ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
10
894
Input
stringclasses
0 values
Output
stringlengths
110
13.8k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
6 values
License
stringclasses
2 values
Finance_2764
Finance
ความลับสู่ความสำเร็จทางการเงินของ Anton Kreil ข้อใดที่หลายคนชอบมองว่า “ยิ่งเสี่ยงมากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสกำไรหรือขาดทุนมากขึ้น” ระหว่าง ความเสี่ยงเป็นเรื่องของความเห็นส่วนตัว หรือ มองหาการศึกษาทางเลือก
null
ความเสี่ยงเป็นเรื่องของความเห็นส่วนตัว เพราะความเสี่ยงเป็นเรื่องของความเห็นส่วนตัว หลายคนชอบมองว่า “ยิ่งเสี่ยงมากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสกำไรหรือขาดทุนมากขึ้น” โดยในโลกแห่งความจริงความเสี่ยงนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน Anton Kreil ได้ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีมนุษย์เงินเดือนคนนึงทำเงินได้ $50,000 ต่อปีแล้วอยู่ดีคืนดีเขาตัดสินใจที่จะลาออกโดยไม่ได้มีงานใหม่รองรับไว้ downside ของเขาคืออะไร มันชัดเจนอยู่แล้วแค่เงิน $50,000 ที่เขาจะไม่ได้มันอีกต่อไปต่อปีหรือหากเขาหางานใหม่ได้แล้วได้น้อยกว่า $50,000 เขาก็มี downside ที่น้อยกว่า $50,000 หรือแคบมากๆ คือ downside ของเขาค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ upside ของเขาคือรายได้ต่อปีเท่าไหร่ก็ได้ที่มากกว่า $50,000 ไปจนถึงอนันต์ เพราะฉะนั้นหากคำนวณความเสี่ยง upside vs. downside แล้วแทบไม่มีอะไรต้องเสียเลย แต่ปัญหาคือ คนมักชอบยึดติดกับจำนวนเงินที่เคยได้ในอดีตแล้วใช้มันไปก่อหนี้ในระดับที่ใกล้เคียงกับรายได้ เพราะคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะใช้คืนหนี้ก้อนนี้ ซึ่งในความเป็นจริงถือว่าเสี่ยงกว่าลาออกจากงาน เพราะเมื่อสร้างหนี้ขึ้นมา จะไม่สามารถคำนวณความเสี่ยงได้อย่างมีเหตุมีผล อาจจะต้องติดกับในระบบหนี้สิ้นนี้ไปจนทำให้มองทุกการตัดสินใจคือความเสี่ยงที่จะตามมา Anton กล่าววิธีมองความเสี่ยงคือประเมินความเสี่ยงตัวเองให้เหมือนกับการทำธุรกิจโดยการลดหนี้สินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือก็คือ ลด downside และเปิด upside ให้กับตัวเอง หากพูดในมุมมองของส่วนบุคคลก็คือให้ลองออกมาดูตัวเองใหม่ ปลดล็อคหนี้สิน และ ทำงานหนักให้ได้มาซึ่งอิสรภาพ และเมื่อนั้นจะสามารถมองความเสี่ยงได้อย่างมีเหตุมีผลมากขึ้นโดยการเน้นย้ำไปที่การประเมิน downside vs. upside เสมอ ส่วนการมองหาการศึกษาทางเลือก Anton ได้ให้คำตอบว่า พวกเขาถูกหล่อหลอมขึ้นมาในระบบการศึกษาดั้งเดิมที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้เรียนเติบใหญ่ไปเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเพราะเห็นได้ชัดว่ามันไม่มีหลักสูตรอย่างนี้บรรจุอยู่ในหลักสูตรและอาจารย์ของพวกเขาก็จะไม่มีวันสอนมัน เพราะมันเป็นเรื่องของ conflict of interest อารมณ์ประมาณว่าจะสอนไปทำไมในเมื่อมันไม่ได้อยู่ในหลักสูตรหรือแม้แต่ถ้าเข้าไปทำงานโดยมี mentor คอยดูแล พวกเขาก็มี conflict of interest เช่นเดียวกัน เพราะถ้าเขาสอนงาน สักวันหนึ่งอาจจะโตในหน้าที่การงานจนมาต่อกรกับตำแหน่งของเขาในอนาคตได้ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ถึงความสำเร็จคือ หาคนที่ประสบความสำเร็จในแนวทางเดียวกัน โดยที่เขาไม่มี conflict of interest กับความสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อแม่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในแนวทางเดียวกัน ควรขอคำปรึกษา แต่ถ้าหากว่าไม่ ก็ควรหาทางเลือกอื่นที่ดีกว่า แต่ถึงกระนั้นพ่อแม่ก็จะยังมี conflict of interest เช่นเดียวกัน เพราะอยากปกป้องและให้ประสบความสำเร็จในแบบที่พวกเขาวาดฝันไว้เ พราะฉะนั้นควรหาคนที่ประสบความสำเร็จที่ไม่มี conflict of interest ถึงจะถือว่าดีที่สุด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2766
Finance
คนโสดมีสัดส่วนการใช้รถไฟฟ้ามากกว่าคนแต่งงาน นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้าง ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้า
null
นักลงทุนควรพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้ ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้า 1. พฤติกรรมของผู้บริโภค ศึกษาพฤติกรรมการใช้รถไฟฟ้าของคนโสด ว่ามีจุดประสงค์หลักเพื่ออะไร วิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค ว่าต้องการสินค้าหรือบริการอะไรเพิ่มเติม พิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการใช้รถไฟฟ้า เช่น ราคาตั๋ว ความสะดวก ความปลอดภัย 2. แนวโน้มของตลาด ศึกษาแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถไฟฟ้า วิเคราะห์คู่แข่งในตลาด พิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อตลาดรถไฟฟ้า เช่น นโยบายภาครัฐ เศรษฐกิจ 3. ความเสี่ยง วิเคราะห์ความเสี่ยงของธุรกิจ เช่น ความเสี่ยงด้านราคาน้ำมัน ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ พิจารณาถึงกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง 4. ผลตอบแทน วิเคราะห์ผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุน เปรียบเทียบผลตอบแทนกับความเสี่ยง พิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อผลตอบแทน เช่น อัตราดอกเบี้ย 5. กลยุทธ์การลงทุน กำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม กระจายความเสี่ยง ลงทุนอย่างมีสติ ตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้า ธุรกิจให้บริการรถไฟฟ้า ธุรกิจโฆษณาบนรถไฟฟ้า ธุรกิจค้าปลีกบนสถานีรถไฟฟ้า ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รอบสถานีรถไฟฟ้า คำแนะนำเพิ่มเติม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ ติดตามข่าวสาร ข้อมูล การเปลี่ยนแปลงของตลาด
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2767
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ THACO
null
THACO คือ บริษัทรถยนต์ของเวียดนาม มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Truong Hai Auto Corporation เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทเอกชน จนกลายมาเป็นเจ้าตลาดในอุตสาหกรรมรถยนต์ของเวียดนาม โดย Tran Ba Duong เป็นผู้ก่อตั้ง THACO ในส่วนของตัวหุ้นนั้น THACO เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายนอกตลาดผ่านระบบ over-the-counter ด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทเป็นที่ยอมรับและรู้จักทั่วประเทศ ส่งผลให้มีผลประกอบการที่ดีและมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ บทเรียนจากย่อหน้านี้ THACO เป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจมากอยู่หลายประการเริ่มจากการที่เป็นบริษัทเอกชนมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เป็นที่รู้กันดีว่าประเทศเวียดนามเป็นประเทศสังคมนิยม บริษัทส่วนใหญ่เป็นของรัฐ การที่บริษัทเอกชนจะกลายมาเป็นเจ้าตลาดโดยเฉพาะเจ้าตลาดในอุตสาหกรรมนำร่องของประเทศอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย THACO นั้นเป็นบริษัทนอกตลาดที่มีข่าวลืออยู่ทุกปีว่ากำลังจะเข้าตลาด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ list ซักที แม้กระนั้นหุ้น THACO ก็เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายกันนอกตลาดเกือบทุกวันผ่าน OTC (over-the-counter) market เนื่องจากบริษัท และ Brand เป็นที่ยอมรับและรู้จักกันทั่วเวียดนาม ผลประกอบการก็เป็นที่น่าพอใจของนักลงทุนแถมยังมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ THACO เอง ชื่อคุณ Tran Ba Duong ได้รับการรับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 5 นักธุรกิจผู้มีอิทธิพลที่สุดของเวียดนามในปลายปี 2560 และเป็นหนึ่งในสิบบุคคลที่รวยที่สุดในเวียดนาม หากหุ้น THACO เข้าlistในตลาด Mr. Duong จะกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดหนึ่งในสามของเวียดนามเคียงข้าง Mr. Pham Nhat Vuong แห่ง Vincom Group และ Mr. Trinh Van Quyet แห่ง ROS และ FLC อันเลื่องชื่อ ส่วนบริษัท THACO เอง ณ ขณะนี้ก็เป็นบริษัทจำกัดที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2768
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ช่อง YouTube อัพสกิลการเงินการลงทุน
null
วันนี้เราจะมาแนะนำช่อง YouTube เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อเพิ่มทักษะทั้งการเงินและการลงทุนกันค่ะ โดยมีมาฝาก 5 ช่อง ช่องแรก คือ SET Group Official จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมคลิปความรู้การเงินและการลงทุน ช่องที่สองคือ Money Channel Thailand ช่อง YouTube เกี่ยวกับการลงทุนที่ป๊อปปูล่ามาก ๆ ที่มีรายการต่าง ๆ ให้รับชมมากมาย ช่องที่สาม คือ TNN24 ที่เป็นช่องรายการข่าวก็จริง แต่ก็มีรายการเพื่อนักลงทุน คือ คู่หูนักลงทุน ช่องที่สี่ คือ MoneyTalkChannel ช่อง YouTube เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน และหุ้น และช่องสุดท้าย CGS-CIMB TH จาก CIMB Securities ของประเทศไทย ที่มีรายการ CIMB Research Live บทเรียนจากย่อหน้านี้ 12 แหล่งขุมทรัพย์ใน YouTube อัพสกิลการเงินการลงทุน SET Group Official 1) รวบรวมคลิปความรู้ดีๆโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มี Oppday ย้อนหลังให้ติดตามด้วย Money Channel Thailand ช่องยอดนิยมสำหรับนักลงทุน มีรายการน่าสนใจให้ดูมากมาย เช่น 2) Money Talk Weekly – เป็นรายการเจาะลึกหุ้นรายตัว โดยมีผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนมาให้ข้อมูลเชิงลึก และข้อมูลละเอียดมาก 3) Business Model – เป็นรายการเจาะลึกหุ้นรายตัวเ โดยมีผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนมาให้ข้อมูล ความละเอียดของข้อมูลถือว่าสุดยอดเช่นกัน 4) มือใหม่ Turn Pro – รายการที่จะเชิญวิทยากรมากฝีมือ เช่น นักวิเคราะห์มืออาชีพ มาลงรายละเอียดอุตสาหกรรมมากมาย 5) Hard Topic – เจาะลึกทุกประเด็นทางเศรษฐกิจ 6) เจาะแก่น VI – เหมาะสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่าหรือ Value Investor 7) ลงทุนอย่างเสือ – รวบรวมแนวความคิดหลายมุมมองของผู้บริหารและวิทยากรมากฝีมือ 8) VI กึ่งสำเร็จรูป – รวบรวมกลยุทธ์และความรู้ที่ VI ต้องมี 9) DBS Explorer – รวบรวมมุมมองภาพใหญ่แบบเจาะลึก TNN24 ช่องข่าวที่มีรายการสำหรับนักลงทุนเหมือนกัน เช่น 10) คู่หูนักลงทุน – ปูพื้นฐานอย่างละเอียดโดย Momentum และ Value Investor MoneyTalkChannel ช่องที่มีรายการเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน และหุ้นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น 11) Money Talk@SET – งานสัมมนาทุกเดือนที่จะรวบรวมหลากหลายประเด็นน่าสนใจมาให้ฟัง CGS-CIMB TH ช่องของ CIMB Securities ประเทศไทย มีรายการอย่าง: 12) CIMB Research Live – รายการที่นักวิเคราะห์จะเข้ามาวิเคราะห์หุ้นรายตัวและอุตสาหกรรม
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2771
Finance
โมเดลธุรกิจแบบ Asset Light ของ COM7 มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
null
โมเดลธุรกิจแบบ Asset Light ของ COM7 มีความเสี่ยงหลักๆ ดังนี้ 1. ความเสี่ยงจากการพึ่งพาพันธมิตร: COM7 พึ่งพาพันธมิตรอย่าง True Shop และร้านแบรนด์ต่างๆ ในการขยายสาขาและเพิ่มรายได้ หากพันธมิตรเปลี่ยนนโยบายหรือยกเลิกสัญญา อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ COM7 อย่างมาก COM7 จำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตร และสร้างความพึงพอใจให้กับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง 2. ความเสี่ยงจากการแข่งขัน: ธุรกิจค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีการแข่งขันสูง คู่แข่งของ COM7 อาจมีโมเดลธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน หรือมีจุดแข็งที่เหนือกว่า COM7 จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน 3. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี COM7 จำเป็นต้องติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 4. ความเสี่ยงจากการบริหารจัดการ: โมเดลธุรกิจแบบ Asset Light อาจมีความซับซ้อน COM7 จำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุมต้นทุนและรักษาคุณภาพสินค้าและบริการ 5. ความเสี่ยงจากสภาพเศรษฐกิจ: สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ยอดขายของ COM7 อาจลดลงหากสภาพเศรษฐกิจไม่ดี COM7 จำเป็นต้องมีกลยุทธ์เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ข้อควรระวัง: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของ COM7 อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ควรประเมินความเสี่ยงของโมเดลธุรกิจแบบ Asset Light ควรติดตามผลประกอบการของ COM7 อย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2774
Finance
ในปี 2567 นี้ ตลาดหุ้นไทยจะสามารถกลับมาเป็นตลาดกระทิง (Bull Market) ที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. สภาพเศรษฐกิจไทย: เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ประมาณ 3-4% ต่อปี โครงสร้างประชากรไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูง 2. มูลค่าหุ้นไทย: ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) อยู่ในระดับสูง ค่า PE Ratio ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับสูง 3. นโยบายการเงิน: ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามเฟด 4. ปัจจัยอื่นๆ: สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกา ความตึงเครียดทางการเมืองในภูมิภาค 5. พฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติ: นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว 6. การเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ: ตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพการเติบโตที่สูงกว่า โดยสรุป: ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังไม่เอื้ออำนวยให้เป็นตลาดกระทิง นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มรอสัญญาณที่ดีขึ้นก่อนกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวได้บ้างในบางช่วง ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้: ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นโยบายภาครัฐ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นด้วย หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจริงได้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและพิจารณาปัจจัยต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2778
Finance
ในปี พ.ศ.2560 ธนาคารกรุงเทพมีสินทรัพย์น้อยกว่า 10% ของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ธนาคารกรุงเทพมีสินทรัพย์ 3.1 ล้านล้านบาท ในปี 2560 ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) มีสินทรัพย์ 3.18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 100 ล้านล้านบาท ในปี 2560 เมื่อเทียบสินทรัพย์ของธนาคารกรุงเทพกับ ICBC จะพบว่า ธนาคารกรุงเทพมีสินทรัพย์เพียง 3.1% ของ ICBC ดังนั้น ธนาคารกรุงเทพมีสินทรัพย์น้อยกว่า 10% ของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก การวิเคราะห์เพิ่มเติม : สินทรัพย์ของธนาคารกรุงเทพนั้นน้อยกว่า 10% ของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากขนาดเศรษฐกิจของไทยที่เล็กกว่าประเทศจีน ธนาคารขนาดใหญ่ในประเทศจีนมักมีฐานลูกค้าและธุรกรรมที่ใหญ่กว่าธนาคารในประเทศไทย ธนาคารในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตน้อยกว่าธนาคารในประเทศจีน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีขนาดเล็กและเติบโตช้า ธนาคารไทยจำเป็นต้องขยายธุรกิจไปต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต ธนาคารไทยจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ข้อมูลสินทรัพย์ของธนาคารเป็นข้อมูล ณ สิ้นปี 2560 อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐต่อบาทไทยที่ใช้ในการคำนวณคือ 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2781
Finance
อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อผลตอบแทนของการลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด
null
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลตอบแทนของการลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด มีดังนี้ ประเภทของสินทรัพย์ สินทรัพย์แต่ละประเภทมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ แต่การลงทุนในหุ้นก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงกว่าเช่นกัน ระยะเวลาการลงทุน ระยะเวลาการลงทุนมีผลต่อผลตอบแทนของการลงทุน โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนในระยะยาวมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในระยะสั้น ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นในระยะยาวมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นในระยะสั้น นโยบายการลงทุน นโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนมีผลต่อผลตอบแทนของการลงทุน กองทุนที่มีนโยบายลงทุนแบบเน้นคุณค่ามักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนที่มีนโยบายลงทุนแบบเน้นการเติบโต ตัวอย่างเช่น กองทุนรวมหุ้นปันผลมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนรวมหุ้นGrowth สภาวะเศรษฐกิจ สภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อผลตอบแทนของการลงทุน โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนในช่วงเศรษฐกิจเติบโตมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นในช่วงเศรษฐกิจเติบโตมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยเหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น ผลตอบแทนของการลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสดจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน สำหรับการลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง และใช้ระยะเวลาการลงทุนในระยะยาว นโยบายการลงทุนควรเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอ และควรติดตามสภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2782
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเกี่ยวกับ "เปิดประสบการณ์การตลาดออนไลน์: ก้าวสู่ความเป็นเจ้าของธุรกิจกับ COM7"
null
แนวคิดของแคมเปญ "เปิดกลยุทธ์ COM7 #1: เพิ่มรายได้โดยไม่ต้องลงทุนขยายหน้าร้าน" คือการให้ความสำคัญกับการตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุนในการขยายหน้าร้านด้วยวิธีการที่เป็นเอกลักษณ์และทันสมัยของ COM7 โดยเฉพาะทางการตลาดออนไลน์ที่มีความสำคัญและเป็นที่ต้องการในยุคปัจจุบัน โดยเน้นไปที่ 1. การเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดออนไลน์: การใช้เทคนิคและกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดออนไลน์ของธุรกิจ เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย, การทำ SEO, การตลาดทางอีเมล์ เป็นต้น 2. การสร้างฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย : การใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและเพิ่มยอดขายโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรในการขยายหน้าร้าน อาจมีการใช้โปรโมชั่น, การสร้างความน่าสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการ เป็นต้น 3. การให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: การให้คำแนะนำและความช่วยเหลือจากทีมผู้เชี่ยวชาญของ COM7 เพื่อให้ธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จในการตลาดออนไลน์ 4. การทดลองฟรี: การให้โอกาสให้ลูกค้าทดลองใช้กลยุทธ์และบริการของ COM7 โดยไม่ต้องลงทุนใดๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับปรุงธุรกิจของตนได้ ดังนั้น แนวคิดของแคมเปญนี้เน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีและการตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจและเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องลงทุนในการขยายหน้าร้านในยุคดิจิทัลและการตลาดออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือคำแนะนำใดๆ เกี่ยวกับแนวคิดของแคมเปญนี้อีกไหมฦ
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2784
Finance
10 แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ ใช้กับเรื่องลงทุนมีอะไรบ้าง
null
1. สร้างความโดดเด่นให้สินค้า (Differentiation) แล้วจำกัดจำนวนสินค้า (Supply Restriction) 2. กล้าที่จะรอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณเอาจริง (Type-Revealing Cost) 3. อย่าไปสนสิ่งที่เสียไปแล้ว (Sunk Cost) สนถึงค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ดีกว่า 4. ของดีๆ มักอยู่ได้ไม่นาน เคยเจอคนที่ดีพร้อมไปทุกอย่าง – หน้าตาดี นิสัยดี ฉลาด ตลก โสด – เข้ามาคุยแล้วชวนไปดินเนอร์ไหม? เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นี้อาจไม่เคยเกิดขึ้นกับเราเลย เพราะคนอื่นคงเอาชนะเรา แย่งชิงคนแสนดีคนนั้นไปแล้ว เราต้องเข้าใจว่าใน “ตลาด” ของความสัมพันธ์นั้น ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของ “สินทรัพย์” ในตลาดด้วยกันทั้งนั้น (Information Symmetry) ของดีๆ จึงมักอยู่ได้ไม่นาน ต้องมีคนรีบชิงไปก่อน ดังนั้น ถ้าใครบางคนยังโสดอยู่ ก็คงมีเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังความโสดนั้น 5. คิดถึงความเสี่ยง (Risk Preference) ที่เรารับได้ ก่อนเริ่มลงทุน 6. กระจายความเสี่ยงในพอร์ต (Diversification) 7. ได้ผลตอบแทนดีขึ้นแน่ ถ้ายอมเสียสภาพคล่อง (Liquidity) 8. การถ่อมตน (Self-Deprication) เป็นการส่งสัญญาณบอกว่าคุณมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เมื่อเรากล้าที่จะถ่อมตน 9. ทำตารางให้ยุ่งเข้าไว้ เพื่อที่จะได้เพิ่มพลังการต่อรอง (Bargaining Power) เ 10. หาสินทรัพย์ที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่า
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2785
Finance
จงเขียนเรื่องสั้น "ฟื้นตัวอย่างไมโครซอฟท์: การกลับมาของนักเปลี่ยนแปลง"
null
เมื่อช่วงหนึ่งที่ผ่านมาในโลกของเทคโนโลยี นักวิเคราะห์และผู้เกี่ยวข้องในวงการได้เห็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดา เป็นการกลับมาของบริษัทยักษ์ใหญ่ในโลก ไมโครซอฟท์ กลับมาอย่างมีชีวิตชีวา พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหน้าตาและวิสัยทัศน์ของตนเอง ทุกคนที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักลงทุน หรือผู้บริหาร ได้รับความกระตือรือร้นในเรื่องนี้ บางคนบอกว่ามันเป็นการกลับมาอย่างที่ไม่คาดคิด ในขณะที่คนอื่นกล่าวว่ามันคือการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโลกของเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น โดยพื้นฐานแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง การตระหนักถึงปัญหา และการพัฒนาตนเองใหม่ในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว "Hit Refresh: การกลับมาของไมโครซอฟท์" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการก้าวขึ้นมาใหม่ของบริษัทที่แสนมหัศจรรย์ ซึ่งเคยเป็นนิยามของภาพลักษณ์ในโลกของเทคโนโลยี โดยเฉพาะในยุคที่ผ่านมา กลับมาอย่างมีพลัง พร้อมกับการตั้งใจที่จะก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงและสร้างสรรค์ ไมโครซอฟท์ไม่ได้เป็นเพียงแค่บริษัทที่สร้างซอฟต์แวร์ แต่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง โดยการสร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนทั่วโลก ความเชื่อในพลังของการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก คือสิ่งที่ท้าทายที่สุด และไมโครซอฟท์ก็ทำได้ เรื่องราวนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ตั้งแต่วันนี้ แต่เป็นการต่อสู้และการพัฒนาตนเองของบริษัทที่ต้องผ่านมาเป็นปีๆ ในเส้นทางที่แสนลำบาก แต่พวกเขาไม่เคยหยุดย้อนกลับ พวกเขาเชื่อในการพัฒนาและการสร้างสรรค์ มันไม่ได้มีเพียงแค่การปรับปรุง แต่มันเป็นการ "Hit Refresh" ให้กับตนเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดียิ่งขึ้นอีกครั้ง อย่างที่คุณมั่นใจว่า วันนี้ และในอนาคต ไมโครซอฟท์จะยังคงเป็นผู้นำในโลกของเทคโนโลยีอย่างไม่ต้องสงสัย และเรื่อง "Hit Refresh" นี้ ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมันไปด้วย
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2786
Finance
นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้างก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลวาเลนไทน์?
null
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลวาเลนไทน์: 1. ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ: สภาวะเศรษฐกิจโดยรวม: เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค อัตราเงินเฟ้อ: อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจทำให้ผู้บริโภคมีเงินเหลือสำหรับซื้อสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นน้อยลง นโยบายการเงิน: นโยบายการเงินที่ตึงตัวอาจทำให้ผู้บริโภคกู้ยืมเงินได้ยากขึ้น 2. ความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรม: การแข่งขัน: ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลวาเลนไทน์มักมีการแข่งขันสูง เทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจส่งผลต่อรูปแบบการบริโภคของผู้บริโภค กฎระเบียบ: กฎระเบียบใหม่ ๆ อาจส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจ 3. ความเสี่ยงเฉพาะบริษัท: ผลประกอบการ: นักลงทุนควรตรวจสอบผลประกอบการที่ผ่านมาของบริษัท แผนงานในอนาคต: นักลงทุนควรศึกษาแผนงานในอนาคตของบริษัท ทีมผู้บริหาร: นักลงทุนควรศึกษาประวัติและผลงานของทีมผู้บริหาร 4. ปัจจัยอื่นๆ: เทรนด์: นักลงทุนควรศึกษาเทรนด์ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลวาเลนไทน์ สภาพอากาศ: สภาพอากาศอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค เหตุการณ์พิเศษ: เหตุการณ์พิเศษอื่น ๆ อาจส่งผลต่อความสนใจของผู้บริโภค นอกจากนี้ นักลงทุนควร กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ลงทุนระยะยาว: ไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนระยะสั้น ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและอุตสาหกรรมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสรุป การลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลวาเลนไทน์มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและพิจารณาปัจจัยต่างๆ before making an investment decision. ตัวอย่าง นักลงทุนควรตรวจสอบว่ายอดขายของร้านอาหารในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่ผ่านมามีการเติบโตหรือไม่ นักลงทุนควรศึกษาว่าโรงภาพยนตร์มีภาพยนตร์โรแมนติกเข้าฉายในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์หรือไม่ นักลงทุนควรตรวจสอบว่าโรงแรมมีแพ็คเกจพิเศษสำหรับเทศกาลวาเลนไทน์หรือไม่ คำเตือน: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้เขียนบทความนี้มิไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2788
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การเติบโตที่สูงของหุ้น AU ก่อนและหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์
null
หุ้น AU เป็นหุ้นของร้าน After U ที่มีการขายสินค้ายอดฮิตอย่าง ฮันนี่โทสต์ หรือ คากิโกริ ทำให้เป็นกระแสเพราะทางร้านเป็นผู้คิดค้นเมนูขึ้นเอง ในปี 2556 หรือในช่วงก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะมีกำไรอยู่ที่ 4 ล้านบาท แต่ในเวลาผ่านไป AU มีกำไรพุ่งสูงมาก โดยในปี 2560 มีกำไรอยู่ที่ 94 ล้านบาท โดยสัดส่วนการเติบโตอยู่ที่ 2,250% แม้ร้าน After U จะไม่ค่อยมีกระแสแต่ร้านก็เป็นที่นิยมเนื่องจากสินค้าขายดี บทเรียนจากย่อหน้านี้ คุณภาพการออกสินค้าของ AU ที่สูงและยากต่อการลอกเลียนแบบ ที่ผ่านมาได้เห็นต้นกำเนิดของขนมปังอบใส่ไอศกรีมหรือ “ฮันนี่โทสต์” (Honey Toast) ที่ AU เป็นคนคิดค้นขึ้น หลังจากนั้นน้ำแข็งใสจากญี่ปุ่นหรือ “คากิโกริ” (Kakigori) ก็ได้รับความนิยมในไทยสูงมากก็เพราะ AU รวมทั้งยังมีออกสินค้าใหม่ๆ ที่ปังๆ หลายตัวอย่าง After U ทุเรียน น้ำปั่นตามฤดูกาล คากิโกริชาเขียว และที่สำคัญคือ คู่แข่งเข้ามาทำตามเยอะมากแต่ยังไม่มีใครที่ทำแล้วปังกว่า After U เลย เวลา AU ออกสินค้าอะไรก็ตาม จะเกิดเป็นกระแสทันที คนจะแห่กันถ่ายรูปลงอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก นี่เป็นการทำการตลาดโดยใช้ตัวลูกค้าเองโดยที่ AU ไม่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายทางการตลาดมากมายอะไรเลย AU มีการออกสินค้าใหม่ใน Q3 2560 คือคากิโกริชาเขียวที่ได้รับความนิยมดีมาก และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ทำให้ผลประกอบการดีขึ้นมากจากปีที่แล้วในช่วงเดียวกัน เพราะปีก่อนหน้ามีฐานที่ต่ำเนื่องจากมีเหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม ก่อนเข้าตลาด (หรือในปี 2556) มีกำไรประมาณ 4 ล้านบาท ผ่านไป 3 ปี AU มีกำไรในรอบ 9 เดือน 2560 ถึง 94 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตของกำไร 2,250% ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 60% และอัตรากำไรสุทธิเกิน 20% ในไตรมาส 3 แสดงถึงอัตราการทำกำไรที่ดี เนื่องจากสินค้าที่ออกมาใหม่ AU จะคำนึงถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงอีกด้วย นี่คือความเก่งของ AU ที่แม้จะเป็นบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในกระแสแต่ก็สามารถขายดิบขายดีและเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2791
Finance
P/E Bollinger Band คืออะไร
null
P/E คือ Price to Earnings Ratio หรือ ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น. และนักลงทุนนิยมใช้ ใช้ P/E ในการประเมินมูลค่าซึ่งเป็นวิธีสัมพัทธ์ (Relative Method) Bollinger Band คือ Indicator ที่ใช้ทาง Technical โดย ผู้ให้กำเนิดมันขึ้นมาเขาคนนั้นก็คือ John Bollinger ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการการเล่นหุ้น และเก็งกำไรมาอย่างโชกโชน ดังนั้น P/E Bollinger Band คือการนำค่า P/E มาสร้างเป็นเป็น Band ดังรูป Upper P/E Bollinger Band คือ ราคาหุ้นที่เกิดจาก ค่าเฉลี่ยของ PE ภายใน 1 ปี (หรือมากกว่านั้น) บวกกับ 1 หรือ 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานของ PE Lower Bollinger Band คือ ราคาหุ้นที่เกิดจาก ค่าเฉลี่ยของ PE ภายใน 1 ปี (หรือมากกว่านั้น) ลบกับ 1 หรือ 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานของ PE ถ้าราคาหุ้นปรับตัวต่ำกว่า Lower Bollinger Band แสดงว่า ราคาหุ้นถูก ให้พิจารณาซื้อ ถ้าราคาหุ้นปรับตัวมากกว่า Upper Bollinger Band แสดงว่า ราคาหุ้นแพง ให้พิจารณาขาย นอกจากนี้เราก็ยังสามารถนำว่าใช้ในการประเมินมูลค่าได้อีกด้วย
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2794
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 5 กุญแจที่สำคัญของระบบ SEPA
null
5 กุญแจที่สำคัญของระบบ SEPA มีอะไรบ้าง มาเริ่มที่อย่างแรกเลยค่ะ อย่างแรก คือ การเทรดนั้นจะต้องเทรดในขณะที่หุ้นเป็น trend ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น อย่างที่สอง คือ หุ้นถูกขับเคลื่อนด้วยกำไรที่เติบโตขึ้นจากยอดขายของสินค้าที่เกิดขึ้นใหม่ อย่างที่สาม การมีตัวเร่งจากสินค้าออกมาใหม่เพื่อให้ได้รับความนิยม อย่างที่สี่ คือ การมี VCP Pattern เพื่อ break แนวต้านก่อนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในการซื้อหุ้น และข้อสุดท้าย คือ การทำ stop-loss เพื่อปกป้องกำไรและเงินต้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ 5 กุญแจที่สำคัญของระบบ SEPA - จะต้อง trade ในขณะที่หุ้นเป็น trend ขาขึ้น ไม่ เทรดในขณะที่หุ้นเป็น trend sideway หรือ downtrend - Fundamentals: หุ้น super performance จะถูกขับเคลื่อนด้วย กำไรที่เติบโตขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งอาจจะเกิดจากการยอดขายที่เพิ่มขึ้นเพราะมีสินค้าใหม่ หรือ ลด Cost เพราะปรับปรุงกระบวนการผลิต - Catalyst : ทุกหุ้นที่มีกำไรมหาศาล เนื่องจากจะต้องมีตัวเร่ง (Catalyst) อาจจะเกิดจาก สินค้าที่ออกมาใหม่ทำให้ได้รับความนิยม ทำให้ขายได้มาก หรือ เข้าไปซื้อบริษัทเพิ่มที่ทำให้เกิด synergy ระหว่างกัน หรือ ถ้าเป็นหุ้นวัฏจักรจะต้องเป็นราคาขาขึ้นของสินค้า commodity นั้นๆ - Entry Point : เวลาที่เข้าซื้อหุ้นนั้นสำคัญมาก หุ้น super performance จะมี VCP Pattern จะ break แนวต้านก่อนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว - Exit Point: หุ้นที่มีลักษณะเป็น super performance อาจจะไม่ใช่ทุกตัวที่จะวิ่งขึ้นไปมีกำไร ดังนั้นคุณจะต้องมีระบบการปกป้องกำไรและเงินต้น โดยมีการทำ stop-loss ด้วย
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2795
Finance
ในยุคเศรษฐกิจยุคใหม่ (New Economy) อะไรคือความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่ม New Economy?
null
ความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่ม New Economy มีดังนี้: 1. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว บริษัทที่ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัยอยู่เสมอ อาจถูกคู่แข่งแซงหน้า และสูญเสียส่วนแบ่งตลาด 2. ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน: ธุรกิจในกลุ่ม New Economy มักมีการแข่งขันสูง บริษัทต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน และสามารถสร้างจุดแข็งเพื่อ diferensiasi จากคู่แข่ง 3. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: กฎระเบียบใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ New Economy อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท 4. ความเสี่ยงด้านมูลค่า: หุ้นกลุ่ม New Economy มักมีมูลค่าราคา (valuation) สูง นักลงทุนควรวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าราคาหุ้นสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทหรือไม่ 5. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: หุ้นกลุ่ม New Economy บางตัวอาจมีสภาพคล่องต่ำ นักลงทุนอาจซื้อหรือขายหุ้นได้ยาก 6. ความเสี่ยงด้านความผันผวน: หุ้นกลุ่ม New Economy มักมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรมี risk appetite ที่สูง 7. ความเสี่ยงด้านปัจจัยภายนอก: ปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ สงคราม การเมือง อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท คำแนะนำ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ตัว นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับธุรกิจ New Economy อยู่เสมอ นักลงทุนควรมีวินัยในการลงทุน และไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่ออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
ตลาดการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2801
Finance
อะไรคือกลยุทธ์ทางการเงินที่คนวัยทำงานควรนำไปใช้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณอย่างมั่นคง
null
กลยุทธ์ทางการเงินที่คนวัยทำงานควรนำไปใช้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณอย่างมั่นคง มีดังนี้ 1. เริ่มต้นออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ออมเงินอย่างสม่ำเสมอ ตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจน เลือกเครื่องมือออมเงินที่เหมาะสม 2. ลงทุนเพื่อต่อยอดเงินออม ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เลือกประเภทการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง กระจายความเสี่ยง 3. วางแผนค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ประเมินค่าใช้จ่ายที่จำเป็นหลังเกษียณ เตรียมเงินออมให้เพียงพอ พิจารณาหาเงินออมเพิ่มเติม 4. ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ 5. เตรียมแผนสำรอง เตรียมแผนรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำประกันชีวิต ทำประกันสุขภาพ ตัวอย่างกลยุทธ์เพิ่มเติม หางานเสริมหลังเกษียณ ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในธุรกิจส่วนตัว คำแนะนำเพิ่มเติม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ติดตามข่าวสาร ข้อมูล การเปลี่ยนแปลงของตลาด พัฒนาความรู้และทักษะด้านการเงินอย่างต่อเนื่อง คำแนะนำเพิ่มเติม: บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น ผู้ใช์ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ใช์ควรพิจารณาความเสี่ยงก่อนลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2802
Finance
6 นิสัยทางการเงินยอดแย่ มีอะไรบ้าง
null
1. ไม่วางแผนการเงิน การมีเป้าหมายทางการเงิน จำเป็นต้องวางไว้ทั้งเป้าหมายในระยะสั้นและระยะยาว คนที่ไม่วางแผนจึงมักจะพบว่า ตัวเองมักมีเรื่องเร่งด่วนอื่นโผล่มาก่อนถึงเป้าหมายเป็นระยะๆ ระหว่างการออม เช่น อยากซื้อรถเพราะต้องย้ายที่ทำงานใหม่ไปไกลและเดินทางลำบากกว่าเดิม อยากได้สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่เห็นในโฆษณา หรือแม้แต่อยากต่อเติมห้องนอน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ที่ไม่ได้อยู่ในแผนจะทำให้เราหยุดออมสำหรับเป้าหมายวัยเกษียณ แล้วหันไปจ่ายเพื่อเรื่องอื่นๆ ที่คิดว่าสำคัญกว่า และไม่ได้อยู่ในแผนไว้แต่แรก จนทำให้การออมสำหรับเป้าหมายหลักลดระดับความเข้มข้นลงไปจากความต้องการ 2. ใช้จ่ายแบบไม่รอบคอบ บางคนประมาทเพราะคิดว่าตัวเองมีหลักประกันในอนาคต เช่น คิดว่ายังมีเงินจากกองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ… ฯลฯ สำรองอยู่เสมอ โดยหลงลืมไปว่า รายได้จากกองทุนเหล่านี้ พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ หรือเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน 3. ก่อหนี้ไว้จนเกินตัว เป็นเหตุให้ต้องเอาเงินที่จะได้มาในอนาคตไปหักหนี้ที่ก่อไว้ เช่น ปล่อยให้ตัวเองเป็นหนี้บัตรเครดิตทับถม จนต้องกู้เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญ เงินจากประกันชีวิต จนท้ายที่สุดไม่มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายเมื่อเกษียณ 4. ไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินสดเท่าไหร่ ได้เงินมาเท่าไหร่ก็ใช้ไปเท่าที่มี เงินหมดก็เบิกธนาคารออกมาใช้อยู่เรื่อยๆ ไม่มีการกันเงินไว้เป็นก้อนเป็นประเภทว่าประเภทไหนใช้ได้เมื่อไร พูดง่ายๆ คือไม่เคยทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเองอย่างเป็นกิจจะลักษณะ 5. รายได้ต่ำแต่มีรสนิยมสูง คือพวกที่ชอบใช้จ่ายเงินเกินตัว จนแต่ไม่เจียม เวลาได้เงินมาก็คิดถึงแต่เรื่องจะใช้เงินอย่างไรจนหมดไม่เหลือเก็บ แถมยังเหนียวหนี้ โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต ที่มักประวิงเวลาตัวเองด้วยการทยอยจ่ายแต่จ่ายหนี้ขั้นต่ำ ทำให้ต้องเสียค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมทบต้นหลายตลบ กว่าจะรู้ตัวก็หมดทั้งบัญชี ไม่มีเหลือให้เบิก คราวนี้ละต้องกู้หนี้ยืมสินให้เสียดอกเบี้ยหนักขึ้นไปอีก 6. บริหารเงินแบบไม่มีความรู้ เห็นใครเขาฮิตอะไรก็แห่ไปลงทุนตามเขา ซื้อทองซื้อหุ้นแบบไม่เคยทำการบ้าน วันๆ ก็เอาแต่ตามกระแสโดยไม่สนใจศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งไม่มีการจัดสรรสินทรัพย์ที่ดีพอ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2805
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ของการนำหุ้น ROE สูงและค่า P/E ต่ำมาอ่านทุกตัว
null
ความสัมพันธ์ของการนำหุ้น ROE สูง และค่า P/E ต่ำมาอ่านทุกตัว คือ หุ้นที่นำมาอ่านจะมีทั้งหุ้นเติบโต หุ้นเทิร์นอะราวน์ หุ้นมีกำไรพิเศษ หรือ หุ้นโภคภัณฑ์ ความสัมพันธ์นี้บ่งบอกได้จากหุ้นในกลุ่มน้อย ที่ส่วนมากมาจากบริษัทที่เราคุ้นหูกันดีหรืออาจจะอยู่ในชีวิตประจำวันของเราก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การวิเคราะห์หุ้นที่เกิดจากความสัมพันธ์ของการนำหุ้น ROE สูง และค่า P/E ต่ำมาอ่านทุกตัว ค่อนข้างทำได้ยาก บทเรียนจากย่อหน้านี้ เคยแสกนหาหุ้นแค่ช่วงประมาณสามเดือนแรกของการลงทุนเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เคยใช้อีกเลย ให้ปัจจัยทางคุณภาพและปริมาณอย่างละ 50 : 50 และค้นพบว่าคุณภาพมาก่อนปริมาณ การนำหุ้น ROE สูง P/E ต่ำมาอ่านทุกตัวนั้น มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวอย่างในกลุ่มน้อย ในกลุ่มที่แสกนมาอาจมีทั้งหุ้นเติบโต หุ้นเทิร์นอะราวน์ หุ้นมีกำไรพิเศษ หุ้นโภคภัณฑ์ หุ้นที่ ROE สูงตามธรรมชาติ และหุ้น ROE สูงเพราะ D/E สูง สมมติแสกนมาเจอ CPALL INTUCH BEC AUCT และ TASCO แบบนี้วิเคราะห์ยาก เพราะมันมีความสำคัญภายในกลุ่มน้อย จึงไม่ค่อยใช้การแสกนเลย เพราะวิเคราะห์ได้ยาก แต่นั่งอ่านหุ้นไปทีละอุตสาหกรรม เปรียบเทียบกันในกลุ่มก่อน เช่น สื่อสารก็ดู ADVANC TRUE DTAC เทียบกันเพราะธุรกิจคล้ายกัน พอดูพื้นฐานธุรกิจแล้ว ค่อยมาดูงบการเงินต่อ วิเคราะห์ไปทีละตัว ตัวไหนดีเก็บใส่รายชื่อไว้ ก่อนไปหาหุ้นกลุ่มอื่นต่อ วิธีนี้ข้อดีคือหุ้นมีความสัมพันธ์กันสูง วิเคราะห์ง่าย ภาพชัดเจน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2806
Finance
คำถามที่ 1: มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTM) ที่กำหนดใน Decree 116 มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนามอย่างไร? คำถามที่ 2: รัฐบาลเวียดนามออกมาตรการลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ให้เหลือ 0% เพื่อบรรเทาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศอย่างไร? คำถามที่ 3: ในอนาคตอุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนามจะเป็นอย่างไร? คำถามที่ 4: บริษัท THACO และ VIC มีบทบาทอย่างไรต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนาม?
null
คำตอบที่ 1 มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีที่กำหนดใน Decree 116 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนาม ดังนี้ เพิ่มต้นทุนในการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ เนื่องจากผู้นำเข้าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขอใบรับรองคุณภาพจากแหล่งผลิตและจากกรมตรวจสอบคุณภาพรถยนต์ของเวียดนาม รวมทั้งเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งและการตรวจสอบรถนำเข้า เพิ่มระยะเวลาในการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ เนื่องจากกระบวนการตรวจสอบคุณภาพจะใช้เวลานานขึ้น ทำให้รถยนต์นำเข้ามีราคาแพงขึ้น เนื่องจากต้นทุนและระยะเวลาในการนำเข้าเพิ่มขึ้น ผลกระทบเหล่านี้ทำให้บริษัทรถยนต์ข้ามชาติหลายแห่งหยุดการส่งออกรถยนต์ไปยังเวียดนาม และหันไปเพิ่มกำลังการผลิตในฐานการผลิตเดิมในต่างประเทศแทน คำตอบที่ 2 มาตรการลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ให้เหลือ 0% ช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศยังต้องนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากต่างประเทศอยู่มาก อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้มีผลบังคับใช้เฉพาะรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ 2,000cc หรือรถยนต์ 9 ที่นั่งลงไปเท่านั้น ซึ่งคิดเป็น 70% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด คำตอบที่ 3 ในอนาคตอุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนามมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเวียดนามมีประชากรจำนวนมาก และกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนามยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากบริษัทรถยนต์ข้ามชาติจากต่างประเทศ หากรัฐบาลเวียดนามสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศให้เข้มแข็งขึ้นได้ อุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนามจะมีศักยภาพที่จะกลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ คำตอบที่ 4 บริษัท THACO และ VIC เป็นบริษัทรถยนต์ในประเทศเวียดนามที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดย THACO เป็นผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ในเวียดนามมากที่สุด ส่วน VIC เป็นบริษัทที่มีเงินทุนมหาศาลและกำลังขยายธุรกิจด้านรถยนต์อย่างรวดเร็ว ทั้งสองบริษัทมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนาม เนื่องจากเป็นบริษัทที่ลงทุนในการผลิตรถยนต์ในประเทศและสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่น นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ในเวียดนาม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในระยะยาว
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2815
Finance
จงแต่งนิยายเรื่อง "บัญชีในใจ: ความรุ่งเรืองที่ไม่ใช่เพียงแค่เงิน" ให้หน่อย
null
ในห้องสมุดขนาดเล็กของเมืองคานาอัน มีหนังสือหลายเล่มถูกวางอย่างเรียบร้อยบนชั้นหนังสือ แต่มองเข้าไปในใจของผู้คนในเมืองเล็กนี้ก็จะพบว่ามีบัญชีพิเศษแตกต่างกันอยู่ทุกคน นักเรียนมัธยมอายุสิบหกขวบชื่อ "ชัญญา" เป็นหนึ่งในคนที่มีบัญชีที่ซับซ้อนมากที่สุด และมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของเงินเท่านั้น เมื่อเท้าของ"ชัญญา" กระทบพื้นห้องสมุด "ชัญญา" ก็ยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม "ชัญญา"จับหนังสือที่มีปกสีฟ้าขึ้นมา หนังสือเรื่องหนึ่งที่เขามักจะอ่านและศึกษาให้มากที่สุด เรื่องเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน เมื่อเขาอ่านหน้าแรกเขาก็จับปากเขาและรู้สึกเหมือนจะหลงใหลในโลกของตัว"ชัญญา" เอง "ชัญญา" เป็นเด็กนักเรียนที่ฉลาด และมีสิ่งที่เขาเรียกว่า "บัญชีในใจ" ที่ทำให้เขาเป็นคนที่มีจิตสำนึกสูงกว่าเด็กนักเรียนปกติ แต่บัญชีในใจของ"ชัญญา" ไม่ใช่แค่เกี่ยวกับเรื่องของการเงินเท่านั้น มี "ชัญญา" การบันทึกเกี่ยวกับความรู้สึก ความตั้งใจ และการปรับตัวในชีวิตแต่ละวัน สำหรับ"ชัญญา" เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่า"ชัญญา" จะมีความสามารถในการทำเงินมากเพียงใดก็ตาม แต่สิ่งที่"ชัญญา" คำนึงถึงมากกว่าก็คือความสุขและความสำเร็จในชีวิต "ชัญญา" เรียนรู้ว่าเงินอาจจะช่วยให้มีและสิ่งที่ต้องการ แต่มันไม่สามารถซื้อความสุขแท้จริงและความสำเร็จที่มีคุณค่าในชีวิตได้ และเมื่อวันที่สำคัญมาถึง วันที่"ชัญญา" จะต้องเลือกโรงเรียนที่จะเข้าเรียนหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก "ชัญญา" ทราบดีว่าเงินไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เขาเป็นคนที่เขาต้องการ "ชัญญา" เลือกมหาวิทยาลัยที่ตรงกับความสนใจและความใฝ่ฝันของ"ชัญญา" และด้วยความพยายามและความมุ่งมั่น "ชัญญา" ก็สามารถหาทางเข้าไปในมหาวิทยาลัยนั้นได้ เมื่อทางมหาลัยนำพาบัญชีในใจของ"ชัญญา" ไปอ่านสิ่งที่ชัญญาได้จดบันทึกสิ่งต่างๆลงไป "ชัญญา" คือคนที่มีคุณค่ามากมาย ไม่ใช่เพียงแค่เป็นเรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของความสำเร็จและความสุขในชีวิต ** การมีความสุขและความสำเร็จในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินเพียงอย่างเดียว การมีสัมพันธ์ที่ดี ความสุขทางจิตใจ ความพึงพอใจในตัวเอง และการทำสิ่งที่ให้ความสำคัญกับความสุขส่วนตัว เป็นต้น การเติบโตและความสำเร็จที่แท้จริงมาจากการฟังคำแนะนำของบัญชีในใจ ที่นำไปสู่ทางที่เป็นประโยชน์และเติบโตในทุกมิติของชีวิต ดังนั้นควรใส่ใจและดูแลกันอย่างดีเสมอ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเงินหรือด้านอื่น ๆ ของชีวิตในทุกช่วงเวลาโดยตลอด
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2817
Finance
ธรรมะ 5 ข้อ ที่นักลงทุนควรจะมี คือ อะไรบ้าง
null
ข้อที่ 1 อิทธิบาท 4 กระบวนการสร้างความสำเร็จ นักลงทุนทั่วไปคงคือว่า คนที่ประสบความในการลงทุน จะต้องเป็นคนฉลาด มี IQ ดี มีความรู้มากมาย มีเทคนิคอันซับซ้อน หรือเข้าใจว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก็มีลักษณะคล้ายกับคนที่ประสบความสำเร็จในสาขาอื่นๆ คือ มี EQ สูง หรือ ผมข้อใช้คำว่า Key ของความสำเร็จ เกิดจาก 80% มาจากทัศคติ 20% มาจากความฉลาด และธรรมะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างทัศคติ ผมได้มีโอกาศไป วิปัสสนากรรมฐาน 10 วัน ได้รับรู้ธรรมะหลายข้อ ผมขอเลือก ธรรมะ 5 ข้อ ที่คิดว่าจะทำให้นักลงทุน ลงทุนอย่างมีความสุข ข้อที่ 2 ปัญญา 3 ประการ ที่สร้างความสำเร็จในการลงทุน ปัญญา นั้นหมายถึง ความฉลาด รอบรู้ ความเข้าใจชัดในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นความรู้ทั่วถึงเหตุผล รู้อย่างชัดเจนในบาปบุญคุณโทษ รู้วิชา รู้จัึกกาลเทศะ ผู้มีปัญญานั้นไม่จำเป็นว่าจะเป็นว่าจะเป็นคนรวย หน้าตาดี ฐานะดี จบการศึกษาสูง ที่มี IQ (สติปัญญา) สูง จริงๆ แล้วคนธรรมดาอย่างท่านทั้งหลาย หรือคนที่จบป.4 ก็สามารถเป็นผู้มีปัญญาทั้งในด้าน IQ และความฉลาดทางอารมณ์ EQ ได้เช่นเดียวกัน ข้อที่ 3 ทุกข์ ทำไมนักลงทุนจึงมีความทุกข์ เหตุความทุกข์ของการลงทุนมีอะไรบ้าง หลักๆ คือ การยึดติดกับบางสิ่งไม่ปล่อยวาง ยึดติดอดีตมากเกินไป คาดหวังอนาคตมากเกินไป ไม่มีสติรู้ที่อยู่กับปัจจุบัน ยังพัฒนาปัญญาในการลงทุนไม่พอ ข้อที่ 4 อุเบกขา ช่วยนักลงทุนควบคุมจิตใจ ความวางเฉยแบบวางใจเป็นกลาง ไม่ปรุงแต่งอารณ์ของตัวเองจนเกินไป กำไร ก็ไม่ต้องดีใจให้มากเกินไป ขาดทุน ก็ไม่ต้องเสียใจมากเกินไป ไม่ปรุงแต่งคิดไปเองว่า กำไรมาก ฉันจะรวยแล้ว ไม่ปรุงแต่งคิดไปเองว่า ขาดทุนมาก ฉันจะจนแล้ว อุเบกขา ต้องใช้คู่กับ ปัญญา สติ และ อนิจจา อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง มีหมายความว่า สิ่งทั้งหลายมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไป ไม่มีความคงที่ตายตัว หุ้นก็เช่นกัน อย่ายึดติด อดีตผ่านไปแล้ว หวนคืนไม่ได้ จงปล่อยวางอดีต ปล่อยวางทั้งผลดีและผลไม่ดี เพราะ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว มองหน้าสู่อนาคต ข้อที่ 5 อัตตา ช่วยพัฒนาก้าวไปอีกขั้น อัตตา กูใหญ่ กูเก่ง เมื่อเราลงทุนจนประสบความสำเร็จ คนเรามักจะมี “อัตตา” กูเก่งแล้ว ไม่เห็นต้องฟังใหญ่ ยิ่งมีอัตตาเยอะ ก็จะประมาท เมื่อประมาท ความหิบหายก็จะมา นี่เป็นข้อสุดท้ายที่นักลงทุนควรจะ พัฒนาไปให้ถึง
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2818
Finance
นักลงทุนหุ้นโตเร็ว ควรลงทุนในธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยรายหรือไม่?
null
ใช่ นักลงทุนหุ้นโตเร็วควรลงทุนในธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย เหตุผล มีดังนี้ 1. อำนาจการตั้งราคา: ธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยรายจะมีอำนาจการตั้งราคาสินค้าหรือบริการได้สูงขึ้น ส่งผลให้ margins สูง และกำไรเติบโต 2. ส่วนแบ่งการตลาด: ธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยรายมีโอกาสที่จะขยายส่วนแบ่งการตลาดได้ง่ายกว่า 3. อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด: ธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย มักมีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดสูง เช่น เทคโนโลยีที่ซับซ้อน ทุนเริ่มต้นสูง ใบอนุญาตพิเศษ 4. Economies of scale: ธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย สามารถผลิตสินค้าหรือบริการได้ในปริมาณมาก ลดต้นทุนต่อหน่วยลง 5. นวัตกรรม: ธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย มักมีแรงจูงใจในการพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ตัวอย่าง: Apple: บริษัท Apple เป็นผู้นำตลาดในธุรกิจสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม มีคู่แข่งน้อยราย ส่งผลให้ Apple มีอำนาจการตั้งราคาสูง Tesla: บริษัท Tesla เป็นผู้นำตลาดในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า มีคู่แข่งน้อยราย ส่งผลให้ Tesla มีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น ความยั่งยืนของธุรกิจ: ธุรกิจนั้นมีโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง และสามารถรักษาความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้หรือไม่ ความสามารถในการบริหารจัดการ: ทีมผู้บริหารมีความสามารถและประสบการณ์เพียงพอที่จะนำพาธุรกิจให้เติบโตหรือไม่ มูลค่าที่เหมาะสม: ราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจแล้วหรือไม่ ข้อควรระวัง: ธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย มักมีความเสี่ยงสูง หากคู่แข่งใหม่เข้าสู่ตลาด ธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย มักถูกจับตามองจากหน่วยงานกำกับดูแล สรุป: นักลงทุนหุ้นโตเร็วควรลงทุนในธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย แต่ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2820
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Sovereign Wealth Fund
null
Sovereign Wealth Fund หมายถึง กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เป็นสถาบันที่มีความมั่งคั่งที่มีขนาดใหญ่สถาบันประเภทอื่น ด้วยเหตุผลที่ว่าประเทศนำเงินบางส่วนที่ได้จากการบริหารประเทศและทรัพยากรธรรมชาติ มาฝากไว้กับกองทุนและให้กองทุนหาผลตอบแทนที่เหมาะสมให้แก่ประเทศ บทบาทของ Sovereign Wealth Fund คือ มีสำคัญต่อตลาดทุนระหว่างประเทศ หรือ International Capital Markets จากตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรรัฐบาล ตลาดหุ้นกู้ ผ่าน 3 สกุลเงินใหญ่ของโลกอย่าง เงินดอลลาร์สหรัฐ USD, เงินยูโร EUR และ เงินเยน JPY บทเรียนจากย่อหน้านี้ Sovereign Wealth Fund หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ถือเป็นนักลงทุนประเภทสถาบันที่เมื่อเทียบกับ นักลงทุนสถาบันประเภทอื่นเช่น mutual fund, private fund, insurance มักจะมีความมั่งคั่งหรือขนาดกองทุนใหญ่กว่านักลงทุนสถาบันประเภทอื่น ทั้งนี้ก็เพราะว่าประเทศจะนำเงินบางส่วนที่ได้รับจากการบริหารประเทศและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การเก็บภาษี การขายกิจการของรัฐ มาฝากไว้กับกองทุนและตั้งให้กองทุนหาผลตอบแทนที่เหมาะสมให้แก่ประเทศ กองทุนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อตลาดทุนระหว่างประเทศ (International Capital Markets) ทั้งในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรรัฐบาล ตลาดหุ้นกู้ ใน 3 สกุลเงินใหญ่ของโลก (USD, EUR & JPY) หากจะเทียบกับประเทศไทยแล้ว คงจะเปรียบได้กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือ สำนักงานประกันสังคม (สปส.)
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2821
Finance
กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นเติบโต 3 แบบได้แก่อะไรบ้าง
null
การเติบโตแบบที่ 1 คือ การหาหุ้นที่มีสินค้าและบริการที่โดนใจลูกค้าของบริษัท บริษัทอาจจะมีสินค้าและบริการหลากหลายที่สามารถขายและทำเป็นธุรกิจได้แล้ว แต่ยังไม่ “โดน” นั่นหมายความว่าการเติบโตของบริษัทนั้นมี แต่อาจจะยังลุ่มๆดอนๆไม่มีความแน่นอน กลุ่มลูกค้าเป็นใครก็อาจจะยังบอกชัดเจนไม่ได้ ซึ่งการหาธุรกิจหรือหุ้นที่มีสตอรี่การเติบโตแบบนี้จะไม่น่าสนใจนักเพราะยังถือว่ามีความเสี่ยงที่สินค้าและบริการของบริษัทจะแต่ขายได้ มีกำไร แต่โตจริงๆจังๆไม่ได้ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตไม่ต่อเนื่อง หุ้นแบบนี้ในบางครั้งอาจจะโตขึ้นมาแล้วถึงขั้นทดถอยเลยก็มี หรืออาจจะเติบโตได้แต่จะต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุนไปอีกนานสุดท้ายมีความเสี่ยงที่จะใส่เงินไปแล้วอาจจะไม่สำเร็จได้ สตอรี่การเติบโตแบบนี้เราจะผ่านไป เพราะแม้จะมีโอกาสที่ดีแต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน การเติบโตขั้นที่ 1 นี้เป็นการเติบโตที่สามารถ “ปลอม” ได้ไม่ยากนัก ใช้เงินสาดๆไปก็สามารถสร้างยอดขายลวงตาได้ เป็นสตอรี่ การเติบโตแบบที่ 2 คือ การมีสินค้าและบริการที่ “โดนใจ” ลูกค้าแล้ว รู้จักกลุ่มลูกค้าของตนเองดีมาก โดยมีความชัดเจนในเชิงของ Business plan มีทีมงานต้นแบบที่พร้อม และมีกลยุทธขยายกิจการที่ชัดเจน แต่ยังไม่ได้ขยายกิจการมากมายนัก เป็นสินค้าและบริการที่เรียกว่ามี “สาวก” และ “แฟนพันธุ์แท้” อยู่แล้ว อย่างเช่นตอนที่ Apple ออก iPhone รุ่นแรกๆ, ร้านขนมหวานอย่าง After You ในช่วง 3-5 ปีแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจมีการขยายสาขาแล้วบ้างแต่ก็ยังไม่มากนัก ร้านนวดสปา Let’s Relax ที่มีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนว่าเน้นนักท่องเที่ยว มีสาขาไม่มากและกำลังจะขยายสาขามากขึ้นในอนาคต หุ้นที่มีธุรกิจแบบนี้ถือว่าอยู่ใน Sweet Spot ของการเติบโต คือเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนไปแล้วเกินครึ่ง เหลืออีกครึ่งคือการลองขยายสาขาจริงๆจังๆ การลงทุนในหุ้นเติบโตขั้นที่ 2 นี้มีการเติบโตที่ชัดเจน มีความเสี่ยงในเชิงการดำเนินงานตํ่า สามารถตั้งสมมุติฐานได้เลยว่าถ้าธุรกิจสามารถเข้าสู่ตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยมีกลุ่มลูกค้าลักษณะเดิมได้ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง พูดง่ายๆคือธุรกิจของหุ้นเติบโตในขั้นที่ 2 นี้เหมือนกับธุรกิจที่สามารถ Copy & Paste ได้แล้ว ในขณะที่หุ้นเติบโตขั้นที่ 1 ยังอยู่ในช่วงหาสินค้าและบริการที่ “โดนใจ” อยู่ การลงทุนในหุ้นเติบโตขั้นที่ 2 นี้จึงมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่ามากด้วยระบบที่พร้อม และแผนธุรกิจที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ (แม้จะเป็นความสำเร็จกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่มากก็ตาม) การเติบโตขั้นที่ 2 นี้เป็นการเติบโตที่ปลอมยากที่สุด เพราะต้องทำให้สินค้าและบริการเป็นที่นิยมเปรี้ยงปร้างขึ้นจริงๆ ซึ่งมีแค่เงินก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ การเติบโตแบบที่ 3 คือ หุ้นที่มีธุรกิจอยู่แล้วแต่อาจจะเติบโตช้า, ไม่เติบโตแล้ว หรือแม้แต่ถดถอยอย่างช้าๆ และกำลังหาธุรกิจเติบโตใหม่เข้ามาเสริมหรือแก้ไขธุรกิจเดิมเพื่อให้ธุรกิจกลับมาเติบโตได้ โดยบริษัทอาจจะกำลังหาสินค้าใหม่ไปขายให้กับกลุ่มลูกค้าเดิม หรือใช้สินค้าเดิมไปขายให้กับกลุ่มตลาดใหม่ แบบนี้จะดีกว่าการเติบโตแบบที่ 1 เพราะอย่างน้อยบริษัทมีธุรกิจเดิมเป็นฐานให้อยู่แล้ว
กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2823
Finance
มีวิธีการวิเคราะห์และคัดกรองหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการถัวอย่างไร?
null
วิธีการวิเคราะห์และคัดกรองหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการถัว มีดังนี้: 1. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: งบการเงิน: ศึกษางบการเงินอย่างละเอียด พิจารณารายได้ กำไร อัตรากำไรขั้นต้น หนี้สิน กระแสเงินสด ฯลฯ ธุรกิจ: ศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจ โมเดลธุรกิจ กลยุทธ์ โอกาสการเติบโต คู่แข่ง อุปสรรค ฯลฯ ผู้บริหาร: ตรวจสอบประวัติและผลงานของผู้บริหาร 2. วิเคราะห์ทางเทคนิค: แนวโน้ม: วิเคราะห์แนวโน้มของราคาหุ้น ดูว่าอยู่ในขาขึ้น ขาลง หรือ Sideway รูปแบบกราฟ: ศึกษารูปแบบกราฟ หาจุด Support, Resistance Indicator: ใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น MACD, RSI, Bollinger Bands ฯลฯ 3. เลือกหุ้นที่มีปันผล: หุ้นที่มีปันผล แสดงถึงความมั่นคงของบริษัท เงินปันผล ช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้น เลือกหุ้นที่มี Dividend Yield สูง 4. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว ควรกระจายความเสี่ยง เลือกหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย เลือกหุ้นที่มี Market Cap ต่างกัน 5. ศึกษาข้อมูลข่าวสาร: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับบริษัท วิเคราะห์ผลกระทบของข่าวสารต่อราคาหุ้น ระวังข่าวลือ 6. ตั้งจุด Stop Loss: กำหนดจุด Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง ปรับจุด Stop Loss ตามสถานการณ์ 7. ใจเย็นและมีวินัย: การถัวหุ้นต้องใช้เวลา ใจเย็นและรอคอยโอกาส ไม่ควรใจร้อน ตัดสินใจซื้อขายตามอารมณ์ มีวินัย ซื้อขายตามแผนที่วางไว้ ตัวอย่างหุ้นที่อาจเหมาะสมสำหรับการถัว: หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี งบการเงินแข็งแกร่ง กำไรเติบโต ราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น มีปันผล ตัวอย่างหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงการถัว: หุ้นปั่น หุ้นวงใน หุ้นซิ่ง หุ้นที่มีเจ้ามือ หุ้นที่มีข่าวลือ หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอ **การถัวหุ้นเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค เลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโต กระจายความเสี่ยง ตั้งจุด Stop Loss ใจเย็นและมีวินัย การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2824
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การซื้อหุ้นโตเร็วตอนเติบโตด้วยหนี้สิน
null
การซื้อหุ้นโตเร็วตอนเติบโตด้วยหนี้สิน จะเป็นการซื้อหุ้นโตเร็วที่ได้ต้นทุนต่ำ เป็นจังหวะการซื้อที่ดูไม่แย่เลยทีเดียว ถ้าสามารถรอได้ จะไม่มีทางสนใจได้เลยว่าว่าราคาของหุ้นนั้นจะมีการขึ้นหรือลงอย่างไร แต่มันก็มีข้อจำกัด เพราะบางบริษัทจะใช้วิธีการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นแทนการกู้เงินจากธนาคาร เนื่องจากการซื้อหุ้นโตเร็วตอนเติบโตด้วยหนี้สิน เป็นช่วงที่หุ้นนั้นเติบโตตอนที่เงินทุนมีน้อย และยังไม่สามารถขยายกิจการได้ด้วยเงินสด บทเรียนจากย่อหน้านี้ “ซื้อตอนเติบโตด้วยหนี้สิน” ใครที่คิดจะลงทุนหุ้นโตเร็ว แล้วสนใจลงทุนตั้งแต่เริ่มต้น จังหวะการซื้อตอนที่หุ้นประเภทนี้ยังเติบโตด้วยหนี้สิน ก็เป็นจังหวะซื้อที่ไม่เลวนัก เนื่องจากเราจะได้ต้นทุนที่ต่ำ และหากรอคอยได้ไม่รีบก็ไม่ต้องสนใจว่าราคาจะขึ้นๆ ลงๆ อย่างไร แต่ถ้าลงเมื่อไรก็สอยเข้าพอร์ตก็เท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี ในช่วงการเติบโตที่เงินทุนยังน้อย ยังไม่สามารถขยับขยายกิจการด้วยกระแสเงินสด หลายบริษัทที่เครดิตไม่ดีนัก อาจเลือกหนทาง “เพิ่มทุน” กับผู้ถือหุ้นแทนการกู้เงินจากธนาคาร หรือสถาบันการเงิน หรือแม้แต่การออกหุ้นกู้ก็ยังมีต้นทุนที่สูง ทำให้การเพิ่มทุนเป็นสิ่งที่นักลงทุนพึงระมัดระวังหากคิดจะลงทุนตั้งแต่เฟสแรกๆ ของการเติบโต และสิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องแน่ใจว่ากิจการเติบโตได้จริงอย่างที่ตั้งความหวังเอาไว้
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2826
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของการวางแผนประกันสุขภาพ โดยจัดการผลกระทบมากก่อนเสมอ
null
การวางแผนประกันสุขภาพ โดยจัดการผลกระทบมากก่อนเสมอ เป็นการจัดการความเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบกับเงินของตนเองแบบมากที่สุด โดยเฉพาะโรคร้ายแรง ถึงจะมีโอกาสเกิดได้น้อยกว่าโรคทั่วไปที่รักษาแป๊ปเดียวก็หายได้ แต่ก็ส่งกระทบกับเงินเยอะแยะ ทั้งค่ารักษาพยาบาบ ค่านู้น ค่านั้น เพราะฉะนั้น จึงต้องประเมินค่าใช้จ่ายโรคร้ายแรง ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.5 ถึง 5 ล้านบาท รวมถึงการซื้อประกันสุขภาพที่มีทั้งแบบจ่ายเป็นเงินก้อน กับแบบจ่ายเมื่อเข้ารักษาตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เบี้ยประกันก็ขึ้นกับวงเงินที่คุ้มครองด้วยเช่นกัน บทเรียนจากย่อหน้านี้ วิธีการวางแผนประกันสุขภาพ จัดการผลกระทบมากก่อนเสมอ หมายถึง จะต้องจัดการโรคความเจ็บป่วย ที่จะทำให้เกิดผลกระทบกับเงินของตนเองมากที่สุด เช่น โรคมะเร็ง แม้มีโอกาสเกิดได้น้อยกว่า โรคทั่วไป ค่ารักษาพยาบาล แต่ถ้าเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งแล้วจะกระทบกับเงินของตนเองเยอะ ดังนั้น จะต้องประเมินวงเงินค่าใช้จ่าย โรคมะเร็ง โดยทั่วไป ก็จะต้องวงเงินประมาณ 1.5-5 ล้านบาท ในการรักษา ประกันสุขภาพก็จะมีแบบจ่ายเป็นเงินก้อน และ จ่ายเมื่อเข้ารักษาตัว ดังนั้นเบี้ยประกันก็ขึ้นกับวงเงินที่ต้องการคุ้มครองด้วย
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2830
Finance
นักลงทุนจะจัดการกับความทุกข์จากการลงทุนได้อย่างไร?
null
จากบทความ "ธรรมะ 5 ข้อเพื่อการลงทุนอย่างมีความสุข" ข้อที่ 3 "ทุกข์" อธิบายถึงสาเหตุและกระบวนการเกิดทุกข์ของนักลงทุน สาเหตุหลักของความทุกข์ การยึดติด กับบางสิ่ง เช่น เงิน อดีต อนาคต การคาดหวัง ผลตอบแทนที่เกินจริง การขาดสติ รู้ตัว ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ การขาดปัญญา ในการลงทุน วิธีจัดการกับความทุกข์ ฝึกสติ รู้ตัว อยู่กับปัจจุบัน ไม่จมอยู่กับอดีต หรือ กังวลกับอนาคต ฝึกปัญญา พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการลงทุน ฝึกปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับเงิน กำไร ขาดทุน ฝึกการเปรียบเทียบ กับตัวเอง ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น ตัวอย่างวิธีฝึก ฝึกสติ: ฝึกการหายใจ ฝึกสมาธิ ฝึกปัญญา: อ่านหนังสือ ฟัง podcast เกี่ยวกับการลงทุน ฝึกปล่อยวาง: ฝึกทำทาน ฝึกการให้ ฝึกการเปรียบเทียบ: จดบันทึกผลการลงทุน เปรียบเทียบกับผลงานในอดีต การจัดการกับความทุกข์ ยอมรับ ว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เข้าใจ สาเหตุของความทุกข์ ปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับความทุกข์ หาทางแก้ไข พัฒนาตัวเอง เรียนรู้เพิ่มเติม การลงทุน มีแผนการลงทุน ที่ชัดเจน กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว ควบคุมอารมณ์ สรุป: การจัดการกับความทุกข์จากการลงทุน เริ่มต้นที่ตัวนักลงทุนเอง ฝึกสติ ปัญญา ปล่อยวาง เปรียบเทียบกับตัวเอง พัฒนาแผนการลงทุน กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาว ควบคุมอารมณ์ คำแนะนำเพิ่มเติม: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เข้าร่วมกลุ่มนักลงทุน พักผ่อน ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ
กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2834
Finance
จากหลักการลงทุนของคุณประชา ดำรงค์สุทธิพงศ์ นักลงทุนควรพิจารณาอะไรบ้าง ในการวิเคราะห์และเลือกบริษัทเพื่อลงทุนระยะยาว
null
นักลงทุนควรพิจารณาประเด็นต่างๆ ในการวิเคราะห์และเลือกบริษัทเพื่อลงทุนระยะยาว ดังต่อไปนี้ 1. ธุรกิจ (Business) - เลือกธุรกิจที่มีโอกาสดีกว่าค่าเฉลี่ย - ธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง (ROE) - ธุรกิจที่มีหนี้สินต่ำ - ธุรกิจที่มี Cash cycle ดี - ธุรกิจที่มีความยั่งยืนสูง 2. ผู้บริหาร (Management) - ผู้บริหารมีความซื่อสัตย์ - ผู้บริหารมีความสามารถ (ไม่จำเป็น) 3. ราคา (Price) - ราคาเหมาะสม - ไม่จำเป็นต้องรอให้ราคาถูก 4. การซื้อและขาย (Buy & Sell) - ซื้อเมื่อธุรกิจมีคุณภาพ - ขายเมื่อธุรกิจอิ่มตัว - ไม่จำเป็นต้องมีราคาเป้าหมาย - ถือหุ้นไปเรื่อยๆ 5. การพัฒนาตัวเอง - พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ - พัฒนาหลักการลงทุนให้เข้ากับตัวตน ตัวอย่าง บริษัทที่มี ROE สูง แต่มีหนี้สินสูง นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มเติมว่า หนี้สินนั้นมาจากอะไร บริษัทที่มี Cash cycle ดี หมายถึง บริษัทสามารถหมุนเวียนสินค้าคงคลังเป็นเงินสดได้เร็ว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ ผู้บริหาร และราคาหุ้นอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำเพิ่มเติม - หลักการลงทุนของคุณประชาเป็นเพียงแนวทาง นักลงทุนควรปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง - นักลงทุนควรศึกษาหลักการลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติม - นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2835
Finance
Jeff Bezos, Bill Gates, Warren Buffett, Mark Zuckerberg, Mukesh Ambani, Jack Ma และ Elon Musk มีกลยุทธ์เปิดรับความรวย และความสดชื่นยามเช้าอย่างไรบ้าง
null
- Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon Net Worth: 97.8 billion USD (2017) เขาถึงขนาดมีถุงนอนอยู่ที่ออฟฟิศ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็พยายามไม่ประชุมในตอนเช้า นอกจากนี้ยังมีวันที่เขา "กัน" ไว้ไม่ให้มีการประชุมอีกด้วย - Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft Net Worth: 90.4 billion USD (2017) ออกกําลังแบบคาร์ดิโอบนลู่วิ่งประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนไปทานอาหารเช้า โดยระหว่างออกกําลังนั้นก็ดูวิดิโอสื่อการสอนจาก Teaching Company ไปด้วย - Warren Buffett นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Berkshire Hathaway Net Worth: 84.7 billion USD (2017) เขาตื่นนอน 6.45 น. แล้วเริ่มวันด้วยการอ่าน The Wall Street Journal, USA Today และ Forbes ส่วนอาหารเช้าของเขานั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดหุ้น หากสภาวะสดใสเขาก็จะสั่งของแพงหน่อย โดยร้านโปรดของเขาคือ McDonald's - Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook Net Worth: 71.9 billion USD (2017) หากวันไหนไม่ต้องทํางานจนอดหลับอดนอน เขาจะตื่นมาดูโทรศัพท์และออกกําาลังกาย ส่วนเสื้อผ้านั้นเขาไม่จําเป็นต้องเสียเวลาคิดว่าจะใส่ชุดอะไร เพราะเขาใส่เสื้อผ้าแบบเดิมทุกวัน - Mukesh Ambani ประธาน Reliance Industries Limited Net Worth: 41 billion USD (2017) เขาตื่นนอนในช่วงเวลาระหว่างตี 5 ถึงตี 5 ครึ่ง เพื่อไปออกกําลังกายในยิม ซึ่งรวมไปถึงการว่ายน้ํา และจากนั้นก็ต่อด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับ - Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba Group Net Worth: 38.5 billion USD (2017) เขาให้ความสําคัญกับการมีความสุขในชีวิตประจําวันมาก เขาจะตื่นประมาณ 6 ถึง 7 โมง ออกกําลังแบบไทชิ และจะทํางานเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็จะอุทิศให้กับครอบครัว - Elon Musk CEO ของ SpaceX และ Tesla Net Worth: 20.5 billion USD (2017) เขามักจะนอนประมาณ 6 ชั่วโมงและตื่นมาตอน 7 โมง เขาจะตอบอีเมลสําคัญๆ ภายในครึ่งชั่วโมง ต่อจากนั้น จึงไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียน อาบน้ําและขับรถไปทํางาน ช่วงเช้าที่เหลือของเขามักจะหมดไปกับการประชุม
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2836
Finance
เขียนแนวคิดเรื่อง "ปัญญาในการลงทุน: เส้นทางสู่ความสุขและความมั่นคงในการเงิน" ให้หน่อย
null
การลงทุนอาจมองเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่การทำให้การลงทุนเป็นที่สุขไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเท่านั้น แนวคิดที่มีต่อการลงทุนอย่างมีความสุข อาจมาจากธรรมะที่เน้นการใช้ปัญญาในการตัดสินใจเลือกลงทุนอย่างถูกต้อง โดยการใช้ปัญญาในการลงทุนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประการดังนี้ 1. การเข้าใจความเป็นอิสระ (เสรีภาพในการลงทุน) การลงทุนอาจมีความสัมพันธ์กับความเป็นอิสระของเราในทางที่หลากหลาย เมื่อเราเข้าใจถึงความเป็นอิสระทางการเลือกทางการเงินของเรา เราสามารถทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและรางวัลของการลงทุนอย่างมีความสุขมากขึ้น การมองโลกในแง่ของความเป็นอิสระช่วยให้เราสามารถเลือกที่จะลงทุนอย่างอิสระโดยไม่ถูกผูกมัดด้วยความกดดันหรือความต้องการ 2. การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นจริง (สติปัญญา) การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน ความเข้าใจถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับตลาดทางการเงินและบริบททางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน การมีสติปัญญาช่วยให้เราสามารถรับรู้ความเป็นจริงและจัดการกับความเป็นจริงในการลงทุนของเราอย่างมีความสุข 3. การเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลง (ปัญญา) การเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการลงทุนอย่างมีความสุข โลกการเงินและตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การมีปัญญาในการลงทุนหมายความว่าเราต้องรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและปรับตัวตามเงื่อนไขใหม่อย่างมีความสุข การมองโลกในแง่ของการเปลี่ยนแปลงช่วยให้เราสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ และเลือกที่จะลงทุนในอนาคตอย่างมีความสุขและมั่นคงมากขึ้น ** ดังนั้น การใช้ปัญญาในการลงทุนมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากมันช่วยให้สามารถเลือกที่จะลงทุนอย่างมีความสุขและมั่นคง การเรียนรู้และฝึกปัญญาในการตัดสินใจลงทุนอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในอนาคตและช่วยให้มีสุขภาพการเงินที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นด้วย
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2840
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของ Credit Default Swap
null
Credit Default Swap หรือ CDS หมายถึง เครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ช่วยลดความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล ธนาคาร หรือ บริษัท ซึ่งระบบการซื้อขายนั้น ถือว่าดีมากกว่าในอดีต เนื่องจากมีความเป็นมาตรฐานมากขึ้นและมีการควบคุมดูแลไม่ให้เกิดสัญญาซ้อนกัน บทเรียนจากย่อหน้านี้ CDS คือตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ซึ่งออกโดยสถาบันอย่างรัฐบาล ธนาคาร หรือบริษัทนั่นเอง CDS นั้นเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ เพราะช่วยในการลดความเสี่ยงการผิดชำระหนี้ แต่เมื่อนำมาใช้อย่างผิดจุดประสงค์ บวกกับความโลภเงินที่ได้มาแบบง่ายๆ นั้นก็เป็นชนวนที่ทำให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ ระบบการซื้อขาย CDS ดีขึ้นกว่าเมื่อสมัยก่อนเกิดวิกฤต เพราะมีความเป็นมาตรฐานมากขึ้น มีการควบคุมดูแลไม่ให้เกิดสัญญาซ้อนกันหลายๆ ตลบ ส่วนในประเทศไทยนั้น ก็มีหน่วยงานอย่าง ก.ล.ต. คอยดูแลตรวจตราอยู่ จึงพอจะมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า CDS ไม่น่าจะก่อปัญหาร้ายแรงขนาดครั้งก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ควรใช้เหตุการณ์ในปี 2007 เป็นบทเรียนที่ย้ำเตือนให้ไม่ประมาทกับผลตอบแทนที่ได้มาอย่างง่ายดาย ทำความเข้าใจกับความเสี่ยงและสภาพคล่องของตัวเองก่อนจะตัดสินใจข้องเกี่ยวกับธุรกรรมต่างๆ ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียมากกว่าที่ควรเสียก็เป็นได้
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2843
Finance
นักลงทุนสามารถลดโอกาสการติดดอยได้หรือไม่?
null
ใช่ นักลงทุนสามารถลดโอกาสการติดดอยได้ เหตุผล มีดังนี้ 1. การศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น ข้อมูลสำคัญๆ เช่น งบการเงิน กลยุทธ์ธุรกิจ โครงสร้างผู้ถือหุ้น ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ฯลฯ การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดจะช่วยให้นักลงทุนประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น และตัดสินใจซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม 2. การกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ควรกระจายเงินลงทุนไปยังหุ้นในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง 3. การใช้กลยุทธ์การลงทุน: นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การลงทุนที่ชัดเจน เช่น การลงทุนระยะยาว การลงทุนแบบ VI การลงทุนแบบเทคนิค ฯลฯ กลยุทธ์การลงทุนจะช่วยให้นักลงทุนมีวินัยในการลงทุน และตัดสินใจซื้อขายหุ้นอย่างมีเหตุผล 4. การติดตามข่าวสาร: นักลงทุนควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น และบริษัทที่ลงทุนอยู่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์สถานการณ์ และตัดสินใจซื้อขายหุ้นได้อย่างทันท่วงที 5. การใช้เครื่องมือช่วยตัดสินใจ: นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น โปรแกรมวิเคราะห์หุ้น กราฟทางเทคนิค ฯลฯ เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น ตัวอย่าง: นักลงทุนศึกษาข้อมูลบริษัท XYZ อย่างละเอียดก่อนซื้อหุ้น พบว่าบริษัทมีผลประกอบการที่ดี มีแผนขยายธุรกิจ และมีผู้บริหารที่มีความสามารถ นักลงทุนจึงตัดสินใจซื้อหุ้น XYZ ในราคาที่เหมาะสม นักลงทุนกระจายเงินลงทุนไปยังหุ้นในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นกลุ่มค้าปลีก ฯลฯ วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ แม้ว่านักลงทุนจะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อลดโอกาสการติดดอย แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะติดดอย ข้อควรระวัง: การศึกษาข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ นักลงทุนควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ และตัดสินใจซื้อขายหุ้นอย่างมีเหตุผล การกระจายความเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าจะไม่ขาดทุน นักลงทุนควรเลือกหุ้นที่มีคุณภาพ กลยุทธ์การลงทุนไม่ใช่สูตรสำเร็จ นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด สรุป: นักลงทุนสามารถลดโอกาสการติดดอยได้ โดยการศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน กระจายความเสี่ยง ใช้กลยุทธ์การลงทุน ติดตามข่าวสาร และใช้เครื่องมือช่วยตัดสินใจ
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2850
Finance
เหมาะสมหรือไม่ที่จะลงทุนในกองทุน TMBCORMF เพียงกองทุนเดียวเพื่อเกษียณอายุ?
null
การลงทุนในกองทุน TMBCORMF เพียงกองทุนเดียวเพื่อเกษียณอายุนั้น มีความเสี่ยงสูง และ ไม่ เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทั่วไป เหตุผลหลักๆ มีดังนี้ 1. ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว: TMBCORMF ลงทุนใน หุ้นจีน เป็นหลัก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้หรือตลาด Developed Markets อื่นๆ หุ้นจีนมี ความผันผวน สูง ราคาหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นลงได้อย่างรวดเร็ว กองทุนมีนโยบายลงทุนใน บริษัทจำนวนน้อย 3 อันดับแรก (Tencent, TAL Education, Alibaba) คิดเป็นสัดส่วนถึง 28.48% ของ NAV หากบริษัทเหล่านี้ประสบปัญหา ผลตอบแทนของกองทุนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก 2. ความเสี่ยงจากสกุลเงิน: TMBCORMF ลงทุนใน สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ส่งผลต่อผลตอบแทนของกองทุน 3. ขาดการกระจายความเสี่ยง: การลงทุนในกองทุนเดียว ไม่ได้กระจายความเสี่ยง ควรลงทุนในกองทุนประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมผสม 4. ระยะเวลาในการลงทุน: การลงทุนในกองทุน TMBCORMF เหมาะสำหรับ นักลงทุนระยะยาว ควรมีระยะเวลาในการลงทุน ไม่น้อยกว่า 5 ปี ผู้ลงทุนควรมี วินัย และ อดทน 5. ทางเลือกอื่น: มีกองทุนรวมหลายประเภทที่ลงทุนในประเทศจีน ควรศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบผลตอบแทน ความเสี่ยง นโยบายการลงทุน เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับ วัตถุประสงค์ และ ความเสี่ยงที่รับได้ คำแนะนำ: ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ออกแบบแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับ เป้าหมาย ระยะเวลา กระจายความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การลงทุนในกองทุน TMBCORMF นั้น มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล ความเสี่ยง นโยบายการลงทุน และออกแบบแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2854
Finance
กองทุน KMSLTF เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
null
กองทุน KMSLTF เหมาะกับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ ดังนี้: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง: กองทุน KMSLTF ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก (Mid/Small Cap) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง: กองทุน KMSLTF มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี สูงกว่าดัชนี SET 50% นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว: กองทุน LTF เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรลงทุนอย่างน้อย 5 ปี นักลงทุนที่เข้าใจกลยุทธ์การลงทุนแบบ Bottom-up: กองทุน KMSLTF เน้นลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยไม่คำนึงถึงขนาดของบริษัท นักลงทุนที่ยอมรับค่าธรรมเนียมบริหารจัดการที่สูง: กองทุน KMSLTF มีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ 1.8725% ซึ่งถือว่าสูง นักลงทุนที่ไม่เหมาะกับกองทุน KMSLTF: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงไม่ได้: กองทุน KMSLTF มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนที่รับความเสี่ยงไม่ได้ควรเลี่ยงกองทุนนี้ นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน: กองทุน KMSLTF ลงทุนในหุ้นซึ่งมีความผันผวนสูง ผลตอบแทนในอนาคตไม่แน่นอน นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น: กองทุน LTF เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนระยะยาว นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นควรเลี่ยงกองทุนนี้ นักลงทุนที่ไม่เข้าใจกลยุทธ์การลงทุนแบบ Bottom-up: กองทุน KMSLTF เน้นลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยไม่คำนึงถึงขนาดของบริษัท นักลงทุนที่ไม่เข้าใจกลยุทธ์นี้ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: กองทุน KMSLTF เหมาะกับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ต้องการผลตอบแทนสูง ต้องการลงทุนระยะยาว เข้าใจกลยุทธ์การลงทุนแบบ Bottom-up และยอมรับค่าธรรมเนียมบริหารจัดการที่สูง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2855
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ นโยบายการลงทุนของกองทุน ASP-GLTF
null
นโยบายการลงทุนของกองทุน ASP-GLTF คือ ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์SET และ ตลาดหลักทรัพย์ MAI ซึ่งผลตอบแทนอ้างอิงกับผลตอบแทนของหุ้น กองทุน ASP-GLTF อาจมีจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และตราสารหนี้ที่เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง จากนโยบายของกองทุนนี้ทำให้เห็นภาพว่า กองทุนนี้สามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นเล็กไปจนถึงหุ้นใหญ่ บทเรียนจากย่อหน้านี้ กองทุน ASP-GLTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นสามัญจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และ/หรือ ตลาดหลักทรัพย์ MAI และ/หรือ ตราสารแห่งทุนซึ่งผลตอบแทนของตราสารดังกล่าวอ้างอิงกับผลตอบแทนของหุ้น หรือกลุ่มหุ้นของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV) โดยจะลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 35% ของ NAV เว้นแต่ ในกรณีที่สภาวะการลงทุนไม่ปกติทำให้ไม่สามารถลงทุนได้ตามสัดส่วนที่กำหนด เงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนใน ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน และ/หรือ เงินฝาก โดยกองทุนอาจจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) จากข้อมูลดังกล่าวจะสังเกตได้ว่าตัวกองทุนสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ MAI สะท้อนว่าสามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลางไปจนถึงขนาดเล็ก ซึ่งหากเข้าไปดูลักษณะหุ้นที่ทางกองทุนลงทุนจริงในปี 2017 นี้จะค่อนข้างแตกต่างจากปีก่อนๆอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกองทุนมีการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์การบริหารครั้งใหญ่ ทำให้ปีนี้มีการเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2856
Finance
กองทุนรวมเปิด ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เอเชีย แปซิฟิก ไดนามิก อินคัม อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (CIMB-PRINCIPAL APDIRMF) เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง
null
ใช่ เหตุผล: กองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง: กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นเอเชียที่เน้นการจ่ายเงินปันผลสูง มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ มีแนวโน้มในการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนสูง: ผลตอบแทน 1 ปีของกองทุนอยู่ที่ 25.45% และ YTD ที่ 31.88% (อ้างอิงข้อมูลจาก Morning Star Thailand ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560) ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับกองทุนรวมหลายๆ กอง กองทุนมีการกระจายความเสี่ยง: กองทุนมีการลงทุนในประเทศเอเชียที่กำลังเติบโตหลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ อินเดีย และใต้หวัน กองทุนมีการลงทุนในบริษัทชั้นนำ: กองทุนลงทุนในบริษัทชั้นนำของเอเชีย เช่น Samsung, ICBC, China Mobile, Tencent, BHP Billiton, AIA, Shinhan Financial Group และ Hon Hai Precision อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน: ระดับความเสี่ยง: กองทุนนี้มีระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ระยะเวลาการลงทุน: กองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะยาว ค่าธรรมเนียม: กองทุนนี้มีค่าธรรมเนียมการจัดการ 1.61% ต่อปี สรุป: กองทุนรวมเปิด ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เอเชีย แปซิฟิก ไดนามิก อินคัม อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (CIMB-PRINCIPAL APDIRMF) เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง และสามารถรับความเสี่ยงสูงได้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2859
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สิ่งที่ทำให้มีความได้เปรียบของการมีพอร์ตใหญ่ขึ้นมา
null
ความได้เปรียบของการมีพอร์ตใหญ่ขึ้นมา เกิดจากแรงซื้อที่มีกำลังมากพอที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นที่มีจำนวนหมุนเวียนในตลาดหุ้นน้อย ซึ่งถือว่าสิ่งนี้เป็นคุณสมบัติที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังคงถือหุ้นจำนวนมากในบริษัท ส่งผลให้เกิดความตื่นเต้นของนักเล่นหุ้น ทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว และเป็นผลต่อเนื่องที่ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในพอร์ตใหญ่มีโอกาสขายหุ้นทำกำไรอันมหาศาลได้ในเวลาสั้น ๆ บทเรียนจากย่อหน้านี้ ความได้เปรียบของการมีพอร์ตใหญ่ขึ้นมาอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ “แรงซื้อ” ที่มากพอที่จะ “ขับเคลื่อนราคาหุ้น” โดยเฉพาะหุ้นที่มีจำนวนหมุนเวียนในตลาดหุ้นน้อย ซึ่งก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทยที่ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของเดิมยังถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทอยู่ การที่รายใหญ่ซื้อหุ้นจำนวนมากอย่างต่อเนื่องในขณะที่คนขายมีจำกัดก็มักทำให้ราคาวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมาก็คือ ความ “ตื่นเต้น” ของนักเล่นหุ้นรายย่อยที่มักจะเข้ามาซื้อขายตาม ผลก็คือ ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วซึ่งทำให้นักลงทุนพอร์ตใหญ่มีโอกาสขายหุ้นทำกำไรมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น ในตลาดหุ้นไทยนั้น การเป็นคนพอร์ตเล็กหรือบริหารเงินจำนวนน้อยนั้น น่าจะช่วยให้สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ถ้าทั้งสองพอร์ตถูกออกแบบให้รับความเสี่ยงเท่า ๆ กันผ่านการกระจายความเสี่ยงเท่า ๆ กันเช่น ถือหุ้นกระจายตัวและไม่เล่นหุ้นด้วยมาร์จินเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่อนุญาตให้ทั้งสองพอร์ตสามารถ “เล่นได้ทุกรูปแบบ” พอร์ตขนาด “ร้อยหรืออาจจะถึงพันล้านบาท” ก็อาจจะไม่เสียเปรียบพอร์ตไม่เกิน 2-3 ล้านบาท
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2861
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ template ของ Trend Template จาก Mark Minervini
null
Trend Template ของ Mark Minervini จะประกอบไปด้วย ราคายืนในการค้นหาหุ้นที่กำลังสร้างฐาน สามารถมีได้ทั้ง EMA 150 วัน และ EMA 200 วัน โดยค่า EMA 150 วัน จะอยู่เหนือ EMA 200 วัน แต่ค่า EMA 200 วันจะอยู่ขาขึ้นอย่างน้อย 1 เดือน ในขณะที่ EMA 50 จะอยู่เหนือ EMA ที่กล่าวไปข้างต้น แต่อยู่ใต้ราคาหุ้น ซึ่งราคาปัจจุบันจะอยู่เหนือจุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์เป็น 100% ในกรณีที่อยากให้ดี และ The Relative Strength Ranking จะต้องอยู่ไม่ต่ำกว่า 70% บทเรียนจากย่อหน้านี้ Mark Minervini เป็นแนว Techno Fundamentalist เหมือนแนวทางที่เรียกว่า CANSLIM วิธีการคัดเลือกหุ้น โดยใช้วิธีทั้งทางพื้นฐาน และทางเทคนิค Mark Minervini ได้พูดถึง Trend Template ในการการค้นหาหุ้นที่กำลังสร้างฐาน และจะ Break High 52 week โดยเขามี template ดังนี้ - ราคายืนเหนือ EMA 150 วัน และ EMA 200 วัน ได้ - EMA 150 วัน อยู่เหนือ EMA 200 วัน - EMA 200 วัน อยู่ขาขึ้นอย่างน้อย 1 เดือน อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ 4-5 เดือน - EMA 50 เหนือ EMA 150 และ 200 วัน - ราคาหุ้นอยู่เหนือ EMA 50 วัน - ราคาปัจจุบันเหนือจุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ไม่ต่ำกว่า 25 % ถ้าจะให้ดี อาจจะเป็น 100% หรือ มากกว่าก็ได้ - ราคาปัจจุบันอยู่ในช่วงอย่างน้อย ประมาณ 25% ของจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ - The Relative Strength (RS) Ranking ไม่ต่ำกว่า 70 แต่ชอบที่ประมาณ 90% โดย RS Line จะต้อง uptrend อย่างน้อย 6 week
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2862
Finance
กองทุน KFLTFTSM-D เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลดหย่อนภาษีและสร้างความมั่งคั่งหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กองทุน KFLTFTSM-D เป็นกองทุน LTF: กองทุน LTF (Long-Term Equity Fund) เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่รัฐบาลไทยสนับสนุนให้คนไทยลงทุนเพื่อออมระยะยาว โดยผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 500,000 บาทต่อปี กองทุน KFLTFTSM-D ลงทุนในหุ้น: หุ้นมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าเงินฝากหรือตราสารหนี้ กองทุน KFLTFTSM-D เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก: หุ้นขนาดกลางและเล็กมีโอกาสเติบโตสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา: กองทุน KFLTFTSM-D มีผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจ โดยสามารถทำผลตอบแทนได้ 25.84% ในปี 2560 ซึ่งเป็นอันดับ 1 สำหรับกองทุน LTF นโยบายการลงทุน: กองทุน KFLTFTSM-D มีนโยบายลงทุนที่เน้นหุ้นในหมวดที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ข้อควรระวัง: กองทุน KFLTFTSM-D เพิ่งจัดตั้งเมื่อปี 2559: ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่สิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุน KFLTFTSM-D ลงทุนในหุ้น: การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม: กองทุน KFLTFTSM-D มีค่าธรรมเนียมการจัดการ 1.80% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงกว่ากองทุน LTF ประเภทอื่นๆ สรุป: กองทุน KFLTFTSM-D เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลดหย่อนภาษีและสร้างความมั่งคั่ง โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีความอดทนและรับความเสี่ยงได้ ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม: ระยะเวลาการลงทุน: กองทุน LTF มีระยะเวลาการลงทุนขั้นต่ำ 7 ปี ผลตอบแทนที่คาดหวัง: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและประเมินผลตอบแทนที่คาดหวังของกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ความเสี่ยง: นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน Disclaimer: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการสรุปข้อมูลของกองทุน KFLTFTSM-D ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2868
Finance
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่ไม่มีความรู้ด้านการเงินมาก่อน ควรเริ่มต้นศึกษาอะไรก่อนลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทย?
null
1. ศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเงิน: เข้าใจความหมายของ "เงินออม" "เงินลงทุน" และ "ความเสี่ยง" เรียนรู้เกี่ยวกับประเภทของสินทรัพย์การลงทุน เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ศึกษาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นไทย กลไกการซื้อขาย ดัชนีตลาด ประเภทของกองทุนรวม 2. เข้าใจเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง: ต้องการออมเงินเพื่ออะไร? เกษียณอายุ การศึกษา ซื้อบ้าน ซื้อรถ ต้องการเงินออมจำนวนเท่าไหร่? ระยะเวลาในการออมเงิน? 3. ประเมินความเสี่ยงที่รับได้: ทดสอบว่าตัวเองมี "Risk Tolerance" ระดับไหน เลือกประเภทของกองทุนรวมให้เหมาะสมกับความเสี่ยง 4. เลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่น่าเชื่อถือ: เปรียบเทียบผลตอบแทนของกองทุนรวม ศึกษาประวัติผลงานของผู้จัดการกองทุน เลือก บลจ. ที่มีบริการและค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม 5. เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย: ลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว ทยอยลงทุนเป็นประจำทุกเดือน (DCA) ศึกษาและติดตามผลการดำเนินงานของกองทุน แหล่งข้อมูลสำหรับศึกษาเพิ่มเติม: กลต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/Home.aspx ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย <URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว> สมาคมบริษัทจัดการกองทุนรวม <URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว> เว็บไซต์และบล็อกการเงินต่างๆ คำแนะนำเพิ่มเติม: ลงทุนอย่างมีวินัย อดทน รอคอยผลตอบแทนระยะยาว ไม่ควรลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหากต้องการคำแนะนำ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2870
Finance
เวลาช่วงแย่ๆ ในการลงทุนมาถึง มักจะเพิ่มความเสี่ยงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเหตุใด ระหว่าง นักลงทุนอยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเอาคืน หรือ ลดขนาดการลงทุน
null
นักลงทุนอยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเอาคืน เวลาช่วงแย่ๆ ในการลงทุนมาถึง มักจะเพิ่มความเสี่ยงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะนักลงทุนอยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเอาคืน แต่ก็พยายามจะขจัดความรู้อยากเอาคืนออกไปให้ไกลที่สุด เพราะ.การที่อยากจะเอาคืน กลับเป็นผลร้ายที่มันจะหวนมาเอาคืน ส่วนการลดขนาดการลงทุน เป็นการแก้ปัญหาการเล่นหุ้น โดยต้องเสี่ยงให้น้อยลง จนกว่าจะเริ่มกลับมามีกำไรอีกครั้ง แล้วค่อยๆ เพิ่มความเสี่ยงขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่ไม่ทำกัน เพราะเมื่อเวลาช่วงแย่ๆ มาถึงนั้น มักจะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น เพิ่มไปเรื่อยๆ เพราะอยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเอาคืน วิธีแก้อีกอย่างคือ ทำให้ระบบการลงทุนง่ายที่สุด เพราะความซับซ้อนจะทำให้แย่ ล้มเหลว และสับสน ในตลาดอนุพันธ์หรือ TFEX มีเทรดเดอร์ที่คลั่งไคล้เครื่องมือเทรดที่เรียกว่า Fibonacci และพวกนับคลื่น Elliot Wave ที่รวยมหาศาล คนกลุ่มนี้มักจะเพิ่มความซับซ้อนและอาการวิงเวียนศรีษะให้กับตัวเอง เช่น กลุ่มที่คลั่งการนับคลื่นใน Elliot Wave แต่ละคนนับคลื่นเไม่หมือนกัน จนสุดท้ายก็ไม่แน่ชัดว่ามันเป็นเวฟย่อยของเวฟอะไรกันแน่ จนพวกเขาสับสนในสิ่งที่เขาคิด จนอาจจะไม่ทำอะไรเลยก็ได้ แต่กลับกัน เหล่าสุดยอดเทรดเดอร์ จะเติบใหญ่เป็นเซียนหุ้นและเซียนตลาด TFEX อย่างแน่นอน เพราะมีสิ่งที่เหมือนๆ กัน คือ พวกเขาจะใช้ระบบการลงทุนที่ง่ายมากๆ จนเกินกว่าจะจินตนาการได้ เพราะมันง่ายเหลือเชื่อ แต่ทำตามได้ยากสุดๆ
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2871
Finance
สายขุดในแวดวงการลงทุน คืออะไร?
null
คำว่า “สายขุด” เป็นคำน้องใหม่ ที่กำลังมาแรงที่สุด ในแวดวงการลงทุน เป็นการลงทุนทางเลือก นักลงทุนบางท่านชอบนำไปเปรียบเทียบกับการลงทุนหุ้นปันผล แต่เป็นการลงทุนเงินดิจิตอล (Cryptocurrency) แทน คำว่า “สายขุด” มันคืออะไร แต่ก่อนอื่นต้องรู้จัก สินทรัพย์ทางเลือก ที่เรียกว่า “เงินดิจิตอล” ก่อน เงินดิจิตอล คืออะไร เงินดิจิตอล คือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแบบดิจิตอล แตกต่างจากเงินทั่วไป คือไม่มีรัฐบาลกำหนดค่าขึ้น มูลค่าของมันเป็นไปตามกลไกอุปสงค์ อุปทาน ซึ่งก็อยู่ที่ประโยชน์ของมันว่าทำให้คนสนใจ อยากมีไว้ในครอบครอง หรือไม่ ปัจจุบันมีหลากหลายสกุลเงินมากเกิน ร้อยสกุลเงิน มูลค่าตลาดรวมกันเท่ากับปริมาณทองที่ถูกถือโดย ETF เงินดิจิตอลเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 หลังวิกฤต Subprime ที่เกิดจากการโกงทางบัญชีของ Lehman Brother ซึ่งน่าเสียดายว่า แค่มีการโกง และปกปิดแค่ที่เดียว ส่งผลกระทบทั้งระบบการเงิน จึงเกิดเทคโนโลยี Blockchain ขึ้น โดย 1 ในประโยชน์นั้นมีไว้เพื่อป้องกันการโกง โดยยึดหลักแนวคิดการกระจายข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ศูนย์กลางอยู่ที่ใดที่หนึ่ง (Decentralized) และยังใช้ในประโยชน์อื่นๆได้อีกมากมาย เช่น ทำระบบชำระเงิน ระบบโอนเงิน สามารถโอนข้ามประเทศได้ในพริบตา แล้วสายขุด คืออะไร เกี่ยวข้องอย่างไร? คราวนี้ก็มาถึง มุมการตลาด ที่จะสร้างแรงจูงใจ ให้คนมาใช้งาน เมื่อเงินดิจิตอล ไม่ได้มีอะไรมากำหนดค่ามัน จึงต้องหาวิธี เช่น ทำให้มีปริมาณจำกัด และค่อยๆปล่อยออกมาสู่ตลาด โดยเงินดิจิตอลตัวแรกที่ดังขึ้นมาคือ Bitcoin ที่นำแนวคิด ทอง ที่มีปริมาณจำกัด อยู่ในเหมืองหลายๆแห่ง มีวันหมดไป มารวมกับ เทคโนโลยี Blockchain ออกมาเป็น “ทองดิจิตอล” ในยุคตื่นทองนั้น มีผู้คนมากมายไปขุดทอง ในยุคตื่นทองดิจิตอล ก็มีผู้คนมากมายไปขุดทองดิจิตอล จึงบังเกิด “สายขุด” หรือผู้ที่ขุดหาทองดิจิตอล (รวมถึงหาประโยชน์จากเงินดิจิตอล อื่นๆ) อย่าพึ่งคิดว่ามันคือการเขียนโปรแกรมสั่งให้มันขุดในโครงข่าย Blockchain ซึ่งจะมีเหมืองและทองดิจิตอล ซ่อนอยู่ แบบนั้นยิ่งดูหลอกลวง การขุด คืออะไร? จริงๆแล้ว การขุด คือการยืนยันการโอนโดยคนที่อยู่ในบล็อกเชนของบิทคอยน์ วิธีการยืนยันคือการแก้โจทย์สมการทางคณิตศาสตร์ โดยใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผล เมื่อการขุดสำเร็จ ผู้ขุดจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญบิทคอยน์ที่เกิดใหม่ ยังไม่มีในระบบ นักขุดเหล่านี้จะเป็นคนที่ทำให้การโอนสำเร็จและเกิดขึ้นอย่างถูกต้องปลอดภัย ซึ่งเมื่อเหรียญหมดแล้ว ก็จะได้รับเป็นส่วนค่าธรรมเนียมโอนแทน ขุดเหรียญอื่นได้รึเปล่า? เหรียญอื่นก็จะมี มุมการตลาด แบบอื่นๆ ซึ่งแปรไปตามโครงสร้างของมัน การขุด คือการใช้กำลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ แต่บางเหรียญก็ให้ขุดในอีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมเรียกกันว่าแบบดอกเบี้ย คือ จะได้เงินปันผลตามจำนวนเหรียญชนิดนั้นที่เรามี บ้างใช้ CPU ในการขุด บ้างก็ใช้ GPU ในการขุด ประโยชน์ของการขุด สายขุดนั้น จะลงทุนซื้อชุดเครื่องมือคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ได้ที่ประมวลผลได้ มาขุด บ้างก็ใช้คอมพิวเตอร์ตัวเองขุด เมื่อขุดแล้วก็จะได้ผลตอบแทน แปรเปลี่ยนไปตาม ความยากในการขุด และราคาเงินดิจิตอล
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2876
Finance
ช่วยบอกแนวคิดเรื่อง "เตรียมตัวเพื่อความสำเร็จ: บูรณาการแนวคิด 'Checklist Yourself First' ในการลงทุนในตลาดหุ้น" ให้หน่อย
null
"Checklist yourself first ก่อนลงทุนในตลาดหุ้น" การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินลงทุนหรือผลตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้ ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อน การลงทุนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด ดังนั้นแนวคิด "Checklist yourself first ก่อนลงทุนในตลาดหุ้น" เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ ลงทุนมีการเตรียมความพร้อมในการลงทุนอย่างเหมาะสม โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. กำหนดเป้าหมายในการลงทุน: ก่อนที่จะลงทุนในตลาดหุ้น ควรกำหนดเป้าหมายทางการเงินอย่างชัดเจน เช่น การลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในระยะยาวหรือการทำกำไรในระยะสั้น โดยการกำหนดเป้าหมายนี้จะช่วยให้มีการวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของตนเอง 2. วิเคราะห์ความเสี่ยง: การวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้ลงทุนควรทำ โดยการพิจารณาความเสี่ยงทางการเงิน และความเสี่ยงในตลาดหุ้นเอง การทำความเข้าใจถึงความ เสี่ยงที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้ลงทุนเลือกกลยุทธ์ลงทุนที่เหมาะสม 3. ประสบการณ์และความรู้: การศึกษาและฝึกฝนความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ การทราบเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ การวิเคราะห์เทคนิค และการจัดการความเสี่ยงจะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ 4. การทำความเข้าใจตลาด: การเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางและความเปลี่ยนแปลงในตลาดหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดและการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจจะช่วยให้ สามารถตัดสินใจการลงทุนได้อย่างมั่นคง 5. การวางแผนการลงทุน: การวางแผนการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มีการควบคุมการลงทุนอย่างมั่นคง โดยการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนและการจัดการพอร์ตโฟลิโอให้เหมาะสม กับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุน 6. การตรวจสอบตนเอง: ทำการตรวจสอบความพร้อมและความเข้าใจตนเองในการลงทุน โดยพิจารณาถึงความเสี่ยงที่พร้อมรับผิดชอบ และความสามารถในการจัดการกับความเสี่ยงนั้นๆ การใช้แนวคิด "Checklist yourself first ก่อนลงทุนในตลาดหุ้น" ช่วยให้ผู้ลงทุนมีการเตรียมความพร้อมและการวางแผนการลงทุนอย่างเหมาะสมก่อนที่จะลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว.
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2879
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ความหมายของคำว่า “ตกรถ” ในเชิงการลงทุนในตลาดหุ้น
null
คำว่า “ตกรถ” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการที่เราไปขึ้นรถไม่ทันเวลานะคะ อย่าเข้าใจผิด แต่คำว่า “ตกรถ” ในความหมายเชิงการลงทุนในตลาดหุ้น หมายถึง การซื้อหุ้นที่ได้เล็งเอาไว้ในใจไม่ทันเวลา ภายหลังได้มีการปรับราคาหุ้น ทำให้นักลงทุนเสียใจที่พลาดการทำกำไรที่มากมายอันงอกเงยในหุ้นตัวนั้น ๆ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกรถ ก็มาจากการต่อราคาหุ้นที่มากเกินไป และความกลัวจนเกินเหตุ จึงทำให้เราลืมทำตามสิ่งที่เราได้วางแผนไว้นั่นเอง บทเรียนจากย่อหน้านี้ ตกรถคืออะไร? คำว่า “ตกรถ” หมายถึง การที่ซื้อหุ้นตัวที่เล็งไว้ไม่ทัน ซึ่งหลังจากนั้นราคาของหุ้นตัวนั้นยังขึ้นต่อไปจากราคาที่คุณขายอีกมากมาย ส่งผลให้พลาดกำไรไปอย่างมหาศาล เช่น คิดว่าอยากจะรอซื้อหุ้นที่ราคา 9 บาท และขายทำกำไรออกมาตอนราคา 15 บาท แต่ต่อมา หุ้นตัวนั้นย่อลงมาแค่ 10 บาท แล้วก็วิ่งขึ้นไปได้ถึง 15 บาท หากเจอสถานการณ์แบบนี้ก็จำไว้เลยว่าได้ “ตกรถ” ไปแล้ว สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่กระทำการตกรถ มีดังนี้ 1. ต่อราคามากเกินไป หลายๆ คนที่จะเข้าซื้อหุ้น รู้ทั้งรู้ว่าธุรกิจของหุ้นตัวนั้นดี มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ต่อราคาหุ้นนั้นมากเกินไป โดยอาจจะเป็นเพราะมีการวิเคราะห์ออกมาแล้วกำหนดราคาเข้าซื้อที่ค่อนข้างตายตัวและต่อราคาลงมาเยอะมาก ทำให้หลายครั้งทำให้อดได้กำไรไปมากมาย 2. กลัวเกินไปจนลืมทำตามสิ่งที่วางแผนไว้ อาการนี้เป็นผลมาจากเวลาหุ้นที่เล็งไว้เตรียมจะเข้าลงทุนแล้ว เกิดปรับตัวลงแรงมากะทันหัน อาจจะเป็นจากหลายปัจจัยโดยไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานหุ้นตัวนั้น เช่น ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ Panic เกิดแรงเทขายในหุ้นทั้งตลาด พอหุ้นตัวที่เล็งไว้ลงมาแรงเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้หรือวางแผนในราคาที่จะเข้าซื้อไว้ กลับไม่กล้าเข้าไปซื้อเพราะถูกความกลัวครอบงำนั่นเอง
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2880
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ความเรียบง่าย: กองทุนรวมดัชนีมีกลยุทธ์การลงทุนที่เรียบง่าย เพียงแค่ติดตามดัชนีอ้างอิง ไม่จำเป็นต้องเลือกหุ้นรายตัว เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการวิเคราะห์หุ้น การกระจายความเสี่ยง: กองทุนรวมดัชนีลงทุนในหุ้นหลายตัว กระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ ช่วยลดโอกาสสูญเสียเงินลงทุนจากการพึ่งพาหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ค่าธรรมเนียมต่ำ: กองทุนรวมดัชนีมีค่าธรรมเนียมจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมประเภท Active Fund เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่าย เหมาะกับการลงทุนระยะยาว: กองทุนรวมดัชนีเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะผลตอบแทนจะค่อยๆ เติบโตตามดัชนีอ้างอิง มีสภาพคล่องสูง: กองทุนรวมดัชนีสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ เหมือนกับการซื้อขายหุ้น ตัวอย่าง: ดัชนี SET: ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัว ดัชนี SET50: ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัว คัดเลือกจาก SET100 โดยพิจารณาจากมูลค่าตลาด สภาพคล่อง และผลการดำเนินงาน ดัชนี MSCI Thailand: ดัชนีหุ้นไทยที่ติดตามโดย MSCI ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลาง 145 ตัว ข้อควรระวัง: ผลตอบแทนของกองทุนรวมดัชนีจะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง กองทุนรวมดัชนีไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ (โดยเฉลี่ย) นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมดัชนีก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมดัชนีเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยความเรียบง่าย กระจายความเสี่ยง ค่าธรรมเนียมต่ำ และเหมาะกับการลงทุนระยะยาว
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2881
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศอย่าง KT-EURO นั้น เหมาะสมกับนักลงทุนแบบไหน?
null
กองทุน KT-EURO เหมาะกับนักลงทุนที่มี: มุมมองระยะยาว: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป เหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาว เนื่องจากตลาดหุ้นมีความผันผวนในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ผลตอบแทนมีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความเสี่ยงปานกลาง: กองทุน KT-EURO ลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ แต่กองทุนมีการกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายประเทศและหลายอุตสาหกรรม ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุน: การลงทุนในกองทุน KT-EURO ช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีความหลากหลาย ไม่พึ่งพาตลาดหุ้นไทยเพียงประเทศเดียว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน: ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: กองทุน KT-EURO ลงทุนในสกุลเงินยูโร นักลงทุนจึงต้องเผชิญความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียม: กองทุน KT-EURO มีค่าธรรมเนียมการจัดการ 1.5% ต่อปี และค่าธรรมเนียมอื่นๆ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ นโยบายการลงทุน: กองทุน KT-EURO ลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก นักลงทุนควรศึกษาแนวทางการลงทุนของกองทุนและผลตอบแทนย้อนหลัง สรุป กองทุน KT-EURO เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนและมองหาโอกาสเติบโตจากตลาดหุ้นยุโรปในระยะยาว แต่ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2884
Finance
Master Fund กองทุนใด ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มประเทศใน Emerging Markets ระหว่าง Amundi Funds Bond Global Emerging Hard Currency, AXA IM Fixed Income US Short Duration High Yield หรือ Templeton Global Bond Fund
null
Amundi Funds Bond Global Emerging Hard Currency เพราะ Amundi Funds Bond Global Emerging Hard Currency เป็น Master Fund ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มประเทศใน Emerging Markets ส่วน AXA IM Fixed Income US Short Duration High Yield เป็น Master Fund ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภท High Yield และ Templeton Global Bond Fund เป็น Master Fund ที่เน้นลงทุนใน Global Bond แบบกว้างๆ หลายๆ ประเทศทั่วโลก กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศในไทย ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็น Feeder Fund (กองทุนรวมหน่วยลงทุน) ซึ่งนำเงินทั้งหมดที่ได้รับจากผู้ลงทุนชาวไทย ไปลงทุนต่อในกองทุนหลัก (Master Fund) เพียงกองเดียวในต่างประเทศ ซึ่งมีความหลากหลายมาก โดยอาจแบ่งกลุ่มคร่าวๆ ได้ดังนี้ - Master Fund ที่เน้นลงทุนใน Global Bond แบบกว้างๆ หลายๆ ประเทศทั่วโลก เช่น PIMCO Global Bond Fund (กองทุนในไทยคือ TMBGF, TMBGDF, KT-BOND) Wellington Global Bond (กองทุนในไทยคือ UOBSGB ) T. Rowe Price Global Aggregate Bond Fund (กองทุนในไทยคือ SCBGLOB ) Templeton Global Bond Fund (กองทุนในไทยคือ T-GLOBALBOND) JPMorgan Aggregate Bond Fund (กองทุนในไทยคือ K-GB) Amundi Funds Bond Global Aggregate (กองทุนในไทยคือ I-SMART) - Master Fund ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มประเทศใน Emerging Markets เช่น PIMCO Emerging Local Bond Fund (กองทุนในไทยคือ KF-ELI) Investec Emerging Markets Investment Grade Debt Fund (กองทุนในไทยคือ SCBEMBOND) Amundi Funds Bond Global Emerging Hard Currency (กองทุนในไทยคือ TMBEBF) Aberdeen Global – Emerging Markets Bond Fund (กองทุนในไทยคือ AEOB) United Asian Local Currency Bond Fund (กองทุนในไทยคือ ADR-R) BGF Asian Tiger Bond (กองทุนในไทยคือ TMBASIAB) - Master Fund ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเทศสหรัฐฯ เช่น PIMCO Total Return Bond Fund (กองทุนในไทยคือ KF-TRB) - Master Fund ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนทั่วโลก เช่น PIMCO Global Investment Grade Credit (กองทุนในไทยคือ SCBGSIF, SCBGSIFR) BGF Global Corporate Bond Fund (กองทุนในไทยคือ KT-WCORP) - Master Fund ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภท High Yield (ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ) เช่น AXA World Funds US High Yield Bonds (กองทุนในไทยคือ UOBSHY, B-HY (UH)) AXA IM Fixed Income US Short Duration High Yield (กองทุนในไทยคือ USDHY-A, USDHY-N) Aberdeen Global Select Euro High Yield Bond Fund (กองทุนในไทยคือ ABEHB) UBS (Lux) Bond fund- Euro High Yield (กองทุนในไทยคือ CIMB-PRINCIPAL EUHY) และก็ยังมีกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศตระกูลใหม่ๆ ออกมาให้ลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเภทที่มาในชื่อ Global Income Fund แต่ให้สังเกตก่อนว่า กองแต่ละประเภทนั้น ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศที่แตกต่างกัน และในตราสารที่ต่างความเสี่ยงกัน จึงนำมาเปรียบเทียบกันได้ยาก โดยเฉพาะถ้าจะแสดงความเสี่ยงของกองเหล่านี้ โดยใช้ตัวเลข “ระดับความเสี่ยง” เพียงเลขเดียวโดดๆ ยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2885
Finance
บอกแนวคิด"สู่โลก ของการลงทุนที่ยั่งยืน กับการสร้างผลตอบแทนผ่านกองทุนรวมหุ้นไทย" ใน7 ข้อดีการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทย
null
การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทยมีข้อดีหลายประการที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. การลงทุนที่หลากหลาย: กองทุนรวมหุ้นไทยมักมีการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์, ตราสารหนี้, และอื่นๆ ทำให้ลดความเสี่ยงในการลงทุนและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น 2. ผู้เชี่ยวชาญในการบริหาร: กองทุนรวมมักมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุน ซึ่งสามารถจัดการสินทรัพย์อย่างมืออาชีพ เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด 3. การควบคุมความเสี่ยง: ผู้บริหารกองทุนมักมีการควบคุมความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด โดยการแบ่งแยกสินทรัพย์ในกองทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน 4. การลงทุนรวดเร็ว: ผู้ลงทุนสามารถซื้อหรือขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมได้ในระยะเวลาที่สั้นๆ โดยไม่ต้องรอเวลานาน เพราะมีความสะดวกสบายในการทำธุรกรรม 5. ค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม: ค่าธรรมเนียมในการลงทุนในกองทุนรวมมักมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม โดยมักมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นแบบเดี่ยว 6. การสร้างผลตอบแทนระยะยาว: การลงทุนในกองทุนรวมมักมีการสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ดี โดยมีผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาดในระยะยาว 7. การปรับตัวต่อสภาวะตลาด: ผู้บริหารกองทุนมีความชำนาญในการวิเคราะห์และประเมินสภาวะตลาด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจในการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทยได้มากยิ่งขึ้น แนวคิดนี้เน้นความสำคัญของการมีทีมผู้เชี่ยวชาญในการบริหารกองทุน ที่สามารถตอบสนองต่อสภาวะตลาดและปรับกลยุทธ์ในการลงทุนอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไทยได้อย่างมั่นคงและมีโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2891
Finance
คำถามที่ 1: ในการช้อนซื้อหุ้นขาลง ปัจจัยใดที่สำคัญที่สุด คำถามที่ 2: สัญญาณอันตรายในงบการเงินที่บ่งบอกว่าหุ้นอาจยังลงต่อมีอะไรบ้าง คำถามที่ 3: กราฟเทคนิคสามารถช่วยในการตัดสินใจช้อนซื้อหุ้นได้อย่างไร
null
คำตอบที่ 1 ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการช้อนซื้อหุ้นขาลง คือ การวิเคราะห์พื้นฐานของธุรกิจนั้นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจยังมีอนาคตอยู่ และราคาหุ้นที่ลงนั้นเกิดจากการลดลงชั่วคราวของกำไรหรือปัจจัยอื่นๆ ที่คาดการณ์ได้ว่าจะกลับมาดีขึ้นในอนาคต หากวิเคราะห์พื้นฐานแล้วพบว่าธุรกิจมีความเสี่ยงสูง เช่น มีหนี้สินมาก อัตรากำไรต่ำ ขาดทุนต่อเนื่อง เป็นต้น ก็ไม่ควรช้อนซื้อหุ้นแม้ว่าราคาจะลงมากก็ตาม คำตอบที่ 2 สัญญาณอันตรายในงบการเงินที่บ่งบอกว่าหุ้นอาจยังลงต่อ ได้แก่ รายได้ กำไรเริ่มเติบโตช้าลง ROA ROE เริ่มลดลง มีหนี้สินมากและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไม่เพียงพอจ่ายหนี้ อัตราส่วนการจัดการภายใน เช่น วงจรเงินสด หรืออัตราหมุนเวียนสินทรัพย์เริ่มลดลง อัตรากำไรเริ่มลดลงเรื่อย คำตอบที่ 3 กราฟเทคนิคสามารถช่วยในการตัดสินใจช้อนซื้อหุ้นได้ โดยพิจารณาจากแนวโน้มราคาหุ้น หากราคาหุ้นมีแนวโน้มขาลงอยู่ ก็ไม่ควรรีบช้อนซื้อ ควรรอให้ราคาหุ้นเริ่มมีแนวโน้มกลับตัวก่อน หรือพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิคอื่นๆ เช่น แนวรับ แนวต้าน เส้นค่าเฉลี่ย เป็นต้น นอกจากนี้ ในการช้อนซื้อหุ้นขาลง ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย เช่น ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ นโยบายของภาครัฐ แนวโน้มของอุตสาหกรรม เป็นต้น
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2892
Finance
การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ไทยล้วนๆ เหมาะสมสำหรับการวางแผนเกษียณอายุหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เหตุผล: 1. ผลตอบแทน: ตราสารหนี้ไทยมีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ค่อนข้างแน่นอน ต่ำกว่าหุ้น แต่มีความผันผวนต่ำ ผลตอบแทนในอดีตของตราสารหนี้ไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 4-6% ต่อปี ผลตอบแทนที่แน่นอนนี้ อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการเกษียณอายุ 2. ระยะเวลาลงทุน: ระยะเวลาลงทุนที่ยาวนาน ช่วยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของตราสารหนี้ใกล้เคียงกับเป้าหมายเกษียณอายุ บุคคลที่อายุน้อย มีระยะเวลาลงทุนยาวนาน มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่เพียงพอ บุคคลที่อายุมาก ระยะเวลาลงทุนสั้น จำเป็นต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น 3. ความเสี่ยง: ตราสารหนี้ไทยมีความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงหลัก คือ ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย เมื่ออัตราดอกเบี้ยขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง 4. เป้าหมายเกษียณอายุ: เป้าหมายเกษียณอายุ ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่าย บุคคลที่มีค่าใช้จ่ายสูง จำเป็นต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น 5. สภาพคล่อง: ตราสารหนี้ไทยมีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ง่าย เหมาะสำหรับบุคคลที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน 6. ภาษี: ตราสารหนี้ไทยมีภาษีเงินได้ ดอกเบี้ย 15% ภาษีนี้ อาจจะส่งผลต่อผลตอบแทนสุทธิ สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ไทยล้วนๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน มีความเสี่ยงต่ำ ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน และมีระยะเวลาลงทุนที่ยาวนาน อย่างไรก็ตาม บุคคลควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายเกษียณอายุ ความสามารถในการรับความเสี่ยง และระยะเวลาลงทุน ประกอบการตัดสินใจ คำแนะนำ: กระจายความเสี่ยง โดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2897
Finance
นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นอเมริกา (US) หรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เหตุผล: 1. ผลตอบแทน: หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในตลาด US มีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูง ผลตอบแทนในอดีตของหุ้นเทคโนโลยีบางตัวสูงกว่า 20% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต หุ้นเทคโนโลยีมีความเสี่ยงสูง 2. ความเสี่ยง: หุ้นเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง ราคาหุ้นอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายการเงิน เศรษฐกิจ เทคโนโลยีใหม่ ล้วนมีผลต่อราคาหุ้น 3. ระยะเวลาลงทุน: การลงทุนระยะยาวช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง นักลงทุนควรมีระยะเวลาลงทุนอย่างน้อย 5 ปี 4. ความรู้และความเข้าใจ: นักลงทุนควรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจเทคโนโลยี ควรติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ 5. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น 6. ค่าธรรมเนียม: การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมก่อนตัดสินใจ ตัวอย่าง: หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในตลาด US เช่น Apple, Amazon, Microsoft ผลตอบแทนในอดีตของหุ้น Apple 10 ปี : 24.32% ผลตอบแทนในอดีตของหุ้น Netflix 10 ปี : 52.9% ความเสี่ยง: ราคาหุ้นเทคโนโลยีอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว เช่น กรณี Facebook สรุป: การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในตลาด US มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายเกษียณอายุ ความสามารถในการรับความเสี่ยง ระยะเวลาลงทุน ความรู้และความเข้าใจ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2899
Finance
นักลงทุนควรลงทุนในหุ้นเล็กที่มีการเติบโตสูง (Small Cap Growth) หรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เหตุผล: 1. ศักยภาพในการเติบโต: หุ้นเล็กที่มีการเติบโตสูงมีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดเล็กมี runway สำหรับการเติบโตที่ยาวกว่า อย่างไรก็ตาม หุ้นเล็กมีความเสี่ยงสูงกว่า 2. ความเสี่ยง: หุ้นเล็กมีความผันผวนสูง ราคาหุ้นอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายการเงิน เศรษฐกิจ เทคโนโลยีใหม่ ล้วนมีผลต่อราคาหุ้น 3. ระยะเวลาลงทุน: การลงทุนระยะยาวช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง นักลงทุนควรมีระยะเวลาลงทุนอย่างน้อย 5 ปี 4. ความรู้และความเข้าใจ: นักลงทุนควรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัท ควรติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ 5. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นเล็กเพียงอย่างเดียว ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น 6. ค่าธรรมเนียม: การลงทุนในหุ้นเล็กอาจมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายสูงกว่า นักลงทุนควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมก่อนตัดสินใจ ตัวอย่าง: หุ้นเล็กที่มีการเติบโตสูง เช่น บริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ ผลตอบแทนในอดีตของหุ้นเล็กบางตัวสูงกว่า 30% ต่อปี ความเสี่ยง: ราคาหุ้นเล็กอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว เช่น กรณีบริษัทที่เผชิญปัญหาการเงิน สรุป: การลงทุนในหุ้นเล็กที่มีการเติบโตสูงมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายเกษียณอายุ ความสามารถในการรับความเสี่ยง ระยะเวลาลงทุน ความรู้และความเข้าใจ คำแนะนำ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ ลงทุนในจำนวนเงินที่รับความเสี่ยงได้
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2904
Finance
เขียนเรื่องสั้น "มุมมองที่หลากหลาย: การลงทุนใน ASP-ASIAN Fund และโอกาสในเอเชีย"
null
ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเทคโนโลยีและการเศรษฐกิจของเอเชีย มีนักลงทุนหลายคนที่มองหาโอกาสในการลงทุนในกองทุนหุ้นเอเชียระดับต้นๆ ที่ไม่พลาดกับเทคโนโลยีเจ๋งๆ เช่น E-commerce, AI, IoT และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในวันนี้เราจะพาไปสู่เรื่องราวของนักลงทุนหนึ่งที่มีสายตาที่คมและสามารถมองเห็นโอกาสที่อื่นๆ อาจจะมองข้ามไปได้... ชัญญา เป็นนักลงทุนที่มีความชื่นชอบในเทคโนโลยีและมองโอกาสในการลงทุนในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นการค้าออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ หรือการใช้ประ โยชน์จากการพัฒนา AI และ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจต่างๆ สมชายเห็นว่ามีโอกาสในการลงทุนในกองทุนหุ้นเอเชียที่มีธีมเหล่านี้อย่างเต็มตัว เมื่อชัญญาเริ่มต้นลงทุนใน ASP-ASIAN Fund กองทุนหุ้นเอเชียระดับต้นๆ ที่มุ่งเน้นในการลงทุนในธีม E-commerce, AI, IoT และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ชัญญาได้พบกับโอกาสที่ไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะเมื่อชัญญาได้รับข่าวว่าบริษัท E-Trade ในภูมิภาคเอเชียกำลังจะเปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และการลงทุนในตลาดหุ้น นี่เป็นข่าวที่ทำให้ชัญญาตื่นเต้นอย่างมาก ชัญญาเห็นโอกาสที่จะเข้าไปในตลาดเพื่อลงทุนในบริษัทเหล่านี้ก่อนที่ราคาหุ้นจะขึ้นสูงขึ้น นอกจากนี้ ชัญญายังมองเห็นโอกาสในธุรกิจการค้าออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาค โดยเฉพาะในการค้าส่งสินค้าที่ใช้ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งและการ บริหารจัดการสต๊อกสินค้า ชัญญาจึงตัดสินใจที่จะลงทุนในบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างรวดเร็ว กลับมาที่กองทุนหุ้น ASP-ASIAN Fund ชัญญาเห็นความมุ่งมั่นในการลงทุนของทีมงาน และกลุ่มของบริษัทที่เขาได้ลงทุนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ ในธุรกิจ E-commerce, การประยุกต์ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลหุ้น หรือการนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาช่วยในการพัฒนาธุรกิจที่ต่างๆ เรื่องราวของชัญญากับการลงทุนใน ASP-ASIAN Fund นั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยของโอกาสในการลงทุนในเอเชียที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นเพียงเรื่องราวหนึ่งในหลายๆ โอกาสที่เรียกว่าเต็มไปด้วยการสำเร็จในอนาคตใกล้ๆ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2905
Finance
หนึ่งในคุณสมบัติของหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนที่งดงามคืออะไร
null
หนึ่งในคุณสมบัติของหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนที่งดงามคือ การเติบโต แต่ทราบหรือไม่ว่าการเติบโตของหุ้นนั้นมีทั้งเติบโตของจริงและเติบโตแบบหลอกตา การเติบโตทั้งสองแบบมีความต่างกันอย่างมาก แต่หากมองไม่ถี่ถ้วนก็อาจจะโดยหลอกได้ง่ายๆ หนึ่งในตัวเลขที่มีผู้ติดตามมากที่สุด หากพูดถึงในเรื่องของการเติบโตคือ กำไรสุทธิ แต่กำไรสุทธิเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถบอกอะไรกับนักลงทุนได้มากนัก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มเติม เพื่อที่จะบอกได้ว่าบริษัทเติบโตจริงหรือเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น บริษัทที่เติบโตจริงๆ นั้น การจะเติบโตที่ดีควรมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้บริษัทจะมีผลิตภัณฑ์ออกใหม่ได้ในแต่ละปี แต่จะพบว่าบางผลิตภัณฑ์ก็สามารถติดตลาดได้อย่างยาวนาน หรือบางผลิตภัณฑ์ก็อาจจะสามารถเติบโตได้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หรือบางผลิตภัณฑ์ก็ไม่สามารถเติบโตได้ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเมื่อดูโดยภาพรวมแล้วการเติบโตที่แท้จริงไม่ได้มาจากผลิตภัณฑ์ใดอันหนึ่งเท่านั้น แต่มาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นหากจะมองบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต ก็จะต้องมองหาบริษัทที่มีความสามารถในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และปัจจัยที่สำคัญก็คือบริษัทจะต้องมีการวิจัยตลาด และร่วมถึงความเชี่ยวชาญที่บริษัทมีก็จะต้องสามารถต่อยอดออกเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไปได้อีกในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น บริษัท PTT ในเริ่มต้นนั้นบริษัทอาจจะมีบริการค้าปลีกน้ำมันเท่านั้น แต่จากการที่มีสาขาหลายสาขา บริษัทจึงบริหารพื้นที่ให้คุ้มค่ามากขึ้นโดยการเปิดพื้นที่เช่าร้านค้า และหลังจากนั้นจึงมีร้านกาแฟ Amazon เกิดขึ้น และในอนาคตยังมีข่าวอีกว่าจะมีโรงแรมตามปั้มน้ำมันอีกด้วย เมื่อนักลุงเข้าใจมากขึ้น ขอให้นักลงทุนมองหาความสามารถในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท มากกว่ามองเพียงกำไรสุทธิ เพราะหากนักลงทุนสามารถมองได้ขาด อาจจะนำมาซึ่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดและผลตอบแทนเหนือความคาดหมายก็เป็นได้
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2906
Finance
การใช้ NAV เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวม เหมาะสมหรือไม่?
null
จากบทความ "What Your Fund's NAV Isn't Telling You" ของ Morningstar Thailand อธิบายว่า การใช้ NAV เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมนั้นไม่เหมาะสม สาเหตุหลักๆ คือ 1. NAV ไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกองทุน: NAV คำนวณจากราคาตลาดของสินทรัพย์ที่กองทุนถืออยู่ ซึ่งอาจไม่ตรงกับมูลค่าที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น หุ้นบางตัวอาจมีราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน NAV ไม่ได้รวมมูลค่าของผลตอบแทนที่ยังไม่ได้รับ เช่น เงินปันผลที่ยังไม่จ่าย 2. NAV เปลี่ยนแปลงตามราคาตลาด: NAV ของกองทุนรวมประเภทหุ้นจะเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดหุ้น NAV ของกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้จะเปลี่ยนแปลงตามอัตราดอกเบี้ย 3. NAV ไม่ได้สะท้อนถึงผลตอบแทนของนักลงทุน: ผลตอบแทนของนักลงทุนจะขึ้นอยู่กับราคาที่ซื้อและขายหน่วยลงทุน NAV ไม่ได้รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขาย 4. มีวิธีอื่นที่เหมาะสมกว่าสำหรับการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวม: ผลตอบแทนรวม: เปรียบเทียบผลตอบแทนของกองทุนกับดัชนีอ้างอิง Information Ratio: เปรียบเทียบผลตอบแทนส่วนเกินต่อความเสี่ยง Sharpe Ratio: เปรียบเทียบผลตอบแทนส่วนเกินต่อความผันผวน Treynor Ratio: เปรียบเทียบผลตอบแทนส่วนเกินต่อความเสี่ยงจากตลาด สรุป: การใช้ NAV เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมนั้น เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องและอาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาด นักลงทุนควรใช้วิธีอื่นที่เหมาะสมกว่า เช่น ผลตอบแทนรวม Information Ratio Sharpe Ratio และ Treynor Ratio ตัวอย่าง: กองทุน A และ B ลงทุนในหุ้นไทย NAV ของกองทุน A อยู่ที่ 15 บาท NAV ของกองทุน B อยู่ที่ 10 บาท จาก NAV เพียงอย่างเดียว อาจสรุปได้ว่า กองทุน A มีผลการดำเนินงานดีกว่ากองทุน B แต่หากพิจารณาผลตอบแทนรวม ปรากฏว่า กองทุน B มีผลตอบแทนรวม 12% กองทุน A มีผลตอบแทนรวม 10% ดังนั้น กองทุน B มีผลการดำเนินงานดีกว่ากองทุน A แม้ว่า NAV ของกองทุน B จะต่ำกว่าก็ตาม ข้อควรระวัง: ข้อมูล NAV เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น นโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2913
Finance
คนไทยควรเริ่มลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสังคมผู้สูงอายุหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. สังคมผู้สูงอายุมีต้นทุนสูง: ประชากรวัยทำงานมีจำนวนน้อยลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภาระค่าใช้จ่ายและอัตราภาษีสำหรับคนวัยทำงานสูงขึ้น รัฐมีภาระในการจ่ายสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุมากขึ้น 2. การลงทุนช่วยเพิ่มผลตอบแทนระยะยาว: ช่วยให้เงินออมเติบโตมากกว่าเงินฝาก ช่วยให้มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณ ช่วยลดความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ 3. คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น: อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 77 ปี คนไทยมีโอกาสใช้ชีวิตหลังเกษียณยาวนานขึ้น จำเป็นต้องมีเงินออมเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในวัยชรา 4. รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการลงทุน: มีโปรแกรม NISA เพื่อยกเว้นภาษีสำหรับนักลงทุน มีกลยุทธ์ส่งเสริมให้คนไทยออมเงินและลงทุน มีหน่วยงานที่ให้ความรู้ด้านการลงทุน 5. คนไทยควรเริ่มลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ: ช่วยให้มีเวลา accumulate ผลตอบแทนระยะยาว ช่วยให้เรียนรู้และเข้าใจกลยุทธ์การลงทุน ช่วยให้กระจายความเสี่ยงและลดความเสี่ยง ตัวอย่าง: คนไทยอายุ 25 ปี เริ่มออมเงินเดือนละ 5,000 บาท ลงทุนในกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี เมื่ออายุ 60 ปี จะมีเงินออมประมาณ 3 ล้านบาท เงินออม 3 ล้านบาท สามารถสร้างรายได้หลังเกษียณประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ควรลงทุนในจำนวนเงินที่รับความเสี่ยงได้ สรุป: การลงทุนเป็นวิธีสำคัญในการเตรียมพร้อมสำหรับสังคมผู้สูงอายุ ช่วยให้คนไทยมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณ และช่วยลดภาระของรัฐบาล คนไทยควรเริ่มลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ ศึกษาข้อมูล และลงทุนในจำนวนเงินที่รับความเสี่ยงได้
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2914
Finance
5 วิธี ลงทุนได้แก่อะไรบ้าง
null
1) หวังรวยเร็ว มองโลกสวย เพราะคำว่า Passive Income แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากจะลองทุนแล้วเงินงอกเงย แต่จะอันตรายมากถ้าหากอยากจะรวยด้วยเวลาอันรวดเร็ว เพราะจะทำให้พยายามเสี่ยงมากขึ้น เพื่อผลตอบแทนเยอะๆ บางทีก็อาจจะฝันหวาน มองว่าหุ้นจะขึ้นจนลืมมองไปว่าหุ้นมีขึ้นมีลง แต่บางทีก็เข้าข้างตัวเองว่าต้องมีโชคบ้างแหละ ผลสุดท้ายคือ ซื้อหุ้นโดยความโลภมากกว่าเหตุผล ถ้าหุ้นขึ้นก็โชคดีไป แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่หวัง จะขายตัดขาดทุนดีมั้ย ทนถือเพราะหุ้นพื้นฐานดีคำถามเหล่านี้ นักลงทุนน่าจะคุ้นเคยกันดี 2) ไม่ทนรวย การลงทุนที่ทำให้เงินงอกเงยนั้นก็ต้องขายตอนมีราคาสูงขึ้นนั้นก็ถูก เพราะฉะนั้นจะบอกไม่ให้ขายเมื่อราคาหุ้นขึ้นนั้นก็น่าจะแปลก แต่ความจริงนั้นยังไม่หมดเพียงแค่นี้ อีกส่วนที่ต้องขยายความคือ ทนรวยจนกว่าดูท่าหุ้นนั้นจะมีแนวโน้มเปลี่ยนไป สมัยแรกๆ ที่ลงทุนไม่เป็น พอหุ้นขึ้นนิดๆ หน่อยๆ ก็ขาย แต่พอหุ้นเน่าติดพอทไม่ยอมขาย ส่วนใหญ่หุ้นที่ซื้อมันไม่ขึ้น พอมีตัวขึ้นเลยรู้สึกแปลกอยากขาย เก็บหุ้นเน่าขายหุ้นดีแบบนี้เมื่อไหร่จะรวย ลองกลับกันมั้ย ขายหุ้นเน่าเก็บหุ้นดี ให้ทนถือหุ้นดีไปก่อนอย่าไปขายทำกำไร พอหุ้นดีเป็นหุ้นเน่าเมื่อไหร่ก็ค่อยขาย 3) อยากจะซื้อราคาต่ำสุด สมัยต่อมาเริ่มรู้แล้วว่าลงทุนจะต้องซื้อหุ้นได้ต้นทุนต่ำๆ ยิ่งซื้อมาถูกก็แปลว่ายิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนดีขึ้น ยิ่งถ้าซื้อได้ต่ำสุดนี่กำไรยิ่งบานเลย แต่เอาจริงๆ คงไม่มีใครสามารถซื้อต่ำสุดได้ ราคาที่ว่าต่ำแล้ว มันก็อาจจะต่ำลงไปได้อีก บางครั้งในใจก็คิดต่อไปว่า มันคงต่ำลงไปอีก ขออีกนิดนึง ถ้าราคาลงไปอีกก็ดีไป แต่ถ้ามันขึ้นไปละ ในใจก็คิดอีก รอปรับลงมาอีกนิดนึงค่อยซื้อ” ถ้ามันปรับลงมาได้ซื้อก็ดีไป แต่ถ้ามันไม่กลับมาอีกละ ในทางจิตวิทยาแล้วก็คงยากที่จะซื้อ เพราะขนาดราคาต่ำกว่ายังไม่ซื้อ ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะไม่ซื้อในราคาที่สูงกว่า 4) กลัวตกรถ ราคาแพงหน่อยก็ยอม ลงทุนไปสักพักก็จะเห็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีๆ เกิดขึ้นมากมายในเวลาอัดรวดเร็ว ยกเว้นหุ้นที่ถือ จริงๆ แล้วหุ้นดีๆ นั้นหาไม่ยากเท่าไหร่นัก แต่หุ้นที่ดีและราคาถูกจะหาจากไหน ในตลาดมีหุ้นที่ดีเยอะแยะทั่วไปแต่แพงหมดแล้ว หรือว่าหุ้นดีๆ มักต้องยอมซื้อที่ราคาแพ มักจะเริ่มหละหลวมในการซื้อหุ้นมากขึ้น ยอมซื้อหุ้นดีที่ราคาเริ่มแพงเพราะคิดว่าจะขึ้นไปได้อีก และบางครั้งก็ยอมซื้อในราคาที่แพงมาก ถ้าตลาดยังไม่ผันผวนก็โชคดีไป ราคาอาจจะขึ้นไปอีกบ้าง แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ตลาดเริ่มมีการตกใจเทขายหุ้นมากขึ้น หรือผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดคิด คำว่าขาดทุนอาจจะมาเคาะหน้าประตูบ้านได้ง่ายๆ 5) ลงทุนไม่เหมาะกับตัวเอง การลงทุนที่ดีนั้น จะต้องหาแนวทางที่เหมาะสมตัวเอง ไม่สามารถที่จะลอกเลียนแบบจากคนอื่นมาได้เท่าไหร่นัก ไม่เหมือนที่สามารถท่องจำแล้วจะมีโอกาสสอบผ่านได้
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2916
Finance
อะไรคือจุดแข็งทางการเงินของ BYD ที่ทำให้เป็นบริษัทที่น่าลงทุน?
null
BYD มีจุดแข็งทางการเงินหลายประการ ดังนี้ 1. รายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง: BYD มีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2022 BYD มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 1.5 ล้านคัน คิดเป็นการเติบโต 158.5% จากปีก่อนหน้า 2. กำไรที่เพิ่มขึ้น: BYD มีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ในปี 2022 BYD มีกำไรสุทธิ 3.155 พันล้านหยวน คิดเป็นการเติบโต 284.83% จากปีก่อนหน้า 3. Margins ที่ดี: BYD มี margins ที่ดีทั้ง gross margin และ operating margin ในปี 2022 BYD มี gross margin 25.1% และ operating margin 13.9% 4. กระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง: BYD มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ในปี 2022 BYD มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 63.8 พันล้านหยวน 5. สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: BYD มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง 6. การกระจายความเสี่ยง: BYD มีธุรกิจที่หลากหลาย 7. การสนับสนุนจากรัฐบาล: BYD ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน 8. เทคโนโลยี: BYD มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย 9. ทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์: BYD มีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ 10. มูลค่าหุ้นที่ไม่แพง: BYD มีมูลค่าหุ้นที่ไม่แพง เมื่อเทียบกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น อย่างไรก็ตาม BYD ยังมีความเสี่ยงบางประการ เช่น การแข่งขันที่รุนแรงจาก Tesla และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล ความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยรวมแล้ว BYD เป็นบริษัทที่น่าลงทุน หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2022
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2917
Finance
4 ข้อบกพร่องพฤติกรรมการเงินที่ทำให้จนตลอดไปได้แก่อะไรบ้าง
null
1) ข้อบกพร่องทางสายตา อาการสายตาสั้น เราเรียกว่า Present Bias เกิดจากการที่คนให้น้ำหนักกับปัจจุบันมากกว่าอนาคต เช่น การจับจ่ายใช้สอยที่มากเกินความจําเป็นในปัจจุบัน ทำให้ไม่มีเงินสะสมเก็บไว้ใช้ช่วงเกษียณ ซึ่งอคตินี้ อาจนําไปสู่ช่องทางการหาผลประโยชน์ของตัวกลาง เช่น นําเสนอ โปรโมชั่นผ่อนสินค้าผ่านบัตรเครดิต เพื่อกระตุ้นการบริโภคในปัจจุบัน ของลูกค้าให้มากขึ้น อาการสายตาสั้น ทำให้ไม่เคยคิดไปข้างหน้า ขอสบายวันนี้ก่อน ทำให้ไม่เคยคิดเรื่องเป้าหมายการเกษียณในอนาคต เพราะเห็นว่ายาวนานเกินไป 2) ข้อบกพร่องทางการกระทำ เรียกว่า Procrastination bias การผัดผ่อน/ ละเลย ไม่ใส่ใจค้นคว้าหาข้อมูล เช่น ผู้ลงทุนตัดสินใจลงทุนโดยไม่ศึกษาถึงประเภทและความหลากหลายของหลักทรัพย์และบริการให้ละเอียด ซึ่งอาจจะทำให้ผิดพลาดได้ และ Inertia bias ความเฉื่อยในการกระทำ การไม่อยากออกแรง ขี้เกียจแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ รู้ว่า ออมเพิ่มขึ้น แต่ขี้เกียทำ รู้ว่า ย้ายจากการฝาก Bank มาลงทุนเพิ่มในกองทุนดี แต่ก็ ขี้เกียจ รู้แต่ No Action 3) ข้อบกพร่องทางความกลัว เราเรียกว่า Regrets Bias เป็นอคติของคนที่เกิดจาก การรู้สึกกลัว ความไม่กล้าต่อการตัดสินใจ ไม่กล้าลงทุน เพราะกลัวขาดทุน ไม่กล้าขายหุ้นที่แพงแล้ว เพราะกลัวขายแล้วหุ้นขึ้น ไม่กล้าซื้อหุ้นถูก เพราะกลัวซื้อแล้วหุ้นลงต่อ ลงทุนไปแล้วขาดทุน ทำให้เกิดความกลัวในการลงทุน ซึ่งแท้จริงแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่า ไม่เข้าใจการลงทุนอย่างแท้จริง เมื่อไม่เข้าใจพอ ก็ขาดทุน ทำให้เกิดทัศคติไม่ดีต่อการลงทุน 4) ข้อบกพร่องทางความมั่นใจ เราเรียกว่า Over Confidence Bias เป็นอคิตของคนที่เกิดจากความมั่นใจมากเกินไป
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2921
Finance
นักวิเคราะห์มักมองสั้นในขณะที่ VI มองยาว อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนแบบ VI ที่ช่วยให้นักลงทุนมองระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ?
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบ VI ที่ช่วยให้นักลงทุนมองระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้: 1. เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: วิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียด: เข้าใจโครงสร้างรายได้ ต้นทุน กำไร และกระแสเงินสดของบริษัท วิเคราะห์ธุรกิจ: เข้าใจโมเดลธุรกิจ กลยุทธ์ คู่แข่ง และโอกาสในการเติบโต วิเคราะห์ผู้บริหาร: ประเมินความซื่อสัตย์ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร 2. ลงทุนในบริษัทที่มี "คูน้ำกว้าง": - เลือกบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน (Sustainable Competitive Advantage) - เน้นบริษัทที่มีสินค้าหรือบริการที่ไม่เหมือนใคร ยากที่จะลอกเลียนแบบ - เลือกบริษัทที่มี Brand Recognition ที่แข็งแกร่ง 3. ซื้อหุ้นในราคาที่ "ถูก": - ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท (Intrinsic Value) โดยใช้ Valuation Model - ซื้อหุ้นเมื่อราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง - อดทนรอให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง 4. ลงทุนระยะยาว: - ไม่หวังผลตอบแทนระยะสั้น - มองข้ามความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น - มุ่งเน้นไปที่การเติบโตของธุรกิจในระยะยาว 5. กระจายความเสี่ยง: - ไม่ลงทุนในหุ้นตัวเดียว - กระจายเงินลงทุนในหุ้นหลายตัว - ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนแบบ VI: - การลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" (Value Investing): เน้นซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง - การลงทุนแบบ "เน้นการเติบโต" (Growth Investing): เน้นซื้อหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง - การลงทุนแบบ "เน้นปันผล" (Dividend Investing): เน้นซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลสูง ข้อดีของกลยุทธ์การลงทุนแบบ VI: - มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว - ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้น - ช่วยให้นักลงทุนมีวินัยในการลงทุน ข้อเสียของกลยุทธ์การลงทุนแบบ VI: - ต้องใช้เวลาและความพยายามในการวิเคราะห์ - อาจจะต้องรอคอยนานกว่าจะเห็นผลตอบแทน - อาจจะพลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูงในระยะสั้น สรุป: กลยุทธ์การลงทุนแบบ VI เป็นแนวทางการลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนมองระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ลงทุนในบริษัทที่มี "คูน้ำกว้าง" ซื้อหุ้นในราคาที่ "ถูก" ลงทุนระยะยาว และกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนแบบ VI ไม่ได้เหมาะกับนักลงทุนทุกคน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2923
Finance
Schroders คืออะไร
null
Schroders คือ กลุ่มบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ขนาดใหญ่จากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี 1804 บริษัทมีพนักงานมากกว่า 4,100 คน มีสำนักงานมากกว่า 40 ที่ใน 27 ประเทศทั่วโลก Schroders ยังเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนด้วย โดยมีตัวย่อหุ้นว่า SDR.L ซึ่งถ้าดูผลตอบแทนของหุ้น Schroders จะเห็นว่าหุ้นของบริษัทฟื้นเร็วมากจากปี 2008 และหลังจากนั้นก็ขึ้นมาตลอด ถือว่าเป็นบริษัทที่เก่งมากบริษัทหนึ่ง ลงทุนในกองทุนของ Schroders ดียังไง? 1. Schroders มีกลยุทธการลงทุนที่ครบเครื่องมากๆ ผสมผสาน Top Down และ Bottom up เข้าด้วยกัน โดยมีเกณท์การให้นํ้าหนักในการคัดเลือกหุ้นด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้ - มูลค่าที่เหมาะสม 43% ดูจาก P/Bv, P/E, ส่วนต่างของผลตอบแทนที่แท้จริง และ P/E ระยะยาว 5 ปี - การเติบโต 15% ดูจากการเติบโตของกำไร, การปรับเป้าผลกำไร และ ผลตอบแทนต่ส่วนของผู้ถือหุ้น - ความเสี่ยง 17% ดูจากอัตราแลกเปลี่ยนและสุดส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP - โมเม็นตัมของราคา 20% ดูจากการเหวี่ยงตัวของราคาและการปรับนํ้าหนักการลงทุน - อัตราดอกเบี้ย 5% ดูจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 2. ผลตอบแทนที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำได้ดีกว่าตลาดโดยเฉลี่ยอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 10 ปี นอกจากนั้นยังมีความผันผวนที่ตํ่ากว่าตลาดอีกด้วย ผลตอบแทนดีแต่มีความเสี่ยงตํ่า ตั้งแต่ตั้งกองทุนสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ถึงปีละ 4.3% ต่อปีชนะดัชนี MSCI Emerging Market ที่ให้ผลตอบแทนต่อปีแค่ 3.2% โดยมีผลตอบแทนรวมสูงถึง 53.92% (จากข้อมูลของเดือนเมษายน 2560) 3. เนื่องจาก Schroders เป็นบริษัทข้ามชาติ จึงมีสำนักงานและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอยู่ทั่วโลก ปัจจัยนี้ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแบบที่นักลงทุนธรรมดาไม่มีวันเข้าถึงได้ และสามารถปรับพอร์ทการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2924
Finance
จงเสนอไอเดีย 3 วิธี การวางแผนเลือกประกันสุขภาพ สำหรับคนงบจำกัด ให้หน่อย
null
1. บัตรทอง 30 บาท – สิทธิ์เล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม ขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน หากไม่ได้เข้าระบบประกันสังคม หรือระบบข้าราชการ ทุกคนจะต้องมีสวัสดิการนี้ครับ แค่ใส่เลขประจำตัวประชาชนเข้าไป ก็ได้แล้วครับ แน่นอนว่าระบบนี้เป็นระบบขั้นพื้นฐาน ดังนั้นการรับบริการอาจจะมีขั้นตอนนิดนึงครับ แต่เชื่อว่ายังไงระบบสวัสดิการนี้ก็น่าจะได้รับการพัฒนาให้ดีมากขึ้นไปเรื่อยๆครับ 2. ประกันสังคม – สวัสดิการพรีเมี่ยมในราคาย่อมเยาว์ สวัสดิการประกันสังคมเป็นสวัสดิการที่ลูกจ้างทุกคนที่อยู่ในระบบจะต้องทำครับ โดยเก็บเงินจากลูกจ้างส่วนหนึ่งและนายจ้างอีกส่วนหนึ่งส่งให้กับกองทุนนี้ โดยสิทธิ์ที่จะได้จากประกันสังคมไม่ใช่แค่เรื่องการรักษาพยาบาลและอุบัติเหตุนะครับ แต่ยังได้รับผลประโยชน์ในกรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน ได้อีกด้วย เรียกว่าผลประโยชน์แบบ 7 in 1 เลยทีเดียว (มาตรา 33) 3. สวัสดิการเพิ่มเติมจากที่ทำงาน (ประกันสุขภาพ/ประกันอุบัติเหตุ) ถ้าเป็นผู้ที่ทำงานรัฐวิสาหกิจ แต่ละที่จะมีระเบียบในการเบิกจ่ายแตกต่างกันไปครับ แต่หลักๆก็จะได้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐ ถ้าเข้าไปรักษาเอกชน ก็อาจจะมีการร่วมออกเงินค่ารักษาให้บางส่วน แต่หากทำงานในภาคเอกชน ส่วนใหญ่ก็อาจจะทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมให้ หรืออาจจะทำประกันอุบัติเหตุเพิ่มเติมให้กับลูกจ้าง อันนี้ใครได้มากได้น้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละที่ทำงาน แต่ที่แน่ๆคือสวัสดิการนี้เป็นสวัสดิการที่ “ติดเก้าอี้” หากวันใดวันหนึ่งที่เราลุกออกจากตำแหน่งนี้ไป สวัสดิการก็ไม่ได้ตามไปด้วยแต่อย่างใด
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2926
Finance
นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนขนาดเล็กควรลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มากกว่าลงทุนในหุ้นโดยตรงหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. ความเสี่ยง: กองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นโดยตรง เพราะว่าตราสารหนี้มีรายได้สม่ำเสมอจากดอกเบี้ย ตราสารหนี้มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ (default) น้อยกว่าหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้มีการกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในตราสารหนี้หลายตัว 2. ผลตอบแทน: กองทุนรวมตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่แน่นอนกว่าการลงทุนในหุ้น ผลตอบแทนจากกองทุนรวมตราสารหนี้มีความผันผวนต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น 3. สภาพคล่อง: กองทุนรวมตราสารหนี้มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนสำรองฉุกเฉิน 4. ระยะเวลาการลงทุน: กองทุนรวมตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะสั้นถึงปานกลาง 5. เงินลงทุนขั้นต่ำ: กองทุนรวมตราสารหนี้มีเงินลงทุนขั้นต่ำที่ต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินทุนจำกัด ตัวอย่าง: นาย A มีเงินลงทุน 10,000 บาท เขาสามารถลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท นาย A ต้องการเงินลงทุนสำรองฉุกเฉิน เขาสามารถลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ นาย A ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน เขาสามารถลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีผลตอบแทนที่แน่นอนกว่าการลงทุนในหุ้น ข้อควรระวัง: กองทุนรวมตราสารหนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ผลตอบแทนจากกองทุนรวมตราสารหนี้อาจจะไม่สูงเท่าการลงทุนในหุ้น สรุป: นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนขนาดเล็กควรลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มากกว่าลงทุนในหุ้นโดยตรง เพราะว่ากองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนที่แน่นอน สภาพคล่องสูง และเงินลงทุนขั้นต่ำที่ต่ำ คำอธิบายเพิ่มเติม: กองทุนรวมตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนที่หลากหลาย เช่น ต้องการเงินลงทุนสำรองฉุกเฉิน ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน ต้องการกระจายความเสี่ยง นักลงทุนควรเลือกกองทุนรวมตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมตราสารหนี้ก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2927
Finance
Netflix จากร้านให้เช่า DVD สู่บริษัทมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ได้อย่างไร
null
ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 Netflix ก็ปฏิวัติธุรกิจให้เช่าและขาย DVD โดยให้เช่า DVD ได้ผ่านทางไปรษณีย์ (DVD rental by mail) ซึ่งผู้เช่าก็จ่ายค่าเช่าหนังเป็นเรื่องๆไป (Pay-per-rent model) จนเจ้าตลาด บริษัท Blockbuster ยังต้องร้อง แค่นั้นยังไม่พอ สองปีต่อมา Netflix ยังใจกล้าคิดระบบใหม่ขึ้นมา นั้นก็คือการเสนอให้ลูกค้ามาสมัครเป็นสมาชิกรายเดือน (Flat-rate monthly subscription) ซึ่งสมาชิกสามารถเช่าหนังได้ไม่จำกัดเรื่อง ไม่ถูกกำหนดวันคืน DVD ไม่ต้องโดนปรับหาก ส่งคือ DVD ช้า ไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายๆใดๆเพิ่มไม่ว่าจะเช่าหนังเก่าหรือหนังใหม่ “แม่เจ้า! ดีอย่างนี้ทำไมจะไม่ลองสมัครดู” ด้วยการบริการใหม่นี้ Netflix สามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดมาจากผู้ให้บริการอื่นๆมาได้ จน Blockbuster ได้ขอเสนอซื้อ Netflix ในราคา 50 ล้านดอลล่าห์ ในปี 2002 แต่ Netflix ก็ตอบปฏิเสธไป (ปัจจุบัน Blockbuster ได้ล้มละลายไปเรียบร้อยแล้ว) ต่อมาเมื่อกระแส DVD เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำ และความเร็วของ Internet สูงมากขึ้น ในปี Netflix จึงเริ่มให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งผ่านอินเตอร์เนต และต่อมาในปี 2013 Netflix ก็ดังเป็นพลุแตก ราคาหุ้นเริ่มขึ้นแรง เมื่อบริษัทตัดสินใจเป็นผู้ผลิตซีรีย์ต่างๆเป็นของตัวเอง ที่เรียกว่า “Netflix Original” แน่นอนว่า ณ เวลานั้นมีผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งมากมาย แต่การที่ Netflix มีหนังและซีรีย์เป็นของตัวเองนั้น คือการสร้างความพิเศษให้กับลูกค้าของตัวเอง (Exclusivity) จึงทำให้ Netflix สามารถเป็นผู้นำในด้านนี้ได้ คนเสพย์ติด Netflix แค่ไหน? นีลเซ่นยังคาดการณ์ว่าเวลาที่คนใช้ดูู Netflix นั้นคิดเป็นสัดส่วนถึง 46% ของเวลาทั้งหมด ที่คนใช้ดูวีดีโอต่างๆบนอินเตอร์เนต โดย youtube นั้นมาเป็นอันดับสองที่ 15% และ Hulu อันดับสามที่ 8% (Hulu คือผู้ให้บริการวิดีโอ (Video on demand ที่เป็น JV ของ Disney, 21st Century Fox และ Comcast) ซีรีย์ที่เป็นที่โด่งดังของ Netflix ก็มีมากมาย เช่น ซีรีย์การเมืองอย่าง House of Card, ซีรีย์ชีวประวัตินักค้ายาเสพติดระดับโลก Narcos, ซีรีย์แฟนตาซีอย่่าง Stranger Things. และล่าสุดหนังของ Netflix ชื่อ Okja ที่ถูกโจมตีในงาน Cannes Festival ผ่านมา เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมงานเนื่องจากเป็นหนังที่ไม่ได้เข้าฉายในโรงหนัง Netflix ประสบความสำเร็จอย่างมากจากกลยุทธ์นี้ ราคาหุ้นของบริษัทขึ้นจาก 23.61 ดอลล่าห์ ในปี 2013 มาอยู่ที่ 150.18 ดอลล่าห์ในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงอย่างมาก (หุ้นกลุ่ม FAANG ที่ถูกพูดถึงอย่างมาก FAANG=Facebook Apple Amazon Netflix Google) Netflix เป็นบริษัทที่ทำการตลาดได้ถูกจุด และกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนบริษัทประสบความสำเร็จ แม้แต่ Amazon ที่มีลูกค้ารายเดือนอย่าง Amazon Prime ก็เริ่มหันมามี ซีรีย์ของตัวเอง อย่างเรื่อง Amarican Gods โดยคาดหวังว่าลูกค้าจะจงรักภักดีกับแบรด์ของตนเอง
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2934
Finance
การเติบโตทางการเงิน (Financial Growth) มีความสัมพันธ์กับทัศนคติอย่างไร
null
จากบทความ "การเติบโตเป็นเรื่องของทัศนคติ" อธิบายว่าทัศนคติที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในหลายแง่มุม รวมถึงการเติบโตทางการเงิน ทัศนคติ หมายถึง ความคิด ความเชื่อ และมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ทัศนคติที่ดีต่อการเงินจะส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจทางการเงิน นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ส่งผลดีต่อความมั่งคั่ง ตัวอย่างทัศนคติที่ดีต่อการเงิน เชื่อมั่นในอนาคตทางการเงิน: มองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นว่าสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้: ใฝ่หาความรู้ด้านการเงิน เรียนรู้วิธีการจัดการเงิน ลงทุน และสร้างรายได้ มุ่งเน้นการสร้างคุณค่า: ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้อื่น สร้างคุณค่าให้กับสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน มุ่งเน้นผลงาน: ทุ่มเท ทำงานอย่างหนัก มุ่งเน้นผลลัพธ์ โดยไม่หวังคำชม ตั้งคำถาม: ตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมาย กลยุทธ์ และวิธีการทางการเงิน เพื่อค้นหาแนวทางที่ดีที่สุด ทัศนคติดี ส่งผลดีต่อการเติบโตทางการเงิน ดังนี้: การออม: บุคคลที่มีทัศนคติดีต่อการเงิน มักมีวินัยในการออม เก็บออมเงินอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออนาคต การลงทุน: กล้าที่จะลงทุน เรียนรู้ ศึกษา วิเคราะห์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางการเงิน การใช้จ่าย: ใช้จ่ายอย่างฉลาด รู้จักวางแผน ควบคุมอารมณ์ หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเกินตัว การจัดการหนี้สิน: มีวินัยในการชำระหนี้ พยายามปลดหนี้ เพื่อความมั่นคงทางการเงิน ตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน: วอร์เรน บัฟเฟตต์: นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง เชื่อมั่นในพลังของการออม ลงทุนระยะยาว มุ่งเน้นคุณค่า เรย์ ดาลิโอ: ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล โอปราห์ วินฟรีย์: ผู้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน มุ่งเน้นการสร้างคุณค่า ช่วยเหลือผู้อื่น สร้างแรงบันดาลใจ สรุป: ทัศนคติดี ส่งผลต่อพฤติกรรม การตัดสินใจ นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีต่อการเติบโตทางการเงิน บุคคลที่มีทัศนคติดี มักมีวินัย ใฝ่หาความรู้ มุ่งเน้นการสร้างคุณค่า ทำงานอย่างหนัก และตั้งคำถาม การปรับเปลี่ยนทัศนคติ: เรียนรู้: ศึกษาหาความรู้ เรื่องการเงิน ลงทุน การจัดการเงิน เปลี่ยนความคิด: มองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นในตัวเอง ตั้งเป้าหมาย ปรับพฤติกรรม: ฝึกวินัย ควบคุมอารมณ์ วางแผนการเงิน หาแรงบันดาลใจ: ศึกษาเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ต้องอาศัยเวลา ความพยายาม และความสม่ำเสมอ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ คุ้มค่ากับการลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2935
Finance
จงเขียนเรื่องสั้น เกี่ยวกับ "รอยยิ้มสู่อนาคต: การเตรียมความพร้อมสำหรับเกษียณของเด็กจบใหม่" การวางแผนเกษียณสำหรับเด็กจบใหม่ (ภาคทฤษฎี)
null
หัวข้อ: การวางแผนเกษียณสำหรับเด็กจบใหม่ (ภาคทฤษฎี) เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตก็จะเดินหน้ามายังตอนที่ต้องเผชิญกับการวางแผนเกษียณแล้ว แต่สำหรับคนที่เพิ่งจบการศึกษามา การวางแผนเกษียณอาจดูเป็นเรื่องที่ห่างไกล แต่ต้องรู้ว่าการวางแผนเกษียณนั้นเป็นหลักการสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตหลังเกษียณมีความมั่นคงและมีความสุข ดังนั้น นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับการวางแผนเกษียณสำหรับเด็กจบใหม่ในภาคทฤษฎี เมื่อจบการศึกษามาแล้ว สิ่งแรกที่พวกเขาอาจจะคิดถึงก็คือการหางานที่ดี การซื้อบ้านหรือรถ และบางครั้งอาจยังมีแผนที่จะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม การวางแผนเกษียณก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น ควรเริ่มต้นจากการเรียนรู้หลักการพื้นฐานของการวางแผนเกษียณอย่างเต็มตัว การวางแผนเกษียณไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันต้องการความระมัดระวังและการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ น้องๆ ควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเกษียณอย่าง ได้เปรียบ คิดให้ดีว่าอีก 30 ปีข้างหน้า ต้องการอยู่อย่างไร และต้องการมีชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคงและมีความสุขอย่างไร หลังจากกำหนดเป้าหมายแล้ว น้องๆ ควรทำการวางแผนการเงินที่เป็นรากฐานให้ดี โดยการเริ่มต้นออมเงินและลงทุนตั้งแต่เยาวชนอาจเป็นการเริ่มต้นที่ดี ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับการ ลงทุนในหุ้น ตลาดเงิน หรือกองทุนรวม เพื่อให้มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับวิธีการเตรียมการเงินสำหรับเกษียณ นอกจากนี้ การวางแผนเกษียณยังควรพิจารณาเรื่องการรักษาสุขภาพและการเตรียมตัวสำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเทอม หรือค่าใช้จ่ายในการ ท่องเที่ยว เรียนรู้ว่ามีบริการสุขภาพในเกษียณอย่างไร และการวางแผนสำหรับการดูแลสุขภาพในวัยเกษียณนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก นอกจากนี้ การวางแผนเกษียณยังควรพิจารณาถึงการสร้างฐานภูมิทัศน์สังคมที่มั่นคง หากมีครอบครัว ควรพิจารณาเรื่องการมีประกันชีวิต เพื่อให้ครอบครัวได้รับการคุ้มครองเมื่อ เกิดเหตุอันฉุกเฉิน และการเตรียมพร้อมเพื่อการดูแลกันเองหลังเกษียณก็เป็นสิ่งสำคัญ สรุป : การวางแผนเกษียณไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนมากนัก แต่มันต้องการความระมัดระวังและการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ ควรเริ่มต้นสร้างแผนเพื่อชีวิตหลังเกษียณอย่างเต็มที่ และไม่ลืมว่าเริ่มต้นอย่างเร็วเท่าไรก็ดี จะทำให้มีชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคงและมีความสุขได้อย่างแท้จริง
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2936
Finance
นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะเจ้ามือในตลาดหุ้นได้หรือไม่?
null
ใช่ นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะเจ้ามือในตลาดหุ้นได้ เหตุผล: ความได้เปรียบของเจ้ามือ: เจ้ามือมีทุนหนา: เจ้ามือมีเงินทุนจำนวนมากที่ใช้ควบคุมราคาหุ้น ซื้อขายหุ้นจำนวนมหาศาลเพื่อดันราคาหรือกดราคา ข้อมูลภายใน: เจ้ามืออาจมีข้อมูลภายในเกี่ยวกับบริษัทที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ อิทธิพล: เจ้ามือมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้น สามารถชี้นำราคาและสร้างความตื่นตระหนก ข้อเสียของเจ้ามือ: เป้าหมาย: เจ้ามือมีเป้าหมายหลักคือทำกำไร อาจใช้วิธีการที่ไม่โปร่งใส ความเสี่ยง: เจ้ามือต้องเผชิญความเสี่ยงสูง ข้อจำกัด: เจ้ามือไม่ได้ควบคุมตลาดหุ้นได้ทั้งหมด ตลาดหุ้นมีกลไกควบคุมและตรวจสอบ กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนรายย่อย: ลงทุนระยะยาว: มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี ไม่หวังผลตอบแทนระยะสั้น กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายประเภท ควบคุมอารมณ์: ใจเย็น ไม่กลัว ไม่โลภ ศึกษาหาความรู้: เรียนรู้กลยุทธ์การลงทุน วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน วิเคราะห์ทางเทคนิค ใช้เทคโนโลยี: ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ตัวอย่างนักลงทุนรายย่อยที่ประสบความสำเร็จ: วอร์เรน บัฟเฟตต์: เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย เน้นลงทุนระยะยาว ปีเตอร์ ลินช์: เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เบนจามิน เกรแฮม: เน้นลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า ข้อควรระวัง: การเอาชนะเจ้ามือไม่ใช่เรื่องง่าย นักลงทุนรายย่อยต้องมีความอดทน การลงทุนมีความเสี่ยง สรุป: นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะเจ้ามือในตลาดหุ้นได้ แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม การศึกษาหาความรู้ และการควบคุมอารมณ์ นักลงทุนรายย่อยก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2937
Finance
หาก PTT แยกทางกับ CPALL (7-Eleven) จริง อะไรคือกลยุทธ์ที่ PTT ควรใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ Jiffy ให้สามารถแข่งขันกับ 7-Eleven ได้?
null
PTT มีจุดอ่อนหลายประการ ดังนี้: จำนวนสาขา: Jiffy มีจำนวนสาขา significantly น้อยกว่า 7-Eleven Know-how : PTT ขาดประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก Synergy: ธุรกิจ Jiffy ยังไม่มี synergy กับธุรกิจหลักของ PTT Disruption: ธุรกิจน้ำมัน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ PTT มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก Disrupt จากเทรนด์รถไฟฟ้า กลยุทธ์ที่ PTT ควรใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ Jiffy : 1. พัฒนาจุดแข็ง: สร้างจุดแข็ง ให้กับ Jiffy เช่น สินค้าเฉพาะ บริการที่แตกต่าง หรือ ราคาที่ competitive พัฒนา Know-how : PTT ควรหาพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก หรือ ลงทุนพัฒนาระบบ บุคลากร และ เทคโนโลยี ของตัวเอง สร้าง Synergy: PTT ควรหาทางเชื่อมโยง Jiffy กับธุรกิจหลัก เช่น ให้คะแนนสะสม หรือ โปรโมชั่นร่วมกับธุรกิจอื่นๆ ของ PTT 2. รับมือกับจุดอ่อน: ขยายสาขา: PTT จำเป็นต้องขยายสาขา Jiffy อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงจาก Disruption: PTT ควรกระจายความเสี่ยง โดยลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ PTT สามารถนำไปใช้: พัฒนา Jiffy ให้เป็นร้านสะดวกซื้อสำหรับคนรักรถ: PTT มีจุดแข็งในธุรกิจน้ำมัน ดังนั้น Jiffy สามารถพัฒนาสินค้า บริการ และ โปรโมชั่น ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถ เช่น บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน ตรวจเช็คสภาพรถ หรือ ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับรถ จับมือกับพันธมิตร: PTT สามารถหาพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก เช่น CPALL หรือ Alibaba เพื่อร่วมพัฒนา Jiffy ลงทุนในเทคโนโลยี: PTT สามารถลงทุนในเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อพัฒนาระบบการจัดการร้าน สินค้า และ บริการ ของ Jiffy ขยายสาขา Jiffy ในสถานีบริการน้ำมัน PTT : PTT มีสถานีบริการน้ำมันอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดตั้งสาขา Jiffy ได้ พัฒนาธุรกิจอื่นๆ : PTT ควรลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ หรือ ธุรกิจ Healthcare สรุป: หาก PTT ต้องการพัฒนาธุรกิจ Jiffy ให้สามารถแข่งขันกับ 7-Eleven ได้ จำเป็นต้องพัฒนาจุดแข็ง รับมือกับจุดอ่อน และ หาพันธมิตรที่มีประสบการณ์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2939
Finance
การเป็นลูกที่ดี หมายถึงการเป็น "สินทรัพย์" ของแม่เสมอไปหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความหมายของ "สินทรัพย์": ในทางการเงิน : สินทรัพย์ หมายถึง สิ่งที่มีมูลค่าและสามารถสร้างประโยชน์หรือกระแสเงินสดในอนาคตได้ การเป็น "สินทรัพย์" ของแม่: การเป็นลูกที่ดี ไม่ได้แปลว่าต้องเป็น "สินทรัพย์" ของแม่เสมอไป เพราะการเป็น "สินทรัพย์" ของแม่ หมายถึง การสร้างผลตอบแทนทางการเงินให้กับแม่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับแม่เสมอไป ความสำคัญของ "ความสุข": สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับแม่ คือ ความสุขของลูก การที่ลูกมีชีวิตที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิต อาจจะสร้างความสุขให้กับแม่มากกว่าการเป็น "สินทรัพย์" ภาระหน้าที่อื่นๆ: การเป็นลูกที่ดี ไม่ได้จำกัดแค่การเป็น "สินทรัพย์" ยังมีภาระหน้าที่อื่นๆ ที่ลูกควรทำ เช่น ดูแลเอาใจใส่ ให้เกียรติ อยู่เคียงข้าง ยามแม่เจ็บป่วย หรือ ยามแม่ต้องการ ความแตกต่างของแต่ละบุคคล : แต่ละคนมีสถานะทางการเงิน ความสามารถ และ โอกาส ที่แตกต่างกัน ตัวอย่าง : ลูกคนหนึ่ง อาจจะไม่มีรายได้ แต่เขาเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียน มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง อนาคตเขามีโอกาสประสบความสำเร็จ ลูกอีกคนหนึ่ง ทำงานหาเงินได้ แต่เขามีภาระค่าใช้จ่ายเยอะ ลูกอีกคนหนึ่ง อาจจะทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้กับแม่ สรุป : การเป็นลูกที่ดี ไม่ได้แปลว่าต้องเป็น "สินทรัพย์" ของแม่เสมอไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลูกควรทำหน้าที่ของตัวเอง ดูแลเอาใจใส่ ให้เกียรติ อยู่เคียงข้าง ยามแม่เจ็บป่วย หรือ ยามแม่ต้องการ และ พยายามทำสิ่งที่สร้างความสุขให้กับแม่
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2943
Finance
อะไรคือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนตามแนวคิด "Price is what you pay. Value is what you get"?
null
แนวคิด "Price is what you pay. Value is what you get" เป็นแนวคิดที่เน้นการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่าราคาที่จ่ายไป แนวคิดนี้มักถูกนำไปใช้กับการลงทุนในหุ้น โดยนักลงทุนจะมองหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในการลงทุน ยังมีความเสี่ยงหลายประการที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้ 1. การประเมินมูลค่าที่ผิดพลาด: การประเมินมูลค่าของสินทรัพย์เป็นงานที่ยากและซับซ้อน นักลงทุนอาจประเมินมูลค่าของสินทรัพย์สูงเกินไป สิ่งนี้อาจนำไปสู่การซื้อสินทรัพย์ในราคาที่แพงกว่ามูลค่าที่แท้จริง 2. ปัจจัยภายนอก: ปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ สภาพคล่องในตลาด เหตุการณ์ทางการเมือง ภัยธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ แม้ว่านักลงทุนจะซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่า แต่ราคาของสินทรัพย์อาจลดลง due to 3. ความอดทน: การลงทุนตามแนวคิดนี้มักต้องใช้เวลา นักลงทุนอาจต้องรอคอยเป็นเวลานาน กว่าราคาของสินทรัพย์จะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง สิ่งนี้ต้องการความอดทน 4. สภาพคล่อง: สินทรัพย์บางประเภทอาจมีสภาพคล่องต่ำ หมายความว่ายากที่จะซื้อหรือขาย สิ่งนี้อาจทำให้ยากต่อการขายสินทรัพย์ กรณีที่นักลงทุนต้องการเงินสด 5. อารมณ์: การลงทุนตามแนวคิดนี้ นักลงทุนต้องสามารถควบคุมอารมณ์ ไม่ควรกลัว เมื่อราคาสินทรัพย์ ควรใช้เหตุผล ตัดสินใจ ตัวอย่าง: สมมุติว่านักลงทุนซื้อหุ้น XYZ ในราคา 10 บาทต่อหุ้น นักลงทุนประเมินว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น XYZ อยู่ที่ 15 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ราคาหุ้น XYZ ลดลงเหลือ 8 บาทต่อหุ้น ในสถานการณ์นี้ นักลงทุนขาดทุน 2 บาทต่อหุ้น แม้ว่านักลงทุนจะซื้อหุ้น มูลค่า สรุป: แนวคิด "Price is what you pay. Value is what you get" เป็นแนวคิดที่ดี นักลงทุนควรศึกษา ประเมิน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจ
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2944
Finance
นักลงทุนควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว (Long-term Investment Portfolio) เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดที่เกิดขึ้นจากเกมนี้?
null
กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว 1. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท: หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ ลงทุนในต่างประเทศ: กระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศ ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ: ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล 2. เน้นการลงทุนระยะยาว: มองข้ามความผันผวนระยะสั้น เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เลือกบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง 3. ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์: ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ ปรับสัดส่วนการลงทุนตามความเสี่ยง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนระยะยาว: หุ้น 60%: เน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เติบโตสูง กระจายไปยังกลุ่มธุรกิจต่างๆ ตราสารหนี้ 30%: เน้นตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ กระจายไปยังระยะเวลาต่างๆ อสังหาริมทรัพย์ 5%: ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ 5%: ลงทุนในทองคำ น้ำมัน คำแนะนำเพิ่มเติม: ศึกษาข้อมูลการลงทุนอย่างละเอียด ควบคุมอารมณ์ในการลงทุน ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อดทนรอผลตอบแทนระยะยาว การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ "Trade War Dilemma" ส่งผลต่อตลาดการเงินอย่างมาก นักลงทุนควรมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว กระจายความเสี่ยง เน้นการลงทุนระยะยาว ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ ศึกษาข้อมูลข่าวสาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2949
Finance
ในปีพ.ศ.2560 กองทุนในไทย มีหลายกองด้วยกันที่มี Exposure การลงทุนในเอเชียเหนือ มีอะไรบ้าง
null
TISCONA : กองทุนเปิด ทิสโก้ นอร์ธ เอเชีย อิควิตี้ กองนี้ ไปลงทุนในกองทุกหลักที่เป็น ETF อีก 4 กอง ที่คาดหวังผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับตัวดัชนี โดยซื้อกองทุนดัชนี 4 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้, ไต้หวัน, จีน และ ฮ่องกง ผ่าน MSCI Index ในสัดส่วน ทีละ 25% เท่าๆกัน จุดเด่นคือ เป็น Passive Fund และ Focus ที่เอเชียเหนือจริงๆ ค่าธรรมเนียมถูกกว่า กองทุนประเภท Active Fund ASP-ASIAN : กองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอเชี่ยนสเปเชียลซิททูเอชั่นส์ กองทุนหลักคือ Fidelity Funds – Asian Special Situations Fund เป็นกองทุนสไตล์ Active Fund ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียทั้งหมด แต่เกินกว่า 60% ของพอร์ต ไปอยู่ในเอเชียเหนือ 4 ประเทศ เน้นลงทุนแบบ Bottom-up และ Stock Selection และ Overweight ในกลุ่มอุตสาหกรรม Technology, Financials และ Consumer Discretionary มากกว่าตลาด SCBAEM : กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ เอเชียน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ฟันด์ มีกองทุนแม่คือ BGF Asian Growth Leaders Fund ของ Blackrock มีนโยบายเน้นลงทุนในเอเชียทั้งภูมิภาค ลงทุนในตลาดหุ้นจีนเยอะสุด 32.95% รองลงมาคือ เกาหลีใต้ 17.34% และ ไต้หวัน 10.57% ตามลำดับ โดยมีเอเชียกลาง อย่าง อินเดียในพอร์ตเช่นกันเกือบๆ 10% ให้น้ำหนักการลงทุนใน Technology , Financials และ Consumer Discretionary มากสุดตามลำดับ แต่ถ้าเทียบกับ ASP-ASIAN ก็ถือว่า มีกลุ่ม Technology และ Financials น้อยกว่าครับ แสดงว่า มีการกระจายการลงทุนที่มากกว่านิดหน่อย B-ASIA : กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเอเชีย กองแม่คือ Invesco Asian Equity Fund ของ Invesco เน้นลงทุนในหุ้นเอเชียเช่นเดียวกับกองทุนอื่นๆ สไตล์เป็นแบบ Bottom-up และคุมด้วยการ Diversified ที่เหมาะสม ถือหุ้นไม่เกิน 60 ตัวในแต่ละรอบปีบัญชี และให้น้ำหนักไม่เกิน 6% ในแต่ละตัวที่ถือ ปัจจุบัน อยู่ใน Technology Sector สูงถึง 35.6% ซึ่งถือเป็นกองทุนที่ลงทุนในเอเชียและมีกลุ่มเทคเยอะที่สุดอันดับสอง แล้วนะครับ อยู่ในจีน , เกาหลีใต้, ไต้หวัน และ อินเดีย มากที่สุด ตามลำดับ UOBSA : กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย กองทุนแม่ มาจาก บลจ. เดียวกันก็คือ บลจ.ยูโอบี ชื่อ United Asia Fund ถ้ารองจาก TISCONA ที่มี 4 ประเทศใน North Asia กองทุนนี้ จัดว่ามีเอเชียเหนือเยอะที่สุดรองลงมาเลย คือ มากกว่า 70% ของพอร์ตเลยทีเดียว ปัจจุบัน อยู่ใน Technology Sector สูงถึง 36.34% ซึ่งถือเป็นกองทุนที่ลงทุนในเอเชียและมีกลุ่มเทคเยอะที่สุดอันดับ 1 เลยนะครับ จุดเด่นอีกอย่างของกองนี้ก็คือ กระจายการลงทุนในหุ้นมากกว่ากองทุนอื่น โดยใน Top 10 Holdings มีน้ำหนักรวมเพียงแค่ 32.15% ของมูลค่า ซึ่งน้อยกว่ากองอื่นๆที่มีน้ำหนักประมาณ 40-60%
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2954
Finance
อะไรคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาหุ้น AU ในปัจจุบัน ในปี 2559
null
1. การเติบโตของกำไรที่ชะลอตัว ในปี 2559 กำไรของ AU โตเกิน 150% อยู่ประมาณ 2 ไตรมาส หลังจากนั้นอัตราการเติบโตของกำไรก็ลดลงเหลือ 33% ใน 3Q59, 16% ใน 4Q59 และล่าสุด -16% ใน 1Q60 สาเหตุหลักมาจากการขยายสาขาไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตน้อยกว่าสาขาในใจกลางเมือง ค่าใช้จ่ายในการขยายสาขา ค่าพนักงาน ค่าเช่า และค่าตกแต่งร้าน เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายขายและบริหารพุ่งกระฉูด ยอดขายรวมของ AU เติบโตชะลอตัวจาก 60% เหลือ 10% 2. มุมมองของนักลงทุน นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของกำไรที่ชะลอตัว ราคาหุ้น AU ปรับตัวลดลงจาก 13.50 บาท เหลือ 7.10 บาท นักลงทุนบางส่วนเริ่มขายหุ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วง 3. ปัจจัยอื่นๆ เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว กระแสการบริโภคที่ชะลอตัว ความกังวลเกี่ยวกับ Brexit อนาคตของหุ้น AU ขึ้นอยู่กับ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย กลยุทธ์การขยายสาขาของ AU การควบคุมค่าใช้จ่าย การรักษาความนิยมในแบรนด์ After You สรุป ราคาหุ้น AU ในปัจจุบัน สะท้อนถึงมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อการเติบโตของกำไร เศรษฐกิจไทย กระแสการบริโภค นักลงทุนควรติดตามผลประกอบการของ AU และเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและวิเคราะห์ความเสี่ยง
เครื่องมือทางการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2957
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การโกงของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนสำหรับ VI
null
การโกงของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียน สำหรับ VI ที่มีประสบการณ์นั้น เป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน การโกงของพนักงานระดับล่างหรือระดับรอง ๆ ในบริษัทเป็นเรื่องปกติที่มักจะต้องเกิดขึ้นในทุกบริษัท เพราะยีนของมนุษย์มีเรื่องของการโกงอยู่ทุกคน การไม่ยอมรับการโกงในทุกระดับเท่ากับว่าจะไม่ลงทุนในหุ้นเลย สิ่งที่จะต้องพิจารณาคือ ระดับของการโกงนั้นอยู่ในระดับไหน กระทบกับผลประกอบการเท่าไร ถ้ามันน่าจะพอ ๆ กับบริษัทอื่น ก็อาจจะไม่ต้องสนใจอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นการโกงของผู้บริหารระดับสูงหรือสูงสุดของบริษัทแล้ว ก็อาจจะมีผลทำให้บริษัทเสียหายหนักหรือล่มสลายได้ การดูว่าผู้บริหารระดับสูงต้องซื่อสัตย์แค่ไหนนั้น จะจากดูประวัติและพฤติกรรมที่ทำมากกว่าอย่างอื่น นอกจากนั้นก็จะดูความยากง่ายในการโกง ซึ่งมักจะอิงกับตัวโครงสร้างของธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วย พราะอุตสาหกรรมบางอย่างมีความเกี่ยวข้องกับงานประมูลของหน่วยงานรัฐ การโกงของผู้บริหารสูงสุดในภาวะที่ตลาดหุ้นเป็นใจ มีนักเก็งกำไรที่พร้อมเข้าซื้อหุ้นดันราคาให้สูงมีค่า PE เป็นหลายสิบหรือร้อยเท่าได้นั้น เขาอาจจะไม่ได้โกงเงินบริษัทก็ได้ เพราะเขาสามารถโกงเงินคนเล่นหุ้นได้มากกว่า บทเรียนจากย่อหน้านี้ การ “โกง” ของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนนั้น สำหรับ VI “พันธุ์แท้” ที่มีประสบการณ์นั้น เป็นประเด็นสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน แน่นอนว่าการโกงของพนักงานระดับล่างหรือระดับรอง ๆ ในบริษัทนั้น เป็นเรื่อง “ปกติ” ที่มักจะต้องเกิดขึ้นในทุกบริษัทเพราะยีนของมนุษย์นั้นมีเรื่องของการ “โกง” อยู่ด้วยทุกคน การที่จะไม่ยอมรับการโกงในทุกระดับและทุกกรณีนั้นก็เท่ากับว่าจะไม่ลงทุนในหุ้นเลย สิ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือ ระดับของการโกงนั้นอยู่ในระดับไหน มันจะกระทบกับผลประกอบการเท่าไร หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ดูว่ามันเป็น “ต้นทุน” ของธุรกิจที่ยอมรับได้ไหม ถ้ามันน่าจะพอ ๆ กับบริษัทอื่นก็อาจจะไม่ต้องสนใจอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นการโกงของผู้บริหารระดับสูงหรือสูงสุดของบริษัท การโกงนั้นก็อาจจะมีผลทำให้บริษัทเสียหายหนักหรือบางทีอาจจะ “ล่มสลาย” ได้ นักลงทุนหรือนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถหรือไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ประเด็นการโกงในระดับผู้บริหารสูงสุดหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างมากก็แค่ดู “คะแนนบรรษัทภิบาล” ที่บริษัทได้รับจากการจัดอันดับของหน่วยงานในตลาดทุน ถ้าบริษัทได้คะแนนดีได้ “ดาว” สูง พวกเขาก็สรุปว่าบริษัทไม่มีปัญหาในเรื่องของความซื่อสัตย์ แต่คะแนน Corporate Governance นั้น สามารถอธิบายเรื่องความซื่อสัตย์หรืออะไรก็ตามได้ไม่ถึงครึ่ง เหตุผลก็เพราะการให้คะแนนนั้นอิงอยู่กับ Form หรือรูปแบบมาตรฐาน เช่น มีกรรมการ “คนนอก” กี่คน มีคณะกรรมการย่อยกี่คณะ มีการประชุมกี่ครั้ง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้บอกถึง “คุณภาพ” ที่แท้จริง ดังนั้น จึงแทบไม่สนใจว่าบริษัทได้คะแนนสูงแค่ไหน การดูว่าผู้บริหารระดับสูงซื่อสัตย์แค่ไหนนั้น จะดูประวัติและพฤติกรรมที่เขาทำมากกว่าอย่างอื่น นอกจากนั้น จะดูความยากง่ายในการโกงซึ่งมักจะอิงกับตัวโครงสร้างของธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วย เพราะอุตสาหกรรมบางอย่างเช่นที่ต้องเกี่ยวข้องกับงานประมูลของหน่วยงานรัฐนั้น บ่อยครั้งผู้บริหารต้อง “จ่าย” เงิน “ใต้โต๊ะ” ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ผู้บริหารจะโกงได้ง่าย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การโกงในกรณีแบบหลังนี้ก็มักจะไม่ถึงกับทำให้บริษัทเจ๊งในเวลาอันสั้น เพียงแต่มันอาจจะทำให้บริษัทไม่ได้กำไรหรือเติบโตไปมากอย่างที่คิด บางทีก็อาจจะขาดทุนได้ทั้ง ๆ ที่บริษัทได้งานและมีรายได้เพิ่มขึ้น การโกงของผู้บริหารสูงสุดเองนั้น ในภาวะที่ตลาดหุ้น “เป็นใจ” มีนักเก็งกำไรที่พร้อมจะเข้ามาซื้อหุ้นดันราคาให้สูงมีค่า PE เป็นหลายสิบหรือร้อยเท่าได้นั้น เขาอาจจะไม่ได้โกงเงินบริษัทก็ได้ เพราะเขาสามารถ “โกงเงินคนเล่นหุ้น” ได้มากกว่า นั่นก็คือ แทนที่จะโกงเงินบริษัทและทำให้บริษัทกำไรน้อยหรือขาดทุน เขาอาจจะ “แต่งบัญชี” ทำให้บริษัทดูมีกำไรที่ดีหรือดีมากซึ่งจะทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นดันราคาขึ้นไปซึ่งเขาจะได้ขายหุ้นทำกำไรมหาศาล ก่อนที่จะปล่อยให้กำไรตกลงมาตามที่เป็นจริงและราคาหุ้นลดลงมหาศาล และ “ตอ” ก็อาจจะเริ่มโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2961
Finance
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนควรมีอะไรบ้าง?
null
จากบทความ "ใครได้ประโยชน์จากการที่คนจีนชอบมาเที่ยวไทยบ้าง?" ของ "ลงทุนศาสตร์" นำเสนอ 5 กลุ่มธุรกิจที่น่าจะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ ท่าอากาศยานและงานสนับสนุน สายการบิน โรงแรม สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับคนจีน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับคนจีน อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ถึงเนื้อกิจการโดยตรงสำคัญมาก เพราะไม่ใช่หุ้นทุกตัวในอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มใดแนวโน้มหนึ่งได้ กลยุทธ์การลงทุน วิเคราะห์เป้าหมายทางการตลาดของบริษัท: บริษัทมีสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวจีนหรือไม่? กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทเข้าถึงนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่? วิเคราะห์ลักษณะกลุ่มเป้าหมาย: นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างไร? นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเป้าหมายนิยมสินค้าหรือบริการประเภทใด? วิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจ: ผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างไร? สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งหรือไม่? ทีมผู้บริหารมีความสามารถและน่าเชื่อถือหรือไม่? กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ควรกระจายเงินลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีน ติดตามข่าวสารและข้อมูล: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน ตัวอย่างเพิ่มเติม: นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นในกลุ่ม "สินค้าอุปโภคบริโภค" ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีน เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม สินค้าแฟชั่น นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นในกลุ่ม "ธุรกิจบริการ" ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีน เช่น ร้านอาหาร สปา สถานบันเทิง ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ควรลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มี สรุป: การลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนมีโอกาสเติบโตสูง แต่การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน และกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2962
Finance
การติดตามกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations) ของบริษัท มีความสำคัญมากกว่าการติดตามกำไรสุทธิ (Net Profit) หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. ความน่าเชื่อถือ: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เป็นตัวเลขที่วัดจากเงินสดที่เข้าออกจริง สะท้อนถึงสภาพคล่องของธุรกิจ ว่ามีเงินสดเพียงพอสำหรับการดำเนินงานหรือไม่ ต่างจากกำไรสุทธิที่มีโอกาสถูกบิดเบือนจากวิธีการบัญชี 2. ความยั่งยืน: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน บ่งบอกถึงความสามารถของธุรกิจในการสร้างรายได้และเงินสดจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ต่างจากกำไรสุทธิที่อาจได้รับผลกระทบจากรายการพิเศษ หรือรายได้ที่ยังไม่ได้รับ 3. สัญญาณเตือนภัย: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ลดลง เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าธุรกิจอาจมีปัญหาในการดำเนินงาน ต่างจากกำไรสุทธิที่อาจยังเป็นบวก 4. ประเมินมูลค่าหุ้น: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน สามารถใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น โดยใช้ DCF (Discounted Cash Flow) ต่างจากกำไรสุทธิที่อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น 5. เปรียบเทียบกับบริษัทอื่น: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน สามารถเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ต่างจากกำไรสุทธิที่อาจถูกบิดเบือนจากปัจจัยอื่นๆ ตัวอย่าง: บริษัท A มีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 50 ล้านบาท บริษัท B มีกำไรสุทธิ 80 ล้านบาท แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 120 ล้านบาท จากตัวอย่าง บริษัท B น่าจะมีความยั่งยืนมากกว่า เพราะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่า สรุป: การติดตามกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน มีความสำคัญมากกว่าการติดตามกำไรสุทธิ เพราะมีความน่าเชื่อถือ สะท้อนความยั่งยืน เป็นสัญญาณเตือนภัย และใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2964
Finance
เขียนเรื่องสั้นเรื่อง "ความเสี่ยงในที่สุดของการใช้ PBV: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของนักลงทุนที่ชื่อมายา" ให้หน่อย
null
ในโลกทางการเงินและการลงทุน การดูหุ้นเป็นกิจกรรมที่น่าทึ่งและน่าตื่นเต้นเสมอ ผู้ลงทุนมักมองหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะทำให้พวกเขามีกำไรมากที่สุดจากการลงทุนในหุ้น และอย่างที่รู้กันดี PBV หรือ ราคาต่อมูลค่าหุ้น มักถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนในหุ้น เรื่องราวของคุณมายา นักลงทุนที่มีประสบการณ์อันยาวนาน ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูกหลาน และใช้ชีวิตในการวิเคราะห์หุ้นและลงทุนอย่างเต็มที่ เธอเคยเป็นหนึ่งในผู้ที่พูดถึงความสำคัญของ PBV อย่างไร้พินิจในโลกของการลงทุน วันหนึ่ง มายาเข้าใจความสำคัญของการวิเคราะห์หุ้นด้วย PBV มากขึ้นเรื่อยๆ และเธอตัดสินใจที่จะใช้สัดส่วน PBV เพื่อเลือกหุ้นที่เธอจะลงทุน โดยอ้างอิงจากผลวิเคราะห์ทางการเงินที่มายาทำขึ้น มายาตัดสินใจที่จะลงทุนในบริษัทที่มี PBV ต่ำกว่าเพื่อซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าจริงของบริษัทนั้นๆ มายาเริ่มดูหุ้นที่มี PBV ต่ำกว่าในทุกๆ ส่วนของตลาด แต่มายาไม่รู้สึกอย่างไรกับความเร็วที่กำลังเคลื่อนไหว ทุกวันที่ผ่านไป มายากำลังผ่านราคาหุ้นที่เหมาะสมเพื่อใช้ PBV เป็นตัวชี้วัด และมายาไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แต่ในที่สุด ความเร็วนั้นกลายเป็นการล่าช้า และมายาตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง มายาเห็นว่าบริษัทที่เธอลงทุนในนั้น มีสภาพการเงินที่แย่มาก และ PBV ที่ต่ำนั้นเกิดจากการควบคุมหุ้นที่เสี่ยงต่ำเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงมูลค่าจริงของบริษัท และในที่สุด มายาก็พบว่าการใช้ PBV เป็นตัวชี้วัดหลักในการตัดสินใจการลงทุนอาจจะเป็นอันตรายได้ เพราะมันไม่สามารถบ่งชี้ถึงสภาพการเงินที่แท้จริงของบริษัทได้อย่างแม่นยำ และการลงทุนแบบนี้อาจส่งผลให้ซีน่าเสียเงินได้ จากประสบการณ์นี้ มายาได้เรียนรู้ว่าการวิเคราะห์หุ้นและการลงทุนไม่ควรจำกัดตัวเองเพียงแค่กับตัวชี้วัดเดียว แต่ควรพิจารณาและวิเคราะห์โดยใช้หลายๆ มิติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปในทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้นในอนาคต การใช้ PBV อย่างเดียวอาจจะอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อถือ เมื่อหุ้นแต่ละตัวมีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อผลกำไรและความเสี่ยงอย่างแตกต่าง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2965
Finance
ข้อดีและข้อเสียของการเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย
null
ข้อดี - มีเวลาเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วยให้นักลงทุนมีเวลาเรียนรู้กลยุทธ์ เทคนิค และสั่งสมประสบการณ์ในตลาดหุ้นได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการลงทุนในระยะยาว - มีเงินทุนน้อย โดยทั่วไปวัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน มักมีภาระผูกพันทางการเงินน้อย ทำให้สามารถออมเงินและนำมาลงทุนได้มากขึ้น - มีความเสี่ยงรับความเสี่ยงได้มากกว่า วัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน มักมีความเสี่ยงรับความเสี่ยงได้มากกว่าวัยทำงาน ทำให้สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง - มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง ตลาดหุ้นในระยะยาวมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร ข้อเสีย - ขาดความรู้และประสบการณ์ วัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน อาจจะยังไม่มีความรู้และประสบการณ์ในตลาดหุ้นมากพอ - มีวินัยน้อย วัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน อาจจะมีวินัยในการลงทุนน้อย - เงินทุนจำกัด วัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงาน อาจจะมีเงินทุนจำกัด - ความเสี่ยงสูง การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูง สรุป: การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความรู้ ประสบการณ์ วินัย เงินทุน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน คำแนะนำสำหรับนักลงทุนมือใหม่: ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้น กลยุทธ์ เทคนิค และความเสี่ยง เริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย ฝึกฝนการลงทุนผ่านบัญชี Demo ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างกรณีศึกษา: นาย A เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่อายุ 20 ปี ด้วยเงินทุน 10,000 บาท นาย A ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้น กลยุทธ์ เทคนิค และความเสี่ยง นาย A ฝึกฝนการลงทุนผ่านบัญชี Demo เป็นเวลา 1 ปี นาย A ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีความเสี่ยงต่ำ นาย A ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เป็นเวลา 10 ปี เงินลงทุนของนาย A เติบโตเป็น 1,000,000 บาท บทสรุป: การเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ต้องศึกษาหาความรู้ ฝึกฝน และลงทุนอย่างมีวินัย
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2968
Finance
การออมในหุ้นปันผลต่างจากการฝากเงินออมในธนาคารอย่างไร
null
การออมในหุ้นปันผล และ การฝากเงินออมในธนาคาร เป็นวิธีการออมเงินที่ได้รับความนิยม แต่มีความแตกต่างกันดังนี้ 1. ผลตอบแทน: การออมในหุ้นปันผล: มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินออมในธนาคาร ผลตอบแทนจากเงินปันผล: ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท ผลตอบแทนจากการเติบโตของราคาหุ้น: ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและผลประกอบการของบริษัท การฝากเงินออมในธนาคาร: ผลตอบแทนแน่นอน แต่ค่อนข้างต่ำ 2. ความเสี่ยง: การออมในหุ้นปันผล: ความเสี่ยงจากการเก็งกำไร: ราคาหุ้นอาจผันผวน ความเสี่ยงจากธุรกิจ: บริษัทอาจประสบปัญหา ความเสี่ยงจากนโยบายเงินปันผล: บริษัทอาจเปลี่ยนแปลงนโยบาย การฝากเงินออมในธนาคาร: ความเสี่ยงต่ำ 3. สภาพคล่อง: การออมในหุ้นปันผล: สามารถขายหุ้นได้ทุกเมื่อ อาจมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย การฝากเงินออมในธนาคาร: สามารถถอนเงินได้ทุกเมื่อ อาจมีค่าธรรมเนียมในการถอนเงินก่อนกำหนด 4. ระยะเวลาการลงทุน: การออมในหุ้นปันผล: เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว การฝากเงินออมในธนาคาร: เหมาะสำหรับการออมระยะสั้น สรุป: การออมในหุ้นปันผล: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง ยอมรับความเสี่ยงได้ และต้องการลงทุนระยะยาว การฝากเงินออมในธนาคาร: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ ต้องการสภาพคล่องสูง และต้องการออมระยะสั้น ตัวอย่าง: นาย A ออมเงินในธนาคารเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 10 ปี ได้รับดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี เงินออมของนาย A จะเติบโตเป็น 628,895 บาท นาย B ออมเงินในหุ้นปันผลเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 10 ปี เลือกซื้อหุ้นที่ให้เงินปันผล 5% ต่อปี และตัวกิจการเองก็เติบโตปีละ 3% เงินออมของนาย B จะเติบโตเป็น 980,774 บาท ข้อควรระวัง: การออมในหุ้นปันผล ไม่ได้การันตีว่าจะได้ผลตอบแทนสูงเสมอไป นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน การฝากเงินออมในธนาคาร แม้จะความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนอาจไม่เพียงพอต่อการเอาชนะเงินเฟ้อ คำแนะนำ: นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว นักลงทุนควรติดตามผลประกอบการของบริษัทที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_2971
Finance
ICO เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
null
ICO เหมาะกับนักลงทุนที่มีคุณสมบัติ ดังนี้: มีความรู้และเข้าใจเทคโนโลยี Blockchain เป็นอย่างดี: นักลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับเทคโนโลยี Blockchain กลไกการทำงาน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง มีความอดทน รอคอย และรับความเสี่ยงได้สูง: การลงทุนใน ICO มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ มีเงินทุนสำรอง และไม่ลงทุนเงินทั้งหมดใน ICO: นักลงทุนควรลงทุนเงินที่สามารถสูญเสียได้ และไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาลงทุนใน ICO มีความสนใจ และติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับ Cryptocurrency : นักลงทุนควรติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว และเทรนด์ ของ Cryptocurrency ข้อควรระวัง: ICO ยังไม่มีกฎหมายรองรับ: นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เงื่อนไข และความเสี่ยง ของ ICO แต่ละโครงการอย่างละเอียด มี ICO หลอกลวง: นักลงทุนควรตรวจสอบ ประวัติ ทีมงาน และ Whitepaper ของ ICO แต่ละโครงการอย่างรอบคอบ มีความผันผวนสูง: ราคา Cryptocurrency มีความผันผวนสูง นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง สรุป: ICO เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ เข้าใจ และรับความเสี่ยงได้สูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน,ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน,การเงินดิจิทัล
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2973
Finance
การลงทุนในหุ้นธนาคาร เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยง: หุ้นธนาคารมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นประเภทอื่น เพราะว่าธนาคารมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และอัตราดอกเบี้ย ความผันผวน: ราคาหุ้นธนาคารมีความผันผวนสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ ความเข้าใจ: การลงทุนในหุ้นธนาคารจำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร เศรษฐกิจ และนโยบายภาครัฐ นักลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นธนาคาร: นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และสามารถทนต่อความผันผวนของราคาหุ้นได้ นักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะยาว: หุ้นธนาคารเหมาะกับการลงทุนระยะยาว เพราะว่าราคาหุ้นธนาคารมักจะขึ้นลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ นักลงทุนที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร: นักลงทุนที่เข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร เศรษฐกิจ และนโยบายภาครัฐ จะสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนที่ไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นธนาคาร: นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ไม่ควรลงทุนในหุ้นธนาคาร นักลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะสั้น: หุ้นธนาคารมีความผันผวนสูง ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น นักลงทุนที่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร: นักลงทุนที่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร เศรษฐกิจ และนโยบายภาครัฐ อาจจะสูญเสียเงินลงทุนได้ ทางเลือกอื่นสำหรับนักลงทุน: กองทุนรวม: กองทุนรวมมีหลายประเภท นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสมกับตัวเอง ทองคำ: ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง เงินฝาก: เงินฝากมีความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน สรุป: การลงทุนในหุ้นธนาคารไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยง ระยะเวลาการลงทุน และความเข้าใจของตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2974
Finance
ในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ นักลงทุนรายย่อยควรลงทุนในตราสารหนี้อย่างไรให้ปลอดภัยและได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ?
null
1. ศึกษาความรู้เกี่ยวกับตราสารหนี้: - เข้าใจประเภทของตราสารหนี้ - ความเสี่ยง - ผลตอบแทน - ระยะเวลาการลงทุน - กลไกตลาดรอง 2. เลือกตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งเครดิตดี: - เลือกระดับเรตติ้ง A ขึ้นไป - ศึกษารายงานการวิเคราะห์จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 3. กระจายความเสี่ยง: - ลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภท - กระจายความเสี่ยง across ผู้ยืม - ระยะเวลาการลงทุน - เลือกกองทุนรวมตราสารหนี้ 4. เลือกช่องทางการลงทุนที่เหมาะสม: - ลงทุนผ่านธนาคาร - บริษัทหลักทรัพย์ - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 5. ศึกษาข้อมูลบริษัทผู้ยืม: - วิเคราะห์งบการเงิน - โครงสร้างธุรกิจ - กลยุทธ์ - ทีมผู้บริหาร - ความเสี่ยง 6. เลือกตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่อง: - ตราสารหนี้ที่มีตลาดรอง - ซื้อขายได้ง่าย - สะดวก 7. ลงทุนระยะยาว: - ตราสารหนี้มักให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว - อดทนต่อความผันผวนระยะสั้น 8. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: - พบผู้แนะนำการลงทุน (Investment Advisor) - วางแผนการลงทุนที่เหมาะสม 9. ติดตามข่าวสาร: - ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท - เศรษฐกิจ - นโยบายการเงิน 10. ลงทุนอย่างมีสติ: - ไม่ลงทุนด้วยเงินที่จำเป็นต้องใช้ - เข้าใจความเสี่ยง - ควบคุมอารมณ์ ตัวอย่าง: นักลงทุน A ศึกษาข้อมูลตราสารหนี้เลือกกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีเรตติ้ง A กระจายความเสี่ยง ลงทุนระยะยาวผลตอบแทนดีความเสี่ยงต่ำ นักลงทุน B ซื้อหุ้นกู้บริษัท B ไม่ได้ศึกษาข้อมูล เรตติ้ง B บริษัท B ประสบปัญหา นักลงทุน B สูญเสียเงิน สรุป: การลงทุนในตราสารหนี้ให้ปลอดภัยและได้ผลตอบแทนดี - ศึกษาความรู้ - เลือกตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งดี - กระจายความเสี่ยง - เลือกช่องทางการลงทุนที่เหมาะสม - ศึกษาข้อมูลบริษัท - เลือกตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่อง - ลงทุนระยะยาว - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ - ติดตามข่าวสาร - ลงทุนอย่างมีสติ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2977
Finance
ในสถานการณ์ที่ประชากรไทยมีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไป กลยุทธ์ทางการเงินแบบใดที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในอนาคต
null
จากบทความที่กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยที่มีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลต่อระบบประกันสังคมและระบบการเงินโดยรวม กลยุทธ์ทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในอนาคตมีดังนี้: 1. การวางแผนการเงินระยะยาว: เริ่มออมเงินตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจน พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ศึกษาและเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวม ประกันชีวิต บำนาญ ฯลฯ กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อวางแผนการเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของแต่ละบุคคล 2. การสร้างรายได้หลังเกษียณ: หางานเสริมหรือทำธุรกิจส่วนตัวหลังเกษียณ พัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อรองรับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลง ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างรายได้ passive income 3. การดูแลสุขภาพ: ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติมเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ 4. การเตรียมพร้อมด้านจิตใจ: เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ หากิจกรรมยามว่างเพื่อเติมเต็มชีวิตและผ่อนคลายความเครียด เข้าสังคมและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง 5. การพึ่งพาเทคโนโลยี: เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ ศึกษาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน ตัวอย่างกลยุทธ์ทางการเงินเพิ่มเติม การซื้อประกันบำนาญ: เป็นการรับประกันรายได้หลังเกษียณ ช่วยให้มั่นใจว่ามีเงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย การลงทุนในกองทุนรวม: เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากเงินออม การออมใน RMF/LTF: เป็นการออมเพื่อเกษียณที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี การขายบ้านเพื่อเกษียณ: เป็นการนำเงินทุนจากบ้านมาใช้จ่ายในยามเกษียณ ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ระวังการถูกหลอกลวงทางการเงิน ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมทางการเงิน
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2981
Finance
นักลงทุนมือใหม่ควรใช้วิธีการ "การหาหุ้นซ่อนกำไร" ลงทุนหรือไม่?
null
จากบทความ "หุ้นซ่อนกำไร" ของ "ลงทุนศาสตร์" นำเสนอ 4 กลยุทธ์ในการหาหุ้นซ่อนกำไร ได้แก่ กำไรโผล่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป กำไรโผล่จากการตัดค่าเสื่อมราคาที่ลดลง กำไรถูกปลดล็อกจากการพ้นจุดคุ้มทุน กำไรซ่อนอยู่ในสต็อกสินค้า ข้อดี: หุ้นซ่อนกำไรมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง กลยุทธ์นี้สามารถใช้คัดกรองหุ้นที่มีศักยภาพ ข้อเสีย: กลยุทธ์นี้มีความซับซ้อน ต้องอาศัยประสบการณ์และฝีมือการลงทุน หุ้นซ่อนกำไรมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนมือใหม่มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุน คำแนะนำ: นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นซ่อนกำไรอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ควรเริ่มจากหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำก่อน ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นหลายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การหาหุ้นซ่อนกำไรเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และควรเริ่มจากหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ เกณฑ์ในการคัดกรองหุ้นซ่อนกำไร ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น ผลการดำเนินงาน งบการเงิน โครงสร้างธุรกิจ ปัจจัยทางเทคนิค เช่น กราฟราคา รูปแบบการซื้อขาย ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจ เทรนด์ของอุตสาหกรรม
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2982
Finance
นักคณิตศาสตร์ประกันภัย มีบทบาทเกี่ยวข้องอย่างไร ระหว่าง อยู่เบื้องหลังของการจัดการความเสี่ยง หรือ ต้องสอบคุณวุฒิทางคณิตศาสตร์ประกันภัย
null
อยู่เบื้องหลังของการจัดการความเสี่ยง นักคณิตศาสตร์ประกันภัย มีบทบาทเกี่ยวข้อง คือ ความต้องการที่จะทำอะไรให้กับธุรกิจประกันภัย เพื่อให้เข้าถึงกับสังคมและทุกอาชีพ และเพื่อให้รู้ว่านักคณิตศาสตร์ประกันภัยมีประโยชน์ มีตัวตน และอยู่เบื้องหลังของการจัดการความเสี่ยง เกี่ยวข้องโดยไม่เอาเปรียบลูกค้า แต่ก็ต้องไม่ทำให้บริษัทขาดทุน เพื่อจะได้ให้บริษัทคงอยู่ได้และไม่เสื่อมสลายไปตามเวลา ส่วนการที่ต้องสอบคุณวุฒิทางคณิตศาสตร์ประกันภัย เป็นสิ่งที่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยต้องทำแม้ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาตรีทางด้านทางด้านคณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ และการเงินโดยตรง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะสอบไปได้ไกลแค่ไหน ทำให้ปริญญานั้นเป็นเรื่องรอง แต่ถ้าได้เรียนตรงมาก็จะได้เปรียบกว่า ส่วนการจะทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ควรจะสอบผ่านวิชาพื้นฐานประมาณ 2 – 3 ตัว เช่น คณิตศาสตร์การเงินหรือความน่าจะเป็นเสียก่อน นักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือ นักวิเคราะห์ความเสี่ยงที่มีทักษะรอบตัว ทั้งทางด้านคณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ และการเงิน รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในการประเมินผลกระทบทางการเงินจากความไม่แน่นอนในปัจจุบันและเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีต ประเมินความเสี่ยงในปัจจุบันและสร้างแบบจำลองคาดการณ์เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต พยากรณ์ออกไปในระยะยาวเพื่อประเมินสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้มากที่สุด รวมถึงโอกาสของสิ่งที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดของเหตุการณ์
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_2989
Finance
ในฐานะมนุษย์เงินเดือน เราควรมีวิธีการตรวจสอบหรือประเมินความเสี่ยงว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินก้อนหลังเกษียณให้เราได้หรือไม่
null
จากบทความที่กล่าวถึง มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ล้วนทุ่มเททำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่ ย่อมหวังว่าเมื่อถึงวัยเกษียณจะได้รับเงินก้อนตามกฎหมายแรงงานเพื่อเป็นทุนสำรองไว้ใช้ แต่ด้วยโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับกฎหมายแรงงานไทยยังไม่มีการบังคับให้บริษัทตั้งสำรองเงินเกษียณตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ได้มาตรฐาน จึงเกิดความเสี่ยงว่าบริษัทอาจไม่มีเงินจ่ายให้พนักงานเมื่อถึงเวลา วิธีการตรวจสอบหรือประเมินความเสี่ยง ตรวจสอบงบการเงิน: ศึกษาว่าบริษัทมีการตั้งสำรองสำหรับเงินเกษียณพนักงานหรือไม่ และตั้งสำรองไว้เพียงพอหรือไม่ วิเคราะห์จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio) หากอัตราส่วนนี้สูง แสดงว่าบริษัทมีหนี้สินมาก อาจส่งผลต่อความสามารถในการจ่ายเงินก้อนหลังเกษียณ ติดตามข่าวสาร: สังเกตว่าบริษัทมีปัญหาทางการเงินหรือไม่ มีการปรับโครงสร้างองค์กรหรือปลดพนักงานจำนวนมากหรือไม่ สอบถามฝ่ายทรัพยากรบุคคล: ขอข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเงินเกษียณของบริษัท วิธีการคำนวณเงินก้อน วิธีการตั้งสำรอง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษานักคณิตศาสตร์ประกันภัย หรือนักวางแผนการเงิน เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการออมสำหรับวัยเกษียณ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ผลักดันให้มีกฎหมาย: ร่วมสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายแรงงานที่บังคับให้บริษัทตั้งสำรองเงินเกษียณพนักงานตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ได้มาตรฐาน พัฒนาความรู้: ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการเงิน วางแผนการออมและลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวัยเกษียณ สร้างรายได้เสริม: หารายได้เสริมเพื่อเพิ่มเงินออมและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินก้อนหลังเกษียณจากบริษัทเพียงอย่างเดียว สรุป เงินก้อนหลังเกษียณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์เงินเดือนทุกคน การตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของบริษัท จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทเพียงอย่างเดียว
กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2990
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ เหตุผลที่มูลค่าทางบัญชี เป็นคำตอบที่ดีในการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร
null
เหตุผลที่มูลค่าทางบัญชี เป็นคำตอบที่ดีในการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร มีอยู่ 2 สาเหตุหลัก ๆ ด้วยกัน สาเหตุแรกมาจาก มูลค่าทางบัญชี มีความผันผวนน้อย แต่เมื่อไหร่ที่เมื่อบริษัทนั้นเกิดภาวะขาดทุน จะส่งผลทำให้มูลค่าทางบัญชีมีค่าลดลง แต่ไม่ได้ลดลงจนเกิดผลกระทบอย่างเป็นนัยสำคัญเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุอีกหนึ่งข้อก็คือ กำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารอยู่ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น และมีการแปรผันตรงตามสินทรัพย์ที่มีอยู่ บทเรียนจากย่อหน้านี้ หุ้นกลุ่มธนาคาร (Banking Sector) ถือเป็น Cyclical stock ประเภทหนึ่ง เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจดี มีการลงทุนมาก หุ้นกลุ่มนี้จะทำกำไรได้ดี ในทางกลับกัน ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา การทำกำไรของหุ้นกลุ่มนี้ก็จะแย่ตามสภาวะเศรษฐกิจ การใช้ P/E ratio อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีในการลงทุนหุ้นในอุตสาหกรรมนี้ เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุด สัดส่วน P/E จะมีค่ามาก (ทำให้ดูแพง ไม่น่าลงทุน) อาจเกิดจากตัว Earning ที่น้อยจนอาจถึงขั้นติดลบได้ เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว จะทำให้ Earning มากขึ้น ตัวหารมากขึ้น ค่า P/E ก็จะต่ำลงเองโดยปริยาย ทำให้เราอาจพลาดโอกาสในการลงทุนที่ดีไป แล้วทำไมมูลค่าทางบัญชี หรือ Book Value จึงเป็นคำตอบ 1. เนื่องจาก Book Value มีความผันผวนน้อยกว่า Earning อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าเมื่อบริษัทประสบภาวะขาดทุน จะทำให้ Book Value ลดลง แต่ก็ไม่ได้ลดลงจนมีนัยสำคัญ 2. ความสามารถในการกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารจะอยู่ในช่วงช่วงหนึ่งเท่านั้น และแปรผันตามสินทรัพย์ที่มี ยกตัวอย่างเช่น ในสภาวะที่เศรษฐกิจดีมากๆ กลุ่มธนาคารก็ไม่สามารถคิดอัตราดอกเบี้ยผู้กู้ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2994
Finance
ในสถานการณ์ที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ควรพิจารณาอะไรเพิ่มเติมในการเลือกซื้อประกันควบการลงทุน หรือควรเลือกซื้อประกันแบบปกติควบคู่ไปกับการลงทุนด้วยตัวเอง?
null
เงินเฟ้อ ส่งผลต่อทั้งเงินออมและการลงทุน ดังนี้: • เงินออม: เงินเฟ้อจะกัดกินมูลค่าเงินออมของเรา หมายความว่า เงินจำนวนเท่าเดิมจะซื้อสินค้าได้น้อยลง • การลงทุน: เงินเฟ้อส่งผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุน 1. เงินฝาก: ผลตอบแทนจากเงินฝากธนาคารมักจะต่ำกว่าเงินเฟ้อ 2. กองทุนรวม: ผลตอบแทนจากกองทุนรวมมีความผันผวน ขึ้นอยู่กับประเภทของกองทุน สำหรับประกันควบการลงทุน: 1. ผลตอบแทน: ผลตอบแทนจากประกันควบการลงทุน ประกอบไปด้วย 1.1 ผลตอบแทนจากการลงทุน: ขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือก 1.2 โบนัส: ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทประกัน 2. ความเสี่ยง: 2.1 ความเสี่ยงจากตลาด: ผลตอบแทนจากการลงทุนมีความผันผวน 2.2 ความเสี่ยงจากบริษัทประกัน: บริษัทประกันอาจล้มละลาย การเลือกซื้อประกันควบการลงทุนในภาวะเงินเฟ้อสูง: 1. พิจารณากองทุนที่ลงทุน: 1.1 เน้นกองทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ เช่น กองทุนตราสารทุน 1.2 กระจายความเสี่ยงลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ 2. พิจารณาเบี้ยประกัน: 2.1 เลือกเบี้ยประกันที่จ่ายไหว 2.2 เงินส่วนที่เหลือควรนำไปออมและลงทุนเพิ่มเติม 3 พิจารณาความเสี่ยง: 3.1 เข้าใจความเสี่ยงจากตลาดและความเสี่ยงจากบริษัทประกัน 3.2 เลือกซื้อประกันจากบริษัทที่มีความมั่นคง การเลือกซื้อประกันแบบปกติควบคู่ไปกับการลงทุนด้วยตัวเอง: 1. ประกัน: 1.1 เลือกซื้อประกันที่เน้นความคุ้มครอง 1.2 เลือกทุนประกันที่เหมาะสมกับความต้องการ 2. การลงทุน: 2.1 เลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายและความเสี่ยง 2.2 ศึกษาข้อมูลและลงทุนอย่างชาญฉลาด สรุป: ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ว่าควรเลือกซื้อประกันควบการลงทุนหรือประกันแบบปกติควบคู่ไปกับการลงทุนด้วยตัวเอง การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ 1. เป้าหมายทางการเงิน 2. ความเสี่ยงที่รับได้ 3. วินัยในการลงทุน
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_2995
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การวิเคราะห์ปัจจัยสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกระเป๋า
null
ปัจจัยสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกระเป๋าที่ควรวิเคราะห์ก่อนการลงทุน มีอยู่ 3 อย่าง นั่นก็คือ ความมั่นคงของแบรนด์, ความหายากของกระเป๋าแต่ละรุ่น และวัตถุดิบที่ใช้ทำกระเป๋า นี่เป็นแค่ปัจจัยหลัก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะส่วนเพิ่มมูลค่าของกระเป๋ายามที่แบรนด์นั้นมีการร่วมออกแบบกระเป๋ารุ่นพิเศษกับนักออกแบบแฟชั่นชื่อดังหรือใช้วัสดุพิเศษ และต้องระวังเรื่องการติดตามเช็คสุขภาพของแบรนด์ ว่ายังมีความแข็งแกร่งหรือไม่ หรือ บริษัทจะมีแนวโน้มเปลี่ยนไปใช้นโยบายธุรกิจที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลกระทบกับมูลค่าของแบรนด์หรือเปล่า บทเรียนจากย่อหน้านี้ นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกระเป๋าควรวิเคราะห์ปัจจัย 3 ข้อ ซึ่งก็คือ ความมั่นคงของแบรนด์, ความหายากของกระเป๋าแต่ละรุ่น และวัตถุดิบที่ใช้ทำกระเป๋า เป็นปัจจัยหลัก นอกจากนั้นยังมีกระเป๋ารุ่นพิเศษต่างๆ ที่มีการร่วมออกแบบกับนักออกแบบแฟชั่นชื่อดังหรือมีการใช้วัสดุพิเศษเช่นพลอยก็จะถือเป็นส่วนเพิ่มมูลค่าได้ด้วยเช่นกัน เจ้าของร้านกระเป๋าหรูอย่าง Bags and Luxury ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ลูกค้าของเธอไม่ได้มีแค่นักลงทุนทั่วๆ ไปเท่านั้น ลูกค้าบางคนเป็นถึงเจ้าหญิงหรืออยู่ในราชวงศ์ชั้นสูงของประเทศเลยทีเดียว เธอยังได้เปรียบเทียบเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า ผู้ชายเองก็ไม่ต่างกับผู้หญิง พวกเขาชอบสะสมนาฬิกาก็ไม่ต่างกับที่ผู้หญิงสะสมกระเป๋า หากจะให้เทียบ คิดว่ากระเป๋าก็มีบางมุมที่คล้ายๆ กับการลงทุนในหุ้นแข็งแกร่งอยู่บ้าง เหมือนกันตรงที่กระเป๋าเหล่านี้มักจะมีแบรด์ที่แข็งแกร่งและความนิยมที่สูงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่นักลงทุนต้องระวัง ก็อาจจะเป็นการติดตามเช็คสุขภาพของแบรนด์ว่ายังแข็งแกร่งอยู่หรือไม่ บริษัทมีแนวโน้มเปลี่ยนไปใช้นโยบายธุรกิจที่ไม่เหมาะสมซึ่งกระทบกับมูลค่าของแบรนด์หรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น การเป็นกระเป๋าหรูแต่ดันไปเน้นขายในร้าน Outlet เป็นต้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_2999
Finance
ในปีพ.ศ.2564 After You มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) สูงกว่า 60% หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: จากงบการเงินของ After You ในปี 2564 พบว่า รายได้: 1,230.9 ล้านบาท ต้นทุนขาย: 482.2 ล้านบาท กำไรขั้นต้น: 748.7 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น: (748.7 / 1,230.9) * 100 = 60.8% อธิบายเพิ่มเติม : อัตรากำไรขั้นต้น หมายถึง อัตรากำไรที่ได้หลังจากหักต้นทุนขายออกจากรายได้ อัตรากำไรขั้นต้นที่สูง บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน After You มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 60% แสดงว่าบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้น : ประเภทของธุรกิจ: ธุรกิจที่มีสินค้าคงคลังสูงมักมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าธุรกิจที่มีบริการ กลยุทธ์การกำหนดราคา: ธุรกิจที่ตั้งราคาสินค้าสูงมักมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน: ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนมักมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ข้อควรระวัง : อัตรากำไรขั้นต้น เป็นเพียงตัวชี้วัดหนึ่ง ไม่สามารถบอกได้ทั้งหมดว่าธุรกิจมีผลประกอบการที่ดีหรือไม่ ควรพิจารณาตัวชี้วัดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อัตรากำไรสุทธิ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ สรุป : After You มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า 60% แสดงว่าบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3000
Finance
เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับ"แผนที่ของท็อปเจริญ: เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจและชุมชน" ให้เห็นภาพว่า ท็อปเจริญ กำไรดีแค่ไหน?
null
ในห้องประชุมของบริษัทแห่งหนึ่ง กำลังมีการประชุมเรื่องแผนกลยุทธ์การตลาดใหม่ ความสนใจของทุกคนกำลังตั้งเป็นสูงมาก เพราะเมื่อเข้าสู่แผนกลยุทธ์การตลาดใหม่ คำว่า "ท็อปเจริญ" ก็เป็นคำที่ได้ยินบ่อยๆ ในบริษัทนี้ นักการตลาดหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า อริยะ เป็นผู้นำการประชุมในครั้งนี้ "สวัสดีครับทุกคน วันนี้มาพูดถึงแผนกลยุทธ์การตลาดใหม่ของท็อปเจริญ " อริยะพูดอย่างมั่นใจ "และคำถามที่สำคัญคือ 'ท็อปเจริญ' กำไรดีแค่ไหน?" เสียงกระหึ่มขึ้นมาในห้อง นักการตลาดแต่ละคนกำลังแสดงความคิดเห็นของตนเอง แต่มีคนหนึ่งที่มองในมุมมองที่แตกต่าง คนนั้นคือ นิก เขามีความเชื่อว่าการทำกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกับชุมชน จะช่วยให้บริษัทมีชื่อเสียงและซื้อสินค้าอย่างยั่งยืนขึ้น "ถ้ามองในมุมมองทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย การเชื่อมโยงกับชุมชนและการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อาจเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้เราเป็นท็อปเจริญในใจของคน" นิกพูด อย่างจริงจังด้วยความเชื่อมั่น คำพูดของนิกได้สร้างความสนใจให้กับทุกคนในห้องประชุม นิกได้นำเสนอแผนการตลาดที่ใหม่โดยการรวมกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับชุมชนเข้ากับแผนการตลาด แนวคิดนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากทุกคนในทีม และจากการประชุมครั้งนี้ ทำให้บริษัทมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่ทิศทางใหม่ของการตลาดที่อาจไม่ได้มีเพียงแค่กำไรที่เจริญอย่างเดียว แต่ยังมีความสำคัญกับการทำความดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย และนี่คือทางที่ทำให้ท็อปเจริญกลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญในวงการธุรกิจไม่แค่แต่ในเรื่องของกำไรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของชุมชนและโลกรอบตัวด้วย และในที่สุด คำว่า "ท็อปเจริญ" มีความหมายมากกว่าเพียงแค่กำไรบนกระดานบริษัทและเป็นแรงบันดาลใจที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วย
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_3001
Finance
อุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนมากที่สุดใน GDP ของจีน คือ Tertiary Industry แปลเป็นไทยคือ อุตสาหกรรมตติยภูมิหรืออุตสาหกรรมขั้นสูง ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทประเภทใด
null
อุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนมากที่สุดใน GDP ของจีน คือ Tertiary Industry แปลเป็นไทยคือ อุตสาหกรรมตติยภูมิหรืออุตสาหกรรมขั้นสูง ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทประเภท Technology, Service, Retail และ Healthcare Tertiary Industry มีสัดส่วนเกินกว่า 50% ของ GDP จีนโดยอุตสาหกรรมเก่าอย่างโรงงานและการผลิตมีสัดส่วนที่ประมาณ 40% ส่วนพวก Commodity อย่างถ่านหินและนํ้ามันเหลือแค่ 10% เท่านั้น และถ้าเทียบสัดส่วน GDP ของ Tertiary Industry กับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง USA และ Germany ที่มีสัดส่วนที่สูงถึง 78-80% ประเทศจีนเมื่อพัฒนาไปในอนาคตจะมีกำลังซื้อสูงขึ้น ความต้องการธุรกิจอย่างบริการก็จะสูงขึ้นก็ควรจะมีสัดส่วนของ Tertiary Industry สูงเช่นกัน นอกจากอุตสาหกรรมของจีนที่เปลี่ยนไปจาก Old China เป็น New China แล้ว สัดส่วนการเติบโตของจีนยังมาจากอุตสาหกรรมใหม่ด้วย โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2010-2015 สูงถึง 26% ต่อปีเกือบ 2 เท่าตัวของการเติบโตของอุตสาหกรรมเก่าที่ 13% หากเอาข้อมูลของกองทุน TMBCOF ที่ลงทุนใน UBS China Opportunity Equity Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนใน New China จะเห็นว่ากองทุนให้ผลตอบแทนถึง 90.4% ในช่วงปี 2012 – 2017 ชนะ MSCI China ที่ให้ผลตอบแทน 31.2% มากถึงเกือบ 2 เท่าตัว กองทุนลงทุนในอะไรบ้างที่เป็นธุรกิจ New China ถึงได้ผลตอบแทนที่ชนะตลาดรวมได้ขนาดนี้ การลงทุนหลักๆ ก็มี - Tencent Holdings 9.7% เจ้าของ Application ที่ไม่มีคนจีนคนไหนไม่รู้จัก WeChat หุ้นขึ้นมาประมาณ 700% - TAL Education 9.0% เจ้าของธุรกิจโรงเรียนติวเตอร์รายใหญ่ของจีน หุ้นขึ้นมาประมาณ 800% - Ping An 7.5% เจ้าของธุรกิจประกันรายใหญ่ถือหุ้นโดยกลุ่ม CP ของไทย หุ้นขึ้นมาประมาณ 80% - Alibaba 7.4% โดย Jack Ma ราคาหุ้นขึ้นจาก IPO มาประมาณ 100% - Baidu 4.2% ผู้นำ Search Engine ในประเทศจีน ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 82% ในขณะที่ Google มีแค่ 10% เท่านั้น ราคาหุ้นขึ้นมาประมาณ 50% ในยุคที่โลกเชื่อมต่อกันทั้งหมด การลงทุนในต่างประเทศจะทำให้ไม่พลาดโอกาสสำคัญๆ ที่เป็นเทรนด์ใหญ่ของโลก ถึงกระนั้นการลงทุนในต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในเรื่องของข้อมูล, ภาษาและวัฒนธรรม ตัวช่วยที่พอมีคือ การลงทุนผ่านกองทุน สิ่งที่คนธรรมดาๆ ทำได้คือ การมองเทรนด์และภาพใหญ่ที่เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จในอนาคต โดยปล่อยเรื่องของภาพเล็กและการประเมินมูลค่าหุ้นให้กับผู้จัดการกองทุนเป็นคนดูแลแทนก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3006
Finance
อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่?
null
กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ดังนี้ 1. เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย: ไม่จำเป็นต้องลงทุนเงินก้อนใหญ่ เริ่มต้นด้วยจำนวนเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้ ทยอยลงทุนเพิ่มเติมเมื่อพร้อม 2. เลือกกองทุนรวมที่เหมาะสม: เลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน พิจารณาผลตอบแทนในอดีต ค่าธรรมเนียม นโยบายการลงทุน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน 3. กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในกองทุนรวมเพียงตัวเดียว กระจายเงินลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่างๆ ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนต่างกัน 4. ลงทุนระยะยาว: ไม่ควรหวังผลตอบแทนระยะสั้น ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อดทนรอผลตอบแทนระยะยาว 5. ศึกษาหาความรู้: เรียนรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม ประเภท ความเสี่ยง ผลตอบแทน ติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ การเมือง ปรับกลยุทธ์การลงทุนตามสถานการณ์ ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยง ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน แหล่งข้อมูล: บทความ "20 ปีข้างหน้าของกองทุนรวมไทย" ของ "The Standard" เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์ คำแนะนำ: นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ควรเริ่มจากลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ ควรกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมหลายตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ แต่การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนรวมประเภทที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนมือใหม่: กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมผสม กองทุนรวมดัชนี กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในกองทุนรวม: กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนรวมหลายตัว ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยง ตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3007
Finance
นักลงทุน VI ควรเข้าร่วมงานเลี้ยงของหุ้นรายตัวหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ความเสี่ยงสูง: งานเลี้ยงของหุ้นรายตัว มักหมายถึง หุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว มักมีมูลค่าตลาด (Market Cap.) สูง และมักมีค่า PE สูง ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่สูง ความไม่แน่นอน: ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูง มักมีแรงเก็งกำไรสูง ประกอบกับข่าวลือ ข่าวสาร และความคาดหวังต่างๆ ทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนสูง ความยากในการคาดการณ์: การคาดการณ์ว่างานเลี้ยงจะเลิกเมื่อไหร่นั้นเป็นเรื่องยาก โอกาสในการขาดทุน: หากนักลงทุน VI เข้าร่วมงานเลี้ยงและราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว มีโอกาสสูงที่นักลงทุน VI จะขาดทุน กลยุทธ์ VI ไม่สอดคล้อง: การเข้าร่วมงานเลี้ยงขัดต่อหลักการของ VI เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง แนวทางการลงทุนสำหรับนักลงทุน VI: เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ศึกษาข้อมูลบริษัท งบการเงิน กลยุทธ์ธุรกิจ ฯลฯ มองหาหุ้นที่มีมูลค่า: เลือกหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ลงทุนระยะยาว: อดทน รอคอยผลตอบแทนระยะยาว ควบคุมความเสี่ยง: กระจายเงินลงทุน ไม่ลงทุนในหุ้นตัวเดียว ข้อควรระวัง: ข้อมูลข่าวสาร: นักลงทุน VI ควรวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารอย่างรอบคอบ อารมณ์: ควบคุมอารมณ์ ไม่ตัดสินใจลงทุนด้วยความโลภหรือความกลัว วินัย: ยึดมั่นในกลยุทธ์ VI สรุป: นักลงทุน VI ควรหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมงานเลี้ยงของหุ้นรายตัว เน้นการลงทุนตามหลักการ VI มุ่งเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน มองหาหุ้นที่มีมูลค่า ลงทุนระยะยาว ควบคุมความเสี่ยง และยึดมั่นในวินัย
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3016
Finance
แนวโน้มของของรายได้ของ DTAC เริ่มต้นลดลงหลังจาก 2013 เป็นต้นมา ใช่หรือไม่
null
ใช่ แนวโน้มของของรายได้ของ DTAC เป็นขาขึ้นตั้งแต่ 2007 – 2013 ก่อนจะเริ่มต้นลดลงหลังจาก 2013 เป็นต้นมา ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2007 – 2014 ก่อนจะเริ่มต้นลดลงในปี 2014 เป็นต้นมาเช่นกัน - ในปี 2007 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,841 ล้านบาท - ในปี 2008 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,329 ล้านบาท - ในปี 2009 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,628 ล้านบาท - ในปี 2010 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,892 ล้านบาท - ในปี 2011 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,813 ล้านบาท - ในปี 2012 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,285 ล้านบาท - ในปี 2013 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,569 ล้านบาท - ในปี 2014 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,729 ล้านบาท - ในปี 2015 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,893 ล้านบาท - ในปี 2016 DTAC รายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,086 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาสล่าสุดของปี 2017 ประกาศกำไรสุทธิออกมาที่ 229 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 81.30% yoy แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 663.33% รายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งเกิดจากการสูญเสียส่วนแบ่งทางตลาดในเชิงหมายเลขผู้ใช้บริหารให้กับคู่แข่งสุดหินอย่าง TRUE และ AIS ซึ่งถึงแม้ว่าแนวโน้มค่าใช้จ่ายต่อหมายเลขของ DTAC จะดูดีมากขึ้นแต่ก็ไม่อาจจะสามารถชดเชยจำนวนหมายเลขผู้ใช้บริการที่ลดลงได้ อัตรากำไรสุทธิของ DTAC ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ปี 2016 ที่ประมาณ 2.52% เท่านั้น ในขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2017 ก็ยังทำได้ไม่ค่อยดีอยู่ที่ 1.16% ซึ่งในภาพรวมถือว่าต่ำกว่าช่วงก่อนที่เคยสูงลอยอยู่ที่เลข 2 หลักมาก การเปลี่ยนวิถีทางการตลาดของ DTAC ครั้งนี้ตอบได้ยากว่าจะนำพาบริษัทไปถึงจุดไหน เพราะถึงแม้ว่าจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ค่อนข้างสูง แต่ก็แน่นอนว่าการเดินหมากครั้งนี้ก็สร้างแรงกระเพื่อมได้เป็นอย่างดี อย่างน้อย “เปลี่ยนมาลื่นกับอั้มนะคะ” ก็กลายเป็นคำพูดในติดอยู่ในหูของคนไทยหลายคนอยู่พักหนึ่ง ถึงแม้ว่ากำไรของ DTAC จะดูไม่ค่อย “ลื่น” นักในช่วงเวลาปลายปีที่ผ่านมา แต่จากพัฒนาการในไตรมาสแรกของปี 2017 ก็พูดได้ว่าเป็นไปอย่างน่าลุ้น เพราะถึงแม้ว่ากำไรจะตกลงอย่างมากเมื่อเทียบปีต่อปี แต่ก็ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสเช่นกัน
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_3017
Finance
ทำไมการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นหลายตัว ในหลายอุตสาหกรรม และในตลาดหุ้นต่างประเทศ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน
null
การกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นหลายตัว ในหลายอุตสาหกรรม และในตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุนด้วยเหตุผลหลักๆ ดังนี้: 1. ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้น ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่เสมอ หมายความว่าราคาหุ้นอาจจะขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ การลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียวหรือเพียงไม่กี่ตัว ทำให้นักลงทุนมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินลงทุน 2. เพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี การลงทุนในหุ้นหลายตัว ช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากหุ้นที่ราคาขึ้น 3. ลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง สามารถส่งผลต่อราคาหุ้นในประเทศใดประเทศหนึ่งได้อย่างมาก 4. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดหุ้นที่มีศักยภาพ ตลาดหุ้นในต่างประเทศบางแห่ง มีศักยภาพการเติบโตสูง ตัวอย่าง นายสมชาย ลงทุนในหุ้นไทยเพียง 5 ตัว ประกอบด้วย ธนาคาร 2 ตัว พลังงาน 1 ตัว สินค้าเกษตร 1 ตัว อสังหาริมทรัพย์ 1 ตัว ในช่วงปี 2566 ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูง ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลดลง 10% หุ้นของนายสมชาย 3 ตัว (ธนาคาร 1 ตัว พลังงาน 1 ตัว สินค้าเกษตร 1 ตัว) มีราคาปรับตัวลดลง หุ้นของนายสมชาย 2 ตัว (อสังหาริมทรัพย์ 1 ตัว ธนาคาร 1 ตัว) มีราคาปรับตัวขึ้น โดยรวมแล้ว พอร์ตการลงทุนของนายสมชายมีราคาปรับตัวลดลง 5% หากนายสมชายกระจายความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นไทย 10 ตัว ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 5 ตัว ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของนายสมชาย มีโอกาสที่จะขาดทุนน้อยลง มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น สรุป การกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นหลายตัว ในหลายอุตสาหกรรม และในตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี และเข้าถึงตลาดหุ้นที่มีศักยภาพ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_3018
Finance
ขอคำแนะนำหน่อย หุ้น PE สูง แบบไหนเรียก ถูก หรือ แพง
null
หากคุณพบหุ้นที่มี PE สูง เช่น 30 – 40 เท่า เหตุผลไหนบ้างที่คุณจะสามารถบอกได้ว่าหุ้นถูกหรือแพง? เช่นกัน หากคุณพบหุ้น PE ต่ำ เช่น 5-10 เท่า เหตุผลไหนบ้างที่คุณจะสามารถบอกได้ว่าหุ้นถูกหรือแพง? การจะตอบว่าหุ้นถูกหุ้นแพง ก่อนอื่นผมคิดว่าต้องกลับมาเป้าหมายการลงทุน ลงทุนเพื่อปันผล หรือลงทุนเพื่อ growth หรือการลงทุนอื่นๆ ถึงจะตอบได้เบื้องต้นว่าหุ้นถูกหรือแพง หุ้น PE 40 แบบไหนถึงจะไม่แพง? เราต้องมีเป้าหมายการลงทุน จากนั้นเราจะต้องหาก valuation ของหุ้นตัวนั้นๆ โดยการหา valuation เราจะต้องดูคาดการณ์อนาคตของบริษัทให้ได้ การคาดการณ์นั้นไม่จำเป็นต้องเป้ะแบบในบทวิเคราะห์ของโบรก แต่เราจะใส่ MOS เข้าไปแทน เป็นการป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในการคาดการณ์ของเรา เพราะคำว่าคาดการณ์ไม่มีทางเป็นตามที่เราคิด 100% เราจะเริ่มจากเป้าหมาย ถ้าเราลงทุนเอาปันผล หุ้นประเภทนี้ยังไงก็แพง ไม่มีทางที่ PE 40 จะมี dividend yield ในระดับที่ดี แต่ถ้าเราลงทุนเอา growth, PE40 แปลง่ายๆว่าบริษัทควรจะโตได้อย่างน้อย 40%CAGR 3 ปี ถ้าเราพบว่าจริงๆแล้วบริษัทสามารถเติบโตได้ 50%CAGR แปลว่าหุ้นPE40 ตัวนี้มี MOS ราวๆ 20% ซึ่งถือว่าดีพอสมควร ยกตัวอย่างเหตุการณ์จริงคือ KOOL เมื่อต้นปีของปีที่แล้วจะพบว่ามี PE70 ถือว่าสูงมาก หากเราไม่ได้ศึกษาบริษัทเราจะมองผ่านๆว่าแพง แต่เมื่อเข้าไปดูแล้วอาจจะพบว่า PE สูงเพราะปีก่อนมีค่าใช้จ่ายทำให้กำไรลดไปเยอะ แต่เป็นเพียง one-time cost ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นในปีหน้า เมื่อความจริงเฉลย ปีต่อมาบริษัทมีการเติบโตกำไรอยู่ที่ 1000% ซึ่งทำให้ PE70 จะลดลงเหลือเพียงประมาณ PE10 (หากซื้อในต้นทุนตอน PE70) แบบนี้ต่อให้ PE 100 ก็ถือว่าไม่แพง แต่อย่าลืมว่าการคาดการณ์นั้นมีโอกาสพลาด ถ้าเกิดบริษัทไม่โตตามที่คาดก็อาจจะอันตราย มาดูปีถัดมาของ KOOL เมื่อ PE ลดจาก 70 เหลือ PE27 (เพราะราคาหุ้นขึ้น) ในเคสนี้เหมือน PE จะถูกเพราะบริษัทเติบโตขึ้นมาก อนาคตเราก็อาจจะคาดการณ์ว่าบริษัทเติบโตต่อไปได้แบบเดิม เราก็จะมองว่าหุ้นราคาถูก เมื่อไม่นานมานี้ปรากฏว่าจริงๆแล้วบริษัทไม่สามารถเติบโตได้ แต่กำไรกลับลดลงอีก ทำให้หากเราซื้อที่ PE27 ปัจจุบันจะกลายเป็น PE45 ทันที แปลว่าจริงๆแล้วตอน PE27 นั้นถือว่าแพง แน่นอนว่าเรามองอดีตใครๆก็วิเคราะห์ได้ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือการที่หุ้นจะถูกหรือแพงนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับ valuation ของเรา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราต้องเป็นฝ่ายคิดถูกเท่านั้น ซึ่งอนาคตนั้นไม่มีใครตอบถูกได้ 100% เพราะฉะนั้นการมองว่าหุ้นถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับศิลปะส่วนตัวของแต่ละคน สรุปสั้นๆคือ PE40 ที่แพงหรือไม่แพงดูเพียงว่าราคานั้นแพงกว่าหรือถูกกว่า valuation ของเรา ซึ่งการจะได้มาซึ่ง valuation เราจะต้องเข้าใจอนาคตของบริษัทแบบคร่าวๆและใส่ MOS เข้าไป หุ้น PE 10 แบบไหนคือแพง? คำตอบนั้นค่อนข้างง่าย นั้นก็คือหากเราพบว่ากำไรของบริษัทจะไม่สามารถรักษาไว้ได้ในอนาคต แบบนี้ PE10 อาจจะแพงไปทันที เพราะอนาคตเมื่อบริษัทไม่สามารถรักษากำไรนั้นไว้ได้ PE อาจจะขึ้นเป็น 20 เท่าทันที เราจะพบบ่อยจากบริษัทที่เป็นวัฏจักร เมื่อกำไรขาขึ้นจะทำให้ PE ต่ำลง แต่แน่นอนว่า กำไรไม่สามารถอยู่สูงไปได้ตลอด เมื่อวัฏจักรเป็นขาลงจะทำให้ PE สูงขึ้น หรือเราจะพบในบริษัทที่มีกำไรพิเศษ พอได้กำไรมา PE จะลงต่ำทันที แต่แน่นอนว่ากำไรนั้นมีเพียงครั้งเดียว เมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ PE จะกลับไปสูงทันที
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_3019
Finance
ในวันที่ 11 พ.ค. 2560 ราคาหุ้น EARTH ร่วง FLOOR ใด ระหว่าง FLOOR แรก หรือ FLOOR สอง
null
FLOOR แรก เพราะในวันที่ 11 พ.ค. 2560 ราคาหุ้น EARTH ร่วง FLOOR แรก ส่วน FLOOR สอง ราคาหุ้น EARTH ร่วงในวันที่ 12 พ.ค. 2560 EARTH เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ MAI เมื่อปี 2553 ด้วยวิธีการ Backdoor หุ้น APC 11 พ.ค. 2560 ราคาหุ้นร่วง FLOOR แรก 12 พ.ค. 2560 ราคาหุ้นร่วง FLOOR สอง 13 พ.ค. 2560 ผู้บริหารยอมรับว่ากู้เงินโบรคโดยเอาหุ้นค้ำ เพราะเอาเงินไปทำอย่างอื่น พอราคาหุ้นตก ทำให้ต้องถูก FORCED SELL บังคับขายหุ้นเพื่อเอาเงินมาใช้คืนโบรค 7 มิ. ย. 2560 บริษัทประกาศผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E 40 ล้านบาท และบอกว่าน่าจะจ่ายคืนหนี้งวดต่อๆ ไปไม่ได้เช่นกัน 8 มิ. ย. 2560 ราคาหุ้นร่วง FLOOR ที่สาม หุ้นจากราคา 4.5 บาทเมื่อ เดือน เม. ย. - พ.ค. เหลือ 1.45 บาท ที่ราคา 1.45 บาท สามารถลงไปได้อีกกี่ FLOOR? หุ้น EARTH สามารถทำ FLOOR ได้อีก 14 ครั้ง จนกว่าจะถึง “0.01” บาท ซึ่ง FLOOR ถัดไปคือ 1.02 0.72 0.51 0.36 0.26 0.19 0.14 0.1 0.07 0.05 0.04 0.03 0.02 0.01 ตามลำดับ ความหายนะมักเกิดจาก “การไม่รู้ ในสิ่งที่คิดว่ารู้ดีแล้ว” อะไรที่คิดว่ารู้ดีแล้วในหุ้น EARTH บ้าง แล้วบริษัท EARTH มีหนี้เท่าไร? ณ สิ้นไตรมาส 1 2560 บริษัท EARTH มีหนี้รวมกันถึงมากถึง 23,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายการใหญ่ๆ คือ 1) ตั๋วแลกเงิน 2,382 ล้านบาท 2) ทรัสต์รีซีท 5,308 ล้านบาท 3) แพคกิ้งเครดิต 4,791 ล้านบาท 4) เงินกู้ธนาคาร 4,213 ล้านบาท 5) หุ้นกู้ 5,475 ล้านบาท หลายคนอาจบอกว่าหนี้พวกนี้บริษัทสามารถหมุนไปเรื่อยๆ ได้
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-sa-4.0