question
stringlengths 6
751
| answer
stringlengths 3
12.6k
| relevant_laws
listlengths 1
1
| reference_answer
stringlengths 2
1.9k
| reference_laws
listlengths 0
51
|
---|---|---|---|---|
กรรมการตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร | กรรมการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/3 กรรมการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดรวมทั้งต้องไม่มีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นตามที่คณะกรรมการก.ล.ต. ประกาศกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/3 กรรมการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดรวมทั้งต้องไม่มีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นตามที่คณะกรรมการก.ล.ต. ประกาศกำหนด",
"section_num": "89/3"
}
] | กรรมการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดรวมทั้งต้องไม่มีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นตามที่คณะกรรมการก.ล.ต. ประกาศกำหนด | [] |
การรับขนของหรือคนโดยสารในหน้าที่ของกรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม และการขนไปรษณียภัณฑ์ในหน้าที่กรมไปรษณีย์โทรเลขให้บังคับตามกฎหมายใด | ให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับทบวงการนั้น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 การรับขนของหรือคนโดยสารในหน้าที่ของกรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม และการขนไปรษณียภัณฑ์ในหน้าที่กรมไปรษณีย์โทรเลขนั้น ให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับทบวงการนั้น ๆ ส่วนการรับขนของทางทะเล ให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609\nการรับขนของหรือคนโดยสารในหน้าที่ของกรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม และการขนไปรษณียภัณฑ์ในหน้าที่กรมไปรษณีย์โทรเลขนั้น ท่านให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับทบวงการนั้น ๆ\nรับขนของทางทะเล ท่านให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้น",
"section_num": "609"
}
] | ให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับทบวงการนั้น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 | [] |
ถ้าไม่ได้เสียหรือนำส่งภาษีอากร อธิบดีมีอำนาจอย่างไร | อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้ทั่วราชอาณาจักร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ภาษีอากรซึ่งต้องเสียหรือนำส่งตามลักษณะนี้ เมื่อถึงกำหนดชำระแล้ว ถ้าไม่ได้เสียหรือนำส่ง ให้ถือเป็นภาษีอากรค้าง เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้ทั่วราชอาณาจักร โดยไม่ต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง อำนาจดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ภาษีอากรซึ่งต้องเสียหรือนำส่งตามลักษณะนี้ เมื่อถึงกำหนดชำระแล้ว ถ้ามิได้เสียหรือนำส่ง ให้ถือเป็นภาษีอากรค้าง\nเพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้ทั่วราชอาณาจักร โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง อำนาจดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้\nในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอมีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีตามวรรคสอง ภายในเขตท้องที่จังหวัดหรืออำเภอนั้น แต่สำหรับนายอำเภอนั้น จะใช้อำนาจสั่งขายทอดตลาดได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด\nวิธีการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม ส่วนวิธีการอายัดให้ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี\nเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าว ให้หักค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายในการยึดและขายทอดตลาดและเงินภาษีอากรค้าง ถ้ามีเงินเหลือให้คืนแก่เจ้าของทรัพย์สิน\nผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรตามวรรคสอง ให้หมายความรวมถึงผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลด้วย",
"section_num": "12"
}
] | อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้ทั่วราชอาณาจักร | [] |
หนังสือบอกกล่าวเมื่อได้ส่งโดยทางไปรษณีย์สลักหลังถูกต้องแล้ว ให้ถือว่าได้ส่งถึงมือผู้รับในเวลาใด | ให้ถือว่าเป็นอันได้ส่งถึงมือผู้รับในเวลาที่หนังสือเช่นนั้นจะควรไปถึงได้ตามทางการปกติแห่งไปรษณีย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1245 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1245\nหนังสือบอกกล่าวใด ๆ เมื่อได้ส่งโดยทางไปรษณีย์สลักหลังถูกต้องแล้ว ท่านให้ถือว่าเป็นอันได้ส่งถึงมือผู้รับในเวลาที่หนังสือเช่นนั้นจะควรไปถึงได้ตามทางการปกติแห่งไปรษณีย์",
"section_num": "1245"
}
] | ให้ถือว่าเป็นอันได้ส่งถึงมือผู้รับในเวลาที่หนังสือเช่นนั้นจะควรไปถึงได้ตามทางการปกติแห่งไปรษณีย์ | [] |
บุริมสิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์ใช้สำหรับอะไร | ใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 269 บุริมสิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์นั้น ใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันนั้น บุริมสิทธินี้ยังใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอันได้เสียไปเพื่อที่จะสงวนสิทธิ หรือรับสภาพสิทธิ หรือบังคับสิทธิ อันเกี่ยวด้วยสังหาริมทรัพย์นั้นอีกด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 269\nบุริมสิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์นั้น ใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันนั้น\nอนึ่งบุริมสิทธินี้ยังใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอันได้เสียไปเพื่อที่จะสงวนสิทธิ หรือรับสภาพสิทธิ หรือบังคับสิทธิ อันเกี่ยวด้วยสังหาริมทรัพย์นั้นอีกด้วย",
"section_num": "269"
}
] | ใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันนั้น | [] |
การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุเท่าใด | การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว การหมั้นที่ฝ่าฝืนความในข้างต้นเป็นโมฆะ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435\nการหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว\nการหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ",
"section_num": "1435"
}
] | การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว | [] |
สิทฟ้องหย่าจะระงับไปเมื่อใด | เมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทำการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้วตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518\nสิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทำการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว",
"section_num": "1518"
}
] | เมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทำการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว | [] |
ในรักษาประโยชน์ของประชาชนหรือเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน สำนักงานมีอำนาจอย่างไรบ้าง | มีอำนาจเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการออกหรือเสนอขายหลักทรัพย์บริษัทที่ออกหรือเสนอขายหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ องค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ การกระทำความผิดและการลงโทษบุคคลที่กระทำความผิดหรือข้อมูลอื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตาม พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 24/1 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 24/1 เพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนหรือเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน ให้สำนักงานหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากสำนักงานมีอำนาจเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการออกหรือเสนอขายหลักทรัพย์บริษัทที่ออกหรือเสนอขายหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ องค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ การกระทำความผิดและการลงโทษบุคคลที่กระทำความผิดหรือข้อมูลอื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้",
"section_num": "24/1"
}
] | มีอำนาจเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการออกหรือเสนอขายหลักทรัพย์บริษัทที่ออกหรือเสนอขายหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ องค์กรที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ การกระทำความผิดและการลงโทษบุคคลที่กระทำความผิดหรือข้อมูลอื่นใดที่ได้รับเนื่องจากการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตาม พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 24/1 | [] |
ในคดีฟ้องเรียกทรัพย์มรดกสามารถมีการร้องสอดเข้ามาในคดีได้หรือไม่ | ผู้ซึ่งอ้างว่าตนเป็นทายาทมีสิทธิในทรัพย์มรดกนั้น จะร้องสอดเข้ามาในคดีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1749 ถ้ามีคดีฟ้องเรียกทรัพย์มรดก ผู้ซึ่งอ้างว่าตนเป็นทายาทมีสิทธิในทรัพย์มรดกนั้น จะร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้ แต่ศาลจะเรียกทายาทอื่น นอกจากคู่ความ หรือผู้ร้องสอด ให้เข้ามารับส่วนแบ่ง หรือกันส่วนแห่งทรัพย์มรดกไว้เพื่อทายาทอื่นนั้นไม่ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1749\nถ้ามีคดีฟ้องเรียกทรัพย์มรดก ผู้ซึ่งอ้างว่าตนเป็นทายาทมีสิทธิในทรัพย์มรดกนั้น จะร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้\nแต่ศาลจะเรียกทายาทอื่น นอกจากคู่ความ หรือผู้ร้องสอด ให้เข้ามารับส่วนแบ่ง หรือกันส่วนแห่งทรัพย์มรดกไว้เพื่อทายาทอื่นนั้นไม่ได้",
"section_num": "1749"
}
] | ผู้ซึ่งอ้างว่าตนเป็นทายาทมีสิทธิในทรัพย์มรดกนั้น จะร้องสอดเข้ามาในคดีได้ | [] |
การฟ้องขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมมีข้อจำกัดด้านระยะเวลาหรือไม่ | ห้ามมิให้ฟ้องขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้ขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมรู้หรือควรได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้เลิกการนั้น หรือเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เหตุนั้นเกิดขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/34 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/34\nห้ามมิให้ฟ้องขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้ขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมรู้หรือควรได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้เลิกการนั้น หรือเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เหตุนั้นเกิดขึ้น",
"section_num": "1598/34"
}
] | ห้ามมิให้ฟ้องขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้ขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมรู้หรือควรได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้เลิกการนั้น หรือเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เหตุนั้นเกิดขึ้น | [] |
ผู้ทำบัญชีที่จะขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพบัญชีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร | ต้องมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำบัญชีเป็นภาษาไทยได้ มีคุณวุฒิการศึกษาตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี เป็นต้น ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 45 ผู้ทำบัญชีที่จะขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพบัญชีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (1) มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร (2) มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำบัญชีเป็นภาษาไทยได้ (3) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เนื่องจากกระทำความผิดตามฐานความผิดหรือกฎหมายที่กำหนดในมาตรา 39 (3) เว้นแต่ต้องคำพิพากษาหรือพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี (4) มีคุณวุฒิการศึกษาตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี (5) ไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่น ตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 45 ผู้ทำบัญชีที่จะขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพบัญชีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้\n(1) มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร\n(2) มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำบัญชีเป็นภาษาไทยได้\n(3) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เนื่องจากกระทำความผิดตามฐานความผิดหรือกฎหมายที่กำหนดในมาตรา 39 (3) เว้นแต่ต้องคำพิพากษาหรือพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี\n(4) มีคุณวุฒิการศึกษาตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี\n(5) ไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่น ตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี",
"section_num": "45"
}
] | ต้องมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำบัญชีเป็นภาษาไทยได้ มีคุณวุฒิการศึกษาตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี และต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 39 ผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้\n(1) เป็นสมาชิกสามัญหรือสมาชิกวิสามัญตามมาตรา 14 วรรคสอง แต่ในกรณีเป็นสมาชิกวิสามัญซึ่งเป็นคนต่างด้าวต้องเป็นผู้มีความรู้ภาษาไทยดีพอที่จะสามารถสอบบัญชีและจัดทำรายงานเป็นภาษาไทยได้ และมีภูมิลำเนาในประเทศไทย และเมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วต้องได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวด้วย จึงจะปฏิบัติงานเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้\n(2) ผ่านการทดสอบหรือฝึกอบรมหรือฝึกงานหรือเคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับวิชาชีพบัญชีมาแล้วตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี\n(3) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เนื่องจากกระทำความผิดตามมาตรา 269 มาตรา 323 หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เว้นแต่ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี กฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี หรือกฎหมายว่าด้วยการกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ เฉพาะที่เกี่ยวกับการรับรองงบการเงินหรือบัญชีอื่นใดอันไม่ถูกต้องหรือทำรายงานเท็จ หรือความผิดตามหมวด 5 และหมวด 6 แห่งพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ต้องคำพิพากษาหรือพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี\n(4) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย\n(5) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี",
"section_num": "39"
}
] |
ผู้ที่ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในการตรวจสอบหรือการดำเนินการตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องได้รับโทษอย่างไร | ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 142 ผู้ใดให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในการตรวจสอบหรือการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 142 ผู้ใดให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในการตรวจสอบหรือการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "142"
}
] | ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | [] |
ผู้เป็นสมาชิกของหอการค้าที่มิได้รับอนุญาตมีความผิดหรือไม่ | มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองพันบาท ตามพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 49 ผู้ใดเป็นสมาชิกของหอการค้าที่มิได้รับอนุญาตตามมาตรา 8 มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองพันบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 49 ผู้ใดเป็นสมาชิกของหอการค้าที่มิได้รับอนุญาตตามมาตรา 8 มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองพันบาท*",
"section_num": "49"
}
] | มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองพันบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 8 ห้ามมิให้ผู้ใดจัดตั้งหอการค้า เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน\nการตั้งสาขาหอการค้าจะกระทำมิได้",
"section_num": "8"
}
] |
ถ้าสามีหรือภริยาได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่านั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าได้หรือไม่ | ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1517 เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1517\nเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้\nเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (10) ถ้าเกิดเพราะการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้\nในกรณีฟ้องหย่าโดยอาศัยเหตุแห่งการผิดทัณฑ์บนตามมาตรา 1516 (8) นั้น ถ้าศาลเห็นว่าความประพฤติของสามีหรือภริยาอันเป็นเหตุให้ทำทัณฑ์บนเป็นเหตุเล็กน้อยหรือไม่สำคัญเกี่ยวแก่การอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาโดยปกติสุข ศาลจะไม่พิพากษาให้หย่าก็ได้",
"section_num": "1517"
}
] | ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516\nเหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้\n(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้\n(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง\n(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง\n(ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ\n(ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ\nอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้\n(3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้\n(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้\n(4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้\n(4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้\n(5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้\n(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้\n(7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้\n(8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้\n(9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้\n(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้",
"section_num": "1516"
}
] |
เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันมีสิทธิกระทำการอย่างไรก่อน | ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 688 เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดในพระราชอาณาเขต | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 688\nเมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดในพระราชอาณาเขต",
"section_num": "688"
}
] | ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ | [] |
ความรับผิดของผู้เช่ามีอย่างไรบ้าง | ผู้เช่าจะต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่า เพราะความผิดของผู้เช่าเอง หรือของบุคคลซึ่งอยู่กับผู้เช่า หรือของผู้เช่าช่วง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 562 ผู้เช่าจะต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่า เพราะความผิดของผู้เช่าเอง หรือของบุคคลซึ่งอยู่กับผู้เช่า หรือของผู้เช่าช่วง แต่ผู้เช่าไม่ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์สินนั้นโดยชอบ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 562\nผู้เช่าจะต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่า เพราะความผิดของผู้เช่าเอง หรือของบุคคลซึ่งอยู่กับผู้เช่า หรือของผู้เช่าช่วง\nแต่ผู้เช่าไม่ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์สินนั้นโดยชอบ",
"section_num": "562"
}
] | ผู้เช่าจะต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่า เพราะความผิดของผู้เช่าเอง หรือของบุคคลซึ่งอยู่กับผู้เช่า หรือของผู้เช่าช่วง แต่ผู้เช่าไม่ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์สินนั้นโดยชอบ. | [] |
หากเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมกันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ บุคคลเหล่านั้นจะมีสิทธิความเป็นเจ้าของอย่างไร | บุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน โดยแต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1316 ถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ บุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น ถ้าทรัพย์อันหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน เจ้าของทรัพย์นั้นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันแต่ผู้เดียว แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่น ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้น ๆ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1316\nถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ไซร้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น\nถ้าทรัพย์อันหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธานไซร้ ท่านว่าเจ้าของทรัพย์นั้นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันแต่ผู้เดียว แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่น ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้น ๆ",
"section_num": "1316"
}
] | บุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน โดยแต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น | [] |
ผู้ถือหุ้นจำนวนเท่าใดจึงจะร้องขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทมหาชนจำกัด | ผู้ถือหุ้นซึ่งมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดจะร้องขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทก็ได้ เมื่อมีเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่น ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการประชุมจัดตั้งบริษัทหรือการจัดทำรายงานการจัดตั้งบริษัท หรือคณะกรรมการบริษัทฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการชำระเงินค่าหุ้น ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 155 ผู้ถือหุ้นซึ่งมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดจะร้องขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทก็ได้ เมื่อมีเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการประชุมจัดตั้งบริษัทหรือการจัดทำรายงานการจัดตั้งบริษัท หรือคณะกรรมการบริษัทฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการชำระเงินค่าหุ้น การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินหรือทำเอกสารหลักฐานการใช้สิทธิต่าง ๆ ให้แก่บริษัทเพื่อชำระค่าหุ้น การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือการจดทะเบียนบริษัท (2) ถ้าจำนวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงจนเหลือไม่ถึงสิบห้าคน (3) กิจการของบริษัท หากทำไปจะมีแต่ขาดทุนและไม่มีหวังจะกลับฟื้นตัวได้อีก | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 155 ผู้ถือหุ้นซึ่งมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดจะร้องขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทก็ได้ เมื่อมีเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้\n(1) ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการประชุมจัดตั้งบริษัทหรือการจัดทำรายงานการจัดตั้งบริษัท หรือคณะกรรมการบริษัทฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการชำระเงินค่าหุ้น การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินหรือทำเอกสารหลักฐานการใช้สิทธิต่าง ๆ ให้แก่บริษัทเพื่อชำระค่าหุ้น การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือการจดทะเบียนบริษัท\n(2) ถ้าจำนวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงจนเหลือไม่ถึงสิบห้าคน\n(3) กิจการของบริษัท หากทำไปจะมีแต่ขาดทุนและไม่มีหวังจะกลับฟื้นตัวได้อีก\nเมื่อมีการร้องขอให้ศาลสั่งในกรณีตาม (1) หรือ (2) ศาลจะสั่งให้บริษัทแก้ไขหรือปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายภายในเวลาที่กำหนด แต่ไม่เกินหกเดือนแทนการสั่งเลิกบริษัทก็ได้",
"section_num": "155"
}
] | ผู้ถือหุ้นซึ่งมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดจะร้องขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทก็ได้ | [] |
บุคคลซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทจำกัดจะรับผิดโดยไม่จำกัดได้หรือไม่ | บุคคลซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทจำกัดจะรับผิดโดยไม่จำกัดก็ได้ ถ้ากรณีเป็นเช่นนั้นต้องจดแถลงความรับผิดเช่นนั้นลงไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1101 บุคคลซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทจำกัดจะรับผิดโดยไม่จำกัดก็ได้ ถ้ากรณีเป็นเช่นนั้นต้องจดแถลงความรับผิดเช่นนั้นลงไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิด้วย ความรับผิดโดยไม่จำกัดของผู้เป็นกรรมการนั้น ย่อมถึงที่สุดเมื่อล่วงเวลาสองปีนับแต่วันที่ตัวเขาออกจากตำแหน่งกรรมการ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1101\nบุคคลซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทจำกัดจะรับผิดโดยไม่จำกัดก็ได้ ถ้ากรณีเป็นเช่นนั้นไซร้ ท่านว่าต้องจดแถลงความรับผิดเช่นนั้นลงไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิด้วย\nอันความรับผิดโดยไม่จำกัดของผู้เป็นกรรมการนั้น ย่อมถึงที่สุดเมื่อล่วงเวลาสองปีนับแต่วันที่ตัวเขาออกจากตำแหน่งกรรมการ",
"section_num": "1101"
}
] | บุคคลซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทจำกัดจะรับผิดโดยไม่จำกัดก็ได้ ถ้ากรณีเป็นเช่นนั้นต้องจดแถลงความรับผิดเช่นนั้นลงไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิด้วย | [] |
สภาพบุคคลเริ่มและสิ้นสุดเมื่อใด | สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง ๆ ได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15\nสภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย\nทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง ๆ ได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก",
"section_num": "15"
}
] | สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย | [] |
ในการเรียกประชุมใหญ่ คณะกรรมการของสมาคมต้องดำเนินการอย่างไร | ต้องส่งหนังสือนัดประชุมไปยังสมาชิกทุกคนซึ่งมีชื่อในทะเบียนของสมาคมก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันหรือลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในท้องที่ฉบับหนึ่งก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 95 ในการเรียกประชุมใหญ่ คณะกรรมการของสมาคมต้องส่งหนังสือนัดประชุมไปยังสมาชิกทุกคนซึ่งมีชื่อในทะเบียนของสมาคมก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันหรือลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในท้องที่ฉบับหนึ่งก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก็ได้ การเรียกประชุมใหญ่ต้องระบุสถานที่ วัน เวลา และระเบียบวาระการประชุมและจัดส่งรายละเอียดและเอกสารที่เกี่ยวข้องตามควรไปพร้อมกันด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 95\nในการเรียกประชุมใหญ่ คณะกรรมการของสมาคมต้องส่งหนังสือนัดประชุมไปยังสมาชิกทุกคนซึ่งมีชื่อในทะเบียนของสมาคมก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันหรือลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในท้องที่ฉบับหนึ่งก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก็ได้\nการเรียกประชุมใหญ่ต้องระบุสถานที่ วัน เวลา และระเบียบวาระการประชุมและจัดส่งรายละเอียดและเอกสารที่เกี่ยวข้องตามควรไปพร้อมกันด้วย สำหรับการเรียกประชุมใหญ่โดยการพิมพ์โฆษณา รายละเอียดและเอกสารดังกล่าวต้องจัดไว้และพร้อมที่จะมอบให้แก่สมาชิกที่ร้องขอ ณ สถานที่ที่ผู้เรียกประชุมกำหนด",
"section_num": "95"
}
] | ต้องส่งหนังสือนัดประชุมไปยังสมาชิกทุกคนซึ่งมีชื่อในทะเบียนของสมาคมก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันหรือลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในท้องที่ฉบับหนึ่งก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก็ได้ | [] |
ในกรณีประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ใครปฏิบัติหน้าที่แทน | ถ้ามีรองประธานกรรมการให้รองประธานกรรมการเป็นประธาน ถ้าไม่มีรองประธานกรรมการ หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมเลือกผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 104 ประธานกรรมการเป็นประธานของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้ามีรองประธานกรรมการให้รองประธานกรรมการเป็นประธาน ถ้าไม่มีรองประธานกรรมการ หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมเลือกผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 104 ประธานกรรมการเป็นประธานของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้ามีรองประธานกรรมการให้รองประธานกรรมการเป็นประธาน ถ้าไม่มีรองประธานกรรมการ หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมเลือกผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม",
"section_num": "104"
}
] | ถ้ามีรองประธานกรรมการให้รองประธานกรรมการเป็นประธาน ถ้าไม่มีรองประธานกรรมการ หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมเลือกผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม | [] |
ผู้ถือหุ้นจำนวนเท่าใดจึงจะร้องขอให้รัฐมนตรีตั้งผู้ตรวจการงานของบริษัทจำกัดนั้น | ผู้ถือหุ้นในบริษัทมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1215 เมื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมด ทำเรื่องราวร้องขอ ให้รัฐมนตรีเจ้าหน้าที่ตั้งผู้ตรวจอันทรงความสามารถ จะเป็นคนเดียวหรือหลายคนก็ตาม ไปตรวจการงานของบริษัทจำกัดนั้นและทำรายงานยื่นให้ทราบ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1215\nเมื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมด ทำเรื่องราวร้องขอไซร้ ให้รัฐมนตรี*เจ้าหน้าที่ตั้งผู้ตรวจอันทรงความสามารถ จะเป็นคนเดียวหรือหลายคนก็ตาม ไปตรวจการงานของบริษัทจำกัดนั้นและทำรายงานยื่นให้ทราบ\nก่อนที่จะตั้งผู้ตรวจเช่นนั้น รัฐมนตรี*จะบังคับให้คนทั้งหลายผู้ยื่นเรื่องราววางประกัน เพื่อรับออกเงินค่าใช้สอยในการตรวจนั้นก็ได้",
"section_num": "1215"
}
] | ผู้ถือหุ้นในบริษัทมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมด | [] |
การพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้นำกฎหมายใดมาใช้บังคับ | ให้นำกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับกับการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทโดยอนุโลม ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 203 ให้นำกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับกับการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทตามมาตรา 201 โดยอนุโลม | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 203 ให้นำกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับกับการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทตามมาตรา 201 โดยอนุโลม",
"section_num": "203"
}
] | ให้นำกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับกับการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทโดยอนุโลม | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 201 ในกรณีที่สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์มีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างสมาชิกด้วยกันเอง หรือระหว่างสมาชิกกับลูกค้าของสมาชิก คู่พิพาทอาจยื่นคำร้องต่อตลาดหลักทรัพย์เพื่อขอให้มีการชี้ขาดข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ\nอนุญาโตตุลาการตามวรรคหนึ่ง ประกอบด้วยบุคคลซึ่งคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้งหนึ่งคนเป็นประธาน และบุคคลซึ่งคู่พิพาทแต่งตั้งอีกฝ่ายละหนึ่งคน",
"section_num": "201"
}
] |
ตามข้อความในพินัยกรรม ทายาทมีส่วนแบ่งในกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งอย่างไร | ผู้เป็นทายาทด้วยกันมีส่วนเท่ากันในกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1746 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย หรือข้อความในพินัยกรรมถ้าหากมี ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้เป็นทายาทด้วยกันมีส่วนเท่ากันในกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1746\nภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย หรือข้อความในพินัยกรรมถ้าหากมี ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้เป็นทายาทด้วยกันมีส่วนเท่ากันในกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง",
"section_num": "1746"
}
] | ผู้เป็นทายาทด้วยกันมีส่วนเท่ากันในกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง | [] |
การเข้าชื่อซื้อหุ้นนั้นผูกพันผู้เข้าชื่ออย่างไร | เมื่อบริษัทตั้งขึ้นแล้วผู้เข้าชื่อจะใช้จำนวนเงินค่าหุ้นนั้น ๆ ให้แก่บริษัทตามหนังสือชี้ชวนและข้อบังคับของบริษัท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1106 การที่เข้าชื่อซื้อหุ้นนั้นย่อมผูกพันผู้เข้าชื่อโดยเงื่อนไขว่า ถ้าบริษัทตั้งขึ้นแล้วจะใช้จำนวนเงินค่าหุ้นนั้น ๆ ให้แก่บริษัทตามหนังสือชี้ชวนและข้อบังคับของบริษัท | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1106\nการที่เข้าชื่อซื้อหุ้นนั้นย่อมผูกพันผู้เข้าชื่อโดยเงื่อนไขว่า ถ้าบริษัทตั้งขึ้นแล้วจะใช้จำนวนเงินค่าหุ้นนั้น ๆ ให้แก่บริษัทตามหนังสือชี้ชวนและข้อบังคับของบริษัท",
"section_num": "1106"
}
] | เมื่อบริษัทตั้งขึ้นแล้วผู้เข้าชื่อจะใช้จำนวนเงินค่าหุ้นนั้น ๆ ให้แก่บริษัทตามหนังสือชี้ชวนและข้อบังคับของบริษัท | [] |
ผู้อาศัยต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่ผู้ให้อาศัยเมื่อใด | เมื่อสิทธิอาศัยสิ้นลง ผู้อาศัยต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่ผู้ให้อาศัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1408 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1408\nเมื่อสิทธิอาศัยสิ้นลง ผู้อาศัยต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่ผู้ให้อาศัย",
"section_num": "1408"
}
] | เมื่อสิทธิอาศัยสิ้นลง ผู้อาศัยต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่ผู้ให้อาศัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1408 | [] |
ผู้รับโอนหุ้นกู้หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ที่ระบุชื่อผู้ถือ ต้องดำเนินการอย่างไรหากต้องการลงทะเบียนการโอน | ต้องยื่นคำขอลงทะเบียนการโอนต่อบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียน และส่งมอบใบหลักทรัพย์ที่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับโอนในด้านหลังของใบหลักทรัพย์นั้นแล้ว ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 53 ผู้รับโอนหุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือที่ออกตามมาตรา 33 ผู้ใดประสงค์จะลงทะเบียนการโอน ให้ยื่นคำขอต่อบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียน พร้อมทั้งส่งมอบใบหลักทรัพย์ที่ตนได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับโอนในด้านหลังของใบหลักทรัพย์นั้นแล้ว และให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียนแล้วแต่กรณี ลงทะเบียนการโอนพร้อมทั้งรับรองการโอนไว้ในใบหลักทรัพย์นั้น หรือออกใบหลักทรัพย์ให้ใหม่ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 53 ผู้รับโอนหุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือที่ออกตามมาตรา 33 ผู้ใดประสงค์จะลงทะเบียนการโอน ให้ยื่นคำขอต่อบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียน พร้อมทั้งส่งมอบใบหลักทรัพย์ที่ตนได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับโอนในด้านหลังของใบหลักทรัพย์นั้นแล้ว และให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียนแล้วแต่กรณี ลงทะเบียนการโอนพร้อมทั้งรับรองการโอนไว้ในใบหลักทรัพย์นั้น หรือออกใบหลักทรัพย์ให้ใหม่ ทั้งนี้ ภายในกำหนดระยะเวลาที่สำนักงานประกาศกำหนด เว้นแต่การโอนหลักทรัพย์นั้นจะขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อข้อจำกัดในเรื่องการโอนของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ซึ่งได้จดทะเบียนข้อจำกัดนั้นไว้กับสำนักงานแล้ว\nเมื่อบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียนได้รับคำขอโอนตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้การโอนนั้นใช้ยันกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ได้ แต่จะใช้ยันบุคคลภายนอกได้เมื่อมีการลงทะเบียนการโอนแล้ว",
"section_num": "53"
}
] | ต้องยื่นคำขอลงทะเบียนการโอนต่อบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือนายทะเบียน และส่งมอบใบหลักทรัพย์ที่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับโอนในด้านหลังของใบหลักทรัพย์นั้นแล้ว | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 33 ห้ามมิให้บริษัทเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ ประเภทหุ้น หุ้นกู้ ตั๋วเงิน ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ และหลักทรัพย์อื่นใดที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด เว้นแต่\n(1)เป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ที่เข้าลักษณะตามมาตรา 63\n(2)ได้รับอนุญาตจากสำนักงานและปฏิบัติตามมาตรา 65 หรือ\n(3)เป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ทั้งหมดโดยบริษัทมหาชนจำกัดต่อผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นโดยได้รับชำระราคาเต็มมูลค่าที่เสนอขายจากผู้ถือหุ้น",
"section_num": "33"
}
] |
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมมีอำนาจหน้าที่อย่างไรบ้าง | ดูแลให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามมาตรา 125 โดยเคร่งครัด รับฝากทรัพย์สินของกองทุนรวมโดยแยกไว้ต่างหากจากทรัพย์สินอื่น จัดทำบัญชีแสดงการรับจ่ายทรัพย์สินของกองทุนรวม เป็นต้น ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 127 ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ดูแลให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามมาตรา 125 โดยเคร่งครัด (2) รับฝากทรัพย์สินของกองทุนรวมโดยแยกไว้ต่างหากจากทรัพย์สินอื่น พร้อมทั้งดูแลให้การเบิกจ่ายทรัพย์สินของกองทุนรวมเป็นไปตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการกองทุนรวม (3) จัดทำบัญชีแสดงการรับจ่ายทรัพย์สินของกองทุนรวม (4) จัดทำรายงานเสนอต่อสำนักงาน ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์กระทำการ หรืองดเว้นกระทำการจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองทุนรวม หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 125 (5) ดำเนินการฟ้องร้องบังคับคดีให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน หรือฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากบริษัทหลักทรัพย์นั้น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 127 ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้\n(1) ดูแลให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามมาตรา 125 โดยเคร่งครัด\n(2) รับฝากทรัพย์สินของกองทุนรวมโดยแยกไว้ต่างหากจากทรัพย์สินอื่น พร้อมทั้งดูแลให้การเบิกจ่ายทรัพย์สินของกองทุนรวมเป็นไปตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการกองทุนรวม\n(3) จัดทำบัญชีแสดงการรับจ่ายทรัพย์สินของกองทุนรวม\n(4) จัดทำรายงานเสนอต่อสำนักงาน ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์กระทำการ หรืองดเว้นกระทำการจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองทุนรวม หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 125\n(5) ดำเนินการฟ้องร้องบังคับคดีให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน หรือฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากบริษัทหลักทรัพย์ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งปวง หรือเมื่อได้รับคำสั่งจากสำนักงาน\nค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องบังคับคดีเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมใดให้เรียกร้องจากทรัพย์สินของกองทุนรวมนั้น",
"section_num": "127"
}
] | (1) ดูแลให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามมาตรา 125 โดยเคร่งครัด (2) รับฝากทรัพย์สินของกองทุนรวมโดยแยกไว้ต่างหากจากทรัพย์สินอื่น (3) จัดทำบัญชีแสดงการรับจ่ายทรัพย์สินของกองทุนรวม (4) จัดทำรายงานเสนอต่อสำนักงาน ในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์กระทำการ หรืองดเว้นกระทำการจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองทุนรวม หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 125 (5) ดำเนินการฟ้องร้องบังคับคดีให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน หรือฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากบริษัทหลักทรัพย์. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 125 ในการจัดการกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้\n(1) จัดการให้เป็นไปตามโครงการจัดการกองทุนรวมที่ได้รับอนุมัติ ตลอดจนข้อผูกพันที่ทำไว้กับผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างเคร่งครัด\n(2) จัดให้มีการฝากทรัพย์สินของกองทุนรวมไว้กับผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม\n(3) จัดทำบัญชีแสดงการลงทุนของกองทุนรวมไว้โดยถูกต้องครบถ้วน\n(4) จัดทำรายงานการลงทุนของกองทุนรวมให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมทราบ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานประกาศกำหนด\n(5) จัดให้มีทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานประกาศกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน\n(6) จัดให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ได้จากการนำทรัพย์สินของกองทุนรวมไปลงทุนและนำผลประโยชน์ดังกล่าวฝากไว้กับผู้ดูแลผลประโยชน์",
"section_num": "125"
}
] |
เมื่อผู้ให้หลักประกันไม่ยินยอมส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ผู้รับหลักประกันทำอย่างไรได้บ้าง | ผู้รับหลักประกันอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาบังคับหลักประกัน ตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 46 เมื่อมีเหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ หากผู้ให้หลักประกันหรือผู้ที่ยึดถือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันไม่ยินยอมส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ผู้รับหลักประกันอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาบังคับหลักประกัน โดยให้ระบุในคำร้องด้วยว่าจะบังคับหลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหลุดเป็นสิทธิ หรือโดยจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 46 เมื่อมีเหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ หากผู้ให้หลักประกันหรือผู้ที่ยึดถือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันไม่ยินยอมส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ผู้รับหลักประกันอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาบังคับหลักประกัน โดยให้ระบุในคำร้องด้วยว่าจะบังคับหลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหลุดเป็นสิทธิ หรือโดยจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อนำเงินมาชำระหนี้",
"section_num": "46"
}
] | ผู้รับหลักประกันอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาบังคับหลักประกัน | [] |
ผู้ครองทรัพย์สินของผู้อื่นสามารถยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้ได้หรือไม่ หากมีหนี้ที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น | ผู้ครองทรัพย์สินของผู้อื่นสามารถยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับการชำระหนี้ที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตน แต่ไม่สามารถยึดหน่วงได้หากหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 ผู้ใดเป็นผู้ครองทรัพย์สินของผู้อื่น และมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครองนั้นไซร้ ท่านว่าผู้นั้นจะยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้จนกว่าจะได้ชำระหนี้ก็ได้ แต่ความที่กล่าวนี้ไม่ให้ใช้บังคับ เมื่อหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนด | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241\nผู้ใดเป็นผู้ครองทรัพย์สินของผู้อื่น และมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครองนั้นไซร้ ท่านว่าผู้นั้นจะยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้จนกว่าจะได้ชำระหนี้ก็ได้ แต่ความที่กล่าวนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ เมื่อหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนด\nอนึ่งบทบัญญัติในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าการที่เข้าครอบครองนั้นเริ่มมาแต่ทำการอันใดอันหนึ่งซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย",
"section_num": "241"
}
] | ผู้ครองทรัพย์สินของผู้อื่นสามารถยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับการชำระหนี้ที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตน แต่ไม่สามารถยึดหน่วงได้หากหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระ. | [] |
ถ้าเจ้าหนี้มิได้มาทวงถามให้ใช้หนี้ ผู้ชำระบัญชีต้องทำอย่างไร | ผู้ชำระบัญชีต้องวางเงินเท่าจำนวนหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1264 ถ้าเจ้าหนี้คนใดมิได้มาทวงถามให้ใช้หนี้ ผู้ชำระบัญชีต้องวางเงินเท่าจำนวนหนี้นั้น ตามบทแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยวางทรัพย์สินแทนชำระหนี้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1264\nถ้าเจ้าหนี้คนใดมิได้มาทวงถามให้ใช้หนี้ ผู้ชำระบัญชีต้องวางเงินเท่าจำนวนหนี้นั้น ตามบทแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยวางทรัพย์สินแทนชำระหนี้",
"section_num": "1264"
}
] | ผู้ชำระบัญชีต้องวางเงินเท่าจำนวนหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1264 | [] |
สภาวิชาชีพบัญชีต้องออกใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีเมื่อใด | ให้สภาวิชาชีพบัญชีออกใบอนุญาตโดยเร็ว ซึ่งต้องไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอให้ออกใบอนุญาตนั้น คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 42 สภาวิชาชีพบัญชีต้องออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ยื่นคำขอที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการเป็นผู้สอบบัญชีโดยเร็ว แต่ต้องไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอนั้น หากสภาวิชาชีพบัญชีไม่ออกใบอนุญาตให้ จะต้องแสดงเหตุผลในการไม่ออกใบอนุญาตไว้โดยชัดแจ้งด้วย ซึ่งผู้ยื่นคำขอมีสิทธิอุทธรณ์การไม่ออกใบอนุญาตต่อคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชีได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชีกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 42 เมื่อสภาวิชาชีพบัญชีได้รับคำขอรับใบอนุญาตแล้วเห็นว่าผู้ยื่นคำขอมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 39 ให้สภาวิชาชีพบัญชีพิจารณาออกใบอนุญาตให้ผู้ยื่นคำขอโดยเร็ว ซึ่งต้องไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ\nในกรณีที่สภาวิชาชีพบัญชีไม่ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ยื่นคำขอ สภาวิชาชีพบัญชีต้องแสดงเหตุผลของการไม่ออกใบอนุญาตไว้โดยชัดแจ้ง ในกรณีเช่นนี้ผู้ยื่นคำขอมีสิทธิอุทธรณ์การไม่ออกใบอนุญาตต่อคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชีกำหนด",
"section_num": "42"
}
] | ให้สภาวิชาชีพบัญชีออกใบอนุญาตโดยเร็ว ซึ่งต้องไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอให้ออกใบอนุญาตนั้น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 39 ผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้\n(1) เป็นสมาชิกสามัญหรือสมาชิกวิสามัญตามมาตรา 14 วรรคสอง แต่ในกรณีเป็นสมาชิกวิสามัญซึ่งเป็นคนต่างด้าวต้องเป็นผู้มีความรู้ภาษาไทยดีพอที่จะสามารถสอบบัญชีและจัดทำรายงานเป็นภาษาไทยได้ และมีภูมิลำเนาในประเทศไทย และเมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วต้องได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวด้วย จึงจะปฏิบัติงานเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้\n(2) ผ่านการทดสอบหรือฝึกอบรมหรือฝึกงานหรือเคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับวิชาชีพบัญชีมาแล้วตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี\n(3) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เนื่องจากกระทำความผิดตามมาตรา 269 มาตรา 323 หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เว้นแต่ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี กฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี หรือกฎหมายว่าด้วยการกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ เฉพาะที่เกี่ยวกับการรับรองงบการเงินหรือบัญชีอื่นใดอันไม่ถูกต้องหรือทำรายงานเท็จ หรือความผิดตามหมวด 5 และหมวด 6 แห่งพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ต้องคำพิพากษาหรือพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี\n(4) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย\n(5) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี",
"section_num": "39"
}
] |
ถ้าประชุมตั้งบริษัทเสร็จแล้ว จะต้องไปจดทะเบียนภายในเวลาเท่าใด | ต้องจดทะเบียนบริษัทภายใน 3 เดือน นับแต่ประชุมตั้งบริษัท คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1112 การจัดตั้งบริษัทต้องจดทะเบียนภายใน 3 เดือน นับแต่มีการประชุมตั้งบริษัท หากไม่ได้จดทะเบียนภายในเวลาดังกล่าว จะถือว่าบริษัทนั้นไม่ได้จัดตั้งขึ้น และต้องคืนเงินที่ได้รับไว้จากผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทั้งหมดด้วยภายใน 3 เดือน นับแต่ประชุมตั้งบริษัท ซึ่งถ้าไม่ได้มีการคืนเงินภายในเวลาที่กำหนดไว้ กรรมการบริษัทต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่คิดตั้งแต่สิ้นกำหนดเวลา 3 เดือน แต่ถ้ากรรมการบริษัทพิสูจน์ได้ว่า การที่เงินขาดหรือที่ใช้เงินคืนช้าไม่ใช่เพราะความผิดของตน กรรมการคนนั้นก็ไม่ต้องรับผิดในการใช้ต้นเงินหรือดอกเบี้ยคืนแก่ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1112\nถ้าการจดทะเบียนมิได้ทำภายในสามเดือนนับแต่ประชุมตั้งบริษัทไซร้ ท่านว่าบริษัทนั้นเป็นอันไม่ได้ตั้งขึ้น และบรรดาเงินที่ได้รับไว้จากผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นนั้นต้องใช้คืนเต็มจำนวนมิให้ลดเลย\nถ้ามีจำนวนเงินเช่นว่านั้นค้างอยู่มิได้คืนในสามเดือนภายหลังการประชุมตั้งบริษัทไซร้ ท่านว่ากรรมการของบริษัทต้องรับผิดร่วมกันที่จะใช้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดตั้งแต่เวลาสิ้นกำหนดสามเดือนนั้น\nแต่ถ้ากรรมการคนใดพิสูจน์ได้ว่า การที่เงินขาดหรือที่ใช้คืนช้าไปมิได้เป็นเพราะความผิดของตนไซร้ กรรมการคนนั้นก็ไม่ต้องรับผิดในการใช้ต้นเงินหรือดอกเบี้ย",
"section_num": "1112"
}
] | ต้องจดทะเบียนบริษัทภายใน 3 เดือน นับแต่ประชุมตั้งบริษัท | [] |
การเรียกประชุมจัดตั้งบริษัทมหาชน ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทนั้นต้องแจ้งนายทะเบียนด้วยหรือไม่อย่างไร | ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องแจ้งนายทะเบียนด้วย โดยส่งสำเนาหนังสือนัดประชุมและเอกสารต่าง ๆ ไปยังนายทะเบียนด้วยไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันประชุม คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 28 การเรียกประชุมจัดตั้งบริษัทมหาชน ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทนั้นต้องส่งหนังสือนัดประชุมให้แก่ผู้จองหุ้นที่ได้รับจัดสรรหุ้นแล้วไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนวันประชุม พร้อมกับระเบียบวาระการประชุม, เอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้ที่ประชุมจัดตั้งบริษัทพิจารณาให้สัตยาบันหรืออนุมัติโดยมีผู้เริ่มจัดตั้งบริษัท 2 คนรับรองว่าถูกต้อง และร่างข้อบังคับของบริษัท นอกจากนี้ ให้ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทจัดทำบัญชีผู้จองหุ้น โดยระบุชื่อ สัญชาติ ที่อยู่ และจำนวนหุ้น เพื่อให้ผู้จองหุ้นตรวจดูในวันประชุมจัดตั้งบริษัท และผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องส่งสำเนาหนังสือนัดประชุมพร้อมกับเอกสารดังกล่าวนั้นไปยังนายทะเบียนไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันประชุมด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 28 ในการเรียกประชุมจัดตั้งบริษัท ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้อง\n(1) ส่งหนังสือนัดประชุมไปยังผู้จองหุ้นซึ่งได้รับการจัดสรรหุ้นให้แล้วไม่น้อยกว่าสิบสี่วันก่อนวันประชุม พร้อมด้วยเอกสารดังต่อไปนี้\n(ก) ระเบียบวาระการประชุม\n(ข) เอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้ที่ประชุมจัดตั้งบริษัทพิจารณาให้สัตยาบันหรืออนุมัติโดยมีผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทสองคนรับรองว่าถูกต้อง\n(ค) ร่างข้อบังคับของบริษัท\n(2) จัดทำบัญชีผู้จองหุ้น โดยระบุชื่อ สัญชาติ ที่อยู่ และจำนวนหุ้นที่ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทรับจอง เพื่อให้ผู้จองหุ้นตรวจดูได้ในวันประชุมจัดตั้งบริษัท ณ สถานที่ที่ใช้สำหรับประชุมจัดตั้งบริษัท\nเมื่อส่งหนังสือนัดประชุมพร้อมด้วยเอกสารไปยังผู้จองหุ้นแล้ว ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องส่งสำเนาหนังสือนัดประชุมพร้อมด้วยเอกสารดังกล่าวไปยังนายทะเบียนไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันประชุม",
"section_num": "28"
}
] | ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องแจ้งนายทะเบียนด้วย โดยส่งสำเนาหนังสือนัดประชุมและเอกสารต่าง ๆ ไปยังนายทะเบียนด้วยไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันประชุม | [] |
ถ้ามีการแลกเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกันและกัน จะต้องทำอย่างไรบ้าง | ทำเป็นหนังสือโดยมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกับเรื่องการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีการกำหนดให้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ เนื่องจากในสัญญาแลกเปลี่ยนให้นำบทบัญญัติในเรื่องซื้อขายมาใช้บังคับโดยอนุโลม คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 519 ในสัญญาแลกเปลี่ยนให้นำบทบัญญัติในเรื่องซื้อขายมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งให้ถือว่าคู่สัญญาแลกเปลี่ยนต่างเป็นผู้ขายและผู้ซื้อในเวลาเดียวกัน โดยจะเป็นผู้ขายในส่วนทรัพย์สินที่ตนได้ส่งมอบ และเป็นผู้ซื้อในส่วนทรัพย์สินที่ตนได้รับในการแลกเปลี่ยนนั้น สิทธิและหน้าที่ระหว่างกันจึงใช้บังคับตามสัญญาซื้อขาย รวมถึงทรัพย์สินบางชนิด เมื่อทำสัญญาซื้อขายแล้วต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด ในสัญญาแลกเปลี่ยนก็ต้องทำตามแบบเช่นเดียวกัน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 519\nบทบัญญัติทั้งหลายในลักษณะซื้อขายนั้น ท่านให้ใช้ถึงการแลกเปลี่ยนด้วย โดยให้ถือว่าผู้เป็นคู่สัญญาแลกเปลี่ยนเป็นผู้ขายในส่วนทรัพย์สินซึ่งตนได้ส่งมอบ และเป็นผู้ซื้อในส่วนทรัพย์สินซึ่งตนได้รับในการแลกเปลี่ยนนั้น",
"section_num": "519"
}
] | ทำเป็นหนังสือโดยมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกับเรื่องการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีการกำหนดให้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ | [] |
หน่วยงานใดมีอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการในการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนหรือออกหุ้นกู้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น | คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 337 ให้บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชน หรือออกหุ้นกู้นั้นดำเนินการดังกล่าวตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนด ซึ่งหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อให้สามารถเสนอขายหุ้นใหม่หรือออกหุ้นกู้นั้นได้ ให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจในการแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวนั้น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 337 บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชน หรือออกหุ้นกู้ตามมาตรา 19 ตรี แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชนหรือออกหุ้นกู้ตามมาตรา 336 แห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้บริษัทดังกล่าวดำเนินการเสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชนหรือออกหุ้นกู้ต่อไปได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดตามมาตรา 19 ตรี แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวเพื่อให้การเสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชนหรือออกหุ้นกู้ลุล่วงไปได้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์อาจกำหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการใด ๆ ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ก็ได้",
"section_num": "337"
}
] | คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 336 ในกรณีที่บริษัทใดดำเนินการยื่นขออนุญาตเสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชนหรือออกหุ้นกู้ ต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ตามมาตรา 19 ตรี แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ฉบับ 2) พ.ศ. 2527 และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ยังมิได้อนุญาตให้บริษัทดังกล่าวเสนอขายหุ้นใหม่ต่อประชาชนหรือออกหุ้นกู้ได้ก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ ให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการพิจารณาการขออนุญาตดังกล่าวต่อไปได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา 19 ตรี แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวเพื่อให้การพิจารณาอนุญาตลุล่วงไปได้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์อาจกำหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการใด ๆ ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ก็ได้",
"section_num": "336"
}
] |
เจ้าของที่ดินที่อยู่สูงกว่านั้น สามารถกันน้ำที่ไหลจากที่ตนเอาไว้ใช้ได้หรือไม่อย่างไร | สามารถกันน้ำเอาไว้ใช้ได้แต่เฉพาะเท่าที่ตนจำเป็นเท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิกันน้ำที่ไหลจากที่ตนนั้นไว้ใช้ทั้งหมดได้ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 เจ้าของที่ดินซึ่งอยู่สูงกว่านั้นสามารถกันน้ำเอาไว้ได้เพียงเท่าที่จำเป็นแก่ที่ดินของตนได้เท่านั้น และเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ต่ำกว่านั้นจะต้องยอมรับน้ำที่ไหลลงมาตามธรรมดาจากที่ดินที่สูงกว่ามาในที่ดินของตนด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339\nเจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตน\nน้ำไหลตามธรรมดามายังที่ดินต่ำ และจำเป็นแก่ที่ดินนั้นไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่สูงกว่าจะกันเอาไว้ได้เพียงที่จำเป็นแก่ที่ดินของตน",
"section_num": "1339"
}
] | สามารถกันน้ำเอาไว้ใช้ได้แต่เฉพาะเท่าที่ตนจำเป็นเท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิกันน้ำที่ไหลจากที่ตนนั้นไว้ใช้ทั้งหมดได้ | [] |
ถ้าลงวันที่ที่ขีดฆ่าอากรแสตมป์ไม่ตรงตามความจริงเนื่องจากเข้าใจผิด จะมีความผิดหรือไม่อย่างไร | บุคคลนั้นจะไม่มีความผิด เนื่องจากการที่บุคคลนั้นขีดฆ่าอากรสแตมป์ซึ่งสาเหตุมาจากความเข้าใจผิดนั้น ไม่ได้นับว่าเป็นการกระทำโดยจงใจหรือมีเจตนา จึงขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่จงใจลงวันที่ที่ขีดฆ่าแสตมป์ให้เป็นเท็จตามประมวลรัษฎากร มาตรา 126 คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 126 บุคคลที่จงใจลงวันเดือนปีที่ขีดฆ่าแสตมป์เป็นเท็จซึ่งไม่ตรงกับความจริง มีความผิดต้องรับโทษปรับไม่เกิน 500 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งจำคุกและจ่ายค่าปรับด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 126 ผู้ใดจงใจลงวันเดือนปีที่ขีดฆ่าแสตมป์เป็นเท็จ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ",
"section_num": "126"
}
] | บุคคลนั้นจะไม่มีความผิด เนื่องจากการที่บุคคลนั้นขีดฆ่าอากรสแตมป์ซึ่งสาเหตุมาจากความเข้าใจผิดนั้น ไม่ได้นับว่าเป็นการกระทำโดยจงใจหรือมีเจตนา จึงขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่จงใจลงวันที่ที่ขีดฆ่าแสตมป์ให้เป็นเท็จตามประมวลรัษฎากร มาตรา 126 | [] |
เจ้าหนี้สามารถทำพินัยกรรมปลดหนี้ให้กับลูกหนี้ของตนได้หรือไม่อย่างไร | ได้ ซึ่งพินัยกรรมที่เจ้าหนี้ได้ทำการปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้นั้น จะมีผลเท่ากับจำนวนหนี้ที่ค้างชำระอยู่ในเวลาที่ผู้ทำพินัยกรรมตายเท่านั้น เว้นแต่ผู้ทำพินัยกรรมจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1682 พินัยกรรมที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการปลดหนี้หรือโอนสิทธิเรียกร้อง มีผลเพียงจำนวนหนี้ที่ยังค้างชำระอยู่ในเวลาที่ผู้ทำพินัยกรรมตาย เว้นแต่ผู้ทำพินัยกรรมจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ซึ่งถ้ามีเอกสารที่เป็นหลักฐานในการปลดหนี้ให้หรือการโอนสิทธิเรียกร้องก็ให้ส่งมอบแก่ผู้รับพินัยกรรมด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1682\nเมื่อพินัยกรรมทำขึ้นเป็นการปลดหนี้หรือโอนสิทธิเรียกร้อง พินัยกรรมนั้นมีผลเพียงจำนวนซึ่งคงค้างชำระอยู่ในเวลาที่ผู้ทำพินัยกรรมตาย เว้นแต่ผู้ทำพินัยกรรมจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น\nถ้ามีเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ที่ปลดให้หรือสิทธิเรียกร้องที่โอนไปนั้น ก็ให้ส่งมอบแก่ผู้รับพินัยกรรมและให้ใช้มาตรา 303 ถึง 313, 340 แห่งประมวลกฎหมายนี้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้าผู้ทำพินัยกรรมจะต้องกระทำการหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรานั้น ๆ แล้ว บุคคลผู้ต้องจัดการตามพินัยกรรมหรือผู้รับพินัยกรรมจะกระทำการหรือดำเนินการนั้น ๆ แทนผู้ทำพินัยกรรมก็ได้",
"section_num": "1682"
}
] | ได้ ซึ่งพินัยกรรมที่เจ้าหนี้ได้ทำการปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้นั้น จะมีผลเท่ากับจำนวนหนี้ที่ค้างชำระอยู่ในเวลาที่ผู้ทำพินัยกรรมตายเท่านั้น เว้นแต่ผู้ทำพินัยกรรมจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น. | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 303\nสิทธิเรียกร้องนั้นท่านว่าจะพึงโอนกันได้ เว้นไว้แต่สภาพแห่งสิทธินั้นเองจะไม่เปิดช่องให้โอนกันได้\nความที่กล่าวมานี้ย่อมไม่ใช้บังคับ หากคู่กรณีได้แสดงเจตนาเป็นอย่างอื่น การแสดงเจตนาเช่นว่านี้ ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต",
"section_num": "303"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 304\nสิทธิเรียกร้องเช่นใด ตามกฎหมายศาลจะสั่งยึดไม่ได้ สิทธิเรียกร้องเช่นนั้น ท่านว่าจะโอนกันหาได้ไม่",
"section_num": "304"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 305\nเมื่อโอนสิทธิเรียกร้องไป สิทธิจำนอง จำนำ หรือหลักประกันทางธุรกิจที่มีอยู่เกี่ยวพันกับสิทธิเรียกร้องนั้นก็ดี สิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกันที่ให้ไว้เพื่อสิทธิเรียกร้องนั้นก็ดี ย่อมตกไปได้แก่ผู้รับโอนด้วย\nอนึ่งผู้รับโอนจะใช้บุริมสิทธิใด ๆ ที่ตนมีอยู่เกี่ยวด้วยสิทธิเรียกร้องในกรณีบังคับยึดทรัพย์หรือล้มละลายนั้นก็ได้",
"section_num": "305"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306\nการโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ\nถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน หรือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าว หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้ ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้",
"section_num": "306"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 307\nถ้าพิพาทอ้างสิทธิในการโอนต่างราย โอนรายใดได้บอกกล่าวหรือตกลงกันก่อน โอนรายนั้นมีสิทธิดีกว่าโอนรายอื่น ๆ",
"section_num": "307"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 308\nถ้าลูกหนี้ได้ให้ความยินยอมดังกล่าวมาในมาตรา 306 โดยมิได้อิดเอื้อน ท่านว่าจะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนนั้นหาได้ไม่ แต่ถ้าเพื่อจะระงับหนี้นั้นลูกหนี้ได้ใช้เงินให้แก่ผู้โอนไปไซร้ ลูกหนี้จะเรียกคืนเงินนั้นก็ได้ หรือถ้าเพื่อการเช่นกล่าวมานั้น ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อผู้โอน จะถือเสมือนหนึ่งว่าหนี้นั้นมิได้ก่อขึ้นเลยก็ได้\nถ้าลูกหนี้เป็นแต่ได้รับคำบอกกล่าวการโอน ท่านว่าลูกหนี้มีข้อต่อสู้ผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นฉันใด ก็จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แก่ผู้รับโอนได้ฉันนั้น ถ้าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องจากผู้โอน แต่สิทธินั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวไซร้ ท่านว่าจะเอาสิทธิเรียกร้องนั้นมาหักกลบลบกันก็ได้ หากว่าสิทธินั้นจะได้ถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องอันได้โอนไปนั้น",
"section_num": "308"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 309\nการโอนหนี้อันพึงต้องชำระตามเขาสั่งนั้น ท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกคนอื่นได้แต่เฉพาะเมื่อการโอนนั้นได้สลักหลังไว้ในตราสาร และตัวตราสารนั้นได้ส่งมอบให้แก่ผู้รับโอนไปด้วย",
"section_num": "309"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 310\nในมูลหนี้อันพึงต้องชำระตามเขาสั่งนั้น ลูกหนี้มีสิทธิที่จะสอบสวนถึงตัวผู้ทรงตราสาร หรือสอบสวนความถูกต้องแท้จริงแห่งลายมือชื่อหรือดวงตราของผู้ทรงได้ แต่ก็หามีความผูกพันที่จะต้องทำถึงเพียงนั้นไม่ แต่ถ้าลูกหนี้ทำการโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไซร้ การชำระหนี้นั้นก็ไม่เป็นอันสมบูรณ์",
"section_num": "310"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 311\nบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนนี้ ท่านให้ใช้บังคับตลอดถึงกรณีที่มีกำหนดตัวเจ้าหนี้ระบุไว้ในตราสาร ซึ่งมีข้อความจดไว้ด้วยว่าให้ชำระหนี้แก่ผู้ทรงตราสาร",
"section_num": "311"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 312\nในมูลหนี้อันพึงต้องชำระตามเขาสั่งนั้น ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ซึ่งมีต่อเจ้าหนี้เดิมขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนโดยสุจริตนั้นหาได้ไม่ เว้นแต่ที่ปรากฏในตัวตราสารนั้นเอง หรือที่มีขึ้นเป็นธรรมดาสืบจากลักษณะแห่งตราสารนั้น",
"section_num": "312"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 313\nบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนนี้ ท่านให้ใช้บังคับตลอดถึงหนี้อันพึงต้องชำระแก่ผู้ถือนั้นด้วย แล้วแต่กรณี",
"section_num": "313"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340\nถ้าเจ้าหนี้แสดงเจตนาต่อลูกหนี้ว่าจะปลดหนี้ให้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป\nถ้าหนี้มีหนังสือเป็นหลักฐาน การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย หรือต้องเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย",
"section_num": "340"
}
] |
การเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่โดยผลตอบแทนขึ้นอยู่กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บริษัทออกทรัพย์นั้น บุคคลอื่นนั้นต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบอะไรบ้าง | บุคคลอื่นนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ในการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลก่อนและภายหลังที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ด้วยก็ได้ คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 33/2 การเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่โดยผลตอบแทนของหลักทรัพย์นั้นขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบุคคลอื่นที่มิใช่บริษัทที่ออกหลักทรัพย์โดยบุคคลอื่นนั้นยินยอม คณะกรรมการ ก.ล.ต. อาจกำหนดให้บุคคลอื่นนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ในการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลก่อนและภายหลังที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ด้วยก็ได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 33/2 ในกรณีที่เป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ตามประเภทที่คณะกรรมการก.ล.ต. ประกาศกำหนดซึ่งผลตอบแทนของหลักทรัพย์นั้นขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบุคคลอื่นที่มิใช่บริษัทที่ออกหลักทรัพย์โดยบุคคลอื่นนั้นยินยอมคณะกรรมการ ก.ล.ต. อาจกำหนดให้บุคคลอื่นนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ในการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนซึ่งรวมถึงการเปิดเผยข้อมูลก่อนและภายหลังที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ด้วยก็ได้",
"section_num": "33/2"
}
] | บุคคลอื่นนั้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ในการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลก่อนและภายหลังที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ด้วยก็ได้. | [] |
หากคู่สมรสของเจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ และมีทายาทในชั้นลำดับญาติอยู่ด้วย จะต้องแบ่งมรดกอย่างไร | ต้องแบ่งมรดกให้แก่คู่สมรสของเจ้ามรดกนั้นก่อนตามส่วนที่กฎหมายกำหนด และส่วนที่เหลือจึงจะนำมาแบ่งให้ทายาทในลำดับญาติต่อไป คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1632 การแบ่งมรดกของทายาทโดยธรรมในลำดับญาติ หากคู่สมรสของเจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ต้องแบ่งมรดกให้แก่คู่สมรสของเจ้ามรดกนั้นก่อน และค่อยแบ่งส่วนมรดกที่เหลือนั้นให้แก่ทายาทโดยธรรมในลำดับญาติต่อไปตามที่กฎหมายกำหนด | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1632\nภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1629 วรรคสุดท้าย การแบ่งส่วนมรดกของทายาทโดยธรรมในลำดับญาติให้เป็นไปตามบทบัญญัติในส่วนที่ 1 แห่งหมวดนี้",
"section_num": "1632"
}
] | ต้องแบ่งมรดกให้แก่คู่สมรสของเจ้ามรดกนั้นก่อนตามส่วนที่กฎหมายกำหนด และส่วนที่เหลือจึงจะนำมาแบ่งให้ทายาทในลำดับญาติต่อไป | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629\nทายาทโดยธรรมมีหกลำดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรค 2 แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ\n(1) ผู้สืบสันดาน\n(2) บิดามารดา\n(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน\n(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน\n(5) ปู่ ย่า ตา ยาย\n(6) ลุง ป้า น้า อา\nคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา 1635",
"section_num": "1629"
}
] |
การวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้ต้องวางทรัพย์ที่ใด และผู้วางทรัพย์จะต้องแจ้งเจ้าหนี้ด้วยหรือไม่อย่างไร | ให้วางทรัพย์ที่สำนักงานวางทรัพย์ประจำตำบลที่จะชำระหนี้ และเมื่อวางทรัพย์แล้ว ผู้วางทรัพย์ต้องบอกกล่าวให้เจ้าหนี้ทราบทันทีด้วย คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 333 การวางทรัพย์ ต้องวางที่สำนักงานวางทรัพย์ประจำตำบลที่ต้องชำระหนี้ โดยถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดหรือข้อบังคับเฉพาะในเรื่องสำนักงานวางทรัพย์ ผู้ชำระหนี้สามารถร้องขอให้ศาลกำหนดสำนักงานวางทรัพย์ และตั้งแต่งผู้พิทักษ์ทรัพย์ที่วางนั้นขึ้นได้ เมื่อวางทรัพย์แล้ว ผู้วางมีหน้าที่ต้องบอกกล่าวให้เจ้าหนี้ทราบในทันทีด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 333\nการวางทรัพย์นั้นต้องวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์ประจำตำบลที่จะต้องชำระหนี้\nถ้าไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย หรือกฎข้อบังคับเฉพาะการในเรื่องสำนักงานวางทรัพย์ เมื่อบุคคลผู้ชำระหนี้ร้องขอ ศาลจะต้องกำหนดสำนักงานวางทรัพย์ และตั้งแต่งผู้พิทักษ์ทรัพย์ที่วางนั้นขึ้น\nผู้วางต้องบอกกล่าวให้เจ้าหนี้ทราบการที่ได้วางทรัพย์นั้นโดยพลัน",
"section_num": "333"
}
] | ให้วางทรัพย์ที่สำนักงานวางทรัพย์ประจำตำบลที่จะชำระหนี้ และเมื่อวางทรัพย์แล้ว ผู้วางทรัพย์ต้องบอกกล่าวให้เจ้าหนี้ทราบทันทีด้วย | [] |
นายทะเบียนพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ มีอำนาจอย่างไรบ้าง | นายทะเบียนพาณิชย์มีอำนาจออกคำสั่งเรียกผู้ประกอบพาณิชยกิจมาสอบสวนข้อความที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนได้ และมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบในสำนักงานของผู้ประกอบพาณิชยกิจด้วย คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499 มาตรา 17 นายทะเบียนพาณิชย์มีอำนาจออกคำสั่งเรียกผู้ประกอบพาณิชยกิจมาสอบสวนข้อความที่เกี่ยวกับการจดทะเบียน และมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบในสำนักงานของผู้ประกอบพาณิชยกิจในระหว่างเวลาทำงาน โดยผู้ประกอบพาณิชยกิจต้องอำนวยความสะดวกให้แก่นายทะเบียนพาณิชย์และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามสมควรด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499",
"section_content": "พระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499 มาตรา 17 ให้นายทะเบียนพาณิชย์มีอำนาจออกคำสั่งเรียกผู้ประกอบพาณิชยกิจมาสอบสวนข้อความอันเกี่ยวกับการจดทะเบียน และในระหว่างเวลาทำงานให้นายทะเบียนพาณิชย์ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปทำการตรวจสอบในสำนักงานของผู้ประกอบพาณิชยกิจ เพื่อให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้ประกอบพาณิชยกิจต้องอำนวยความสะดวกแก่นายทะเบียนพาณิชย์และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามสมควร",
"section_num": "17"
}
] | นายทะเบียนพาณิชย์มีอำนาจออกคำสั่งเรียกผู้ประกอบพาณิชยกิจมาสอบสวนข้อความที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนได้ และมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบในสำนักงานของผู้ประกอบพาณิชยกิจด้วย. | [] |
ถ้าคู่สัญญาหลักประกันทางธุรกิจให้ข้อมูลเท็จในการดำเนินการเกี่ยวกับทางทะเบียน มีความผิดต้องรับโทษอย่างไรบ้าง | ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 82 ผู้ให้หลักประกันหรือผู้รับหลักประกันซึ่งเป็นคู่สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ แสดงข้อความเท็จหรือปกปิดความจริงในการดำเนินการเกี่ยวกับทางทะเบียน ไม่ว่าจะเป็นการขอจดทะเบียน หรือการขอแก้ไขรายการจดทะเบียน หรือการขอยกเลิกการจดทะเบียน มีความผิดต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 82 ผู้ให้หลักประกันหรือผู้รับหลักประกันผู้ใดแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงในการดำเนินการทางทะเบียนตามมาตรา 16 หรือการขอจดทะเบียนตามมาตรา 17 หรือการขอแก้ไขรายการจดทะเบียนตามมาตรา 20 หรือการขอยกเลิกการจดทะเบียนตามมาตรา 21 หรือการดำเนินการตามมาตรา 51 หรือการแจ้งเหตุตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "82"
}
] | ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 16 ให้เจ้าพนักงานทะเบียนรับจดทะเบียน แก้ไขรายการจดทะเบียน หรือยกเลิกการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจตามข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากผู้มีหน้าที่ดำเนินการทางทะเบียนตามหมวดนี้ โดยผู้มีหน้าที่ดำเนินการทางทะเบียนเป็นผู้รับผิดชอบความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูลที่ตนเป็นผู้แจ้งนั้น\nในกรณีข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากผู้มีหน้าที่ดำเนินการทางทะเบียนมีรายการไม่ครบถ้วนตามมาตรา 18 เจ้าพนักงานทะเบียนต้องไม่รับจดทะเบียน แก้ไขรายการจดทะเบียน หรือยกเลิกการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ",
"section_num": "16"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 17 ให้ผู้รับหลักประกันโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ให้หลักประกันเป็นผู้ดำเนินการขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานทะเบียน\nเมื่อได้รับจดทะเบียนตามมาตรา 16 วรรคหนึ่งแล้ว ให้ถือว่าผู้รับหลักประกันเป็นเจ้าหนี้มีประกันตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย\nในกรณีที่นำกิจการมาเป็นหลักประกัน ผู้รับหลักประกันต้องยื่นหนังสือของผู้รับใบอนุญาตซึ่งยินยอมเป็นผู้บังคับหลักประกันไปพร้อมกับคำขอจดทะเบียน\nหากผู้ให้หลักประกันต้องได้รับความยินยอมจากผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการก่อนจึงจะโอนสิทธิดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้ ผู้รับหลักประกันต้องยื่นหนังสือของผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิที่ยินยอมให้ผู้ให้หลักประกันโอนสิทธิดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นได้ต่อเจ้าพนักงานทะเบียนไปพร้อมกับคำขอจดทะเบียนด้วย",
"section_num": "17"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 20 คู่สัญญาอาจตกลงแก้ไขรายการจดทะเบียนเป็นประการอื่นก็ได้ ในการนี้ ให้ผู้รับหลักประกันโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ให้หลักประกันเป็นผู้ดำเนินการขอแก้ไขรายการจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือ\nหากรายละเอียดของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเปลี่ยนแปลงไปจากที่จดทะเบียนตามที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ ผู้ให้หลักประกันต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้รับหลักประกันทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าวถ้าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เป็นเหตุบังคับหลักประกัน ให้ถือว่าหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นหนังสือให้ความยินยอมของผู้ให้หลักประกัน และให้ผู้รับหลักประกันเป็นผู้ดำเนินการขอแก้ไขรายการจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง\nในกรณีที่มีการนำทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันมารวมเข้ากับทรัพย์สินของบุคคลอื่นจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ ให้ระบุชื่อและที่อยู่ของบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินอื่นนั้น รวมทั้งประเภท ปริมาณ และมูลค่าของทรัพย์สินที่นำมารวมเข้ากับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันในเวลาที่ทรัพย์สินรวมเข้ากันไว้ในหนังสือตามวรรคสองด้วย\nผู้มีหน้าที่ดำเนินการขอแก้ไขรายการจดทะเบียนตามมาตรานี้ซึ่งมิได้ดำเนินการขอแก้ไขรายการจดทะเบียนจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตหาได้ไม่\nให้นำบทบัญญัติมาตรา 19 มาใช้บังคับแก่การแก้ไขรายการจดทะเบียนตามมาตรานี้โดยอนุโลม",
"section_num": "20"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 เมื่อหนี้ที่ประกันระงับสิ้นไปด้วยเหตุอื่นใดอันมิใช่เหตุอายุความหรือเมื่อคู่สัญญาตกลงกันเป็นหนังสือให้ยกเลิกสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ หรือเมื่อมีการไถ่ถอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้ผู้ให้หลักประกันโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้รับหลักประกันเป็นผู้ดำเนินการขอยกเลิกการจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือ\nเมื่อมีการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันในการบังคับหลักประกันหรือเมื่อทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับหลักประกัน ให้ผู้รับหลักประกันเป็นผู้ดำเนินการขอยกเลิกการจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันจำหน่ายทรัพย์สินหรือวันที่ทรัพย์สินหลุดเป็นสิทธิ แล้วแต่กรณี",
"section_num": "21"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 51 ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นทรัพย์สินมีทะเบียน เมื่อผู้รับหลักประกันมีหนังสือแจ้งให้ทราบถึงการจำหน่ายหลักประกันตามมาตรา 39 วรรคสาม มาตรา 40 หรือมาตรา 44 หรือเมื่อผู้รับหลักประกันมีหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงและเอกสารหรือหลักฐานเกี่ยวกับการบังคับหลักประกันหลุดเป็นสิทธิตามมาตรา 44 หรือเมื่อผู้รับหลักประกันแสดงคำพิพากษาบังคับหลักประกันตามมาตรา 48 ให้นายทะเบียนเปลี่ยนแปลงทะเบียนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยถือว่าหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับหลักประกันหรือคำพิพากษาบังคับหลักประกันเป็นเสมือนการแสดงเจตนาของผู้ให้หลักประกัน",
"section_num": "51"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 72 ภายในเจ็ดวันเมื่อได้รับคำวินิจฉัยบังคับหลักประกัน ผู้ให้หลักประกันต้องส่งมอบกิจการที่เป็นหลักประกัน ดวงตรา สมุดบัญชี และเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สิน หนี้สินตลอดจนสิทธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการที่เป็นหลักประกันให้แก่ผู้บังคับหลักประกัน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้เพราะเหตุสุดวิสัย ในกรณีดังกล่าวผู้ให้หลักประกันต้องแจ้งเหตุนั้นให้ผู้บังคับหลักประกันทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ทราบเหตุดังกล่าว และต้องดำเนินการดังกล่าวภายในระยะเวลาที่ผู้บังคับหลักประกันกำหนด\nหากผู้ให้หลักประกันไม่ดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ผู้บังคับหลักประกันอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อยึดหรืออายัดกิจการที่เป็นหลักประกันและส่งมอบให้แก่ผู้บังคับหลักประกัน เมื่อศาลมีคำสั่งดังกล่าวให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดหรืออายัดกิจการที่เป็นหลักประกันเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้บังคับหลักประกันตามคำสั่งศาล เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้บังคับหลักประกันในการจัดการกิจการที่เป็นหลักประกันของผู้ให้หลักประกันเป็นการชั่วคราวในระหว่างที่ยังมิได้ส่งมอบกิจการนั้นให้แก่ผู้บังคับหลักประกัน",
"section_num": "72"
}
] |
ของหมั้นจะตกเป็นของหญิงคู่หมั้นเมื่อใด | เมื่อการหมั้นนั้นสมบูรณ์แล้ว โดยฝ่ายชายได้มีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้แก่หญิงคู่หมั้น เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้มีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้แก่หญิงคู่หมั้น เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นในอนาคต โดยเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นนั้นตกเป็นของหญิงคู่หมั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437\nการหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น\nเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง\nสินสอด เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงหรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทำให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้\nถ้าจะต้องคืนของหมั้นหรือสินสอดตามหมวดนี้ ให้นำบทบัญญัติมาตรา 412 ถึงมาตรา 418 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับโดยอนุโลม",
"section_num": "1437"
}
] | เมื่อการหมั้นนั้นสมบูรณ์แล้ว โดยฝ่ายชายได้มีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้แก่หญิงคู่หมั้น เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412\nถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ท่านว่าต้องคืนเต็มจำนวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน",
"section_num": "412"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 413\nเมื่อทรัพย์สินอันจะต้องคืนนั้นเป็นอย่างอื่นนอกจากจำนวนเงิน และบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต ท่านว่าบุคคลเช่นนั้นจำต้องคืนทรัพย์สินเพียงตามสภาพที่เป็นอยู่ และมิต้องรับผิดชอบในการที่ทรัพย์นั้นสูญหายหรือบุบสลาย แต่ถ้าได้อะไรมาเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อการสูญหายหรือบุบสลายเช่นนั้นก็ต้องให้ไปด้วย\nถ้าบุคคลได้รับทรัพย์สินไว้โดยทุจริต ท่านว่าจะต้องรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายนั้นเต็มภูมิ แม้กระทั่งการสูญหายหรือบุบสลายจะเกิดเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง",
"section_num": "413"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 414\nถ้าการคืนทรัพย์ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะสภาพแห่งทรัพย์สินที่ได้รับไว้นั้นเองก็ดี หรือเพราะเหตุอย่างอื่นก็ดี และบุคคลได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต ท่านว่าบุคคลเช่นนั้นจำต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน\nถ้าบุคคลได้รับทรัพย์สินนั้นไว้โดยทุจริต ท่านว่าต้องใช้ราคาทรัพย์สินนั้นเต็มจำนวน",
"section_num": "414"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 415\nบุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริตย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่\nถ้าผู้ที่ได้รับไว้จะต้องคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อใด ให้ถือว่าผู้นั้นตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่เรียกคืนนั้น",
"section_num": "415"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 416\nค่าใช้จ่ายทั้งหลายอันควรแก่การเพื่อรักษาบำรุงหรือซ่อมแซมทรัพย์สินนั้น ท่านว่าต้องชดใช้แก่บุคคลผู้คืนทรัพย์สินนั้นเต็มจำนวน\nแต่บุคคลเช่นว่านี้จะเรียกร้องให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายตามธรรมดาเพื่อบำรุง ซ่อมแซมทรัพย์สินนั้น หรือค่าภาระติดพันที่ต้องเสียไปในระหว่างที่ตนคงเก็บดอกผลอยู่นั้นหาได้ไม่",
"section_num": "416"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 417\nในส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่นนอกจากที่กล่าวมาในวรรคต้นแห่งมาตราก่อนนั้น บุคคลผู้คืนทรัพย์สินจะเรียกให้ชดใช้ได้แต่เฉพาะที่เสียไปในระหว่างที่ตนทำการโดยสุจริต และเมื่อทรัพย์สินนั้นได้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นเพราะค่าใช้จ่ายนั้นในเวลาที่คืน และจะเรียกได้ก็แต่เพียงเท่าราคาที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น\nอนึ่ง บทบัญญัติแห่งมาตรา 415 วรรค 2 นั้น ท่านให้นำมาใช้บังคับด้วย แล้วแต่กรณี",
"section_num": "417"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 418\nถ้าบุคคลรับทรัพย์สินอันมิควรได้ไว้โดยทุจริต และได้ทำการดัดแปลงหรือต่อเติมขึ้นในทรัพย์สินนั้น ท่านว่าบุคคลเช่นนั้นต้องจัดทำทรัพย์สินนั้นให้คืนคงสภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของตนเองแล้วจึงส่งคืน เว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินจะเลือกให้ส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ ในกรณีเช่นนี้เจ้าของจะใช้ราคาค่าทำดัดแปลงหรือต่อเติม หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นราคาทรัพย์สินเท่าที่เพิ่มขึ้นนั้นก็ได้ แล้วแต่จะเลือก\nถ้าในเวลาที่จะต้องคืนทรัพย์นั้นเป็นพ้นวิสัยจะทำให้ทรัพย์สินคืนคงสภาพเดิมได้ หรือถ้าทำไปทรัพย์สินนั้นจะบุบสลายไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้ได้รับไว้จะต้องส่งคืนทรัพย์สินตามสภาพที่เป็นอยู่ และไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อราคาทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเพราะการดัดแปลงหรือต่อเติมนั้นได้",
"section_num": "418"
}
] |
ผู้สั่งจ่ายซึ่งได้มีการใช้เงินตามตั๋วแลกเงินไปแล้ว สามารถเรียกให้บุคคลที่ต้องรับผิดตามตั๋วเงินแต่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของตนด้วยในตั๋วเงินนั้นมาใช้เงินให้แก่ตนได้หรือไม่อย่างไร | ไม่ได้ เนื่องจากผู้สั่งจ่ายที่ได้ใช้เงินตามตั๋วแลกเงินแล้วนั้น สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยได้เฉพาะบุคคลที่ไม่เคยเป็นเจ้าหนี้ในตั๋วเงินของตนได้เท่านั้น คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 971 ผู้สั่งจ่ายหรือผู้รับรองหรือผู้สลักหลังคนก่อนที่ได้มีการสลักหลังหรือโอนตั๋วแลกเงินให้ต่อไปอีกทอดนั้น ไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอากับคู่สัญญาฝ่ายที่ตนจะต้องรับผิดอยู่ก่อนแล้วซึ่งถือเป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วเงินของตนนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 971\nผู้สั่งจ่ายก็ดี ผู้รับรองก็ดี ผู้สลักหลังคนก่อนก็ดี ซึ่งเขาสลักหลังหรือโอนตั๋วแลกเงินให้อีกทอดหนึ่งนั้น หามีสิทธิจะไล่เบี้ยเอาแก่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตนย่อมต้องรับผิดต่อเขาอยู่ก่อนแล้วตามตั๋วเงินนั้นได้ไม่",
"section_num": "971"
}
] | ไม่ได้ เนื่องจากผู้สั่งจ่ายที่ได้ใช้เงินตามตั๋วแลกเงินแล้วนั้น สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยได้เฉพาะบุคคลที่ไม่เคยเป็นเจ้าหนี้ในตั๋วเงินของตนได้เท่านั้น | [] |
หากกรรมการของบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายโทเคนดิจิทัลได้ปลอมบัญชีเอกสารเพื่อหลอกลวงผู้ลงทุนนั้น ต้องรับโทษอย่างไรบ้าง | ต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และจ่ายค่าปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 1,000,000 บาท คำอธิบายความ: ตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 88 หากกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของกิจการที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ได้ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชีเอกสารหรือหลักประกัน หรือลงหรือไม่ลงข้อความเท็จในบัญชีหรือเอกสาร หรือทำบัญชีไม่ถูกต้อง หรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพื่อหลอกลวงให้ผู้ลงทุนในโทเคนดิจิทัลขาดประโยชน์ที่ควรได้ หรือเพื่อหลอกลวงบุคคลอื่น ๆ ต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และจ่ายค่าปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 1,000,000 บาท | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 88 กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามมาตรา 89 กระทำหรือยินยอมให้กระทำการ ดังต่อไปนี้\n(1) ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชีเอกสาร หรือหลักประกันของนิติบุคคลดังกล่าว หรือที่เกี่ยวกับนิติบุคคลดังกล่าว\n(2) ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของนิติบุคคลหรือที่เกี่ยวกับนิติบุคคลนั้น หรือ\n(3) ทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง\nถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำเพื่อลวงให้นิติบุคคลดังกล่าว หรือผู้ลงทุนในโทเคนดิจิทัลขาดประโยชน์อันควรได้ หรือลวงบุคคลใด ๆ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท",
"section_num": "88"
}
] | ต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และจ่ายค่าปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 1,000,000 บาท | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 89 นิติบุคคลตามมาตรา 82 มาตรา 83 มาตรา 84 มาตรา 85 มาตรา 86 มาตรา 87 และมาตรา 88 ให้หมายความถึงนิติบุคคล ดังต่อไปนี้\n(1) บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายโทเคนดิจิทัลจากสำนักงาน ก.ล.ต. ตามมาตรา 17 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง\n(2) ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง\n(3) ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง",
"section_num": "89"
}
] |
ทรัสตีต้องแก้ไขสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามคำสั่งของสำนักงาน ก.ล.ต.ที่ได้ประกาศให้เพิ่มเติมรายการด้วยหรือไม่อย่างไร | ทรัสตีต้องแก้ไขสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ประกาศนั้นภายในระยะเวลาอันสมควร ซึ่งการประกาศรายการเพิ่มเติมนั้นต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์และไม่ได้ขัดต่อเจตนารมณ์ในการก่อตั้งทรัสต์ด้วย คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 21 สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจประกาศรายการหรือข้อความเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์และไม่ได้ขัดต่อเจตนารมณ์ในการก่อตั้งทรัสต์ โดยสำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจสั่งให้ทรัสตีแก้ไขสัญญาก่อตั้งทรัสต์ให้เป็นไปตามที่ประกาศนั้นภายในระยะเวลาอันสมควรด้วย และทรัสตีต้องดำเนินการให้มีการแก้ไขสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามคำสั่งนั้นด้วยวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดหรือโดยได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 21 ในกรณีที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศรายการหรือข้อความเพิ่มเติมตามมาตรา 15 หากเป็นการสมควรเพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์และไม่เป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ในการก่อตั้งทรัสต์ ให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจสั่งให้ทรัสตีแก้ไขสัญญาก่อตั้งทรัสต์ให้ปรากฏรายการหรือข้อความตามที่ประกาศนั้นภายในระยะเวลาอันสมควร\nทรัสตีต้องดำเนินการให้มีการแก้ไขสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามคำสั่งในวรรคหนึ่งด้วยวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา 20 หรือโดยได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต.",
"section_num": "21"
}
] | ทรัสตีต้องแก้ไขสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ประกาศนั้นภายในระยะเวลาอันสมควร ซึ่งการประกาศรายการเพิ่มเติมนั้นต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์และไม่ได้ขัดต่อเจตนารมณ์ในการก่อตั้งทรัสต์ด้วย. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 15 สำนักงาน ก.ล.ต. อาจประกาศกำหนดรายการและข้อความที่ต้องมีในสัญญาก่อตั้งทรัสต์เพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 14 ก็ได้",
"section_num": "15"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 20 การเปลี่ยนแปลงสัญญาก่อตั้งทรัสต์จะกระทำได้เพียงใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาก่อตั้งทรัสต์ ในกรณีที่สัญญาก่อตั้งทรัสต์มิได้กำหนดไว้ ผู้รับประโยชน์และทรัสตีอาจตกลงเปลี่ยนแปลงสัญญาก่อตั้งทรัสต์ได้แต่ต้องไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ในการก่อตั้งทรัสต์",
"section_num": "20"
}
] |
ถ้าผู้ทำพินัยกรรมมีเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรมต้องขายทรัพย์สินที่ตนยกให้แก่บุคคลที่สาม แต่ผู้รับพินัยกรรมไม่ได้ขายให้ตามที่กำหนดในพินัยกรรม บุคคลที่สามนั้นสามารถเรียกร้องให้ผู้รับพินัยกรรมขายทรัพย์สินนั้นให้แก่ตนได้หรือไม่อย่างไร | ไม่ได้ แม้ในพินัยกรรมจะมีเงื่อนไขกำหนดให้ผู้รับพินัยกรรมขายทรัพย์สินให้แก่บุคคลที่สามก็ตาม แต่เป็นเงื่อนไขที่ต้องห้ามตามกฎหมายให้ถือว่าเสมือนไม่ได้มีเงื่อนไขนั้นอยู่เลย บุคคลที่สามจึงไม่สามารถเรียกร้องให้ผู้รับพินัยกรรมขายทรัพย์สินนั้นให้แก่ตนได้ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 ถ้าข้อกำหนดพินัยกรรมตั้งผู้รับพินัยกรรมโดยมีเงื่อนไขว่าให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ยกให้แก่บุคคลอื่น ให้ถือว่าเงื่อนไขนั้นไม่ได้มีอยู่เลย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707\nถ้าข้อกำหนดพินัยกรรมตั้งผู้รับพินัยกรรมโดยมีเงื่อนไขว่าให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมนั้นแก่บุคคลอื่น ให้ถือว่าเงื่อนไขนั้นเป็นอันไม่มีเลย",
"section_num": "1707"
}
] | ไม่ได้ แม้ในพินัยกรรมจะมีเงื่อนไขกำหนดให้ผู้รับพินัยกรรมขายทรัพย์สินให้แก่บุคคลที่สามก็ตาม แต่เป็นเงื่อนไขที่ต้องห้ามตามกฎหมายให้ถือว่าเสมือนไม่ได้มีเงื่อนไขนั้นอยู่เลย บุคคลที่สามจึงไม่สามารถเรียกร้องให้ผู้รับพินัยกรรมขายทรัพย์สินนั้นให้แก่ตนได้. | [] |
ผู้สอบบัญชีมีสิทธิเข้าร่วมประชุมในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนได้ทุกกรณีหรือไม่อย่างไร | ผู้สอบบัญชีไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นได้ทุกกรณี กรณีที่ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่เข้าร่วมประชุมในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทคือ ในกรณีที่มีการพิจารณางบดุลบัญชีกำไรขาดทุน และปัญหาเกี่ยวกับบัญชีของบริษัทเพื่อชี้แจงการตรวจสอบบัญชีต่อผู้ถือหุ้นได้เท่านั้น คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 125 ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่เข้าร่วมประชุมในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนทุกครั้งที่มีการพิจารณางบดุลบัญชีกำไรขาดทุน และปัญหาเกี่ยวกับบัญชีของบริษัทเพื่อชี้แจงการตรวจสอบบัญชีต่อผู้ถือหุ้น โดยให้บริษัทนั้นจัดส่งรายงานและเอกสารของบริษัทที่ผู้ถือหุ้นได้รับในการประชุมแก่ผู้สอบบัญชีด้วย นอกจากนี้ ผู้สอบบัญชีมีสิทธิทำคำชี้แจงเป็นหนังสือเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 125 ผู้สอบบัญชีมีสิทธิทำคำชี้แจงเป็นหนังสือเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นและมีหน้าที่เข้าร่วมประชุมในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัททุกครั้งที่มีการพิจารณางบดุลบัญชีกำไรขาดทุน และปัญหาเกี่ยวกับบัญชีของบริษัทเพื่อชี้แจงการตรวจสอบบัญชีต่อผู้ถือหุ้นและให้บริษัทจัดส่งรายงานและเอกสารของบริษัทที่ผู้ถือหุ้นจะพึงได้รับในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนั้นแก่ผู้สอบบัญชีด้วย",
"section_num": "125"
}
] | ผู้สอบบัญชีไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นได้ทุกกรณี กรณีที่ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่เข้าร่วมประชุมในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทคือ ในกรณีที่มีการพิจารณางบดุลบัญชีกำไรขาดทุน และปัญหาเกี่ยวกับบัญชีของบริษัทเพื่อชี้แจงการตรวจสอบบัญชีต่อผู้ถือหุ้นได้เท่านั้น. | [] |
บริษัทที่ประกอบกิจการขายหลักทรัพย์นั้น จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอย่างไรบ้าง | ให้ตัวแทนของบริษัทนั้นหักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขายได้ โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีแทนบริษัทในนามของตนเอง โดยบริษัทที่ขายหลักทรัพย์นั้นไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก และให้ถือว่าตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/9 การเสียภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีขายหลักทรัพย์ ให้สมาชิกที่เป็นตัวแทนของผู้ขายหักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขาย และยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีแทนผู้ขายในนามของตนเอง โดยผู้ขายไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก และให้ถือว่าสมาชิกเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/9 ในกรณีกิจการขายหลักทรัพย์ตามมาตรา 91/2 (7) ให้สมาชิกที่เป็นตัวแทนของผู้ขายหักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขาย และยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีตามมาตรา 91/10 แทนผู้ขายในนามของตนเอง โดยผู้ขายไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก และให้ถือว่าสมาชิกเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะในกรณีนี้ด้วย",
"section_num": "91/9"
}
] | ให้ตัวแทนของบริษัทนั้นหักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขายได้ โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีแทนบริษัทในนามของตนเอง โดยบริษัทที่ขายหลักทรัพย์นั้นไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก และให้ถือว่าตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/10 ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการภาษีตามแบบที่อธิบดีกำหนด โดยให้ยื่นเป็นรายเดือนภาษี พร้อมกับชำระภาษี ถ้ามี ไม่ว่าผู้มีหน้าที่เสียภาษีจะมีรายรับในเดือนภาษีหรือไม่ก็ตาม\nการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษีสำหรับเดือนภาษีใด ให้ยื่นภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกำหนดเป็นอย่างอื่น\nการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษี ให้ยื่น ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งนี้ เว้นแต่อธิบดีจะกำหนดเป็นอย่างอื่น\nถ้าผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีสถานประกอบการหลายแห่ง การยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษีตามวรรคหนึ่ง ให้แยกยื่นเป็นรายสถานประกอบการ ทั้งนี้ เว้นแต่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีจะยื่นคำร้องต่ออธิบดีขอยื่นแบบแสดงรายการภาษีรวมกัน ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ ณ สถานที่ที่อธิบดีกำหนดตามวรรคสามก็ได้ และเมื่ออธิบดีพิจารณาเห็นสมควรจะอนุมัติก็ได้\nความในวรรคหนึ่งถึงวรรคสี่มิให้ใช้บังคับแก่การยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษีของผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 91/2 (6) และให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีกรณีดังกล่าวยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามแบบที่อธิบดีกำหนด ในขณะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกับชำระภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้น\nในการชำระภาษีตามวรรคห้า ให้กรมที่ดินเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะเพื่อกรมสรรพากรและห้ามพนักงานเจ้าหน้าที่ลงนามรับรู้ ยอมให้ทำหรือบันทึกไว้จนกว่าจะได้รับเงินภาษีที่ต้องชำระให้ครบถ้วนถูกต้องแล้ว\nภาษีที่ได้ชำระแล้วตามวรรดห้า ให้ส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด",
"section_num": "91/10"
},
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 ภายใต้บังคับมาตรา 91/4 การประกอบกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักร ให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามบทบัญญัติในหมวดนี้\n(1) การธนาคาร ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือกฎหมายเฉพาะ\n(2) การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์\n(3)การรับประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต\n(4) การรับจำนำตามกฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ\n(5) การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ เช่น การให้กู้ยืมเงินค้ำประกัน แลกเปลี่ยนเงินตรา ออก ซื้อ หรือขายตั๋วเงิน หรือรับส่งเงินไปต่างประเทศด้วยวิธีต่าง ๆ\n(6) การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม ทั้งนี้ เฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(7) การขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในตลาดหลักทรัพย์\n(8) การประกอบกิจการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\nในกรณีที่บุคคลอยู่นอกราชอาณาจักรประกอบกิจการ โดยผ่านสถานประกอบการหรือตัวแทนของตนที่อยู่ในราชอาณาจักร ให้ถือว่าประกอบกิจการในราชอาณาจักรตามมาตรานี้\nในกรณีที่มีปัญหาว่ากิจการใดเป็นกิจการตาม (5) หรือไม่ อธิบดีจะเสนอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรพิจารณากำหนดขอบเขต และเงื่อนไขของการประกอบกิจการที่อยู่ภายใต้บังคับตามมาตรานี้ก็ได้ และเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้วินิจฉัยแล้ว ให้ประกาศคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรในราชกิจจานุเบกษา",
"section_num": "91/2"
}
] |
หากตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้ระบุเวลาที่ใช้เงินไว้ ตั๋วเงินนั้นจะสมบูรณ์หรือไม่อย่างไร | ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นยังคงสมบูรณ์อยู่ เพราะการบกพร่องในการระบุเวลาใช้เงินในตั๋วสัญญาใช้เงินถือเป็นข้อยกเว้นจากกรณีที่ตราสารจะไม่สมบูรณ์อันเนื่องมาจากการขาดตกบกพร่องในประการใดประการหนึ่ง ทั้งนี้หากตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ระบุเวลาที่ให้ใช้เงิน ให้ผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นใช้เงินเมื่อผู้ทรงซึ่งเป็นผู้ที่ครอบครองตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้นำตั๋วเงินดังกล่าวมายื่นให้แก่ตน ซึ่งถือว่าผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินได้เห็นแล้ว คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 984 หากรายการในตั๋วสัญญาใช้เงินได้ขาดตกบกพร่องไปจากที่กฎหมายกำหนดไว้ ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นไม่สมบูรณ์ เว้นแต่หากตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้ระบุเวลาใช้เงินไว้ ก็ให้ถือว่าจะต้องใช้เงินเมื่อผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นได้เห็น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 984\nตราสารอันมีรายการขาดตกบกพร่องไปจากที่ท่านระบุบังคับไว้ในมาตราก่อนนี้ ย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน เว้นแต่ในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ\nตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งไม่ระบุเวลาใช้เงิน ท่านให้ถือว่า พึงใช้เงินเมื่อได้เห็น\nถ้าสถานที่ใช้เงินมิได้แถลงไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน ท่านให้ถือเอาภูมิลำเนาของผู้ออกตราสารนั้นเป็นสถานที่ใช้เงิน\nถ้าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ระบุสถานที่ออกตั๋ว ท่านให้ถือว่า ตั๋วนั้นได้ออก ณ ภูมิลำเนาของผู้ออกตั๋ว\nถ้ามิได้ลงวันออกตั๋ว ท่านว่าผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริตจะจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้",
"section_num": "984"
}
] | ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นยังคงสมบูรณ์อยู่ เพราะการบกพร่องในการระบุเวลาใช้เงินในตั๋วสัญญาใช้เงินถือเป็นข้อยกเว้นจากกรณีที่ตราสารจะไม่สมบูรณ์อันเนื่องมาจากการขาดตกบกพร่องในประการใดประการหนึ่ง ทั้งนี้หากตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ระบุเวลาที่ให้ใช้เงิน ให้ผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นใช้เงินเมื่อผู้ทรงซึ่งเป็นผู้ที่ครอบครองตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้นำตั๋วเงินดังกล่าวมายื่นให้แก่ตน ซึ่งถือว่าผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินได้เห็นแล้ว. | [] |
บุคคลที่ตายก่อนเสียภาษีเงินได้ ผู้ใดมีหน้าที่ยื่นแบบรายการเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีนั้นแทน | หากบุคคลที่มีหน้าที่ยื่นแบบรายการเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีได้ตายลงก่อนที่จะเสียภาษีเงินได้ ผู้จัดการมรดก หรือทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดก จะมีหน้าที่ในการยื่นแบบรายการเงินได้แทนผู้ตาย โดยให้รวมเงินได้ของผู้ตายและของกองมรดกที่ได้รับตลอดปีภาษีที่บุคคลนั้นถึงแก่ความตาย เป็นยอดเงินได้พึงประเมินที่จะต้องยื่นแบบรายการนั้น คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ทวิ การยื่นแบบรายการของผู้ที่ตายก่อนเสียภาษีเงินได้ ให้ผู้จัดการมรดก ทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดกยื่นรายการเงินได้พึงประเมินของผู้ตายแทน โดยให้รวมเงินได้พึงประเมินของผู้ตายและของกองมรดกที่ได้รับตลอดปีภาษีที่ผู้นั้นถึงแก่ความตาย เป็นยอดเงินได้พึงประเมินที่จะต้องยื่นในรายการนั้น และในปีถัดไป หากกองมรดกของผู้ตายยังไม่ได้แบ่ง และมีเงินได้พึงประเมินเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด ให้ผู้จัดการมรดก ทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดกมีหน้าที่จะต้องยื่นแบบรายการเงินได้พึงประเมินในชื่อกองมรดกของผู้ตายด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ทวิ ถ้าผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 56 วรรค 1 ถึงแก่ความตายเสียก่อนที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติตามมาตรา 56 วรรค 1 หรือก่อนที่ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ได้ปฏิบัติตามมาตรา 57 ให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการมรดก หรือทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดก แล้วแต่กรณี ปฏิบัติแทน และโดยเฉพาะในการยื่นรายการเงินได้พึงประเมินของผู้ตายนั้น ให้รวมเงินได้พึงประเมินของผู้ตายและของกองมรดกที่ได้รับตลอดปีภาษีที่ผู้นั้นถึงแก่ความตาย เป็นยอดเงินได้พึงประเมินที่จะต้องยื่นทั้งสิ้น\nสำหรับในปีต่อไป ถ้ากองมรดกของผู้ตายยังมิได้แบ่ง และมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกินจำนวนตามมาตรา 56 (1) ให้ผู้จัดการมรดกหรือทายาทหรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดก แล้วแต่กรณี มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในส่วนนี้ในชื่อกองมรดกของผู้ตาย",
"section_num": "57 ทวิ"
}
] | ผู้จัดการมรดก หรือทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดก จะมีหน้าที่ในการยื่นแบบรายการเงินได้แทนผู้ตาย | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 56 ให้บุคคลทุกคน เว้นแต่ผู้เยาว์ หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว พร้อมทั้งข้อความอื่น ๆ ภายในเดือนมีนาคม ทุก ๆ ปี ตามแบบที่อธิบดีกำหนดต่อเจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง ถ้าบุคคลนั้น\n(1) ไม่มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกิน 60,000 บาท\n(2) ไม่มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเฉพาะตามมาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเกิน 120,000 บาท\n(3) มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกิน 120,000 บาท หรือ\n(4) มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเฉพาะตามมาตรา 40 (1) ประเภทเดียวเกิน 220,000 บาท\nในกรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกินจำนวนตาม (1) ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อของห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นที่ได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้วภายในกำหนดเวลาและตามแบบเช่นเดียวกับวรรคก่อน การเสียภาษีในกรณีเช่นนี้ให้ผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการรับผิดเสียภาษีในชื่อของห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นจากยอดเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นเสมือนเป็นบุคคลธรรมดาคนเดียวไม่มีการแบ่งแยก ทั้งนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคนไม่จำต้องยื่นรายการเงินได้สำหรับจำนวนเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเพื่อเสียภาษีอีก แต่ถ้าห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นมีภาษีค้างชำระ ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลทุกคนร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย",
"section_num": "56"
},
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ถ้าผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 56 วรรค 1 เป็นผู้เยาว์ ผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถหรือเป็นผู้อยู่ในต่างประเทศ ให้เป็นหน้าที่ของผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์ หรือผู้จัดการกิจการอันก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินนั้น แล้วแต่กรณี ต้องปฏิบัติตามมาตรา 56 วรรค 1 และเป็นตัวแทนในการชำระภาษี",
"section_num": "57"
}
] |
หากตั๋วแลกเงินมีการสั่งให้ใช้เงินภายในกำหนดระยะเวลานับแต่วันที่ออกตั๋ว แต่ในตั๋วแลกเงินนั้นไม่ได้ลงวันที่ออกตั๋วเอาไว้ จะต้องทำอย่างไร | ผู้ทรงซึ่งเป็นผู้ที่ครอบครองตั๋วแลกเงินนั้นสามารถเขียนวันออกตั๋วเองได้ และพึงใช้เงินตามนั้น ถึงแม้จะเขียนวันออกตั๋วคลาดเคลื่อนไปจากวันออกตั๋วที่แท้จริงก็ตาม แต่หากผู้ทรงทำด้วยความสุจริต ตั๋วแลกเงินฉบับนั้นก็สามารถใช้ได้เช่นกัน คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 932 หากตั๋วแลกเงินที่มีการสั่งให้ใช้เงินภายในกำหนดระยะเวลานับแต่วันที่ออกตั๋วหรือนับแต่ที่ได้เห็น แต่หากในตั๋วแลกเงินนั้นไม่ได้ลงวันที่ออกตั๋วไว้ หรือไม่ได้ลงวันที่รับรองในตั๋วนั้น ให้ผู้ทรงสามารถเขียนวันออกตั๋วหรือวันรับรองที่แท้จริงลงไปได้ นอกจากนี้ ถึงแม้ผู้ทรงจะเขียนวันดังกล่าวนั้นไม่ตรงกับวันที่แท้จริงก็ตาม แต่หากผู้ทรงนั้นได้ทำไปด้วยความสุจริต ตั๋วแลกเงินนั้นก็สามารถใช้ได้ และให้ใช้เงินกันเสมือนว่าวันที่ได้จดลงนั้นเป็นวันที่ถูกต้องแท้จริง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 932\nตั๋วแลกเงินฉบับใดเขียนสั่งให้ใช้เงินในกำหนดระยะเวลาอย่างใดอย่างหนึ่งนับแต่วันที่ลงในตั๋วเงินนั้น แต่หากมิได้ลงวันไว้ก็ดี หรือตั๋วเงินฉบับใดสั่งให้ใช้เงินในกำหนดระยะเวลาอย่างใดอย่างหนึ่งนับแต่ได้เห็น แต่หากคำรับรองตั๋วนั้นมิได้ลงวันไว้ก็ดี ตั๋วแลกเงินเช่นว่ามานี้ ท่านว่าผู้ทรงจะจดวันออกตั๋วหรือวันรับรองลงตามที่แท้จริงก็ได้ แล้วพึงให้ใช้เงินตามนั้น\nอนึ่ง ท่านบัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ผู้ทรงทำการโดยสุจริตแต่ลงวันคลาดเคลื่อนไปด้วยสำคัญผิด และในกรณีลงวันผิดทุกสถาน หากว่าในภายหลังตั๋วเงินนั้นตกไปยังมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตั๋วเงินจะเสียไปเพราะเหตุนั้นก็หาไม่ ท่านให้คงเป็นตั๋วเงินที่ใช้ได้ และพึงใช้เงินกันเสมือนดังว่าวันที่ได้จดลงนั้นเป็นวันที่ถูกต้องแท้จริง",
"section_num": "932"
}
] | ผู้ทรงซึ่งเป็นผู้ที่ครอบครองตั๋วแลกเงินนั้นสามารถเขียนวันออกตั๋วเองได้ และพึงใช้เงินตามนั้น ถึงแม้จะเขียนวันออกตั๋วคลาดเคลื่อนไปจากวันออกตั๋วที่แท้จริงก็ตาม แต่หากผู้ทรงทำด้วยความสุจริต ตั๋วแลกเงินฉบับนั้นก็สามารถใช้ได้เช่นกัน. | [] |
ผู้ใดสามารถร้องขอศาลมีคำสั่งให้บุคคลวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถได้บ้าง | บุคคลที่มีสิทธิร้องขอศาลมีคำสั่งให้บุคคลวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถได้แก่ คู่สมรส, ผู้บุพการี อันได้แก่ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด, ผู้สืบสันดาน อันได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ, ผู้ปกครอง, ผู้พิทักษ์, ผู้ที่ปกครองดูแลบุคคลวิกลจริตนั้น หรือพนักงานอัยการ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 บุคคลที่มีสิทธิร้องขอศาลมีคำสั่งให้บุคคลวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถ คือ คู่สมรส, ผู้บุพการี ได้แก่ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด, ผู้สืบสันดาน ได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ, ผู้ปกครอง, ผู้พิทักษ์, ผู้ที่ปกครองดูแลบุคคลวิกลจริตนั้นอยู่ หรืออัยการ เมื่อศาลได้สั่งให้เป็นบุคคลนั้นเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว ศาลต้องจัดให้คนไร้ความสามารถนั้นอยู่ในความอนุบาล รวมถึงการแต่งตั้งผู้อนุบาล อำนาจหน้าที่ของผู้อนุบาล และการสิ้นสุดของความเป็นผู้อนุบาลด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28\nบุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าคู่สมรสก็ดี ผู้บุพการีกล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวดก็ดี ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ก็ดี ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลจะสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้\nบุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล การแต่งตั้งผู้อนุบาล อำนาจหน้าที่ของผู้อนุบาล และการสิ้นสุดของความเป็นผู้อนุบาล ให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายนี้\nคำสั่งของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา",
"section_num": "28"
}
] | คู่สมรส, ผู้บุพการี อันได้แก่ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด, ผู้สืบสันดาน อันได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ, ผู้ปกครอง, ผู้พิทักษ์, ผู้ที่ปกครองดูแลบุคคลวิกลจริตนั้น หรือพนักงานอัยการ. | [] |
ผู้รับจำนำมีสิทธิอย่างไรในการจัดการดอกผลนิตินัยที่ตนได้มาจากทรัพย์ที่จำนำ หากในสัญญาจำนำไม่ได้กำหนดข้อตกลงในการจัดการเรื่องดังกล่าวนี้เอาไว้ | ให้ผู้รับจำนำนำดอกผลนิตินัยนั้นมาใช้ชำระเป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระแก่ตนก่อน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระ ให้ชำระต้นเงินในหนี้ที่ได้จำนำทรัพย์สินนั้นเป็นประกัน คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 761 สิทธิและหน้าที่ของผู้รับจำนำในเรื่องดอกผลนิตินัย หากในสัญญาจำนำไม่ได้มีข้อตกลงในเรื่องนั้นไว้ ให้ผู้รับจำนำนำดอกผลนิตินัยนั้นมาใช้ชำระเป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระแก่ตนก่อน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระ ให้ชำระต้นเงินในหนี้ที่ได้จำนำทรัพย์สินนั้นเป็นประกัน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 761\nถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา หากมีดอกผลนิตินัยงอกจากทรัพย์สินนั้นอย่างไร ท่านให้ผู้รับจำนำจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชำระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระ ท่านให้จัดสรรใช้ต้นเงินแห่งหนี้อันได้จำนำทรัพย์สินเป็นประกันนั้น",
"section_num": "761"
}
] | ให้ผู้รับจำนำนำดอกผลนิตินัยนั้นมาใช้ชำระเป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระแก่ตนก่อน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระ ให้ชำระต้นเงินในหนี้ที่ได้จำนำทรัพย์สินนั้นเป็นประกัน | [] |
หากผู้ที่ต้องให้ความยินยอมในเรื่องจัดการทรัพย์สินนั้นเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่รู้สึกตัว สามารถทำอย่างไรได้บ้าง | คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งสามารถร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตแทนได้ เนื่องจากการที่ผู้ที่ต้องให้ความยินยอมในเรื่องจัดการทรัพย์สินนั้นกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่รู้สึกตัว กฎหมายถือว่าผู้ที่ต้องให้ความยินยอมนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่อาจให้ความยินยอมได้ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1478 ถ้าผู้ที่ต้องให้ความยินยอมหรือลงชื่อในเรื่องจัดการทรัพย์สิน แต่ผู้นั้นไม่ให้ความยินยอม หรือไม่ยอมลงชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือไม่อยู่ในสภาพที่อาจให้ความยินยอมได้ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งสามารถร้องขอต่อศาลให้สั่งอนุญาตแทนได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1478\nเมื่อฝ่ายใดต้องให้ความยินยอมหรือลงชื่อกับอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องจัดการทรัพย์สินแต่ไม่ให้ความยินยอมหรือไม่ยอมลงชื่อโดยปราศจากเหตุผล หรือไม่อยู่ในสภาพที่อาจให้ความยินยอมได้ อีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งอนุญาตแทนได้",
"section_num": "1478"
}
] | คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งสามารถร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตแทนได้ เนื่องจากการที่ผู้ที่ต้องให้ความยินยอมในเรื่องจัดการทรัพย์สินนั้นกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่รู้สึกตัว กฎหมายถือว่าผู้ที่ต้องให้ความยินยอมนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่อาจให้ความยินยอมได้ | [] |
หากลูกหนี้ทำนิติกรรมซื้อขายกับบุคคลอื่นโดยรู้ว่าทำให้เจ้าหนี้ของตนนั้นเสียเปรียบ เจ้าหนี้สามารถเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้หรือไม่อย่างไร | เจ้าหนี้สามารถร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้หากนิติกรรมนั้นกระทำลงโดยรู้ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่หากบุคคลอื่นที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้นั้นไม่ได้รู้ว่าจะทำให้เจ้าหนี้ของลูกหนี้นั้นเสียเปรียบ เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 การเพิกถอนการฉ้อฉล โดยเจ้าหนี้สามารถร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้ของตนได้ทำไปโดยรู้ว่าทำให้เจ้าหนี้นั้นเสียเปรียบ แต่ถ้าหากบุคคลที่ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมด้วยนั้นไม่ได้รู้ด้วยว่าจะทำให้เจ้าหนี้นั้นเสียเปรียบ เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถเพิกถอนนิติกรรมได้ แต่อย่างไรก็ดี หากนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้ทำไปนั้นเป็นการให้โดยเสน่หา แม้ลูกหนี้รู้เพียงฝ่ายเดียวว่าทำให้เจ้าหนี้ของตนเสียเปรียบและคู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ได้รู้เช่นนั้นด้วย เจ้าหนี้ก็สามารถเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ และนิติกรรมที่ได้กล่าวมานั้นจะต้องไม่ใช่นิติกรรมที่ไม่ได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237\nเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้\nบทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน",
"section_num": "237"
}
] | เจ้าหนี้สามารถร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้หากนิติกรรมนั้นกระทำลงโดยรู้ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่หากบุคคลอื่นที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้นั้นไม่ได้รู้ว่าจะทำให้เจ้าหนี้ของลูกหนี้นั้นเสียเปรียบ เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้. | [] |
ทรัพย์สินที่ผู้รับโอนได้มีการถือครองในตัวทรัพย์สินนั้นอยู่แล้ว จะต้องส่งมอบโอนการครอบครองไปได้ด้วยวิธีใด | หากมีการยึดถือหรือครอบครองตัวทรัพย์สินอยู่แล้ว สามารถโอนการครอบครองไปได้โดยให้ผู้โอนนั้นแสดงเจตนาส่งมอบโอนทรัพย์สินนั้นก็เพียงพอ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1379 การโอนการครอบครองโดยผู้รับโอนหรือผู้แทนนั้นมีการยึดถือทรัพย์สินนั้นอยู่แล้ว ให้โอนการครอบครองได้ด้วยการแสดงเจตนาได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1379\nถ้าผู้รับโอนหรือผู้แทนยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว ท่านว่าการโอนไปซึ่งการครอบครองจะทำเพียงแสดงเจตนาก็ได้",
"section_num": "1379"
}
] | สามารถโอนการครอบครองไปได้โดยให้ผู้โอนนั้นแสดงเจตนาส่งมอบโอนทรัพย์สินนั้นก็เพียงพอ | [] |
องค์ประชุมของคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีต้องมีกรรมการมาประชุมจำนวนเท่าใด | องค์ประชุมของคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีจะต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดถึงจะสามารถจัดการประชุมได้ตามกฎหมาย คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 26 องค์ประชุมคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี จะต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด ซึ่งมติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก โดยในการลงคะแนนให้กรรมการ 1 คน มี 1 เสียง หากคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีก 1 เสียงเป็นเสียงชี้ขาด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 26 การประชุมคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม\nมติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด",
"section_num": "26"
}
] | องค์ประชุมของคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีจะต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดถึงจะสามารถจัดการประชุมได้ตามกฎหมาย. | [] |
ถ้าเจ้าของรถซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจอดรถโดยติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ หากรถสูญหายผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดจ่ายเงินหรือไม่อย่างไร | หากการที่เจ้าของรถติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รถสูญหาย เหตุนั้นถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยเอง ดังนั้นผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเหตุที่มาจากความประมาทเลินเล่อร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879 ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดหากความวินาศภัยหรือเหตุอื่นที่ได้ระบุไว้ในสัญญาประกันภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริต หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์เอง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879\nผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัยหรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริต หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์\nผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในความวินาศภัยอันเป็นผลโดยตรงมาแต่ความไม่สมประกอบในเนื้อแห่งวัตถุที่เอาประกันภัย เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น",
"section_num": "879"
}
] | ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเหตุที่มาจากความประมาทเลินเล่อร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย | [] |
สามารถขอคัดสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวซึ่งนายทะเบียนเก็บรักษาไว้ได้หรือไม่อย่างไร | ขอคัดสำเนาเอกสารได้ แต่เอกสารนั้นต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามที่ไม่ให้เปิดเผยตามกฎหมายด้วย ทั้งนี้ผู้ขอคัดสำเนาเอกสารจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราตามที่กำหนดในกฎกระทรวงด้วย คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 31 บุคคลสามารถขอตรวจหรือขอคัดสำเนาเอกสาร หรือขอให้นายทะเบียนคัดสำเนาหรือถ่ายเอกสารพร้อมทั้งคำรับรอง หรือขอให้ออกหนังสือรับรองข้อความที่นายทะเบียนเก็บรักษาไว้ ให้นายทะเบียนดำเนินการอนุญาตโดยเร็ว เว้นแต่เอกสารนั้นมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้เปิดเผยตามกฎหมาย โดยผู้ขอต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวงด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542",
"section_content": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 31 ผู้ใดขอตรวจหรือขอคัดสำเนาเอกสารหรือขอให้นายทะเบียนคัดสำเนาหรือถ่ายเอกสารพร้อมทั้งคำรับรองหรือขอให้ออกหนังสือรับรองข้อความที่นายทะเบียนเก็บรักษาไว้ ให้นายทะเบียนดำเนินการอนุญาตโดยเร็ว เว้นแต่เอกสารนั้นมีลักษณะต้องห้ามมิให้เปิดเผยตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่น โดยผู้ขอต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง",
"section_num": "31"
}
] | ขอคัดสำเนาเอกสารได้ แต่เอกสารนั้นต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามที่ไม่ให้เปิดเผยตามกฎหมายด้วย ทั้งนี้ผู้ขอคัดสำเนาเอกสารจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราตามที่กำหนดในกฎกระทรวงด้วย | [] |
หากผู้เยาว์ที่ได้รับมรดกนั้นโดยบิดามารดาได้เสียชีวิตและไม่มีผู้ปกครองด้วย จะต้องทำอย่างไรบ้าง | ให้ผู้มีส่วนได้เสีย หรืออัยการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองให้แก่ผู้เยาว์นั้นได้ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1610 หากผู้เยาว์ หรือบุคคลวิกลจริต หรือบุคคลผู้ไม่สามารถทำการงานของตนเองได้ที่ได้รับมรดก โดยบุคคลนั้นไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ ให้ผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครอง ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ให้แก่บุคคลนั้นได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1610\nถ้ามรดกตกทอดแก่ผู้เยาว์ หรือบุคคลวิกลจริต หรือบุคคลผู้ไม่สามารถจะจัดทำการงานของตนเองได้ตามความหมายแห่งมาตรา 32 แห่งประมวลกฎหมายนี้ และบุคคลนั้นยังไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ เมื่อผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการร้องขอ ก็ให้ศาลตั้งผู้ปกครอง ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี",
"section_num": "1610"
}
] | ให้ผู้มีส่วนได้เสีย หรืออัยการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองให้แก่ผู้เยาว์นั้นได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32\nบุคคลใดมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้น จนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้\nบุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดให้อยู่ในความพิทักษ์ การแต่งตั้งผู้พิทักษ์ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายนี้\nให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการสิ้นสุดของความเป็นผู้ปกครองในบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายนี้ มาใช้บังคับแก่การสิ้นสุดของการเป็นผู้พิทักษ์โดยอนุโลม\nคำสั่งของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา",
"section_num": "32"
}
] |
ถ้ากรรมการของบริษัทซึ่งได้รับอนุญาตให้ออกหลักทรัพย์ได้ทำกิจการไปในนามของบริษัททั้งที่ตนขาดคุณสมบัติในการเป็นกรรมการ กิจการที่ทำนั้นจะมีผลเป็นอย่างไร | กิจการนั้นจะยังมีผลสมบูรณ์และผูกพันกับบริษัทด้วย แม้ภายหลังจะรู้ว่ากรรมการที่ได้ทำกิจการนั้นขาดคุณสมบัติ คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/5 กิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์โดยคณะกรรมการหรือกรรมการของบริษัท หรือบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ได้ทำไปในนามของบริษัทย่อมมีผลสมบูรณ์และผูกพันบริษัท แม้ภายหลังกรรมการนั้นจะขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือขาดความเหมาะสมก็ตาม | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/5 บรรดากิจการของบริษัทที่คณะกรรมการ กรรมการหรือบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการได้กระทำไปในนามของบริษัทย่อมมีผลสมบูรณ์และผูกพันบริษัทแม้จะปรากฏในภายหลังว่ากรรมการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือขาดความเหมาะสมตามมาตรา89/3",
"section_num": "89/5"
}
] | กิจการนั้นจะยังมีผลสมบูรณ์และผูกพันกับบริษัทด้วย แม้ภายหลังจะรู้ว่ากรรมการที่ได้ทำกิจการนั้นขาดคุณสมบัติ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/3 กรรมการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดรวมทั้งต้องไม่มีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นตามที่คณะกรรมการก.ล.ต. ประกาศกำหนด",
"section_num": "89/3"
}
] |
ระยะเวลาที่บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าตายเมื่อใด | เมื่อครบระยะเวลา 5 ปี นับแต่บุคคลที่สาบสูญนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาที่อยู่และไม่มีใครรู้ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่หากมีเหตุพิเศษเนื่องจากบุคคลที่สาบสูญนั้นได้หายไปในการรบหรือสงคราม หรือยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางอับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป หรือมีเหตุอันตรายอื่นที่ถึงแก่ชีวิต ให้ลดเหลือ 2 ปี คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 62 ระยะเวลาที่ให้ถือว่าบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าตายเมื่อครบระยะเวลา 5 ปี นับแต่บุคคลที่สาบสูญนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาที่อยู่และไม่มีใครรู้ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่หากมีเหตุพิเศษเนื่องจากบุคคลที่สาบสูญนั้นได้หายไปในการรบหรือสงคราม หรือยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางอับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป หรือมีเหตุอันตรายอื่นที่ถึงแก่ชีวิต ให้ลดเหลือ 2 ปี | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 62\nบุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังที่ระบุไว้ในมาตรา 61",
"section_num": "62"
}
] | เมื่อครบระยะเวลา 5 ปี นับแต่บุคคลที่สาบสูญนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาที่อยู่และไม่มีใครรู้ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่หากมีเหตุพิเศษให้ลดเหลือ 2 ปี. | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61\nถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้\nระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี\n(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว\n(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป\n(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น",
"section_num": "61"
}
] |
การเวนคืนที่ดินถือเป็นนิติกรรมหรือไม่อย่างไร | ไม่เป็นนิติกรรม เนื่องจากการเวนคืนที่ดินนั้นเป็นเรื่องการใช้อำนาจรัฐ โดยรัฐบังคับซื้อที่ดินด้วยการออกกฎหมายจึงไม่ใช่การสมัครใจและมุ่งในการผูกนิติสัมพันธ์ด้วย คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 ความหมายของนิติกรรม เป็นการกระทำที่ได้ทำลงไปโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัครไม่ใช่การบังคับ ซึ่งได้ผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ การเวนคืนที่ดินนั้นเป็นเรื่องของการใช้อำนาจของรัฐตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐบังคับซื้อที่ดินด้วยการอาศัยอำนาจตามกฎหมาย คู่กรณีในการทำการเวนคืนที่ดินไม่ได้สมัครใจและมุ่งในการทำนิติสัมพันธ์ด้วย การเวนคืนที่ดินจึงไม่นับเป็นการเข้าทำนิติกรรม | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149\nนิติกรรม หมายความว่า การใด ๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ",
"section_num": "149"
}
] | ไม่เป็นนิติกรรม เนื่องจากการเวนคืนที่ดินนั้นเป็นเรื่องการใช้อำนาจรัฐ โดยรัฐบังคับซื้อที่ดินด้วยการออกกฎหมายจึงไม่ใช่การสมัครใจและมุ่งในการผูกนิติสัมพันธ์ด้วย | [] |
ทายาทสามารถสละมรดกเฉพาะบางส่วนได้หรือไม่อย่างไร | ทายาทจะสละมรดกบางส่วนไม่ได้ เนื่องจากการสละมรดกนั้นจะต้องสละทรัพย์มรดกทั้งหมด ทายาทไม่สามารถสละมรดกเพียงบางส่วนได้ นอกจากนี้ทายาทไม่สามารถสละทรัพย์มรดกโดยมีเงื่อนไขและเงื่อนเวลาด้วยเช่นเดียวกัน คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1613 การสละมรดกไม่สามารถสละเพียงบางส่วน หรือสละโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา และการสละมรดกนั้น ทายาทไม่สามารถถอนการสละในภายหลัง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1613\nการสละมรดกนั้น จะทำแต่เพียงบางส่วน หรือทำโดยมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาไม่ได้\nการสละมรดกนั้น จะถอนเสียมิได้",
"section_num": "1613"
}
] | ทายาทจะสละมรดกบางส่วนไม่ได้ เนื่องจากการสละมรดกนั้นจะต้องสละทรัพย์มรดกทั้งหมด ทายาทไม่สามารถสละมรดกเพียงบางส่วนได้ นอกจากนี้ทายาทไม่สามารถสละทรัพย์มรดกโดยมีเงื่อนไขและเงื่อนเวลาด้วยเช่นเดียวกัน. | [] |
หากผู้เช่าไม่ทำตามข้อตกลงในสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกยกเลิกสัญญาเช่านั้นได้ทันทีหรือไม่อย่างไร | หากผู้เช่าฝ่าฝืนข้อตกลงในสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้ เนื่องจากผู้ให้เช่าต้องมีการบอกกล่าวหรือแจ้งให้ผู้เช่าทำตามข้อตกลงในสัญญาเช่านั้นก่อนภายในระยะเวลาอันสมควร และถ้าผู้เช่ายังไม่ทำตามข้อตกลงตามที่ได้บอกกล่าวหรือแจ้งอีก ผู้ให้เช่าจึงจะมีอำนาจบอกยกเลิกสัญญาเช่านั้นได้ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 554 ถ้าผู้เช่าฝ่าฝืนหน้าที่ในการใช้สอยทรัพย์ที่เช่า หรือฝ่าฝืนหน้าที่ในการสงวนรักษาและดูแลทรัพย์สินที่เช่า หรือฝ่าฝืนข้อตกลงในสัญญาเช่านั้น ให้ผู้ให้เช่าบอกกล่าวหรือแจ้งให้ผู้เช่าทำตามหน้าที่หรือปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นก่อน ถ้าผู้เช่ายังไม่ทำตามนั้นอีก ผู้ให้เช่าสามารถบอกยกเลิกสัญญาเช่าได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 554\nถ้าผู้เช่ากระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 552 มาตรา 553 หรือฝ่าฝืนข้อสัญญา ผู้ให้เช่าจะบอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้น ๆ ก็ได้ ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม ท่านว่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้",
"section_num": "554"
}
] | ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้ เนื่องจากผู้ให้เช่าต้องมีการบอกกล่าวหรือแจ้งให้ผู้เช่าทำตามข้อตกลงในสัญญาเช่านั้นก่อนภายในระยะเวลาอันสมควร และถ้าผู้เช่ายังไม่ทำตามข้อตกลงตามที่ได้บอกกล่าวหรือแจ้งอีก ผู้ให้เช่าจึงจะมีอำนาจบอกยกเลิกสัญญาเช่านั้นได้. | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 552\nอันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยมปกติ หรือการดังกำหนดไว้ในสัญญานั้น ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่",
"section_num": "552"
},
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 553\nผู้เช่าจำต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่านั้นเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง และต้องบำรุงรักษาทั้งทำการซ่อมแซมเล็กน้อยด้วย",
"section_num": "553"
}
] |
หากแบบแสดงข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์เป็นเท็จ ผู้ใดต้องร่วมรับผิดกับบริษัทที่ขายหลักทรัพย์บ้าง | กรรมการที่มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท หรือผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนที่ได้ลงลายมือชื่อไว้ในแบบแสดงข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ที่เป็นเท็จ หรือผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงินหรือผู้ประเมินราคาทรัพย์สินที่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงลงลายมือชื่อรับรองข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลที่เป็นเท็จนั้น จะต้องร่วมรับผิดด้วย คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 83 หากบริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์ต้องรับผิดต่อผู้ซื้อหลักทรัพย์ในการที่แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนเป็นเท็จ หรือขาดข้อความที่เป็นสาระสำคัญ ให้บุคคลดังต่อไปนี้ต้องร่วมรับผิดกับบริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์ด้วย ได้แก่ กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท หรือผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนที่ได้ลงลายมือชื่อไว้ในแบบแสดงรายการดังกล่าว หรือผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน หรือผู้ประเมินราคาทรัพย์สินที่จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงลงลายมือชื่อรับรองข้อมูลในแบบแสดงรายการนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็น หรือโดยตำแหน่งหน้าที่ของตนไม่อาจรู้ได้ถึงความจริงของข้อมูล หรือการขาดข้อความที่ควรต้องแจ้งนั้น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 83 ให้บุคคลดังต่อไปนี้รับผิดตามมาตรา 82 ร่วมกับบริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็น หรือโดยตำแหน่งหน้าที่ตนไม่อาจล่วงรู้ถึงความแท้จริงของข้อมูล หรือการขาดข้อความที่ควรต้องแจ้งนั้น\n(1) กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทซึ่งลงลายมือชื่อไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวน\n(2) ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งลงลายมือชื่อไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวน\n(3) ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน หรือผู้ประเมินราคาทรัพย์สินซึ่งจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงลงลายมือชื่อรับรองข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวน",
"section_num": "83"
}
] | กรรมการที่มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท หรือผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนที่ได้ลงลายมือชื่อไว้ในแบบแสดงข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ที่เป็นเท็จ หรือผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงินหรือผู้ประเมินราคาทรัพย์สินที่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงลงลายมือชื่อรับรองข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลที่เป็นเท็จนั้น จะต้องร่วมรับผิดด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 82 ในกรณีที่แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนมีข้อความหรือรายการที่เป็นเท็จ หรือขาดข้อความที่ควรต้องแจ้งในสาระสำคัญให้บุคคลใด ๆ ที่ซื้อหลักทรัพย์จากผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด บริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์และยังเป็นเจ้าของหลักทรัพย์อยู่และได้รับความเสียหายจากการนั้น มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์ดังกล่าวได้\nบุคคลผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นผู้ซื้อหลักทรัพย์ก่อนที่จะปรากฏข้อเท็จจริงตามวรรคหนึ่ง แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับ",
"section_num": "82"
}
] |
กองทุนตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่ใช้ชื่อ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” นำหน้า และ “ซึ่งจดทะเบียนแล้ว” ต่อท้าย มีความผิดหรือไม่ อย่างไร | มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าพันบาท โดยตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 32 กองทุนใดไม่ใช้ชื่อซึ่งมีอักษรไทยว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” นำหน้า และ “ซึ่งจดทะเบียนแล้ว” ต่อท้าย หรือใช้ชื่อเป็นอักษรต่างประเทศ แต่ไม่ใช้คำซึ่งมีความหมายดังกล่าวในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความหรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจของกองทุน มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าพันบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 32 กองทุนใดไม่ใช้ชื่อซึ่งมีอักษรไทยว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” นำหน้า และ “ซึ่งจดทะเบียนแล้ว” ต่อท้าย หรือใช้ชื่อเป็นอักษรต่างประเทศ แต่ไม่ใช้คำซึ่งมีความหมายดังกล่าวในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความหรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจของกองทุน มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าพันบาท*",
"section_num": "32"
}
] | มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าพันบาท | [] |
เมื่อมีการจ่ายเงินปันผลไปโดยฝ่าฝืนความในมาตรา 1201 และ 1202 เจ้าหนี้ของบริษัทจะเรียกเอาเงินคืนมายังบริษัทได้หรือไม่ | เจ้าหนี้ของบริษัทชอบที่จะเรียกเอาเงินจำนวนซึ่งได้แจกไปคืนมายังบริษัทได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1203 ถ้าจ่ายเงินปันผลไปโดยฝ่าฝืนความในมาตราทั้งสองซึ่งกล่าวมา เจ้าหนี้ทั้งหลายของบริษัทชอบที่จะเรียกเอาเงินจำนวนซึ่งได้แจกไปคืนมายังบริษัทได้ แต่ว่าถ้าผู้ถือหุ้นคนใดได้รับเงินปันผลไปแล้วโดยสุจริต จะบังคับให้เขาคืนไม่ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1203\nถ้าจ่ายเงินปันผลไปโดยฝ่าฝืนความในมาตราทั้งสองซึ่งกล่าวมาไซร้ เจ้าหนี้ทั้งหลายของบริษัทชอบที่จะเรียกเอาเงินจำนวนซึ่งได้แจกไปคืนมายังบริษัทได้ แต่ว่าถ้าผู้ถือหุ้นคนใดได้รับเงินปันผลไปแล้วโดยสุจริต ท่านว่าจะกลับบังคับให้เขาจำคืนนั้นหาได้ไม่",
"section_num": "1203"
}
] | เจ้าหนี้ของบริษัทชอบที่จะเรียกเอาเงินจำนวนซึ่งได้แจกไปคืนมายังบริษัทได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1203 | [] |
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีกำหนดกี่ปี | อายุความในกฎหมายแพ่งจะมีอายุความทั้งสิ้น 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ยกเว้นกรณีที่มีการบัญญัติโดยเฉพาะไม่ว่าจะระบุในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ซึ่งจะมีอายุความที่แตกต่างไป | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30\nอายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดสิบปี",
"section_num": "193/30"
}
] | 10 ปี | [] |
เมื่อคณะกรรมการ กรรมการ สมาชิกของสมาคมการค้ากระทำการที่ภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หรือต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นายทะเบียนมีอำนาจอย่างไร | นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้คณะกรรมการ กรรมการหรือสมาชิกนั้นระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้นภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด ตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 32 เมื่อปรากฏว่าคณะกรรมการ กรรมการหรือสมาชิกของสมาคมการค้ากระทำการใด ๆ อันอาจเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หรือต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้คณะกรรมการ กรรมการหรือสมาชิกนั้นระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้นภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนดได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 32 เมื่อปรากฏว่าคณะกรรมการ กรรมการหรือสมาชิกของสมาคมการค้ากระทำการใด ๆ อันอาจเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หรือต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้คณะกรรมการ กรรมการหรือสมาชิกนั้นระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้นภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด",
"section_num": "32"
}
] | นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้คณะกรรมการ กรรมการหรือสมาชิกนั้นระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้นภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด | [] |
การร้องขอให้ศาลสั่งให้บุคคลเป็นคนไร้ความสามารถมีหลักเกณฑ์การพิจารณาอย่างไร | ถ้าพิจารณาได้ความว่าบุคคลนั้นไม่วิกลจริต แต่มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อมีคำขอของคู่ความหรือของบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ศาลอาจสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 33 ในคดีที่มีการร้องขอให้ศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถเพราะวิกลจริต ถ้าทางพิจารณาได้ความว่าบุคคลนั้นไม่วิกลจริต แต่มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อมีคำขอของคู่ความหรือของบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ศาลอาจสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ หรือในคดีที่มีการร้องขอให้ศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถเพราะมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ถ้าทางพิจารณาได้ความว่าบุคคลนั้นวิกลจริต เมื่อมีคำขอของคู่ความหรือของบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ศาลอาจสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 33\nในคดีที่มีการร้องขอให้ศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถเพราะวิกลจริต ถ้าทางพิจารณาได้ความว่าบุคคลนั้นไม่วิกลจริต แต่มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อมีคำขอของคู่ความหรือของบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ศาลอาจสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ หรือในคดีที่มีการร้องขอให้ศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถเพราะมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ถ้าทางพิจารณาได้ความว่าบุคคลนั้นวิกลจริต เมื่อมีคำขอของคู่ความหรือของบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ศาลอาจสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้",
"section_num": "33"
}
] | ถ้าพิจารณาได้ความว่าบุคคลนั้นไม่วิกลจริต แต่มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อมีคำขอของคู่ความหรือของบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ศาลอาจสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28\nบุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าคู่สมรสก็ดี ผู้บุพการีกล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวดก็ดี ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ก็ดี ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลจะสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้\nบุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล การแต่งตั้งผู้อนุบาล อำนาจหน้าที่ของผู้อนุบาล และการสิ้นสุดของความเป็นผู้อนุบาล ให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายนี้\nคำสั่งของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา",
"section_num": "28"
}
] |
สามีหรือภริยาฝ่ายใดมีสิทธิฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาสินสมรส หรือเพื่อประโยชน์แก่สินสมรสได้หรือไม่ | มีสิทธิฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาสินสมรส หรือเพื่อประโยชน์แก่สินสมรสได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1477 สามีภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาสินสมรส หรือเพื่อประโยชน์แก่สินสมรส หนี้อันเกิดแต่การฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นหนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1477\nสามีภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาสินสมรส หรือเพื่อประโยชน์แก่สินสมรส หนี้อันเกิดแต่การฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นหนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน",
"section_num": "1477"
}
] | มีสิทธิฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวนบำรุงรักษาสินสมรส หรือเพื่อประโยชน์แก่สินสมรสได้ | [] |
สามารถทำการกักตุน ทุ่มตลาด ควบคุมต่อสินค้าของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้หรือไม่ | ไม่สามารถทำได้ ตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 94 ห้ามมิให้บุคคลใดเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่ว่าเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น ทำการกักตุน ทุ่มตลาด ควบคุมหรือกระทำการใด ๆ ต่อสินค้าของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใดที่ได้รับความเห็นชอบให้ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า อันเป็นผลให้สินค้าที่สามารถใช้ส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นมีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 94 ห้ามมิให้บุคคลใดเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่ว่าเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น ทำการกักตุน ทุ่มตลาด ควบคุมหรือกระทำการใด ๆ ต่อสินค้าของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใดที่ได้รับความเห็นชอบให้ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า อันเป็นผลให้สินค้าที่สามารถใช้ส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นมีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ",
"section_num": "94"
}
] | ไม่สามารถทำได้ | [] |
นายคลังสินค้าจะเรียกให้ผู้ฝากถอนสินค้าไปก่อนสิ้นระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ได้หรือไม่ | ไม่สามารถทำได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 774 นายคลังสินค้าจะเรียกให้ผู้ฝากถอนสินค้าไปก่อนสิ้นระยะเวลาที่ตกลงกันไว้นั้น หาอาจทำไม่ได้ ถ้าไม่มีกำหนดเวลาส่งคืนสินค้า นายคลังสินค้าจะส่งคืนได้ต่อเมื่อบอกกล่าวให้ผู้ฝากทราบล่วงหน้าเดือนหนึ่ง แต่มิให้ผู้ฝากต้องถูกบังคับให้ถอนสินค้าไปก่อนเวลาล่วงแล้วสองเดือน นับแต่วันที่ได้ส่งมอบฝากไว้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 774\nนายคลังสินค้าจะเรียกให้ผู้ฝากถอนสินค้าไปก่อนสิ้นระยะเวลาที่ตกลงกันไว้นั้น ท่านว่าหาอาจทำได้ไม่ ถ้าไม่มีกำหนดเวลาส่งคืนสินค้า นายคลังสินค้าจะส่งคืนได้ต่อเมื่อบอกกล่าวให้ผู้ฝากทราบล่วงหน้าเดือนหนึ่ง แต่ท่านมิให้ผู้ฝากต้องถูกบังคับให้ถอนสินค้าไปก่อนเวลาล่วงแล้วสองเดือน นับแต่วันที่ได้ส่งมอบฝากไว้",
"section_num": "774"
}
] | ไม่สามารถทำได้ | [] |
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตอาจขอรับใบอนุญาตอีกได้เมื่อพ้นระยะเวลาเท่าใด | เมื่อพ้นห้าปีนับแต่วันที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 40 ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตอาจขอรับใบอนุญาตอีกได้เมื่อพ้นห้าปีนับแต่วันที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต แต่เมื่อคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีได้พิจารณาคำขอรับใบอนุญาตและปฏิเสธการออกใบอนุญาต ผู้นั้นจะยื่นคำขอรับใบอนุญาตได้อีกเมื่อสิ้นระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีปฏิเสธการออกใบอนุญาต ถ้าคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีปฏิเสธการออกใบอนุญาตเป็นครั้งที่สองแล้ว ผู้นั้นเป็นอันหมดสิทธิขอรับใบอนุญาตอีกต่อไป | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 40 ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตอาจขอรับใบอนุญาตอีกได้เมื่อพ้นห้าปีนับแต่วันที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต แต่เมื่อคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีได้พิจารณาคำขอรับใบอนุญาตและปฏิเสธการออกใบอนุญาต ผู้นั้นจะยื่นคำขอรับใบอนุญาตได้อีกเมื่อสิ้นระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีปฏิเสธการออกใบอนุญาต ถ้าคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีปฏิเสธการออกใบอนุญาตเป็นครั้งที่สองแล้ว ผู้นั้นเป็นอันหมดสิทธิขอรับใบอนุญาตอีกต่อไป",
"section_num": "40"
}
] | เมื่อพ้นห้าปีนับแต่วันที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต | [] |
หากบุคคลที่มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ทำการทุจริตก่อให้เกิดความเสียหาย ต้องรับโทษอย่างไรบ้าง | บุคคลนั้นต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือจ่ายค่าปรับไม่เกิน 2,000,000 บาท หรือต้องรับโทษทั้งจำคุกและจ่ายค่าปรับ คำ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 85 กรรมการ ผู้จัดการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือตัวแทนของทรัสตี หรือบุคคลใดซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการกองทรัสต์ กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่กองทรัสต์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "85"
}
] | บุคคลนั้นต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือจ่ายค่าปรับไม่เกิน 2,000,000 บาท หรือต้องรับโทษทั้งจำคุกและจ่ายค่าปรับ | [] |
ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องจัดเก็บแบบบันทึกรายการจำนวนเงินที่ได้รับชำระราคาไว้เป็นเวลานานเท่าไร | ต้องเก็บไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ทำบันทึก | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 105 ตรี ในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ รับเงินหรือรับชำระราคามีจำนวนครั้งหนึ่ง ๆ ไม่ถึงจำนวนที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา 105 (1) ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ รวมเงินที่รับมาเฉพาะในกรณีดังกล่าวทุกครั้งและเมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ ได้จำนวนเท่าใด ให้ทำบันทึกจำนวนเงินนั้นรวมขึ้นเป็นวัน ๆ ตามแบบที่อธิบดีกำหนดและเก็บไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันทำบันทึก",
"section_num": "105 ตรี"
}
] | ต้องเก็บไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ทำบันทึก | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 105 ในกรณีต่อไปนี้ ผู้ขาย ผู้ให้เช่าซื้อ ผู้รับเงิน หรือผู้รับชำระราคาต้องออกใบรับให้แก่ผู้ซื้อ ผู้เช่าซื้อ ผู้จ่ายเงินหรือผู้ชำระราคา ในทันทีทุกคราวที่รับเงินหรือรับชำระราคาไม่ว่าจะมีการเรียกร้องให้ออกใบรับหรือไม่ก็ตาม\n(1) การรับเงินหรือรับชำระราคาจากการขายสินค้าหรือการให้บริการของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 และการรับเงินหรือรับชำระราคาจากการกระทำกิจการของผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามหมวด 5 ซึ่งรวมเงินหรือราคาที่ได้รับชำระแต่ละครั้งเกินจำนวนเงินตามที่อธิบดีกำหนด แต่อธิบดีจะกำหนดเกินหนึ่งพันบาทไม่ได้\n(2) การรับเงินหรือรับชำระราคาในกรณีอื่นซึ่งรวมเงิน หรือราคาที่ได้รับชำระแต่ละครั้งเกินจำนวนเงินตามที่อธิบดีกำหนด แต่อธิบดีจะกำหนดเกินหนึ่งหมื่นบาทไม่ได้\nถ้าการรับเงินหรือรับชำระราคาในกรณีเดียวกันมีจำนวนเกินกว่าที่อธิบดีกำหนดตาม (1) หรือ (2) แต่มีเงื่อนไขให้รับเงินหรือรับชำระราคาในภายหลังเป็นหลายงวด ให้ออกใบรับทุกคราวในทันทีที่รับเงินหรือรับชำระราคานั้น\nผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งได้ออกใบกำกับภาษีที่มีข้อความแสดงว่าได้รับเงินหรือรับชำระราคาแล้ว จะถือเอาใบกำกับภาษีนั้นเป็นใบรับที่ต้องออกตามมาตรานี้ก็ได้\nมาตรานี้ไม่ใช้บังคับแก่การจำหน่ายแสตมป์อากร หรือแสตมป์อื่นของรัฐบาลที่ยังมิได้ใช้",
"section_num": "105"
}
] |
หากมีบุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้มีการกระทำความผิดซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย และเชื่อได้ว่าผู้นั้นจะมีการยักย้ายทรัพย์สิน สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นได้กี่วัน | สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นได้ ไม่เกิน 180 วัน เว้นแต่ หากมีการฟ้องคดีต่อศาลแล้ว ก็ให้คำสั่งยึดหรืออายัดนั้นมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 108 ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีลักษณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ประชาชน และสำนักงาน ก.ล.ต. มีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตน หรือที่ตนครอบครองอยู่ ให้สำนักงาน ก.ล.ต. ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือที่บุคคลนั้นครอบครองอยู่หรือทรัพย์สินที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าเป็นของบุคคลนั้นได้ แต่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้เว้นแต่ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาล ให้คำสั่งยึดหรืออายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น และในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ให้สำนักงาน ก.ล.ต. ร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอขยายระยะเวลาออกไปอีกได้ แต่จะขอขยายระยะเวลาอีกเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้\nวิธีการยึดและอายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นผู้ดำเนินการ\nการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงจำนวนเงินที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพและเลี้ยงดูครอบครัวของบุคคลที่ถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินด้วย",
"section_num": "108"
}
] | ไม่เกิน 180 วัน | [] |
บุคคลที่เก็บของหายได้มีสิทธิได้รับรางวัลจากเจ้าของนั้นเท่าไร | บุคคลนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอารางวัลได้เป็นจำนวนร้อยละ 10 จากราคาของที่หายไม่เกิน 30,000 บาท แต่ถ้าหากราคาของที่หายนั้นมีค่ามากกว่า 30,000 บาท ให้คิดรางวัลได้อีกร้อยละ 5 ตามจำนวนราคาที่เพิ่มขึ้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1324\nผู้เก็บได้ซึ่งทรัพย์สินหาย อาจเรียกร้องเอารางวัลจากบุคคลผู้มีสิทธิจะรับทรัพย์สินนั้นเป็นจำนวนร้อยละสิบแห่งค่าทรัพย์สินภายในราคาสามหมื่นบาท และถ้าราคาสูงกว่านั้นขึ้นไปให้คิดให้อีกร้อยละห้าในจำนวนที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าผู้เก็บได้ซึ่งทรัพย์สินหายได้ส่งมอบทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น ให้เสียเงินอีกร้อยละสองครึ่งแห่งค่าทรัพย์สินเป็นค่าธรรมเนียมแก่ทบวงการนั้น ๆ เพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากรางวัลซึ่งให้แก่ผู้เก็บได้ แต่ค่าธรรมเนียมนี้ให้จำกัดไว้ไม่เกินหนึ่งพันบาท\nถ้าผู้เก็บได้ซึ่งทรัพย์สินหายมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติในมาตราก่อนไซร้ท่านว่าผู้นั้นไม่มีสิทธิจะรับรางวัล",
"section_num": "1324"
}
] | บุคคลนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอารางวัลได้เป็นจำนวนร้อยละ 10 จากราคาของที่หายไม่เกิน 30,000 บาท แต่ถ้าหากราคาของที่หายนั้นมีค่ามากกว่า 30,000 บาท ให้คิดรางวัลได้อีกร้อยละ 5 ตามจำนวนราคาที่เพิ่มขึ้น. | [] |
การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนมีการคัดเลือกอย่างไรบ้าง | กรรมการผู้ทรงคุณวุฒินั้นต้องมาจากรายชื่อที่เสนอโดยนิติบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดทุนเท่านั้น โดยการเสนอคัดเลือกดังกล่าวต้องเป็นไปตามกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 218/8 บุคคลซึ่งคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้งเป็นกรรมการกองทุนตามมาตรา 218/7 (4) ต้องมาจากรายชื่อที่เสนอโดยนิติบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดทุน\nให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการกองทุนตามวรรคหนึ่ง โดยอย่างน้อยต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับความรู้หรือประสบการณ์อันจำเป็นต่อการดำเนินงานของกองทุน รวมทั้งประเภทหรือลักษณะของนิติบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดทุนซึ่งมีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นกรรมการกองทุน",
"section_num": "218/8"
}
] | กรรมการผู้ทรงคุณวุฒินั้นต้องมาจากรายชื่อที่เสนอโดยนิติบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดทุนเท่านั้น โดยการเสนอคัดเลือกดังกล่าวต้องเป็นไปตามกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนด. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 218/7 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน” ประกอบด้วย\n(1) ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ เป็นประธานกรรมการ\n(2) รองเลขาธิการซึ่งเลขาธิการมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ\n(3) ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เป็นกรรมการ\n(4) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสามคนซึ่งคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้งตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในมาตรา 218/8 เป็นกรรมการ\nให้ผู้จัดการกองทุนเป็นเลขานุการ",
"section_num": "218/7"
}
] |
บุคคลธรรมดาสามารถเป็นผู้ก่อตั้งทรัสต์ได้หรือไม่อย่างไร | ไม่ได้ เนื่องจากนิติบุคคลเท่านั้นที่จะเป็นผู้ก่อตั้งทรัสต์ได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 12 ผู้ที่จะเป็นผู้ก่อตั้งทรัสต์ได้ต้องเป็นนิติบุคคลดังต่อไปนี้\n(1) บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์\n(2) ผู้จำหน่ายสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์\n(3) นิติบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด",
"section_num": "12"
}
] | ไม่ได้ เนื่องจากนิติบุคคลเท่านั้นที่จะเป็นผู้ก่อตั้งทรัสต์ได้ | [] |
คู่หมั้นที่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้น จะสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากอีกฝ่ายได้หรือไม่อย่างไร | ได้ หากคู่หมั้นอีกฝ่ายนั้นได้มีการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้เกิดการบอกเลิกสัญญาหมั้นนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1444\nถ้าเหตุอันทำให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้นเป็นเพราะการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทำภายหลังการหมั้น คู่หมั้นผู้กระทำชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น",
"section_num": "1444"
}
] | ได้ หากคู่หมั้นอีกฝ่ายนั้นได้มีการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้เกิดการบอกเลิกสัญญาหมั้นนั้น | [] |
หากมีการซื้อขายที่ดินซึ่งได้รับประโยชน์จากการที่ที่ดินอื่นยอมให้มีทางเดินเข้าออกได้นั้น ผู้ซื้อสามารถจะได้รับประโยชน์ใช้ทางเดินนั้นด้วยได้หรือไม่อย่างไร | ผู้ซื้อย่อมได้รับประโยชน์สามารถใช้ทางเดินเข้าออกซึ่งถือเป็นภาระจำยอมในที่ดินอื่นนั้นได้อยู่ หากไม่ได้มีข้อตกลงเป็นการเฉพาะเป็นอย่างอื่น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1393\nถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระจำยอมไซร้ ท่านว่าภาระจำยอมย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ซึ่งได้จำหน่าย หรือตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่น\nท่านว่าจะจำหน่าย หรือทำให้ภาระจำยอมตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่นต่างหากจากสามยทรัพย์ไม่ได้",
"section_num": "1393"
}
] | ผู้ซื้อย่อมได้รับประโยชน์สามารถใช้ทางเดินเข้าออกซึ่งถือเป็นภาระจำยอมในที่ดินอื่นนั้นได้อยู่ หากไม่ได้มีข้อตกลงเป็นการเฉพาะเป็นอย่างอื่น | [] |
ผู้ถือหุ้นในบริษัทมหาชนสามารถมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนแทนตนได้หรือไม่อย่างไร | ได้ โดยบุคคลอื่นที่มาเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นในบริษัทมหาชนและออกเสียงลงคะแนนแทนผู้ถือหุ้นตัวจริงนั้น จะต้องยื่นหนังสือมอบฉันทะต่อประธานกรรมการหรือผู้ที่ประธานกรรมการกำหนดด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 102 ผู้ถือหุ้นมีสิทธิเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนในการประชุมผู้ถือหุ้นแต่จะมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนแทนก็ได้ ในการนี้ให้นำมาตรา 33 วรรคสอง วรรคสี่ และวรรคห้า และมาตรา 34 มาใช้บังคับโดยอนุโลมโดยในกรณีการมอบฉันทะให้ยื่นหนังสือมอบฉันทะต่อประธานกรรมการหรือผู้ที่ประธานกรรมการกำหนด\nการออกเสียงลงคะแนนในวรรคหนึ่งในส่วนที่ถือว่าหุ้นหนึ่งมีเสียงหนึ่งนั้นมิให้ใช้บังคับกับกรณีที่บริษัทได้ออกหุ้นบุริมสิทธิและกำหนดให้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนน้อยกว่าหุ้นสามัญ\nการมอบฉันทะตามวรรคหนึ่ง อาจดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แทนได้ โดยต้องใช้วิธีการที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ว่าการมอบฉันทะนั้นได้ดำเนินการโดยผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่นายทะเบียนกำหนด",
"section_num": "102"
}
] | ได้ โดยบุคคลอื่นที่มาเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นในบริษัทมหาชนและออกเสียงลงคะแนนแทนผู้ถือหุ้นตัวจริงนั้น จะต้องยื่นหนังสือมอบฉันทะต่อประธานกรรมการหรือผู้ที่ประธานกรรมการกำหนดด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 33 ผู้จองหุ้นซึ่งผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทได้จัดสรรหุ้นให้แล้ว มีสิทธิเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนในการประชุมจัดตั้งบริษัท\nผู้จองหุ้นคนใดมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในเรื่องใด ผู้จองหุ้นคนนั้นไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในเรื่องนั้น นอกจากการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งกรรมการ\nการลงมติของที่ประชุมจัดตั้งบริษัท ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากของผู้จองหุ้น ซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด\nในการออกเสียงลงคะแนน ให้ผู้จองหุ้นมีคะแนนเสียงเท่าจำนวนหุ้นที่จองโดยถือว่าหุ้นหนึ่งมีเสียงหนึ่ง\nการออกเสียงลงคะแนนให้กระทำโดยเปิดเผย เว้นแต่ผู้จองหุ้นไม่น้อยกว่าห้าคนร้องขอ และที่ประชุมลงมติให้ลงคะแนนลับก็ให้ลงคะแนนลับ ส่วนวิธีการออกเสียงลงคะแนนลับนั้นให้เป็นไปตามที่ประธานในที่ประชุมกำหนด",
"section_num": "33"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 34 ในการประชุมผู้จองหุ้น ผู้จองหุ้นจะมอบฉันทะให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนแทนตนก็ได้ การมอบฉันทะต้องทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้มอบฉันทะ และมอบแก่บุคคลซึ่งผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทกำหนดไว้ ณ สถานที่ที่ประชุมก่อนผู้รับมอบฉันทะเข้าประชุม\nหนังสือมอบฉันทะให้เป็นไปตามแบบที่นายทะเบียนกำหนดซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้\n(1) จำนวนหุ้นที่ผู้มอบฉันทะถืออยู่\n(2) ชื่อผู้รับมอบฉันทะ\n(3) ครั้งที่ของการประชุมที่มอบฉันทะให้เข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนน\nในการออกเสียงลงคะแนน ให้ถือว่าผู้รับมอบฉันทะมีคะแนนเสียงเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงที่ผู้จองหุ้นมอบฉันทะมีรวมกัน เว้นแต่ผู้รับมอบฉันทะจะแถลงต่อที่ประชุมก่อนลงคะแนนว่าตนจะออกเสียงแทนผู้ซึ่งมอบฉันทะเพียงบางคน โดยระบุชื่อผู้มอบฉันทะและจำนวนหุ้นที่ผู้มอบฉันทะถืออยู่ด้วย",
"section_num": "34"
}
] |
ผู้ขายฝากยังมีสิทธิในทรัพย์สินที่ตนได้ขายฝากไปนั้นอยู่อีกหรือไม่ | ไม่ เนื่องจากกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินนั้นได้ตกไปเป็นของผู้ซื้อแล้ว ดังนั้น ผู้ขายฝากจึงไม่มีสิทธิในทรัพย์สินที่ตนได้ขายฝากแล้ว | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491\nอันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้",
"section_num": "491"
}
] | ไม่ เนื่องจากกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินนั้นได้ตกไปเป็นของผู้ซื้อแล้ว ดังนั้น ผู้ขายฝากจึงไม่มีสิทธิในทรัพย์สินที่ตนได้ขายฝากแล้ว | [] |
หากลูกหนี้ชำระหนี้ล่าช้าไม่ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้และเจ้าหนี้ก็ได้ยอมรับการชำระหนี้นั้นของลูกหนี้แล้ว เจ้าหนี้สามารถเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกหรือไม่อย่างไร | เจ้าหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับไม่ได้ เว้นแต่ เจ้าหนี้ได้มีการบอกกล่าวลูกหนี้ในขณะที่ตนรับชำระหนี้นั้นเป็นการสงวนสิทธิว่าตนจะเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกจากการที่ลูกหนี้ชำระหนี้ล่าช้า | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381\nถ้าลูกหนี้ได้สัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร เช่นว่าไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้เป็นต้น นอกจากเรียกให้ชำระหนี้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นอีกด้วยก็ได้\nถ้าเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในมูลชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควร ท่านให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 380 วรรค 2\nถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้นในเวลารับชำระหนี้",
"section_num": "381"
}
] | เจ้าหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับไม่ได้ เว้นแต่ เจ้าหนี้ได้มีการบอกกล่าวลูกหนี้ในขณะที่ตนรับชำระหนี้นั้นเป็นการสงวนสิทธิว่าตนจะเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกจากการที่ลูกหนี้ชำระหนี้ล่าช้า | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380\nถ้าลูกหนี้ได้สัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นแทนการชำระหนี้ก็ได้ แต่ถ้าเจ้าหนี้แสดงต่อลูกหนี้ว่าจะเรียกเอาเบี้ยปรับฉะนั้นแล้ว ก็เป็นอันขาดสิทธิเรียกร้องชำระหนี้อีกต่อไป\nถ้าเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ จะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นในฐานเป็นจำนวนน้อยที่สุดแห่งค่าเสียหายก็ได้ การพิสูจน์ค่าเสียหายยิ่งกว่านั้น ท่านก็อนุญาตให้พิสูจน์ได้",
"section_num": "380"
}
] |
หากเป็นข้าราชการการเมืองสามารถเป็นกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้หรือไม่อย่างไร | ไม่ได้ เนื่องจากการเป็นข้าราชการการเมืองเป็นลักษณะต้องห้ามในตำแหน่งกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 62 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามที่กฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดกำหนดแล้ว กรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าพ้นจากตำแหน่งเมื่อ\n(1) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 61\n(2) คณะกรรมการ ก.ล.ต. สั่งถอดถอนออกจากตำแหน่ง เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่บกพร่องอย่างร้ายแรงหรือกระทำผิดต่อหน้าที่ของตนโดยทุจริต",
"section_num": "62"
}
] | ไม่ได้ เนื่องจากการเป็นข้าราชการการเมืองเป็นลักษณะต้องห้ามในตำแหน่งกรรมการศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 61 นอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว กรรมการของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้\n(1) มีประวัติเสียหายหรือดำเนินกิจการใดที่มีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบหรือความรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\n(2) เป็นข้าราชการการเมือง\n(3) เป็นข้าราชการหรือพนักงานในหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือสถาบันการเงิน",
"section_num": "61"
}
] |
ในบริษัทมหาชนสามารถแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญได้หรือไม่อย่างไร | ไม่ได้ เว้นแต่ จะมีข้อบังคับของบริษัทมหาชนกำหนดให้สามารถแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 65 บุริมสิทธิในหุ้นซึ่งได้ออกให้แล้วจะเปลี่ยนแปลงมิได้\nการแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญจะกระทำมิได้ เว้นแต่บริษัทจะมีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ในการนี้ให้ทำได้โดยผู้ถือหุ้นยื่นคำขอแปลงหุ้นต่อบริษัทพร้อมกับส่งมอบใบหุ้นคืน\nการแปลงหุ้นตามวรรคสองให้มีผลนับแต่วันยื่นคำขอ ในการนี้ให้บริษัทออกใบหุ้นใหม่ให้แก่ผู้ขอภายในสิบสี่วันนับแต่วันได้รับคำขอ",
"section_num": "65"
}
] | ไม่ได้ เว้นแต่ จะมีข้อบังคับของบริษัทมหาชนกำหนดให้สามารถแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญได้ | [] |
บริษัทมหาชนสามารถจ่ายเงินปันผลเป็นการออกหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นแทนได้หรือไม่อย่างไร | ได้ หากบริษัทมหาชนนั้นยังจำหน่ายหุ้นไม่ครบตามจำนวนที่ได้จดทะเบียนไว้ หรือบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนแล้ว โดยในการออกหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นแทนการจ่ายเงินปันผลนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 117 ในกรณีที่บริษัทยังจำหน่ายหุ้นไม่ครบตามจำนวนที่จดทะเบียนไว้ หรือบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนแล้ว บริษัทจะจ่ายเงินปันผลทั้งหมดหรือบางส่วน โดยออกเป็นหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็ได้",
"section_num": "117"
}
] | ได้ หากบริษัทมหาชนนั้นยังจำหน่ายหุ้นไม่ครบตามจำนวนที่ได้จดทะเบียนไว้ หรือบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนแล้ว โดยในการออกหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นแทนการจ่ายเงินปันผลนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย | [] |
เมื่อห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนทั้งคู่ได้มีการควบรวมกิจการเข้าด้วยกันแล้ว ห้างหุ้นส่วนทั้งคู่นั้นจะต้องมีหน้าที่อย่างไรอีกบ้าง | ห้างหุ้นส่วนแต่ละฝ่ายนั้นจะต้องมีหน้าที่ในการจดข้อความลงในทะเบียนนั้นด้วยว่า ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวนั้นได้ควบรวมกิจการเป็นห้างหุ้นส่วนขึ้นใหม่แล้ว | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1075\nเมื่อห้างได้ควบเข้ากันแล้ว ต่างห้างก็ต่างมีหน้าที่จะต้องนำความนั้นจดลงทะเบียน ว่าได้ควบเข้ากันเป็นห้างหุ้นส่วนขึ้นใหม่",
"section_num": "1075"
}
] | ห้างหุ้นส่วนแต่ละฝ่ายนั้นจะต้องมีหน้าที่ในการจดข้อความลงในทะเบียนนั้นด้วยว่า ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวนั้นได้ควบรวมกิจการเป็นห้างหุ้นส่วนขึ้นใหม่แล้ว | [] |
ใครเป็นผู้ดูแลกิจการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก | เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 24 ในกิจการของสำนักงานที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้เลขาธิการเป็นผู้แทนของสำนักงาน และเพื่อการนี้เลขาธิการจะมอบอำนาจให้ตัวแทนหรือบุคคลใดกระทำการเฉพาะอย่างแทนก็ได้",
"section_num": "24"
}
] | เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ | [] |
ถ้านายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนบริษัทมหาชน ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องทำอย่างไรบ้าง | ผู้ขอจดทะเบียนสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนที่ไม่รับจดทะเบียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 187 ในกรณีที่คำขอจดทะเบียนถูกต้องและครบถ้วนแล้ว ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียน แต่ถ้าปรากฏว่าคำขอจดทะเบียนมีรายการไม่ถูกต้อง หรือแนบเอกสารไม่ครบถ้วน หรือรายการใดในคำขอจดทะเบียนหรือเอกสารมีข้อความขัดต่อกฎหมาย ให้นายทะเบียนแจ้งให้ผู้ขอจดทะเบียนจัดการแก้ไขให้ถูกต้อง หรือจัดให้มีครบถ้วน หรือทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน เมื่อผู้ขอจดทะเบียนจัดการตามที่ได้รับแจ้งแล้ว ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียน\nเมื่อรับจดทะเบียนแล้ว ให้นายทะเบียนประกาศรายการย่อแสดงข้อความที่รับจดทะเบียนไว้ในราชกิจจานุเบกษา\nเมื่อมีการประกาศข้อความตามวรรคสองแล้ว ให้ถือว่าบุคคลทั่วไปได้ทราบข้อความที่ประกาศนับแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป\nในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน ให้แจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผลที่ไม่รับจดทะเบียนเป็นหนังสือให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบโดยเร็ว ในการนี้ผู้ขอจดทะเบียนจะอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนต่อรัฐมนตรีภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันได้รับแจ้งคำสั่งก็ได้\nคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด",
"section_num": "187"
}
] | ผู้ขอจดทะเบียนสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนที่ไม่รับจดทะเบียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง | [] |
เอกสารเกี่ยวกับภาษีอากรที่จัดทำเป็นภาษาต่างประเทศ ต้องได้รับการแปลเป็นภาษาไทยหรือไม่ | กรณีเอกสารเกี่ยวกับภาษีอากรจัดทำเป็นภาษาต่างประเทศ พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้แปลเอกสารนั้นเป็นภาษาไทยภายในเวลาที่สมควร | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 ฉ บรรดาบัญชี เอกสาร และหลักฐานต่าง ๆซึ่งเกี่ยวกับหรือสันนิษฐานว่าเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะต้องเสียถ้าทำเป็นภาษาต่างประเทศ เจ้าพนักงานประเมินหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้บุคคลใดที่มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการแปลเป็นภาษาไทยให้เสร็จภายในเวลาที่สมควรก็ได้",
"section_num": "3 ฉ"
}
] | กรณีเอกสารเกี่ยวกับภาษีอากรจัดทำเป็นภาษาต่างประเทศ พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้แปลเอกสารนั้นเป็นภาษาไทยภายในเวลาที่สมควร | [] |
ถ้าที่ดินที่มีสิทธิเก็บกินถูกเวนคืนและเจ้าของที่ดินได้รับเงินทดแทนจากการเวนคืนนั้น ผู้ที่มีสิทธิเก็บกินนั้นจะได้รับส่วนแบ่งในเงินทดแทนนั้นด้วยหรือไม่อย่างไร | ผู้ที่มีสิทธิเก็บกินสามารถได้รับเงินทดแทนจากการเวนคืนที่ดินนั้นได้ตามส่วนที่ตนได้รับความเสียหาย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1419\nถ้าทรัพย์สินสลายไปโดยไม่ได้ค่าทดแทนไซร้ ท่านว่าเจ้าของไม่จำต้องทำให้คืนดี แต่ถ้าเจ้าของทำให้ทรัพย์สินคืนดีขึ้นเพียงใด ท่านว่าสิทธิเก็บกินก็กลับมีขึ้นเพียงนั้น\nถ้าได้ค่าทดแทนไซร้ ท่านว่าเจ้าของหรือผู้ทรงสิทธิเก็บกินต้องทำให้ทรัพย์สินคืนดีเพียงที่สามารถทำได้ตามจำนวนเงินค่าทดแทนที่ได้รับ และสิทธิเก็บกินกลับมีขึ้นเพียงที่ทรัพย์สินกลับคืนดี แต่ถ้าพ้นวิสัยที่จะทำให้กลับคืนดีได้ สิทธิเก็บกินก็เป็นอันสิ้นไป และค่าทดแทนนั้นต้องแบ่งกันระหว่างเจ้าของทรัพย์สิน และผู้ทรงสิทธิเก็บกินตามส่วนแห่งความเสียหายของตน\nวิธีนี้ให้ใช้บังคับโดยอนุโลมถึงกรณีซึ่งทรัพย์สินถูกบังคับซื้อ และกรณีซึ่งทรัพย์สินสลายไปแต่บางส่วน หรือการทำให้คืนดีนั้นพ้นวิสัยในบางส่วน",
"section_num": "1419"
}
] | ผู้ที่มีสิทธิเก็บกินสามารถได้รับเงินทดแทนจากการเวนคืนที่ดินนั้นได้ตามส่วนที่ตนได้รับความเสียหาย | [] |
บริษัทหลักทรัพย์สามารถรวมกันจัดตั้งสมาคมได้หรือไม่อย่างไร | ได้ โดยร่วมกันจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์แต่ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการส่งเสริมการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์อันมิใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้แบ่งปันกัน | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 230 บริษัทหลักทรัพย์จะรวมกันจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการส่งเสริมการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์อันมิใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้แบ่งปันกันได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้",
"section_num": "230"
}
] | ได้ โดยร่วมกันจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์แต่ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการส่งเสริมการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์อันมิใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้แบ่งปันกัน | [] |
ใครเป็นผู้มีอำนาจถอดถอนผู้ปกครอง หากผู้นั้นมีความพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้ปกครองของผู้เยาว์ | ศาลเป็นผู้มีอำนาจสั่ง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/8\nให้ศาลสั่งถอนผู้ปกครองในกรณีดังต่อไปนี้\n(1) ผู้ปกครองละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่\n(2) ผู้ปกครองประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในหน้าที่\n(3) ผู้ปกครองใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ\n(4) ผู้ปกครองประพฤติมิชอบซึ่งไม่สมควรแก่หน้าที่\n(5) ผู้ปกครองหย่อนความสามารถในหน้าที่จนน่าจะเป็นอันตรายแก่ประโยชน์ของผู้อยู่ในปกครอง\n(6) มีกรณีดังบัญญัติไว้ในมาตรา 1587 (3) (4) หรือ (5)",
"section_num": "1598/8"
}
] | ศาลเป็นผู้มีอำนาจสั่ง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1587\nบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วอาจถูกตั้งเป็นผู้ปกครองได้ เว้นแต่\n(1) ผู้ซึ่งศาลสั่งว่าเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ\n(2) ผู้ซึ่งเป็นบุคคลล้มละลาย\n(3) ผู้ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะปกครองผู้เยาว์หรือทรัพย์สินของผู้เยาว์\n(4) ผู้ซึ่งมีหรือเคยมีคดีในศาลกับผู้เยาว์ ผู้บุพการีหรือพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดากับผู้เยาว์\n(5) ผู้ซึ่งบิดาหรือมารดาที่ตายได้ทำหนังสือระบุชื่อห้ามไว้มิให้เป็นผู้ปกครอง",
"section_num": "1587"
}
] |
Subsets and Splits