question
stringlengths 6
751
| answer
stringlengths 3
12.6k
| relevant_laws
listlengths 1
1
| reference_answer
stringlengths 2
1.9k
| reference_laws
listlengths 0
51
|
---|---|---|---|---|
กรณีไม่ปรากฏภูมิลำเนาให้ถือที่ใดเป็นภูมิลำเนา | ให้ถือว่า ถิ่นที่อยู่ เป็นภูมิลำเนา คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 39 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถ้าภูมิลำเนาไม่ปรากฏ ให้ถือว่าถิ่นที่อยู่เป็นภูมิลำเนา | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 39\nถ้าภูมิลำเนาไม่ปรากฏ ให้ถือว่าถิ่นที่อยู่เป็นภูมิลำเนา",
"section_num": "39"
}
] | ให้ถือว่า ถิ่นที่อยู่ เป็นภูมิลำเนา | [] |
ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้าต้องมีลายมือชื่อของนายคลังสินค้าหรือไม่ | ต้องมี คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 778 วรรค 1 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า ต้องมีเลขลำดับตรงกันกับเลขในต้นขั้ว และลงลายมือชื่อของนายคลังสินค้า | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 778\nใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า ต้องมีเลขลำดับตรงกันกับเลขในต้นขั้ว และลงลายมือชื่อของนายคลังสินค้า\nอนึ่ง ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้านั้น ท่านให้มีรายละเอียดดังกล่าวต่อไปนี้ คือ\n(1) ชื่อหรือยี่ห้อ และสำนักของผู้ฝาก\n(2) ที่ตั้งคลังสินค้า\n(3) ค่าบำเหน็จสำหรับเก็บรักษา\n(4) สภาพของสินค้าที่เก็บรักษา และน้ำหนักหรือขนาดแห่งสินค้านั้น กับทั้งสภาพ จำนวน และเครื่องหมายหีบห่อ\n(5) สถานที่และวันออกใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้านั้น\n(6) ถ้าได้กำหนดกันไว้ว่าให้เก็บสินค้าไว้ชั่วเวลาเท่าใดให้แจ้งกำหนดนั้นด้วย\n(7) ถ้าของที่เก็บรักษามีประกันภัย ให้แสดงจำนวนเงินที่ประกันภัยกำหนดเวลาที่ประกันภัย และชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับประกันภัยด้วย\nอนึ่ง นายคลังสินค้าต้องจดรายละเอียดทั้งนี้ลงไว้ในต้นขั้วด้วย",
"section_num": "778"
}
] | ต้องมี | [] |
กรณีนิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 กรรมการ ผู้จัดการของนิติบุคคลต้องรับผิดด้วยหรือไม่ | ต้องรับโทษทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคล ตามมาตรา 119 พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 119 ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 114 มาตรา 115 มาตรา 116 หรือมาตรา 117 เป็นนิติบุคคล กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษทางปกครองตามมาตรา 111 ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น",
"section_num": "119"
}
] | ต้องรับโทษทางปกครองตามที่กฎหมายกำหนดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคล ตามมาตรา 119 พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 111 โทษทางปกครอง มีดังต่อไปนี้\n(1) ภาคทัณฑ์\n(2) ตำหนิโดยเปิดเผยต่อสาธารณชน\n(3) ปรับทางปกครอง\n(4) จำกัดการประกอบการ\n(5) พักการประกอบการที่ได้รับใบอนุญาต ที่ได้จดทะเบียน หรือที่ได้รับความเห็นชอบ ภายในระยะเวลาที่กำหนด\n(6) เพิกถอนใบอนุญาต การจดทะเบียน หรือการให้ความเห็นชอบ",
"section_num": "111"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 114 ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือคำสั่งหรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา 10 มาตรา 18 หรือมาตรา 19 หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง มาตรา 22 มาตรา 23 มาตรา 24 มาตรา 26 มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 38 หรือมาตรา 46 วรรคหนึ่ง ต้องรับโทษทางปกครองตามมาตรา 111",
"section_num": "114"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 115 ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือคำสั่งหรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา 10 มาตรา 55 มาตรา 58 มาตรา 65 มาตรา 66 มาตรา 70 หรือมาตรา 73 หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 22 ซึ่งมาตรา 74 ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลม มาตรา 59 มาตรา 60 มาตรา 63 หรือมาตรา 71 ต้องรับโทษทางปกครองตามมาตรา 111",
"section_num": "115"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 116 สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือคำสั่งหรือเงื่อนไขตามมาตรา 10 หรือมาตรา 65 มาตรา 66 หรือมาตรา 73 ซึ่งมาตรา 89 ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลม หรือมาตรา 76 หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง มาตรา 22 หรือมาตรา 63 ซึ่งมาตรา 89 ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมหรือมาตรา 46 วรรคหนึ่ง ซึ่งมาตรา 88 ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลม มาตรา 79 มาตรา 82 มาตรา 83 หรือมาตรา 85 ต้องรับโทษทางปกครองตามมาตรา 111",
"section_num": "116"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 117 สมาคมกำกับผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 71 ซึ่งมาตรา 91 ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลม หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา 73 ซึ่งมาตรา 91 ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลม ต้องรับโทษทางปกครองตามมาตรา 111",
"section_num": "117"
}
] |
ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนต้องมอบกิจการและเอกสารของบริษัทให้แก่คณะกรรมการภายในกี่วัน | ต้องมอบให้แก่คณะกรรมการภายใน 7 วัน คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 37 วรรค 1 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องมอบกิจการและเอกสารทั้งปวงของบริษัทแก่คณะกรรมการภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่เสร็จสิ้นการประชุมจัดตั้งบริษัท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 37 ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องมอบกิจการและเอกสารทั้งปวงของบริษัทแก่คณะกรรมการภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่เสร็จสิ้นการประชุมจัดตั้งบริษัท\nเมื่อได้รับมอบกิจการและเอกสารแล้ว ให้คณะกรรมการมีหนังสือแจ้งให้ผู้จองหุ้นชำระเงินค่าหุ้นเต็มจำนวนภายในเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือแจ้ง ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งพร้อมกับเรียกให้ผู้จองหุ้นที่ชำระค่าหุ้นด้วยทรัพย์สินอื่นที่มิใช่ตัวเงินโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นหรือทำเอกสารหลักฐานการใช้สิทธิต่าง ๆ ให้แก่บริษัทตามวิธีการ และภายในเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือแจ้งนั้นซึ่งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือนนับแต่วันจดทะเบียนบริษัท\nในการรับชำระค่าหุ้น จะหักกลบลบหนี้กับผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทหรือบริษัทมิได้",
"section_num": "37"
}
] | ต้องมอบให้แก่คณะกรรมการภายใน 7 วัน | [] |
การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 รวมถึงการแลกเปลี่ยนด้วยหรือไม่ | รวมด้วย โดยการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ให้รวมถึงการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย คำอธิบายเพิ่มเติม : ตามมาตรา 38 พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 บทบัญญัติในหมวดนี้ให้ใช้บังคับกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลตาม พระราชกำหนดนี้ การซื้อขายตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 38 บทบัญญัติในหมวดนี้ให้ใช้บังคับกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลตามพระราชกำหนดนี้\nการซื้อขายตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย",
"section_num": "38"
}
] | รวมด้วย โดยการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ให้รวมถึงการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย | [] |
ใครมีสิทธิจะได้รับชำระเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดสินค้าบ้าง | 1) นายคลังสินค้า 2) ผู้ทรงประทวนสินค้า เมื่อนำประทวนมาเวนคืน 3) ผู้รับจำนำ เมื่อเวนคืนใบรับของคลังสินค้า 4) ผู้ทรงใบรับของคลังสินค้า เมื่อไม่มีผู้รับจำนำ หรือผู้รับจำนำได้รับชำระหนี้แล้ว คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 792 นายคลังสินค้าต้องหักเงินที่ค้างชำระแก่ตนเนื่องด้วยการเก็บรักษาสินค้านั้นจากจำนวนเงินสุทธิที่ขายทอดตลาดได้ และเมื่อผู้ทรงประทวนสินค้านำประทวนมาเวนคืน ต้องเอาเงินที่เหลือนั้นให้ตามจำนวนที่ค้างชำระแก่เขา ถ้ามีเงินเหลือเท่าใด ต้องใช้แก่ผู้รับจำนำคนหลังเมื่อเขาเวนคืนใบรับของคลังสินค้าหรือถ้าไม่มีผู้รับจำนำคนหลัง หรือผู้รับจำนำคนหลังได้รับชำระหนี้แล้ว ก็ให้ชำระเงินที่เหลืออยู่นั้นแก่ผู้ทรงใบรับของคลังสินค้า | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 792\nนายคลังสินค้าต้องหักเงินที่ค้างชำระแก่ตนเนื่องด้วยการเก็บรักษาสินค้านั้นจากจำนวนเงินสุทธิที่ขายทอดตลาดได้ และเมื่อผู้ทรงประทวนสินค้านำประทวนมาเวนคืน ต้องเอาเงินที่เหลือนั้นให้ตามจำนวนที่ค้างชำระแก่เขา\nถ้ามีเงินเหลือเท่าใด ต้องใช้แก่ผู้รับจำนำคนหลังเมื่อเขาเวนคืนใบรับของคลังสินค้าหรือถ้าไม่มีผู้รับจำนำคนหลัง หรือผู้รับจำนำคนหลังได้รับชำระหนี้แล้ว ก็ให้ชำระเงินที่เหลืออยู่นั้นแก่ผู้ทรงใบรับของคลังสินค้า",
"section_num": "792"
}
] | 1) นายคลังสินค้า 2) ผู้ทรงประทวนสินค้า เมื่อนำประทวนมาเวนคืน 3) ผู้รับจำนำ เมื่อเวนคืนใบรับของคลังสินค้า 4) ผู้ทรงใบรับของคลังสินค้า เมื่อไม่มีผู้รับจำนำ หรือผู้รับจำนำได้รับชำระหนี้แล้ว | [] |
กรณีที่ความผิดของบริษัทเกิดจากการสั่งการของกรรมการคนหนึ่ง กรรมการคนนั้นต้องรับผิดหรือไม่ | ต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับความผิดนั้น ๆ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 40 ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 40 ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย",
"section_num": "40"
}
] | ต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับความผิดนั้น ๆ | [] |
ใครที่สามารถแต่งตั้งผู้ปกครองทรัพย์ได้บ้าง | 1) ผู้ทำพินัยกรรม 2) บุคคลซึ่งระบุไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้ตั้ง คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1690 ผู้ปกครองทรัพย์นั้น ย่อมตั้งขึ้นได้โดย (1) ผู้ทำพินัยกรรม (2) บุคคลซึ่งระบุไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้ตั้ง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1690\nผู้ปกครองทรัพย์นั้น ย่อมตั้งขึ้นได้โดย\n(1) ผู้ทำพินัยกรรม\n(2) บุคคลซึ่งระบุไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้ตั้ง",
"section_num": "1690"
}
] | 1) ผู้ทำพินัยกรรม 2) บุคคลซึ่งระบุไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้ตั้ง | [] |
ต้องการเปลี่ยนแปลงประเภทกิจการของห้างหุ้นส่วนได้หรือไม่ | ได้ โดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน คำอธิบายขยายความ : ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1032 ห้ามมิให้เปลี่ยนแปลงข้อสัญญาเดิมแห่งห้างหุ้นส่วนหรือประเภทแห่งกิจการ นอกจากด้วยความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนหมดด้วยกันทุกคน เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1032\nห้ามมิให้เปลี่ยนแปลงข้อสัญญาเดิมแห่งห้างหุ้นส่วนหรือประเภทแห่งกิจการ นอกจากด้วยความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนหมดด้วยกันทุกคน เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น",
"section_num": "1032"
}
] | ได้ โดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน | [] |
ถ้ามีตั๋วแลกเงินสามารถยื่นแก่ผู้จ่ายได้ในทันทีเพื่อให้รับรอง ได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 929 ภายในบังคับบทบัญญัติมาตรา 927 ผู้ทรงตั๋วแลกเงินมีสิทธิที่จะยื่นตั๋วเงินแก่ผู้จ่ายได้ในทันใดเพื่อให้รับรอง ถ้าและเขาไม่รับรองภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงไซร้ ผู้ทรงก็มีสิทธิที่จะคัดค้าน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 929\nภายในบังคับบทบัญญัติมาตรา 927 ผู้ทรงตั๋วแลกเงินมีสิทธิที่จะยื่นตั๋วเงินแก่ผู้จ่ายได้ในทันใดเพื่อให้รับรอง ถ้าและเขาไม่รับรองภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงไซร้ ผู้ทรงก็มีสิทธิที่จะคัดค้าน",
"section_num": "929"
}
] | ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 927\nอันตั๋วแลกเงินนั้นจะนำไปยื่นแก่ผู้จ่าย ณ ที่อยู่ของผู้จ่าย เพื่อให้รับรองเมื่อไร ๆ ก็ได้ จนกว่าจะถึงเวลากำหนดใช้เงิน และผู้ทรงจะเป็นผู้ยื่นหรือเพียงแต่ผู้ที่ได้ตั๋วนั้นไว้ในครอบครองจะเป็นผู้นำไปยื่นก็ได้\nในตั๋วแลกเงินนั้น ผู้สั่งจ่ายจะลงข้อกำหนดไว้ว่าให้นำยื่นเพื่อรับรอง โดยกำหนดเวลาจำกัดไว้ให้ยื่น หรือไม่กำหนดเวลาก็ได้\nผู้สั่งจ่ายจะห้ามการนำตั๋วแลกเงินยื่นเพื่อรับรองก็ได้ เว้นแต่ในกรณีที่เป็นตั๋วเงินอันได้ออกสั่งให้ใช้เงินเฉพาะ ณ สถานที่อื่นใดอันมิใช่ภูมิลำเนาของผู้จ่าย หรือได้ออกสั่งให้ใช้เงินในเวลาใดเวลาหนึ่งนับแต่ได้เห็น\nอนึ่ง ผู้สั่งจ่ายจะลงข้อกำหนดไว้ว่ายังมิให้นำตั๋วยื่นเพื่อให้รับรองก่อนถึงกำหนดวันใดวันหนึ่งก็ได้\nผู้สลักหลังทุกคนจะลงข้อกำหนดไว้ว่า ให้นำตั๋วเงินยื่นเพื่อรับรอง โดยกำหนดเวลาจำกัดไว้ให้ยื่น หรือไม่กำหนดเวลาก็ได้ เว้นแต่ผู้สั่งจ่ายจะได้ห้ามการรับรอง",
"section_num": "927"
}
] |
เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน สำนักงาน ก.ล.ต. มีหน้าที่อย่างไร | มีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดและการลงโทษบุคคลซึ่งกระทำความผิด รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลอื่นใดที่ได้รับมาเนื่องจากการปฏิบัติตามกฎหมาย คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 15 | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 15 เพื่อพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชนหรือเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน ให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดและการลงโทษบุคคลซึ่งกระทำความผิดตามพระราชกำหนดนี้ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลอื่นใดที่ได้รับมาเนื่องจากการปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด",
"section_num": "15"
}
] | มีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดและการลงโทษบุคคลซึ่งกระทำความผิด รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลอื่นใดที่ได้รับมาเนื่องจากการปฏิบัติตามกฎหมาย | [] |
ผู้ขายสามารถสอดเข้ามาในคดีเพื่อปฏิเสธการเรียกร้องของบุคคลภายนอกได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 478 ถ้าผู้ขายเห็นเป็นการสมควร จะสอดเข้าไปในคดีเพื่อปฏิเสธการเรียกร้องของบุคคลภายนอก ก็ชอบที่จะทำได้ด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 478\nถ้าผู้ขายเห็นเป็นการสมควร จะสอดเข้าไปในคดีเพื่อปฏิเสธการเรียกร้องของบุคคลภายนอก ก็ชอบที่จะทำได้ด้วย",
"section_num": "478"
}
] | ได้ | [] |
ทายาทจะฟ้องผู้จัดการมรดกเกี่ยวกับการจัดการมรดก ต้องฟ้องภายในกี่ปี | ต้องฟ้องภายใน 5 ปี นับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1733 วรรคสอง ระบุห้ามมิให้ทายาทฟ้องคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกเกินกว่า 5 ปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733\nการให้อนุมัติ การปลดเปลื้องความรับผิด หรือข้อตกลงอื่น ๆ อันเกี่ยวกับรายงานแสดงบัญชีการจัดการมรดกดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1732 นั้น จะสมบูรณ์ต่อเมื่อรายงานแสดงบัญชีนั้นได้ส่งมอบล่วงหน้าแก่ทายาทพร้อมด้วยเอกสารอันเกี่ยวกับการนั้นไม่น้อยกว่าสิบวันก่อนแล้ว\nคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกนั้น มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง",
"section_num": "1733"
}
] | ต้องฟ้องภายใน 5 ปี นับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1732\nผู้จัดการมรดกต้องจัดการตามหน้าที่และทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ระบุไว้ในมาตรา 1728 เว้นแต่ผู้ทำพินัยกรรม ทายาทโดยจำนวนข้างมาก หรือศาลจะได้กำหนดเวลาให้ไว้เป็นอย่างอื่น",
"section_num": "1732"
}
] |
หากขุดดินในที่ของตัวเองอย่างเหมาะสมไม่เป็นอันตรายแก่ที่ดินข้างๆ ทำได้หรือไม่ | ได้ หากมีการจัดการที่เพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดแก่ที่ดินข้างเคียง คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1343 ห้ามมิให้ขุดดินหรือบรรทุกน้ำหนักบนที่ดินเกินควรจนอาจเป็นเหตุอันตรายแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินติดต่อ เว้นแต่จะจัดการเพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหาย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1343\nห้ามมิให้ขุดดินหรือบรรทุกน้ำหนักบนที่ดินเกินควรจนอาจเป็นเหตุอันตรายแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินติดต่อ เว้นแต่จะจัดการเพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหาย",
"section_num": "1343"
}
] | ได้ หากมีการจัดการที่เพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดแก่ที่ดินข้างเคียง | [] |
ถ้ามีหนี้ร่วมกับคนอื่น แล้วเจ้าหนี้ยอมยกหนี้ให้เฉพาะกับบางคน ผลจะเป็นอย่างไร | ลูกหนี้คนอื่นที่ไม่ได้รับการยกหนี้ จะได้ประโยชน์โดยหนี้ที่ร่วมกันจะลดลงเท่าส่วนของคนที่ได้รับการยกหนี้ คำอธิบายขยายความ: การยกหนี้เป็นการปลดหนี้ให้กับลูกหนี้ ซึ่งในกรณีที่หนี้นั้นมีลูกหนี้หลายคนร่วมกัน แล้วเจ้าหนี้ปลดหนี้ให้คนเดียว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 293 ระบุให้เป็นประโยชน์กับลูกหนี้คนอื่นเท่าส่วนของลูกหนี้ที่ปลดให้ เช่น A และ B เป็นลูกหนี้ร่วมกันซึ่งต้องรับผิดเท่ากันในยอดเงินรวม 400,000 บาท ต่อมาเจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ B เช่นนี้ หนี้ที่คงเหลือที่ B ต้องชำระจึงเป็น 200,000 บาท | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 293\nการปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆ เพียงเท่าส่วนของลูกหนี้ที่ได้ปลดให้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น",
"section_num": "293"
}
] | ลูกหนี้คนอื่นที่ไม่ได้รับการยกหนี้ จะได้ประโยชน์โดยหนี้ที่ร่วมกันจะลดลงเท่าส่วนของคนที่ได้รับการยกหนี้. | [] |
ผู้เยาว์สามารถทำพินัยกรรมได้ตอนอายุเท่าไหร่ | เมื่ออายุ 15 ปีบริบูรณ์ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 25 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 25\nผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่ออายุสิบห้าปีบริบูรณ์",
"section_num": "25"
}
] | เมื่ออายุ 15 ปีบริบูรณ์ | [] |
ถ้าภรรยามีหนี้สินส่วนตัวระหว่างสมรส ต้องชำระหนี้อย่างไร | ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1488 ถ้าสามีหรือภริยาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพื่อชำระหนี้ที่ก่อไว้ก่อนหรือระหว่างสมรส ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1488\nถ้าสามีหรือภริยาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพื่อชำระหนี้ที่ก่อไว้ก่อนหรือระหว่างสมรส ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น",
"section_num": "1488"
}
] | ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น | [] |
ผู้จัดการกองทุนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน มีความผิดอย่างไร | มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าหมื่นบาท คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 35 ผู้จัดการกองทุนใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา 12 ทวิ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 23 มาตรา 23/1 มาตรา 23/2 หรือมาตรา 23/4 มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าหมื่นบาท* | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 35 ผู้จัดการกองทุนใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา 12 ทวิ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 23 มาตรา 23/1 มาตรา 23/2 หรือมาตรา 23/4 มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าหมื่นบาท*",
"section_num": "35"
}
] | มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินห้าหมื่นบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 12 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับและควบคุมโดยทั่วไปเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้\nเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีอาจมอบหมายให้หน่วยงานใดในสังกัดปฏิบัติหน้าที่แทน และจะมอบหมายให้แต่งตั้งพนักงานของหน่วยงานนั้นเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้",
"section_num": "12"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 16 ในการลงทุนหรือหาผลประโยชน์ของกองทุน ให้ผู้จัดการกองทุนนำเงินสะสมและเงินสมทบไปลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามนโยบายการลงทุนที่ลูกจ้างได้แสดงเจตนาไว้ ในกรณีที่ลูกจ้างไม่แสดงเจตนาเลือกนโยบายการลงทุน ให้ลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามนโยบายเดิมที่ลูกจ้างเคยลงทุนไว้ หากไม่มีนโยบายเดิม ให้ลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามนโยบายที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของกองทุน หากข้อบังคับของกองทุนไม่ได้กำหนดไว้ ให้ลงทุนหรือหาผลประโยชน์ตามนโยบายที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด",
"section_num": "16"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 17 ให้ผู้จัดการกองทุนจัดทำบัญชีเพื่อแบ่งแยกทรัพย์สินของกองทุนทุกกองทุน โดยให้บันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายของกองทุนตามประเภทของกองทุน ดังต่อไปนี้\n(1) กรณีกองทุนหลายนายจ้าง ให้บันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายของกองทุนตามส่วนได้เสียของลูกจ้างแยกตามรายนายจ้าง ทั้งนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายของกองทุนดังต่อไปนี้ ให้นำมาคำนวณเพื่อบันทึกเป็นรายได้หรือค่าใช้จ่ายในบัญชีของลูกจ้างที่มีนายจ้างรายเดียวกัน\n(ก) เงินเพิ่มที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุน\n(ข) เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบที่ลูกจ้างซึ่งสิ้นสมาชิกภาพไม่มีสิทธิได้รับและข้อบังคับของกองทุนกำหนดให้เป็นของกองทุน\n(ค) ค่าเสียหายหรือดอกเบี้ยที่กองทุนต้องชำระตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล\n(ง) เงินที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา 23 วรรคสี่\n(จ) รายได้หรือค่าใช้จ่ายอื่นตามที่นายทะเบียนประกาศกำหนด\nรายได้ของกองทุนตามวรรคหนึ่ง (ก) (ข) (ง) และ (จ) อาจกำหนดในข้อบังคับของกองทุนให้บันทึกตามส่วนได้เสียของลูกจ้างหรือบันทึกเฉลี่ยตามจำนวนลูกจ้างของนายจ้างรายใดรายหนึ่งหรือหลายรายก็ได้\n(2) กรณีกองทุนที่มีหลายนโยบายการลงทุน ให้จัดทำบัญชีแยกทรัพย์สินของแต่ละนโยบายการลงทุนออกจากกัน ทั้งนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหากเป็นผลมาจากการจัดการลงทุนตามนโยบายการลงทุนใด ให้บันทึกเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายในบัญชีของนโยบายการลงทุนนั้น ส่วนรายได้และค่าใช้จ่ายอื่น ให้กระจายรายได้และค่าใช้จ่ายนั้นตามสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินของแต่ละนโยบายการลงทุนและบันทึกเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายในบัญชีของนโยบายการลงทุนนั้น",
"section_num": "17"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 23 ภายใต้บังคับมาตรา 23/2 มาตรา 23/3 และมาตรา 23/4 เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุนและตามที่กำหนดในมาตรา 23/1 โดยให้จ่ายรวมทั้งหมดคราวเดียวภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสมาชิกภาพ\nในกรณีสิ้นสมาชิกภาพเพราะถึงแก่ความตาย ถ้าลูกจ้างมิได้กำหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนไว้โดยพินัยกรรมหรือทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่ผู้จัดการกองทุนหรือได้กำหนดไว้แต่บุคคลผู้นั้นตายก่อน ให้จ่ายเงินจากกองทุนตามวรรคหนึ่งให้แก่บุคคลตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้\n(1) บุตรให้ได้รับสองส่วน แต่ถ้าผู้ตายมีบุตรตั้งแต่สามคนขึ้นไปให้ได้รับสามส่วน\n(2) สามีหรือภริยาให้ได้รับหนึ่งส่วน\n(3) บิดามารดา หรือบิดาหรือมารดาที่มีชีวิตอยู่ให้ได้รับหนึ่งส่วน\nถ้าผู้ตายไม่มีบุคคลดังกล่าวใน (1) (2) หรือ (3) หรือมีแต่ได้ตายก่อน ให้แบ่งเงินที่บุคคลนั้นมีสิทธิจะได้รับให้แก่บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ตามส่วนที่กำหนดในวรรคสอง\nถ้าผู้ตายไม่มีบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนตามวรรคสองหรือไม่มีทายาทตามกฎหมายแล้วให้เงินดังกล่าวตกเป็นของกองทุน",
"section_num": "23"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 23/1 ในกรณีที่เป็นกองทุนหลายนายจ้าง การคำนวณเงินผลประโยชน์เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพ ให้ผู้จัดการกองทุนคำนวณเงินผลประโยชน์ของลูกจ้างดังกล่าวจากบัญชีส่วนได้เสียของบรรดาลูกจ้างที่มีนายจ้างรายเดียวกัน\nในกรณีที่เป็นกองทุนที่มีหลายนโยบายการลงทุน การคำนวณเงินผลประโยชน์ของลูกจ้างที่สิ้นสมาชิกภาพ ให้ผู้จัดการกองทุนคำนวณจากทรัพย์สินในบัญชีของนโยบายการลงทุนที่ลูกจ้างรายนั้นมีส่วนได้เสีย",
"section_num": "23/1"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 23/2 เมื่อลูกจ้างรายใดสิ้นสมาชิกภาพตามข้อบังคับของกองทุนด้วยเหตุเกษียณอายุหรือออกจากงานเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบห้าปีบริบูรณ์ หากลูกจ้างรายนั้นแสดงเจตนาขอรับเงินจากกองทุนเป็นงวด ให้ผู้จัดการกองทุนจ่ายเงินจากกองทุนตามเจตนาของลูกจ้าง โดยลูกจ้างรายนั้นยังคงเป็นสมาชิกของกองทุนต่อไปได้ตามระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน แต่ลูกจ้างรายนั้นและนายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินสะสมหรือเงินสมทบสำหรับลูกจ้างรายนั้นอีก ทั้งนี้ การรับเงินจากกองทุนเป็นงวดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่นายทะเบียนประกาศกำหนด",
"section_num": "23/2"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530",
"section_content": "พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 มาตรา 23/4 ในกรณีที่นายจ้างถอนตัวจากกองทุนหลายนายจ้างและยังมิได้จัดให้มีกองทุนใหม่ หรือลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะออกจากงานไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือกองทุนเลิก หากลูกจ้างได้แสดงเจตนาให้ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ชำระบัญชีโอนเงินทั้งหมดที่ตนมีสิทธิได้รับจากกองทุนหรือเงินที่เหลือจากการขอรับเงินเป็นงวดตามมาตรา 23/2 หรือขอให้โอนเงินที่คงไว้ในกองทุนตามมาตรา 23/3 ไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีการออกจากงานหรือการชราภาพ ให้ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ชำระบัญชีดำเนินการตามที่ลูกจ้างได้แสดงเจตนาไว้ ทั้งนี้ นายทะเบียนอาจประกาศกำหนดวิธีการและเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้",
"section_num": "23/4"
}
] |
หากชำระหนี้และไม่รู้ว่าหนี้ขาดอายุความแล้ว ในฐานะลูกหนี้สามารถเรียกคืนเงินนั้นได้หรือไม่ | เรียกคืนไม่ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้นไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28\nการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้นไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม\nบทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้",
"section_num": "193/28"
}
] | เรียกคืนไม่ได้ | [] |
ใครเป็นผู้ประเมินเกี่ยวกับภาษีเงินได้ | เจ้าพนักงานประเมิน คำอธิบานขยายความ : ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 38 ภาษีเงินได้นี้อยู่ในประเภทภาษีอากรประเมิน และให้เจ้าพนักงานประเมินเป็นผู้ประเมินเกี่ยวกับภาษีในหมวดนี้ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 38 ภาษีเงินได้นี้อยู่ในประเภทภาษีอากรประเมิน และให้เจ้าพนักงานประเมินเป็นผู้ประเมินเกี่ยวกับภาษีในหมวดนี้",
"section_num": "38"
}
] | เจ้าพนักงานประเมิน | [] |
ถ้าเด็กได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้ขายทรัพย์สินได้แต่ไม่ได้ระบุว่าให้ขายเพื่อการใด เด็กสามารถขายทรัพย์สินนั้นได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 26 ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ผู้เยาว์จำหน่ายทรัพย์สินเพื่อการอันใดอันหนึ่งอันได้ระบุไว้ ผู้เยาว์จะจำหน่ายทรัพย์สินนั้นเป็นประการใดภายในขอบของการที่ระบุไว้นั้นก็ทำได้ตามใจสมัคร อนึ่ง ถ้าได้รับอนุญาตให้จำหน่ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใด ผู้เยาว์ก็จำหน่ายได้ตามใจสมัคร | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 26\nถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ผู้เยาว์จำหน่ายทรัพย์สินเพื่อการอันใดอันหนึ่งอันได้ระบุไว้ ผู้เยาว์จะจำหน่ายทรัพย์สินนั้นเป็นประการใดภายในขอบของการที่ระบุไว้นั้นก็ทำได้ตามใจสมัคร อนึ่ง ถ้าได้รับอนุญาตให้จำหน่ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใด ผู้เยาว์ก็จำหน่ายได้ตามใจสมัคร",
"section_num": "26"
}
] | ได้ | [] |
บุคคลใดที่คาดว่าเป็นเจ้าของหุ้นกู้ | ผู้ที่ครอบครอง 1) ใบหุ้นกู้ หรือ 2) ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือที่มีการสลักหลังแล้ว คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 52 ผู้ใดครอบครองใบหุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือที่ออกตามมาตรา 33 ที่มีการสลักหลังตามมาตรา 51 แล้ว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของหลักทรัพย์นั้น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 52 ผู้ใดครอบครองใบหุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือที่ออกตามมาตรา 33 ที่มีการสลักหลังตามมาตรา 51 แล้ว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของหลักทรัพย์นั้น",
"section_num": "52"
}
] | ผู้ที่ครอบครอง 1) ใบหุ้นกู้ หรือ 2) ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือที่มีการสลักหลังแล้ว | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 33 ห้ามมิให้บริษัทเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ ประเภทหุ้น หุ้นกู้ ตั๋วเงิน ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ และหลักทรัพย์อื่นใดที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด เว้นแต่\n(1)เป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ที่เข้าลักษณะตามมาตรา 63\n(2)ได้รับอนุญาตจากสำนักงานและปฏิบัติตามมาตรา 65 หรือ\n(3)เป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ทั้งหมดโดยบริษัทมหาชนจำกัดต่อผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นโดยได้รับชำระราคาเต็มมูลค่าที่เสนอขายจากผู้ถือหุ้น",
"section_num": "33"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 51 การโอนหุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือที่ออกตามมาตรา 33 จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้มีชื่อแสดงว่าเป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนคนสุดท้ายได้ส่งมอบใบหลักทรัพย์ดังกล่าวแก่ผู้รับโอนโดยลงลายมือชื่อสลักหลังแสดงการโอน",
"section_num": "51"
}
] |
สมาชิกสามัญของสภาวิชาชีพบัญชีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร | สมาชิกสามัญต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ 1) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ 2) มีสัญชาติไทย 3) สำเร็จการศึกษาวิชาการบัญชีไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี หรือได้รับประกาศนียบัตร หรือวุฒิอื่นเทียบเท่าปริญญาตรีสาขาวิชาชีพการบัญชีที่สภาวิชาชีพบัญชีรับรอง หรือสำเร็จการศึกษาสาขาอื่นตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด 4) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณอันนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพบัญชีตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี 5) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีที่เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี 6) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือเป็นโรคตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 13 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547",
"section_content": "พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 13 สมาชิกสามัญต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้\n(1) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์\n(2) มีสัญชาติไทย\n(3) สำเร็จการศึกษาวิชาการบัญชีไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี หรือได้รับประกาศนียบัตร หรือวุฒิอื่นเทียบเท่าปริญญาตรีสาขาวิชาชีพการบัญชีที่สภาวิชาชีพบัญชีรับรอง หรือสำเร็จการศึกษาสาขาอื่นตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด\n(4) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณอันนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพบัญชีตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี\n(5) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีที่เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี\n(6) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือเป็นโรคตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี",
"section_num": "13"
}
] | สมาชิกสามัญต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ 1) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ 2) มีสัญชาติไทย 3) สำเร็จการศึกษาวิชาการบัญชีไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี หรือได้รับประกาศนียบัตร หรือวุฒิอื่นเทียบเท่าปริญญาตรีสาขาวิชาชีพการบัญชีที่สภาวิชาชีพบัญชีรับรอง หรือสำเร็จการศึกษาสาขาอื่นตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด 4) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณอันนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพบัญชีตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี 5) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีที่เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี 6) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือเป็นโรคตามที่กำหนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี | [] |
ถ้ามูลนิธิมีการแก้ไขข้อบังคับแต่ไม่ได้นำไปจดทะเบียนภายในเวลาที่กำหนด มีความผิดหรือไม่ | มีความผิด ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 64 มูลนิธิใดมิได้จดทะเบียนข้อบังคับที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 126 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท* | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499",
"section_content": "พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 64 มูลนิธิใดมิได้จดทะเบียนข้อบังคับที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 126 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท*",
"section_num": "64"
}
] | มีความผิด ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126\nภายใต้บังคับมาตรา 127 ให้คณะกรรมการของมูลนิธิเป็นผู้มีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ แต่ถ้าข้อบังคับของมูลนิธิได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมไว้ การแก้ไขเพิ่มเติมต้องเป็นไปตามที่ข้อบังคับกำหนด และให้มูลนิธินำข้อบังคับที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คณะกรรมการของมูลนิธิได้แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิและให้นำความในมาตรา 115 มาใช้บังคับโดยอนุโลม",
"section_num": "126"
}
] |
ผู้ถือหุ้นสามารถจัดส่งหนังสือนัดประชุมไปยังผู้ถือหุ้นอื่น ๆ โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้หรือไม่ | ได้ ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นผู้เรียกประชุม และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ได้แจ้งความประสงค์ไว้แก่บริษัทว่าให้ส่งหนังสือทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 101/1 ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเรียกประชุมเองตามมาตรา 100 วรรคสอง ผู้ถือหุ้นที่เรียกประชุมอาจจัดส่งหนังสือนัดประชุมไปยังผู้ถือหุ้นโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ หากผู้ถือหุ้นนั้นได้แจ้งความประสงค์หรือให้ความยินยอมไว้แก่บริษัทหรือคณะกรรมการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 7/1 แล้ว | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 101/1 ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเรียกประชุมเองตามมาตรา 100 วรรคสอง ผู้ถือหุ้นที่เรียกประชุมอาจจัดส่งหนังสือนัดประชุมไปยังผู้ถือหุ้นโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ หากผู้ถือหุ้นนั้นได้แจ้งความประสงค์หรือให้ความยินยอมไว้แก่บริษัทหรือคณะกรรมการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 7/1 แล้ว",
"section_num": "101/1"
}
] | ได้ ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นผู้เรียกประชุม และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ได้แจ้งความประสงค์ไว้แก่บริษัทว่าให้ส่งหนังสือทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 100 ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งหรือหลายคนซึ่งมีหุ้นนับรวมกันได้ไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด จะเข้าชื่อกันทำหนังสือขอให้คณะกรรมการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเป็นการประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องระบุเรื่องและเหตุผลในการที่ขอให้เรียกประชุมไว้ให้ชัดเจนในหนังสือดังกล่าวด้วย ในกรณีเช่นนี้ คณะกรรมการต้องจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือจากผู้ถือหุ้น\nในกรณีที่คณะกรรมการไม่จัดให้มีการประชุมภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ผู้ถือหุ้นทั้งหลายซึ่งเข้าชื่อกันหรือผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ รวมกันได้จำนวนหุ้นตามที่บังคับไว้นั้นจะเรียกประชุมเองก็ได้ภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันครบกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นที่คณะกรรมการเรียกประชุม โดยบริษัทต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอันจำเป็นที่เกิดจากการจัดให้มีการประชุมและอำนวยความสะดวกตามสมควร\nในกรณีที่ปรากฏว่าการประชุมผู้ถือหุ้นที่เป็นการเรียกประชุมเพราะผู้ถือหุ้นตามวรรคสองครั้งใดจำนวนผู้ถือหุ้นซึ่งมาร่วมประชุมไม่ครบเป็นองค์ประชุมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 103 ผู้ถือหุ้นตามวรรคสองต้องร่วมกันรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจัดให้มีการประชุมในครั้งนั้นให้แก่บริษัท",
"section_num": "100"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 7/1 ในกรณีที่บริษัทหรือคณะกรรมการมีหน้าที่ต้องส่งหนังสือหรือเอกสารตามพระราชบัญญัตินี้ให้แก่กรรมการ ผู้ถือหุ้น หรือเจ้าหนี้ของบริษัท หากบุคคลดังกล่าวได้แจ้งความประสงค์หรือยินยอมให้ส่งหนังสือหรือเอกสารโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทหรือคณะกรรมการอาจส่งหนังสือหรือเอกสารนั้นโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่นายทะเบียนกำหนด",
"section_num": "7/1"
}
] |
ลูกหนี้ไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เจ้าหนี้สามารถใช้สิทธิเรียกร้องนั้นของลูกหนี้ได้หรือไม่ | ได้ ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ ยกเว้นสิทธินั้นเป็นสิทธิส่วนตัวโดยแท้ของลูกหนี้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233\nถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้",
"section_num": "233"
}
] | ได้ ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ ยกเว้นสิทธินั้นเป็นสิทธิส่วนตัวโดยแท้ของลูกหนี้ | [] |
ถ้ากำหนดมูลค่าทรัพย์สินที่นำมาชำระเป็นค่าหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง มีความผิดหรือไม่ | มีความผิด ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองเท่าของจำนวนที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 219 ผู้ใดโดยทุจริตกำหนดค่าทรัพย์สินหรือสิ่งที่นำมาชำระเป็นค่าหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองเท่าของจำนวนที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงนั้น* | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 219 ผู้ใดโดยทุจริตกำหนดค่าทรัพย์สินหรือสิ่งที่นำมาชำระเป็นค่าหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองเท่าของจำนวนที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงนั้น*",
"section_num": "219"
}
] | มีความผิด ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินสองเท่าของจำนวนที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง | [] |
ถ้าผู้สอบบัญชีไม่แจ้งพฤติการณ์ความผิดของกรรมการบริษัทให้บริษัททราบ มีโทษหรือไม่ | มี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/8 ผู้สอบบัญชีผู้ใดหรือคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา89/25 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/8 ผู้สอบบัญชีผู้ใดหรือคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา89/25 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท",
"section_num": "281/8"
}
] | มี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/25 ในการสอบบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทตามมาตรฐานการสอบบัญชีไม่ว่าจะกระทำในฐานะเป็นผู้สอบบัญชีของนิติบุคคลดังกล่าวหรือในฐานะอื่นซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวยินยอมให้สอบบัญชีก็ตามถ้าผู้สอบบัญชีพบพฤติการณ์อันควรสงสัยว่ากรรมการผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลดังกล่าวได้กระทำความผิดตามมาตรา281/2 วรรคสอง มาตรา 305 มาตรา 306 มาตรา 308 มาตรา 309 มาตรา 310 มาตรา 311 มาตรา312 หรือมาตรา 313 ให้ผู้สอบบัญชีแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทนั้นทราบเพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไปโดยไม่ชักช้าและให้คณะกรรมการตรวจสอบรายงานผลการตรวจสอบในเบื้องต้นให้แก่สำนักงานและผู้สอบบัญชีทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากผู้สอบบัญชี\nในกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบไม่ดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้ผู้สอบบัญชีแจ้งให้สำนักงานทราบ\nพฤติการณ์อันควรสงสัยที่ต้องแจ้งตามวรรคหนึ่งและวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ดังกล่าวให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด",
"section_num": "89/25"
}
] |
กิจการของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ | ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/3 นอกจากกรณีตามมาตรา 91/4 กิจการใดที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 หรือได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/3 ย่อมไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 นี้ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 77/3 นอกจากกรณีตามมาตรา 91/4 กิจการใดที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 หรือได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/3 ย่อมไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 นี้",
"section_num": "77/3"
}
] | ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/3 ให้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการดังต่อไปนี้\n(1) กิจการของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร\n(2) กิจการของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย\n(3) กิจการของสหกรณ์ออมทรัพย์ เฉพาะการให้กู้ยืมแก่สมาชิกหรือแก่สหกรณ์ออมทรัพย์อื่น\n(4) กิจการของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ\n(5) กิจการของการเคหะแห่งชาติ เฉพาะการขายหรือให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์\n(6) กิจการรับจำนำของกระทรวง ทบวง กรม และราชการส่วนท้องถิ่น\n(7) กิจการอื่นตามมาตรา 91/2 ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา",
"section_num": "91/3"
},
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/4 กิจการเฉพาะอย่างของกิจการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 91/2 ดังต่อไปนี้ ให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4\n(1) กิจการเฉพาะอย่างที่มิใช่กิจการที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการตามมาตรา 91/2\n(2) กิจการเฉพาะอย่างที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการตามมาตรา 91/2 ซึ่งพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นกิจการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม\nในกรณีที่มีปัญหาว่ากิจการใดเป็นกิจการที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการตามมาตรา 91/2 หรือไม่ อธิบดีจะเสนอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรพิจารณากำหนดขอบเขต และเงื่อนไขของการประกอบกิจการก็ได้ และเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้วินิจฉัยแล้ว ให้ประกาศคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรในราชกิจจานุเบกษา",
"section_num": "91/4"
},
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 ภายใต้บังคับมาตรา 91/4 การประกอบกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักร ให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามบทบัญญัติในหมวดนี้\n(1) การธนาคาร ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือกฎหมายเฉพาะ\n(2) การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์\n(3)การรับประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต\n(4) การรับจำนำตามกฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ\n(5) การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ เช่น การให้กู้ยืมเงินค้ำประกัน แลกเปลี่ยนเงินตรา ออก ซื้อ หรือขายตั๋วเงิน หรือรับส่งเงินไปต่างประเทศด้วยวิธีต่าง ๆ\n(6) การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม ทั้งนี้ เฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\n(7) การขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในตลาดหลักทรัพย์\n(8) การประกอบกิจการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา\nในกรณีที่บุคคลอยู่นอกราชอาณาจักรประกอบกิจการ โดยผ่านสถานประกอบการหรือตัวแทนของตนที่อยู่ในราชอาณาจักร ให้ถือว่าประกอบกิจการในราชอาณาจักรตามมาตรานี้\nในกรณีที่มีปัญหาว่ากิจการใดเป็นกิจการตาม (5) หรือไม่ อธิบดีจะเสนอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรพิจารณากำหนดขอบเขต และเงื่อนไขของการประกอบกิจการที่อยู่ภายใต้บังคับตามมาตรานี้ก็ได้ และเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้วินิจฉัยแล้ว ให้ประกาศคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรในราชกิจจานุเบกษา",
"section_num": "91/2"
}
] |
ผู้รับจำนำสามารถเรียกค่าบำรุงรักษาทรัพย์สินจำนำจากผู้จำนำได้หรือไม่ | ได้ ถ้าไม่ได้มีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 762 ค่าใช้จ่ายใด ๆ อันควรแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินจำนำนั้น ผู้จำนำจำต้องชดใช้ให้แก่ผู้รับจำนำ เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 762\nค่าใช้จ่ายใด ๆ อันควรแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินจำนำนั้น ผู้จำนำจำต้องชดใช้ให้แก่ผู้รับจำนำ เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา",
"section_num": "762"
}
] | ได้ ถ้าไม่ได้มีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา | [] |
ถ้าลงลายมือชื่อในตั๋วเงิน และไม่ได้เขียนว่าเป็นการลงลายมือชื่อแทนบุคคลอื่น ต้องรับผิดชอบตั๋วเงินนั้นหรือไม่ | ต้องรับผิดตามตั๋วเงิน คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 901 ถ้าบุคคลคนใดลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงิน และมิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่งไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นย่อมเป็นผู้รับผิดตามความในตั๋วเงินนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 901\nถ้าบุคคลคนใดลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงิน และมิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่งไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นย่อมเป็นผู้รับผิดตามความในตั๋วเงินนั้น",
"section_num": "901"
}
] | ต้องรับผิดตามตั๋วเงิน | [] |
สัญญาหลักประกันทางธุรกิจต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติใด | ตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558”",
"section_num": "1"
}
] | ตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 | [] |
เจ้าหนี้สามารถบังคับชำระหนี้จากเงินที่บุคคลอื่นค้างชำระแก่ลูกหนี้ได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วยได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214\nภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย",
"section_num": "214"
}
] | ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733\nถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุดและราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดี เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น",
"section_num": "733"
}
] |
สำนักงานกลางทะเบียนสมาคมการค้าอยู่ภายใต้กรมใด | กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 7 ให้จัดตั้งสำนักงานกลางทะเบียนสมาคมการค้าขึ้นในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อควบคุมการออกใบอนุญาตและการจดทะเบียนสมาคมการค้าทั่วราชอาณาจักร และทำหน้าที่เป็นสำนักงานทะเบียนสมาคมการค้าประจำกรุงเทพมหานคร ... | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 7 ให้จัดตั้งสำนักงานกลางทะเบียนสมาคมการค้าขึ้นในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อควบคุมการออกใบอนุญาตและการจดทะเบียนสมาคมการค้าทั่วราชอาณาจักร และทำหน้าที่เป็นสำนักงานทะเบียนสมาคมการค้าประจำกรุงเทพมหานคร\nในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ให้จัดตั้งสำนักงานทะเบียนสมาคมการค้าประจำจังหวัดขึ้นตรงต่อสำนักงานกลางทะเบียนสมาคมการค้า\nให้อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามอบหมายเป็นนายทะเบียนกลางสมาคมการค้าและนายทะเบียนสมาคมการค้าประจำกรุงเทพมหานคร และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานครหรือผู้ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นนายทะเบียนสมาคมการค้าประจำจังหวัด",
"section_num": "7"
}
] | กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ | [] |
การแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในข้อบังคับของมูลนิธิทำได้หรือไม่ | ทำได้แต่เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้ 1) เพื่อให้สามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ หรือ 2) พฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นเหตุให้วัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นมีประโยชน์น้อย หรือไม่อาจดำเนินการให้สมประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นได้ และวัตถุประสงค์ของมูลนิธิที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นใกล้ชิดกับวัตถุประสงค์เดิมของมูลนิธิ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 127 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 127\nการแก้ไขเพิ่มเติมรายการในข้อบังคับของมูลนิธิตามมาตรา 112 (2) จะกระทำได้แต่เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้\n(1) เพื่อให้สามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ หรือ\n(2) พฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นเหตุให้วัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นมีประโยชน์น้อย หรือไม่อาจดำเนินการให้สมประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นได้ และวัตถุประสงค์ของมูลนิธิที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นใกล้ชิดกับวัตถุประสงค์เดิมของมูลนิธิ",
"section_num": "127"
}
] | ทำได้แต่เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้ 1) เพื่อให้สามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ หรือ 2) พฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นเหตุให้วัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นมีประโยชน์น้อย หรือไม่อาจดำเนินการให้สมประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นได้ และวัตถุประสงค์ของมูลนิธิที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นใกล้ชิดกับวัตถุประสงค์เดิมของมูลนิธิ. | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 112\nข้อบังคับของมูลนิธิอย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้\n(1) ชื่อมูลนิธิ\n(2) วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ\n(3) ที่ตั้งสำนักงานใหญ่และที่ตั้งสำนักงานสาขาทั้งปวง\n(4) ทรัพย์สินของมูลนิธิขณะจัดตั้ง\n(5) ข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการของมูลนิธิ ได้แก่ จำนวนกรรมการ การตั้งกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ และการประชุมของคณะกรรมการ\n(6) ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการมูลนิธิ การจัดการทรัพย์สินและบัญชีของมูลนิธิ",
"section_num": "112"
}
] |
ปฏิเสธไม่ชำระหนี้เพราะสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ขาดอายุความ ได้หรือไม่ | ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/10 สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/10\nสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้",
"section_num": "193/10"
}
] | ได้ | [] |
โฆษณาว่าจะให้รางวัล ถ้ามีคนทำสำเร็จจริง ต้องให้รางวัลหรือไม่ | ให้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 362 บุคคลออกโฆษณาให้คำมั่นว่าจะให้รางวัลแก่ผู้ซึ่งกระทำการอันใด ท่านว่าจำต้องให้รางวัลแก่บุคคลใด ๆ ผู้ได้กระทำการอันนั้น แม้ถึงมิใช่ว่าผู้นั้นจะได้กระทำเพราะเห็นแก่รางวัล | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 362\nบุคคลออกโฆษณาให้คำมั่นว่าจะให้รางวัลแก่ผู้ซึ่งกระทำการอันใด ท่านว่าจำต้องให้รางวัลแก่บุคคลใด ๆ ผู้ได้กระทำการอันนั้น แม้ถึงมิใช่ว่าผู้นั้นจะได้กระทำเพราะเห็นแก่รางวัล",
"section_num": "362"
}
] | ให้ | [] |
ถ้ามีคู่สัญญาฝ่ายละหลายคน จะเลิกสัญญาต้องทำอย่างไร | ถ้าฝ่ายที่จะใช้สิทธิเลิกสัญญามีหลายคน ทุกคนต้องใช้สิทธิ และถ้าฝ่ายที่จะถูกเลิกสัญญามีหลายคน ฝ่ายที่จะใช้สิทธิต้องใช้สิทธิกับอีกฝ่ายทุกคน คำอธิบายขยายความ: ในการเลิกสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายละหลายคน มีเงื่อนไขว่า ถ้าฝ่ายที่จะใช้สิทธิเลิกสัญญามีหลายคน ทุกคนต้องใช้สิทธิ คนใดคนหนึ่งจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาลำพังไม่ได้ ส่วนกรณีคู่สัญญาฝ่ายที่จะถูกเลิกสัญญามีหลายคน ฝ่ายที่จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจะต้องใช้สิทธิกับอีกฝ่ายทุกคน จะบอกเลิกสัญญาเอากับคนใดคนหนึ่งของอีกฝ่ายไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 390 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 390\nถ้าในสัญญาใดคู่สัญญาเป็นบุคคลหลายคนด้วยกันอยู่ข้างหนึ่งหรืออีกข้างหนึ่ง ท่านว่าจะใช้สิทธิเลิกสัญญาได้ก็แต่เมื่อบุคคลเหล่านั้นทั้งหมดรวมกันใช้ ทั้งใช้ต่อบุคคลเหล่านั้นรวมหมดทุกคนด้วย ถ้าสิทธิเลิกสัญญาอันมีแก่บุคคลคนหนึ่งในจำพวกที่มีสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไปแล้ว สิทธิเลิกสัญญาอันมีแก่คนอื่น ๆ ก็ย่อมระงับสิ้นไปด้วย",
"section_num": "390"
}
] | ถ้าฝ่ายที่จะใช้สิทธิเลิกสัญญามีหลายคน ทุกคนต้องใช้สิทธิ และถ้าฝ่ายที่จะถูกเลิกสัญญามีหลายคน ฝ่ายที่จะใช้สิทธิต้องใช้สิทธิกับอีกฝ่ายทุกคน. | [] |
ขอทราบหน้าที่การจัดการกองทรัสต์ของทรัสตี | จัดการกองทรัสต์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังเยี่ยงผู้มีวิชาชีพ รวมทั้งด้วยความชำนาญ โดยปฏิบัติต่อผู้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้รับประโยชน์ คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 30 ทรัสตีมีหน้าที่จัดการกองทรัสต์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังเยี่ยงผู้มีวิชาชีพ รวมทั้งด้วยความชำนาญ โดยปฏิบัติต่อผู้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้รับประโยชน์ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 30 ทรัสตีมีหน้าที่จัดการกองทรัสต์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังเยี่ยงผู้มีวิชาชีพ รวมทั้งด้วยความชำนาญ โดยปฏิบัติต่อผู้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้รับประโยชน์\nเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของทรัสตีตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการ ก.ล.ต. อาจประกาศกำหนดรายละเอียดของการทำหน้าที่ดังกล่าวได้\nสัญญาก่อตั้งทรัสต์จะมีข้อความยกเว้นความรับผิดในกรณีที่ทรัสตีไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่งโดยเจตนา โดยไม่สุจริต หรือโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงมิได้",
"section_num": "30"
}
] | จัดการกองทรัสต์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังเยี่ยงผู้มีวิชาชีพ รวมทั้งด้วยความชำนาญ โดยปฏิบัติต่อผู้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้รับประโยชน์. | [] |
การเก็บของในคลังสินค้าสามารถนำข้อกฎหมายในเรื่องใดมาปรับใช้ได้บ้าง | การฝากทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 771 บทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยฝากทรัพย์นั้นท่านให้นำมาใช้บังคับแก่การเก็บของในคลังสินค้าด้วยเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในลักษณะนี้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 771\nบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยฝากทรัพย์นั้นท่านให้นำมาใช้บังคับแก่การเก็บของในคลังสินค้าด้วยเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในลักษณะนี้",
"section_num": "771"
}
] | การฝากทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | [] |
กรรมการบริษัทต้องจัดให้ถือบัญชีใดบ้าง | 1) บัญชีจำนวนเงินที่บริษัทได้รับและได้จ่าย ทั้งรายการอันเป็นเหตุให้รับหรือจ่ายเงินทุกกรณีไป 2) บัญชีสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1206 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1206\nกรรมการต้องจัดให้ถือบัญชีซึ่งกล่าวต่อไปนี้ไว้ให้ถูกถ้วนจริง ๆ คือ\n(1) จำนวนเงินที่บริษัทได้รับและได้จ่าย ทั้งรายการอันเป็นเหตุให้รับหรือจ่ายเงินทุกรายไป\n(2) สินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท",
"section_num": "1206"
}
] | 1) บัญชีจำนวนเงินที่บริษัทได้รับและได้จ่าย ทั้งรายการอันเป็นเหตุให้รับหรือจ่ายเงินทุกกรณีไป 2) บัญชีสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท | [] |
ถ้าไม่ได้กำหนดวันชำระค่าฝากทรัพย์ไว้ในสัญญา ต้องชำระเมื่อใด | ให้ชำระเมื่อคืนทรัพย์สินที่ได้ฝากไว้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 669 ถ้าไม่ได้กำหนดเวลาไว้ในสัญญา หรือไม่มีกำหนดโดยจารีตประเพณีว่าบำเหน็จค่าฝากทรัพย์นั้นจะพึงชำระเมื่อไรไซร้ ท่านให้ชำระเมื่อคืนทรัพย์สินซึ่งฝาก ถ้าได้กำหนดเวลากันไว้เป็นระยะอย่างไร ก็พึงชำระเมื่อสิ้นระยะเวลานั้นทุกคราวไป | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 669\nถ้าไม่ได้กำหนดเวลาไว้ในสัญญา หรือไม่มีกำหนดโดยจารีตประเพณีว่าบำเหน็จค่าฝากทรัพย์นั้นจะพึงชำระเมื่อไรไซร้ ท่านให้ชำระเมื่อคืนทรัพย์สินซึ่งฝาก ถ้าได้กำหนดเวลากันไว้เป็นระยะอย่างไร ก็พึงชำระเมื่อสิ้นระยะเวลานั้นทุกคราวไป",
"section_num": "669"
}
] | ให้ชำระเมื่อคืนทรัพย์สินที่ได้ฝากไว้ | [] |
บริษัทจำกัดสามารถออกหุ้นกู้ได้หรือไม่ | บริษัทจำกัดไม่สามารถออกหุ้นกู้ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1229 บริษัทจะออกหุ้นกู้ไม่ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1229\nบริษัทจะออกหุ้นกู้ไม่ได้",
"section_num": "1229"
}
] | บริษัทจำกัดไม่สามารถออกหุ้นกู้ได้ | [] |
ถ้าคนทึ่มีสิทธิเหนือพื้นดินไม่ยอมจ่ายค่าเช่าตามที่ตกลง อีกฝ่ายจะบอกเลิกสิทธิเหนือที่ดินได้หรือไม่ | ถ้าไม่จ่ายค่าเช่า 2 ปีติดกัน อีกฝ่ายบอกเลิกได้ คำอธิบายขยายความ: คนที่มีสิทธิเหนือพื้นดิน ตามกฎหมายเรียกว่าผู้ทรงสิทธิเหนือพื้นดิน ในกรณีทึ่ตกลงเรื่องค่าเช่ากันไว้แต่ผู้ทรงละเลยไม่ยอมชำระ อีกฝ่ายจะบอกเลิกสิทธิเหนือพื้นดินได้ต่อเมื่อผู้ทรงค้างชำระ 2 ปีติดกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1414 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1414\nถ้าผู้ทรงสิทธิเหนือพื้นดินละเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขอันเป็นสาระสำคัญซึ่งระบุไว้ในนิติกรรมก่อตั้งสิทธินั้นก็ดี หรือถ้ามีค่าเช่าซึ่งจะต้องให้แก่กัน แต่ผู้ทรงสิทธิเหนือพื้นดินละเลยไม่ชำระถึงสองปีติด ๆ กันก็ดี ท่านว่าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสิทธิเหนือพื้นดินก็ได้",
"section_num": "1414"
}
] | ถ้าไม่จ่ายค่าเช่า 2 ปีติดกัน อีกฝ่ายบอกเลิกได้ | [] |
ในการเช่าที่ดิน หากอยากเปลี่ยนฐานะเป็นผู้ครอบครองที่ดินนั้นได้หรือไม่ | ได้ โดยการบอกกล่าวเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือไปยังผู้ครอบครอง คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381\nบุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก",
"section_num": "1381"
}
] | ได้ โดยการบอกกล่าวเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือไปยังผู้ครอบครอง | [] |
หากอยากสั่งให้ผู้ทำบัญชีเข้ามาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับการจัดทำบัญชี ต้องดำเนินการอย่างไร | ให้สารวัตรใหญ่บัญชีและสารวัตรบัญชีสั่งเป็นหนังสือ 1) ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือให้นำส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้ทำบัญชี 2) ถ้าไม่พบผู้รับ ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้นั้น จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่หรือทำงานอยู่ในบ้านหรือสถานที่ประกอบธุรกิจที่ปรากฏว่าเป็นของผู้รับนั้นก็ได้ 3) ในกรณีที่ไม่สามารถส่งตามวิธีการในข้อ 1 และข้อ 2 ได้ หรือผู้ทำบัญชีออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ใช้วิธีปิดหนังสือดังกล่าวในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ ที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้นั้นหรือบ้านที่ผู้นั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียน หรือโฆษณาข้อความย่อในหนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายเป็นปกติในท้องที่นั้นก็ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 24 เมื่อได้ปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวข้างต้นแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันได้รับแล้ว | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543",
"section_content": "พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 24 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้สารวัตรใหญ่บัญชีและสารวัตรบัญชีมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือ\n(1) ให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ผู้ทำบัญชี หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีหรือการเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี\n(2) ให้ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหรือผู้ทำบัญชีส่งบัญชี เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี หรือรหัสบัญชีมาเพื่อตรวจสอบ\nหนังสือที่สั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือให้นำส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ผู้ทำบัญชี หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่พบผู้รับ ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้นั้น จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่หรือทำงานอยู่ในบ้านหรือสถานที่ประกอบธุรกิจที่ปรากฏว่าเป็นของผู้รับนั้นก็ได้\nในกรณีที่ไม่สามารถส่งตามวิธีการในวรรคสอง หรือผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ผู้ทำบัญชีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ใช้วิธีปิดหนังสือดังกล่าวในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ ที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้นั้นหรือบ้านที่ผู้นั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร หรือโฆษณาข้อความย่อในหนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายเป็นปกติในท้องที่นั้นก็ได้\nเมื่อได้ปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวข้างต้นแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันได้รับแล้ว",
"section_num": "24"
}
] | ให้สารวัตรใหญ่บัญชีและสารวัตรบัญชีสั่งเป็นหนังสือ 1) ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือให้นำส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้ทำบัญชี 2) ถ้าไม่พบผู้รับ ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้นั้น จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่หรือทำงานอยู่ในบ้านหรือสถานที่ประกอบธุรกิจที่ปรากฏว่าเป็นของผู้รับนั้นก็ได้ 3) ในกรณีที่ไม่สามารถส่งตามวิธีการในข้อ 1 และข้อ 2 ได้ หรือผู้ทำบัญชีออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ใช้วิธีปิดหนังสือดังกล่าวในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ ที่อยู่หรือสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้นั้นหรือบ้านที่ผู้นั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียน หรือโฆษณาข้อความย่อในหนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายเป็นปกติในท้องที่นั้นก็ได้. | [] |
หลักเกณฑ์การออกหุ้นใหม่เพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้และโครงการแปลงหนี้เป็นทุนของบริษัทมหาชน ต้องเป็นไปตามกฎหมายใด | ต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 คำอธิบายขยายความ: ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 54/1 วรรคสอง ระบุให้หลักเกณฑ์และวิธีการการออกหุ้นใหม่เพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้และโครงการแปลงหนี้เป็นทุนของบริษัทมหาชน เป็นไปที่กำหนดในตามกฎกระทรวงที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าว | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 54/1 บทบัญญัติมาตรา 54 วรรคสอง มิให้นำมาใช้บังคับกับกรณีที่บริษัทปรับโครงสร้างหนี้โดยการออกหุ้นใหม่เพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุนซึ่งได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน\nการออกหุ้นเพื่อชำระหนี้และโครงการแปลงหนี้เป็นทุนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง",
"section_num": "54/1"
}
] | ต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 54 ภายใต้บังคับมาตรา 35 (5) และมาตรา 52 หุ้นทุกหุ้นต้องใช้เป็นเงินครั้งเดียวจนเต็มมูลค่า\nในการชำระค่าหุ้น ผู้จองหุ้นหรือผู้ซื้อหุ้นจะขอหักกลบลบหนี้กับบริษัทไม่ได้",
"section_num": "54"
}
] |
ผู้ทรงตั๋วเงินจะใช้สิทธิไล่เบี้ยต่อบุคคลที่ตนส่งคู่ฉีกไปให้เขารับรอง ได้อย่างไร | ต้องทำการคัดค้านโดยระบุความดังต่อไปนี้ คือ 1) ว่าคู่ฉีกฉบับซึ่งได้ส่งไปเพื่อรับรองนั้น เขาไม่สละให้แก่ตนเมื่อทวงถาม 2) ว่าไม่สามารถจะให้เขารับรองหรือใช้เงินด้วยคู่ฉีกฉบับอื่นได้ แล้วจึงใช้สิทธิไล่เบี้ย คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 981 คู่สัญญาซึ่งส่งคู่ฉีกฉบับหนึ่งไปให้เขารับรอง ต้องเขียนแถลงลงในคู่ฉีกฉบับอื่นว่าคู่ฉีกฉบับโน้นอยู่ในมือบุคคลชื่อไร ส่วนบุคคลคนนั้นก็จำต้องสละตั๋วให้แก่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแห่งคู่ฉีกฉบับอื่นนั้น ถ้าบุคคลคนนั้นบอกปัดไม่ยอมให้ ท่านว่าผู้ทรงยังจะใช้สิทธิไล่เบี้ยไม่ได้จนกว่าจะได้ทำคัดค้านระบุความดังต่อไปนี้ คือ (1) ว่าคู่ฉีกฉบับซึ่งได้ส่งไปเพื่อรับรองนั้น เขาไม่สละให้แก่ตนเมื่อทวงถาม (2) ว่าไม่สามารถจะให้เขารับรองหรือใช้เงินด้วยคู่ฉีกฉบับอื่นได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 981\nคู่สัญญาซึ่งส่งคู่ฉีกฉบับหนึ่งไปให้เขารับรอง ต้องเขียนแถลงลงในคู่ฉีกฉบับอื่นว่าคู่ฉีกฉบับโน้นอยู่ในมือบุคคลชื่อไร ส่วนบุคคลคนนั้นก็จำต้องสละตั๋วให้แก่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแห่งคู่ฉีกฉบับอื่นนั้น\nถ้าบุคคลคนนั้นบอกปัดไม่ยอมให้ ท่านว่าผู้ทรงยังจะใช้สิทธิไล่เบี้ยไม่ได้จนกว่าจะได้ทำคัดค้านระบุความดังต่อไปนี้ คือ\n(1) ว่าคู่ฉีกฉบับซึ่งได้ส่งไปเพื่อรับรองนั้น เขาไม่สละให้แก่ตนเมื่อทวงถาม\n(2) ว่าไม่สามารถจะให้เขารับรองหรือใช้เงินด้วยคู่ฉีกฉบับอื่นได้",
"section_num": "981"
}
] | ต้องทำการคัดค้านโดยระบุความดังต่อไปนี้ คือ 1) ว่าคู่ฉีกฉบับซึ่งได้ส่งไปเพื่อรับรองนั้น เขาไม่สละให้แก่ตนเมื่อทวงถาม 2) ว่าไม่สามารถจะให้เขารับรองหรือใช้เงินด้วยคู่ฉีกฉบับอื่นได้ แล้วจึงใช้สิทธิไล่เบี้ย | [] |
เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่อยากจะควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ต้องดำเนินการอย่างไร | 1) ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นแจ้งการเลิกประกอบกิจการตามที่กฎหมายกำหนด และ 2) ให้นิติบุคคลใหม่ซึ่งได้ควบเข้ากันแล้ว ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 85/14 ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นนิติบุคคลใดประสงค์จะควบเข้ากัน ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นแจ้งการเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 ตามแบบที่อธิบดีกำหนด และให้นิติบุคคลใหม่ซึ่งได้ควบเข้ากันยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 85/14 ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นนิติบุคคลใดประสงค์จะควบเข้ากัน ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นแจ้งการเลิกประกอบกิจการตามมาตรา 85/15 ตามแบบที่อธิบดีกำหนด และให้นิติบุคคลใหม่ซึ่งได้ควบเข้ากันยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลใหม่",
"section_num": "85/14"
}
] | 1) ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นแจ้งการเลิกประกอบกิจการตามที่กฎหมายกำหนด และ 2) ให้นิติบุคคลใหม่ซึ่งได้ควบเข้ากันแล้ว ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 85/15 ผู้ประกอบการจดทะเบียนใดเลิกประกอบกิจการให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นแจ้งการเลิกกิจการตามแบบที่อธิบดีกำหนด ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ภายในสิบห้าวันนับจากวันเลิกประกอบกิจการ\nให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เลิกกิจการคืนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานที่ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้พร้อมกับการแจ้งเลิกประกอบกิจการ",
"section_num": "85/15"
}
] |
คำสั่งของสำนักงานก.ล.ต. ในเรื่องเกี่ยวกับทรัสต์มีผลบังคับใช้อย่างไร | มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 6 บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือข้อกำหนดใด ๆ ที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ โดยคณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงาน ก.ล.ต. และมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 6 บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือข้อกำหนดใด ๆ ที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ โดยคณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงาน ก.ล.ต. และมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้",
"section_num": "6"
}
] | มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป | [] |
ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร | 1. ต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด และ 2. ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 54 ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัดและได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. ... การขออนุญาต การขอจดทะเบียน การออกใบอนุญาต และการรับจดทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 54 ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัดและได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต.\nศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เปิดให้เฉพาะผู้ลงทุนสถาบันซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเองต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดและจดทะเบียนกับสำนักงาน ก.ล.ต.\nการขออนุญาต การขอจดทะเบียน การออกใบอนุญาต และการรับจดทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด",
"section_num": "54"
}
] | 1. ต้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด และ 2. ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. | [] |
บุคคลสองคนเป็นหนี้ที่แบ่งกันชำระไม่ได้ ต้องทำอย่างไร | ต้องรับผิดโดยเป็นลูกหนี้ร่วมกันในหนี้นั้น คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301\nถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน",
"section_num": "301"
}
] | ต้องรับผิดโดยเป็นลูกหนี้ร่วมกันในหนี้นั้น | [] |
กรณีใดที่ผู้ทรงไม่ต้องร้องขอให้ทำคำคัดค้าน | ในกรณีที่ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังลงข้อกำหนดไว้ในตั๋วเงิน ว่า “ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน” หรือ “ไม่มีคัดค้าน” หรือสำนวนอื่นใดทำนองนั้น คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 964 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 964\nด้วยข้อกำหนดเขียนลงไว้ว่า “ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน” ก็ดี “ไม่มีคัดค้าน” ก็ดี หรือสำนวนอื่นใดทำนองนั้นก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังจะยอมปลดเปลื้องผู้ทรงจากการทำคำคัดค้านการไม่รับรองหรือการไม่ใช้เงินก็ได้ เพื่อตนจะได้ใช้สิทธิไล่เบี้ย\nข้อกำหนดอันนี้ ย่อมไม่ปลดผู้ทรงให้พ้นจากหน้าที่นำตั๋วเงินยื่นภายในเวลากำหนด หรือจากหน้าที่ให้คำบอกกล่าวตั๋วเงินขาดความเชื่อถือแก่ผู้สลักหลังคนก่อนหรือผู้สั่งจ่าย อนึ่ง หน้าที่นำสืบว่าไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกำหนดเวลาจำกัดนั้น ย่อมตกอยู่แก่บุคคลผู้แสวงจะใช้ความข้อนั้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ทรงตั๋วแลกเงิน\nข้อกำหนดอันนี้ ถ้าผู้สั่งจ่ายเป็นผู้เขียนลงไปแล้ว ย่อมเป็นผลตลอดถึงคู่สัญญาทั้งปวงบรรดาที่ได้ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินนั้น ถ้าและทั้งมีข้อกำหนดดังนี้แล้ว ผู้ทรงยังขืนทำคำคัดค้านไซร้ ท่านว่าผู้ทรงต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเพื่อการนั้น หากว่าข้อกำหนดนั้นผู้สลักหลังเป็นผู้เขียนลง และถ้ามีคำคัดค้านทำขึ้นไซร้ ท่านว่าค่าใช้จ่ายในการคัดค้านนั้นอาจจะเรียกเอาใช้ได้จากคู่สัญญาอื่น ๆ บรรดาที่ได้ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินนั้น",
"section_num": "964"
}
] | ในกรณีที่ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังลงข้อกำหนดไว้ในตั๋วเงิน ว่า “ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน” หรือ “ไม่มีคัดค้าน” หรือสำนวนอื่นใดทำนองนั้น | [] |
ถ้าเขียนข้อความที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องเขียนลงในตั๋วเงิน จะมีผลอย่างไร | ข้อความนั้นไม่เป็นผลแก่ตั๋วเงินนั้น คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 899 ข้อความอันใดซึ่งมิได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายลักษณะนี้ ถ้าเขียนลงในตั๋วเงิน ท่านว่าข้อความอันนั้นหาเป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ตั๋วเงินนั้นไม่ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 899\nข้อความอันใดซึ่งมิได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายลักษณะนี้ ถ้าเขียนลงในตั๋วเงิน ท่านว่าข้อความอันนั้นหาเป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ตั๋วเงินนั้นไม่",
"section_num": "899"
}
] | ข้อความนั้นไม่เป็นผลแก่ตั๋วเงินนั้น | [] |
มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในกรณีปกติคะแนนเสียงต้องตัดสินอย่างไร | ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและออกเสียงลงคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 107 เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นนั้นให้ประกอบด้วยคะแนนเสียงดังต่อไปนี้ (1) ในกรณีปกติ ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและออกเสียงลงคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด ... | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 107 เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นนั้นให้ประกอบด้วยคะแนนเสียงดังต่อไปนี้\n(1) ในกรณีปกติ ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและออกเสียงลงคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด\n(2) ในกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน\n(ก) การขายหรือโอนกิจการของบริษัททั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญให้แก่บุคคลอื่น\n(ข) การซื้อหรือรับโอนกิจการของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนมาเป็นของบริษัท\n(ค) การทำ แก้ไข หรือเลิกสัญญาเกี่ยวกับการให้เช่ากิจการของบริษัททั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญ การมอบหมายให้บุคคลอื่นเข้าจัดการธุรกิจของบริษัท หรือการรวมกิจการกับบุคคลอื่นโดยมีวัตถุประสงค์จะแบ่งกำไรขาดทุนกัน\n(3) ในกรณีที่บริษัทมีข้อบังคับกำหนดไว้ว่า มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเรื่องใดต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงเกินจำนวนที่กำหนดไว้ใน (1) หรือ (2) ก็ให้เป็นไปตามนั้น",
"section_num": "107"
}
] | ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและออกเสียงลงคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด | [] |
การนำตั๋วเงินลงเป็นรายการในบัญชีเดินสะพัด หมายถึงอะไร | อาจจะมีผู้ชำระเงินตามตั๋วนั้น คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 857 การนำตั๋วเงินลงเป็นรายการในบัญชีเดินสะพัดนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าได้ลงด้วยเงื่อนไขว่าจะมีผู้ชำระเงินตามตั๋วนั้น ถ้าและตั๋วนั้นมิได้ชำระเงินไซร้ จะเพิกถอนรายการอันนั้นเสียก็ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 857\nการนำตั๋วเงินลงเป็นรายการในบัญชีเดินสะพัดนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าได้ลงด้วยเงื่อนไขว่าจะมีผู้ชำระเงินตามตั๋วนั้น ถ้าและตั๋วนั้นมิได้ชำระเงินไซร้ จะเพิกถอนรายการอันนั้นเสียก็ได้",
"section_num": "857"
}
] | อาจจะมีผู้ชำระเงินตามตั๋วนั้น | [] |
ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องมีคุณสมบัติอย่างไร | 1) บรรลุนิติภาวะแล้ว 2) มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เริ่มจัดตั้งทั้งหมด 3) จองหุ้น และหุ้นที่จองทั้งหมดนั้นต้องเป็นหุ้นที่ชำระค่าหุ้นเป็นตัวเงินรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของทุนจดทะเบียน 4) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย และ 5) ไม่เคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่ได้กระทำโดยทุจริต คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 17 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 17 ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้อง\n(1) บรรลุนิติภาวะแล้ว\n(2) มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เริ่มจัดตั้งทั้งหมด\n(3) จองหุ้น และหุ้นที่จองทั้งหมดนั้นต้องเป็นหุ้นที่ชำระค่าหุ้นเป็นตัวเงินรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของทุนจดทะเบียน\n(4) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย และ\n(5) ไม่เคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่ได้กระทำโดยทุจริต",
"section_num": "17"
}
] | 1) บรรลุนิติภาวะแล้ว 2) มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เริ่มจัดตั้งทั้งหมด 3) จองหุ้น และหุ้นที่จองทั้งหมดนั้นต้องเป็นหุ้นที่ชำระค่าหุ้นเป็นตัวเงินรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของทุนจดทะเบียน 4) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย และ 5) ไม่เคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่ได้กระทำโดยทุจริต | [] |
ถ้าพินัยกรรมมีเงื่อนไขว่าจะจัดการมรดกได้ตอนอายุ 20 ปี ระหว่างรอให้อายุครบต้องทำอย่างไร | ร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมนั้นจนกว่าจะอายุครบ 20 ปี หรือจนกว่าความสำเร็จแห่งเงื่อนไขตกเป็นอันพ้นวิสัยก็ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1675 เมื่อพินัยกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน ผู้รับประโยชน์ตามข้อความแห่งพินัยกรรมนั้นจะร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมนั้นจนกว่าจะถึงเวลาที่เงื่อนไขสำเร็จ หรือจนกว่าความสำเร็จแห่งเงื่อนไขตกเป็นอันพ้นวิสัยก็ได้ ถ้าศาลเห็นเป็นการสมควร จะตั้งผู้ร้องนั้นเป็นผู้จัดการทรัพย์สินเสียเอง และเรียกให้ผู้ร้องนั้นวางประกันตามที่สมควรก็ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1675\nเมื่อพินัยกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน ผู้รับประโยชน์ตามข้อความแห่งพินัยกรรมนั้นจะร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมนั้นจนกว่าจะถึงเวลาที่เงื่อนไขสำเร็จ หรือจนกว่าความสำเร็จแห่งเงื่อนไขตกเป็นอันพ้นวิสัยก็ได้\nถ้าศาลเห็นเป็นการสมควร จะตั้งผู้ร้องนั้นเป็นผู้จัดการทรัพย์สินเสียเอง และเรียกให้ผู้ร้องนั้นวางประกันตามที่สมควรก็ได้",
"section_num": "1675"
}
] | ร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมนั้นจนกว่าจะอายุครบ 20 ปี หรือจนกว่าความสำเร็จแห่งเงื่อนไขตกเป็นอันพ้นวิสัยก็ได้ | [] |
ใครที่สามารถร้องขอต่อศาลให้ตนเป็นผู้จัดการสินสมรสได้ | สามีหรือภริยา คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1485 สามีหรือภริยาอาจร้องขอต่อศาลให้ตนเป็นผู้จัดการสินสมรสโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเข้าร่วมจัดการในการนั้นได้ ถ้าการที่จะทำเช่นนั้นจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1485\nสามีหรือภริยาอาจร้องขอต่อศาลให้ตนเป็นผู้จัดการสินสมรสโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเข้าร่วมจัดการในการนั้นได้ ถ้าการที่จะทำเช่นนั้นจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า",
"section_num": "1485"
}
] | สามีหรือภริยา | [] |
ผู้ให้ฟ้องคดีถอนคืนการให้เมื่อพ้น 10 ปีแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะเป็นของใคร | กรรมสิทธิ์เป็นของผู้รับ เนื่องจากขาดอายุความที่จะฟ้องร้องได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1333 ท่านว่ากรรมสิทธิ์นั้น อาจได้มาโดยอายุความตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 3 (ให้) แห่งบรรพนี้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1333\nท่านว่ากรรมสิทธิ์นั้น อาจได้มาโดยอายุความตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้",
"section_num": "1333"
}
] | กรรมสิทธิ์เป็นของผู้รับ เนื่องจากขาดอายุความที่จะฟ้องร้องได้ | [] |
ถ้าจะฟ้องคดีเนื่องจากตัวแทนนำเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว สามารถเรียกดอกเบี้ยด้วยได้หรือไม่ | ได้ โดยตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 811 ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจของตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 811\nถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจของตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้",
"section_num": "811"
}
] | ได้ โดยตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้ | [] |
ถ้าผู้ขนส่งพิสูจน์ได้ว่าของนั้นบุบสลายเพราะความผิดของผู้ส่ง ผู้ขนส่งต้องรับผิดหรือไม่ | ไม่ต้องรับผิด คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในการที่ของอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งมอบชักช้า เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการสูญหายหรือบุบสลายหรือชักช้านั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดแต่สภาพแห่งของนั้นเอง หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616\nผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในการที่ของอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งมอบชักช้า เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการสูญหายหรือบุบสลายหรือชักช้านั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดแต่สภาพแห่งของนั้นเอง หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง",
"section_num": "616"
}
] | ไม่ต้องรับผิด | [] |
ผู้เยาว์สามารถทำพินัยกรรมเองได้หรือไม่ | ได้ เนื่องจากการทำพินัยกรรมเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 23 ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 23\nผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว",
"section_num": "23"
}
] | ได้ เนื่องจากการทำพินัยกรรมเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว | [] |
บริษัทหลักทรัพย์จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอื่นของตนเอง ได้อย่างไร | ต่อเมื่อได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในโครงการจัดการกองทุนรวมที่ได้รับอนุมัติและในหนังสือชี้ชวนและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่กำหนด คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 126/1 ในการจัดการกองทุนรวมบริษัทหลักทรัพย์จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอื่นที่บริษัทหลักทรัพย์เดียวกันนั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการได้ต่อเมื่อได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในโครงการจัดการกองทุนรวมที่ได้รับอนุมัติและในหนังสือชี้ชวนและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่สำนักงานประกาศกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 126/1 ในการจัดการกองทุนรวมบริษัทหลักทรัพย์จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอื่นที่บริษัทหลักทรัพย์เดียวกันนั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการได้ต่อเมื่อได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในโครงการจัดการกองทุนรวมที่ได้รับอนุมัติและในหนังสือชี้ชวนและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่สำนักงานประกาศกำหนด",
"section_num": "126/1"
}
] | ต่อเมื่อได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในโครงการจัดการกองทุนรวมที่ได้รับอนุมัติและในหนังสือชี้ชวนและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่กำหนด | [] |
ถ้าสงสัยว่าสมาคมการค้าแห่งหนึ่งดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องดำเนินการอย่างไร | ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้สมาคมการค้านั้นแจ้งวันเวลาประชุมทุกคราวมาให้นายทะเบียนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน ในกรณีเช่นนี้ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปฟังการประชุมได้ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 34 ... สมาคมการค้าใดไม่แจ้งวันเวลาประชุมตามคำสั่งของนายทะเบียน ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้สมาคมการค้านั้นงดการประชุมได้ครั้งหนึ่งไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนสั่ง ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้งดการประชุม ให้นำมาตรา 10 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 34 เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าสมาคมการค้าใดจะดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรืออาจเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หรือต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้สมาคมการค้านั้นแจ้งวันเวลาประชุมทุกคราวมาให้นายทะเบียนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน ในกรณีเช่นนี้ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปฟังการประชุมได้\nสมาคมการค้าใดไม่แจ้งวันเวลาประชุมตามคำสั่งของนายทะเบียน ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้สมาคมการค้านั้นงดการประชุมได้ครั้งหนึ่งไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนสั่ง\nในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้งดการประชุม ให้นำมาตรา 10 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม",
"section_num": "34"
}
] | ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้สมาคมการค้านั้นแจ้งวันเวลาประชุมทุกคราวมาให้นายทะเบียนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน ในกรณีเช่นนี้ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปฟังการประชุมได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 10 เมื่อนายทะเบียนได้รับคำขออนุญาตและพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อบังคับไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่เป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หรือต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และผู้เริ่มก่อการจัดตั้งเป็นผู้ซึ่งมีความประพฤติดี ให้นายทะเบียนสั่งอนุญาตและออกใบอนุญาตสมาคมการค้าให้แก่ผู้ขออนุญาต พร้อมทั้งจดทะเบียนสมาคมการค้าให้ด้วย\nถ้านายทะเบียนมีคำสั่งไม่อนุญาต ให้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือไปยังผู้ขออนุญาตโดยมิชักช้า ผู้ขออนุญาตมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ โดยยื่นอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อรัฐมนตรี ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด\nการอนุญาตให้ตั้งสมาคมการค้าและการเลิกสมาคมการค้า ให้นายทะเบียนกลางสมาคมการค้าประกาศในราชกิจจานุเบกษา",
"section_num": "10"
}
] |
คนต่างด้าวจะเดินทางออกจากประเทศไทยขอรับใบผ่านภาษีอากร สามารถออกใบดังกล่าวได้หรือไม่ | ได้ ในกรณีที่เห็นว่า ผู้ยื่นคำร้องมีเหตุผลสมควรจะต้องเดินทางออกจากประเทศไทยเป็นการรีบด่วนและชั่วคราว และผู้ยื่นคำร้องมีหลักประกันหรือหลักทรัพย์อยู่ในประเทศไทยพอคุ้มค่าภาษีอากรที่ค้างหรือจะที่ต้องชำระ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 4 ฉ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 4 ฉ ในกรณีที่ผู้รับคำร้องตามมาตรา 4 ตรี พิจารณาเห็นว่า ผู้ยื่นคำร้องมีเหตุผลสมควรจะต้องเดินทางออกจากประเทศไทยเป็นการรีบด่วนและชั่วคราว และผู้ยื่นคำร้องมีหลักประกันหรือหลักทรัพย์อยู่ในประเทศไทยพอคุ้มค่าภาษีอากรที่ค้างหรือจะที่ต้องชำระ ให้อธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายออกใบผ่านภาษีอากรให้",
"section_num": "4 ฉ"
}
] | ได้ ในกรณีที่เห็นว่า ผู้ยื่นคำร้องมีเหตุผลสมควรจะต้องเดินทางออกจากประเทศไทยเป็นการรีบด่วนและชั่วคราว และผู้ยื่นคำร้องมีหลักประกันหรือหลักทรัพย์อยู่ในประเทศไทยพอคุ้มค่าภาษีอากรที่ค้างหรือจะที่ต้องชำระ | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามประมวลรัษฎากรนี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมินและเจ้าพนักงานอื่นโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษากับออกกฎกระทรวง\n(1) ให้ใช้หรือให้ยกเลิกแสตมป์ โดยกำหนดให้นำมาแลกเปลี่ยนกับแสตมป์ที่ใช้ได้ภายในเวลาและเงื่อนไขที่กำหนด แต่ต้องให้เวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวัน\n(2) กำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรนี้\nกฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้",
"section_num": "4"
}
] |
ตั๋วสัญญาใช้เงิน ต้องมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง | ต้องมีรายการดังต่อไปนี้ คือ 1) คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 2) คำมั่นสัญญาอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน 3) วันถึงกำหนดใช้เงิน 4) สถานที่ใช้เงิน 5) ชื่อ หรือยี่ห้อของผู้รับเงิน 6) วันและสถานที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 7) ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 983 | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 983\nตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น ต้องมีรายการดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ\n(1) คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน\n(2) คำมั่นสัญญาอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน\n(3) วันถึงกำหนดใช้เงิน\n(4) สถานที่ใช้เงิน\n(5) ชื่อ หรือยี่ห้อของผู้รับเงิน\n(6) วันและสถานที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน\n(7) ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว",
"section_num": "983"
}
] | ต้องมีรายการดังต่อไปนี้ คือ 1) คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 2) คำมั่นสัญญาอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน 3) วันถึงกำหนดใช้เงิน 4) สถานที่ใช้เงิน 5) ชื่อ หรือยี่ห้อของผู้รับเงิน 6) วันและสถานที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 7) ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว | [] |
ตามกฎหมายหลักทรัพย์ กรรมการกองทุนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีวาระการดำรงตำแหน่งอย่างไร | มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 218/10 กรรมการกองทุนตามมาตรา 218/7 (4) มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปีและอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 218/10 กรรมการกองทุนตามมาตรา 218/7 (4) มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปีและอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้",
"section_num": "218/10"
}
] | มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 218/7 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน” ประกอบด้วย\n(1) ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ เป็นประธานกรรมการ\n(2) รองเลขาธิการซึ่งเลขาธิการมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ\n(3) ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เป็นกรรมการ\n(4) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสามคนซึ่งคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้งตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในมาตรา 218/8 เป็นกรรมการ\nให้ผู้จัดการกองทุนเป็นเลขานุการ",
"section_num": "218/7"
}
] |
ตามกฎหมายบริษัทมหาชน ถ้าไม่อำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย มีโทษหรือไม่ | มี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 212 ผู้ใดขัดขวาง หรือไม่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ตรวจสอบซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 130 หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 190 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 212 ผู้ใดขัดขวาง หรือไม่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ตรวจสอบซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 130 หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 190 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "212"
}
] | มี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 130 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 128 และมาตรา 129 ผู้ตรวจสอบมีอำนาจดังนี้\n(1) เข้าไปในสำนักงานและสถานที่ใด ๆ ของบริษัทระหว่างเวลาทำการของบริษัท\n(2) สั่งกรรมการ พนักงาน ลูกจ้าง ผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่ใด ๆ ของบริษัทและตัวแทนของบริษัทและผู้สอบบัญชี รวมทั้งบุคคลซึ่งเคยดำรงตำแหน่งหรือมีหน้าที่ดังกล่าวและพ้นจากตำแหน่งหรือหน้าที่นั้นไม่เกินหนึ่งปีมาให้ถ้อยคำ\n(3) สั่งให้บุคคลตาม (2) แสดงหรือส่งบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการของบริษัทที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเพื่อตรวจสอบ\nในกรณีที่ผู้ตรวจสอบพิจารณาเห็นว่า ในการตรวจสอบตามที่ได้รับแต่งตั้งนั้นมีความจำเป็นต้องตรวจสอบบริษัทอื่น หรือบริษัทเอกชนตามมาตรา 114 (1) และ (2) ด้วยเพราะมีกรณีเกี่ยวเนื่องกัน ผู้ตรวจสอบต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนก่อนจึงจะมีอำนาจตรวจสอบบริษัทนั้นเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องนั้นได้ด้วย\nในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจสอบตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ผู้ตรวจสอบเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้ตามสมควร",
"section_num": "130"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 190 เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสำนักงานและสถานที่ใด ๆ ของบริษัทในระหว่างเวลาทำการของบริษัทเพื่อตรวจสอบเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ที่บริษัทต้องจัดทำขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งมีอำนาจเรียกบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำด้วย ในการนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลดังกล่าว และให้บุคคลเหล่านั้นช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้ตามสมควร\nบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนด",
"section_num": "190"
}
] |
ต้องใช้บทบัญญัติใดมาปรับใช้กับเรื่องอำนาจหน้าที่ของศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ | บทบัญญัติที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 217 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 217 ให้นำความในมาตรา 167 มาตรา 168 มาตรา 170 มาตรา 171 มาตรา 172 มาตรา 178 มาตรา 179 มาตรา 180 มาตรา 181 มาตรา 182 มาตรา 183 มาตรา 184 มาตรา 187 มาตรา 188 มาตรา 189 มาตรา 191 มาตรา 195 มาตรา 196 มาตรา 198 มาตรา 199 มาตรา 200 มาตรา 201 มาตรา 202 และมาตรา 203 รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม\nในกรณีที่บทบัญญัติตามวรรคหนึ่งกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์หรือผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ให้ถือว่าบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์หรือคณะกรรมการศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ หรือผู้จัดการศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ แล้วแต่กรณี",
"section_num": "217"
}
] | บทบัญญัติที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 167 ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์มีหน้าที่บริหารกิจการของตลาดหลักทรัพย์ให้เป็นไปตามนโยบายและระเบียบข้อบังคับของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างของตลาดหลักทรัพย์\nในการบริหารกิจการ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์",
"section_num": "167"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 168 ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้แทนของตลาดหลักทรัพย์ และเพื่อการนี้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์จะมอบหมายให้บุคคลใด ๆ ปฏิบัติกิจการบางอย่างแทนโดยไม่ขัดต่อระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ก็ได้\nการมอบหมายตามวรรคหนึ่งให้ทำเป็นหนังสือ",
"section_num": "168"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 170 ให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายควบคุมดูแลการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ และปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้\nอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่งให้รวมถึงการกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับในเรื่องดังต่อไปนี้\n(1) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการรับและเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน\n(2) อัตราค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติหน้าที่เป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน\n(3) หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์ การเลือกตั้งกรรมการตลาดหลักทรัพย์ตามมาตรา 159 จำนวน วิธีการรับ คุณสมบัติ สิทธิและหน้าที่ วินัย การลงโทษ การประชุม ตลอดจนการโอนและการพ้นจากสมาชิกภาพของสมาชิกตลาดหลักทรัพย์\n(4) การกำหนดเกี่ยวกับค่าเข้าเป็นสมาชิก ค่าบำรุง เงินประกันและค่าบริการต่าง ๆ ที่สมาชิกจะพึงจ่ายให้แก่ตลาดหลักทรัพย์\n(5) หลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อกำหนดเพิ่มเติมในการบัญชีและการสอบบัญชีโดยไม่ขัดต่อมาตรฐานที่กำหนดโดยสถาบันวิชาชีพซึ่งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องให้การรับรอง\n(6) การประกาศรายชื่อผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ให้ทำการสอบบัญชีของบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์\n(7) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการจัดทำทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ จดทะเบียน การเปิดเผยฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์\n(8) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการทำสัญญาเป็นนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้แก่ลูกค้าและบริษัทหลักทรัพย์ที่มิใช่สมาชิก\n(9) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การอนุญาตให้สมาชิกซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนนอกตลาดหลักทรัพย์และการชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ได้มีการซื้อหรือขายในตลาดหลักทรัพย์\n(10) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว\n(11) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการเข้าไปตรวจสอบเอกสารและสมุดบัญชีของสมาชิกตลาดหลักทรัพย์\n(12) เวลาทำการประจำวันและวันหยุดทำการสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์\n(13) หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการจัดทำและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการรับรองการโอนหลักทรัพย์และการออกใบหลักทรัพย์\n(14) การบรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน พนักงานและลูกจ้าง วินัย การลงโทษพนักงานและลูกจ้างของตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนการร้องทุกข์และระเบียบวิธีปฏิบัติงานของตลาดหลักทรัพย์\n(15) การกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้างและเงินบำเหน็จรางวัลพนักงานและลูกจ้างของตลาดหลักทรัพย์\n(16) การสงเคราะห์พนักงานและลูกจ้าง หรือผู้พ้นจากการเป็นพนักงานและลูกจ้างของตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนครอบครัวของบุคคลเหล่านั้น\n(17) การอื่นใดที่จำเป็นต่อการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์\nการกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงระเบียบหรือข้อบังคับตามวรรคสอง ให้มีผลใช้บังคับเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. พิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับระเบียบหรือข้อบังคับ\nในกรณีที่การกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงระเบียบหรือข้อบังคับตามวรรคสองอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือประโยชน์ได้เสียของสมาชิกผู้ลงทุน หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ให้ตลาดหลักทรัพย์จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นก่อน พร้อมทั้งจัดส่งรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นให้คณะกรรมการก.ล.ต. เพื่อประกอบการพิจารณาให้ความเห็นชอบ\nการขอความเห็นชอบระเบียบหรือข้อบังคับตามวรรคสามและการรับฟังความคิดเห็นตามวรรคสี่มิให้ใช้บังคับกับระเบียบหรือข้อบังคับตามวรรคสอง (14) (15) หรือ (16)และระเบียบหรือข้อบังคับอื่นใดตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด\nหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งกรรมการตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคสอง(3)ต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับความรู้หรือประสบการณ์อันจำเป็นต่อการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ด้วย",
"section_num": "170"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 171 ให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้\n(1) รับหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนตามมาตรา 170 (1) เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน\n(2) ห้ามการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนรายใดรายหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดระยะเวลาตามที่เห็นสมควร\n(3) ห้ามสมาชิกรายใดรายหนึ่งเข้าทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดระยะเวลาตามที่เห็นสมควร\n(4) เพิกถอนการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเกี่ยวกับการเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียนตามมาตรา 170 (1)\nการสั่งรับหลักทรัพย์หรือเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน ให้ตลาดหลักทรัพย์ประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สถานที่ทำการของตลาดหลักทรัพย์และเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปทราบก่อนวันที่หลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นหรือถูกเพิกถอนการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน",
"section_num": "171"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 172 เพื่อให้การดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์เป็นไปโดยเรียบร้อยหรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ลงทุน ให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจสั่งให้บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กระทำการหรืองดเว้นกระทำการในเรื่องใด ๆ ตามความจำเป็นและสมควร\nในกรณีที่บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์จะใช้อำนาจตามมาตรา 171 (2) หรือ (4) ก็ได้",
"section_num": "172"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 178 ให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เสนองบดุลและบัญชีรายได้รายจ่ายประจำปีซึ่งผู้สอบบัญชีรับรองต่อที่ประชุมสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน",
"section_num": "178"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 179 ให้ที่ประชุมสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้งผู้สอบบัญชีจากบุคคลที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เสนอ และให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่ที่ประชุมสมาชิกกำหนด\nผู้สอบบัญชีต้องเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี และไม่เป็นกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ พนักงานหรือลูกจ้างของตลาดหลักทรัพย์",
"section_num": "179"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 180 ให้ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุดบัญชี และเอกสารหลักฐานของตลาดหลักทรัพย์ และขอคำชี้แจงจากกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ พนักงานหรือลูกจ้างของตลาดหลักทรัพย์ได้",
"section_num": "180"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 181 ให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ยื่นงบดุลและบัญชีรายได้รายจ่ายประจำปีตลอดจนทำรายงานและจัดส่งเอกสารต่อสำนักงาน ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนกำหนด",
"section_num": "181"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 182 ให้ตลาดหลักทรัพย์จ่ายเงินให้แก่สำนักงานเพื่อเป็นการอุดหนุนตามอัตราที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด",
"section_num": "182"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 183 ให้ตลาดหลักทรัพย์หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ มีอำนาจเปิดเผยข้อมูลของบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ทราบเพื่อคุ้มครองประโยชน์หรือส่วนได้เสียของประชาชน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนด",
"section_num": "183"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 184 การซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้กระทำได้โดยบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์\nในการซื้อหรือการขายหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง สมาชิกจะกระทำการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนของบุคคลใด ๆ หรือของบริษัทหลักทรัพย์ที่มิได้เป็นสมาชิกก็ได้\nคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์อาจประกาศกำหนดให้บุคคลที่มิใช่บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์สามารถทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนประเภทใดประเภทหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ได้",
"section_num": "184"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 187 ในกรณีที่มีเหตุขัดข้องอันเนื่องมาแต่เครื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นผลให้ไม่อาจซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ตามปกติ ให้ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจสั่งหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดเป็นการชั่วคราวได้ แต่ต้องรายงานเหตุดังกล่าวโดยละเอียดต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในทันที",
"section_num": "187"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 188 เมื่อสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์รายใดพ้นจากสมาชิกภาพ ตลาดหลักทรัพย์ต้องอนุญาตให้สมาชิกนั้นซื้อขายหลักทรัพย์รายการที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ",
"section_num": "188"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 189 บุคคลใดประสงค์จะนำหลักทรัพย์ที่ตนออกไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องนำหลักทรัพย์นั้นไปจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์\nเมื่อตลาดหลักทรัพย์ได้รับคำขอจดทะเบียนแล้ว ให้พิจารณาและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เพื่อสั่งรับหรือไม่รับเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน",
"section_num": "189"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 191 ให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์จดทะเบียนจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนด\nการจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง บริษัทที่ออกหลักทรัพย์จะมอบให้ตลาดหลักทรัพย์ หรือผู้ได้รับใบอนุญาตให้บริการเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ตามมาตรา 221 เป็นผู้ดำเนินการแทนก็ได้",
"section_num": "191"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 195 ในกรณีที่เจ้าของหลักทรัพย์มีสัญญาให้บริษัทหลักทรัพย์ยึดถือหลักทรัพย์จดทะเบียนไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้บริษัทหลักทรัพย์ต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้\n(1)จัดให้มีบัญชีหลักทรัพย์จดทะเบียนดังกล่าวตามแบบที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดและต้องลงรายการให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามความเป็นจริง และเป็นปัจจุบัน\n(2)รักษาหลักทรัพย์จดทะเบียนไว้ให้ตรงตามประเภท ชนิดและตามจำนวนสุทธิที่ปรากฏในบัญชีหลักทรัพย์ตาม (1) อยู่ตลอดเวลาเว้นแต่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์จะประกาศกำหนดเป็นอย่างอื่นและต้องส่งคืนให้แก่ผู้กู้ได้ในทันทีที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว\nการยึดถือหลักทรัพย์จดทะเบียนไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ตามวรรคหนึ่งมิให้นำมาตรา752 และมาตรา 753 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้บังคับ\nให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำนำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับกับการให้ประกันตามวรรคหนึ่ง ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรานี้และมาตรา 196\nให้บริษัทหลักทรัพย์ที่ยึดถือหลักทรัพย์จดทะเบียนไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ตามวรรคหนึ่งมีบุริมสิทธิเหนือหลักทรัพย์ดังกล่าวทำนองเดียวกับผู้รับจำนำ",
"section_num": "195"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 196 การบังคับขายหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ตามมาตรา195 ผู้ให้กู้ต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้กู้และผู้ให้ประกันก่อนเพื่อให้มีการชำระหนี้ภายในเวลาอันควรถ้าผู้กู้และผู้ให้ประกันไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าวผู้ให้กู้มีสิทธินำหลักทรัพย์ที่เป็นประกันนั้นไปขายในตลาดหลักทรัพย์ตามวิธีการที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดหรือขายทอดตลาดได้\nความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับการบังคับจำนำหลักทรัพย์จดทะเบียนที่จำนำไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วยโดยอนุโลม",
"section_num": "196"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 198 บทบัญญัติมาตรา 191 มาตรา 192 มาตรา 193 มาตรา 194 มาตรา 195 และมาตรา 196 มิให้ใช้บังคับแก่หลักทรัพย์ ดังต่อไปนี้\n(1) พันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ\n(2) ตั๋วเงิน\n(3) หลักทรัพย์อื่นใดตามที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนด",
"section_num": "198"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 199 ให้นำความในมาตรา 51 มาตรา 52 มาตรา 53 และมาตรา 55 รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง มาใช้บังคับแก่การโอนและการจัดทำทะเบียนหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์จดทะเบียนอันมิใช่ตั๋วเงินโดยอนุโลม\nให้นำความในมาตรา 56 มาตรา 57 มาตรา 58 มาตรา 59 มาตรา 61 และมาตรา 62 รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง มาใช้บังคับแก่การเปิดเผยข้อมูลและผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์จดทะเบียนอันมิใช่พันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือหลักทรัพย์อื่นใดตามที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนดโดยอนุโลม แต่ในกรณีที่บริษัทดังกล่าวได้จัดทำและส่งรายงานการเปิดเผยข้อมูลต่อสำนักงานตามมาตรา 56 ไว้แล้ว บริษัทจะส่งสำเนารายงานข้อมูลดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ก็ได้\nในกรณีที่บทบัญญัติตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานหรือคณะกรรมการกำกับตลาดทุนให้ถือว่าบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์หรือคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ แล้วแต่กรณี",
"section_num": "199"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 200 ให้งบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนประจำงวดการบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงินที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่จัดทำตามแบบที่กำหนดไว้ตามมาตรา 106 วรรคหนึ่ง หรือกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินนั้น เป็นงบการเงินประจำงวดการบัญชีตามที่กำหนดในมาตรา 199 และให้ถือว่าผู้สอบบัญชีซึ่งได้รับความเห็นชอบตามมาตรา 106 หรือตามกฎหมายดังกล่าว เป็นผู้สอบบัญชีที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ความเห็นชอบ",
"section_num": "200"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 201 ในกรณีที่สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์มีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างสมาชิกด้วยกันเอง หรือระหว่างสมาชิกกับลูกค้าของสมาชิก คู่พิพาทอาจยื่นคำร้องต่อตลาดหลักทรัพย์เพื่อขอให้มีการชี้ขาดข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ\nอนุญาโตตุลาการตามวรรคหนึ่ง ประกอบด้วยบุคคลซึ่งคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้งหนึ่งคนเป็นประธาน และบุคคลซึ่งคู่พิพาทแต่งตั้งอีกฝ่ายละหนึ่งคน",
"section_num": "201"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 202 คำร้องตามมาตรา 201 ให้เป็นไปตามแบบที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด และอย่างน้อยต้องระบุเรื่อง ดังต่อไปนี้\n(1) ชื่อและที่อยู่ของคู่พิพาท\n(2) ประเด็นข้อพิพาท\n(3) เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง",
"section_num": "202"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 203 ให้นำกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับกับการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทตามมาตรา 201 โดยอนุโลม",
"section_num": "203"
}
] |
เหตุใดบ้างที่ศาลอาจสั่งให้บริษัทจำกัดเลิกกิจการได้ | 1) ถ้าทำผิดในการยื่นรายงานประชุมตั้งบริษัท หรือทำผิดในการประชุมตั้งบริษัท 2) ถ้าบริษัทไม่เริ่มทำการภายในปีหนึ่งนับแต่วันจดทะเบียน หรือหยุดทำการถึงปีหนึ่งเต็ม 3) ถ้าการค้าของบริษัททำไปก็มีแต่ขาดทุนอย่างเดียว และไม่มีทางหวังว่าจะกลับฟื้นตัวได้ 4) ถ้าจำนวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงจนเหลือไม่ถึงสามคน 5) เมื่อมีเหตุอื่นใดทำให้บริษัทนั้นเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1237 ... แต่อย่างไรก็ดี ในกรณีทำผิดในการยื่นรายงานประชุมตั้งบริษัท หรือทำผิดในการประชุมตั้งบริษัท ศาลจะสั่งให้ยื่นรายงานประชุมตั้งบริษัท หรือให้มีการประชุมตั้งบริษัทแทนสั่งให้เลิกบริษัทก็ได้ แล้วแต่จะเห็นควร | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1237\nนอกจากนี้ศาลอาจสั่งให้เลิกบริษัทจำกัดด้วยเหตุต่อไปนี้ คือ\n(1) ถ้าทำผิดในการยื่นรายงานประชุมตั้งบริษัท หรือทำผิดในการประชุมตั้งบริษัท\n(2) ถ้าบริษัทไม่เริ่มทำการภายในปีหนึ่งนับแต่วันจดทะเบียน หรือหยุดทำการถึงปีหนึ่งเต็ม\n(3) ถ้าการค้าของบริษัททำไปก็มีแต่ขาดทุนอย่างเดียว และไม่มีทางหวังว่าจะกลับฟื้นตัวได้\n(4) ถ้าจำนวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงจนเหลือไม่ถึงสามคน\n(5) เมื่อมีเหตุอื่นใดทำให้บริษัทนั้นเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้\nแต่อย่างไรก็ดี ในกรณีทำผิดในการยื่นรายงานประชุมตั้งบริษัท หรือทำผิดในการประชุมตั้งบริษัท ศาลจะสั่งให้ยื่นรายงานประชุมตั้งบริษัท หรือให้มีการประชุมตั้งบริษัทแทนสั่งให้เลิกบริษัทก็ได้ แล้วแต่จะเห็นควร",
"section_num": "1237"
}
] | 1) ถ้าทำผิดในการยื่นรายงานประชุมตั้งบริษัท หรือทำผิดในการประชุมตั้งบริษัท 2) ถ้าบริษัทไม่เริ่มทำการภายในปีหนึ่งนับแต่วันจดทะเบียน หรือหยุดทำการถึงปีหนึ่งเต็ม 3) ถ้าการค้าของบริษัททำไปก็มีแต่ขาดทุนอย่างเดียว และไม่มีทางหวังว่าจะกลับฟื้นตัวได้ 4) ถ้าจำนวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงจนเหลือไม่ถึงสามคน 5) เมื่อมีเหตุอื่นใดทำให้บริษัทนั้นเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ | [] |
รายงานประจำปีของคณะกรรมการบริษัทมหาชน อย่างน้อยต้องมีรายงานเกี่ยวกับอะไร | 1) ชื่อ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ประเภทธุรกิจ จำนวนและชนิดหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัท จำนวนและชนิดหุ้นที่บริษัทถืออยู่ในบริษัทในเครือ (ถ้ามี) ลักษณะของบริษัทที่จะเป็นบริษัทในเครือ 2) ชื่อ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ประเภทธุรกิจ จำนวนและชนิดหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้ว จำนวนและชนิดหุ้นของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนที่บริษัทถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนตั้งแต่ร้อยละสิบขึ้นไปของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนนั้น (ถ้ามี) 3) รายละเอียดที่กรรมการแจ้งต่อบริษัท 4) ผลประโยชน์ตอบแทน หุ้น หุ้นกู้ หรือสิทธิประโยชน์อย่างอื่นที่กรรมการได้รับจากบริษัทพร้อมกับระบุชื่อกรรมการซึ่งเป็นผู้ได้รับนั้น 5) รายการอย่างอื่นตามที่กฎหมายกำหนด คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 114 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 114 ในรายงานประจำปีของคณะกรรมการนั้น อย่างน้อยต้องปรากฏรายงานเกี่ยวกับ\n(1) ชื่อ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ประเภทธุรกิจ จำนวนและชนิดหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัท จำนวนและชนิดหุ้นที่บริษัทถืออยู่ในบริษัทในเครือ (ถ้ามี) ลักษณะของบริษัทที่จะเป็นบริษัทในเครือให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง\n(2) ชื่อ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ประเภทธุรกิจ จำนวนและชนิดหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้ว จำนวนและชนิดหุ้นของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนที่บริษัทถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนตั้งแต่ร้อยละสิบขึ้นไปของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนนั้น (ถ้ามี)\n(3) รายละเอียดที่กรรมการแจ้งต่อบริษัทตามมาตรา 88\n(4) ผลประโยชน์ตอบแทน หุ้น หุ้นกู้ หรือสิทธิประโยชน์อย่างอื่นที่กรรมการได้รับจากบริษัทพร้อมกับระบุชื่อกรรมการซึ่งเป็นผู้ได้รับนั้น\n(5) รายการอย่างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง",
"section_num": "114"
}
] | 1) ชื่อ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ประเภทธุรกิจ จำนวนและชนิดหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัท จำนวนและชนิดหุ้นที่บริษัทถืออยู่ในบริษัทในเครือ (ถ้ามี) ลักษณะของบริษัทที่จะเป็นบริษัทในเครือ 2) ชื่อ สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ประเภทธุรกิจ จำนวนและชนิดหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายแล้ว จำนวนและชนิดหุ้นของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนที่บริษัทถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนตั้งแต่ร้อยละสิบขึ้นไปของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนนั้น (ถ้ามี) 3) รายละเอียดที่กรรมการแจ้งต่อบริษัท 4) ผลประโยชน์ตอบแทน หุ้น หุ้นกู้ หรือสิทธิประโยชน์อย่างอื่นที่กรรมการได้รับจากบริษัทพร้อมกับระบุชื่อกรรมการซึ่งเป็นผู้ได้รับนั้น 5) รายการอย่างอื่นตามที่กฎหมายกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 88 ให้กรรมการแจ้งให้บริษัททราบโดยมิชักช้าเมื่อมีกรณีดังต่อไปนี้\n(1) มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในสัญญาใด ๆ ที่บริษัททำขึ้นระหว่างรอบปีบัญชี โดยระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลักษณะของสัญญา ชื่อของคู่สัญญาและส่วนได้เสียของกรรมการในสัญญานั้น (ถ้ามี)\n(2) ถือหุ้นหรือหุ้นกู้ในบริษัทและบริษัทในเครือ โดยระบุจำนวนทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในระหว่างรอบปีบัญชี (ถ้ามี)",
"section_num": "88"
}
] |
ตามกฎหมายหลักทรัพย์ ในการปฏิบัติหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือไม่ | ต้องแสดงบัตรประจำตัวแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 265 ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 265 ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง\nบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง",
"section_num": "265"
}
] | ต้องแสดงบัตรประจำตัวแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง | [] |
คดีเรียกร้องค่าเสียหายจากการทำละเมิดมีอายุความเท่าใด | มีอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่วันทำละเมิด แต่อาจมีอายุความยาวกว่านี้ได้หากการทำละเมิดนั้นเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาด้วย เพราะให้ยึดตามคดีอาญา คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 ระบุให้คดีดังกล่าวมีอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายอยู่ถึงการละเมิดและรวมตัวผู้ต้องชนหรือเมื่อผล 10 ปีนับแต่วันทำละเมิด ทั้งนี้ หากเป็นการเรียกร้องจากการกระทำผิดกฎหมายอาญา อาจมีอายุความยาวกว่านั้นได้ถ้าในคดีอาญามีอายุความยาวกว่า ให้ใช้อายุความที่ยาวกว่า | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448\nสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด\nแต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้นไซร้ ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ",
"section_num": "448"
}
] | มีอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่วันทำละเมิด แต่อาจมีอายุความยาวกว่านี้ได้หากการทำละเมิดนั้นเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาด้วย เพราะให้ยึดตามคดีอาญา. | [] |
ผู้ให้หลักประกันต้องรับผิดเพื่อความเสียหายในกรณีที่หลักประกันสูญหายหรือไม่ | ไม่ต้องรับผิด แต่ผู้ให้หลักประกันต้องพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นจากเหตุที่ตนต้องรับผิดชอบ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 23 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 23 ภายใต้บังคับมาตรา 22 ผู้ให้หลักประกันต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเสมือนเช่นวิญญูชนจะต้องใช้ในการประกอบกิจการและอาชีวะเช่นนั้นและต้องบำรุงรักษารวมทั้งซ่อมแซมทรัพย์สินนั้นด้วย\nผู้ให้หลักประกันต้องรับผิดเพื่อความเสียหายในกรณีที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันสูญหายหรือเสื่อมราคาลง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นจากเหตุที่ตนต้องรับผิดชอบ",
"section_num": "23"
}
] | ไม่ต้องรับผิด แต่ผู้ให้หลักประกันต้องพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นจากเหตุที่ตนต้องรับผิดชอบ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 22 ผู้ให้หลักประกันมีสิทธิครอบครอง ใช้สอย แลกเปลี่ยน จำหน่าย จ่ายโอน และจำนองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน รวมทั้งใช้เป็นหลักประกัน ใช้ในการผลิต นำไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่นใช้ไปสิ้นไปในกรณีที่ครอบครองเพื่อการใช้สิ้นเปลือง และได้ดอกผลของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน เว้นแต่คู่สัญญาจะตกลงกันเป็นอย่างอื่น\nผู้ให้หลักประกันจะนำทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้ไปจำนำเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ต่อไปมิได้ มิฉะนั้นการจำนำนั้นตกเป็นโมฆะ",
"section_num": "22"
}
] |
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามกฎหมายการประกอบธุรกิจคนต่างด้าวซึ่งพ้นจากตำแหน่งสามารถได้รับแต่งตั้งอีกได้หรือไม่ | ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 24 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542",
"section_content": "พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 24 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี\nในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ หรือในกรณีที่รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว\nกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้",
"section_num": "24"
}
] | ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ | [] |
ถ้าตกลงให้ลูกหนี้ชำระเงินด้วยสกุลเงินที่ถูกยกเลิกไปแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร | กฎหมายให้ถือเสมือนว่าไม่ได้ระบุให้ใช้สกุลเงินนั้น คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 197 ระบุให้กรณีมีการตกลงให้ลูกหนี้ชำระเงินด้วยสกุลเงินที่ถูกยกเลิกไปแล้ว ให้ถือเสมือนว่าไม่ได้ระบุให้ใช้สกุลเงินนั้น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 197\nถ้าหนี้เงินจะพึงส่งใช้ด้วยเงินตราชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเฉพาะ อันเป็นชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้วในเวลาที่จะต้องส่งเงินใช้หนี้นั้นไซร้ การส่งใช้เงินท่านให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดนั้น",
"section_num": "197"
}
] | กฎหมายให้ถือเสมือนว่าไม่ได้ระบุให้ใช้สกุลเงินนั้น | [] |
ถ้ามีตราสารแล้วอยากโอนให้บุคคลอื่น ต้องทำอย่างไร | ต้องสลักหลังไว้ที่ตราสารและส่งมอบตราสารนั้นให้แก่ผู้รับโอน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกอื่นๆได้ คำอธิบายขยายความ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 309 ระบุให้ ผู้โอนตราสารต้องสลักหลังที่ตราสารและส่งมอบตราสารนั้นให้แก่ผู้รับโอนจึงจะสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกคนอื่นได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 309\nการโอนหนี้อันพึงต้องชำระตามเขาสั่งนั้น ท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกคนอื่นได้แต่เฉพาะเมื่อการโอนนั้นได้สลักหลังไว้ในตราสาร และตัวตราสารนั้นได้ส่งมอบให้แก่ผู้รับโอนไปด้วย",
"section_num": "309"
}
] | ต้องสลักหลังไว้ที่ตราสารและส่งมอบตราสารนั้นให้แก่ผู้รับโอน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกอื่นๆได้ | [] |
สำนักงาน ก.ล.ต. ต้องดำเนินการอย่างไรถ้าทรัสตีไม่ส่งรายงานหรือเอกสารตามที่ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดไว้ | กฎหมายกำหนดให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีคำสั่งให้ทรัสตีกระทำการหรืองดเว้นกระทำการใด ๆ ภายในเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกันความเสียหายหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับกองทรัสต์หรือสาธารณชน คำอธิบายขยายความ: กรณีทรัสตีไม่ส่งรายงานหรือเอกสารตามที่ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 60 กำหนดให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีคำสั่งให้ทรัสตีกระทำการหรืองดเว้นกระทำการใด ๆ ภายในเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกันความเสียหายหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับกองทรัสต์หรือสาธารณชน | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 60 ให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีคำสั่งตามที่เห็นสมควรให้ทรัสตีกระทำการหรืองดเว้นกระทำการใด ๆ ภายในเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกันความเสียหายหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับกองทรัสต์หรือสาธารณชน ในกรณีที่ทรัสตี กรรมการ ผู้จัดการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือตัวแทนของทรัสตี หรือบุคคลที่ทรัสตีมอบหมายให้ทำการแทนทรัสตี กระทำการหรือก่อให้เกิดการกระทำดังต่อไปนี้\n(1) ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของทรัสตีตามสัญญาก่อตั้งทรัสต์หรือพระราชบัญญัตินี้\n(2) จัดการกองทรัสต์ไปในลักษณะที่ไม่เหมาะสมหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทรัสต์\n(3) ไม่ส่งรายงานหรือเอกสารที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนดตามมาตรา 58\n(4) ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขตามมาตรา 56",
"section_num": "60"
}
] | สำนักงาน ก.ล.ต. มีคำสั่งให้ทรัสตีกระทำการหรืองดเว้นกระทำการใด ๆ ภายในเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกันความเสียหายหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับกองทรัสต์หรือสาธารณชน. | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 56 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือหรือความไว้วางใจในระบบของการประกอบธุรกิจเป็นทรัสตี ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขที่ทรัสตีต้องปฏิบัติในการเป็นทรัสตีได้\nในกรณีที่สภาพการณ์ที่ก่อให้เกิดความจำเป็นตามวรรคหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการ ก.ล.ต. อาจแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขที่กำหนดไว้แล้วนั้นก็ได้",
"section_num": "56"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550",
"section_content": "พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 มาตรา 58 เพื่อให้การจัดการกองทรัสต์เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์หรือเพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกที่ทำนิติกรรมกับทรัสตี ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในการกระทำตามอำนาจหน้าที่ของทรัสตี การดำรงฐานะทางการเงิน การทำประกันภัยสำหรับความรับผิดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจเป็นทรัสตี และการจัดส่งรายงานหรือเอกสารต่าง ๆ ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.",
"section_num": "58"
}
] |
กรณีลูกค้าได้รับทรัพย์สินคืนไม่ครบจำนวนจากผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จะเอาทรัพย์คืนอย่างไร | ลูกค้าสามารถเอาทรัพย์สินคืนได้โดยวิธี ดังนี้ ให้ลูกค้ามีสิทธิขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ในคดีล้มละลายของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ ระยะเวลายื่นขอรับชำระหนี้ที่ยังขาด ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 45 ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์และได้มีการจัดการทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นของลูกค้าตามมาตรา 43 แล้ว หากลูกค้าได้รับทรัพย์สินคืนไม่ครบจำนวน ให้ลูกค้ามีสิทธิขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ในคดีล้มละลายของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ ทั้งนี้ ต้องยื่นขอรับชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483",
"section_num": "45"
}
] | ลูกค้าสามารถเอาทรัพย์สินคืนได้โดยวิธี ดังนี้ ให้ลูกค้ามีสิทธิขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ในคดีล้มละลายของผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ ระยะเวลายื่นขอรับชำระหนี้ที่ยังขาด ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 43 เมื่อผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ให้ทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นของลูกค้าได้รับการคุ้มครองโดยไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การยึดหรืออายัดในคดีแพ่งหรือเป็นทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย\nในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแยกและจัดการทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นของลูกค้ารวมทั้งมีอำนาจดำเนินการดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนดโดยได้ปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้ว\n(1) รวบรวมทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นของลูกค้าและจัดสรรทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นของลูกค้าคืนให้แก่ลูกค้า\n(2) โอนบัญชีและทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นของลูกค้าไปให้ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้ารายอื่น\n(3) ล้างฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าในกรณีที่ไม่สามารถโอนให้ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้ารายอื่นได้\n(4) ประนีประนอมยอมความ ฟ้องร้อง ต่อสู้คดีหรือดำเนินการอื่นใดเพื่อให้การจัดการทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นของลูกค้าเสร็จสิ้นไป\nในการดำเนินการตามวรรคสอง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และสำนักงาน ก.ล.ต. จะมอบอำนาจให้บุคคลใดดำเนินการแทนก็ได้",
"section_num": "43"
}
] |
อายุความสิทธิเรียกร้องระหว่างสามีภริยาสิ้นสุดเมื่อใด | อายุความสิทธิเรียกร้องระหว่างสามีภริยา 1 ปี นับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/22\nอายุความสิทธิเรียกร้องระหว่างสามีภริยา ถ้าจะครบกำหนดก่อนหรือภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง อายุความนั้นยังไม่ครบกำหนดจนกว่าจะครบหนึ่งปีนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง",
"section_num": "193/22"
}
] | อายุความสิทธิเรียกร้องระหว่างสามีภริยา 1 ปี นับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง | [] |
คำมั่นจะซื้อหรือขายเป็นผลเมื่อใด | คำมั่นจะซื้อหรือขายเป็นผลเมื่อ อีกฝ่ายหนึ่งได้บอกความจำนงว่าจะทำการซื้อขายนั้นให้สำเร็จตลอดไป และคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงผู้ให้คำมั่นแล้ว คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 454 กรณีคำมั่นไม่มีกำหนดเวลา ถ้าในคำมั่นไม่ได้กำหนดเวลาไว้ บุคคลผู้ให้คำมั่นจะกำหนดเวลาพอสมควร และบอกกล่าวไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในเวลากำหนดนั้นก็ได้ ว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปหรือไม่ ถ้าและไม่ตอบภายในกำหนด คำมั่นซึ่งได้ให้ไว้ก่อนนั้นก็เป็นอันไร้ผล | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 454\nการที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งให้คำมั่นไว้ก่อนว่าจะซื้อหรือขายนั้น จะมีผลเป็นการซื้อขายต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้บอกกล่าวความจำนงว่าจะทำการซื้อขายนั้นให้สำเร็จตลอดไป และคำบอกกล่าวเช่นนั้นได้ไปถึงบุคคลผู้ให้คำมั่นแล้ว\nถ้าในคำมั่นมิได้กำหนดเวลาไว้เพื่อการบอกกล่าวเช่นนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้ให้คำมั่นจะกำหนดเวลาพอสมควร และบอกกล่าวไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในเวลากำหนดนั้นก็ได้ ว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปหรือไม่ ถ้าและไม่ตอบเป็นแน่นอนภายในกำหนดเวลานั้นไซร้ คำมั่นซึ่งได้ให้ไว้ก่อนนั้นก็เป็นอันไร้ผล",
"section_num": "454"
}
] | คำมั่นจะซื้อหรือขายเป็นผลเมื่อ อีกฝ่ายหนึ่งได้บอกความจำนงว่าจะทำการซื้อขายนั้นให้สำเร็จตลอดไป และคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงผู้ให้คำมั่นแล้ว | [] |
ผู้ปกครองครองต้องจัดการเรื่องทรัพย์สินใดบ้างของผู้อยู่ใต้ปกครอง | ผู้ปกครองครองต้องจัดการเรื่องทรัพย์สิน ดังนี้ 1 หาประกันอันสมควรในการจัดการทรัพย์สินของผู้อยู่ในปกครอง ตลอดจนการมอบคืนทรัพย์สินนั้น 2 แถลงถึงความเป็นอยู่แห่งทรัพย์สินของผู้อยู่ในปกครอง คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1597 กรณีข้างต้น ผู้ปกครองจะต้องกระทำเมื่อ 1 ศาลเห็นสมควรโดยลำพัง หรือ 2 ผู้มีส่วนได้เสีย หรืออัยการร้องขอ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1597\nเมื่อศาลเห็นสมควรโดยลำพัง หรือเมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการร้องขอ ศาลอาจสั่งให้ผู้ปกครอง\n(1) หาประกันอันสมควรในการจัดการทรัพย์สินของผู้อยู่ในปกครอง ตลอดจนการมอบคืนทรัพย์สินนั้น\n(2) แถลงถึงความเป็นอยู่แห่งทรัพย์สินของผู้อยู่ในปกครอง",
"section_num": "1597"
}
] | ผู้ปกครองครองต้องจัดการเรื่องทรัพย์สิน ดังนี้ 1 หาประกันอันสมควรในการจัดการทรัพย์สินของผู้อยู่ในปกครอง ตลอดจนการมอบคืนทรัพย์สินนั้น 2 แถลงถึงความเป็นอยู่แห่งทรัพย์สินของผู้อยู่ในปกครอง | [] |
การถอนอำนาจปกครองมีกรณีใดบ้าง | การถอนอำนาจปกครองแบ่งเป็นกรณีดังนี้ 1 การถอนอำนาจปกครอง 1.1 เป็นคนไร้ความสามารถ 1.2 เสมือนไร้ความสามารถโดยคำสั่งของศาลก็ดี 1.3 ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ 1.4 ประพฤติชั่วร้าย 2 การถอนอำนาจจัดการทรัพย์สิน 2.1 ล้มละลาย 2.2 จัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ในทางที่ผิดจนอาจเป็นภัยก็ดี คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 กรณีเหล่านี้ศาลจะสั่งเอง หรือจะสั่งเมื่อญาติของผู้เยาว์หรืออัยการร้องขอให้ถอนอำนาจปกครองเสียบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582\nถ้าผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถโดยคำสั่งของศาลก็ดี ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบก็ดี ประพฤติชั่วร้ายก็ดี ในกรณีเหล่านี้ศาลจะสั่งเอง หรือจะสั่งเมื่อญาติของผู้เยาว์หรืออัยการร้องขอให้ถอนอำนาจปกครองเสียบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้\nถ้าผู้ใช้อำนาจปกครองล้มละลายก็ดี หรือจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ในทางที่ผิดจนอาจเป็นภัยก็ดี ศาลจะสั่งตามวิธีในวรรคหนึ่งให้ถอนอำนาจจัดการทรัพย์สินเสียก็ได้",
"section_num": "1582"
}
] | การถอนอำนาจปกครองแบ่งเป็นกรณีดังนี้ 1 การถอนอำนาจปกครอง 1.1 เป็นคนไร้ความสามารถ 1.2 เสมือนไร้ความสามารถโดยคำสั่งของศาลก็ดี 1.3 ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ 1.4 ประพฤติชั่วร้าย 2 การถอนอำนาจจัดการทรัพย์สิน 2.1 ล้มละลาย 2.2 จัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ในทางที่ผิดจนอาจเป็นภัยก็ดี | [] |
กรณีใดที่ทำให้เจ้าหนีเป็นเจ้าหนี้ผิดนัด | กรณีที่ ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมาย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 207\nถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด",
"section_num": "207"
}
] | กรณีที่ ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมาย | [] |
การจะเป็นหุ้นส่วนจำเป็นต้องลงทุนหรือไม่ | ต้องลงทุนจึงจะเป็นหุ้นส่วนได้ โดยสามารถลงทุนได้ด้วย เงิน ทรัพย์สินอื่น แรงงาน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1026\nผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้นด้วยในห้างหุ้นส่วน\nสิ่งที่นำมาลงด้วยนั้น จะเป็นเงินหรือทรัพย์สินสิ่งอื่น หรือลงแรงงานก็ได้",
"section_num": "1026"
}
] | ต้องลงทุนจึงจะเป็นหุ้นส่วนได้ โดยสามารถลงทุนได้ด้วย เงิน ทรัพย์สินอื่น แรงงาน | [] |
บริษัทจำกัด ต้องมีสำนักงานหรือไม่ | ต้องมีอย่างน้อย 1 แห่ง เนื่องจาก ใช้เป็นธุระติดต่อเพื่อส่งคำบอกกล่าวต่าง ๆ (จดหมาย) คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1148 สถานที่สำนักงานต้องส่งแก่นายทะเบียนบริษัท และให้นายทะเบียนจดข้อความนั้นลงในทะเบียนด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1148\nบรรดาบริษัทจำกัด ต้องมีสำนักงานบอกทะเบียนไว้แห่งหนึ่งซึ่งธุรการติดต่อและคำบอกกล่าวทั้งปวงจะส่งถึงบริษัทได้ ณ ที่นั้น\nคำบอกกล่าวสถานที่ตั้งแห่งสำนักงานที่ได้บอกทะเบียนไว้ก็ดี หรือเปลี่ยนย้ายสถานที่ก็ดี ให้ส่งแก่นายทะเบียนบริษัท และให้นายทะเบียนจดข้อความนั้นลงในทะเบียน",
"section_num": "1148"
}
] | ต้องมีอย่างน้อย 1 แห่ง เนื่องจาก ใช้เป็นธุระติดต่อเพื่อส่งคำบอกกล่าวต่าง ๆ (จดหมาย) | [] |
คณะกรรมการสมาคมการค้ามีหน้าที่ใดบ้าง | คณะกรรมการสมาคมการค้ามีหน้าที่ ดังนี้ 1 เป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคมการค้า 2 เป็นผู้แทนของสมาคมการค้าในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 18 คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนใดคนหนึ่ง หรือหลายคนทำการแทนก็ได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509",
"section_content": "พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตรา 18 ให้สมาคมการค้ามีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคมการค้า และเป็นผู้แทนของสมาคมการค้าในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งคนใดหรือหลายคนทำการแทนก็ได้",
"section_num": "18"
}
] | 1 เป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคมการค้า 2 เป็นผู้แทนของสมาคมการค้าในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก | [] |
ผู้เสียหายสามารถเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยได้หรือไม่ | ได้ ดังนี้ ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้รับประกันภัย(บริษัทประกัน)ได้ใช้ไปโดยคำพิพากษา ถ้ายังไม่คุ้มค่าวินาศภัยเต็มจำนวน ผู้เอาประกันภัย(ผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย) ก็ยังคงต้องใช้เงินจำนวนที่ยังขาด ข้อยกเว้น ผู้เอาประกันไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมที่ยังขาด เนื่องจาก บุคคลผู้เสียหายไม่เรียกตัวผู้เอาประกันภัย(ผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย) เข้ามาสู่คดีด้วย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 888\nถ้าค่าสินไหมทดแทนอันผู้รับประกันภัยได้ใช้ไปโดยคำพิพากษานั้นยังไม่คุ้มค่าวินาศภัยเต็มจำนวนไซร้ ท่านว่าผู้เอาประกันภัยก็ยังคงต้องรับใช้จำนวนที่ยังขาด เว้นไว้แต่บุคคลผู้ต้องเสียหายจะได้ละเลยเสียไม่เรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาสู่คดีด้วยดังกล่าวไว้ในมาตราก่อน",
"section_num": "888"
}
] | ได้ ดังนี้ ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้รับประกันภัย(บริษัทประกัน)ได้ใช้ไปโดยคำพิพากษา ถ้ายังไม่คุ้มค่าวินาศภัยเต็มจำนวน ผู้เอาประกันภัย(ผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย) ก็ยังคงต้องใช้เงินจำนวนที่ยังขาด ข้อยกเว้น ผู้เอาประกันไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมที่ยังขาด เนื่องจาก บุคคลผู้เสียหายไม่เรียกตัวผู้เอาประกันภัย(ผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย) เข้ามาสู่คดีด้วย. | [] |
ความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มีมาตราใดบ้าง | ความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มีดังนี้ มาตรา287 มาตรา 296 มาตรา 296/1 มาตรา 306 มาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 309 มาตรา 310 มาตรา 311 มาตรา 312 คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 314 การกระทำผิดตามมาตราที่กล่าวมา ไม่ว่าด้วยการใช้ สั่ง ขู่เข็ญ จ้าง หรือด้วยวิธีอื่นใดต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 314 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามที่บัญญัติในมาตรา287 มาตรา 296 มาตรา 296/1 มาตรา 306 มาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 309 มาตรา 310มาตรา 311 หรือมาตรา 312 ไม่ว่าด้วยการใช้ สั่ง ขู่เข็ญ จ้าง หรือด้วยวิธีอื่นใดต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น",
"section_num": "314"
}
] | มาตรา287 มาตรา 296 มาตรา 296/1 มาตรา 306 มาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 309 มาตรา 310 มาตรา 311 มาตรา 312 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 287 ผู้สอบบัญชีผู้ใดของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ตามมาตรา 32 หรือมาตรา 33 บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทที่มีหลักทรัพย์ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ปฏิบัติงานสอบบัญชี เพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงินไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชีหรือข้อกำหนดเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนดหรือทำรายงานเท็จ หรือฝ่าฝืนมาตรา 62 วรรคหนึ่ง มาตรา 107 หรือมาตรา 140 วรรคสี่ หรือวรรคห้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "287"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 296 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 240 มาตรา 241 มาตรา 242มาตรา 244/1 มาตรา 244/2 หรือมาตรา 244/3 (1)ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ\nในกรณีที่ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 240 หรือมาตรา 241 เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "296"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 296/1 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 244/3 (2) หรือมาตรา 244/7ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "296/1"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 306 กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามพระราชบัญญัตินี้ โดยทุจริต หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ประชาชนผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท",
"section_num": "306"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 307 กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใด ตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของนิติบุคคลดังกล่าวหรือทรัพย์สินที่นิติบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคลนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท",
"section_num": "307"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 308 กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามพระราชบัญญัตินี้ ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของนิติบุคคลดังกล่าว หรือซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท",
"section_num": "308"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 309 กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใด ตามพระราชบัญญัตินี้ เอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินอันนิติบุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ดูแลหรือที่อยู่ในความครอบครองของนิติบุคคลนั้น ถ้าได้กระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินห้าแสนบาท",
"section_num": "309"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 310 กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามพระราชบัญญัตินี้ รู้ว่าเจ้าหนี้ของนิติบุคคลดังกล่าว หรือเจ้าหนี้ของบุคคลอื่นซึ่งจะใช้สิทธิของเจ้าหนี้นิติบุคคลนั้นบังคับการชำระหนี้จากนิติบุคคล ใช้หรือน่าจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้\n(1) ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์สินของนิติบุคคลนั้น หรือ\n(2) แกล้งให้นิติบุคคลนั้นเป็นหนี้ซึ่งไม่เป็นความจริง\nถ้าได้กระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท",
"section_num": "310"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 311 กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามพระราชบัญญัตินี้ กระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท",
"section_num": "311"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 312 กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามพระราชบัญญัตินี้ กระทำหรือยินยอมให้กระทำการ ดังต่อไปนี้\n(1) ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชีเอกสาร หรือหลักประกันของนิติบุคคลดังกล่าว หรือที่เกี่ยวกับนิติบุคคลดังกล่าว\n(2) ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของนิติบุคคลหรือที่เกี่ยวกับนิติบุคคลนั้น หรือ\n(3) ทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง\nถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำเพื่อลวงให้นิติบุคคลดังกล่าวหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ หรือลวงบุคคลใด ๆ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท",
"section_num": "312"
}
] |
คนต่างด้าวออกใบผ่านภาษีอากรได้หรือไม่ | ได้ โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ 1 มีความจำเป็นต้องเดินทางเข้าออกประเทศไทยเป็นธุระปกติ 2 ต้องเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 4 อัฏฐ วิธีการขอใบผ่านภาษีอากร มีดังนี้ 1 ยื่นคำร้องต่ออธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณี 2 ให้ออกใบผ่านภาษีอากรให้ใช้เป็นประจำ หลักเกณ์การได้ใบผ่านภาษีอากร มีดังนี้ 1 ผู้รับคำร้องพิจารณาต้องเห็นว่าคนต่างด้าวผู้นั้นมีความจำเป็นตามที่ร้องขอ 2 มีหลักประกันหรือหลักทรัพย์อยู่ในประเทศไทยพอคุ้มค่าภาษีอากรที่ค้างหรือที่จะต้องชำระแล้ว ผล คือ สามารถออกใบผ่านภาษีอากรให้ตามแบบที่อธิบดีกำหนดก็ได้ ระยะเวลาของใบผ่านภาษีอากร ใช้ได้ตามที่ระบุในใบผ่านภาษีอากรนั้น แต่ต้องไม่เกินกว่า 180 วันนับแต่วันออก | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 4 อัฏฐ คนต่างด้าวซึ่งมีความจำเป็นต้องเดินทางเข้าออกประเทศไทยเป็นปกติธุระเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ จะยื่นคำร้องต่ออธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณี ขอให้ออกใบผ่านภาษีอากรให้ใช้เป็นประจำก็ได้ ถ้าผู้รับคำร้องพิจารณาเห็นว่าคนต่างด้าวผู้นั้นมีความจำเป็นดังที่ร้องขอ และมีหลักประกันหรือหลักทรัพย์อยู่ในประเทศไทยพอคุ้มค่าภาษีอากรที่ค้างหรือที่จะต้องชำระแล้ว จะออกใบผ่านภาษีอากรให้ตามแบบที่อธิบดีกำหนดก็ได้ ใบผ่านภาษีอากรเช่นว่านี้ให้มีกำหนดเวลาใช้ได้ตามที่ระบุในใบผ่านภาษีอากรนั้น แต่ต้องไม่เกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันออก",
"section_num": "4 อัฏฐ"
}
] | ได้ โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ 1 มีความจำเป็นต้องเดินทางเข้าออกประเทศไทยเป็นธุระปกติ 2 ต้องเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ | [] |
ข้อบังคับการประชุมใหญ่ บริษัทจำกัดมีอะไรบ้าง | ข้อบังคับการประชุมใหญ่ให้ปฏิบัติตาม มาตรา 1178 - 1195 ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ ยกเว้น มีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1177\nวิธีดังบัญญัติไว้ในมาตราต่อ ๆ ไปนี้ ท่านให้ใช้บังคับแก่การประชุมใหญ่ เว้นแต่จะมีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้เป็นข้อความขัดกัน",
"section_num": "1177"
}
] | ข้อบังคับการประชุมใหญ่ให้ปฏิบัติตาม มาตรา 1178 - 1195 ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ ยกเว้น มีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น | [] |
การสละมรดกสามารถสละได้เวลาใด | ต้องสละมรดกภายหลังจากที่เจ้ามรดก เสียชีวิตแล้วเท่านั้น คำธิบายขยายความ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1619 ทายาทไม่สามารถสละ จำหน่าย จ่าย โอน สิทธิ ที่จะมีในอนาคตจากการสืบมรดกของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้(เจ้ามรดกยังไม่ตาย) | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1619\nผู้ใดจะสละหรือจำหน่ายจ่ายโอนโดยประการใด ซึ่งสิทธิอันหากจะมีในภายหน้าในการสืบมรดกผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นไม่ได้",
"section_num": "1619"
}
] | ต้องสละมรดกภายหลังจากที่เจ้ามรดก เสียชีวิตแล้วเท่านั้น | [] |
การจัดตั้งศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์โดยบริษัทหลักทรัพย์ต้องทำอย่างไร | การจัดตั้งศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์โดยบริษัทหลักทรัพย์ ต้องทำดังนี้ 1 บริษัทหลักทรัพย์รวมกันไม่น้อยกว่า 15 ราย 2 ขอรับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. จัดตั้งศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อให้บริการเป็นศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ที่มิได้เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 204 บริษัทหลักทรัพย์รวมกันไม่น้อยกว่าสิบห้ารายอาจขอรับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. จัดตั้งศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อให้บริการเป็นศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ที่มิได้เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้",
"section_num": "204"
}
] | การจัดตั้งศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์โดยบริษัทหลักทรัพย์ ต้องทำดังนี้ 1 บริษัทหลักทรัพย์รวมกันไม่น้อยกว่า 15 ราย 2 ขอรับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. จัดตั้งศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อให้บริการเป็นศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ที่มิได้เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ | [] |
คณะอนุกรรมการการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้รับค่าตอบแทนหรือไม่ | คณะอนุกรรมการตามมาตรา 12 ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 13 ค่าใช้จ่าย(ประโบชน์ตอบแทน) ให้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักงาน ก.ล.ต. | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 13 ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา 12 ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด และให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักงาน ก.ล.ต.",
"section_num": "13"
}
] | คณะอนุกรรมการตามมาตรา 12 ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด | [
{
"law_name": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561",
"section_content": "พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มาตรา 12 ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. มอบหมายได้\nให้นำความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม",
"section_num": "12"
}
] |
บุคคลที่ต้องเสียภาษีที่ว่าการอำเภอสามารถเสียภาษีที่อื่นได้หรือไม่ | ได้ เมื่อรัฐมนตรีจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้ไปเสีย ณ สำนักงานแห่งอื่นก็ได้ คำอธิบายขยายความ : ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 จัตวา การเสียภาษีอากร ให้ถือว่าเสร็จสมบูรณ์เมื่อได้รับใบเสร็จรับเงินจากหัวหน้าสำนักงานแห่งนั้นและลงลายมือชื่อรับเงินแล้ว | [
{
"law_name": "ประมวลรัษฎากร",
"section_content": "ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 จัตวา ในกรณีที่บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้บุคคลไปเสียภาษีอากร ณ ที่ว่าการอำเภอ รัฐมนตรีจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้ไปเสีย ณ สำนักงานแห่งอื่นก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ การเสียภาษีอากรนั้น ให้ถือว่าเป็นการสมบูรณ์เมื่อได้รับใบเสร็จรับเงินซึ่งหัวหน้าสำนักงานแห่งนั้นได้ลงลายมือชื่อรับเงินแล้ว",
"section_num": "3 จัตวา"
}
] | ได้ เมื่อรัฐมนตรีจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้ไปเสีย ณ สำนักงานแห่งอื่นก็ได้ | [] |
วิธีการโอนตั๋วแลกเงินต้องโอนอย่างไร | ตั๋วแลกเงินโอนได้ด้วยการ "ส่งมอบ" ให้กัน | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 918\nตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน",
"section_num": "918"
}
] | ตั๋วแลกเงินโอนได้ด้วยการ "ส่งมอบ" ให้กัน | [] |
อายุความเรียกค่าสินไหมประกันภัยและเรียกเบี้ยประกันภัยกี่ปี | การเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน อายุความ 2 ปี นับแต่วันที่เกิดวินาศภัย การเรียกให้ใช้หรือคืนเบี้ยประกันภัย อายุความ 2 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิจะเรียกให้ใช้หรือคืนเบี้ยประกันภัย | [
{
"law_name": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์",
"section_content": "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882\nในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันวินาศภัย\nในการเรียกให้ใช้หรือให้คืนเบี้ยประกันภัย ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาสองปีนับแต่วันซึ่งสิทธิจะเรียกให้ใช้หรือคืนเบี้ยประกันภัยถึงกำหนด",
"section_num": "882"
}
] | การเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน อายุความ 2 ปี นับแต่วันที่เกิดวินาศภัย การเรียกให้ใช้หรือคืนเบี้ยประกันภัย อายุความ 2 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิจะเรียกให้ใช้หรือคืนเบี้ยประกันภัย | [] |
ภายหลังที่สำนักหักบัญชีซื้อขายล่วงหน้าได้ดำเนินการตามมาตรา 84 พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 แล้วยังมีทรัพย์สินของสมาชิกเหลืออยู่ ต้องทำเดินการอย่างไร | สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ต้องดำเนินการ ดังนี้ ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เหลืออยู่ให้แก่บุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการทรัพย์สินของสมาชิกตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 85 เมื่อสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ดำเนินการตามมาตรา 84 แล้ว หากยังมีทรัพย์สินของสมาชิกเหลืออยู่ ให้สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการทรัพย์สินของสมาชิกตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย",
"section_num": "85"
}
] | สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ต้องดำเนินการ ดังนี้ ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เหลืออยู่ให้แก่บุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการทรัพย์สินของสมาชิกตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546",
"section_content": "พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 มาตรา 84 เมื่อสมาชิกถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งให้สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและสำนักงาน ก.ล.ต. ทราบโดยไม่ชักช้า และให้สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าดำเนินการดังต่อไปนี้\n(1) ล้างฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่สมาชิกทำเพื่อประโยชน์ของตนเองที่คงค้างอยู่ ณ วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ในกฎเกณฑ์ของสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า\n(2) บังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินในส่วนของสมาชิกที่สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้รับมาหรือมีไว้ตามมาตรา 82 ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเก็บรักษาโดยสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเองหรือสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้นำไปวางหรือฝากไว้กับบุคคลอื่น สำหรับหนี้ที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ทำก่อนหรือในวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ หรือหนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการล้างฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสมาชิกตาม (1) หรือหนี้ที่สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เกิดขึ้นเนื่องจากการล้างฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าตามมาตรา 43\nในการนำทรัพย์สินของสมาชิกออกขายเพื่อการชำระหนี้ หากทรัพย์สินนั้นเป็นหลักทรัพย์ ให้สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าขายในตลาดที่ซื้อขายหลักทรัพย์นั้นเป็นปกติ หากไม่สามารถขายในตลาดนั้นได้\nให้นำออกขายโดยวิธีการอื่นที่สามารถทำให้ได้ราคาที่เป็นธรรมแก่สมาชิก\n(3) นำหนี้ที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่สมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระหนี้ต่อสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้ทำก่อนหรือในวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ หรือหนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการล้างฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสมาชิกตาม (1) หรือหนี้ที่สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เกิดขึ้นเนื่องจากการล้างฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าตามมาตรา 43 มาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นหนี้สมาชิกอยู่ในเวลาที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ แม้ว่ามูลแห่งหนี้ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันหรือเป็นหนี้ที่มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา หรือสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์\nในกรณีหนี้ที่สมาชิกมีอยู่ต่อสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นหนี้ที่อยู่ในเงื่อนไขบังคับก่อน เมื่อสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าขอหักกลบลบหนี้ สำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะต้องให้ประกันสำหรับจำนวนที่ขอหักกลบลบหนี้นั้นแก่บุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการทรัพย์สินของสมาชิกตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย",
"section_num": "84"
}
] |
การเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนหรือบุคคลใด ๆ มีข้อปฏิบัติใดบ้าง | การเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนหรือบุคคลใด ๆ มีข้อปฏิบัติ ดังนี้ 1 ต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานตามมาตรา 65 2 ห้ามผู้ใดขายหรือเสนอขายในระหว่างที่สำนักงานสั่งระงับการมีผลใช้บังคับของแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนตามมาตรา 76 คำอธิบายขยายความ : ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 276 โทษของการฝ่าฝืน 2 กรณีข้างต้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของราคาขายของหลักทรัพย์ทั้งหมดซึ่งผู้นั้นได้เสนอขาย แต่ทั้งนี้ เงินค่าปรับต้องไม่น้อยกว่า 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 276 ผู้ใดเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนหรือบุคคลใด ๆ โดยมิได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานตามมาตรา 65 หรือในระหว่างที่สำนักงานสั่งระงับการมีผลใช้บังคับของแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนตามมาตรา 76 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกินสองเท่าของราคาขายของหลักทรัพย์ทั้งหมดซึ่งผู้นั้นได้เสนอขาย แต่ทั้งนี้ เงินค่าปรับต้องไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ",
"section_num": "276"
}
] | การเสนอขายหรือขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนหรือบุคคลใด ๆ มีข้อปฏิบัติ ดังนี้ 1 ต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานตามมาตรา 65 2 ห้ามผู้ใดขายหรือเสนอขายในระหว่างที่สำนักงานสั่งระงับการมีผลใช้บังคับของแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนตามมาตรา 76 | [
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 65 การเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนหรือบุคคลใด ๆ จะกระทำได้ต่อเมื่อผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด บริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานและแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว",
"section_num": "65"
},
{
"law_name": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535",
"section_content": "พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 76 ภายหลังจากวันที่แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับให้สำนักงานมีอำนาจดำเนินการ ดังต่อไปนี้\n(1) ในกรณีที่สำนักงานตรวจพบว่าข้อความหรือรายการในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนเป็นเท็จหรือขาดข้อความที่ควรต้องแจ้งในสาระสำคัญอันอาจทำให้บุคคลผู้เข้าซื้อหลักทรัพย์เสียหาย ให้สำนักงานมีอำนาจสั่งระงับการมีผลใช้บังคับของแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน และในกรณีที่การเสนอขายหลักทรัพย์นั้นได้รับอนุญาตตามมาตรา 32 หรือมาตรา 33 ให้สำนักงานมีอำนาจสั่งเพิกถอนการอนุญาตนั้นได้ในทันที\n(2) ในกรณีที่สำนักงานตรวจพบว่าข้อความหรือรายการในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญหรือมีเหตุการณ์ที่มีผลให้ข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ทั้งนี้ อาจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนของบุคคลผู้เข้าซื้อหลักทรัพย์ ให้สำนักงานมีอำนาจสั่งระงับการมีผลใช้บังคับของแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้มีการดำเนินการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องและดำเนินการอื่นใดตามที่สำนักงานกำหนดเพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงการแก้ไขข้อมูลดังกล่าว\n(3) ในกรณีที่สำนักงานตรวจพบว่าข้อความหรือรายการในแบบแสดงรายการ ข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนคลาดเคลื่อนในลักษณะอื่น ให้สำนักงานมีอำนาจสั่งให้ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด บริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์ที่ยื่นแบบดังกล่าวแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง\nการสั่งการของสำนักงานตามวรรคหนึ่ง ไม่กระทบถึงการดำเนินการใด ๆ ของผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด บริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์ก่อนที่จะมีการสั่งการดังกล่าว และไม่กระทบถึงสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายของบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 82",
"section_num": "76"
}
] |
Subsets and Splits