดประมาณ 2,000 เยน x 3 มื้อ x 5 วัน x 4 คน = 120,000 เยน หรือประมาณ 40,000 บาท สำหรับอาหารในญี่ปุ่นแต่ละมื้อปริมาณอาหารจะมากกว่าไทยประมาณ 2-3 เท่าตัว ดังนั้นสำหรับคนทานน้อยจะทานไม่หมดและน่าเสียดายมาก ในสถานการณ์จริงสามารถสั่งมาทานร่วมกันได้ก็จะประหยัดได้อีก 7. ค่าใช้จ่ายในการเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะกับสภาวะอากาศ จากการตรวจสอบสภาพอากาศในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม พบว่า อุณหภูมิอยู่ในช่วง 22-36 องศาเซลเซียส ซึ่งถือได้ว่าคล้าย ฤดูร้อนในประเทศไทย ดังนั้น เสื้อผ้าที่มีอยู่สามารถนำไปใช้ได้ ไม่ต้องซื้อใหม่เป็นการเฉพาะ จึงไม่ต้องเตรียมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ 8. ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ เป้าหมายในการเดินทางในกรณีพาเด็ก ๆ ไปอาจไม่ใช่ Tokyo Olympic แต่เป็น Tokyo Disneyland ดังนั้น ผู้ปกครองที่จะพาเด็กไปควรเตรียมค่าใช้จ่ายค่าเข้าไว้ด้วย สำหรับราคาบัตร 1-Day pass ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) 7,400 เยนต่อคน* เด็ก (อายุ 12-17 ปี) 6,400 เยนต่อคน* เด็ก (อายุ 4-11 ปี) 4,800 เยนต่อคน* ดังนั้นประเมินค่าเข้าชมไว้ 25,000 เยน หรือประมาณ 8,500 บาท *อ้างอิงราคาจาก H.I.S. Travel นอกจากจะเที่ยว Disneyland แล้ว ยังควรไปชมสถานที่ต่าง ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สถาบันวิทยาศาสตร์ ดังนั้น เงินที่ต้องเตรียมจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 บาท 9. ของฝาก+ซื้อของส่วนตัว เรื่องสุดท้ายที่ควรคำนึงถึง คือ จะซื้อสินค้าอะไรบ้าง สำหรับผู้หญิงที่มีเป้าหมายเฉพาะในเรื่องเครื่องสำอาง เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และผู้ชายที่มีเป้าหมายเป็นอุปกรณ์ไอที กล้อง และอุปกรณ์ราคาแพง ควรประเมินราคาไว้ล่วงหน้า ประเมินไว้ไม่เกิน 50,000 บาท
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3028
Finance
นักลงทุนมือใหม่ควรใช้วิธีการวิเคราะห์แบบไหนเพื่อค้นหาหุ้นเด้งที่มีโอกาสเติบโตสูง?
null
3 วิธีการวิเคราะห์สำหรับนักลงทุนมือใหม่เพื่อค้นหาหุ้นเด้งที่มีโอกาสเติบโตสูง ดังนี้ 1. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) : - ศึกษางบการเงินของบริษัท - วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เช่น EPS, PER, P/B, ROE, ROA - พิจารณาความแข็งแกร่งของธุรกิจ - โอกาสการเติบโต - กลยุทธ์ของบริษัท - เปรียบเทียบกับบริษัทในกลุ่มเดียวกัน 2. วิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis): - ศึกษาแนวโน้มราคาหุ้น รูปแบบกราฟ แนวรับ แนวต้าน - ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น MACD, RSI, Stochastic วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย 3. ติดตามข่าวสารและข้อมูล: - ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ ทิศทางอุตสาหกรรม - อ่านบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ บทความเกี่ยวกับหุ้น - เข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุน ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำ: - นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มจากศึกษาพื้นฐานการวิเคราะห์หุ้น - ฝึกฝนการวิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเอง - ลงทุนในจำนวนเงินที่รับความเสี่ยงได้ - กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การค้นหาหุ้นเด้งที่มีโอกาสเติบโตสูงจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างละเอียดทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาหาความรู้ ฝึกฝน และลงทุนอย่างมีสติ เครื่องมือและแหล่งข้อมูลสำหรับนักลงทุนมือใหม่: 1. เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เว็บไซต์บริษัทหลักทรัพย์ 2. หนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้น 3. บทความเกี่ยวกับหุ้น กลยุทธ์การลงทุนสำหรับหุ้นเด้ง: - ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กำไรเติบโต - ซื้อหุ้นตอนราคาถูก - ถือหุ้นระยะยาว - ตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง ความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นเด้ง: - หุ้นมีความเสี่ยงสูง - ราคาหุ้นอาจผันผวน - นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3031
Finance
ควรออมเงินกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ดี
null
ขั้นต่ำควรออมไม่ต่ำกว่า 10% ของรายได้ ต่อให้มีภาระแค่ไหน ก็ควรมีส่วนหนึ่งของเงินที่จ่ายออกไปเพื่อออมให้กับอนาคตของตัวเราเอง การหักมาออม 10% ของรายได้ เอาจริงๆถือว่ายังน้อยไปมาก เงินเท่านี้อาจทำให้ในอนาคตพอจะมีเงินโตขึ้นบ้าง แต่ฐานะคงไม่เปลี่ยนอะไรไปมาก การจะขยับฐานะหรือทำให้อนาคตมีความมั่งคั่งสูงก็จะต้องออมมากว่านั้น การออมที่มากขึ้นนำไปสู่เป้าหมายทางการเงินหรือมีอิสรภาพทางการเงินที่ไวขึ้น ถ้าไม่ลำบากพยายามออมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิต สำคัญสุดคือ ผลตอบแทนทั้งหลายไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ทบต้นก็ตาม จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีเงินออมมาลงทุน เงินออมจึงสำคัญมากๆ อย่าติดกับดักของคนส่วนใหญ่ที่ถือคติว่า รายได้มากขึ้นเท่ากับรวยมากขึ้น เพราะโดยปกติรายได้ที่มากขึ้น ถ้าไม่เคยออมเลย รายจ่ายก็จะมากขึ้น และก็จะไม่รวยขึ้นสักที ความรวยที่แท้จริงคือความมั่งคั่งในรูปของสินทรัพย์ทางการเงิน ความมั่งคั่ง (Wealth) จะแตกต่างกันจาก 2 สาเหตุ คือ รายได้ที่แตกต่างกัน และ อีกสาเหตุสำคัญก็คือ ปริมาณการออมที่ต่างกัน ออมมากกว่าย่อมสะสมความมั่งคั่งได้สูงกว่า สำคัญตรงที่ เริ่มลงทุนทันที อย่ารีรอ อย่าหมิ่นเงินน้อย มีเท่าไหร่ก็ออมไปก่อน มันปรับเพิ่มขึ้นได้ทีหลัง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3033
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความแตกต่างระหว่างกองทุนประเภท Active Management Portfolio และ Passive Management Portfolio
null
สำหรับนักลงทุนคนไหนที่อยากรู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างกองทุนประเภท Active Management Portfolio และ Passive Management Portfolio วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ โดยกองทุน Active Management Portfolio หรือ กองทุนที่เน้นการบริหารเชิงรุก มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน เพื่อเอาชนะดัชนีอ้างอิง ส่วนกองทุน Passive Management Portfolio หรือ กองทุนที่เน้นการบริหารเชิงรับ มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ไม่มีใครเอาชนะดัชนีอ้างอิงตลอดไป ดังนั้น ผลตอบแทนที่ได้จะมีความใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงตลอดการลงทุน บทเรียนจากย่อหน้านี้ นักลงทุนหลายคนมีความสงสัย และยังไม่มั่นใจว่า ระหว่างกองทุนประเภท Active Management Portfolio และ Passive Management Portfolio ควรเลือกกองทุนประเภทไหนมาใส่ในพอร์ตดีกว่ากัน ก่อนจะไปเลือกกองทุน มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า กองทุนทั้ง 2 ประเภท มีข้อแตกต่างอะไรบ้าง 1. เน้นการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management Portfolio) หมายถึง กองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยมีเป้าหมายเพื่อสามารถเอาชนะดัชนีอ้างอิง (Benchmark) ให้ได้ โดยดัชนีอ้างอิงนี้ก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือที่เรารู้จักกันว่า SET Index นั้นเอง 2. เน้นการบริหารแบบเชิงรับ (Passive Management Portfolio) หมายถึง กองทุนหุ้นที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยมีความเชื่อว่า ไม่มีใครสามารถเอาชนะดัชนีอ้างอิงได้ตลอดไป ดังนั้น ผลตอบแทนของกองทุนประเภทนี้จะใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงไปตลอดอายุการลงทุน จะเห็นว่าประเภทการลงทุน ถูกแบ่งออกเป็น 2 แนวคิด ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยในแวดวงการลงทุน ก็ยังเถียงกันไม่จบว่าสุดท้ายแล้วกองทุนทั้ง 2 ประเภท กองทุนไหนดีกว่ากองทุนไหน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3038
Finance
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง เมื่อต้องการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเกิน 100%?
null
ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณา เมื่อต้องการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเกิน 100% มีดังนี้: 1. พื้นฐานกิจการที่แข็งแกร่ง: กำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ (หลักร้อยเปอร์เซ็นต์) กำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจมีโอกาสเติบโตในอนาคต 2. ปัจจัยหนุนจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคหรือนโยบายภาครัฐ: นโยบายภาครัฐที่ส่งผลบวกต่อธุรกิจ ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจ 3. Event Drive ที่สำคัญ: ถูกควบรวมกิจการหรือเทคโอเวอร์โดยผู้ที่มีศักยภาพ เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างธุรกิจ มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ 4. สัญญาณทางเทคนิค: ราคาหุ้นกลับตัวเป็นขาขึ้นในไทม์เฟรม Week, Month อินดิเคเตอร์ MACD ให้สัญญาณซื้อ ราคาหุ้นเกาะเส้น EMA ขาขึ้น 5. ขนาดของบริษัท: หุ้นขนาดเล็ก ขนาดกลาง มีโอกาสเติบโตสูง ควรเลือกบริษัทที่มีพื้นฐานดี 6. เจ้ามือ: มีเจ้ามือคอยอุดหนุน เจ้ามือเป็นนักลงทุนสถาบันที่ถือหุ้นยาว ข้อควรระวัง: หุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง มักมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นหลายตัว ตัวอย่าง: บริษัท XYZ เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กำไรสุทธิของบริษัทเติบโต 150% ในปีที่ผ่านมา นโยบายภาครัฐสนับสนุนให้ใช้รถไฟฟ้า บริษัท XYZ กำลังพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับรถไฟฟ้า กราฟราคาหุ้น XYZ กลับตัวเป็นขาขึ้นในไทม์เฟรม Week และ Month อินดิเคเตอร์ MACD ให้สัญญาณซื้อ เจ้ามือรายใหญ่เริ่มเข้าซื้อหุ้น XYZ จากปัจจัยเหล่านี้ บริษัท XYZ มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนเกิน 100% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3039
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 4 ความลับที่ธนาคารไม่เคยบอก เวลาไปฝากเงิน
null
สำหรับคนที่ไปฝากเงินที่ธนาคาร คงยังไม่รูเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นก็คือ 4 ความลับที่ธนาคารไม่เคยบอก เวลาไปฝากเงิน วันนี้เรามาบอกให้ทุกคนรู้ไปพร้อมกันค่ะ ความลับแรกก็คือ ความเชื่อเรื่องการฝากแบงค์ให้เงินต้นไม่หาย และได้ดอกเบี้ยทีแสนสบาย แต่ในความเป็นจริง มูลค่าเงินจะลดลงเนื่องจากเงินเฟ้อ ดังนั้นความเชื่อนี้ถูกต้องเพียงเสี้ยวเดียว เพราะยิ่งฝากนานเงินก็ยิ่งหาย ความลับที่ 2 คือ การฝากเงินมากเกินไป จะทำให้เสียโอกาสนำเงินส่วนที่เกินไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบที่ดีในอนาคต ความลับที่ 3 คือ การเก็บเงินมาก ๆ เพื่อทำความฝันให้เป็นจริง อาจทำให้ความฝันไม่มีวันเป็นจริง และความลับสุดท้าย คือ เราอาจได้รับความเสี่ยงจากการไม่ได้เงินคืนหากธนาคารล้มละลาย บทเรียนจากย่อหน้านี้ 4 ความลับที่ธนาคารไม่เคยบอก เวลาไปฝากเงิน 1. ยิ่งฝากนานเงินยิ่งหาย จากความเชื่อที่ว่าฝากแบงค์เงินต้นไม่หาย แถมได้ดอกเบี้ยสบายจะตาย เรื่องนี้มันถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะเงินต้นไม่หาย แต่มูลค่าเงินลดลงตลอดเวลาเนื่องจากเงินเฟ้อ แล้วเงินเฟ้อคืออะไร เงินเฟ้อก็คือ ภาวะที่ราคาของสินค้าต่างๆ สูงขึ้น ทำให้มีเงินเท่าเดิมแต่ซื้อสินค้าได้น้อยลง ยิ่งฝากนานเงินยิ่งหาย โดนเงินเฟ้อกัดกิน ทำให้มูลค่าเงินในอนาคตลดลงตลอดเวลา 2. เสียโอกาสในการให้เงินทำงานแทนเรา ข้อดีของเงินฝากคือ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและยามฉุกเฉินได้ทันที (ไม่รวมเงินฝากที่มีเงื่อนไขพิเศษ) แต่การฝากเงินมากเกินความจำเป็นทำให้เสียโอกาสนำเงินส่วนเกินไปลงทุนสร้างผลตอบที่ดีในอนาคต 3. ความฝันต่างๆ อาจจะไม่เป็นความจริง ทุกคนมีความฝันของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเกษียณก่อนกำหนด เที่ยวรอบโลก มีบ้านหลังใหญ่ ส่งลูกเรียนเมืองนอก ความฝันเหล่านี้จะเป็นจริงได้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก หลายคนคิดว่าพยายามเก็บเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะเอาเงินไปทำฝันให้เป็นจริงในวันข้างหน้า แต่การทำเช่นนี้อาจทำให้ความฝันเป็นจริงได้ยากมากหรือไม่มีวันเป็นจริงเลย จากเรื่องเงินเฟ้อในข้อแรก จะเห็นว่าฝากเงินในแบงค์ ยิ่งทำให้มูลค่าเงินลดลงทุกวัน 4. มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้เงินคืนหากแบงค์ล้ม เชื่อว่าฝากเงินไว้กับธนาคารไม่ต้องกลัวเงินต้นหาย แต่ในความเป็นจริงถ้าแบงค์เกิดเจ๊งขึ้นมาอย่างเช่นในปี 40 จะเอาเงินคืนจากใคร หลายคนบอกว่ามีพระราชกฤษฎีกาคุ้มครองเงินฝากยังไงก็ได้คืนทั้งหมด แต่ปัจจุบันพระราชกฤษฎีกาคุ้มครองเงินฝาก ไม่ได้คุ้มครองเงินเต็มจำนวนอีกต่อไป โดยวงเงินคุ้มครองจะค่อยๆ ลดลด โดยปีหน้าจะลดลงเหลือ 1 ล้านต่อหนึ่งธนาคาร
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3045
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ปัจจัยที่จะทำให้ถึงเป้าหมายการเงิน 100,000 บาท
null
ปัจจัยที่จะทำให้ถึงเป้าหมายการเงิน 100,000 บาท มีทั้งหมด 3 อย่าง เริ่มต้นที่อย่างแรก คือ ระยะเวลา เป็นสิ่งเราสามารถควบคุมได้ ยิ่งใครออมเงินก่อน โอกาสที่เราจะรวยก็ยิ่งไวกว่า อย่างที่สอง คือ เงินออมที่ลงทุนไป ก็เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้เหมือนกัน การที่จะมีเงินออมเยอะได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับวินัยการออมของตนเอง และอย่างสุดท้ายก็คือ ผลตอบแทน เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ก็จริงแต่ไม่หมด ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในการลงทุน บทเรียนจากย่อหน้านี้ ปัจจัยที่จะทำให้ถึงเป้าหมายการเงิน 100,000 บาทมีอะไร ? ปัจจัย คือ เวลา เงินที่ออมแต่ละปี และ ผลตอบแทน 1) ระยะเวลา เป็นปัจจัยภายในที่ควบคุมมันได้ โดยเลือกได้ที่จะเริ่มออมก่อนตอนอายุ 30 หรือ เลือกออมตอนอายุ 35 กำหนดตัวเองเรื่องเวลา แต่ยิ่งออมนานมันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า พลังสุดยอดในจักรวาลคือ พลังของดอกเบี้ยทบต้น เขาจึงมีคำพูดว่า ออมก่อนรวยกว่า 2) เงินออมที่ลงทุนไป เป็นปัจจัยภายในที่ควบคุมด้วยเช่นกัน แต่ต้องขึ้นกับวินัยของตนเอง ถ้าเริ่มต้นออมก่อนด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้น เงินออมก็จะใช้น้อยลง ยิ่งจะต้องใช้เงินออมเยอะขึ้น 3) ผลตอบแทน นี่เป็นปัจจัยภายนอก ที่ควบคุมได้ไม่หมด จะต้องพบกับ ความเสี่ยงของผลตอบแทน ที่อาจจะพลาดเป้าไปได้ตามตลาดที่ลงทุน ถ้าผลตอบแทนพลาด ต้องใส่เงินออมเงินเพิ่ม
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3047
Finance
มีเงิน 6000 บาทเป็นเจ้าของเซเว่นได้อย่างไร
null
จากข้อมูลปี 2017 ถ้ามีเงิน 6000 บาท แต่อยากเป็นเจ้าของเซเว่น สามารถทำได้ โดยซื้อหุ้นเซเว่น หรือ CPALL ที่ราคา 60 บาท ก็จะได้ 100 หุ้น ซึ่งในปัจจุบันบริษัทมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 8,983.1 ล้านหุ้น ถ้าเราซื้อหุ้น 100 หุ้นก็เหมือนได้ร่วมเป็นเจ้าของสัดส่วน 1 ใน 89 ล้านส่วน อาจจะดูเหมือนน้อย แต่ถ้าคิดว่าคนไทย 67 ล้านคนเคยซื้อของที่เซเว่นทุกคน และแต่ละคนซื้อสินค้าของเซเว่นเป็นเงิน 100 บาท เราจะได้ส่วนแบ่งถึง 75 บาท (67ล้าน x 100 / 89ล้าน) ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการถือหุ้นเพียงบางส่วนของบริษัทใหญ่ๆ อาจจะมีมูลค่ามากกว่า การถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเล็กๆ ไม่ต้องบริหารงานอะไรเลย รอรับเงินปันผลในแต่ละปีไปเรื่อยๆ และถ้ากิจการเซเว่นขยายสาขาได้มากขึ้น ก็หมายความว่าเงินปันผลในปีถัดไปจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ซึ่งปีนี้ บริษัท CPALL ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ดร.นิเวศน์ นักลงทุนชื่อดังที่เริ่มต้นจากไม่มีทรัพย์สินอะไร เก็บเงินสะสมจากการทำงานประจำ ปัจจุบันเขาถือหุ้น CPALL อยู่ 45 ล้านหุ้น ถ้าคนไทยทุกคนซื้อสินค้าที่เซเว่นคนละ 100 บาท ดร. นิเวศน์ จะได้ส่วนแบ่งถึง 34 ล้านบาท ปี 2016 CPALL มีรายได้ทั้งหมด 450,000 ล้านบาท แปลว่ารายได้ตามสัดส่วนของ ดร.นิเวศน์ มีมากถึง 2,250 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังได้รับปันผลอีก 45 ล้านบาท หรือคิดง่ายๆว่า ดร.นิเวศน์ได้รับเงินปันผลจาก CPALL ถึงเดือนละ 3.75 ล้านบาท เป็นต้น
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3053
Finance
คนไทยควรมีเงินออมอย่างน้อย 1 ล้านบาทหลังเกษียณหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: จำนวนเงินออมที่เพียงพอหลังเกษียณนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น เป้าหมายการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ค่าใช้จ่ายต่อเดือน ระยะเวลาที่คาดว่าจะอยู่หลังเกษียณ ผลตอบแทนจากการลงทุน ฯลฯ การมีเงินออม 1 ล้านบาทหลังเกษียณ อาจจะไม่เพียงพอ สำหรับบางคน ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ต้องการใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ หรือมีอายุยืนยาว การมีเงินออม 1 ล้านบาท อาจจะมากเกินไป สำหรับบางคน ที่มีค่าใช้จ่ายน้อย วางแผนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หรือมีแหล่งรายได้อื่น ๆ รองรับ อย่างไรก็ตาม การมีเงินออมหลังเกษียณนั้น ถือว่ามีความสำคัญ เพราะช่วยให้: มีรายได้หลังเกษียณ เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รักษาความมั่นคงทางการเงิน โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น มีอิสระในการใช้ชีวิต โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ดังนั้น คนไทยควรมี “แผนการเกษียณ” ที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้: เป้าหมายการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ต้องการใช้ชีวิตแบบไหน ต้องการเดินทางท่องเที่ยว หรือใช้เวลากับครอบครัว ค่าใช้จ่ายต่อเดือน คาดการณ์ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ โดยรวมค่าอาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ฯลฯ ระยะเวลาที่คาดว่าจะอยู่หลังเกษียณ อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยปัจจุบันอยู่ที่ 77 ปี ผลตอบแทนจากการลงทุน เลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ โดยสรุป คนไทยควรมี “แผนการเกษียณ” ที่เหมาะสมกับตัวเอง มากกว่าการตั้งเป้าหมายว่าต้องมีเงินออม 1 ล้านบาทหลังเกษียณ because จำนวนเงินที่เพียงพอ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง คำแนะนำ: เริ่มต้นวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ตัวอย่างเครื่องมือทางการเงินสำหรับวางแผนเกษียณ: กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ประกันชีวิตแบบบำนาญ ประกันสุขภาพ การวางแผนเกษียณที่ดี ช่วยให้คุณมีชีวิตหลังเกษียณที่สุขสบายและมั่นคง
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3055
Finance
นักลงทุน VI ควรซื้อหุ้นที่มี PE ต่ำ P/BV ต่ำ และ ROE สูงหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: PE ต่ำ: บ่งบอกถึงราคาหุ้นที่ถูกเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้น P/BV ต่ำ: บ่งบอกถึงราคาหุ้นที่ถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี ROE สูง: บ่งบอกถึงบริษัทที่มีประสิทธิภาพในการทำกำไร อธิบายเพิ่มเติม: PE ต่ำ: PE ต่ำ หมายถึง ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (Price/Earnings ratio) อยู่ในระดับต่ำ หุ้นที่มี PE ต่ำ แสดงว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงินน้อยลงต่อหน่วยกำไร อย่างไรก็ตาม PE ต่ำเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น อัตราการเติบโตของกำไร ความเสี่ยงของธุรกิจ มูลค่าทางบัญชี P/BV ต่ำ: P/BV ต่ำ หมายถึง ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (Price/Book Value ratio) อยู่ในระดับต่ำ หุ้นที่มี P/BV ต่ำ แสดงว่านักลงทุนกำลังจ่ายเงินน้อยลงต่อหน่วยมูลค่าทางบัญชี อย่างไรก็ตาม P/BV ต่ำเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น อัตราการเติบโตของมูลค่าทางบัญชี คุณภาพของสินทรัพย์ ภาระหนี้สิน ROE สูง: ROE สูง หมายถึง ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) อยู่ในระดับสูง หุ้นที่มี ROE สูง แสดงว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรได้ดี อย่างไรก็ตาม ROE สูงเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ความยั่งยืนของกำไร นโยบายการจ่ายเงินปันผล ความเสี่ยงของธุรกิจ สรุป: การซื้อหุ้นที่มี PE ต่ำ P/BV ต่ำ และ ROE สูง เป็นกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) กลยุทธ์นี้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3058
Finance
นักลงทุนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นจะบรรลุอิสรภาพทางการเงิน ควรมีวิธีคิดและแนวทางการลงทุนอย่างไร?
null
1. ตั้งเป้าหมายที่สมจริง: การเกษียณอายุก่อนวัยอันควรโดยอาศัยผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลา เงินทุน ความเสี่ยง และเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ 2. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: การลงทุนเป็นประจำ แม้จะลงทุนจำนวนน้อย ช่วยให้พอร์ตลงทุนเติบโตอย่างมั่นคง กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) ช่วยกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด 3. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต 4. เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี: เลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว พิจารณาปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบการ สถานะทางการเงิน กลยุทธ์ธุรกิจ 5. อดทนและควบคุมอารมณ์: ตลาดหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนควรมีวินัย อดทน ควบคุมอารมณ์ 6. ศึกษาหาความรู้: ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเงิน การลงทุน เข้าใจความเสี่ยง 7. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ตัวอย่าง: นักลงทุนอายุท่ี 25 ปี ต้องการเกษียณอายุ 40 ปี ตั้งเป้าหมายมีเงิน 20 ล้านบาท: ลงทุน 10,000 บาทต่อเดือน ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8% พอร์ตลงทุนจะเติบโตถึง 20 ล้านบาทภายใน 15 ปี นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ศึกษาหาความรู้ ควบคุมอารมณ์ สรุป: การบรรลุอิสรภาพทางการเงิน จำเป็นต้องมีวินัย อดทน ศึกษาหาความรู้ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ กระจายความเสี่ยง ควบคุมอารมณ์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3061
Finance
คุณสมบัติใด ที่เทียบกับในกรณีของ ROS คือบริษัทเริ่มมีแผนทำรีสอร์ทขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ละแห่งลงทุนในระดับหมื่นล้านบาท ระหว่าง จะต้องมีเรื่องราวที่สามารถแสดงได้ว่าอนาคตของบริษัทจะโตต่อไปได้อีกมาก หรือ หุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหุ้นจะต้องมีไม่มาก
null
จะต้องมีเรื่องราวที่สามารถแสดงได้ว่าอนาคตของบริษัทจะโตต่อไปได้อีกมาก เพราะคุณสมบัติที่จะต้องมี “Story” หรือเรื่องราวที่สามารถแสดงได้ว่าอนาคตของบริษัทจะโตต่อไปได้อีกมาก เทียบในกรณีของ ROS ก็คือ บริษัทเริ่มมีแผนทำรีสอร์ทขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่ละแห่งลงทุนในระดับหมื่นล้านบาท นอกจากนั้น ถ้ามองออกไปไกล ๆ บางทีอาจจะ 3-5 ปี จะมีการลงทุนรวมกันถึงแสนล้านบาทและทั้งหมดนั้นอยู่ในสถานที่ที่ “สุดยอด” เช่น ที่เกาะฟูก๊วก เมืองตากอากาศอันดับหนึ่งที่รัฐบาลกำลังโปรโมต เป็นต้น ส่วนคุณสมบัติที่หุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหุ้นจะต้องมีไม่มาก เทียบในกรณีของ ROS หุ้นอยู่ในมือของ Mr. ตรินห์มากกว่า 70% ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ “ผิดปกติ” ในตลาดหุ้นเวียตนามที่หุ้นมักจะอยู่ในมือของรัฐวิสาหกิจ หุ้นบริษัทเอกชนนั้น ส่วนใหญ่ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็จะถือหุ้นไม่มากและมักจะไม่เกิน 25% คุณสมบัติข้อนี้จะทำให้หุ้นสามารถถูก “Corner” หรือถูก “ต้อนเข้ามุม” โดยนักลงทุนส่วนบุคคลหรือนักเก็งกำไรรายใหญ่ได้ง่าย ซึ่งก็จะทำให้ราคาหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ตราบที่ยังมีคนสนใจจะเข้าไปเล่นเก็งกำไรสั้น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เดือนพฤศจิกายนปี 2016 Trinh Van Quyet ประธานบริษัท FLC Group และเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท Faros Construction ในตลาดหุ้นเวียตนาม วัย 41 ปี ได้กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในตลาดหุ้นเวียตนามด้วยมูลค่าหุ้นรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยจะมีใครรู้จัก การที่เขากลายเป็นบุคคลที่ “มั่งคั่งที่สุด” ใน “ชั่วข้ามคืน” นั้น เป็นเพราะหุ้นบริษัทก่อสร้าง Faros ที่มีชื่อย่อของหุ้นว่า ROS ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดเมื่อเดือนกันยายน 2016 มีราคาเพิ่มขึ้น 10 เท่าเป็นประมาณ 170 บาทต่อหุ้นภายในเวลา 3 เดือน หุ้น ROS ยัง “ร้อนแรง” และมีราคาประมาณ 240 บาทต่อหุ้น Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้น ROS สูงถึงประมาณหนึ่งแสนล้านบาทไทยและมีส่วนที่มีนัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นโฮจิมินเพิ่มขึ้นมากและเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วย หุ้น ROS ใหญ่โตติดอันดับ 1 ใน 10 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดของตลาดและมี Market Cap. ประมาณ 4-5% ของตลาด การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมีส่วนต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดที่ทุกคนต้องจับตามอง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3063
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ รูปแบบการรับรายได้ของคนที่เป็น Master
null
สำหรับรูปแบบการรับรายได้ของคนที่เป็น Master นั้น จะมีรายได้จากกำไรที่ได้การเทรดสินค้าการลงทุนด้วยตัวเอง โดยนิยมใช้เป็น CopyTrade สำหรับสินค้าการลงทุนที่เราพบเห็นมากที่สุดนั่นก็คือ FOREX โดยให้เหตุผลว่า FOREX เป็นสินค้าที่นิยมเทรดกันทั่วโลกและมีสภาพคล่องที่สูง และหากเรามี Performance ในการเทรดที่ดี เราจะมีคนกดติดตาม และMaster จะได้ส่วนแบ่ง ผู้ติตามจะต้องยินยอมให้โบรกเกอร์เทรดแทนเราให้อัตโนมัติ บทเรียนจากย่อหน้านี้ อธิบายรูปแบบการรับรายได้ของคนที่เป็น Master คนพวกนี้จะมีรายได้สองสามทางคือ กำไรที่เกิดขึ้นจากการที่เขาเทรดสินค้าการลงทุนด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อนุพันธ์ สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ แต่สินค้าที่นิยมใช้เป็น CopyTrade มากที่สุดก็คือ FOREX เนื่องจากเป็นสินค้าที่ผู้คนนิยมเทรดกันทั่วโลกและมีสภาพคล่องสูง หาก Master คนใดที่มี Performance การเทรดที่ดี ก็จะมีคนกดติดตาม คนๆ นั้นก็จะได้ส่วนแบ่งทันที จากนั้นผู้ที่เป็น Follow ก็จะต้องยินยอมให้เจ้าของแพลตฟอร์มหรือโบรกเกอร์ (ที่ดังๆก็มี eToro, MT4) เทรดแทนให้อัตโนมัติ พูดง่ายๆ ก็คือ Master ที่ติดตามเทรดอะไร ระบบก็จะเทรดตามด้วยทันที หากสามารถทำกำไรได้เราจะต้องหักส่วนแบ่งกำไรที่เกิดขึ้นให้กับคนเป็น Master ด้วย (แน่นอนว่าหากขาดทุนก็ต้องขาดทุนตามไปด้วย) ที่บอกว่า CopyTrade มีโอกาสจะเป็นอาชีพใหม่ในยุคฟินเทคได้ เพราะทางตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย หรือ TFEX กำลังอนุญาตให้โบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตซื้อขายตราสารอนุพันธ์สามารถให้ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขาย TFEX ผ่านแพลตฟอร์มที่เรียกว่า MT4 ได้แล้ว ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นที่นิยมในต่างประเทศ เพราะสามารถเทรดสินค้าต่างๆ ได้ทั่วโลก ซึ่ง MT4 สามารถรองรับฟังก์ชั่นใหม่ๆ อย่างการเขียนระบบเทรดอัตโนมัติของตัวเอง (EA) รวมไปถึง CopyTrade ด้วย
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3067
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ หลักการลงทุนให้พอร์ตเล็ก กลายเป็นพอร์ตใหญ่
null
สำหรับหลักการลงทุนให้พอร์ตเล็ก กลายเป็นพอร์ตใหญ่ มีอยู่ 5 ข้อ โดยข้อแรก จะต้องรู้ว่าจะลงทุนในทิศทางไหน ต้องลงทุนกับหุ้นเติบโตเร็ว เพื่อให้เห็นภาพของพอร์ตที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน ข้อที่สอง คือ ควรโฟกัสไปที่สิ่งที่รู้จักดีที่สุด ข้อที่สาม ต้องมีการบริหารจัดการพอร์ตให้เหมาะสม เพื่อจะทำให้พอร์ตใหญ่ขึ้น ข้อที่สี่ คือ ต้องขยันในการหาหุ้นที่มีข่าวร้ายชั่วคราว เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่ดี และข้อสุดท้าย คือ มีการซื้อหุ้นแบบมีนัยยะ ซื้อในปริมาณมากพอ เพื่อเกิดการเปลี่ยนสถานะพอร์ตได้ บทเรียนจากย่อหน้านี้ หลักการลงทุนให้พอร์ตเล็ก กลายเป็นพอร์ตใหญ่ ประการแรก “ต้องรู้ว่าคุณจะไปไหน” การลงทุนโดยไม่รู้ว่าจะไปไหน เป็นการลงทุนแบบไร้ทิศทาง การลงทุนที่ดีควรเห็นภาพที่ “ชัดเจน” ว่าจะไปไหน แล้วจะไปด้วยอะไร ถ้าต้องการให้พอร์ตเราโตเร็ว ให้พอร์ตใหญ่ขึ้น ต้องไปกับหุ้นโตเร็ว หรือหุ้นที่กำไรของกิจการกำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ถ้าชัดเจนว่าเราจะไปกับหุ้นที่จะกลายเป็นขาขึ้น ต้องทำการบ้านอย่างละเอียด ต้องใช้เวลาในการศึกษาและหาให้ได้ว่า… ทำไมกำไรของกิจการจึงจะกลับตัวเป็นขาขึ้น เพราะราคาหุ้นจะขึ้นตามกำไรที่เพิ่มขึ้นเสมอ ประการที่สอง “ควร Focus ในสิ่งที่คุณรู้จักดีที่สุด” การลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้คือความเสี่ยงสูงสุด บางครั้งเห็นหุ้นหลายตัวปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง ทำให้อยากเข้าไปซื้อเพื่อเก็งกำไร โดยบางทีไม่รู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นทำกิจการอะไร เพียงแต่คิดว่า ซื้อแพงเพื่อไปขายแพงกว่า ทำแบบนี้นอกจากพอร์ตจะไม่โตขึ้นแล้วอาจกลับตรงกันข้ามคือหดลงก็เป็นไปได้ การลงทุนที่ดีควร Focus ในสิ่งที่รู้จักดีที่สุด หุ้นที่ไม่รู้แต่ราคากำลังขึ้น ก็ไม่ควรไล่ราคาซื้อ ประการที่สาม “บริหารจัดการพอร์ตให้เหมาะสม” หากอยากจะทำให้พอร์ตโตไวๆ นักลงทุนบางคนจะซื้อหุ้นเพียงตัว หรือสองตัว แถมอาจจะใช้มาร์จิ้นเพื่อปั้นพอร์ตให้โตเร็วๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเสียหายอย่างหนัก เสมือนขับรถแล้วเร่งความเร็วสูงสุด = เพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุโดยไม่จำเป็น แนวทางการจัดพอร์ตแบบมุ่งเน้น แต่ก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายมากก็คือ ควรมีหุ้นในพอร์ตอย่างน้อย 3 – 5 ตัว โดยแบ่งสัดส่วนให้เหมาะสมตามความเข้าใจในตัวกิจการของนักลงทุนแต่ละคน ประการที่สี่ “ขยันหาหุ้นที่มีข่าวร้ายชั่วคราว” ข่าวร้ายจะเป็นวิกฤตสำหรับคนที่กลัว แต่อาจกลายเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีความขยัน และสะสมความรู้ในหุ้นรายตัวอย่างสม่ำเสมอ แม้จะยังไม่ซื้อ แต่เวลามีเหตุการณ์ที่สบโอกาส จะทำให้สามารถซื้อหุ้นที่มีข่าวร้ายชั่วคราวได้โดยไม่พลาดโอกาสทอง การศึกษาหุ้นสะสมไว้ แม้จะยังไม่ได้ซื้อมันอย่างมีนัยยะ คือ การที่ทำให้ความรู้เรื่องหุ้นสะสมแบบ “ทบต้น” เมื่อความรู้ทบต้นแล้ว การต่อยอดความรู้ใหม่ๆ ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เวลาหุ้นที่สนใจมีข่าวร้าย ก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าเป็นข่าวร้ายชั่วคราว หรือเป็นข่าวที่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยน ถ้าเป็นอย่างแรก มันคือโอกาสในการลงทุน และจะเกิดขึ้นกับผู้ที่หมั่นศึกษาหุ้นตัวใหม่ๆ ที่สนใจ เวลาโอกาสมาถึงจริงๆ ก็สามารถคว้าได้ทันที ประการสุดท้าย “จงซื้อหุ้นแบบมีนัยยะ” การซื้อหุ้นกระจัดกระจายแบบเบี้ยหัวแตกนั้นแม้จะได้กำไรมากมายหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็ไม่ทำให้เรารวยขึ้นมาได้ หรือเปลี่ยนชีวิตได้ โดยการซื้อแบบมีนัยยะ นั่นคือ ซื้อในปริมาณที่มากพอที่จะเปลี่ยนสถานะพอร์ตได้นั่นเอง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3068
Finance
จงเขียนโฆษณษแคมเปญเรื่อง "สร้างปฏิสัมพันธ์และเติบโต: ค้นพบ Bottom-Up SPACE สำหรับธุรกิจ Factory Outlet" ให้หน่อย
null
แคมเปญ: Bottom-Up SPACE - สร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จของธุรกิจ Factory Outlet เรียนทุกท่านที่กำลังมองหาวิธีใหม่เพื่อเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจอยู่! มีแนวคิดที่ยอดเยี่ยมในการสร้างธุรกิจ Factory Outlet แต่กำลังมองหาวิธีในการเติบโตและขยายธุรกิจให้มีผลกำไรมากขึ้นใช่ไหม? Bottom-Up SPACE คือคำตอบที่กำลังมองหา! โครงการ Bottom-Up SPACE** นำเสนอแนวคิดและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างพื้นที่ที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจ ด้วยการบูรณาการทั้งส่วนบุคคล และระบบที่เป็นระบบที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ โดยใช้กรณีศึกษาจาก FN ซึ่งเป็นตัวอย่างธุรกิจ Factory Outlet ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เราจะแสดงให้เห็นถึงวิธีที่ FN ใช้ Bottom-Up SPACE เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่! ประโยชน์ของการเข้าร่วม Bottom-Up SPACE 1. สร้างพื้นที่สำหรับนวัตกรรม: ก้าวออกจากกรอบและให้โอกาสให้กับความคิดใหม่ๆ ที่จะเติบโตและพัฒนาธุรกิจ 2. เสริมสร้างทีมงาน: สร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและสนับสนุนการทำงานร่วมกัน ทำให้ทีมงานเติบโตและเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ของธุรกิจ 3. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ: ปรับปรุงกระบวนการทำงานและการบริหารจัดการเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. สร้างความยืดหยุ่นในการปรับตัว: ให้โอกาสให้กับธุรกิจปรับตัวกับสภาพแวดล้อมและตลาดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม พื้นที่ใน Bottom-Up SPACE จำกัด มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จก่อนที่จะเต็ม! ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและเข้าร่วมในการสร้างปฏิสัมพันธ์และสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ที่ Bottom-Up SPACE ตอนนี้! เข้าร่วม Bottom-Up SPACE และสร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จของธุรกิจ!
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3070
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สิ่งที่จำเป็นในการลงทุนเพื่อเลี้ยงชีพ
null
สิ่งที่จำเป็นในการลงทุนเพื่อเลี้ยงชีพ คือ การมีเงินทุนสูง เพื่อที่เราจะสามารถลงทุนเพื่อการเลี้ยงชีพได้ ตัวอย่างเช่น มนุษย์เงินเดือนท่านหนึ่งอยากมีเงินเดือนจำนวนเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ทางบริษัทเขากำหนดเรตออกมา ดังนั้น เราจะต้องมีเงินสำหรับการลงทุนเพื่อเลี้ยงชีพเป็นล้านเลยทีเดียว คนที่จะสามารถ “เลี้ยงชีพ” โดยการลงทุนนั้นจำเป็นที่จะต้องมีเงินทุนสูงในระดับหนึ่ง บางทีอาจจะประมาณ 200 เท่าของเงินรายเดือนที่ต้องการใช้ เช่น ในกรณีตัวอย่างที่ต้องการเงินเดือนละ 15,000 บาทจะต้องมีเงินถึง 3 ล้านบาท เป็นต้น พูดถึงการลงทุนในหุ้น คิดว่ามันไม่ควรที่จะเป็นทางออกหรือทางเลือกของการ “ทำมาหากิน” ซึ่งเป็นเรื่องของการหารายได้มาใช้จ่ายรายเดือนเลย เนื่องจากการลงทุนในหุ้นนั้นโดยหลักแล้วมันเป็นการลงทุนที่ในระยะสั้นแล้วให้ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนเลย บ่อยครั้งมันให้ผลตอบแทนติดลบ บางทีติดต่อกันหลาย ๆ เดือนและบางช่วงให้ผลตอบแทนติดลบหลายปีติดต่อกัน ดังนั้น ผลตอบแทนในหุ้นจึงไม่เหมาะกับการนำมาใช้กับการใช้จ่ายรายเดือนที่ค่อนข้างแน่นอน หุ้นนั้นเหมาะแก่การสร้างความมั่งคั่ง ในระยะยาวเพื่อเป็น “เงินสำรอง” หรือเงินที่สะสมไว้ใช้ในยามที่เกษียณไม่ได้มีรายได้จากการทำงานประจำอย่างอื่นแล้ว
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3071
Finance
นักลงทุนมือใหม่ควรมีวิธีคิดอย่างไรเพื่อรับมือกับอารมณ์และความผิดพลาด
null
นักลงทุนมือใหม่ มักเผชิญกับอารมณ์และความผิดพลาดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีคิดที่ช่วยรับมือ มีดังนี้: 1. ยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด: ทุกคนย่อมทำผิดพลาด สิ่งสำคัญคือ วิเคราะห์สาเหตุ เรียนรู้ และแก้ไข ไม่โทษตัวเอง มองเป็นโอกาสพัฒนา 2. วางแผนการลงทุน: กำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ และแผนการลงทุน ศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ความเสี่ยง กระจายความเสี่ยง ไม่ลงทุนเงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว 3. ควบคุมอารมณ์: อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ ฝึกควบคุมอารมณ์ ไม่ตัดสินใจตอนโกรธ กลัว หรือโลภ วางแผนการลงทุนล่วงหน้า ช่วยลดการตัดสินใจผิดพลาด 4. อดทน: ผลตอบแทนจากการลงทุนต้องใช้เวลา อดทน รอคอยผลลัพธ์ ไม่ใจร้อน 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้มีประสบการณ์ เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เข้าร่วมอบรม ตัวอย่าง: นักลงทุนซื้อหุ้น A ราคา 10 บาท ขายที่ 8 บาท ขาดทุน 2 บาท วิเคราะห์สาเหตุ: เลือกหุ้นผิด, ซื้อตอนราคาสูง, ขายตอนราคาต่ำ เรียนรู้: ศึกษาข้อมูล เลือกหุ้นดี ซื้อตอนราคาถูก ขายตอนราคาสูง แก้ไข: วางแผน ศึกษา วิเคราะห์ ควบคุมอารมณ์ สรุป: นักลงทุนมือใหม่ ควรมีวิธีคิดที่ถูกต้อง ยอมรับ เรียนรู้ ควบคุมอารมณ์ อดทน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ วิธีคิดเหล่านี้ ช่วยให้รับมือกับอารมณ์และความผิดพลาด นำไปสู่ การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3076
Finance
นักลงทุน VI ควรลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก (Modern Trade) ในประเทศไทยหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เหตุผล: การเติบโตของ E-commerce: Yes: E-commerce ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตสูง สาเหตุ: การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา ตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย No: การเติบโตของ E-commerce ในไทยยังมีข้อจำกัด สาเหตุ: โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ยังไม่พัฒนา ผู้บริโภคบางกลุ่มยังนิยมซื้อสินค้าแบบดั้งเดิม สินค้าบางประเภทไม่เหมาะกับการขายผ่าน E-commerce ความสามารถในการแข่งขันของหุ้นกลุ่มค้าปลีก: Yes: หุ้นกลุ่มค้าปลีกบางแห่งมีศักยภาพในการแข่งขันสูง สาเหตุ: มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรับมือกับ E-commerce มีการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม No: หุ้นกลุ่มค้าปลีกบางแห่งมีความเสี่ยงสูง สาเหตุ: มีหนี้สินสูง มีการบริหารจัดการที่ไม่ดี ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง มูลค่าหุ้น: Yes: หุ้นกลุ่มค้าปลีกบางแห่งมีราคา undervalued สาเหตุ: ราคาหุ้นปรับตัวลงมาก คาดการณ์ผลประกอบการที่สดใส No: หุ้นกลุ่มค้าปลีกบางแห่งมีราคา overvalued สาเหตุ: ราคาหุ้นสะท้อนการเติบโตในอนาคตมากเกินไป ความเสี่ยงจาก E-commerce สรุป: นักลงทุน VI ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก คำแนะนำ: ศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด วิเคราะห์กลยุทธ์ในการรับมือกับ E-commerce ติดตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ประเมินมูลค่าหุ้นอย่างเหมาะสม หมายเหตุ: ข้อมูลนี้นำเสนอเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3077
Finance
ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยขาขึ้นยาวนาน นักลงทุนวีไอควรปรับกลยุทธ์อย่างไร
null
ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยขาขึ้นยาวนาน นักลงทุนวีไออาจต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนี้ 1. เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี: เลือกหุ้นที่มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตสูง และมีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน วิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียด มองหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เลือกหุ้นที่มีผู้บริหารที่มีความสามารถ โปร่งใส และมีความรับผิดชอบ 2. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มธุรกิจ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ diversified portfolio 3. อดทน รอคอย: ตลาดหุ้นมีวัฏจักรขาขึ้นและขาลง นักลงทุนวีไอต้องอดทน รอคอยจังหวะซื้อหุ้นในราคาถูก ไม่ควรใจร้อน ซื้อขายหุ้นตามกระแส ควรมีวินัยในการลงทุน 4. เรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ: ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุน และบริษัทที่สนใจ ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ และความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนวีไอในยุคตลาดหุ้นขาขึ้น กลยุทธ์เน้นคุณค่า (Value Investing): เลือกหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง มองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตสูง กลยุทธ์การเติบโต (Growth Investing): เลือกหุ้นที่มีการเติบโตสูง มองหาหุ้นที่มีธุรกิจใหม่ ๆ disruptive innovation กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นปันผล (Dividend Investing): เลือกหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ มองหาหุ้นที่มีผลประกอบการดี ข้อควรระวัง: ตลาดหุ้นมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น ควรมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และควบคุมความเสี่ยง สรุป: ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยขาขึ้นยาวนาน นักลงทุนวีไอควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายความเสี่ยง อดทน รอคอย เรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3079
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การลงทุนในตลาดหุ้นของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในปี 2540
null
การลงทุนในตลาดหุ้นของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในปี 2540 ก็มีวิกฤตที่เกิดขึ้นกับเขา นั่นก็คือ การประกาศลดค่าเงินบาทของประเทศไทย เป็น 50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ส่งผลให้ปีนั้นเกิดวิกฤตเศรษญกิจที่หนักมาก ๆ เพราะส่งผลกระทบต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การล้มละลายของบริษัท และตลาดหุ้นไทยตกลงกว่า 50% ซึ่งส่งผลให้คนไทยตกงาน แทบจะไม่มีโอกาสที่จะทำเงินอีกเลย รวมทั้งตัวของ ดร.นิเวศน์ ด้วย บทเรียนจากย่อหน้านี้ สิบปีหลังจากวิกฤติตลาดหุ้นแบล็คมันเดย์คือ ในปี 2540 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ก็พบกับวิกฤติตลาดหุ้นอีกครั้ง เมื่อไทยประกาศลดค่าเงินบาทลงและคนขาดความมั่นใจส่งผลให้ค่าเงินบาทตกลงมาอย่างหนักจาก 25 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ กลายเป็น 50 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้บริษัทจำนวนมากล้มละลาย ตลาดหุ้นตกลงมากว่า 50% ในปี 2540 และอนาคตของประเทศดูมืดมน เนื่องจากบริษัทเกือบทั้งประเทศต่างก็เป็นหนี้มากมายและไม่มีใครมี “เงินสด” ที่จะนำมาลงทุนได้เป็นเรื่องเป็นราว ผู้คนจำนวนมากรวมทั้งตัวของ ดร.นิเวศน์เองต้อง “ตกงาน” และไม่รู้ว่าจะยังหางานอื่นที่ดีหรือมีรายได้พอเลี้ยงชีพหรือดำรงสถานะความเป็นอยู่แบบเดิมได้หรือไม่ แต่ก็อย่างที่ปราชญ์บางคนกล่าวไว้ “ในวิกฤติมีโอกาส”
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3081
Finance
วิธีการวิเคราะห์มูลค่าหุ้น 4 แบบ P/BV, P/E, PEG และ DCF อะไรคือข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี และนักลงทุนควรใช้วิธีไหนในการวิเคราะห์มูลค่าหุ้น
null
1. P/BV (Price-to-book-value): ข้อดี: - คำนวณง่าย - เหมาะกับหุ้นที่มีมูลค่าทางบัญชีสูง - บ่งบอกถึงความถูกแพงของหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี ข้อเสีย: - มูลค่าทางบัญชีอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น - ไม่เหมาะกับหุ้นที่เติบโตสูง - ไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ผลการดำเนินงานและโอกาสในการเติบโต 2. P/E (Price-to-earnings): ข้อดี: - บ่งบอกถึงความถูกแพงของหุ้นเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน - เหมาะกับหุ้นที่มีกำไรสุทธิ - เปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันได้ ข้อเสีย: - ไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไรและนโยบายการจ่ายเงินปันผล - อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป especially ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของผลประกอบการ 3. PEG (Price-to-earnings-to-growth): ข้อดี: - พิจารณาอัตราการเติบโตของกำไรควบคู่ไปกับ P/E - เหมาะกับหุ้นที่มีการเติบโตสูง - บ่งบอกถึงความคุ้มค่าของหุ้นเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโต ข้อเสีย: - คาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรได้ยาก - อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป especially ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเติบโต 4. DCF (Discounted Cash Flow): ข้อดี: - คำนวณมูลค่าหุ้นจากกระแสเงินสดในอนาคต - พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการเติบโต ต้นทุนเงินทุน และความเสี่ยง - เหมาะกับหุ้นที่มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ ข้อเสีย: - คำนวณค่อนข้างซับซ้อน - ข้อมูลในอดีตอาจไม่สะท้อนอนาคต - อัตราการเติบโต ต้นทุนเงินทุน และความเสี่ยง เป็นตัวแปรที่มีความสำคัญ การคาดการณ์ที่ผิดพลาด - ส่งผลต่อผลลัพธ์อย่างมาก สรุป: ไม่มีวิธีการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นแบบใดที่สมบูรณ์แบบ นักลงทุนควรใช้วิธีการที่หลากหลาย พิจารณาปัจจัยต่างๆ ประกอบกัน และเข้าใจความเสี่ยง ก่อนจะตัดสินใจลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทอย่างละเอียด - วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท - เปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3084
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Bottom-up SPACE
null
Bottom-up SPACE เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ จาก FINNOMENA ซึ่งหมายถึง แนวคิดสำหรับการสร้างพื้นที่การลงทุนด้วยตัวเอง โดยได้มาจากสิ่งต่าง ๆ ที่ทำด้วยตนเอง เช่น การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง การตัดสินใจซื้อขายหุ้นด้วยตัวเอง เพื่อเราประสบความสำเร็จในการลงทุน แนวคิด Bottom-up SPACE มีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจที่มีการนำแนวคิดนี้มาใช้ ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดีก็คงจะเป็น บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS บริษัทผลิตและจำหน่ายโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ บทเรียนจากย่อหน้านี้ ประเทศไทยและญี่ปุ่นนั้น ทำการค้า ทำธุรกิจกันมาช้านาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบญี่ปุ่นตรงที่ค่าแรงถูกกว่ามาก และยังรักษาคุณภาพของงานได้ นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาขยายกิจการในไทย และคนญี่ปุ่นเองก็มีนิสัยชอบใช้ของคนในประเทศด้วยกันด้วย Bottom-up SPACE คือ แนวคิดการสร้างพื้นที่ด้านการลงทุนด้วยตัวเอง เชื่อว่า การวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง ตัดสินใจซื้อขายด้วยตัวเองเท่านั้น ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในการลงทุนได้ โครงการนี้มีจุดประสงค์ในเรื่องของการศึกษา ไม่ได้เป็นการชี้นำ หรือเป็นการกำหนดมุมมองที่มีต่อหุ้น บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ (Structure Steel Fabrication) สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยโครงสร้างเหล็กที่บริษัทผลิตมี 2 ประเภท คือ โครงสร้างเหล็กที่นำมาใช้เป็นเสา (Column-Box) และโครงสร้างเหล็กที่นำมาใช้เป็นคาน (Beam) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาคาร โดยมีกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 70,000 ตันต่อปี
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3085
Finance
อะไรคือการทำ Portfolio Rebalancing?
null
อะไรคือการทำ Portfolio Rebalancing? Rebalancing หรือ การปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การปรับสัดส่วนของสินทรัพย์หลักที่วางแผนลงทุนในระยะยาว (Strategic Asset Allocation : SAA) ให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนที่ตั้งใจลงทุนไว้ในตอนแรก ด้วยวิธีคือ ขายสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักเกินสัดส่วนที่กำหนด และ ซื้อสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าที่กำหนดนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนท่านหนึ่ง มีความตั้งใจจะจัดพอร์ตโฟลิโอด้วยการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ 50% และ กองทุนรวมตราสารทุน 50% ด้วยเงินจำนวน 1 ล้านบาท ผลคือ เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ปรากฎว่า กองทุนรวมหุ้นทำผลตอบแทนได้ดี บวกไป 20% จากเงินต้น 5 แสนบาทที่ลงทุนไป เพิ่มขึ้นมาเป็น 6 แสนบาท ในขณะที่กองทุนรวมตราสารหนี้บวกแค่ 1% ขึ้นมาเป็น 505,000 บาท เงินลงทุนรวมทั้งพอร์ตคือ 600,000 + 505,000 = 1,105,000 บาท ถ้าคิดเป็นสัดส่วนระหว่างกองทุนรวมตราสารหนี้ และตราสารทุน จะเห็นว่า มีสัดส่วนหุ้นในพอร์ตสูงขึ้นมาเป็น 54.29% ในขณะที่ตราสารหนี้ลดลงเหลือ 45.70% ทั้งๆที่สินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภท เป็นบวกทั้งคู่ (แต่หุ้นบวกแรงกว่า) เมื่อเข้าสู่กระบวนการปรับสมดุลพอร์ต ก็แปลว่าต้องทำให้สัดส่วนการลงทุนโดยรวมกลับมาให้ใกล้เคียงกับสัดส่วนที่เป็นความตั้งใจในการลงทุนครั้งแรกที่จะลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ 50% และ กองทุนรวมตราสารทุน 50% ด้วยการขายกองทุนหุ้น จำนวน 47,500 บาท และนำเงินดังกล่าวเข้าลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ 47,500 บาท ก็จะทำให้สัดส่วนเงินลงทุนระหว่าง กองทุนหุ้น และกองทุนตราสารเท่ากับกองทุนละ 552,500 บาท ซึ่งเท่ากับ 50%:50% พอดี แล้วทำไมนักลงทุนถึงควรทำ Rebalancing? จริงๆแล้ว ไม่ใช่นักลงทุนทุกคนที่จำเป็นต้องทำการปรับสมดุลพอร์ต เพราะขึ้นอยู่กับลักษณะ จริตนิสัย และ ความสามารถในการรับความเสี่ยง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่ถ้าพูดถึงประโยชน์ของการทำ Rebalancing ก็มีตามนี้ เป็นการทำให้พอร์ตการลงทุน กลับมาอยู่ในสัดส่วนตามความตั้งใจแรกเริ่ม เพื่อให้พอร์ตการลงทุนไม่เสี่ยงสูงจนเกินไป และไม่เสี่ยงต่ำจนเกินไป หากกรณีที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นสูงเป็นระยะเวลานานโดยที่ไม่มีการปรับสมดุลพอร์ต หากเกิดการปรับฐานรุนแรง เช่นเกิดวิกฤตการเงิน จะทำให้พอร์ตโดยรวมมีมูลค่าลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่สูงเกินไป โดยสรุปคือแล้ว การ Rebalancing ก็คือ การควบคุมความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนไม่ให้ผันผวนเกินกว่าที่นักลงทุนจะรับได้ ด้วยการวางแผนการจัดการปรับสมดุลอย่างเป็นระบบ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3092
Finance
อัตราส่วน P/E สูง แสดงว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไปหรือไม่?
null
ไม่เสมอไป เหตุผล: อัตราส่วน P/E (Price-to-Earnings) เป็นตัววัดที่ใช้เปรียบเทียบราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วน P/E ที่สูง แสดงว่านักลงทุนยอมจ่ายเงินมากกว่าสำหรับแต่ละบาทของกำไรต่อหุ้น ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความคาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อการเติบโตของหุ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน P/E สูง ไม่ได้แปลว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย ดังนี้: อัตราการเติบโตของกำไร: หุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูง มักจะมีอัตราส่วน P/E สูงกว่าหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรต่ำ อุตสาหกรรม: หุ้นในบางอุตสาหกรรม มักจะมีอัตราส่วน P/E สูงกว่าหุ้นในบางอุตสาหกรรม โดยทั่วไป หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี มักจะมีอัตราส่วน P/E สูงกว่าหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ความเสี่ยง: หุ้นที่มีความเสี่ยงสูง มักจะมีอัตราส่วน P/E สูงกว่าหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ตัวอย่าง: สมมติว่ามีหุ้นสองตัว A และ B หุ้น A: มีราคา 100 บาท กำไรต่อหุ้น 10 บาท อัตราส่วน P/E = 10 หุ้น B: มีราคา 200 บาท กำไรต่อหุ้น 20 บาท อัตราส่วน P/E = 10 จากข้อมูลข้างต้น หุ้น A และ B มีอัตราส่วน P/E เท่ากัน แต่หุ้น B มีราคาแพงกว่าหุ้น A อย่างไรก็ตาม หุ้น B อาจจะมีราคาที่สมเหตุสมผลก็ได้ หาก หุ้น B มีอัตราการเติบโตของกำไรสูงกว่าหุ้น A หรือ หุ้น B อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีอัตราส่วน P/E สูงกว่า ดังนั้น นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยดูเพียงอัตราส่วน P/E เพียงอย่างเดียว สรุป: อัตราส่วน P/E เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินมูลค่าหุ้นได้ แต่นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยดูเพียงอัตราส่วน P/E เพียงอย่างเดียว คำแนะนำ: ศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เปรียบเทียบอัตราส่วน P/E กับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไร ความเสี่ยง และอุตสาหกรรม หมายเหตุ: ข้อมูลนี้นำเสนอเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3095
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Stop Loss และ Trailing Stop
null
Stop Loss หมายถึง การเทรดแบบมีจุดตัดขาดทุน โดยมีวิธีการเทรดที่ไม่ต้องอาศัยการดูกราฟ คือ การตัดขาดทุน หรือทำการ Let Profit Run ได้โดยไม่ต้องกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยความรู้เรื่องการตัดขาดทุนและการเลื่อนจุดตัดขาดทุนด้วย ส่วน Trailing Stop หมายถึง การเลื่อนจุดตัดขาดทุน โดยประโยชน์ของการเทรดวิธีนี้ คือ ถ้าหุ้นที่ถืออยู่นั้นเป็นหุ้นดีเด่น เราก็สามารถเกาะหุ้นที่ถืออยู่นั้นได้ยาวนานที่สุด และถ้าจุด Trailing Stop มีไว้เลื่อนจุดตัดขาดทุน มันจะกลายเป็นจุด Taking Profit ที่ทำกำไรได้ในทันที บทเรียนจากทั้ง 2 ย่อหน้าข้างต้น: การเทรดแบบมีจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และการเลื่อนจุดตัดขาดทุน (Trailing Stop) นักลงทุนแทบทุกคนไม่มีปัญหาเวลาซื้อ แต่มักจะตายน้ำตื้นเวลาขายหรือ ตัดขาดทุน ตลาด ณ จุดนี้ (SET อยู่ที่ประมาณ 1550-1570 จุด) เป็นตลาดขาขึ้นในภาพใหญ่ หลายๆ คนก็อาจจะพูดว่า ซื้อหุ้นตัวไหนก็ได้ ถ้ามันลงมาหลุดราคาต้นทุนลงไปซัก 10 – 20% ก็ไม่ต้องขาย ขายทำไม ถือไปเถอะ เดี๋ยวมันก็ขึ้นกลับมาใหม่ มันขึ้นอยู่แล้ว เพราะมันคือตลาดขาขึ้น!! แต่ ยามที่ตลาดขาลงมาเยือน ถ้าไม่ขาย ดื้อถือไปเรื่อยๆ การันตีได้ว่าได้ถือหุ้น เฝ้าหุ้น เป็นปีๆ แน่นอน เผลอๆ เจ๊งหมดตัว หุ้นไม่ขึ้นมาอีกเลยก็เป็นไปได้ ดังนั้นแล้ว ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด ที่จะควรมีความรู้เรื่องการตัดขาดทุนและการเลื่อนจุดตัดขาดทุน ต่อให้ไม่มีความรู้เรื่องกราฟเทคนิค เทคโน อาชีวะ ก็ตามที ก็ตัดขาดทุนหรือสามารถ Let Profit Run ได้อย่างไม่ต้องกังวลใดๆ วิธีนี้ เมื่อเลือกหุ้นที่ชอบแล้ว เคาะซื้อปุ๊บ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอแทบทุกนาที Trailing Stop มีประโยชน์อย่างไร: ถ้าหุ้นที่ถืออยู่เป็นหุ้นดีเด่น ก็จะสามารถเกาะขบวนรถด่วนเหาะเวหาได้ยาวนานที่สุด ถ้ามีวินัยเทรดที่ดีเยี่ยม มีจุด Stop Loss และ Trailing Stop ที่ดีแล้วนั้น จะมี Limit Loss but unlimited gain หรือจะกำหนดเงินที่คุณมีโอกาสเสียได้ แต่ก็จะมีโอกาสทำเงินได้มหาศาลเช่นกัน จากจุด Trailing Stop ที่มีไว้เลื่อนจุดตัดขาดทุน ก็จะกลายเป็นจุด Taking Profit ทำกำไรในทันที
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3096
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรใช้ Trade Setup เพียงแบบเดียวในการเทรดหุ้นหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความคาดหวังจากผลตอบแทน: นักลงทุนแต่ละคนมีความคาดหวังจากผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ: คาดหวังผลตอบแทน 5-15% ต่อปี เหมาะกับ Trade Setup แบบออมหุ้น หรือ Dollar Cost Average ลงทุนเพื่อสร้างรายได้เสริม: คาดหวังผลตอบแทน 5% ต่อเดือน หรือ 60% ต่อปี เหมาะกับ Trade Setup แบบ Run Trend, Swing Trade, Channel Trade ลงทุนเพื่อเป็นรายได้หลัก: คาดหวังผลตอบแทน 10-20% ต่อเดือน เหมาะกับ Trade Setup แบบ Day Trade, Swing Trade, Run Trend ระยะเวลาการลงทุน: Trade Setup แต่ละแบบเหมาะกับระยะเวลาการลงทุนที่ต่างกัน - ระยะยาว: เหมาะกับ Trade Setup แบบออมหุ้น, Dollar Cost Average, Run Trend - ระยะสั้น: เหมาะกับ Trade Setup แบบ Swing Trade, Channel Trade, Day Trade - สภาวะตลาด: Trade Setup แต่ละแบบมีประสิทธิภาพในการเทรดที่แตกต่างกันในสภาวะตลาดที่ต่างกัน - ขาขึ้น: เหมาะกับ Trade Setup แบบ Run Trend, Swing Trade, Channel Trade - ขาลง: เหมาะกับ Trade Setup แบบ Day Trade (Scalping), Sniper Trade สรุป: นักลงทุนรายย่อยควรเลือกใช้ Trade Setup ที่เหมาะสมกับ ความคาดหวังจากผลตอบแทน ระยะเวลาการลงทุน และสภาวะตลาด การใช้ Trade Setup เพียงแบบเดียวอาจไม่เพียงพอ จำกัดโอกาสในการทำกำไร เพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน ตัวอย่าง: นักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทน 5% ต่อเดือน ไม่ควรใช้ Trade Setup แบบออมหุ้นเพียงอย่างเดียว นักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้น ไม่ควรใช้ Trade Setup แบบ Run Trend เพียงอย่างเดียว นักลงทุนรายย่อยควรศึกษา Trade Setup หลากหลายรูปแบบ เลือกใช้ Trade Setup ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ปรับ Trade Setup ให้เหมาะกับสไตล์การเทรดของตัวเอง การใช้ Trade Setup หลากหลายรูปแบบ เพิ่มโอกาสในการทำกำไร กระจายความเสี่ยงในการลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3097
Finance
จากแนวคิด "ปรัชญาความพอเพียง" มีกลยุทธ์ทางการเงินใดบ้างที่นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างยั่งยืน
null
จากแนวคิด "ปรัชญาความพอเพียง" นักลงทุนสามารถนำกลยุทธ์ทางการเงินไปประยุกต์ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างยั่งยืนดังนี้ 1. ลงทุนอย่างมีสติ มุ่งเน้นความพอประมาณ: กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล วางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ กระจายความเสี่ยงลงทุนในหลายสินทรัพย์ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใจร้อน หลีกเลี่ยงการลงทุนที่เสี่ยงสูง ควบคุมอารมณ์ในการลงทุน 2. มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว: มองข้ามความผันผวนระยะสั้น มุ่งเน้นการเติบโตของเงินทุนในระยะยาว เลือกสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว อดทนรอคอยผลตอบแทน 3. บริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ: จดบันทึกรายรับรายจ่าย วางแผนการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ เตรียมเงินสำรองไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ลงทุนในเงินออมและประกันชีวิต 4. เลือกบริษัทที่มีธรรมาภิบาล: ลงทุนในบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เลือกบริษัทที่มีผลประกอบการดี มีโอกาสเติบโตในอนาคต 5. ลงทุนเพื่อสร้างคุณค่า: เลือกบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการที่มีคุณค่า ช่วยพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เลือกบริษัทที่มีนโยบาย ESG เลือกบริษัทที่มีจริยธรรม 6. เรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ: ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการเงินและการลงทุน ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและการเงิน พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 7. แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น: แบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการเงิน ช่วยเหลือผู้อื่นให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืน โดยสรุป: ปรัชญาความพอเพียงเป็นแนวทางที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ นักลงทุนที่ยึดหลักความพอเพียง จะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องเสี่ยงมากเกินไป และสามารถสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเพิ่มเติม: นักลงทุนสามารถเลือกซื้อหุ้นที่มีนโยบาย ESG (Environmental, Social, and Governance) นักลงทุนสามารถเลือกซื้อกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนแบบคัดกรอง (ESG Screening) นักลงทุนสามารถลงทุนในธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) นักลงทุนสามารถบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลที่สนับสนุนแนวทางปรัชญาความพอเพียง ปรัชญาความพอเพียงเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีต่อความไม่แน่นอนในอนาคต นักลงทุนที่ยึดหลักนี้ จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การบริหารสินทรัพย์
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3098
Finance
MEGA มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคตหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. เทรนด์การเติบโตของตลาดอาหารเสริม: ตลาดอาหารเสริมในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 49,300 ล้านบาทในปี 2565 และยังมีอัตราการเติบโตสูงถึง 11.3% เทรนด์ผู้สูงอายุมีมากขึ้น ทำให้ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เน้นการรับประทานอาหารที่เสริมสุขภาพ แทนที่จะป่วยแล้วไปรักษา Mega มุ่งเน้นธุรกิจ Brand ซึ่งหมายถึง วิตามิน อาหารเสริม ยา ภายใต้ Brand Mega We Care และ Brand อื่นๆ ซึ่งตรงกับเทรนด์การเติบโตของตลาด 2. ความแข็งแกร่งของธุรกิจ: Mega เป็นผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดอาหารเสริมในช่องทางร้านขายยา Mega มี Brand ที่แข็งแกร่ง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและ loyalty สูง Mega มีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับร้านขายยา ช่วยให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย Mega มีกำไรขั้นต้นสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน Mega มีธุรกิจกระจายสินค้า (Maxxcare) และ ธุรกิจ OEM ช่วยสร้างรายได้เสริมและกระจายความเสี่ยง 3. กลยุทธ์การขยายธุรกิจ: Mega ร่วมทุนกับ Malee เพื่อเข้าสู่ตลาด Functional Drink ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ Mega มุ่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีประชากรจำนวนมาก Mega ลงทุนใน R&D เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ 4. ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ: รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยดูแลสุขภาพมากขึ้น เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว ส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของ MEGA ดังนี้: - การแข่งขันในตลาดอาหารเสริมที่รุนแรง - การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอาหารเสริม - ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยสรุป: MEGA มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต จากเทรนด์การเติบโตของตลาดอาหารเสริม ความแข็งแกร่งของธุรกิจ กลยุทธ์การขยายธุรกิจ และปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3099
Finance
หุ้นเมกะเทรนด์หุ้นใด กล่าวถึงคำว่า Internet of thing ระหว่าง ธุรกิจขนคน, ธุรกิจสื่อสาร หรือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
null
ธุรกิจสื่อสาร เพราะ ธุรกิจสื่อสาร เป็นหุ้นเมกะเทรนด์ที่กล่าวถึงคำว่า Internet of thing ธุรกิจสื่อสารแม้การแข่งขันจะสูงขึ้นมาก แต่โอกาสที่จะเติบโตก็ยังมีอยู่มาก Internet of thing หรือ “สิ่งของคุยกัน” สำหรับคนคุยกันคงจะอิ่มเต็มที่แล้วในประเทศไทย แต่การที่สิ่งของจะคุยกันเพิ่งเริ่มต้น และยุคข้อมูลข่าวสาร การติดต่อสื่อสารจะแผ่ขยายเพิ่มขึ้นอีกมากมาย การลงทุนในหุ้นสื่อสารดีๆ มีอนาคตซักตัวถือเป็นเรื่องน่าสนใจ ส่วนธุรกิจขนคน หรือกิจการรถไฟฟ้า กำลังเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจ และจะมีบทบาทกับชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ อนาคตรถไฟฟ้าจะต่อกันหลายสาย อำนวยความสะดวกให้กับผู้คนมากขึ้น จะมีร้านค้าไปตั้ง มีป้ายโฆษณาให้เช่า แถมคอนโดมิเนียมจะผุดขึ้นแข่งกันใกล้สถานีรถไฟฟ้า ทำให้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป ภาพในอดีตที่ถนนหนทางจะเป็นตัวกำหนดที่อยู่อาศัย จะถูกเปลี่ยนเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่จะกลายเป็นตัวกำหนดพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คนในเมืองแทน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แนวโน้มของคนที่ชอบอยู่อาศัยในที่สะดวกสบาย เดินทางสะดวกด้วยระบบราง ใกล้แหล่งพักผ่อน ใกล้ที่ทำงาน ใกล้แหล่งอาหาร สำหรับสิ่งที่ตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยในยุคคนเมืองคน การเติบโตของห้องชุดในเขตเมืองเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหุ้นที่เกี่ยวกับการก่อสร้างคอนโดมิเนียมก็เติบโตตามไปด้วย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมทำเลดีติดสถานีรถไฟฟ้า จะเป็นเทรนด์ใหม่มาแรง ดังนั้น ถ้ามีเงินกระจายสู่ธุรกิจ ซื้อหุ้นประเภทนี้คงจะดีไม่น้อย
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3102
Finance
นักลงทุนควรลงทุนในตั๋วแลกเงิน (BE) ของบริษัทที่มีงบการเงินไม่ดีหรือไม่?
null
ไม่ควร เหตุผล: ความเสี่ยงสูง: บริษัทที่มีงบการเงินไม่ดี มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าบริษัทที่มีงบการเงินดี สังเกตจาก 4 บริษัทที่กล่าวมา NMG, KC, IFEC และ EFORL ล้วนมีงบการเงินที่ไม่ดี และก็เกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้จริง อัตราส่วนทางการเงิน: จากโมเดล Credit Rating และ Altman Z Score บ่งชี้ว่า 4 บริษัทมีอัตราส่วนที่ไม่ดี สะท้อนถึงความเสี่ยงทางการเงินที่สูง เช่น รายได้ต่อหนี้สินรวม รายได้ต่อเงินทุนกิจการ เงินทุนหมุนเวียนต่อสินทรัพย์ ธรรมาภิบาล: บริษัทที่มีงบการเงินไม่ดี มักมีประเด็นเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหาร ตัวอย่างเช่น NMG มีผู้บริหารถูก กลต. ขึ้นแบล็กลิสต์ KC มีประเด็นเรื่องการแก้ไขงบการเงิน IFEC มีประเด็นเรื่องการซื้อกิจการดาราเทวี Willingness To Pay: แม้บริษัทจะมี Ability To Pay ผลตอบแทน: ตั๋ว BE ของบริษัทที่มีงบการเงินไม่ดี มักเสนอผลตอบแทนที่สูงกว่าตั๋ว BE ของบริษัทที่มีงบการเงินดี เพื่อจูงใจให้นักลงทุนรับความเสี่ยง แต่ผลตอบแทนที่สูงไม่ได้แปลว่าคุ้มค่า ทางเลือกอื่น: ยังมีการลงทุนอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า และให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง สรุป: นักลงทุนควรเลี่ยงการลงทุนในตั๋ว BE ของบริษัทที่มีงบการเงินไม่ดี เพราะมีความเสี่ยงสูง และยังมีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3106
Finance
จงแต่งนิยายเรื่อง "แต้มต่อของการเรียนรู้ กับการเงินและความมั่งคั่งในชีวิต" ให้เห็นภาพที่ชัดเจนหน่อย
null
ในห้องสมุดของโรงเรียนประจำชุมชนเล็กๆ ที่ชื่อว่า "วังหนังสือ" มีหนังสือเล่มหนึ่งที่นับว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ "แต้มต่อของเจ้ามือหุ้น" หนังสือเล่มนี้ถูกพิมพ์ในช่วงปี 1920 และมีชื่อผู้เขียนเป็นบุคคลที่ไม่รู้จัก เพราะชื่อผู้เขียนถูกซ่อนไว้ด้วยคำว่า "นักเขียนไม่ทราบชื่อ" แต่เรื่องราวในหนังสือนี้กลับเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากขึ้น เมื่อนิก เด็กสาวในชุมชน ค้นพบหนังสือนี้ในห้องสมุดในวันต่อมา เมื่อนิกเปิดหน้าหนังสือ สิ่งที่นิกพบในข้างในจะทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามือหุ้นชาวอังกฤษชื่อดัง ใจความหนังสือมีเครื่องมือสำคัญของเจ้ามือหุ้นในการวิเคราะห์ทรัพย์สิน และมีเคล็ดลับที่สำคัญ จึงทำให้นิกตื้นเต้นในการที่ได้อ่าน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นิกมีความสนใจในการลงทุนและการเงินมาก แต่นิกไม่เคยมีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับหุ้นจากใคร จนกระทั่งพบเล่มหนังสือนี้ นิกอ่านและศึกษาเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อใจความในหนังสือคอยดึงดูดความสนใจของเขา นิกก็รู้สึกว่ามันเหมือนมีบางอย่างจับตามองอย่างแท้จริง ช่วงหลังจากอ่านเสร็จ นิกตัดสินใจที่จะลองทดลองเส้นทางใหม่ในชีวิต ด้วยความกระตือรือร้น และความช่วยเหลือจากครอบครัวและเพื่อน นิกเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น โดยใช้เคล็ดลับจากสิ่งที่ได้อ่านในหนังสือเป็นแนวทาง นิกเริ่มเข้าใจและสังเกตการณ์ตลาดมากขึ้น และกลับพบความสำเร็จที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น ช่วงเวลาผ่านไป นิกเติบโตเป็นผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในการเงินและการลงทุนมากขึ้น และครั้งหนึ่งนิกก็เข้าร่วมการถ่ายทอดสารคดีทางการเงินบางรายการ โดยทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน น่าจะเป็นปัจจัยให้นิกคิดว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นเครื่องมือที่เป็นเหตุผลที่สำคัญในชีวิตของนิก แม้จะไม่รู้ว่านักเขียนของหนังสือ "แต้มต่อของเจ้ามือหุ้น" คือใคร แต่นิกจะไม่ลืมเล่มหนังสือนี้และเรื่องราวข้างในตลอดชีวิตของนิก มันไม่เพียงแค่เป็นหนังสือ แต่มันกลายเป็นที่มาของความท้าทายและความเป็นไปได้ในชีวิต เรื่องนี้สอนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องการเงินและการลงทุน การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองในด้านที่สนใจสามารถเป็นประโยชน์อย่างมากในชีวิต เรื่องราวของมอสในนิยายนี้เป็นการกระตุ้นให้คนอ่านได้เรียนรู้และมองเห็นว่ามีทางเลือกในชีวิตมากมาย โดยไม่ว่าจะเป็นอะไร เมื่อมีความพยายามและความตั้งใจ สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ การเรียนรู้จากประสบการณ์และพบเจอสิ่งที่ท้าทายสามารถเป็นกำลังใจให้กับคนในการมุ่งมั่นสู่เป้าหมายของตนในชีวิต
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3108
Finance
เขียนบทความสั้นเกี่ยวกับการ "เรียนรู้การลงทุนกับ Robo-Advisor: ก้าวเข้าสู่โลกใหม่ของการเงินไทย" ให้หน่อย
null
หัวข้อ : สู้โลกใหม่ กับ Robo-Advisor สู่การลงทุนของคนไทย ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความไม่แน่นอน เงินออมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องหันมองเพื่อเตรียมพร้อมในอนาคตที่มั่นคง เป็นที่รู้กันดีว่าการลงทุนเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถสร้างเงินทองในอนาคต แต่สำหรับคนหลายๆ คน การเข้าถึงและการทำความเข้าใจในโลกการลงทุนกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและท้าทายไปมาก เพราะขาดความรู้และความชำนาญที่จำเป็น แต่บทบาทของ Robo-Advisor กำลังเปลี่ยนแปลงแนวทางของการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ต้องการเข้าสู่โลกการลงทุนอย่างง่ายดายและมั่นคง กลุ่ม Robo-Advisor นี้เป็นระบบอัตโนมัติที่ใช้การประมวลผลข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุน โดยพิจารณาจากข้อมูลทางการเงินและวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดในขณะนั้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ทำให้การลงทุนเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นสำหรับคนทั่วไป ในสถานการณ์ที่ "ศิลปะ" ในการลงทุนเริ่มกำลังเปลี่ยนแปลง หนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์จาก Robo-Advisor อย่างชัดเจน ชื่อ "สมพงศ์" อายุ 30 ปี ทำงานเป็นพนักงานบัญชี เคยมีความสนใจในการลงทุนแต่ยังไม่มีความรู้มากนักเกี่ยวกับวิธีการลงทุนและการวิเคราะห์ตลาด คุณก็เริ่มต้นด้วยการใช้ Robo-Advisor ในการลงทุน เนื่องจากสมพงศ์พบว่ามันสะดวกและง่ายต่อการใช้งาน Robo-Advisor ช่วยให้สมพงศ์สร้างโปรไฟล์การลงทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยง โดยการวิเคราะห์ข้อมูลการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และวัตถุประสงค์การเงิน ด้วยการทำงานเชิงอัตโนมัติและการวิเคราะห์ที่ละเอียดอ่อน สมพงศ์สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องมีความรู้พิเศษในการเงินหรือการลงทุน ในระหว่างที่ Robo-Advisor กำลังช่วยสมพงศ์ก้าวขึ้นสู่โลกการลงทุน สมพงศ์ได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจมากมาย เริ่มต้นจากความง่ายในการลงทุนที่ไม่ต้องมีความรู้มากมาย ไปจนถึงการรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จาก Robo-Advisor เกี่ยวกับการแจ้งเตือนเมื่อมีความเสี่ยงในตลาด และการวิเคราะห์ผลการลงทุนในระยะยาว สำหรับคนไทยหลายๆ คนที่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุน หรือคนที่ไม่มีเวลามากในการศึกษาเกี่ยวกับตลาดการเงิน การมี Robo-Advisor เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และเข้าถึงโอกาสในการลงทุนอย่างมั่นคงและสะดวกสบาย เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างอนาคตทางการเงินที่แข็งแรงและยั่งยืนได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวันนี้และพรุ่งนี้ ณ เวลานี้ คุณสมพงศ์เริ่มต้นสร้างภาพลักษณ์ของการลงทุนที่เป็นประโยชน์และมั่นคงด้วย Robo-Advisor และทุกคนก็สามารถทำได้เช่นกัน!
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3111
Finance
ขอแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "สร้างมูลค่าแห่งความเชื่อมั่น: Bottom-Up SPACE - ก้าวสู่ความยั่งยืนของโครงการและชุมชน" ให้หน่อย
null
หัวข้อ : "Bottom-Up SPACE: หุ้นรับเหมาโครงการระยะยาว - กรณีศึกษา SQ" เริ่มต้นด้วยการมองเห็นแผนก่อสร้างขนาดใหญ่ไม่ใช่เพียงแค่โครงการอย่างเดียว แต่เป็นส่วนสำคัญของการสร้างฐานะอย่างยั่งยืนในอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยแนวคิดของ "Bottom-Up SPACE" ที่เราเน้นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากด้านล่างขึ้นมา เราสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจระหว่างชุมชนและโครงการ ด้วยการเปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจและการดำเนินงานของโครงการ ในกรณีศึกษาของ - โครงการ SQ - เห็นความสำคัญของการให้ความสำคัญกับเส้นทางของการพัฒนาที่มีเป้าหมายระยะยาว โดยเฉพาะการเพิ่มคุณค่าสู่ชุมชนท้องถิ่นและการสร้างฐานะที่ยั่งยืน โดยการรับฟังและนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ จากประชาชน ผู้ใช้บริการ และส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ที่มีผลต่อความสำเร็จของโครงการ เชื่อว่าการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งต้องเริ่มต้นจากการรับฟังและเชื่อมโยงกับชุมชนในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ด้วยความใส่ใจในการสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน และการให้ความสำคัญกับความต้องการและความพึงพอใจของชุมชน โครงการ SQ จึงเป็นต้นแบบที่ยอดเยี่ยมของการนำแนวคิด Bottom-Up SPACE ไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนและสร้างความเชื่อมั่นในชุมชนท้องถิ่นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โฆษณาแคมเปญ "Bottom-Up SPACE: หุ้นรับเหมาโครงการระยะยาว - กรณีศึกษา SQ" เน้นการสร้างพื้นฐานแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการแบบน้อยนิดหน่อยจากด้านล่างขึ้นมา โดยให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงและร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นในทุกขั้นตอนของการพัฒนา โครงการ SQ เป็นตัวอย่างของวิธีการนี้ เน้นการรับฟังและนำเสนอแนวคิดใหม่จากประชาชนและผู้ใช้บริการ มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นและความสำเร็จที่ยั่งยืนในชุมชนท้องถิ่นโดยเฉพาะ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและความสำเร็จที่ยั่งยืนในโครงการและชุมชนที่เข้าไปสนับสนุน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3117
Finance
ช่วยเขียนบอกจุดเด่นของ "เพื่อชีวิตวัยชราที่มั่นคงและความสำคัญของกองทุนชราภาพ" ให้เข้าใจมากขึ้นหน่อย
null
"กองทุนชราภาพ" เป็นสิ่งที่คนที่มีประกันสังคมควรรู้เกี่ยวกับเพื่อให้เข้าใจและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยมีจุดเด่นหลักๆ ดังนี้ 1. การเพิ่มเติมรายได้ในวัยชรา: กองทุนชราภาพเป็นกองทุนที่ช่วยเสริมเติมรายได้ให้กับผู้สูงอายุหลังจากเกษียณอายุ โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในวัยที่ชราขึ้น 2. ความมั่นคงและความเชื่อมั่นใจ: การมีกองทุนชราภาพทำให้ผู้สูงอายุมีความมั่นคงในเรื่องการเงินและความเชื่อมั่นในชีวิตหลังเกษียณอายุ เนื่องจากมีเงินเพิ่มเติมเข้ามาสนับสนุนชีวิต 3. การป้องกันการเป็นภาระต่อครอบครัว: การมีกองทุนชราภาพช่วยลดภาระการดูแลต่อครอบครัวของผู้สูงอายุ โดยทำให้ผู้สูงอายุมีเงินเพียงพอสำหรับการดูแลตนเองหรือใช้บริการดูแล 4. เพิ่มโอกาสในการพัฒนาตนเอง: การมีเงินเพิ่มเติมจากกองทุนชราภาพช่วยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสในการพัฒนาตนเองได้ เช่น เรียนรู้ทักษะใหม่ ท่องเที่ยว หรือมีโอกาสทำกิจกรรมต่างๆ ที่ชอบ 5. การลดความเสี่ยงทางการเงิน: กองทุนชราภาพช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินในช่วงวัยชรา เนื่องจากมีเงินเพิ่มเติมที่เป็นที่มั่นใจสามารถใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดได้ การทรงคุณค่าของกองทุนชราภาพเกิดจากการเตรียมความพร้อมในการจัดการเงินในช่วงวัยทำงาน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินเพียงพอในวัยที่ชราและสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพได้ตลอดชีวิตในวัยชรา.
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3118
Finance
นักลงทุนควรลงทุนในหุ้น SBUX หรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนแต่ละราย เหตุผล: ปัจจัยสนับสนุนการลงทุน: แบรนด์ที่แข็งแกร่ง: Starbucks เป็นแบรนด์ร้านกาแฟที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เป็นที่รู้จักและนิยมในหลายประเทศ ฐานลูกค้าที่กว้างใหญ่: Starbucks มีฐานลูกค้าที่กว้างใหญ่ ประมาณ 75 ล้านคนต่อสัปดาห์ โมเดลธุรกิจที่หลากหลาย: Starbucks มีโมเดลธุรกิจที่หลากหลาย ประกอบด้วย ร้านกาแฟที่บริษัทบริหารเอง ร้านกาแฟที่ขายใบอนุญาตให้ผู้อื่นบริหาร ธุรกิจค้าปลีกสินค้ากาแฟ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง: Starbucks มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รายได้และกำไรสุทธิเติบโตอย่างสม่ำเสมอ อัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่ง: Starbucks มีอัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่ง เช่น ROA, ROE และ ROI ที่สูง การจ่ายเงินปันผล: Starbucks จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: ราคาหุ้นที่ค่อนข้างสูง: ราคาหุ้น SBUX ซื้อขายที่ P/E 31.28 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง การแข่งขันที่รุนแรง: Starbucks เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากร้านกาแฟอื่นๆ ความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจ: Starbucks อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง: Starbucks อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี สรุป: การลงทุนในหุ้น SBUX มีทั้งปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยที่ต้องพิจารณา นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ประเมินความเสี่ยง และพิจารณาให้สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์การลงทุนของตนเอง คำแนะนำเพิ่มเติม: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Starbucks เพิ่มเติม เช่น กลยุทธ์ทางธุรกิจ แผนการขยายธุรกิจ โครงสร้างรายได้ โครงสร้างต้นทุน ฯลฯ นักลงทุนควรวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินของ Starbucks อย่างละเอียด เพื่อประเมินผลการดำเนินงานและความเสี่ยงของธุรกิจ นักลงทุนควรเปรียบเทียบ Starbucks กับคู่แข่งในธุรกิจร้านกาแฟ นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Starbucks และปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3120
Finance
ดัชนี sSET Index เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยง: หุ้นขนาดเล็กโดยทั่วไปมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากมี Market Cap เล็ก มีสภาพคล่องต่ำ มีปัจจัยเฉพาะตัวที่ส่งผลต่อราคาหุ้นได้ง่าย 2. ข้อมูล: หุ้นขนาดเล็กมักมีข้อมูลข่าวสารน้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่ นักลงทุนอาจต้องใช้เวลามากขึ้นในการศึกษาข้อมูล 3. กลยุทธ์: กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก อาจแตกต่างจากหุ้นขนาดใหญ่ นักลงทุนอาจต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม 4. ระยะเวลา: หุ้นขนาดเล็กอาจใช้เวลา longer ในการเติบโต นักลงทุนต้องมีความอดทนและสามารถลงทุนระยะยาว 5. สภาพคล่อง: หุ้นขนาดเล็กมีสภาพคล่องต่ำ นักลงทุนอาจซื้อขายได้ยาก อย่างไรก็ตาม ดัชนี sSET Index เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มี: ความเสี่ยง: ยอมรับความเสี่ยงสูง เวลา: มีเวลาศึกษาข้อมูล กลยุทธ์: เข้าใจกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ระยะเวลา: ลงทุนระยะยาว ความอดทน: อดทนรอผลตอบแทน ข้อควรระวัง: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ควรลงทุนในหุ้นขนาดเล็กเพียงอย่างเดียว ควรกระจายความเสี่ยง ควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ควรลงทุนในจำนวนเงินที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ สรุป: ดัชนี sSET Index เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นขนาดเล็กได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าเหมาะสำหรับนักลงทุนทุกประเภท นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความเสี่ยง ข้อมูล กลยุทธ์ ระยะเวลา และสภาพคล่อง ก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3121
Finance
กลยุทธ์ของ INET ในการขยายฐานลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และ INET ควรมีแนวทางอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้น?
null
กลยุทธ์ของ INET ในการขยายฐานลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ มีความน่าสนใจและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง ดังนี้ 1. การแข่งขันที่รุนแรง: ตลาด Cloud Solutions ในประเทศไทยมีการแข่งขันที่รุนแรง มีผู้ให้บริการทั้งรายใหญ่จากต่างประเทศและรายในประเทศ 2. ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง: การให้บริการ Cloud Solutions จำเป็นต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่สูง 3. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: เทคโนโลยี Cloud Solutions มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา 4. ความปลอดภัยของข้อมูล: ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล แนวทางในการลดความเสี่ยง: 1. พัฒนาความสามารถในการแข่งขัน: INET ควรพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน 2. ควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน: INET ควรควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน 3. ติดตามเทคโนโลยีใหม่: INET ควรติดตามเทคโนโลยีใหม่ 4. สร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล: INET ควรสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ INET ยังควรพิจารณาแนวทางเพิ่มเติม ดังนี้: มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจง: INET ควรเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พัฒนาโซลูชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า: INET ควรพัฒนาโซลูชั่น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: INET ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดี พัฒนาทักษะของพนักงาน: INET ควรพัฒนาทักษะ โดยสรุป: กลยุทธ์ของ INET ในการขยายฐานลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3123
Finance
การเทรดอนุพันธ์ในแต่ละครั้ง ควรเสี่ยงขาดทุนสูงสุดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนที่มีอยู่ทั้งหมด
null
ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของนักลงทุน โดยหากพิจารณาด้านความเสี่ยงเป็นหลัก อาจจะใช้วิธีวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อให้เทรดแล้วไม่หมดตัว (Risk of Ruin) ถ้าพิจารณาด้านผลตอบแทน อาจจะใช้วิธีหาสัดส่วนที่ทำให้เกิดผลกำไรสูงสุดจากการเทรดต่อเนื่องในระยะยาว (Optimal Fraction หรือ Kelly Criterion) คำอธิบาย การเทรดอนุพันธ์ในแต่ละครั้ง ควรเสี่ยงขาดทุนสูงสุดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของนักลงทุน โดยหากพิจารณาด้านความเสี่ยงเป็นหลัก อาจจะใช้วิธีวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อให้เทรดแล้วไม่หมดตัว (Risk of Ruin) ซึ่งจะกำหนดให้ความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 2% ของเงินทุนที่มีอยู่ทั้งหมด หรืออาจจะกำหนดให้ความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 5% ของเงินทุนที่มีอยู่ทั้งหมด เป็นต้น โดยการกำหนดความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 2% นั้น หมายความว่า ถ้านักลงทุนมีเงินทุน 100,000 บาท ในการเทรดอนุพันธ์แต่ละครั้งจะเสี่ยงขาดทุนไม่เกิน 2,000 บาท เป็นต้น แต่หากพิจารณาด้านผลตอบแทน อาจจะใช้วิธีหาสัดส่วนที่ทำให้เกิดผลกำไรสูงสุดจากการเทรดต่อเนื่องในระยะยาว (Optimal Fraction หรือ Kelly Criterion) ซึ่งจะกำหนดให้ความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งเป็นจำนวนเงินที่สอดคล้องกับผลตอบแทนที่คาดหวังจากการเทรด โดยการกำหนดความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งให้สอดคล้องกับผลตอบแทนที่คาดหวังจากการเทรดนั้น หมายความว่า ถ้านักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนจากการเทรดในแต่ละครั้ง 5% ความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งก็ควรจะเป็น 5% เช่นกัน ทั้งนี้ การกำหนดความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ยอมรับได้ของตนเอง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3125
Finance
นักลงทุนควรมีวิธีคิดและวางกลยุทธ์อย่างไร เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของ Block Trade ในปี 2017
null
การเปลี่ยนแปลงของ Block Trade ในปี 2017 มีดังนี้: ตัวเลือกหุ้นอ้างอิงเพิ่มขึ้นเป็น 95 ตัว ปริมาณการซื้อขาย Block Trade คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ความผันผวนของหุ้นอ้างอิง Block Trade คาดว่าจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรมีวิธีคิดและวางกลยุทธ์ดังนี้: 1. ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Block Trade กลไก การซื้อขาย ความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นอ้างอิง Block Trade 95 ตัว ติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหวของตลาด Block Trade 2. เตรียมตัว: เตรียมเงินทุนสำรองสำหรับการซื้อขาย Block Trade เตรียมแผนการซื้อขาย กลยุทธ์ เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง 3. วางกลยุทธ์: พิจารณาเลือกหุ้นอ้างอิงที่มีความผันผวนสูง พิจารณาใช้อัตราทดที่เหมาะสม พิจารณาใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง วางแผนการ Stop Loss กระจายความเสี่ยง ตัวอย่างกลยุทธ์: เก็งกำไรขาขึ้น: เลือกซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มราคาขึ้น ใช้ Call Option เก็งกำไรขาลง: เลือกซื้อ Put Option หรือ Short หุ้น เก็งกำไรความผันผวน: ใช้กลยุทธ์ Option Strategy ข้อควรระวัง: Block Trade มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรมีวินัย ใจเย็น ศึกษาข้อมูล เตรียมตัว วางกลยุทธ์ ควบคุมอารมณ์ ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล สรุป: Block Trade เป็นโอกาสใหม่สำหรับนักลงทุนนักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เตรียมตัว วางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและควบคุมความเสี่ยงการเก็งกำไร Block Tradeจำเป็นต้องมีวินัย ใจเย็น ศึกษาข้อมูล และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน,การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3129
Finance
ช่วยแนะนะหุ้น VIH หรือ บริษัท ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ให้หน่อย
null
ความเป็นมา VIH ก่อตั้งปี 2530 โดยคุณหมอศิริราช 2 สามีภรรยา (หมอวิชัยและหมอสายสุณี) โดยครอบครัวถือหุ้นประมาณ 50% และ BBTV ช่อง 7 ถือหุ้นประมาณ 20% ในปัจจุบันมี 3 โรงพยาบาล มีเตียงจำนวน 520 เตียง (อ้อมน้อย 200, หนองแขม 200, สมุทรสาคร 120) เป็นโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคกระดูกและข้อ สัดส่วนรายได้ 50% มาจากอ้อมน้อย, 28% หนองแขม และ 22% สมุทรสาคร หากแยกตามประเภทผู้ป่วย โรงพยาบาลมีสัดส่วนรายได้ 74% ผู้ป่วยทั่วไป 26% ลูกค้าโครงการรัฐ (Capitation) แนวโน้มการเติบโต 1. VIH มีการเปิดตึกใหม่ที่อ้อมน้อยเป็นอาคาร 3 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2558 มีเตียงเดี่ยว 46 เตียง (ตึกเก่าเป็นห้องรวมเยอะ คนไข้อยากอยู่ห้องเดี่ยวแต่ที่ไม่พอ) และมีศูนย์เวชศาสตร์การกีฬาดูแลนักกีฬาทีมชาติ รวมถึงบริการแพทย์เฉพาะทาง 24 ชั่วโมง (แถวนั้นอุบัติเหตุบ่อยเนื่องจากเป็นทางลงภาคใต้) 2. เปิดศูนย์โรคหัวใจที่หนองแขมปลายปี 2558 เปิดมาแค่ 2 เดือนมีคนไข้ 150 คน และเป็นโรคที่ค่าใช้จ่ายสูงและต้องดูแลต่อเนื่อง (โรคหัวใจเป็นโรคที่คนไทยเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็ง สถิติเสียชีวิตเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน) 3. VIH ได้ทำการซื้อโรงพยาบาลศรีวิชัย 1 (สามแยกไฟฉายโพลีคลินิก) 155 ล้านบาท ดียังไง? บริษัทนี้กำไรประมาณ 15 ล้านบาท ต่อปีเท่ากับซื้อมา P/E 10 เท่า ถือว่าราคาไม่แพง คนไข้โรคหัวใจที่นี่เยอะ และมีแพทย์จากศิริราชมาช่วยดูแล เวลาส่งตัวต่อมาก็พาไปเข้าทีหนองแขมที่เปิดศูนย์หัวใจรองรับไว้แล้ว (ปกติคนไข้จะถูกส่งไปโรงพยาบาลธนบุรี ซึ่ง utilization ค่อนข้างเต็ม) รวมไปถึงมีแพทย์เก่ง ๆ หมุนเวียนเข้ามาดูแลในโรงพยาบาลในกลุ่มได้ (คนที่อยู่ชานเมืองน่าจะชอบ) บริษัทนี้โดยตัวเองงบดีมีเงินสด 50 ล้านบาทเอา จะเอามาใช้เพื่อ renovate โรงพยาบาล 4. มีการตั้งทีมเพื่อหาลูกค้าต่างชาติเอเชีย ตะวันออกกลาง น่าจะช่วยเพิ่มกำไรที่ดีขึ้นได้ในอนาคต (อีกอย่างแถวนี้มีครูต่างขาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ น่าจะเป็นผลดีกับโรงพยาบาลเหมือนกัน) 5. ในส่วนของอ้อมน้อย ยังมีพื้นที่เหลืออีกมากสำหรับสร้างอาคาร ขยายตัวเพื่อรองรับคนทางฝั่งตะวันตกและใต้ได้อีกมาก ประเด็นสำคัญที่จะปลดล็อคการเติบโตของบริษัท ต้องสร้างจุดยืนด้านศูนย์รักษาโรคหัวใจให้ได้ และสร้าง link ระหว่างหนองแขมกับโรงพยาบาลศรีวิชัย 1 ที่กำลังจะซื้อมา เพื่อเป็นตัวสร้างการเติบโตในระยะยาว สร้างกลุ่มลูกค้าใหม่จับชาวต่างชาติให้มารักษาที่นี่
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3130
Finance
ปี 2559 หุ้น SPA น่าลงทุนหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ด้านบวก: -ธุรกิจมีศักยภาพการเติบโตสูง: ธุรกิจสปาเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก -บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี: บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ (NPM) สูงอยู่ที่ 19.48% -บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจ: บริษัทมีแผนขยายกลุ่มเป้าหมายลูกค้าและพัฒนาคุณภาพบริการ ด้านลบ: -วงจรเงินสดติดลบ: บริษัทมีวงจรเงินสดติดลบทุกปี หมายความว่าบริษัทใช้เงินสดมากกว่าเงินสดที่ได้รับจากการดำเนินงาน -ราคาหุ้นค่อนข้างสูง: ราคาหุ้น SPA ถูกซื้อขายกันที่ P/E 53.22 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาด มีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก: ธุรกิจสปาได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจ การเมือง และโรคระบาด สรุป: หุ้น SPA มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม: -นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท SPA เพิ่มเติม เช่น กลยุทธ์ทางธุรกิจ แผนการขยายธุรกิจ โครงสร้างเงินทุน และความเสี่ยงต่างๆ -นักลงทุนควรเปรียบเทียบหุ้น SPA กับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน -นักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทน (Risk-Reward) ของหุ้น SPA หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2559
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3136
Finance
เขียนบทความเรื่อง "เลือกกองทุน RMF เพื่อเป้าหมายเกษียณกับการตัดสินใจที่มีสติและการวางแผนที่ชัดเจนของชัญญา"
null
ชื่อเรื่อง : "การเลือกลงทุน RMF แบบไหนที่เหมาะกับคุณเพื่อเป้าหมายเกษียณระยะยาว" การคิดถึงเรื่องการเงินและการเตรียมเป้าหมายเกษียณก็ยังได้รับความสำคัญอยู่เสมอๆ โอกาสในการลงทุนในกองทุนเป้าหมายเกษียณ (Retirement Mutual Fund - RMF) ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้คนที่ต้องการสร้างสมุดเงินเพื่อเตรียมพร้อมสู้วัยเกษียณในอนาคต "ชัญญา" ที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่เงินเดือนเริ่มมีมากขึ้น ชัญญาเริ่มสนใจในเรื่องการเงินมากขึ้น และเห็นความสำคัญของการเตรียมเงินเพื่อเกษียณกับอนาคตที่ยังไม่แน่นอน วันหนึ่ง ชัญญาได้รับเสนอให้ลงทุนในกองทุน RMF จากบริษัทการเงินชั้นนำ โดยมีหลายแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนที่แตกต่างกัน ท่ามกลางการเลือกอย่างลำบาก ชัญญาตัดสินใจให้เวลากับการศึกษาและการวางแผนในการเลือกกองทุน RMF ที่เหมาะกับเธอเพื่อเป้าหมายเกษียณระยะยาว ชัญญาเริ่มต้นด้วยการสอบถามตนเองเกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการในอนาคต และความเสี่ยงที่พร้อมรับ ซึ่งนำพาชัญญาสู่การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแต่ละกองทุน RMF และเปรียบเทียบผลตอบแทนที่คาดหวัง หลังจากการวิเคราะห์และการคิดค้นทางเลือกต่างๆ ชัญญาตัดสินใจที่จะลงทุนในกองทุน RMF ที่มีผลตอบแทนที่คงที่และเสี่ยงน้อย โดยมองเห็นว่าการลงทุนที่มั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำจะช่วยให้มีความสบายใจและมั่นใจในการเตรียมเงินเกษียณในอนาคต เลือกลงทุน RMF แบบนี้เพื่อเป้าหมายเกษียณระยะยาว เพื่อให้สามารถใช้เงินเก็บออมที่ได้ในอนาคตอย่างมั่นคงและมั่นใจ และสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความรู้และการวางแผนที่ถูกต้อง เอมีกลายเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการเลือกลงทุน RMF ที่เหมาะสมสำหรับเป้าหมายเกษียณระยะยาวนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างละเอียดและรอบคอบ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3137
Finance
กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน B-LTF เป็นอย่างไร
null
B-LTF มีชื่อเต็มว่า กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว ถือเป็นกองทุน LTF อันดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน และการันตีด้วยคุณภาพจากการได้รับรางวัล Morningstar 5 ดาว เมื่อเป็น LTF นโยบายการลงทุน ก็ต้องลงทุนในหุ้นไม่ต่ำกว่า 65% ในรอบปีบัญชี แต่สำหรับ B-LTF นั้น ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา แทบไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่ถือหุ้นน้อยกว่า 90% เรียกว่า ถือหุ้นในพอร์ตตลอดเวลา จะมีโยกย้ายไปมาก็ในการเปลี่ยนหน้าหุ้นที่เชื่อว่ามูลค่ากิจการเปลี่ยนแปลงไป ขนาดของกองทุนใหญ่ถึง 4.5 หมื่นล้านบาท ถือว่ามีขนาดใหญ่ระดับต้นๆ ของประเทศเช่นเดียวกับคุณภาพและผลตอบแทน กลยุทธ์การลงทุนของ B-LTF เป็น Active Management Portfolio มีเป้าหมาย คือ ชนะดัชนีชี้วัด (SET Index) ให้ได้ในระยะยาว บริหารพอร์ตแบบเชิงรุก โดยไม่ล้อ หรือเกาะตามดัชนี โดยใช้วิธีการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom Up เน้นลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มีความสามารถในการทำกำไร มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว โดยในพอร์ตจะเน้นลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว ไม่เน้นเทรดดิ้งระยะสั้น ด้วยขนาดกองทุนมากกว่า 4.5 หมื่นล้าน ความท้าทายของผู้จัดการกองทุน คือ หากเลือกลงทุนในหุ้นจดทะเบียนที่มีขนาดเล็กในสัดส่วนที่มากเกินไป ก็จะติดเงื่อนไขเข้าถือครองในสัดส่วนที่มากเกินเกณฑ์ทที่ กลต. กำหนด แต่หากเข้าลงทุนน้อยเกินไป ถึงผลตอบแทนจะทำได้ดี แต่ก็เป็นสัดส่วนการลงทุนที่ไม่มีนัยกับพอร์ตโดยรวมของการลงทุน ดังนั้น จึงทำให้ผู้จัดการกองทุน B-LTF ลงทุนในหุ้นขนาดกลาง และขนาดใหญ่เป็นหลัก ซึ่งความเสี่ยงก็คือ หุ้นกลุ่มนี้ ได้รับความผันผวนจากปัจจัยภายนอกระยะสั้นบ้าง เนื่องจากเป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติเข้าถือครองด้วยเช่นกัน มุมมองที่แตกต่างกันบ้างในระยะสั้น อาจทำให้นักลงทุนกลุ่มอื่นปรับพอร์ตการลงทุนบ้าง แล้วก็ส่งผลต่อราคาหุ้นที่กองทุนไปลงทุนด้วย แต่นั่นคือความเสี่ยงที่นักลงทุนควรรับรู้ และทำความเข้าใจอยู่แล้ว ผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมา ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันว่า ขนาดกองทุนที่ใหญ่ ไม่ได้ลดทอนศักยภาพ และความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตเลยแม้แต่น้อย
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3138
Finance
นักลงทุนควรเลือกซื้อกองทุน LTF/RMF โดยดูผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีเป็นหลักหรือไม่?
null
ไม่ควร เหตุผล: ผลตอบแทนย้อนหลังไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต: ผลการดำเนินงานของกองทุนในอดีต ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตัวอย่างกองทุน LTF ยอดนิยมที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีเป็นอันดับต้น ๆ แต่ 5 ปีถัดมาผลตอบแทนกลับตกลงมาอยู่อันดับท้ายตาราง ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลตอบแทนมีหลากหลาย: ผลตอบแทนของกองทุน LTF/RMF ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น กลยุทธ์การลงทุน สภาวะตลาด ความสามารถของผู้จัดการกองทุน การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ ฯลฯ ความเสี่ยงของกองทุน LTF/RMF: กองทุน LTF/RMF ลงทุนในหุ้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ การเลือกลงทุนควรพิจารณาจากเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้: นักลงทุนควรเลือกลงทุนในกองทุน LTF/RMF ที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ระยะเวลาในการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แนวทางการเลือกซื้อกองทุน LTF/RMF: ศึกษาข้อมูลของกองทุน: ศึกษากลยุทธ์การลงทุน ผลการดำเนินงาน ความเสี่ยง นโยบายลงทุน ค่าธรรมเนียม ฯลฯ เปรียบเทียบกองทุน LTF/RMF หลาย ๆ กอง: เปรียบเทียบผลตอบแทน ความเสี่ยง นโยบายลงทุน ค่าธรรมเนียม ฯลฯ พิจารณาจากเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้: เลือกกองทุน LTF/RMF ที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ระยะเวลาในการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในกองทุน LTF/RMF หลาย ๆ กอง หรือลงทุนในกองทุนประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติม ลงทุนระยะยาว: ลงทุนอย่างน้อย 5 ปี เพื่อลดความผันผวนของผลตอบแทน ติดตามผลการดำเนินงาน: ติดตามผลการดำเนินงานของกองทุน LTF/RMF อย่างสม่ำเสมอ สรุป: การเลือกซื้อกองทุน LTF/RMF โดยดูผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีเป็นหลัก ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบ เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมาย และกระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว และติดตามผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3144
Finance
มนุษย์เงินเดือนมีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินมากกว่าฟูลไทม์เทรดเดอร์หรือไม่?
null
ไม่ โดยมีเหตุผลดังนี้ ความมั่นคงทางการเงิน: มนุษย์เงินเดือนมีรายได้ที่แน่นอนจากเงินเดือน ต่างจากฟูลไทม์เทรดเดอร์ที่มีรายได้ที่ขึ้นอยู่กับผลการเทรด ซึ่งมีความผันผวนสูง การเข้าถึงแหล่งเงินทุน: มนุษย์เงินเดือนสามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายกว่าฟูลไทม์เทรดเดอร์ เพราะธนาคารมักมองว่าฟูลไทม์เทรดเดอร์มีความเสี่ยงสูง การกระจายความเสี่ยง: มนุษย์เงินเดือนมีรายได้จากงานประจำเพียงอย่างเดียว ต่างจากฟูลไทม์เทรดเดอร์ที่มีรายได้จากการเทรดเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีความเสี่ยงสูง ทักษะการเงิน: มนุษย์เงินเดือนอาจไม่มีทักษะการเงินที่จำเป็นสำหรับการเทรดหุ้น ซึ่งอาจทำให้พวกเขาสูญเสียเงิน เวลา: มนุษย์เงินเดือนมีเวลาน้อยสำหรับการศึกษาและติดตามตลาดหุ้น ต่างจากฟูลไทม์เทรดเดอร์ที่มีเวลาทุ่มเทให้กับการเทรด อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จทางการเงิน เช่น - ความรู้และทักษะบุคคลที่มีความรู้และทักษะการเงินที่ดี มีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินมากกว่า - วินัย บุคคลที่มีวินัยในการออมและลงทุน มีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินมากกว่า - ความอดทน บุคคลที่มีความอดทนและรอคอยผลตอบแทนระยะยาว มีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินมากกว่า - โชค บางครั้งโชคก็มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จทางการเงิน สรุป: มนุษย์เงินเดือนมีข้อได้เปรียบบางประการในแง่ของความมั่นคงทางการเงิน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการกระจายความเสี่ยง ฟูลไทม์เทรดเดอร์มีข้อได้เปรียบในแง่ของเวลาและสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า บุคคลที่จะประสบความสำเร็จทางการเงิน จำเป็นต้องมีความรู้และทักษะ วินัย ความอดทน และโชค หมายเหตุ: - ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าบุคคลใดจะประสบความสำเร็จทางการเงินหรือไม่ - บุคคลควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนเองก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกทำงานประจำหรือเป็นฟูลไทม์เทรดเดอร์
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3150
Finance
ช่วยบอกแนวคิดในเรื่อง "สังคมแห่งการเกษียณ กับพื้นที่ความเป็นอยู่ที่มั่นคงและคุ้มค่าสำหรับผู้สูงอายุ" ให้เข้าใจมากขึ้นหน่อย
null
แนวคิดในเรื่อง "ประกันสังคม" โดยเฉพาะในส่วนของการมั่นคงยามเกษียณและสังคมผู้สูงวัยมีหลักประกันหลายอย่างที่สำคัญที่จะเข้าใจ เพื่อให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนและมั่นคงต่อเมื่อเกษียณอายุหรือเข้าสู่ช่วงวัยสูง: 1. การสร้างระบบประกันสังคมที่ครอบคลุม: การสร้างระบบประกันสังคมที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินสงเคราะห์ในกรณีฉุกเฉินที่มีต่อผู้สูงอายุหรือเกษียณ หรือการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและความต้องการพื้นฐานอื่น ๆ ของผู้สูงวัย. 2. การส่งเสริมและสนับสนุนการออมเงิน: การส่งเสริมให้ผู้ที่กำลังทำงานออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ และการสนับสนุนโครงสร้างออมเงินที่มั่นคงสำหรับผู้สูงอายุ. 3. การพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต: การส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพและชีวิตหลังเกษียณอายุ. 4. การส่งเสริมสุขภาพและการดูแลสุขภาพ: การส่งเสริมสุขภาพที่ดีและการดูแลสุขภาพให้ผู้สูงอายุเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคภัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในวัยที่สูงขึ้น. 5. การสร้างโอกาสในการทำงานหรือกิจกรรมอื่น: การสร้างโอกาสให้ผู้สูงอายุมีโอกาสในการทำงานหรือกิจกรรมที่สร้างรายได้และความสัมพันธ์ทางสังคม เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตในวัยที่มากขึ้น. 6. การสนับสนุนและการเอาใจใส่: การสนับสนุนและการเอาใจใส่ต่อผู้สูงอายุในทุกด้านของชีวิต เช่น การสร้างสถานที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ การจัดกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อสร้างความสุขและความเอื้อเฟื้อในชุมชน. การทำงานในทิศทางเหล่านี้ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือการสร้างสังคมที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับผู้สูงอายุและผู้เกษียณอายุ เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอย่างมั่นคงและมีความสุขในช่วงวัยที่มากขึ้นได้และยังสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเผชิญกับภัยที่เกิดขึ้นจากความสูญเสียหรือความไม่มั่นคงในชีวิตประจำวัน.
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3154
Finance
ในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย (ไม่เกิน 50 bps) นั้น ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยอยู่ที่ 20.4% คำถามคือ แล้วเหตุใดในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้
null
การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) นั้น โดยทั่วไปแล้วจะมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยเมื่อเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เงินเฟ้อลดลง อย่างไรก็ตาม การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้เช่นกัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลง และอาจทำให้ราคาหุ้นของบริษัทลดลงได้ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในบทความข้างต้น พบว่า ในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย (ไม่เกิน 50 bps) นั้น ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยอยู่ที่ 20.4% เลยทีเดียว สาเหตุที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในช่วงดังกล่าว น่าจะมาจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตได้ดี บริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ยังมีกำไรที่แข็งแกร่ง นักลงทุนยังคงมองโลกในแง่ดีต่ออนาคตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ การที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ มากนัก ทำให้บริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ ดังนั้น จากปัจจัยข้างต้น จึงสรุปได้ว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย นั้น น่าจะมาจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3156
Finance
การจัดพอร์ตสร้างกระแสเงินสดด้วยวิธี Yield Approach มีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง
null
ข้อดี - อาศัย Income จากสินทรัพย์โดยตรง หากเลือกตราสารได้ดี คือมีการจ่าย Income เสมอ แม้ในช่วงที่มีวิกฤติ พอร์ตที่จัดก็จะยังคงสามารถจ่าย Income ให้กับเราได้ โดยไม่ต้องไปขายตราสารใดมาเป็นเงินสำหรับใช้จ่าย ในช่วงที่พอร์ตกำลังย่อ - การที่มี Income ค่อนข้างแน่นอน ทำให้ผู้ลงทุนทนรับความผันผวนได้ดีกว่าพอร์ตที่ผลตอบแทนอิงกับภาวะตลาด (หรือ Sensitive ต่อ Price Risk น้อยกว่า) ข้อเสีย - อาจมี Sustainable Withdrawal Rate ที่ต่ำ โดยเฉพาะหากต้องการจัดพอร์ตให้เสี่ยงน้อย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ ณ ปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำมาก ไม่เหมือนกับในอดีต ในขณะที่ผลตอบแทนจากราคาอาจไม่เพียงพอในการป้องกันการสูญเสียอำนาจซื้อจากเงินเฟ้อ - ทางเลือกในการกระจายสินทรัพย์จำกัด เนื่องจากจำเป็นต้องเลือกสินทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนในรูปของกระแสเงินสดเท่านั้น สินทรัพย์ทางเลือกบางอย่าง เช่น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ และ/หรือ สินทรัพย์ที่ยังไม่สามารถไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้ง่ายๆ เช่น ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นต่างประเทศ อาจไม่ถูกนำเข้ามารวมในพอร์ต - การจะเพิ่มผลตอบแทน (โดยเฉพาะจากตราสารหนี้) มักต้องเพิ่มความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (Non-Investment Grade) หรือ ไม่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Non-Rated) ซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มนี้ โดยถือจนครบอายุ แม้จะไม่มีความผันผวนด้านราคา แต่ในกรณีเลวร้าย หากเกินการผิดนัดชำระหนี้ (Default) ความเสียหายอาจรุนแรงกว่ากรณีที่เกิดความผันผวนระหว่างทาง - มีปริมาณกระแสเงินสด และ จังหวะในการจ่ายกระแสเงินสดที่ไม่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับตราสารที่ลงทุนเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น เราอาจต้องการกระแสเงินสดเป็นรายเดือน แต่ตราสารที่ลงทุนจ่ายเป็นรายครึ่งปีเป็นต้น และบางทียังจ่ายแต่ละครั้งไม่เท่ากันด้วย โดยสรุปแล้ว การจัดพอร์ตสร้างกระแสเงินสดด้วยวิธี Yield Approach เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดที่แน่นอน และสามารถรับความผันผวนได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อดีข้อเสียของวิธีนี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3159
Finance
นักลงทุน VI ควรให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นในอนาคตหรือไม่
null
ไม่ เหตุผล: ดัชนีตลาดหุ้นเป็นเพียงตัวเลขเฉลี่ยของราคาหุ้นทั้งหมดในตลาด ไม่ได้บ่งบอกถึงผลตอบแทนของหุ้นแต่ละตัว การคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นในอนาคตเป็นเรื่องยากมาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อดัชนี ถึงแม้ว่านักลงทุนจะคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นได้แม่นยำ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะลงทุนในหุ้นตัวไหนก็ได้กำไร นักลงทุน VI ควรให้ความสำคัญกับการคัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มากกว่าการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้น ตัวอย่างเหตุผลที่นักลงทุน VI ไม่ควรให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหุ้นสามารถขึ้นหรือลงได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ ดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้บ่งบอกถึงผลตอบแทนของหุ้นแต่ละตัว หุ้นบางตัวอาจจะ outperform ตลาดหุ้น ในขณะที่หุ้นบางตัวอาจจะ underperform ตลาดหุ้น นักลงทุน VI มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น มีกำไรต่อหุ้น (EPS) สูง มีอัตราเงินปันผลจ่ายสูง มีหนี้สินน้อย ฯลฯ ข้อเสียของการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกกังวล และอาจตัดสินใจผิดพลาด ทำให้นักลงทุนละเลยปัจจัยพื้นฐานของหุ้น ทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สรุป: นักลงทุน VI ควรให้ความสำคัญกับการคัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มากกว่าการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้น การคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นเป็นเรื่องยากมาก และไม่ได้บ่งบอกถึงผลตอบแทนของหุ้นแต่ละตัว นักลงทุน VI ควรใช้วิธีการ “มองย้อนหลัง” วิเคราะห์ผลประกอบการที่ผ่านมาของบริษัท แทนที่จะ “มองไปข้างหน้า” คาดการณ์อนาคตที่ไม่แน่นอน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3165
Finance
ช่วยบอกแนวคิดเกี่ยวกับ "ชายขอบแห่งโอกาสในตลาดหุ้นที่ช่วยเสริมพลังการลงทุน" ให้เข้าใจหน่อย
null
"ตลาดหุ้นชายขอบ" เป็นคำที่อาจใช้เพื่ออธิบายสถานการณ์หรือแนวโน้มของตลาดหุ้นที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งสามารถให้ข้อมูลและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไปจากตลาดหุ้นทั่วไป นี่คือแนวคิดหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับ "ตลาดหุ้นชายขอบ": 1. ความเสี่ยงสูง: ตลาดหุ้นชายขอบมักมีระดับความเสี่ยงที่สูงกว่าตลาดหุ้นปกติ เนื่องจากมักมีการลงทุนในบริษัทที่มีขนาดเล็กหรือไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจมีความผันผวนในราคาสูงและความผลประโยชน์ที่มั่นคงน้อยกว่าบริษัทใหญ่ๆ 2. โอกาสทางการลงทุน: โดยทั่วไปแล้ว ตลาดหุ้นชายขอบมักเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจมีโอกาสทำกำไรสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วไปในบางกรณี แต่ก็มีความเสี่ยงของการสูญเสียที่สูงขึ้นเช่นกัน 3. การวิเคราะห์ที่เป็นทางการ: การวิเคราะห์ในตลาดหุ้นชายขอบมักจะเป็นทางการน้อยกว่าในตลาดหุ้นใหญ่ ซึ่งอาจทำให้มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อมูลและข่าวสารที่มีอยู่ ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต้องใช้ความสัมพันธ์และประสบการณ์ในการตัดสินใจการลงทุน 4. การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: ตลาดหุ้นชายขอบมักมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไม่คงที่ เช่น ราคาหุ้นอาจแพร่หลายไปที่ช่องทางการซื้อขายหลายแห่ง การเปลี่ยนแปลงในนโยบายของบริษัท หรือแม้กระทั่งสภาพการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อตลาด 5. โอกาสในการลงทุนระยะยาว: การลงทุนในตลาดหุ้นชายขอบอาจให้โอกาสในการลงทุนระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในบริษัทที่มีการเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งบริษัทที่เป็นที่พึ่งและเติบโตเป็นองค์กรใหญ่ก็อาจมีที่มาจากตลาดหุ้นชายขอบเช่นกัน ในทำนองเดียวกัน การลงทุนในตลาดหุ้นชายขอบเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและคำนึงถึงความเสี่ยงที่มีอยู่ในการลงทุนด้วย การค้นคว้าข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนทำการตัดสินใจได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพในการลงทุนในตลาดนี้ได้ดีขึ้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3167
Finance
การขยายธุรกิจของ PLANB ไปยังตลาดต่างประเทศ สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ Internet of Things อย่างไร
null
การขยายธุรกิจของ PLANB ไปยังตลาดต่างประเทศ สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ Internet of Things ในแง่ที่ว่า อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) กำลังทำให้โลกของเราเชื่อมต่อกันมากขึ้น ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านอุปกรณ์ IoT เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือสมาร์ทวอทช์ PLANB ให้บริการสื่อโฆษณาที่หลากหลายรูปแบบ โดยสื่อโฆษณาเหล่านี้สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สื่อโฆษณาดิจิตอลกลางแจ้งสามารถแสดงผลโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนได้ตามพฤติกรรมของผู้ชม เช่น แสดงโฆษณาสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่ผู้บริโภคอยู่ สื่อโฆษณาออนไลน์สามารถติดตามพฤติกรรมการท่องเว็บของผู้บริโภค เพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้บริโภค การขยายธุรกิจของ PLANB ไปยังตลาดต่างประเทศ จะช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งมีความนิยมการใช้อุปกรณ์ IoT สูง นอกจากนี้ การขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ ยังช่วยให้บริษัทสามารถเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายธุรกิจและการเติบโตในอนาคต ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดต่างประเทศที่สำคัญของ PLANB บริษัทได้ร่วมมือกับ EMTEK group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่ในประเทศ เพื่อขยายธุรกิจสื่อโฆษณาไปยังประเทศอินโดนีเซีย โดย EMTEK group มีเครือข่ายสื่อโฆษณาที่แข็งแกร่งครอบคลุมทั่วประเทศอินโดนีเซีย การร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้ PLANB สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในอินโดนีเซียได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งมีความนิยมการใช้อุปกรณ์ IoT สูง นอกจากนี้ PLANB ยังได้เข้าลงทุนในบริษัท แซงจูรี่บิลบอร์ด จำกัด เพื่อขยายการลงทุนสื่อโฆษณาเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง การขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศของ PLANB แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความพร้อมและศักยภาพในการปรับตัวให้เข้ากับเมกะเทรนด์ต่างๆ ของโลก และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3168
Finance
ช่วยบอกแนวคิดเกี่ยวกับ "วิเคราะห์และปรับกลยุทธ์ กับการนำเสนอสัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้น"
null
"สัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้น" หมายถึงการวิเคราะห์และติดตามการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยในสัปดาห์ที่แสดงความผันผวนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นที่สูงและต่ำขึ้นลง เป็นต้น การวิเคราะห์ "สัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้น" มีข้อคิดหลักดังนี้ 1. การติดตามแนวโน้มราคา: การวิเคราะห์ในสัปดาห์นั้นจะเน้นการติดตามแนวโน้มของราคาหุ้นว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างไร มีการขึ้นหรือลงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานการณ์ของตลาดหุ้นในช่วงเวลานั้น 2. การวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญ: การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นไม่เพียงแต่มองเฉพาะราคาเท่านั้น ยังควรพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวนั้นด้วย เช่น ข่าวสารทางธุรกิจ นโยบายการเงิน และเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ 3. การจัดการความเสี่ยง: การวิเคราะห์สัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้นเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยงในการลงทุน โดยช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนของตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางตลาดในแต่ละสัปดาห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. ความระมัดระวัง: การวิเคราะห์ตลาดหุ้นมีความผิดพลาดได้ เนื่องจากมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ ดังนั้นควรพิจารณาด้วยความระมัดระวังและความเป็นไปได้ที่จะเกิดความผิดพลาด ดังนั้น การวิเคราะห์ "สัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้น" เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการติดตามแนวโน้มราคา วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว และใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นในระยะสัปดาห์นั้น ๆ โดยการวิเคราะห์นี้จะช่วยให้นักลงทุนปรับกลยุทธ์การลงทุนของตนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการเผชิญหน้ากับความผันผวนของตลาดหุ้นในแต่ละสัปดาห์ แนวคิดของการวิเคราะห์ "สัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้น" อาจจะเน้นไปที่การวิเคราะห์โดยใช้กราฟหรือแผนภาพของราคาหุ้นในช่วงสัปดาห์นั้น ๆ เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของราคา การวิเคราะห์อาจจะรวมถึงการศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เช่น ข่าวสารทางธุรกิจ นโยบายการเงิน และเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งสามารถช่วยให้นักลงทุนเข้าใจและประมาณการได้ว่าตลาดหุ้นอาจจะมีแนวโน้มอย่างไรในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3172
Finance
จงเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับ "เงินเดือนสู่ความมั่งคั่ง ด้วย 5 ทางเลือกสำหรับการลงทุนตัวเอง" ให้หน่อย
null
หัวข้อ: 5 สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรลงทุนเพื่อตัวเอง "นิก" นักบัญชีหนุ่มที่มีเงินเดือนน้อย ทุกๆ เดือน มักจะตั้งคำถามในใจว่าเขาควรทำอย่างไรให้เงินเดือนของนิกสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินเดือนเพียง อย่างเดียว วันหนึ่งนิกจึงได้นั่งคิดกับตัวเองและเกิดความคิดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปอย่างมาก 1. การศึกษาตนเอง: นิกเข้าใจว่าความรู้และทักษะเป็นสิ่งที่มีค่ามากในการพัฒนาตัวเอง นิกตัดสินใจที่จะใช้เงินเดือนของเขาในการซื้อหนังสือ อุปกรณ์การเรียนรู้ออนไลน์ หรือการเข้าร่วมคอร์สอบรมเพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการทำงานและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต 2. การลงทุนในสุขภาพ: นิกเข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ นิกจึงตัดสินใจที่จะลงทุนในการซื้อสมาธิหรือเข้าร่วมคลาสโยคะเพื่อช่วยให้เขามีสุขภาพที่ดีแข็งแรงและมีสมาธิในการทำงาน 3. การลงทุนในชีวิตส่วนตัว: นิกเชื่อว่าความสุขและความเต็มใจในชีวิตส่วนตัวมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ดังนั้นนิกจึงตัดสินใจที่จะใช้เงินเดือนในการเติมความสนุกสนานและส่วนตัว เช่น การเดินทาง เข้าร่วมกิจกรรมที่ชื่นชอบ หรือการพักผ่อนสั้นๆ เพื่อความสมดุลในชีวิต 4. การลงทุนในการออมเงิน: นิกเข้าใจถึงความสำคัญของการมีเงินออมและการวางแผนการเงินในการรักษาความมั่นคงในอนาคต เขาจึงตั้งเป้าหมายที่จะเริ่มต้นการออมเงินแต่งตัวเพื่อสร้างกองทุนฉุกเฉิน และวางแผนการเงินสำหรับการลงทุนในอนาคต 5. การลงทุนในการพัฒนาสังคม: นิกเชื่อว่าการให้กลับต่อสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญ นิกจึงตัดสินใจที่จะใช้เงินเดือนบางส่วนในการสนับสนุนโครงการสาธารณะหรือการทำงานอาสาที่ช่วยเสริมสร้างสังคมให้ดียิ่งขึ้น นิกรู้สึกมีความสุขและมั่นใจในการตัดสินใจที่เขาตัดสินใจที่จะลงทุนเงินเดือนของเขาในทางที่จะช่วยเสริมสร้างชีวิตที่มั่นคงและมีคุณค่าในทุกๆ ด้านในชีวิต ข้อคิด : คำว่า "ลงทุน" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการลงทุนในทางการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงทุนในตัวเองและชีวิตที่มีคุณค่าด้วย การลงทุนในการพัฒนาตนเองและสิ่งที่เป็นที่รู้จักเป็นสิ่งที่สำคัญในการต่อยอดในชีวิต การเติบโตและการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ การเรียนรู้ การสร้างความสุข และการสร้างความมั่นคงทั้งในด้านการเงินและด้านที่อื่นๆ ของชีวิต
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3173
Finance
ประเด็นในข้อใดที่เป็นการส่งสัญญาณที่เตือนว่าผู้บริหารแบบ VI อาจจะไม่ใคร่สมบูรณ์นัก ระหว่าง ความโปร่งใสของผู้บริหาร หรือ การจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้บริหารมากเกินไป
null
การจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้บริหารมากเกินไป เพราะการจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้บริหารมากเกินไป เป็นประเด็นที่เป็นการส่งสัญญาณที่เตือนว่าผู้บริหารแบบ VI อาจจะไม่ใคร่สมบูรณ์นัก และอาจจะไม่ค่อยสัมพันธ์กับผลประกอบการปกติของบริษัท เพราะเป็นเรื่องของการเอาเปรียบบริษัท มักเป็นการอนุมัติโดยตัวเองหรือคนที่ตนเองมีอิทธิพลเหนือกว่า หรือไม่ก็เป็นการอนุมัติโดยมีผลต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ดังนั้น เวลาที่พบว่าผู้บริหารได้รับผลตอบแทนที่สูงเหลือเชื่อ เปรียบเทียบกับขนาดและ Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นของกิจการ โดยที่ไม่ได้คิดว่าเขามีส่วนในความสำเร็จมากมายอะไรของบริษัท ก็มักจะไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับหุ้นแบบนี้ ส่วนความโปร่งใสของผู้บริหาร ผู้บริหารที่ดี ควรจะต้องโปร่งใส ยิ่งเปิดเผยมาก คะแนนคุณสมบัติของผู้บริหารก็ควรจะดีขึ้น ผู้บริหารที่ไม่โปร่งใสมาก ๆ นั้น บางครั้งแทบจะต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นไปเลย เนื่องจากบริษัทอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายซ่อนอยู่โดยที่ไม่รู้และสิ่งที่รู้นั้นถูกทำลวงขึ้นมา ความโปร่งใสเรื่องแรกคือ เรื่องของระบบบัญชี บริษัทที่มีระบบบัญชีที่ดีและมีการลงบัญชีแบบอนุรักษ์นิยมมาก ๆ นั้น ควรจะต้องได้รับคะแนนที่ดีเทียบกับบริษัทที่มีลูกเล่นมาก นอกจากเรื่องบัญชีแล้ว การให้ข้อมูลที่ถูกต้องทั้งที่ดีและไม่ดีต่อผู้ถือหุ้นเป็นระยะ ๆ ตลอดเวลาก็เป็นการแสดงความโปร่งใสที่สำคัญ บริษัทที่ผู้บริหารเก็บตัวเงียบและไม่ใคร่ยอมพบนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนเลยนั้น จะได้รับคะแนนผู้บริหารที่สูงไม่ได้ นอกจากนั้น ผู้บริหารที่ดีก็ควรที่จะสามารถรักษาคำพูดที่ตนได้ให้ไว้พอสมควร ไม่ใช่พูดแล้วก็ผิดคำพูดมาก ๆ ผู้บริหารที่ดีนั้น ถ้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือคาดการณ์ถูกต้อง ก็ไม่ควรจะพูดในเรื่องนั้น
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3181
Finance
การออมเงินในรูปแบบของการฝากประจำปลอดภาษี (TD-R) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้นหรือไม่?
null
ไม่เหมาะ เหตุผล: TD-R มีวัตถุประสงค์เพื่อออมเงินระยะยาว: TD-R ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการออมเงินระยะยาว โดยผู้ฝากจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เงินฝากประจำปลอดภาษี 3 ปี (TD-R 3) เงินฝากประจำปลอดภาษี 5 ปี (TD-R 5) เงินฝากประจำปลอดภาษี 6 ปี (TD-R 6) ดังนั้น การฝากเงินใน TD-R ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น เพราะมีข้อจำกัดในการถอนเงินก่อนครบกำหนด TD-R มีผลตอบแทนที่แน่นอน: TD-R เสนอผลตอบแทนที่แน่นอนล่วงหน้า โดยอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝากเงิน TD-R 3: อัตราดอกเบี้ยประมาณ 2.00 - 2.50% ต่อปี TD-R 5: อัตราดอกเบี้ยประมาณ 2.25 - 2.75% ต่อปี TD-R 6: อัตราดอกเบี้ยประมาณ 2.50 - 3.00% ต่อปี ผลตอบแทนที่แน่นอนนี้อาจไม่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น ซึ่งหวังผลตอบแทนที่สูงกว่า TD-R มีสภาพคล่องต่ำ: เงินฝาก TD-R ไม่สามารถถอนก่อนครบกำหนดได้ กรณีถอนก่อนครบกำหนด จะเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี และอาจถูกปรับค่าธรรมเนียม สภาพคล่องที่ต่ำนี้ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น ซึ่งต้องการเงินทุนหมุนเวียนสูง TD-R มีความเสี่ยงต่ำ: TD-R ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะเงินฝากได้รับการคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคส.) อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น มักมองหาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หุ้น กองทุนรวมตราสารทุน ฟิวเจอร์ส ออปชั่น เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่า TD-R ไม่เหมาะกับการเก็งกำไร: TD-R ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการเก็งกำไร กลไกการจ่ายดอกเบี้ย สภาพคล่อง ความเสี่ยง ดังนั้น การใช้ TD-R เพื่อเก็งกำไรอาจไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสม สรุป: การฝากเงินใน TD-R เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการออมเงินระยะยาว ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน ต้องการความเสี่ยงต่ำ และไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น ต้องการผลตอบแทนที่สูง ต้องการสภาพคล่องสูง ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง คำแนะนำ: นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น ควรพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์อื่น หุ้น กองทุนรวมตราสารทุน ฟิวเจอร์ส ออปชั่น โดยศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3185
Finance
ช่วยเขียนแนวคิดในเรื่องของ "เตรียมตัวก่อนวิกฤต ด้วย5 เคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการลงทุนหุ้นในยามที่ตลาดตก" ให้หน่อย
null
การลงทุนในตลาดหุ้นมักมีความเสี่ยงที่สูง แต่โอกาสที่จะทำกำไรในยามที่หุ้นตกนั้นก็ยังมีอยู่ ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรแม้ในยามที่ตลาดหุ้นลง ควรใช้เทคนิคต่อไปนี้ 1. การลงทุนระยะยาว: การลงทุนในบริษัทหรือสินทรัพย์ที่มีศักยภาพและพันธบัตรที่แข็งแรงในระยะยาว อาจช่วยให้ลดความเสี่ยงในยามที่ตลาดลง โดยการเน้นไปที่คุณภาพของกองทุนหรือบริษัทที่ลงทุน แทนการมองหาผลกำไรทันที. 2. การศึกษาและการวิเคราะห์: การศึกษาข้อมูลและการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียดช่วยให้เข้าใจสภาพความเสี่ยงและโอกาสของการลงทุนของคุณอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยให้ทำกำไรได้ในยามที่ตลาดเปลี่ยนแปลง. 3. การใช้เทคนิคการลงทุนป้องกัน: การใช้เครื่องมือการลงทุนป้องกัน เช่น การสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือการซื้อตัวเลือกในการขายหุ้น (Put options) เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน. 4. การลงทุนในกลุ่มทรัพย์สินที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น: การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์แฟลต หรือสินทรัพย์เงินทุน (Commodities) เป็นต้น ช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดหุ้นลง. 5. การระงับอารมณ์และการทำงานตามแผน: การรักษาอารมณ์และการทำงานตามแผนจะช่วยให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการตัดสินใจที่รีออร์แกนและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนอย่างโดดเดี่ยวในยามที่ตลาดหุ้นลง. การใช้เทคนิคเหล่านี้อาจช่วยให้เพิ่มโอกาสในการทำกำไรแม้ในยามที่ตลาดหุ้นลง และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ตลาดลงอย่างต่อเนื่อง. แต่ควรจำไว้ว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงและผลกำไรที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไปตามสภาพตลาดและความเชื่อของแต่ละบุคคลในการลงทุน.
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3186
Finance
Reverse Mortgage มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง
null
ข้อดีของ Reverse Mortgage นั้นค่อนข้างชัดเจน นั่นคือช่วยให้ผู้สูงอายุที่มีบ้านเป็นของตนเองสามารถมีรายได้เสริมสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่ไม่มีเงินบำนาญหรือเงินออมเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในยามเกษียณ นอกจากนี้ Reverse Mortgage ยังช่วยให้ผู้สูงอายุไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้หลังเกษียณ เพราะสามารถเบิกเงินก้อนหรือเงินรายงวดออกมาใช้ได้ตามต้องการ และยังคงมีบ้านให้อยู่อาศัยตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม Reverse Mortgage ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเช่นกัน ได้แก่ ผู้สูงอายุต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุที่อายุยังน้อย บ้านต้องปลอดภาระหนี้สิน ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีบ้านอยู่อาศัยร่วมกับลูกหลาน มูลค่าบ้านต้องไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีบ้านมูลค่าไม่สูง และอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งอาจทำให้ผู้สูงอายุมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น และอาจสูญเสียบ้านไปหากเสียชีวิตก่อนกำหนด โดยสรุปแล้ว Reverse Mortgage ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุที่มีบ้านเป็นของตนเอง แต่ควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจทำ Reverse Mortgage
กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การบริหารสินทรัพย์
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3187
Finance
มีวิธีวัดผลงานการลงทุนของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างไร โดยแยกว่าผลตอบแทนนั้นมาจาก "ฝีมือ" หรือ "โชค"
null
วิธีวัดผลงานการลงทุน ระยะเวลา: ผลงานการลงทุนควรวัดในระยะยาว อย่างต่ำ 10 ปีขึ้นไป ยิ่งยาวยิ่งดี เพราะในระยะสั้น ผลตอบแทนอาจผันผวนจากปัจจัยต่างๆ มากมาย เปรียบเทียบกับตลาด: ผลตอบแทนของนักลงทุนควรเปรียบเทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกัน ผลตอบแทนรวม: พิจารณาผลตอบแทนรวมของเงินทั้งหมดที่สามารถลงทุนได้ ไม่ใช่เฉพาะเงินลงทุนในหุ้นเท่านั้น ผลตอบแทนแบบทบต้น: คำนวณผลตอบแทนแบบทบต้น เพราะผลตอบแทนแบบทบต้นจะแสดงผลตอบแทนที่แท้จริง ความสม่ำเสมอ: พิจารณาความสม่ำเสมอของผลตอบแทน นักลงทุนที่มีผลงานดีควรมีผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าติดลบ ความเสี่ยง: พิจารณาความเสี่ยงที่นักลงทุนรับ ผลตอบแทนที่สูงอาจมาจากการรับความเสี่ยงสูง วิธีแยกว่าผลตอบแทนมาจาก "ฝีมือ" หรือ "โชค" ความยาวของสถิติ: สถิติผลตอบแทนที่ยาวนาน แสดงถึงโอกาสน้อยลงที่ผลตอบแทนจะมาจากโชค ระดับผลตอบแทน: ผลตอบแทนที่สูงมาก ๆ เกินกว่า 10-20% ต่อปีแบบทบต้น มีโอกาสน้อยที่เกิดจากฝีมือล้วน ๆ การเปรียบเทียบกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ: เปรียบเทียบผลตอบแทนกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จระดับโลก เช่น วอเร็น บัฟเฟตต์ กลยุทธ์การลงทุน: วิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุน กลยุทธ์ที่มีเหตุผล อธิบายได้ มีโอกาสน้อยที่เกิดจากโชค ความรู้และประสบการณ์: พิจารณาความรู้และประสบการณ์ของนักลงทุน นักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากฝีมือมากกว่า ตัวอย่าง นักลงทุน A ลงทุนมา 15 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 12% สูงกว่าตลาด 2% ผลตอบแทนเป็นบวก 13 ปี ถือว่าผลงานดี มีโอกาสมาจาก "ฝีมือ" นักลงทุน B ลงทุนมา 5 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 25% สูงกว่าตลาด 15% ผลตอบแทนเป็นบวก 4 ปี ถือว่าผลงานดี แต่มีโอกาสมาจาก "โชค" ผสมอยู่ ข้อควรระวัง การวัดผลงานการลงทุน ไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่าผลตอบแทนมาจาก "ฝีมือ" หรือ "โชค" นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล กลยุทธ์ และประสบการณ์ของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ นักลงทุนควรลงทุนอย่างมีสติ กระจายความเสี่ยง และลงทุนระยะยาว
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3190
Finance
เขียนแนวคิดในเรื่องที่เกี่ยวกับ "การเปิดเผยความจริง: รากฐานของ Effective Gearing ในโลกธุรกิจ" ที่แท้จริงเป็นอย่างไร
null
หัวข้อ: "การดำเนินการเพื่อความสำเร็จ: ความสำคัญของ Effective Gearing ในการวางแผนการดำเนินงาน" ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความผันผวน เราต้องมีการวางแผนที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพื่อให้กิจการของเราประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน แต่บางครั้งการวางแผนในทางการเงินก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นกัน เพื่อให้เข้าใจและจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสม ต้องมีความเข้าใจในหลักการและค่า Effective Gearing ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการวางแผนการเงินขององค์กร DW (Dynamic Works) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว DW เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับโลก ด้วยการบูรณาการนวัตกรรมและคุณภาพบริการที่เป็นเลิศ ทำให้ DW เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินกิจการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อสาร ต้องต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การวางแผนการเงินมีความซับซ้อน และการจัดการกับ Effective Gearing เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง Effective Gearing เป็นวิธีการวัดระดับการถือหุ้นที่ใช้หนี้เงินทุนขององค์กร เพื่อวัดความสามารถในการทำงานและความเสี่ยงทางการเงิน ในกรณีของ DW ที่ต้องการการลงทุนในโครงการวิจัยและพัฒนาใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและเพิ่มความเป็นเลิศ การเลือกใช้ Effective Gearing ให้เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มีการจัดการทรัพยากรการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการวางแผนและจัดการ Effective Gearing อย่างเหมาะสม DW สามารถมุ่งเน้นในการลงทุนในโครงการที่มีโอกาสในการรับผลกำไรสูง พร้อมกับการควบคุมความเสี่ยงทางการเงินให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ทำให้บริษัทสามารถทำให้ผลตอบแทนทางการเงินและการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน สรุป : การเข้าใจและการจัดการ Effective Gearing เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นในการวางแผนการเงินและการดำเนินกิจการในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้บริษัทเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3191
Finance
เขียนเรื่องสั้น เกี่ยวกับ "สู่ความรุ่งโรจน์ กับการเล่นหุ้นแบบปีระมิดในธุรกิจเลี้ยงไก่และหมู" ให้หน่อย
null
ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ "อาร์ม" ที่มีธุรกิจเลี้ยงไก่และหมูอยู่ การเลี้ยงไก่เป็นอาชีพหลักของอาร์ม แต่เมื่อเศรษฐกิจของประเทศกำลังเป็นปัญหา ราคาของไก่ลงต่ำลงได้ การขายไก่ส่งออกก็ไม่ได้ผลดีเท่าไหร่ และเขาต้องการหาวิธีในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจของเขา และเขาคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นอาจเป็นทางออกที่ดี. อาร์มตัดสินใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้น แต่ไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการเล่นหุ้นเลย ดังนั้นจึงต้องการหาวิธีที่เป็นประโยชน์และอาจจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในการลงทุนของเขา จึงเกิดความคิดที่ไม่ธรรมดาขึ้นในใจ แล้ววันหนึ่ง อาร์มได้พบกับหนึ่งในเพื่อนบ้าน "นิก" ซึ่งเป็นนักเทรดหุ้นที่ชำนาญ หญิงวันได้พูดถึงการเล่นหุ้นในลักษณะของการสร้างประโยชน์ระยะยาว และเขายังพูดถึงวิธีการเล่นหุ้นที่ไม่เหมือนใคร วิธีการที่มีชื่อเสียงเรียกว่า "ปีระมิด". "ปีระมิดคืออะไร?" อาร์มสงสัยถาม. "ปีระมิดเป็นกลยุทธ์ในการลงทุนที่น่าสนใจมาก" นิกวันอธิบายต่อไป "มันเป็นการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นสัดส่วน 3 ส่วน เริ่มต้นด้วยส่วนหนึ่งที่ลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง ส่วนที่สองในหุ้นที่มีความเสี่ยงปานกลาง และสุดท้ายส่วนหนึ่งในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ." อาร์มรู้สึกที่ประหลาดใจด้วยคำแนะนำนี้ และตัดสินใจที่จะลองประยุกต์ใช้กลยุทธ์นี้กับการลงทุน อร์มแบ่งเงินลงทุนของตัวเองออกเป็นสามส่วน โดยลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในส่วนหนึ่ง หุ้นที่มีความเสี่ยงปานกลางในส่วนหนึ่ง และหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในส่วนหนึ่ง. เมื่อเวลาผ่านไป กลยุทธ์ "ปีระมิด" ของอาร์มเริ่มแสดงผลลัพธ์ที่น่าพอใจ การลงทุนของเขาได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว. อาร์มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีในธุรกิจเลี้ยงไก่และหมูของตน การลงทุนในหุ้นได้ช่วยให้อาร์มปลดปล่อยจากปัญหาของการขายไก่ที่ต้องการความสำเร็จ. ด้วยความกล้าหาญและความคิดสร้างสรรค์ อาร์มได้สามารถที่จะตัดปัญหาใหญ่โตของการขายไก่ได้ด้วยวิธีการเล่นหุ้นแบบ "ปีระมิด" และทำให้ธุรกิจของอาร์มเติบโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทุกวัน.
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3192
Finance
สงครามที่เวียตนามผ่านมา บทเรียนอะไรที่นักลงทุนสามารถเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ในการลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามได้บ้าง?
null
บทเรียนจากสงครามที่เวียตนามผ่านมา มีหลายแง่มุมที่นักลงทุนสามารถเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามได้ดังนี้: 1. ความอดทนและวินัย: สงครามที่เวียตนามผ่านมานั้นยาวนานและเต็มไปด้วยความยากลำบาก เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องอาศัยความอดทน รอคอยโอกาส และลงทุนอย่างมีวินัย ไม่ใจร้อน ไม่โลภ และไม่กลัวจนเกินไป 2. กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น: กลยุทธ์ที่เวียตนามใช้ในการต่อสู้กับมหาอำนาจนั้น ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบตายตัว แต่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 3. การกระจายความเสี่ยง: เวียตนามไม่ได้พึ่งพาการรบแบบกองโจรเพียงอย่างเดียว แต่ใช้วิธีอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น การเจรจา การทูต และการสนับสนุนจากพันธมิตร เช่นเดียวกับการลงทุนที่ไม่ควรทุ่มเงินลงทุนในสินทรัพย์เพียงตัวเดียว แต่ควรกระจายความเสี่ยงในหลาย ๆ ประเภท 4. การมองหาโอกาสในวิกฤต: สงครามที่เวียตนามเผชิญนั้น เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่เวียตนามก็สามารถมองหาโอกาสจากวิกฤตได้ เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องมองหาโอกาสในการซื้อหุ้นที่มีราคาถูกในช่วงตลาดขาลง 5. การเรียนรู้และพัฒนา: เวียตนามเรียนรู้จากประสบการณ์และพัฒนาศักยภาพของตัวเองอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ พัฒนาความรู้และทักษะการลงทุน 6. การมองอนาคต: เวียตนามมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน มองไปข้างหน้า มุ่งสู่อนาคตที่ดีกว่า เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องมองอนาคต วิเคราะห์แนวโน้ม และคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจและตลาด 7. การเลือกพันธมิตร: เวียตนามเลือกพันธมิตรที่เหมาะสม เช่น สหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องเลือกบริษัทที่ลงทุนอย่างชาญฉลาด เลือกบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีอนาคต และมีการบริหารจัดการที่ดี 8. การเปิดประเทศ: เวียตนามเปิดประเทศ ต้อนรับนักลงทุนจากต่างประเทศ เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องเปิดใจ เรียนรู้จากประสบการณ์ของนักลงทุนคนอื่น ๆ และเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ 9. การเรียนรู้จากอดีต: เวียตนามเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ เรียนรู้จากสงครามที่ผ่านมา เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องเรียนรู้จากอดีต เรียนรู้จากความผิดพลาด และนำมาปรับปรุงแก้ไข 10. ความมุ่งมั่น: เวียตนามมีความมุ่งมั่นตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาชนะ เช่นเดียวกับการลงทุนที่ต้องมีความมุ่งมั่น อดทน และไม่ย่อท้อ นอกจากบทเรียนเหล่านี้แล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มเติม เช่น สภาพเศรษฐกิจของเวียตนาม นโยบายของรัฐบาล โครงสร้างพื้นฐาน และความเสี่ยงทางการเมือง อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงอยู่เสมอ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ และตัดสินใจลงทุนด้วยความระมัดระวัง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3198
Finance
นักลงทุนควรลงทุนในหุ้น ILINK เพียงเพราะมีโอกาสประมูลงานใหญ่ได้หรือไม่
null
ไม่ควร เหตุผล: การประมูลงานใหญ่มีความเสี่ยงเสมอ ไม่ได้แปลว่า ILINK จะประมูลงานได้ แม้ว่า ILINK จะประมูลงานได้ ไม่ได้แปลว่าผลประกอบการจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น ผลประกอบการที่ผ่านมา สภาพคล่องทางการเงิน กลยุทธ์ของบริษัท ฯลฯ คำอธิบายเพิ่มเติม: การประมูลงานใหญ่มีความเสี่ยงเสมอ ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการประมูลมีมากมาย เช่น คู่แข่ง ราคาที่เสนอ เงื่อนไขของงาน ฯลฯ แม้ว่า ILINK จะประมูลงานได้ ไม่ได้แปลว่าผลประกอบการจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อผลประกอบการ เช่น ต้นทุน กำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่าย ฯลฯ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น ผลประกอบการที่ผ่านมา สภาพคล่องทางการเงิน กลยุทธ์ของบริษัท ฯลฯ ตัวอย่าง: ในอดีตมีบริษัทหลายแห่งที่ประมูลงานใหญ่ได้ แต่ผลประกอบการไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คาดหวัง บริษัทบางแห่งประมูลงานใหญ่ได้ แต่ต้องลงทุนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผลกำไรลดลง บริษัทบางแห่งประมูลงานใหญ่ได้ แต่บริหารงานไม่ดี ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดทุน สรุป: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของ ILINK อย่างละเอียด พิจารณาปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านบวกและด้านลบ ก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ควรลงทุนเพียงเพราะมีโอกาสประมูลงานใหญ่ได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3199
Finance
"กฎ 72 กับการเดินทางสู่เป้าหมายทางการเงิน" มีกลยุทธ์ทางการเงินเพิ่มเติมอะไรบ้างที่นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเอาชนะอุปสรรค 2 ประการ คือ 1) ความช้าของดอกเบี้ยทบต้น และ 2) ความผันผวนของผลตอบแทน
null
กลยุทธ์ทางการเงินเพิ่มเติม 1. เพิ่มเงินลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: - นอกเหนือจากเงินออมเริ่มต้น 2 แสนบาท นักลงทุนควรหาทางเพิ่มเงินลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เช่น เพิ่มเงินออมทุกเดือน หรือลงทุนเพิ่มเติมเมื่อมีเงินก้อน - กลยุทธ์ "DCA (Dollar-Cost Averaging)" เป็นการลงทุนเงินจำนวนเท่ากันเป็นประจำทุกระยะเวลา ช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด การลงทุนในกองทุนรวมแบบ DCA ช่วยให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการเลือกหุ้นเอง 2. ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ: - กระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนต่ำกว่าหุ้น ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน - ศึกษาและเลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์เชิงลบ (Negative Correlation) กับหุ้น ช่วยลดความเสี่ยงในภาวะตลาดหุ้นตก 3. เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม: - กลยุทธ์ "Value Investing" เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง - กลยุทธ์ "Growth Investing" เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง - กลยุทธ์ "Dividend Investing" เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ - เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์การลงทุน ระยะเวลา ความเสี่ยงที่รับได้ และเป้าหมายทางการเงิน 4. ศึกษาและพัฒนาทักษะการลงทุน: - ศึกษาความรู้ด้านการเงิน การลงทุน และเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง - พัฒนาทักษะการวิเคราะห์หุ้น การจัดพอร์ต และการควบคุมความเสี่ยง - เข้าร่วมอบรม สัมมนา หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน 5. ใช้อารมณ์ร่วมในการลงทุนให้น้อยที่สุด: - ยึดหลักการลงทุนอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ ควบคุมความกลัวและความโลภ - วางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ และลงทุนอย่างมีวินัย 6. ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์: - ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ การเงิน และตลาดการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ - ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณที่เปลี่ยนแปลง - ยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น 7. ลงทุนระยะยาว: - มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว มองข้ามความผันผวนระยะสั้น - อดทนรอคอยผลตอบแทน มีวินัยและยึดมั่นในกลยุทธ์การลงทุน 8. กระจายความเสี่ยง: - กระจายเงินลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ หลายๆ ประเภท - กระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายๆ ตัว - เลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายกระจายความเสี่ยง 9. ลงทุนในกองทุนรวม: - ลงทุนในกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ - มีตัวเลือกกองทุนรวมหลากหลายประเภท - เหมาะกับนักลงทุนที่มีเวลาจำกัด หรือไม่มีความรู้ด้านการลงทุน 10. ปรึกษานักวางแผนการเงิน:
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3200
Finance
การปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารด้วยเทคโนโลยี 4.0 จะส่งผลดีต่อธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิมหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: -ต้นทุนการผลิต: การผลิตอาหารแบบดั้งเดิมใช้แรงงานคนมาก เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี 4.0 ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารแบบดั้งเดิมสูงกว่า -ประสิทธิภาพ: เทคโนโลยี 4.0 ช่วยให้การผลิตอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถผลิตอาหารได้จำนวนมากในเวลาอันสั้น ต่างจากการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้เวลานาน -ความสะอาดและความปลอดภัย: เทคโนโลยี 4.0 ช่วยให้ควบคุมกระบวนการผลิตอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าอาหารมีความสะอาดและปลอดภัยมากกว่า -ความหลากหลายของสินค้า: เทคโนโลยี 4.0 ช่วยให้สามารถผลิตอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย -การเข้าถึงผู้บริโภค: เทคโนโลยี 4.0 ช่วยให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวาง ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ตัวอย่าง: -โรงงานผลิตเกี๊ยวซ่าระบบอัตโนมัติในประเทศจีน แทบไม่ต้องใช้คนเลย แต่มีกำลังการผลิตมหาศาล -โรงงานเลี้ยงปูในสิงคโปร์ ใช้คนน้อยมาก และสามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ในการเลี้ยงปูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลกระทบต่อธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิม: -ธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิมต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากธุรกิจอาหารที่ใช้เทคโนโลยี 4.0 -ธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิมต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตและจำหน่ายอาหาร เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ -ธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิมที่มีจุดเด่นเฉพาะตัว เช่น รสชาติที่อร่อย บรรยากาศของร้าน ยังสามารถอยู่รอดได้ แต่ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย สรุป: การปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารด้วยเทคโนโลยี 4.0 ส่งผลดีต่อผู้บริโภคโดยรวม แต่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิม ธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิมต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตและจำหน่ายอาหาร เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3201
Finance
จงเขียน "สิ่งที่น่าสนใจในบัญญัติ 10 ประการของความโชคดี: เส้นทางสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์" ให้หน่อย
null
"บัญญัติ 10 ประการของความโชคดี" เป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คนมีชีวิตที่รุ่งโรจน์และสุขภาพดี ด้านล่างนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจในบัญญัติเหล่านี้: 1.ความเชื่อในตัวเอง: ความโชคดีมักเริ่มต้นจากความเชื่อและความมั่นใจในตัวเอง การเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองจะช่วยสร้างโอกาสและความสำเร็จในชีวิต 2.การอยู่ในสถานการณ์ที่ดี: การเลือกที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สร้างความสุขและความเจริญก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเลือกมีความสัมพันธ์ที่ดี, การทำงานที่ถูกใจ, และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สร้างสมดุลให้กับชีวิต 3.การเปิดรับโอกาส: ความโชคดีมักเกิดขึ้นเมื่อคุณเปิดรับโอกาสใหม่ๆ และพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น 4.การพักผ่อนและการดูแลสุขภาพ: การมีการพักผ่อนที่เพียงพอและการดูแลสุขภาพที่ดีจะช่วยเสริมความโชคดีและความสุขในชีวิต 5.การเป็นกำลังใจ: การเป็นกำลังใจแก่ผู้อื่นและการช่วยเหลือสามีสามารถสร้างความสุขและความโชคดีในชีวิตของคุณเองได้ 6.การตั้งเป้าหมาย: การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและการทำงานในทิศทางที่เข้ากันกับเป้าหมายนั้นจะช่วยเสริมความโชคดีในการบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ 7.การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง: การมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของตนเองจะช่วยเสริมความโชคดีและความสำเร็จในชีวิต 8.ความสุขในการทำงาน: การรักษาความสุขในการทำงานและการมีความสุขในการทำงานจะช่วยสร้างความโชคดีและความสุขในชีวิต 9.การมีเวลาสำหรับครอบครัวและคนรัก: การให้เวลาและความรักแก่ครอบครัวและคนรักจะช่วยสร้างความสุขและความโชคดีในชีวิต 10.การมีสติ: การมีสติและการเคลื่อนไหวอย่างสามารถช่วยให้คุณรับรู้ความสุขและความโชคดีในชีวิตทุกวันได้อย่างมีความตั้งใจ บัญญัติเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเข้าใจและเปิดรับความโชคดีในชีวิตของคุณได้อย่างเต็มที่ การปฏิบัติตามกฎข้อนี้อาจช่วยให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขและเต็มไปด้วยโอกาสและความสำเร็จ ข้อคิดที่สำคัญที่สุดคือการให้โอกาสและความสำเร็จเกิดขึ้นในชีวิตของเราโดยไม่ต้องรอให้มันเกิดขึ้นเองและการรับผิดชอบต่อความสุขของตนเองและความโชคดีที่เราต้องการที่จะเป็นในชีวิตเองให้เกิดขึ้น ดังนั้น ข้อคิดสำคัญนี้เรียนให้รับรู้ถึงความสำคัญของการกระทำเพื่อสร้างโอกาสและความโชคดีในชีวิตอย่างมีไปด้วยความตั้งใจและพยายามอย่างต่อเนื่อง และรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จต้องการให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราเองอย่างแท้จริง
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3206
Finance
ข้อแนะนำทั่วไปในการลากเส้น Trend Line คืออะไรบ้าง
null
มีข้อแนะนำทั่วไปในการลากเส้น Trend Line ที่หลังจากลากเส้น Trend Line ขึ้นมาแล้วน่าจะเป็นเส้นที่ให้ไอเดียในการเทรดที่ดี ได้แก่ 1. ควรจะ… ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุดสำหรับเส้น Trend Line ขาขึ้น และลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดสำหรับ Trend Line ขาลง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญในการลาก Trend Lind คือการระบุจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดให้ได้เสียก่อน 2. ลากเส้น Trend Line ที่เชื่อมได้แค่ 2 จุด อย่าเพิ่งดีใจ !!! เพราะ Trend Line ที่เชื่อมเพียง 2 จุดจะยังเอาไปใช้งานได้ไม่ดี เราจะให้เครดิตเป็นแค่เพียง “เส้นที่น่าจะเป็น Trend Line ในอนาคต (Tentative Trend Line)” แต่ถ้าลากเส้นเชื่อมได้ 3 จุดขึ้นไป ถึงจะเป็น”เส้น Trend Line ที่ควรให้ความสำคัญ (Valid Trend Line)” ซึ่งเอาไปใช้งานได้ดีกว่า 3. นิยมลากเส้นขนานเส้น Trend Line ควบคู่กันไปด้วย ถ้าทำได้ แต่ถ้าลากเส้นขนานเส้น Trend Line ไม่ได้ก็ไม่จำเป็น เพราะบางทีกราฟก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในกรอบระหว่างเส้น Trend Line กับเส้นขนาน Trend Line ที่ลากได้ แต่บางทีก็ไม่อยู่ในกรอบ 4. “ถ้าเป็นไปได้ ”… พยายามอย่าให้เส้น Trend Line โดนตัด เช่น เส้น Trend Line ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น พยายามลากเส้นให้ไม่มีช่วงไหนเลยที่ราคาจะต่ำกว่าเส้น Trend Line และเส้น Trend Line ในช่วงแนวโน้มขาลง ก็เหมือนกัน พยายามให้ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ราคาจะสูงกว่าเส้น Trend Line ข้อสังเกต : จะเห็นได้ว่าในบทความผมใช้คำว่า “อาจจะ” “ควรจะ” “ถ้าเป็นไปได้” จึงไม่ได้หมายความว่าต้องทำให้ได้ ดังนั้นถ้าลากเส้น Trend Line ตามคำแนะนำไม่ได้ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลากเส้น Trend Line แล้วราคามีเบรก Trend Line บ้าง วับ ๆ แวม ๆ บางช่วง แต่สามารถลากสัมผัสได้หลายจุดมากกว่าก็จะเป็นเส้น Trend Line ที่มีความน่าสนใจมากกว่า 5. “ถ้าจะให้ดี ”… จุดเริ่มต้นของ Trend Line ควรเป็นจุดสุดท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็เหมือนเดิมครับ คือ ไม่เป็นไรไม่ต้องซีเรียส
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3207
Finance
วิธีลงทุนแบบ Dollar-Cost Average (DCA) มีวัตถุประสงค์หลักอย่างไร ระหว่าง เน้นไปที่ความสม่ำเสมอในการซื้อหุ้นลงทุนมากกว่าจับจังหวะราคาซื้อขาย หรือ สร้างระบบการลงทุนแบบต่อเนื่อง
null
สร้างระบบการลงทุนแบบต่อเนื่อง เพราะวิธีลงทุนแบบ Dollar-Cost Average (DCA) มีวัตถุประสงค์หลักคือ เป็นการสร้างระบบการลงทุนแบบต่อเนื่อง ใช้เวลาในการศึกษาและติดตามไม่มาก แต่ให้ผลตอบแทนอย่างน้อยที่สุดคือ การชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว โดยใช้พื้นฐานแนวคิดและหลักการ ดังนี้ 1. หุ้น เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีสุดในระยะยาว เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ 2. ความเสี่ยงที่จะเกิดโอกาสขาดทุนในการลงทุนจะลดลง หากเลือกหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพที่ดีและถือไว้ในระยะเวลาที่ยาวนานพอ 3. หุ้น เป็นสินทรัพย์ที่ช่วยปกป้องการเสื่อมมูลค่าของเงินลงทุนจากเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดี ส่วนการเน้นไปที่ความสม่ำเสมอในการซื้อหุ้นลงทุนมากกว่าจับจังหวะราคาซื้อขาย เป็นรูปแบบของการลงทุนด้วยวิธีลงทุนแบบ Dollar-Cost Average (DCA) เพราะเชื่อว่าในระยะยาวราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปตามการเติบโตของผลประกอบการบริษัท โอกาสผิดพลาดจึงเหลืออยู่แค่เลือกซื้อหุ้นผิดตัวหรือไม่เท่านั้น ถัดมาคือ การสร้างระบบที่ไว้ใช้ลงทุนขึ้นมา ข้อดีคือ ทำให้มีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ตั้งกฏที่เอาไว้ใช้ในการตรวจสอบพอร์ทเป็นระยะๆ ขึ้นมา ป้องกันปัญหาในการใช้อารมณ์เข้ามาร่วมในการตัดสินใจ ตัวอย่างรูปแบบระบบที่ใช้ในการลงทุน 1. กระจายลงทุนในหุ้น 5 ตัวจำนวนเท่าๆกัน จำนวนเงิน xxx บาท ซื้อหุ้นทุกวันที่ 25 ทุกๆ 2 เดือน เงินปันผลที่ได้จะนำกลับมา reinvest ต่อไปเรื่อยๆ 2. หุ้นที่จะซื้อ ต้องเป็นหุ้นของบริษัทที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวตามกระแสเมกะเทรนด์ โดยทั้ง 5 ตัวกระจายอยู่ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน จดเหตุผลที่เลือกมาลงทุนไว้ให้ชัดเจน 3. ระยะเวลาในการลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี (ครบ 5 ปีแรก อาจเพิ่มเงินลงทุน โดยอาจหาหุ้นตัวใหม่มาเพิ่ม) 4. ทุกๆ 1 ปี ตรวจสอบดูคุณภาพของพื้นฐานของบริษัทว่ายังคงมีการเติบโตในทางบวกอยู่หรือไม่ กำไรสะสมควรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อ่านรายงานประจำปี ดูงบการเงิน สิ่งสำคัญเงินปันผลโดยรวมของพอร์ทควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว 5. จะขายก็ต่อเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วว่าหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มไม่เข้าเกณฑ์ตามเหตุผลในการเข้าซื้อในครั้งแรก
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3212
Finance
คุณลักษณะของเซียนหุ้น 10 ประการ มีอะไรบ้าง
null
คุณลักษณะของเซียนหุ้น 10 ประการ ได้แก่ 1. พยายามรักษาเงินต้นมากกว่ากำไร เซียนหุ้นส่วนใหญ่มักจะสนใจกับการรักษาเงินต้นมากกว่าการทำกำไร เวลาคุยเรื่องหุ้น สิ่งที่จะได้ยินเสมอคือ พวกเขาจะชอบพูดประมาณว่า P/E เท่านี้ไม่เสี่ยงเลย หรือประมาณโมเดลธุรกิจแบบนี้เสี่ยงนะเพราะ... ในสายตาเซียนหุ้นเติบโต 50% แต่มีความเสี่ยง มักจะน่าสนใจน้อยกว่าหุ้นที่เติบโตแค่ 20% แต่ไม่มีความเสี่ยงหรือเสี่ยงตํ่ามากๆ ในการลงทุนหากคุณสูญเสียเงิน 50% จะต้องลงทุนให้เติบโตถึง 100% เพื่อที่จะกลับมาเท่าทุน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เซียนเข้าใจดีในความสำคัญของการรักษาเงินต้น 2. มีหลักการที่ชัดเจนไม่เปลี่ยนไปมา เซียนจะมีหลักการที่มั่นคงและไม่เปลี่ยนไปแม้เวลาจะผ่านไป ในการลงทุนนั้นหลักการแต่ละหลักการจะมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง ซึ่งจะทำกำไรได้ดีในบางสภาวะ และอาจจะกำไรน้อยในบางสภาวะ เซียนหุ้นมักจะมองไปที่ผลตอบแทนในระยะยาวและยึดมั่นกับหลักการที่พวกเขาถนัดและมีความเชี่ยวชาญ 3. ชอบความแน่นอนไม่ชอบความเสี่ยง คำว่า High Risk High Return นั้นไม่เคยอยู่ในสารบบของเซียน พวกเขามองหาสิ่งที่เป็น Low Risk High Return และลงทุนในการลงทุนที่มีเขามีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน มีโอกาสชนะมากกว่าแพ้เป็นอัตราที่สูง 4. พิจารณาด้วยตนเองอย่างลึกซึ้ง เซียนมักจะพิจารณาและวิเคราะห์ด้วยตนเองอย่างสมํ่าเสมอ แม้เขาจะได้ฟังมาจากเพื่อนคนอื่นๆ แต่ก็จะนำกลับมาคิดวิเคราะห์อีกครั้ง โดยไม่ตัดสินใจจากข้อมูลที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ด้วยตนเอง หากการลงทุนนั้นไม่เข้าเงื่อนไขของตัวเขาเอง หรือไม่สบายใจที่จะลงทุน แม้หุ้นตัวนั้นจะดูเหมือนมีศักยภาพในการเติบโต แต่พวกเขาก็มักจะปล่อยมันไป 5. ไม่กระจายความเสี่ยงจนเกินไป แม้เซียนหุ้นจะมีหุ้นหลายตัวอยู่ใน Port แต่เซียนมักจะมีหุ้นทีเด็ดที่ลงทุนหนักๆอยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น และหุ้นทีเด็ดเหล่านี้ที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา พวกเขามักจะไม่กระจายการลงทุนมากเกินไปและโฟกัสเงินและเวลาอยู่กับการลงทุนที่พวกเขาคิดว่าสมเหตุผลและมีความเสี่ยงตํ่า 6. มีสภาวะอารมณ์อันมั่นคง ความผันผวนของอารมณ์ไม่เคยเป็นปัญหาของเหล่าเซียน พวกเขามี EQ ที่สูงพอและมีความมั่นคงในด้านอารมณ์อย่างโดดเด่น พวกเขาสามารถรอคอยอย่างไม่จำกัด ถ้ายังไม่เจอโอกาสที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันหากมีโอกาสดีๆ เข้ามาพวกเขาพร้อมที่จะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว 7. ยอมรับความผิดพลาดและแก้ไขอย่างรวดเร็ว สี่ขายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แม้เซียนจะเป็นเซียน แต่พวกเขาก็ผิดพลาดได้ ในยามที่ผิดพลาดพวกเขาพร้อมที่ยอมรับความผิดพลาด แก้ไขโดยเร็ว เรียนรู้ความผิดพลาดนั้นๆ และนำไปพัฒนาวิธีการลงทุนของพวกเขา 8. มีเหตุผลที่ชัดเจน เซียนหุ้นมักจะมีความชัดเจนในเหตุผลของการลงทุน พวกเขารู้ว่าเขาซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะเหตุใดเป็นเหตุผลหลักและอะไรเป็นประเด็นรอง พวกเขาเข้าใจปัจจัยที่จะเข้ามากระทบตัวหุ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว 9. รักการลงทุนเป็นชีวิตจิตใจ เซียนหุ้นมักจะบ้าหุ้น พวกเขาชอบการลงทุนในหุ้นเป็นชีวิตจิตใจ หายใจเข้าเป็นหุ้น หายใจออกเป็นหุ้น และจะมีความสุขมากๆถ้าได้ถกหุ้นกันอย่างมีเหตุมีผล พวกเขามักจะเปิดกว้างและรับฟังแม้จะเป็นความคิดที่เห็นต่างก็ตาม 10. ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย สำหรับเซียนหุ้น เงินนั้นถือว่ามีค่ามากๆ และเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขายังทำในสิ่งที่พวกเขารักได้นั่นก็คือการลงทุน ความสุขของพวกเขามักจะเรียบง่าย ดังนั้น มักจะเห็นเซียนหุ้นหลายๆ คนใช้ชีวิตธรรมดาๆ ไม่ฟุ่มเฟือย อีกนัยนึงคือ พวกเขาเหล่านั้นเข้าใจถึงคุณค่าของเงินเป็นอย่างดี จึงมีการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3213
Finance
การใช้เทคนิคการ "ค้นหา Trade Setup" จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของเทรดเดอร์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การคัดกรองหุ้นที่มีโอกาสชนะสูง: เทคนิคการ "ค้นหา Trade Setup" มุ่งเน้นไปที่การหาหุ้นที่มี Trend ขาขึ้น และมีแนวรับที่แข็งแรง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้น การเข้าซื้อหุ้นในจุดที่มีความเสี่ยงต่ำ: การหา Trade Setup บนแนวรับ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าซื้อหุ้นได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด การเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด: การใช้เทคนิคนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหาจุดเข้าซื้อและจุดออกขายที่ชัดเจน การลดความเสี่ยง: การเทรดตาม Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุน การเพิ่มผลกำไร: การเทรดอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ ย่อมนำไปสู่ผลกำไรที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่าง: เทรดเดอร์ A ใช้เทคนิคการ "ค้นหา Trade Setup" โดยหาหุ้นที่มี Trend ขาขึ้น และมีแนวรับที่แข็งแรง เทรดเดอร์ A ซื้อหุ้น XYZ ในราคา 100 บาท เมื่อราคาหุ้น XYZ ขึ้นไปถึง 110 บาท เทรดเดอร์ A ขายหุ้น XYZ กำไร 10 บาท เทรดเดอร์ B ไม่ใช้เทคนิคการ "ค้นหา Trade Setup" เทรดเดอร์ B ซื้อหุ้น ABC ในราคา 100 บาท แต่ราคาหุ้น ABC ลงไปที่ 90 บาท เทรดเดอร์ B ขาดทุน 10 บาท ข้อควรระวัง: เทคนิคการ "ค้นหา Trade Setup" เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเทรดเดอร์ ไม่ได้เป็นตัวรับประกันความสำเร็จ เทรดเดอร์ควรศึกษาและฝึกฝนการใช้เทคนิคนี้จนเข้าใจอย่างถ่องแท้ เทรดเดอร์ควรมีกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ดี สรุป: การใช้เทคนิคการ "ค้นหา Trade Setup" เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถค้นหาหุ้นที่มีโอกาสชนะสูง เพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด ลดความเสี่ยง และเพิ่มผลกำไร อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าเทคนิคนี้ไม่ได้รับประกันความสำเร็จ และควรใช้ร่วมกับกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงอื่นๆ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3215
Finance
ปริมาณการซื้อขายของแท่งเทียนแต่ละแท่งเป็นอย่างไร
null
ปริมาณการซื้อขายของแต่ละแท่งเทียนเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้บอกว่าในแท่งเทียนแต่ละแท่งนั้น มีคนให้ความสนใจหรือเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อขายมากหรือน้อย แท่งเทียนที่มีปริมาณการซื้อขายที่มากเป็นตัวบอกว่ามีคนสนใจเข้าร่วมซื้อขายจำนวนมาก จึงช่วยเสริมความมั่นใจและเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์ทิศทางของราคามากยิ่งขึ้น ส่วนแท่งเทียนที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยบ่งบอกว่ามีคนสนใจเข้ามามีส่วนร่วมน้อย จึงมีความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์ทิศทางของราคาน้อย ให้ระมัดระวังในการแปลผลหรือให้หลีกเลี่ยง ตัวอย่างการวิเคราะห์แท่งเทียนร่วมกับปริมาณการซื้อขาย ได้แก่ 1 แท่งเทียนที่มีขนาดยาวและปริมาณการซื้อขายมาก แสดงว่ามีคนสนใจหรือเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อขายเป็นจำนวนมากภายในแท่งเทียนนั้น จึงช่วยเสริมความมั่นใจในการสรุปผลระหว่างแรงซื้อกับแรงขายของแท่งนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราพบแท่งเทียนที่เป็นแท่งโปร่ง (แท่งสีเขียว) ขนาดยาว และราคาปิดอยู่ในช่วง ⅓ ด้านบน พร้อมกับปริมาณการซื้อขายมาก ๆ สามารถสรุปได้อย่างมั่นใจว่า แท่งเทียนแท่งนั้นแรงซื้อชนะแรงขาย และเป็นแท่งเทียนที่บอกถึงทิศทางขาขึ้น หรือ ถ้าเราพบแท่งเทียนที่เป็นแท่งทึบ (แท่งสีแดง) ขนาดยาว และราคาปิดอยุ่ในช่วง ⅓ ด้านล่าง พร้อมกับปริมาณการซื้อขายมาก ๆ เราก็สามารถสรุปได้อย่างมั่นใจว่า แท่งเทียนแท่งนั้นแรงขายชนะแรงซื้อ และเป็นแท่งเทียนที่บอกถึงทิศทางขาลง 2 แท่งเทียนที่มีขนาดยาวแต่มีปริมาณการซื้อขายน้อย แสดงว่ามีคนสนใจเข้ามามีส่วนร่วมน้อย ให้ระมัดระวัง เช่น ถ้าเราพบแท่งเทียนที่เป็นแท่งโปร่งขนาดยาว แต่มีปริมาณการซื้อขายน้อย ให้เราระวังว่าการที่ราคาเพิ่มขึ้นนี้อาจจะไม่ยั่งยืนเป็นการขึ้นแบบหลอก ๆ เพราะราคาที่เพิ่มขึ้นฝั่งซื้อก็เก็บของได้จำนวนไม่มาก ส่วนฝั่งขายก็ยังขายก็ยังขายของออกมาเพียงนิดเดียว ดังนั้นถ้าราคามีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ฝั่งซื้อก็อาจจะไม่ค่อยอยากไล่ราคาเพราะไม่มีของต้นทุนต่ำในมือ แต่ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นจะจูงใจให้ฝั่งขายที่ยังมีของเหลืออยู่มากก็อาจจะเริ่มสนใจขายมากขึ้น เป็นต้น 3 แท่งเทียนที่มีขนาดสั้นแต่ปริมาณการซื้อขายมาก การที่มีคนเข้ามามีส่วนร่วมมากๆ ในราคาช่วงแคบ ๆ แสดงให้เห็นว่ากำลังมีแรงซื้อเป็นจำนวนมาก และมีแรงขายทิ้งออกมาเป็นจำนวนมาก ด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้มีซื้อขายเปลี่ยนมือเยอะ ดังนั้นจึงเป็นแท่งเทียนที่มีความน่าสนใจ ว่าในอนาคตถ้าฝั่งซื้อหรือฝั่งขายเริ่มหมดแรงและยอมตัดสินใจเลือกให้ราคาเคลื่อนที่ไปข้างใดข้างหนึ่ง ราคาก็อาจจะมีการเคลื่อนที่ขึ้นแรง หรือลงอย่างรวดเร็ว 4 แท่งเทียนที่มีขนาดสั้นและมีปริมาณการซื้อขายน้อย แปลว่าไม่มีคนสนใจ หรือ มีคนสนใจน้อยและซื้อขายกันในช่วงแคบๆ ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากนัก
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3218
Finance
นักลงทุนควรลงทุนในกองทุน Wellington Management Portfolios (Luxembourg) – Global Opportunities Equity Portfolio เพียงกองเดียวเพื่อกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทนระยะยาวหรือไม่?
null
ไม่ควร เหตุผล: 1. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง: กองทุน Wellington Management Portfolios (Luxembourg) – Global Opportunities Equity Portfolio ลงทุนในหุ้นทั่วโลก ซึ่งอาจมีความเสี่ยงจากสภาพคล่องมากกว่าการลงทุนในหุ้นไทย หมายความว่า นักลงทุนอาจขายหน่วยลงทุนได้ยากในบางสถานการณ์ 2. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: กองทุน Wellington Management Portfolios (Luxembourg) – Global Opportunities Equity Portfolio ลงทุนในสกุลเงินต่างประเทศ หมายความว่า ผลตอบแทนของกองทุนอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน 3. ความเสี่ยงจากความเข้มข้น: กองทุน Wellington Management Portfolios (Luxembourg) – Global Opportunities Equity Portfolio ลงทุนในหุ้นจำนวนจำกัด หมายความว่า ผลตอบแทนของกองทุนอาจได้รับผลกระทบจากผลการดำเนินงานของบริษัทเพียงไม่กี่แห่ง 4. ความเสี่ยงจากกลยุทธ์การลงทุน: กองทุน Wellington Management Portfolios (Luxembourg) – Global Opportunities Equity Portfolio ลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ Active Management ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่ากลยุทธ์ Passive Management 5. ความเสี่ยงจากผู้จัดการกองทุน: ผลตอบแทนของกองทุน Wellington Management Portfolios (Luxembourg) – Global Opportunities Equity Portfolio ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุน 6. ค่าธรรมเนียม: กองทุน Wellington Management Portfolios (Luxembourg) – Global Opportunities Equity Portfolio มีค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูงกว่ากองทุน Passive Management ข้อเสนอแนะ: - นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมหลายประเภท เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนรวมผสม และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ - นักลงทุนควรเลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3221
Finance
กลุ่มคนที่ชอบเล่นหุ้นตัวเล็กๆ เช่น กลุ่ม mai แล้วอัดมาร์จิ้นเยอะๆ ใช้แนวคิดว่าอย่างไร
null
กลุ่มคนที่ชอบเล่นหุ้นตัวเล็กๆ เช่น กลุ่ม mai แล้วอัดมาร์จิ้นเยอะๆ ใช้แนวคิดว่า “ไม่เป็นไรเดี่ยวมีคนเห็น value หุ้นก็ขึ้นเอง” ซึ่งในภาวะปกติก็ไม่เป็นไร แต่หากเกิดวิกฤติ เช่น Subprime พอร์ตการลงทุนก็อาจติดลบหนักกว่าตลาด ที่ติดลบหนักไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าหุ้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด แต่เป็นเพราะว่า “ถึงรู้ก็ออกไม่ได้” จึงนำมาซึ่งข้อสรุปบางอย่างว่า “ถ้าจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยๆ แล้วคิดว่าสุดท้ายต้องมีสภาพคล่อง” นั่นเป็นการมองว่า จะต้องคิดถูกแน่นอนและสุดท้ายหุ้นตัวนั้นต้องขึ้น และสภาพคล่องต้องมา ซึ่งบนโลกของความเป็นจริง ไม่มีใครที่คิดถูกตลอดเวลา จริงๆ แล้ว “การที่หุ้นมีสภาพคล่องเยอะๆ เป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาดในกรณีที่คิดผิด” จะได้ไม่ต้อง Discount ราคาหุ้นลงไปจากราคาปัจจุบันเยอะมาก และสำหรับนักลงทุนที่ยิ่งเล่นหุ้นมานาน ถ้าเล่นแล้วกำไรต่อเนื่อง พอร์ตการลงทุนก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากที่เล่นแล้วไม่เคยมีปัญหาด้านสภาพคล่องเพราะพอร์ตเล็ก แต่พอพอร์ตใหญ่ขึ้น ก็จะเริ่มมีปัญหาด้านสภาพคล่องขึ้นมา ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ควรจะหาวิธีปรับตัวกับขนาดพอร์ตที่ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่จะเล็กจะใหญ่ก็อัดจิ้นกับหุ้นตัวเล็กๆ ตลอดเวลา แบบนี้คิดว่าไม่ใช่วิธีการที่คำนึงถึงผลตอบแทนเปรียบเทียบความเสี่ยง แต่เป็นการคำนึงแต่ด้านของผลตอบแทน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3222
Finance
การอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมีต้นทุนแฝงอยู่สูง
null
ใช่ 1. ต้นทุนทางการเงิน: ราคาหนังสือ: หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนบางเล่มมีราคาสูง ค่าธรรมเนียมการจัดส่ง: หากซื้อหนังสือออนไลน์ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง: หากซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือ 2. ต้นทุนทางเวลา: เวลาที่ใช้ในการอ่าน: หนังสือบางเล่มอ่านจบได้ในเวลาสั้น แต่บางเล่มอาจต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เวลาที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม: เนื้อหาในหนังสือบางเล่มอาจไม่ครบถ้วน จำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น เวลาที่เสียไปกับหนังสือที่ไม่ดี: หนังสือบางเล่มอาจมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง ล้าสมัย หรือไม่ตรงกับความต้องการของผู้อ่าน 3. ต้นทุนทางความคิด: ความเสี่ยงในการรับข้อมูลที่ผิด: หนังสือบางเล่มอาจเขียนโดยผู้เขียนที่ไม่มีความรู้หรือประสบการณ์จริง ความเสี่ยงในการถูกโน้มน้าว: หนังสือบางเล่มอาจเขียนเพื่อโน้มน้าวผู้อ่านให้เชื่อในแนวคิดหรือกลยุทธ์การลงทุน specific ความเสี่ยงในการสูญเสียความมั่นใจ: การอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมากเกินไปอาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกท้อแท้หรือสูญเสียความมั่นใจ 4. ต้นทุนทางโอกาส: เวลาที่เสียไปกับการอ่านหนังสือ: เวลาที่ใช้ในการอ่านหนังสือ could have been used for other activities such as working, exercising, or spending time with family and friends. โอกาสที่พลาดไป: could have missed out on other investment opportunities by spending time reading about investments. อย่างไรก็ตาม การอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนก็มีข้อดีอยู่หลายประการ เช่น: ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน พัฒนาทักษะการวิเคราะห์ เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น ค้นหาแนวคิดและกลยุทธ์การลงทุนใหม่ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้: เนื้อหาของหนังสือ: เนื้อหาตรงกับความต้องการและระดับความรู้ของผู้อ่านหรือไม่ ผู้เขียน: ผู้เขียนมีความรู้และประสบการณ์ในด้านการลงทุนหรือไม่ รีวิว: รีวิวจากผู้อ่านอื่นเป็นอย่างไร ราคา: ราคาของหนังสือสมเหตุสมผลหรือไม่ โดยสรุป การอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ควรพิจารณาต้นทุนแฝงต่างๆ ก่อนตัดสินใจซื้อหนังสือ
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3227
Finance
หุ้น FAANG ทั้ง 5 ตัว ธุรกิจประเภทใดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุดในอนาคต และทำไม?
null
ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุดในอนาคต หุ้น FAANG ทั้ง 5 ตัว ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุดในอนาคต ได้แก่ 1. Cloud Computing (คลาวด์คอมพิวติ้ง) ตัวอย่าง: Google Cloud (Alphabet) AWS (Amazon) เหตุผล: การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลของธุรกิจต่างๆ การใช้ข้อมูลและ AI เพิ่มมากขึ้น ความต้องการความยืดหยุ่นและ scalability ของระบบ IT 2. Metaverse (เมตาเวิร์ส) ตัวอย่าง: Meta (Facebook) เหตุผล: การพัฒนาเทคโนโลยี VR/AR การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค โอกาสใหม่ทางธุรกิจ 3. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตัวอย่าง: Meta (Facebook) Google (Alphabet) เหตุผล: การใช้งาน AI ในหลายอุตสาหกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ความต้องการระบบอัตโนมัติ 4. บริการสตรีมมิ่ง (Streaming) ตัวอย่าง: Netflix Apple TV+ (Apple) เหตุผล: การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ความนิยมในการรับชมคอนเทนต์ออนไลน์ การพัฒนาเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง 5. ธุรกิจแบบ Subscription (สมัครสมาชิก) ตัวอย่าง: Amazon Prime (Amazon) Apple Music (Apple) เหตุผล: - ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบาย - โมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ - โอกาสในการขยายฐานลูกค้า ปัจจัยที่ต้องพิจารณา - การแข่งขันในตลาด - การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี - สภาพเศรษฐกิจ - กฎระเบียบ ข้อควรระวัง - การลงทุนมีความเสี่ยง - ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต - ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ คำแนะนำ - กระจายความเสี่ยง - ลงทุนระยะยาว - ศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่าง - นักลงทุนที่สนใจลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ควรศึกษาข้อมูลของ Google Cloud และ AWS - นักลงทุนที่สนใจลงทุนในธุรกิจ Metaverse ควรศึกษาข้อมูลของ Meta (Facebook) - นักลงทุนที่สนใจลงทุนในธุรกิจ AI ควรศึกษาข้อมูลของ Meta (Facebook) และ Google (Alphabet)
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3228
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนเช่นนี้ นักลงทุนควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการลงทุนในกองทุน AFMOAT-HA ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีปราการแข็งแกร่ง?
null
กลยุทธ์การลงทุนในกองทุน AFMOAT-HA ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน: 1. เน้นการลงทุนระยะยาว: ธุรกิจที่มีปราการแข็งแกร่งมักมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว มองข้ามความผันผวนระยะสั้น เน้นไปที่ผลตอบแทนระยะยาว กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ 2. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในกองทุน AFMOAT-HA เพียงอย่างเดียว กระจายเงินลงทุนในกองทุนประเภทอื่นๆ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ 3. ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: ทำความเข้าใจนโยบายการลงทุนของกองทุน AFMOAT-HA วิเคราะห์ความเสี่ยงของกองทุน เปรียบเทียบผลตอบแทนกับกองทุนอื่นๆ 4. ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์: ตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุน AFMOAT-HA อยู่เสมอ ปรับสัดส่วนการลงทุนตามความเหมาะสม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพิ่มเติม: กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging): ลงทุนเงินจำนวนเท่าๆ กันเป็นประจำ กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง: การใช้ Stop-Loss การซื้อ Options ตัวอย่าง: ลงทุนในกองทุน AFMOAT-HA 70% ลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนไทย 20% ลงทุนในทองคำ 10% คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การลงทุนในกองทุน AFMOAT-HA ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน นักลงทุนควรเน้นการลงทุนระยะยาว กระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3230
Finance
หุ้น MATANA มีแหล่งรายได้จากที่ไหนบ้างในช่วง Q2/23
null
ในช่วง Q2/23 หุ้น MATANA มีแหล่งรายได้ ดังนี้ 1) Microsoft มีรายได้ 56.2 พันล้านเหรียญ (กำไรสุทธิ 20.1 พันล้านเหรียญ) 1.1) Productivity and Business Processes เช่น Office 365 และ LinkedIn – 18.3 พันล้านเหรียญ 1.2) Intelligent Cloud เช่น Microsoft Azure – 24 พันล้านเหรียญ 1.3) Intelligent Cloud เช่น Microsoft Azure – 24 พันล้านเหรียญ 2) Apple มีรายได้ 81.8 พันล้านเหรียญ (กำไรสุทธิ 19.9 พันล้านเหรียญ) 2.1) iPhone 39.7 พันล้านเหรียญ 2.2) Mac 6.8 พันล้านเหรียญ 2.3) iPad 5.8 พันล้านเหรียญ 2.4) Other เช่น Apple Watch, AirPods & etc. 8.3 พันล้านเหรียญ 2.5) Services เช่น App Store, Apple Pay, Apple Card, Apple TV+, Apple Music และ iCloud – 21.2 พันล้านเหรียญ 3) Tesla มีรายได้ 24.9 พันล้านเหรียญ (กำไรสุทธิ 2.7 พันล้านเหรียญ) 3.1) Automotive จากการส่งมอบรถทั้ง 4 โมเดลรวม 890,000 คัน – 21.3 พันล้านเหรียญ 3.2) Energy generation and storage – 1.5 พันล้านเหรียญ 3.3) Services – 2.2 พันล้านเหรียญ 4) Alphabet มีรายได้ 74.6 พันล้านเหรียญ (กำไรสุทธิ 18.4 พันล้านเหรียญ) 4.1) Google Search & other – 42.6 พันล้านเหรียญ 4.2) Google Network ads เช่น AdWords และ AdSense/AdMob – 7.9 พันล้านเหรียญ 4.3) YouTube ads – 7.7 พันล้านเหรียญ 4.4) Google Other เช่น Youtube Premium, Google Play และโทรศัพท์ Google Pixel – 8.1 พันล้านเหรียญ 4.5) Google Cloud – 8 พันล้านเหรียญ 4.6) Other Business – โปรเจ็กต์สตาร์ตอัป เช่น Access, Calico, CapitalG, GV, Nest, Verily และ Waymo – 2.9 ร้อยล้านเหรียญ 5) Nvidia มีรายได้ 13.5 พันล้านเหรียญ (กำไรสุทธิ 6.2 พันล้านเหรียญ) 5.1) Data Center – 10.3 พันล้านเหรียญ 5.2) Gaming – 2.5 พันล้านเหรียญ 5.3) Professional Visualization – 3.8 ร้อยล้านเหรียญ 5.4) Automotive – 2.5 ร้อยล้านเหรียญ 6) Amazon มีรายได้ 134.4 พันล้านเหรียญ (กำไรสุทธิ 6.8 พันล้านเหรียญ) 6.1) Online stores เช่น Amazon.com – 53 พันล้านเหรียญ 6.2) Physical stores เช่น Amazon Books, Amazon 4-star และ Amazon Go – 5 พันล้านเหรียญ 6.3) Third-party seller services – 32.3 พันล้านเหรียญ 6.4) Subscription services เช่น Amazon Prime, Kindle Unlimited – 9.9 พันล้านเหรียญ 6.5) Advertising services เช่น Amazon Advertising และ Twitch – 10.7 พันล้านเหรียญ 6.6) AWS – 22.1 พันล้านเหรียญ 6.7) Other – 1.3 พันล้านเหรียญ
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3232
Finance
การเกิด Government Shutdown ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: สถิติในอดีต: จากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1981 ถึงปี 2018 ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงเพียง 3 ครั้งจาก 15 ครั้งที่มีการเกิด Government Shutdown ตัวอย่าง: ในปี 2018 ดัชนี S&P 500 ปรับตัว เพิ่มขึ้น 9.3% แม้จะเกิด Government Shutdown ในปี 2013 ดัชนี S&P 500 ปรับตัว เพิ่มขึ้น 32.4% การวิเคราะห์: การเกิด Government Shutdown มักส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น ตลาดหุ้นมักมองไปข้างหน้า และอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ระยะสั้น ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น เช่น นโยบายการเงิน ผลประกอบการของบริษัท สถานการณ์เศรษฐกิจโลก มักมีอิทธิพลมากกว่า ข้อจำกัด: ข้อมูลในอดีตอาจไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลลัพธ์ในอนาคต ผลกระทบต่อตลาดหุ้นอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระยะเวลา ความรุนแรง และสาเหตุของการเกิด Government Shutdown สรุป: จากข้อมูลในอดีต การเกิด Government Shutdown ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติม เพิ่มเติม: นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงของเงินลงทุน ไม่ควรลงทุนโดยอิงจากเหตุการณ์ระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3233
Finance
จากข้อมูลหุ้น S&P 500 ที่เคยสร้างผลตอบแทนเกิน 100% ในแต่ละปี พบว่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยี อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าบริษัทในกลุ่มอื่นๆ?
null
มีหลายปัจจัยที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าบริษัทในกลุ่มอื่นๆ ดังนี้: 1. ความสามารถในการขยายธุรกิจ: เทคโนโลยีมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ บริษัทเทคโนโลยีสามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ทั่วโลกได้อย่างง่ายดายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และสามารถจำลองผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. อัตราการเติบโต: บริษัทเทคโนโลยีมีแนวโน้มที่จะเติบโตเร็วกว่าบริษัทในกลุ่มอื่น ๆ เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ ทำให้บริษัทเหล่านี้มีโอกาสสร้างรายได้และผลกำไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ 3. โมเดลธุรกิจ: โมเดลธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยีหลาย ๆ แห่งนั้น เน้นการลงทุนในช่วงแรกและสร้างรายได้มหาศาลในภายหลัง เมื่อโมเดลธุรกิจเริ่มทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทเหล่านี้จะสามารถสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและผลกำไรที่สูง 4. มูลค่าที่ไม่จับต้องได้: บริษัทเทคโนโลยีหลาย ๆ แห่งมีมูลค่าที่ไม่จับต้องได้ เช่น แบรนด์ ชื่อเสียง ทรัพย์สินทางปัญญา และฐานข้อมูลลูกค้า มูลค่าเหล่านี้สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและช่วยให้บริษัทเหล่านี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า 5. การเก็งกำไร: นักลงทุนมักเก็งกำไรในหุ้นเทคโนโลยีมากกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ มักมีศักยภาพในการเติบโตสูง การเก็งกำไรนี้สามารถส่งผลให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีมีการผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องพิจารณา: การแข่งขันที่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี กฎระเบียบใหม่ สภาพเศรษฐกิจ ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ข้อควรระวัง: ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลาย ๆ กลุ่ม นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3234
Finance
แนะนำ กองทุน KKP GNP-H-SSF ให้หน่อย
null
รายละเอียดกองทุน KKP GNP-H-SSF ลงทุนในหุ้นสามัญทั่วโลกของบริษัทที่มีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศของโลกในอนาคต จุดเด่น กองทุนมี Correlation กับหุ้นโลก ACWI ในระยะยาว มีสไตล์การลงทุน ที่สร้าง Alpha ในระยะยาวได้เหนือดัชนีชี้วัดต่อเนื่อง โดยที่มีความผันผวนต่ำกว่า Active Fund หลายกองทุน มีมุมมองการลงทุนในระยะยาว Turnover เฉลี่ยของกองเพียง 25% ถือครองหุ้นมากกว่า 5 ปีกว่า 60% ของพอร์ต กองทุนมีการเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ในแต่ละอุตสาหกรรม ไม่ได้มี High Conviction มากเกินไปจนทำให้กองทุนมีการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมผิดเพี้ยนไปจาก Index ทำให้ได้ Alpha มาจากการเลือกหุ้นที่เป็นผู้ชนะในตลาดจริง ๆ ลงทุนขั้นต่ำ - ครั้งแรก: 100 บาท - ครั้งถัดไป: 100 บาท ค่าธรรมเนียม - ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee): ยกเว้น - ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee): ยกเว้น ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม: 1.7530% สัดส่วนสินทรัพย์หลัก 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2566) - ASML 2.1% - Broadcom 1.9% - Alphabet 1.6% - Eli Lilly 1.4% - AstraZeneca 1.4% นโยบายการลงทุน เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Capital Group New Perspective Fund, Class P (USD)โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3236
Finance
ดัชนี SET กับดัชนี SET50 ต่างกันอย่างไร
null
ดัชนี SET และดัชนี SET50 เป็นดัชนีราคาหุ้นที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่มีเกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นที่ต่างกัน ดัชนี SET เป็นการรวมหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ไม่จำกัดมูลค่าตลาดหรือจำนวนหุ้น) คิดเป็นสัดส่วน 100% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมด ดัชนี SET50 เป็นการรวมหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 อันดับแรก (ไม่จำกัดจำนวนหุ้น) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมด ดังนั้น ดัชนี SET จึงสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นไทย ในขณะที่ดัชนี SET50 สะท้อนภาพรวมของหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง ตัวอย่าง: สมมติว่า ณ วันที่ 31 มกราคม 2567 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท หากดัชนี SET อยู่ที่ 1,400 จุด หมายความว่า ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยของทุกหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ 14 บาท หากดัชนี SET50 อยู่ที่ 1,000 จุด หมายความว่า ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยของหุ้นขนาดใหญ่ 50 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ 100 บาท จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 400 จุด ในขณะที่ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้น 200 จุด หมายความว่า หุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ดัชนี SET และดัชนี SET50 สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนต้องการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง ดัชนี SET50 จะเป็นข้อมูลที่น่าสนใจกว่าดัชนี SET
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3240
Finance
กลยุทธ์ IO3 เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1.กลยุทธ์ IO3 เน้นการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในธุรกิจ งบการเงิน และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนักลงทุนมือใหม่มักยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ 2.กลยุทธ์ IO3 มุ่งเน้นไปที่หุ้น Undiscover ซึ่งหมายถึงหุ้นที่นักวิเคราะห์ยังไม่ค่อยติดตาม ข้อมูลข่าวสารอาจมีจำกัด การวิเคราะห์จึงยากและมีความเสี่ยงสูง 3.กลยุทธ์ IO3 เน้นการลงทุนระยะยาว นักลงทุนมือใหม่ อาจยังไม่มีความอดทนรอคอยผลตอบแทน และอาจใจร้อนขายหุ้นเมื่อราคาหุ้นผันผวน 4.กลยุทธ์ IO3 ไม่ได้รับประกันผลตอบแทน ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัท และความผันผวนของตลาดหุ้น ข้อแนะนำสำหรับนักลงทุนมือใหม่ 1.เริ่มต้นศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุน 2.ฝึกฝนการวิเคราะห์หุ้น 3.ลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง 4.กระจายความเสี่ยง 5.ลงทุนระยะยาว 6.ศึกษาและเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย 7.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ สรุป กลยุทธ์ IO3 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจ งบการเงิน และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างลึกซึ้ง นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษา ฝึกฝน และเริ่มต้นลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ก่อนที่จะลองใช้กลยุทธ์ IO3
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3241
Finance
"อย่าสวนตลาด" อยากทราบว่าทำไมการสวนตลาดในช่วงขาขึ้นจึงเป็นอันตราย และมีกลยุทธ์อะไรบ้างที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการสวนตลาด
null
การสวนตลาดในช่วงขาขึ้นนั้นมีความเสี่ยงสูง สาเหตุหลักๆ มีอยู่ 3 ประการ 1. แรงกดดันจากตลาดขาขึ้น: ในช่วงขาขึ้น แรงซื้อจากนักลงทุนจะดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. การสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น: การ Short Sell 3. โอกาสในการทำกำไรที่จำกัด กลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการสวนตลาด 1. รอให้สัญญาณขาขึ้นอ่อนแอลง 2. เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอ 3. ใช้กลยุทธ์ Option Selling 4. ใช้ Stop Loss 5. ลงทุนในสินทรัพย์อื่น สรุป: การสวนตลาดในช่วงขาขึ้นนั้นมีความเสี่ยงสูงนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยง นักลงทุนอาจรอให้สัญญาณขาขึ้นอ่อนแอลงเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอใช้กลยุทธ์ Option Selling ใช้ Stop Loss ลงทุนในสินทรัพย์อื่น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการสวนตลาดเพิ่มเติม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และลองใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในบัญชี Demo ก่อนลงทุนด้วยเงินจริง เพิ่มเติม: - นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะตลาด - วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น - เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง - ควบคุมความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3242
Finance
การติดดอยหุ้น เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงเสมอหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การติดดอยสร้างผลตอบแทนที่ต่ำ: จากสถิติของตลาดหุ้นไทย พบว่าหุ้นที่ติดดอยมีโอกาสน้อยมากที่จะกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ (Highest High) อีกครั้ง โดยเฉลี่ยแล้ว หุ้นที่ติดดอยมานานกว่า 10 ปี มีโอกาสขาดทุนมากกว่า 90% การติดดอยสร้างความเสี่ยง: หุ้นที่ติดดอย มักมีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานจริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าราคาจะกลับมาที่มูลค่าพื้นฐานเสมอไป ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้ราคาหุ้นร่วงลงต่อได้ เช่น ปัญหาภายในบริษัท สภาพเศรษฐกิจ ฯลฯ การติดดอยจำกัดโอกาส: เงินที่ติดดอยอยู่ในหุ้น 1 ตัว หมายความว่าเงินจำนวนนั้นไม่สามารถนำไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าได้ การติดดอยสร้างความเครียด: การเห็นพอร์ตขาดทุนอย่างหนัก ส่งผลต่อสุขภาพจิตและสร้างความเครียดให้นักลงทุน อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกรณีที่นักลงทุนอาจตัดสินใจ "ยอมติดดอย" ได้ เช่น มั่นใจว่าบริษัทมีพื้นฐานดี: หากนักลงทุนมั่นใจว่าบริษัทมีพื้นฐานดี มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีโอกาสเติบโตในอนาคต การติดดอยอาจเป็นเพียงระยะสั้น และราคาหุ้นมีโอกาสกลับมา ต้องการกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนบางกลุ่ม อาจเลือกกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนสูง (High Volatility) ซึ่งมีความเสี่ยงสูง มีโอกาสทั้ง "ติดดอย" และ "เด้งแรง" ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น: นักลงทุนบางกลุ่ม อาจใช้กลยุทธ์เก็งกำไรระยะสั้น ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำ รอให้ราคาเด้งแล้วขายออก โดยไม่สนใจว่าจะติดดอยหรือไม่ แต่ การติดดอย ควรเป็น "ทางเลือกสุดท้าย" ที่นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังนั้น นักลงทุนควรมีกลยุทธ์ในการจัดการกับ "ดอย" ดังนี้ ตั้งจุด Cut Loss: กำหนดจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจน เพื่อจำกัดการขาดทุน กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหลาย ๆ ตัว ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน มีวินัย: ปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่วางไว้ ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การติดดอย เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนมีโอกาสเจอ สิ่งสำคัญคือ นักลงทุนควรมี "สติ" และ "วินัย" ในการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ สรุป: การติดดอยหุ้น เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงเสมอ
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3243
Finance
"โลกในมุมมองของ Value Investor" นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง และควรนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร?
null
ปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณา: ความรู้ความเข้าใจ: นักลงทุนควรมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับตลาดการเงิน ประเภทของสินทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เป้าหมายทางการเงิน: นักลงทุนควรมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน ระบุระยะเวลา ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และผลตอบแทนที่คาดหวัง วินัย: นักลงทุนควรมีวินัยในการลงทุน ยึดมั่นในกลยุทธ์ที่เลือก ไม่ตื่นกลัวหรือโลภต่อความผันผวนของตลาด อารมณ์: นักลงทุนควรควบคุมอารมณ์ ไม่ตัดสินใจลงทุนด้วยอารมณ์ความรู้สึก ความอดทน: การลงทุนเป็นการลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรมีความอดทน รอคอยผลตอบแทน การนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การลงทุน: การกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยง การลงทุนระยะยาว: นักลงทุนควรเน้นการลงทุนระยะยาว มองข้ามความผันผวนระยะสั้น การลงทุนแบบเน้นคุณค่า: นักลงทุนควรเลือกซื้อสินทรัพย์ที่มีราคา undervalued การ dollar-cost averaging: นักลงทุนควรลงทุนเงินจำนวนเท่าๆ กันเป็นประจำ การ rebalance พอร์ตการลงทุน: นักลงทุนควรปรับสัดส่วนการลงทุนตามสถานการณ์ ตัวอย่างการประยุกต์ใช้: นักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดหุ้น เป้าหมายทางการเงินคือการเกษียณอายุ กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการลงทุนระยะยาว เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว ลงทุนเงินจำนวนเท่าๆ กันเป็นประจำ และ rebalance พอร์ตการลงทุนทุกปี นักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดตราสารหนี้ เป้าหมายทางการเงินคือการสร้างรายได้เสริม กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุสั้น กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในตราสารหนี้หลายตัว ลงทุนเงินจำนวนเท่าๆ กันเป็นประจำ และ rebalance พอร์ตการลงทุนทุกปี ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สรุป: นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความรู้ความเข้าใจ เป้าหมายทางการเงิน วินัย อารมณ์ และความอดทน ก่อนตัดสินใจลงทุน และควรนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม เช่น การกระจายความเสี่ยง การลงทุนระยะยาว การลงทุนแบบเน้นคุณค่า การ dollar-cost averaging และการ rebalance พอร์ตการลงทุน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เข้าใจความเสี่ยง และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3244
Finance
ในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นไปสูงมากแล้ว นักลงทุนควรจะ "ถือเงินสด" รอจังหวะซื้อ หรือ "ลงทุนในหุ้น" ต่อไปดี?
null
การตัดสินใจว่าควร "ถือเงินสด" หรือ "ลงทุนในหุ้น" นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้: 1. เป้าหมายการลงทุน: ระยะสั้น: เงินสดเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัย ให้ผลตอบแทนแน่นอน เหมาะกับผู้ต้องการใช้เงินในระยะสั้น การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนผันผวน เหมาะกับผู้รับความเสี่ยงได้สูง ระยะยาว: การลงทุนในหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินสด เหมาะกับผู้ต้องการออมระยะยาว เงินเฟ้อกัดกินเงินออม เหมาะกับการลงทุนในหุ้นเพื่อรักษา purchasing power 2. ระดับความเสี่ยงที่รับได้: ความเสี่ยงต่ำ: เงินสดเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นกลุ่ม Defensive ความเสี่ยงสูง: ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว 3. สภาพคล่องทางการเงิน: เงินสำรองฉุกเฉิน: ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้ใช้จ่ายยามจำเป็น เงินสำรองฉุกเฉินควรอยู่ในรูปแบบเงินสด เงินลงทุน: เงินลงทุนควรเป็นเงินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น สามารถลงทุนในหุ้นเพื่อผลตอบแทนระยะยาว 4. มุมมองต่อตลาดหุ้น: ตลาดขาขึ้น: ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง กระจายความเสี่ยง ตลาดขาลง: ถือเงินสดรอจังหวะซื้อ ลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ 5. กลยุทธ์การลงทุน: การลงทุนแบบเน้นคุณค่า: รอซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง ถือเงินสดไว้รอจังหวะซื้อ การลงทุนแบบเน้นการเติบโต: ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น ตัวอย่าง: นักลงทุนที่ต้องการออมเงินเพื่อเกษียณอายุ (ระยะยาว) สามารถลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ กระจายความเสี่ยง ถือเงินสดไว้บางส่วนเพื่อใช้ยามจำเป็น นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน กระจายความเสี่ยง สรุป: ไม่มีคำตอบตายตัวว่าควร "ถือเงินสด" หรือ "ลงทุนในหุ้น" นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ประกอบกัน ตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง ศึกษาข้อมูล กระจายความเสี่ยง และลงทุนอย่างมีสติ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3245
Finance
ช่วยเขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "เตรียมพบกับอนาคต: การลงทุนใน KF-EM สู่การเจริญเติบโตในตลาดเอเมอร์จิ้งและตลาดเกิดใหม่"
null
"คิดจะลงทุนตลาดเกิดใหม่ ให้คิดถึง KF-EM" หมายถึงการให้ความสำคัญกับการลงทุนในตลาดเกิดใหม่หรือตลาดเอเมอร์จิ้งที่มีการเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งในบางครั้งอาจมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสที่มากขึ้นในการได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วยการเลือกลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเช่น KF-EM ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดเอเมอร์จิ้งและตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Emerging Markets) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมากในอนาคต แนวคิดในการลงทุนใน KF-EM สามารถอธิบายได้ดังนี้ 1. โอกาสในการเติบโต: ตลาดเอเมอร์จิ้งและตลาดเกิดใหม่มีโอกาสในการเติบโตที่สูง โดยมีการเพิ่มมูลค่าตลาดและความสำคัญทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น การเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP, การเพิ่มอัตราการมีงานทำ, การเพิ่มอัตราการนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการ การลงทุนใน KF-EM เป็นการลงทุนในโอกาสที่จะเกิดขึ้นในตลาดเหล่านี้ 2. การดำเนินการโดยมีความรับผิดชอบ: กองทุนรวม KF-EM มักจะมีการดำเนินการโดยมีความรับผิดชอบและการควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เนื่องจากตลาดเอเมอร์จิ้งและตลาดเกิดใหม่มักมีความผันผวนทางการเงินและการเมื่องต่าง ๆ ที่มาก เพราะฉะนั้น การลงทุนผ่าน KF-EM จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงอย่างต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ 3. การแจกแจงการลงทุน: กองทุนรวม KF-EM มักจะแจกแจงการลงทุนของตนในหลายๆ สินทรัพย์ทางการเงินในตลาดเอเมอร์จิ้งและตลาดเกิดใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนสามารถควบคุมความเสี่ยงและดิเรกของตนได้ตามต้องการ ซึ่งอาจเป็นการลงทุนในหุ้น, ตราสารหนี้, และสินทรัพย์ทางเลือกในตลาดเหล่านี้ 4. การคาดการณ์การเติบโตของกองทุน: หากมองในระยะยาว กองทุนรวม KF-EM มักจะมีการคาดการณ์ว่าตลาดเอเมอร์จิ้งและตลาดเกิดใหม่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุนในกองทุนนี้จะเป็นการลงทุนในความเชื่อของผู้จัดการกองทุนในการเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในตลาดเหล่านี้และทำให้กองทุนมีการเติบโตตามคาดการณ์ การลงทุนใน KF-EM อาจมีความเสี่ยงสูงในระดับหนึ่ง แต่ก็มีโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสในตลาดเอเมอร์จิ้งและตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบันและอนาคต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3246
Finance
การลงทุนในกระเป๋าแบรนด์เนม คุ้มค่าหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ความนิยมของแบรนด์และรุ่นกระเป๋า หากเป็นแบรนด์และรุ่นที่ได้รับความนิยมสูง ราคามักจะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน สภาพของกระเป๋า กระเป๋าที่สภาพดี สมบูรณ์ ไม่ชำรุดเสียหาย จะมีราคาขายต่อที่สูงกว่ากระเป๋าที่สภาพไม่ดี ระยะเวลาในการถือครอง โดยทั่วไปแล้ว กระเป๋าแบรนด์เนมจะได้รับความนิยมและราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ หากถือครองกระเป๋าไว้นานพอ อาจให้ผลตอบแทนที่ดี ความเสี่ยง การลงทุนในกระเป๋าแบรนด์เนมก็มีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของกระแสนิยม ราคาอาจปรับตัวลดลงได้หากแบรนด์หรือรุ่นกระเป๋าไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป **จากบทความข้างต้น พบว่า กระเป๋าแบรนด์เนมบางรุ่น เช่น Chanel Classic Medium Flap Bag สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ โดยจากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี (2005-2014) พบว่า ราคาของกระเป๋ารุ่นนี้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 326% หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น (CAGR) ที่ราว 15.6% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของทองคำ ดัชนีตลาดหุ้นไทย และดัชนีดาวโจนส์ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกระเป๋าแบรนด์เนมก็ยังมีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของกระแสนิยม ราคาอาจปรับตัวลดลงได้หากแบรนด์หรือรุ่นกระเป๋าไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3248
Finance
จงแต่งนิยายเรื่อง "การเรียนรู้เล่นงบการเงิน: ตำนานของเด็กชั้นประถมศึกษา" ให้ห้องเรียนให้หน่อย
null
หัวข้อ: การเรียนรู้เกี่ยวกับ "งบการเงินรวม" ในห้องเรียนของโรงเรียนประถมศึกษาชั้นสอง เด็กๆกำลังทำกิจกรรมกลุ่มเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับงบการเงินรวม ซึ่งเป็นหัวข้อที่อาจจะดูซับซ้อนสำหรับวัยเด็ก แต่คุณครูน้องสามารถอธิบายให้เข้าใจได้อย่างง่ายดาย "ทุกคนเอาเสียงของเรามาเริ่มต้นทำกิจกรรมกันเถอะ!" คุณครูพูดด้วยเสียงใหญ่เร้าใจ เด็กๆทั้งหมดที่นั่งรอบๆโต๊ะก็หันมามองอาจารย์อย่างกระตือรือร้น "วันนี้เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับ 'งบการเงินรวม' คืออะไร นั่นคือเราจะทำอย่างไรเมื่อเรามีเงินหลายๆ อย่างแล้วต้องใช้เงินในสิ่งต่างๆ" คุณครูอธิบายต่อไป "งั้นก็เริ่มต้นกันเลย! ให้เราสมมติว่าเรามีเงินห้าบาท" คุณครูให้ตัวอย่างอย่างมีชีวิตชีวา "เราจะสามารถใช้เงินทั้งหมดนี้ได้อย่างไรล่ะ?" เด็กคนหนึ่งตอบด้วยความสงสัย "ถูกต้อง! เราต้องคิดก่อนว่าเราต้องใช้เงินไปทำอะไรบ้าง" คุณครูชี้แจง "เราอาจจะต้องใช้เงินสำหรับของเล่น หรืออาจจะใช้เพื่อซื้อขนมหวาน" เด็กคนหนึ่งเสนอ "และถ้าเราใช้เงินไปเกินเงินที่เรามีก็จะเป็นอย่างไรล่ะ?" คุณครูดันเพิ่มข้อสัมพันธ์ "เราจะต้องใช้เงินของเราในวันต่อไปแทน" เด็กคนหนึ่งตอบอย่างแน่นอน "แล้วถ้าเราเหลือเงินจากวันก่อนหน้า และมีเงินทั้งหมดยังเป็นเท่าไหร่ล่ะ?" คุณครูกำลังทำให้เด็กๆค้นพบคำตอบด้วยตนเอง "ถ้าเราเหลือเงิน และมีเงินในวันนี้ เราก็จะมีเงินมากขึ้น!" เด็กคนหนึ่งตอบอย่างฉลาด "และนี่คือ 'งบการเงินรวม' คือเราต้องคำนึงถึงเงินที่เรามีทั้งหมด ไม่เพียงแต่เฉพาะวันนี้ แต่ยังเป็นการคิดถึงเงินที่มีอยู่จากวันก่อนหน้าด้วย" คุณครูจบคำสอนด้วยความสุขใจ เด็กๆทั้งหมดจับตามองผู้สอนด้วยความเข้าใจ เด็กนักเรียนเข้าใจว่าการจัดการเงินไม่ใช่เรื่องยากนัก และการเรียนรู้เกี่ยวกับงบการเงินรวมนั้นสำคัญอย่างไรในชีวิตประจำวันด้วย
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3249
Finance
เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับ "ก้าวทันเทรนด์: Bottom-Up SPACE - การเลือกหุ้นแบบ 3 ล้อที่ดีเหมือนถูกหวย" ให้หน่อย
null
ชื่อเรื่อง: การลงทุนแบบ Bottom-Up SPACE: IO3 - แนวคิดเลือกหุ้นแบบ 3 ล้อถูกหวย การลงทุนที่เต็มไปด้วยกิจกรรมและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อารีฟา มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวทันเทรนด์นี้ด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใคร อารีฟาไม่ใช่นักลงทุนที่มีความสนใจเฉพาะในการวิเคราะห์ตลาดหุ้นทั้งวัน แต่อารีฟามีแนวคิดใหม่โดยใช้วิธีการที่เฉียบขาดและเป็นเอกลักษณ์ อารีฟาได้พัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่เฉียบคมขึ้นด้วยความคิดเชิงพื้นฐาน ที่เฉพาะเจาะจงและเป็นเอกลักษณ์ มันคือ Bottom-Up SPACE: IO3. อารีฟาได้สร้างกระบวนการที่สามารถจำแนกหุ้นที่มีศักยภาพในอนาคตโดยใช้วิธีการที่รวดเร็วและอัตโนมัติ เรียกว่า IO3 (Identify, Observe, Optimize, and Originate) อารีฟาเล่าให้ฟังว่าความคิดนี้เกิดจากประสบการณ์ของเธอในการเล่นหวย โดยอารีฟาตั้งใจที่จะหาวิธีเลือกหุ้นที่มีโอกาสสูงที่สุดเช่นเดียวกับการเลือกตัวเลขที่จะซื้อในการเล่นหวย เริ่มต้นด้วยการระบุบริษัทที่มีโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีความเป็นเอกลักษณ์ อารีฟาใช้เครื่องมือและข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลการเงิน, รายงานผลตอบแทนของบริษัท, และข้อมูลการวิจัยเพื่อการวิเคราะห์ว่าบริษัทมีโอกาสทางธุรกิจและการเติบโตอย่างไรในอนาคต เมื่อได้ระบุบริษัทที่มีความน่าสนใจแล้ว อารีฟาจะตั้งใจที่จะสังเกตุพฤติกรรมของตลาดและการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้น เธอใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเก็บข้อมูลและวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว จากนั้นอารีฟาจะปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนของอารีฟาให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ท้ายที่สุดอารีฟาได้สร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับการลงทุน โดยใช้ความคิดนวัตกรรมและการคาดการณ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ลงทุนที่ก้าวหน้าและมีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม อารีฟาเคยบอกว่า การลงทุนมิได้มีแค่เรื่องของการทำกำไรเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์และการเรียนรู้อยู่เสมอ อารีฟาหวังว่า Bottom-Up SPACE: IO3 จะเป็นแนวทางใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการลงทุนในอนาคต และให้โอกาสแก่ผู้ที่สนใจที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างต่อเนื่อง
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3255
Finance
กลไกของคอลัมน์ Bottom-Up Space จากเว็บไซต์ FINNOMENA คืออะไร
null
คอลัมน์ Bottom-up SPACE โดยคุณเจษฎา สุขทิศ เจ้าของนามปากกา FundTalk มีกลไกของคอลัมน์ คือ คุณเจษฎาได้เริ่มโครงการ SPACE โดยเริ่มด้วยการสร้าง Facebook Group เพียงค้นหาในเฟสบุ๊คคำว่า “SPACE by FINNOMENA” ก็จะเจอกลุ่มดังกล่าว โดยเขาเปิดรับคนที่สนใจเป็นรุ่น ๆ ในการที่จะมาฝึกการวิเคราะห์การลงทุนแบบเลือกหุ้นรายตัว โดยคุณเจษฎาและทีมกูรูของ FINNOMENA จะมาช่วยกันเป็นโค้ชแนะนำวิธีการวิเคราะห์ให้ มีประมาณ 20 นักลงทุนที่ได้เริ่มฝึกฝนในการสร้างพื้นที่การลงทุนได้เริ่มลองฝึกวิเคราะห์การลงทุนไปบ้างแล้ว ซึ่งมีทั้งหุ้นขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ เช่น THAI BJC ARROW BWG SPA เป็นต้น แนวคิดที่เพื่อน ๆ นักลงทุนใน SPACE ได้ร่วมกันตั้งชื่อว่า แนวคิดเลือกหุ้นแบบ IO3 ย่อมาจาก Intersection of 3 Wheels หรือเรียกเป็นไทยง่าย ๆ ว่าแนวคิดเลือกหุ้นแบบ 3 ล้อถูกหวย ถ้าเจอ 3 ปัจจัยที่ใช่มาพร้อม ๆ กันมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง เมื่อเข้าใจแนวคิดการลงทุนแบบ IO3 แล้วสิ่งที่คุณเจษฎาจะทำต่อไปคือ การเข้าไปดูการวิเคราะห์ของแต่ละคนในเฟสบุ๊คกรุ๊ป “SPACE by FINNOMENA” จากนั้นจะแนะนำการวิเคราะห์ของแต่ละคนให้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่แวะเวียนเข้ามาก็สามารถร่วมแสดงความเห็นหรือร่วมวิเคราะห์ไปด้วยกันได้ โดยในแต่ละครั้งของคอลัมน์ Bottom-up SPACE จะหยิบการวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาแชร์ความรู้ให้กับผู้อ่าน คุณเจษฎาเชื่อว่าคอลัมน์ Bottom-up SPACE จะเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในการจุดประกายการเรียนรู้ให้กับนักลงทุนไทย โดยมุ่งหวังว่าจะมีนักลงทุนที่ตั้งใจจริงมาร่วมสนุก ร่วมฝึกกันเยอะ ๆ การลงมือทำจริงคือ กระบวนการเรียนรู้ที่ดีที่สุด และสุดท้ายประโยชน์ก็จะตกอยู่กับตัวเอง
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3259
Finance
กระบวนการที่อันตรายมากๆ อย่างหนึ่งในการสร้างระบบการลงทุน เรียกว่าอะไร ระหว่าง Curve Fiting หรือ Shape of the test space
null
Curve Fiting เพราะ Curve Fiting คือ กระบวนการที่อันตรายมากๆ อย่างหนึ่งในการสร้างระบบการลงทุน เป็นการเพิ่มตัวแปรในระบบการลงทุน เพื่อที่จะจับเอารายละเอียดปลีกย่อยของข้อมูลในอดีต (Noise) ให้มันลงรอยกันจนมากเกินพอดีไปนั่นเอง การกระทำเช่นนี้มักจะทำให้ระบบการลงทุนนั้นขาดความยืดหยุ่นต่อฐานข้อมูลชุดอื่นๆ ที่ไม่ได้นำมาทำการทดสอบ (ราคาหุ้นในอนาคต) และสูญเสียความสามารถที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงหรือฐานข้อมูลที่แตกต่างออกไป ส่วน Shape of the test space เป็นรูปร่างที่แสดงออกว่าเป็นระบบการลงทุนที่ดี ซึ่งมีลักษณะค่อยๆ ไล่เรียงไปอย่างราบรื่น มากกว่าที่จะเป็นรูปร่างแบบฟันปลาผลุบๆ โผล่ๆ เนื่องจากมันคือสิ่งที่จะช่วยยืนยันได้ว่า ระบบมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับค่าของตัวแปรที่แตกต่างออกไปได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เมื่อระบบต้องเจอกับสภาพของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ นั้น มันก็จะเป็นเหมือนสิ่งที่จะช่วยรับประกันในระดับหนึ่งได้ว่า ระบบจะสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง รูปร่างในลักษณะที่มีความไล่เรียงไปคล้ายๆ กับเนินเขา (Round hill) เช่นนี้มักที่จะเกิดขึ้นกับระบบการลงทุนที่มีตัวแปรน้อยตัวและไม่ซับซ้อนจนเกินไป โดยรูปร่างของมันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นยอดแหลม (Pole) ผลุบๆ โผล่ๆ ไปมา เมื่อค่อยๆ เพิ่มตัวแปรหรือข้อยกเว้นต่างๆ เข้าไปเรื่อยๆ นั่นเอง
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3260
Finance
ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 บริษัท อาฟเตอร์ยู จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์กี่ล้านบาท
null
ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 บริษัท อาฟเตอร์ยู จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์ 363.8 ล้านบาท หนี้สินรวม 246.8 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 117.0 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนผู้ถือหุ้นเท่ากับ 2.1 โดยบริษัทได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมด 240,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ 0.1 บาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีมูลค่าหุ้นที่ชำระแล้วหลังเพิ่มทุนเพิ่มขึ้น 24,000,000 บาท และส่วนของผู้ถือหุ้นในส่วนเกินราคาพาร์ยังไม่กำหนด เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้ประกาศมูลค่าการขายหุ้น IPO บริษัท อาฟเตอร์ยู จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับร้านขนมหวานเป็นหลัก โดยในวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 บริษัทมีร้านขนมหวานอาฟเตอร์ยูทั้งหมด 15 สาขา โดยภายในร้านจำหน่ายขนมหวาน เครื่องดื่ม และของที่ระลึก นอกจากนี้บริษัทยังมีร้านน้ำแข็งใสคากิโกริ ชื่อ เมโกริ ซึ่งเปิดธุรกิจใหม่อยู่ 1 สาขา บริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากร้านขนมหวานประมาณ 99% และรายได้จากการจัดงานนอกสถานที่และรับจ้างผลิตประมาณ 1% ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับขนมหวานและเครื่องดื่มเช่นกัน เช่น จัดงานเลี้ยงแต่งงานด้วยชิบูย่าและฮันนี่โทส ผลิตพายและคุกกี้ให้กับผู้ประกอบการสนามบิน บริษัทมีโรงงานครัวกลางของตนเองที่กำลังจะย้ายจากถนนพัฒนาการ กรุงเทพฯ ไปยังนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งครอบคลุมการทำงานตั้งแต่จัดหาวัตถุดิบ ตรวจสอบคุณภาพ จัดเตรียมและผลิต จัดเก็บวัตถุดิบและสินค้า และกระจายวัตถุดิบและสินค้า โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันโรงงานให้ได้รับมาตรฐานทางการผลิตอาหารระดับสากลต่อไป บริษัทกู้เงินกับบุคคลภายนอกไว้ 100 ล้านบาท ที่ดอกเบี้ย 4.0% ต่อปี ซึ่งจะชำระเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดเมื่อมีการจำหน่ายหุ้น IPO จากงบกำไรขาดทุนปี 2558 บริษัทขายสินค้าและบริการได้ 100 บาท แบ่งเป็นต้นทุนสินค้าประมาณ 38 บาท ค่าใช้จ่ายในการขาย 29 บาท และค่าใช้จ่ายในการบริหาร 14 บาท ค่าใช้จ่ายทางการเงิน 1.4 บาท ภาษี 3.6 บาท เหลือเป็นกำไรสุทธิถึงผู้ถือหุ้นประมาณ 14 บาท หรือกล่าวได้ว่ามีอัตรากำไรสุทธิประมาณ 14% นั่นเอง ในปี 2556 – 2558 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 2.3 14.7 13.9 ตามลำดับ ในงบกระแสเงินสดปี 2558 บริษัทมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานเท่ากับ 93.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิในงวดเดียวกันที่ 57.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนคุณภาพกำไร หรือ Quality of Earning ที่ 1.62 ในงบกระแสเงินสดย้อนหลัง 3 ปี บริษัทมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นบวกทั้ง 3 ปี มีกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนเป็นลบทั้ง 3 ปี และมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินเป็นบวกในปี 2556 และ 2558 ในขณะที่เป็นลบในปี 2557 ในปี 2557 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่ 2 สาขา และในปี 2558 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่ 5 สาขา และในปี 2557 – 2558 บริษัทมีอัตราการเติบโตของรายได้จากการขาย – สาขาเดิม (Same-Store Sales Growth: SSSG) ร้อยละ 26.7 กับ 9.2 ตามลำดับ
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3269
Finance
ข้อดี 4 อย่างของการถือทองในพอร์ตไว้บ้าง มีอะไรบ้าง
null
ข้อดี 4 อย่างของการถือทองในพอร์ตไว้บ้าง ได้แก่ 1. ทองสามารถสร้างผลตอบแทน ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบได้ดี (Negative Real Interest Rate) นับตั้งแต่ปี 1970 จะพบว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ ผลตอบแทนรายเดือนจากการลงทุนในทองคำ ก็ดีดขึ้นสูงอย่างมีนับสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงที่ดอกเบี้ยแท้จริงเป็นบวกพอสมควร แต่สิ่งที่ตามมาด้วยก็คือ ความผันผวนที่สูงกว่าช่วงอื่นๆ มองมาที่ปัจจุบัน ธนาคารกลางหลายแห่ง ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบ และอาจจะยังอยู่ในระดับต่ำแบบนี้ไปอีกซักระยะ ก็แปลว่า สภาพแวดล้อม มันเอื้อให้ทองเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการถือไว้จริงๆ 2. นับตั้งแต่ต้นปี 2016 กองทุน ETF ที่มี Inflow ไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนมากที่สุดคือ SPDR Gold Trust กองทุน ETF ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเงินเข้ามาลงทุนสูงถึง $9.07 Billion หลักๆ แล้ว มาจาก นักลงทุนกลุ่ม Hedge Fund ทั้งหลายที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง และเหล่ากองแช่งตลาดหุ้นโลกทั้งหลาย ซึ่งสะท้อนมุมมองของนักลงทุนรายใหญ่ได้ว่า เขาเริ่มมองเห็นความเสี่ยงอะไรบางอย่าง และอยากเพิ่มพอร์ตทองไว้เพื่อกระจายความเสี่ยงด้วยเหมือนกัน รู้ว่าแค่มียอด Net Inflow เยอะ ไม่ได้แปลว่า ควรแห่ตามเขาไป แต่นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาถือ มันต้องมีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็อุ่นใจระดับหนึ่ง ว่าไม่ได้ถือเหงาๆ อยู่คนเดียว นับว่าเป็นข้อดีอีกข้อ 3. ความเสี่ยงข้างหน้า ยังมีอีกเยอะ ต้องหาอะไรที่ป้องกันความเสี่ยงไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการทำประชามติ Brexit วันที่ 23 มิ.ย. 2016 ซึ่งหากพลิกโผ กลายเป็นว่า อังกฤษต้องออกจากยูโรโซนจริงๆ แล้วก็อาจทำให้ค่าเงินปอนด์ (GBP) และยูโร (EUR) อ่อนค่า คนไม่อยากถือ 2 สกุลนี้ในระยะสั้นนั้นอาจทำให้ทองคำน่าสนใจก็ได้ หรือถึงผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ ความเสี่ยงในตลาดโลกก็ยังสูง ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวได้ในระดับต่ำ ยังมีความเปราะบาง ปัญหาขาดทุนจากภาคธนาคารในยุโรป หนี้เสียและ NPL ในจีน ปัญหาเหล่านี้ เหมือนพร้อมจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ทางหนึ่งก็ต้องติดตามสถานการณ์ แต่อีกทาง เหตุการณ์มันอาจเกิดขึ้นเร็วจนรับมือและปรับพอร์ตไม่ทัน ดังนั้น การป้องกันความเสี่ยงโดยการถือทองคำไว้บางส่วน ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น 4. ถ้าใช้ทฤษฎี Investment Clock ดูวงจรการเคลื่อนที่ของสินทรัพย์แต่ละประเภทในแต่ละช่วงเวลาของเศรษฐกิจ ก็จะพบว่า ในช่วงก่อนที่ตลาดจะฟองสบู่แตก คือ Bubble Stage หรือ เริ่มส่งสัญญาณก่อตัวเป็นฟองสบู่ จะเห็นเงินเฟ้อเริ่มขยับตัวขึ้นจากการที่ต้นทุนสินค้า และราคาสินค้าในตลาดเพิ่มขึ้น ช่วงนี้เองจะเริ่มเห็นรัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะเข้ามาควบคุมเพื่อให้เศรษฐกิจไม่ร้อนแรงมากเกินไป ในช่วงเวลาแบบนี้ “สินค้าโภคภัณฑ์” จะเริ่มกลับมา Outperform สินทรัพย์ประเภทอื่น ไม่ว่าจะหุ้นหรือทองคำ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3270
Finance
แนวคิดเลือกหุ้นแบบ 3 ล้อถูกหวย IO3 มีอะไรบ้าง
null
IO3 อ่านว่า ไอ-โอ-ทรี ย่อมาจาก Intersection of 3 Wheels หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่าแนวคิดเลือกหุ้นแบบ 3 ล้อถูกหวย ถ้าเจอหุ้นที่มีครบ 3 ล้อ ยิ่งถ้ากราฟเทคนิคคอนเฟิร์มด้วย หุ้นตัวนั้นมีโอกาสสร้างผลตอนแทนที่สุดยอด อุปมาอุปมัยกับแนวคิดการเลือกหุ้นที่ต้องการ 3 ปัจจัยมาพร้อม ๆ กัน เพื่อกลายเป็นหุ้นที่สุดยอด ประกอบด้วย HIGH GROWTH คำว่า HIGH GROWTH สำหรับแนวคิด IO3 คือ บริษัทที่มั่นใจว่ากำไรสุทธิมีแนวโน้มเติบโตอย่างน้อย 20 – 30% ในระยะเวลา 1 – 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้ดีกว่าตลาดอย่างแน่นอน ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยโตอยู่ราว 3% ต่อปี ดังนั้น การจะหาหุ้นที่กำไรโตได้ 20 – 30% พูดเลยว่าไม่ง่าย กลยุทธ์ในการเติบโต, วิสัยทัศน์, และฝีมือของทีมผู้บริหาร 3 อย่างนี้คือสิ่งสำคัญ นอกจากนั้นเป็นเรื่องของ Model ธุรกิจ, ชนิดอุตสาหกรรมของบริษัทนั้น ๆ ก็มีส่วนเช่นกัน HIGH GROWTH ซึ่งคือปัจจัยแรกใน IO3 คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดจาก 3 ปัจจัย ซึ่งต้องทุ่มแรงทั้งหมดที่มีในการวิเคราะห์หุ้นกับปัจจัยนี้ ไม่ได้หาหุ้นที่กำไรมีโอกาสเติบโตดี แต่หาหุ้นที่มั่นใจมาก ๆ ว่ากำไรจะเติบโตได้ดี ซึ่งการจะสร้างความมั่นใจได้นั้น จำเป็นต้องหาค้นคว้า และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอย่างจริงจัง LOW HOPE คือ หุ้นที่ตลาดมีความคาดหวังต่ำ ปัจจัยนี้หลายคนมักจะนำไปปะปนกับเรื่อง Valuation ถ้าหุ้นขึ้นเยอะ หรือ Valuation แพง ก็มักจะเรียกว่าหุ้น High Hope จริง ๆ แล้วสำหรับแนวคิด IO3 หุ้น Low Hope ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง Valuation เป็นหลัก แต่ดูได้จาก 2 ปัจจัย คือ - Undiscover หุ้นที่นักวิเคราะห์ ยังไม่ cover ส่วนมากเป็นหุ้นขนาดกลาง/เล็กที่ตลาดยังไม่รู้จัก (Undiscover) หรืออาจเป็นหุ้นที่ขาดสภาพคล่อง และเมื่อกำไรบริษัทโตมาก ๆ นักข่าวเริ่มสนใจ เริ่มมีนักวิเคราะห์เข้ามาดู หนังสือพิมพ์เริ่มลง หุ้น LOW HOPE ก็จะมีแรงซื้อเข้ามาจากนักลงทุน - Hold/Sell หุ้นที่นักวิเคราะห์และหนังสือพิมพ์แนะนำ ขาย (SELL/Underweight) หรือแนะนำถือ (HOLD/Neutral) โดยธรรมชาตินักลงทุนมักจะมองหาหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” แต่แท้จริงแล้วหุ้นที่นักวิเคราะห์ออกบทวิเคราะห์แนะนำซื้อมาก ๆ มันคือหุ้น HIGH HOPE ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของนักลงทุนที่อ่านและซื้อหุ้นไปก่อนหน้านี้ ถ้าหากผลประกอบการไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง หุ้น HIGH HOPE จะลงได้แรง REASONABLE PRICE ล้อที่ 3 ของแนวคิดเลือกหุ้นแบบ 3 ล้อถูกหวยคือ เรื่อง Valuation ซึ่งยากมากที่ทุกวันนี้จะหาหุ้นที่ Valuation ถูก + HIGH GROWTH แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี โอกาสมีเสมอสำหรับคนที่ทำงานหนัก สำหรับเรื่อง Valuation หรือ REASONABLE PRICE มักดู P/E เป็นหลัก ขอให้ P/E ไม่แพงกว่า GROWTH RATE เป็นใช้ได้ ยิ่งถ้าได้หุ้นที่ P/E ต่ำกว่า Growth ถือว่าเป็นกำไรชีวิต
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3274
Finance
กลุ่มธุรกิจใดของ PTT ที่ค่าการกลั่นจะผันผวนไปตามหลักอุปสงค์และอุปทานที่ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันโลก ระหว่าง ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น หรือ ธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
null
ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น เพราะธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น เป็นกลุ่มธุรกิจใดของ PTT ที่ค่าการกลั่นจะผันผวนไปตามหลักอุปสงค์อุปทานที่ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันโลก โดยค่าการกลั่น เป็นส่วนต่างของราคาเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่กลั่นได้หักด้วยต้นทุนน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ใช้กลั่นตามราคาตลาดโลก ค่าการกลั่นจะผันผวนไปตามหลักอุปสงค์อุปทานที่ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันโลก โดยถ้าราคาน้ำมันดิบโลกลดต่ำลง ธุรกิจปิโตรเลียมและการกลั่นจะได้ประโยชน์ในแง่ของต้นทุนที่ต่ำลง ธุรกิจดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการที่ดี ส่วนธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เป็นกลุ่มธุรกิจใดของ PTT ที่มีผลประกอบการทั้งส่วนที่ค่อนข้างคงที่และค่อนข้างผันผวน โดยส่วนที่ค่อนข้างคงที่ คือ ส่วนรายได้ที่มาจากการให้เช่าพื้นที่และธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น เช่น ร้านกาแฟ Café Amazon ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ร้าน Daddy Dough ร้าน Texas Chicken ร้านสะดวกซื้อ Jiffy ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-Eleven ร้าน Chester’s Grill ร้าน KFC ร้าน S&P และธุรกิจธนาคาร ส่วนที่ค่อนข้างผันผวน คือ กำไรที่มาจากการค้าปลีกผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงซึ่งมักจะผันผวนไปตามราคาน้ำมันโลก เนื่องจากผลกำไรของการขายน้ำมันมักเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายมักจะคงที่มากกว่า ดังนั้น ถ้าราคาน้ำมันดิบโลกและแก๊สธรรมชาติสูงมากขึ้น รายได้จะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มคงที่ อัตราการทำกำไรจะสูงขึ้น ธุรกิจดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการที่ดี
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3276
Finance
จาก 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหุ้น TIP อะไรคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาหุ้น TIP ในปัจจุบันและอนาคต
null
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาหุ้น TIP ในปัจจุบันและอนาคต 1. การเติบโตของเบี้ยประกันภัย: เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโต การขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ การเติบโตของตลาดรถยนต์ การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ 2. ผลการดำเนินงาน: อัตราส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันภัย (Combined Ratio) ผลตอบแทนจากการลงทุน กำไรสุทธิ 3. นโยบายของภาครัฐ: นโยบายสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ นโยบายสนับสนุนการลงทุน นโยบายด้านภาษี 4. สภาวะตลาด: อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 5. ปัจจัยเฉพาะตัว: กลยุทธ์ทางธุรกิจ ทีมผู้บริหาร ฐานะทางการเงิน โดยสรุป ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาหุ้น TIP ในปัจจุบันและอนาคต ประกอบด้วย การเติบโตของเบี้ยประกันภัย ผลการดำเนินงาน นโยบายของภาครัฐ สภาวะตลาด ปัจจัยเฉพาะตัว นักลงทุนควรติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์และประเมินมูลค่าหุ้น TIP ก่อนตัดสินใจลงทุน ตัวอย่าง: ติดตามผลประกอบการของ TIP และบริษัทคู่แข่ง วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ ติดตามนโยบายของภาครัฐ วิเคราะห์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ TIP และบริษัทในเครือ เพิ่มเติม: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ TIP เพิ่มเติม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และลองวิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเอง
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3278
Finance
ช่วยบอกแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "เส้นทางสู่ความเจริญของ THRE: การนำเสนอผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดที่นวัตกรรมและยืดหยุ่น"
null
Case Study: กลยุทธ์การเติบโตครั้งต่อไปของ THRE 1. การขยายขอบเขตธุรกิจ: THRE อาจสร้างกลยุทธ์การเติบโตโดยการขยายขอบเขตธุรกิจของตน เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่เสริมสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น หรือการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ที่มีโอกาสในอนาคต เช่นการเปิดตัวในตลาดต่างประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูง 2. นวัตกรรมและการวิจัย: การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสามารถเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของ THRE โดยสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่มีคุณค่าและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการหรือการผลิต 3. การสร้างพันธมิตรและการรวมกลุ่ม: การทำงานร่วมกับพันธมิตรหรือการรวมกลุ่มอาจช่วยให้ THRE ขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น การเชื่อมโยงกับธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่หรือตลาดที่เป้าหมาย เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือในการขยายธุรกิจ 4. การทำเลือกในการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการ: การศึกษาความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้ THRE สามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เหมาะสมและมีคุณค่าสำหรับตลาด เพื่อที่จะสามารถเพิ่มกำไรและทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน 5. การเสริมสร้างแบรนด์และการตลาด: การลงทุนในการสร้างแบรนด์และการตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการขยายธุรกิจของ THRE โดยการสร้างความตระหนักและความน่าเชื่อถือในตลาด และการสร้างกลุ่มลูกค้าที่ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มยอดขายและรายได้ 6. การใช้เทคโนโลยีในการปรับโครงสร้างธุรกิจ: การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจอาจช่วยให้ THRE มีประสิทธิภาพในการทำงานและบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว การใช้กลยุทธ์เหล่านี้อาจช่วยให้ THRE สามารถเติบโตและเพิ่มกำไรในอนาคตได้อย่างยั่งยืน โดยการสร้างคุณค่าและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างเหมาะสมในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา.
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3279
Finance
นักลงทุน VI ควร Cut loss หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: VI มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว การถือหุ้นระยะยาว หมายถึง การถือหุ้นเป็นเวลาหลายปี หรืออาจจะตลอดไป เป้าหมายคือ การได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล และการเติบโตของราคาหุ้นในระยะยาว นักลงทุน VI ไม่ได้หวังผลตอบแทนระยะสั้น การ Cut loss เป็นการป้องกันความเสี่ยง การ Cut loss หมายถึง การขายหุ้นที่ขาดทุน เพื่อจำกัดความเสี่ยง นักลงทุน VI ไม่ได้หมายความว่า จะต้องถือหุ้นทุกตัวที่ซื้อไป หากมีหลักฐานว่า พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลง หรือ ประเมินมูลค่าผิดพลาด การ Cut loss จะช่วยป้องกันไม่ให้ขาดทุนมากขึ้น การ Cut loss ช่วยให้มีเงินทุนไปลงทุนในหุ้นที่ดีกว่า เงินทุนมีจำกัด การ Cut loss หุ้นที่ขาดทุน ช่วยให้มีเงินทุนไปซื้อหุ้นที่มีศักยภาพมากกว่า เพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การ Cut loss ไม่ได้เป็นสิ่งที่นักลงทุน VI ทุกคนจะทำ นักลงทุน VI แต่ละคนมีความเสี่ยงที่รับได้ต่างกัน บางคนอาจจะ Cut loss เร็ว บางคนอาจจะรอให้นานกว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หากพื้นฐานของบริษัทยังดี นักลงทุน VI อาจจะตัดสินใจถือหุ้นต่อไป แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงในระยะสั้น ตัวอย่าง นักลงทุน VI ซื้อหุ้น A ที่ราคา 100 บาท ราคาหุ้น A ปรับตัวลดลงเหลือ 80 บาท นักลงทุน VI ตัดสินใจ Cut loss ขายหุ้น A ที่ราคา 80 บาท ขาดทุน 20 บาท เหตุผลที่นักลงทุน VI ตัดสินใจ Cut loss นักลงทุน VI วิเคราะห์แล้ว พบว่าพื้นฐานของบริษัท A เปลี่ยนแปลง กำไรของบริษัท A ลดลง หนี้สินของบริษัท A เพิ่มขึ้น นักลงทุน VI ตัดสินใจขายหุ้น A เพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนมากขึ้น สรุป การ Cut loss เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุน VI สามารถใช้ได้ การ Cut loss ช่วยให้ป้องกันความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น นักลงทุน VI แต่ละคนมีความเสี่ยงที่รับได้ต่างกัน การตัดสินใจ Cut loss ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3283
Finance
รายได้ของเครือ BTS แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คืออะไรบ้าง
null
รายได้ของเครือ BTS แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ - รายได้จากการเดินรถไฟฟ้าประมาณ 25% - รายได้จากธุรกิจโฆษณาประมาณ 30% - รายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 5% - รายได้จากธุรกิจบริการประมาณ 15% และรายได้อื่นจากการจำหน่ายสินทรัพย์ เงินลงทุน หรือดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี BTS เกิดจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แบบ backdoor listing หรือ reversed take over โดยบริษัท TYONG ที่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้เข้าควบรวมกิจการบริษัท BTSC ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทานดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าจากกรุงเทพมหานคร ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทกลายเป็น BTS BTS มีบริษัทในเครือชื่อ VGI ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลเกี่ยวกับโฆษณาสื่อนอกบ้าน โดย BTS ได้ spin off VGI ออกมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2555 แต่ยังคงสภาพเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่กว่า 74.30% BTS ได้จัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานแรกของประเทศไทยชื่อว่า BTSGIF ในปี 2556 โดยบริษัทได้ขายสิทธิการได้รับรายได้ค่าโดยสารสุทธิของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลักให้กับกองทุนในระยะเวลาที่เหลือทั้งหมดของสัมปทาน โดย BTS ยังคงถืออยู่ BTSGIF อยู่ในอัตราสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต คือ 1 ใน 3 หรือประมาณ 33.33% หลังจากจำหน่ายสิทธิให้ BTSGIF ไป ทำให้รายได้หลักกว่า 40% ที่เป็นค่าโดยสารของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลักหายไปจากบริษัท เหลือเพียงส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลจากกองทุนรวม BTSGIF มูลค่า 1 ใน 3 ของรายได้เดิมเท่านั้น รายได้จากการให้บริการเดินรถในส่วนต่อขยายสายสีลมและสายสุขุมวิท บริษัทรับจ้างบริหารให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าภายใต้สัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงระยะยาว ดังนั้น บริษัทจะได้รับรายได้ในรูปแบบค่าจ้างบริหารตามที่ตกลงไว้กับกรุงเทพมหานคร ส่วนรายได้จากค่าโดยสารจะรายได้ที่กรุงเทพมหานครจะได้รับ BTS จ่ายเงินปันผลออกมามากกว่ากำไรสุทธิปรกติที่บริษัทดำเนินกิจการได้ เนื่องจากในปี 2556 บริษัทได้กำไรพิเศษจากการขายสิทธิการได้รับรายได้ให้กับ BTSGIF และประกาศนโยบายจ่ายปันผลรวม 21,000 ล้านบาท โดยทยอยจ่ายในสิ้นรอบบัญชี 2557 จำนวน 6,000 ล้านบาท สิ้นรอบบัญชี 2558 จำนวน 7,000 ล้านบาท และสิ้นรอบบัญชี 2559 จำนวน 8,000 ล้านบาท ก่อนจะกลับมาจ่ายในอัตราปรกติที่บริษัททำได้จากกำไรสุทธิตั้งแต่หลังงวดบัญชี 31 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0