question
stringlengths 6
751
| answer
stringlengths 3
12.6k
| relevant_laws
listlengths 1
1
| reference_answer
stringlengths 2
1.9k
| reference_laws
listlengths 0
51
|
---|---|---|---|---|
ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่อย่างไร | มีหน้าที่กระทำการอันจำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 1719 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็น เพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719\nผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็น เพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก",
"section_num": "1719"
}
] | มีหน้าที่กระทำการอันจำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก | [] |
การชำระบัญชีต้องทำให้เสร็จภายในกี่วันนับแต่เลิกบริษัท | ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนเลิกบริษัท คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 175 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ถ้าการชำระบัญชีไม่อาจทำให้เสร็จได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนเลิกบริษัท ผู้ชำระบัญชีต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นทุกรอบปีภายในสี่เดือนนับแต่วันครบรอบปี เพื่อเสนอรายงานการชำระบัญชีที่ได้กระทำไปแล้วและที่จะกระทำต่อไปอีก พร้อมด้วยงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนให้ผู้ถือหุ้นทราบ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 175 ถ้าการชำระบัญชีไม่อาจทำให้เสร็จได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนเลิกบริษัท ผู้ชำระบัญชีต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นทุกรอบปีภายในสี่เดือนนับแต่วันครบรอบปี เพื่อเสนอรายงานการชำระบัญชีที่ได้กระทำไปแล้วและที่จะกระทำต่อไปอีก พร้อมด้วยงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนให้ผู้ถือหุ้นทราบ",
"section_num": "175"
}
] | ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนเลิกบริษัท | [] |
ค่าธรรมเนียบตามพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 ตกแก่ใคร | ตกเป็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 8 พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 การกำหนดค่าธรรมเนียมตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง (5) ให้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายและภาระต่าง ๆ ในการดำเนินการตามความเป็นจริง และต้องมิได้มุ่งหมายให้เกิดรายได้เป็นสำคัญ และค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้ตกเป็นของสำนักงาน ก.ล.ต. | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540",
"section_content": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 มาตรา 8 การกำหนดค่าธรรมเนียมตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง (5) ให้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายและภาระต่าง ๆ ในการดำเนินการตามความเป็นจริง และต้องมิได้มุ่งหมายให้เกิดรายได้เป็นสำคัญ และค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้ตกเป็นของสำนักงาน ก.ล.ต.",
"section_num": "8"
}
] | ตกเป็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540",
"section_content": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 มาตรา 5 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้ ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้\n(1) กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์\n(2) กำกับดูแลให้นิติบุคคลเฉพาะกิจปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้\n(3) กำหนดประเภทของสินทรัพย์ที่อนุญาตให้ทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์และประเภทของหลักทรัพย์ที่จะออกเนื่องจากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์\n(4) ออกประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้\n(5) กำหนดค่าธรรมเนียมในการดำเนินการต่าง ๆ ตามพระราชกำหนดนี้\n(6) ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชกำหนดนี้\nคณะกรรมการ ก.ล.ต. อาจมอบอำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการกำกับตลาดทุนตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการแทนได้\nประกาศของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ตามวรรคหนึ่ง เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้",
"section_num": "5"
}
] |
เมื่อตัวการตายตัวแทนต้องดำเนินการอย่างไร | ต้องจัดการตามสมควรเพื่อปกป้องรักษาประโยชน์ที่ตัวการมอบแก่ตนจนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะเข้ารักษาประโยชน์นั้น คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 828 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตายก็ดี ตัวการตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลายก็ดี ท่านว่าตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์อันเขาได้มอบหมายแก่ตนไป จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะอาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้น ๆ ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828\nเมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตายก็ดี ตัวการตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลายก็ดี ท่านว่าตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์อันเขาได้มอบหมายแก่ตนไป จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะอาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้น ๆ ได้",
"section_num": "828"
}
] | ต้องจัดการตามสมควรเพื่อปกป้องรักษาประโยชน์ที่ตัวการมอบแก่ตนจนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะเข้ารักษาประโยชน์นั้น | [] |
เมื่อการลงมติในที่ประชุมใหญ่ของสมาคมการค้าฝ่าฝืนข้อบังคับของกฎหมาย สมาชิกสมาคมขอให้ศาลเพิกถอนมติได้หรือไม่ | ได้ โดยจะต้องร้องขอให้ศาลเพิกถอนภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่สมาคมการค้าได้ลงมติ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 35 พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 ถ้าที่ประชุมใหญ่ของสมาคมการค้าลงมติอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมการค้า เมื่อสมาชิกคนหนึ่งคนใดหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่นั้นเสีย แต่ในกรณีที่สมาชิกร้องขอให้เพิกถอนให้กระทำภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้ลงมตินั้น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 35 ถ้าที่ประชุมใหญ่ของสมาคมการค้าลงมติอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อบังคับของสมาคมการค้า เมื่อสมาชิกคนหนึ่งคนใดหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่นั้นเสีย แต่ในกรณีที่สมาชิกร้องขอให้เพิกถอนให้กระทำภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้ลงมตินั้น",
"section_num": "35"
}
] | ได้ โดยจะต้องร้องขอให้ศาลเพิกถอนภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่สมาคมการค้าได้ลงมติ | [] |
ผู้แทนนิติบุคคลต้องรับผิดในการกระทำความผิดของนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ด้วยหรือไม่ | ต้องรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติสำหรับความผิดนั้น ในกรณีที่ผู้แทนนิติบุคคลรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดหรือในกรณีที่ไม่ได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิด คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 221 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดและถูกลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้แทนนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้นหรือซึ่งมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 221 ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดและถูกลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้แทนนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้นหรือซึ่งมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย",
"section_num": "221"
}
] | ต้องรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติสำหรับความผิดนั้น ในกรณีที่ผู้แทนนิติบุคคลรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดหรือในกรณีที่ไม่ได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิด | [] |
เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิเรียกร้องเรียกเงินเต็มจำนวนจากบุคคลที่ค้างชำระแก่ลูกหนี้ได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 235 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เรียกเงินเต็มจำนวนที่ยังค้างชำระแก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนก็ได้ ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่เจ้าหนี้นั้น คดีก็เป็นเสร็จกันไป แต่ถ้าลูกหนี้เดิมได้เข้าชื่อเป็นโจทก์ด้วย ลูกหนี้เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วนจำนวนเงินที่ยังเหลือติดค้างอยู่ก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี ท่านมิให้เจ้าหนี้ได้รับมากไปกว่าจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนนั้นเลย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 235\nเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เรียกเงินเต็มจำนวนที่ยังค้างชำระแก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนก็ได้ ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่เจ้าหนี้นั้น คดีก็เป็นเสร็จกันไป แต่ถ้าลูกหนี้เดิมได้เข้าชื่อเป็นโจทก์ด้วย ลูกหนี้เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วนจำนวนเงินที่ยังเหลือติดค้างอยู่ก็ได้\nแต่อย่างไรก็ดี ท่านมิให้เจ้าหนี้ได้รับมากไปกว่าจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนนั้นเลย",
"section_num": "235"
}
] | ได้ | [] |
โรงแรมต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินของผู้เขาพักสูญหายหรือไม่ | ต้องรับผิด คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 674 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674\nเจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา",
"section_num": "674"
}
] | ต้องรับผิด | [] |
ผู้ค้ำประกันต้องชำระหนี้ก่อนถึงเวลากำหนดชำระหรือไม่ | ไม่ต้อง คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 687 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ค้ำประกันไม่จำต้องชำระหนี้ก่อนถึงเวลากำหนดที่จะชำระ แม้ถึงว่าลูกหนี้จะไม่อาจถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาเริ่มต้นหรือเวลาสุดสิ้นได้ต่อไปแล้ว | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 687\nผู้ค้ำประกันไม่จำต้องชำระหนี้ก่อนถึงเวลากำหนดที่จะชำระ แม้ถึงว่าลูกหนี้จะไม่อาจถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาเริ่มต้นหรือเวลาสุดสิ้นได้ต่อไปแล้ว",
"section_num": "687"
}
] | ไม่ต้อง | [] |
ผู้นำเข้าต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้าเมื่อมีความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มใช่หรือไม่ | ใช่ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 82/14 ประมวลรัษฎากร ให้ผู้นำเข้าเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและชำระภาษีสำหรับสินค้านำเข้าเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น โดยให้คำนวณจากฐานภาษีตามส่วน 3 และอัตราภาษีตามมาตรา 80 | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 82/14 ให้ผู้นำเข้าเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและชำระภาษีสำหรับสินค้านำเข้าเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น โดยให้คำนวณจากฐานภาษีตามส่วน 3 และอัตราภาษีตามมาตรา 80",
"section_num": "82/14"
}
] | ใช่ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 80 ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 10.0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีที่กำหนดไว้ในมาตรา 80/2\n(1) การขายสินค้า\n(2) การให้บริการ\n(3) การนำเข้า\nอัตราภาษีตามวรรคหนึ่ง ให้ลดลงได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาแต่ต้องกำหนดอัตราภาษีให้เป็นอัตราภาษีเดียวกันสำหรับการขายสินค้าการให้บริการและการนำเข้าทุกกรณี",
"section_num": "80"
}
] |
ผู้ออกโทเคนดิจิทัลที่ประสงค์จะเสนอขายโทเคนดิจิทัลดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตหรือไม่ | ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 17 วรรค 1 พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 17 ในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ต่อประชาชน ผู้ออกโทเคนดิจิทัลที่ประสงค์จะเสนอขายโทเคนดิจิทัลดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. และให้กระทำได้เฉพาะนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด และต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีรายละเอียดตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 17 ในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ต่อประชาชน ผู้ออกโทเคนดิจิทัลที่ประสงค์จะเสนอขายโทเคนดิจิทัลดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. และให้กระทำได้เฉพาะนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด และต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีรายละเอียดตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับโทเคนดิจิทัลที่ผู้เสนอขายได้ออกไว้แล้วและมีวัตถุประสงค์ที่จะเสนอขายเป็นการทั่วไปต่อประชาชนด้วย\nการขอเสนอขายโทเคนดิจิทัลและการอนุญาตตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด",
"section_num": "17"
}
] | ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ | [] |
ผู้อยู่ในปกครองมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของผู้ปกครองเพื่อชำระหนี้ซึ่งค้างอยู่หรือไม่ | ใช่ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 1598/13 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้อยู่ในปกครองมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของผู้ปกครองเพื่อชำระหนี้ซึ่งค้างอยู่แก่ตน บุริมสิทธินี้ให้อยู่ในลำดับที่หกถัดจากบุริมสิทธิสามัญอย่างอื่นตามมาตรา 253 แห่งประมวลกฎหมายนี้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/13\nผู้อยู่ในปกครองมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของผู้ปกครองเพื่อชำระหนี้ซึ่งค้างอยู่แก่ตน\nบุริมสิทธินี้ให้อยู่ในลำดับที่หกถัดจากบุริมสิทธิสามัญอย่างอื่นตามมาตรา 253 แห่งประมวลกฎหมายนี้",
"section_num": "1598/13"
}
] | ใช่ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 253\nถ้าหนี้มีอยู่เป็นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่งอย่างใดดังจะกล่าวต่อไปนี้ บุคคลผู้นั้นย่อมมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ คือ\n(1) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน\n(2) ค่าปลงศพ\n(3) ค่าภาษีอากร และเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้แก่ลูกหนี้ซึ่งเป็นนายจ้าง\n(4) ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นประจำวัน",
"section_num": "253"
}
] |
การขอตรวจหรือคัดเอกสารตามพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509 ต้องดำเนินการอย่างไร | ยื่นคำขอตามแบบที่นายทะเบียนกลางหอการค้ากำหนด คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 38 พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509 ผู้ใดประสงค์จะขอตรวจหรือคัดเอกสาร หรือขอให้คัดและรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับหอการค้า ให้ยื่นคำขอตามแบบที่นายทะเบียนกลางหอการค้ากำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 38 ผู้ใดประสงค์จะขอตรวจหรือคัดเอกสาร หรือขอให้คัดและรับรองสำเนาเอกสารเกี่ยวกับหอการค้า ให้ยื่นคำขอตามแบบที่นายทะเบียนกลางหอการค้ากำหนด",
"section_num": "38"
}
] | ยื่นคำขอตามแบบที่นายทะเบียนกลางหอการค้ากำหนด | [] |
กรณีสัญญาเช่าไม่ได้ตกลงกันเรื่องกำหนดเวลาสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้หรือไม่ | ได้ โดยต้องบอกให้คู่สัญญาอีกฝ่ายรู้ก่อนระยะหนึ่ง คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 566 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถ้ากำหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อยแต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566\nถ้ากำหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อยแต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน",
"section_num": "566"
}
] | ได้ โดยต้องบอกให้คู่สัญญาอีกฝ่ายรู้ก่อนระยะหนึ่ง | [] |
ทายาทมีสิทธิเรียกให้แบ่งมรดกจากทรัพย์สินที่ทายาทคนอื่นครอบครองอยู่หรือไม่ | มีสิทธิ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 1748 วรรค 1 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน ทายาทคนนั้นมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748\nทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน ทายาทคนนั้นมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี\nสิทธิที่จะเรียกให้แบ่งทรัพย์มรดกตามวรรคก่อน จะตัดโดยนิติกรรมเกินคราวละสิบปีไม่ได้",
"section_num": "1748"
}
] | มีสิทธิ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754\nห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก\nคดีฟ้องเรียกตามข้อกำหนดพินัยกรรม มิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อผู้รับพินัยกรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงสิทธิซึ่งตนมีอยู่ตามพินัยกรรม\nภายใต้บังคับแห่งมาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก\nถึงอย่างไรก็ดี สิทธิเรียกร้องตามที่ว่ามาในวรรคก่อน ๆ นั้น มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย",
"section_num": "1754"
}
] |
สภาวิชาชีพบัญชีต้องมีประชุมใหญ่สามัญหรือไม่ | ต้องมีการประชุม อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 18 พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 18 ให้มีการประชุมใหญ่สามัญสภาวิชาชีพบัญชีอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง การประชุมใหญ่อื่นนอกจากการประชุมใหญ่สามัญ เรียกว่า การประชุมใหญ่วิสามัญ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 18 ให้มีการประชุมใหญ่สามัญสภาวิชาชีพบัญชีอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง\nการประชุมใหญ่อื่นนอกจากการประชุมใหญ่สามัญ เรียกว่า การประชุมใหญ่วิสามัญ",
"section_num": "18"
}
] | ต้องมีการประชุม อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง | [] |
บริษัทหลักทรัพย์ต้องเปิดทำการตามเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดหรือไม่ | ใช่ ต้องเปิดทำการตามเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 110 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 บริษัทหลักทรัพย์ต้องเปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการตามวันที่สำนักงานกำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสำนักงานให้เปิดทำการหรือหยุดทำการในเวลาหรือวันอื่น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 110 บริษัทหลักทรัพย์ต้องเปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการตามวันที่สำนักงานกำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสำนักงานให้เปิดทำการหรือหยุดทำการในเวลาหรือวันอื่น",
"section_num": "110"
}
] | ใช่ ต้องเปิดทำการตามเวลาที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด | [] |
การฟ้องเรียกให้ผู้บริหารกระทำการหรือละเว้นกระทำการใดอันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 89/7 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ต้องดำเนินการอย่างไร | ต้องนำ มาตรา 89/18 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาใช้บังคับโดยอนุโลม คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 89/19 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ให้นำความในมาตรา 89/18มาใช้บังคับกับการฟ้องเรียกให้ผู้บริหารกระทำการหรือละเว้นกระทำการใดอันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา89/7รับผิดชอบในการส่งคืนประโยชน์ที่ตนหรือกรรมการหรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องได้ไปโดยมิชอบโดยอนุโลม | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/19 ให้นำความในมาตรา 89/18มาใช้บังคับกับการฟ้องเรียกให้ผู้บริหารกระทำการหรือละเว้นกระทำการใดอันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา89/7รับผิดชอบในการส่งคืนประโยชน์ที่ตนหรือกรรมการหรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องได้ไปโดยมิชอบโดยอนุโลม",
"section_num": "89/19"
}
] | ต้องนำ มาตรา 89/18 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาใช้บังคับโดยอนุโลม | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/18 นอกจากการดำเนินการกับกรรมการตามมาตรา 85และมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แล้ว ในกรณีที่กรรมการกระทำการหรือละเว้นกระทำการใดอันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา89/7 จนเป็นเหตุให้กรรมการ ผู้บริหารหรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องได้ประโยชน์ไปโดยมิชอบบริษัทอาจฟ้องเรียกให้กรรมการรับผิดชอบในการส่งคืนประโยชน์ดังกล่าวให้แก่บริษัทได้\nในกรณีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งหรือหลายคนซึ่งถือหุ้นและมีสิทธิออกเสียงนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทได้แจ้งเป็นหนังสือให้บริษัทดำเนินการตามวรรคหนึ่งแล้วและบริษัทไม่ดำเนินการตามที่ผู้ถือหุ้นแจ้งภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่แจ้งผู้ถือหุ้นดังกล่าวสามารถใช้สิทธิฟ้องเรียกคืนประโยชน์ตามวรรคหนึ่งแทนบริษัทได้\nในกรณีที่ผู้ถือหุ้นใช้สิทธิดำเนินการกับกรรมการตามมาตรานี้แทนบริษัทหากศาลเห็นว่าการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นเป็นไปโดยสุจริตให้ศาลมีอำนาจกำหนดให้บริษัทชดใช้ค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่เห็นสมควรซึ่งเกิดขึ้นจริงให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิดังกล่าวและเพื่อประโยชน์ในการกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจเรียกให้บริษัทเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย",
"section_num": "89/18"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 ในการดำเนินกิจการของบริษัทกรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตรวมทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ข้อบังคับของบริษัทและมติคณะกรรมการ ตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น",
"section_num": "89/7"
}
] |
นอกจจากการเก็บวิธีโดยวิธีหักไว้ตามมาตรา 50 และมาตรา 53 ประมวลรัษฎากรแล้ว สามารถเรียกเก็บภาษีนั้นโดยวิธีอื่นได้หรือไม่ | สามารถทำได้ โดยเจ้าพนักงานประเมินมีสิทธิเรียกเก็บภาษีนั้นโดยวิธีอื่นได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 55 ประมวลรัษฎากร อำนาจการเก็บเงินภาษีโดยวิธีหักไว้ตามมาตรา 50 และมาตรา 53 มิให้เป็นเหตุเสื่อมสิทธิของเจ้าพนักงานประเมินในการที่จะเรียกเก็บเงินภาษีนั้นโดยวิธีอื่น | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 55 อำนาจการเก็บเงินภาษีโดยวิธีหักไว้ตามมาตรา 50 และมาตรา 53 มิให้เป็นเหตุเสื่อมสิทธิของเจ้าพนักงานประเมินในการที่จะเรียกเก็บเงินภาษีนั้นโดยวิธีอื่น",
"section_num": "55"
}
] | สามารถทำได้ โดยเจ้าพนักงานประเมินมีสิทธิเรียกเก็บภาษีนั้นโดยวิธีอื่นได้ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 50 ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้\n(1)ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น\nถ้าการหารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายตามความในวรรคก่อนไม่ลงตัวเหลือเศษเท่าใดให้เพิ่มเงินเท่าจำนวนที่เหลือเศษนั้นรวมเข้ากับเงินภาษีที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในปีนั้นเพื่อให้ยอดเงินภาษีที่หักรวมทั้งปีเท่ากับจำนวนภาษีที่จะต้องเสียทั้งปี\nในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (5) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น\nในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) นอกจากที่ระบุไว้ในวรรคสามที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้\n(2) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ (4) ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ เว้นแต่\n(ก) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ (4) นอกจากที่ระบุไว้ใน (ข) (ค) (ง) และ (จ) ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้\n(ข) ในกรณีเงินได้พึงประเมินที่ระบุในมาตรา 48 (3) (ก) และ (ค) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้\n(ค) ในกรณีเงินได้พึงประเมินที่ระบุในมาตรา 48 (3) (ข) ให้ถือว่าผู้ออกตั๋วเงิน ผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือนิติบุคคลผู้โอนตั๋วเงินหรือตราสารดังกล่าว ให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามส่วนนี้ เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน และให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากผู้มีเงินได้ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้\n(ง) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ก) ที่มิได้ระบุใน (ข) และ (ค) แห่งมาตรานี้ ถ้าผู้จ่ายเงินได้มิใช่เป็นนิติบุคคล และจ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องหักภาษีตามมาตรานี้\n(จ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ข) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้\n(ฉ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ซ) และ (ฌ) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้\n(3)ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) และ (6) ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้\n(4) นอกจากกรณีตาม (5) ในกรณีผู้จ่ายเงินตามมาตรานี้เป็นรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่น ซึ่งจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (6) (7) หรือ (8) แต่ไม่รวมถึงการจ่ายค่าซื้อพืชผลทางการเกษตร ให้กับผู้รับรายหนึ่ง ๆ มีจำนวนรวมทั้งสิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป แม้การจ่ายนั้นจะได้แบ่งจ่ายครั้งหนึ่ง ๆ ไม่ถึง 10,000 บาทก็ดี ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พึงประเมิน แต่เฉพาะเงินได้ในการประกวดหรือแข่งขันให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้\n(5)ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) เฉพาะที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งขายอสังหาริมทรัพย์ ให้คำนวณหักดังต่อไปนี้\n(ก) สำหรับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (4) (ก) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น\n(ข)สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจาก (ก) ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาแล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (4) (ข) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น\n(6) ในกรณีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทน ให้ถือว่าผู้โอนเป็นผู้จ่ายเงินได้ โดยให้ผู้โอนหักภาษีตามเกณฑ์ใน (5) เว้นแต่กรณีการโอนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม ให้ผู้โอนหักภาษีไว้ร้อยละ 5 ของเงินได้เฉพาะในส่วนที่เกินยี่สิบล้านบาท",
"section_num": "50"
},
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 53 ในกรณีรัฐบาลหรือองค์การรัฐบาลเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้จ่ายเงินที่จะตรวจสอบให้แน่ว่า จำนวนเงินภาษีที่จะต้องหักตามมาตรา 50 นั้น ได้คำนวณและจดไว้ในฎีกาเบิกเงินแล้วและให้เป็นหน้าที่ที่จะหักเงินจำนวนนั้นก่อนจ่าย แต่ถ้ามิได้มีการตั้งฎีกาเบิกเงิน ก็ให้เจ้าพนักงานผู้จ่ายเงินปฏิบัติตามมาตรา 50 มาตรา 52 และมาตรา 59 โดยอนุโลม",
"section_num": "53"
}
] |
กรรมการซึ่งดำเนินงานของทรัสตีมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ | มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 76 วรรค 1 พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 ทรัสตี กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของทรัสตี มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษของสำนักงาน ก.ล.ต. หรือคณะกรรมการพิจารณาโทษทางปกครองต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 76 ทรัสตี กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของทรัสตี มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษของสำนักงาน ก.ล.ต. หรือคณะกรรมการพิจารณาโทษทางปกครองต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nการพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nการอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการปฏิบัติตามคำสั่งลงโทษทางปกครองของสำนักงาน ก.ล.ต. หรือคณะกรรมการพิจารณาโทษทางปกครอง\nการโต้แย้งคำสั่งลงโทษหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น",
"section_num": "76"
}
] | มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง | [] |
การใช้เงินเพื่อแก้หน้าต้องใช้เต็มจำนวนหรือไม่ | ต้องใช้เต็มจำนวนที่คู่สัญญาฝ่ายนั้นจะต้องใช้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 956 วรรค 1 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การใช้เงินเพื่อแก้หน้านั้น ใช้เพื่อคู่สัญญาฝ่ายใดต้องใช้จงเต็มจำนวนอันคู่สัญญาฝ่ายนั้นจะต้องใช้ เว้นแต่ค่าชักส่วนลดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 968 (4) | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 956\nการใช้เงินเพื่อแก้หน้านั้น ใช้เพื่อคู่สัญญาฝ่ายใดต้องใช้จงเต็มจำนวนอันคู่สัญญาฝ่ายนั้นจะต้องใช้ เว้นแต่ค่าชักส่วนลดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 968 (4)\nผู้ทรงคนใดบอกปัดไม่ยอมรับเงินอันเขาใช้ให้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นย่อมเสียสิทธิในอันจะไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งพอที่จะได้หลุดพ้นจากความรับผิดเพราะการใช้เงินนั้น",
"section_num": "956"
}
] | ต้องใช้เต็มจำนวนที่คู่สัญญาฝ่ายนั้นจะต้องใช้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 968\nผู้ทรงจะเรียกร้องเอาเงินใช้จากบุคคลซึ่งตนใช้สิทธิไล่เบี้ยนั้นก็ได้ คือ\n(1) จำนวนเงินในตั๋วแลกเงินซึ่งเขาไม่รับรองหรือไม่ใช้กับทั้งดอกเบี้ยด้วย หากว่ามีข้อกำหนดไว้ว่าให้คิดดอกเบี้ย\n(2) ดอกเบี้ยอัตราร้อยละห้าต่อปีนับแต่วันถึงกำหนด\n(3) ค่าใช้จ่ายในการคัดค้าน และในการส่งคำบอกกล่าวของผู้ทรงไปยังผู้สลักหลังถัดจากตนขึ้นไปและผู้สั่งจ่าย กับทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ\n(4) ค่าชักส่วนลดซึ่งถ้าไม่มีข้อตกลงกันไว้ ท่านให้คิดร้อยละ 1/6 ในต้นเงินอันจะพึงใช้ตามตั๋วเงิน และไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไร ท่านมิให้คิดสูงกว่าอัตรานี้\nถ้าใช้สิทธิไล่เบี้ยก่อนถึงกำหนด ท่านให้หักลดจำนวนเงินในตั๋วเงินลงให้ร้อยละห้า",
"section_num": "968"
}
] |
บุคคลสามารถจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้บุคคลอื่นได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 709 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ ก็ให้ทำได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 709\nบุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ ก็ให้ทำได้",
"section_num": "709"
}
] | ได้ | [] |
ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 843 วรรค 3 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อนึ่ง แม้ในกรณีเช่นนั้น ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 843\nตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้ เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญา ในกรณีเช่นนั้น ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น ณ สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย\nเมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น ถ้าไม่บอกปัดเสียในทันที ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว\nอนึ่ง แม้ในกรณีเช่นนั้น ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้",
"section_num": "843"
}
] | ได้ | [] |
ตัวการจะใช้สิทธิเรียกร้องต่อบุคคลที่เข้าถือเอากิจการของผู้อื่นเป็นของตนเอง ทั้งที่รู้ว่าตนไม่มีสิทธิได้หรือไม่ | ได้ แต่เมื่อใช้สิทธิแล้วตัวการต้องรับผิดต่อผู้จัดการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วย คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 405 วรรค 2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถ้าบุคคลใดถือเอากิจการของผู้อื่นว่าเป็นของตนเอง ทั้งที่รู้แล้วว่าตนไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นไซร้ ท่านว่าตัวการจะใช้สิทธิเรียกร้องบังคับโดยมูลดังบัญญัติไว้ในมาตรา 395, 396, 399 และ 400 นั้นก็ได้ แต่เมื่อได้ใช้สิทธิดังว่ามานี้แล้ว ตัวการจะต้องรับผิดต่อผู้จัดการดังบัญญัติไว้ในมาตรา 402 วรรค 1 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 405\nบทบัญญัติทั้งหลายที่กล่าวมาในสิบมาตราก่อนนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่บุคคลหนึ่งเข้าทำการงานของผู้อื่นโดยสำคัญว่าเป็นการงานของตนเอง\nถ้าบุคคลใดถือเอากิจการของผู้อื่นว่าเป็นของตนเอง ทั้งที่รู้แล้วว่าตนไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นไซร้ ท่านว่าตัวการจะใช้สิทธิเรียกร้องบังคับโดยมูลดังบัญญัติไว้ในมาตรา 395, 396, 399 และ 400 นั้นก็ได้ แต่เมื่อได้ใช้สิทธิดังว่ามานี้แล้ว ตัวการจะต้องรับผิดต่อผู้จัดการดังบัญญัติไว้ในมาตรา 402 วรรค 1",
"section_num": "405"
}
] | ได้ แต่เมื่อใช้สิทธิแล้วตัวการต้องรับผิดต่อผู้จัดการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 395\nบุคคลใดเข้าทำกิจการแทนผู้อื่นโดยเขามิได้ว่าขานวานใช้ให้ทำก็ดี หรือโดยมิได้มีสิทธิที่จะทำการงานนั้นแทนผู้อื่นด้วยประการใดก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นจะต้องจัดการงานไปในทางที่จะให้สมประโยชน์ของตัวการ ตามความประสงค์อันแท้จริงของตัวการ หรือตามที่จะพึงสันนิษฐานได้ว่าเป็นความประสงค์ของตัวการ",
"section_num": "395"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 396\nถ้าการที่เข้าจัดการงานนั้นเป็นการขัดกับความประสงค์อันแท้จริงของตัวการก็ดี หรือขัดกับความประสงค์ตามที่จะพึงสันนิษฐานได้ก็ดี และผู้จัดการก็ควรจะได้รู้สึกเช่นนั้นแล้วด้วยไซร้ ท่านว่าผู้จัดการจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตัวการเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่ที่ได้เข้าจัดการนั้น แม้ทั้งผู้จัดการจะมิได้มีความผิดประการอื่น",
"section_num": "396"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 399\nผู้จัดการต้องบอกกล่าวแก่ตัวการโดยเร็วที่สุดที่จะทำได้ว่าตนได้เข้าจัดการงานแทน และต้องรอฟังคำวินิจฉัยของตัวการ เว้นแต่ภัยจะมีขึ้นเพราะการที่หน่วงเนิ่นไว้ นอกจากนี้ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 809 ถึง 811 อันบังคับแก่ตัวแทนนั้นมาใช้บังคับแก่หน้าที่ของผู้จัดการด้วยโดยอนุโลม",
"section_num": "399"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 400\nถ้าผู้จัดการเป็นผู้ไร้ความสามารถ ท่านว่าจะต้องรับผิดชอบแต่เพียงตามบทบัญญัติว่าด้วยค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด และว่าด้วยการคืนลาภมิควรได้เท่านั้น",
"section_num": "400"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 402\nถ้าเงื่อนไขดังว่ามาในมาตราก่อนนั้นมิได้มี ท่านว่าตัวการจำต้องคืนสิ่งทั้งหลายบรรดาที่ได้มาเพราะเขาเข้าจัดการงานนั้นให้แก่ผู้จัดการ ตามบทบัญญัติว่าด้วยการคืนลาภมิควรได้\nถ้าตัวการให้สัตยาบันแก่การที่จัดทำนั้น ท่านให้นำบทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทนมาใช้บังคับ แล้วแต่กรณี",
"section_num": "402"
}
] |
คนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ก่อนพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542ใช้บังคับย่อมได้รับอนุญาตต่อไปหรือไม่ | ได้รับอนุญาตต่อไป ตามเงื่อนไขและระยะเวลาของการได้รับอนุญาต คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 44 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 คนต่างด้าวซึ่งได้รับสิทธิหรือได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ให้ได้รับสิทธิหรือได้รับอนุญาตในการประกอบธุรกิจนั้นต่อไปตามเงื่อนไขและระยะเวลาของการได้รับสิทธิหรือได้รับอนุญาตดังกล่าว | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542",
"section_content": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 44 คนต่างด้าวซึ่งได้รับสิทธิหรือได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ให้ได้รับสิทธิหรือได้รับอนุญาตในการประกอบธุรกิจนั้นต่อไปตามเงื่อนไขและระยะเวลาของการได้รับสิทธิหรือได้รับอนุญาตดังกล่าว",
"section_num": "44"
}
] | ได้รับอนุญาตต่อไป ตามเงื่อนไขและระยะเวลาของการได้รับอนุญาต | [] |
บริษัทมหาชนสามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีคนเดิมได้อีกหรือไม่ | ได้ ทางบริษัทสามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีคนเดิมอีกได้ คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 120 การแต่งตั้งผู้สอบบัญชีของบริษัทมหาชนนั้น ให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีของบริษัทแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ซึ่งสามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีคนเดิมอีกก็ได้ และให้กำหนดจำนวนเงินค่าสอบบัญชีของบริษัทในทุกปีด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 120 ให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีแต่งตั้งผู้สอบบัญชี และกำหนดจำนวนเงินค่าสอบบัญชีของบริษัททุกปี ในการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีจะแต่งตั้งผู้สอบบัญชีคนเดิมอีกก็ได้",
"section_num": "120"
}
] | ได้ ทางบริษัทสามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีคนเดิมอีกได้ | [] |
ค่าเช่าที่เก็บได้จากทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สภาวิชาชีพบัญชีนั้น ถือเป็นรายได้หรือไม่อย่างไร | ใช่ เนื่องจากค่าเช่าถือเป็นดอกผลอย่างหนึ่ง ดังนั้น ค่าเช่านั้นจึงถือเป็นรายได้ของสภาวิชาชีพบัญชีด้วย คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 8 รายได้ของสภาวิชาชีพบัญชี มีดังต่อไปนี้ 1. ค่าบำรุงสมาชิก และค่าธรรมเนียม 2. เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน 3. ผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินและการดำเนินกิจการของสภาวิชาชีพบัญชี 4. เงินและทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สภาวิชาชีพบัญชี 5. รวมถึงดอกผลของเงินและทรัพย์สินที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 8 สภาวิชาชีพบัญชีอาจมีรายได้ ดังต่อไปนี้\n(1) ค่าบำรุงสมาชิกและค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัตินี้\n(2) เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน\n(3) ผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินและการดำเนินกิจการของสภาวิชาชีพบัญชี\n(4) เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่สภาวิชาชีพบัญชี\n(5) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินตาม (1) (2) (3) และ (4)",
"section_num": "8"
}
] | ใช่ เนื่องจากค่าเช่าถือเป็นดอกผลอย่างหนึ่ง ดังนั้น ค่าเช่านั้นจึงถือเป็นรายได้ของสภาวิชาชีพบัญชีด้วย | [] |
บริษัทมหาชนสามารถลดทุนจากที่จดทะเบียนไว้ได้หรือไม่อย่างไร | ได้ หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนนั้นได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 139 บริษัทมหาชนสามารถลดทุนจากที่จดทะเบียนไว้ได้ โดยการลดมูลค่าหุ้น หรือลดจำนวนหุ้นให้น้อยลงก็ได้ แต่จะลดทุนให้ต่ำกว่าจำนวน 1 ใน 4 ของทุนทั้งหมดนั้นไม่ได้ เว้นแต่ หากบริษัทมหาชนนั้นมีการขาดทุนสะสม และถึงแม้ได้มีการชดเชยผลขาดทุนสะสมแล้วตามที่กฎหมายกำหนด ก็ยังคงมีผลขาดทุนสะสมเหลืออยู่ บริษัทมหาชนอาจลดทุนให้เหลือต่ำกว่าจำนวน 1 ใน 4 ของทุนทั้งหมดก็ได้ ในการลดทุนดังกล่าวนั้น จะทำได้ต่อเมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนได้มีการลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนได้ และให้บริษัทนั้นจะต้องนำมติดังกล่าวไปขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมได้ลงมติด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 139 บริษัทจะลดทุนจากจำนวนที่จดทะเบียนไว้แล้วได้โดยการลดมูลค่าหุ้นแต่ละหุ้นให้ต่ำลงหรือลดจำนวนหุ้นให้น้อยลงก็ได้ แต่จะลดทุนลงไปให้ถึงต่ำกว่าจำนวนหนึ่งในสี่ของทุนทั้งหมดหาได้ไม่\nในกรณีที่บริษัทขาดทุนสะสม และได้มีการชดเชยผลขาดทุนสะสมตามมาตรา 119 แล้ว ยังคงมีผลขาดทุนสะสมเหลืออยู่ บริษัทอาจลดทุนให้เหลือต่ำกว่าจำนวนหนึ่งในสี่ของทุนทั้งหมดก็ได้\nการลดมูลค่าหุ้นหรือลดจำนวนหุ้นตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองเป็นจำนวนเท่าใด และด้วยวิธีการอย่างใด จะกระทำได้ต่อเมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ทั้งนี้ บริษัทต้องนำมตินั้นไปขอจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมลงมติ",
"section_num": "139"
}
] | ได้ หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนนั้นได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 119 เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว บริษัทอาจโอนทุนสำรองตามมาตรา 51 ทุนสำรองตามมาตรา 116 หรือเงินสำรองอื่น เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทก็ได้\nการชดเชยผลขาดทุนสะสมตามวรรคหนึ่ง ให้หักชดเชยจากเงินสำรองอื่นก่อน แล้วจึงหักจากทุนสำรองตามมาตรา 116 และทุนสำรองตามมาตรา 51 ตามลำดับ",
"section_num": "119"
}
] |
ถูกคู่สมรสทำร้ายร่างกายเป็นประจำแต่ยังไม่อยากหย่า อีกฝ่ายทำอะไรได้บ้าง | คู่สมรสอีกฝ่ายอาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งอนุญาตให้แยกกันอยู่ชั่วคราวในระหว่างที่เหตุนั้นยังมีอยู่ และศาลอาจกำหนดจำนวนค่าอุปการะเลี้ยงดูให้อีกฝ่ายชำระตามสมควรก็ได้ คำอธิบายขยายความ: ตามมาตรา 1462 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เปิดช่องให้คู่สมรสร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ตนอยู่ต่างหากจากคู่สมรสอีกฝ่ายในกรณีที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาโดยปกติสุข การอยู่ร่วมกันจะเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจหรือทำลายความผาสุกอย่างมาก และศาลอาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้อีกฝ่ายชำระตามสมควรก็ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1462\nในกรณีที่สามีภริยาไม่สามารถที่จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยปกติสุขได้ หรือถ้าการอยู่ร่วมกันจะเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจหรือทำลายความผาสุกอย่างมาก สามีหรือภริยาฝ่ายที่ไม่สามารถที่จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยปกติสุขได้หรือฝ่ายที่จะต้องรับอันตรายหรือถูกทำลายความผาสุก อาจร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งอนุญาตให้ตนอยู่ต่างหากในระหว่างที่เหตุนั้น ๆ ยังมีอยู่ก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ศาลจะกำหนดจำนวนค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ฝ่ายหนึ่งจ่ายให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งตามควรแก่พฤติการณ์ก็ได้",
"section_num": "1462"
}
] | คู่สมรสอีกฝ่ายอาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งอนุญาตให้แยกกันอยู่ชั่วคราวในระหว่างที่เหตุนั้นยังมีอยู่ และศาลอาจกำหนดจำนวนค่าอุปการะเลี้ยงดูให้อีกฝ่ายชำระตามสมควรก็ได้ | [] |
ถ้าผู้ตายทำประกันชีวิตไว้ จะมีผลกับเจ้าหนี้ อย่างไร | จะมีการนำเงินไปสมทบเป็นส่วนหนึ่งของกองมรดกเพื่อประโยชน์ให้เจ้าหนี้สามารถเอาใช้หนี้ได้ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี 1. กรณีผู้ตายทำประกันชีวิตให้ทายาททั้งหลายเป็นผู้รับประโยชน์โดยไม่เจาะจงบุคคลใดเป็นการเฉพาะ จะนำเงินตามสัญญาประกันไปสมทบของกองมรดกสำหรับให้เจ้าหนี้เอาใช้หนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 897 วรรคแรก 2. กรณีผู้ตายทำประกันชีวิตโดยเจาะจงชื่อผู้รับประโยชน์ จะนำเงินสมทบเข้ากองมรดกสำหรับให้เจ้าหนี้เอาใช้หนี้ จำนวนเท่ากับเบี้ยประกันที่ผู้ตายได้ส่งไว้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 897 วรรคสอง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 897\nถ้าผู้เอาประกันภัยได้เอาประกันภัยไว้โดยกำหนดว่า เมื่อตนถึงซึ่งความมรณะให้ใช้เงินแก่ทายาททั้งหลายของตนโดยมิได้เจาะจงระบุชื่อผู้หนึ่งผู้ใดไว้ไซร้ จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น ท่านให้ฟังเอาเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัย ซึ่งเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้\nถ้าได้เอาประกันภัยไว้โดยกำหนดว่าให้ใช้เงินแก่บุคคลคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ท่านว่าเฉพาะแต่จำนวนเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วเท่านั้นจักเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัยอันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้",
"section_num": "897"
}
] | จะมีการนำเงินไปสมทบเป็นส่วนหนึ่งของกองมรดกเพื่อประโยชน์ให้เจ้าหนี้สามารถเอาใช้หนี้ได้ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี 1. กรณีผู้ตายทำประกันชีวิตให้ทายาททั้งหลายเป็นผู้รับประโยชน์โดยไม่เจาะจงบุคคลใดเป็นการเฉพาะ จะนำเงินตามสัญญาประกันไปสมทบของกองมรดกสำหรับให้เจ้าหนี้เอาใช้หนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 897 วรรคแรก 2. กรณีผู้ตายทำประกันชีวิตโดยเจาะจงชื่อผู้รับประโยชน์ จะนำเงินสมทบเข้ากองมรดกสำหรับให้เจ้าหนี้เอาใช้หนี้ จำนวนเท่ากับเบี้ยประกันที่ผู้ตายได้ส่งไว้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 897 วรรคสอง | [] |
ถ้าเป็นผู้ไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง ต้องยึดถือที่ใดเป็นภูมิลำเนา | ผู้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง หากพบตัวในถิ่นไหนให้ถือว่าถิ่นนั้นเป็นภูมิลำเนา คำอธิบายขยายความ : ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 40 บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้ไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง หรือเป็นผู้ครองชีพในการเดินทางไปมาปราศจากหลักแหล่งที่ทำการงาน พบตัวในถิ่นไหนให้ถือว่าถิ่นนั้นเป็นภูมิลำเนาของบุคคลนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 40\nบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้ไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง หรือเป็นผู้ครองชีพในการเดินทางไปมาปราศจากหลักแหล่งที่ทำการงาน พบตัวในถิ่นไหนให้ถือว่าถิ่นนั้นเป็นภูมิลำเนาของบุคคลนั้น",
"section_num": "40"
}
] | หากพบตัวในถิ่นไหนให้ถือว่าถิ่นนั้นเป็นภูมิลำเนา | [] |
การตัดสินปัญหาในที่ประชุมอนุกรรมการบริษัทจำกัด ให้ใช้หลักการใด | ให้ตัดสินตามเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานอนุกรรมการเป็นผู้ชี้ขาด ทั้งนี้เว้นแต่มีการมอบอำนาจที่กำหนดเป็นประการอื่นไว้ ให้เป็นไปตามนั้น คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1165 ระบุให้ ตัดสินข้อปรึกษาที่เกิดเป็นปัญหาในที่ประชุมอนุกรรมการโดยใช้เสียงข้างมาก แต่ถ้าคะแนนส่วนเท่ากันให้ประธานอนุกรรมการเป็นผู้ชี้ขาด ทั้งนี้ถ้ามีการมอบอำนาจเป็นประการอื่นให้เป็นไปตามที่มอบอำนาจนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1165\nถ้าการมอบอำนาจมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นไซร้ ข้อปรึกษาซึ่งเกิดเป็นปัญหาขึ้นในที่ประชุมอนุกรรมการทั้งหลายให้ตัดสินเอาเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ถ้าและคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ผู้เป็นประธานชี้ขาด",
"section_num": "1165"
}
] | ให้ตัดสินตามเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานอนุกรรมการเป็นผู้ชี้ขาด ทั้งนี้เว้นแต่มีการมอบอำนาจที่กำหนดเป็นประการอื่นไว้ ให้เป็นไปตามนั้น | [] |
คณะกรรมการบริษัทนำเงินค่าจองหุ้นของบริษัท ไปใช้จ่ายในกิจการก่อนมีการจดทะเบียนบริษัท มีโทษหรือไม่ | มี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 197 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 197 คณะกรรมการบริษัทใดฝ่าฝืนมาตรา 43 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "197"
}
] | มี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 43 ภายใต้บังคับมาตรา 44 คณะกรรมการจะจำหน่ายทรัพย์สินที่ได้รับชำระเป็นค่าจองหุ้นของบริษัท หรือนำเงินค่าจองหุ้นของบริษัทไปใช้จ่ายในกิจการใด ๆ ก่อนนายทะเบียนรับจดทะเบียนบริษัทมิได้ เว้นแต่เงินค่าใช้จ่ายซึ่งที่ประชุมจัดตั้งบริษัทได้อนุมัติแล้ว",
"section_num": "43"
}
] |
ลูกค้าสั่งของแม่ค้า เมื่อถึงวันรับของลูกค้าไม่เสนอชำระเงิน ใครเป็นฝ่ายผิดนัด | ลูกค้าผิดนัด คำอธิบายขยายความ: การสั่งของเป็นการทำสัญญาต่างตอบแทนกัน ทั้งแม่ค้าและลูกค้าต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ในคราวเดียวกัน เมื่อถึงกำหนดรับของ แม่ค้าเตรียมของพร้อมแล้ว แต่ลูกค้าในฐานะเจ้าหนี้ ไม่ยอมเสนอชำระเงิน ลูกค้าจึงเป็นเจ้าหนี้ผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 210 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 210\nถ้าลูกหนี้จำต้องชำระหนี้ส่วนของตนต่อเมื่อเจ้าหนี้ชำระหนี้ตอบแทนด้วยไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้จะได้เตรียมพร้อมที่จะรับชำระหนี้ตามที่ลูกหนี้ขอปฏิบัตินั้นแล้วก็ดี หากไม่เสนอที่จะทำการชำระหนี้ตอบแทนตามที่จะพึงต้องทำ เจ้าหนี้ก็เป็นอันได้ชื่อว่าผิดนัด",
"section_num": "210"
}
] | ลูกค้าผิดนัด | [] |
แบบฟอร์มสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ใดหรือไม่ | ต้องได้รับความเห็นชอบในสาระสำคัญจากสำนักงาน ก.ล.ต ก่อนจึงจะสามารถจัดให้มีการซื้อขายได้ คำอธิบายขยายความ: ก่อนที่จะมีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะต้องยื่นแบบและข้อความของสัญญาดังกล่าวให้สำนักงาน ก.ล.ต ให้ความเห็นชอบในสาระสำคัญก่อน ตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้าพ.ศ 2546 มาตรา 67 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 67 การจัดให้มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใดจะกระทำได้ต่อเมื่อศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ยื่นแบบและข้อความของสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นให้สำนักงาน ก.ล.ต. ให้ความเห็นชอบในสาระสำคัญแล้ว\nเมื่อสำนักงาน ก.ล.ต. ได้รับคำขอความเห็นชอบแบบและข้อความของสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นแล้ว ให้สำนักงาน ก.ล.ต. พิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาให้ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นทราบภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอและเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วนตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศกำหนด เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้อีกไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว\nศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอาจขอยกเลิกหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบและข้อความของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับความเห็นชอบตามวรรคหนึ่งได้ ทั้งนี้ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม",
"section_num": "67"
}
] | ต้องได้รับความเห็นชอบในสาระสำคัญจากสำนักงาน ก.ล.ต ก่อนจึงจะสามารถจัดให้มีการซื้อขายได้ | [] |
ในการสอบบัญชีบริษัท ผู้สอบบัญชีสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ในเวลาใด | ผู้สอบบัญชีสามารถเข้าตรวจสอบทางการเงินของบริษัทได้ทุกเมื่อในเวลาอันสมควร คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1213 ให้อำนาจผู้สอบบัญชีทุกคนสามารถเข้าตรวจสอบสรรพสมุดแล้วบัญชีของบริษัทในเวลาอันสมควรได้ทุกเมื่อ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1213\nให้ผู้สอบบัญชีทุกคนเข้าตรวจสอบสรรพสมุดและบัญชีของบริษัทในเวลาอันสมควรได้ทุกเมื่อ และในการอันเกี่ยวด้วยสมุดและบัญชีเช่นนั้นให้ไต่ถามสอบสวนกรรมการ หรือผู้อื่น ๆ ซึ่งเป็นตัวแทน หรือเป็นลูกจ้างของบริษัทได้ไม่ว่าคนหนึ่งคนใด",
"section_num": "1213"
}
] | ผู้สอบบัญชีสามารถเข้าตรวจสอบทางการเงินของบริษัทได้ทุกเมื่อในเวลาอันสมควร | [] |
บริษัทหลักทรัพย์ที่จัดการกองทุนรวมจะถือหุ้นของบริษัทตัวเองได้หรือไม่ | ไม่ได้ เพราะเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ 2535 มาตรา 126 ระบุห้ามไม่ให้บริษัทหลักทรัพย์ที่จัดการกองทุนรวมลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการนั้นเอง | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 126 ในการจัดการกองทุนรวม ห้ามมิให้บริษัทหลักทรัพย์กระทำการดังต่อไปนี้\n(1) กระทำการใด ๆ อันมีลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามที่สำนักงานประกาศกำหนด\n(2) ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการนั้นเอง\n(3) (ยกเลิก)\n(4) ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์ของบริษัทใดเกินอัตราส่วนที่สำนักงานประกาศกำหนด ทั้งนี้ สำนักงานจะกำหนดตามประเภทของหลักทรัพย์หรือตามประเภทของกิจการของบริษัทนั้นก็ได้\n(5) กู้ยืมเงินในนามของกองทุนรวม หรือก่อภาระผูกพันใด ๆ แก่ทรัพย์สินของกองทุนรวม เว้นแต่เป็นการเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nการประกาศตาม (4) สำนักงานจะประกาศกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ถือปฏิบัติ สำหรับแต่ละกองทุนรวมหรือรวมทุกกองทุนรวมที่บริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก็ได้",
"section_num": "126"
}
] | ไม่ได้ เพราะเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย | [] |
ถ้าลงทุนเป็นหุ้นส่วนกับคนอื่น แต่ตกลงอัตราส่วนไว้เฉพาะการแบ่งกำไร ถ้ากิจการขาดทุนจะต้องแบ่งส่วนขาดทุนอย่างไร | กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า แบ่งส่วนขาดทุนเท่ากับอัตราส่วนกำไรที่ตกลงไว้ คำอธิบายขยายความ: กรณีผู้เป็นหุ้นส่วนกำหนดอัตราส่วนไว้เฉพาะการแบ่งกำไร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1045 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า แบ่งส่วนขาดทุนเท่ากันกับอัตราส่วนกำไรที่ตกลงไว้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1045\nถ้าหุ้นส่วนของผู้ใดได้กำหนดไว้แต่เพียงข้างฝ่ายกำไรว่าจะแบ่งเอาเท่าไร หรือกำหนดแต่เพียงข้างขาดทุนว่าจะยอมขาดเท่าไรฉะนี้ไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าหุ้นส่วนของผู้นั้นมีส่วนกำไรและส่วนขาดทุนเป็นอย่างเดียวกัน",
"section_num": "1045"
}
] | กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า แบ่งส่วนขาดทุนเท่ากับอัตราส่วนกำไรที่ตกลงไว้ | [] |
ถ้ามีทายาทหลายคน ใครมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดก | ทายาททุกคนมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกร่วมกันจนกว่าจะได้แบ่งมรดกเสร็จแล้ว คำอธิบายขยายความ: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1745 ระบุให้กรณีมีทายาทหลายคน ทายาททุกคนเหล่านั้นมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกร่วมกันจนกว่าจะได้เกิดมรดกกันเสร็จแล้ว | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745\nถ้ามีทายาทหลายคน ทายาทเหล่านั้นมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกร่วมกันจนกว่าจะได้แบ่งมรดกกันเสร็จแล้ว และให้ใช้มาตรา 1356 ถึงมาตรา 1366 แห่งประมวลกฎหมายนี้บังคับ เพียงเท่าที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติแห่งบรรพนี้",
"section_num": "1745"
}
] | ทายาททุกคนมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกร่วมกันจนกว่าจะได้แบ่งมรดกเสร็จแล้ว | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1356\nถ้าทรัพย์สินเป็นของบุคคลหลายคนรวมกัน ท่านให้ใช้บทบัญญัติในหมวดนี้บังคับ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น",
"section_num": "1356"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357\nท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากัน",
"section_num": "1357"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358\nท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าของรวมมีสิทธิจัดการทรัพย์สินรวมกัน\nในเรื่องจัดการตามธรรมดา ท่านว่าพึงตกลงโดยคะแนนข้างมากแห่งเจ้าของรวม แต่เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ อาจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางจัดการตามธรรมดาได้ เว้นแต่ฝ่ายข้างมากได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น แต่เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ อาจทำการเพื่อรักษาทรัพย์สินได้เสมอ\nในเรื่องจัดการอันเป็นสาระสำคัญ ท่านว่าต้องตกลงกันโดยคะแนนข้างมากแห่งเจ้าของรวม และคะแนนข้างมากนั้นต้องมีส่วนไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งแห่งค่าทรัพย์สิน\nการเปลี่ยนแปลงวัตถุที่ประสงค์นั้น ท่านว่าจะตกลงกันได้ก็แต่เมื่อเจ้าของรวมเห็นชอบทุกคน",
"section_num": "1358"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359\nเจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ อาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก แต่ในการเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนนั้น ท่านว่าต้องอยู่ในบังคับแห่งเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 302 แห่งประมวลกฎหมายนี้",
"section_num": "1359"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360\nเจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ\nท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิได้ดอกผลตามส่วนของตนที่มีในทรัพย์สินนั้น",
"section_num": "1360"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361\nเจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จะจำหน่ายส่วนของตน หรือจำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันก็ได้\nแต่ตัวทรัพย์สินนั้นจะจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน\nถ้าเจ้าของรวมคนใดจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันทรัพย์สินโดยมิได้รับความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน แต่ภายหลังเจ้าของรวมคนนั้นได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินแต่ผู้เดียวไซร้ ท่านว่านิติกรรมนั้นเป็นอันสมบูรณ์",
"section_num": "1361"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1362\nเจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จำต้องช่วยเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ตามส่วนของตนในการออกค่าจัดการ ค่าภาษีอากร และค่ารักษา กับทั้งค่าใช้ทรัพย์สินรวมกันด้วย",
"section_num": "1362"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363\nเจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ เว้นแต่จะมีนิติกรรมขัดอยู่ หรือถ้าวัตถุที่ประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวมกันนั้นมีลักษณะเป็นการถาวร ก็เรียกให้แบ่งไม่ได้\nสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินนั้น ท่านว่าจะตัดโดยนิติกรรมเกินคราวละสิบปีไม่ได้\nท่านว่าเจ้าของรวมจะเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรไม่ได้",
"section_num": "1363"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364\nการแบ่งทรัพย์สินพึงกระทำโดยแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวม หรือโดยขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน\nถ้าเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไรไซร้ เมื่อเจ้าของรวมคนหนึ่งคนใดขอ ศาลอาจสั่งให้เอาทรัพย์สินนั้นออกแบ่ง ถ้าส่วนที่แบ่งให้ไม่เท่ากันไซร้ จะสั่งให้ทดแทนกันเป็นเงินก็ได้ ถ้าการแบ่งเช่นว่านี้ไม่อาจทำได้หรือจะเสียหายมากนักก็ดี ศาลจะสั่งให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างเจ้าของรวมหรือขายทอดตลาดก็ได้",
"section_num": "1364"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1365\nถ้าเจ้าของรวมต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อบุคคลภายนอกในหนี้อันเกี่ยวกับทรัพย์สินรวม หรือในหนี้ซึ่งได้ก่อขึ้นใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมดังว่านั้นก็ดี ในเวลาแบ่ง เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จะเรียกให้เอาทรัพย์สินรวมนั้นชำระหนี้เสียก่อน หรือให้เอาเป็นประกันก็ได้\nถ้าเจ้าของรวมคนหนึ่งต้องรับผิดต่อเจ้าของรวมคนอื่นในหนี้ซึ่งเกิดจากการเป็นเจ้าของรวม หรือในหนี้ซึ่งได้ก่อขึ้นใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมดังว่านั้นก็ดี ในเวลาแบ่ง เจ้าของรวมผู้เป็นเจ้าหนี้จะเรียกให้เอาส่วนซึ่งจะได้แก่ลูกหนี้ของตนในทรัพย์สินรวมนั้นชำระหนี้เสียก่อน หรือให้เอาเป็นประกันก็ได้\nสิทธิที่กล่าวมาข้างต้นนี้อาจใช้แก่ผู้รับโอน หรือผู้สืบกรรมสิทธิ์ในส่วนของเจ้าของรวมนั้น\nถ้าจำเป็นจะต้องขายทรัพย์สินรวมไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติมาตราก่อนมาใช้บังคับ",
"section_num": "1365"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1366\nเจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ ต้องรับผิดตามส่วนของตนเช่นเดียวกับผู้ขายในทรัพย์สินซึ่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ได้รับไปในการแบ่ง",
"section_num": "1366"
}
] |
ถ้าของที่ทำพินัยกรรมไว้สูญหายไป ผู้รับพินัยกรรมในของชิ้นนั้นจะยังมีสิทธิอะไรหรือไม่ | หากต่อมาผู้ทำพินัยกรรมได้รับของอื่นมาแทน หรือผู้ทำพินัยกรรมมีสิทธิได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากการสูญหายนั้น ผู้รับพินัยกรรมมีสิทธิในการเรียกให้ส่งมอบของอื่นที่ได้มาแทนนั้น หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนเองได้ แล้วแต่กรณี คำอธิบายขยายความ: ในกรณีของที่ทำพินัยกรรมไว้ หรือทรัพย์สินที่เป็นวัตถุแห่งพินัยกรรมสูญหายไป แต่การสูญหายเป็นผลให้ได้รับของอื่นมาทดแทน หรือสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการสูญหายได้ เช่น มีคนอื่นยืมไปใช้แล้วทำหาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1681 ระบุให้ ผู้รับพินัยกรรมมีสิทธิในการเรียกให้ส่งมอบของอื่นที่ได้มาแทนนั้น หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนเองได้ แล้วแต่กรณี | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1681\nถ้าทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งพินัยกรรมนั้นได้สูญหาย ทำลาย หรือบุบสลายไป และพฤติการณ์ทั้งนี้เป็นผลให้ได้ทรัพย์สินอื่นมาแทน หรือได้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนทรัพย์สินนั้น ผู้รับพินัยกรรมจะเรียกให้ส่งมอบของแทนซึ่งได้รับมานั้น หรือจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้แล้วแต่กรณี",
"section_num": "1681"
}
] | ผู้รับพินัยกรรมมีสิทธิในการเรียกให้ส่งมอบของอื่นที่ได้มาแทนนั้น หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนเองได้ แล้วแต่กรณี | [] |
กรณีใดบ้างที่ผู้เยาว์ต้องขอต่อศาลเพื่อขออนุญาตสมรส | 1. กรณีผู้เยาว์ไม่มีบุคคลที่มีอำนาจให้ความยินยอม เช่น กำพร้า 2. กรณีที่บุคคลที่มีอำนาจให้ความยินยอม ไม่ให้ความยินยอม 3. กรณีที่บุคคลที่มีอำนาจให้ความยินยอม ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้ความยินยอมได้ 4. กรณีที่โดยพฤติการณ์ผู้เยาว์ไม่สามารถขอความยินยอมได้ คำอธิบายขยายความ: เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1456 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1456\nถ้าไม่มีผู้ที่มีอำนาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 หรือมีแต่ไม่ให้ความยินยอมหรือไม่อยู่ในสภาพที่อาจให้ความยินยอม หรือโดยพฤติการณ์ผู้เยาว์ไม่อาจขอความยินยอมได้ ผู้เยาว์อาจร้องขอต่อศาลเพื่ออนุญาตให้ทำการสมรส",
"section_num": "1456"
}
] | 1. กรณีผู้เยาว์ไม่มีบุคคลที่มีอำนาจให้ความยินยอม เช่น กำพร้า 2. กรณีที่บุคคลที่มีอำนาจให้ความยินยอม ไม่ให้ความยินยอม 3. กรณีที่บุคคลที่มีอำนาจให้ความยินยอม ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้ความยินยอมได้ 4. กรณีที่โดยพฤติการณ์ผู้เยาว์ไม่สามารถขอความยินยอมได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1454\nผู้เยาว์จะทำการสมรสให้นำความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม",
"section_num": "1454"
}
] |
หากธุรกิจที่ทำอยู่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีผลอย่างไร | เนื่องจากได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อาจมีกรณีที่ตัองทำรายงานหากอธิบดีกำหนด คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 81/2 ระบุให้กิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจะได้รับยกเว้นไม่ต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อธิบดีจะกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องจัดทำรายงานก็ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 81/2 กิจการใดได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามส่วนนี้ หรือตามกฎหมายอื่น ให้ผู้ประกอบการได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามหมวดนี้ แต่อธิบดีจะกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องจัดทำรายงานตามส่วน 11 ก็ได้",
"section_num": "81/2"
}
] | ผู้ประกอบการจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อาจมีกรณีที่ต้องทำรายงานหากอธิบดีกำหนด | [] |
การจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ ต้องมีรายการใดบ้าง | พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 18 กำหนดรายการดังต่อไปนี้ 1) วัน เดือน ปี และเวลาที่จดทะเบียน 2) ชื่อและที่อยู่ของลูกหนี้และผู้ให้หลักประกัน 3) ชื่อและที่อยู่ของผู้รับหลักประกัน 4) ชื่อและที่อยู่ของผู้รับใบอนุญาตซึ่งยินยอมเป็นผู้บังคับหลักประกันและอัตราหรือจำนวนค่าตอบแทนของผู้บังคับหลักประกัน ในกรณีที่นำกิจการมาเป็นหลักประกัน 5) หนี้ที่กำหนดให้มีการประกันการชำระ 6) รายละเอียดของทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน หากเป็นทรัพย์สินมีทะเบียนให้ระบุประเภทของทะเบียน หมายเลขทะเบียน และนายทะเบียนไว้ด้วย หากเป็นสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ ให้ระบุประเภท ปริมาณ และมูลค่าของทรัพย์สินดังกล่าวไว้ด้วย 7) ข้อความที่แสดงว่าผู้ให้หลักประกันตราทรัพย์สินที่ระบุในรายการจดทะเบียนไว้แก่ผู้รับหลักประกันเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ 8) จำนวนเงินสูงสุดที่ตกลงใช้ทรัพย์สินเป็นประกัน 9) เหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ 10) รายการอื่นตามที่เจ้าพนักงานทะเบียนกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 18 การจดทะเบียนอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้\n(1) วัน เดือน ปี และเวลาที่จดทะเบียน\n(2) ชื่อและที่อยู่ของลูกหนี้และผู้ให้หลักประกัน\n(3) ชื่อและที่อยู่ของผู้รับหลักประกัน\n(4) ชื่อและที่อยู่ของผู้รับใบอนุญาตซึ่งยินยอมเป็นผู้บังคับหลักประกันและอัตราหรือจำนวนค่าตอบแทนของผู้บังคับหลักประกัน ในกรณีที่นำกิจการมาเป็นหลักประกัน\n(5) หนี้ที่กำหนดให้มีการประกันการชำระ\n(6) รายละเอียดของทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน หากเป็นทรัพย์สินมีทะเบียนให้ระบุประเภทของทะเบียน หมายเลขทะเบียน และนายทะเบียนไว้ด้วย หากเป็นสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ ให้ระบุประเภท ปริมาณ และมูลค่าของทรัพย์สินดังกล่าวไว้ด้วย\n(7) ข้อความที่แสดงว่าผู้ให้หลักประกันตราทรัพย์สินที่ระบุในรายการจดทะเบียนไว้แก่ผู้รับหลักประกันเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้\n(8) จำนวนเงินสูงสุดที่ตกลงใช้ทรัพย์สินเป็นประกัน\n(9) เหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ\n(10) รายการอื่นตามที่เจ้าพนักงานทะเบียนกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา",
"section_num": "18"
}
] | พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 18 กำหนดรายการดังต่อไปนี้ 1) วัน เดือน ปี และเวลาที่จดทะเบียน 2) ชื่อและที่อยู่ของลูกหนี้และผู้ให้หลักประกัน 3) ชื่อและที่อยู่ของผู้รับหลักประกัน 4) ชื่อและที่อยู่ของผู้รับใบอนุญาตซึ่งยินยอมเป็นผู้บังคับหลักประกันและอัตราหรือจำนวนค่าตอบแทนของผู้บังคับหลักประกัน ในกรณีที่นำกิจการมาเป็นหลักประกัน 5) หนี้ที่กำหนดให้มีการประกันการชำระ 6) รายละเอียดของทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน หากเป็นทรัพย์สินมีทะเบียนให้ระบุประเภทของทะเบียน หมายเลขทะเบียน และนายทะเบียนไว้ด้วย หากเป็นสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ ให้ระบุประเภท ปริมาณ และมูลค่าของทรัพย์สินดังกล่าวไว้ด้วย 7) ข้อความที่แสดงว่าผู้ให้หลักประกันตราทรัพย์สินที่ระบุในรายการจดทะเบียนไว้แก่ผู้รับหลักประกันเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ 8) จำนวนเงินสูงสุดที่ตกลงใช้ทรัพย์สินเป็นประกัน 9) เหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ 10) รายการอื่นตามที่เจ้าพนักงานทะเบียนกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา | [] |
ตามกฎหมายแล้วลูกจำเป็นต้องเลี้ยงดูพ่อและแม่หรือไม่ | จำเป็นต้องเลี้ยงดูพ่อและแม่ คำอธิบายขยายความ: เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1563 ระบุว่าบุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563\nบุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา",
"section_num": "1563"
}
] | จำเป็นต้องเลี้ยงดูพ่อและแม่ | [] |
เวลาทำพินัยกรรมต้องให้พยานรู้ข้อความในพินัยกรรมหรือไม่ | ไม่จำเป็น คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1668 ผู้ทำพินัยกรรมไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อความในพินัยกรรมนั้นให้พยานทราบ เว้นแต่กฎหมายจะได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1668\nผู้ทำพินัยกรรมไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อความในพินัยกรรมนั้นให้พยานทราบ เว้นแต่กฎหมายจะได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น",
"section_num": "1668"
}
] | ไม่จำเป็น | [] |
ซื้อทรัพย์สินมาจากการขายทอดตลาด แล้วเจ้าของทรัพย์ขอซื้อคืนในราคาที่ซื้อมา ผู้ซื้อมีสิทธิไม่ขายคืนได้หรือไม่ | ได้ เพราะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ผู้ซื้อก็มีทางเลือกหากเจ้าของทรัพย์สินเดิมชดใช้ราคาที่ซื้อมา ดังนี้ผู้ซื้อก็สามารถคืนให้เจ้าของเดิมได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 1332 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332\nบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา",
"section_num": "1332"
}
] | ได้ เพราะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ผู้ซื้อก็มีทางเลือกหากเจ้าของทรัพย์สินเดิมชดใช้ราคาที่ซื้อมา ดังนี้ผู้ซื้อก็สามารถคืนให้เจ้าของเดิมได้ | [] |
ใครมีอำนาจรักษาการตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 5 พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้\nกฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้",
"section_num": "5"
}
] | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | [] |
สามารถยึดข้อความตามที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชีของบริษัทเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ | ได้ โดยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อความที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชีของบริษัทเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 1024 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันก็ดี หรือในระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกันก็ดี ในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนกับห้างหุ้นส่วนก็ดี ในระหว่างผู้ถือหุ้นกับบริษัทก็ดี ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาสมุดบัญชีเอกสารของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือของผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทใด ๆ นั้น ย่อมเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องตามข้อความที่ได้บันทึกไว้ในนั้นทุกประการ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1024\nในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันก็ดี หรือในระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกันก็ดี ในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนกับห้างหุ้นส่วนก็ดี ในระหว่างผู้ถือหุ้นกับบริษัทก็ดี ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาสมุดบัญชีเอกสารของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือของผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทใด ๆ นั้น ย่อมเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องตามข้อความที่ได้บันทึกไว้ในนั้นทุกประการ",
"section_num": "1024"
}
] | ได้ โดยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อความที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชีของบริษัทเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง | [] |
ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งเป็นคนต่างด้าวต้องยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจหรือไม่ | ต้องยื่นขออนุญาต โดยให้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจต่อรัฐมนตรีหรืออธิบดีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 17 วรรค 1 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในการขออนุญาตประกอบธุรกิจ ให้คนต่างด้าวยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจต่อรัฐมนตรีหรืออธิบดีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้คณะรัฐมนตรีในกรณีธุรกิจตามบัญชีสอง หรืออธิบดีในกรณีธุรกิจตามบัญชีสามพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาต แล้วแต่กรณี ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ยื่นคำขอ ในกรณีการพิจารณาอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีเหตุจำเป็น ซึ่งคณะรัฐมนตรีไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าวได้ ให้ขยายระยะเวลาการพิจารณาออกไปอีกได้ตามความจำเป็น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันครบกำหนดเวลาดังกล่าว | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542",
"section_content": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 17 ในการขออนุญาตประกอบธุรกิจ ให้คนต่างด้าวยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจต่อรัฐมนตรีหรืออธิบดีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้คณะรัฐมนตรีในกรณีธุรกิจตามบัญชีสอง หรืออธิบดีในกรณีธุรกิจตามบัญชีสามพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาต แล้วแต่กรณี ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ยื่นคำขอ ในกรณีการพิจารณาอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีเหตุจำเป็น ซึ่งคณะรัฐมนตรีไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าวได้ ให้ขยายระยะเวลาการพิจารณาออกไปอีกได้ตามความจำเป็น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันครบกำหนดเวลาดังกล่าว\nเมื่อคณะรัฐมนตรีให้การอนุมัติหรืออธิบดีอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้รัฐมนตรีหรืออธิบดีออกใบอนุญาตภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหรืออธิบดีอนุญาต\nในการอนุญาต รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 18 สำหรับกรณีธุรกิจตามบัญชีสอง หรืออธิบดีจะกำหนดเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 18 สำหรับกรณีธุรกิจตามบัญชีสาม ก็ได้\nในกรณีที่คณะรัฐมนตรีไม่อนุมัติให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจตามบัญชีสอง ให้รัฐมนตรีแจ้งการไม่อนุมัติให้คนต่างด้าวนั้นทราบเป็นหนังสือภายในสามสิบวัน และให้ระบุเหตุที่ไม่ให้การอนุมัตินั้นไว้โดยชัดแจ้ง\nในกรณีที่อธิบดีไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจตามบัญชีสาม ให้อธิบดีแจ้งการไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวนั้นทราบเป็นหนังสือภายในสิบห้าวัน และให้ระบุเหตุที่ไม่ให้การอนุญาตนั้นไว้โดยชัดแจ้ง คนต่างด้าวนั้นมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตต่อรัฐมนตรีได้ และให้นำความในมาตรา 20 มาใช้บังคับโดยอนุโลม",
"section_num": "17"
}
] | ต้องยื่นขออนุญาต โดยให้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจต่อรัฐมนตรีหรืออธิบดีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542",
"section_content": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 18 รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดเงื่อนไขหนึ่งเงื่อนไขใดให้คนต่างด้าวผู้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้\n(1) อัตราส่วนทุนกับเงินกู้ที่จะใช้ในการประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต\n(2) จำนวนกรรมการที่เป็นคนต่างด้าวซึ่งจะต้องมีภูมิลำเนาหรือที่อยู่ในราชอาณาจักร\n(3) จำนวนและระยะเวลาการดำรงไว้ซึ่งทุนขั้นต่ำภายในประเทศ\n(4) เทคโนโลยีหรือทรัพย์สิน\n(5) เงื่อนไขอื่นที่จำเป็น",
"section_num": "18"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542",
"section_content": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 20 ในกรณีที่อธิบดีสั่งพักการใช้ใบอนุญาตชั่วคราวหรือสั่งระงับการประกอบธุรกิจชั่วคราว หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือหนังสือรับรอง ตามมาตรา 19 วรรคสอง ให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้รับหนังสือรับรองมีสิทธิอุทธรณ์โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง\nการอุทธรณ์ไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคำสั่งอธิบดี เว้นแต่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการจะสั่งทุเลาให้\nรัฐมนตรีต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ยื่นอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด",
"section_num": "20"
}
] |
กรณีผู้เยาว์ทำละเมิดบิดามารดาต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ | ต้องร่วมรับผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลผู้เยาว์แล้ว คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 429 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429\nบุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น",
"section_num": "429"
}
] | ต้องร่วมรับผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลผู้เยาว์แล้ว | [] |
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลหรือไม่ | มีหน้าที่ โดยมีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงและประเมินผลกระทบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากสินทรัพย์ดิจิทัลต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้าง คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 11 พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ในกรณีที่มีการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอันอาจก่อให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายอย่างรุนแรงต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้าง ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. รายงานข้อเท็จจริงและประเมินผลกระทบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัญหาและเสนอแนวทางการดำเนินการต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 11 ในกรณีที่มีการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอันอาจก่อให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายอย่างรุนแรงต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้าง ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. รายงานข้อเท็จจริงและประเมินผลกระทบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัญหาและเสนอแนวทางการดำเนินการต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว",
"section_num": "11"
}
] | มีหน้าที่ โดยมีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงและประเมินผลกระทบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากสินทรัพย์ดิจิทัลต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้าง | [] |
ดอกผลจากการเข้าครอบครองทรัพย์สินของผู้รับหลักประกันต้องจัดสรรชำระหรือไม่ | ต้องจัดสรรชำระ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 52 พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 เงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา 39 วรรคสาม มาตรา 40 และมาตรา 44 และดอกผลที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่ผู้รับหลักประกันมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้จัดสรรชำระตามลำดับ ดังต่อไปนี้ (1) ค่าใช้จ่ายในการรักษาและสงวนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา 45 (2) ค่าใช้จ่ายตามสมควรและค่าฤชาธรรมเนียมอันเกิดจากการบังคับหลักประกัน (3) ชำระหนี้ให้แก่ผู้รับหลักประกัน และเจ้าหนี้อื่นซึ่งมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเท่าที่ปรากฏรายชื่อในหลักฐานทางทะเบียนตามลำดับ (4) ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นซึ่งขอเฉลี่ยทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินตามมาตรา 39 (5) เงินที่เหลือหากมี ให้ชำระคืนแก่ผู้ให้หลักประกัน | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 52 เงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา 39 วรรคสาม มาตรา 40 และมาตรา 44 และดอกผลที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่ผู้รับหลักประกันมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้จัดสรรชำระตามลำดับ ดังต่อไปนี้\n(1) ค่าใช้จ่ายในการรักษาและสงวนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา 45\n(2) ค่าใช้จ่ายตามสมควรและค่าฤชาธรรมเนียมอันเกิดจากการบังคับหลักประกัน\n(3) ชำระหนี้ให้แก่ผู้รับหลักประกัน และเจ้าหนี้อื่นซึ่งมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเท่าที่ปรากฏรายชื่อในหลักฐานทางทะเบียนตามลำดับ\n(4) ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นซึ่งขอเฉลี่ยทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินตามมาตรา 39\n(5) เงินที่เหลือหากมี ให้ชำระคืนแก่ผู้ให้หลักประกัน\nให้นำบทบัญญัติมาตรา 287 มาตรา 289 และมาตรา 319 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่การชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้อื่นซึ่งมีบุริมสิทธิตาม (3) โดยอนุโลม\nถ้าจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันแล้วได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่ค้างชำระ เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใดให้ถือเป็นหนี้ที่ผู้รับหลักประกันอาจเรียกร้องจากลูกหนี้ได้ แต่ถ้าผู้ให้หลักประกันไม่ได้เป็นลูกหนี้จะเรียกร้องจากผู้ให้หลักประกันไม่ได้\nการใดที่แตกต่างจากความในมาตรานี้ตกเป็นโมฆะ",
"section_num": "52"
}
] | ต้องจัดสรรชำระ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 39 เมื่อมีเหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ และผู้รับหลักประกันได้มีหนังสือแจ้งเหตุบังคับหลักประกันแล้ว หากผู้ให้หลักประกันหรือผู้ที่ยึดถือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันยินยอมส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันแก่ผู้รับหลักประกันและมีหนังสือยินยอมให้นำหลักประกันไปจำหน่าย ห้ามมิให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันแต่ให้เจ้าหนี้ดังกล่าวมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับหลักประกัน เพื่อขอเฉลี่ยทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินนั้น\nภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้รับหลักประกันมีหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้และผู้ให้หลักประกันชำระหนี้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าวและให้แจ้งไปด้วยว่าหากไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้รับหลักประกันจะบังคับหลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหลุดเป็นสิทธิ หรือโดยจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ และให้ส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวให้ผู้รับหลักประกันอื่นและเจ้าหนี้อื่นซึ่งมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเท่าที่ปรากฏรายชื่อในหลักฐานทางทะเบียนทราบด้วย\nถ้าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันมีสภาพเป็นของสดเสียได้ หรือหากหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสี่ยงต่อความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาจะเกินส่วนกับค่าของทรัพย์สิน ผู้รับหลักประกันอาจจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยวิธีที่เห็นสมควรเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องดำเนินการตามวรรคสอง\nในกรณีที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นสิทธิเรียกร้องเมื่อผู้รับหลักประกันมีหนังสือแจ้งเหตุบังคับหลักประกันไปยังลูกหนี้แห่งสิทธิแล้ว ห้ามมิให้ลูกหนี้แห่งสิทธิชำระหนี้แก่ผู้ให้หลักประกันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว เมื่อหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องถึงกำหนดชำระให้ลูกหนี้แห่งสิทธิชำระหนี้แก่ผู้รับหลักประกัน\nการส่งหนังสือตามมาตรานี้ให้ทำโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือโดยวิธีการอื่นที่แสดงว่าผู้รับได้รับหนังสือแล้ว",
"section_num": "39"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 40 ภายใต้บังคับมาตรา 43 ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือตามมาตรา 39 วรรคสอง และผู้รับหลักประกันจะบังคับหลักประกันโดยการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ให้ผู้รับหลักประกันดำเนินการจำหน่ายหลักประกันโดยวิธีการประมูลโดยเปิดเผย ในการนี้ ผู้รับหลักประกันต้องมีหนังสือแจ้งวัน เวลา สถานที่ และวิธีการจำหน่ายหลักประกันให้ผู้ให้หลักประกัน ผู้รับหลักประกันอื่น และเจ้าหนี้อื่นซึ่งมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเท่าที่ปรากฏรายชื่อในหลักฐานทางทะเบียนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนดำเนินการจำหน่ายหลักประกันโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือโดยวิธีการอื่นที่แสดงว่าผู้รับได้รับหนังสือแล้ว",
"section_num": "40"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 44 ถ้าผู้รับหลักประกันจะบังคับหลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหลุดเป็นสิทธิ และผู้ให้หลักประกันไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือตามมาตรา 39 วรรคสอง โดยไม่มีหนังสือคัดค้านการบังคับหลักประกันหลุดเป็นสิทธิภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันและดอกผลที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่ผู้รับหลักประกันมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับหลักประกัน แต่หากผู้รับหลักประกันได้รับหนังสือคัดค้านภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้รับหลักประกันจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยวิธีการประมูลโดยเปิดเผยและให้นำบทบัญญัติมาตรา 40 และมาตรา 41 มาใช้บังคับแก่การจำหน่ายหลักประกันตามมาตรานี้โดยอนุโลม\nการส่งหนังสือคัดค้านตามวรรคหนึ่ง ให้ทำโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือโดยวิธีการอื่นที่แสดงว่าผู้รับได้รับหนังสือแล้ว",
"section_num": "44"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 45 ก่อนจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา 39 วรรคสาม มาตรา 40 และมาตรา 44 หรือก่อนที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันจะหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับหลักประกันตามมาตรา 44 ผู้รับหลักประกันต้องรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันที่อยู่ในความครอบครองของตนให้ปลอดภัยและต้องสงวนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเสมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง\nหากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันที่อยู่ในความครอบครองของผู้รับหลักประกันชำรุดเสียหายหรือสูญหายโดยเหตุอันจะโทษผู้ให้หลักประกันมิได้ ให้นำจำนวนค่าเสียหายนั้นไปหักออกจากจำนวนหนี้ที่ผู้ให้หลักประกันต้องรับผิดตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ",
"section_num": "45"
}
] |
กรณีกรรมการหรือสมาชิกสมาคมมีส่วนได้เสียขัดกับประโยชน์ของสมาคมจะออกเสียงลงคะแนนได้หรือไม่ | ไม่ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 99 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่จะมีมติในเรื่องใด ถ้าส่วนได้เสียของกรรมการหรือสมาชิกของสมาคมผู้ใดขัดกับประโยชน์ได้เสียของสมาคม กรรมการหรือสมาชิกของสมาคมผู้นั้นจะออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้นไม่ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 99\nในกรณีที่จะมีมติในเรื่องใด ถ้าส่วนได้เสียของกรรมการหรือสมาชิกของสมาคมผู้ใดขัดกับประโยชน์ได้เสียของสมาคม กรรมการหรือสมาชิกของสมาคมผู้นั้นจะออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้นไม่ได้",
"section_num": "99"
}
] | ไม่ได้ | [] |
เมื่อกรรมการมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งและไม่มีกรรมการเหลืออยู่ ต้องทำอย่างไร | ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่านายทะเบียนจะได้แจ้งการรับจดทะเบียนกรรมการชุดใหม่ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 125 วรรค 3 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งและไม่มีกรรมการของมูลนิธิเหลืออยู่ หรือกรรมการของมูลนิธิที่เหลืออยู่ไม่สามารถดำเนินการตามหน้าที่ได้ ถ้าข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดการปฏิบัติหน้าที่ไว้เป็นอย่างอื่น ให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่กรรมการของมูลนิธิต่อไปจนกว่านายทะเบียนจะได้แจ้งการรับจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 125\nการแต่งตั้งกรรมการของมูลนิธิขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ ให้กระทำตามข้อบังคับของมูลนิธิ และมูลนิธิต้องนำไปจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการแต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ\nถ้านายทะเบียนเห็นว่ากรรมการของมูลนิธิตามวรรคหนึ่งผู้ใด มีฐานะหรือความประพฤติไม่เหมาะสมในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ นายทะเบียนจะไม่รับจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิผู้นั้นก็ได้ ในกรณีที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิ นายทะเบียนต้องแจ้งเหตุผลที่ไม่รับจดทะเบียนให้มูลนิธิทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ยื่นคำขอจดทะเบียน และให้นำความในมาตรา 115 วรรคสี่และวรรคห้ามาใช้บังคับโดยอนุโลม\nในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งและไม่มีกรรมการของมูลนิธิเหลืออยู่ หรือกรรมการของมูลนิธิที่เหลืออยู่ไม่สามารถดำเนินการตามหน้าที่ได้ ถ้าข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดการปฏิบัติหน้าที่ไว้เป็นอย่างอื่น ให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่กรรมการของมูลนิธิต่อไปจนกว่านายทะเบียนจะได้แจ้งการรับจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่\nกรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งเพราะถูกถอดถอนโดยคำสั่งศาลตามมาตรา 129 จะปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสามไม่ได้",
"section_num": "125"
}
] | ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่านายทะเบียนจะได้แจ้งการรับจดทะเบียนกรรมการชุดใหม่ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115\nเมื่อนายทะเบียนได้รับคำขอแล้วเห็นว่า คำขอนั้นถูกต้องตามมาตรา 114 และข้อบังคับถูกต้องตามมาตรา 112 และวัตถุประสงค์เป็นไปตามมาตรา 110 และไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือไม่เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ และรายการซึ่งจดแจ้งในคำขอหรือข้อบังคับสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และผู้จะเป็นกรรมการของมูลนิธินั้นมีฐานะและความประพฤติเหมาะสมในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่มูลนิธินั้น และประกาศการจัดตั้งมูลนิธิในราชกิจจานุเบกษา\nถ้านายทะเบียนเห็นว่าคำขอหรือข้อบังคับไม่ถูกต้องตามมาตรา 114 หรือมาตรา 112 หรือรายการซึ่งจดแจ้งในคำขอหรือข้อบังคับไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ หรือผู้จะเป็นกรรมการของมูลนิธิมีฐานะหรือความประพฤติไม่เหมาะสมในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ให้มีคำสั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง เมื่อแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงถูกต้องแล้ว ให้รับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่มูลนิธินั้น\nถ้านายทะเบียนเห็นว่าไม่อาจรับจดทะเบียนได้เนื่องจากวัตถุประสงค์ของมูลนิธิไม่เป็นไปตามมาตรา 110 หรือขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ หรือผู้ขอจดทะเบียนไม่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งของนายทะเบียน ให้นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน และแจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผลที่ไม่รับจดทะเบียนให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบโดยมิชักช้า\nผู้ขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่รับจดทะเบียนนั้นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งไม่รับจดทะเบียน\nให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยอุทธรณ์และแจ้งคำวินิจฉัยให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนได้รับหนังสืออุทธรณ์ คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นที่สุด",
"section_num": "115"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 129\nในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิผู้ใดดำเนินกิจการของมูลนิธิผิดพลาดเสื่อมเสียต่อมูลนิธิ หรือดำเนินกิจการฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อบังคับของมูลนิธิ หรือกลายเป็นผู้มีฐานะหรือความประพฤติไม่เหมาะสมในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ นายทะเบียน พนักงานอัยการ หรือผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดอาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งถอดถอนกรรมการของมูลนิธิผู้นั้นได้\nในกรณีที่การกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำของคณะกรรมการของมูลนิธิหรือปรากฏว่าคณะกรรมการของมูลนิธิไม่ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิโดยไม่มีเหตุอันสมควร นายทะเบียน พนักงานอัยการ หรือผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดอาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งถอดถอนกรรมการของมูลนิธิทั้งคณะได้\nในกรณีที่ศาลมีคำสั่งถอดถอนกรรมการของมูลนิธิหรือคณะกรรมการของมูลนิธิตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ศาลจะแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการของมูลนิธิ หรือคณะกรรมการของมูลนิธิแทนกรรมการของมูลนิธิ หรือคณะกรรมการของมูลนิธิที่ศาลถอดถอนก็ได้ เมื่อศาลมีคำสั่งแต่งตั้งบุคคลใดเป็นกรรมการของมูลนิธิแล้ว ให้นายทะเบียนดำเนินการจดทะเบียนไปตามนั้น",
"section_num": "129"
}
] |
ตัวแทนค้าต่างต้องรับผิดชำระหนี้ต่อตัวการ หรือไม่ | ไม่ต้องรับผิด ในกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ชำระหนี้ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 838 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อชำระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกำหนดในสัญญาหรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบำเหน็จพิเศษ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 838\nถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อชำระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกำหนดในสัญญาหรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น\nอนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบำเหน็จพิเศษ",
"section_num": "838"
}
] | ไม่ต้องรับผิด ในกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ชำระหนี้ | [] |
ผู้ฝากทรัพย์ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ฝากไว้หรือไม่ | ต้องชำระ ในกรณีที่เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ฝากไว้ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 668 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ค่าใช้จ่ายใดอันควรแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้น ผู้ฝากจำต้องชดใช้ให้แก่ผู้รับฝาก เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้โดยสัญญาฝากทรัพย์ว่าผู้รับฝากจะต้องออกเงินค่าใช้จ่ายนั้นเอง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 668\nค่าใช้จ่ายใดอันควรแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้น ผู้ฝากจำต้องชดใช้ให้แก่ผู้รับฝาก เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้โดยสัญญาฝากทรัพย์ว่าผู้รับฝากจะต้องออกเงินค่าใช้จ่ายนั้นเอง",
"section_num": "668"
}
] | ต้องชำระ ในกรณีที่เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ฝากไว้ | [] |
การจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง | ต้องให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจำนวนไม่น้อยกว่า 15 คนยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 232 วรรค 1 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 การขออนุญาตและการจดทะเบียนนั้น ให้บริษัทหลักทรัพย์ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งที่มีจำนวนไม่น้อยกว่าสิบห้ารายยื่นคำขอต่อสำนักงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 232 การขออนุญาตและการจดทะเบียนนั้น ให้บริษัทหลักทรัพย์ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งที่มีจำนวนไม่น้อยกว่าสิบห้ารายยื่นคำขอต่อสำนักงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nให้สำนักงานมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือเรียกบุคคลใด ๆ มาสอบถามหรือให้ส่งเอกสารมาเพื่อประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการขออนุญาตจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ได้",
"section_num": "232"
}
] | ต้องให้ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจำนวนไม่น้อยกว่า 15 คนยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด | [] |
บริษัทจะทำการลดทุน ในกรณีที่เจ้าหนี้ของบริษัทคัดค้านมติการลดทุนได้หรือไม่ | ไม่ได้ จนกว่าบริษัทจะได้ชำระหนี้หรือให้ประกันการชำระหนี้นั้นแก่เจ้าหนี้ของบริษัท คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 141 วรรค 2พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ถ้ามีการคัดค้าน บริษัทจะลดทุนมิได้จนกว่าจะได้ชำระหนี้หรือให้ประกันเพื่อหนี้นั้นแล้ว | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 141 ในการลดทุนที่มิใช่กรณีตามมาตรา 140 บริษัทต้องมีหนังสือแจ้งมติการลดทุนไปยังเจ้าหนี้ของบริษัทที่บริษัททราบภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติ โดยกำหนดเวลาให้ส่งคำคัดค้านภายในสองเดือนนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมตินั้น และให้บริษัทโฆษณามตินั้นทางหนังสือพิมพ์ภายในกำหนดเวลาสิบสี่วันนั้นด้วย\nถ้ามีการคัดค้าน บริษัทจะลดทุนมิได้จนกว่าจะได้ชำระหนี้หรือให้ประกันเพื่อหนี้นั้นแล้ว",
"section_num": "141"
}
] | ไม่ได้ จนกว่าบริษัทจะได้ชำระหนี้หรือให้ประกันการชำระหนี้นั้นแก่เจ้าหนี้ของบริษัท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 140 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอาจลงมติให้ลดทุนโดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่จำหน่ายไม่ได้หรือที่ยังมิได้นำออกจำหน่ายได้ เมื่อที่ประชุมมีมติแล้ว ให้บริษัทขอจดทะเบียนลดทุนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ที่ประชุมลงมติ",
"section_num": "140"
}
] |
กรณีถูกเจ้าพนักประเมินภาษี ผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องเสียเบี้ยปรับอีกหรือไม่ | ต้องเสีย โดยต้องเสียเบี้ยปรับเป็นจำนวนหนึ่งเท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตาม มาตรา 22 ประมวลรัษฎากร ในการประเมินตามมาตรา 20 หรือมาตรา 21 ผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับหนึ่งเท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระอีก | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 22 ในการประเมินตามมาตรา 20 หรือมาตรา 21 ผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับหนึ่งเท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระอีก",
"section_num": "22"
}
] | ต้องเสีย โดยต้องเสียเบี้ยปรับเป็นจำนวนหนึ่งเท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 21 ถ้าผู้ต้องเสียภาษีอากรไม่ปฏิบัติตามหมายหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินตามมาตรา 19 หรือไม่ยอมตอบคำถามเมื่อซักถาม โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเงินภาษีอากรตามที่รู้เห็นว่าถูกต้องและแจ้งจำนวนเงินซึ่งต้องชำระไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากร ในกรณีนี้ห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมิน",
"section_num": "21"
},
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 20 เมื่อได้จัดการตามมาตรา 19และทราบข้อความแล้ว เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจที่จะแก้จำนวนเงินที่ประเมินหรือที่ยื่นรายการไว้เดิมโดยอาศัยพยานหลักฐานที่ปรากฏและแจ้งจำนวนเงินที่ต้องชำระอีกไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากร ในกรณีนี้จะอุทธรณ์การประเมินก็ได้",
"section_num": "20"
}
] |
เงินค่าหุ้นที่ยังเรียกเก็บจากผู้ถือหุ้นไม่ครบกรรมการต้องเรียกให้ส่งใช้เมื่อใด | เมื่อใดก็ได้ เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่จะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นก็ให้เป็นไปตามที่ประชุมใหญ่วินิจฉัย คำอธิบายเพิ่มเติม : ตาม มาตรา 1120 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรดาเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกนั้น กรรมการจะเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้เสียเมื่อใดก็ได้ เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่จะได้วินิจฉัยเป็นอย่างอื่น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1120\nบรรดาเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกนั้น กรรมการจะเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้เสียเมื่อใดก็ได้ เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่จะได้วินิจฉัยเป็นอย่างอื่น",
"section_num": "1120"
}
] | เมื่อใดก็ได้ เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่จะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นก็ให้เป็นไปตามที่ประชุมใหญ่วินิจฉัย | [] |
พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 มีการกำหนดบทอนุโลมที่ใช้บังคับกับการโอนสินทรัพย์หรือทรัพย์สินคืนให้แก่ผู้จำหน่ายทรัพย์หรือไม่ | มี คำอธิบายเพิ่มเติม : ตาม มาตรา 21 พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 ให้นำบทบัญญัติมาตรา 15 มาตรา 16 มาตรา 17 และมาตรา 19 มาใช้บังคับกับการโอนสินทรัพย์หรือทรัพย์สินคืนให้แก่ผู้จำหน่ายสินทรัพย์ หรือปลดสินทรัพย์จากการเป็นหลักประกันในระหว่างการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติโดยอนุโลม | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540",
"section_content": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 มาตรา 21 ให้นำบทบัญญัติมาตรา 15 มาตรา 16 มาตรา 17 และมาตรา 19 มาใช้บังคับกับการโอนสินทรัพย์หรือทรัพย์สินคืนให้แก่ผู้จำหน่ายสินทรัพย์ หรือปลดสินทรัพย์จากการเป็นหลักประกันในระหว่างการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติโดยอนุโลม",
"section_num": "21"
}
] | มี | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540",
"section_content": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 การโอนสินทรัพย์ที่เป็นสิทธิเรียกร้องในกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องอันชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ต้องบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ตามบทบัญญัติมาตรา 306 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของลูกหนี้ที่จะยกข้อต่อสู้ตามบทบัญญัติมาตรา 308 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์\n(1) การโอนสินทรัพย์ที่ผู้รับชำระหนี้เดิมเป็นตัวแทนเรียกเก็บและรับชำระหนี้\n(2) การโอนสินทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนตัวแทนเรียกเก็บและรับชำระหนี้โดยผลของกฎหมายอันเนื่องมาจากการควบกิจการของนิติบุคคลดังกล่าว\nในกรณีที่ผู้รับชำระหนี้เดิมเป็นตัวแทนเรียกเก็บและรับชำระหนี้แล้ว และได้มีการเปลี่ยนตัวแทนดังกล่าวเป็นบุคคลอื่นในภายหลัง และมิใช่เป็นกรณีตาม (2) ให้นิติบุคคลเฉพาะกิจแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับโอนสินทรัพย์ที่เป็นสิทธิเรียกร้องนั้นและการเปลี่ยนตัวแทนเรียกเก็บและรับชำระหนี้ไปยังลูกหนี้นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนตัวแทนเรียกเก็บและรับชำระหนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับกับการรับสินทรัพย์ไว้เป็นหลักประกันโดยอนุโลม",
"section_num": "15"
},
{
"law_name": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540",
"section_content": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 มาตรา 16 การโอนสินทรัพย์ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติ ถ้าเป็นสินทรัพย์ที่มีหลักประกันอย่างอื่นที่มิใช่สิทธิจำนอง สิทธิจำนำ หรือสิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกัน ให้สิทธิในสินทรัพย์ที่โอนนั้นตกแก่ผู้รับโอนทุกช่วงจนถึงนิติบุคคลเฉพาะกิจ",
"section_num": "16"
},
{
"law_name": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540",
"section_content": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 มาตรา 17 การโอนและการเปลี่ยนแปลงรายการทางทะเบียนเกี่ยวกับสินทรัพย์ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติ ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะกำหนดในกฎหมายใด\nให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับการโอนและการเปลี่ยนแปลงรายการทางทะเบียนเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือหลักประกันที่เกี่ยวพันกับสินทรัพย์ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติโดยอนุโลม",
"section_num": "17"
},
{
"law_name": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540",
"section_content": "พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 มาตรา 19 ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่โอนให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจตามโครงการที่ได้รับอนุมัติ ให้นิติบุคคลเฉพาะกิจเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนผู้จำหน่ายสินทรัพย์\nในคดีพิพาทเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่โอนให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจตามโครงการที่ได้รับอนุมัติ หากศาลได้มีคำพิพากษาให้ผู้จำหน่ายสินทรัพย์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ให้นิติบุคคลเฉพาะกิจเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนผู้จำหน่ายสินทรัพย์",
"section_num": "19"
}
] |
สรรพากรจังหวัดมีอำนาจเรียกผู้ต้องชำระภาษีอากรที่ค้างอยู่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ | มีอำนาจ ในกรณีที่สรรพากรจังหวัดเห็นว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากรค้าง ย่อมสามารถเรียกให้ผู้ต้องชำระภาษีอากรค้างมาให้ถ้อยคำได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 12 ตรี (1) ประมวลรัษฎากรเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 12 ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 12 หรือสรรพากรจังหวัดมีอำนาจ (1) ออกหมายเรียกผู้ต้องรับผิดชำระภาษีอากรค้าง และบุคคลใด ๆ ที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากรค้างมาให้ถ้อยคำ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ตรี เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 12 ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 12 หรือสรรพากรจังหวัดมีอำนาจ\n(1) ออกหมายเรียกผู้ต้องรับผิดชำระภาษีอากรค้าง และบุคคลใด ๆ ที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากรค้างมาให้ถ้อยคำ\n(2) สั่งบุคคลดังกล่าวใน (1) ให้นำบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นอันจำเป็นแก่การจัดเก็บภาษีอากรค้างมาตรวจสอบ\n(3) ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานสรรพากรทำการตรวจค้นหรือยึดบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นของบุคคลดังกล่าวใน (1)\nการดำเนินการตาม (1) หรือ (2) ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันได้รับหมายเรียกหรือคำสั่ง การออกคำสั่งและทำการตาม (3) ต้องเป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด",
"section_num": "12 ตรี"
}
] | มีอำนาจ ในกรณีที่สรรพากรจังหวัดเห็นว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากรค้าง ย่อมสามารถเรียกให้ผู้ต้องชำระภาษีอากรค้างมาให้ถ้อยคำได้ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ภาษีอากรซึ่งต้องเสียหรือนำส่งตามลักษณะนี้ เมื่อถึงกำหนดชำระแล้ว ถ้ามิได้เสียหรือนำส่ง ให้ถือเป็นภาษีอากรค้าง\nเพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้ทั่วราชอาณาจักร โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง อำนาจดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้\nในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอมีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีตามวรรคสอง ภายในเขตท้องที่จังหวัดหรืออำเภอนั้น แต่สำหรับนายอำเภอนั้น จะใช้อำนาจสั่งขายทอดตลาดได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด\nวิธีการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม ส่วนวิธีการอายัดให้ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี\nเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าว ให้หักค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายในการยึดและขายทอดตลาดและเงินภาษีอากรค้าง ถ้ามีเงินเหลือให้คืนแก่เจ้าของทรัพย์สิน\nผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรตามวรรคสอง ให้หมายความรวมถึงผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลด้วย",
"section_num": "12"
}
] |
ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องแสดงข้อความในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลให้ครบถ้วนหรือไม่ และถ้ามีการแสดงข้อความเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงจะมีโทษอย่างไร | ต้องแสดงข้อความให้ครบถ้วน หากฝ่าฝืนมีความผิดตามพรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 59 พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ผู้ใดแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลและร่างหนังสือชี้ชวนตามมาตรา 17 วรรคหนึ่ง ในสาระสำคัญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับเป็นเงินไม่เกินสองเท่าของราคาขายของโทเคนดิจิทัลทั้งหมดซึ่งผู้นั้นได้เสนอขาย แต่ทั้งนี้ เงินค่าปรับต้องไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 59 ผู้ใดแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลและร่างหนังสือชี้ชวนตามมาตรา 17 วรรคหนึ่ง ในสาระสำคัญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับเป็นเงินไม่เกินสองเท่าของราคาขายของโทเคนดิจิทัลทั้งหมดซึ่งผู้นั้นได้เสนอขาย แต่ทั้งนี้ เงินค่าปรับต้องไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท",
"section_num": "59"
}
] | ต้องแสดงข้อความให้ครบถ้วน หากฝ่าฝืนมีความผิดตามพรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 17 ในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ต่อประชาชน ผู้ออกโทเคนดิจิทัลที่ประสงค์จะเสนอขายโทเคนดิจิทัลดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. และให้กระทำได้เฉพาะนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด และต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีรายละเอียดตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับโทเคนดิจิทัลที่ผู้เสนอขายได้ออกไว้แล้วและมีวัตถุประสงค์ที่จะเสนอขายเป็นการทั่วไปต่อประชาชนด้วย\nการขอเสนอขายโทเคนดิจิทัลและการอนุญาตตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด",
"section_num": "17"
}
] |
ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีมีหน้าที่ในการส่งมอบเอกสารให้แก่ผู้ทำบัญชีอย่างไร | มีหน้าที่ต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ครบถ้วน คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 12 พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ในการจัดทำบัญชี ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้บัญชีที่จัดทำขึ้นสามารถแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 12 ในการจัดทำบัญชี ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้บัญชีที่จัดทำขึ้นสามารถแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี",
"section_num": "12"
}
] | มีหน้าที่ต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ครบถ้วน | [] |
ศาลสามารถสั่งให้อำนาจปกครองบุตรอยู่กับบิดาหรือมารดาเพียงคนใดคนหนึ่งได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 1566 (5) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้ศาลสามารถสั่งให้บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดาหรือมารดาก็ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566\nบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา\nอำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดาในกรณีดังต่อไปนี้\n(1) มารดาหรือบิดาตาย\n(2) ไม่แน่นอนว่ามารดาหรือบิดามีชีวิตอยู่หรือตาย\n(3) มารดาหรือบิดาถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ\n(4) มารดาหรือบิดาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะจิตฟั่นเฟือน\n(5) ศาลสั่งให้อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดา\n(6) บิดาและมารดาตกลงกันตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ตกลงกันได้",
"section_num": "1566"
}
] | ได้ | [] |
ผู้ถือหุ้นห้ามลงคะแนนเสียงในกรณีใดบ้าง | ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในเรื่องที่กำลังจะมีการลงมติ ห้ามให้ผู้ถือหุ้นออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้น ตามมาตรา 1185 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1185\nผู้ถือหุ้นคนใดมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในข้ออันใดซึ่งที่ประชุมจะลงมติ ท่านห้ามมิให้ผู้ถือหุ้นคนนั้นออกเสียงลงคะแนนด้วยในข้อนั้น",
"section_num": "1185"
}
] | ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในเรื่องที่กำลังจะมีการลงมติ ห้ามให้ผู้ถือหุ้นออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้น | [] |
เจ้าหนี้บุริมสิทธิสามารถบังคับชำระหนี้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ของผู้เช่าซึ่งเป็นหนี้ตนได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 260 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากมีบุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ เจ้าหนี้สามารถเอาค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และหนี้อย่างอื่นของผู้เช่าอันเกิดจากความเกี่ยวพันในเรื่องเช่าได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 260\nบุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ใช้สำหรับเอาค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และหนี้อย่างอื่นของผู้เช่าอันเกิดจากความเกี่ยวพันในเรื่องเช่า และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ของผู้เช่าซึ่งอยู่ในหรือบนอสังหาริมทรัพย์นั้น",
"section_num": "260"
}
] | ได้ | [] |
คณะกรรมการเปรียบเทียบตามพรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีอำนาจเปรียบเทียบความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนหรือไม่ | มีอำนาจ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 342 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจเปรียบเทียบความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมายต่าง ๆ คือ กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ เฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์ หรือตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 342 ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจเปรียบเทียบความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ เฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์ หรือตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527",
"section_num": "342"
}
] | มีอำนาจ | [] |
ผู้เยาว์สามารถบอกล้างนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆียะกรรมได้หรือไม่ | ได้ แต่เฉพาะในกรณีที่ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้ว คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 175 (1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดกรณีที่สามารถบอกล้างโมฆียะกรรมได้ เช่น ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้เยาว์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ผู้เยาว์จะบอกล้างก่อนที่ตนบรรลุนิติภาวะก็ได้ถ้าได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 175\nโมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้\n(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้เยาว์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ผู้เยาว์จะบอกล้างก่อนที่ตนบรรลุนิติภาวะก็ได้ถ้าได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม\n(2) บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เมื่อบุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว หรือผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี แต่คนเสมือนไร้ความสามารถจะบอกล้างก่อนที่ตนจะพ้นจากการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ถ้าได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์\n(3) บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสำคัญผิด หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่\n(4) บุคคลวิกลจริตผู้กระทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะตามมาตรา 30 ในขณะที่จริตของบุคคลนั้นไม่วิกลแล้ว\nถ้าบุคคลผู้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะถึงแก่ความตายก่อนมีการบอกล้างโมฆียะกรรม ทายาทของบุคคลดังกล่าวอาจบอกล้างโมฆียะกรรมนั้นได้",
"section_num": "175"
}
] | ได้ แต่เฉพาะในกรณีที่ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้ว | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 30\nการใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต",
"section_num": "30"
}
] |
ผู้รับบุตรบุญธรรมสามารถรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมได้หรือไม่ | ไม่ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 1598/29 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การรับบุตรบุญธรรมไม่ก่อให้เกิดสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมเพราะเหตุการณ์รับบุตรบุญธรรมนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/29\nการรับบุตรบุญธรรมไม่ก่อให้เกิดสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมเพราะเหตุการณ์รับบุตรบุญธรรมนั้น",
"section_num": "1598/29"
}
] | ไม่ได้ | [] |
การเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการต้องจดทะเบียนหรือไม่ | ต้องจดทะเบียน โดยจะต้องทำการจดทะเบียนภายใน 14 วันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง ตามมาตรา 1078/2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1078/2\nเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการ ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดนำความไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง",
"section_num": "1078/2"
}
] | ต้องจดทะเบียน โดยจะต้องทำการจดทะเบียนภายใน 14 วันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง | [] |
ข้อกำหนดพินัยกรรมในการจัดตั้งมูลนิธิ จะไร้ผลในกรณีใดบ้าง | มีหลายกรณี คือ กรณีที่จัดสรรทรัพย์สินไม่ได้ กรณีที่มูลนิธิตั้งขึ้นไม่ได้เพราะขัดต่อกฎหมาย และกรณีที่มูลนิธิตั้งขึ้นไม่ได้เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 1679 วรรค 3 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1679\nถ้าจัดตั้งมูลนิธิขึ้นไม่ได้ตามวัตถุที่ประสงค์ ให้ทรัพย์สินตกทอดไปตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม\nถ้าพินัยกรรมไม่ได้ระบุไว้ เมื่อทายาทหรือผู้จัดการมรดก หรือพนักงานอัยการ หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งร้องขอ ให้ศาลจัดสรรทรัพย์สินนั้นให้แก่นิติบุคคลอื่นซึ่งปรากฏว่ามีวัตถุที่ประสงค์ใกล้ชิดที่สุดกับความประสงค์ของผู้ทำพินัยกรรม\nถ้าหากว่าจัดสรรทรัพย์สินอย่างนี้ไม่ได้ก็ดี หรือว่ามูลนิธินั้นตั้งขึ้นไม่ได้ เพราะเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี ข้อกำหนดพินัยกรรมในการจัดตั้งมูลนิธินั้นเป็นอันไร้ผล",
"section_num": "1679"
}
] | มีหลายกรณี คือ กรณีที่จัดสรรทรัพย์สินไม่ได้ กรณีที่มูลนิธิตั้งขึ้นไม่ได้เพราะขัดต่อกฎหมาย และกรณีที่มูลนิธิตั้งขึ้นไม่ได้เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน | [] |
ทรัพย์สินที่จำนองได้เอาประกันภัยไว้จะสามารถเรียกเอาสิทธิจำนองกับผู้รับประกันภัยได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 231 วรรค 1 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถ้าทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรืออยู่ในบังคับบุริมสิทธิประการอื่นนั้นเป็นทรัพย์อันได้เอาประกันภัยไว้ ท่านว่าสิทธิจำนอง จำนำ หรือบุริมสิทธิอย่างอื่นนั้นย่อมครอบคลุมไปถึงสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้รับประกันภัยด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 231\nถ้าทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรืออยู่ในบังคับบุริมสิทธิประการอื่นนั้นเป็นทรัพย์อันได้เอาประกันภัยไว้ไซร้ ท่านว่าสิทธิจำนอง จำนำ หรือบุริมสิทธิอย่างอื่นนั้นย่อมครอบไปถึงสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้รับประกันภัยด้วย\nในกรณีที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ถ้าผู้รับประกันภัยได้รู้ หรือควรจะได้รู้ว่ามีจำนอง หรือบุริมสิทธิอย่างอื่นไซร้ ท่านยังมิให้ผู้รับประกันภัยใช้เงินให้แก่ผู้เอาประกันภัย จนกว่าจะได้บอกกล่าวเจตนาเช่นนั้นไปยังผู้รับจำนอง หรือเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิคนอื่นแล้ว และมิได้รับคำคัดค้านการที่จะใช้เงินนั้นมาภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันบอกกล่าว แต่สิทธิอย่างใด ๆ ที่ได้ไปจดทะเบียน ณ หอทะเบียนที่ดินนั้น ท่านให้ถือว่าเป็นอันรู้ถึงผู้รับประกันภัย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงการจำนองสังหาริมทรัพย์ที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้นั้นด้วย\nในกรณีที่เป็นสังหาริมทรัพย์ ผู้รับประกันภัยจะใช้เงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยตรงก็ได้ เว้นแต่ตนจะได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าทรัพย์นั้นตกอยู่ในบังคับจำนำ หรือบุริมสิทธิอย่างอื่น\nผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ถ้าทรัพย์สินอันได้เอาประกันภัยไว้นั้นได้คืนมา หรือได้จัดของแทนให้\nวิธีเดียวกันนี้ท่านให้อนุโลมใช้บังคับแก่กรณีบังคับซื้อกับทั้งกรณีที่ต้องใช้ค่าเสียหายอันควรจะได้แก่เจ้าของทรัพย์สิน เพราะเหตุทรัพย์สินทำลายหรือบุบสลายนั้นด้วย",
"section_num": "231"
}
] | ได้ | [] |
สมาชิกของสมาคมที่รู้ว่าสมาคมไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายมีความผิดหรือไม่ | มี โดยมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 51 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 กำหนดว่า ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลใดที่ใช้ชื่อว่าสมาคมโดยรู้อยู่ว่าเป็นสมาคมที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499",
"section_content": "พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 51 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลใดที่ใช้ชื่อว่าสมาคมโดยรู้อยู่ว่าเป็นสมาคมที่มิได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท*",
"section_num": "51"
}
] | มี โดยมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท | [] |
ผู้นำเข้าต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีที่สินค้าที่นำเข้าเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรหรือเขตปลอดอากร หรือไม่ | ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลการกรและชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลากร ในกรณีที่สินค้าที่นำเข้าเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์ถูกปล่อยออกมาโดยไม่ใช่เพื่อส่งออก หรือได้มีการนำสินค้าออกจากเตตปลอดอากรโดยไม่ใช่เพื่อส่งออก ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 83/9 ประมวลรัษฎากร | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 83/9 ในกรณีที่มีการนำสินค้าที่นำเข้าเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรหรือเขตปลอดอากร ถ้าภายหลังสินค้านั้นได้ปล่อยออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยมิใช่เพื่อส่งออก หรือได้มีการนำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรโดยมิใช่เพื่อส่งออกให้ผู้นำเข้าที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มยื่นใบขนสินค้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรพร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร",
"section_num": "83/9"
}
] | ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลการกรและชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลากร ในกรณีที่สินค้าที่นำเข้าเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์ถูกปล่อยออกมาโดยไม่ใช่เพื่อส่งออก หรือได้มีการนำสินค้าออกจากเตตปลอดอากรโดยไม่ใช่เพื่อส่งออก ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 83/9 ประมวลรัษฎากร | [] |
ชื่อของมูลนิธิต้องมีคำว่ามูลนิธิประกอบด้วยหรือไม่ | ต้องมี คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 113 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มูลนิธิต้องใช้ชื่อซึ่งมีคำว่า “มูลนิธิ” ประกอบกับชื่อของมูลนิธิ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113\nมูลนิธิต้องใช้ชื่อซึ่งมีคำว่า “มูลนิธิ” ประกอบกับชื่อของมูลนิธิ",
"section_num": "113"
}
] | ต้องมี | [] |
บริษัทจำกัดไม่เสนอหุ้นที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมได้หรือไม่ | ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 20,000 บาท คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 21 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499",
"section_content": "พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 21 บริษัทจำกัดใดไม่เสนอบรรดาหุ้นที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1222 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองหมื่นบาท*",
"section_num": "21"
}
] | ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 20,000 บาท | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1222\nบรรดาหุ้นที่ออกใหม่นั้น ต้องเสนอให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายตามส่วนจำนวนหุ้นซึ่งเขาถืออยู่\nคำเสนอเช่นนี้ ต้องทำเป็นหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ถือหุ้นทุก ๆ คน ระบุจำนวนหุ้นให้ทราบว่าผู้นั้นชอบที่จะซื้อได้กี่หุ้น และให้กำหนดวันว่าถ้าพ้นวันนั้นไปมิได้มีคำสนองมาแล้วจะถือว่าเป็นอันไม่รับซื้อ\nเมื่อวันที่กำหนดล่วงไปแล้วก็ดี หรือผู้ถือหุ้นได้บอกมาว่าไม่รับซื้อหุ้นนั้นก็ดี กรรมการจะเอาหุ้นเช่นนั้นขายให้แก่ผู้ถือหุ้นคนอื่นหรือจะรับซื้อไว้เองก็ได้",
"section_num": "1222"
}
] |
กรณีทำคำเสนอไปยังผู้อยู่ห่างโดยระยะทางแต่ไม่ได้บอกระยะเวลาทำคำสนองไว้สามารถถอนคำเสนอได้หรือไม่ | ไม่ได้ เพราะไม่ได้ระบุระยะเวลาทำคำสนองไว้ ทำให้ผู้อยู่ห่างโดยระยะทางทำคำสนองมาเมื่อไหร่ก็ได้จึงทำให้ไม่สามารถถอนคำสนองภายในระยะเวลาอันควรคาดหมายได้เนื่องจากไม่ได้ระบุระยะเวลาไว้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 355 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 355\nบุคคลทำคำเสนอไปยังผู้อื่นซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง และมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง จะถอนคำเสนอของตนเสียภายในเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองนั้น ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่",
"section_num": "355"
}
] | ไม่ได้ เพราะไม่ได้ระบุระยะเวลาทำคำสนองไว้ ทำให้ผู้อยู่ห่างโดยระยะทางทำคำสนองมาเมื่อไหร่ก็ได้จึงทำให้ไม่สามารถถอนคำสนองภายในระยะเวลาอันควรคาดหมายได้เนื่องจากไม่ได้ระบุระยะเวลาไว้ | [] |
คณะกรรมการบริษัทแสดงรายการในรายงานประจำปีไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดได้หรือไม่ | ไม่ได้ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 20,000 บาท คำอธิบายเพิ่มเติม : ตาม มาตรา 207 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 คณะกรรมการบริษัทใดแสดงรายการตามมาตรา 114 (3) (4) หรือ (5) ไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงกับความจริง มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองหมื่นบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 207 คณะกรรมการบริษัทใดแสดงรายการตามมาตรา 114 (3) (4) หรือ (5) ไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงกับความจริง มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองหมื่นบาท*",
"section_num": "207"
}
] | ไม่ได้ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 20,000 บาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 114 ในรายงานประจำปีของคณะกรรมการนั้น อย่างน้อยต้องปรากฏรายงานเกี่ยวกับ\n(1) ชื่อ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ประเภทธุรกิจ จำนวนและชนิดหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัท จำนวนและชนิดหุ้นที่บริษัทถืออยู่ในบริษัทในเครือ (ถ้ามี) ลักษณะของบริษัทที่จะเป็นบริษัทในเครือให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(2) ชื่อ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ประเภทธุรกิจ จำนวนและชนิดหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้ว จำนวนและชนิดหุ้นของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนที่บริษัทถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนตั้งแต่ร้อยละสิบขึ้นไปของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนนั้น (ถ้ามี)\n(3) รายละเอียดที่กรรมการแจ้งต่อบริษัทตามมาตรา 88\n(4) ผลประโยชน์ตอบแทน หุ้น หุ้นกู้ หรือสิทธิประโยชน์อย่างอื่นที่กรรมการได้รับจากบริษัทพร้อมกับระบุชื่อกรรมการซึ่งเป็นผู้ได้รับนั้น\n(5) รายการอย่างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง",
"section_num": "114"
}
] |
คณะกรรมการบริษัทมหาชนจำกัดไม่จัดให้มีการเสนองบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปีได้หรือไม่ | ไม่ได้ ต้องจัดให้มีการทำงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน ณ วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี เพื่อเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปีทำการอนุมัติ ตามมาตรา 112 วรรค 1 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 112 คณะกรรมการต้องจัดให้มีการทำงบดุล และบัญชีกำไรขาดทุน ณ วันสิ้นสุดของรอบปีบัญชีของบริษัทเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปี เพื่อพิจารณาอนุมัติ\nงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนที่จัดทำตามวรรคหนึ่ง หรือจัดทำขึ้นในระหว่างรอบปีบัญชีเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติ คณะกรรมการต้องจัดให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนนั้นให้เสร็จก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น",
"section_num": "112"
}
] | ไม่ได้ ต้องจัดให้มีการทำงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน ณ วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี เพื่อเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปีทำการอนุมัติ ตามมาตรา 112 วรรค 1 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 | [] |
ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มีความผิดหรือไม่ | มี โดยมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 31 พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 11 วรรคสาม มาตรา 13 มาตรา 14 มาตรา 15 หรือมาตรา 17 มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าพันบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 31 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 11 วรรคสาม มาตรา 13 มาตรา 14 มาตรา 15 หรือมาตรา 17 มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าพันบาท*",
"section_num": "31"
}
] | มี โดยมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 11 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ต้องจัดทำงบการเงินและยื่นงบการเงินดังกล่าวต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีประจำท้องที่ภายในห้าเดือนนับแต่วันปิดบัญชีตามมาตรา 10 สำหรับกรณีของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยให้ยื่นภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่งบการเงินนั้นได้รับอนุมัติในที่ประชุมใหญ่ ทั้งนี้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นทำให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ อธิบดีอาจพิจารณาสั่งให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปอีกตามความจำเป็นแก่กรณีได้\nการยื่นงบการเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนด\nงบการเงินต้องมีรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี เว้นแต่กรณีที่ได้มีกฎหมายเฉพาะกำหนดเพิ่มเติมจากรายการย่อของงบการเงินที่อธิบดีกำหนดไว้แล้วให้ใช้รายการย่อตามที่กำหนดในกฎหมายเฉพาะนั้น\nงบการเงินต้องได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เว้นแต่งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีทุน สินทรัพย์ หรือรายได้ รายการใดรายการหนึ่งหรือทุกรายการ ไม่เกินที่กำหนดโดยกฎกระทรวง",
"section_num": "11"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 13 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็นประจำหรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานประจำ เว้นแต่ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีจะได้รับอนุญาตจากสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีให้เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่อื่นได้\nการขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนดและในระหว่างรอการอนุญาตให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ในสถานที่ที่ยื่นขอนั้นไปพลางก่อนได้\nในกรณีที่จัดทำบัญชีด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมืออื่นใดในสถานที่อื่นใดในราชอาณาจักรที่มิใช่สถานที่ตามวรรคหนึ่ง แต่มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือนั้นมายังสถานที่ตามวรรคหนึ่ง กรณีดังกล่าวนี้ให้ถือว่าได้มีการเก็บรักษาบัญชีไว้ ณ สถานที่ตามวรรคหนึ่งแล้ว",
"section_num": "13"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 14 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันปิดบัญชีหรือจนกว่าจะมีการส่งมอบบัญชีและเอกสารตามมาตรา 17\nเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบบัญชีของกิจการประเภทใดประเภทหนึ่ง ให้อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เกินห้าปีแต่ต้องไม่เกินเจ็ดปีได้",
"section_num": "14"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 15 ถ้าบัญชีหรือเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีสูญหายหรือเสียหาย ให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีแจ้งต่อสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนดภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบหรือควรทราบถึงการสูญหายหรือเสียหายนั้น",
"section_num": "15"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 17 เมื่อผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเลิกประกอบธุรกิจด้วยเหตุใด ๆ โดยมิได้มีการชำระบัญชี ให้ส่งมอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีแก่สารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันเลิกประกอบธุรกิจ และให้สารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีดังกล่าวไว้ไม่น้อยกว่าห้าปี\nเมื่อผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีร้องขอ ให้สารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีมีอำนาจขยายเวลาการส่งมอบบัญชีและเอกสารตามวรรคหนึ่งได้ แต่ระยะเวลาที่ขยายเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันเลิกประกอบธุรกิจ\nในกรณีที่ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีส่งมอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไม่ครบถ้วนถูกต้อง สารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีมีอำนาจเรียกให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีส่งมอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ครบถ้วนถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด",
"section_num": "17"
}
] |
กฎเกณฑ์ของศูนย์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก.ล.ต.ก่อนหรือไม่ | ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก.ล.ต.ก่อนนำไปใช้บังคับ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 63 วรรค 1พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 กฎเกณฑ์ของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้มีผลใช้บังคับเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 63 กฎเกณฑ์ของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้มีผลใช้บังคับเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต.\nในกรณีที่กฎเกณฑ์ตามวรรคหนึ่งอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือประโยชน์ได้เสียของสมาชิก ผู้ลงทุน หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ให้ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลดังกล่าว และจัดส่งรายงานการรับฟังความคิดเห็นนั้นให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อประกอบการพิจารณาให้ความเห็นชอบ\nการให้ความเห็นชอบกฎเกณฑ์ตามวรรคหนึ่งและการรับฟังความคิดเห็นตามวรรคสอง มิให้ใช้บังคับกับกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการบริหารงานภายในองค์กรของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือกฎเกณฑ์อื่นใดตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด",
"section_num": "63"
}
] | ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก.ล.ต.ก่อนนำไปใช้บังคับ | [] |
เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ตกอยู่ในภาระจำยอมต้องเสียค่าใช้จ่ายซึ่งตนได้ประโยชน์จากการซ่อมแซมทรัพย์นั้นด้วยหรือไม่ | ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ตนได้รับจากการซ่อมแซมทรัพย์นั้น คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 1391 วรรรค 2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วย ต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1391\nเจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอม แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์\nเจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ",
"section_num": "1391"
}
] | ต้องเสียค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ตนได้รับจากการซ่อมแซมทรัพย์นั้น | [] |
คู่กรณีในนิติกรรมที่มีเงื่อนไข จะทำการขัดขวางให้เงื่อนไขนั้นไม่สำเร็จได้หรือไม่ | ไม่ได้ เพราะเป็นที่เสื่อมเสียประโยชน์แก่คู่กรณีอีกฝ่ายซึ่งจะได้จากความสำเร็จของเงื่อนไขนั้น คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 184 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ คู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแห่งนิติกรรมอันอยู่ในบังคับเงื่อนไขจะต้องงดเว้นไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เป็นที่เสื่อมเสียประโยชน์แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะพึงได้จากความสำเร็จแห่งเงื่อนไขนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 184\nในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ คู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแห่งนิติกรรมอันอยู่ในบังคับเงื่อนไขจะต้องงดเว้นไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เป็นที่เสื่อมเสียประโยชน์แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะพึงได้จากความสำเร็จแห่งเงื่อนไขนั้น",
"section_num": "184"
}
] | ไม่ได้ เพราะเป็นที่เสื่อมเสียประโยชน์แก่คู่กรณีอีกฝ่ายซึ่งจะได้จากความสำเร็จของเงื่อนไขนั้น | [] |
ผู้ทรงตั๋วเงินไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาใช่หรือไม่ | ใช่ ผู้ทรงตั๋วเงินไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาในกรณีต่อไปนี้
1. กรณีกำหนดเวลาสำหรับยื่นตั๋วแลกเงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อได้เห็น หรือในระยะเวลาอย่างใดอย่างหนึ่งภายหลังได้เห็นได้ล่วงพ้นไปแล้ว
2. กรณีกำหนดเวลาสำหรับทำคำคัดค้านการไม่รับรองหรือการไม่ใช้เงินได้ล่วงพ้นไปแล้ว
3. กรณีกำหนดเวลาสำหรับยื่นตั๋วเพื่อให้ใช้เงิน ที่มีข้อกำหนดว่า “ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน”ได้ล่วงพ้นไปแล้ว
ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา 973 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 973\nเมื่อกำหนดเวลาจำกัดซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้ได้ล่วงพ้นไปแล้ว คือ\n(1) กำหนดเวลาสำหรับยื่นตั๋วแลกเงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อได้เห็น หรือในระยะเวลาอย่างใดอย่างหนึ่งภายหลังได้เห็น\n(2) กำหนดเวลาสำหรับทำคำคัดค้านการไม่รับรองหรือการไม่ใช้เงิน\n(3) กำหนดเวลาสำหรับยื่นตั๋วเพื่อให้ใช้เงิน ในกรณีที่มีข้อกำหนดว่า “ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน”\nท่านว่าผู้ทรงย่อมสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่เหล่าผู้สลักหลัง ผู้สั่งจ่าย และคู่สัญญาอื่น ๆ ผู้ต้องรับผิด เว้นแต่ผู้รับรอง\nอนึ่ง ถ้าไม่ยื่นตั๋วแลกเงินเพื่อให้เขารับรองภายในเวลาจำกัดดังผู้สั่งจ่ายได้กำหนดไว้ ท่านว่าผู้ทรงย่อมเสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยทั้งเพื่อการที่เขาไม่ใช้เงิน และเพื่อการที่เขาไม่รับรอง เว้นแต่จะปรากฏจากข้อกำหนดว่า ผู้สั่งจ่ายหมายเพียงแต่จะปลดตนเองให้พ้นจากประกันการรับรอง\nถ้าข้อกำหนดจำกัดเวลายื่นตั๋วแลกเงินนั้นมีอยู่ที่คำสลักหลัง ท่านว่าเฉพาะแต่ผู้สลักหลังเท่านั้นจะอาจเอาประโยชน์ในข้อกำหนดนั้นได้",
"section_num": "973"
}
] | ใช่ ผู้ทรงตั๋วเงินไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาในกรณีต่อไปนี้ 1. กรณีกำหนดเวลาสำหรับยื่นตั๋วแลกเงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อได้เห็น หรือในระยะเวลาอย่างใดอย่างหนึ่งภายหลังได้เห็นได้ล่วงพ้นไปแล้ว 2. กรณีกำหนดเวลาสำหรับทำคำคัดค้านการไม่รับรองหรือการไม่ใช้เงินได้ล่วงพ้นไปแล้ว 3. กรณีกำหนดเวลาสำหรับยื่นตั๋วเพื่อให้ใช้เงิน ที่มีข้อกำหนดว่า “ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน”ได้ล่วงพ้นไปแล้ว | [] |
กรณีกรรมการมูลนิธิดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์ของมูลนิธิและอาจเป็นภยันตรายต่อความมั่นคงของรัฐต้องรับผิดหรือไม่ | ต้องรับผิด คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 66 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 กรรมการของมูลนิธิผู้ใดดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และการดำเนินกิจการนั้นน่าจะเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499",
"section_content": "พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 66 กรรมการของมูลนิธิผู้ใดดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และการดำเนินกิจการนั้นน่าจะเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "66"
}
] | ต้องรับผิด | [] |
ถ้าการรับรองตั๋วเงินด้วยการสอดเข้าแก้หน้าไม่ได้ระบุไว้ว่ารับรองเพื่อใคร ผลจะเป็นอย่างไร | ให้ถือว่าการรับรองนั้นทำเพื่อผู้สั่งจ่าย คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 952 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การรับรองด้วยสอดเข้าแก้หน้า ย่อมทำด้วยเขียนระบุความลงบนตั๋วแลกเงิน และลงลายมือชื่อของผู้สอดเข้าแก้หน้าเป็นสำคัญ อนึ่ง ต้องระบุลงไว้ว่าการรับรองนั้นทำให้เพื่อใคร ถ้าไม่ได้ด้ระบุไว้ ให้ถือว่าทำให้เพื่อผู้สั่งจ่าย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 952\nอันการรับรองด้วยสอดเข้าแก้หน้านั้น ย่อมทำด้วยเขียนระบุความลงบนตั๋วแลกเงิน และลงลายมือชื่อของผู้สอดเข้าแก้หน้าเป็นสำคัญ อนึ่ง ต้องระบุลงไว้ว่าการรับรองนั้นทำให้เพื่อผู้ใด ถ้ามิได้ระบุไว้เช่นนั้น ท่านให้ถือว่าทำให้เพื่อผู้สั่งจ่าย",
"section_num": "952"
}
] | ให้ถือว่าการรับรองนั้นทำเพื่อผู้สั่งจ่าย | [] |
สามีและภริยาสามารถมีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกันได้หรือไม่ | ได้ โดยการที่สามีหรือภริยาแสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 43 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ภูมิลำเนาของสามีและภริยา ได้แก่ถิ่นที่อยู่ที่สามีและภริยาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา เว้นแต่สามีหรือภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 43\nภูมิลำเนาของสามีและภริยา ได้แก่ถิ่นที่อยู่ที่สามีและภริยาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา เว้นแต่สามีหรือภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน",
"section_num": "43"
}
] | ได้ โดยการที่สามีหรือภริยาแสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน | [] |
ธนาคารต้องรับผิดในกรณีที่ผู้สั่งจ่ายเช็คตามเช็คขีดคร่อมไม่มีสิทธิในเช็คนั้นหรือไม่ | ไม่ต้องรับผิด หากธนาคารได้รับเงินไว้โดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 1000 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ธนาคารใดได้รับเงินไว้เพื่อผู้เคยค้าของตนโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ อันเป็นเงินเขาใช้ให้ตามเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี ขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ตนก็ดี หากปรากฏว่าผู้เคยค้านั้นไม่มีสิทธิหรือมีสิทธิเพียงอย่างบกพร่องในเช็คนั้นไซร้ ท่านว่าเพียงแต่เหตุที่ได้รับเงินไว้หาทำให้ธนาคารนั้นต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้นแต่อย่างหนึ่งอย่างใดไม่ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1000\nธนาคารใดได้รับเงินไว้เพื่อผู้เคยค้าของตนโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ อันเป็นเงินเขาใช้ให้ตามเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี ขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ตนก็ดี หากปรากฏว่าผู้เคยค้านั้นไม่มีสิทธิหรือมีสิทธิเพียงอย่างบกพร่องในเช็คนั้นไซร้ ท่านว่าเพียงแต่เหตุที่ได้รับเงินไว้หาทำให้ธนาคารนั้นต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้นแต่อย่างหนึ่งอย่างใดไม่",
"section_num": "1000"
}
] | ไม่ต้องรับผิด หากธนาคารได้รับเงินไว้โดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อ | [] |
พนักงานสอบสวนสามารถนำสิ่งใดที่สำนักงานก.ล.ต.ส่งมอบให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนคดีอาญาได้บ้าง | ข้อมูล ข้อเท็จจริง เอกสารและหลักฐานที่ส่งมอบในการกล่าวโทษผู้กระทำความผิด คำอธิบายเพิ่มเติม : มาตรา 54 พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ข้อมูล ข้อเท็จจริง เอกสาร และหลักฐานต่าง ๆ ที่สำนักงาน ก.ล.ต. ส่งมอบในการกล่าวโทษผู้กระทำผิด พนักงานสอบสวนอาจนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนคดีอาญาได้ | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 54 ข้อมูล ข้อเท็จจริง เอกสาร และหลักฐานต่าง ๆ ที่สำนักงาน ก.ล.ต. ส่งมอบในการกล่าวโทษผู้กระทำผิด พนักงานสอบสวนอาจนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนคดีอาญาได้",
"section_num": "54"
}
] | ข้อมูล ข้อเท็จจริง เอกสารและหลักฐานที่ส่งมอบในการกล่าวโทษผู้กระทำความผิด | [] |
คู่ฉบับตราสารที่ได้ปิดแสตมป์แล้วต้องนำตราสารต้นฉบับมาแสดงอีกหรือไม่ | ต้องนำมาแสดงให้เป็นที่พอใจว่าได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 110 ประมวลรัษฎากร คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสารใด แม้จะได้ปิดแสตมป์สำหรับคู่ฉบับหรือคู่ฉีกนั้นตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้แล้วก็ดี ถ้ามิได้นำตราสารต้นฉบับหรือพยานหลักฐานมาแสดงให้เป็นที่พอใจว่าตราสารต้นฉบับนั้นได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว มิให้ถือว่าคู่ฉบับหรือคู่ฉีกนั้นได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนอากรสำหรับตราสารต้นฉบับและขีดฆ่าแล้ว | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 110 คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสารใด แม้จะได้ปิดแสตมป์สำหรับคู่ฉบับหรือคู่ฉีกนั้นตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้แล้วก็ดี ถ้ามิได้นำตราสารต้นฉบับหรือพยานหลักฐานมาแสดงให้เป็นที่พอใจว่าตราสารต้นฉบับนั้นได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว มิให้ถือว่าคู่ฉบับหรือคู่ฉีกนั้นได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนอากรสำหรับตราสารต้นฉบับและขีดฆ่าแล้ว",
"section_num": "110"
}
] | ต้องนำมาแสดงให้เป็นที่พอใจว่าได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว | [] |
บุคคลสามารถแก้ไขคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยรู้ว่าอาจทำให้ราคาหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาดได้หรือไม่ | ไม่ได้ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 244/7 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ห้ามมิให้บุคคลใดส่ง แก้ไข หรือยกเลิกคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์เข้าไปในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์โดยรู้หรือควรรู้ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นน่าจะทำให้ราคาหลักทรัพย์หรือปริมาณการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาดและเป็นเหตุให้ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ล่าช้าหรือหยุดชะงัก | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 244/7 ห้ามมิให้บุคคลใดส่ง แก้ไข หรือยกเลิกคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์เข้าไปในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์โดยรู้หรือควรรู้ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นน่าจะทำให้ราคาหลักทรัพย์หรือปริมาณการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาดและเป็นเหตุให้ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ล่าช้าหรือหยุดชะงัก",
"section_num": "244/7"
}
] | ไม่ได้ | [] |
ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรต้องดำเนินการอย่างไร | ต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งก่อน โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุแห่งการจ่ายเงิน คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 3 จตุทศ ประมวลรัษฎากร ในกรณีที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งก่อน ไม่ว่าการจ่ายเงินนั้นจะเกิดขึ้นจากคำสั่งหรือคำบังคับของศาลหรือตามกฎหมายหรือเหตุอื่นใดก็ตาม | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 จตุทศ ในกรณีที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งก่อน ไม่ว่าการจ่ายเงินนั้นจะเกิดขึ้นจากคำสั่งหรือคำบังคับของศาลหรือตามกฎหมายหรือเหตุอื่นใดก็ตาม",
"section_num": "3 จตุทศ"
}
] | ต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งก่อน โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุแห่งการจ่ายเงิน | [] |
เมื่อความเป็นผู้จัดการทรัพย์สินสิ้นสุดลงเพราะมีเหตุเกี่ยวกับตัวผู้จัดการทรัพย์สินต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป | ต้องแถลงให้ศาลทราบถึงความสิ้นสุดของการเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เพื่อที่ศาลจะได้มีคำสั่งเกี่ยวกับผู้จัดการทรัพย์สินต่อไป โดยบุคคลที่มีอำนาจแถลง ได้แก่ ผู้จัดการทรัพย์สินหรือทายาทของผู้จัดการทรัพย์สิน ผู้จัดการมรดก ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือผู้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของผู้จัดการทรัพย์สิน ตามมาตรา 59 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 59\nในกรณีที่ความเป็นผู้จัดการทรัพย์สินสิ้นสุดลงเพราะเหตุตามมาตรา 58 (4) (5) หรือ (6) ผู้จัดการทรัพย์สินหรือทายาทของผู้จัดการทรัพย์สิน ผู้จัดการมรดก ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือผู้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของผู้จัดการทรัพย์สิน แล้วแต่กรณี จะต้องแถลงให้ศาลทราบถึงความสิ้นสุดนั้นโดยไม่ชักช้าเพื่อศาลจะได้มีคำสั่งเกี่ยวกับผู้จัดการทรัพย์สินต่อไปตามที่เห็นสมควร ในระหว่างเวลาดังกล่าวนั้น บุคคลดังกล่าวจะต้องจัดการตามควรแก่พฤติการณ์เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้ไม่อยู่ จนกว่าจะได้ส่งมอบทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดตามที่ศาลจะได้มีคำสั่ง",
"section_num": "59"
}
] | ต้องแถลงให้ศาลทราบถึงความสิ้นสุดของการเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เพื่อที่ศาลจะได้มีคำสั่งเกี่ยวกับผู้จัดการทรัพย์สินต่อไป โดยบุคคลที่มีอำนาจแถลง ได้แก่ ผู้จัดการทรัพย์สินหรือทายาทของผู้จัดการทรัพย์สิน ผู้จัดการมรดก ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือผู้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของผู้จัดการทรัพย์สิน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 58\nความเป็นผู้จัดการทรัพย์สินย่อมสิ้นสุดลงในกรณี ดังต่อไปนี้\n(1) ผู้ไม่อยู่นั้นกลับมา\n(2) ผู้ไม่อยู่นั้นมิได้กลับมาแต่ได้จัดการทรัพย์สินหรือตั้งตัวแทนเพื่อจัดการทรัพย์สินของตนแล้ว\n(3) ผู้ไม่อยู่ถึงแก่ความตายหรือศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ\n(4) ผู้จัดการทรัพย์สินลาออกหรือถึงแก่ความตาย\n(5) ผู้จัดการทรัพย์สินเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ\n(6) ผู้จัดการทรัพย์สินเป็นบุคคลล้มละลาย\n(7) ศาลถอดถอนผู้จัดการทรัพย์สิน",
"section_num": "58"
}
] |
เงินที่ได้รับจากการจำหน่ายหน่วยลงทุนในแต่ละโครงการจัดการกองทุนรวมต้องรวมเข้าเป็นกองทรัพย์สินหรือไม่ | ต้องรวมเข้าเป็นกองทรัพย์สิน คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 124 วรรค 1 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เงินที่ได้รับจากการจำหน่ายหน่วยลงทุนในแต่ละโครงการจัดการกองทุนรวมให้รวมเข้าเป็นกองทรัพย์สิน และให้บริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทรัพย์สินดังกล่าวเป็นกองทุนรวมกับสำนักงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 124 เงินที่ได้รับจากการจำหน่ายหน่วยลงทุนในแต่ละโครงการจัดการกองทุนรวมให้รวมเข้าเป็นกองทรัพย์สิน และให้บริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนกองทรัพย์สินดังกล่าวเป็นกองทุนรวมกับสำนักงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด\nกองทุนรวมที่ได้จดทะเบียนแล้วให้เป็นนิติบุคคล ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์นำทรัพย์สินของกองทุนรวมไปลงทุนตามโครงการจัดการกองทุนรวมตามที่ได้รับอนุมัติ โดยให้บริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของกองทุนรวม\nให้กองทุนรวมตามวรรคสองมีสัญชาติเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของกองทุนรวม",
"section_num": "124"
}
] | ต้องรวมเข้าเป็นกองทรัพย์สิน | [] |
บุคคลอาจได้ที่ดินมาตามกฎหมายที่ดินในกรณีใดบ้าง | กรณีที่ดินรกร้างว่างเปล่าและที่ดินที่มีผู้เวนคืน หรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายที่ดิน คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 1334 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน บุคคลอาจที่ดินเหล่านั้นได้ตามกฎหมายที่ดิน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1334\nที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดินนั้น ท่านว่าบุคคลอาจได้มาตามกฎหมายที่ดิน",
"section_num": "1334"
}
] | กรณีที่ดินรกร้างว่างเปล่าและที่ดินที่มีผู้เวนคืน หรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายที่ดิน | [] |
ผู้ประกอบการสำนักหักบัญชีต้องได้รับใบอนุญาตหรือไม่ | ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 219 วรรค 1 พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบการเป็นสำนักหักบัญชี เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 219 ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบการเป็นสำนักหักบัญชี เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต.\nสำนักหักบัญชี หมายความว่า สถานที่อันเป็นศูนย์กลางการให้บริการเพื่อประโยชน์ในการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ที่ได้มีการซื้อขายกัน รวมทั้งบริการที่เกี่ยวข้อง",
"section_num": "219"
}
] | ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. | [] |
ในการประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทมหาชนจำกัดโดยทั่วไปต้องมีองค์ประชุมอย่างไร | องค์ประชุมบริษัทมหาชนจำกัด จะต้องมีผู้ถือหุ้นและผู้รับมอบฉันทะจากผู้ถือหุ้น (ถ้ามี) มาประชุมไม่น้อยกว่า 25 คนหรือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด และต้องมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด ตามมาตรา 103 วรรค 1 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 103 เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ในการประชุมผู้ถือหุ้น ต้องมีผู้ถือหุ้นและผู้รับมอบฉันทะจากผู้ถือหุ้น (ถ้ามี) มาประชุมไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคนหรือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมดและต้องมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม\nในกรณีที่ปรากฏว่าการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งใด เมื่อล่วงเวลานัดไปแล้วถึงหนึ่งชั่วโมงจำนวนผู้ถือหุ้นซึ่งมาเข้าร่วมประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุมตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง หากว่าการประชุมผู้ถือหุ้นนั้นได้เรียกนัดเพราะผู้ถือหุ้นร้องขอตามมาตรา 100 การประชุมเป็นอันระงับไป ถ้าการประชุมผู้ถือหุ้นนั้นมิใช่เป็นการเรียกประชุมเพราะผู้ถือหุ้นร้องขอตามมาตรา 100 ให้นัดประชุมใหม่ และให้ส่งหนังสือนัดประชุมไปยังผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันประชุม ในการประชุมครั้งหลังนี้ไม่บังคับว่าจะต้องครบองค์ประชุม",
"section_num": "103"
}
] | องค์ประชุมบริษัทมหาชนจำกัด จะต้องมีผู้ถือหุ้นและผู้รับมอบฉันทะจากผู้ถือหุ้น (ถ้ามี) มาประชุมไม่น้อยกว่า 25 คนหรือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด และต้องมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 100 ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งหรือหลายคนซึ่งมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด จะเข้าชื่อกันทำหนังสือขอให้คณะกรรมการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเป็นการประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องระบุเรื่องและเหตุผลในการที่ขอให้เรียกประชุมไว้ให้ชัดเจนในหนังสือดังกล่าวด้วย ในกรณีเช่นนี้ คณะกรรมการต้องจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือจากผู้ถือหุ้น\nในกรณีที่คณะกรรมการไม่จัดให้มีการประชุมภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ผู้ถือหุ้นทั้งหลายซึ่งเข้าชื่อกันหรือผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ รวมกันได้จำนวนหุ้นตามที่บังคับไว้นั้นจะเรียกประชุมเองก็ได้ภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันครบกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นที่คณะกรรมการเรียกประชุม โดยบริษัทต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอันจำเป็นที่เกิดจากการจัดให้มีการประชุมและอำนวยความสะดวกตามสมควร\nในกรณีที่ปรากฏว่าการประชุมผู้ถือหุ้นที่เป็นการเรียกประชุมเพราะผู้ถือหุ้นตามวรรคสองครั้งใดจำนวนผู้ถือหุ้นซึ่งมาร่วมประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 103 ผู้ถือหุ้นตามวรรคสองต้องร่วมกันรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจัดให้มีการประชุมในครั้งนั้นให้แก่บริษัท",
"section_num": "100"
}
] |
การจำนำทรัพย์สินซึ่งเป็นสิทธิที่มีตราสาร จะไม่ส่งมอบตราสารแก่ผู้รับจำนำได้หรือไม่ | ไม่ได้ ต้อองส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับจำนำ คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 750 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถ้าทรัพย์สินที่จำนำเป็นสิทธิซึ่งมีตราสาร และมิได้ส่งมอบตราสารนั้นให้แก่ผู้รับจำนำ ทั้งมิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือแจ้งการจำนำแก่ลูกหนี้แห่งสิทธินั้นด้วยไซร้ ท่านว่าการจำนำย่อมเป็นโมฆะ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 750\nถ้าทรัพย์สินที่จำนำเป็นสิทธิซึ่งมีตราสาร และมิได้ส่งมอบตราสารนั้นให้แก่ผู้รับจำนำ ทั้งมิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือแจ้งการจำนำแก่ลูกหนี้แห่งสิทธินั้นด้วยไซร้ ท่านว่าการจำนำย่อมเป็นโมฆะ",
"section_num": "750"
}
] | ไม่ได้ ต้อองส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับจำนำ | [] |
ความผิดตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 ซึ่งมีโทษทางปกครองหรือมีโทษปรับสถานเดียวอาจขาดอายุความได้ในกรณีใด | กรณีที่มิได้มีการลงโทษทางปกครอง หรือกรณีที่มิได้มีการฟ้องคดีต่อศาล หรือกรณีที่มิได้มีการเปรียบเทียบโดยคณะกรรมการเปรียบเทียบความผิด ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่วินิจฉัยว่ามีการกระทำความผิด หรือภายใน 5 ปี นับแต่วันที่มีการกระทำความผิด ทั้งนี้ ตามมาตรา 154 พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 154 ความผิดตามหมวดนี้ที่มีโทษทางปกครองหรือที่มีโทษปรับสถานเดียว หากมิได้มีการลงโทษทางปกครอง หรือมิได้ฟ้องคดีต่อศาล หรือมิได้มีการเปรียบเทียบโดยคณะกรรมการเปรียบเทียบความผิดตามมาตรา 155 ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่วินิจฉัยว่ามีการกระทำความผิด หรือภายในห้าปีนับแต่วันที่มีการกระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ",
"section_num": "154"
}
] | กรณีที่มิได้มีการลงโทษทางปกครอง หรือกรณีที่มิได้มีการฟ้องคดีต่อศาล หรือกรณีที่มิได้มีการเปรียบเทียบโดยคณะกรรมการเปรียบเทียบความผิด ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่พนักงานเจ้าหน้าที่วินิจฉัยว่ามีการกระทำความผิด หรือภายใน 5 ปี นับแต่วันที่มีการกระทำความผิด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 155 ความผิดตามมาตรา 126 มาตรา 127 มาตรา 128 มาตรา 129 มาตรา 130 มาตรา 131 มาตรา 133 มาตรา 135 มาตรา 138 มาตรา 139 วรรคหนึ่ง มาตรา 142 มาตรา 143 และมาตรา 151 วรรคสอง ซึ่งไม่มีผลเสียหายร้ายแรงต่อลูกค้า ประชาชน ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือระบบการเงินของประเทศ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบความผิดซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจเปรียบเทียบได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nเมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบความผิดได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการเปรียบเทียบความผิดกำหนดแล้ว ให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในกรณีแห่งความผิดนั้นเป็นอันระงับไป",
"section_num": "155"
}
] |
Subsets and Splits