title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
28
181k
raw
stringlengths
39
181k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. ....
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... เป็นแนวทางและหลักเกณฑ์ในการดําเนินการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหา การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ร่วมกันของหน่วยงานของรัฐ เพื่อคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความปลอดภัยและได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ ทั้งนี้ จะให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ 1) ศูนย์ประสานงานกลาง 2) ศูนย์ประสานงานประจํากระทรวง และ 3) ศูนย์ประสานงานประจําจังหวัด เพื่อเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันของหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ สาระสําคัญร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฯ อาทิ - กําหนดนิยามคําสําคัญ เช่น “สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)” และ “ข่าวปลอม” - จัดตั้งศูนย์ประสานงานกลาง ให้สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์กลาง” เพื่อเป็นศูนย์กลางในการดําเนินการ ให้ทุกกระทรวงจัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ประจํากระทรวง” และให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ประจําจังหวัด” โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้รับมอบหมายทําหน้าที่หัวหน้าศูนย์ประสานงานประจําจังหวัด - ให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ข่าวปลอม ดําเนินการแถลงข่าวทันทีที่พบว่าข่าวดังกล่าวเป็นข่าวปลอมและแจ้ง กรมประชาสัมพันธ์ภายใน 1 ชั่วโมงและให้บังคับใช้กฎหมาย ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบและต้องจัดให้มีการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนโดยเร็ว - กรณีข่าวปลอมใดที่เข้าข่ายหรือสมควรดําเนินการระงับการทํา ให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ ให้เป็นหน้าที่ของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบตามระเบียบนี้ แจ้งให้ ดศ. ดําเนินการระงับการทําให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ - กําหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ ของงานเพื่อการประเมินผลการดําเนินงานตามระเบียบนี้ “ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหา การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ นี้จะเป็นกรอบในการขจัดข่าวปลอม (Fake news) ที่มีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชน และสังคมในวงกว้างโดยเฉพาะข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม การยั่วยุ ข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม ข่าวที่ทําลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ ทําให้มีผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เด็กและเยาวชน ตลอดจนกระทบต่อเศรษฐกิจ วัฒนธรรมอันดี และสถาบันหลักของชาติ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ สื่อสังคมออนไลน์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสร้างและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างและเผยแพร่ ข่าวปลอม (Fake news) ผ่านสื่อสังคมออนไลน์มีแนวโน้ม ที่จะขยายตัวมากขึ้น” นายธนกร กล่าว ----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ครม. เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ พ.ศ. .... เป็นแนวทางและหลักเกณฑ์ในการดําเนินการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหา การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ร่วมกันของหน่วยงานของรัฐ เพื่อคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความปลอดภัยและได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ ทั้งนี้ จะให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ 1) ศูนย์ประสานงานกลาง 2) ศูนย์ประสานงานประจํากระทรวง และ 3) ศูนย์ประสานงานประจําจังหวัด เพื่อเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันของหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ สาระสําคัญร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฯ อาทิ - กําหนดนิยามคําสําคัญ เช่น “สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)” และ “ข่าวปลอม” - จัดตั้งศูนย์ประสานงานกลาง ให้สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์กลาง” เพื่อเป็นศูนย์กลางในการดําเนินการ ให้ทุกกระทรวงจัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ประจํากระทรวง” และให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ประจําจังหวัด” โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้รับมอบหมายทําหน้าที่หัวหน้าศูนย์ประสานงานประจําจังหวัด - ให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ข่าวปลอม ดําเนินการแถลงข่าวทันทีที่พบว่าข่าวดังกล่าวเป็นข่าวปลอมและแจ้ง กรมประชาสัมพันธ์ภายใน 1 ชั่วโมงและให้บังคับใช้กฎหมาย ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบและต้องจัดให้มีการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนโดยเร็ว - กรณีข่าวปลอมใดที่เข้าข่ายหรือสมควรดําเนินการระงับการทํา ให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ ให้เป็นหน้าที่ของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบตามระเบียบนี้ แจ้งให้ ดศ. ดําเนินการระงับการทําให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ - กําหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ ของงานเพื่อการประเมินผลการดําเนินงานตามระเบียบนี้ “ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหา การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ นี้จะเป็นกรอบในการขจัดข่าวปลอม (Fake news) ที่มีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชน และสังคมในวงกว้างโดยเฉพาะข่าวที่สร้างความแตกแยกในสังคม การยั่วยุ ข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม ข่าวที่ทําลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ ทําให้มีผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เด็กและเยาวชน ตลอดจนกระทบต่อเศรษฐกิจ วัฒนธรรมอันดี และสถาบันหลักของชาติ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ สื่อสังคมออนไลน์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสร้างและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างและเผยแพร่ ข่าวปลอม (Fake news) ผ่านสื่อสังคมออนไลน์มีแนวโน้ม ที่จะขยายตัวมากขึ้น” นายธนกร กล่าว ----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51118
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯดีอีเอส นำคณะผู้บริหารร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน และร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2565 ปลัดฯดีอีเอส นําคณะผู้บริหารร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน และร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 ปลัดฯดีอีเอส นําคณะผู้บริหารร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน และร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 เมื่อวันที่28กรกฎาคม2565นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมด้วยนางสาวกรรวีสิทธิชีวภาคผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางสมศรีหอกันยา รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการสื่อสารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว28กรกฎาคม2565ณบริเวณท้องสนามหลวง จากนั้นนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดินเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว28กรกฎาคม2565ณเวทีใหญ่ท้องสนามหลวง ด้านดร.เวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผู้บริหารหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเข้าร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา28กรกฎาคม2565 พร้อมทูลเกล้าฯถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณห้องแดงอาคารหน่วยราชการในพระองค์904ในพระบรมหาราชวัง ***************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯดีอีเอส นำคณะผู้บริหารร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน และร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2565 ปลัดฯดีอีเอส นําคณะผู้บริหารร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน และร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 ปลัดฯดีอีเอส นําคณะผู้บริหารร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน และร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 เมื่อวันที่28กรกฎาคม2565นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมด้วยนางสาวกรรวีสิทธิชีวภาคผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางสมศรีหอกันยา รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการสื่อสารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว28กรกฎาคม2565ณบริเวณท้องสนามหลวง จากนั้นนางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดินเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว28กรกฎาคม2565ณเวทีใหญ่ท้องสนามหลวง ด้านดร.เวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผู้บริหารหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเข้าร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา28กรกฎาคม2565 พร้อมทูลเกล้าฯถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณห้องแดงอาคารหน่วยราชการในพระองค์904ในพระบรมหาราชวัง ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57384
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง เผย บรรยากาศการให้บริการตรวจโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันแรก ราบรื่น ไร้อุปสรรค
วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 รมว.เฮ้ง เผย บรรยากาศการให้บริการตรวจโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันแรก ราบรื่น ไร้อุปสรรค รัฐมนตรีว่ากากระทรวงแรงงาน เผย บรรยากาศการให้บริการตรวจโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันแรก ราบรื่น ไร้อุปสรรค เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33,39,40 และประชาชนทั่วไป ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ตรวจ ซึ่งในวันนี้เป็นวันแรก จากรายงานในเบื้องต้นยังไม่พบปัญหาอุปสรรคใด ๆ ทุกอย่างราบรื่น เป็นไปตามขั้นตอนและมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกําหนด นายสุชาติ ยังกล่าวถึงการเปิดตรวจโควิดเชิงรุกในครั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ครั้งนี้ ซึ่งมีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงจําเป็นจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อเป็นจํานวนมาก ทําให้ขณะนี้หลายโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนเกิดความแออัด ต้องรอคิวนาน และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไปให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกํากับดูแลโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน โดย สปส. บูรณาการร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดําเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ,39 และมาตรา 40 และประชาชนทั่วไป ภายใต้ โครงการ“แรงงาน...เราสู้ด้วยกัน” ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร สําหรับขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองคิวตรวจของผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าเว็บไซต์กูเกิ้ล แล้วพิมพ์คําว่า “แรงงานเราสู้ด้วยกัน” หรือคลิกที่ลิงค์นี้ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php กรอกเลขประจําตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกําหนด ซึ่งเป็นบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการป่วย ผู้ประกันตนจะต้องพกบัตรประชาชน พร้อมสําเนา 1 ชุด เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจ หากรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ เมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที ทางโรงพยาบาลจะแจ้งผลการตรวจคัดกรองโควิด 19 ผ่าน 3 ช่องทาง คือ QR Code ทาง SMS และทางโทรศัพท์ แต่ในกรณีที่ผู้ประกันตนที่ยังไม่ได้รับผลการตรวจคัดกรอง อาจเนื่องจากกรอกหมายเลขโทรศัพท์ไม่ถูกต้อง สามารถโทรสอบถาม 1506 กด 6 การลงทะเบียนออนไลน์เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.64 เป็นต้นไป โดยแต่ละวันสามารถตรวจได้วันละ 2,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,000 คน ช่วงบ่าย 1,000 คน ส่วนขั้นตอนการตรวจโควิด -19 เชิงรุกนั้น 1) ผู้ที่มาตรวจตามคิวที่จองไว้จะต้องเตรียมบัตรประชาชน และถ่ายสําเนาบัตรประชาชนไปด้วย 2) แสดงหน้าจอโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าผ่านการจองมาก่อน 3) กรอกใบยินยอมรับการตรวจ และเซ็นสําเนาถูกต้องในสําเนาบัตรประชาชน 4) สอบสวนโรคพร้อมรับอุปกรณ์การตรวจ 5) ดําเนินการตรวจด้วยวิธี RT-PCR (แหย่จมูก) 6) เจ้าหน้าที่จะแจกกระดาษให้ เพื่อติดตามผลการตรวจ ซึ่งหากตรวจแล้วพบเชื้อแต่ไม่มีอาการจะถูกส่งเข้ารักษาตัวใน Hospitel ส่วนผู้ที่มีอาการจะถูกส่งไปรักษายังโรงพยาบาลในเครือประกันสังคม ซึ่งจะมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแล ส่วนค่ารักษาพยาบาลผู้ประกันตนจะเบิกกับสํานักงานประกันสังคม และประชาชนทั่วไปจะเบิกกับ สปสช. ทั้งนี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนให้คําปรึกษาผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไปตรวจโควิด-19 เชิงรุก โทร.1506 กด 6
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง เผย บรรยากาศการให้บริการตรวจโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันแรก ราบรื่น ไร้อุปสรรค วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 รมว.เฮ้ง เผย บรรยากาศการให้บริการตรวจโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันแรก ราบรื่น ไร้อุปสรรค รัฐมนตรีว่ากากระทรวงแรงงาน เผย บรรยากาศการให้บริการตรวจโควิด -19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันแรก ราบรื่น ไร้อุปสรรค เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33,39,40 และประชาชนทั่วไป ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ตรวจ ซึ่งในวันนี้เป็นวันแรก จากรายงานในเบื้องต้นยังไม่พบปัญหาอุปสรรคใด ๆ ทุกอย่างราบรื่น เป็นไปตามขั้นตอนและมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกําหนด นายสุชาติ ยังกล่าวถึงการเปิดตรวจโควิดเชิงรุกในครั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ครั้งนี้ ซึ่งมีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงจําเป็นจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อเป็นจํานวนมาก ทําให้ขณะนี้หลายโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนเกิดความแออัด ต้องรอคิวนาน และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไปให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกํากับดูแลโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน โดย สปส. บูรณาการร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดําเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ,39 และมาตรา 40 และประชาชนทั่วไป ภายใต้ โครงการ“แรงงาน...เราสู้ด้วยกัน” ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร สําหรับขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองคิวตรวจของผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าเว็บไซต์กูเกิ้ล แล้วพิมพ์คําว่า “แรงงานเราสู้ด้วยกัน” หรือคลิกที่ลิงค์นี้ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php กรอกเลขประจําตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกําหนด ซึ่งเป็นบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการป่วย ผู้ประกันตนจะต้องพกบัตรประชาชน พร้อมสําเนา 1 ชุด เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจ หากรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ เมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที ทางโรงพยาบาลจะแจ้งผลการตรวจคัดกรองโควิด 19 ผ่าน 3 ช่องทาง คือ QR Code ทาง SMS และทางโทรศัพท์ แต่ในกรณีที่ผู้ประกันตนที่ยังไม่ได้รับผลการตรวจคัดกรอง อาจเนื่องจากกรอกหมายเลขโทรศัพท์ไม่ถูกต้อง สามารถโทรสอบถาม 1506 กด 6 การลงทะเบียนออนไลน์เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.64 เป็นต้นไป โดยแต่ละวันสามารถตรวจได้วันละ 2,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,000 คน ช่วงบ่าย 1,000 คน ส่วนขั้นตอนการตรวจโควิด -19 เชิงรุกนั้น 1) ผู้ที่มาตรวจตามคิวที่จองไว้จะต้องเตรียมบัตรประชาชน และถ่ายสําเนาบัตรประชาชนไปด้วย 2) แสดงหน้าจอโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าผ่านการจองมาก่อน 3) กรอกใบยินยอมรับการตรวจ และเซ็นสําเนาถูกต้องในสําเนาบัตรประชาชน 4) สอบสวนโรคพร้อมรับอุปกรณ์การตรวจ 5) ดําเนินการตรวจด้วยวิธี RT-PCR (แหย่จมูก) 6) เจ้าหน้าที่จะแจกกระดาษให้ เพื่อติดตามผลการตรวจ ซึ่งหากตรวจแล้วพบเชื้อแต่ไม่มีอาการจะถูกส่งเข้ารักษาตัวใน Hospitel ส่วนผู้ที่มีอาการจะถูกส่งไปรักษายังโรงพยาบาลในเครือประกันสังคม ซึ่งจะมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแล ส่วนค่ารักษาพยาบาลผู้ประกันตนจะเบิกกับสํานักงานประกันสังคม และประชาชนทั่วไปจะเบิกกับ สปสช. ทั้งนี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนให้คําปรึกษาผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไปตรวจโควิด-19 เชิงรุก โทร.1506 กด 6
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้มมหาวิทยาลัยมหิดลนำโครงการ "นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์-กฎหมาย JSOC" ออกข้อสอบปริญญาเอก ยันเดินหน้าต่อให้สำเร็จหวังช่วยสังคมให้ปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้มมหาวิทยาลัยมหิดลนําโครงการ "นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์-กฎหมาย JSOC" ออกข้อสอบปริญญาเอก ยันเดินหน้าต่อให้สําเร็จหวังช่วยสังคมให้ปลอดภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้มมหาวิทยาลัยมหิดลนําโครงการ "นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์-กฎหมาย JSOC" ออกข้อสอบปริญญาเอก ยันเดินหน้าต่อให้สําเร็จหวังช่วยสังคมให้ปลอดภัย สร้างงานให้ผู้พ้นโทษ ลดการกระทําผิดซ้ํา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้ทราบว่า มหาวิทยาลัยมหิดล ออกข้อสอบระดับปริญญาเอก สาขาอาชญาวิทยและการบริหารงานยุติธรรม โดยให้นักศึกษาวิเคราะห์ โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ว่าจะสามารถลดหรือแก้ปัญหากระบวนการยุติธรรมไทยได้อย่างไรบ้าง และอีกเรื่องคือ การกําหนดความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ คดีสะเทือนขวัญ หรือคดีที่เป็นที่สนใจของประชาชน หรือ JSOC ซึ่งตนรู้สึกดีใจที่สถาบันการศึกษาชั้นนําของประเทศได้สนใจเรื่องดังกล่าวและนําไปออกข้อสอบ ให้นักศึกษาได้วิเคราะห์ น่าจะได้ความคิดที่หลากหลายจากนักศึกษาระดับปริญญาเอก นําไปประยุกต์ใช้กับโครงการต่างๆได้ต่อไปด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ให้สําเร็จ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง แต่ในขณะนี้เราได้มีโครงการนําร่อง สมุทรปราการโมเดล ส่งผู้พักโทษให้ไปทํางานกับผู้ประกอบการใน จ.สมุทรปราการ ไปแล้วในรุ่นแรก และกําลังจะมีรุ่นต่อไปตามมา โดยโครงการนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับกรมราชทัณฑ์ในการดูแลผู้ต้องขังปีละหลายร้อยล้านบาท ลดความแออัดในเรือนจํา ทําให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกมามีทักษะอาชีพ มีงานทํา ไม่หวนไปกระทําผิดซ้ําอีก รวมทั้งยังเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากค่าแรงที่พวกเขานําไปใช้จ่ายได้อีกด้วย โดยโครงการนี้คาดว่าวันที่ 19 ต.ค. จะเข้าสู่การพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้ ส่วนในเรื่องกฎหมาย JSOC ขณะนี้เรากําลังเร่งดําเนินการให้เกิดความปลอดภัยต่อสังคมโดยเฉพาะผู้หญิง โดยขณะนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา "นโยบายและโครงการต่างๆที่กระทรวงยุติธรรมเสนอและดําเนินการออกมา เพื่อหวังให้ประชาชนและสังคมได้ประโยชน์มากที่สุด รวมถึงการทําให้ชาวบ้านเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งตนจะเดินหน้าต่อไปให้สําเร็จ ตามนโยบาย ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน"นายสมศักดิ์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้มมหาวิทยาลัยมหิดลนำโครงการ "นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์-กฎหมาย JSOC" ออกข้อสอบปริญญาเอก ยันเดินหน้าต่อให้สำเร็จหวังช่วยสังคมให้ปลอดภัย วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้มมหาวิทยาลัยมหิดลนําโครงการ "นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์-กฎหมาย JSOC" ออกข้อสอบปริญญาเอก ยันเดินหน้าต่อให้สําเร็จหวังช่วยสังคมให้ปลอดภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลื้มมหาวิทยาลัยมหิดลนําโครงการ "นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์-กฎหมาย JSOC" ออกข้อสอบปริญญาเอก ยันเดินหน้าต่อให้สําเร็จหวังช่วยสังคมให้ปลอดภัย สร้างงานให้ผู้พ้นโทษ ลดการกระทําผิดซ้ํา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้ทราบว่า มหาวิทยาลัยมหิดล ออกข้อสอบระดับปริญญาเอก สาขาอาชญาวิทยและการบริหารงานยุติธรรม โดยให้นักศึกษาวิเคราะห์ โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ว่าจะสามารถลดหรือแก้ปัญหากระบวนการยุติธรรมไทยได้อย่างไรบ้าง และอีกเรื่องคือ การกําหนดความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ คดีสะเทือนขวัญ หรือคดีที่เป็นที่สนใจของประชาชน หรือ JSOC ซึ่งตนรู้สึกดีใจที่สถาบันการศึกษาชั้นนําของประเทศได้สนใจเรื่องดังกล่าวและนําไปออกข้อสอบ ให้นักศึกษาได้วิเคราะห์ น่าจะได้ความคิดที่หลากหลายจากนักศึกษาระดับปริญญาเอก นําไปประยุกต์ใช้กับโครงการต่างๆได้ต่อไปด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ให้สําเร็จ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง แต่ในขณะนี้เราได้มีโครงการนําร่อง สมุทรปราการโมเดล ส่งผู้พักโทษให้ไปทํางานกับผู้ประกอบการใน จ.สมุทรปราการ ไปแล้วในรุ่นแรก และกําลังจะมีรุ่นต่อไปตามมา โดยโครงการนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับกรมราชทัณฑ์ในการดูแลผู้ต้องขังปีละหลายร้อยล้านบาท ลดความแออัดในเรือนจํา ทําให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกมามีทักษะอาชีพ มีงานทํา ไม่หวนไปกระทําผิดซ้ําอีก รวมทั้งยังเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากค่าแรงที่พวกเขานําไปใช้จ่ายได้อีกด้วย โดยโครงการนี้คาดว่าวันที่ 19 ต.ค. จะเข้าสู่การพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้ ส่วนในเรื่องกฎหมาย JSOC ขณะนี้เรากําลังเร่งดําเนินการให้เกิดความปลอดภัยต่อสังคมโดยเฉพาะผู้หญิง โดยขณะนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา "นโยบายและโครงการต่างๆที่กระทรวงยุติธรรมเสนอและดําเนินการออกมา เพื่อหวังให้ประชาชนและสังคมได้ประโยชน์มากที่สุด รวมถึงการทําให้ชาวบ้านเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งตนจะเดินหน้าต่อไปให้สําเร็จ ตามนโยบาย ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน"นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47120
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป เน้นย้ำการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางเศรษฐกิจ BCG เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป เน้นย้ําการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางเศรษฐกิจ BCG เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป เน้นย้ําการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางเศรษฐกิจ BCG เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (2 กรกฎาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายปีร์กกา ตาปีโอลา (H.E. Mr. Pirkka Tapiola) เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-สหภาพยุโรป รวมทั้งมีส่วนผลักดันในการปลดใบเหลืองอุตสาหกรรมการประมงของไทย และชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองไทยแก่สมาชิกสหภาพยุโรปจนนําไปสู่การเพิ่มพูนความสัมพันธ์ พร้อมแสดงความยินดีที่มีการพัฒนาในด้านความร่วมมือ ทั้งการออกยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การเปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (FTA) และกรอบความตกลงเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement : PCA) ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนและการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่น ไทยมุ่งหวังว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะบรรลุผลโดยเร็ว และนําไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ระหว่างกัน เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ยินดีที่ไทยและสหภาพยุโรปมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและครอบคลุมในทุกมิติ โดยสหภาพยุโรปยืนยันจะยังคงสานต่อความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง การค้า และการลงทุนอย่างเสรี ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ได้ระบุว่าไทยยังคงจัดอยู่ในรายชื่อประเทศที่ปลอดภัยของสหภาพยุโรป พร้อมหวังว่าการฉีดวัคซีนของไทยจะครอบคลุมประชากรไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยในไทยโดยเร็ว ซึ่งพร้อมสนับสนุนความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าควรผลักดันและขยายความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนอย่างเสรีและเป็นประโยชน์ต่อกันเพื่อเร่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยและสหภาพยุโรปยึดมั่นค่านิยมเดียวกันในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะสามารถเชื่อมโยงแผนปฏิรูปยุโรปสีเขียว (European Green Deal - EGD) ที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593 กับแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ของไทย รวมทั้งยินดีร่วมมือด้านการวิจัยและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเชิญชวนให้สหภาพยุโรปขยายการลงทุนในไทยและถ่ายทอดนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) และการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยสอดคล้องกับนโยบาย Thailand+1 ของไทย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองการบริหารราชการดําเนินนโยบายของไทยในหลายประเด็น โดยนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทย โดยเน้นย้ําว่าไทยมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลตามรัฐธรรมนูญ และฝ่ายค้านสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญได้อย่างเสรี รวมทั้งประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และในการชุมนุมประท้วงอย่างสันติและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย รัฐบาลไทยมีความจริงใจในการรับฟัง/แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงข้อเรียกร้องจากผู้ชุมนุม สําหรับสถานการณ์ในเมียนมา ไทยและสหภาพยุโรปยินดีร่วมมือกันเพื่อการพัฒนาและความมีเสถียรภาพในภูมิภาค นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยต้องการให้ทุกฝ่ายในเมียนมา ใช้ความอดทนอดกลั้น และหยุดการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน รวมทั้งสนับสนุนแนวคิด D4D และฉันทามติ 5 ข้อ ของอาเซียน เพื่อนําไปสู่ความสงบสุขและเสถียรภาพในเมียนมา พร้อมเน้นย้ําว่าไทยยึดหลักการทางมนุษยธรรมมาโดยตลอด ด้วยประสบการณ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยความไม่สงบและไม่มีการส่งกลับผู้หนีภัยความไม่สงบโดยไม่สมัครใจ ด้านเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ เชื่อมั่นว่าไทยจะสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างสันติ ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป โดยต่างยินดีที่อาเซียนและสหภาพยุโรปได้ยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมุ่งสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ด้วยการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างสองภูมิภาคผ่านการยกระดับมาตรฐานการบิน และการบรรลุการเจรจา ASEAN-EU FTA นอกจากนี้ ไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ยินดีที่สหภาพยุโรปสนับสนุนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะกับศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue – ACSDSD)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป เน้นย้ำการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางเศรษฐกิจ BCG เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป เน้นย้ําการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางเศรษฐกิจ BCG เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป เน้นย้ําการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางเศรษฐกิจ BCG เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (2 กรกฎาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายปีร์กกา ตาปีโอลา (H.E. Mr. Pirkka Tapiola) เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-สหภาพยุโรป รวมทั้งมีส่วนผลักดันในการปลดใบเหลืองอุตสาหกรรมการประมงของไทย และชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองไทยแก่สมาชิกสหภาพยุโรปจนนําไปสู่การเพิ่มพูนความสัมพันธ์ พร้อมแสดงความยินดีที่มีการพัฒนาในด้านความร่วมมือ ทั้งการออกยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การเปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (FTA) และกรอบความตกลงเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement : PCA) ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนและการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่น ไทยมุ่งหวังว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะบรรลุผลโดยเร็ว และนําไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ระหว่างกัน เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ยินดีที่ไทยและสหภาพยุโรปมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและครอบคลุมในทุกมิติ โดยสหภาพยุโรปยืนยันจะยังคงสานต่อความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง การค้า และการลงทุนอย่างเสรี ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ได้ระบุว่าไทยยังคงจัดอยู่ในรายชื่อประเทศที่ปลอดภัยของสหภาพยุโรป พร้อมหวังว่าการฉีดวัคซีนของไทยจะครอบคลุมประชากรไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยในไทยโดยเร็ว ซึ่งพร้อมสนับสนุนความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าควรผลักดันและขยายความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนอย่างเสรีและเป็นประโยชน์ต่อกันเพื่อเร่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยและสหภาพยุโรปยึดมั่นค่านิยมเดียวกันในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะสามารถเชื่อมโยงแผนปฏิรูปยุโรปสีเขียว (European Green Deal - EGD) ที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593 กับแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ของไทย รวมทั้งยินดีร่วมมือด้านการวิจัยและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเชิญชวนให้สหภาพยุโรปขยายการลงทุนในไทยและถ่ายทอดนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) และการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยสอดคล้องกับนโยบาย Thailand+1 ของไทย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองการบริหารราชการดําเนินนโยบายของไทยในหลายประเด็น โดยนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทย โดยเน้นย้ําว่าไทยมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลตามรัฐธรรมนูญ และฝ่ายค้านสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญได้อย่างเสรี รวมทั้งประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และในการชุมนุมประท้วงอย่างสันติและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย รัฐบาลไทยมีความจริงใจในการรับฟัง/แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงข้อเรียกร้องจากผู้ชุมนุม สําหรับสถานการณ์ในเมียนมา ไทยและสหภาพยุโรปยินดีร่วมมือกันเพื่อการพัฒนาและความมีเสถียรภาพในภูมิภาค นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยต้องการให้ทุกฝ่ายในเมียนมา ใช้ความอดทนอดกลั้น และหยุดการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน รวมทั้งสนับสนุนแนวคิด D4D และฉันทามติ 5 ข้อ ของอาเซียน เพื่อนําไปสู่ความสงบสุขและเสถียรภาพในเมียนมา พร้อมเน้นย้ําว่าไทยยึดหลักการทางมนุษยธรรมมาโดยตลอด ด้วยประสบการณ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยความไม่สงบและไม่มีการส่งกลับผู้หนีภัยความไม่สงบโดยไม่สมัครใจ ด้านเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ เชื่อมั่นว่าไทยจะสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างสันติ ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป โดยต่างยินดีที่อาเซียนและสหภาพยุโรปได้ยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมุ่งสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ด้วยการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างสองภูมิภาคผ่านการยกระดับมาตรฐานการบิน และการบรรลุการเจรจา ASEAN-EU FTA นอกจากนี้ ไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ยินดีที่สหภาพยุโรปสนับสนุนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะกับศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue – ACSDSD)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43391
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ำ เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ํา เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ํา เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดมั่นในอุดมการณ์ อุทิศตนสร้างประโยชน์สุขแด่พี่น้องประชาชนตลอดไป เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 65 เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมดํารงธรรม ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดและให้โอวาทกับข้าราชการโครงการพัฒนาบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (Public Service executive development program: PSED) หรือ “นปร.” รุ่นที่ 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค โดยมี หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล ผู้อํานวยการสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สํานักงาน ก.พ.ร.) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายปวิณ ชํานิประศาสน์ อาจารย์ที่ปรึกษาประจําโครงการ นายบุญธรรม ถาวรทัศนกิจ ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ และข้าราชการ นปร. รุ่นที่ 15 จํานวน 30 คน ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอบคุณสํานักงาน ก.พ.ร. ที่ให้เกียรติและความสําคัญกับกระทรวงมหาดไทยในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะฝึกประสบการณ์การทํางานของข้าราชการ นปร. รุ่นที่ 15 ให้ได้เรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ ในการรับใช้ชาติในหน้าที่ข้าราชการที่มีเกียรติอย่างยิ่ง โดยขอให้ตระหนักและน้อมนําพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอว่า “อาชีพของข้าราชการนั้นเป็นอาชีพที่มีหน้าที่ในการทําให้พี่น้องประชาชนมีความสุข มีความชื่นใจ” “ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนมีศักยภาพในการที่จะไปทํางานอะไรก็ได้ แต่ก็ตัดสินใจเสียสละทํางานรับใช้ประเทศชาติด้วยการดูแลพี่น้องประชาชนและประเทศชาติของเรา อันประกอบไปด้วยสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคง ซึ่งการดูแลพี่น้องประชาชนให้มีความสุขสวัสดีอย่างมั่นคงและยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ จําเป็นต้องมีโซ่ข้อกลางระหว่างรัฐบาล นั่นคือ “ข้าราชการ” ไปช่วยทําให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนา และการพัฒนาที่สําคัญที่สุด คือ “การพัฒนาคน”” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า คนที่จะประสบความสําเร็จในชีวิตได้ เรื่องที่สําคัญที่สุด คือ “ใจต้องเป็นนาย กายต้องเป็นบ่าว” ใจเป็นนาย หมายความว่า คนเราจะทําอะไรจิตใจต้องตั้งมั่นเสียก่อน ต้องมีอุดมการณ์ มีแรงปรารถนาที่แรงกล้า (Passion) มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่อยากทําสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น ทั้งกับชีวิตเรา ชีวิตครอบครัว มวลมนุษยชาติ และพี่น้องประชาชนที่เราต้องดูแล และร่างกายของเราก็จะปฏิบัติตามจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่มีความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจผู้คน พร้อมที่จะให้โอกาสคนได้ทําสิ่งที่ดี ยึดโยงกลุ่มก้อน นปร. รุ่น 15 นี้ ให้ช่วยกันดูแล เป็นกําลังใจ มีแรงปรารถนาแรงกล้าที่จะประสบความสําเร็จในการทํางานเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขกับพี่น้องประชาชน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่มีความเก่าแก่ มีคําขวัญว่า “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ซึ่งเป็นพระปณิธานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดี โดยคนมหาดไทยยังคงน้อมนําคําขวัญนี้มาใช้จนถึงปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะภารกิจในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ประชาชนยังคงต้องขับเคลื่อนดําเนินต่อไปในทุกพื้นที่ ด้วยการทํางานของ 8 ส่วนราชการ และ 6 รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ําเสีย กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่แปลงนโยบายสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ (Area Base) ของประเทศชาติ เป็นผู้นํา ที่ร่วมทํางานกับทุกกระทรวง ภายใต้การนําของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เป็นประธานคณะกรรมการของทุกกระทรวง กรมในระดับจังหวัดไม่น้อยกว่า 202 คณะ ครอบคลุมทุกมิติ โดยในปัจจุบันโครงสร้างของระบบราชการในระดับจังหวัด ประกอบด้วยส่วนราชการทั้งราชการบริหารส่วนกลางประจําภูมิภาค ทําหน้าที่ในเชิงการกํากับดูแล การติดตามนโยบาย ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในจังหวัดใหญ่ หรือจังหวัดที่อยู่ใจกลางภาค ถัดมา คือ ราชการบริหารส่วนภูมิภาค แบ่งอํานาจการบริหารจากส่วนกลาง ทําหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัด และอําเภอ โดยนายอําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ทําหน้าที่ในการจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ ตามอํานาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้การกํากับดูแลของราชการบริหารส่วนภูมิภาค “ขอให้ นปร. มีอุดมการณ์ในการทําหน้าที่เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เป็นข้าราชการของนักการเมืองที่มีการแบ่งพรรค แบ่งพวก ถ้าเราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณในการดูแลพี่น้องประชาชน ช่วยเหลือ บริการ ด้วยความเต็มใจ ไม่ไขว้เขว ไม่เป๋ไปรับใช้บางกลุ่ม บางคน บางพวก ในสมกับชุดเครื่องแบบที่ข้าราชการสีกากี ซึ่งเป็นเครื่องแบบพระราชทาน อันมีนัยว่า แผ่นดิน หรือสีของดิน เพื่อให้เราตระหนักอยู่เสมอว่า เราทํางานเพื่อรับใช้ประชาชน และสถาบันหลักทั้ง 3 ของแผ่นดินไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เป็นที่รักยิ่งของเรา” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเราทุกคนปฏิบัติตนในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว การประพฤติปฏิบัติตนในการเป็นข้าราชการก็จะบรรลุอุดมการณ์แห่งความเสียสละ แห่งความกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดิน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ทํางานโดยไม่คิดว่าจะต้องเข้างาน 08.30 น. เลิกงาน 16.30 น. ทุกเวลาเป็นเวลาที่เราสามารถอุทิศให้กับราชการให้กับประชาชนได้อย่างมีความสุข จนกระทั่งเกษียณอายุราชการเมื่อวัย 60 ปี แต่ถึงกระนั้น สายเลือดหรือจิตวิญญาณความเป็นข้าราชการ แม้จะเกษียณอายุราชการแล้ว ก็ยังคงมีอุดมการณ์แห่งความเสียสละตนเองเพื่อทํางานให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ดังเช่นพระราชดํารัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เคยพระราชทานที่จังหวัดนครนายก เมื่อปี 2553 ใจความว่า “การทําประโยชน์ให้กับส่วนรวมไม่ได้ทําเพื่อแค่เกษียณอายุราชการหรือไม่ได้ทําแค่ในเวลาราชการ หน้าที่ของพวกเราทุกคนต้องทํางานไม่มีวันเกษียณจากการทํางาน เราเกษียณจากอายุราชการได้ แต่ต้องไม่เกษียณจากการทํางานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม เราเกษียณอายุราชการได้เพราะอายุเราครบ 60 ปี แต่เราต้องไม่เกษียณจากการทําประโยชน์เพื่อส่วนรวม” “ขอให้ นปร. รุ่นที่ 15 ทุกคน ใช้ความรู้คู่คุณธรรมด้วยความตั้งมั่นและมุ่งมั่นในการที่จะทํางานเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นกับคนที่ยังยากลําบาก ให้กับสังคม และประเทศชาติ เพื่อพวกเราทุกคนได้มีโอกาสในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และช่วยกันธํารงรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของแผ่นดินไทยที่รักยิ่งของพวกเราให้ดํารงคู่กับโลกใบนี้ รวมทั้งขอให้ธํารงรักษาอุดมการณ์ที่มีมาก่อนสมัครเป็น นปร. รุ่น 15 ใช้เวลาในการศึกษาเรียนรู้ และก้าวสู่การเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ข้าราชการที่ทําให้พี่น้องประชาชนมีความสุข มีความชื่นใจ และขอเป็นกําลังใจและเป็นส่วนหนึ่งของความสําเร็จของ นปร. รุ่น 15 ที่จะส่งผลถึงความสุขของพี่น้องคนไทยโดยรวมตลอดไป” นายสุทธพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ำ เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ํา เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปลัดกระทรวงมหาดไทยฝากข้าราชการ พันธุ์ใหม่ นปร. รุ่น 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค เน้นย้ํา เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยึดมั่นในอุดมการณ์ อุทิศตนสร้างประโยชน์สุขแด่พี่น้องประชาชนตลอดไป เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 65 เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมดํารงธรรม ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดและให้โอวาทกับข้าราชการโครงการพัฒนาบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (Public Service executive development program: PSED) หรือ “นปร.” รุ่นที่ 15 ก่อนไปปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค โดยมี หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล ผู้อํานวยการสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สํานักงาน ก.พ.ร.) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายปวิณ ชํานิประศาสน์ อาจารย์ที่ปรึกษาประจําโครงการ นายบุญธรรม ถาวรทัศนกิจ ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ และข้าราชการ นปร. รุ่นที่ 15 จํานวน 30 คน ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอบคุณสํานักงาน ก.พ.ร. ที่ให้เกียรติและความสําคัญกับกระทรวงมหาดไทยในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะฝึกประสบการณ์การทํางานของข้าราชการ นปร. รุ่นที่ 15 ให้ได้เรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ ในการรับใช้ชาติในหน้าที่ข้าราชการที่มีเกียรติอย่างยิ่ง โดยขอให้ตระหนักและน้อมนําพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอว่า “อาชีพของข้าราชการนั้นเป็นอาชีพที่มีหน้าที่ในการทําให้พี่น้องประชาชนมีความสุข มีความชื่นใจ” “ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนมีศักยภาพในการที่จะไปทํางานอะไรก็ได้ แต่ก็ตัดสินใจเสียสละทํางานรับใช้ประเทศชาติด้วยการดูแลพี่น้องประชาชนและประเทศชาติของเรา อันประกอบไปด้วยสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคง ซึ่งการดูแลพี่น้องประชาชนให้มีความสุขสวัสดีอย่างมั่นคงและยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ จําเป็นต้องมีโซ่ข้อกลางระหว่างรัฐบาล นั่นคือ “ข้าราชการ” ไปช่วยทําให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนา และการพัฒนาที่สําคัญที่สุด คือ “การพัฒนาคน”” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า คนที่จะประสบความสําเร็จในชีวิตได้ เรื่องที่สําคัญที่สุด คือ “ใจต้องเป็นนาย กายต้องเป็นบ่าว” ใจเป็นนาย หมายความว่า คนเราจะทําอะไรจิตใจต้องตั้งมั่นเสียก่อน ต้องมีอุดมการณ์ มีแรงปรารถนาที่แรงกล้า (Passion) มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่อยากทําสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น ทั้งกับชีวิตเรา ชีวิตครอบครัว มวลมนุษยชาติ และพี่น้องประชาชนที่เราต้องดูแล และร่างกายของเราก็จะปฏิบัติตามจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่มีความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจผู้คน พร้อมที่จะให้โอกาสคนได้ทําสิ่งที่ดี ยึดโยงกลุ่มก้อน นปร. รุ่น 15 นี้ ให้ช่วยกันดูแล เป็นกําลังใจ มีแรงปรารถนาแรงกล้าที่จะประสบความสําเร็จในการทํางานเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขกับพี่น้องประชาชน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่มีความเก่าแก่ มีคําขวัญว่า “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ซึ่งเป็นพระปณิธานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดี โดยคนมหาดไทยยังคงน้อมนําคําขวัญนี้มาใช้จนถึงปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะภารกิจในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ประชาชนยังคงต้องขับเคลื่อนดําเนินต่อไปในทุกพื้นที่ ด้วยการทํางานของ 8 ส่วนราชการ และ 6 รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ําเสีย กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่แปลงนโยบายสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ (Area Base) ของประเทศชาติ เป็นผู้นํา ที่ร่วมทํางานกับทุกกระทรวง ภายใต้การนําของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เป็นประธานคณะกรรมการของทุกกระทรวง กรมในระดับจังหวัดไม่น้อยกว่า 202 คณะ ครอบคลุมทุกมิติ โดยในปัจจุบันโครงสร้างของระบบราชการในระดับจังหวัด ประกอบด้วยส่วนราชการทั้งราชการบริหารส่วนกลางประจําภูมิภาค ทําหน้าที่ในเชิงการกํากับดูแล การติดตามนโยบาย ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในจังหวัดใหญ่ หรือจังหวัดที่อยู่ใจกลางภาค ถัดมา คือ ราชการบริหารส่วนภูมิภาค แบ่งอํานาจการบริหารจากส่วนกลาง ทําหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัด และอําเภอ โดยนายอําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ทําหน้าที่ในการจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ ตามอํานาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้การกํากับดูแลของราชการบริหารส่วนภูมิภาค “ขอให้ นปร. มีอุดมการณ์ในการทําหน้าที่เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เป็นข้าราชการของนักการเมืองที่มีการแบ่งพรรค แบ่งพวก ถ้าเราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณในการดูแลพี่น้องประชาชน ช่วยเหลือ บริการ ด้วยความเต็มใจ ไม่ไขว้เขว ไม่เป๋ไปรับใช้บางกลุ่ม บางคน บางพวก ในสมกับชุดเครื่องแบบที่ข้าราชการสีกากี ซึ่งเป็นเครื่องแบบพระราชทาน อันมีนัยว่า แผ่นดิน หรือสีของดิน เพื่อให้เราตระหนักอยู่เสมอว่า เราทํางานเพื่อรับใช้ประชาชน และสถาบันหลักทั้ง 3 ของแผ่นดินไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เป็นที่รักยิ่งของเรา” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเราทุกคนปฏิบัติตนในฐานะข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว การประพฤติปฏิบัติตนในการเป็นข้าราชการก็จะบรรลุอุดมการณ์แห่งความเสียสละ แห่งความกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดิน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ทํางานโดยไม่คิดว่าจะต้องเข้างาน 08.30 น. เลิกงาน 16.30 น. ทุกเวลาเป็นเวลาที่เราสามารถอุทิศให้กับราชการให้กับประชาชนได้อย่างมีความสุข จนกระทั่งเกษียณอายุราชการเมื่อวัย 60 ปี แต่ถึงกระนั้น สายเลือดหรือจิตวิญญาณความเป็นข้าราชการ แม้จะเกษียณอายุราชการแล้ว ก็ยังคงมีอุดมการณ์แห่งความเสียสละตนเองเพื่อทํางานให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ดังเช่นพระราชดํารัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เคยพระราชทานที่จังหวัดนครนายก เมื่อปี 2553 ใจความว่า “การทําประโยชน์ให้กับส่วนรวมไม่ได้ทําเพื่อแค่เกษียณอายุราชการหรือไม่ได้ทําแค่ในเวลาราชการ หน้าที่ของพวกเราทุกคนต้องทํางานไม่มีวันเกษียณจากการทํางาน เราเกษียณจากอายุราชการได้ แต่ต้องไม่เกษียณจากการทํางานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม เราเกษียณอายุราชการได้เพราะอายุเราครบ 60 ปี แต่เราต้องไม่เกษียณจากการทําประโยชน์เพื่อส่วนรวม” “ขอให้ นปร. รุ่นที่ 15 ทุกคน ใช้ความรู้คู่คุณธรรมด้วยความตั้งมั่นและมุ่งมั่นในการที่จะทํางานเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นกับคนที่ยังยากลําบาก ให้กับสังคม และประเทศชาติ เพื่อพวกเราทุกคนได้มีโอกาสในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และช่วยกันธํารงรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของแผ่นดินไทยที่รักยิ่งของพวกเราให้ดํารงคู่กับโลกใบนี้ รวมทั้งขอให้ธํารงรักษาอุดมการณ์ที่มีมาก่อนสมัครเป็น นปร. รุ่น 15 ใช้เวลาในการศึกษาเรียนรู้ และก้าวสู่การเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ข้าราชการที่ทําให้พี่น้องประชาชนมีความสุข มีความชื่นใจ และขอเป็นกําลังใจและเป็นส่วนหนึ่งของความสําเร็จของ นปร. รุ่น 15 ที่จะส่งผลถึงความสุขของพี่น้องคนไทยโดยรวมตลอดไป” นายสุทธพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51135
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเข้าร่วมปฏิญญากลาสโกว์ด้านป่าไม้และที่ดิน
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565 ไทยเข้าร่วมปฏิญญากลาสโกว์ด้านป่าไม้และที่ดิน วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการบริหารทรัพยากรป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ และการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน จึงเห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมปฏิญญากลาสโกว์ของผู้นําด้านป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยมีประเด็นสําคัญ เช่น การอนุรักษ์ป่าไม้และระบบนิเวศ การสนับสนุนนโยบายการค้าและการพัฒนาที่เชื่อมโยงกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน การสร้างการรับรู้คุณค่าของผืนป่าและสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งนี้ การเข้าร่วมปฏิญญาจะเป็นการสนับสนุนการดําเนินงานของไทยตามยุทธศาสตร์ชาติ ในการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 55 และเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ.2050 รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ.2065 “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเข้าร่วมปฏิญญากลาสโกว์ด้านป่าไม้และที่ดิน วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565 ไทยเข้าร่วมปฏิญญากลาสโกว์ด้านป่าไม้และที่ดิน วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการบริหารทรัพยากรป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ และการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน จึงเห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมปฏิญญากลาสโกว์ของผู้นําด้านป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยมีประเด็นสําคัญ เช่น การอนุรักษ์ป่าไม้และระบบนิเวศ การสนับสนุนนโยบายการค้าและการพัฒนาที่เชื่อมโยงกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน การสร้างการรับรู้คุณค่าของผืนป่าและสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งนี้ การเข้าร่วมปฏิญญาจะเป็นการสนับสนุนการดําเนินงานของไทยตามยุทธศาสตร์ชาติ ในการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 55 และเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ.2050 รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ.2065 “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53613
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ฝ่ายบราซิลพร้อมสนับสนุนให้ชาวบราซิลเดินทางมาไทย ตามโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ฝ่ายบราซิลพร้อมสนับสนุนให้ชาวบราซิลเดินทางมาไทย ตามโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ฝ่ายบราซิลพร้อมสนับสนุนให้ชาวบราซิลเดินทางมาไทย ตามโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus วันนี้ (29 กรกฎาคม 2564) เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นางอานา ลูซี เชนทิล กาบรัล เพเทอร์เซิน (H.E. Mrs. Ana Lucy Gentil Cabral Petersen) เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออําลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับบราซิลที่ดําเนินมาอย่างราบรื่นยาวนาน พร้อมขอบคุณเอกอัครราชทูตบราซิลฯ ที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นตลอดระยะเวลาที่ดํารงตําแหน่ง โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-บราซิล ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะ เป็นเกียรติที่ได้ดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตประจําประเทศไทยในช่วงตลอดเกือบ 4 ปี ได้รับทั้งประสบการณ์ และความรู้ ทั้งนี้ ยินดีกับความใกล้ชิดของไทยและบราซิลในด้านการค้า ซึ่งแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มูลค่าทางการค้าระหว่างไทยกับบราซิลยังคงเพิ่มขึ้น และตั้งเป้าหมายให้เพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ขอให้ไทยช่วยพิจารณาผลักดันความตกลงระหว่างกันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตลอดจน ขอให้ไทยสนับสนุนบราซิลในการสมัครเป็นคู่เจรจาเฉพาะสาขาของอาเซียน (Sectoral Dialogue Partner) เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือบราซิลกับประเทศในอาเซียนมากขึ้น โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการดําเนินนโยบายเพื่อจัดการสถานการณ์โควิด-19 และการบริหารวัคซีน โดยนายกรัฐมนตรีฝากความปรารถนาดีและส่งกําลังใจถึงนายจาอีร์ โบวโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล ขอให้ผ่านความท้าทายนี้ไปให้ได้ ซึ่งหวังว่าภายหลังจากนี้ ไทยและบราซิลจะได้ร่วมมือกันดําเนินนโยบายด้านการฟื้นฟูเน้นการสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนามาตรการด้านสาธารณสุข นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมบราซิลที่สามารถบริหารจัดการเพื่อฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชนได้มากที่สุดเป็นอันดับที่สี่ของโลก ด้านเอกอัครราชทูตบราซิลฯ พร้อมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้ชาวบราซิลที่สนใจ และพร้อมปฏิบัติตามมาตรการที่ไทยกําหนด เดินทางมาท่องเที่ยว ที่ไทยตามโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ฝ่ายบราซิลพร้อมสนับสนุนให้ชาวบราซิลเดินทางมาไทย ตามโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ฝ่ายบราซิลพร้อมสนับสนุนให้ชาวบราซิลเดินทางมาไทย ตามโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus นายกฯ หารือ เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ฝ่ายบราซิลพร้อมสนับสนุนให้ชาวบราซิลเดินทางมาไทย ตามโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus วันนี้ (29 กรกฎาคม 2564) เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นางอานา ลูซี เชนทิล กาบรัล เพเทอร์เซิน (H.E. Mrs. Ana Lucy Gentil Cabral Petersen) เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออําลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับบราซิลที่ดําเนินมาอย่างราบรื่นยาวนาน พร้อมขอบคุณเอกอัครราชทูตบราซิลฯ ที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นตลอดระยะเวลาที่ดํารงตําแหน่ง โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-บราซิล ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะ เป็นเกียรติที่ได้ดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตประจําประเทศไทยในช่วงตลอดเกือบ 4 ปี ได้รับทั้งประสบการณ์ และความรู้ ทั้งนี้ ยินดีกับความใกล้ชิดของไทยและบราซิลในด้านการค้า ซึ่งแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มูลค่าทางการค้าระหว่างไทยกับบราซิลยังคงเพิ่มขึ้น และตั้งเป้าหมายให้เพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตบราซิลฯ ขอให้ไทยช่วยพิจารณาผลักดันความตกลงระหว่างกันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตลอดจน ขอให้ไทยสนับสนุนบราซิลในการสมัครเป็นคู่เจรจาเฉพาะสาขาของอาเซียน (Sectoral Dialogue Partner) เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือบราซิลกับประเทศในอาเซียนมากขึ้น โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการดําเนินนโยบายเพื่อจัดการสถานการณ์โควิด-19 และการบริหารวัคซีน โดยนายกรัฐมนตรีฝากความปรารถนาดีและส่งกําลังใจถึงนายจาอีร์ โบวโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล ขอให้ผ่านความท้าทายนี้ไปให้ได้ ซึ่งหวังว่าภายหลังจากนี้ ไทยและบราซิลจะได้ร่วมมือกันดําเนินนโยบายด้านการฟื้นฟูเน้นการสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนามาตรการด้านสาธารณสุข นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมบราซิลที่สามารถบริหารจัดการเพื่อฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชนได้มากที่สุดเป็นอันดับที่สี่ของโลก ด้านเอกอัครราชทูตบราซิลฯ พร้อมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้ชาวบราซิลที่สนใจ และพร้อมปฏิบัติตามมาตรการที่ไทยกําหนด เดินทางมาท่องเที่ยว ที่ไทยตามโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ กำชับเรือนจำ/ทัณฑสถาน เร่งจัดหายาฟ้าทะลายโจรสู้โควิด-19 พร้อมเน้นย้ำ ป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขัง-สิ่งของอย่างเคร่งครัด
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ กําชับเรือนจํา/ทัณฑสถาน เร่งจัดหายาฟ้าทะลายโจรสู้โควิด-19 พร้อมเน้นย้ํา ป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขัง-สิ่งของอย่างเคร่งครัด กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ กําชับเรือนจํา/ทัณฑสถาน เร่งจัดหายาฟ้าทะลายโจรสู้โควิด-19 พร้อมเน้นย้ํา ป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขัง-สิ่งของอย่างเคร่งครัด ในวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 เวลา 09.00 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 49/2564 โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายกฤช กระแสร์ทิพย์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พันตํารวจโท มนตรี บุณยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถาน มีรายงานการแพร่ระบาดเพิ่ม 1 แห่ง คือ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้มีเรือนจําสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาดลดลงอยู่ที่ 111 แห่ง เรือนจําสีแดงที่พบการระบาดเพิ่มเป็น 23 แห่ง และสิ้นสุดการระบาดแล้ว 8 แห่งคงเดิม โดยในวันนี้ มีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายเพิ่ม 122 ราย รวมหายสะสม 37,765 ราย หรือ 83% ของผู้ติดเชื้อสะสม 45,488 ราย และเสียชีวิต 2 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 57 ราย คิดเป็นอัตรา 0.1% ทําให้มีผู้ต้องขังติดเชื้อที่อยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดอยู่ที่ 7,209 ราย แบ่งเป็นกลุ่มสีเขียว 82% สีเหลือง 17.5% และสีแดง 0.5% สําหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย เป็นผู้ต้องขังจากเรือนจํากลางสมุทรปราการ และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าเป็นผู้ป่วยสูงอายุ มีโรคประจําตัว และอาการอื่นร่วม ทําให้มีความรุนแรงของโรคมากกว่าปกติ แม้จะได้ให้ยาและดูแลรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานโดยทีมแพทย์ แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น จนกระทั่งเสียชีวิตลงในที่สุด ทั้งนี้ ได้ประสานญาติเพื่อนําร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตามวิธีการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ภาพรวมสถานการณ์ พบว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อในพื้นที่กรุงเทพมหานครดีขึ้น ส่วนพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัดยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพบในเรือนจําแพร่ระบาดเดิมจากการเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุก และการเอกซเรย์คัดแยกผู้ป่วยเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการรักษาที่รวดเร็ว โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง และสีแดง จะจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ รวมถึงยาอื่นๆ และการรักษาตามอาการ ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด และในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ รวมถึงผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จะพิจารณาจ่ายยาฟ้าทะลายโจรภายใต้คําแนะนําของแพทย์ ซึ่งพบว่ามีประสิทธิผล สามารถลดความรุนแรงของโรคได้ดี และได้กําชับให้ทุกเรือนจําและทัณฑสถานเร่งจัดหายาฟ้าทะลายโจร เพื่อเตรียมพร้อมในกรณีที่เกิดการระบาดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ได้มอบนโยบายผ่านการประชุม ศบค.ยธ. ด้วยระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และผู้บัญชาการเรือนจํา/ผู้อํานวยการทัณฑสถานในช่วงเช้าวันนี้ พร้อมเน้นย้ําการป้องกันเชื้อและดูแลรักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อทุกราย ให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างดีที่สุด นอกจากนี้ นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยท่านปลัดกระทรวงยุติธรรม ประธานการประชุมในวันนี้ ยังได้เน้นย้ําแนวทางการป้องกันเชื้อที่จะแพร่เข้าสู่เรือนจําและทัณฑสถานผ่าน 3 ช่องทาง คือ 1. จากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องเคร่งครัดการดูแลตัวเองและตรวจหาเชื้อพร้อมยืนยันผลว่าไม่พบเชื้อก่อนเข้าทํางานทุกครั้ง 2. ผู้ต้องขังรับใหม่จากภายนอก ต้องตรวจหาเชื้อและกักตัวอย่างน้อย 21 วัน และ 3.จากสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงพื้นที่ภายในเรือนจํา จะต้องฆ่าเชื้อ และทําความสะอาดเพื่อสุขอนามัยที่ดีอยู่เสมอ พร้อมกําชับแนวทางการปล่อยตัวผู้ต้องขังตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2564 ให้ดําเนินการตามมาตรการตรวจหาเชื้อและกักโรคที่วางไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนําเชื้อออกสู่ภายนอก ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจําวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อสะสมมีจํานวน 40 ราย เป็นเยาวชน 31 ราย เเละเจ้าหน้าที่ 9 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 44 แห่ง หรือคิดเป็น 80% จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 12 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 6 แห่ง หมดสถานะสีขาว 1 แห่ง และติดเชื้อ 5 แห่ง สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน คงที่ 121 ราย หรือคิดเป็น 2.8% จากทั้งหมด 4,280 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนคงที่ 3,791 ราย หรือคิดเป็น 86% จากทั้งหมด 4,396 ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ กำชับเรือนจำ/ทัณฑสถาน เร่งจัดหายาฟ้าทะลายโจรสู้โควิด-19 พร้อมเน้นย้ำ ป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขัง-สิ่งของอย่างเคร่งครัด วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ กําชับเรือนจํา/ทัณฑสถาน เร่งจัดหายาฟ้าทะลายโจรสู้โควิด-19 พร้อมเน้นย้ํา ป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขัง-สิ่งของอย่างเคร่งครัด กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ กําชับเรือนจํา/ทัณฑสถาน เร่งจัดหายาฟ้าทะลายโจรสู้โควิด-19 พร้อมเน้นย้ํา ป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่-ผู้ต้องขัง-สิ่งของอย่างเคร่งครัด ในวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 เวลา 09.00 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 49/2564 โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายกฤช กระแสร์ทิพย์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พันตํารวจโท มนตรี บุณยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถาน มีรายงานการแพร่ระบาดเพิ่ม 1 แห่ง คือ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้มีเรือนจําสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาดลดลงอยู่ที่ 111 แห่ง เรือนจําสีแดงที่พบการระบาดเพิ่มเป็น 23 แห่ง และสิ้นสุดการระบาดแล้ว 8 แห่งคงเดิม โดยในวันนี้ มีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายเพิ่ม 122 ราย รวมหายสะสม 37,765 ราย หรือ 83% ของผู้ติดเชื้อสะสม 45,488 ราย และเสียชีวิต 2 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 57 ราย คิดเป็นอัตรา 0.1% ทําให้มีผู้ต้องขังติดเชื้อที่อยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดอยู่ที่ 7,209 ราย แบ่งเป็นกลุ่มสีเขียว 82% สีเหลือง 17.5% และสีแดง 0.5% สําหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย เป็นผู้ต้องขังจากเรือนจํากลางสมุทรปราการ และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าเป็นผู้ป่วยสูงอายุ มีโรคประจําตัว และอาการอื่นร่วม ทําให้มีความรุนแรงของโรคมากกว่าปกติ แม้จะได้ให้ยาและดูแลรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานโดยทีมแพทย์ แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น จนกระทั่งเสียชีวิตลงในที่สุด ทั้งนี้ ได้ประสานญาติเพื่อนําร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตามวิธีการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ภาพรวมสถานการณ์ พบว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อในพื้นที่กรุงเทพมหานครดีขึ้น ส่วนพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัดยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพบในเรือนจําแพร่ระบาดเดิมจากการเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุก และการเอกซเรย์คัดแยกผู้ป่วยเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการรักษาที่รวดเร็ว โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง และสีแดง จะจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ รวมถึงยาอื่นๆ และการรักษาตามอาการ ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด และในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ รวมถึงผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จะพิจารณาจ่ายยาฟ้าทะลายโจรภายใต้คําแนะนําของแพทย์ ซึ่งพบว่ามีประสิทธิผล สามารถลดความรุนแรงของโรคได้ดี และได้กําชับให้ทุกเรือนจําและทัณฑสถานเร่งจัดหายาฟ้าทะลายโจร เพื่อเตรียมพร้อมในกรณีที่เกิดการระบาดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ได้มอบนโยบายผ่านการประชุม ศบค.ยธ. ด้วยระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และผู้บัญชาการเรือนจํา/ผู้อํานวยการทัณฑสถานในช่วงเช้าวันนี้ พร้อมเน้นย้ําการป้องกันเชื้อและดูแลรักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อทุกราย ให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างดีที่สุด นอกจากนี้ นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยท่านปลัดกระทรวงยุติธรรม ประธานการประชุมในวันนี้ ยังได้เน้นย้ําแนวทางการป้องกันเชื้อที่จะแพร่เข้าสู่เรือนจําและทัณฑสถานผ่าน 3 ช่องทาง คือ 1. จากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องเคร่งครัดการดูแลตัวเองและตรวจหาเชื้อพร้อมยืนยันผลว่าไม่พบเชื้อก่อนเข้าทํางานทุกครั้ง 2. ผู้ต้องขังรับใหม่จากภายนอก ต้องตรวจหาเชื้อและกักตัวอย่างน้อย 21 วัน และ 3.จากสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงพื้นที่ภายในเรือนจํา จะต้องฆ่าเชื้อ และทําความสะอาดเพื่อสุขอนามัยที่ดีอยู่เสมอ พร้อมกําชับแนวทางการปล่อยตัวผู้ต้องขังตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2564 ให้ดําเนินการตามมาตรการตรวจหาเชื้อและกักโรคที่วางไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนําเชื้อออกสู่ภายนอก ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจําวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อสะสมมีจํานวน 40 ราย เป็นเยาวชน 31 ราย เเละเจ้าหน้าที่ 9 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 44 แห่ง หรือคิดเป็น 80% จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 12 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 6 แห่ง หมดสถานะสีขาว 1 แห่ง และติดเชื้อ 5 แห่ง สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน คงที่ 121 ราย หรือคิดเป็น 2.8% จากทั้งหมด 4,280 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนคงที่ 3,791 ราย หรือคิดเป็น 86% จากทั้งหมด 4,396 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย สะสมครึ่งปีแรกกว่า 2.2 ล้านคน ขณะที่ ไทยเที่ยวไทย สะสม 67.8 ล้าน​ คน-ครั้ง
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย สะสมครึ่งปีแรกกว่า 2.2 ล้านคน ขณะที่ ไทยเที่ยวไทย สะสม 67.8 ล้าน​ คน-ครั้ง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย สะสมครึ่งปีแรกกว่า 2.2 ล้านคน ขณะที่ ไทยเที่ยวไทย สะสม 67.8 ล้าน​ คน-ครั้ง ดันรายได้รวมจากการท่องเที่ยวของไทยพุ่งถึง 4.3 แสนล้านบาท วันนี้ (10 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยต่อเนื่อง ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวระหว่างประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ก.ค. 2565) มีจํานวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 30,947 คน โดยพบเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซียเดินทางเข้ามาในประเทศไทยสูงเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และออสเตรเลีย ตามลําดับ ทั้งนี้ ตั้งวันที่ 1 ม.ค. - 6 ก.ค. 2565 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยสะสมถึง 2,214,132 คน คิดเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 1.25 แสนล้านบาท โดยเป็นนักท่องเที่ยวจากอินเดียมากที่สุด 249,466 คน รองลงมาคือ มาเลเซีย 277,146 คน สิงคโปร์ 137,739 คน สหราชอาณาจักร 128,369 คน และสหรัฐอเมริกา 112,791 คน ตามลําดับ โดยจํานวนนักท่องเที่ยวสะสมในเดือน พ.ค. - มิ.ย. 65 พุ่งสูงขึ้นมากหลังจากที่ยกเลิกระบบ Test & Go จาก 542,410 คนในเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นเป็น 709,967 คนในเดือน มิ.ย. และล่าสุดเดือน ก.ค. ซึ่งยกเลิก Thailand Pass ก็ทําให้มีจํานวนนักท่องเที่ยวสะสม 6 วันแรกถึง 191,712 คนแล้ว โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 6 ก.ค. 2565 พบว่า "เที่ยวไทยเที่ยวไทย" สะสมแล้ว 67.8 ล้าน​ คน-ครั้ง มีรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยสะสมถึง 3.05 แสนล้านบาท โดยจังหวัดที่คนไทยสนใจเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี ทั้งนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 6 ก.ค. 2565 ไทยเที่ยวไทย สร้างรายได้ 3.05 แสนล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ จํานวน 1.25 แสนล้านบาท “ครึ่งปีแรกประเทศไทยมีรายได้การท่องเที่ยวสูงถึง 4.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณดีต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่จะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี คือเดือน ต.ค. - ธ.ค. ถือเป็นช่วง High Season ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่มีต่อระบบสาธารณสุขของไทย และมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดําเนินการผ่อนคลายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วนในประเทศที่ช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขของภาครัฐ ส่งผลให้เกิดบรรยากาศการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก โดยนายกรัฐมนตรีพอใจกับสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง กลับมาสร้างรายได้เข้าประเทศอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเน้นย้ําให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวปฏิบัติตนตามมาตรการด้านสาธารณสุขภายใต้การท่องเที่ยววิถีใหม่ เพื่อให้ทุกคนท่องเที่ยวอย่างสนุกและปลอดภัยจากโควิด-19 ด้วย” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย สะสมครึ่งปีแรกกว่า 2.2 ล้านคน ขณะที่ ไทยเที่ยวไทย สะสม 67.8 ล้าน​ คน-ครั้ง วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย สะสมครึ่งปีแรกกว่า 2.2 ล้านคน ขณะที่ ไทยเที่ยวไทย สะสม 67.8 ล้าน​ คน-ครั้ง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย สะสมครึ่งปีแรกกว่า 2.2 ล้านคน ขณะที่ ไทยเที่ยวไทย สะสม 67.8 ล้าน​ คน-ครั้ง ดันรายได้รวมจากการท่องเที่ยวของไทยพุ่งถึง 4.3 แสนล้านบาท วันนี้ (10 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยต่อเนื่อง ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวระหว่างประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ก.ค. 2565) มีจํานวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 30,947 คน โดยพบเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซียเดินทางเข้ามาในประเทศไทยสูงเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และออสเตรเลีย ตามลําดับ ทั้งนี้ ตั้งวันที่ 1 ม.ค. - 6 ก.ค. 2565 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยสะสมถึง 2,214,132 คน คิดเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 1.25 แสนล้านบาท โดยเป็นนักท่องเที่ยวจากอินเดียมากที่สุด 249,466 คน รองลงมาคือ มาเลเซีย 277,146 คน สิงคโปร์ 137,739 คน สหราชอาณาจักร 128,369 คน และสหรัฐอเมริกา 112,791 คน ตามลําดับ โดยจํานวนนักท่องเที่ยวสะสมในเดือน พ.ค. - มิ.ย. 65 พุ่งสูงขึ้นมากหลังจากที่ยกเลิกระบบ Test & Go จาก 542,410 คนในเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นเป็น 709,967 คนในเดือน มิ.ย. และล่าสุดเดือน ก.ค. ซึ่งยกเลิก Thailand Pass ก็ทําให้มีจํานวนนักท่องเที่ยวสะสม 6 วันแรกถึง 191,712 คนแล้ว โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 6 ก.ค. 2565 พบว่า "เที่ยวไทยเที่ยวไทย" สะสมแล้ว 67.8 ล้าน​ คน-ครั้ง มีรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยสะสมถึง 3.05 แสนล้านบาท โดยจังหวัดที่คนไทยสนใจเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี ทั้งนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 6 ก.ค. 2565 ไทยเที่ยวไทย สร้างรายได้ 3.05 แสนล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ จํานวน 1.25 แสนล้านบาท “ครึ่งปีแรกประเทศไทยมีรายได้การท่องเที่ยวสูงถึง 4.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณดีต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่จะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี คือเดือน ต.ค. - ธ.ค. ถือเป็นช่วง High Season ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่มีต่อระบบสาธารณสุขของไทย และมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดําเนินการผ่อนคลายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วนในประเทศที่ช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขของภาครัฐ ส่งผลให้เกิดบรรยากาศการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก โดยนายกรัฐมนตรีพอใจกับสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง กลับมาสร้างรายได้เข้าประเทศอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเน้นย้ําให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวปฏิบัติตนตามมาตรการด้านสาธารณสุขภายใต้การท่องเที่ยววิถีใหม่ เพื่อให้ทุกคนท่องเที่ยวอย่างสนุกและปลอดภัยจากโควิด-19 ด้วย” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56733
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว./ ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 อว./ ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร อว./ ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร 8 กรกฎาคม 2565 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast (QUB) ประกาศเปิดศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ UC-FOODSEC) มุ่งผลิตงานวิจัยระดับโลกเพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอาเซียน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศ.(พิเศษ) ดร.เอนกเปิดเผยว่า "อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทยที่มีความเข้มแข็งทั้งในระดับประเทศและระดับโลก สร้างมูลคาทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในสาขายุทธศาสตร์ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economic Model) ซึ่งรัฐบาลได้กําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์อาหารมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า GDP จาก 0.6 ล้านล้านบาท เป็น 0.9 ล้านล้านบาท ด้วยการพัฒนาต่อยอดจากพื้นฐานความพร้อมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมอาหารไทยโดยการยกระดับคุณภาพ สร้างมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน (functional foods) หรือการพัฒนาเป็นสารประกอบมูลค่าสูง (functional Ingredient) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดเติบโตอย่างมาก" Prof. Dr. Christopher Elliott, OBE, Institute for Global Food Security, Queen's University Belfastเปิดเผยว่า "ไบโอเทคและ Institute for Global Food Security, QUB ทางการวิจัยเรื่องความปลอดภัยทางอาหารและการพัฒนาบุคคลากรมามากกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่อง ต่อมาในปี พ.ศ. 2563 ความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันได้ขยายครอบคลุมความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างผลกระทบในทุกมิติทั้งการร่วมวิจัย การพัฒนาบุคลากรวิจัยและนักศึกษาและการทํางานร่วมกับภาคเอกชน โดยในเดือนมกราคม 2565 ผู้บริหาร QUB ได้ตัดสินใจสนับสนุนการจัดตั้ง IC-FOODSEC เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสร้างความเป็นเลิศทั้ง 3 มิติข้างต้นในระดับอาเซียน" ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อํานวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค สวทช.กล่าวว่า "สวทช. ได้จัดตั้ง Sustainable Food and Functional Ingredient Agenda เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ไว้ที่จุดเดียว หรือ One Stop Service และยังมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดําเนินงานวิจัยตั้งแต่ระดับห้องปฏิบัติการวิจัย สู่การทดสอบระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม จนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่พร้อมถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างครบวงจร การจัดตั้ง IJC-FOODSEC ถือเป็นกุญแจสําคัญที่จะช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของงานวิจัยด้านอาหารของ สวทช. โดยเฉพาะการที่ สวทช. มีโอกาสเสริมความแข็งแกร่งกับพันธมิตรเช่น Queen's University Belfast ซึ่งมีความเป็นเลิศด้านการเกษตรและอาหารในระดับโลก และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" IJC- FOODSEC มุ่งวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิต เพื่อลดการสูญเสียระหว่างกระบวนการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลกําไร นอกจากนี้ยังมุ่งวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตรและทรัพยากรชีวภาพในประเทศและศึกษาด้านความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องสารพิษจากรา เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการในประเทศไทยและ ASEAN ให้มีศักยภาพในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการผลิตและการส่งออกอาหารในระดับโลก รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า "แผนการดําเนินงานวิจัยและพัฒนาเป็นโจทย์จากความต้องการของภาคเอกชนตั้งแต่เริ่มต้นถือเป็นกลไกที่สําคัญในการผลักดันการถ่ายและเทคโนโลยีให้กับภาคอุตสาหกรรมนําไปใช้ประโยชน์ โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอาหารเสริมสัตว์ ซึ่งจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ลดการนําเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ และเกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนต่อไป" รศ.เกศินี วิฑูรชาติ กล่าวต่อไปว่า "นักวิจัยภายใต้ IJC-FOODSEC ได้พัฒนาผลงานวิจัยที่ประสบความสําเร็จ สามารถใช้งานได้จริงหรือมีประสิทธิภาพในการนําไปพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสําคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ในประเทศและระดับภูมิภาค" ตัวอย่างผลงานวิจัยที่ประสบความสําเร็จที่พัฒนาโดยนักวิจัยภายใต้ IJC-FOODSEC ได้แก่ - เทคโนโลยีชีวภัณฑ์ (biocontrol technologyชีวภัณฑ์สําหรับควบคุมโรคพืชรวมทั้งสามารถย่อยสลายสารเคมีตกค้างในดินทางการเกษตร มีความโดดเด่น คือ เป็นชุดชีวภัณฑ์พร้อมใช้ที่มีความสะดวกในการเตรียม ใช้เวลาสั้นในการเพิ่มปริมาณเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ทําให้ทันต่อการสถานการณ์การระบาดของโรคพืชสําคัญทางเศรษฐกิจ มีต้นทุนการผลิตที่ประหยัด ผู้ใช้สามารถนําไปใช้ได้ด้วยตนเองเพียงอ่านคู่มือการใช้แล้วปฏิบัติตามก็สามารถได้ชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพเช่นเดียวกับการทดลองในระดับห้องปฏิบัติการ -NSTDA-Dyesคือ สีย้อมอินทรีย์เรืองแสงชนิดใหม่ (novel luminescent organic dyes) เป็นสารไฮโดรคาร์บอนซึ่งเป็นนวัตกรรมทางเคมีที่ถูกคิดค้น สังเคราะห์และจดสิทธิบัตรโดยทีมนักวิจัยในโครงการไมโคสมาร์ท (MycoSMART ใช้สําหรับเชื่อมต่อกับแอนติบอดีเฉพาะที่ตรวจจับสารพิษจากเชื้อราได้อย่างแม่นยํา โดยสามารถอ่านผลการตรวจวัดสารพิษได้อย่างชัดเจนจากแสงสีของ NSTDA-Dye ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมหรือใช้เครื่องมืออย่างง่าย -MycosMART kitเป็นชุดตรวจที่ใช้เทคนิคไมโครอะเรย์และ lateral flow strip test มาผนวกเข้าด้วยกันทําให้สามารถตรวจสารพิษจากเชื้อราได้ทีละหลายชนิด แบบพกพา และวัดค่าแบบ semi-quantitative อีกด้วย - เทคโนโลยีAgri-Mycotoxin binderซึ่งเป็นนวัตกรรมการนําวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในการลดสารพิษจากราในอาหารสัตว์ โดยวัสดุนี้สามารถลดสารพิษจากราที่ส่งผลให้สัตว์เกิดความผิดปกติทางร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันได้หลากหลายชนิด เช่น อะฟลาท็อกซิน บี1 (Aflatoxin B1) ซีราลีโนน (Zearalenone) โอคราท๊อกซิน เอ (Ochratoxin A) ฟูโมนิซิน บี1 (Fumonisin B1) และ ดีอ็อกซีนิวาลีนอล (Deoxynivalenol) ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security) ตั้งอยู่ที่ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. คณะผู้บริหารประกอบด้วย Prof. Dr. Christopher Elliott, QUB ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการที่ปรึกษานานาชาติ และ Bualuang ASEAN Chair Professor on Food Security (แต่งตั้งโดยโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และ ศ.ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และ ผศ.ดร.อวันวี เพ็ชรคงแก้ว อาจารย์ประจําสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้อํานวยการศูนย์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว./ ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 อว./ ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร อว./ ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร 8 กรกฎาคม 2565 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast (QUB) ประกาศเปิดศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ UC-FOODSEC) มุ่งผลิตงานวิจัยระดับโลกเพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอาเซียน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศ.(พิเศษ) ดร.เอนกเปิดเผยว่า "อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทยที่มีความเข้มแข็งทั้งในระดับประเทศและระดับโลก สร้างมูลคาทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในสาขายุทธศาสตร์ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economic Model) ซึ่งรัฐบาลได้กําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์อาหารมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า GDP จาก 0.6 ล้านล้านบาท เป็น 0.9 ล้านล้านบาท ด้วยการพัฒนาต่อยอดจากพื้นฐานความพร้อมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมอาหารไทยโดยการยกระดับคุณภาพ สร้างมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน (functional foods) หรือการพัฒนาเป็นสารประกอบมูลค่าสูง (functional Ingredient) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดเติบโตอย่างมาก" Prof. Dr. Christopher Elliott, OBE, Institute for Global Food Security, Queen's University Belfastเปิดเผยว่า "ไบโอเทคและ Institute for Global Food Security, QUB ทางการวิจัยเรื่องความปลอดภัยทางอาหารและการพัฒนาบุคคลากรมามากกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่อง ต่อมาในปี พ.ศ. 2563 ความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันได้ขยายครอบคลุมความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างผลกระทบในทุกมิติทั้งการร่วมวิจัย การพัฒนาบุคลากรวิจัยและนักศึกษาและการทํางานร่วมกับภาคเอกชน โดยในเดือนมกราคม 2565 ผู้บริหาร QUB ได้ตัดสินใจสนับสนุนการจัดตั้ง IC-FOODSEC เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสร้างความเป็นเลิศทั้ง 3 มิติข้างต้นในระดับอาเซียน" ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อํานวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค สวทช.กล่าวว่า "สวทช. ได้จัดตั้ง Sustainable Food and Functional Ingredient Agenda เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ไว้ที่จุดเดียว หรือ One Stop Service และยังมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดําเนินงานวิจัยตั้งแต่ระดับห้องปฏิบัติการวิจัย สู่การทดสอบระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม จนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่พร้อมถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างครบวงจร การจัดตั้ง IJC-FOODSEC ถือเป็นกุญแจสําคัญที่จะช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของงานวิจัยด้านอาหารของ สวทช. โดยเฉพาะการที่ สวทช. มีโอกาสเสริมความแข็งแกร่งกับพันธมิตรเช่น Queen's University Belfast ซึ่งมีความเป็นเลิศด้านการเกษตรและอาหารในระดับโลก และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" IJC- FOODSEC มุ่งวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิต เพื่อลดการสูญเสียระหว่างกระบวนการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลกําไร นอกจากนี้ยังมุ่งวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตรและทรัพยากรชีวภาพในประเทศและศึกษาด้านความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องสารพิษจากรา เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการในประเทศไทยและ ASEAN ให้มีศักยภาพในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการผลิตและการส่งออกอาหารในระดับโลก รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า "แผนการดําเนินงานวิจัยและพัฒนาเป็นโจทย์จากความต้องการของภาคเอกชนตั้งแต่เริ่มต้นถือเป็นกลไกที่สําคัญในการผลักดันการถ่ายและเทคโนโลยีให้กับภาคอุตสาหกรรมนําไปใช้ประโยชน์ โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอาหารเสริมสัตว์ ซึ่งจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ลดการนําเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ และเกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนต่อไป" รศ.เกศินี วิฑูรชาติ กล่าวต่อไปว่า "นักวิจัยภายใต้ IJC-FOODSEC ได้พัฒนาผลงานวิจัยที่ประสบความสําเร็จ สามารถใช้งานได้จริงหรือมีประสิทธิภาพในการนําไปพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสําคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ในประเทศและระดับภูมิภาค" ตัวอย่างผลงานวิจัยที่ประสบความสําเร็จที่พัฒนาโดยนักวิจัยภายใต้ IJC-FOODSEC ได้แก่ - เทคโนโลยีชีวภัณฑ์ (biocontrol technologyชีวภัณฑ์สําหรับควบคุมโรคพืชรวมทั้งสามารถย่อยสลายสารเคมีตกค้างในดินทางการเกษตร มีความโดดเด่น คือ เป็นชุดชีวภัณฑ์พร้อมใช้ที่มีความสะดวกในการเตรียม ใช้เวลาสั้นในการเพิ่มปริมาณเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ทําให้ทันต่อการสถานการณ์การระบาดของโรคพืชสําคัญทางเศรษฐกิจ มีต้นทุนการผลิตที่ประหยัด ผู้ใช้สามารถนําไปใช้ได้ด้วยตนเองเพียงอ่านคู่มือการใช้แล้วปฏิบัติตามก็สามารถได้ชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพเช่นเดียวกับการทดลองในระดับห้องปฏิบัติการ -NSTDA-Dyesคือ สีย้อมอินทรีย์เรืองแสงชนิดใหม่ (novel luminescent organic dyes) เป็นสารไฮโดรคาร์บอนซึ่งเป็นนวัตกรรมทางเคมีที่ถูกคิดค้น สังเคราะห์และจดสิทธิบัตรโดยทีมนักวิจัยในโครงการไมโคสมาร์ท (MycoSMART ใช้สําหรับเชื่อมต่อกับแอนติบอดีเฉพาะที่ตรวจจับสารพิษจากเชื้อราได้อย่างแม่นยํา โดยสามารถอ่านผลการตรวจวัดสารพิษได้อย่างชัดเจนจากแสงสีของ NSTDA-Dye ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมหรือใช้เครื่องมืออย่างง่าย -MycosMART kitเป็นชุดตรวจที่ใช้เทคนิคไมโครอะเรย์และ lateral flow strip test มาผนวกเข้าด้วยกันทําให้สามารถตรวจสารพิษจากเชื้อราได้ทีละหลายชนิด แบบพกพา และวัดค่าแบบ semi-quantitative อีกด้วย - เทคโนโลยีAgri-Mycotoxin binderซึ่งเป็นนวัตกรรมการนําวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในการลดสารพิษจากราในอาหารสัตว์ โดยวัสดุนี้สามารถลดสารพิษจากราที่ส่งผลให้สัตว์เกิดความผิดปกติทางร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันได้หลากหลายชนิด เช่น อะฟลาท็อกซิน บี1 (Aflatoxin B1) ซีราลีโนน (Zearalenone) โอคราท๊อกซิน เอ (Ochratoxin A) ฟูโมนิซิน บี1 (Fumonisin B1) และ ดีอ็อกซีนิวาลีนอล (Deoxynivalenol) ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security) ตั้งอยู่ที่ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. คณะผู้บริหารประกอบด้วย Prof. Dr. Christopher Elliott, QUB ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการที่ปรึกษานานาชาติ และ Bualuang ASEAN Chair Professor on Food Security (แต่งตั้งโดยโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และ ศ.ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และ ผศ.ดร.อวันวี เพ็ชรคงแก้ว อาจารย์ประจําสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้อํานวยการศูนย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57517
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนแก่ เฮ ! ครม. อนุมัติหลักการมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น ถอนฟ้อง พร้อมคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2565 คนแก่ เฮ ! ครม. อนุมัติหลักการมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ําซ้อนกับสวัสดิการอื่น ถอนฟ้อง พร้อมคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ คนแก่ เฮ ! ครม. อนุมัติหลักการมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ําซ้อนกับสวัสดิการอื่น ถอนฟ้อง พร้อมคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ จํานวน 28,345 ราย วงเงิน 245 ล้านบาท วันที่ 23 สิงหาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการการคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุที่ได้นําเงินมาคืนทางราชการแล้ว จํานวน 28,345 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 245,243,189.70 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2565) พร้อมมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และกระทรวงการคลัง หาแนวทางการจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้สูงอายุรับเบี้ยยังชีพซ้ําซ้อนกับสวัสดิการอื่น และได้นําเงินมาคืนให้ทางราชการ รวมทั้งแจ้งให้มีการถอนฟ้องหรือระงับการบังคับคดีในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้มีการดําเนินคดีเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 สิงหาคม 2565) ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้มีคําวินิจฉัยว่า เงื่อนไขที่กําหนดว่า ผู้สูงอายุที่จะได้รับเบี้ยยังชีพต้องไม่เป็นผู้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานของรัฐเป็นเงื่อนไขที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และการจ่ายเงินเบี้ยงยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายเงินให้โดยชอบ ในกรณีที่ผู้สูงอายุนําเงินมาคืนราชการ หน่วยงานที่รับเงินไว้มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินคืนให้ผู้สูงอายุ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ในมาตรา 48 วรรค 2 มีเพียง 2 ประการคืออายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ จึงเป็นหลักเกณฑ์สําคัญที่รัฐจะตรากฎหมายเพื่อกําหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือบุคคลที่มีลักษณะดังกล่าว ดังนั้น ระเบียบของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) และระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามระเบียบของ กผส. นั้น ที่กําหนดเงื่อนไขว่าต้องไม่เป็นผู้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ ถือว่าไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระหว่างนี้ พม. ยังอยู่ระหว่างการนําเสนอแนวทางการกําหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งเมื่อได้แนวทางชัดเจนแล้ว กระทรวงมหาดไทยจะได้ดําเนินแก้ไขระเบียบให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าวต่อไป รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. การคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุที่ได้นําเงินมาคืนราชการแล้วจํานวน 28,345 ราย นั้น เป็นเรื่องที่มีความสําคัญเร่งด่วน และสมควรที่จะต้องรีบดําเนินการ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอื่นๆ ที่จะตามมา เช่น ปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ การขาดโอกาสในการเข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ผู้สูงอายุเสียชีวิต และการร้องเรียนต่างๆ เป็นต้น ///
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนแก่ เฮ ! ครม. อนุมัติหลักการมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น ถอนฟ้อง พร้อมคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2565 คนแก่ เฮ ! ครม. อนุมัติหลักการมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ําซ้อนกับสวัสดิการอื่น ถอนฟ้อง พร้อมคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ คนแก่ เฮ ! ครม. อนุมัติหลักการมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพที่มีความซ้ําซ้อนกับสวัสดิการอื่น ถอนฟ้อง พร้อมคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ จํานวน 28,345 ราย วงเงิน 245 ล้านบาท วันที่ 23 สิงหาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการการคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุที่ได้นําเงินมาคืนทางราชการแล้ว จํานวน 28,345 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 245,243,189.70 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2565) พร้อมมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และกระทรวงการคลัง หาแนวทางการจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้สูงอายุรับเบี้ยยังชีพซ้ําซ้อนกับสวัสดิการอื่น และได้นําเงินมาคืนให้ทางราชการ รวมทั้งแจ้งให้มีการถอนฟ้องหรือระงับการบังคับคดีในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้มีการดําเนินคดีเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 สิงหาคม 2565) ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้มีคําวินิจฉัยว่า เงื่อนไขที่กําหนดว่า ผู้สูงอายุที่จะได้รับเบี้ยยังชีพต้องไม่เป็นผู้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานของรัฐเป็นเงื่อนไขที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และการจ่ายเงินเบี้ยงยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายเงินให้โดยชอบ ในกรณีที่ผู้สูงอายุนําเงินมาคืนราชการ หน่วยงานที่รับเงินไว้มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินคืนให้ผู้สูงอายุ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ในมาตรา 48 วรรค 2 มีเพียง 2 ประการคืออายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ จึงเป็นหลักเกณฑ์สําคัญที่รัฐจะตรากฎหมายเพื่อกําหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือบุคคลที่มีลักษณะดังกล่าว ดังนั้น ระเบียบของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) และระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามระเบียบของ กผส. นั้น ที่กําหนดเงื่อนไขว่าต้องไม่เป็นผู้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ ถือว่าไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระหว่างนี้ พม. ยังอยู่ระหว่างการนําเสนอแนวทางการกําหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งเมื่อได้แนวทางชัดเจนแล้ว กระทรวงมหาดไทยจะได้ดําเนินแก้ไขระเบียบให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าวต่อไป รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. การคืนเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุที่ได้นําเงินมาคืนราชการแล้วจํานวน 28,345 ราย นั้น เป็นเรื่องที่มีความสําคัญเร่งด่วน และสมควรที่จะต้องรีบดําเนินการ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอื่นๆ ที่จะตามมา เช่น ปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ การขาดโอกาสในการเข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ผู้สูงอายุเสียชีวิต และการร้องเรียนต่างๆ เป็นต้น ///
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58346
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง จ.ลพบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จําพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง จ.ลพบุรี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จําพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง ต.บางขันหมาก อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี วันนี้ (18 พ.ย. 64) เวลา 13.00 น. ที่พระอุโบสถ วัดกลาง ตําบลบางขันหมาก อําเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระกรุณาโปรดให้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินทอดถวายพระสงฆ์ผู้จําพรรษากาลถ้วนไตรมาส โดยมี สมเด็จมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ การนี้ พระเทพเสนาบดี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี พระปัญญาวิสุทธิโมลี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี (ธรรมยุต) พระกิตติญาณเมธี เจ้าคณะอําเภอเมืองลพบุรี (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดกลาง พระเถรานุเถระ นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นายสุภกิณห์ แวงชิน นายวชิระ เกตุพันธุ์ นายกกชัย ฉายรัศมีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ไวยาวัจกรวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร หัวหน้าส่วนราชการ นายอําเภอ พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดลพบุรีร่วมในพิธี โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานในพิธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และเปิดกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพเบื้องหน้าพระรูปสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และเชิญผ้าพระกฐินประทาน กล่าวบท นะโม 3 จบ กล่าวคําถวายผ้าพระกฐิน จบแล้ว ประธานถวายผ้าพระกฐินและเทียนบูชาพระปาฏิโมกข์แด่พระสงฆ์รูปที่ 2 พระสงฆ์กระทําอปโลกนกรรม ประธานถวายบริวารกฐิน พุทธศาสนิกชนถวายเครื่องไทยธรรม ประธานมอบปัจจัยโดยเสด็จพระราชกุศลในการถวายผ้าพระกฐินแก่ไวยาวัจกรวัดกลาง กรวดน้ํา พระสงฆ์ทั้งนั้นอนุโมทนา ประธานกราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี โดยมียอดปัจจัยที่ถวายเพื่อทํานุบํารุงศาสนา เป็นจํานวนทั้งสิ้น 1,635,000 บาท ในการนี้ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช โปรดประทานสัมโมทนียกถา ความโดยสังเขปว่า เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระศรัทธาให้น้อมนําผ้าพระกฐินมาน้อมถวายพระสงฆ์ ณ วัดกลางแห่งนี้ ซึ่งมีความสําคัญและผูกพันกับศิษยานุศิษย์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยพระอุโบสถนี้ ทางคณะศิษยานุศิษย์วัดราชบพิธได้มาร่วมดําเนินการก่อสร้างถวายเป็นเสนาสนะ เป็นศาสนสถาน เพื่อให้พระสงฆ์ทั้งปวงได้ประกอบศาสนกิจ และอุบาสก อุบาสิกา พุทธศาสนิกชน ชาวบางขันหมาก ได้ใช้ประโยชน์ โดยเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานอนุญาตให้อัญเชิญพระพุทธอังคีรส (จําลอง) เป็นพระประธานในพระอุโบสถแห่งนี้ จึงถือว่าวัดกลางเป็นวัดในพระอุปถัมภ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกวัดหนึ่ง และอยู่ในความอุปถัมภ์ของวัดราชบพิธ สืบเนื่องมาจากที่วัดราชบพิธได้ส่งเสริมดูแลคณะสงฆ์ รามัญ ที่อําเภอพระประแดง มาโดยตลอด ซึ่งพระกิตติญาณเมธี เจ้าอาวาสวัดกลาง และพระปัญญาวิสุทธิโมลี เจ้าอาวาสวัดพระนางจามเทวี ก็เป็นเชื้อสายจากวัดแห่งนี้ที่ไปศึกษาจากวัดอาษาสงคราม อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และกลับมาพัฒนาวัดในท้องถิ่นที่อยู่ ถือเป็นการกลับมาสร้างความเจริญ เป็นความอุตสาหะและความจริงใจของพระสงห์ ลูกหลานชาวตําบลบางขันหมากเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบ้านเกิด "การทอดกฐินถือเป็นอานิสงส์สําคัญซึ่งใน 1 ปี วัดสามารถรับผ้าพระกฐินได้ 1 ครั้ง ถือว่าเป็นบุญประจํากาล ที่สามารถกระทําได้ภายใน 1 เดือน หลังออกพรรษา วันนี้จึงเป็นการเรามาร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระศาสนา มาช่วยกันทํานุบํารุงพระศาสนา วัดกลางแห่งนี้ไม่ใช่ของผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ได้เป็นสมบัติของเจ้าอาวาส แต่เป็นสมบัติของเราชาวพุทธศาสนิกชนทุกคน สาธารณสถานต่าง ๆ นั้นเราในฐานะพุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ต้องช่วยกันดูแลรักษาและพัฒนาขึ้น ส่วนที่ชํารุดทรุดโทรมก็ช่วยกันทํานุบํารุงให้ดีขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคมท้องถิ่นนี้ เพื่อเป็นศรัทธาให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วไป จึงขออนุโมทนากับพุทธศาสนิกชนทุกท่านทุกคน" เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวสัมโมทนียกถาในช่วงท้าย ทั้งนี้ ก่อนประกอบพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ได้ร่วมปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ บริเวณด้านหลังพระอุโบสถวัดกลาง ร่วมกับเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธี ได้เยี่ยมชม พบปะ และให้กําลังใจผู้ประกอบการ OTOP จังหวัดลพบุรี ซึ่งได้นําผลิตภัณฑ์ผ้ามัดหมี่ของจังหวัดลพบุรี มาออกร้านจําหน่ายให้กับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงาน ซึ่งมีผ้าลวดลายต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ หลากหลายรูปแบบและหลากหลายสีสัน มีความโดดเด่น แปลกตา เป็นอัตลักษณ์ผ้าของจังหวัดลพบุรีที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้น ในเวลา 14:00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางต่อมายังวัดอัมพวัน ตําบลบางขันหมาก อําเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี โอกาสนี้ ได้ตรวจเยี่ยมและเยี่ยมชมนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์มอญบางขันหมาก และร่วมกิจกรรมกับชาวมอญบางขันหมาก ซึ่งจากประวัติมีการสันนิษฐานว่า ชาวมอญบางขันหมากได้อพยพมาจากพม่าในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้อพยพชาวมอญกลุ่มนี้มาสร้างเมืองลพบุรี เพราะชาวมอญมีความถนัดในการทําอิฐ และเมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้วเห็นว่าภูมิประเทศแห่งนี้ทําเลดี เหมาะที่จะตั้งหลักปักฐาน จึงตั้งรกรากอยู่ที่ตําบลบางขันหมากจนถึงทุกวันนี้ บริเวณทางทิศตะวันตกของอําเภอเมืองลพบุรี ห่างจากเขตเทศบาลเมืองลพบุรีประมาณ 2 กิโลเมตร โดยชาวมอญบางขันหมากในปัจจุบันมีลักษณะใกล้เคียงกับคนไทย เพราะความกลมกลืนทางวัฒนธรรม แต่ยังคงมีการอนุรักษ์และรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไว้ชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด อาทิ การกินอยู่ อาหารพื้นบ้าน การแต่งกาย และการพูดภาษาถิ่น รวมถึงพระสงฆ์ และอุบาสก อุบาสิกา ยังคงใช้ภาษามอญในการสวดมนต์ไหว้พระ ทั้งนี้ จุดเด่นของชาวมอญบางขันหมาก คือ ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา แม้สภาพเศรษฐกิจสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด แต่ความศรัทธาของชาวมอญยังคงเหนียวแน่น สะท้อนจากเมื่อถึงเทศกาลงานบุญต่าง ๆ ชาวบางขันหมากทุกครัวเรือนจะไปร่วมทําบุญที่วัด ผู้ที่ไปทํางานต่างถิ่นก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเดิมในทุกโอกาส ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวมอญบางขันหมาก จนถึงปัจจุบัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง จ.ลพบุรี วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จําพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง จ.ลพบุรี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โปรดให้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายพระสงฆ์ผู้จําพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดกลาง ต.บางขันหมาก อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี วันนี้ (18 พ.ย. 64) เวลา 13.00 น. ที่พระอุโบสถ วัดกลาง ตําบลบางขันหมาก อําเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระกรุณาโปรดให้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัญเชิญผ้าพระกฐินทอดถวายพระสงฆ์ผู้จําพรรษากาลถ้วนไตรมาส โดยมี สมเด็จมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ การนี้ พระเทพเสนาบดี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี พระปัญญาวิสุทธิโมลี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี (ธรรมยุต) พระกิตติญาณเมธี เจ้าคณะอําเภอเมืองลพบุรี (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดกลาง พระเถรานุเถระ นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นายสุภกิณห์ แวงชิน นายวชิระ เกตุพันธุ์ นายกกชัย ฉายรัศมีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ไวยาวัจกรวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร หัวหน้าส่วนราชการ นายอําเภอ พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดลพบุรีร่วมในพิธี โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานในพิธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และเปิดกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพเบื้องหน้าพระรูปสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และเชิญผ้าพระกฐินประทาน กล่าวบท นะโม 3 จบ กล่าวคําถวายผ้าพระกฐิน จบแล้ว ประธานถวายผ้าพระกฐินและเทียนบูชาพระปาฏิโมกข์แด่พระสงฆ์รูปที่ 2 พระสงฆ์กระทําอปโลกนกรรม ประธานถวายบริวารกฐิน พุทธศาสนิกชนถวายเครื่องไทยธรรม ประธานมอบปัจจัยโดยเสด็จพระราชกุศลในการถวายผ้าพระกฐินแก่ไวยาวัจกรวัดกลาง กรวดน้ํา พระสงฆ์ทั้งนั้นอนุโมทนา ประธานกราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี โดยมียอดปัจจัยที่ถวายเพื่อทํานุบํารุงศาสนา เป็นจํานวนทั้งสิ้น 1,635,000 บาท ในการนี้ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช โปรดประทานสัมโมทนียกถา ความโดยสังเขปว่า เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระศรัทธาให้น้อมนําผ้าพระกฐินมาน้อมถวายพระสงฆ์ ณ วัดกลางแห่งนี้ ซึ่งมีความสําคัญและผูกพันกับศิษยานุศิษย์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยพระอุโบสถนี้ ทางคณะศิษยานุศิษย์วัดราชบพิธได้มาร่วมดําเนินการก่อสร้างถวายเป็นเสนาสนะ เป็นศาสนสถาน เพื่อให้พระสงฆ์ทั้งปวงได้ประกอบศาสนกิจ และอุบาสก อุบาสิกา พุทธศาสนิกชน ชาวบางขันหมาก ได้ใช้ประโยชน์ โดยเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานอนุญาตให้อัญเชิญพระพุทธอังคีรส (จําลอง) เป็นพระประธานในพระอุโบสถแห่งนี้ จึงถือว่าวัดกลางเป็นวัดในพระอุปถัมภ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกวัดหนึ่ง และอยู่ในความอุปถัมภ์ของวัดราชบพิธ สืบเนื่องมาจากที่วัดราชบพิธได้ส่งเสริมดูแลคณะสงฆ์ รามัญ ที่อําเภอพระประแดง มาโดยตลอด ซึ่งพระกิตติญาณเมธี เจ้าอาวาสวัดกลาง และพระปัญญาวิสุทธิโมลี เจ้าอาวาสวัดพระนางจามเทวี ก็เป็นเชื้อสายจากวัดแห่งนี้ที่ไปศึกษาจากวัดอาษาสงคราม อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และกลับมาพัฒนาวัดในท้องถิ่นที่อยู่ ถือเป็นการกลับมาสร้างความเจริญ เป็นความอุตสาหะและความจริงใจของพระสงห์ ลูกหลานชาวตําบลบางขันหมากเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบ้านเกิด "การทอดกฐินถือเป็นอานิสงส์สําคัญซึ่งใน 1 ปี วัดสามารถรับผ้าพระกฐินได้ 1 ครั้ง ถือว่าเป็นบุญประจํากาล ที่สามารถกระทําได้ภายใน 1 เดือน หลังออกพรรษา วันนี้จึงเป็นการเรามาร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระศาสนา มาช่วยกันทํานุบํารุงพระศาสนา วัดกลางแห่งนี้ไม่ใช่ของผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ได้เป็นสมบัติของเจ้าอาวาส แต่เป็นสมบัติของเราชาวพุทธศาสนิกชนทุกคน สาธารณสถานต่าง ๆ นั้นเราในฐานะพุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ต้องช่วยกันดูแลรักษาและพัฒนาขึ้น ส่วนที่ชํารุดทรุดโทรมก็ช่วยกันทํานุบํารุงให้ดีขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคมท้องถิ่นนี้ เพื่อเป็นศรัทธาให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วไป จึงขออนุโมทนากับพุทธศาสนิกชนทุกท่านทุกคน" เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวสัมโมทนียกถาในช่วงท้าย ทั้งนี้ ก่อนประกอบพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ได้ร่วมปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ บริเวณด้านหลังพระอุโบสถวัดกลาง ร่วมกับเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธี ได้เยี่ยมชม พบปะ และให้กําลังใจผู้ประกอบการ OTOP จังหวัดลพบุรี ซึ่งได้นําผลิตภัณฑ์ผ้ามัดหมี่ของจังหวัดลพบุรี มาออกร้านจําหน่ายให้กับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงาน ซึ่งมีผ้าลวดลายต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ หลากหลายรูปแบบและหลากหลายสีสัน มีความโดดเด่น แปลกตา เป็นอัตลักษณ์ผ้าของจังหวัดลพบุรีที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้น ในเวลา 14:00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางต่อมายังวัดอัมพวัน ตําบลบางขันหมาก อําเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี โอกาสนี้ ได้ตรวจเยี่ยมและเยี่ยมชมนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์มอญบางขันหมาก และร่วมกิจกรรมกับชาวมอญบางขันหมาก ซึ่งจากประวัติมีการสันนิษฐานว่า ชาวมอญบางขันหมากได้อพยพมาจากพม่าในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้อพยพชาวมอญกลุ่มนี้มาสร้างเมืองลพบุรี เพราะชาวมอญมีความถนัดในการทําอิฐ และเมื่อสร้างเมืองเสร็จแล้วเห็นว่าภูมิประเทศแห่งนี้ทําเลดี เหมาะที่จะตั้งหลักปักฐาน จึงตั้งรกรากอยู่ที่ตําบลบางขันหมากจนถึงทุกวันนี้ บริเวณทางทิศตะวันตกของอําเภอเมืองลพบุรี ห่างจากเขตเทศบาลเมืองลพบุรีประมาณ 2 กิโลเมตร โดยชาวมอญบางขันหมากในปัจจุบันมีลักษณะใกล้เคียงกับคนไทย เพราะความกลมกลืนทางวัฒนธรรม แต่ยังคงมีการอนุรักษ์และรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไว้ชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด อาทิ การกินอยู่ อาหารพื้นบ้าน การแต่งกาย และการพูดภาษาถิ่น รวมถึงพระสงฆ์ และอุบาสก อุบาสิกา ยังคงใช้ภาษามอญในการสวดมนต์ไหว้พระ ทั้งนี้ จุดเด่นของชาวมอญบางขันหมาก คือ ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา แม้สภาพเศรษฐกิจสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด แต่ความศรัทธาของชาวมอญยังคงเหนียวแน่น สะท้อนจากเมื่อถึงเทศกาลงานบุญต่าง ๆ ชาวบางขันหมากทุกครัวเรือนจะไปร่วมทําบุญที่วัด ผู้ที่ไปทํางานต่างถิ่นก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเดิมในทุกโอกาส ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวมอญบางขันหมาก จนถึงปัจจุบัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48436
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” โชว์ผลงานดีอีเอส-สตช.ลุยปราบมิจฉาชีพออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม 2564 “ชัยวุฒิ” โชว์ผลงานดีอีเอส-สตช.ลุยปราบมิจฉาชีพออนไลน์ “ชัยวุฒิ” โชว์ผลงานดีอีเอส-สตช.ลุยปราบมิจฉาชีพออนไลน์ ดีอีเอสหารือร่วมสตช.โดยกองบัญชาการตํารวจไซเบอร์รับลูกข้อสั่งการนายกฯเร่งหาแนวทางป้องปราบมิจฉาชีพออนไลน์ยกระดับศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาซื้อขายออนไลน์OCC 1212ดึงผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ร่วมหารือแก้ไขปัญหาและให้ความรู้ประชาชนพบคนร้องเรียนปัญหาจากการซื้อสินค้าผ่านเฟซบุ๊กมากสุด วันนี้(6ต.ค. 64)นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ร่วมกับพล.ต.ต.ภาณุมาศบุญญลักษม์รองผู้บัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(รองผบช.สอท.)และพล.ต.ต.ชรินทร์โกพัฒน์ตาผู้บังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี5 (ผบก.สอท.5)แถลงการหารือแนวทางป้องปราบมิจฉาชีพออนไลน์เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการสืบสวนรวบรวมหลักฐานและความเข้มข้นในการดําเนินคดีกับมิจฉาชีพและผู้กระทําผิดที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมาเป็นช่องทางหลอกลวงฉ้อโกงซ้ําเติมความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดยเฉพาะในท่ามกลางความยากลําบากจากสถานการณ์โควิด-19 นายชัยวุฒิกล่าวว่าจากที่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพทางออนไลน์จนตกเป็นเหยื่อกลโกงรูปแบบต่างๆที่พัฒนาขึ้นตามเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นเอสเอ็มเอสไลน์เฟซบุ๊กแอปเงินกู้และโทรศัพท์หลอกลวงโดยกําชับให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติ(สตช.)และกระทรวงดิจิทัลฯให้ดําเนินการตามกฎหมายสูงสุดหากพบหลักฐานกระทําความผิด เพราะถือว่าเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯร่วมทํางานอย่างใกล้ชิดกับกองบัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.)กองบังคับการปราบปรามการการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.)สํานักงานตํารวจแห่งชาติสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์(กลต.)และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์รวมถึงรวบรวมหลักฐานติดตามผู้กระทําผิดมาดําเนินคดีตามกฎหมายให้เร็วที่สุด โดยตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาพบปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ที่ประชาชนร้องเรียนร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆเช่นการหลอกลวงทางออนไลน์เช่นสั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้ของหรือไม่ได้คุณภาพตามที่โฆษณาหลอกลงทุนออนไลน์แชร์ออนไลน์กู้เงินแฮกบัญชี ปลอมแปลงบัญชีหลอกโอนเงินSMSหลอกกู้เงินมีผู้เสียหายนับหลายพันคดีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจึงได้มีการบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งวันนี้ได้มีการประชุมหารือกับแพลต์ฟอร์มออนไลน์ต่างๆเช่นเฟซบุ๊กกูเกิลไลน์ช้อปปี้Tiktokเจดีเซ็นทรัลและลาซาด้าเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่เกิดขึ้นในการวางแนวทางการการป้องกันปราบปรามและให้ความรู้แก่ประชาชน “เรามีแนวทางชัดเจนว่าในจะดําเนินการให้มีความเข้มข้นมากขึ้นกระทรวงฯและสํานักงานตํารวจแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน1212เว็บไซต์https://www.1212occ.comหรือemail: [email protected]ดําเนินการการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบหรือความเสียหายจากภัยออนไลน์รวมทั้งจะมีการส่งเสริมให้ความรู้กับประชาชนเพิ่มขึ้นด้วย”นายชัยวุฒิกล่าว นายชัยวุฒิกล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับข้อกําหนดลงโทษผู้กระทําผิดกฎหมายกรณีฉ้อโกงต่อประชาชนจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งมีโทษสูงขึ้นจําคุกไม่เกิน5ปีหรือปรับไม่เกิน10,000บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ยังเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯมาตรา11ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าวอันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุขต้องระวางโทษปรับไม่เกิน100,000บาท และหากการกระทําใดเข้าข่ายหลอกลวงก็มีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯมาตรา14 (1)โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับและอาจมีความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จากสถิติการรับแจ้งปัญหาการซื้อขายออนไลน์ผ่านสายด่วน1212พบว่าแต่ละปีมีปริมาณร้องเรียนเพิ่มมากขึ้นประกอบกับด้วยสถานการณ์โควิด-19ผู้บริโภคนิยมเน้นการซื้อของผ่านออนไลน์เป็นที่นิยมต่อเนื่องโดยสถิติร้องเรียนในปีนี้(1ม.ค. – 4ต.ค. 64)มากสุด3อันดับแรกคือได้รับสินค้าไม่ตรงตามข้อตกลง(ผิดสีผิดขนาด)ไม่ได้ตามโฆษณาตามมาด้วยไม่ได้รับสินค้า(หลอกลวง)และได้รับสินค้าชํารุด สําหรับช่องทางการซื้อขายที่มีสถิติการร้องเรียนจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์มากสุดได้แก่การซื้อผ่านเฟซบุ๊กคิดเป็นสัดส่วนถึง82.4%จํานวนการร้องเรียน19,296ครั้งตามมาด้วยเว็บไซต์4.6%และอินสตาแกรม4.3% ด้านพล.ต.ต.ภาณุมาศบุญญลักษม์รองผู้บัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(รองผบช.สอท.)กล่าวว่าล่าสุดบช.สอท.ยังได้ร่วมกับสํานักงานกสทช.และค่ายมือถือต่างๆวางแนวทางจัดการปัญหาSMSและโทรศัพท์หลอกลวงประชาชนโดยผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายจะทําการบล็อกSMSที่มีเนื้อหาชัดเจนว่าเป็นการหลอกลวงเว็บพนันออนไลน์หรือลามกอนาจารทันทีและเร่งตรวจสอบกํากับดูแลกันเองอย่างเคร่งครัดและให้ทุกค่ายเริ่มทําการBacklistผู้ส่งที่ส่งข้อความหลอกลวงหลังจากที่ได้การแชร์ข้อมูลSMSหลอกลวงระหว่างกันแล้วพบว่ามาจากผู้ส่งรายเดียวกัน สําหรับกรณีการโทรหลอกลวงประชาชนโดยตรงผู้ให้บริการมือถือทุกรายสามารถตรวจสอบการกระทําความผิดได้ชัดเจนเนื่องจากเบอร์โทรศัพท์มือถือที่มิจฉาชีพใช้สามารถตรวจสอบจากการลงทะเบียนได้ว่าใครเป็นเจ้าของเบอร์นั้นถือเป็นหลักฐานที่ระบุต้นทางที่มาประกอบกับข้อมูลที่ประชาชนให้ข้อมูลการหลอกลวงส่งคลิปหรือแจ้งเบอร์โทรศัพท์เข้ามาเพื่อเป็นข้อมูลบช.สอท.จะตรวจสอบกับค่ายมือถือและสํานักงานกสทช.เพื่อดําเนินการตามกฎหมายในการดําเนินคดีเอาผิดกับมิจฉาชีพต่อไป **********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” โชว์ผลงานดีอีเอส-สตช.ลุยปราบมิจฉาชีพออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม 2564 “ชัยวุฒิ” โชว์ผลงานดีอีเอส-สตช.ลุยปราบมิจฉาชีพออนไลน์ “ชัยวุฒิ” โชว์ผลงานดีอีเอส-สตช.ลุยปราบมิจฉาชีพออนไลน์ ดีอีเอสหารือร่วมสตช.โดยกองบัญชาการตํารวจไซเบอร์รับลูกข้อสั่งการนายกฯเร่งหาแนวทางป้องปราบมิจฉาชีพออนไลน์ยกระดับศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาซื้อขายออนไลน์OCC 1212ดึงผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ร่วมหารือแก้ไขปัญหาและให้ความรู้ประชาชนพบคนร้องเรียนปัญหาจากการซื้อสินค้าผ่านเฟซบุ๊กมากสุด วันนี้(6ต.ค. 64)นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ร่วมกับพล.ต.ต.ภาณุมาศบุญญลักษม์รองผู้บัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(รองผบช.สอท.)และพล.ต.ต.ชรินทร์โกพัฒน์ตาผู้บังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี5 (ผบก.สอท.5)แถลงการหารือแนวทางป้องปราบมิจฉาชีพออนไลน์เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการสืบสวนรวบรวมหลักฐานและความเข้มข้นในการดําเนินคดีกับมิจฉาชีพและผู้กระทําผิดที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมาเป็นช่องทางหลอกลวงฉ้อโกงซ้ําเติมความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดยเฉพาะในท่ามกลางความยากลําบากจากสถานการณ์โควิด-19 นายชัยวุฒิกล่าวว่าจากที่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพทางออนไลน์จนตกเป็นเหยื่อกลโกงรูปแบบต่างๆที่พัฒนาขึ้นตามเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นเอสเอ็มเอสไลน์เฟซบุ๊กแอปเงินกู้และโทรศัพท์หลอกลวงโดยกําชับให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติ(สตช.)และกระทรวงดิจิทัลฯให้ดําเนินการตามกฎหมายสูงสุดหากพบหลักฐานกระทําความผิด เพราะถือว่าเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯร่วมทํางานอย่างใกล้ชิดกับกองบัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.)กองบังคับการปราบปรามการการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.)สํานักงานตํารวจแห่งชาติสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์(กลต.)และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์รวมถึงรวบรวมหลักฐานติดตามผู้กระทําผิดมาดําเนินคดีตามกฎหมายให้เร็วที่สุด โดยตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาพบปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ที่ประชาชนร้องเรียนร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆเช่นการหลอกลวงทางออนไลน์เช่นสั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้ของหรือไม่ได้คุณภาพตามที่โฆษณาหลอกลงทุนออนไลน์แชร์ออนไลน์กู้เงินแฮกบัญชี ปลอมแปลงบัญชีหลอกโอนเงินSMSหลอกกู้เงินมีผู้เสียหายนับหลายพันคดีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจึงได้มีการบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งวันนี้ได้มีการประชุมหารือกับแพลต์ฟอร์มออนไลน์ต่างๆเช่นเฟซบุ๊กกูเกิลไลน์ช้อปปี้Tiktokเจดีเซ็นทรัลและลาซาด้าเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่เกิดขึ้นในการวางแนวทางการการป้องกันปราบปรามและให้ความรู้แก่ประชาชน “เรามีแนวทางชัดเจนว่าในจะดําเนินการให้มีความเข้มข้นมากขึ้นกระทรวงฯและสํานักงานตํารวจแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน1212เว็บไซต์https://www.1212occ.comหรือemail: [email protected]ดําเนินการการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบหรือความเสียหายจากภัยออนไลน์รวมทั้งจะมีการส่งเสริมให้ความรู้กับประชาชนเพิ่มขึ้นด้วย”นายชัยวุฒิกล่าว นายชัยวุฒิกล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับข้อกําหนดลงโทษผู้กระทําผิดกฎหมายกรณีฉ้อโกงต่อประชาชนจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งมีโทษสูงขึ้นจําคุกไม่เกิน5ปีหรือปรับไม่เกิน10,000บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ยังเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯมาตรา11ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าวอันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุขต้องระวางโทษปรับไม่เกิน100,000บาท และหากการกระทําใดเข้าข่ายหลอกลวงก็มีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯมาตรา14 (1)โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับและอาจมีความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จากสถิติการรับแจ้งปัญหาการซื้อขายออนไลน์ผ่านสายด่วน1212พบว่าแต่ละปีมีปริมาณร้องเรียนเพิ่มมากขึ้นประกอบกับด้วยสถานการณ์โควิด-19ผู้บริโภคนิยมเน้นการซื้อของผ่านออนไลน์เป็นที่นิยมต่อเนื่องโดยสถิติร้องเรียนในปีนี้(1ม.ค. – 4ต.ค. 64)มากสุด3อันดับแรกคือได้รับสินค้าไม่ตรงตามข้อตกลง(ผิดสีผิดขนาด)ไม่ได้ตามโฆษณาตามมาด้วยไม่ได้รับสินค้า(หลอกลวง)และได้รับสินค้าชํารุด สําหรับช่องทางการซื้อขายที่มีสถิติการร้องเรียนจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์มากสุดได้แก่การซื้อผ่านเฟซบุ๊กคิดเป็นสัดส่วนถึง82.4%จํานวนการร้องเรียน19,296ครั้งตามมาด้วยเว็บไซต์4.6%และอินสตาแกรม4.3% ด้านพล.ต.ต.ภาณุมาศบุญญลักษม์รองผู้บัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(รองผบช.สอท.)กล่าวว่าล่าสุดบช.สอท.ยังได้ร่วมกับสํานักงานกสทช.และค่ายมือถือต่างๆวางแนวทางจัดการปัญหาSMSและโทรศัพท์หลอกลวงประชาชนโดยผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายจะทําการบล็อกSMSที่มีเนื้อหาชัดเจนว่าเป็นการหลอกลวงเว็บพนันออนไลน์หรือลามกอนาจารทันทีและเร่งตรวจสอบกํากับดูแลกันเองอย่างเคร่งครัดและให้ทุกค่ายเริ่มทําการBacklistผู้ส่งที่ส่งข้อความหลอกลวงหลังจากที่ได้การแชร์ข้อมูลSMSหลอกลวงระหว่างกันแล้วพบว่ามาจากผู้ส่งรายเดียวกัน สําหรับกรณีการโทรหลอกลวงประชาชนโดยตรงผู้ให้บริการมือถือทุกรายสามารถตรวจสอบการกระทําความผิดได้ชัดเจนเนื่องจากเบอร์โทรศัพท์มือถือที่มิจฉาชีพใช้สามารถตรวจสอบจากการลงทะเบียนได้ว่าใครเป็นเจ้าของเบอร์นั้นถือเป็นหลักฐานที่ระบุต้นทางที่มาประกอบกับข้อมูลที่ประชาชนให้ข้อมูลการหลอกลวงส่งคลิปหรือแจ้งเบอร์โทรศัพท์เข้ามาเพื่อเป็นข้อมูลบช.สอท.จะตรวจสอบกับค่ายมือถือและสํานักงานกสทช.เพื่อดําเนินการตามกฎหมายในการดําเนินคดีเอาผิดกับมิจฉาชีพต่อไป **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46657
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกรัฐมนตรี" ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งเดินหน้าโครงการปุ๋ยสั่งตัด-ปุ๋ยอินทรีย์ เร่งแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพง และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร
วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกรัฐมนตรี" ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งเดินหน้าโครงการปุ๋ยสั่งตัด-ปุ๋ยอินทรีย์ เร่งแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพง และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โฆษกรัฐบาลเผย "นายกรัฐมนตรี" ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งเดินหน้าโครงการปุ๋ยสั่งตัด-ปุ๋ยอินทรีย์ เร่งแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพง และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร วันที่ 16 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากสถานการณ์วัตถุดิบอาหารสัตว์และปุ๋ยขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์และเกษตรกรเป็นอย่างมากนั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันไม่ได้นิ่งนอนใจ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง กําชับให้เร่งแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร ทั้งนี้ ตรวจสอบการกักตุนปุ๋ยหากพบการกระทําความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการกับผู้กระทําความผิดโดยเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังมาโดยตลอด ทั้งเรื่องปุ๋ยและความเดือดร้อนของเกษตรกร เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกร ผ่านการทํางานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบบูรณาการ ขอให้เกษตรกรมั่นใจว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยมีการดําเนินโครงการปุ๋ยสั่งตัด ที่เหมาะกับสภาพดินและความต้องการของพืช อีกทั้งเร่งการผลิต ปุ๋ยหมักปุ๋ยอินทรีย์เสริมให้ประชาชนใช้ เพื่อช่วยเกษตรกรลดต้นทุน ทั้งนี้ ปุ๋ยเคมี และอาหารสัตว์ เป็นสินค้าควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หากจะมีการปรับราคา กระทรวงพาณิชย์จะต้องพิจารณาคําร้องของผู้ประกอบการก่อน ซึ่งขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ยังไม่มีใครทําเรื่องขอปรับราคาอย่างเป็นทางการ "จากสถานการณ์ต่างๆ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจะเกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาได้ ด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขอความร่วมมือผู้ประกอบอย่าฉวยโอกาสในช่วงที่เราประสบปัญหา กักตุนปุ๋ย และฉวยโอกาสขึ้นราคา ขออย่าซ้ําเติมความเดือดร้อนของคนไทยด้วยกัน" นายธนกรฯ กล่าว -----------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกรัฐมนตรี" ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งเดินหน้าโครงการปุ๋ยสั่งตัด-ปุ๋ยอินทรีย์ เร่งแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพง และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกรัฐมนตรี" ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งเดินหน้าโครงการปุ๋ยสั่งตัด-ปุ๋ยอินทรีย์ เร่งแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพง และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โฆษกรัฐบาลเผย "นายกรัฐมนตรี" ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งเดินหน้าโครงการปุ๋ยสั่งตัด-ปุ๋ยอินทรีย์ เร่งแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพง และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร วันที่ 16 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากสถานการณ์วัตถุดิบอาหารสัตว์และปุ๋ยขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์และเกษตรกรเป็นอย่างมากนั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันไม่ได้นิ่งนอนใจ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง กําชับให้เร่งแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร ทั้งนี้ ตรวจสอบการกักตุนปุ๋ยหากพบการกระทําความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการกับผู้กระทําความผิดโดยเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังมาโดยตลอด ทั้งเรื่องปุ๋ยและความเดือดร้อนของเกษตรกร เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกร ผ่านการทํางานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบบูรณาการ ขอให้เกษตรกรมั่นใจว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยมีการดําเนินโครงการปุ๋ยสั่งตัด ที่เหมาะกับสภาพดินและความต้องการของพืช อีกทั้งเร่งการผลิต ปุ๋ยหมักปุ๋ยอินทรีย์เสริมให้ประชาชนใช้ เพื่อช่วยเกษตรกรลดต้นทุน ทั้งนี้ ปุ๋ยเคมี และอาหารสัตว์ เป็นสินค้าควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หากจะมีการปรับราคา กระทรวงพาณิชย์จะต้องพิจารณาคําร้องของผู้ประกอบการก่อน ซึ่งขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ยังไม่มีใครทําเรื่องขอปรับราคาอย่างเป็นทางการ "จากสถานการณ์ต่างๆ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจะเกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาได้ ด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขอความร่วมมือผู้ประกอบอย่าฉวยโอกาสในช่วงที่เราประสบปัญหา กักตุนปุ๋ย และฉวยโอกาสขึ้นราคา ขออย่าซ้ําเติมความเดือดร้อนของคนไทยด้วยกัน" นายธนกรฯ กล่าว -----------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52607
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ทุนนักศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ครม. ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ทุนนักศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ..... ที่ประชุม ครม. (18 ม.ค. 65) เห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 10) ปี 2562 - 2566 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย” . และปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับทุนอุดหนุนการศึกษา “จากนักศึกษาชาวไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลุ่มผู้ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดในจังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ได้ผลกระทบมากขึ้น . โดยจัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน 44 ทุน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ จํานวน 27 ทุน (ทุนละ 40,000 บาท/ปี) สาขาวิชาสังคมศาสตร์ จํานวน 17 ทุน (ทุนละ 30,000 บาท/ปี) . ซึ่งจะได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ 9 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.เกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น ม.เชียงใหม่ ม.ธรรมศาสตร์ ม.มหิดล ม.ลัยศิลปากร ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ม.สงขลานครินทร์ และเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง เมื่อปี 2564 ได้แก่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.นเรศวร และ ม.แม่ฟ้าหลวง . เมื่อสําเร็จการศึกษาแล้ว ผู้รับทุนจะต้องกลับไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่และแก้ไขปัญหาด้านสังคมจิตวิทยา การศึกษา รวมถึงปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ทุนนักศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ครม. ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ทุนนักศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ..... ที่ประชุม ครม. (18 ม.ค. 65) เห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 10) ปี 2562 - 2566 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย” . และปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับทุนอุดหนุนการศึกษา “จากนักศึกษาชาวไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลุ่มผู้ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดในจังหวัดชายแดนภาคใต้” เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ได้ผลกระทบมากขึ้น . โดยจัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน 44 ทุน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ จํานวน 27 ทุน (ทุนละ 40,000 บาท/ปี) สาขาวิชาสังคมศาสตร์ จํานวน 17 ทุน (ทุนละ 30,000 บาท/ปี) . ซึ่งจะได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ 9 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.เกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น ม.เชียงใหม่ ม.ธรรมศาสตร์ ม.มหิดล ม.ลัยศิลปากร ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ม.สงขลานครินทร์ และเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง เมื่อปี 2564 ได้แก่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.นเรศวร และ ม.แม่ฟ้าหลวง . เมื่อสําเร็จการศึกษาแล้ว ผู้รับทุนจะต้องกลับไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่และแก้ไขปัญหาด้านสังคมจิตวิทยา การศึกษา รวมถึงปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50809
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง พอใจภาพรวม หลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุกที่สนามไทย ญี่ปุ่น ดินแดง มีผู้ประกันตนและประชาชนมาตรวจเกือบหมื่นคน ส่งรักษาตัวใน Hospitel แล้วเกือบ 1,000 คน
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 รมว.เฮ้ง พอใจภาพรวม หลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุกที่สนามไทย ญี่ปุ่น ดินแดง มีผู้ประกันตนและประชาชนมาตรวจเกือบหมื่นคน ส่งรักษาตัวใน Hospitel แล้วเกือบ 1,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พอใจภาพรวม หลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุกที่สนามไทย ญี่ปุ่น ดินแดง มีผู้ประกันตนและประชาชนมาตรวจเกือบหมื่นคน ส่งรักษาตัวใน Hospitel แล้วเกือบ 1,000 คน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสรุปภาพรวมการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุก สําหรับผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการตรวจ ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ครั้งนี้ ซึ่งมีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงจําเป็นจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อเป็นจํานวนมาก ทําให้ขณะนี้หลายโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนเกิดความแออัด ต้องรอคิวนาน และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไปให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ท่านนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช.ดําเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันนี้ (23 ก.ค.64) เป็นวันสุดท้ายของการเปิดให้บริการ ซึ่งจากการดําเนินการตรวจโควิดเชิงรุกในครั้งนี้ภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ นายสุชาติ กล่าวถึงภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ซึ่งตั้งแต่เปิดบริการตรวจตั้งแต่วันที่ 12 – 22 ก.ค.64 พบว่า มีผู้มาตรวจแล้วจํานวนเกือบ 10,000 คน สําหรับผู้ที่ตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัว เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ในระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด จะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งจะมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแล ซึ่งขณะนี้ได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาแล้วเกือบ 1,000 คน “การตรวจโควิด-19 เชิงรุกดังกล่าวจะเป็นการชะลอการแพร่กระจายของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงที่รอการฉีดวัคซีนให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มแรงงาน เพื่อให้ภาคแรงงานเข้มแข็งและกิจการเดินหน้าต่อไปได้โดยเร็ว”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง พอใจภาพรวม หลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุกที่สนามไทย ญี่ปุ่น ดินแดง มีผู้ประกันตนและประชาชนมาตรวจเกือบหมื่นคน ส่งรักษาตัวใน Hospitel แล้วเกือบ 1,000 คน วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 รมว.เฮ้ง พอใจภาพรวม หลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุกที่สนามไทย ญี่ปุ่น ดินแดง มีผู้ประกันตนและประชาชนมาตรวจเกือบหมื่นคน ส่งรักษาตัวใน Hospitel แล้วเกือบ 1,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พอใจภาพรวม หลังปิดศูนย์คัดกรองโควิด-19 เชิงรุกที่สนามไทย ญี่ปุ่น ดินแดง มีผู้ประกันตนและประชาชนมาตรวจเกือบหมื่นคน ส่งรักษาตัวใน Hospitel แล้วเกือบ 1,000 คน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสรุปภาพรวมการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุก สําหรับผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการตรวจ ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ครั้งนี้ ซึ่งมีผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงจําเป็นจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อเป็นจํานวนมาก ทําให้ขณะนี้หลายโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนเกิดความแออัด ต้องรอคิวนาน และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไปให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ท่านนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช.ดําเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันนี้ (23 ก.ค.64) เป็นวันสุดท้ายของการเปิดให้บริการ ซึ่งจากการดําเนินการตรวจโควิดเชิงรุกในครั้งนี้ภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ นายสุชาติ กล่าวถึงภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ซึ่งตั้งแต่เปิดบริการตรวจตั้งแต่วันที่ 12 – 22 ก.ค.64 พบว่า มีผู้มาตรวจแล้วจํานวนเกือบ 10,000 คน สําหรับผู้ที่ตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัว เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ในระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด จะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งจะมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแล ซึ่งขณะนี้ได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาแล้วเกือบ 1,000 คน “การตรวจโควิด-19 เชิงรุกดังกล่าวจะเป็นการชะลอการแพร่กระจายของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงที่รอการฉีดวัคซีนให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มแรงงาน เพื่อให้ภาคแรงงานเข้มแข็งและกิจการเดินหน้าต่อไปได้โดยเร็ว”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44056
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM orders Ministry of Public Health to control spread of COVID-19 in Southernmost provinces within 1-2 months
วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 PM orders Ministry of Public Health to control spread of COVID-19 in Southernmost provinces within 1-2 months PM orders Ministry of Public Health to control spread of COVID-19 in Southernmost provinces within 1-2 months October 6, 2021,in light of thecurrent COVID-19 situation in the 4 Southernmost provinces whichseems to beon the increasing trend, with1,922new infected patientsrecorded onOctober 6 (Pattani: 309, Songkhla: 666, Narathiwat: 501, and Yala: 446),Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchanadisclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-chahasinstructed Permanent Secretary to Ministry of Public HealthDr. Kiattiphum Wongrajitand the delegation totake the field trip to the 4 Southern border provinces toclosely monitorand tackle the COVID-19 situation in the area with an aim to controlthe disease spread within 1-2 months and to reduce the number of newly infected patients by 10% per week.Social measures will be implemented through provincial communicablediseasecommitteemechanismto minimize gatherings.COVID-Free Setting Areawill be established, and people in the risk groups must get easier access to the ATK kits. Local hospitals are also ordered to prepare additional beds for yellow and red patients. According to the Government Spokesperson, Ministry of Public Health has also dispatched medicines and medical equipment to the area, which comprises 1 million pills ofFavipiravir, 20,000 ATK kits,100Oxygen concentrators, 25,000 doses of AstraZeneca, and 100,000 doses ofPfizer-BioNTech vaccines.The Prime Minister alsoordered concerned agencies to closely monitor the situation, and called on the local peoplenot to let their guard down, andto observeUniversal Preventionapproach even with the ease of some COVID-19 measures.The Government Spokesperson expressed confidence on thecapability of the medical staffs and healthcare personnel, as well as the medical equipment. Coupling with the cooperation of the local people, COVID-19 situation in the Southernmost provinces would soon be eased.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM orders Ministry of Public Health to control spread of COVID-19 in Southernmost provinces within 1-2 months วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 PM orders Ministry of Public Health to control spread of COVID-19 in Southernmost provinces within 1-2 months PM orders Ministry of Public Health to control spread of COVID-19 in Southernmost provinces within 1-2 months October 6, 2021,in light of thecurrent COVID-19 situation in the 4 Southernmost provinces whichseems to beon the increasing trend, with1,922new infected patientsrecorded onOctober 6 (Pattani: 309, Songkhla: 666, Narathiwat: 501, and Yala: 446),Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchanadisclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-chahasinstructed Permanent Secretary to Ministry of Public HealthDr. Kiattiphum Wongrajitand the delegation totake the field trip to the 4 Southern border provinces toclosely monitorand tackle the COVID-19 situation in the area with an aim to controlthe disease spread within 1-2 months and to reduce the number of newly infected patients by 10% per week.Social measures will be implemented through provincial communicablediseasecommitteemechanismto minimize gatherings.COVID-Free Setting Areawill be established, and people in the risk groups must get easier access to the ATK kits. Local hospitals are also ordered to prepare additional beds for yellow and red patients. According to the Government Spokesperson, Ministry of Public Health has also dispatched medicines and medical equipment to the area, which comprises 1 million pills ofFavipiravir, 20,000 ATK kits,100Oxygen concentrators, 25,000 doses of AstraZeneca, and 100,000 doses ofPfizer-BioNTech vaccines.The Prime Minister alsoordered concerned agencies to closely monitor the situation, and called on the local peoplenot to let their guard down, andto observeUniversal Preventionapproach even with the ease of some COVID-19 measures.The Government Spokesperson expressed confidence on thecapability of the medical staffs and healthcare personnel, as well as the medical equipment. Coupling with the cooperation of the local people, COVID-19 situation in the Southernmost provinces would soon be eased.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จับมือ 6 ภาคีเครือข่ายร่วมลดการเผาอ้อยเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ธ.ก.ส. จับมือ 6 ภาคีเครือข่ายร่วมลดการเผาอ้อยเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 ธ.ก.ส. จับมือสมาคมชาวไร่อ้อย – โรงงานน้ําตาล ส่งเสริมเกษตรกรลดการเผาอ้อย เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และสนับสนุนการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าผลผลิต พร้อมเสริมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ธ.ก.ส. จับมือสมาคมชาวไร่อ้อย – โรงงานน้ําตาล ส่งเสริมเกษตรกรลดการเผาอ้อย เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และสนับสนุนการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าผลผลิต พร้อมเสริมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อจูงใจให้เกษตรกรหันมาร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นําร่องในพื้นที่กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี จํานวนพื้นที่กว่า 1.5 ล้านไร่ ตั้งเป้าลดการเผาอ้อยให้ได้ 100% ภายในปี 2566 นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ด้านมลพิษที่ทวีความรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดําเนินชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาอ้อยหลังการเก็บเกี่ยวของเกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยเกษตรกรสามารถประกอบอาชีพควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ธ.ก.ส. ได้จับมือกับ 6 ภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย สมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อย เขต 7 ศูนย์ประสานงานโรงงานน้ําตาลลุ่มแม่น้ําแม่กลอง (กลุ่มโรงงานน้ําตาลลุ่มแม่น้ําแม่กลอง 9 โรงงาน และโรงงานน้ําตาลนิวกรุงไทย ที่เป็นพันธมิตร) สมาคมส่งเสริมอาชีพการเกษตรสุพรรณบุรี โรงงานอุตสาหกรรมน้ําตาลสุพรรณบุรี โรงงานน้ําตาลมิตรผล และโรงงานน้ําตาลรีไฟน์ชัยมงคล (อู่ทอง) ในการสนับสนุนและดูแลชาวไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการลดการเผาอ้อยเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ 3 จังหวัดที่มีการผลิตอ้อยมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี โดยการดําเนินงานนอกจากการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น ยังมุ่งเน้นนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่เพาะปลูกอ้อย เช่น การสนับสนุนให้ชาวไร่อ้อยปรับพื้นที่รองรับรถตัดอ้อยเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวอ้อยและการเผาอ้อย การส่งเสริมให้ชาวไร่อ้อยที่มีความพร้อมได้จัดซื้อเครื่องอัดใบอ้อย (Square Balers) เพื่อส่งขายให้กับโรงงานน้ําตาลในพื้นที่นําไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเสริมในกระบวนการผลิตน้ําตาลและผลิตกระแสไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มรายได้และรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ รวมถึง ธ.ก.ส. ให้การสนับสนุนชาวไร่อ้อยด้วยสินเชื่อพิเศษในแต่ละขนาดพื้นที่ (Farm Size) เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพ การทําไร่อ้อยได้อย่างยั่งยืน โดยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีการบริหารจัดการไร่อ้อยที่ทันสมัย (Smart Farming) มาปรับใช้เพื่อให้เกิดผลตอบแทนคุ้มค่ามากขึ้น นายธนารัตน์ กล่าวอีกว่า ความร่วมมือดังกล่าว ตั้งเป้าหมายลดการเผาอ้อยลงร้อยละ 20 ในปี 2564 จํานวนพื้นที่ 319,627 ไร่ ปี 2565 ลดลงร้อยละ 50 จํานวนพื้นที่ 799,067 ไร่ และภายในปี 2566 ลดลง ร้อยละ 100 จํานวนพื้นที่ 1,598,133 ไร่ หรือครอบคลุมพื้นที่ปลูกอ้อยทั้งหมดใน 3 จังหวัดดังกล่าว ซึ่งหากประสบความสําเร็จ จะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน ตามนโยบายส่งเสริมการควบคุมดูแลภูมิอากาศจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นภารกิจสําคัญของทุกประเทศในขณะนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จับมือ 6 ภาคีเครือข่ายร่วมลดการเผาอ้อยเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ธ.ก.ส. จับมือ 6 ภาคีเครือข่ายร่วมลดการเผาอ้อยเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 ธ.ก.ส. จับมือสมาคมชาวไร่อ้อย – โรงงานน้ําตาล ส่งเสริมเกษตรกรลดการเผาอ้อย เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และสนับสนุนการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าผลผลิต พร้อมเสริมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ธ.ก.ส. จับมือสมาคมชาวไร่อ้อย – โรงงานน้ําตาล ส่งเสริมเกษตรกรลดการเผาอ้อย เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และสนับสนุนการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าผลผลิต พร้อมเสริมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อจูงใจให้เกษตรกรหันมาร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นําร่องในพื้นที่กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี จํานวนพื้นที่กว่า 1.5 ล้านไร่ ตั้งเป้าลดการเผาอ้อยให้ได้ 100% ภายในปี 2566 นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ด้านมลพิษที่ทวีความรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดําเนินชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาอ้อยหลังการเก็บเกี่ยวของเกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยเกษตรกรสามารถประกอบอาชีพควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ธ.ก.ส. ได้จับมือกับ 6 ภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย สมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อย เขต 7 ศูนย์ประสานงานโรงงานน้ําตาลลุ่มแม่น้ําแม่กลอง (กลุ่มโรงงานน้ําตาลลุ่มแม่น้ําแม่กลอง 9 โรงงาน และโรงงานน้ําตาลนิวกรุงไทย ที่เป็นพันธมิตร) สมาคมส่งเสริมอาชีพการเกษตรสุพรรณบุรี โรงงานอุตสาหกรรมน้ําตาลสุพรรณบุรี โรงงานน้ําตาลมิตรผล และโรงงานน้ําตาลรีไฟน์ชัยมงคล (อู่ทอง) ในการสนับสนุนและดูแลชาวไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการลดการเผาอ้อยเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ 3 จังหวัดที่มีการผลิตอ้อยมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี โดยการดําเนินงานนอกจากการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น ยังมุ่งเน้นนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่เพาะปลูกอ้อย เช่น การสนับสนุนให้ชาวไร่อ้อยปรับพื้นที่รองรับรถตัดอ้อยเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวอ้อยและการเผาอ้อย การส่งเสริมให้ชาวไร่อ้อยที่มีความพร้อมได้จัดซื้อเครื่องอัดใบอ้อย (Square Balers) เพื่อส่งขายให้กับโรงงานน้ําตาลในพื้นที่นําไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเสริมในกระบวนการผลิตน้ําตาลและผลิตกระแสไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มรายได้และรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ รวมถึง ธ.ก.ส. ให้การสนับสนุนชาวไร่อ้อยด้วยสินเชื่อพิเศษในแต่ละขนาดพื้นที่ (Farm Size) เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพ การทําไร่อ้อยได้อย่างยั่งยืน โดยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีการบริหารจัดการไร่อ้อยที่ทันสมัย (Smart Farming) มาปรับใช้เพื่อให้เกิดผลตอบแทนคุ้มค่ามากขึ้น นายธนารัตน์ กล่าวอีกว่า ความร่วมมือดังกล่าว ตั้งเป้าหมายลดการเผาอ้อยลงร้อยละ 20 ในปี 2564 จํานวนพื้นที่ 319,627 ไร่ ปี 2565 ลดลงร้อยละ 50 จํานวนพื้นที่ 799,067 ไร่ และภายในปี 2566 ลดลง ร้อยละ 100 จํานวนพื้นที่ 1,598,133 ไร่ หรือครอบคลุมพื้นที่ปลูกอ้อยทั้งหมดใน 3 จังหวัดดังกล่าว ซึ่งหากประสบความสําเร็จ จะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน ตามนโยบายส่งเสริมการควบคุมดูแลภูมิอากาศจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นภารกิจสําคัญของทุกประเทศในขณะนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48751
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดโครงการชำระดีมีคืนและโครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน เสริมสภาพคล่องเกษตรกร
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2565 ธ.ก.ส. จัดโครงการชําระดีมีคืนและโครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน เสริมสภาพคล่องเกษตรกร ธ.ก.ส. เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ตามนโยบายรัฐบาล โดยจัดตั้งคณะกรรมการบริหารหนี้ในระดับจังหวัดและสาขา เพื่อเข้าไปดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัด โครงการชําระดีมีคืน โดยคืนดอกเบี้ยร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง ธ.ก.ส. เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ตามนโยบายรัฐบาล โดยจัดตั้งคณะกรรมการบริหารหนี้ในระดับจังหวัดและสาขา เพื่อเข้าไปดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัด โครงการชําระดีมีคืน โดยคืนดอกเบี้ยร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง วงเงินรวม 2,000 ล้านบาทและโครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน ปีบัญชี 2565 เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่มีหนี้สินเป็นภาระหนักโดยลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 50 เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและ COVID-19 ตรวจสอบสิทธิ์เข้าร่วมโครงการได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 มีนาคม 2566 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินที่กําหนด นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีกําหนดให้ ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขหนี้สินภาคครัวเรือน ซึ่ง ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนนโยบาย โดยวางมาตรการในการฟื้นฟูและลดหนี้ครัวเรือนเกษตรกรเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ภัยธรรมชาติและภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนทําให้เกษตรกรลูกค้ามีรายได้ลดลงสวนทางกับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น โดย ธ.ก.ส. จัดตั้งคณะกรรมการบริหารหนี้ในระดับจังหวัดและสาขาเพื่อจัดทีมงานลงไปพบปะพูดคุย สอบถามปัญหากับเกษตรกรลูกค้า และวางแนวทางการเข้าไปช่วยเหลืออย่างตรงจุด ควบคู่กับการจัดโครงการชําระดีมีคืน และโครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน ปีบัญชี 2565 เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้สินอันเป็นภาระหนัก เสริมสภาพคล่องให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพและมีรายได้เพียงพอสําหรับหมุนเวียนในครัวเรือน สําหรับโครงการชําระดีมีคืน ปีบัญชี 2565 มุ่งเน้นให้เกษตรกร บุคคล กลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล รวมถึงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งเป็นลูกค้าที่สามารถชําระต้นเงินหรือดอกเบี้ยได้ปกติหรือมีหนี้ค้างชําระ ไม่เกิน 3 เดือน ในปีบัญชี 2565 ที่มีหนี้คงเหลือ ณ วันที่ 30 เมษายน 2565 (ยกเว้นหนี้เงินกู้โครงการที่ได้รับชดเชยดอกเบี้ยตามนโยบายรัฐบาล) มีแรงจูงใจในการชําระหนี้ตามกําหนดเวลา โดยธนาคารจะคืนดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากลูกค้าโดยตรงในวันถัดไป วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท สําหรับเกษตรกรบุคคล รับดอกเบี้ยคืน อัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง ไม่เกินรายละ 1,000 บาท และกลุ่มเกษตรกร นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รับดอกเบี้ยคืน อัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง สะสมไม่เกิน 3,000 บาท และกรณีกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ สะสมรายละไม่เกิน 10,000 บาท โครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน 2565 มุ่งเน้นให้เกษตรกรและบุคคล กลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล รวมถึงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่เป็นหนี้ด้อยคุณภาพ (Non - Performing Loan - NPL) หรือหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีสถานะรับรู้รายได้ดอกเบี้ยค้างรับเกณฑ์เงินสด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 หรือลูกหนี้ที่ออกจากโครงการพักชําระหนี้โครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ครบกําหนด โดยมีอัตราในการลดดอกเบี้ย ได้แก่ 1) ลดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยค้างชําระทั้งหมด เมื่อชําระหนี้เสร็จสิ้นเป็นรายสัญญา 2) กรณีชําระดอกเบี้ยได้เสร็จสิ้น ลดดอกเบี้ยร้อยละ 30 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง 3) กรณีชําระดอกเบี้ยบางส่วน ลดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง สําหรับเกษตรกรและบุคคล ในกรณีที่เป็นลูกหนี้กลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล รวมถึงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ลดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง นายธนารัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ลูกค้าสามารถตรวจสอบสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ทั้งนี้ ระยะเวลาเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ซึ่งเมื่อเกษตรกรลูกค้าชําระหนี้เสร็จสิ้นแล้วสามารถรับการสนับสนุนสินเชื่อใหม่เพื่อนําไปลงทุนในการประกอบอาชีพ รวมถึงการฟื้นฟูอาชีพเพื่อสร้างรายได้ตามความเหมาะสมต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดโครงการชำระดีมีคืนและโครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน เสริมสภาพคล่องเกษตรกร วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2565 ธ.ก.ส. จัดโครงการชําระดีมีคืนและโครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน เสริมสภาพคล่องเกษตรกร ธ.ก.ส. เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ตามนโยบายรัฐบาล โดยจัดตั้งคณะกรรมการบริหารหนี้ในระดับจังหวัดและสาขา เพื่อเข้าไปดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัด โครงการชําระดีมีคืน โดยคืนดอกเบี้ยร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง ธ.ก.ส. เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ตามนโยบายรัฐบาล โดยจัดตั้งคณะกรรมการบริหารหนี้ในระดับจังหวัดและสาขา เพื่อเข้าไปดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัด โครงการชําระดีมีคืน โดยคืนดอกเบี้ยร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง วงเงินรวม 2,000 ล้านบาทและโครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน ปีบัญชี 2565 เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่มีหนี้สินเป็นภาระหนักโดยลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกินร้อยละ 50 เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและ COVID-19 ตรวจสอบสิทธิ์เข้าร่วมโครงการได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 มีนาคม 2566 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินที่กําหนด นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีกําหนดให้ ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขหนี้สินภาคครัวเรือน ซึ่ง ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนนโยบาย โดยวางมาตรการในการฟื้นฟูและลดหนี้ครัวเรือนเกษตรกรเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ภัยธรรมชาติและภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนทําให้เกษตรกรลูกค้ามีรายได้ลดลงสวนทางกับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น โดย ธ.ก.ส. จัดตั้งคณะกรรมการบริหารหนี้ในระดับจังหวัดและสาขาเพื่อจัดทีมงานลงไปพบปะพูดคุย สอบถามปัญหากับเกษตรกรลูกค้า และวางแนวทางการเข้าไปช่วยเหลืออย่างตรงจุด ควบคู่กับการจัดโครงการชําระดีมีคืน และโครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน ปีบัญชี 2565 เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้สินอันเป็นภาระหนัก เสริมสภาพคล่องให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพและมีรายได้เพียงพอสําหรับหมุนเวียนในครัวเรือน สําหรับโครงการชําระดีมีคืน ปีบัญชี 2565 มุ่งเน้นให้เกษตรกร บุคคล กลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล รวมถึงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งเป็นลูกค้าที่สามารถชําระต้นเงินหรือดอกเบี้ยได้ปกติหรือมีหนี้ค้างชําระ ไม่เกิน 3 เดือน ในปีบัญชี 2565 ที่มีหนี้คงเหลือ ณ วันที่ 30 เมษายน 2565 (ยกเว้นหนี้เงินกู้โครงการที่ได้รับชดเชยดอกเบี้ยตามนโยบายรัฐบาล) มีแรงจูงใจในการชําระหนี้ตามกําหนดเวลา โดยธนาคารจะคืนดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากลูกค้าโดยตรงในวันถัดไป วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท สําหรับเกษตรกรบุคคล รับดอกเบี้ยคืน อัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง ไม่เกินรายละ 1,000 บาท และกลุ่มเกษตรกร นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รับดอกเบี้ยคืน อัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง สะสมไม่เกิน 3,000 บาท และกรณีกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ สะสมรายละไม่เกิน 10,000 บาท โครงการลดดอกเบี้ยแก้หนี้ภาคครัวเรือน 2565 มุ่งเน้นให้เกษตรกรและบุคคล กลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล รวมถึงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่เป็นหนี้ด้อยคุณภาพ (Non - Performing Loan - NPL) หรือหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีสถานะรับรู้รายได้ดอกเบี้ยค้างรับเกณฑ์เงินสด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 หรือลูกหนี้ที่ออกจากโครงการพักชําระหนี้โครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ครบกําหนด โดยมีอัตราในการลดดอกเบี้ย ได้แก่ 1) ลดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยค้างชําระทั้งหมด เมื่อชําระหนี้เสร็จสิ้นเป็นรายสัญญา 2) กรณีชําระดอกเบี้ยได้เสร็จสิ้น ลดดอกเบี้ยร้อยละ 30 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง 3) กรณีชําระดอกเบี้ยบางส่วน ลดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง สําหรับเกษตรกรและบุคคล ในกรณีที่เป็นลูกหนี้กลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ นิติบุคคล รวมถึงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ลดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชําระจริง นายธนารัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ลูกค้าสามารถตรวจสอบสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ทั้งนี้ ระยะเวลาเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ซึ่งเมื่อเกษตรกรลูกค้าชําระหนี้เสร็จสิ้นแล้วสามารถรับการสนับสนุนสินเชื่อใหม่เพื่อนําไปลงทุนในการประกอบอาชีพ รวมถึงการฟื้นฟูอาชีพเพื่อสร้างรายได้ตามความเหมาะสมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55944
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เตรียมพร้อมรองรับการเดินทางในช่วงวันออกพรรษาและวันปิยมหาราช ระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564
วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท เตรียมพร้อมรองรับการเดินทางในช่วงวันออกพรรษาและวันปิยมหาราช ระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 เพื่ออํานวยความสะดวกปลอดภัยในการสัญจรให้กับประชาชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตามมติคณะรัฐมนตรีได้กําหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและการกําหนดวันหยุดราชการประจําภูมิภาค รวมทั้งเห็นชอบให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราชจากวันที่ 25 ตุลาคม 2564 เป็นวันที่ 22 ตุลาคม 2564 จึงทําให้มีวันหยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม จึงได้กําหนดแนวทางการดําเนินงานตามมาตรการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันออกพรรษาและวันปิยมหาราช เพื่อให้ผู้ใช้เส้นทางสามารถสัญจร ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า ทช. ได้ดําเนินการเตรียมความพร้อมและกําหนดแนวทางในการอํานวยความสะดวกปลอดภัยให้กับผู้ใช้เส้นทาง พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศของรัฐบาล โดยได้กําหนด แนวทางการดําเนินงานดังนี้ 1. ปรับปรุง ซ่อมแซมถนน สะพานในความรับผิดชอบให้มีความสะดวกและปลอดภัยไร้หลุมบ่อ มีเครื่องหมายจราจรอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยและไฟฟ้าแสงสว่าง ไฟสัญญาณจราจรครบถ้วน 2. ตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบ ARMS 3. เฝ้าระวังอุบัติเหตุแก่ผู้ใช้ทาง เข้าช่วยเหลือเมื่อพบรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ โดยรูปแบบการดําเนินการให้พิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 4. สําหรับหน่วยงานที่มีโครงการอยู่ระหว่างดําเนินการก่อสร้าง งานซ่อมบํารุงทางและสะพาน ตรวจสอบพื้นที่โครงการในความรับผิดชอบ โดยดําเนินการคืนพื้นผิวจราจร หากมีพื้นที่สามารถปูผิวทางได้ ให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จ และตีเส้นจราจรชั่วคราวให้ชัดเจน ติดตั้งป้ายจราจร ป้ายเตือน ไฟสัญญาณ อุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยในบริเวณก่อสร้างและตรวจสอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา พร้อมทั้งตรวจสอบไฟฟ้าแสงสว่างให้สว่างเพียงพอ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทางผ่านบริเวณพื้นที่โครงการก่อสร้าง อีกทั้งให้ดําเนินการตามมาตรการความปลอดภัยอื่น ๆ ของ ทช. อย่างไรก็ตามประชาชนสามารถติดต่อสอบถามเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทหรือแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 หรือ www.drr.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เตรียมพร้อมรองรับการเดินทางในช่วงวันออกพรรษาและวันปิยมหาราช ระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท เตรียมพร้อมรองรับการเดินทางในช่วงวันออกพรรษาและวันปิยมหาราช ระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 เพื่ออํานวยความสะดวกปลอดภัยในการสัญจรให้กับประชาชน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตามมติคณะรัฐมนตรีได้กําหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและการกําหนดวันหยุดราชการประจําภูมิภาค รวมทั้งเห็นชอบให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราชจากวันที่ 25 ตุลาคม 2564 เป็นวันที่ 22 ตุลาคม 2564 จึงทําให้มีวันหยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม จึงได้กําหนดแนวทางการดําเนินงานตามมาตรการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันออกพรรษาและวันปิยมหาราช เพื่อให้ผู้ใช้เส้นทางสามารถสัญจร ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า ทช. ได้ดําเนินการเตรียมความพร้อมและกําหนดแนวทางในการอํานวยความสะดวกปลอดภัยให้กับผู้ใช้เส้นทาง พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศของรัฐบาล โดยได้กําหนด แนวทางการดําเนินงานดังนี้ 1. ปรับปรุง ซ่อมแซมถนน สะพานในความรับผิดชอบให้มีความสะดวกและปลอดภัยไร้หลุมบ่อ มีเครื่องหมายจราจรอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยและไฟฟ้าแสงสว่าง ไฟสัญญาณจราจรครบถ้วน 2. ตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 21 - 24 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบ ARMS 3. เฝ้าระวังอุบัติเหตุแก่ผู้ใช้ทาง เข้าช่วยเหลือเมื่อพบรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ โดยรูปแบบการดําเนินการให้พิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 4. สําหรับหน่วยงานที่มีโครงการอยู่ระหว่างดําเนินการก่อสร้าง งานซ่อมบํารุงทางและสะพาน ตรวจสอบพื้นที่โครงการในความรับผิดชอบ โดยดําเนินการคืนพื้นผิวจราจร หากมีพื้นที่สามารถปูผิวทางได้ ให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จ และตีเส้นจราจรชั่วคราวให้ชัดเจน ติดตั้งป้ายจราจร ป้ายเตือน ไฟสัญญาณ อุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยในบริเวณก่อสร้างและตรวจสอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา พร้อมทั้งตรวจสอบไฟฟ้าแสงสว่างให้สว่างเพียงพอ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทางผ่านบริเวณพื้นที่โครงการก่อสร้าง อีกทั้งให้ดําเนินการตามมาตรการความปลอดภัยอื่น ๆ ของ ทช. อย่างไรก็ตามประชาชนสามารถติดต่อสอบถามเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทหรือแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 หรือ www.drr.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47250
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือ หญิงอายุ 33 ปี พาลูกวัย 4 ปี เร่ร่อนนอนตามที่สาธารณะ ที่จังหวัดชลบุรี
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564 พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือ หญิงอายุ 33 ปี พาลูกวัย 4 ปี เร่ร่อนนอนตามที่สาธารณะ ที่จังหวัดชลบุรี พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือ หญิงอายุ 33 ปี พาลูกวัย 4 ปี เร่ร่อนนอนตามที่สาธารณะ ที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่2 ส.ค. 64เวลา 13.30 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากกรณีมีการนําเสนอข่าว พบหญิงชาวไทยและลูกสาวนอนอยู่บริเวณข้างธนาคารแห่งหนึ่ง ที่ตําบลหนองปรือ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ชาวบ้านกลัวว่าจะเกิดปัญหาทางสังคม และเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19 จึงขอให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ.ชลบุรี) ช่วยเหลือด่วน นั้น ล่าสุด กระทรวง พม. โดยทีม One home จังหวัดชลบุรี เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชลบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าหญิงดังกล่าว อายุ 33 ปี มีลูก 2 คน อายุ 12 ปี และอายุ 4 ปี และได้แยกทางกับพ่อของเด็กทั้งสอง ซึ่งหญิงดังกล่าวมีประวัติใช้ยาเสพติด ปัจจุบันมีอาการ พูดจาวกวน ชอบออกจากบ้าน เร่ร่อนหลับนอนตามที่สาธารณะ โดยนําลูกทั้งสองคนไปด้วยเสมอ และจากการตรวจสอบกับทางครอบครัวทราบว่า ครอบครัวอาศัยกันอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ทั้งหมดมีอาชีพรับจ้างทั่วไป มีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งครอบครัวสามารถดูแลเด็กทั้งสองคนได้ ครอบครัวต้องการให้หญิงดังกล่าวเข้ารับการรักษา เนื่องจากสงสัยว่าจะมีอาการทางจิตเวช นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชลบุรี ได้ประสานทางครอบครัวให้มารับเด็กกลับไปดูแล พร้อมแจ้งบทบาทภารกิจกระทรวง พม. ให้คําแนะนําเกี่ยวกับการดูแลเด็ก และได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับหญิงดังกล่าวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลต่อไป นอกจากนี้ ยังได้วิเคราะห์สภาพปัญหา พร้อมมอบเครื่องอุปโภค บริโภค ให้แก่ครอบครัว รวมทั้งวางแผนระยะยาว เพื่อจะติดตามประเมินผลหลังจากหญิงดังกล่าวรักษาตัวที่โรงพยาบาล และวางแผนการดูแลเด็ก ติดตามผลการเลี้ยงดูเด็กต่อไป นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบเห็นประชาชนที่กําลังประสบปัญหาทางสังคม และได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 3) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือ หญิงอายุ 33 ปี พาลูกวัย 4 ปี เร่ร่อนนอนตามที่สาธารณะ ที่จังหวัดชลบุรี วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564 พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือ หญิงอายุ 33 ปี พาลูกวัย 4 ปี เร่ร่อนนอนตามที่สาธารณะ ที่จังหวัดชลบุรี พม. ลงพื้นที่ช่วยเหลือ หญิงอายุ 33 ปี พาลูกวัย 4 ปี เร่ร่อนนอนตามที่สาธารณะ ที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่2 ส.ค. 64เวลา 13.30 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากกรณีมีการนําเสนอข่าว พบหญิงชาวไทยและลูกสาวนอนอยู่บริเวณข้างธนาคารแห่งหนึ่ง ที่ตําบลหนองปรือ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ชาวบ้านกลัวว่าจะเกิดปัญหาทางสังคม และเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19 จึงขอให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ.ชลบุรี) ช่วยเหลือด่วน นั้น ล่าสุด กระทรวง พม. โดยทีม One home จังหวัดชลบุรี เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชลบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าหญิงดังกล่าว อายุ 33 ปี มีลูก 2 คน อายุ 12 ปี และอายุ 4 ปี และได้แยกทางกับพ่อของเด็กทั้งสอง ซึ่งหญิงดังกล่าวมีประวัติใช้ยาเสพติด ปัจจุบันมีอาการ พูดจาวกวน ชอบออกจากบ้าน เร่ร่อนหลับนอนตามที่สาธารณะ โดยนําลูกทั้งสองคนไปด้วยเสมอ และจากการตรวจสอบกับทางครอบครัวทราบว่า ครอบครัวอาศัยกันอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ทั้งหมดมีอาชีพรับจ้างทั่วไป มีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งครอบครัวสามารถดูแลเด็กทั้งสองคนได้ ครอบครัวต้องการให้หญิงดังกล่าวเข้ารับการรักษา เนื่องจากสงสัยว่าจะมีอาการทางจิตเวช นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชลบุรี ได้ประสานทางครอบครัวให้มารับเด็กกลับไปดูแล พร้อมแจ้งบทบาทภารกิจกระทรวง พม. ให้คําแนะนําเกี่ยวกับการดูแลเด็ก และได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับหญิงดังกล่าวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลต่อไป นอกจากนี้ ยังได้วิเคราะห์สภาพปัญหา พร้อมมอบเครื่องอุปโภค บริโภค ให้แก่ครอบครัว รวมทั้งวางแผนระยะยาว เพื่อจะติดตามประเมินผลหลังจากหญิงดังกล่าวรักษาตัวที่โรงพยาบาล และวางแผนการดูแลเด็ก ติดตามผลการเลี้ยงดูเด็กต่อไป นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบเห็นประชาชนที่กําลังประสบปัญหาทางสังคม และได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 3) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44724
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานความคืบหน้าโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 กรมทางหลวงชนบท รายงานความคืบหน้าโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างบูรณาการ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม รายงานความคืบหน้าโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา ตําบลเกาะกลาง - ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการเดินทางให้กับประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่สัญจรไปมาระหว่างเกาะลันตากับแผ่นดินใหญ่ให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย เป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมและการขนส่งให้มีความสมบูรณ์ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนและสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้ดําเนินการสํารวจออกแบบโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากคณะกรรมการผู้ชํานาญการพิจารณารายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ของสํานักนโยบายและเเผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และอยู่ระหว่างการขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งในปี 2566 ได้จัดทําคําขอภายในกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเตรียมเสนอของบประมาณ จํานวน 1,854 ล้านบาท โดยจะใช้เงินกู้และงบสมทบจากงบประมาณประจําปี ทั้งนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มก่อสร้างประมาณปี 2566 และคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะสามารถเปิดให้ใช้บริการได้ในปี 2569 ต่อไปเนื่องจากเกาะลันตาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มีความสําคัญทางด้านเศรษฐกิจแห่งหนึ่งของจังหวัดกระบี่ โดยในปี 2561 มีปริมาณนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่เกาะลันตามากกว่า 2 ล้านคนต่อปี แต่การเดินทางข้ามฝั่งจากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะลันตาต้องใช้แพขนานยนต์ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเดินทางนาน มีข้อจํากัด ด้านการบรรทุกและช่วงเวลาการให้บริการ ทช. จึงได้ดําเนินโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา ตําบลเกาะกลาง - ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อช่วยร่นระยะทางและลดระยะเวลาการเดินทาง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลจะใช้เวลาเพียง 2 นาที จากเดิม 2 ชั่วโมง รวมทั้งสามารถอพยพประชาชนได้อย่างรวดเร็วกรณีเกิดภัยพิบัติ โดยแนวเส้นทางโครงการจะเริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4206 (กม. ที่ 26+620) ตําบลเกาะกลาง ไปบรรจบกับทางหลวงชนบทสาย กบ.5035 ตําบลเกาะลันตาน้อย ระยะทางรวม 2,240 เมตร ซึ่งก่อสร้างสะพานเป็นรูปแบบผสมผสานระหว่างสะพานคานขึง (Extradosed Bridge) และสะพานคานยื่น (Balanced Cantilever Bridge) ความยาวสะพาน 1,825 เมตร ขนาด 2 ช่องจราจร ช่องละ 3.75 เมตร ไหล่ทาง ข้างละ 2.5 เมตร พร้อมถนนต่อเชื่อมทั้งสองฝั่งรวมระยะทาง 415 เมตร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานความคืบหน้าโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 กรมทางหลวงชนบท รายงานความคืบหน้าโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างบูรณาการ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม รายงานความคืบหน้าโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา ตําบลเกาะกลาง - ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการเดินทางให้กับประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่สัญจรไปมาระหว่างเกาะลันตากับแผ่นดินใหญ่ให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย เป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมและการขนส่งให้มีความสมบูรณ์ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนและสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้ดําเนินการสํารวจออกแบบโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากคณะกรรมการผู้ชํานาญการพิจารณารายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ของสํานักนโยบายและเเผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และอยู่ระหว่างการขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งในปี 2566 ได้จัดทําคําขอภายในกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเตรียมเสนอของบประมาณ จํานวน 1,854 ล้านบาท โดยจะใช้เงินกู้และงบสมทบจากงบประมาณประจําปี ทั้งนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มก่อสร้างประมาณปี 2566 และคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะสามารถเปิดให้ใช้บริการได้ในปี 2569 ต่อไปเนื่องจากเกาะลันตาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มีความสําคัญทางด้านเศรษฐกิจแห่งหนึ่งของจังหวัดกระบี่ โดยในปี 2561 มีปริมาณนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่เกาะลันตามากกว่า 2 ล้านคนต่อปี แต่การเดินทางข้ามฝั่งจากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะลันตาต้องใช้แพขนานยนต์ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเดินทางนาน มีข้อจํากัด ด้านการบรรทุกและช่วงเวลาการให้บริการ ทช. จึงได้ดําเนินโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา ตําบลเกาะกลาง - ตําบลเกาะลันตาน้อย อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อช่วยร่นระยะทางและลดระยะเวลาการเดินทาง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลจะใช้เวลาเพียง 2 นาที จากเดิม 2 ชั่วโมง รวมทั้งสามารถอพยพประชาชนได้อย่างรวดเร็วกรณีเกิดภัยพิบัติ โดยแนวเส้นทางโครงการจะเริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4206 (กม. ที่ 26+620) ตําบลเกาะกลาง ไปบรรจบกับทางหลวงชนบทสาย กบ.5035 ตําบลเกาะลันตาน้อย ระยะทางรวม 2,240 เมตร ซึ่งก่อสร้างสะพานเป็นรูปแบบผสมผสานระหว่างสะพานคานขึง (Extradosed Bridge) และสะพานคานยื่น (Balanced Cantilever Bridge) ความยาวสะพาน 1,825 เมตร ขนาด 2 ช่องจราจร ช่องละ 3.75 เมตร ไหล่ทาง ข้างละ 2.5 เมตร พร้อมถนนต่อเชื่อมทั้งสองฝั่งรวมระยะทาง 415 เมตร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51351
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ 4.0 ของกรมบังคับคดี ปีงบประมาณ พ.ศ.2564
วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เผยผลสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ 4.0 ของกรมบังคับคดี ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เผยผลสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ 4.0 ของกรมบังคับคดี ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 พบมีค่าเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นถึง 9.10 วันที่20ตุลาคม2564เวลา13.30น.นางทัศนีย์เปาอินทร์รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดีร่วมกับผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครนัยขวัญอยู่หัวหน้าโครงการวิจัยและอาจารย์วิชาญกิตติรัตนพันธ์นักวิจัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แถลงผลสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ4.0ของกรมบังคับคดีปีงบประมาณพ.ศ.2564โดยผลจากการสํารวจพบว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีโดยภาพรวมมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วจากค่าเฉลี่ย9.02คะแนนเป็นค่าเฉลี่ย9.10คะแนนและมีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดีโดยภาพรวมสูงขึ้นเช่นกันจากค่าเฉลี่ย8.68คะแนนเป็นค่าเฉลี่ย9.23คะแนน นางทัศนีย์เปาอินทร์รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดีแถลงว่ากรมบังคับคดีมีความตั้งใจที่จะพัฒนาระบบการทํางานและการให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องมุ่งเน้นถึงการปฏิบัติงานอย่างโปร่งใสเป็นธรรมถูกต้องตามหลักกฎหมายทุกขั้นตอนทุกกระบวนการและเป็นไปตามมาตรฐานสากลโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางปฏิบัติงานเพื่อประชาชนและพร้อมพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชนอย่างแท้จริงจึงมีการจัดทําโครงการ“สํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ4.0ของกรมบังคับคดีปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๔”โดยมีวัตถุประสงค์6ข้อคือ(1)เพื่อประเมินคุณภาพการให้บริการตามกระบวนการบังคับคดีให้มีมาตรฐานการบริการเป็นมาตรฐานเดียวกันจากการสํารวจทําให้ทราบถึงการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนผู้รับบริการผู้มีส่วนได้เสียหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการบังคับคดีโดยเปรียบเทียบผลการศึกษาวิจัยของปีที่ผ่านมากับปีงบประมาณพ.ศ.2564 (2)เพื่อให้ทราบถึงความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการผู้มีส่วนได้เสียหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและสถาบันการเงิน(3)เพื่อให้ได้ข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนางานด้านกระบวนการบังคับคดี(4)เพื่อให้ทราบถึงความคิดเห็นการออกแบบระบบงานและกระบวนการทํางานให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ขององค์กรความต้องการของผู้รับบริการข้อกฎหมายต่างๆทั้งกระบวนการทํางานหลักและกระบวนการทํางานสนับสนุน(5)เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนตามแนวทางระบบราชการ4.0และ(6)เพื่อเป็นการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ระยะ20ปี(พ.ศ.2560-2579)ของกรมบังคับคดีสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ(พ.ศ.2561-2580) ดังนั้นการนําความเห็นจากผู้รับบริการผู้มีส่วนได้เสียมาปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพของงานราชการและบริการประชาชนเพื่อเป็นการสนับสนุนการปรับปรุงการให้บริการโดยเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางจึงให้มีการสํารวจวิจัย"โครงการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ4.0ของกรมบังคับคดีปีงบประมาณพ.ศ. 2564โดยมอบหมายให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ดําเนินการตามโครงการนี้เพื่อให้การสํารวจมีความเป็นมาตรฐานน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับมีความเป็นกลางและปราศจากอคติในการสํารวจจึงต้องมีผู้ประเมินอิสระจากหน่วยงานภายนอกเป็นผู้ดําเนินการโดยผลการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดีจากกลุ่มประชากรเป้าหมายจํานวนทั้งสิ้น2,746รายทั่วประเทศโดยการสํารวจครั้งนี้ใช้วิธีการดําเนินการเก็บข้อมูล3ส่วนคือการสํารวจแบบตัวต่อตัว(Face-to-face Interview)หรือการโทรศัพท์สัมภาษณ์(Telephone Survey)การสัมภาษณ์เชิงลึก(In-depth Interview)และการจัดสนทนากลุ่ม(Focus Group)โดยสรุปผลการสํารวจได้ดังนี้ ความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการต่อกระบวนการบังคับคดี •ค่าเฉลี่ย9.10มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีโดยภาพรวม •ค่าเฉลี่ย9.08มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีแพ่ง •ค่าเฉลี่ย8.66มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีล้มละลาย •ค่าเฉลี่ย8.48มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ •ค่าเฉลี่ย8.85มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี •ค่าเฉลี่ย8.51มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการติดตามและเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีล้มละลาย •ค่าเฉลี่ย9.11มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการประมูลซื้อทรัพย์/การขายทอดตลาด •ค่าเฉลี่ย8.90มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการวางทรัพย์ ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการต่อกระบวนการบังคับคดี •ค่าเฉลี่ย9.23มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดีโดยภาพรวม •ค่าเฉลี่ย9.13มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดีแพ่ง •ค่าเฉลี่ย8.83มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดีล้มละลาย •ค่าเฉลี่ย9.02มีความพึงพอใจต่อกระบวนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ •ค่าเฉลี่ย9.21มีความพึงพอใจต่อกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี •ค่าเฉลี่ย9.04มีความพึงพอใจต่อกระบวนการติดตามและเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีล้มละลาย •ค่าเฉลี่ย9.06มีความพึงพอใจต่อกระบวนการประมูลซื้อทรัพย์/การขายทอดตลาด •ค่าเฉลี่ย8.97มีความพึงพอใจต่อกระบวนการวางทรัพย์ ทั้งนี้กรมบังคับคดีจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาปรับปรุงการให้บริการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ 4.0 ของกรมบังคับคดี ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เผยผลสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ 4.0 ของกรมบังคับคดี ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี เผยผลสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ 4.0 ของกรมบังคับคดี ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 พบมีค่าเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นถึง 9.10 วันที่20ตุลาคม2564เวลา13.30น.นางทัศนีย์เปาอินทร์รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดีร่วมกับผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครนัยขวัญอยู่หัวหน้าโครงการวิจัยและอาจารย์วิชาญกิตติรัตนพันธ์นักวิจัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แถลงผลสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ4.0ของกรมบังคับคดีปีงบประมาณพ.ศ.2564โดยผลจากการสํารวจพบว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีโดยภาพรวมมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วจากค่าเฉลี่ย9.02คะแนนเป็นค่าเฉลี่ย9.10คะแนนและมีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดีโดยภาพรวมสูงขึ้นเช่นกันจากค่าเฉลี่ย8.68คะแนนเป็นค่าเฉลี่ย9.23คะแนน นางทัศนีย์เปาอินทร์รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดีแถลงว่ากรมบังคับคดีมีความตั้งใจที่จะพัฒนาระบบการทํางานและการให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องมุ่งเน้นถึงการปฏิบัติงานอย่างโปร่งใสเป็นธรรมถูกต้องตามหลักกฎหมายทุกขั้นตอนทุกกระบวนการและเป็นไปตามมาตรฐานสากลโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางปฏิบัติงานเพื่อประชาชนและพร้อมพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชนอย่างแท้จริงจึงมีการจัดทําโครงการ“สํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ4.0ของกรมบังคับคดีปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๔”โดยมีวัตถุประสงค์6ข้อคือ(1)เพื่อประเมินคุณภาพการให้บริการตามกระบวนการบังคับคดีให้มีมาตรฐานการบริการเป็นมาตรฐานเดียวกันจากการสํารวจทําให้ทราบถึงการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนผู้รับบริการผู้มีส่วนได้เสียหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการบังคับคดีโดยเปรียบเทียบผลการศึกษาวิจัยของปีที่ผ่านมากับปีงบประมาณพ.ศ.2564 (2)เพื่อให้ทราบถึงความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการผู้มีส่วนได้เสียหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนและสถาบันการเงิน(3)เพื่อให้ได้ข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนางานด้านกระบวนการบังคับคดี(4)เพื่อให้ทราบถึงความคิดเห็นการออกแบบระบบงานและกระบวนการทํางานให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ขององค์กรความต้องการของผู้รับบริการข้อกฎหมายต่างๆทั้งกระบวนการทํางานหลักและกระบวนการทํางานสนับสนุน(5)เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนตามแนวทางระบบราชการ4.0และ(6)เพื่อเป็นการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ระยะ20ปี(พ.ศ.2560-2579)ของกรมบังคับคดีสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ(พ.ศ.2561-2580) ดังนั้นการนําความเห็นจากผู้รับบริการผู้มีส่วนได้เสียมาปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพของงานราชการและบริการประชาชนเพื่อเป็นการสนับสนุนการปรับปรุงการให้บริการโดยเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางจึงให้มีการสํารวจวิจัย"โครงการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนและการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการตามแนวทางระบบราชการ4.0ของกรมบังคับคดีปีงบประมาณพ.ศ. 2564โดยมอบหมายให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ดําเนินการตามโครงการนี้เพื่อให้การสํารวจมีความเป็นมาตรฐานน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับมีความเป็นกลางและปราศจากอคติในการสํารวจจึงต้องมีผู้ประเมินอิสระจากหน่วยงานภายนอกเป็นผู้ดําเนินการโดยผลการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดีจากกลุ่มประชากรเป้าหมายจํานวนทั้งสิ้น2,746รายทั่วประเทศโดยการสํารวจครั้งนี้ใช้วิธีการดําเนินการเก็บข้อมูล3ส่วนคือการสํารวจแบบตัวต่อตัว(Face-to-face Interview)หรือการโทรศัพท์สัมภาษณ์(Telephone Survey)การสัมภาษณ์เชิงลึก(In-depth Interview)และการจัดสนทนากลุ่ม(Focus Group)โดยสรุปผลการสํารวจได้ดังนี้ ความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการต่อกระบวนการบังคับคดี •ค่าเฉลี่ย9.10มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีโดยภาพรวม •ค่าเฉลี่ย9.08มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีแพ่ง •ค่าเฉลี่ย8.66มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีล้มละลาย •ค่าเฉลี่ย8.48มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ •ค่าเฉลี่ย8.85มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี •ค่าเฉลี่ย8.51มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการติดตามและเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีล้มละลาย •ค่าเฉลี่ย9.11มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการประมูลซื้อทรัพย์/การขายทอดตลาด •ค่าเฉลี่ย8.90มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการวางทรัพย์ ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการต่อกระบวนการบังคับคดี •ค่าเฉลี่ย9.23มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดีโดยภาพรวม •ค่าเฉลี่ย9.13มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดีแพ่ง •ค่าเฉลี่ย8.83มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดีล้มละลาย •ค่าเฉลี่ย9.02มีความพึงพอใจต่อกระบวนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ •ค่าเฉลี่ย9.21มีความพึงพอใจต่อกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี •ค่าเฉลี่ย9.04มีความพึงพอใจต่อกระบวนการติดตามและเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีล้มละลาย •ค่าเฉลี่ย9.06มีความพึงพอใจต่อกระบวนการประมูลซื้อทรัพย์/การขายทอดตลาด •ค่าเฉลี่ย8.97มีความพึงพอใจต่อกระบวนการวางทรัพย์ ทั้งนี้กรมบังคับคดีจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาปรับปรุงการให้บริการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมหารือร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พัฒนาการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สำหรับบริษัทจดทะเบียน
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงยุติธรรมหารือร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พัฒนาการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สําหรับบริษัทจดทะเบียน กระทรวงยุติธรรมหารือร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พัฒนาการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สําหรับบริษัทจดทะเบียน ในวันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ – ๑๓.๓๐ น. กระทรวงยุติธรรม นําโดยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อํานวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และคณะเจ้าหน้าที่กองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ได้หารือร่วมกับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นําโดย ดร. กฤษฎา เสกตระกูล Senior Executive Vice President - Head of Sustainable Development Market Division เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและกระทรวงยุติธรรมในการพัฒนาการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สําหรับบริษัทจดทะเบียน โดยดําเนินการในรูปแบบออนไลน์ผ่านทาง Application Microsoft Team ในการหารือฯ ดังกล่าวตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้นําเสนอถึงความเป็นมาในการดําเนินการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ เคารพสิทธิมนุษยชน และยั่งยืน ซึ่งประเด็น “สิทธิมนุษยชน” ถือเป็นประเด็นสําคัญซึ่งเป็นหัวใจในการดําเนินการดังกล่าว ในการนี้ เนื่องจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะแผนปฎิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๕) จึงเห็นควรทํางานร่วมกันเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังได้เรียนเชิญ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวปาฐกถาในกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ “Modern slavery: Tracking the greatest human rights challenge of our time” ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ระหว่างเวลา ๑๓.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. ผ่านช่องทางออนไลน์ และเรียนเชิญกระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานสนับสนุนการจัดงานดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม มีความยินดีที่จะร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหารือรายละเอียดการดําเนินงานร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมหารือร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พัฒนาการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สำหรับบริษัทจดทะเบียน วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงยุติธรรมหารือร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พัฒนาการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สําหรับบริษัทจดทะเบียน กระทรวงยุติธรรมหารือร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พัฒนาการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สําหรับบริษัทจดทะเบียน ในวันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ – ๑๓.๓๐ น. กระทรวงยุติธรรม นําโดยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อํานวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และคณะเจ้าหน้าที่กองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ได้หารือร่วมกับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นําโดย ดร. กฤษฎา เสกตระกูล Senior Executive Vice President - Head of Sustainable Development Market Division เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและกระทรวงยุติธรรมในการพัฒนาการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สําหรับบริษัทจดทะเบียน โดยดําเนินการในรูปแบบออนไลน์ผ่านทาง Application Microsoft Team ในการหารือฯ ดังกล่าวตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้นําเสนอถึงความเป็นมาในการดําเนินการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ เคารพสิทธิมนุษยชน และยั่งยืน ซึ่งประเด็น “สิทธิมนุษยชน” ถือเป็นประเด็นสําคัญซึ่งเป็นหัวใจในการดําเนินการดังกล่าว ในการนี้ เนื่องจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะแผนปฎิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๕) จึงเห็นควรทํางานร่วมกันเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังได้เรียนเชิญ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวปาฐกถาในกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ “Modern slavery: Tracking the greatest human rights challenge of our time” ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ระหว่างเวลา ๑๓.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. ผ่านช่องทางออนไลน์ และเรียนเชิญกระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานสนับสนุนการจัดงานดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม มีความยินดีที่จะร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหารือรายละเอียดการดําเนินงานร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47835
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมกทม. เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุด วันที่ 26 ต.ค. – 12 พ.ย. 64
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมกทม. เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุด วันที่ 26 ต.ค. – 12 พ.ย. 64 โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมกทม. เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุด วันที่ 26 ต.ค. – 12 พ.ย. 64 นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมืองกล่าวว่าตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติประเด็นเรื่องกทม.เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุดวันที่26ต.ค. – 12พ.ย. 64ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับกรมอุตุนิยมวิทยากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ กรณีการแชร์คลิปวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆว่าพายุจะถล่มกรุงเทพมหานครหนักที่สุดในช่วงวันที่26ต.ค. – 12พ.ย. 64ทางกรมอุตุนิยมวิทยากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ตรวจสอบประเด็นดังกล่าวชี้แจงว่าในช่วงวันที่24 – 29ต.ค. 64บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกําลังอ่อนลงประกอบกับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนกลางทําให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนน้อยส่วนภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง อนึ่งในช่วงวันที่24 – 26ต.ค. 64หย่อมความกดอากาศต่ําบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มจะทวีกําลังแรงขึ้นและเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่างคาดว่าในช่วงวันที่27 – 29ต.ค. 64จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนล่างเมื่อหย่อมความกดอากาศต่ําเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามอาจจะอ่อนกําลังลงก่อนจะเคลื่อนขึ้นฝั่งและจะอ่อนกําลังลงเมื่อเคลื่อนขึ้นฝั่งหย่อมความกดอากาศต่ําที่จะก่อตัวบริเวณทะเลจีนใต้ช่วงวันที่25 – 28ต.ค.64ซึ่งจากแบบจําลองบรรยากาศนี้โอกาสเกิดขึ้นได้และจะแรงขึ้นเนื่องจากยังอยู่ในทะเลเปิดแต่จะแรงขึ้นถึงเป็นพายุหมุนเขตร้อนได้หรือไม่ต้องติดตาม ซึ่งอุปสรรคที่สําคัญของการก่อตัวครั้งนี้คือมีมวลอากาศเย็นหรือความกดอากาศสูงอยู่ด้านหน้าซึ่งแผ่ปกคลุมบ้านเราและลมที่พัดปกคลุมจะเป็นลมทิศเหนือตะวันออกเฉียงเหนือ(อากาศแห้ง)ส่วนการตั้งชื่อต้องได้ชื่อตามข้อตกลงของRSMCโตเกียวซึ่งรับผิดชอบในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกและทะเลจีนใต้ชื่อพายุลูกใดแรงขึ้นก่อนจะได้ชื่อว่าหมาเหล่า(MALOU)ลูกต่อไปจะไล่เรียงตามลําดับขอให้ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นระยะๆอย่าได้ตื่นตระหนกกับข่าวลือในช่วงวันที่23และ28ต.ค. 64ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ส่วนประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ควรระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจท่าให้เกิดน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลาก ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยาสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์http://www.tmd.go.th Facebook:กรมอุตุนิยมวิทยา, Application: Thai weatherหรือติดต่อสายด่วน 1182 (ตลอด24ชั่วโมง)ทั้งนี้กระทรวงดิจิทัลฯขอความร่วมมือประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง **********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมกทม. เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุด วันที่ 26 ต.ค. – 12 พ.ย. 64 วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมกทม. เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุด วันที่ 26 ต.ค. – 12 พ.ย. 64 โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมกทม. เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุด วันที่ 26 ต.ค. – 12 พ.ย. 64 นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมืองกล่าวว่าตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลภัยพิบัติประเด็นเรื่องกทม.เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุดวันที่26ต.ค. – 12พ.ย. 64ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับกรมอุตุนิยมวิทยากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ กรณีการแชร์คลิปวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆว่าพายุจะถล่มกรุงเทพมหานครหนักที่สุดในช่วงวันที่26ต.ค. – 12พ.ย. 64ทางกรมอุตุนิยมวิทยากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ตรวจสอบประเด็นดังกล่าวชี้แจงว่าในช่วงวันที่24 – 29ต.ค. 64บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกําลังอ่อนลงประกอบกับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนกลางทําให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนน้อยส่วนภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง อนึ่งในช่วงวันที่24 – 26ต.ค. 64หย่อมความกดอากาศต่ําบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มจะทวีกําลังแรงขึ้นและเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่างคาดว่าในช่วงวันที่27 – 29ต.ค. 64จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนล่างเมื่อหย่อมความกดอากาศต่ําเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามอาจจะอ่อนกําลังลงก่อนจะเคลื่อนขึ้นฝั่งและจะอ่อนกําลังลงเมื่อเคลื่อนขึ้นฝั่งหย่อมความกดอากาศต่ําที่จะก่อตัวบริเวณทะเลจีนใต้ช่วงวันที่25 – 28ต.ค.64ซึ่งจากแบบจําลองบรรยากาศนี้โอกาสเกิดขึ้นได้และจะแรงขึ้นเนื่องจากยังอยู่ในทะเลเปิดแต่จะแรงขึ้นถึงเป็นพายุหมุนเขตร้อนได้หรือไม่ต้องติดตาม ซึ่งอุปสรรคที่สําคัญของการก่อตัวครั้งนี้คือมีมวลอากาศเย็นหรือความกดอากาศสูงอยู่ด้านหน้าซึ่งแผ่ปกคลุมบ้านเราและลมที่พัดปกคลุมจะเป็นลมทิศเหนือตะวันออกเฉียงเหนือ(อากาศแห้ง)ส่วนการตั้งชื่อต้องได้ชื่อตามข้อตกลงของRSMCโตเกียวซึ่งรับผิดชอบในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกและทะเลจีนใต้ชื่อพายุลูกใดแรงขึ้นก่อนจะได้ชื่อว่าหมาเหล่า(MALOU)ลูกต่อไปจะไล่เรียงตามลําดับขอให้ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นระยะๆอย่าได้ตื่นตระหนกกับข่าวลือในช่วงวันที่23และ28ต.ค. 64ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ส่วนประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ควรระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจท่าให้เกิดน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลาก ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยาสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์http://www.tmd.go.th Facebook:กรมอุตุนิยมวิทยา, Application: Thai weatherหรือติดต่อสายด่วน 1182 (ตลอด24ชั่วโมง)ทั้งนี้กระทรวงดิจิทัลฯขอความร่วมมือประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47364
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอุตุฯ เตือนพายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” ไทยเจอมรสุมแรง ใต้ฝนตกหนัก
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2564 กรมอุตุฯ เตือนพายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” ไทยเจอมรสุมแรง ใต้ฝนตกหนัก .... กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือน พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ได้ทวีกําลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” แล้ว ซึ่งมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้เกือบไม่เคลื่อนที่ คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 10 - 11 ต.ค. 64 . ขณะเดียวกัน ยังระบุว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กําลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทําให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง จะทําให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยกําลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง . ขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาhttp://www.tmd.go.th/หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอุตุฯ เตือนพายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” ไทยเจอมรสุมแรง ใต้ฝนตกหนัก วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2564 กรมอุตุฯ เตือนพายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” ไทยเจอมรสุมแรง ใต้ฝนตกหนัก .... กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือน พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ได้ทวีกําลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” แล้ว ซึ่งมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้เกือบไม่เคลื่อนที่ คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 10 - 11 ต.ค. 64 . ขณะเดียวกัน ยังระบุว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กําลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทําให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง จะทําให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยกําลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง . ขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาhttp://www.tmd.go.th/หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46725
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) รองรับเปิดเรียนอย่างปลอดภัย
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564 เปิด 7 มาตรการเข้มสําหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) รองรับเปิดเรียนอย่างปลอดภัย .... กระทรวงสาธารณสุข กําหนดรูปแบบการเรียนการสอนในโรงเรียนตามมาตรการ Sandbox ในโรงเรียน : Sandbox Safety Zone in School ซึ่งจะเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่มีความพร้อมเปิดเรียนได้ตามปกติ โดยเพิ่ม 7 มาตรการเข้มสําหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) เพื่อให้เกิดความปลอดภัยเมื่อเข้า - ออกโรงเรียน . 1. สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop Service Plus และรายงานการติดตามประเมินผล 2. ทํากิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble (เน้นกลุ่มเล็ก) 3. จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลและหลักโภชนาการ 4. จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน 5. จัดให้มี School Isolation แผนเผชิญเหตุ และซักซ้อมอย่างเคร่งครัดหากพบผู้ติดเชื้อ 6. ควบคุมดูแลการเดินทางไปกลับของนักเรียน เช่น รถส่วนบุคคล รถโดยสารสาธารณะ 7. จัดให้มี School Pass สําหรับนักเรียน ครูและบุคลากรในสถานศึกษา ประกอบด้วย ผลการตรวจ ATK ภายใน 7 วัน หรือประวัติการรับวัคซีน . อย่างไรก็ตาม จะต้องประเมินความเสี่ยงตามสถานการณ์การระบาดในแต่ละพื้นที่ที่โรงเรียนตั้งอยู่ และต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัดหรือกรุงเทพมหานครก่อนที่จะเปิดเรียน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) รองรับเปิดเรียนอย่างปลอดภัย วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564 เปิด 7 มาตรการเข้มสําหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) รองรับเปิดเรียนอย่างปลอดภัย .... กระทรวงสาธารณสุข กําหนดรูปแบบการเรียนการสอนในโรงเรียนตามมาตรการ Sandbox ในโรงเรียน : Sandbox Safety Zone in School ซึ่งจะเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่มีความพร้อมเปิดเรียนได้ตามปกติ โดยเพิ่ม 7 มาตรการเข้มสําหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) เพื่อให้เกิดความปลอดภัยเมื่อเข้า - ออกโรงเรียน . 1. สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop Service Plus และรายงานการติดตามประเมินผล 2. ทํากิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble (เน้นกลุ่มเล็ก) 3. จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลและหลักโภชนาการ 4. จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน 5. จัดให้มี School Isolation แผนเผชิญเหตุ และซักซ้อมอย่างเคร่งครัดหากพบผู้ติดเชื้อ 6. ควบคุมดูแลการเดินทางไปกลับของนักเรียน เช่น รถส่วนบุคคล รถโดยสารสาธารณะ 7. จัดให้มี School Pass สําหรับนักเรียน ครูและบุคลากรในสถานศึกษา ประกอบด้วย ผลการตรวจ ATK ภายใน 7 วัน หรือประวัติการรับวัคซีน . อย่างไรก็ตาม จะต้องประเมินความเสี่ยงตามสถานการณ์การระบาดในแต่ละพื้นที่ที่โรงเรียนตั้งอยู่ และต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัดหรือกรุงเทพมหานครก่อนที่จะเปิดเรียน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45877
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผยระบบหลักประกันสุขภาพของไทย ช่วยให้ทุกคนได้เข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะช่วงโควิด 19
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 “อนุทิน” เผยระบบหลักประกันสุขภาพของไทย ช่วยให้ทุกคนได้เข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะช่วงโควิด 19 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันหลักประกันสุขภาพสากล เผยระดับโลกชื่นชมความสําเร็จของประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าระบบหลักประกันสุขภาพเกิดขึ้นได้แม้มีงบประมาณปานกลาง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันหลักประกันสุขภาพสากล เผยระดับโลกชื่นชมความสําเร็จของประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าระบบหลักประกันสุขภาพเกิดขึ้นได้แม้มีงบประมาณปานกลาง ช่วยลดความเหลื่อมล้ําการเข้าถึงบริการสุขภาพได้ โดยเฉพาะช่วงโควิด 19 ประเทศไทยให้การตรวจหาเชื้อ รักษาพยาบาล และฉีดวัคซีน ทั้งคนไทยและต่างชาติ ตามหลักการ “ไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” วันนี้ (9 ธันวาคม 2564) ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดงานวันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากล 2021 : ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลงทุนในระบบสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์การดําเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทย โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมงานด้วย นายอนุทินกล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2555 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติกําหนดให้วันที่ 12 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันหลักประกันสุขภาพสากล เพื่อสนับสนุนให้ทุกประเทศมีระบบหลักประกันสุขภาพ โดยปีนี้กําหนดหัวข้อการรณรงค์ คือ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลงทุนในระบบสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน เพื่อสนับสนุนประเทศต่าง ๆ ให้มีการลงทุนด้านสุขภาพอย่างเพียงพอ ให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและครบวงจรลดความเหลื่อมล้ํา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า เป็นระบบหลักประกันสุขภาพสําหรับทุกคน ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการตรวจหาเชื้อโควิดทั้งRT-PCR ATK การรักษาพยาบาล และการรับวัคซีนป้องกันโรคทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากจะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าพวกเราทุกคนจะปลอดภัยทั้งหมด “ประเทศไทยดําเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพมากว่า 2 ทศวรรษ ได้รับการยอมรับความสําเร็จและพิสูจน์ในเวทีระดับโลกว่า ระบบหลักประกันสุขภาพไม่ใช่เป้าหมายที่เกินฝัน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ช่วยให้คนเข้าถึงการรักษา ลดภาระค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคมะเร็ง โรคไต การฟอกเลือด ช่วยปกป้องประชาชนและส่งเสริมการเข้าถึงระบบสุขภาพ สิ่งเหล่านี้เป็นผลของการลงทุนในระบบสุขภาพของประเทศไทย ทั้งนี้ การส่งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบหลักประกันสุขภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อการต่อสู้กับโรคโควิด 19 แต่เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)” นายอนุทินกล่าว *********************************** 9 ธันวาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผยระบบหลักประกันสุขภาพของไทย ช่วยให้ทุกคนได้เข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะช่วงโควิด 19 วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 “อนุทิน” เผยระบบหลักประกันสุขภาพของไทย ช่วยให้ทุกคนได้เข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะช่วงโควิด 19 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันหลักประกันสุขภาพสากล เผยระดับโลกชื่นชมความสําเร็จของประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าระบบหลักประกันสุขภาพเกิดขึ้นได้แม้มีงบประมาณปานกลาง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันหลักประกันสุขภาพสากล เผยระดับโลกชื่นชมความสําเร็จของประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าระบบหลักประกันสุขภาพเกิดขึ้นได้แม้มีงบประมาณปานกลาง ช่วยลดความเหลื่อมล้ําการเข้าถึงบริการสุขภาพได้ โดยเฉพาะช่วงโควิด 19 ประเทศไทยให้การตรวจหาเชื้อ รักษาพยาบาล และฉีดวัคซีน ทั้งคนไทยและต่างชาติ ตามหลักการ “ไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” วันนี้ (9 ธันวาคม 2564) ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดงานวันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากล 2021 : ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลงทุนในระบบสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์การดําเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทย โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมงานด้วย นายอนุทินกล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2555 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติกําหนดให้วันที่ 12 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันหลักประกันสุขภาพสากล เพื่อสนับสนุนให้ทุกประเทศมีระบบหลักประกันสุขภาพ โดยปีนี้กําหนดหัวข้อการรณรงค์ คือ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลงทุนในระบบสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน เพื่อสนับสนุนประเทศต่าง ๆ ให้มีการลงทุนด้านสุขภาพอย่างเพียงพอ ให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและครบวงจรลดความเหลื่อมล้ํา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า เป็นระบบหลักประกันสุขภาพสําหรับทุกคน ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการตรวจหาเชื้อโควิดทั้งRT-PCR ATK การรักษาพยาบาล และการรับวัคซีนป้องกันโรคทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากจะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าพวกเราทุกคนจะปลอดภัยทั้งหมด “ประเทศไทยดําเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพมากว่า 2 ทศวรรษ ได้รับการยอมรับความสําเร็จและพิสูจน์ในเวทีระดับโลกว่า ระบบหลักประกันสุขภาพไม่ใช่เป้าหมายที่เกินฝัน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ช่วยให้คนเข้าถึงการรักษา ลดภาระค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคมะเร็ง โรคไต การฟอกเลือด ช่วยปกป้องประชาชนและส่งเสริมการเข้าถึงระบบสุขภาพ สิ่งเหล่านี้เป็นผลของการลงทุนในระบบสุขภาพของประเทศไทย ทั้งนี้ การส่งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบหลักประกันสุขภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อการต่อสู้กับโรคโควิด 19 แต่เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)” นายอนุทินกล่าว *********************************** 9 ธันวาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49312
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2565 รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุคานสะพานกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 35 ตอน สะพานข้ามแม่น้ําท่าจีน - นาโคก พังถล่ม ครั้งที่ 3/2565 นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง) เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุคานสะพานกลับรถโครงการบูรณะและปรับปรุงสะพานทางหลวงหมายเลข 35 ตอน สะพานข้ามแม่น้ําท่าจีนฝั่งตะวันตก - นาโคก ตอน 2 จังหวัดสมุทรสาคร พังถล่ม ครั้งที่ 3/2565 โดยมี นายชาครีย์ บํารุงวงศ์ รักษาการที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางบก นางสาวรัชนีพร ธิติทรัพย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม นายอภิชาติ จันทรทรัพย์ รองอธิบดีกรมทางหลวง ฝ่ายดําเนินงาน นายพรชัย ศิลารมย์ ผู้อํานวยการศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 (ปทุมธานี) นายอภิชัย วชิระปราการพงษ์ ผู้อํานวยการสํานักก่อสร้างสะพาน กรมทางหลวงชนบท นายเอนก ศิริพานิชกร นายสุกิจ ยินดีสุข และนายอรรถสิทธิ์ ศิริสนธิ ผู้แทนจากสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) และนายพานิช วุฒิพฤกษ์ ผู้แทนจากสภาวิศวกร เข้าร่วมประชุม ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม และผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินงานตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุคานสะพานกลับรถโครงการบูรณะและปรับปรุงสะพานทางหลวงหมายเลข 35 ตอน สะพานข้ามแม่น้ําท่าจีนฝั่งตะวันตก - นาโคก ตอน 2 จังหวัดสมุทรสาคร พังถล่ม เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2565 ครั้งที่ 3/2565 ได้มีการประชุมเพื่อติดตามผลการดําเนินงานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าเพิ่มเติม ดังนี้ 1. นายเอนก ศิริพานิชกร ผู้แทน วสท. และประธานอนุกรรมการคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสืบหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ รายงานสรุปผลการสํารวจทางวิศวกรรมกับโครงสร้างสะพาน ณ ปัจจุบัน ที่ได้รับความเสียหายด้วยระบบ Visual Inspection และ 3D Laser Scan พบว่า สภาพของโครงสร้างที่ได้รับความเสียหายได้ถูกรื้อถอนออกหมดแล้ว โครงสร้างส่วนอื่นที่เหลือยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ต้องมีการสํารวจความแข็งแรงของโครงสร้างในเชิงลึกด้วยวิธีอื่นประกอบ เพื่อความปลอดภัยของการติดตั้งโครงสร้างใหม่โดยเฉพาะ โครงสร้างจุดต่อรับคาน Girder 2. ฝ่ายเลขานุการรายงานว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ทล. ซึ่งมีวิศวกรใหญ่ด้านควบคุมการก่อสร้างเป็นประธาน ได้เรียกสอบผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในโครงการแล้ว รวมถึงลงพื้นที่สํารวจ และเก็บข้อมูลหลังเกิดเหตุ โดยจากการตรวจสอบพบว่า คานที่เกิดอุบัติเหตุไม่พบจุดยึดรั้งระหว่างคาน (I-Girder) และคานขวาง (Diaphragm) ซึ่งตามรูปแบบการก่อสร้างจะประกอบด้วย เหล็กเสริมด้านบนและด้านล่างตลอดแนวยาวของคานขวาง และจากการตรวจสอบลักษณะความเสียหายบริเวณรอยต่อของโครงสร้างคานที่เกิดอุบัติเหตุคณะกรรมการได้มีข้อสังเกต ดังนี้ 1) สาเหตุของการร่วงหล่นคาดว่า เกิดจากการสูญเสียเหล็กเสริมในโครงสร้างคานขวางระหว่างการรื้อถอนพื้นสะพานเพื่อซ่อมแซมพื้นสะพานแบบ Full Depth ส่งผลให้เกิดแรงบิดในโครงสร้างของคานตัวริม เนื่องจากน้ําหนักเยื้องศูนย์อาจทําให้โครงสร้างสูญเสียเสถียรภาพและหลุดออกจากจุดรองรับ และ 2) ลักษณะของการเกิดเหตุคาดว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถบรรทุกน้ํามันบนสะพาน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2547 3. แผนการปรับปรุงสะพานกลับรถในเบื้องต้น ฝ่ายเลขานุการได้รายงานว่า ทล. มีแผนการดําเนินงานในเบื้องต้น โดยจะทําการออกแบบให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2565 และจะลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมร่วมกันวางแผนการก่อสร้าง และแผนการจัดการจราจร เป็นต้น ในช่วงเดือนตุลาคม 2565 คาดว่าจะดําเนินการหล่อคานสําเร็จรูป ติดตั้ง และก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยก่อนเปิดการจราจรบนสะพานกลับรถ ทล. จะทําการทดสอบการรับน้ําหนักบรรทุกของสะพานตามหลักวิศวกรรมร่วมกับ วสท. เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สะพานกลับรถดังกล่าวมีความมั่นคงแข็งแรงตามหลักวิศวกรรม 4. สําหรับข้อร้องเรียนของประชาชนเรื่องจุดกลับรถในบริเวณดังกล่าว มีระยะทางไกลและก่อให้เกิดความไม่สะดวกนั้น นายอภิชาติ จันทรทรัพย์ รองอธิบดีกรมทางหลวง แจ้งว่า ทล. อยู่ระหว่างการพิจารณาจุดกลับรถชั่วคราวใหม่ คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยผลการพิจารณาจะแจ้งกระทรวงฯ ทราบต่อไป ทั้งนี้ ในการคัดเลือกจุดกลับรถใหม่หรือการดําเนินงานเพื่อบูรณะสะพานดังกล่าว รองปลัดกระทรวงคมนาคมได้กําชับให้ ทล. ดําเนินการตามหลักการทางวิศวกรรมด้วยความปลอดภัย และมีผลกระทบกับการเดินทางของประชาชนให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ รองปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้เร่งจัดทําข้อสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงพร้อมรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมด เพื่อรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทราบโดยเร็วที่สุด รวมถึงการดําเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการเยียวยาต่าง ๆ ขอให้ ทล. ดําเนินการตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการจัดทําแผนการดําเนินงานปรับปรุงสะพานกลับรถดังกล่าว โดยแยกเป็นกิจกรรมต่าง ๆ (Action Plan) ตามช่วงเวลาที่จะดําเนินการให้ละเอียด เพื่อนําเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทราบต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2565 รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุคานสะพานกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 35 ตอน สะพานข้ามแม่น้ําท่าจีน - นาโคก พังถล่ม ครั้งที่ 3/2565 นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง) เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุคานสะพานกลับรถโครงการบูรณะและปรับปรุงสะพานทางหลวงหมายเลข 35 ตอน สะพานข้ามแม่น้ําท่าจีนฝั่งตะวันตก - นาโคก ตอน 2 จังหวัดสมุทรสาคร พังถล่ม ครั้งที่ 3/2565 โดยมี นายชาครีย์ บํารุงวงศ์ รักษาการที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางบก นางสาวรัชนีพร ธิติทรัพย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม นายอภิชาติ จันทรทรัพย์ รองอธิบดีกรมทางหลวง ฝ่ายดําเนินงาน นายพรชัย ศิลารมย์ ผู้อํานวยการศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 (ปทุมธานี) นายอภิชัย วชิระปราการพงษ์ ผู้อํานวยการสํานักก่อสร้างสะพาน กรมทางหลวงชนบท นายเอนก ศิริพานิชกร นายสุกิจ ยินดีสุข และนายอรรถสิทธิ์ ศิริสนธิ ผู้แทนจากสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) และนายพานิช วุฒิพฤกษ์ ผู้แทนจากสภาวิศวกร เข้าร่วมประชุม ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม และผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินงานตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุคานสะพานกลับรถโครงการบูรณะและปรับปรุงสะพานทางหลวงหมายเลข 35 ตอน สะพานข้ามแม่น้ําท่าจีนฝั่งตะวันตก - นาโคก ตอน 2 จังหวัดสมุทรสาคร พังถล่ม เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2565 ครั้งที่ 3/2565 ได้มีการประชุมเพื่อติดตามผลการดําเนินงานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าเพิ่มเติม ดังนี้ 1. นายเอนก ศิริพานิชกร ผู้แทน วสท. และประธานอนุกรรมการคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสืบหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ รายงานสรุปผลการสํารวจทางวิศวกรรมกับโครงสร้างสะพาน ณ ปัจจุบัน ที่ได้รับความเสียหายด้วยระบบ Visual Inspection และ 3D Laser Scan พบว่า สภาพของโครงสร้างที่ได้รับความเสียหายได้ถูกรื้อถอนออกหมดแล้ว โครงสร้างส่วนอื่นที่เหลือยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ต้องมีการสํารวจความแข็งแรงของโครงสร้างในเชิงลึกด้วยวิธีอื่นประกอบ เพื่อความปลอดภัยของการติดตั้งโครงสร้างใหม่โดยเฉพาะ โครงสร้างจุดต่อรับคาน Girder 2. ฝ่ายเลขานุการรายงานว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ทล. ซึ่งมีวิศวกรใหญ่ด้านควบคุมการก่อสร้างเป็นประธาน ได้เรียกสอบผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในโครงการแล้ว รวมถึงลงพื้นที่สํารวจ และเก็บข้อมูลหลังเกิดเหตุ โดยจากการตรวจสอบพบว่า คานที่เกิดอุบัติเหตุไม่พบจุดยึดรั้งระหว่างคาน (I-Girder) และคานขวาง (Diaphragm) ซึ่งตามรูปแบบการก่อสร้างจะประกอบด้วย เหล็กเสริมด้านบนและด้านล่างตลอดแนวยาวของคานขวาง และจากการตรวจสอบลักษณะความเสียหายบริเวณรอยต่อของโครงสร้างคานที่เกิดอุบัติเหตุคณะกรรมการได้มีข้อสังเกต ดังนี้ 1) สาเหตุของการร่วงหล่นคาดว่า เกิดจากการสูญเสียเหล็กเสริมในโครงสร้างคานขวางระหว่างการรื้อถอนพื้นสะพานเพื่อซ่อมแซมพื้นสะพานแบบ Full Depth ส่งผลให้เกิดแรงบิดในโครงสร้างของคานตัวริม เนื่องจากน้ําหนักเยื้องศูนย์อาจทําให้โครงสร้างสูญเสียเสถียรภาพและหลุดออกจากจุดรองรับ และ 2) ลักษณะของการเกิดเหตุคาดว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถบรรทุกน้ํามันบนสะพาน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2547 3. แผนการปรับปรุงสะพานกลับรถในเบื้องต้น ฝ่ายเลขานุการได้รายงานว่า ทล. มีแผนการดําเนินงานในเบื้องต้น โดยจะทําการออกแบบให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2565 และจะลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมร่วมกันวางแผนการก่อสร้าง และแผนการจัดการจราจร เป็นต้น ในช่วงเดือนตุลาคม 2565 คาดว่าจะดําเนินการหล่อคานสําเร็จรูป ติดตั้ง และก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยก่อนเปิดการจราจรบนสะพานกลับรถ ทล. จะทําการทดสอบการรับน้ําหนักบรรทุกของสะพานตามหลักวิศวกรรมร่วมกับ วสท. เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สะพานกลับรถดังกล่าวมีความมั่นคงแข็งแรงตามหลักวิศวกรรม 4. สําหรับข้อร้องเรียนของประชาชนเรื่องจุดกลับรถในบริเวณดังกล่าว มีระยะทางไกลและก่อให้เกิดความไม่สะดวกนั้น นายอภิชาติ จันทรทรัพย์ รองอธิบดีกรมทางหลวง แจ้งว่า ทล. อยู่ระหว่างการพิจารณาจุดกลับรถชั่วคราวใหม่ คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยผลการพิจารณาจะแจ้งกระทรวงฯ ทราบต่อไป ทั้งนี้ ในการคัดเลือกจุดกลับรถใหม่หรือการดําเนินงานเพื่อบูรณะสะพานดังกล่าว รองปลัดกระทรวงคมนาคมได้กําชับให้ ทล. ดําเนินการตามหลักการทางวิศวกรรมด้วยความปลอดภัย และมีผลกระทบกับการเดินทางของประชาชนให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ รองปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้เร่งจัดทําข้อสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงพร้อมรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมด เพื่อรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทราบโดยเร็วที่สุด รวมถึงการดําเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการเยียวยาต่าง ๆ ขอให้ ทล. ดําเนินการตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการจัดทําแผนการดําเนินงานปรับปรุงสะพานกลับรถดังกล่าว โดยแยกเป็นกิจกรรมต่าง ๆ (Action Plan) ตามช่วงเวลาที่จะดําเนินการให้ละเอียด เพื่อนําเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทราบต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58407
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติโครงการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ – กลุ่มต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เป็นเวลา 3 เดือน เริ่ม 1 ก.พ. 65
วันอังคารที่ 25 มกราคม 2565 ครม. อนุมัติโครงการเพิ่มกําลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ – กลุ่มต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เป็นเวลา 3 เดือน เริ่ม 1 ก.พ. 65 ..... ที่ประชุม ครม. (24 ม.ค. 65) เห็นชอบโครงการเพิ่มกําลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 กรอบวงเงิน 8,070.724 ล้านบาท และโครงการเพิ่มกําลังซื้อแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 กรอบวงเงิน 1,351.981 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเพิ่มวงเงินใช้จ่ายอีกเดือนละ 200 บาท/คน เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มเดือน ก.พ. 65 . ประชาชนผู้ถือบัตรจากทั้ง 2 โครงการ ซึ่งมีจํานวนกว่า 15.7 ล้านคน สามารถซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า ร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 65 เป็นต้นไป จากเดิมที่กําหนดไว้วันที่ 21 ก.พ. 65 เพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยในช่วงสถานการณ์ที่ค่าครองชีพมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติโครงการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ – กลุ่มต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เป็นเวลา 3 เดือน เริ่ม 1 ก.พ. 65 วันอังคารที่ 25 มกราคม 2565 ครม. อนุมัติโครงการเพิ่มกําลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ – กลุ่มต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เป็นเวลา 3 เดือน เริ่ม 1 ก.พ. 65 ..... ที่ประชุม ครม. (24 ม.ค. 65) เห็นชอบโครงการเพิ่มกําลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 กรอบวงเงิน 8,070.724 ล้านบาท และโครงการเพิ่มกําลังซื้อแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 กรอบวงเงิน 1,351.981 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเพิ่มวงเงินใช้จ่ายอีกเดือนละ 200 บาท/คน เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มเดือน ก.พ. 65 . ประชาชนผู้ถือบัตรจากทั้ง 2 โครงการ ซึ่งมีจํานวนกว่า 15.7 ล้านคน สามารถซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า ร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 65 เป็นต้นไป จากเดิมที่กําหนดไว้วันที่ 21 ก.พ. 65 เพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยในช่วงสถานการณ์ที่ค่าครองชีพมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50859
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนของประเทศกัมพูชา
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2564 ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนของประเทศกัมพูชา ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนของประเทศกัมพูชา ตามที่ได้รับแจ้งการประกาศควบคุมการปิดพื้นที่ใน 8 จังหวัดของรัฐบาลกัมพูชา เน้นย้ําการเฝ้าระวังและป้องกันการเดินทางออกนอกพื้นที่ของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) โดย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสั่งการและประสานงานผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการ เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ออกประกาศควบคุมการปิดพื้นที่ใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเกาะกง จังหวัดโพธิ์สัต จังหวัดพระตะบอง จังหวัดไพลิน จังหวัดบันเตียเมียนเจย จังหวัดอุดรเมียนเจย จังหวัดพระวิหาร และจังหวัดเสียมราฐ ซึ่งเป็นจังหวัดตรงข้ามกับจังหวัดชายแดนด้านประเทศกัมพูชา รวมถึงการบังคับใช้มาตรการระงับการใช้จุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัมพูชา-ไทยเป็นการชั่วคราวโดยไม่อนุญาตให้มีการเดินทางเข้า-ออกระหว่างกัน ยกเว้นกรณีการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินและการขนส่งสินค้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 จนถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2564 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า โดยการระงับใช้จุดผ่านแดนระหว่างกัมพูชา-ไทยเป็นการชั่วคราวนั้น จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางกลับประเทศกัมพูชาของแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยซึ่งยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยอาจมีแรงงานกัมพูชาที่ไม่สามารถข้ามไปฝั่งประเทศกัมพูชาได้ จนมีการตกค้างสะสมและกลายเป็นความแออัดในฝั่งไทยรวมทั้งอาจมีการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมายซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดําเนินการของหน่วยงานในพื้นที่ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 . นายฉัตรชัย พรหมเลิศ จึงได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อให้รับทราบมาตรการของประเทศกัมพูชา และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับทราบเพื่อดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ชาวไทยและชาวกัมพูชาในพื้นที่รับทราบ เฝ้าระวัง และป้องกันการเดินทางออกนอกพื้นที่ของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาโดยให้ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขและแนวทางที่ ศบค.มท. กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด . สําหรับจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชาให้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการลักลอบเดินทางเข้าประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา รวมทั้งการตั้งจุดตรวจและจุดสกัดในพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าในการประสานงานที่สําคัญในระดับท้องถิ่น จะต้องแจ้งกระทรวงมหาดไทยทราบต่อไป .
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนของประเทศกัมพูชา วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2564 ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนของประเทศกัมพูชา ศบค.มท. แจ้งทุกจังหวัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนของประเทศกัมพูชา ตามที่ได้รับแจ้งการประกาศควบคุมการปิดพื้นที่ใน 8 จังหวัดของรัฐบาลกัมพูชา เน้นย้ําการเฝ้าระวังและป้องกันการเดินทางออกนอกพื้นที่ของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) โดย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสั่งการและประสานงานผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการ เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ออกประกาศควบคุมการปิดพื้นที่ใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเกาะกง จังหวัดโพธิ์สัต จังหวัดพระตะบอง จังหวัดไพลิน จังหวัดบันเตียเมียนเจย จังหวัดอุดรเมียนเจย จังหวัดพระวิหาร และจังหวัดเสียมราฐ ซึ่งเป็นจังหวัดตรงข้ามกับจังหวัดชายแดนด้านประเทศกัมพูชา รวมถึงการบังคับใช้มาตรการระงับการใช้จุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัมพูชา-ไทยเป็นการชั่วคราวโดยไม่อนุญาตให้มีการเดินทางเข้า-ออกระหว่างกัน ยกเว้นกรณีการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินและการขนส่งสินค้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 จนถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2564 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า โดยการระงับใช้จุดผ่านแดนระหว่างกัมพูชา-ไทยเป็นการชั่วคราวนั้น จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางกลับประเทศกัมพูชาของแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยซึ่งยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยอาจมีแรงงานกัมพูชาที่ไม่สามารถข้ามไปฝั่งประเทศกัมพูชาได้ จนมีการตกค้างสะสมและกลายเป็นความแออัดในฝั่งไทยรวมทั้งอาจมีการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมายซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดําเนินการของหน่วยงานในพื้นที่ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 . นายฉัตรชัย พรหมเลิศ จึงได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อให้รับทราบมาตรการของประเทศกัมพูชา และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับทราบเพื่อดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ชาวไทยและชาวกัมพูชาในพื้นที่รับทราบ เฝ้าระวัง และป้องกันการเดินทางออกนอกพื้นที่ของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาโดยให้ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขและแนวทางที่ ศบค.มท. กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด . สําหรับจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชาให้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการลักลอบเดินทางเข้าประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา รวมทั้งการตั้งจุดตรวจและจุดสกัดในพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าในการประสานงานที่สําคัญในระดับท้องถิ่น จะต้องแจ้งกระทรวงมหาดไทยทราบต่อไป .
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44310
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 7
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 วธ.ผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 7 วธ.ผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 7 คัดสุดยอดภาพยนตร์อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย 36 เรื่อง จัดฉายให้ชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 8-13 ธ.ค.นี้ วธ.ผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 7 คัดสุดยอดภาพยนตร์อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย 36 เรื่อง จัดฉายให้ชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 8-13 ธ.ค.นี้ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ ๗ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ น.ส.วรรณสิริ โมรากุล ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายธนกร ปุลิเวคินทร์ ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ นายธนัญชนก สุบรรณ ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย ดารานักแสดง ผู้กํากับภาพยนตร์ ผู้แทนหน่วยงานรัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เข้าร่วม ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ชั้น ๘ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ นายอิทธิพล กล่าวว่า ช่วงเวลาเกือบ 2 ปีที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อทุกธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก จนเกิดเป็นการดําเนินชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal และเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การเปิดประเทศของไทย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จึงเป็นอีกโอกาสหนึ่งภายใต้แนวคิดใหม่คนไทยสามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างเท่าทัน เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว และธุรกิจด้านสารัตถะ (Content) อันเอื้อประโยชน์ไปยังทุกภาคส่วนให้ดําเนินธุรกิจของประเทศได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ หน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร 2564 (Bangkok ASEAN Film festival 2021) ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 8 -13 ธันวาคม 2564 ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า และโรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งนับเป็นอีกโอกาสที่สําคัญสําหรับบุคลากรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งในประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศพันธมิตรในเอเชีย จะได้ร่วมมือกันฟื้นฟูและร่วมกันเริ่มต้นใหม่ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ยั่งยืนต่อไป และเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560 - 2564) ที่มุ่งใช้มิติวัฒนธรรมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทย และผลักดันให้กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า งานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนฯครั้งนี้มีการฉายภาพยนตร์เปิดเทศกาล คือ One Second ผลงานกํากับของจางอี้โหมว ผู้กํากับชั้นครูจากสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกทั้งตลอดงานเทศกาลฯมีการจัดฉายภาพยนตร์คุณภาพ 36 เรื่อง จากประเทศสมาชิกอาเซียน และภาพยนตร์จากกลุ่มเอเชียได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งทุกเรื่องจะมีบทบรรยายภาษาไทย-อังกฤษ เข้าชมฟรีทุกเรื่องทุกรอบ โดยแบ่งเป็นภาพยนตร์จัดฉาย ดังนี้ 1.ภาพยนตร์อาเซียนฉายโชว์ (SHOWCASE : ASEAN PLUS) ภาพยนตร์จากประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนและจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและอินเดีย รวม 12 เรื่อง จัดฉายเรื่องละ 2 รอบ อาทิ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Belle ผลงานของมาโมรุ โฮโซดะจากประเทศญี่ปุ่น, Vengeance Is Mine, All Others Pay Cash ผลงานของเอ็ดวิน และ Yuni ผลงานของผู้กํากับหญิง คามิลา อันดินี สองภาพยนตร์จากสาธารณรัฐอินโดนีเซียที่คว้ารางวัลใหญ่จากเทศกาลสําคัญๆ ในปีนี้, The Edge of Daybreak (พญาโศกพิโยคค่ํา) ผลงานภาพยนตร์ของไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ จากประเทศไทย, White Building ผลงานภาพยนตร์ของ Kavich Neang ผู้กํากับคลื่นลูกใหม่จากประเทศกัมพูชา, In Front of Your Face ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ Hong Sangsoo ผู้กํากับเกาหลีใต้ระดับแนวหน้า, A Night of Knowing Nothing ภาพยนตร์จากผู้กํากับหญิงหน้าใหม่ Payal Kapadia จากประเทศอินเดีย เป็นต้น 2.การฉายภาพยนตร์ของสายการประกวดภาพยนตร์สั้นอาเซียน (ASEAN SHORT FILM COMPETITION) 14 เรื่อง พิจารณาตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งไทยและต่างประเทศ 3 ท่าน โดยมอบรางวัล ดังนี้ (1) รางวัล BEST ASEAN SHORT FILM ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 2,000 USD (2) รางวัล JURY PRIZE ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 1,000 USD (3) รางวัล SPECIAL MENTION ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 500 USD และเพื่อให้เกิดความหลากหลายและขยายขอบเขต การสนับสนุนภาพยนตร์สั้นในภูมิภาคและพันธมิตรในเอเชีย โดยงานเทศกาลฯได้จัดฉายสายโชว์ของภาพยนตร์สั้น (BAFF SHORT FILM SHOWCASE) เป็นการรวบรวมผลงานภาพยนตร์สั้นที่โดดเด่นในรอบปีจากเทศกาลเมืองคานส์ 3 เรื่อง พร้อมฉายร่วมกับภาพยนตร์สั้นจากผู้ชนะ 3 รางวัลจาก SHORT FILM PROJECT (PROJECT 19) 3.การจัดฉายภาพยนตร์อาเซียนทรงคุณค่า (ASEAN Classic) 3 เรื่อง ได้แก่ ช่างมัน ฉันไม่แคร์ นําแสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช, ลิขิต เอกมงคล ผลงานกํากับของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล, Aimless Bullet หนึ่งในภาพยนตร์เกาหลีที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และ The Daughter of Japan ผลงานที่หาดูยากจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ การประกวดโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ขนาดยาวอาเซียน (SEA PITCH) : SOUTHEAST ASIAN PROJECT PITCH) คัดเลือกโครงการสร้างภาพยนตร์ขนาดยาว 8 โครงการ โดยคนทําหนังจากภูมิภาคอาเซียนที่มีไอเดียในการผลิตภาพยนตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งโครงการที่ผ่านการคัดเลือกผู้กํากับและโปรดิวเซอร์จะเข้าร่วมอบรมพิเศษออนไลน์ด้านการนําเสนอโปรเจกต์ (Pitching) กับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ 2 ครั้ง เพื่อเตรียมตัวนําเสนอต่อหน้าคณะกรรมการทรงคุณวุฒิระดับนานาชาติ และมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการประกวด จํานวน 3 รางวัล ได้แก่ 1.รางวัล SEAPITCH Award ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 5,000 USD 2.รางวัล Runner-Up Prize ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 3,000 USD และ3.รางวัล SPECIAL MENTION ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 2,000 USD โดยจะมีพิธีประกาศรางวัลและปิดเทศกาลในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 ณ โรงภาพยนตร์ พารากอน ซินีเพล็กซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 10 ธันวาคม 2564 มีการสัมมนาหัวข้อ ”IS ASEAN CONTENT READY TO TAKE ON THE WORLD?” ณ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญทางภาพยนตร์ในระดับนานาชาติ มาร่วมกันวิเคราะห์ให้เห็นถึงสถานการณ์การผลิตคอนเทนต์ของภูมิภาคว่าอนาคตของคอนเทนต์เหล่านี้จะอยู่จุดไหนในวงการภาพยนตร์ระดับโลกและในวันที่ 11 ธันวาคม 2564 จะมีการสัมมนาหัวข้อ “Going Virtual” ร่วมกับ ACBS (Asia Content Business Summit) ณ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีการนําเสนอข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฯจากประเทศต่างๆ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้และฟิลิปปินส์ รวมทั้งการประกาศโครงการของ ACBS กับการรายงานสถานการณ์ของประเทศสมาชิกแนวโน้มของอุตสาหกรรมสารัตถะภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) และการเสนอโครงการความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างประเทศจากทวีปเอเชีย ทั้งนี้ ผู้สนใจลงทะเบียนจองบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้าได้ที่ www.baff.go.th และ www.facebook.com/BangkokAseanFilmFestival ตั้งแต่บัดนี้ และรับบัตรชมภาพยนตร์ได้ที่จุดประชาสัมพันธ์เทศกาลฯ บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ก่อนรอบฉาย 30 นาที โดยรับบัตร 1 คน ต่อ 1 ที่นั่ง ตรวจสอบรอบฉายและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 209 3519 และ www.facebook.com/BangkokAseanFilmFestival
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 7 วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 วธ.ผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 7 วธ.ผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 7 คัดสุดยอดภาพยนตร์อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย 36 เรื่อง จัดฉายให้ชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 8-13 ธ.ค.นี้ วธ.ผลักดันกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 7 คัดสุดยอดภาพยนตร์อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย 36 เรื่อง จัดฉายให้ชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 8-13 ธ.ค.นี้ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ ๗ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ น.ส.วรรณสิริ โมรากุล ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายธนกร ปุลิเวคินทร์ ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ นายธนัญชนก สุบรรณ ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย ดารานักแสดง ผู้กํากับภาพยนตร์ ผู้แทนหน่วยงานรัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เข้าร่วม ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ชั้น ๘ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ นายอิทธิพล กล่าวว่า ช่วงเวลาเกือบ 2 ปีที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อทุกธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก จนเกิดเป็นการดําเนินชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal และเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การเปิดประเทศของไทย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จึงเป็นอีกโอกาสหนึ่งภายใต้แนวคิดใหม่คนไทยสามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างเท่าทัน เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว และธุรกิจด้านสารัตถะ (Content) อันเอื้อประโยชน์ไปยังทุกภาคส่วนให้ดําเนินธุรกิจของประเทศได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ หน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร 2564 (Bangkok ASEAN Film festival 2021) ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 8 -13 ธันวาคม 2564 ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า และโรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งนับเป็นอีกโอกาสที่สําคัญสําหรับบุคลากรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งในประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศพันธมิตรในเอเชีย จะได้ร่วมมือกันฟื้นฟูและร่วมกันเริ่มต้นใหม่ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ยั่งยืนต่อไป และเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2560 - 2564) ที่มุ่งใช้มิติวัฒนธรรมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทย และผลักดันให้กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางด้านภาพยนตร์ของอาเซียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า งานเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนฯครั้งนี้มีการฉายภาพยนตร์เปิดเทศกาล คือ One Second ผลงานกํากับของจางอี้โหมว ผู้กํากับชั้นครูจากสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกทั้งตลอดงานเทศกาลฯมีการจัดฉายภาพยนตร์คุณภาพ 36 เรื่อง จากประเทศสมาชิกอาเซียน และภาพยนตร์จากกลุ่มเอเชียได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งทุกเรื่องจะมีบทบรรยายภาษาไทย-อังกฤษ เข้าชมฟรีทุกเรื่องทุกรอบ โดยแบ่งเป็นภาพยนตร์จัดฉาย ดังนี้ 1.ภาพยนตร์อาเซียนฉายโชว์ (SHOWCASE : ASEAN PLUS) ภาพยนตร์จากประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนและจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและอินเดีย รวม 12 เรื่อง จัดฉายเรื่องละ 2 รอบ อาทิ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Belle ผลงานของมาโมรุ โฮโซดะจากประเทศญี่ปุ่น, Vengeance Is Mine, All Others Pay Cash ผลงานของเอ็ดวิน และ Yuni ผลงานของผู้กํากับหญิง คามิลา อันดินี สองภาพยนตร์จากสาธารณรัฐอินโดนีเซียที่คว้ารางวัลใหญ่จากเทศกาลสําคัญๆ ในปีนี้, The Edge of Daybreak (พญาโศกพิโยคค่ํา) ผลงานภาพยนตร์ของไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ จากประเทศไทย, White Building ผลงานภาพยนตร์ของ Kavich Neang ผู้กํากับคลื่นลูกใหม่จากประเทศกัมพูชา, In Front of Your Face ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ Hong Sangsoo ผู้กํากับเกาหลีใต้ระดับแนวหน้า, A Night of Knowing Nothing ภาพยนตร์จากผู้กํากับหญิงหน้าใหม่ Payal Kapadia จากประเทศอินเดีย เป็นต้น 2.การฉายภาพยนตร์ของสายการประกวดภาพยนตร์สั้นอาเซียน (ASEAN SHORT FILM COMPETITION) 14 เรื่อง พิจารณาตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งไทยและต่างประเทศ 3 ท่าน โดยมอบรางวัล ดังนี้ (1) รางวัล BEST ASEAN SHORT FILM ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 2,000 USD (2) รางวัล JURY PRIZE ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 1,000 USD (3) รางวัล SPECIAL MENTION ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 500 USD และเพื่อให้เกิดความหลากหลายและขยายขอบเขต การสนับสนุนภาพยนตร์สั้นในภูมิภาคและพันธมิตรในเอเชีย โดยงานเทศกาลฯได้จัดฉายสายโชว์ของภาพยนตร์สั้น (BAFF SHORT FILM SHOWCASE) เป็นการรวบรวมผลงานภาพยนตร์สั้นที่โดดเด่นในรอบปีจากเทศกาลเมืองคานส์ 3 เรื่อง พร้อมฉายร่วมกับภาพยนตร์สั้นจากผู้ชนะ 3 รางวัลจาก SHORT FILM PROJECT (PROJECT 19) 3.การจัดฉายภาพยนตร์อาเซียนทรงคุณค่า (ASEAN Classic) 3 เรื่อง ได้แก่ ช่างมัน ฉันไม่แคร์ นําแสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช, ลิขิต เอกมงคล ผลงานกํากับของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล, Aimless Bullet หนึ่งในภาพยนตร์เกาหลีที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และ The Daughter of Japan ผลงานที่หาดูยากจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ การประกวดโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ขนาดยาวอาเซียน (SEA PITCH) : SOUTHEAST ASIAN PROJECT PITCH) คัดเลือกโครงการสร้างภาพยนตร์ขนาดยาว 8 โครงการ โดยคนทําหนังจากภูมิภาคอาเซียนที่มีไอเดียในการผลิตภาพยนตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งโครงการที่ผ่านการคัดเลือกผู้กํากับและโปรดิวเซอร์จะเข้าร่วมอบรมพิเศษออนไลน์ด้านการนําเสนอโปรเจกต์ (Pitching) กับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ 2 ครั้ง เพื่อเตรียมตัวนําเสนอต่อหน้าคณะกรรมการทรงคุณวุฒิระดับนานาชาติ และมอบรางวัลให้กับผู้ชนะการประกวด จํานวน 3 รางวัล ได้แก่ 1.รางวัล SEAPITCH Award ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 5,000 USD 2.รางวัล Runner-Up Prize ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 3,000 USD และ3.รางวัล SPECIAL MENTION ผู้ชนะจะได้รับโล่รางวัล และเงินสด 2,000 USD โดยจะมีพิธีประกาศรางวัลและปิดเทศกาลในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 ณ โรงภาพยนตร์ พารากอน ซินีเพล็กซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 10 ธันวาคม 2564 มีการสัมมนาหัวข้อ ”IS ASEAN CONTENT READY TO TAKE ON THE WORLD?” ณ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญทางภาพยนตร์ในระดับนานาชาติ มาร่วมกันวิเคราะห์ให้เห็นถึงสถานการณ์การผลิตคอนเทนต์ของภูมิภาคว่าอนาคตของคอนเทนต์เหล่านี้จะอยู่จุดไหนในวงการภาพยนตร์ระดับโลกและในวันที่ 11 ธันวาคม 2564 จะมีการสัมมนาหัวข้อ “Going Virtual” ร่วมกับ ACBS (Asia Content Business Summit) ณ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีการนําเสนอข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฯจากประเทศต่างๆ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้และฟิลิปปินส์ รวมทั้งการประกาศโครงการของ ACBS กับการรายงานสถานการณ์ของประเทศสมาชิกแนวโน้มของอุตสาหกรรมสารัตถะภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) และการเสนอโครงการความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างประเทศจากทวีปเอเชีย ทั้งนี้ ผู้สนใจลงทะเบียนจองบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้าได้ที่ www.baff.go.th และ www.facebook.com/BangkokAseanFilmFestival ตั้งแต่บัดนี้ และรับบัตรชมภาพยนตร์ได้ที่จุดประชาสัมพันธ์เทศกาลฯ บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ก่อนรอบฉาย 30 นาที โดยรับบัตร 1 คน ต่อ 1 ที่นั่ง ตรวจสอบรอบฉายและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 209 3519 และ www.facebook.com/BangkokAseanFilmFestival
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49273
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดอบรมเตรียมความพร้อมประเมินตามตัวชี้วัด PMQA 4.0
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ดีอีเอส จัดอบรมเตรียมความพร้อมประเมินตามตัวชี้วัด PMQA 4.0 ดีอีเอส จัดอบรมเตรียมความพร้อมประเมินตามตัวชี้วัด PMQA 4.0 เมื่อวันที่18พฤษภาคม2565นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานเปิดโครงการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ4.0โดยมีว่าที่เรืออากาศตรีผศ.ดร.ธนธัสทัพมงคลบรรยายให้ความรู้การประเมินสถานการณ์เป็นระบบราชการ4.0 ภายใต้หัวข้อ เกณฑ์การประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ4.0ประกอบด้วยลักษณะสําคัญองค์การหมวด1การนําองค์การ และหมวด2การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์เป็นต้นโดยมีนางสาวสุกันยาณียะวิญชาญผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเจ้าหน้าที่ข้าราชการของกระทรวงดิจิทัลฯเข้าร่วมณห้องประชุม803ชั้น8สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมในการประเมินสถานะของหน่วยงานภาครัฐในการเป็นระบบราชการ4.0สําหรับการประเมินตามตัวชี้วัดปี2565 (ประเมินตามตัวชี้วัดPMQA 4.0)จะเปิดให้หน่วยงานประเมินระหว่างวันที่1พฤษภาคม2565 - 30มิถุนายน2565และสํานักงานก.พ.ร.จะดําเนินการส่งเอกสารฯให้ทางผู้ตรวจประเมินดําเนินการต่อไป ***********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส จัดอบรมเตรียมความพร้อมประเมินตามตัวชี้วัด PMQA 4.0 วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ดีอีเอส จัดอบรมเตรียมความพร้อมประเมินตามตัวชี้วัด PMQA 4.0 ดีอีเอส จัดอบรมเตรียมความพร้อมประเมินตามตัวชี้วัด PMQA 4.0 เมื่อวันที่18พฤษภาคม2565นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานเปิดโครงการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ4.0โดยมีว่าที่เรืออากาศตรีผศ.ดร.ธนธัสทัพมงคลบรรยายให้ความรู้การประเมินสถานการณ์เป็นระบบราชการ4.0 ภายใต้หัวข้อ เกณฑ์การประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ4.0ประกอบด้วยลักษณะสําคัญองค์การหมวด1การนําองค์การ และหมวด2การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์เป็นต้นโดยมีนางสาวสุกันยาณียะวิญชาญผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเจ้าหน้าที่ข้าราชการของกระทรวงดิจิทัลฯเข้าร่วมณห้องประชุม803ชั้น8สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมในการประเมินสถานะของหน่วยงานภาครัฐในการเป็นระบบราชการ4.0สําหรับการประเมินตามตัวชี้วัดปี2565 (ประเมินตามตัวชี้วัดPMQA 4.0)จะเปิดให้หน่วยงานประเมินระหว่างวันที่1พฤษภาคม2565 - 30มิถุนายน2565และสํานักงานก.พ.ร.จะดําเนินการส่งเอกสารฯให้ทางผู้ตรวจประเมินดําเนินการต่อไป ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร จัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565 รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร จัดการค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ วันนี้ (5 กรกฎาคม 2565) เวลา 14.00 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมีคณะกรรมการฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร จัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565 รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร จัดการค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ วันนี้ (5 กรกฎาคม 2565) เวลา 14.00 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมีคณะกรรมการฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 42 สมัยพิเศษ พร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรระหว่างประเทศ
วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2564 ไทยเข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 42 สมัยพิเศษ พร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรระหว่างประเทศ ไทยเข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 42 สมัยพิเศษ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หัวหน้าคณะผู้แทนไทย (SOM-AMAF Leader) พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 42 สมัยพิเศษ (Special SOM-42nd AMAF) ที่จัดขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกลออนไลน์ โดยมีประเทศสมาชิกเข้าร่วม 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบข้อเสนอผลลัพธ์ในปี 2565 ของสาขาคณะทํางานด้านการเกษตรสาขาต่าง ๆ โดยประเทศไทยได้ยกร่าง Guideline on sharing, access to and use of IUU fishing-related information เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประสานงานเครือข่าย AN - IUU ใช้ในการปฏิบัติงานการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประมงที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และเห็นชอบเอกสารของคณะทํางานด้านเกษตรรายสาขา อาทิ คณะทํางานอาเซียนด้านอาหารฮาลาล คณะทํางานอาเซียนด้านปศุสัตว์ คณะทํางานอาเซียนด้านพืช คณะทํางานอาเซียนด้านประมง เป็นต้น ทั้งหมด 25 ฉบับ (endorsement) และรับทราบเอกสาร 4 ฉบับ (notation) สําหรับในด้านปศุสัตว์ ประเทศไทยได้ให้ความสําคัญในกรอบแผนยุทธศาสตร์การควบคุมป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) ภายใต้โครงการความร่วมมือ SEACFMD (South-East Asia and China Foot and Mouth Disease (SEACFMD) Roadmap 2021 - 2025) จึงนําเสนอต่อที่ประชุมว่าเห็นสมควรผลักดันเกี่ยวกับการจัดทําโครงการที่เป็นรูปธรรมในการควบคุมป้องกันโรค FMD ในอาเซียนภายใต้กรอบแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยครอบคลุมถึงโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องการควบคุมโรคระบาดสัตว์อื่น ๆ ด้วย เช่น โรค Lumpy Skin Disease (LSD), African Swine Fever (ASF) เป็นต้น เพื่อให้อาเซียนได้ประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้าความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย เยอรมนี อินเดีย จีน ญี่ปุ่น สาธาณรัฐเกาหลี รัสเซีย FAO, IRRI, World Bank และ OECD โดยประเทศไทยมีความร่วมมือกับ IRRI ในโครงการทดสอบสายพันธุ์ข้าวจากสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศภายใต้โครงการ ASEAN RiceNet (IRRI-bred advanced lines testing under ASEAN Rice NET project) เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณค่า การปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้มีความต้านทาน ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยินดีให้ความร่วมมือกับอาเซียนและประเทศคู่เจรจาเพื่อพัฒนาด้านเกษตรและป่าไม้ในทุกมิติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 42 สมัยพิเศษ พร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรระหว่างประเทศ วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2564 ไทยเข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 42 สมัยพิเศษ พร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรระหว่างประเทศ ไทยเข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 42 สมัยพิเศษ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หัวหน้าคณะผู้แทนไทย (SOM-AMAF Leader) พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 42 สมัยพิเศษ (Special SOM-42nd AMAF) ที่จัดขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกลออนไลน์ โดยมีประเทศสมาชิกเข้าร่วม 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบข้อเสนอผลลัพธ์ในปี 2565 ของสาขาคณะทํางานด้านการเกษตรสาขาต่าง ๆ โดยประเทศไทยได้ยกร่าง Guideline on sharing, access to and use of IUU fishing-related information เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประสานงานเครือข่าย AN - IUU ใช้ในการปฏิบัติงานการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประมงที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และเห็นชอบเอกสารของคณะทํางานด้านเกษตรรายสาขา อาทิ คณะทํางานอาเซียนด้านอาหารฮาลาล คณะทํางานอาเซียนด้านปศุสัตว์ คณะทํางานอาเซียนด้านพืช คณะทํางานอาเซียนด้านประมง เป็นต้น ทั้งหมด 25 ฉบับ (endorsement) และรับทราบเอกสาร 4 ฉบับ (notation) สําหรับในด้านปศุสัตว์ ประเทศไทยได้ให้ความสําคัญในกรอบแผนยุทธศาสตร์การควบคุมป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) ภายใต้โครงการความร่วมมือ SEACFMD (South-East Asia and China Foot and Mouth Disease (SEACFMD) Roadmap 2021 - 2025) จึงนําเสนอต่อที่ประชุมว่าเห็นสมควรผลักดันเกี่ยวกับการจัดทําโครงการที่เป็นรูปธรรมในการควบคุมป้องกันโรค FMD ในอาเซียนภายใต้กรอบแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยครอบคลุมถึงโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องการควบคุมโรคระบาดสัตว์อื่น ๆ ด้วย เช่น โรค Lumpy Skin Disease (LSD), African Swine Fever (ASF) เป็นต้น เพื่อให้อาเซียนได้ประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้าความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย เยอรมนี อินเดีย จีน ญี่ปุ่น สาธาณรัฐเกาหลี รัสเซีย FAO, IRRI, World Bank และ OECD โดยประเทศไทยมีความร่วมมือกับ IRRI ในโครงการทดสอบสายพันธุ์ข้าวจากสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศภายใต้โครงการ ASEAN RiceNet (IRRI-bred advanced lines testing under ASEAN Rice NET project) เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณค่า การปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้มีความต้านทาน ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยินดีให้ความร่วมมือกับอาเซียนและประเทศคู่เจรจาเพื่อพัฒนาด้านเกษตรและป่าไม้ในทุกมิติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45082
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” โชว์หลักฐาน อัดอย่ากล่าวหาลอย ๆ อ้างรัฐแฮกระบบโทรศัพท์มือถือ เหน็บอย่าโจมตีไปเรื่อยแล้วค่อยเรียกร้องขอหลักฐานผ่านสื่อ ชี้รังแต่จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2564 โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” โชว์หลักฐาน อัดอย่ากล่าวหาลอย ๆ อ้างรัฐแฮกระบบโทรศัพท์มือถือ เหน็บอย่าโจมตีไปเรื่อยแล้วค่อยเรียกร้องขอหลักฐานผ่านสื่อ ชี้รังแต่จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” โชว์หลักฐาน อัดอย่ากล่าวหาลอย ๆ อ้างรัฐแฮกระบบโทรศัพท์มือถือ เหน็บอย่าโจมตีไปเรื่อยแล้วค่อยเรียกร้องขอหลักฐานผ่านสื่อ ชี้รังแต่จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน นายธนกร วังคงบุญชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่า กลุ่มนักกิจกรรม นักวิชาการ และนักการเมือง ได้รับอีเมลแจ้งเตือนจากบริษัทแอปเปิ้ลว่า หน่วยโจมตีไซเบอร์สนับสนุนโดยรัฐพยายามแฮกระบบโทรศัพท์มือถือว่า ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง รัฐบาลเคารพในสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคเพื่อไทยอ้างว่าได้รับอีเมลแจ้งเตือนจากบริษัทแอปเปิ้ล ก็ควรนําหลักฐานที่อ้างว่ามีอยู่มาแสดงเพื่อดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ไม่ใช่ออกมาแถลงข่าวโจมตีรัฐบาลเสียใหญ่โต แต่กลับบอกว่า ถ้าผู้ถูกคุกคามมีหลักฐานก็สามารถแจ้งเอาผิดรัฐได้ เสมือนเรียกร้องหาหลักฐานผ่านสื่อ เพราะในมือไม่มีหลักฐานอยู่จริง แต่อาศัยจังหวะ เกาะกระแสเพื่อหวังโจมตีรัฐบาล แบบนั้นรังแต่จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้านในสายตาประชาชน ทั้งนี้ หากประชาชนไม่ได้รับคุ้มครองสิทธิเสรีภาพจริง ก็สามารถแจ้งมายังช่องทางต่าง ๆของรัฐได้ รัฐบาลพร้อมจะเร่งดําเนินการตรวจสอบให้ทันที "อยากให้ฝ่ายค้านใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถาม หรือการยื่นญัตติในสภาฯ ซึ่งดีกว่าการออกไปสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวบนท้องถนน เสมือนเลือกแล้วว่ายืนอยู่ข้างประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นฝ่ายค้านเอง ที่จะต้องตกเป็นจําเลยของสังคม" นายธนกร กล่าว .......................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” โชว์หลักฐาน อัดอย่ากล่าวหาลอย ๆ อ้างรัฐแฮกระบบโทรศัพท์มือถือ เหน็บอย่าโจมตีไปเรื่อยแล้วค่อยเรียกร้องขอหลักฐานผ่านสื่อ ชี้รังแต่จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2564 โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” โชว์หลักฐาน อัดอย่ากล่าวหาลอย ๆ อ้างรัฐแฮกระบบโทรศัพท์มือถือ เหน็บอย่าโจมตีไปเรื่อยแล้วค่อยเรียกร้องขอหลักฐานผ่านสื่อ ชี้รังแต่จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” โชว์หลักฐาน อัดอย่ากล่าวหาลอย ๆ อ้างรัฐแฮกระบบโทรศัพท์มือถือ เหน็บอย่าโจมตีไปเรื่อยแล้วค่อยเรียกร้องขอหลักฐานผ่านสื่อ ชี้รังแต่จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน นายธนกร วังคงบุญชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่า กลุ่มนักกิจกรรม นักวิชาการ และนักการเมือง ได้รับอีเมลแจ้งเตือนจากบริษัทแอปเปิ้ลว่า หน่วยโจมตีไซเบอร์สนับสนุนโดยรัฐพยายามแฮกระบบโทรศัพท์มือถือว่า ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง รัฐบาลเคารพในสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคเพื่อไทยอ้างว่าได้รับอีเมลแจ้งเตือนจากบริษัทแอปเปิ้ล ก็ควรนําหลักฐานที่อ้างว่ามีอยู่มาแสดงเพื่อดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ไม่ใช่ออกมาแถลงข่าวโจมตีรัฐบาลเสียใหญ่โต แต่กลับบอกว่า ถ้าผู้ถูกคุกคามมีหลักฐานก็สามารถแจ้งเอาผิดรัฐได้ เสมือนเรียกร้องหาหลักฐานผ่านสื่อ เพราะในมือไม่มีหลักฐานอยู่จริง แต่อาศัยจังหวะ เกาะกระแสเพื่อหวังโจมตีรัฐบาล แบบนั้นรังแต่จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้านในสายตาประชาชน ทั้งนี้ หากประชาชนไม่ได้รับคุ้มครองสิทธิเสรีภาพจริง ก็สามารถแจ้งมายังช่องทางต่าง ๆของรัฐได้ รัฐบาลพร้อมจะเร่งดําเนินการตรวจสอบให้ทันที "อยากให้ฝ่ายค้านใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถาม หรือการยื่นญัตติในสภาฯ ซึ่งดีกว่าการออกไปสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวบนท้องถนน เสมือนเลือกแล้วว่ายืนอยู่ข้างประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นฝ่ายค้านเอง ที่จะต้องตกเป็นจําเลยของสังคม" นายธนกร กล่าว .......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48713
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สถานีกลางบางซื่อ" รองรับกลุ่มเสี่ยง กทม. ถูกเลื่อนนัดหมอพร้อม
วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564 "สถานีกลางบางซื่อ" รองรับกลุ่มเสี่ยง กทม. ถูกเลื่อนนัดหมอพร้อม .... เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19 กันต่อ สําหรับกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจําตัว 7 กลุ่มโรคในพื้นที่ กทม. ที่ได้ลงทะเบียนไว้กับ “หมอพร้อม” แต่ถูกเลื่อนนัดไปก่อนหน้านี้ . ล่าสุดรัฐบาลเปิดสถานีกลางบางซื่อ เป็นสถานที่รองรับประชาชนกลุ่มดังกล่าว โดยได้จัดเตรียมวัคซีนไว้และให้บริการได้ 2,000 คน/วัน แต่ผู้ที่จะไปใช้บริการจะต้องติดต่อนัดหมายวันเวลาการฉีดวัคซีนใหม่ก่อนเดินทางไป ผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์ “หมอพร้อม” ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2792 2333 . ส่วนผู้ที่อยู่ใน กทม. และลงทะเบียน "หมอพร้อม" ไว้ และไม่ได้รับแจ้งให้ "เลื่อนนัด" ยังสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ตามกําหนดเดิม #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ prev next ข่าวที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลเข้ม... แจ้งเตือน... อย่าแชร์... กรุงเทพฯ... ปลื้ม...
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สถานีกลางบางซื่อ" รองรับกลุ่มเสี่ยง กทม. ถูกเลื่อนนัดหมอพร้อม วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564 "สถานีกลางบางซื่อ" รองรับกลุ่มเสี่ยง กทม. ถูกเลื่อนนัดหมอพร้อม .... เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19 กันต่อ สําหรับกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจําตัว 7 กลุ่มโรคในพื้นที่ กทม. ที่ได้ลงทะเบียนไว้กับ “หมอพร้อม” แต่ถูกเลื่อนนัดไปก่อนหน้านี้ . ล่าสุดรัฐบาลเปิดสถานีกลางบางซื่อ เป็นสถานที่รองรับประชาชนกลุ่มดังกล่าว โดยได้จัดเตรียมวัคซีนไว้และให้บริการได้ 2,000 คน/วัน แต่ผู้ที่จะไปใช้บริการจะต้องติดต่อนัดหมายวันเวลาการฉีดวัคซีนใหม่ก่อนเดินทางไป ผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์ “หมอพร้อม” ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2792 2333 . ส่วนผู้ที่อยู่ใน กทม. และลงทะเบียน "หมอพร้อม" ไว้ และไม่ได้รับแจ้งให้ "เลื่อนนัด" ยังสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ตามกําหนดเดิม #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ prev next ข่าวที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลเข้ม... แจ้งเตือน... อย่าแชร์... กรุงเทพฯ... ปลื้ม...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42874
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนำร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจำ ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนําร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจํา ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนําร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจํา ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2021 พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม เปิดเผยว่า สํานักงานกิจการยุติธรรม ในฐานะหน่วยงานผู้แทนกระทรวงยุติธรรม เตรียมร่วมจัดกิจกรรมในงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2564 Thailand Research Expo 2021” ภายใต้แนวคิด วิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยในส่วนของกระทรวงยุติธรรม จะมีการนําเสนอบูธนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ท้าทายของสังคมและสิ่งแวดล้อมในภาคนิทรรศการ ในหัวข้อ “นวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและเป็นธรรม” จํานวน 7 เรื่อง จาก 3 หน่วยงาน อาทิ เรื่อง การนําร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจํา ,โปรแกรมบําบัดแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดผ่านกีฬา, การพัฒนาระบบป้องกันการเสพติดซ้ําของเด็กและเยาวชนผ่านการตรวจสารเสพติดในเส้นผม นอกจากนี้ ยังมีการนําเสนอรายงานการศึกษาวิจัย วารสารกระบวนการยุติธรรม คู่มือ แผ่นพับประชาสัมพันธ์ สมุดภาพ Infographic สื่อความรู้ด้านกฎหมายและ มีกิจกรรมการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม Justice Game อีกทั้ง มีการเสวนาทางวิชาการเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรม ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.00 - 12.00 น. ในหัวข้อ “นวัตกรรมการพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม” ลําดับที่ 23 และวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 เวลา 13.30 - 16.30 น. ในหัวข้อ “นวัตกรรมการพัฒนาพฤตินิสัยและการตรวจพิสูจน์ทางกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์” ลําดับที่ 62 ณ ห้องประชุม Lotus Suite 13 ชั้น 23 โดยมีนักวิจัย นักวิชาการจากหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม และจากสถาบันการศึกษา เข้าร่วมเป็นวิทยากรนําเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรม โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22 - 26 พฤศจิกายน 2564 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ให้ลงทะเบียนเข้าร่วมการประชุมแบบ Onsite และ Online ผ่าน https://thailandresearchexpo2021.com/ ซึ่งรวมถึงผู้ที่จะเข้าร่วมงานแบบ Onsite จะต้องลงทะเบียนยืนยันการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็มด้วย พันตํารวจโท พงษ์ธร เผยอีกว่า ภายในงานยังประกอบด้วยกิจกรรม 2 ส่วน คือ การประชุมสัมมนา อาทิ การประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ในหัวข้อสําคัญสําหรับการบริหารจัดการงานวิจัยและปัญหาสําคัญของประเทศ, การประชุมสัมมนาขนาดกลาง ในหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของสังคม, การประชุมกลุ่มเฉพาะเรื่อง และการนําเสนอบทความผลงานวิจัย ตลอดจนมีการประชุมให้ความรู้ ถ่ายทอดเทคนิค กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย และส่วนที่เป็นการจัดนิทรรศการน้อมรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมถึงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, นิทรรศการผลงานวิจัยและกิจกรรมการวิจัยจากหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ รวมถึง “นิทรรศการรางวัลแห่งเกียรติยศ Platinum Award” และ “นิทรรศการชุมชนเข้มแข็งด้วยวิจัยและนวัตกรรม”, นิทรรศการผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา 2.4 นิทรรศการนําเสนอบทความผลงานวิจัย Thailand Research Expo Symposium 2021
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนำร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจำ ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนําร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจํา ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักงานกิจการยุติธรรม เตรียมโชว์ผลงานเชิงรุก เช่น การนําร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจํา ผ่านแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2021 พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม เปิดเผยว่า สํานักงานกิจการยุติธรรม ในฐานะหน่วยงานผู้แทนกระทรวงยุติธรรม เตรียมร่วมจัดกิจกรรมในงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2564 Thailand Research Expo 2021” ภายใต้แนวคิด วิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยในส่วนของกระทรวงยุติธรรม จะมีการนําเสนอบูธนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ท้าทายของสังคมและสิ่งแวดล้อมในภาคนิทรรศการ ในหัวข้อ “นวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและเป็นธรรม” จํานวน 7 เรื่อง จาก 3 หน่วยงาน อาทิ เรื่อง การนําร่องเพื่อพัฒนามาตรฐานเรือนจํา ,โปรแกรมบําบัดแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดผ่านกีฬา, การพัฒนาระบบป้องกันการเสพติดซ้ําของเด็กและเยาวชนผ่านการตรวจสารเสพติดในเส้นผม นอกจากนี้ ยังมีการนําเสนอรายงานการศึกษาวิจัย วารสารกระบวนการยุติธรรม คู่มือ แผ่นพับประชาสัมพันธ์ สมุดภาพ Infographic สื่อความรู้ด้านกฎหมายและ มีกิจกรรมการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม Justice Game อีกทั้ง มีการเสวนาทางวิชาการเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรม ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.00 - 12.00 น. ในหัวข้อ “นวัตกรรมการพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม” ลําดับที่ 23 และวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 เวลา 13.30 - 16.30 น. ในหัวข้อ “นวัตกรรมการพัฒนาพฤตินิสัยและการตรวจพิสูจน์ทางกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์” ลําดับที่ 62 ณ ห้องประชุม Lotus Suite 13 ชั้น 23 โดยมีนักวิจัย นักวิชาการจากหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม และจากสถาบันการศึกษา เข้าร่วมเป็นวิทยากรนําเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรม โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22 - 26 พฤศจิกายน 2564 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ให้ลงทะเบียนเข้าร่วมการประชุมแบบ Onsite และ Online ผ่าน https://thailandresearchexpo2021.com/ ซึ่งรวมถึงผู้ที่จะเข้าร่วมงานแบบ Onsite จะต้องลงทะเบียนยืนยันการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็มด้วย พันตํารวจโท พงษ์ธร เผยอีกว่า ภายในงานยังประกอบด้วยกิจกรรม 2 ส่วน คือ การประชุมสัมมนา อาทิ การประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ในหัวข้อสําคัญสําหรับการบริหารจัดการงานวิจัยและปัญหาสําคัญของประเทศ, การประชุมสัมมนาขนาดกลาง ในหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของสังคม, การประชุมกลุ่มเฉพาะเรื่อง และการนําเสนอบทความผลงานวิจัย ตลอดจนมีการประชุมให้ความรู้ ถ่ายทอดเทคนิค กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย และส่วนที่เป็นการจัดนิทรรศการน้อมรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมถึงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, นิทรรศการผลงานวิจัยและกิจกรรมการวิจัยจากหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ รวมถึง “นิทรรศการรางวัลแห่งเกียรติยศ Platinum Award” และ “นิทรรศการชุมชนเข้มแข็งด้วยวิจัยและนวัตกรรม”, นิทรรศการผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา 2.4 นิทรรศการนําเสนอบทความผลงานวิจัย Thailand Research Expo Symposium 2021
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. จัดพิธีลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565 รฟม. จัดพิธีลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ... การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม จัดพิธีลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ระหว่าง รฟม. และผู้สังเกตการณ์ ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรม วันนี้ (4 เมษายน 2565) นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. และผู้สังเกตการณ์ ได้ร่วมลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการปฏิบัติสําหรับการนําข้อตกลงคุณธรรมมาใช้กับโครงการร่วมลงทุนที่ดําเนินการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2564 สําหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยได้รับเกียรติจาก นายฐิตพงศ์ พุทธิวุฒิกูล ผู้แทนจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และนายชาญวิทย์ นาคบุรี ผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เข้าร่วมพิธี ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 9 อาคารสํานักงาน รฟม. โดยการลงนามข้อตกลงฯ ในครั้งนี้ เป็นการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ที่เห็นชอบการนําแนวทางการจัดทําข้อตกลงคุณธรรมไปกําหนดใช้โดยอนุโลม สําหรับหน่วยงานของรัฐที่ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างหรือการร่วมลงทุนภายใต้กฎหมายอื่นนอกเหนือจากพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ต้องดําเนินการตามแนวทางดังกล่าวด้วย เนื่องจากเป็นโครงการร่วมลงทุนขนาดใหญ่ และมีผลกระทบโดยตรงต่อประโยชน์สาธารณะ สําหรับแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงคุณธรรม จะมีผู้สังเกตการณ์ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ที่จําเป็นต่อการคัดเลือกเอกชนของโครงการ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 6 ท่าน ได้แก่ นายอนันต์ เกษเกษมสุข ดร.สุวัฒน์ วาณีสุบุตร นางสาวอรสา จินาวัฒน์ นายชาญชัย พงศ์ภัสสร นายกิตติเดช ฉันทังกูล และนายการุณ เลาหรัชตนันท์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทํา ร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสําหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน รวมไปถึงขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีแนวเส้นทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานคร ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร แบ่งเป็นส่วนตะวันออก (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 22.5 กิโลเมตร จํานวน 17 สถานี (สถานีใต้ดิน 10 สถานี และสถานียกระดับ 7 สถานี) และส่วนตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร จํานวน 11 สถานี (สถานีใต้ดินตลอดสาย) โดยการนําข้อตกลงคุณธรรมฯ มาใช้ในการดําเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของ รฟม. ในการที่จะดําเนินงานโครงการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และปลอดการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ และประเทศไทยต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. จัดพิธีลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565 รฟม. จัดพิธีลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ... การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม จัดพิธีลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ระหว่าง รฟม. และผู้สังเกตการณ์ ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรม วันนี้ (4 เมษายน 2565) นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. และผู้สังเกตการณ์ ได้ร่วมลงนามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการปฏิบัติสําหรับการนําข้อตกลงคุณธรรมมาใช้กับโครงการร่วมลงทุนที่ดําเนินการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2564 สําหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยได้รับเกียรติจาก นายฐิตพงศ์ พุทธิวุฒิกูล ผู้แทนจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และนายชาญวิทย์ นาคบุรี ผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เข้าร่วมพิธี ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 9 อาคารสํานักงาน รฟม. โดยการลงนามข้อตกลงฯ ในครั้งนี้ เป็นการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ที่เห็นชอบการนําแนวทางการจัดทําข้อตกลงคุณธรรมไปกําหนดใช้โดยอนุโลม สําหรับหน่วยงานของรัฐที่ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างหรือการร่วมลงทุนภายใต้กฎหมายอื่นนอกเหนือจากพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ต้องดําเนินการตามแนวทางดังกล่าวด้วย เนื่องจากเป็นโครงการร่วมลงทุนขนาดใหญ่ และมีผลกระทบโดยตรงต่อประโยชน์สาธารณะ สําหรับแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงคุณธรรม จะมีผู้สังเกตการณ์ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ที่จําเป็นต่อการคัดเลือกเอกชนของโครงการ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 6 ท่าน ได้แก่ นายอนันต์ เกษเกษมสุข ดร.สุวัฒน์ วาณีสุบุตร นางสาวอรสา จินาวัฒน์ นายชาญชัย พงศ์ภัสสร นายกิตติเดช ฉันทังกูล และนายการุณ เลาหรัชตนันท์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทํา ร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสําหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน รวมไปถึงขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีแนวเส้นทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานคร ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร แบ่งเป็นส่วนตะวันออก (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 22.5 กิโลเมตร จํานวน 17 สถานี (สถานีใต้ดิน 10 สถานี และสถานียกระดับ 7 สถานี) และส่วนตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร จํานวน 11 สถานี (สถานีใต้ดินตลอดสาย) โดยการนําข้อตกลงคุณธรรมฯ มาใช้ในการดําเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของ รฟม. ในการที่จะดําเนินงานโครงการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และปลอดการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ และประเทศไทยต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53274
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA ขนาด 1,200 เตียง
วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2564 สธ. เปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA ขนาด 1,200 เตียง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA ขนาด 1,200 เตียง ที่ได้รับการสนับสนุนสถานที่จาก บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA ขนาด 1,200 เตียง ที่ได้รับการสนับสนุนสถานที่จาก บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ รองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวในจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมมีแผนใช้อาคาร A ตั้งโรงพยาบาลสนามสําหรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง ประกาศไม่รับเงินเดือน 3 เดือนตามแนวทางท่านนายกรัฐมนตรี วันนี้ (9 กรกฎาคม 2564) ที่ อาคารคลังสินค้า โครงการ WHA Mega Logistics Center Chonlaharnpichitจ.สมุทรปราการ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรปราการ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ใน จ.สมุทรปราการ ร่วมเปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขขอบคุณ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)ที่สนับสนุนพื้นที่อาคารคลังสินค้า อาคาร C และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ หน่วยราชการ และภาคเอกชนในการจัดตั้ง และสนับสนุนอุปกรณ์โรงพยาบาลสนาม ขนาด 1,200 เตียง รองรับผู้ป่วยโควิด19กลุ่มสีเขียวในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยมีโรงพยาบาลสมุทรปราการและโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัด จัดบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดวัคซีนแล้วหมุนเวียนปฏิบัติงานประมาณ 40 คนต่อวัน และในช่วงเย็นวันนี้ได้เปิดรับผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกจํานวน 100 คน นายอนุทินกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนให้ใช้พื้นที่อาคาร A เพื่อเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามที่รับผู้ป่วยที่มีอาการในกลุ่มสีเหลือง จึงมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเข้าไปวางระบบ ซึ่งโรงพยาบาลสนามทั้ง 2 แห่งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้ลดความแออัดในการบริหารจัดการเตียงในโรงพยาบาล เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดงที่มีอาการหนักได้เพิ่มมากขึ้น “รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้การรักษาพยาบาลและดูแลผู้ติดเชื้อให้ถึงมือหมอ และได้รับยาโดยเร็วที่สุดขอยืนยันว่าขณะนี้ ยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์มีเพียงพอที่จะดูแลผู้ป่วย สิ่งต้องการที่สุดคือความร่วมมือร่วมใจของประชาชนที่จะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อ” นายอนุทินกล่าว นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงคมนาคมได้เร่งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่เทียบเท่าโรงพยาบาลบุษราคัม โดยใช้อาคาร แซทเทิลไลท์ 1 ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขนาด 5,000 เตียง เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเหลืองได้เพิ่มมากขึ้น สําคัญที่สุดคือจะเร่งทําการฉีดวัคซีนโควิด 19ให้กับผู้สูงอายุและในกลุ่มผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังให้ได้มากที่สุดภายในเดือนกรกฎาคม นี้โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต และตนยินดีไม่รับเงินเดือนเป็นเวลา 3 เดือนตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศ เนื่องจากเป็นทีมงานเดียวกัน ************************************ 8 กรกฎาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA ขนาด 1,200 เตียง วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2564 สธ. เปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA ขนาด 1,200 เตียง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA ขนาด 1,200 เตียง ที่ได้รับการสนับสนุนสถานที่จาก บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA ขนาด 1,200 เตียง ที่ได้รับการสนับสนุนสถานที่จาก บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ รองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวในจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมมีแผนใช้อาคาร A ตั้งโรงพยาบาลสนามสําหรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง ประกาศไม่รับเงินเดือน 3 เดือนตามแนวทางท่านนายกรัฐมนตรี วันนี้ (9 กรกฎาคม 2564) ที่ อาคารคลังสินค้า โครงการ WHA Mega Logistics Center Chonlaharnpichitจ.สมุทรปราการ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรปราการ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ใน จ.สมุทรปราการ ร่วมเปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 WHA นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขขอบคุณ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)ที่สนับสนุนพื้นที่อาคารคลังสินค้า อาคาร C และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ หน่วยราชการ และภาคเอกชนในการจัดตั้ง และสนับสนุนอุปกรณ์โรงพยาบาลสนาม ขนาด 1,200 เตียง รองรับผู้ป่วยโควิด19กลุ่มสีเขียวในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยมีโรงพยาบาลสมุทรปราการและโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัด จัดบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดวัคซีนแล้วหมุนเวียนปฏิบัติงานประมาณ 40 คนต่อวัน และในช่วงเย็นวันนี้ได้เปิดรับผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกจํานวน 100 คน นายอนุทินกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนให้ใช้พื้นที่อาคาร A เพื่อเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามที่รับผู้ป่วยที่มีอาการในกลุ่มสีเหลือง จึงมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเข้าไปวางระบบ ซึ่งโรงพยาบาลสนามทั้ง 2 แห่งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้ลดความแออัดในการบริหารจัดการเตียงในโรงพยาบาล เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดงที่มีอาการหนักได้เพิ่มมากขึ้น “รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้การรักษาพยาบาลและดูแลผู้ติดเชื้อให้ถึงมือหมอ และได้รับยาโดยเร็วที่สุดขอยืนยันว่าขณะนี้ ยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์มีเพียงพอที่จะดูแลผู้ป่วย สิ่งต้องการที่สุดคือความร่วมมือร่วมใจของประชาชนที่จะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อ” นายอนุทินกล่าว นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงคมนาคมได้เร่งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่เทียบเท่าโรงพยาบาลบุษราคัม โดยใช้อาคาร แซทเทิลไลท์ 1 ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขนาด 5,000 เตียง เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเหลืองได้เพิ่มมากขึ้น สําคัญที่สุดคือจะเร่งทําการฉีดวัคซีนโควิด 19ให้กับผู้สูงอายุและในกลุ่มผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังให้ได้มากที่สุดภายในเดือนกรกฎาคม นี้โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต และตนยินดีไม่รับเงินเดือนเป็นเวลา 3 เดือนตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศ เนื่องจากเป็นทีมงานเดียวกัน ************************************ 8 กรกฎาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดงาน “Thailand International Health Expo 2022” โชว์ศักยภาพด้านการแพทย์สาธารณสุข เชื่อมโยงธุรกิจสุขภาพ ไทย – นานาชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 สธ.จัดงาน “Thailand International Health Expo 2022” โชว์ศักยภาพด้านการแพทย์สาธารณสุข เชื่อมโยงธุรกิจสุขภาพ ไทย – นานาชาติ กระทรวงสาธารณสุขร่วมหน่วยงานพันธมิตร จัดงาน “Thailand International Health Expo 2022”แสดงศักยภาพ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ยกระดับและเพิ่มมูลค่า ให้แก่ สมุนไพรไทย การแพทย์แผนไทย และภูมิปัญญาไทย กระทรวงสาธารณสุขร่วมหน่วยงานพันธมิตร จัดงาน “Thailand International Health Expo 2022”แสดงศักยภาพ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้แก่ สมุนไพรไทยการแพทย์แผนไทย และภูมิปัญญาไทย เชื่อมโยงธุรกิจสุขภาพกับทั่วโลกช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของโลก วันนี้ (3 มีนาคม 2565) ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพนายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ และผู้บริหารโรงพยาบาลและสถานประกอบการร่วมแถลงข่าวการจัดงานThailand International Health Expo 2022 ภายใต้แนวคิด “สร้างสุขภาพ เสริมเศรษฐกิจเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน” นอกจากนี้ได้รับเกียรติจากเลขาธิการองค์การอนามัยโลก (WHO)(Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus) ร่วมประกาศความเชื่อมั่นในสถานการณ์โรคโควิด 19 และระบบวัคซีนของโลก นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลได้ส่งเสริมและผลักดันนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของโลก (Medical and Wellness Hub) ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพของสถานบริการสุขภาพทุกระดับให้ได้คุณภาพมาตรฐาน มีระบบการจัดการโรคติดต่อและวัคซีนที่ดี การจัดงาน “Thailand International Health Expo 2022” ครั้งนี้ จะทําให้เห็นถึงศักยภาพ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย รวมถึงยกระดับและเพิ่มมูลค่า ให้กับ สมุนไพรไทย การแพทย์แผนไทยและภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพแบบไทย โดยเฉพาะกัญชาที่มีการปลดล็อคให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่จะนํามาพัฒนาเป็น ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ สร้างรายได้ให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ เกิดการส่งเสริมและการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การแพทย์ การสาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นวัตกรรมทางการแพทย์ยุคใหม่ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงกับตลาดธุรกิจสุขภาพทั่วโลก โดยคาดหวังว่าการจัดงานครั้งนี้จะสร้างมูลค่าจากการให้บริการ Magnet ที่มีศักยภาพดึงดูดผู้รับบริการ การจับคู่เจรจาทางธุรกิจ และการเผยแพร่ภาพลักษณ์ชื่อเสียงด้านสุขภาพที่ดีของไทยสู่สากล และทําให้การท่องเที่ยวของไทยกลับมาสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพผ่านโครงการสําคัญต่างๆ อาทิ การเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานSpecialised Expo ในปี 2571 ภายใต้ชื่องาน Expo 2028 – Phuket, Thailand การเตรียมพร้อมสู่การเป็นเมืองมหาอํานาจเวลเนสของโลกในเขตอันดามัน (Andaman Wellness Corridor: AWC) รวมถึงการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปคในปี 2565 นี้ ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า งานThailand International Health Expo 2022 ครั้งนี้จัดขึ้นในลักษณะห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา ในรูปแบบ HYBRIDEXPO ภายใต้ ธีมหลัก “Empowering Smart Healthcare Innovations การขับเคลื่อนนวัตกรรมการดูแลสุขภาพอัจฉริยะ”มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การประชุมสัมมนาด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์, การจัดแสดงSmart Healthcare Innovation Showcase เช่น 5G Technology ระบบนิเวศเทคโนโลยีสนับสนุนการบริการสุขภาพ (Health Service Support : HSS Ecosystem), คอมมูนิตี้สําหรับวัยเกษียณ, นวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุ มหัศจรรย์แห่งกัญชาและสมุนไพร เป็นต้น โดยดําเนินการตามมาตรการ COVID Free Setting อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังมีบริการด้านสาธารณสุข และฉีดวัคซีนโควิด 19 ฟรี ในเด็กอายุ 5 – 11 ปี และเข็มกระตุ้นสําหรับบุคคลทั่วไป รวม 1,000 โดสต่อวัน ส่วนรูปแบบออนไลน์ประกอบด้วยนิทรรศการเสมือนจริง, สัมมนา, E-Market Place ,จับคู่เจรจาธุรกิจ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานทั้งไทยและต่างชาติกว่า 50,000 คน โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 มีนาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์http://www.thailandhealthexpo.com Facebook : Thailand International Health Expo 2022หรืออีเมล์[email protected] ************************************** 3 มีนาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดงาน “Thailand International Health Expo 2022” โชว์ศักยภาพด้านการแพทย์สาธารณสุข เชื่อมโยงธุรกิจสุขภาพ ไทย – นานาชาติ วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 สธ.จัดงาน “Thailand International Health Expo 2022” โชว์ศักยภาพด้านการแพทย์สาธารณสุข เชื่อมโยงธุรกิจสุขภาพ ไทย – นานาชาติ กระทรวงสาธารณสุขร่วมหน่วยงานพันธมิตร จัดงาน “Thailand International Health Expo 2022”แสดงศักยภาพ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ยกระดับและเพิ่มมูลค่า ให้แก่ สมุนไพรไทย การแพทย์แผนไทย และภูมิปัญญาไทย กระทรวงสาธารณสุขร่วมหน่วยงานพันธมิตร จัดงาน “Thailand International Health Expo 2022”แสดงศักยภาพ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้แก่ สมุนไพรไทยการแพทย์แผนไทย และภูมิปัญญาไทย เชื่อมโยงธุรกิจสุขภาพกับทั่วโลกช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของโลก วันนี้ (3 มีนาคม 2565) ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพนายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ และผู้บริหารโรงพยาบาลและสถานประกอบการร่วมแถลงข่าวการจัดงานThailand International Health Expo 2022 ภายใต้แนวคิด “สร้างสุขภาพ เสริมเศรษฐกิจเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน” นอกจากนี้ได้รับเกียรติจากเลขาธิการองค์การอนามัยโลก (WHO)(Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus) ร่วมประกาศความเชื่อมั่นในสถานการณ์โรคโควิด 19 และระบบวัคซีนของโลก นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลได้ส่งเสริมและผลักดันนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของโลก (Medical and Wellness Hub) ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพของสถานบริการสุขภาพทุกระดับให้ได้คุณภาพมาตรฐาน มีระบบการจัดการโรคติดต่อและวัคซีนที่ดี การจัดงาน “Thailand International Health Expo 2022” ครั้งนี้ จะทําให้เห็นถึงศักยภาพ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย รวมถึงยกระดับและเพิ่มมูลค่า ให้กับ สมุนไพรไทย การแพทย์แผนไทยและภูมิปัญญาในการดูแลรักษาสุขภาพแบบไทย โดยเฉพาะกัญชาที่มีการปลดล็อคให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่จะนํามาพัฒนาเป็น ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ สร้างรายได้ให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ เกิดการส่งเสริมและการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การแพทย์ การสาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นวัตกรรมทางการแพทย์ยุคใหม่ รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงกับตลาดธุรกิจสุขภาพทั่วโลก โดยคาดหวังว่าการจัดงานครั้งนี้จะสร้างมูลค่าจากการให้บริการ Magnet ที่มีศักยภาพดึงดูดผู้รับบริการ การจับคู่เจรจาทางธุรกิจ และการเผยแพร่ภาพลักษณ์ชื่อเสียงด้านสุขภาพที่ดีของไทยสู่สากล และทําให้การท่องเที่ยวของไทยกลับมาสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพผ่านโครงการสําคัญต่างๆ อาทิ การเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานSpecialised Expo ในปี 2571 ภายใต้ชื่องาน Expo 2028 – Phuket, Thailand การเตรียมพร้อมสู่การเป็นเมืองมหาอํานาจเวลเนสของโลกในเขตอันดามัน (Andaman Wellness Corridor: AWC) รวมถึงการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปคในปี 2565 นี้ ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า งานThailand International Health Expo 2022 ครั้งนี้จัดขึ้นในลักษณะห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา ในรูปแบบ HYBRIDEXPO ภายใต้ ธีมหลัก “Empowering Smart Healthcare Innovations การขับเคลื่อนนวัตกรรมการดูแลสุขภาพอัจฉริยะ”มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การประชุมสัมมนาด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์, การจัดแสดงSmart Healthcare Innovation Showcase เช่น 5G Technology ระบบนิเวศเทคโนโลยีสนับสนุนการบริการสุขภาพ (Health Service Support : HSS Ecosystem), คอมมูนิตี้สําหรับวัยเกษียณ, นวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุ มหัศจรรย์แห่งกัญชาและสมุนไพร เป็นต้น โดยดําเนินการตามมาตรการ COVID Free Setting อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังมีบริการด้านสาธารณสุข และฉีดวัคซีนโควิด 19 ฟรี ในเด็กอายุ 5 – 11 ปี และเข็มกระตุ้นสําหรับบุคคลทั่วไป รวม 1,000 โดสต่อวัน ส่วนรูปแบบออนไลน์ประกอบด้วยนิทรรศการเสมือนจริง, สัมมนา, E-Market Place ,จับคู่เจรจาธุรกิจ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานทั้งไทยและต่างชาติกว่า 50,000 คน โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 มีนาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์http://www.thailandhealthexpo.com Facebook : Thailand International Health Expo 2022หรืออีเมล์[email protected] ************************************** 3 มีนาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52150
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม” (นบส.คค.) รุ่นที่ 4
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม” (นบส.คค.) รุ่นที่ 4 ในวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ณ อาคารสโมสรและหอประชุมกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักบริหารทั้งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม” (นบส.คค.) รุ่นที่ 4 ในวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ณ อาคารสโมสรและหอประชุมกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักบริหารทั้งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม นอกสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานเอกชน มีความสามารถในการรองรับภารกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งได้รับการพัฒนาสมรรถนะด้านการบริหารที่สําคัญ สามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานต่อไป นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม ภายใต้นโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ความสําคัญกับการพัฒนาบุคลากรเป็นสําคัญ เนื่องจากบุคลากรจะเป็นฟันเฟืองสําคัญที่จะผลักดันนโยบายต่าง ๆ ไปสู่ภาคปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ความสัมพันธ์และเครือข่ายที่จะเกิดขึ้นหลังจากการอบรมในครั้งนี้ จะช่วยให้นักบริหารทุกท่านสามารถแก้ไขปัญหา อุปสรรค ได้สําเร็จลุล่วงและเป็นไปตามเป้าหมายของงานที่ตั้งไว้ นอกจากวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม ซึ่งเป็นความคาดหวังของหลักสูตรที่ทุกท่านรับทราบอยู่แล้ว ขอให้ทุกท่านที่เข้ารับการฝึกอบรม ตระหนักและนําความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากวิทยากรไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล รอบรู้เรื่องหลักการบริหาร สามารถเป็นผู้นํายุคใหม่ที่มีความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์ กระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม” (นบส.คค.) รุ่นที่ 4 ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน - 19 สิงหาคม 2565 โดยมีข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม นอกสังกัดกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานเอกชน เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 41 คน จัดฝึกอบรมในรูปแบบไฮบริด โดยเป็นการฝึกอบรมและสัมมนาร่วมกันทั้งรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของนักบริหาร ยกระดับความรู้และความเข้าใจให้สามารถนําไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานได้ รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักบริหารได้ศึกษาพัฒนาความรู้ ทักษะ ทัศนคติ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ การพูดและการแสดงออกที่เหมาะสม เพื่อให้มีความพร้อมทางด้านภาวะผู้นําและความสามารถทางการบริหาร สามารถบริหารจัดการตนเอง รวมทั้งการเสริมสร้างประสบการณ์นักบริหารเชิงประจักษ์ และการรับฟังการบรรยายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งจากวิทยากรต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม” (นบส.คค.) รุ่นที่ 4 วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม” (นบส.คค.) รุ่นที่ 4 ในวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ณ อาคารสโมสรและหอประชุมกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักบริหารทั้งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม” (นบส.คค.) รุ่นที่ 4 ในวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ณ อาคารสโมสรและหอประชุมกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักบริหารทั้งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม นอกสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานเอกชน มีความสามารถในการรองรับภารกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งได้รับการพัฒนาสมรรถนะด้านการบริหารที่สําคัญ สามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานต่อไป นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม ภายใต้นโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ความสําคัญกับการพัฒนาบุคลากรเป็นสําคัญ เนื่องจากบุคลากรจะเป็นฟันเฟืองสําคัญที่จะผลักดันนโยบายต่าง ๆ ไปสู่ภาคปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ความสัมพันธ์และเครือข่ายที่จะเกิดขึ้นหลังจากการอบรมในครั้งนี้ จะช่วยให้นักบริหารทุกท่านสามารถแก้ไขปัญหา อุปสรรค ได้สําเร็จลุล่วงและเป็นไปตามเป้าหมายของงานที่ตั้งไว้ นอกจากวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม ซึ่งเป็นความคาดหวังของหลักสูตรที่ทุกท่านรับทราบอยู่แล้ว ขอให้ทุกท่านที่เข้ารับการฝึกอบรม ตระหนักและนําความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากวิทยากรไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล รอบรู้เรื่องหลักการบริหาร สามารถเป็นผู้นํายุคใหม่ที่มีความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์ กระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม” (นบส.คค.) รุ่นที่ 4 ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน - 19 สิงหาคม 2565 โดยมีข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม นอกสังกัดกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานเอกชน เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 41 คน จัดฝึกอบรมในรูปแบบไฮบริด โดยเป็นการฝึกอบรมและสัมมนาร่วมกันทั้งรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ เพื่อเพิ่มศักยภาพของนักบริหาร ยกระดับความรู้และความเข้าใจให้สามารถนําไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานได้ รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักบริหารได้ศึกษาพัฒนาความรู้ ทักษะ ทัศนคติ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ การพูดและการแสดงออกที่เหมาะสม เพื่อให้มีความพร้อมทางด้านภาวะผู้นําและความสามารถทางการบริหาร สามารถบริหารจัดการตนเอง รวมทั้งการเสริมสร้างประสบการณ์นักบริหารเชิงประจักษ์ และการรับฟังการบรรยายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งจากวิทยากรต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55444
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เปิด 13 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2565 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำในฤดูฝนปี 65 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้งปี 65 - 66
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565 ครม. เปิด 13 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2565 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ําในฤดูฝนปี 65 และการกักเก็บน้ําเพื่อฤดูแล้งปี 65 - 66 ครม. เปิด 13 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2565 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ําในฤดูฝนปี 65 และการกักเก็บน้ําเพื่อฤดูแล้งปี 65 - 66 วันที่ 3 พฤษภาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2565 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในช่วงฤดูฝน ปี 2565 และการกักเก็บน้ําเพื่อฤดูแล้ง ปี 2565/2566 โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนปฏิบัติการตามมาตรการต่อไป ประกอบด้วย 13 มาตรการ ดังนี้ มาตรการที่ 1 คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ (เดือนมีนาคม 2565 เป็นต้นไป) โดยประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมในช่วงเดือนมีนาคม - ธันวาคม 2565 และ ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําจากภาวะฝนน้อยกว่าค่าปกติ และฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2565 เพื่อให้หน่วยงานนําไปกําหนดแผนปฏิบัติการเพื่อดําเนินการในเชิงป้องกันล่วงหน้าในพื้นที่เสี่ยง มาตรการที่ 2 การบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําเพื่อรองรับน้ําหลาก (ภายในเดือนสิงหาคม 2565) โดยจัดทําแผนการใช้พื้นที่ลุ่มต่ํา/แก้มลิงเพื่อรองรับน้ําหลากและเป็นพื้นที่หน่วงน้ํา1ในช่วงฤดูน้ําหลาก บริหารจัดการเพื่อป้องกันและบรรเทาระดับความรุนแรงของน้ําท่วม รวมถึงจัดทําแผนเก็บกักน้ําไว้ใช้ก่อนสิ้นฤดูฝน เช่น พื้นที่ทุ่งบางระกํา และพื้นที่ลุ่มต่ําลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่าง รวมทั้งกําหนดหลักเกณฑ์การใช้พื้นที่ลุ่มต่ําเป็นพื้นที่รับน้ํานองและการจ่ายเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหาย มาตรการที่ 3 ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ําในแหล่งน้ําขนาดใหญ่ - กลาง และเขื่อนระบายน้ํา (ภายในเดือนเมษายน 2565) ติดตามสถานการณ์น้ําในแหล่งน้ําขนาดใหญ่ - กลาง เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการบริหารจัดการน้ําให้เป็นไปตามเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ําหรือเกณฑ์ควบคุม จัดทําแผนการบริหารจัดการน้ําแหล่งน้ําขนาดใหญ่ - กลาง ในช่วงภาวะวิกฤติ มาตรการที่ 4 ซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์/ระบบระบายน้ํา สถานีโทรมาตรให้พร้อมใช้งาน (ภายในเดือนกรกฎาคม 2565) ตรวจสอบสภาพความมั่นคงและซ่อมแซมอ่างเก็บน้ํา อาคารควบคุมบังคับน้ํา รวมทั้งระบบระบายน้ํา มาตรการที่ 5 ปรับปรุง แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ํา (ภายในเดือนกรกฎาคม 2565) สํารวจและจัดทําแผนดําเนินการกําจัดสิ่งกีดขวางทางน้ําที่เกิดจากการก่อสร้างและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการพื้นที่น้ําท่วม/พื้นที่ชะลอน้ํา และการปรับปรุงคูคลองเพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ําและระบายน้ําได้อย่างสะดวกรวดเร็ว มาตรการที่ 6 ขุดลอกคูคลองและกําจัดผักตบชวา (ภายในเดือนกรกฎาคม 2565) จัดทําแผนบูรณาการด้านเครื่องจักร เครื่องมือ/สารชีวภัณฑ์ ในการกําจัดผักตบชวาและวัชพืช และดําเนินการขุดลอกคูคลอง ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนประชาชนในชุมชนช่วยกันจัดเก็บหรือกําจัดผักตบชวา มาตรการที่ 7 เตรียมพร้อม/วางแผนเครื่องจักร เครื่องมือประจําพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ (ภายในเดือนกรกฎาคม 2565) เตรียมความพร้อมแผนป้องกัน แผนเผชิญเหตุ ความพร้อมด้านบุคลากร เครื่องจักร พร้อมใช้งานเฝ้าระวังสถานการณ์น้ําท่วม ฝนน้อยกว่าค่าปกติ ฝนทิ้งช่วง สําหรับให้ความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง ปฏิบัติการฝนหลวงในช่วงฝนทิ้งช่วง มาตรการที่ 8 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําและปรับปรุงวิธีการส่งน้ํา (ก่อนฤดูฝน-ตลอดช่วงฤดูฝน) วางแผนการจัดสรรน้ําให้สอดคล้องกับปริมาณน้ําต้นทุน ลดการสูญเสียน้ําโดยการปรับปรุงวิธีการส่งน้ําและซ่อมแซมระบบการส่งน้ําเพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้น้ําให้ได้ประโยชน์สูงสุด มาตรการที่ 9 ตรวจความมั่นคงและปลอดภัยคัน/ทํานบ/พนังกั้นน้ํา (ก่อนฤดูฝน-ตลอดช่วงฤดูฝน) ตรวจสอบความมั่นคง แข็งแรงของคันกั้นน้ํา ทํานบ และพนังกั้นน้ํา และซ่อมแซม/ปรับปรุงให้มีสภาพดี มาตรการที่ 10 จัดเตรียมพื้นที่อพยพและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ (ภายในเดือนพฤษภาคม 2565) จัดเตรียมพื้นที่อพยพและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับต่าง ๆ อย่างน้อยภาคละ 1 พื้นที่ มาตรการที่ 11 ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย (ตลอดช่วงฤดูฝน) มาตรการที่ 12 การสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ (ก่อนฤดูฝน-ตลอดช่วงฤดูฝน) สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์เครือข่ายต่าง ๆ และประชาชน มาตรการที่ 13 ติดตาม ประเมินผล และปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย (ตลอดช่วงฤดูฝน) ทั้งนี้ มาตรการที่ 9 - 11 เป็นมาตรการเพิ่มเติมจากมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โดยทั้ง 13 มาตรการ เป็นการบูรณาการทํางานของทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร ครอบคลุมทั้งการวางแผน การซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ เช่น อาคารบังคับน้ํา ประตูระบายน้ํา แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ํา และกําจัดผักตบชวา ขุดลอกคูคลอง เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ รวมทั้งเพิ่มปริมาณน้ําต้นทุนเพื่อเก็บกักไว้ใช้ช่วงฤดูแล้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรียังกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัยด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เปิด 13 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2565 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำในฤดูฝนปี 65 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้งปี 65 - 66 วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565 ครม. เปิด 13 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2565 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ําในฤดูฝนปี 65 และการกักเก็บน้ําเพื่อฤดูแล้งปี 65 - 66 ครม. เปิด 13 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2565 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ําในฤดูฝนปี 65 และการกักเก็บน้ําเพื่อฤดูแล้งปี 65 - 66 วันที่ 3 พฤษภาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2565 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในช่วงฤดูฝน ปี 2565 และการกักเก็บน้ําเพื่อฤดูแล้ง ปี 2565/2566 โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนปฏิบัติการตามมาตรการต่อไป ประกอบด้วย 13 มาตรการ ดังนี้ มาตรการที่ 1 คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ (เดือนมีนาคม 2565 เป็นต้นไป) โดยประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมในช่วงเดือนมีนาคม - ธันวาคม 2565 และ ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําจากภาวะฝนน้อยกว่าค่าปกติ และฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2565 เพื่อให้หน่วยงานนําไปกําหนดแผนปฏิบัติการเพื่อดําเนินการในเชิงป้องกันล่วงหน้าในพื้นที่เสี่ยง มาตรการที่ 2 การบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําเพื่อรองรับน้ําหลาก (ภายในเดือนสิงหาคม 2565) โดยจัดทําแผนการใช้พื้นที่ลุ่มต่ํา/แก้มลิงเพื่อรองรับน้ําหลากและเป็นพื้นที่หน่วงน้ํา1ในช่วงฤดูน้ําหลาก บริหารจัดการเพื่อป้องกันและบรรเทาระดับความรุนแรงของน้ําท่วม รวมถึงจัดทําแผนเก็บกักน้ําไว้ใช้ก่อนสิ้นฤดูฝน เช่น พื้นที่ทุ่งบางระกํา และพื้นที่ลุ่มต่ําลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่าง รวมทั้งกําหนดหลักเกณฑ์การใช้พื้นที่ลุ่มต่ําเป็นพื้นที่รับน้ํานองและการจ่ายเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหาย มาตรการที่ 3 ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ําในแหล่งน้ําขนาดใหญ่ - กลาง และเขื่อนระบายน้ํา (ภายในเดือนเมษายน 2565) ติดตามสถานการณ์น้ําในแหล่งน้ําขนาดใหญ่ - กลาง เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการบริหารจัดการน้ําให้เป็นไปตามเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ําหรือเกณฑ์ควบคุม จัดทําแผนการบริหารจัดการน้ําแหล่งน้ําขนาดใหญ่ - กลาง ในช่วงภาวะวิกฤติ มาตรการที่ 4 ซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์/ระบบระบายน้ํา สถานีโทรมาตรให้พร้อมใช้งาน (ภายในเดือนกรกฎาคม 2565) ตรวจสอบสภาพความมั่นคงและซ่อมแซมอ่างเก็บน้ํา อาคารควบคุมบังคับน้ํา รวมทั้งระบบระบายน้ํา มาตรการที่ 5 ปรับปรุง แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ํา (ภายในเดือนกรกฎาคม 2565) สํารวจและจัดทําแผนดําเนินการกําจัดสิ่งกีดขวางทางน้ําที่เกิดจากการก่อสร้างและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการพื้นที่น้ําท่วม/พื้นที่ชะลอน้ํา และการปรับปรุงคูคลองเพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ําและระบายน้ําได้อย่างสะดวกรวดเร็ว มาตรการที่ 6 ขุดลอกคูคลองและกําจัดผักตบชวา (ภายในเดือนกรกฎาคม 2565) จัดทําแผนบูรณาการด้านเครื่องจักร เครื่องมือ/สารชีวภัณฑ์ ในการกําจัดผักตบชวาและวัชพืช และดําเนินการขุดลอกคูคลอง ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนประชาชนในชุมชนช่วยกันจัดเก็บหรือกําจัดผักตบชวา มาตรการที่ 7 เตรียมพร้อม/วางแผนเครื่องจักร เครื่องมือประจําพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ (ภายในเดือนกรกฎาคม 2565) เตรียมความพร้อมแผนป้องกัน แผนเผชิญเหตุ ความพร้อมด้านบุคลากร เครื่องจักร พร้อมใช้งานเฝ้าระวังสถานการณ์น้ําท่วม ฝนน้อยกว่าค่าปกติ ฝนทิ้งช่วง สําหรับให้ความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง ปฏิบัติการฝนหลวงในช่วงฝนทิ้งช่วง มาตรการที่ 8 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําและปรับปรุงวิธีการส่งน้ํา (ก่อนฤดูฝน-ตลอดช่วงฤดูฝน) วางแผนการจัดสรรน้ําให้สอดคล้องกับปริมาณน้ําต้นทุน ลดการสูญเสียน้ําโดยการปรับปรุงวิธีการส่งน้ําและซ่อมแซมระบบการส่งน้ําเพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้น้ําให้ได้ประโยชน์สูงสุด มาตรการที่ 9 ตรวจความมั่นคงและปลอดภัยคัน/ทํานบ/พนังกั้นน้ํา (ก่อนฤดูฝน-ตลอดช่วงฤดูฝน) ตรวจสอบความมั่นคง แข็งแรงของคันกั้นน้ํา ทํานบ และพนังกั้นน้ํา และซ่อมแซม/ปรับปรุงให้มีสภาพดี มาตรการที่ 10 จัดเตรียมพื้นที่อพยพและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ (ภายในเดือนพฤษภาคม 2565) จัดเตรียมพื้นที่อพยพและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับต่าง ๆ อย่างน้อยภาคละ 1 พื้นที่ มาตรการที่ 11 ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย (ตลอดช่วงฤดูฝน) มาตรการที่ 12 การสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ (ก่อนฤดูฝน-ตลอดช่วงฤดูฝน) สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์เครือข่ายต่าง ๆ และประชาชน มาตรการที่ 13 ติดตาม ประเมินผล และปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย (ตลอดช่วงฤดูฝน) ทั้งนี้ มาตรการที่ 9 - 11 เป็นมาตรการเพิ่มเติมจากมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โดยทั้ง 13 มาตรการ เป็นการบูรณาการทํางานของทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร ครอบคลุมทั้งการวางแผน การซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ เช่น อาคารบังคับน้ํา ประตูระบายน้ํา แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ํา และกําจัดผักตบชวา ขุดลอกคูคลอง เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ รวมทั้งเพิ่มปริมาณน้ําต้นทุนเพื่อเก็บกักไว้ใช้ช่วงฤดูแล้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรียังกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัยด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 22"
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จํานวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 22" ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จํานวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 22" วันนี้ (28 ต.ค. 64) เวลา 14.00 น. ที่ห้องบอลรูม สโมสรราชพฤกษ์ (นอร์ธปาร์ค) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานรับมอบผ้าห่ม ในพิธีส่งมอบผ้าห่มตามโครงการ “ ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 22 " จากคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารบริษัทในเครือไทยเบฟ และสื่อมวลชน ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในนามของพี่น้องคนไทยที่ประสบภัยหนาวในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือทุกครอบครัว ขอขอบคุณกลุ่มบริษัทไทยเบฟที่ให้เกียรติกระทรวงมหาดไทยเป็นภาคีเครือข่ายนําเอาความช่วยเหลือไปยังพี่น้องประชาชน เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยเราอยู่รอดได้แน่ ถ้าคนที่เข้มแข็งกว่าไม่นิ่งเฉยกับความทุกข์ของพี่น้องประชาชนหรือคนในสังคม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ได้ร่วมกับเครือข่าย ทําสิ่งที่ดีให้กับประเทศชาติของเรามาอย่างยาวนาน มิใช่เพียงแต่การมอบไออุ่นให้กับพี่น้องคนไทย ยังมีอีกหลายโครงการที่ยังขาดแคลน อัตคัดขัดสนในเรื่องของเครื่องกันหนาว และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่ท่านผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มไทยเบฟ ได้ช่วยเหลือและร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า สิ่งที่จําเป็นอย่างยิ่งสําหรับการดํารงชีวิตในช่วงฤดูหนาว คือ "ความอบอุ่น" ไทยเบฟได้ให้ความอบอุ่นกับพี่น้องคนไทย มายาวนานกว่า 22 ปี และยังได้ช่วยทําเป็นต้นแบบในการที่จะช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาใหญ่ของมวลมนุษยชาติของเรา แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการลดปัญหาขยะและปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้ว่าต้องมีต้นทุนในการดําเนินการเพิ่มมากขึ้นก็ตาม จึงต้องขออนุโมทนาบุญที่ไทยเบฟได้ช่วยมวลมนุษยชาติของเรามา ณ โอกาสนี้ด้วย โดยในส่วนผ้าห่มสีเขียว จํานวน 200,000 ผืน นี้ จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนไม่ต่ํากว่า 200,000 ครอบครัว จะได้มีความสุข สิ่งหนึ่งที่พวกเราจะประทับใจไม่รู้ลืมคือแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข แววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจ โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุหรือผู้ที่มาได้รับการมอบน้ําใจอันดีงามจากไทยเบฟและภาคีเครือข่าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจที่สําคัญของกระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ทั้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรืออาสาสมัครในพื้นที่ ทุกคนมีหัวใจ มีเป้าหมาย และมีความมุ่งหวังที่เปี่ยมล้นในการทําหน้าที่ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" ให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งสิ่งที่ไทยเบฟหยิบยื่นให้นี้ เป็นสิ่งที่เติมเต็มภาคกิจของกระทรวงมหาดไทยและภาคีเครือข่าย และสิ่งเหล่านี้จะยังคงได้รับการสานต่อ และจะดําเนินการต่อไป และชาวมหาดไทยจะได้ช่วยกันทําให้สังคมเป็นสังคมที่น่าอยู่ เป็นสังคมที่แสดงให้ชาวโลกได้เห็นว่า "เราไม่ทอดทิ้งกัน" เราพร้อมที่จะช่วยเหลือกัน เพื่อที่จะให้กลุ่มคนที่มีความแข็งแรงได้เห็นและได้เข้ามาร่วมในการยื่นความรัก ความเมตตา ความอบอุ่น หรือความช่วยเหลือ ให้กับพี่น้องคนไทยเพิ่มมากขึ้นต่อไป เราจะช่วยกันส่งรอยยิ้ม และช่วยกันทําให้ชีวิตที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้มีความอบอุ่น สามารถสร้างประเทศชาติ สร้างครอบครัวของพี่น้องคนไทยที่ประสบภัยหนาว ให้มีอนาคตที่สดชื่นแจ่มใส และขอให้โครงการนี้ดําเนินในปีต่อ ๆ ไปไม่รู้จบตลอดไป คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทย ที่อยู่เคียงข้าง โครงการ "ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว" มาอย่างยาวนาน เป็นเวลากว่า 22 ปี ที่ได้ร่วมกันส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่น ไปยังผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสาน ที่ปัจจุบันยังร่วมด้วยเครือข่ายพันธมิตรอีกหลายภาคส่วนที่ได้ร่วมเดินทาง เพื่อส่งมอบความอบอุ่นภายใต้ "ผ้าห่มผืนเขียว" ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยความมุ่งมั่น และเต็มเปี่ยมด้วยหัวใจแห่งการ "ให้" ตลอดมา ที่ได้สานต่อปณิธานแห่งการ "ให้" ของท่านประธาน และท่านรองประธาน คุณเจริญ - คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ที่ได้กล่าวไว้ว่า "คนไทยให้กันได้" จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ โครงการไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และได้แผ่ขยายสู่สังคมแห่งการให้และการแบ่งปัน จนเกิดเป็นพลังแห่งความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานภายใต้แนวคิด "มากกว่าความอบอุ่น คือสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน" คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นในครั้งนั้น ถึงวันนี้นับเป็นเวลา 22 ปีเต็ม ที่ผ้าห่มผืนเขียว จํานวน 4,400,000 ผืน ได้ช่วยห่มคลุมให้ความอบอุ่นคลายหนาวสู่พี่น้องผู้ประสบภัยหนาว ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมกับการให้ความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ทั้งการศึกษา กีฬา และสาธารณสุข ไปพร้อมกัน และเพื่อเป็นการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ปกป้อง และรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เราจึงได้สร้างสรรค์กระบวนการผลิตผ้าห่มผืนเขียว ด้วยการนําขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่มที่ทําจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลหรือ Recycled PET (RPET) ที่สามารถช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต ลดปัญหาขวดพลาสติก แต่ยังคงคุณภาพของ "ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก" นี้ ให้มีความนุ่ม และอบอุ่นเหมือนเช่นเคย ด้วยนวัตกรรม Eco Friendly Blanket ที่ยังช่วยลดปริมาณขยะจากขวดพลาสติกได้มากถึง 7.6 ล้านขวดต่อปี ที่นํามาผลิต "ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก" ได้มากถึงปีละจํานวน 200,000 ผืน ดังนั้นผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลกนี้ ทําให้เราสามารถนําขยะจากขวดพลาสติกกลับสู่ระบบรีไซเคิลได้สําเร็จแล้วจํานวน 15.2 ล้านขวด คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า ไทยเบฟ ขอขอบพระคุณพันธมิตรทุกภาคส่วน อาทิ บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จํากัด, โรงพยาบาลรวมแพทย์ยโสธร, บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จํากัด, บริษัท เบอร์ลี ยุคเกอร์ จํากัด, บริษัท เสริมสุข จํากัด, บริษัท เอฟแอนด์เอ็นแดรี่ส์ (ประเทศไทย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงมหาดไทย ที่ให้ความกรุณาเป็นกําลังหลักที่สําคัญตลอดมา และสําหรับปีนี้คาราวาน "ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก " พร้อมแล้วที่ออกเดินทางไปส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่นให้กับพี่น้องผู้ประสบภัยหนาวกว่า 228 อําเภอ 15 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสาน" คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยเบฟ เชื่อมั่นในการ "สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต" ด้วยพลังแห่งความร่วมมืออันแข็งแกร่งของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อน โครงการไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาว พร้อมขยายเครือข่ายเพื่อสร้างสังคมแห่งการ "ให้" ที่ยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 22" วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จํานวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 22" ปลัดกระทรวงมหาดไทย รับมอบผ้าห่มกันหนาว จํานวน 200,000 ผืน ตามโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 22" วันนี้ (28 ต.ค. 64) เวลา 14.00 น. ที่ห้องบอลรูม สโมสรราชพฤกษ์ (นอร์ธปาร์ค) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานรับมอบผ้าห่ม ในพิธีส่งมอบผ้าห่มตามโครงการ “ ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ปีที่ 22 " จากคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารบริษัทในเครือไทยเบฟ และสื่อมวลชน ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในนามของพี่น้องคนไทยที่ประสบภัยหนาวในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือทุกครอบครัว ขอขอบคุณกลุ่มบริษัทไทยเบฟที่ให้เกียรติกระทรวงมหาดไทยเป็นภาคีเครือข่ายนําเอาความช่วยเหลือไปยังพี่น้องประชาชน เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยเราอยู่รอดได้แน่ ถ้าคนที่เข้มแข็งกว่าไม่นิ่งเฉยกับความทุกข์ของพี่น้องประชาชนหรือคนในสังคม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ได้ร่วมกับเครือข่าย ทําสิ่งที่ดีให้กับประเทศชาติของเรามาอย่างยาวนาน มิใช่เพียงแต่การมอบไออุ่นให้กับพี่น้องคนไทย ยังมีอีกหลายโครงการที่ยังขาดแคลน อัตคัดขัดสนในเรื่องของเครื่องกันหนาว และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่ท่านผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มไทยเบฟ ได้ช่วยเหลือและร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า สิ่งที่จําเป็นอย่างยิ่งสําหรับการดํารงชีวิตในช่วงฤดูหนาว คือ "ความอบอุ่น" ไทยเบฟได้ให้ความอบอุ่นกับพี่น้องคนไทย มายาวนานกว่า 22 ปี และยังได้ช่วยทําเป็นต้นแบบในการที่จะช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาใหญ่ของมวลมนุษยชาติของเรา แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการลดปัญหาขยะและปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้ว่าต้องมีต้นทุนในการดําเนินการเพิ่มมากขึ้นก็ตาม จึงต้องขออนุโมทนาบุญที่ไทยเบฟได้ช่วยมวลมนุษยชาติของเรามา ณ โอกาสนี้ด้วย โดยในส่วนผ้าห่มสีเขียว จํานวน 200,000 ผืน นี้ จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนไม่ต่ํากว่า 200,000 ครอบครัว จะได้มีความสุข สิ่งหนึ่งที่พวกเราจะประทับใจไม่รู้ลืมคือแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข แววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจ โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุหรือผู้ที่มาได้รับการมอบน้ําใจอันดีงามจากไทยเบฟและภาคีเครือข่าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจที่สําคัญของกระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ทั้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรืออาสาสมัครในพื้นที่ ทุกคนมีหัวใจ มีเป้าหมาย และมีความมุ่งหวังที่เปี่ยมล้นในการทําหน้าที่ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" ให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งสิ่งที่ไทยเบฟหยิบยื่นให้นี้ เป็นสิ่งที่เติมเต็มภาคกิจของกระทรวงมหาดไทยและภาคีเครือข่าย และสิ่งเหล่านี้จะยังคงได้รับการสานต่อ และจะดําเนินการต่อไป และชาวมหาดไทยจะได้ช่วยกันทําให้สังคมเป็นสังคมที่น่าอยู่ เป็นสังคมที่แสดงให้ชาวโลกได้เห็นว่า "เราไม่ทอดทิ้งกัน" เราพร้อมที่จะช่วยเหลือกัน เพื่อที่จะให้กลุ่มคนที่มีความแข็งแรงได้เห็นและได้เข้ามาร่วมในการยื่นความรัก ความเมตตา ความอบอุ่น หรือความช่วยเหลือ ให้กับพี่น้องคนไทยเพิ่มมากขึ้นต่อไป เราจะช่วยกันส่งรอยยิ้ม และช่วยกันทําให้ชีวิตที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้มีความอบอุ่น สามารถสร้างประเทศชาติ สร้างครอบครัวของพี่น้องคนไทยที่ประสบภัยหนาว ให้มีอนาคตที่สดชื่นแจ่มใส และขอให้โครงการนี้ดําเนินในปีต่อ ๆ ไปไม่รู้จบตลอดไป คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทย ที่อยู่เคียงข้าง โครงการ "ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว" มาอย่างยาวนาน เป็นเวลากว่า 22 ปี ที่ได้ร่วมกันส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่น ไปยังผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสาน ที่ปัจจุบันยังร่วมด้วยเครือข่ายพันธมิตรอีกหลายภาคส่วนที่ได้ร่วมเดินทาง เพื่อส่งมอบความอบอุ่นภายใต้ "ผ้าห่มผืนเขียว" ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยความมุ่งมั่น และเต็มเปี่ยมด้วยหัวใจแห่งการ "ให้" ตลอดมา ที่ได้สานต่อปณิธานแห่งการ "ให้" ของท่านประธาน และท่านรองประธาน คุณเจริญ - คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ที่ได้กล่าวไว้ว่า "คนไทยให้กันได้" จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ โครงการไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และได้แผ่ขยายสู่สังคมแห่งการให้และการแบ่งปัน จนเกิดเป็นพลังแห่งความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานภายใต้แนวคิด "มากกว่าความอบอุ่น คือสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน" คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นในครั้งนั้น ถึงวันนี้นับเป็นเวลา 22 ปีเต็ม ที่ผ้าห่มผืนเขียว จํานวน 4,400,000 ผืน ได้ช่วยห่มคลุมให้ความอบอุ่นคลายหนาวสู่พี่น้องผู้ประสบภัยหนาว ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมกับการให้ความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ทั้งการศึกษา กีฬา และสาธารณสุข ไปพร้อมกัน และเพื่อเป็นการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ปกป้อง และรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เราจึงได้สร้างสรรค์กระบวนการผลิตผ้าห่มผืนเขียว ด้วยการนําขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่มที่ทําจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลหรือ Recycled PET (RPET) ที่สามารถช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต ลดปัญหาขวดพลาสติก แต่ยังคงคุณภาพของ "ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก" นี้ ให้มีความนุ่ม และอบอุ่นเหมือนเช่นเคย ด้วยนวัตกรรม Eco Friendly Blanket ที่ยังช่วยลดปริมาณขยะจากขวดพลาสติกได้มากถึง 7.6 ล้านขวดต่อปี ที่นํามาผลิต "ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก" ได้มากถึงปีละจํานวน 200,000 ผืน ดังนั้นผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลกนี้ ทําให้เราสามารถนําขยะจากขวดพลาสติกกลับสู่ระบบรีไซเคิลได้สําเร็จแล้วจํานวน 15.2 ล้านขวด คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า ไทยเบฟ ขอขอบพระคุณพันธมิตรทุกภาคส่วน อาทิ บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จํากัด, โรงพยาบาลรวมแพทย์ยโสธร, บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จํากัด, บริษัท เบอร์ลี ยุคเกอร์ จํากัด, บริษัท เสริมสุข จํากัด, บริษัท เอฟแอนด์เอ็นแดรี่ส์ (ประเทศไทย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงมหาดไทย ที่ให้ความกรุณาเป็นกําลังหลักที่สําคัญตลอดมา และสําหรับปีนี้คาราวาน "ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก " พร้อมแล้วที่ออกเดินทางไปส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่นให้กับพี่น้องผู้ประสบภัยหนาวกว่า 228 อําเภอ 15 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสาน" คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยเบฟ เชื่อมั่นในการ "สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต" ด้วยพลังแห่งความร่วมมืออันแข็งแกร่งของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อน โครงการไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาว พร้อมขยายเครือข่ายเพื่อสร้างสังคมแห่งการ "ให้" ที่ยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ ออท. เคนยา ยืนยัน ไทย-เคนยา พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันรอบด้านทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 นายกฯ หารือ ออท. เคนยา ยืนยัน ไทย-เคนยา พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันรอบด้านทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อฉลองครบรอบ 55 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี วันนี้ (10 มกราคม 2565) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาลนายคิปทิเนสส์ ลินด์ซีย์ คิมโวเล (Mr. Kiptiness Lindsay Kimwole) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเคนยาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบ แสดงความยินดีที่ได้เข้ารับตําแหน่งเอกอัครราชทูตเคนยาประจําประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถกระชับความสัมพันธ์ และขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยไทยและเคนยาจะครบรอบ 55 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถของเอกอัครราชทูตฯ ทั้งในเวทีโลก และระหว่างประเทศจะทําให้ทั้งสองฝ่ายทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมและรอบด้านมากยิ่งขึ้น ด้านเอกอัครราชทูตเคนยาประจําประเทศไทยกล่าวขอบคุณที่ให้เข้าพบในวันนี้ รู้สึกยินดีที่ได้มาประจําการที่ประเทศไทย พร้อมยืนยันว่าจะดําเนินบทบาทอย่างแข็งขัน เพื่อกระชับและสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน และสร้างสรรค์ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเคนยาอย่างรอบด้านต่อไป โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่รัฐบาลของทั้งสองฝ่ายให้ความสําคัญ - ด้านสาธารณสุข ไทยยินดีและพร้อมส่งเสริมความร่วมมือกับเคนยาในการรับมือต่อสู้กับโรคโควิด 19 และโรคระบาดอื่น ๆ ในอนาคต รวมถึงการให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร ด้านสาธารณสุขของเคนยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า เคนยาหวังที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage - UHC) และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด 19 การแบ่งปันและถ่ายถอดองค์ความรู้ การวิจัย และพัฒนาการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ - ด้านการค้าและการลงทุน นายกรัฐมนตรียินดีที่เคนยาเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยใน แอฟริกาตะวันออก หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเพิ่มพูนปริมาณการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นได้ในอนาคต โดยไทยและเคนยาต่างมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและสามารถเป็นประตูการค้าให้แก่กันและกันสู่ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) และแอฟริกาได้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีศักยภาพ และพร้อมสนับสนุนเพื่อขยายความร่วมมือกันมากขึ้นในด้านนี้ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตกล่าวพร้อมสนับสนุนหากภาคเอกชนไทยมีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุน ซึ่งไทยก็พร้อมที่จะอํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนเคนยาอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน - ด้านการศึกษา วิชาการ และการพัฒนา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านนี้ โดยรัฐบาลเคนยาให้ความสําคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งไทยยินดีให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่เคนยาในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ ผ่านการจัดสรรทุนฝึกอบรมระยะสั้นและระยะยาวในรูปแบบทุนระดับปริญญาโท ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้ให้ทุนในรูปแบบทุนฝึกอบรม ซึ่งดําเนินการโดยกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) - ด้านเศรษฐกิจสีเขียว ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นว่า ไทยและเคนยาสามารถร่วมมือกันในเรื่องดังกล่าวได้ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับการพัฒนาประเทศภายใต้โมเดล BCG ที่เน้นการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและคุ้มค่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจภาคพื้นทะเล (Blue Economy) ของเคนยา ซึ่งให้ความสําคัญกับการใช้ทรัพยากรทางทะเลให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการแปรรูปสินค้าและวัตถุดิบทางทะเล รวมทั้งการทําประมงอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือ ออท. เคนยา ยืนยัน ไทย-เคนยา พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันรอบด้านทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 นายกฯ หารือ ออท. เคนยา ยืนยัน ไทย-เคนยา พร้อมเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันรอบด้านทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อฉลองครบรอบ 55 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี วันนี้ (10 มกราคม 2565) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาลนายคิปทิเนสส์ ลินด์ซีย์ คิมโวเล (Mr. Kiptiness Lindsay Kimwole) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเคนยาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบ แสดงความยินดีที่ได้เข้ารับตําแหน่งเอกอัครราชทูตเคนยาประจําประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถกระชับความสัมพันธ์ และขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยไทยและเคนยาจะครบรอบ 55 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถของเอกอัครราชทูตฯ ทั้งในเวทีโลก และระหว่างประเทศจะทําให้ทั้งสองฝ่ายทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมและรอบด้านมากยิ่งขึ้น ด้านเอกอัครราชทูตเคนยาประจําประเทศไทยกล่าวขอบคุณที่ให้เข้าพบในวันนี้ รู้สึกยินดีที่ได้มาประจําการที่ประเทศไทย พร้อมยืนยันว่าจะดําเนินบทบาทอย่างแข็งขัน เพื่อกระชับและสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน และสร้างสรรค์ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเคนยาอย่างรอบด้านต่อไป โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่รัฐบาลของทั้งสองฝ่ายให้ความสําคัญ - ด้านสาธารณสุข ไทยยินดีและพร้อมส่งเสริมความร่วมมือกับเคนยาในการรับมือต่อสู้กับโรคโควิด 19 และโรคระบาดอื่น ๆ ในอนาคต รวมถึงการให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร ด้านสาธารณสุขของเคนยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า เคนยาหวังที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage - UHC) และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด 19 การแบ่งปันและถ่ายถอดองค์ความรู้ การวิจัย และพัฒนาการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ - ด้านการค้าและการลงทุน นายกรัฐมนตรียินดีที่เคนยาเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยใน แอฟริกาตะวันออก หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเพิ่มพูนปริมาณการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นได้ในอนาคต โดยไทยและเคนยาต่างมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและสามารถเป็นประตูการค้าให้แก่กันและกันสู่ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) และแอฟริกาได้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีศักยภาพ และพร้อมสนับสนุนเพื่อขยายความร่วมมือกันมากขึ้นในด้านนี้ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตกล่าวพร้อมสนับสนุนหากภาคเอกชนไทยมีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุน ซึ่งไทยก็พร้อมที่จะอํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนเคนยาอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน - ด้านการศึกษา วิชาการ และการพัฒนา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านนี้ โดยรัฐบาลเคนยาให้ความสําคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งไทยยินดีให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่เคนยาในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ ผ่านการจัดสรรทุนฝึกอบรมระยะสั้นและระยะยาวในรูปแบบทุนระดับปริญญาโท ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้ให้ทุนในรูปแบบทุนฝึกอบรม ซึ่งดําเนินการโดยกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) - ด้านเศรษฐกิจสีเขียว ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นว่า ไทยและเคนยาสามารถร่วมมือกันในเรื่องดังกล่าวได้ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับการพัฒนาประเทศภายใต้โมเดล BCG ที่เน้นการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและคุ้มค่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจภาคพื้นทะเล (Blue Economy) ของเคนยา ซึ่งให้ความสําคัญกับการใช้ทรัพยากรทางทะเลให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการแปรรูปสินค้าและวัตถุดิบทางทะเล รวมทั้งการทําประมงอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50389
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ปลื้มโครงการ”เกษตรกรแฮปปี้” ขายมังคุดวันที่ 8 เดือน 8 เกินคาด เตรียมคิกออฟซูเปอร์เซลล์ลำไย ลองกอง
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 “เฉลิมชัย” ปลื้มโครงการ”เกษตรกรแฮปปี้” ขายมังคุดวันที่ 8 เดือน 8 เกินคาด เตรียมคิกออฟซูเปอร์เซลล์ลําไย ลองกอง “เฉลิมชัย” ปลื้มโครงการ”เกษตรกรแฮปปี้” ขายมังคุดวันที่ 8 เดือน 8 เกินคาด เตรียมคิกออฟซูเปอร์เซลล์ลําไย ลองกอง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในวาระเป็นประธานเปิดโครงการเกษตรกรแฮปปี้ 8.8 (วันที่8เดือน8) ในวันนี้( 8 สิงหาคม 2564) ว่า ภายใต้แนวคิด”คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้”ที่ฟรุ้ทบอร์ดโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ริเริ่มขึ้น เป็นแคมเปญมังคุดดี 4 โล 100 ส่งตรงถึงบ้านจากเมืองใต้ นับเป็นโปรโมชั่นพิเศษสําหรับมังคุด ราชินีแห่งผลไม้ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน “ภายใต้วิกฤตที่เกิดขึ้นสิ่งสําคัญที่สุดคือความร่วมมือร่วมใจที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกัน และช่วยกันบริโภคผลไม้ไทย เราต้องดูแลชาวสวนทุกจังหวัดพาฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกัน แม้วันนี้จะมีสัญญาณที่ดีว่าราคามังคุดทั้งหน้าแผงและหน้าล้งปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนของเสถียรภาพราคา จึงต้องมีมาตรการเสริมเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคในประเทศในภาวะที่การส่งออกยังมีอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด-19 จากการเปิดสั่งซื้อล่วงหน้าจนถึงวันนี้มีปริมาณเกินคาด “ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ช่วยกันสนับสนุนเกษตรกรไทย และขอเชิญชวนทุกท่านให้ช่วยกันสั่งซื้อมังคุดดี สดจากต้น อร่อย ส่งตรงจากสวนเมืองใต้ ที่ตั้งใจปลูกโดยชาวสวนแท้ ๆ รับประกันคุณภาพโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่านจะมีส่วนสําคัญในการสร้างรอยยิ้ม และส่งกําลังใจให้ชาวสวนมังคุดด้วย นอกจากนี้ยังมอบหมายทีมงานให้เตรียมการคิกออฟรายการโปรโมชั่นจําหน่ายลําไยและลองกองในเร็วๆนี้” นายเฉลิมชัย กล่าว ในขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าทีมพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เฉพาะกิจ กล่าวรายงานว่า โครงการ”เกษตรกร Happy” เป็น 1 ในหลายโครงการตามมาตรการเร่งด่วนเป็นการปรับกลยุทธ์ใหม่ของ Fruit Board จากผลกระทบโควิดเป็นโครงการเสริมจากแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคใต้และภาคเหนือฤดูการผลิตปี 2564 โดยเร่งจําหน่ายขายในประเทศเพิ่มขึ้นในระหว่างที่ระบบขนส่งไปต่างประเทศติดขัดจากผลกระทบโควิด19ตามข้อสั่งการของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ Fruit board และ รองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐภาคเอกชนภาคเกษตรกรเช่น กระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดีอี กระทรวงมหาดไทยบริษัทไปรษณีย์ไทย บริษัทเซนทรัลพัฒนาในเครือเซนทรัลกรุ๊ป บริษัทแกร็บประเทศไทย ร้านธงฟ้า Top คณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซ และคณะอนุกรรมการธุรกิจเกษตร กระทรวงเกษตรฯเป็นต้นโดยร่วมแรงร่วมใจช่วยเกษตรกรไทยฝ่าวิกฤติโควิดไปด้วยกัน วัตถุประสงค์หลักของโครงการเกษตรกรแฮปปี้ มีดังนี้ 1. เพื่อช่วยชาวสวนผลไม้ในช่วโดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกมามาก มีผลทําให้ราคาลดต่ําลง ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อราคาโดยตรง 2. สร้างกลไกการระบายออกจากแหล่งผลิตด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ 3. ยกระดับราคามังคุด และผลไม้อื่นเช่น ลําไย เงาะ ลองกอง และ 4. รักษาระดับราคาเพื่อให้เกิดเสถียรภาพ เพื่อให้ชาวสวนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ปลื้มโครงการ”เกษตรกรแฮปปี้” ขายมังคุดวันที่ 8 เดือน 8 เกินคาด เตรียมคิกออฟซูเปอร์เซลล์ลำไย ลองกอง วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 “เฉลิมชัย” ปลื้มโครงการ”เกษตรกรแฮปปี้” ขายมังคุดวันที่ 8 เดือน 8 เกินคาด เตรียมคิกออฟซูเปอร์เซลล์ลําไย ลองกอง “เฉลิมชัย” ปลื้มโครงการ”เกษตรกรแฮปปี้” ขายมังคุดวันที่ 8 เดือน 8 เกินคาด เตรียมคิกออฟซูเปอร์เซลล์ลําไย ลองกอง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในวาระเป็นประธานเปิดโครงการเกษตรกรแฮปปี้ 8.8 (วันที่8เดือน8) ในวันนี้( 8 สิงหาคม 2564) ว่า ภายใต้แนวคิด”คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้”ที่ฟรุ้ทบอร์ดโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ริเริ่มขึ้น เป็นแคมเปญมังคุดดี 4 โล 100 ส่งตรงถึงบ้านจากเมืองใต้ นับเป็นโปรโมชั่นพิเศษสําหรับมังคุด ราชินีแห่งผลไม้ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน “ภายใต้วิกฤตที่เกิดขึ้นสิ่งสําคัญที่สุดคือความร่วมมือร่วมใจที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกัน และช่วยกันบริโภคผลไม้ไทย เราต้องดูแลชาวสวนทุกจังหวัดพาฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกัน แม้วันนี้จะมีสัญญาณที่ดีว่าราคามังคุดทั้งหน้าแผงและหน้าล้งปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนของเสถียรภาพราคา จึงต้องมีมาตรการเสริมเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคในประเทศในภาวะที่การส่งออกยังมีอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด-19 จากการเปิดสั่งซื้อล่วงหน้าจนถึงวันนี้มีปริมาณเกินคาด “ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ช่วยกันสนับสนุนเกษตรกรไทย และขอเชิญชวนทุกท่านให้ช่วยกันสั่งซื้อมังคุดดี สดจากต้น อร่อย ส่งตรงจากสวนเมืองใต้ ที่ตั้งใจปลูกโดยชาวสวนแท้ ๆ รับประกันคุณภาพโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่านจะมีส่วนสําคัญในการสร้างรอยยิ้ม และส่งกําลังใจให้ชาวสวนมังคุดด้วย นอกจากนี้ยังมอบหมายทีมงานให้เตรียมการคิกออฟรายการโปรโมชั่นจําหน่ายลําไยและลองกองในเร็วๆนี้” นายเฉลิมชัย กล่าว ในขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าทีมพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เฉพาะกิจ กล่าวรายงานว่า โครงการ”เกษตรกร Happy” เป็น 1 ในหลายโครงการตามมาตรการเร่งด่วนเป็นการปรับกลยุทธ์ใหม่ของ Fruit Board จากผลกระทบโควิดเป็นโครงการเสริมจากแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคใต้และภาคเหนือฤดูการผลิตปี 2564 โดยเร่งจําหน่ายขายในประเทศเพิ่มขึ้นในระหว่างที่ระบบขนส่งไปต่างประเทศติดขัดจากผลกระทบโควิด19ตามข้อสั่งการของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ Fruit board และ รองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐภาคเอกชนภาคเกษตรกรเช่น กระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดีอี กระทรวงมหาดไทยบริษัทไปรษณีย์ไทย บริษัทเซนทรัลพัฒนาในเครือเซนทรัลกรุ๊ป บริษัทแกร็บประเทศไทย ร้านธงฟ้า Top คณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซ และคณะอนุกรรมการธุรกิจเกษตร กระทรวงเกษตรฯเป็นต้นโดยร่วมแรงร่วมใจช่วยเกษตรกรไทยฝ่าวิกฤติโควิดไปด้วยกัน วัตถุประสงค์หลักของโครงการเกษตรกรแฮปปี้ มีดังนี้ 1. เพื่อช่วยชาวสวนผลไม้ในช่วโดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกมามาก มีผลทําให้ราคาลดต่ําลง ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อราคาโดยตรง 2. สร้างกลไกการระบายออกจากแหล่งผลิตด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ 3. ยกระดับราคามังคุด และผลไม้อื่นเช่น ลําไย เงาะ ลองกอง และ 4. รักษาระดับราคาเพื่อให้เกิดเสถียรภาพ เพื่อให้ชาวสวนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44587
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารงานตามภารกิจของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 25 จังหวัดภาคกลาง
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2565 ปลัดเกษตรฯ เปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารงานตามภารกิจของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 25 จังหวัดภาคกลาง ปลัดเกษตรฯ เปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารงานตามภารกิจของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 25 จังหวัดภาคกลาง มุ่งยกระดับภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน ดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ“แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารงานตามภารกิจของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์25จังหวัดภาคกลางพร้อมมอบแนวคิดและหลักการบริหารงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยมีคณะผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯหัวหน้าส่วนราชการกระทรวงเกษตรฯ25จังหวัดภาคกลางเข้าร่วมณโรงแรมบางแสนเฮอริเทจตําบลแสนสุขอําเภอเมืองจังหวัดชลบุรีว่าบุคลากรในสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมทั้งนโยบายของจังหวัดจําเป็นต้องเข้าใจและได้รับการพัฒนาศักยภาพให้มีทักษะที่ทันสมัยทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกพร้อมสู่ความปกติถัดไป(Next Normal)รวมทั้งสร้างเครือข่ายการทํางานของคนรุ่นใหม่พัฒนาสู่Smart Officerเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาและขับเคลื่อนงานตามภารกิจในพื้นที่ให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรภายใต้การบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรให้มีความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ตามแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจBCGพ.ศ. 2564 - 2570เพื่อให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “การพัฒนากําลังคนภาคเกษตรพัฒนากระบวนการทํางานผลักดันวิจัยและนวัตกรรมเกษตรและยกระดับความร่วมมือเครือข่ายการพัฒนาภาคเกษตรจากทุกภาคส่วนมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะด้านนโยบายความยั่งยืนในระบบอาหารสัมพันธ์กับปัจจัยการผลิตทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศโดยหัวใจสําคัญในการผลักดันความยั่งยืนให้เกิดขึ้นอยู่ที่การบริหารจัดการที่ดีและมีประสิทธิภาพเพื่อลดการสูญเสียตลอดห่วงโซ่อุปทานและลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอาทิการบริหารจัดการน้ําการบริหารจัดการดินการบริหารจัดการพันธุ์พืชBCG Modelตลอดจนการทําเกษตรโดยใช้ตลาดนําการผลิตดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะส่งผลให้การขับเคลื่อนงานด้านการเกษตรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยรวดเร็วมีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาภาคเกษตรให้มีความยั่งยืนตามแนวทางมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนได้ต่อไป”ดร.ทองเปลวกล่าว สําหรับการขับเคลื่อนภาคเกษตรหากพิจารณาสถานการณ์และแนวโน้มที่เกี่ยวข้องในทุกระดับทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมโลกราคาสินค้าต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้นพฤติกรรมการบริโภคของประชากรโอกาสและภัยคุกคามของภาคเกษตรจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ที่เร่งให้โลกเข้าสู่ยุคNext Normalอย่างรวดเร็วดังนั้นนโยบาย“Agri challenge Next Normal 2022”ของกระทรวงเกษตรฯจะเป็นนโยบายสําคัญที่มุ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาตินโยบายรัฐบาลและนโยบายกระทรวงให้บรรลุเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกรสร้างเอกภาพและความยั่งยืนในภาคเกตรไทยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรของไทยโดยขับเคลื่อนผ่านภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารงานตามภารกิจของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 25 จังหวัดภาคกลาง วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2565 ปลัดเกษตรฯ เปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารงานตามภารกิจของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 25 จังหวัดภาคกลาง ปลัดเกษตรฯ เปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารงานตามภารกิจของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 25 จังหวัดภาคกลาง มุ่งยกระดับภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน ดร.ทองเปลวกองจันทร์ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ“แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริหารงานตามภารกิจของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์25จังหวัดภาคกลางพร้อมมอบแนวคิดและหลักการบริหารงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยมีคณะผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯหัวหน้าส่วนราชการกระทรวงเกษตรฯ25จังหวัดภาคกลางเข้าร่วมณโรงแรมบางแสนเฮอริเทจตําบลแสนสุขอําเภอเมืองจังหวัดชลบุรีว่าบุคลากรในสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมทั้งนโยบายของจังหวัดจําเป็นต้องเข้าใจและได้รับการพัฒนาศักยภาพให้มีทักษะที่ทันสมัยทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกพร้อมสู่ความปกติถัดไป(Next Normal)รวมทั้งสร้างเครือข่ายการทํางานของคนรุ่นใหม่พัฒนาสู่Smart Officerเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาและขับเคลื่อนงานตามภารกิจในพื้นที่ให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรภายใต้การบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรให้มีความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ตามแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจBCGพ.ศ. 2564 - 2570เพื่อให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “การพัฒนากําลังคนภาคเกษตรพัฒนากระบวนการทํางานผลักดันวิจัยและนวัตกรรมเกษตรและยกระดับความร่วมมือเครือข่ายการพัฒนาภาคเกษตรจากทุกภาคส่วนมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะด้านนโยบายความยั่งยืนในระบบอาหารสัมพันธ์กับปัจจัยการผลิตทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศโดยหัวใจสําคัญในการผลักดันความยั่งยืนให้เกิดขึ้นอยู่ที่การบริหารจัดการที่ดีและมีประสิทธิภาพเพื่อลดการสูญเสียตลอดห่วงโซ่อุปทานและลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอาทิการบริหารจัดการน้ําการบริหารจัดการดินการบริหารจัดการพันธุ์พืชBCG Modelตลอดจนการทําเกษตรโดยใช้ตลาดนําการผลิตดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะส่งผลให้การขับเคลื่อนงานด้านการเกษตรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยรวดเร็วมีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาภาคเกษตรให้มีความยั่งยืนตามแนวทางมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนได้ต่อไป”ดร.ทองเปลวกล่าว สําหรับการขับเคลื่อนภาคเกษตรหากพิจารณาสถานการณ์และแนวโน้มที่เกี่ยวข้องในทุกระดับทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมโลกราคาสินค้าต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้นพฤติกรรมการบริโภคของประชากรโอกาสและภัยคุกคามของภาคเกษตรจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ที่เร่งให้โลกเข้าสู่ยุคNext Normalอย่างรวดเร็วดังนั้นนโยบาย“Agri challenge Next Normal 2022”ของกระทรวงเกษตรฯจะเป็นนโยบายสําคัญที่มุ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาตินโยบายรัฐบาลและนโยบายกระทรวงให้บรรลุเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกรสร้างเอกภาพและความยั่งยืนในภาคเกตรไทยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรของไทยโดยขับเคลื่อนผ่านภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58515
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เข้าร่วมการหารือสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายภูมิภาคคาร์บอนต่ำ
วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ​นายกฯ เข้าร่วมการหารือสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายภูมิภาคคาร์บอนต่ํา ​นายกฯ เข้าร่วมการหารือสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายภูมิภาคคาร์บอนต่ํา วันนี้ (11 พ.ย. 2564) เวลา 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC –Leaders’ Dialogue) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ประธาน ABAC กล่าวถึงความสําคัญของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในการพิจารณาเรื่องการเปิดพรมแดนใหม่อีกครั้ง การฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์ของโรคโควิด-19 การรับมือกับปัญหาความเหลื่อมล้ํา และการช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 พร้อมขอให้ APEC กําหนดเป้าหมายร่วมกันโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้านนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์กล่าวเปิดการประชุมระบุว่า เอเปคมีความเข้าใจดีถึงความประสงค์ของประชาคมภาคธุรกิจที่ต้องการแนวทางที่มีการประสานการทํางานร่วมกัน เพื่อให้พวกเราก้าวไปสู่ภูมิภาคที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นิวซีแลนด์เองก็จําเป็นต้องพึ่งพาความร่วมมือจากเอเปค ไม่มีประเทศใดที่จะเอาชนะปัญหาได้เพียงฝ่ายเดียว ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันพิจารณาส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ พัฒนาแรงงานที่มีทักษะและมีคุณภาพ รวมทั้งช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบางในสังคม อาทิ ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และสตรีที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และยังไม่เข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อนําไปสู่การฟื้นฟู การหารือระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council: ABAC) ครั้งนี้ แบ่งผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคออกเป็น 5 กลุ่ม ไทยอยู่ในกลุ่มที่ 1 ร่วมกับผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคจากออสเตรเลีย มาเลเซีย และจีนไทเป โดยในการหารือผู้แทน ABAC ชิลี มีประเด็นคําถามต่อนายกรัฐมนตรีว่า “โควิด-19 ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบที่รุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางในสังคม ได้แก่ สตรี ธุรกิจขนาดเล็กและกลุ่มชาติพันธุ์ ABAC เชื่อว่าในการปกป้องรักษาอนาคต เราต้องแก้ไขและปลดล็อกศักยภาพของกลุ่มเปราะบางเหล่านี้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน เราเผชิญกับภยันตรายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มมากขึ้นและความจําเป็นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ํา ขอทราบว่าเครื่องมือใดที่จะสามารถนํามาใช้เพื่อจัดการกับความท้าทายต่อการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน” นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยตระหนักดีว่า โลกกําลังเผชิญกับความท้าทายมากมายในหลายมิติ การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งในการก้าวไปสู่อนาคตของเอเปค ปัจจุบันไทยได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว 83 ล้านโดส และคาดว่าจะครบ 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน และได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าสําหรับปี 2565 ด้วย โดยที่ ไทยในฐานะประเทศหนึ่งใน 12 ประเทศผู้ก่อตั้งเอเปคเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นโอกาสที่ดีที่จะวิเคราะห์ว่าความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นมีความเปราะบางเพียงใด ในปี 2563 กลุ่มเศรษฐกิจเอเปคทั้ง 21 เขตมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) 53 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (US$ 53 Trillion) ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลกในปีเดียวกันอยู่ที่ 84.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเชื่อว่าการจะบรรลุการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น ยั่งยืน และครอบคลุมได้ต้องเปลี่ยนแนวความคิดเรื่องการพัฒนาใหม่ (paradigm shift) ไม่หยุดอยู่ที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม แต่ควรตั้งอยู่บนหลักการของก้าวไปสู่ความสมดุล (Thriving for balance) และการหาจุดยืนร่วมกันที่จะทําให้เกิดความกลมกลืนปรองดอง (Harmony) ของทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ ระหว่างเขตเศรษฐกิจ ตลอดจนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งความสมดุล (balance) และความร่วมมือร่วมใจในฐานะหุ้นส่วน (collaborative partnership) ดังกล่าวคือหัวใจขององค์รวมของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ เศรษฐกิจ BCG ทั้งนี้ กลไกขับเคลื่อนการฟื้นตัวและการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่สําคัญคือภาคเอกชน โดยที่ภาครัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุน (facilitation) กุญแจสําคัญ คือ ความร่วมมือและการลงทุนร่วมระหว่างเอกชนกับรัฐ (PPP) เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนครอบคลุม และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะในด้านการนําเทคโนโลยี และนวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดจากฐานความเข้มแข็งทางด้านทรัพยากรชีวภาพ ในขณะที่ดําเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ดําเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และการให้ความสําคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สําหรับประเทศไทย จะต้องมีความร่วมมือกันอย่างจริงจังทั้งในด้านผู้ผลิตและผู้บริโภคเพื่อให้เอเปคเป็นภูมิภาคเศรษฐกิจที่ผลิตคาร์บอนต่ํา ตั้งแต่วิธีการผลิตจนถึงการอนุรักษ์ การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า การลดจํานวนขยะ และมลพิษ โดยการนําวิวัฒนาการและเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ มีการสร้างความพร้อมในการปรับตัว และการเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสม และเป็นธรรม นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า เอเปคในฐานะเวทีที่ให้ความสําคัญต่อความร่วมมือกับประชาคมภาคธุรกิจจะช่วยผลักดันความพยายามร่วมกัน ครอบคลุม และยั่งยืน ตามแนวคิดเศรษฐกิจ BCG และสามารถร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อให้เขตเศรษฐกิจของเราเป็นผู้นําด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อความอยู่รอดของโลก หลังจากนั้น นายฮิโรชิ นาคาโซะ ผู้แทน ABAC ญี่ปุ่น และประธานสถาบันวิจัยของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ไดวา มีประเด็นคําถามต่อนายกรัฐมนตรีว่า “ในความเห็นของท่าน เอเปคควรมีบทบาทอย่างไรในการอํานวยความสะดวกเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําและภาคธุรกิจสามารถสนับสนุนบทบาทดังกล่าวได้อย่างไรบ้าง” นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ภายในกลไกการทํางานของเอเปค การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง แต่เอเปคยังคงต้องรักษาพลวัตการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าว เห็นได้จากเสียงเรียกร้องจากการประชุม COP26 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ย้ําถึงความจําเป็นที่ทุกฝ่ายต้องแสดงความมุ่งมั่นที่จะเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน สําหรับประเทศไทย รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความพร้อมในการแก้ไขความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน อาทิ การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 หรือก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ ไทยยังได้ตั้งเป้าที่จะให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี ค.ศ. 2030 ให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 15 ล้านคัน หรือ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2035 รวมถึงเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 55 ของประเทศ ในช่วงการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย ไทยจะพยายามเสนอรายการเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกันของเอเปคบนพื้นฐานของแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ซึ่งภาคธุรกิจมีความสําคัญยิ่งในกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําของเอเปค ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน การดําเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดการของเสีย การพัฒนานวัตกรรม รวมถึงด้านสิทธิมนุษยชนในการดูแล คุ้มครอง และเยียวยา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เข้าร่วมการหารือสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายภูมิภาคคาร์บอนต่ำ วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ​นายกฯ เข้าร่วมการหารือสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายภูมิภาคคาร์บอนต่ํา ​นายกฯ เข้าร่วมการหารือสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายภูมิภาคคาร์บอนต่ํา วันนี้ (11 พ.ย. 2564) เวลา 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC –Leaders’ Dialogue) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ประธาน ABAC กล่าวถึงความสําคัญของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในการพิจารณาเรื่องการเปิดพรมแดนใหม่อีกครั้ง การฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์ของโรคโควิด-19 การรับมือกับปัญหาความเหลื่อมล้ํา และการช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 พร้อมขอให้ APEC กําหนดเป้าหมายร่วมกันโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้านนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์กล่าวเปิดการประชุมระบุว่า เอเปคมีความเข้าใจดีถึงความประสงค์ของประชาคมภาคธุรกิจที่ต้องการแนวทางที่มีการประสานการทํางานร่วมกัน เพื่อให้พวกเราก้าวไปสู่ภูมิภาคที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นิวซีแลนด์เองก็จําเป็นต้องพึ่งพาความร่วมมือจากเอเปค ไม่มีประเทศใดที่จะเอาชนะปัญหาได้เพียงฝ่ายเดียว ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันพิจารณาส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ พัฒนาแรงงานที่มีทักษะและมีคุณภาพ รวมทั้งช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบางในสังคม อาทิ ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และสตรีที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และยังไม่เข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อนําไปสู่การฟื้นฟู การหารือระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council: ABAC) ครั้งนี้ แบ่งผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคออกเป็น 5 กลุ่ม ไทยอยู่ในกลุ่มที่ 1 ร่วมกับผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคจากออสเตรเลีย มาเลเซีย และจีนไทเป โดยในการหารือผู้แทน ABAC ชิลี มีประเด็นคําถามต่อนายกรัฐมนตรีว่า “โควิด-19 ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบที่รุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางในสังคม ได้แก่ สตรี ธุรกิจขนาดเล็กและกลุ่มชาติพันธุ์ ABAC เชื่อว่าในการปกป้องรักษาอนาคต เราต้องแก้ไขและปลดล็อกศักยภาพของกลุ่มเปราะบางเหล่านี้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน เราเผชิญกับภยันตรายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มมากขึ้นและความจําเป็นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ํา ขอทราบว่าเครื่องมือใดที่จะสามารถนํามาใช้เพื่อจัดการกับความท้าทายต่อการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน” นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยตระหนักดีว่า โลกกําลังเผชิญกับความท้าทายมากมายในหลายมิติ การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งในการก้าวไปสู่อนาคตของเอเปค ปัจจุบันไทยได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว 83 ล้านโดส และคาดว่าจะครบ 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน และได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าสําหรับปี 2565 ด้วย โดยที่ ไทยในฐานะประเทศหนึ่งใน 12 ประเทศผู้ก่อตั้งเอเปคเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นโอกาสที่ดีที่จะวิเคราะห์ว่าความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นมีความเปราะบางเพียงใด ในปี 2563 กลุ่มเศรษฐกิจเอเปคทั้ง 21 เขตมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) 53 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (US$ 53 Trillion) ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลกในปีเดียวกันอยู่ที่ 84.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเชื่อว่าการจะบรรลุการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น ยั่งยืน และครอบคลุมได้ต้องเปลี่ยนแนวความคิดเรื่องการพัฒนาใหม่ (paradigm shift) ไม่หยุดอยู่ที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม แต่ควรตั้งอยู่บนหลักการของก้าวไปสู่ความสมดุล (Thriving for balance) และการหาจุดยืนร่วมกันที่จะทําให้เกิดความกลมกลืนปรองดอง (Harmony) ของทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ ระหว่างเขตเศรษฐกิจ ตลอดจนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งความสมดุล (balance) และความร่วมมือร่วมใจในฐานะหุ้นส่วน (collaborative partnership) ดังกล่าวคือหัวใจขององค์รวมของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ เศรษฐกิจ BCG ทั้งนี้ กลไกขับเคลื่อนการฟื้นตัวและการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่สําคัญคือภาคเอกชน โดยที่ภาครัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุน (facilitation) กุญแจสําคัญ คือ ความร่วมมือและการลงทุนร่วมระหว่างเอกชนกับรัฐ (PPP) เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนครอบคลุม และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะในด้านการนําเทคโนโลยี และนวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดจากฐานความเข้มแข็งทางด้านทรัพยากรชีวภาพ ในขณะที่ดําเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ดําเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และการให้ความสําคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สําหรับประเทศไทย จะต้องมีความร่วมมือกันอย่างจริงจังทั้งในด้านผู้ผลิตและผู้บริโภคเพื่อให้เอเปคเป็นภูมิภาคเศรษฐกิจที่ผลิตคาร์บอนต่ํา ตั้งแต่วิธีการผลิตจนถึงการอนุรักษ์ การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า การลดจํานวนขยะ และมลพิษ โดยการนําวิวัฒนาการและเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ มีการสร้างความพร้อมในการปรับตัว และการเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสม และเป็นธรรม นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า เอเปคในฐานะเวทีที่ให้ความสําคัญต่อความร่วมมือกับประชาคมภาคธุรกิจจะช่วยผลักดันความพยายามร่วมกัน ครอบคลุม และยั่งยืน ตามแนวคิดเศรษฐกิจ BCG และสามารถร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อให้เขตเศรษฐกิจของเราเป็นผู้นําด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อความอยู่รอดของโลก หลังจากนั้น นายฮิโรชิ นาคาโซะ ผู้แทน ABAC ญี่ปุ่น และประธานสถาบันวิจัยของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ไดวา มีประเด็นคําถามต่อนายกรัฐมนตรีว่า “ในความเห็นของท่าน เอเปคควรมีบทบาทอย่างไรในการอํานวยความสะดวกเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําและภาคธุรกิจสามารถสนับสนุนบทบาทดังกล่าวได้อย่างไรบ้าง” นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ภายในกลไกการทํางานของเอเปค การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง แต่เอเปคยังคงต้องรักษาพลวัตการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าว เห็นได้จากเสียงเรียกร้องจากการประชุม COP26 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ย้ําถึงความจําเป็นที่ทุกฝ่ายต้องแสดงความมุ่งมั่นที่จะเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน สําหรับประเทศไทย รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความพร้อมในการแก้ไขความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน อาทิ การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 หรือก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ ไทยยังได้ตั้งเป้าที่จะให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี ค.ศ. 2030 ให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 15 ล้านคัน หรือ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2035 รวมถึงเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 55 ของประเทศ ในช่วงการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย ไทยจะพยายามเสนอรายการเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกันของเอเปคบนพื้นฐานของแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ซึ่งภาคธุรกิจมีความสําคัญยิ่งในกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําของเอเปค ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน การดําเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดการของเสีย การพัฒนานวัตกรรม รวมถึงด้านสิทธิมนุษยชนในการดูแล คุ้มครอง และเยียวยา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48121
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขร. ชี้แจงเกี่ยวกับข้อโต้แย้งร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. ....
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ขร. ชี้แจงเกี่ยวกับข้อโต้แย้งร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. .... ตามที่ได้มีการโต้แย้งความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. .... ผ่านสื่อสาธารณะ กรมการขนส่งทางราง (ขร.) กระทรวงคมนาคม จึงขอชี้แจง แต่ละประเด็นเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของสาธารณชนต่อร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ดังต่อไปนี้ ประเด็นที่ 1 การให้อํานาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพิกถอนสัญญาสัมปทาน หรืออนุมัติการต่ออายุสัญญาสัมปทาน เป็นการขัดแย้งกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนหรือพีพีพี การให้อํานาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในการเพิกถอนสัญญาสัมปทาน หรืออนุมัติการต่ออายุสัมปทาน ก็แต่ในกรณีที่ใบอนุญาตนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ออกใบอนุญาตตามร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง และให้อํานาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพิกถอนใบอนุญาตเฉพาะในกรณีผู้ได้รับใบอนุญาตก่อให้เกิดอันตรายหรือกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนอย่างร้ายแรง เช่นมีผู้เสียชีวิตเป็นจํานวนมากและไม่ยอมแก้ไขเหตุดังกล่าว เท่านั้น ส่วนกรณีของผู้ได้รับสัญญาสัมปทานก่อน พ.ร.บ.การขนส่งทางรางมีผลใช้บังคับ หากเกิดกรณีที่ผู้ได้รับสัญญาสัมปทานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน พ.ร.บ.การขนส่งทางราง และเกิดเหตุอันตรายต่อประชาชนอย่างร้ายแรงมีผู้เสียชีวิตเป็นจํานวนมากและไม่ยอมแก้ไขเหตุดังกล่าวก็ต้องเข้ากระบวนการเพิกถอนสัญญาสัมปทานอยู่ดี และยังเป็นกระบวนการของ ครม. ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือพีพีพี จึงไม่ได้ขัดหรือแย้งกับ พ.ร.บ พีพีพี แต่อย่างใด ประเด็นที่ 2 ไม่ส่งเสริมการแข่งขันระหว่างเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทางราง - มาตรา 60 ของ ร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางรางได้ห้ามโอนสิทธิในใบอนุญาตแก่บุคคลอื่น เพื่อป้องกันผู้ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่กฎหมายกําหนดเข้ามาประกอบกิจการเกี่ยวกับราง และเป็นการป้องกันการผูกขาดในกิจการเกี่ยวกับการขนส่งทางราง มาตราดังกล่าวจึงเป็นการส่งเสริมการแข่งขันระหว่างเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทางราง การที่ ร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง มีข้อห้ามเกี่ยวกับการห้ามถือหุ้นในบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการขนส่งทางราง เกินกว่า 50% หรือห้ามให้บริษัทที่สามถือหุ้นเกินกว่า 50% ของทั้งในบริษัทผู้รับใบอนุญาตและบริษัทที่ประกอบกิจการขนส่งทางรางอื่น และห้ามไม่ให้บุคคลต่างด้าวขอใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางราง จึงไม่เป็นการกีดกันเอกชนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับรางเข้าร่วมกระบวนการคัดเลือกตาม พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน เนื่องจากการขอใบอนุญาตประกอบกิจการเกี่ยวกับรางต้องทําตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเอกชนที่จะเข้าร่วมกระบวนการคัดเลือกตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ประเด็นที่ 3 หลักเกณฑ์และอํานาจหน้าที่มีความซ้ําซ้อนกับกฎหมายอื่นที่ใช้บังคับอยู่แล้ว เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ประกาศใช้บังคับแล้ว และตามบทเฉพาะกาล บรรดาอํานาจ สิทธิ และประโยชน์ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มีอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ให้ยังคงมีอยู่ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับกฎหมายและอํานาจหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานแต่อย่างใด ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวมีวัถตุประสงค์ แก้ไขปัญหาในอดีตที่ ในการให้บริการระบบราง ที่ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการที่มีต่อประชาชน ทําให้จําเป็นต้อง มีกรมการขนส่งทางรางทําหน้าที่ Regulator และกําหนดพระราชบัญญัติการขนส่งทางรางขึ้น ซึ่งจะช่วยกํากับการดําเนินงานของระบบขนส่งทางรถไฟให้มีมาตรฐานความปลอดภัย การกําหนดเขตปลอดภัย การสอบสวนอุบัติเหตุ และยกระดับคุณภาพการให้บริการระบบรางให้กับประชาชนผู้ใช้บริการระบบราง รวมถึงคุ้มครองผู้โดยสาร ความล่าช้าในการเดินรถ การคืนค่าโดยสารและการเยียวยา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวม และได้มีการดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกําหนดไว้อย่างครบถ้วน ทุกขั้นตอนชอบด้วยกฎหมายแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขร. ชี้แจงเกี่ยวกับข้อโต้แย้งร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. .... วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ขร. ชี้แจงเกี่ยวกับข้อโต้แย้งร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. .... ตามที่ได้มีการโต้แย้งความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. .... ผ่านสื่อสาธารณะ กรมการขนส่งทางราง (ขร.) กระทรวงคมนาคม จึงขอชี้แจง แต่ละประเด็นเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของสาธารณชนต่อร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ดังต่อไปนี้ ประเด็นที่ 1 การให้อํานาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพิกถอนสัญญาสัมปทาน หรืออนุมัติการต่ออายุสัญญาสัมปทาน เป็นการขัดแย้งกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนหรือพีพีพี การให้อํานาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในการเพิกถอนสัญญาสัมปทาน หรืออนุมัติการต่ออายุสัมปทาน ก็แต่ในกรณีที่ใบอนุญาตนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ออกใบอนุญาตตามร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง และให้อํานาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพิกถอนใบอนุญาตเฉพาะในกรณีผู้ได้รับใบอนุญาตก่อให้เกิดอันตรายหรือกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนอย่างร้ายแรง เช่นมีผู้เสียชีวิตเป็นจํานวนมากและไม่ยอมแก้ไขเหตุดังกล่าว เท่านั้น ส่วนกรณีของผู้ได้รับสัญญาสัมปทานก่อน พ.ร.บ.การขนส่งทางรางมีผลใช้บังคับ หากเกิดกรณีที่ผู้ได้รับสัญญาสัมปทานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน พ.ร.บ.การขนส่งทางราง และเกิดเหตุอันตรายต่อประชาชนอย่างร้ายแรงมีผู้เสียชีวิตเป็นจํานวนมากและไม่ยอมแก้ไขเหตุดังกล่าวก็ต้องเข้ากระบวนการเพิกถอนสัญญาสัมปทานอยู่ดี และยังเป็นกระบวนการของ ครม. ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือพีพีพี จึงไม่ได้ขัดหรือแย้งกับ พ.ร.บ พีพีพี แต่อย่างใด ประเด็นที่ 2 ไม่ส่งเสริมการแข่งขันระหว่างเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทางราง - มาตรา 60 ของ ร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางรางได้ห้ามโอนสิทธิในใบอนุญาตแก่บุคคลอื่น เพื่อป้องกันผู้ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่กฎหมายกําหนดเข้ามาประกอบกิจการเกี่ยวกับราง และเป็นการป้องกันการผูกขาดในกิจการเกี่ยวกับการขนส่งทางราง มาตราดังกล่าวจึงเป็นการส่งเสริมการแข่งขันระหว่างเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทางราง การที่ ร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง มีข้อห้ามเกี่ยวกับการห้ามถือหุ้นในบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการขนส่งทางราง เกินกว่า 50% หรือห้ามให้บริษัทที่สามถือหุ้นเกินกว่า 50% ของทั้งในบริษัทผู้รับใบอนุญาตและบริษัทที่ประกอบกิจการขนส่งทางรางอื่น และห้ามไม่ให้บุคคลต่างด้าวขอใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางราง จึงไม่เป็นการกีดกันเอกชนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับรางเข้าร่วมกระบวนการคัดเลือกตาม พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน เนื่องจากการขอใบอนุญาตประกอบกิจการเกี่ยวกับรางต้องทําตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเอกชนที่จะเข้าร่วมกระบวนการคัดเลือกตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ประเด็นที่ 3 หลักเกณฑ์และอํานาจหน้าที่มีความซ้ําซ้อนกับกฎหมายอื่นที่ใช้บังคับอยู่แล้ว เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ประกาศใช้บังคับแล้ว และตามบทเฉพาะกาล บรรดาอํานาจ สิทธิ และประโยชน์ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มีอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ให้ยังคงมีอยู่ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับกฎหมายและอํานาจหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานแต่อย่างใด ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวมีวัถตุประสงค์ แก้ไขปัญหาในอดีตที่ ในการให้บริการระบบราง ที่ยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการที่มีต่อประชาชน ทําให้จําเป็นต้อง มีกรมการขนส่งทางรางทําหน้าที่ Regulator และกําหนดพระราชบัญญัติการขนส่งทางรางขึ้น ซึ่งจะช่วยกํากับการดําเนินงานของระบบขนส่งทางรถไฟให้มีมาตรฐานความปลอดภัย การกําหนดเขตปลอดภัย การสอบสวนอุบัติเหตุ และยกระดับคุณภาพการให้บริการระบบรางให้กับประชาชนผู้ใช้บริการระบบราง รวมถึงคุ้มครองผู้โดยสาร ความล่าช้าในการเดินรถ การคืนค่าโดยสารและการเยียวยา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวม และได้มีการดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกําหนดไว้อย่างครบถ้วน ทุกขั้นตอนชอบด้วยกฎหมายแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52508
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเตรียมความพร้อม ใช้ระบบ Digital Pension บูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ย้ำ! ผู้มีสิทธิ ตรวจสอบข้อมูลของตนให้ถูกต้อง ครบถ้วน
วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 กรมบัญชีกลางเตรียมความพร้อม ใช้ระบบ Digital Pension บูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ย้ํา! ผู้มีสิทธิ ตรวจสอบข้อมูลของตนให้ถูกต้อง ครบถ้วน กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบบําเหน็จบํานาญและสวัสดิการรักษาพยาบาล (Digital Pension) เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ปรับปรุงระบบการสั่งจ่ายและการจ่ายตรงเบี้ยหวัด บําเหน็จบํานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบบําเหน็จบํานาญและสวัสดิการรักษาพยาบาล (Digital Pension) เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ปรับปรุงระบบการสั่งจ่ายและการจ่ายตรงเบี้ยหวัด บําเหน็จบํานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา (ระบบ e-Payroll) ไปยังระบบฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ สําหรับใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงสวัสดิการรักษาพยาบาลได้อย่างต่อเนื่องและป้องกันการใช้สิทธิที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งช่วยลดภาระการนําเงินส่งคืนคลังของส่วนราชการต้นสังกัดกรณีที่มีการเบิกเงินที่ไม่มีสิทธิส่งคืนคลังด้วย โดยจะเริ่มใช้ระบบ Digital Pension ในช่วงต้นปี 2565 อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางมีหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการต่าง ๆ กําชับให้ผู้มีสิทธิ ได้แก่ ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา ผู้รับเบี้ยหวัด และผู้รับบํานาญ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลตนเอง ผ่านช่องทางที่กรมบัญชีกลางจัดทําขึ้น 2 ช่องทาง คือ 1) เว็บไซต์ http://pws.cgd.go.th/EFiling/login.jsf โดยลงทะเบียนผ่านระบบการยื่นขอรับบําเหน็จบํานาญด้วยตนเองทางอิเล็กทรอนิกส์ 2) ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “CDG iHealthCare” และลงทะเบียนก่อนเข้าใช้งาน หากผู้มีสิทธิตรวจสอบข้อมูลและพบว่าข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นปัจจุบัน ให้ยื่นแบบคําขอเพิ่ม/ปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ พร้อมแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อนายทะเบียนของส่วนราชการต้นสังกัดเพื่อแก้ไขข้อมูลต่อไป “สําหรับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเบี้ยหวัด บําเหน็จบํานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้เปิดลงทะเบียนกําหนดสิทธิเข้าใช้งานในระบบ โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://dps.cgd.go.th/pension และศึกษาบทเรียนออนไลน์สําหรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการลงทะเบียนเข้าใช้งานในระบบได้ที่ https://dps.cgd.go.th/e-learning/register ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเตรียมความพร้อม ใช้ระบบ Digital Pension บูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ย้ำ! ผู้มีสิทธิ ตรวจสอบข้อมูลของตนให้ถูกต้อง ครบถ้วน วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 กรมบัญชีกลางเตรียมความพร้อม ใช้ระบบ Digital Pension บูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ย้ํา! ผู้มีสิทธิ ตรวจสอบข้อมูลของตนให้ถูกต้อง ครบถ้วน กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบบําเหน็จบํานาญและสวัสดิการรักษาพยาบาล (Digital Pension) เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ปรับปรุงระบบการสั่งจ่ายและการจ่ายตรงเบี้ยหวัด บําเหน็จบํานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบบําเหน็จบํานาญและสวัสดิการรักษาพยาบาล (Digital Pension) เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ ปรับปรุงระบบการสั่งจ่ายและการจ่ายตรงเบี้ยหวัด บําเหน็จบํานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา (ระบบ e-Payroll) ไปยังระบบฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ สําหรับใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงสวัสดิการรักษาพยาบาลได้อย่างต่อเนื่องและป้องกันการใช้สิทธิที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งช่วยลดภาระการนําเงินส่งคืนคลังของส่วนราชการต้นสังกัดกรณีที่มีการเบิกเงินที่ไม่มีสิทธิส่งคืนคลังด้วย โดยจะเริ่มใช้ระบบ Digital Pension ในช่วงต้นปี 2565 อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางมีหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการต่าง ๆ กําชับให้ผู้มีสิทธิ ได้แก่ ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา ผู้รับเบี้ยหวัด และผู้รับบํานาญ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลตนเอง ผ่านช่องทางที่กรมบัญชีกลางจัดทําขึ้น 2 ช่องทาง คือ 1) เว็บไซต์ http://pws.cgd.go.th/EFiling/login.jsf โดยลงทะเบียนผ่านระบบการยื่นขอรับบําเหน็จบํานาญด้วยตนเองทางอิเล็กทรอนิกส์ 2) ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “CDG iHealthCare” และลงทะเบียนก่อนเข้าใช้งาน หากผู้มีสิทธิตรวจสอบข้อมูลและพบว่าข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นปัจจุบัน ให้ยื่นแบบคําขอเพิ่ม/ปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ พร้อมแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อนายทะเบียนของส่วนราชการต้นสังกัดเพื่อแก้ไขข้อมูลต่อไป “สําหรับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเบี้ยหวัด บําเหน็จบํานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้เปิดลงทะเบียนกําหนดสิทธิเข้าใช้งานในระบบ โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://dps.cgd.go.th/pension และศึกษาบทเรียนออนไลน์สําหรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการลงทะเบียนเข้าใช้งานในระบบได้ที่ https://dps.cgd.go.th/e-learning/register ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49742
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ดินชานเมืองขยับขึ้นราคา
วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ดินชานเมืองขยับขึ้นราคา ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 354.5 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 354.5 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนามีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1 - 2) ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ทําให้ราคาที่ดินเปล่ามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และล่าสุดยังได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ที่อาจจะทําให้เศรษฐกิจไทยในปี 2565 ขยายตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ ผู้ประกอบการที่รัฐบาลได้ประกาศจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตราโดยไม่ได้รับส่วนลดร้อยละ 90 เหมือนเช่นในปี 2562 – 2563 ที่ผ่านมา จึงทําให้ผู้ประกอบการต้องพิจารณาการซื้อที่ดินสะสมลดลง เพื่อควบคุมภาระภาษีที่ดินซึ่งเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป นอกจากนี้ จะสังเกตได้ว่าในไตรมาส 2 ปี 2565 นี้ พบว่า โซน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีอัตราการเปลี่ยนราคามากถึงร้อยละ 40.5 อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางกรวย-บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย มีอัตราการเปลี่ยนราคาร้อยละ 24.2 อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 23.6 อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในโซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 12.3 อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 8.5 (ดูตารางที่ 2) จากภาวะราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีการเปลี่ยนแปลงของราคามาก เนื่องจากยังมีราคาไม่แพงและยังมีความต้องการนําไปใช้ในการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินในเขตชั้นใน และชั้นกลางของกรุงเทพฯมีราคาที่สูงอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีการปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ก็ทําให้อัตราการเปลี่ยนแปลงไม่มากสูงดังเช่นในพื้นที่ชานเมือง สําหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาสนี้ พบว่าเส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าและเส้นทางที่มีแผนการก่อสร้างในอนาคต โดยมีรายละเอียดดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) ซึ่งเป็นโครงการที่กําลังจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้นมากอยู่ในในเขตทวีวัฒนา และเขตตลิ่งชัน อันดับ 2 ได้แก่ สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วกว่าร้อยละ 90.7 ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) เขตหลักสี่ และเขตคันนายาว เป็นบริเวณที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 3 ได้แก่ สายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2559 มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.53 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ราคาที่ดินในอําเภอเมืองนนทบุรี และอําเภอบางบัวทอง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 4 ได้แก่ สายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) ซึ่งเป็นโครงการที่กําลังจะก่อสร้างในอนาคต และสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว โดยราคาที่ดินทั้ง 2 เส้นทาง มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.51 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยพบว่าอําเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นบริเวณที่มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาก และ อันดับ 5 ได้แก่ สายสีน้ําเงิน (บางแค-พุทธมณฑล สาย 4) ซึ่งเป็นโครงการที่กําลังจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินในเขตหนองแขม และเขตบางแค เป็นบริเวณที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก (ดูตารางที่ 3 และดูแผนที่ประกอบ) วิธีการจัดทําข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทําการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม โดยกําหนดให้ปี 2555 เป็นปีฐาน และจัดทําดัชนีเป็นรายไตรมาส ในการศึกษาจะใช้ข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าของกรมที่ดิน โดยจะคัดเลือกเฉพาะที่ดินเปล่าไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีขนาดที่ดินตั้งแต่ 200 ตารางวาขึ้นไป และจะใช้ข้อมูลเฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ผู้โอนหรือผู้รับโอนที่เป็น “นิติบุคคล” เท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นราคาซื้อขายจริง ซึ่งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องบันทึกค่าใช้จ่ายหรือรายได้ให้ถูกต้องเพื่อสามารถคํานวณภาษี และค่าใช้จ่ายในแต่ละปี การคํานวณค่าดัชนีฯ ใช้วิธีการวิเคราะห์แบบ Chain Laspeyres โดยราคาที่ดินเปล่าที่นํามาคํานวณคือ ราคาเฉลี่ยต่อตารางวา ซึ่งถ่วงน้ําหนักด้วยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ตั้งแต่ปี 2555-2559 โดยปัจจัยที่นํามาวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ได้แก่ 1) ทําเลที่ตั้งของที่ดิน 2) แผนผังกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน 3) เส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนผ่าน ข้อความจํากัดความรับผิดชอบ ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริงและไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูลผู้นําข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตรวจส
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ดินชานเมืองขยับขึ้นราคา วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ดินชานเมืองขยับขึ้นราคา ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 354.5 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 354.5 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนามีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1 - 2) ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ทําให้ราคาที่ดินเปล่ามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และล่าสุดยังได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ที่อาจจะทําให้เศรษฐกิจไทยในปี 2565 ขยายตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ ผู้ประกอบการที่รัฐบาลได้ประกาศจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตราโดยไม่ได้รับส่วนลดร้อยละ 90 เหมือนเช่นในปี 2562 – 2563 ที่ผ่านมา จึงทําให้ผู้ประกอบการต้องพิจารณาการซื้อที่ดินสะสมลดลง เพื่อควบคุมภาระภาษีที่ดินซึ่งเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป นอกจากนี้ จะสังเกตได้ว่าในไตรมาส 2 ปี 2565 นี้ พบว่า โซน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีอัตราการเปลี่ยนราคามากถึงร้อยละ 40.5 อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางกรวย-บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย มีอัตราการเปลี่ยนราคาร้อยละ 24.2 อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 23.6 อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในโซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 12.3 อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคาร้อยละ 8.5 (ดูตารางที่ 2) จากภาวะราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีการเปลี่ยนแปลงของราคามาก เนื่องจากยังมีราคาไม่แพงและยังมีความต้องการนําไปใช้ในการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินในเขตชั้นใน และชั้นกลางของกรุงเทพฯมีราคาที่สูงอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีการปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ก็ทําให้อัตราการเปลี่ยนแปลงไม่มากสูงดังเช่นในพื้นที่ชานเมือง สําหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาสนี้ พบว่าเส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าและเส้นทางที่มีแผนการก่อสร้างในอนาคต โดยมีรายละเอียดดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) ซึ่งเป็นโครงการที่กําลังจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้นมากอยู่ในในเขตทวีวัฒนา และเขตตลิ่งชัน อันดับ 2 ได้แก่ สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วกว่าร้อยละ 90.7 ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) เขตหลักสี่ และเขตคันนายาว เป็นบริเวณที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 3 ได้แก่ สายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2559 มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.53 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ราคาที่ดินในอําเภอเมืองนนทบุรี และอําเภอบางบัวทอง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 4 ได้แก่ สายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) ซึ่งเป็นโครงการที่กําลังจะก่อสร้างในอนาคต และสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว โดยราคาที่ดินทั้ง 2 เส้นทาง มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.51 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยพบว่าอําเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นบริเวณที่มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นมาก และ อันดับ 5 ได้แก่ สายสีน้ําเงิน (บางแค-พุทธมณฑล สาย 4) ซึ่งเป็นโครงการที่กําลังจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ราคาที่ดินในเขตหนองแขม และเขตบางแค เป็นบริเวณที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก (ดูตารางที่ 3 และดูแผนที่ประกอบ) วิธีการจัดทําข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทําการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม โดยกําหนดให้ปี 2555 เป็นปีฐาน และจัดทําดัชนีเป็นรายไตรมาส ในการศึกษาจะใช้ข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าของกรมที่ดิน โดยจะคัดเลือกเฉพาะที่ดินเปล่าไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีขนาดที่ดินตั้งแต่ 200 ตารางวาขึ้นไป และจะใช้ข้อมูลเฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ผู้โอนหรือผู้รับโอนที่เป็น “นิติบุคคล” เท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นราคาซื้อขายจริง ซึ่งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องบันทึกค่าใช้จ่ายหรือรายได้ให้ถูกต้องเพื่อสามารถคํานวณภาษี และค่าใช้จ่ายในแต่ละปี การคํานวณค่าดัชนีฯ ใช้วิธีการวิเคราะห์แบบ Chain Laspeyres โดยราคาที่ดินเปล่าที่นํามาคํานวณคือ ราคาเฉลี่ยต่อตารางวา ซึ่งถ่วงน้ําหนักด้วยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ตั้งแต่ปี 2555-2559 โดยปัจจัยที่นํามาวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ได้แก่ 1) ทําเลที่ตั้งของที่ดิน 2) แผนผังกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน 3) เส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนผ่าน ข้อความจํากัดความรับผิดชอบ ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริงและไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูลผู้นําข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตรวจส
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สาธิต"ห่วงโคราชดับจากอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่สูงสุด ลงพื้นที่ด่านชุมชน เข้มสกัดคนเมา-คัดกรองโควิด
วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 "สาธิต"ห่วงโคราชดับจากอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่สูงสุด ลงพื้นที่ด่านชุมชน เข้มสกัดคนเมา-คัดกรองโควิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วง "นครราชสีมา" เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่สูงสุดถึง 11 ราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านชุมชนถนนมิตรภาพทั้งสายหลักสายรอง เน้นคัดกรองคนเมาไม่ให้ออกสู่ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วง "นครราชสีมา" เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่สูงสุดถึง 11 ราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านชุมชนถนนมิตรภาพทั้งสายหลักสายรอง เน้นคัดกรองคนเมาไม่ให้ออกสู่ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ พร้อมบริการตรวจATK แจกหน้ากากและเจลแอลกอฮอล์ รณรงค์ป้องกันตนเองจากโควิดสูงสุด ย้ําสถานพยาบาลทุกระดับเตรียมพร้อมดูแลรักษาประชาชน 24 ชั่วโมง วันนี้ (1 มกราคม 2565) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมด่านชุมชนและด่านบริการประชาชน ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อติดตามการดําเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 พร้อมแจกจ่ายหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ให้แก่ประชาชน รณรงค์ให้ป้องกันตนเองเข้มข้นสูงสุด เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และมอบกระเช้าของขวัญเป็นกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ดร.สาธิตกล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนมีการเดินทางกลับภูมิลําเนาและท่องเที่ยวจํานวนมาก ทําให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ สาเหตุหลักมาจากการเมาและขับ กระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมกับฝ่ายปกครอง กํานันผู้ใหญ่บ้าน ชุมชน จิตอาสา และ อสม. ตั้งด่านชุมชนเพื่อคัดกรองผู้ขับขี่ที่มีอาการมึนเมาไม่ให้ออกสู่ท้องถนน เพื่อความปลอดภัยจากอุบัติเหตุ โดย จ.นครราชสีมา เป็นประตูไปสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการใช้รถใช้ถนนจํานวนมาก ซึ่งในช่วง 3 วันของเทศกาลปีใหม่นี้ คือ 29-31 ธันวาคม 2564 จ.นครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงสุดในประเทศ คือ 11 ราย จึงได้มาตรวจเยี่ยมด่านชุมชน ต.ขนงพระใต้ และด่านบริการประชาชน ต.หนองสาหร่าย ที่ตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพทั้งสายหลักและสายรอง ซึ่งจัดบริการประชาชนพร้อมทั้งเรื่องอุบัติเหตุและโควิด 19 มีบริการตรวจATK เชิงรุก จ่ายยาสามัญ ให้การปฐมพยาบาล แจกหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า สําหรับการเตรียมความพร้อมดูแลผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ได้เน้นย้ําให้สถานพยาบาลทุกระดับพร้อมให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง โดยพื้นที่ อ.ปากช่อง มีโรงพยาบาลปากช่องนานาเป็นสถานพยาบาลหลักรับดูแลส่งต่อ มีความพร้อมทั้งศูนย์รับแจ้งเหตุ 1669 ห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด หอผู้ป่วยศัลยกรรม รถพยาบาล ระบบส่งต่อ โดยจัดบุคลากรทางการแพทย์หมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมยกระดับงานอุบัติเหตุฉุกเฉินและระบบขนส่งผู้บาดเจ็บให้ทันสมัย รองรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีถนนสายหลักตัดผ่าน ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2564 - 1 มกราคม 2565 โรงพยาบาลปากช่องนานารับผู้ป่วยอุบัติทางถนนแล้ว 57 ราย จํานวนนี้ต้องนอนพักรักษาตัว 7 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนภาพรวม จ.นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 29 - 31 ธันวาคม 2564 มีผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน 537 ราย เสียชีวิต 11 ราย ยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุดคือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 72.28 "ขอขอบคุณ อสม. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่เสียสละวันหยุดของตัวเองช่วยดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งคัดกรองผู้ที่มีอาการมึนเมา ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองโควิด 19 เบื้องต้น เพื่อให้ทุกคนเดินทางทั้งไปและกลับได้อย่างปลอดภัยในช่วงปีใหม่นี้" ดร.สาธิตกล่าว ************************************** 1 มกราคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สาธิต"ห่วงโคราชดับจากอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่สูงสุด ลงพื้นที่ด่านชุมชน เข้มสกัดคนเมา-คัดกรองโควิด วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 "สาธิต"ห่วงโคราชดับจากอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่สูงสุด ลงพื้นที่ด่านชุมชน เข้มสกัดคนเมา-คัดกรองโควิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วง "นครราชสีมา" เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่สูงสุดถึง 11 ราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านชุมชนถนนมิตรภาพทั้งสายหลักสายรอง เน้นคัดกรองคนเมาไม่ให้ออกสู่ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วง "นครราชสีมา" เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่สูงสุดถึง 11 ราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านชุมชนถนนมิตรภาพทั้งสายหลักสายรอง เน้นคัดกรองคนเมาไม่ให้ออกสู่ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุ พร้อมบริการตรวจATK แจกหน้ากากและเจลแอลกอฮอล์ รณรงค์ป้องกันตนเองจากโควิดสูงสุด ย้ําสถานพยาบาลทุกระดับเตรียมพร้อมดูแลรักษาประชาชน 24 ชั่วโมง วันนี้ (1 มกราคม 2565) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมด่านชุมชนและด่านบริการประชาชน ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อติดตามการดําเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 พร้อมแจกจ่ายหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ให้แก่ประชาชน รณรงค์ให้ป้องกันตนเองเข้มข้นสูงสุด เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และมอบกระเช้าของขวัญเป็นกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ดร.สาธิตกล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนมีการเดินทางกลับภูมิลําเนาและท่องเที่ยวจํานวนมาก ทําให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ สาเหตุหลักมาจากการเมาและขับ กระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมกับฝ่ายปกครอง กํานันผู้ใหญ่บ้าน ชุมชน จิตอาสา และ อสม. ตั้งด่านชุมชนเพื่อคัดกรองผู้ขับขี่ที่มีอาการมึนเมาไม่ให้ออกสู่ท้องถนน เพื่อความปลอดภัยจากอุบัติเหตุ โดย จ.นครราชสีมา เป็นประตูไปสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการใช้รถใช้ถนนจํานวนมาก ซึ่งในช่วง 3 วันของเทศกาลปีใหม่นี้ คือ 29-31 ธันวาคม 2564 จ.นครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงสุดในประเทศ คือ 11 ราย จึงได้มาตรวจเยี่ยมด่านชุมชน ต.ขนงพระใต้ และด่านบริการประชาชน ต.หนองสาหร่าย ที่ตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพทั้งสายหลักและสายรอง ซึ่งจัดบริการประชาชนพร้อมทั้งเรื่องอุบัติเหตุและโควิด 19 มีบริการตรวจATK เชิงรุก จ่ายยาสามัญ ให้การปฐมพยาบาล แจกหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า สําหรับการเตรียมความพร้อมดูแลผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ได้เน้นย้ําให้สถานพยาบาลทุกระดับพร้อมให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง โดยพื้นที่ อ.ปากช่อง มีโรงพยาบาลปากช่องนานาเป็นสถานพยาบาลหลักรับดูแลส่งต่อ มีความพร้อมทั้งศูนย์รับแจ้งเหตุ 1669 ห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด หอผู้ป่วยศัลยกรรม รถพยาบาล ระบบส่งต่อ โดยจัดบุคลากรทางการแพทย์หมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมยกระดับงานอุบัติเหตุฉุกเฉินและระบบขนส่งผู้บาดเจ็บให้ทันสมัย รองรับการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีถนนสายหลักตัดผ่าน ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2564 - 1 มกราคม 2565 โรงพยาบาลปากช่องนานารับผู้ป่วยอุบัติทางถนนแล้ว 57 ราย จํานวนนี้ต้องนอนพักรักษาตัว 7 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนภาพรวม จ.นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 29 - 31 ธันวาคม 2564 มีผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน 537 ราย เสียชีวิต 11 ราย ยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุดคือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 72.28 "ขอขอบคุณ อสม. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่เสียสละวันหยุดของตัวเองช่วยดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งคัดกรองผู้ที่มีอาการมึนเมา ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองโควิด 19 เบื้องต้น เพื่อให้ทุกคนเดินทางทั้งไปและกลับได้อย่างปลอดภัยในช่วงปีใหม่นี้" ดร.สาธิตกล่าว ************************************** 1 มกราคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50135
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสำหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานฯ แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย
วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน 2564 นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสําหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานฯ แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสําหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานฯ แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และชุมชนโดยรอบ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (25 มิ.ย. 2564) เมื่อเวลา 09.30 น. ณ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสําหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานในศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และชุมชนในพื้นที่โดยรอบโรงพยาบาลเป็นกลุ่มแรก จํานวน 6,400 ราย (วัคซีนจํานวน 6,400 โดส) เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 64 พรรษา 4 กรกฎาคม 2564 และเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม และได้รับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อประเทศชาติ นับเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทย โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และผู้อํานวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าเยี่ยมชมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และให้กําลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนที่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ในวันนี้มีผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามจัดหาวัคซีนให้ประชาชนทุกคนตามความเหมาะสม พร้อมย้ําบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลผู้ปฏิบัติงาน ระหว่างดูแลประชาชนขอให้ระมัดระวังดูแลสุขภาพตนเองไปพร้อมด้วย โดยเฉพาะการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณุข สวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า ล้างมือ เว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมว่า วันนี้เป็นที่น่ายินดีที่ได้มาตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการสําหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานในศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 64 พรรษา 4 กรกฎาคม 2564 โดยวัคซีนซิโนฟาร์มล็อตแรก จํานวน 1 ล้านโดส ที่ได้จัดส่งถึงประเทศไทยแล้วนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร กรมราชทัณฑ์ รวมทั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จํานวนแห่งละ 6,400 โดส รวมทั้งหมด 25,600 โดส ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐบาลที่ได้มีการดําเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยวันนี้การฉีดวัคซีนจะเน้นไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง และจะเร่งดําเนินการกระจายวัคซีนไปในทุกจังหวัด โดยบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมถึงการจัดหาวัคซีนก็ยังเป็นไปตามแผนที่กําหนด และจะมีการเร่งเจรจาจัดหาและจัดซื้อเพิ่มเติมอีก เพื่อให้เพียงพอสําหรับประชาชนทุกกลุ่มและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชนในประเทศ สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีจํานวนเพิ่มขึ้นปัจจุบันนั้น นายกรัฐมนตรีได้หารือกับกระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมที่จะดูแลประชาชน รวมถึงมีการปรับเตียงรองรับผู้ป่วยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งจัดหาสถานที่ ห้องความดันลบ และจัดหาเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทั่วถึงและทันท่วงที ซึ่งคาดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เร่งรัดดําเนินการสําหรับแรงงานที่ลักลอบเข้ามาทํางานอย่างผิดกฎหมาย โดยให้ดําเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งได้กําชับและสั่งการให้กระทรวงแรงงานไปตรวจโรงงานที่รับแรงงานที่ผิดกฎหมายซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพราะตราบใดที่มี Demand ก็ยังมี Supply และมีคนแสวงหาประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรียอมไม่ได้ หากพบว่าใครเกี่ยวข้องก็จะต้องถูกลงโทษ นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ขณะนี้รัฐบาลดําเนินการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ควบคู่กับการดําเนินการในหลายเรื่อง ทั้งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหายาเสพติด และอื่น ๆ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมด้วย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาโควิด-19 รัฐบาล ศบค. กระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสําคัญยึดหลักร่วมกัน คือ 1. การดูแลเรื่องการติดเชื้อ การแพร่ระบาด 2. การตรวจสอบคัดกรองเชิงรุก 3. การปิดกั้นพื้นที่ที่แพร่ระบาดด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน 4. การจัดหาวัคซีน ทั้งที่ได้มาแล้วสู่การฉีดให้ได้มากและเร็วที่สุด และการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม 5. การรักษาสมดุลกับการควบคุม เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งหลายประเทศให้ความสนใจ ต้องการมาเที่ยวประเทศไทย แต่ต้องมีมาตรการที่รัดกุม เช่น ที่จังหวัดภูเก็ต ที่กําลังจะเปิดในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ก็ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปดูแลแล้ว ซึ่งหากดําเนินการในพื้นที่ภูเก็ตได้ ก็จะมีการพิจารณาขยาย Phuket Sandbox ไปดําเนินการในพื้นที่อื่นด้วย ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสำหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานฯ แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน 2564 นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสําหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานฯ แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย นายกฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสําหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานฯ แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และชุมชนโดยรอบ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (25 มิ.ย. 2564) เมื่อเวลา 09.30 น. ณ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการวันแรกสําหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานในศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และชุมชนในพื้นที่โดยรอบโรงพยาบาลเป็นกลุ่มแรก จํานวน 6,400 ราย (วัคซีนจํานวน 6,400 โดส) เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 64 พรรษา 4 กรกฎาคม 2564 และเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม และได้รับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อประเทศชาติ นับเป็นพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทย โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และผู้อํานวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ร่วมตรวจเยี่ยมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าเยี่ยมชมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และให้กําลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนที่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ในวันนี้มีผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามจัดหาวัคซีนให้ประชาชนทุกคนตามความเหมาะสม พร้อมย้ําบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลผู้ปฏิบัติงาน ระหว่างดูแลประชาชนขอให้ระมัดระวังดูแลสุขภาพตนเองไปพร้อมด้วย โดยเฉพาะการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณุข สวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า ล้างมือ เว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมว่า วันนี้เป็นที่น่ายินดีที่ได้มาตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดให้บริการสําหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานในศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 64 พรรษา 4 กรกฎาคม 2564 โดยวัคซีนซิโนฟาร์มล็อตแรก จํานวน 1 ล้านโดส ที่ได้จัดส่งถึงประเทศไทยแล้วนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร กรมราชทัณฑ์ รวมทั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จํานวนแห่งละ 6,400 โดส รวมทั้งหมด 25,600 โดส ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐบาลที่ได้มีการดําเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยวันนี้การฉีดวัคซีนจะเน้นไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง และจะเร่งดําเนินการกระจายวัคซีนไปในทุกจังหวัด โดยบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมถึงการจัดหาวัคซีนก็ยังเป็นไปตามแผนที่กําหนด และจะมีการเร่งเจรจาจัดหาและจัดซื้อเพิ่มเติมอีก เพื่อให้เพียงพอสําหรับประชาชนทุกกลุ่มและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชนในประเทศ สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีจํานวนเพิ่มขึ้นปัจจุบันนั้น นายกรัฐมนตรีได้หารือกับกระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมที่จะดูแลประชาชน รวมถึงมีการปรับเตียงรองรับผู้ป่วยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งจัดหาสถานที่ ห้องความดันลบ และจัดหาเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทั่วถึงและทันท่วงที ซึ่งคาดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยในเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เร่งรัดดําเนินการสําหรับแรงงานที่ลักลอบเข้ามาทํางานอย่างผิดกฎหมาย โดยให้ดําเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งได้กําชับและสั่งการให้กระทรวงแรงงานไปตรวจโรงงานที่รับแรงงานที่ผิดกฎหมายซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพราะตราบใดที่มี Demand ก็ยังมี Supply และมีคนแสวงหาประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรียอมไม่ได้ หากพบว่าใครเกี่ยวข้องก็จะต้องถูกลงโทษ นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ขณะนี้รัฐบาลดําเนินการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ควบคู่กับการดําเนินการในหลายเรื่อง ทั้งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหายาเสพติด และอื่น ๆ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมด้วย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาโควิด-19 รัฐบาล ศบค. กระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสําคัญยึดหลักร่วมกัน คือ 1. การดูแลเรื่องการติดเชื้อ การแพร่ระบาด 2. การตรวจสอบคัดกรองเชิงรุก 3. การปิดกั้นพื้นที่ที่แพร่ระบาดด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน 4. การจัดหาวัคซีน ทั้งที่ได้มาแล้วสู่การฉีดให้ได้มากและเร็วที่สุด และการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม 5. การรักษาสมดุลกับการควบคุม เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งหลายประเทศให้ความสนใจ ต้องการมาเที่ยวประเทศไทย แต่ต้องมีมาตรการที่รัดกุม เช่น ที่จังหวัดภูเก็ต ที่กําลังจะเปิดในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ก็ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปดูแลแล้ว ซึ่งหากดําเนินการในพื้นที่ภูเก็ตได้ ก็จะมีการพิจารณาขยาย Phuket Sandbox ไปดําเนินการในพื้นที่อื่นด้วย ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผย APEC TELWG 64 ชูความสำเร็จ 3 กิจกรรม
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2565 ดีอีเอส เผย APEC TELWG 64 ชูความสําเร็จ 3 กิจกรรม ดีอีเอส เผย APEC TELWG 64 ชูความสําเร็จ 3 กิจกรรมเสวนา เรื่อง อนาคตกําลังคนดิจิทัลยุค - แลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคโนโลยีใหม่ด้านโทรคมนาคม ปลดล็อกอนาคตสังคมดิจิทัล – ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยไซเบอร์หนุนความมั่งคั่งเศรษฐกิจดิจิทัลเอเปค เมื่อวันที่14พฤษภาคม2565นายณัฐพลณัฏฐสมบูรณ์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมประชุมคณะทํางานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศครั้งที่64 (APEC TELWG 64)ณโรงแรงแชงกรี-ลากรุงเทพโดยที่ประชุมได้รับทราบและรายงานผลการประชุมกลุ่มกํากับการทั้ง3กลุ่ม(LSG,DSG,และSPSG)ที่ผ่านมารวมทั้งผลการดําเนินโครงการปัจจุบันการเสนอโครงการใหม่ผลลัพธ์ความสําเร็จในการจัดกิจกรรมการเสวนาRoundtable 3กิจกรรมได้แก่1.กิจกรรมเสวนาICT Roundtable for TEL64 หัวข้ออนาคตกําลังคนดิจิทัลยุคNext Normal (Toward the Next Normal : the Future of Digital Manpower) 2.กิจกรรมเสวนาRegulatory Roundtable (LSG) for TEL64หัวข้อแลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคโนโลยีใหม่ด้านโทรคมนาคมปลดล็อกอนาคตสังคมดิจิทัล(Sharing the Emerging Telecommunication Technology Experiences to Unlock the Future of Digital Society)และ3.กิจกรรมเสวนาIndustry Roundtable for TEL64หัวข้อความเชื่อมั่นและความปลอดภัยไซเบอร์หนุนความมั่งคั่งเศรษฐกิจดิจิทัลเอเปค(Enhancing Trust and Security for APEC Digital Economy Prosperity)และแผนการดําเนินงานในอนาคตโดยรองปลัดกระทรวงฯในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยTELWGได้กล่าวขอบคุณประธานรองประธานผู้อภิปรายและAPEC Secretariat รวมถึงคณะผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคที่เข้าร่วมการประชุมทั้งแบบพบหน้าและรูปแบบการประชุมทางไกลที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและโทรคมนาคมร่วมกันในอนาคต *************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผย APEC TELWG 64 ชูความสำเร็จ 3 กิจกรรม วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2565 ดีอีเอส เผย APEC TELWG 64 ชูความสําเร็จ 3 กิจกรรม ดีอีเอส เผย APEC TELWG 64 ชูความสําเร็จ 3 กิจกรรมเสวนา เรื่อง อนาคตกําลังคนดิจิทัลยุค - แลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคโนโลยีใหม่ด้านโทรคมนาคม ปลดล็อกอนาคตสังคมดิจิทัล – ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยไซเบอร์หนุนความมั่งคั่งเศรษฐกิจดิจิทัลเอเปค เมื่อวันที่14พฤษภาคม2565นายณัฐพลณัฏฐสมบูรณ์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมประชุมคณะทํางานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศครั้งที่64 (APEC TELWG 64)ณโรงแรงแชงกรี-ลากรุงเทพโดยที่ประชุมได้รับทราบและรายงานผลการประชุมกลุ่มกํากับการทั้ง3กลุ่ม(LSG,DSG,และSPSG)ที่ผ่านมารวมทั้งผลการดําเนินโครงการปัจจุบันการเสนอโครงการใหม่ผลลัพธ์ความสําเร็จในการจัดกิจกรรมการเสวนาRoundtable 3กิจกรรมได้แก่1.กิจกรรมเสวนาICT Roundtable for TEL64 หัวข้ออนาคตกําลังคนดิจิทัลยุคNext Normal (Toward the Next Normal : the Future of Digital Manpower) 2.กิจกรรมเสวนาRegulatory Roundtable (LSG) for TEL64หัวข้อแลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคโนโลยีใหม่ด้านโทรคมนาคมปลดล็อกอนาคตสังคมดิจิทัล(Sharing the Emerging Telecommunication Technology Experiences to Unlock the Future of Digital Society)และ3.กิจกรรมเสวนาIndustry Roundtable for TEL64หัวข้อความเชื่อมั่นและความปลอดภัยไซเบอร์หนุนความมั่งคั่งเศรษฐกิจดิจิทัลเอเปค(Enhancing Trust and Security for APEC Digital Economy Prosperity)และแผนการดําเนินงานในอนาคตโดยรองปลัดกระทรวงฯในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยTELWGได้กล่าวขอบคุณประธานรองประธานผู้อภิปรายและAPEC Secretariat รวมถึงคณะผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคที่เข้าร่วมการประชุมทั้งแบบพบหน้าและรูปแบบการประชุมทางไกลที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและโทรคมนาคมร่วมกันในอนาคต *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลให้ความมั่นใจ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่กระทบหนี้สาธารณะ สิ้นปีคาด 61.3% ต่อจีดีพี ธนาคารรัฐพร้อมตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุด
วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 รัฐบาลให้ความมั่นใจ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่กระทบหนี้สาธารณะ สิ้นปีคาด 61.3% ต่อจีดีพี ธนาคารรัฐพร้อมตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุด รัฐบาลให้ความมั่นใจ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่กระทบหนี้สาธารณะ สิ้นปีคาด 61.3% ต่อจีดีพี ธนาคารรัฐพร้อมตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุด วันที่ 14 สิงหาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สอดรับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ธนาคารของรัฐตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และออกมาตรการที่จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 เพื่อลดผลกระทบแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี ขณะนี้ ธนาคารของรัฐหลายแห่ง ได้ออกประกาศในเบื้องต้น ที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุด คาดว่าจะถึงสิ้นปี 2565 ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามตลาด เพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับธนาคารในการนําเงินไปปล่อยสินเชื่อ แต่ละธนาคารจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป ซึ่งขณะนี้ ธนาคารออมสินได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 3 เดือน/6 เดือน ปรับขึ้น 0.15% เงินฝากประจํา 12 เดือน ปรับขึ้น 0.20% และเงินฝากประจํา 24 เดือน/36 เดือน ปรับขึ้น 0.30% ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการออม และให้ประชาชนได้มีกําลังซื้อเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่กําลังเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในส่วนของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งมีบทบาทการค้ําประกันสินเชื่อ พร้อมเดินหน้าตามนโยบายรัฐ ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อย่างเต็มที่ทุกด้านเช่นกัน โดยจะขยายมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ “บสย. พร้อมช่วย” ไปจนถึงสิ้นปี 2565เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แก้หนี้ยั่งยืน ให้ลูกหนี้สามารถประคองกิจการต่อไปได้ เน้นความยืดหยุ่นการชําระหนี้ 3 ระดับ ตามความสามารถในการชําระ คือ 1. ยืดหยุ่น โดยตัดเงินต้น 20% และตัดดอกเบี้ย 80% ระยะผ่อนชําระ 5 ปี 2. ผ่อนน้อย เบาแรง หนี้ลดหมดแน่นอน โดยเริ่มต้นชําระครั้งแรกเพียง 1% ของยอดหนี้ โดยนําไปตัดเงินต้นทั้งหมด ส่วนวงเงินที่เหลือ ระยะผ่อนชําระ 5 ปี 3. ดอกเบี้ย 0% ชําระครั้งแรก 10% ซึ่งจะนําไปตัดเงินต้นทั้งหมด ระยะผ่อนชําระ 7 ปีโดยมีลูกหนี้ลงทะเบียนร่วมโครงการ 6,856 ราย มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว วงเงินกว่า 1,117 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ก.ค.65) นางสาวรัชดา กล่าวต่อถึงภาพรวมการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยย่อมทําให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลสูงขึ้น แต่ด้วยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ที่ผ่านมามีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงอยู่แล้ว จึงไม่มีประเด็นที่ต้องกังวล โดยได้ดําเนินการเปลี่ยนการกู้เงินระยะสั้นที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว (Float Rate) มาเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fix Rate) มากขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 82% ส่วนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นไม่มี เพราะรัฐบาลมีหนี้ต่างประเทศแค่ 1.8% และได้ทําการปิดความเสี่ยงไปหมดแล้ว ขณะที่ ปีงบประมาณ 2566 แผนการบริหารจัดการต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาล จะเน้นกู้เงินผ่านการออกพันธบัตรระยะยาว จากปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 45% ปรับเพิ่มเป็น 48% การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะอยู่เท่าเดิมที่ 25% ขณะที่การออกตั๋วเงินคลังและการกู้เงินระยะสั้นจากตลาด จะลดลงมาอยู่ที่ 14% จากเดิมที่ 18% ทั้งนี้ ภาพรวมหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2565 สบน. รายงานว่า อยู่ที่ 61.06% ทั้งนี้ มีการคาดการณ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า สิ้นปีงบประมาณ 2565 นี้ หนี้สาธารณะต่อจีดีพี จะอยู่ที่ 62.69% แต่ด้วยปัจจุบันมูลค่าจีดีพีเพิ่มขึ้น และมีการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะทั้งหมด ทําให้คาดว่าภายในสิ้นปีงบประมาณ 2565 สัดส่วนหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 61.3% “การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. เป้าหมายเพื่อให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับสภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ธนาคารของรัฐตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และพิจารณาออกมาตรการดูแลลูกหนี้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด 19 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ ส่วนเรื่องต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามมา ยังไม่มีประเด็นที่ต้องกังวล เพราะ สบน. มีการจัดการความเสี่ยงเรื่องการผันผวนของอัตราดอกเบี้ย และแผนการบริหารต้นทุนกู้เงิน ไว้อยู่แล้ว” นางสาวรัชดา กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลให้ความมั่นใจ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่กระทบหนี้สาธารณะ สิ้นปีคาด 61.3% ต่อจีดีพี ธนาคารรัฐพร้อมตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุด วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 รัฐบาลให้ความมั่นใจ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่กระทบหนี้สาธารณะ สิ้นปีคาด 61.3% ต่อจีดีพี ธนาคารรัฐพร้อมตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุด รัฐบาลให้ความมั่นใจ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่กระทบหนี้สาธารณะ สิ้นปีคาด 61.3% ต่อจีดีพี ธนาคารรัฐพร้อมตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุด วันที่ 14 สิงหาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สอดรับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ธนาคารของรัฐตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และออกมาตรการที่จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 เพื่อลดผลกระทบแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี ขณะนี้ ธนาคารของรัฐหลายแห่ง ได้ออกประกาศในเบื้องต้น ที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุด คาดว่าจะถึงสิ้นปี 2565 ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตามตลาด เพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับธนาคารในการนําเงินไปปล่อยสินเชื่อ แต่ละธนาคารจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป ซึ่งขณะนี้ ธนาคารออมสินได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 3 เดือน/6 เดือน ปรับขึ้น 0.15% เงินฝากประจํา 12 เดือน ปรับขึ้น 0.20% และเงินฝากประจํา 24 เดือน/36 เดือน ปรับขึ้น 0.30% ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการออม และให้ประชาชนได้มีกําลังซื้อเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่กําลังเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในส่วนของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งมีบทบาทการค้ําประกันสินเชื่อ พร้อมเดินหน้าตามนโยบายรัฐ ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อย่างเต็มที่ทุกด้านเช่นกัน โดยจะขยายมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ “บสย. พร้อมช่วย” ไปจนถึงสิ้นปี 2565เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แก้หนี้ยั่งยืน ให้ลูกหนี้สามารถประคองกิจการต่อไปได้ เน้นความยืดหยุ่นการชําระหนี้ 3 ระดับ ตามความสามารถในการชําระ คือ 1. ยืดหยุ่น โดยตัดเงินต้น 20% และตัดดอกเบี้ย 80% ระยะผ่อนชําระ 5 ปี 2. ผ่อนน้อย เบาแรง หนี้ลดหมดแน่นอน โดยเริ่มต้นชําระครั้งแรกเพียง 1% ของยอดหนี้ โดยนําไปตัดเงินต้นทั้งหมด ส่วนวงเงินที่เหลือ ระยะผ่อนชําระ 5 ปี 3. ดอกเบี้ย 0% ชําระครั้งแรก 10% ซึ่งจะนําไปตัดเงินต้นทั้งหมด ระยะผ่อนชําระ 7 ปีโดยมีลูกหนี้ลงทะเบียนร่วมโครงการ 6,856 ราย มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว วงเงินกว่า 1,117 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ก.ค.65) นางสาวรัชดา กล่าวต่อถึงภาพรวมการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยย่อมทําให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลสูงขึ้น แต่ด้วยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ที่ผ่านมามีแผนบริหารจัดการความเสี่ยงอยู่แล้ว จึงไม่มีประเด็นที่ต้องกังวล โดยได้ดําเนินการเปลี่ยนการกู้เงินระยะสั้นที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว (Float Rate) มาเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fix Rate) มากขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 82% ส่วนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นไม่มี เพราะรัฐบาลมีหนี้ต่างประเทศแค่ 1.8% และได้ทําการปิดความเสี่ยงไปหมดแล้ว ขณะที่ ปีงบประมาณ 2566 แผนการบริหารจัดการต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาล จะเน้นกู้เงินผ่านการออกพันธบัตรระยะยาว จากปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 45% ปรับเพิ่มเป็น 48% การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะอยู่เท่าเดิมที่ 25% ขณะที่การออกตั๋วเงินคลังและการกู้เงินระยะสั้นจากตลาด จะลดลงมาอยู่ที่ 14% จากเดิมที่ 18% ทั้งนี้ ภาพรวมหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2565 สบน. รายงานว่า อยู่ที่ 61.06% ทั้งนี้ มีการคาดการณ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า สิ้นปีงบประมาณ 2565 นี้ หนี้สาธารณะต่อจีดีพี จะอยู่ที่ 62.69% แต่ด้วยปัจจุบันมูลค่าจีดีพีเพิ่มขึ้น และมีการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะทั้งหมด ทําให้คาดว่าภายในสิ้นปีงบประมาณ 2565 สัดส่วนหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 61.3% “การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. เป้าหมายเพื่อให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับสภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ธนาคารของรัฐตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และพิจารณาออกมาตรการดูแลลูกหนี้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด 19 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ ส่วนเรื่องต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามมา ยังไม่มีประเด็นที่ต้องกังวล เพราะ สบน. มีการจัดการความเสี่ยงเรื่องการผันผวนของอัตราดอกเบี้ย และแผนการบริหารต้นทุนกู้เงิน ไว้อยู่แล้ว” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” ร้านค้า-แหล่งผลิตผ้าย้อมครามสกล ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างรายได้สูงให้ จ.สกลนคร ชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่
วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565 นายกฯ เยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” ร้านค้า-แหล่งผลิตผ้าย้อมครามสกล ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างรายได้สูงให้ จ.สกลนคร ชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่ นายกฯ เยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” ร้านค้า-แหล่งผลิตผ้าย้อมครามสกล ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างรายได้สูงให้ จ.สกลนคร ชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลจนเกิดผลเป็นรูปธรรม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (15 มิ.ย.65) เวลา 16.00 น. ณ บริเวณวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร อ.เมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ได้เยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” ร้านค้าและแหล่งผลิตผ้ายอมครามสกล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา และสภาหัตถศิลป์โลก (World Crafts Council) ได้รับการรับรองให้จังหวัดสกลนคร เป็น “นครหัตถศิลป์โลก เจ้าแห่งครามธรรมชาติ” (World Craft City for Natural Indigo) โดยเป็นหนึ่งในประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ได้รับการรับรองนี้ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้สูงให้กับจังหวัดสกลนคร แสดงถึงศักยภาพทางด้านศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยแบรนด์ชั้นนําของโลกยังได้นําผ้าครามไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อีกด้วย นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลิตภัณฑ์ผ้ายอมครามของชาวบ้าน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งชนิดผ้าผืนสําหรับนําไปตัดเองและแบบสําเร็จรูป รวมทั้งมีความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่น และยังดีไซน์นําไปผลิตในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ กระเป๋า หมวก กิ๊บ อุปกรณ์เพื่อความสวยงาม และของใช้ภายในบ้าน เป็นต้น พร้อมทั้งยังมีสินค้าที่เป็นผลผลิตจากสมาชิกในชุมชนอีกจํานวนมาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทดลองทําผ้ายอมครามพร้อมให้กําลังใจอวยพรขอให้ขายดี กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้มากขึ้น พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีได้พบปะทักทายประชาชนที่มาให้การต้อนรับ โดยนายกฯ ชื่นชมถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลจนเกิดผลเป็นรูปธรรมและประโยชน์ต่อประชาชน ภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกและวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ต้องร่วมมือกันผ่านก้าวผ่านไปให้ได้ ขณะที่ประชาชนก็ต่างให้กําลังใจนายกรัฐมนตรีเช่นกัน ซึ่งบรรยากาศของการต้อนรับเป็นไปอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง ทั้งนี้ ก่อนการเยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” นายกรัฐมนตรีได้กราบสักการะหลวงพ่อพระองค์แสน และกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (พระสิริพัฒนาภรณ์) และเจ้าคณะอําเภอโพนนาแก้ว (พระครูกิตติธรรมนิวิฐ) ณ พระวิหาร พร้อมกราบสักการะองค์พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ปูชนียสถานสําคัญคู่บ้านคู่เมืองสกลนครมาแต่โบราณ เป็นเอกลักษณ์ของเมืองสกลนคร เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะ ยังได้ชมการแสดงต้อนรับ “ชนเผ่าสกลนคร” โดยชนเผ่าคนรักพระธาตุ 6 ชนเผ่า ได้แก่ ไทญ้อ ภูไท ไทโย้ย ไทกะโส้ ไทกะเลิง ไทลาว อย่างอบอุ่นและประทับใจด้วย ทั้งนี้ แต่ละกลุ่มชนเผ่าดังกล่าวต่างมีวัฒนธรรมประเพณีที่โดดเด่น สืบทอดและยึดมั่นในวัฒนธรรมประเพณีจากรุ่นสู่รุ่นตลอดมา สามารถพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” ร้านค้า-แหล่งผลิตผ้าย้อมครามสกล ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างรายได้สูงให้ จ.สกลนคร ชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่ วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565 นายกฯ เยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” ร้านค้า-แหล่งผลิตผ้าย้อมครามสกล ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างรายได้สูงให้ จ.สกลนคร ชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่ นายกฯ เยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” ร้านค้า-แหล่งผลิตผ้าย้อมครามสกล ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างรายได้สูงให้ จ.สกลนคร ชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลจนเกิดผลเป็นรูปธรรม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (15 มิ.ย.65) เวลา 16.00 น. ณ บริเวณวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร อ.เมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ได้เยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” ร้านค้าและแหล่งผลิตผ้ายอมครามสกล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา และสภาหัตถศิลป์โลก (World Crafts Council) ได้รับการรับรองให้จังหวัดสกลนคร เป็น “นครหัตถศิลป์โลก เจ้าแห่งครามธรรมชาติ” (World Craft City for Natural Indigo) โดยเป็นหนึ่งในประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ได้รับการรับรองนี้ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้สูงให้กับจังหวัดสกลนคร แสดงถึงศักยภาพทางด้านศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยแบรนด์ชั้นนําของโลกยังได้นําผ้าครามไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อีกด้วย นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลิตภัณฑ์ผ้ายอมครามของชาวบ้าน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งชนิดผ้าผืนสําหรับนําไปตัดเองและแบบสําเร็จรูป รวมทั้งมีความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่น และยังดีไซน์นําไปผลิตในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ กระเป๋า หมวก กิ๊บ อุปกรณ์เพื่อความสวยงาม และของใช้ภายในบ้าน เป็นต้น พร้อมทั้งยังมีสินค้าที่เป็นผลผลิตจากสมาชิกในชุมชนอีกจํานวนมาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทดลองทําผ้ายอมครามพร้อมให้กําลังใจอวยพรขอให้ขายดี กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้มากขึ้น พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีได้พบปะทักทายประชาชนที่มาให้การต้อนรับ โดยนายกฯ ชื่นชมถึงความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลจนเกิดผลเป็นรูปธรรมและประโยชน์ต่อประชาชน ภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกและวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ต้องร่วมมือกันผ่านก้าวผ่านไปให้ได้ ขณะที่ประชาชนก็ต่างให้กําลังใจนายกรัฐมนตรีเช่นกัน ซึ่งบรรยากาศของการต้อนรับเป็นไปอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง ทั้งนี้ ก่อนการเยี่ยมชม “ถนนผ้ายอมคราม” นายกรัฐมนตรีได้กราบสักการะหลวงพ่อพระองค์แสน และกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (พระสิริพัฒนาภรณ์) และเจ้าคณะอําเภอโพนนาแก้ว (พระครูกิตติธรรมนิวิฐ) ณ พระวิหาร พร้อมกราบสักการะองค์พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ปูชนียสถานสําคัญคู่บ้านคู่เมืองสกลนครมาแต่โบราณ เป็นเอกลักษณ์ของเมืองสกลนคร เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะ ยังได้ชมการแสดงต้อนรับ “ชนเผ่าสกลนคร” โดยชนเผ่าคนรักพระธาตุ 6 ชนเผ่า ได้แก่ ไทญ้อ ภูไท ไทโย้ย ไทกะโส้ ไทกะเลิง ไทลาว อย่างอบอุ่นและประทับใจด้วย ทั้งนี้ แต่ละกลุ่มชนเผ่าดังกล่าวต่างมีวัฒนธรรมประเพณีที่โดดเด่น สืบทอดและยึดมั่นในวัฒนธรรมประเพณีจากรุ่นสู่รุ่นตลอดมา สามารถพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55744
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานมอบเอกสารขอใช้ที่ดินราชพัสดุที่กรมราชทัณฑ์ครอบครองกับตำรวจภูธรภาค 6
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานมอบเอกสารขอใช้ที่ดินราชพัสดุที่กรมราชทัณฑ์ครอบครองกับตํารวจภูธรภาค 6 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานมอบเอกสารขอใช้ที่ดินราชพัสดุที่กรมราชทัณฑ์ครอบครองกับตํารวจภูธรภาค 6 สร้างสํานักงาน-สนามยิงปืนฝึกหน่วย S.W.A.T. หวังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรม เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 เวลา 11.30 น. ที่ตํารวจภูธรภาค 6 อ.พรมพิราม จ.พิษณุโลก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยาน ในพิธีมอบเอกสารการขอใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุในการครอบครองของกรมราชทัณฑ์ ระหว่างกรมราชทัณฑ์และตํารวจภูธรภาค 6 เพื่อก่อสร้างสนามยิงปืน สนามฝึกทางยุทธวิธี และอาคารสํานักงานของตํารวจภูธรภาค 6 โดยมีพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 6 น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตํารวจภูธรภาค 6 ร่วมงาน โดยมีกองเกียรติยศ และวงโยธวาทิตตํารวจ ตั้งแถวรอรับ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นสักขีพยาน ในพิธีมอบเอกสารการขอใช้ประโยชน์ที่ดินในการครอบครองของกรมราชทัณฑ์ ด้วยปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนั้น ถือเป็นภาระหน้าที่สําคัญของเจ้าหน้าที่ตํารวจ ที่จะต้องคิดหาวิธีในการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป หรือลดน้อยลงมากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ดังนั้นขีดความสามารถและความปลอดภัยของกําลังพลหรือเจ้าหน้าที่ จึงถือเป็นเรื่องสําคัญ ที่จะต้องพัฒนาและมีการฝึกทบทวน ให้มีความพร้อมในการตอบโต้สถานการณ์ต่างๆ อย่างสม่ําเสมอ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในการนี้ตํารวจภูธรภาค 6 ได้มีโครงการก่อสร้างสนามยิงปืน สนามฝึกทางยุทธวิธี และอาคารสํานักงาน ซึ่งขอใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุ ในการครอบครองของกรมราชทัณฑ์ เนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ เพื่อพัฒนาศักยภาพของข้าราชตํารวจดังกล่าวโดยสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จะสร้างบ้านพักสวัสดิการให้แก่กรมราชทัณฑ์ 2 หลัง ในพื้นที่เรือนจําชั่วคราวหนองลาด "พิธีในวันนี้เกิดขึ้นจากการประสานความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานของกระบวนการยุติธรรม คือ กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ ตํารวจภูธรภาค 6 จังหวัดพิษณุโลกและเรือนจําจังหวัดพิษณุโลก ในการบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมขอร่วมเป็นสักขีพยาน การส่งมอบเอกสารการขอใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าว ระหว่างกรมราชทัณฑ์และตํารวจภูธรภาค 6 ขอให้การบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุเป็นประโยชน์สูงสุด และให้การก่อสร้าง สนามยิงปืน สนามฝึกทางยุทธวิธี (S.W.A.T) และก่อสร้างอาคารสํานักงานตํารวจภูธรภาค 6 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย"นายสมศักดิ์ กล่าว จากนั้นนายสมศักดิ์และคณะได้นั่งรถกอล์ฟเข้าไปดูสถานที่ก่อสร้างและรับฟังการบรรยายแผนผังการก่อสร้าง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานมอบเอกสารขอใช้ที่ดินราชพัสดุที่กรมราชทัณฑ์ครอบครองกับตำรวจภูธรภาค 6 วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานมอบเอกสารขอใช้ที่ดินราชพัสดุที่กรมราชทัณฑ์ครอบครองกับตํารวจภูธรภาค 6 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานมอบเอกสารขอใช้ที่ดินราชพัสดุที่กรมราชทัณฑ์ครอบครองกับตํารวจภูธรภาค 6 สร้างสํานักงาน-สนามยิงปืนฝึกหน่วย S.W.A.T. หวังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรม เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 เวลา 11.30 น. ที่ตํารวจภูธรภาค 6 อ.พรมพิราม จ.พิษณุโลก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยาน ในพิธีมอบเอกสารการขอใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุในการครอบครองของกรมราชทัณฑ์ ระหว่างกรมราชทัณฑ์และตํารวจภูธรภาค 6 เพื่อก่อสร้างสนามยิงปืน สนามฝึกทางยุทธวิธี และอาคารสํานักงานของตํารวจภูธรภาค 6 โดยมีพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 6 น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตํารวจภูธรภาค 6 ร่วมงาน โดยมีกองเกียรติยศ และวงโยธวาทิตตํารวจ ตั้งแถวรอรับ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นสักขีพยาน ในพิธีมอบเอกสารการขอใช้ประโยชน์ที่ดินในการครอบครองของกรมราชทัณฑ์ ด้วยปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนั้น ถือเป็นภาระหน้าที่สําคัญของเจ้าหน้าที่ตํารวจ ที่จะต้องคิดหาวิธีในการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป หรือลดน้อยลงมากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ดังนั้นขีดความสามารถและความปลอดภัยของกําลังพลหรือเจ้าหน้าที่ จึงถือเป็นเรื่องสําคัญ ที่จะต้องพัฒนาและมีการฝึกทบทวน ให้มีความพร้อมในการตอบโต้สถานการณ์ต่างๆ อย่างสม่ําเสมอ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในการนี้ตํารวจภูธรภาค 6 ได้มีโครงการก่อสร้างสนามยิงปืน สนามฝึกทางยุทธวิธี และอาคารสํานักงาน ซึ่งขอใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุ ในการครอบครองของกรมราชทัณฑ์ เนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ เพื่อพัฒนาศักยภาพของข้าราชตํารวจดังกล่าวโดยสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จะสร้างบ้านพักสวัสดิการให้แก่กรมราชทัณฑ์ 2 หลัง ในพื้นที่เรือนจําชั่วคราวหนองลาด "พิธีในวันนี้เกิดขึ้นจากการประสานความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานของกระบวนการยุติธรรม คือ กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ ตํารวจภูธรภาค 6 จังหวัดพิษณุโลกและเรือนจําจังหวัดพิษณุโลก ในการบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมขอร่วมเป็นสักขีพยาน การส่งมอบเอกสารการขอใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าว ระหว่างกรมราชทัณฑ์และตํารวจภูธรภาค 6 ขอให้การบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุเป็นประโยชน์สูงสุด และให้การก่อสร้าง สนามยิงปืน สนามฝึกทางยุทธวิธี (S.W.A.T) และก่อสร้างอาคารสํานักงานตํารวจภูธรภาค 6 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย"นายสมศักดิ์ กล่าว จากนั้นนายสมศักดิ์และคณะได้นั่งรถกอล์ฟเข้าไปดูสถานที่ก่อสร้างและรับฟังการบรรยายแผนผังการก่อสร้าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55094
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กองบังคับการตำรวจรถไฟ มูลนิธิเมาไม่ขับ และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุเมาไม่ขับ ภาครัฐ และภาคเอกชน จับมือรณรงค์เพิ่มความปลอดภัยส่งประชาชนเดินทางกลับ
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กองบังคับการตํารวจรถไฟ มูลนิธิเมาไม่ขับ และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุเมาไม่ขับ ภาครัฐ และภาคเอกชน จับมือรณรงค์เพิ่มความปลอดภัยส่งประชาชนเดินทางกลับ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุ “ปีใหม่ปลอดโควิด-19 ปลอดอุบัติเหตุทางถนน” และ “ปล่อยแถวตํารวจรถไฟ” ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 64 เวลา 16.00 น. สถานีกรุงเทพ(หัวลําโพง) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุ “ปีใหม่ปลอดโควิด-19 ปลอดอุบัติเหตุทางถนน” และ “ปล่อยแถวตํารวจรถไฟ” ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 พร้อมด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ประธานคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย นายแพทย์แท้จริง ศิริพาณิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พล.ต.ต.อํานาจ ไตรพจน์ ผู้บังคับการตํารวจรถไฟ และภาคีเครือข่ายรณรงค์ร่วมเปิดกิจกรรม นายศักดิ์สยาม เปิดเผยว่า เทศกาลปีใหม่ 2565 ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน โดยกําหนดเป้าหมายเพื่อลดจํานวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงปีใหม่นี้ กระทรวงคมนาคม ได้กําหนดนโยบายอํานวยความสะดวก ในการบริการขนส่งสาธารณะ และโครงข่ายคมนาคมอย่างบูรณาการ โดยยึดหลัก "เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19" ซึ่งมีการประมาณการไว้ว่าจะมีปริมาณการเดินทางเข้า - ออกกรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์ 8 ล้านคัน และระบบขนส่งสาธารณะ 1.7 ล้านเที่ยว เพื่อให้ประชาชนเดินทางถึงที่หมายโดยสะดวกและปลอดภัย พร้อมทั้งปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด เช่น การสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และล้างมือบ่อย ๆ เป็นต้น ในส่วนของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นายนิรุฒ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการรถไฟฯ ได้เน้นย้ําให้พนักงานรถไฟปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบการอย่างเคร่งครัด พร้อมกําชับกวดขันผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่ายระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย และให้ขบวนรถออกจากสถานีต้นทางปลายทางตรงต่อเวลา ในส่วนของมาตรการของการรถไฟฯ ได้ดําเนินการตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด เพื่อดูแลการเดินทางของประชาชนให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา และมีขบวนรถไฟโดยสารได้อย่างเพียงพอ นายนิรุฒฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า รฟท. ได้ให้ความสําคัญกับเรื่องความปลอดภัยของส่วนรวมในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและผู้ใช้บริการ โดยได้ดําเนินมาตรการในด้านต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมีการจัดตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อตรวจดูแลรักษาความเรียบร้อยแก่ผู้ใช้บริการ พร้อมกับตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ และเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดสถานีรถไฟ ขบวนรถโดยสาร สถานที่จําหน่ายตั๋วโดยสาร ที่พักผู้โดยสาร ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ตลอดจนให้ทําความสะอาดรอบใหญ่ หรือ Big Cleaning ฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อบริเวณอาคารสถานี ชานชาลา ที่พักผู้โดยสาร ห้องสุขาทุก ๆ 3 วัน นอกจากนี้ ขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกคนให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง และลงทะเบียนหรือสแกนคิวอาร์โค้ด เช็กอิน/เช็กเอาต์ ผ่านแอพพลิเคชั่นไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทรศัพท์สายด่วน 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย (red arrow right) https://www.facebook.com/129946050353608/posts/5344510698897091/?d=n INSTAGRAM SRT OFFICIAL (red arrow right) https://www.instagram.com/official_srt/p/CYDfoMIhutj/?utm_medium=copy_link Twitter SRT OFFICIAL @PR_SRT (red arrow right)https://twitter.com/pr_srt/status/1476059518643564544?s=21
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กองบังคับการตำรวจรถไฟ มูลนิธิเมาไม่ขับ และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุเมาไม่ขับ ภาครัฐ และภาคเอกชน จับมือรณรงค์เพิ่มความปลอดภัยส่งประชาชนเดินทางกลับ วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กองบังคับการตํารวจรถไฟ มูลนิธิเมาไม่ขับ และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุเมาไม่ขับ ภาครัฐ และภาคเอกชน จับมือรณรงค์เพิ่มความปลอดภัยส่งประชาชนเดินทางกลับ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุ “ปีใหม่ปลอดโควิด-19 ปลอดอุบัติเหตุทางถนน” และ “ปล่อยแถวตํารวจรถไฟ” ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 64 เวลา 16.00 น. สถานีกรุงเทพ(หัวลําโพง) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุ “ปีใหม่ปลอดโควิด-19 ปลอดอุบัติเหตุทางถนน” และ “ปล่อยแถวตํารวจรถไฟ” ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 พร้อมด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ประธานคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย นายแพทย์แท้จริง ศิริพาณิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พล.ต.ต.อํานาจ ไตรพจน์ ผู้บังคับการตํารวจรถไฟ และภาคีเครือข่ายรณรงค์ร่วมเปิดกิจกรรม นายศักดิ์สยาม เปิดเผยว่า เทศกาลปีใหม่ 2565 ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน โดยกําหนดเป้าหมายเพื่อลดจํานวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงปีใหม่นี้ กระทรวงคมนาคม ได้กําหนดนโยบายอํานวยความสะดวก ในการบริการขนส่งสาธารณะ และโครงข่ายคมนาคมอย่างบูรณาการ โดยยึดหลัก "เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19" ซึ่งมีการประมาณการไว้ว่าจะมีปริมาณการเดินทางเข้า - ออกกรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์ 8 ล้านคัน และระบบขนส่งสาธารณะ 1.7 ล้านเที่ยว เพื่อให้ประชาชนเดินทางถึงที่หมายโดยสะดวกและปลอดภัย พร้อมทั้งปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด เช่น การสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และล้างมือบ่อย ๆ เป็นต้น ในส่วนของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นายนิรุฒ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการรถไฟฯ ได้เน้นย้ําให้พนักงานรถไฟปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบการอย่างเคร่งครัด พร้อมกําชับกวดขันผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่ายระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย และให้ขบวนรถออกจากสถานีต้นทางปลายทางตรงต่อเวลา ในส่วนของมาตรการของการรถไฟฯ ได้ดําเนินการตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด เพื่อดูแลการเดินทางของประชาชนให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา และมีขบวนรถไฟโดยสารได้อย่างเพียงพอ นายนิรุฒฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า รฟท. ได้ให้ความสําคัญกับเรื่องความปลอดภัยของส่วนรวมในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและผู้ใช้บริการ โดยได้ดําเนินมาตรการในด้านต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมีการจัดตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อตรวจดูแลรักษาความเรียบร้อยแก่ผู้ใช้บริการ พร้อมกับตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ และเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดสถานีรถไฟ ขบวนรถโดยสาร สถานที่จําหน่ายตั๋วโดยสาร ที่พักผู้โดยสาร ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ตลอดจนให้ทําความสะอาดรอบใหญ่ หรือ Big Cleaning ฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อบริเวณอาคารสถานี ชานชาลา ที่พักผู้โดยสาร ห้องสุขาทุก ๆ 3 วัน นอกจากนี้ ขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกคนให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง และลงทะเบียนหรือสแกนคิวอาร์โค้ด เช็กอิน/เช็กเอาต์ ผ่านแอพพลิเคชั่นไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทรศัพท์สายด่วน 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย (red arrow right) https://www.facebook.com/129946050353608/posts/5344510698897091/?d=n INSTAGRAM SRT OFFICIAL (red arrow right) https://www.instagram.com/official_srt/p/CYDfoMIhutj/?utm_medium=copy_link Twitter SRT OFFICIAL @PR_SRT (red arrow right)https://twitter.com/pr_srt/status/1476059518643564544?s=21
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาล เตือนภัย! สแกน QR CODE จ่ายเงินต้องระวัง ถ้าสแกนแล้วไปเว็บไซต์อื่นให้กรอกข้อมูลเพิ่ม ต้องยกเลิกทันที
วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 รองโฆษกรัฐบาล เตือนภัย! สแกน QR CODE จ่ายเงินต้องระวัง ถ้าสแกนแล้วไปเว็บไซต์อื่นให้กรอกข้อมูลเพิ่ม ต้องยกเลิกทันที รองโฆษกรัฐบาล เตือนภัย! สแกน QR CODE จ่ายเงินต้องระวัง ถ้าสแกนแล้วไปเว็บไซต์อื่นให้กรอกข้อมูลเพิ่ม ต้องยกเลิกทันที วันนี้ (3 สิงหาคม 2565) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ความนิยมการชําระเงินแบบเรียลไทม์ในประเทศไทย มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก แพร่หลายในประชาชนทุกช่วงวัยและผู้ประกอบการทุกขนาด ผ่านโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" โครงการ "พร้อมเพย์"(Prompt pay) และ QR Payment รวมถึง Government Wallet (G-Wallet) ผ่านแอป “เป๋าตัง” ในโครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ การขายสลาก เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยมียอดการทําธุรกรรมการชําระเงินแบบเรียลไทม์ครองอันดับ 3 ของโลก จากความนิยมการชําระเงินแบบเรียลไทม์ในประเทศไทย ทําให้มิจฉาชีพใช้โอกาสแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ทั้งนี้ จากรายงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ (1212 ETDA) พบมิจฉาชีพใช้กลโกงรูปแบบใหม่ เมื่อสแกน QR CODE จ่ายเงิน ระบบจะพาเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์อื่นแล้วให้กรอกข้อมูลสําคัญต่าง ๆ เช่น บัญชีธนาคาร หรือให้โอนเงินเข้าบัญชีอื่นที่ไม่ใช่ร้านค้า หากเจอเข้าข่ายลักษณะดังกล่าวให้ยกเลิกดําเนินการทันที เพื่อป้องกันมิจฉาชีพดึงข้อมูลส่วนตัวและธุรกรรมการเงิน นางสาวรัชดาฯ ย้ํา รัฐบาลมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบาย National e-Payment อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนและภาคธุรกิจในการทําธุรกรรมทางการเงินและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ยังเป็นกลไกสําคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน มีส่วนช่วยในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้น ก่อนสแกนจ่ายเงินด้วย QR CODE ต้องเลือกสแกนผ่าน QR CODE ของธนาคารโดยตรง เมื่อสแกนแล้วควรตรวจสอบข้อมูลร้านค้าและยอดเงินทุกครั้งเพื่อความถูกต้อง และการทําธุรกรรมทางการเงินผ่านออนไลน์นั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้อินเตอร์เน็ตสาธารณะ หรือ ฟรี Wi-Fi เพื่อป้องกันการดักขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หากพบปัญหากรณีซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์ สามารถปรึกษาและแจ้งเรื่องได้ที่สายด่วน โทร.1212 ตลอด 24 ชม. หรืออีเมล [email protected]
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาล เตือนภัย! สแกน QR CODE จ่ายเงินต้องระวัง ถ้าสแกนแล้วไปเว็บไซต์อื่นให้กรอกข้อมูลเพิ่ม ต้องยกเลิกทันที วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 รองโฆษกรัฐบาล เตือนภัย! สแกน QR CODE จ่ายเงินต้องระวัง ถ้าสแกนแล้วไปเว็บไซต์อื่นให้กรอกข้อมูลเพิ่ม ต้องยกเลิกทันที รองโฆษกรัฐบาล เตือนภัย! สแกน QR CODE จ่ายเงินต้องระวัง ถ้าสแกนแล้วไปเว็บไซต์อื่นให้กรอกข้อมูลเพิ่ม ต้องยกเลิกทันที วันนี้ (3 สิงหาคม 2565) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ความนิยมการชําระเงินแบบเรียลไทม์ในประเทศไทย มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก แพร่หลายในประชาชนทุกช่วงวัยและผู้ประกอบการทุกขนาด ผ่านโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" โครงการ "พร้อมเพย์"(Prompt pay) และ QR Payment รวมถึง Government Wallet (G-Wallet) ผ่านแอป “เป๋าตัง” ในโครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ การขายสลาก เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยมียอดการทําธุรกรรมการชําระเงินแบบเรียลไทม์ครองอันดับ 3 ของโลก จากความนิยมการชําระเงินแบบเรียลไทม์ในประเทศไทย ทําให้มิจฉาชีพใช้โอกาสแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ทั้งนี้ จากรายงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ (1212 ETDA) พบมิจฉาชีพใช้กลโกงรูปแบบใหม่ เมื่อสแกน QR CODE จ่ายเงิน ระบบจะพาเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์อื่นแล้วให้กรอกข้อมูลสําคัญต่าง ๆ เช่น บัญชีธนาคาร หรือให้โอนเงินเข้าบัญชีอื่นที่ไม่ใช่ร้านค้า หากเจอเข้าข่ายลักษณะดังกล่าวให้ยกเลิกดําเนินการทันที เพื่อป้องกันมิจฉาชีพดึงข้อมูลส่วนตัวและธุรกรรมการเงิน นางสาวรัชดาฯ ย้ํา รัฐบาลมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบาย National e-Payment อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนและภาคธุรกิจในการทําธุรกรรมทางการเงินและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ยังเป็นกลไกสําคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน มีส่วนช่วยในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้น ก่อนสแกนจ่ายเงินด้วย QR CODE ต้องเลือกสแกนผ่าน QR CODE ของธนาคารโดยตรง เมื่อสแกนแล้วควรตรวจสอบข้อมูลร้านค้าและยอดเงินทุกครั้งเพื่อความถูกต้อง และการทําธุรกรรมทางการเงินผ่านออนไลน์นั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้อินเตอร์เน็ตสาธารณะ หรือ ฟรี Wi-Fi เพื่อป้องกันการดักขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หากพบปัญหากรณีซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์ สามารถปรึกษาและแจ้งเรื่องได้ที่สายด่วน โทร.1212 ตลอด 24 ชม. หรืออีเมล [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดหอผู้ป่วยในดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินทางจิตเวชและยาเสพติด คืนคุณภาพชีวิตให้ผู้ผ่านการบำบัด
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564 สธ. เปิดหอผู้ป่วยในดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินทางจิตเวชและยาเสพติด คืนคุณภาพชีวิตให้ผู้ผ่านการบําบัด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดหอผู้ป่วยในรองรับผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีภาวะเร่งด่วนฉุกเฉินในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ให้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ กลับไปใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข ปี 2564 เปิดแล้ว 15 แห่ง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดหอผู้ป่วยในรองรับผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีภาวะเร่งด่วนฉุกเฉินในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ให้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ กลับไปใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข ปี 2564 เปิดแล้ว 15 แห่ง ตั้งเป้าปี 2565 เพิ่มอีก 23 แห่ง วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2564) ที่โรงแรม เซอร์ เจมส์ ลอดจ์ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนการเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประจําปีงบประมาณ 2565 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติด โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมจํานวน 150 คน นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า การเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะช่วยให้ผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงและมีภาวะเร่งด่วนฉุกเฉินหรือมีโรคร่วมและมีภาวะแทรกซ้อนทางกายได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีระบบการส่งต่อเป็นเครือข่ายอย่างไร้รอยต่อ ตามแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดซึ่งสอดคล้องกับนโยบายมุ่งเน้นของกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการก้าวหน้า โดยบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย ชุมชน เป็นต้นและดําเนินงานตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ปี 2565 ซึ่งเพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ 30 วันหลังประกาศ เน้นการบําบัดยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง (โรคเรื้อรัง) ลดอันตรายและป้องกันอาการทางจิต รวมถึงยกเลิกการบังคับบําบัด เหลือการบําบัดแบบสมัครใจและแบบต้องโทษ โดยศาลจะใช้ดุลพินิจให้มาบําบัดก่อนจะพิจารณาลงโทษ และเน้นการดูแลรักษาร่วมกับชุมชน “ผู้ติดยาเสพติดทุกคน ถือเป็นผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านสังคมและจิตใจ การช่วยเหลือดูแลรักษาอาจมีความยุ่งยากซับซ้อน การพัฒนาระบบบริการด้านจิตเวชและยาเสพติดจะช่วยให้ผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชนสามารถเข้าถึงการบําบัดรักษาได้มากขึ้น กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2564 ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนการเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลแล้ว 15 แห่ง อาทิ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์โรงพยาบาลตาก โรงพยาบาลแพร่ เป็นต้น ปีงบประมาณ 2565 ตั้งเป้าเพิ่มอีก 23 แห่ง โดยภาพรวมขณะนี้มีทรัพยากรเตียงด้านจิตเวชทั่วประเทศ จํานวนกว่า 6,661 เตียง ****************************** 16 พฤศจิกายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เปิดหอผู้ป่วยในดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินทางจิตเวชและยาเสพติด คืนคุณภาพชีวิตให้ผู้ผ่านการบำบัด วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564 สธ. เปิดหอผู้ป่วยในดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินทางจิตเวชและยาเสพติด คืนคุณภาพชีวิตให้ผู้ผ่านการบําบัด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดหอผู้ป่วยในรองรับผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีภาวะเร่งด่วนฉุกเฉินในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ให้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ กลับไปใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข ปี 2564 เปิดแล้ว 15 แห่ง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดหอผู้ป่วยในรองรับผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีภาวะเร่งด่วนฉุกเฉินในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ให้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ กลับไปใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข ปี 2564 เปิดแล้ว 15 แห่ง ตั้งเป้าปี 2565 เพิ่มอีก 23 แห่ง วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2564) ที่โรงแรม เซอร์ เจมส์ ลอดจ์ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนการเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประจําปีงบประมาณ 2565 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติด โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมจํานวน 150 คน นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า การเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะช่วยให้ผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงและมีภาวะเร่งด่วนฉุกเฉินหรือมีโรคร่วมและมีภาวะแทรกซ้อนทางกายได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีระบบการส่งต่อเป็นเครือข่ายอย่างไร้รอยต่อ ตามแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดซึ่งสอดคล้องกับนโยบายมุ่งเน้นของกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการก้าวหน้า โดยบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย ชุมชน เป็นต้นและดําเนินงานตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ปี 2565 ซึ่งเพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ 30 วันหลังประกาศ เน้นการบําบัดยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง (โรคเรื้อรัง) ลดอันตรายและป้องกันอาการทางจิต รวมถึงยกเลิกการบังคับบําบัด เหลือการบําบัดแบบสมัครใจและแบบต้องโทษ โดยศาลจะใช้ดุลพินิจให้มาบําบัดก่อนจะพิจารณาลงโทษ และเน้นการดูแลรักษาร่วมกับชุมชน “ผู้ติดยาเสพติดทุกคน ถือเป็นผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านสังคมและจิตใจ การช่วยเหลือดูแลรักษาอาจมีความยุ่งยากซับซ้อน การพัฒนาระบบบริการด้านจิตเวชและยาเสพติดจะช่วยให้ผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชนสามารถเข้าถึงการบําบัดรักษาได้มากขึ้น กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2564 ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนการเปิดหอผู้ป่วยในจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลแล้ว 15 แห่ง อาทิ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์โรงพยาบาลตาก โรงพยาบาลแพร่ เป็นต้น ปีงบประมาณ 2565 ตั้งเป้าเพิ่มอีก 23 แห่ง โดยภาพรวมขณะนี้มีทรัพยากรเตียงด้านจิตเวชทั่วประเทศ จํานวนกว่า 6,661 เตียง ****************************** 16 พฤศจิกายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48302
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงาน คปภ. บังคับใช้กฎหมายจริงจัง เดินหน้าแจ้งความตำรวจเอาผิดผู้กระทำความผิด ฐานการฉ้อฉลประกันภัย จำนวน 22 ราย พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับพฤติกรรมการฉ้อฉลประกันภัย
วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 สํานักงาน คปภ. บังคับใช้กฎหมายจริงจัง เดินหน้าแจ้งความตํารวจเอาผิดผู้กระทําความผิด ฐานการฉ้อฉลประกันภัย จํานวน 22 ราย พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับพฤติกรรมการฉ้อฉลประกันภัย สํานักงาน คปภ. ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทําความผิดด้านประกันภัย จํานวน 22 ราย ต่อผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบ.ปอศ.) หรือ ตํารวจ ECD ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ได้มอบหมายให้ นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกฎหมายและคดี สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สํานักงาน คปภ.) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทําความผิดด้านประกันภัย จํานวน 22 ราย ต่อ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบ.ปอศ.) หรือ ตํารวจ ECD โดยแบ่งฐานความผิด ดังนี้ กระทําความผิดตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 จํานวน 2 ราย ในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริต โดยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ตามมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 รายที่ 3 ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก (Facebook) หลอกลวงขายกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา 2019 ในข้อหาทุจริตหรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน อีกทั้งมีการแอบอ้างและใช้ชื่อเพื่อแสดงว่าตนเป็นบริษัทประกันภัย และ/หรือ เป็นตัวแทนประกันภัยที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เพื่อชักชวนชี้ช่องให้ประชาชนทํากรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งปลอมแปลงและใช้หนังสืออนุญาตว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตการขึ้นทะเบียนกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ฯ และกระทําการปลอมแปลงและใช้ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต รายที่ 4 คือ บริษัท ซีเอสที 2019 (ประเทศไทย) จํากัด กับพวก ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษในข้อหา กระทําการแอบอ้างและใช้ชื่อเพื่อแสดงว่าตนเป็นบริษัทประกันภัย และ/หรือเป็นตัวแทนประกันภัยที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เพื่อชักชวนชี้ช่องให้ประชาชนทําสัญญาประกันภัย อันเป็นความผิดตามมาตรา 63 ซึ่งมีบทกําหนดโทษตามมาตรา 99 และกรณีกระทําการฉ้อฉลประกันภัย อันเป็นความผิดตามมาตรา 108/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 สําหรับรายที่ 5-22 ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ ในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารดังกล่าว เพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริต โดยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ตามมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ความผิดฐานปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดด้านประกันภัยในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กฎหมายตามพระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 โดยกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติเรื่องเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัยไว้ 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรก มีการหลอกลวงให้ผู้อื่นทําประกันภัย กรณีที่ 2 เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเป็นเท็จ และกรณีที่ 3 ให้เรียกรับ ทรัพย์สิน เพื่อให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งในการปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้สํานักงาน คปภ. ได้ออกระเบียบสํานักงาน คปภ. ว่าด้วยการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัย พ.ศ. 2564 และได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคดีฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งมีผู้บริหารของสํานักงาน คปภ. ผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลางหรือผู้แทนและผู้ทรงคุณวุฒิอีก 4 คน ซึ่งเลขาธิการแต่งตั้งจากผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย คดีนิติวิทยาศาสตร์ หรือการฉ้อฉลประกันภัย เป็นกรรมการ โดยมีอํานาจในการพิจารณาว่าการกระทําใดเป็นความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัยหรือไม่ ซึ่งเมื่อมีมติให้ดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดแล้ว ก็จะเสนอต่อเลขาธิการ คปภ. เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนดําเนินคดีร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป นอกจากนี้ สํานักงาน คปภ. ได้ออกประกาศนายทะเบียน เรื่อง กําหนดแบบรายงาน พฤติกรรมที่อาจมีลักษณะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย และช่องทางการรายงานการฉ้อฉลประกันภัย สําหรับบริษัทประกันชีวิต พ.ศ. 2564 และ ประกาศนายทะเบียน เรื่อง กําหนดแบบรายงาน พฤติกรรมที่อาจมีลักษณะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย และช่องทางการรายงานการฉ้อฉลประกันภัย สําหรับบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 เพื่อให้บริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัย รายงานเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย โดยให้บริษัทส่งรายงานเป็นรายไตรมาส ผ่านทางเว็บไซต์ที่สํานักงาน คปภ. กําหนด (Smart OIC) ระบบการแจ้งรายงานเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประกันชีวิต และประกันวินาศภัย โดยในแต่ละประเภทจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นการฉ้อฉลประกันภัย และพฤติกรรมที่อาจจะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย เช่น กรณีที่บริษัทเห็นว่าอาจเข้าข่ายเป็นฉ้อฉลประกันภัย บริษัทสามารถรายงานเข้ามาในระบบโดยแบ่งประเภทเป็น ประกันภัยรถยนต์ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุต่าง ๆ เพื่อให้สํานักงาน คปภ. ทําการตรวจสอบ และเมื่อมีการรายงานผ่านระบบฉ้อฉลประกันภัย ระบบดังกล่าวจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกโดยใช้ (Artificial Intelligence : AI) มาประมวลผลเพื่อแยกแยะพฤติกรรมที่เป็นการฉ้อฉลประกันภัยหรือพฤติกรรมที่อาจจะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย ต่อจากนั้นทีมฉ้อฉลประกันภัยจะดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานที่ปรากฏ หากเห็นว่ามีประเด็นที่จะต้องให้คณะกรรมการกลั่นกรองคดีฉ้อฉลประกันภัยพิจารณาก็จะนําเข้ามาสู่วาระพิจารณาของคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป “การร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตํารวจในครั้งนี้ เพื่อบังคับใช้บทบัญญัติในเรื่องการฉ้อฉลประกันภัยให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นการป้องกันมิให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ฉวยโอกาส โดยการดําเนินการมีกระบวนการกลั่นกรองข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบและมีการนําเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยมาตรวจสอบและวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผิดปกติที่อาจเข้าข่ายการฉ้อฉลประกันภัย ดังนั้น จึงฝากเตือนผู้ที่คิดจะทําการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในเรื่องประกันภัย ว่าหากมีการกระทําความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัยจะมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งสํานักงาน คปภ. มีนโยบายบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงาน คปภ. บังคับใช้กฎหมายจริงจัง เดินหน้าแจ้งความตำรวจเอาผิดผู้กระทำความผิด ฐานการฉ้อฉลประกันภัย จำนวน 22 ราย พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับพฤติกรรมการฉ้อฉลประกันภัย วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 สํานักงาน คปภ. บังคับใช้กฎหมายจริงจัง เดินหน้าแจ้งความตํารวจเอาผิดผู้กระทําความผิด ฐานการฉ้อฉลประกันภัย จํานวน 22 ราย พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับพฤติกรรมการฉ้อฉลประกันภัย สํานักงาน คปภ. ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทําความผิดด้านประกันภัย จํานวน 22 ราย ต่อผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบ.ปอศ.) หรือ ตํารวจ ECD ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ได้มอบหมายให้ นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกฎหมายและคดี สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สํานักงาน คปภ.) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทําความผิดด้านประกันภัย จํานวน 22 ราย ต่อ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบ.ปอศ.) หรือ ตํารวจ ECD โดยแบ่งฐานความผิด ดังนี้ กระทําความผิดตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 จํานวน 2 ราย ในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริต โดยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ตามมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 รายที่ 3 ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก (Facebook) หลอกลวงขายกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา 2019 ในข้อหาทุจริตหรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน อีกทั้งมีการแอบอ้างและใช้ชื่อเพื่อแสดงว่าตนเป็นบริษัทประกันภัย และ/หรือ เป็นตัวแทนประกันภัยที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เพื่อชักชวนชี้ช่องให้ประชาชนทํากรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งปลอมแปลงและใช้หนังสืออนุญาตว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตการขึ้นทะเบียนกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ฯ และกระทําการปลอมแปลงและใช้ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต รายที่ 4 คือ บริษัท ซีเอสที 2019 (ประเทศไทย) จํากัด กับพวก ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษในข้อหา กระทําการแอบอ้างและใช้ชื่อเพื่อแสดงว่าตนเป็นบริษัทประกันภัย และ/หรือเป็นตัวแทนประกันภัยที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เพื่อชักชวนชี้ช่องให้ประชาชนทําสัญญาประกันภัย อันเป็นความผิดตามมาตรา 63 ซึ่งมีบทกําหนดโทษตามมาตรา 99 และกรณีกระทําการฉ้อฉลประกันภัย อันเป็นความผิดตามมาตรา 108/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 สําหรับรายที่ 5-22 ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ ในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารดังกล่าว เพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริต โดยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ตามมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ความผิดฐานปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดด้านประกันภัยในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กฎหมายตามพระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 โดยกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติเรื่องเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัยไว้ 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรก มีการหลอกลวงให้ผู้อื่นทําประกันภัย กรณีที่ 2 เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเป็นเท็จ และกรณีที่ 3 ให้เรียกรับ ทรัพย์สิน เพื่อให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งในการปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้สํานักงาน คปภ. ได้ออกระเบียบสํานักงาน คปภ. ว่าด้วยการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัย พ.ศ. 2564 และได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคดีฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งมีผู้บริหารของสํานักงาน คปภ. ผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลางหรือผู้แทนและผู้ทรงคุณวุฒิอีก 4 คน ซึ่งเลขาธิการแต่งตั้งจากผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย คดีนิติวิทยาศาสตร์ หรือการฉ้อฉลประกันภัย เป็นกรรมการ โดยมีอํานาจในการพิจารณาว่าการกระทําใดเป็นความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัยหรือไม่ ซึ่งเมื่อมีมติให้ดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดแล้ว ก็จะเสนอต่อเลขาธิการ คปภ. เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนดําเนินคดีร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป นอกจากนี้ สํานักงาน คปภ. ได้ออกประกาศนายทะเบียน เรื่อง กําหนดแบบรายงาน พฤติกรรมที่อาจมีลักษณะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย และช่องทางการรายงานการฉ้อฉลประกันภัย สําหรับบริษัทประกันชีวิต พ.ศ. 2564 และ ประกาศนายทะเบียน เรื่อง กําหนดแบบรายงาน พฤติกรรมที่อาจมีลักษณะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย และช่องทางการรายงานการฉ้อฉลประกันภัย สําหรับบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 เพื่อให้บริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัย รายงานเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย โดยให้บริษัทส่งรายงานเป็นรายไตรมาส ผ่านทางเว็บไซต์ที่สํานักงาน คปภ. กําหนด (Smart OIC) ระบบการแจ้งรายงานเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประกันชีวิต และประกันวินาศภัย โดยในแต่ละประเภทจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นการฉ้อฉลประกันภัย และพฤติกรรมที่อาจจะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย เช่น กรณีที่บริษัทเห็นว่าอาจเข้าข่ายเป็นฉ้อฉลประกันภัย บริษัทสามารถรายงานเข้ามาในระบบโดยแบ่งประเภทเป็น ประกันภัยรถยนต์ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุต่าง ๆ เพื่อให้สํานักงาน คปภ. ทําการตรวจสอบ และเมื่อมีการรายงานผ่านระบบฉ้อฉลประกันภัย ระบบดังกล่าวจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกโดยใช้ (Artificial Intelligence : AI) มาประมวลผลเพื่อแยกแยะพฤติกรรมที่เป็นการฉ้อฉลประกันภัยหรือพฤติกรรมที่อาจจะเป็นการฉ้อฉลประกันภัย ต่อจากนั้นทีมฉ้อฉลประกันภัยจะดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานที่ปรากฏ หากเห็นว่ามีประเด็นที่จะต้องให้คณะกรรมการกลั่นกรองคดีฉ้อฉลประกันภัยพิจารณาก็จะนําเข้ามาสู่วาระพิจารณาของคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป “การร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตํารวจในครั้งนี้ เพื่อบังคับใช้บทบัญญัติในเรื่องการฉ้อฉลประกันภัยให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นการป้องกันมิให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ฉวยโอกาส โดยการดําเนินการมีกระบวนการกลั่นกรองข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบและมีการนําเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยมาตรวจสอบและวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผิดปกติที่อาจเข้าข่ายการฉ้อฉลประกันภัย ดังนั้น จึงฝากเตือนผู้ที่คิดจะทําการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในเรื่องประกันภัย ว่าหากมีการกระทําความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัยจะมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งสํานักงาน คปภ. มีนโยบายบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57583
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกเผย นายกฯ อนุมัติจัดงานลอยกระทง พร้อมกำชับให้หน่วยงานในพื้นที่จัดงานลอยกระทงต้องมีมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัย โดยต้องตรวจความพร้อมก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์
วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2564 รองโฆษกเผย นายกฯ อนุมัติจัดงานลอยกระทง พร้อมกําชับให้หน่วยงานในพื้นที่จัดงานลอยกระทงต้องมีมาตรการกํากับดูแลความปลอดภัย โดยต้องตรวจความพร้อมก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์ รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย นายกฯ อนุมัติจัดงานลอยกระทง พร้อมกําชับให้หน่วยงานในพื้นที่จัดงานลอยกระทงต้องมีมาตรการกํากับดูแลความปลอดภัย โดยต้องตรวจความพร้อมก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์ วันนี้ 30 ตุลาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติให้หน่วยงานสามารถจัดงานประเพณีลอยกระทง พ.ศ. 2564 เพื่ออนุรักษ์ สืบสานและส่งเสริมประเพณีลอยกระทงที่ทรงคุณค่า โดยอาศัยหลัก COVID-Free Setting (มาตรการปลอดภัยสําหรับองค์กร) และ Universal Prevention (การป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล) โดยมีแนวทางและมาตรการรณรงค์ ในการจัดงานประเพณีลอยกระทง ดังนี้ 1) ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกําหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยและบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามปล่อยโคมลอย งดเล่นดอกไม้ไฟ พลุ ประทัด รณรงค์ลอยกระทงปลอดเหล้า เป็นต้น 2) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวกับการจราจรทั้งทางบกและทางน้ํา ตรวจสอบความเรียบร้อยของยานพาหนะที่จะใช้รับส่งประชาชนในช่วงประเพณีลอยกระทง และ 3) ขอความร่วมมือผู้จัดงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวัฒนธรรม โดยการควบคุมผู้ร่วมงานไม่ให้แออัด สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา กําหนดให้เว้นระยะห่างทางสังคมในทุกกิจกรรม ในด้านการเตรียมความพร้อมสถานที่ ให้ทุกสถานที่ที่จัดงานประเพณีลอยกระทงจะต้องมีจุดคัดกรองอุณหภูมิ จัดให้มีจุดลงทะเบียน “ไทยชนะ” ก่อนเข้าและออก จุดบริการเจลแอลกอฮอล์ จัดจุดทิ้งขยะที่มีฝาปิดมิดชิด ทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัสทั้งก่อนและหลังการจัดงาน และทําความสะอาดห้องสุขาทุก 1-2 ชั่วโมง หากภายในงานมีการแสดงให้ทําความสะอาดก่อนและหลังการแสดงทุกรอบ “ในส่วนการจัดงานลอยกระทง นายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้ผู้จัดงานและหน่วยงาน ต้องดําเนินการตามมาตรการกํากับดูแลความปลอดภัย และมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยต้องตรวจความพร้อมก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์ หากพบว่าไม่มีความพร้อมจะระงับไม่ให้จัดงาน” นางสาวรัชดากล่าว --------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกเผย นายกฯ อนุมัติจัดงานลอยกระทง พร้อมกำชับให้หน่วยงานในพื้นที่จัดงานลอยกระทงต้องมีมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัย โดยต้องตรวจความพร้อมก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์ วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2564 รองโฆษกเผย นายกฯ อนุมัติจัดงานลอยกระทง พร้อมกําชับให้หน่วยงานในพื้นที่จัดงานลอยกระทงต้องมีมาตรการกํากับดูแลความปลอดภัย โดยต้องตรวจความพร้อมก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์ รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย นายกฯ อนุมัติจัดงานลอยกระทง พร้อมกําชับให้หน่วยงานในพื้นที่จัดงานลอยกระทงต้องมีมาตรการกํากับดูแลความปลอดภัย โดยต้องตรวจความพร้อมก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์ วันนี้ 30 ตุลาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติให้หน่วยงานสามารถจัดงานประเพณีลอยกระทง พ.ศ. 2564 เพื่ออนุรักษ์ สืบสานและส่งเสริมประเพณีลอยกระทงที่ทรงคุณค่า โดยอาศัยหลัก COVID-Free Setting (มาตรการปลอดภัยสําหรับองค์กร) และ Universal Prevention (การป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล) โดยมีแนวทางและมาตรการรณรงค์ ในการจัดงานประเพณีลอยกระทง ดังนี้ 1) ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกําหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยและบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามปล่อยโคมลอย งดเล่นดอกไม้ไฟ พลุ ประทัด รณรงค์ลอยกระทงปลอดเหล้า เป็นต้น 2) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวกับการจราจรทั้งทางบกและทางน้ํา ตรวจสอบความเรียบร้อยของยานพาหนะที่จะใช้รับส่งประชาชนในช่วงประเพณีลอยกระทง และ 3) ขอความร่วมมือผู้จัดงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวัฒนธรรม โดยการควบคุมผู้ร่วมงานไม่ให้แออัด สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา กําหนดให้เว้นระยะห่างทางสังคมในทุกกิจกรรม ในด้านการเตรียมความพร้อมสถานที่ ให้ทุกสถานที่ที่จัดงานประเพณีลอยกระทงจะต้องมีจุดคัดกรองอุณหภูมิ จัดให้มีจุดลงทะเบียน “ไทยชนะ” ก่อนเข้าและออก จุดบริการเจลแอลกอฮอล์ จัดจุดทิ้งขยะที่มีฝาปิดมิดชิด ทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัสทั้งก่อนและหลังการจัดงาน และทําความสะอาดห้องสุขาทุก 1-2 ชั่วโมง หากภายในงานมีการแสดงให้ทําความสะอาดก่อนและหลังการแสดงทุกรอบ “ในส่วนการจัดงานลอยกระทง นายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้ผู้จัดงานและหน่วยงาน ต้องดําเนินการตามมาตรการกํากับดูแลความปลอดภัย และมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยต้องตรวจความพร้อมก่อนถึงวันงาน 1 สัปดาห์ หากพบว่าไม่มีความพร้อมจะระงับไม่ให้จัดงาน” นางสาวรัชดากล่าว --------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47613
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งดูแลทหารบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดใต้"
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม 2564 "นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งดูแลทหารบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดใต้" พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห.เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่หมู่บ้านสันติสุข บ.ลางา ต.บ้านนา อ.จะนะ จว.สงขลา เมื่อคืน 6 ก.ค.64 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้กําลังพลของชุดปฏิบัติการ ร้อย.ร 2531 ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยและสนับสนุนดูแลควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในพื้นที่หมู่บ้านลางา เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บ 3 นาย โดย นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งการ ทบ. โดย กอ.รมน.ภาค 4 เข้าช่วยดูแลรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งช่วยเหลือดูแลครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตและสนับสนุนจัดพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ พร้อมทั้งให้เร่งตรวจสอบพยานหลักฐาน ติดตามผู้กระทําผิดมาดําเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว ทั้งยังได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังและสร้างความเข้าใจกับประชาชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อร่วมกันดูแลความปลอดภัยและมาตรการควบคุมโรคที่กําลังแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ไปพร้อมกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งดูแลทหารบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดใต้" วันพุธที่ 7 กรกฎาคม 2564 "นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งดูแลทหารบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดใต้" พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห.เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่หมู่บ้านสันติสุข บ.ลางา ต.บ้านนา อ.จะนะ จว.สงขลา เมื่อคืน 6 ก.ค.64 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้กําลังพลของชุดปฏิบัติการ ร้อย.ร 2531 ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยและสนับสนุนดูแลควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในพื้นที่หมู่บ้านลางา เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บ 3 นาย โดย นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งการ ทบ. โดย กอ.รมน.ภาค 4 เข้าช่วยดูแลรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งช่วยเหลือดูแลครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตและสนับสนุนจัดพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ พร้อมทั้งให้เร่งตรวจสอบพยานหลักฐาน ติดตามผู้กระทําผิดมาดําเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว ทั้งยังได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังและสร้างความเข้าใจกับประชาชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อร่วมกันดูแลความปลอดภัยและมาตรการควบคุมโรคที่กําลังแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ไปพร้อมกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43536
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังเตรียมเปิดรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 คลังเตรียมเปิดรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 และการดําเนินการที่เกี่ยวข้อง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 และการดําเนินการที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 (โครงการฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่เป็นปัจจุบัน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรสวัสดิการสังคมของภาครัฐให้แก่ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเริ่มดําเนินการโครงการฯ ในปี 2565 โดยครั้งนี้จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนและครอบครัวของผู้ลงทะเบียนด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ คุณสมบัติผู้ลงทะเบียน 1 ) มีสัญชาติไทย 2) มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 3) ไม่เป็นบุคคลดังต่อไปนี้ ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช ผู้ต้องขัง ผู้ถูกกักกัน ผู้ต้องกักขัง บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ฯ ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ผู้รับบําเหน็จรายเดือน ผู้รับบํานาญปกติ หรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา 4) รายได้ของผู้ลงทะเบียนไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง และหากมีครอบครัว รายได้เฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง (การคํานวณรายได้เฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนคํานวณได้จากการรวมรายได้ของผู้ลงทะเบียน และสมาชิกในครอบครัวของผู้ลงทะเบียน หารด้วยจํานวนบุคคลทั้งหมดในครอบครัว) 5) ทรัพย์สินทางการเงินได้แก่ เงินฝาก สลาก พันธบัตรและตราสารหนี้ภาครัฐ ของผู้ลงทะเบียนต้องมีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง และหากมีครอบครัว ทรัพย์สินทางการเงินเฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนมีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง (การคํานวณทรัพย์สินทางการเงินเฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนคํานวณได้จากการรวมมูลค่าทรัพย์สินทางการเงินของผู้ลงทะเบียน และสมาชิกในครอบครัวของผู้ลงทะเบียน หารด้วยจํานวนบุคคลทั้งหมดในครอบครัว) 6) อสังหาริมทรัพย์ ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ 6.1) กรณีผู้ลงทะเบียนไม่มีครอบครัว 1) ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (บ้านพร้อมที่ดิน) 1.1) กรณีอยู่อาศัยอย่างเดียว - บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถว ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา - ห้องชุดต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร 1.2) กรณีเป็นที่อยู่อาศัย และใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ หรือในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรจะต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่ 2) ที่ดินแยกจากที่อยู่อาศัย 2.1 ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่ 2.2 ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตร ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ 6.2) กรณีผู้ลงทะเบียนมีครอบครัว 1) ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (บ้านพร้อมที่ดิน) 1.1) กรณีอยู่อาศัยอย่างเดียว 1.1.1) กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของที่ดิน ที่มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถวแยกจากกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินของลงทะเบียนและคู่สมรสแต่ละคนต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของที่ดินที่มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถวร่วมกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสรวมกันต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา 1.1.2) กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของห้องชุดแยกจากกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสแต่ละคนต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของห้องชุดร่วมกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสรวมกันต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร 1.2) กรณีเป็นที่อยู่อาศัย และใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ หรือในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรจะต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 2 ไร่ 2) ที่ดินแยกจากที่อยู่อาศัย 2.1) ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 2 ไร่ 2.2) ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ 7) ผู้ลงทะเบียนจะต้องไม่มีบัตรเครดิต ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง 8) ผู้ลงทะเบียนจะต้องไม่มีวงเงินกู้ หรือมีวงเงินกู้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง แต่ไม่เกินหลักเกณฑ์ ดังนี้ - วงเงินกู้สําหรับที่อยู่อาศัยรวมไม่เกิน 1.5 ล้านบาท - วงเงินกู้สําหรับยานพาหนะรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท การดําเนินโครงการ ช่วงเวลาการเริ่มลงทะเบียนประมาณกลางปี 2565 โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มสวัสดิการใหม่ให้แก่ผู้ผ่านสิทธิช่วงปลายปี 2565 ซึ่งจะเป็นการใช้บัตรประชาชนแทนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ รายละเอียดการดําเนินโครงการฯ ต่าง ๆ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเป็นผู้กําหนด ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป 2. ร่างประกาศคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการดําเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ (ร่างประกาศฯ) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศฯ ซึ่งเป็นการดําเนินการตาม มาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. 2562 โดยสาระสําคัญคือการให้มีการประเมินผลการดําเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง พร้อมทั้งรายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมกําหนด โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร. 0-2126-5800 ต่อ 2680 สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 08-5842-7102 ถึง 7109 (เวลาทําการ 08.30 – 16.30 น.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังเตรียมเปิดรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 คลังเตรียมเปิดรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 และการดําเนินการที่เกี่ยวข้อง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 และการดําเนินการที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 (โครงการฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่เป็นปัจจุบัน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรสวัสดิการสังคมของภาครัฐให้แก่ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเริ่มดําเนินการโครงการฯ ในปี 2565 โดยครั้งนี้จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนและครอบครัวของผู้ลงทะเบียนด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ คุณสมบัติผู้ลงทะเบียน 1 ) มีสัญชาติไทย 2) มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 3) ไม่เป็นบุคคลดังต่อไปนี้ ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช ผู้ต้องขัง ผู้ถูกกักกัน ผู้ต้องกักขัง บุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ฯ ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ผู้รับบําเหน็จรายเดือน ผู้รับบํานาญปกติ หรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา 4) รายได้ของผู้ลงทะเบียนไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง และหากมีครอบครัว รายได้เฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง (การคํานวณรายได้เฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนคํานวณได้จากการรวมรายได้ของผู้ลงทะเบียน และสมาชิกในครอบครัวของผู้ลงทะเบียน หารด้วยจํานวนบุคคลทั้งหมดในครอบครัว) 5) ทรัพย์สินทางการเงินได้แก่ เงินฝาก สลาก พันธบัตรและตราสารหนี้ภาครัฐ ของผู้ลงทะเบียนต้องมีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง และหากมีครอบครัว ทรัพย์สินทางการเงินเฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนมีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง (การคํานวณทรัพย์สินทางการเงินเฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนคํานวณได้จากการรวมมูลค่าทรัพย์สินทางการเงินของผู้ลงทะเบียน และสมาชิกในครอบครัวของผู้ลงทะเบียน หารด้วยจํานวนบุคคลทั้งหมดในครอบครัว) 6) อสังหาริมทรัพย์ ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ 6.1) กรณีผู้ลงทะเบียนไม่มีครอบครัว 1) ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (บ้านพร้อมที่ดิน) 1.1) กรณีอยู่อาศัยอย่างเดียว - บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถว ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา - ห้องชุดต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร 1.2) กรณีเป็นที่อยู่อาศัย และใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ หรือในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรจะต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่ 2) ที่ดินแยกจากที่อยู่อาศัย 2.1 ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่ 2.2 ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตร ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ 6.2) กรณีผู้ลงทะเบียนมีครอบครัว 1) ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (บ้านพร้อมที่ดิน) 1.1) กรณีอยู่อาศัยอย่างเดียว 1.1.1) กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของที่ดิน ที่มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถวแยกจากกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินของลงทะเบียนและคู่สมรสแต่ละคนต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของที่ดินที่มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถวร่วมกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสรวมกันต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา 1.1.2) กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของห้องชุดแยกจากกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสแต่ละคนต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของห้องชุดร่วมกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสรวมกันต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร 1.2) กรณีเป็นที่อยู่อาศัย และใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ หรือในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรจะต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 2 ไร่ 2) ที่ดินแยกจากที่อยู่อาศัย 2.1) ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 2 ไร่ 2.2) ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ 7) ผู้ลงทะเบียนจะต้องไม่มีบัตรเครดิต ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง 8) ผู้ลงทะเบียนจะต้องไม่มีวงเงินกู้ หรือมีวงเงินกู้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง แต่ไม่เกินหลักเกณฑ์ ดังนี้ - วงเงินกู้สําหรับที่อยู่อาศัยรวมไม่เกิน 1.5 ล้านบาท - วงเงินกู้สําหรับยานพาหนะรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท การดําเนินโครงการ ช่วงเวลาการเริ่มลงทะเบียนประมาณกลางปี 2565 โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มสวัสดิการใหม่ให้แก่ผู้ผ่านสิทธิช่วงปลายปี 2565 ซึ่งจะเป็นการใช้บัตรประชาชนแทนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ รายละเอียดการดําเนินโครงการฯ ต่าง ๆ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเป็นผู้กําหนด ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป 2. ร่างประกาศคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการดําเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ (ร่างประกาศฯ) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศฯ ซึ่งเป็นการดําเนินการตาม มาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. 2562 โดยสาระสําคัญคือการให้มีการประเมินผลการดําเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง พร้อมทั้งรายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมกําหนด โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร. 0-2126-5800 ต่อ 2680 สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 08-5842-7102 ถึง 7109 (เวลาทําการ 08.30 – 16.30 น.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51141
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และสำนักงาน กสทช เร่งปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมาย
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565 กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และสํานักงาน กสทช เร่งปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมาย กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และสํานักงาน กสทช เร่งปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมาย นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประชุมร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายหลักและสํานักงานกสทช.ในวันที่28มิ.ย. 65เพื่อหาแนวทางปิดกับเว็บไซต์ผิดกฎหมายโดยเฉพาะกรณีที่มีคําสั่งศาลแล้วแต่พบว่าบางกรณียังไม่สามารถปิดกั้นเว็บไซต์ได้ ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯได้ดําเนินการและได้รับคําสั่งศาลให้ปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายมากกว่า7,000 + Urlsแต่ยังพบว่าในบางกรณียังไม่ปิดกั้นจึงเชิญผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมาเพื่อรับฟังข้อปัญหาติดขัดและข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการประชุมผู้แทนสํานักงานกสทช.แจ้งว่าการดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทางสํานักงานได้ช่วยให้การสนับสนุนมาตลอดสําหรับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตได้กล่าวว่าพร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน นายเวทางค์กล่าวขอบคุณผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและสํานักงานกสทช.ที่ให้ความร่วมมือในการดําเนินการมาตลอดอย่างไรก็ตามหากพบเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายขอให้ช่วยเร่งปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด” **************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และสำนักงาน กสทช เร่งปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมาย วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565 กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และสํานักงาน กสทช เร่งปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมาย กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และสํานักงาน กสทช เร่งปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมาย นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประชุมร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายหลักและสํานักงานกสทช.ในวันที่28มิ.ย. 65เพื่อหาแนวทางปิดกับเว็บไซต์ผิดกฎหมายโดยเฉพาะกรณีที่มีคําสั่งศาลแล้วแต่พบว่าบางกรณียังไม่สามารถปิดกั้นเว็บไซต์ได้ ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯได้ดําเนินการและได้รับคําสั่งศาลให้ปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายมากกว่า7,000 + Urlsแต่ยังพบว่าในบางกรณียังไม่ปิดกั้นจึงเชิญผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมาเพื่อรับฟังข้อปัญหาติดขัดและข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการประชุมผู้แทนสํานักงานกสทช.แจ้งว่าการดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทางสํานักงานได้ช่วยให้การสนับสนุนมาตลอดสําหรับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตได้กล่าวว่าพร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน นายเวทางค์กล่าวขอบคุณผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและสํานักงานกสทช.ที่ให้ความร่วมมือในการดําเนินการมาตลอดอย่างไรก็ตามหากพบเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายขอให้ช่วยเร่งปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด” **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจเข้ม ผับ-บาร์ หลังพบฝ่าฝืน ทั้งมาตรการโควิด-19 และยาเสพติด ขอประชาชนช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เน้นให้ความรู้คนรุ่นใหม่ถึงพิษภัยยาเสพติด
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจเข้ม ผับ-บาร์ หลังพบฝ่าฝืน ทั้งมาตรการโควิด-19 และยาเสพติด ขอประชาชนช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เน้นให้ความรู้คนรุ่นใหม่ถึงพิษภัยยาเสพติด ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจเข้ม ผับ-บาร์ หลังพบฝ่าฝืน ทั้งมาตรการโควิด-19 และยาเสพติด ขอประชาชนช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เน้นให้ความรู้คนรุ่นใหม่ถึงพิษภัยยาเสพติด วันนี้ (14 มิถุนายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งติดตามและตรวจเข้มยาเสพติดตามสถานบริการต่างๆ หลังมีมาตรการผ่อนคลายให้มีการเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะได้ โดยให้ทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมกันตั้งแต่ต้นทาง สร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความรู้ให้ทุกคนตระหนักถึงโทษและพิษภัยของยาเสพติด โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ รวมทั้ง ย้ําแนวทางการทํางานให้เจ้าหน้าที่ทุกส่วน ต้องเคร่งครัด ป้องกัน จับกุม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําเสมอให้ผู้ประกอบการสถานบันเทิงต้องเคร่งครัดดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุขที่กําหนด ผ่านการตรวจประเมินตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety&Health Administration (SHA) และผ่านการตรวจมาตรฐานความสะอาดปลอดภัยป้องกันโรคโควิด-19 รองรับสุขภาพดีวิถีใหม่ (Thai Stop COVID 2 Plus) เปิดให้บริการจําหน่ายและการดื่มสุราไม่เกิน 24.00 น. ซึ่งกําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจลงพื้นที่ สุ่มตรวจค้น เป็นระยะ ซึ่งพบว่า สถานบันเทิงหลายแห่งเปิดโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการฝ่าฝืน ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ 2548 และพบการลักลอบใช้ยาเสพติดในสถานบริการหลายแห่ง จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้มีการคุมเข้มให้มากขึ้น และหากพบการกระทําที่ผิด ให้สั่งปิดเป็นการชั่วคราวและดําเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด “รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด โดยปัจจุบันหลังผับ บาร์ มาเปิดให้บริการอีกครั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจและหน่วยงานในพื้นที่ ตรวจเข้ม สอดส่อง ป้องกันการฝ่าฝืนข้อกําหนด และลักลอบการใช้ยาเสพติดทุกรูปแบบ เพราะไม่อยากให้เป็นสถานที่มั่วสุมของประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่” นายธนกร กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจเข้ม ผับ-บาร์ หลังพบฝ่าฝืน ทั้งมาตรการโควิด-19 และยาเสพติด ขอประชาชนช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เน้นให้ความรู้คนรุ่นใหม่ถึงพิษภัยยาเสพติด วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจเข้ม ผับ-บาร์ หลังพบฝ่าฝืน ทั้งมาตรการโควิด-19 และยาเสพติด ขอประชาชนช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เน้นให้ความรู้คนรุ่นใหม่ถึงพิษภัยยาเสพติด ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจเข้ม ผับ-บาร์ หลังพบฝ่าฝืน ทั้งมาตรการโควิด-19 และยาเสพติด ขอประชาชนช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เน้นให้ความรู้คนรุ่นใหม่ถึงพิษภัยยาเสพติด วันนี้ (14 มิถุนายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งติดตามและตรวจเข้มยาเสพติดตามสถานบริการต่างๆ หลังมีมาตรการผ่อนคลายให้มีการเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะได้ โดยให้ทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมกันตั้งแต่ต้นทาง สร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความรู้ให้ทุกคนตระหนักถึงโทษและพิษภัยของยาเสพติด โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ รวมทั้ง ย้ําแนวทางการทํางานให้เจ้าหน้าที่ทุกส่วน ต้องเคร่งครัด ป้องกัน จับกุม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําเสมอให้ผู้ประกอบการสถานบันเทิงต้องเคร่งครัดดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุขที่กําหนด ผ่านการตรวจประเมินตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety&Health Administration (SHA) และผ่านการตรวจมาตรฐานความสะอาดปลอดภัยป้องกันโรคโควิด-19 รองรับสุขภาพดีวิถีใหม่ (Thai Stop COVID 2 Plus) เปิดให้บริการจําหน่ายและการดื่มสุราไม่เกิน 24.00 น. ซึ่งกําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจลงพื้นที่ สุ่มตรวจค้น เป็นระยะ ซึ่งพบว่า สถานบันเทิงหลายแห่งเปิดโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการฝ่าฝืน ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ 2548 และพบการลักลอบใช้ยาเสพติดในสถานบริการหลายแห่ง จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้มีการคุมเข้มให้มากขึ้น และหากพบการกระทําที่ผิด ให้สั่งปิดเป็นการชั่วคราวและดําเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด “รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด โดยปัจจุบันหลังผับ บาร์ มาเปิดให้บริการอีกครั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจและหน่วยงานในพื้นที่ ตรวจเข้ม สอดส่อง ป้องกันการฝ่าฝืนข้อกําหนด และลักลอบการใช้ยาเสพติดทุกรูปแบบ เพราะไม่อยากให้เป็นสถานที่มั่วสุมของประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55676
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยจัดใหญ่ขายเพิ่มหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง “Krungthai Inverse Floater” การันตีเงินต้น100% ดีเดย์ 8-12 ก.ค.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2565 กรุงไทยจัดใหญ่ขายเพิ่มหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง “Krungthai Inverse Floater” การันตีเงินต้น100% ดีเดย์ 8-12 ก.ค.นี้ เตรียมเปิดจองหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง “Krungthai Inverse Floater” ทั้งสองรุ่นอีกครั้งระหว่างวันที่ 8-12 กรกฎาคม 2565 เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่สนใจลงทุนในช่วงระยะเวลาไม่นานมาก และต้องการการคุ้มครองเงินต้นเต็มจํานวน นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากความสําเร็จของการจําหน่ายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง “Krungthai Inverse Floater” ทั้งรุ่นไม่ทวีคูณ และรุ่นทวีคูณในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินและนวัตกรรมการลงทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดจองหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงทั้งสองรุ่นอีกครั้งระหว่างวันที่ 8-12 กรกฎาคม 2565 เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่สนใจลงทุนในช่วงระยะเวลาไม่นานมาก และต้องการการคุ้มครองเงินต้นเต็มจํานวน พร้อมผลตอบแทนขั้นต่ํา โดยมีมุมมองเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของไทยว่า จะไม่ปรับขึ้นมาก นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ กล่าวต่อว่า นักลงทุนให้ความสนใจซื้อหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Krungthai Inverse Floater จํานวนมาก เนื่องจากจุดเด่นที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุนได้ ทั้งในเรื่องการคุ้มครองเงินต้น 100% โดยธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA อัตราดอกเบี้ยงวดแรกที่จูงใจ และการรับประกันดอกเบี้ยขั้นต่ําตลอดอายุหุ้นกู้ ตลอดจนระยะเวลาการลงทุน 2 ปีที่ไม่ยาวมากนัก สําหรับผลตอบแทนจากการลงทุน จะเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัวย้อนทิศ อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย THOR ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่เคลื่อนไหวใกล้ชิดกับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประกาศโดยธปท.ทุกวัน โดยผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจะย้อนทิศ หรือสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ภายใต้ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ถึงแม้ตลาดมีการคาดการณ์แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่า อัตราดอกเบี้ยไทยจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นมากในช่วงสองปีที่ลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ภาวะเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยด้านอุปทาน เช่น ราคาน้ํามัน การลงทุนใน Krungthai Inverse Floater จึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนอื่นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ธนาคารยังจําหน่ายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Krungthai Inverse Floater รุ่นทวีคูณ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่ารุ่นปกติ แต่ยังคงคุ้มครองเงินต้น และผลตอบแทนขั้นต่ําเช่นเดียวกัน สําหรับนักลงทุนที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ อีเมล [email protected] หรือโทร 02-208-4691, 02-208-4673
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยจัดใหญ่ขายเพิ่มหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง “Krungthai Inverse Floater” การันตีเงินต้น100% ดีเดย์ 8-12 ก.ค.นี้ วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2565 กรุงไทยจัดใหญ่ขายเพิ่มหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง “Krungthai Inverse Floater” การันตีเงินต้น100% ดีเดย์ 8-12 ก.ค.นี้ เตรียมเปิดจองหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง “Krungthai Inverse Floater” ทั้งสองรุ่นอีกครั้งระหว่างวันที่ 8-12 กรกฎาคม 2565 เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่สนใจลงทุนในช่วงระยะเวลาไม่นานมาก และต้องการการคุ้มครองเงินต้นเต็มจํานวน นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากความสําเร็จของการจําหน่ายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง “Krungthai Inverse Floater” ทั้งรุ่นไม่ทวีคูณ และรุ่นทวีคูณในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินและนวัตกรรมการลงทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดจองหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงทั้งสองรุ่นอีกครั้งระหว่างวันที่ 8-12 กรกฎาคม 2565 เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่สนใจลงทุนในช่วงระยะเวลาไม่นานมาก และต้องการการคุ้มครองเงินต้นเต็มจํานวน พร้อมผลตอบแทนขั้นต่ํา โดยมีมุมมองเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของไทยว่า จะไม่ปรับขึ้นมาก นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ กล่าวต่อว่า นักลงทุนให้ความสนใจซื้อหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Krungthai Inverse Floater จํานวนมาก เนื่องจากจุดเด่นที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุนได้ ทั้งในเรื่องการคุ้มครองเงินต้น 100% โดยธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA อัตราดอกเบี้ยงวดแรกที่จูงใจ และการรับประกันดอกเบี้ยขั้นต่ําตลอดอายุหุ้นกู้ ตลอดจนระยะเวลาการลงทุน 2 ปีที่ไม่ยาวมากนัก สําหรับผลตอบแทนจากการลงทุน จะเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัวย้อนทิศ อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย THOR ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่เคลื่อนไหวใกล้ชิดกับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประกาศโดยธปท.ทุกวัน โดยผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจะย้อนทิศ หรือสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ภายใต้ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ถึงแม้ตลาดมีการคาดการณ์แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่า อัตราดอกเบี้ยไทยจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นมากในช่วงสองปีที่ลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ภาวะเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยด้านอุปทาน เช่น ราคาน้ํามัน การลงทุนใน Krungthai Inverse Floater จึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนอื่นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ธนาคารยังจําหน่ายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Krungthai Inverse Floater รุ่นทวีคูณ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่ารุ่นปกติ แต่ยังคงคุ้มครองเงินต้น และผลตอบแทนขั้นต่ําเช่นเดียวกัน สําหรับนักลงทุนที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ อีเมล [email protected] หรือโทร 02-208-4691, 02-208-4673
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมหารือเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 13 มั่นใจสามารถยกระดับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ไทยให้มีประสิทธิภาพทุกมิติ
วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมหารือเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 13 มั่นใจสามารถยกระดับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ไทยให้มีประสิทธิภาพทุกมิติ กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมหารือเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 13 มั่นใจสามารถยกระดับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ไทยให้มีประสิทธิภาพทุกมิติ พร้อมก้าวสู่ความทันสมัยและเป็นสากล หวังกระตุ้นการรับรู้แก้ประชาชน พันตํารวจเอกทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า ตนในฐานะตัวแทนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 13 ประจําปี 2021 (13TH ASIAN FORENSIC SCIENCES NETWORK ANNUAL MEETING AND SYMPOSIUM) ระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม – 15 ตุลาคม 2564 ที่มีประเทศฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารเครือข่ายอีก 7 ประเทศ ได้แก่ Health Sciences Authority (สิงคโปร์), Central Institute of Forensic Science (ไทย), Institute of Forensic Science (จีน), National Forensic Services (เกาหลีใต้), Department of Chemistry (มาเลเซีย), Forensic Lab, Center of Indonesian National Police (อินโดนีเซีย), และ Department of Scientific Services (บรูไน) โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งเอเชีย (AFSN) เพื่อร่วมกําหนดนโยบาย และแผนงานที่จะดําเนินการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งเอเชียก้าวสู่ระดับสากล พันตํารวจเอกทรงศักดิ์ ยืนยันว่า การประชุมเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งเอเชียมีความสําคัญและเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ไทยได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกับนักนิติวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลก ก่อนจะนํามาปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ของเราให้ทันสมัยมากขึ้น โดยผ่านการจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปี นอกจากนี้ ยังทําให้เราสามารถประยุกต์ใช้กิจกรรมทางด้านนิติวิทยาศาสตร์จากเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งภูมิภาคเอเชีย ในการกระตุ้นการรับรู้ ความรู้ความเข้าใจในด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องให้กับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชน “เรามีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เช่น โครงการ AFSN Annual Meeting and Symposium ที่จะคอยเปลี่ยนประเทศสมาชิกเพื่อเป็นเจ้าภาพ และปัจจุบันสถาบันนิติฯ ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก AFSN workgroup จํานวน 8 Workgroup ในฐานะประธานและเลขานุการ ประกอบด้วย DNA Workgroup ,Toxicology Workgroup, Trace Evidence Workgroup, Crime Scene Investigation Workgroup, Digital Forensic Workgroup, Questioned Document Workgroup, Fingerprint Workgroup และ Quality Assurance & Standards Committee ทําให้เห็นว่าการพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์ของเราเป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างมากภายใต้การทํางานอย่างต่อเนื่อง” พันตํารวจเอกทรงศักดิ์ ระบุ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมหารือเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 13 มั่นใจสามารถยกระดับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ไทยให้มีประสิทธิภาพทุกมิติ วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมหารือเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 13 มั่นใจสามารถยกระดับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ไทยให้มีประสิทธิภาพทุกมิติ กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมหารือเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 13 มั่นใจสามารถยกระดับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ไทยให้มีประสิทธิภาพทุกมิติ พร้อมก้าวสู่ความทันสมัยและเป็นสากล หวังกระตุ้นการรับรู้แก้ประชาชน พันตํารวจเอกทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า ตนในฐานะตัวแทนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 13 ประจําปี 2021 (13TH ASIAN FORENSIC SCIENCES NETWORK ANNUAL MEETING AND SYMPOSIUM) ระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม – 15 ตุลาคม 2564 ที่มีประเทศฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารเครือข่ายอีก 7 ประเทศ ได้แก่ Health Sciences Authority (สิงคโปร์), Central Institute of Forensic Science (ไทย), Institute of Forensic Science (จีน), National Forensic Services (เกาหลีใต้), Department of Chemistry (มาเลเซีย), Forensic Lab, Center of Indonesian National Police (อินโดนีเซีย), และ Department of Scientific Services (บรูไน) โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งเอเชีย (AFSN) เพื่อร่วมกําหนดนโยบาย และแผนงานที่จะดําเนินการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งเอเชียก้าวสู่ระดับสากล พันตํารวจเอกทรงศักดิ์ ยืนยันว่า การประชุมเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งเอเชียมีความสําคัญและเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ไทยได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกับนักนิติวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลก ก่อนจะนํามาปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ของเราให้ทันสมัยมากขึ้น โดยผ่านการจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปี นอกจากนี้ ยังทําให้เราสามารถประยุกต์ใช้กิจกรรมทางด้านนิติวิทยาศาสตร์จากเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งภูมิภาคเอเชีย ในการกระตุ้นการรับรู้ ความรู้ความเข้าใจในด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องให้กับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชน “เรามีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เช่น โครงการ AFSN Annual Meeting and Symposium ที่จะคอยเปลี่ยนประเทศสมาชิกเพื่อเป็นเจ้าภาพ และปัจจุบันสถาบันนิติฯ ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก AFSN workgroup จํานวน 8 Workgroup ในฐานะประธานและเลขานุการ ประกอบด้วย DNA Workgroup ,Toxicology Workgroup, Trace Evidence Workgroup, Crime Scene Investigation Workgroup, Digital Forensic Workgroup, Questioned Document Workgroup, Fingerprint Workgroup และ Quality Assurance & Standards Committee ทําให้เห็นว่าการพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์ของเราเป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างมากภายใต้การทํางานอย่างต่อเนื่อง” พันตํารวจเอกทรงศักดิ์ ระบุ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47079
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. นำคณะผู้บริหารถวายราชสักการะพระบรมราชชนก สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขไทย
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564 ปลัดสธ. นําคณะผู้บริหารถวายราชสักการะพระบรมราชชนก สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขไทย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหาร สักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหาร สักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุข ในการปฏิบัติภารกิจดูแลประชาชนต่อสู้กับโรคระบาดติดเชื้อโควิด 19 วันนี้ (16 กรกฎาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไทย ทําให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศเสมอมา ในวันนี้ ได้นําคณะผู้บริหารร่วมบวงสรวงสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประดิษฐานบนแท่นฐานเดียวกัน และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญมาสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขทั้งประเทศ ให้มีกําลังกาย กําลังใจ ปฏิบัติภารกิจต่อสู้กับโรคระบาดติดเชื้อโควิด 19 ได้อย่างลุล่วง ทําประโยชน์แก่ประเทศชาติ และดูแลพี่น้องชาวไทยทุกคนให้ปลอดภัย นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า กรณีผู้ไม่หวังดีซึ่งอาจเป็นบุคคลที่มีความเห็นต่างมากระทําการลบหลู่นําสีมาสาดต่อพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา นั้นถือว่าเป็นการกระทําที่ชั่วร้าย หยาบช้า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทําให้ชาวกระทรวงสาธารณสุขมีความรู้สึกสะเทือนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น “ความคิดเห็นขัดแย้ง เรามีช่องทางและระบบสื่อสาร รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ อํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน การกระทําเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะสร้างข้อแม้ของการขัดแย้งให้เพิ่มมากขึ้น สมเด็จพระบิดา สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทุกพระองค์มีคุณูปการ ทําประโยชน์ให้วงการแพทย์และสาธารณสุข ขอประณามการกระทําในครั้งนี้ และจะดําเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ***************************** 16 กรกฎาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. นำคณะผู้บริหารถวายราชสักการะพระบรมราชชนก สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขไทย วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564 ปลัดสธ. นําคณะผู้บริหารถวายราชสักการะพระบรมราชชนก สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขไทย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหาร สักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหาร สักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุข ในการปฏิบัติภารกิจดูแลประชาชนต่อสู้กับโรคระบาดติดเชื้อโควิด 19 วันนี้ (16 กรกฎาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไทย ทําให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศเสมอมา ในวันนี้ ได้นําคณะผู้บริหารร่วมบวงสรวงสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประดิษฐานบนแท่นฐานเดียวกัน และพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อัญเชิญพระมิ่งขวัญมาสถิตปกป้องดูแลชาวสาธารณสุขทั้งประเทศ ให้มีกําลังกาย กําลังใจ ปฏิบัติภารกิจต่อสู้กับโรคระบาดติดเชื้อโควิด 19 ได้อย่างลุล่วง ทําประโยชน์แก่ประเทศชาติ และดูแลพี่น้องชาวไทยทุกคนให้ปลอดภัย นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า กรณีผู้ไม่หวังดีซึ่งอาจเป็นบุคคลที่มีความเห็นต่างมากระทําการลบหลู่นําสีมาสาดต่อพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา นั้นถือว่าเป็นการกระทําที่ชั่วร้าย หยาบช้า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทําให้ชาวกระทรวงสาธารณสุขมีความรู้สึกสะเทือนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น “ความคิดเห็นขัดแย้ง เรามีช่องทางและระบบสื่อสาร รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ อํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน การกระทําเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะสร้างข้อแม้ของการขัดแย้งให้เพิ่มมากขึ้น สมเด็จพระบิดา สมเด็จย่า และกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทุกพระองค์มีคุณูปการ ทําประโยชน์ให้วงการแพทย์และสาธารณสุข ขอประณามการกระทําในครั้งนี้ และจะดําเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ***************************** 16 กรกฎาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43802
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน จำนวน 480 อัตรา
วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกบุคคลเข้าทํางาน จํานวน 480 อัตรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชน และรองรับการขยายเส้นทางการเดินรถในอนาคต นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า รฟท. ประกาศเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้าทํางาน เพิ่มเติมจํานวน 480 อัตรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชน และรองรับการขยายเส้นทางการเดินรถในอนาคต โดยต้องเป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 - 35 ปี มีคุณสมบัติครบถ้วน และไม่มีลักษณะต้องห้ามใด ๆ ตามประกาศรับสมัครที่กําหนดไว้ คุณวุฒิที่รับสมัคร แบ่งออกเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และระดับปริญญาตรี ดังนี้ ตําแหน่งที่เปิดรับสมัครสอบ 1. สังกัดฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ 1.1 พนักงานการเดินรถ 6 (พนักงานควบคุมการเดินรถ) จํานวน 5 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 1.2 พนักงานการเดินรถ 6 (นายสถานี) จํานวน 264 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 1.3 พนักงานการเดินรถ 5 (นายสถานี) จํานวน 98 อัตรา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อัตราเงินเดือน 12,690.- บาท 1.4 พนักงานการเดินรถ 2 (พนักงานกั้นถนน) จํานวน 9 อัตรา วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น อัตราเงินเดือน 9,580.- บาท 2. สังกัดฝ่ายบริการสินค้า 2.1 พนักงานขบวนรถ 2 (พนักงานห้ามล้อ) จํานวน 5 อัตรา วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น อัตราเงินเดือน 9,580.- บาท 2.2 พนักงานการเดินรถ 2 (พนักงานคุมประแจ) จํานวน 3 อัตรา วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น อัตราเงินเดือน 9,580.- บาท 3. สังกัดฝ่ายการช่างกล 3.1 วิศวกร 6 (วิศวกรรมไฟฟ้าหรือวิศวกรรมเครื่องกล) จํานวน 2 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 4. สังกัดฝ่ายการช่างโยธา 4.1 วิศวกร 6 (วิศวกรรมโยธา) จํานวน 19 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 4.2 วิศวกร 6 (วิศวกรรมอุตสาหการหรือเครื่องกล) จํานวน 1 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 4.3 วิศวกร 6 (วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์หรืออิเล็กทรอนิกส์) จํานวน 2 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 4.4 พนักงานเทคนิค 4 (ช่างก่อสร้าง) จํานวน 28 อัตรา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อัตราเงินเดือน 10,440.- บาท 5. สังกัดฝ่ายการอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม 5.1 วิศวกร 6 (วิศวกรรมโทรคมนาคม ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สื่อสาร) จํานวน 9 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 5.2 พนักงานเทคนิค 4 (ช่างไฟฟ้าหรือช่างอิเล็กทรอนิกส์หรือช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือช่างยนต์ หรือช่างวิทยุ หรือช่างกลโรงงานหรือช่างเชื่อมหรือช่างอุตสาหกรรม) จํานวน 26 อัตรา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อัตราเงินเดือน 10,440.- บาท 6. สังกัดฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง 6.1 วิศวกร 6 (วิศวกรรมโยธา) จํานวน 5 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 6.2 พนักงานเทคนิค 4 (ช่างก่อสร้างหรือช่างสํารวจ) จํานวน 4 อัตรา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อัตราเงินเดือน 10,440.- บาท ทั้งนี้ ผู้สนใจสมัครสามารถสมัครสอบทางอินเทอร์เน็ต (Internet) ที่เว็บไซต์ www.railway.co.th หรือ https://railway.thaijobjob.com ระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยมีขั้นตอน ดังนี้.- 1. ให้ผู้สมัครสอบเข้าไปที่เว็บไซต์การรถไฟฯ www.railway.co.th หรือ https://railway.thaijobjob.com 2. ให้ผู้สมัครสอบอ่านขั้นตอน และคําแนะนําโดยละเอียดก่อนกรอกใบสมัคร (ผู้สมัครสอบสามารถสมัครสอบได้เพียงตําแหน่งเดียวเท่านั้น) 3. ผู้สมัครสอบจะต้องแนบไฟล์เอกสารและหลักฐานต่างๆ ในการสมัครสอบ โดยผู้สมัครสอบจะต้องลงลายมือชื่อรับรองสําเนาถูกต้องในเอกสาร และหลักฐานต่างๆ ทุกหน้า ทุกฉบับ ให้ครบถ้วน แล้วสแกนแนบไฟล์ในระบบรับสมัคร ทั้งนี้ รฟท. ดําเนินการสอบแข่งขันด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และเสมอภาค ดังนั้นหากมีผู้ใดแอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้ท่านได้เข้าเป็นพนักงาน รฟท. หรือมีพฤติการณ์ในทํานองเดียวกัน โปรดอย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด และขอความร่วมมือแจ้งมายังหัวหน้ากองการบุคคล ฝ่ายทรัพยากรบุคคล โทร. 02-220-4471 เพื่อดําเนินการตามกฎหมายที่บัญญัติไว้สูงสูดต่อไป หากมีข้อสงสัยหรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดการสมัครสอบ ปัญหาการใช้ระบบ เช่น การส่งใบสมัคร การพิมพ์ใบสมัคร หรือการค้นหาใบสมัคร นําส่งเอกสาร กรุณาติดต่อ Call Center โทร. 0-2257-7159 กด 3 ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.30 น. หรือ LineID : @Thaijobjob หากมีข้อสงสัยหรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตําแหน่งงาน คุณวุฒิการศึกษา หลักฐานทางทหาร สามารถติดต่อได้ที่ งานวางแผนและสรรหา โทร. 0-22204481 หรือ 0-26218701 ต่อ 8245254 ในวันและเวลาราชการ เวลา 8.30-16.30 น.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน จำนวน 480 อัตรา วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกบุคคลเข้าทํางาน จํานวน 480 อัตรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชน และรองรับการขยายเส้นทางการเดินรถในอนาคต นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า รฟท. ประกาศเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้าทํางาน เพิ่มเติมจํานวน 480 อัตรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชน และรองรับการขยายเส้นทางการเดินรถในอนาคต โดยต้องเป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 - 35 ปี มีคุณสมบัติครบถ้วน และไม่มีลักษณะต้องห้ามใด ๆ ตามประกาศรับสมัครที่กําหนดไว้ คุณวุฒิที่รับสมัคร แบ่งออกเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และระดับปริญญาตรี ดังนี้ ตําแหน่งที่เปิดรับสมัครสอบ 1. สังกัดฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ 1.1 พนักงานการเดินรถ 6 (พนักงานควบคุมการเดินรถ) จํานวน 5 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 1.2 พนักงานการเดินรถ 6 (นายสถานี) จํานวน 264 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 1.3 พนักงานการเดินรถ 5 (นายสถานี) จํานวน 98 อัตรา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อัตราเงินเดือน 12,690.- บาท 1.4 พนักงานการเดินรถ 2 (พนักงานกั้นถนน) จํานวน 9 อัตรา วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น อัตราเงินเดือน 9,580.- บาท 2. สังกัดฝ่ายบริการสินค้า 2.1 พนักงานขบวนรถ 2 (พนักงานห้ามล้อ) จํานวน 5 อัตรา วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น อัตราเงินเดือน 9,580.- บาท 2.2 พนักงานการเดินรถ 2 (พนักงานคุมประแจ) จํานวน 3 อัตรา วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น อัตราเงินเดือน 9,580.- บาท 3. สังกัดฝ่ายการช่างกล 3.1 วิศวกร 6 (วิศวกรรมไฟฟ้าหรือวิศวกรรมเครื่องกล) จํานวน 2 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 4. สังกัดฝ่ายการช่างโยธา 4.1 วิศวกร 6 (วิศวกรรมโยธา) จํานวน 19 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 4.2 วิศวกร 6 (วิศวกรรมอุตสาหการหรือเครื่องกล) จํานวน 1 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 4.3 วิศวกร 6 (วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์หรืออิเล็กทรอนิกส์) จํานวน 2 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 4.4 พนักงานเทคนิค 4 (ช่างก่อสร้าง) จํานวน 28 อัตรา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อัตราเงินเดือน 10,440.- บาท 5. สังกัดฝ่ายการอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม 5.1 วิศวกร 6 (วิศวกรรมโทรคมนาคม ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สื่อสาร) จํานวน 9 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 5.2 พนักงานเทคนิค 4 (ช่างไฟฟ้าหรือช่างอิเล็กทรอนิกส์หรือช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือช่างยนต์ หรือช่างวิทยุ หรือช่างกลโรงงานหรือช่างเชื่อมหรือช่างอุตสาหกรรม) จํานวน 26 อัตรา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อัตราเงินเดือน 10,440.- บาท 6. สังกัดฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง 6.1 วิศวกร 6 (วิศวกรรมโยธา) จํานวน 5 อัตรา วุฒิปริญญาตรี อัตราเงินเดือน 16,830.- บาท 6.2 พนักงานเทคนิค 4 (ช่างก่อสร้างหรือช่างสํารวจ) จํานวน 4 อัตรา วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) อัตราเงินเดือน 10,440.- บาท ทั้งนี้ ผู้สนใจสมัครสามารถสมัครสอบทางอินเทอร์เน็ต (Internet) ที่เว็บไซต์ www.railway.co.th หรือ https://railway.thaijobjob.com ระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยมีขั้นตอน ดังนี้.- 1. ให้ผู้สมัครสอบเข้าไปที่เว็บไซต์การรถไฟฯ www.railway.co.th หรือ https://railway.thaijobjob.com 2. ให้ผู้สมัครสอบอ่านขั้นตอน และคําแนะนําโดยละเอียดก่อนกรอกใบสมัคร (ผู้สมัครสอบสามารถสมัครสอบได้เพียงตําแหน่งเดียวเท่านั้น) 3. ผู้สมัครสอบจะต้องแนบไฟล์เอกสารและหลักฐานต่างๆ ในการสมัครสอบ โดยผู้สมัครสอบจะต้องลงลายมือชื่อรับรองสําเนาถูกต้องในเอกสาร และหลักฐานต่างๆ ทุกหน้า ทุกฉบับ ให้ครบถ้วน แล้วสแกนแนบไฟล์ในระบบรับสมัคร ทั้งนี้ รฟท. ดําเนินการสอบแข่งขันด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และเสมอภาค ดังนั้นหากมีผู้ใดแอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้ท่านได้เข้าเป็นพนักงาน รฟท. หรือมีพฤติการณ์ในทํานองเดียวกัน โปรดอย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด และขอความร่วมมือแจ้งมายังหัวหน้ากองการบุคคล ฝ่ายทรัพยากรบุคคล โทร. 02-220-4471 เพื่อดําเนินการตามกฎหมายที่บัญญัติไว้สูงสูดต่อไป หากมีข้อสงสัยหรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดการสมัครสอบ ปัญหาการใช้ระบบ เช่น การส่งใบสมัคร การพิมพ์ใบสมัคร หรือการค้นหาใบสมัคร นําส่งเอกสาร กรุณาติดต่อ Call Center โทร. 0-2257-7159 กด 3 ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.30 น. หรือ LineID : @Thaijobjob หากมีข้อสงสัยหรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตําแหน่งงาน คุณวุฒิการศึกษา หลักฐานทางทหาร สามารถติดต่อได้ที่ งานวางแผนและสรรหา โทร. 0-22204481 หรือ 0-26218701 ต่อ 8245254 ในวันและเวลาราชการ เวลา 8.30-16.30 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46384
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท สร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก - จังหวัดเชียงใหม่ กว่า 74 กิโลเมตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชาวไทยภูเขา
วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 กรมทางหลวงชนบท สร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก - จังหวัดเชียงใหม่ กว่า 74 กิโลเมตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชาวไทยภูเขา กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการอํานวยความสะดวกปลอดภัยในด้านการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรทุกฤดูกาลให้แก่ชาวไทยภูเขา และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมสนับสนุนงานโครงการหลวง นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาการเดินทางของประชาชนในพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นไปด้วยความยากลําบาก เนื่องจากถนนมีลักษณะเป็นดินโคลนทําให้การคมนาคมเกิดความล่าช้าโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางระหว่างอําเภอมากถึง 3 - 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและเป็นการสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์พัฒนา โครงการหลวงเลอตอ ทช. จึงได้ดําเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอฯ โดยมีรูปแบบการปรับปรุงเส้นทางตามมาตรฐานถนนหลวงภูเขา ผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ หลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้ใหญ่ริมทางเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด ซึ่งแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ - ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นบ้านป่าไร่ อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 (แม่สอด - แม่สะเรียง) (กม. ที่ 36+900) สิ้นสุดโครงการที่บ้านเลอตอ หมู่ที่ 13 ตําบลแม่ตื่น อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ระยะทาง 44.584 กิโลเมตร เส้นทางนี้อยู่ห่างจากอําเภอแม่ระมาดประมาณ 40 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 246.664 ล้านบาท - ตอนที่ 2 จุดเริ่มต้น กม. ที่ 44+602 ที่บ้านเลอตอ หมู่ที่ 13 บ้านแม่ตื่นน้อย ตําบลแม่ตื่น อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สิ้นสุดโครงการ กม. ที่ 74+032 เชื่อมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1099 (กม. ที่ 75+000) ที่บ้านใหม่ ตําบลแม่ตื่น อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง 29.430 กิโลเมตร เส้นทางนี้เข้าจากตําบลแม่ตื่น อําเภออมก๋อย จากเดิมใช้ระยะเวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะใช้เวลาเดินทาง 1.5 ชั่วโมง ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 244.490 ล้านบาท อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวปิดท้ายว่า นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวทางหลวงชนบทที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ซึ่งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ เป็นศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแห่งที่ 39 จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างอาชีพและแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืนให้แก่ชาวไทยภูเขา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการสร้างเส้นทางสนับสนุนพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพระราชดําริ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ อํานวยความสะดวกปลอดภัยในการขนส่งผลิตผลทางเกษตรออกสู่ท้องตลาดได้ทุกฤดูกาลอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท สร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก - จังหวัดเชียงใหม่ กว่า 74 กิโลเมตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชาวไทยภูเขา วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 กรมทางหลวงชนบท สร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก - จังหวัดเชียงใหม่ กว่า 74 กิโลเมตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชาวไทยภูเขา กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการอํานวยความสะดวกปลอดภัยในด้านการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรทุกฤดูกาลให้แก่ชาวไทยภูเขา และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมสนับสนุนงานโครงการหลวง นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาการเดินทางของประชาชนในพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นไปด้วยความยากลําบาก เนื่องจากถนนมีลักษณะเป็นดินโคลนทําให้การคมนาคมเกิดความล่าช้าโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางระหว่างอําเภอมากถึง 3 - 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและเป็นการสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์พัฒนา โครงการหลวงเลอตอ ทช. จึงได้ดําเนินโครงการก่อสร้างทางเข้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอฯ โดยมีรูปแบบการปรับปรุงเส้นทางตามมาตรฐานถนนหลวงภูเขา ผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ หลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้ใหญ่ริมทางเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด ซึ่งแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ - ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นบ้านป่าไร่ อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 (แม่สอด - แม่สะเรียง) (กม. ที่ 36+900) สิ้นสุดโครงการที่บ้านเลอตอ หมู่ที่ 13 ตําบลแม่ตื่น อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ระยะทาง 44.584 กิโลเมตร เส้นทางนี้อยู่ห่างจากอําเภอแม่ระมาดประมาณ 40 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 246.664 ล้านบาท - ตอนที่ 2 จุดเริ่มต้น กม. ที่ 44+602 ที่บ้านเลอตอ หมู่ที่ 13 บ้านแม่ตื่นน้อย ตําบลแม่ตื่น อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สิ้นสุดโครงการ กม. ที่ 74+032 เชื่อมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1099 (กม. ที่ 75+000) ที่บ้านใหม่ ตําบลแม่ตื่น อําเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง 29.430 กิโลเมตร เส้นทางนี้เข้าจากตําบลแม่ตื่น อําเภออมก๋อย จากเดิมใช้ระยะเวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะใช้เวลาเดินทาง 1.5 ชั่วโมง ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 244.490 ล้านบาท อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวปิดท้ายว่า นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวทางหลวงชนบทที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ซึ่งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ เป็นศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแห่งที่ 39 จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างอาชีพและแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืนให้แก่ชาวไทยภูเขา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการสร้างเส้นทางสนับสนุนพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพระราชดําริ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ อํานวยความสะดวกปลอดภัยในการขนส่งผลิตผลทางเกษตรออกสู่ท้องตลาดได้ทุกฤดูกาลอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48828
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนผู้สนใจประมูลหมายเลขทะเบียนรถ ที่มีลักษณะพิเศษ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 นี้
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนผู้สนใจประมูลหมายเลขทะเบียนรถ ที่มีลักษณะพิเศษ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 นี้ ... กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เชิญชวนผู้สนใจประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 นี้ ประมูลพร้อมกันทั้งทางวาจาและอินเทอร์เน็ต เชิญชวนผู้ที่สนใจลงทะเบียนและเสนอราคาล่วงหน้า ที่สํานักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หรือ www.tabienrod.com ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบก โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) จัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษครั้งที่ 2 เพื่อนําเงินรายได้จากการประมูลไปใช้ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน รวมทั้งสนับสนุนเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน โดยขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ สําหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมอาคาร 6 ชั้น 7 กรมการขนส่งทางบก จตุจักร โดยมีหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ ถึง 130 หมายเลข อาทิ เฮง 9999, สวย 9999, โชค 8888, เลิศ 8888, พลัง 9999, มั่งมี 9999 รวย 5555 และเศรษฐี 66 เป็นต้น ซึ่งสามารถเสนอราคาประมูลได้ 2 ช่องทาง ทั้งทางระบบอินเทอร์เน็ต โดยเสนอราคาล่วงหน้าแบบกําหนดราคาขั้นสูง Maximum Bid หรือเสนอราคาเเบบเรียลไทม์ในวันปิดประมูล ที่ www.tabienrod.com และประมูลทางวาจาด้วยตนเอง ผู้สนใจสามารถติดตามบรรยากาศการประมูลได้ทางเพจ facebook กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สําหรับหมายเลขที่นํามาประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ แบ่งกลุ่มหมายเลขเป็น 4 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีราคาเริ่มต้นการประมูลที่แตกต่างจากการประมูลหมายเลขทะเบียนรถเลขสวยในหมวดอักษรปกติ ได้แก่ SUPERPREMIUM เลข 8 และ 9 สี่ตัวเหมือน (8888, 9999) มีราคาเริ่มต้นการประมูล 1,500,000 บาท, PREMIUM สี่ตัวเหมือน (1111 2222 3333 4444 5555 6666 7777) ราคาเริ่มต้น 1,000,000 บาท, GOLD เลขตัวเดียว (1 - 9) เลขสองตัวเหมือน (11 - 99), สามตัวเหมือน (111 - 999), เลขคู่ 8, คู่ 9 (8899 9988 8998 8989 9898 9889) เช่น ชนะ 9 ราคาเริ่มต้น 800,000 บาท และ SILVER เลขหลักพัน (1000 - 9000), เลขเรียง (123-789,1234-6789), เลขคู่ (1122, 3434, 5665) ราคาเริ่มต้น 500,000 บาท ซึ่งผู้ร่วมประมูลจะได้ครอบครองป้ายทะเบียนรถลักษณะพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แผ่นป้ายแตกต่างจากป้ายทะเบียนปกติ ตัวแผ่นป้ายไม่มีรอยดุลและไม่มีขอบ ภาพพื้นหลังมีลวดลายกราฟิก ซึ่งผู้ประมูลสามารถโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นหรือโอนเป็นมรดกได้ และนําไปใช้กับรถที่จดทะเบียนแล้วได้เช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษในครั้งนี้ จะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประมูล และสามารถนํารายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประเทศได้มากยิ่งขึ้น อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่สํานักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน อาคาร 2 ชั้น 5 กรมการขนส่งทางบก ในวันและเวลาราชการ หรือลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ www.tabienrod.com พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบด้วย ใบลงทะเบียน บัตรประจําตัวประชาชน ในกรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล หลักฐานการชําระเงิน และหน้าบัญชีธนาคาร โดยมีขั้นตอนการประมูล ดังนี้ 1. ลงทะเบียนตามหมายเลขที่ต้องการประมูล 2. ชําระค่าหลักประกันการประมูลผ่านธนาคารหรือชําระเป็นเงินสดตามอัตราที่กําหนด 3. เสนอราคาตามคําหรือข้อความและเลขทะเบียนที่สนใจ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันปิดประมูล โดยเมื่อเสร็จสิ้นการประมูลแล้วผู้ชนะการประมูลจะต้องชําระค่าหมายเลขทะเบียนที่ประมูลได้ให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน สามารถติดตามรายละเอียดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษเพิ่มเติมได้ http://xn--www-1kl1e3h.tabienrod.com/ หรือสํานักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โทร. 0 2272 5937 หรือสายด่วนกรมการขนส่งทางบก โทร.1584 หรือ 0 2271 8888
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนผู้สนใจประมูลหมายเลขทะเบียนรถ ที่มีลักษณะพิเศษ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 นี้ วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนผู้สนใจประมูลหมายเลขทะเบียนรถ ที่มีลักษณะพิเศษ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 นี้ ... กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เชิญชวนผู้สนใจประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 นี้ ประมูลพร้อมกันทั้งทางวาจาและอินเทอร์เน็ต เชิญชวนผู้ที่สนใจลงทะเบียนและเสนอราคาล่วงหน้า ที่สํานักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หรือ www.tabienrod.com ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบก โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) จัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษครั้งที่ 2 เพื่อนําเงินรายได้จากการประมูลไปใช้ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน รวมทั้งสนับสนุนเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน โดยขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ สําหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมอาคาร 6 ชั้น 7 กรมการขนส่งทางบก จตุจักร โดยมีหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ ถึง 130 หมายเลข อาทิ เฮง 9999, สวย 9999, โชค 8888, เลิศ 8888, พลัง 9999, มั่งมี 9999 รวย 5555 และเศรษฐี 66 เป็นต้น ซึ่งสามารถเสนอราคาประมูลได้ 2 ช่องทาง ทั้งทางระบบอินเทอร์เน็ต โดยเสนอราคาล่วงหน้าแบบกําหนดราคาขั้นสูง Maximum Bid หรือเสนอราคาเเบบเรียลไทม์ในวันปิดประมูล ที่ www.tabienrod.com และประมูลทางวาจาด้วยตนเอง ผู้สนใจสามารถติดตามบรรยากาศการประมูลได้ทางเพจ facebook กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สําหรับหมายเลขที่นํามาประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ แบ่งกลุ่มหมายเลขเป็น 4 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีราคาเริ่มต้นการประมูลที่แตกต่างจากการประมูลหมายเลขทะเบียนรถเลขสวยในหมวดอักษรปกติ ได้แก่ SUPERPREMIUM เลข 8 และ 9 สี่ตัวเหมือน (8888, 9999) มีราคาเริ่มต้นการประมูล 1,500,000 บาท, PREMIUM สี่ตัวเหมือน (1111 2222 3333 4444 5555 6666 7777) ราคาเริ่มต้น 1,000,000 บาท, GOLD เลขตัวเดียว (1 - 9) เลขสองตัวเหมือน (11 - 99), สามตัวเหมือน (111 - 999), เลขคู่ 8, คู่ 9 (8899 9988 8998 8989 9898 9889) เช่น ชนะ 9 ราคาเริ่มต้น 800,000 บาท และ SILVER เลขหลักพัน (1000 - 9000), เลขเรียง (123-789,1234-6789), เลขคู่ (1122, 3434, 5665) ราคาเริ่มต้น 500,000 บาท ซึ่งผู้ร่วมประมูลจะได้ครอบครองป้ายทะเบียนรถลักษณะพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แผ่นป้ายแตกต่างจากป้ายทะเบียนปกติ ตัวแผ่นป้ายไม่มีรอยดุลและไม่มีขอบ ภาพพื้นหลังมีลวดลายกราฟิก ซึ่งผู้ประมูลสามารถโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นหรือโอนเป็นมรดกได้ และนําไปใช้กับรถที่จดทะเบียนแล้วได้เช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษในครั้งนี้ จะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประมูล และสามารถนํารายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประเทศได้มากยิ่งขึ้น อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่สํานักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน อาคาร 2 ชั้น 5 กรมการขนส่งทางบก ในวันและเวลาราชการ หรือลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ www.tabienrod.com พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบด้วย ใบลงทะเบียน บัตรประจําตัวประชาชน ในกรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล หลักฐานการชําระเงิน และหน้าบัญชีธนาคาร โดยมีขั้นตอนการประมูล ดังนี้ 1. ลงทะเบียนตามหมายเลขที่ต้องการประมูล 2. ชําระค่าหลักประกันการประมูลผ่านธนาคารหรือชําระเป็นเงินสดตามอัตราที่กําหนด 3. เสนอราคาตามคําหรือข้อความและเลขทะเบียนที่สนใจ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันปิดประมูล โดยเมื่อเสร็จสิ้นการประมูลแล้วผู้ชนะการประมูลจะต้องชําระค่าหมายเลขทะเบียนที่ประมูลได้ให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน สามารถติดตามรายละเอียดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษเพิ่มเติมได้ http://xn--www-1kl1e3h.tabienrod.com/ หรือสํานักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โทร. 0 2272 5937 หรือสายด่วนกรมการขนส่งทางบก โทร.1584 หรือ 0 2271 8888
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57485
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมวงโยธวาทิต ร.ร.บุญวัฒนา จ.นครราชสีมา-ร.ร.ประชามงคล จ.กาญจนบุรี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ขอพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น ยืนยันรัฐบาลพร้อมสนับสนุน-ผลักดันสู่การแข่งขันระดับ
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมวงโยธวาทิต ร.ร.บุญวัฒนา จ.นครราชสีมา-ร.ร.ประชามงคล จ.กาญจนบุรี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ขอพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น ยืนยันรัฐบาลพร้อมสนับสนุน-ผลักดันสู่การแข่งขันระดับ นายกฯ ชื่นชมวงโยธวาทิต ร.ร.บุญวัฒนา จ.นครราชสีมา-ร.ร.ประชามงคล จ.กาญจนบุรี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ขอพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น ยืนยันรัฐบาลพร้อมสนับสนุน-ผลักดันสู่การแข่งขันระดับนานาชาติ วันนี้ (9 สิงหาคม 2565) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายโกสินทร์ สืบประสิทธิวงศ์ นายกสมาคมวงโยธวาทิตแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร นําคณะอาจารย์ ผู้ฝึกสอน และนักเรียนวงโยธวาทิตโรงเรียนบุญวัฒนา จังหวัดนครราชสีมา ทีมได้รับรางวัลชนะเลิศประเภท Indoor Marching Arts รุ่น Winds Independent Class จากการแข่งขันประกวดวงโยธวาทิตโลก ชิงถ้วยพระราชทานฯ แห่งประเทศไทย ประจําปี 2564 (Thailand World Music Championships 2021) (TWMC) ซึ่งจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปร่วมแสดงในงานวงโยธวาทิตระดับนานาชาติ 2022 ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ตามคําเชิญของรัฐบาลรัสเซีย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศต่าง ๆ และสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศรัสเซีย และวงโยธวาทิตโรงเรียนประชามงคล จังหวัดกาญจนบุรี ทีมได้รับรางวัลชนะเลิศประเภท Marching Field Show – Open Class ซึ่งจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแสดงในงานวงโยธวาทิตระดับนานาชาติ ณ เมืองแทกู ประเทศเกาหลีใต้ เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมรายงานผลการประกวดฯ และรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย นายกรัฐมนตรีได้ติดป้ายจารึกลงบนแท่นจารึกวงโยธวาทิตที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดฯ จากนั้น ชมการแสดงชุด Kanjanaburi civilization บรรยายความงดงามเมืองกาญจนบุรี ในทํานองเพลงเขมรไทรโยค จากวงโยธวาทิตโรงเรียนประชามงคล จังหวัดกาญจนบุรี และการแสดงดนตรีบรรเลงจากวงโยธวาทิตโรงเรียนบุญวัฒนา จังหวัดนครราชสีมา ในบทเพลงรักกันไว้เถิด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมความสามารถของเยาวชนไทย ซึ่งเป็นผลจากความขยัน ความมุ่งมั่น ตั้งใจและเพียรพยายามฝึกซ้อม รวมทั้งความร่วมมือร่วมใจและความสามัคคีในหมู่คณะ นับเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนไทย สามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ขอให้ตั้งใจฝึกฝนและพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นและขอให้ตั้งใจเรียนซึ่งเป็นหน้าที่หลักของทุกคน โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนผลักดันและส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ สู่การแข่งขันในระดับนานาชาติต่อไป พร้อมกล่าวขอบคุณคณะผู้ฝึกสอน ทีมงาน เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังทุกคนที่ให้การสนับสนุนและร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยจนประสบความสําเร็จอย่างน่าชื่นชม และในนามคนไทยทั้งประเทศขอเป็นกําลังใจให้ตัวแทนเยาวชนไทยทุกคนสร้างชื่อเสียงและนําความภาคภูมิใจมาสู่ตนเอง ครอบครัว สถานศึกษา ตลอดจนคนไทยทั้งประเทศ และประสบความสําเร็จดังความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่ปรารถนาไว้ สําหรับการประกวดวงโยธวาทิตโลกชิงถ้วยพระราชทานฯ แห่งประเทศไทย ประจําปี 2564 (Thailand World Music Championships 2021) (TWMC) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2565 ในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Competition) เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพทางด้านโยธวาทิต มีเวทีการประกวดที่มีมาตรฐานระดับโลกจากองค์การวงโยธวาทิตโลก และได้รับการรับรองมาตรฐานจากสมาพันธ์วงโยธวาทิตแห่งเอเชีย ซึ่งมีการประกวดทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภท Marching Field Show 2) ประเภท Modern Concert Band 3) ประเภท Marching Music Battle 4) ประเภท Marching Street Parade 5) ประเภท Indoor Marching Arts และ 6) ประเภท Virtual Band Competition และมีทีมสมัครเข้าร่วมจํานวน 53 ทีม เป็นทีมจากประเทศไทย 45 ทีม อินโดนีเซีย 7 ทีม และศรีลังกา 1 ทีม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมวงโยธวาทิต ร.ร.บุญวัฒนา จ.นครราชสีมา-ร.ร.ประชามงคล จ.กาญจนบุรี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ขอพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น ยืนยันรัฐบาลพร้อมสนับสนุน-ผลักดันสู่การแข่งขันระดับ วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมวงโยธวาทิต ร.ร.บุญวัฒนา จ.นครราชสีมา-ร.ร.ประชามงคล จ.กาญจนบุรี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ขอพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น ยืนยันรัฐบาลพร้อมสนับสนุน-ผลักดันสู่การแข่งขันระดับ นายกฯ ชื่นชมวงโยธวาทิต ร.ร.บุญวัฒนา จ.นครราชสีมา-ร.ร.ประชามงคล จ.กาญจนบุรี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ขอพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น ยืนยันรัฐบาลพร้อมสนับสนุน-ผลักดันสู่การแข่งขันระดับนานาชาติ วันนี้ (9 สิงหาคม 2565) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายโกสินทร์ สืบประสิทธิวงศ์ นายกสมาคมวงโยธวาทิตแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร นําคณะอาจารย์ ผู้ฝึกสอน และนักเรียนวงโยธวาทิตโรงเรียนบุญวัฒนา จังหวัดนครราชสีมา ทีมได้รับรางวัลชนะเลิศประเภท Indoor Marching Arts รุ่น Winds Independent Class จากการแข่งขันประกวดวงโยธวาทิตโลก ชิงถ้วยพระราชทานฯ แห่งประเทศไทย ประจําปี 2564 (Thailand World Music Championships 2021) (TWMC) ซึ่งจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปร่วมแสดงในงานวงโยธวาทิตระดับนานาชาติ 2022 ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ตามคําเชิญของรัฐบาลรัสเซีย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศต่าง ๆ และสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศรัสเซีย และวงโยธวาทิตโรงเรียนประชามงคล จังหวัดกาญจนบุรี ทีมได้รับรางวัลชนะเลิศประเภท Marching Field Show – Open Class ซึ่งจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแสดงในงานวงโยธวาทิตระดับนานาชาติ ณ เมืองแทกู ประเทศเกาหลีใต้ เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมรายงานผลการประกวดฯ และรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย นายกรัฐมนตรีได้ติดป้ายจารึกลงบนแท่นจารึกวงโยธวาทิตที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดฯ จากนั้น ชมการแสดงชุด Kanjanaburi civilization บรรยายความงดงามเมืองกาญจนบุรี ในทํานองเพลงเขมรไทรโยค จากวงโยธวาทิตโรงเรียนประชามงคล จังหวัดกาญจนบุรี และการแสดงดนตรีบรรเลงจากวงโยธวาทิตโรงเรียนบุญวัฒนา จังหวัดนครราชสีมา ในบทเพลงรักกันไว้เถิด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมความสามารถของเยาวชนไทย ซึ่งเป็นผลจากความขยัน ความมุ่งมั่น ตั้งใจและเพียรพยายามฝึกซ้อม รวมทั้งความร่วมมือร่วมใจและความสามัคคีในหมู่คณะ นับเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนไทย สามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ขอให้ตั้งใจฝึกฝนและพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นและขอให้ตั้งใจเรียนซึ่งเป็นหน้าที่หลักของทุกคน โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนผลักดันและส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ สู่การแข่งขันในระดับนานาชาติต่อไป พร้อมกล่าวขอบคุณคณะผู้ฝึกสอน ทีมงาน เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังทุกคนที่ให้การสนับสนุนและร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยจนประสบความสําเร็จอย่างน่าชื่นชม และในนามคนไทยทั้งประเทศขอเป็นกําลังใจให้ตัวแทนเยาวชนไทยทุกคนสร้างชื่อเสียงและนําความภาคภูมิใจมาสู่ตนเอง ครอบครัว สถานศึกษา ตลอดจนคนไทยทั้งประเทศ และประสบความสําเร็จดังความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่ปรารถนาไว้ สําหรับการประกวดวงโยธวาทิตโลกชิงถ้วยพระราชทานฯ แห่งประเทศไทย ประจําปี 2564 (Thailand World Music Championships 2021) (TWMC) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2565 ในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Competition) เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพทางด้านโยธวาทิต มีเวทีการประกวดที่มีมาตรฐานระดับโลกจากองค์การวงโยธวาทิตโลก และได้รับการรับรองมาตรฐานจากสมาพันธ์วงโยธวาทิตแห่งเอเชีย ซึ่งมีการประกวดทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภท Marching Field Show 2) ประเภท Modern Concert Band 3) ประเภท Marching Music Battle 4) ประเภท Marching Street Parade 5) ประเภท Indoor Marching Arts และ 6) ประเภท Virtual Band Competition และมีทีมสมัครเข้าร่วมจํานวน 53 ทีม เป็นทีมจากประเทศไทย 45 ทีม อินโดนีเซีย 7 ทีม และศรีลังกา 1 ทีม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57804
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สังกัดกระทรวงคมนาคม จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ครั้งที่ 2
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สังกัดกระทรวงคมนาคม จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ครั้งที่ 2 โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือระนองและโครงการท่าเทียบเรือแห่งที่ 3 ท่าเรือระนอง (ทรน.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สังกัดกระทรวงคมนาคม จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ครั้งที่ 2 ต่อการจัดทําร่างรายงานและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือระนองและโครงการท่าเทียบเรือแห่งที่ 3 ท่าเรือระนอง (ทรน.) ระหว่างวันที่ 27-28 ธันวาคม 2564 โดยมีนายสมชาย เหมทอง ผู้ช่วยผู้อํานวยการ กทท. สายบริหารสินทรัพย์และพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วย เรือโท กิตติคุณ จารุวัฒนายนต์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ กทท. สายวิศวกรรม นายศุภฤกษ์ ปิณฑะดิษ ผู้จัดการท่าเรือระนอง และพนักงาน กทท. เข้าร่วมการประชุมฯ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในรายงานรายละเอียดโครงการในรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ได้แก่ การจัดการของเสีย การตรวจวัดคุณภาพน้ํา อากาศ เสียง ความสั่นสะเทือน ปริมาณการจราจร เป็นต้น โดยมีนายบุญชัย สมใจ ปลัดจังหวัดระนอง หน่วยงานราชการ เอกชน ประชาชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จํานวน 130 คน เข้าร่วมประชุม ณ เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อ. เมือง จ.ระนอง ทั้งนี้ ข้อคิดเห็นที่ได้จากการรับฟังในครั้งนี้จะนํามาปรับและเพิ่มเติมข้อมูลในรายงานฯ เพื่อให้สอดคล้องและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ​ โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือระนองและโครงการท่าเทียบเรือแห่งที่ 3 ของ ทรน. เป็นการพัฒนาศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการขยายการให้บริการของ ทรน. ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาสํารวจออกแบบ (Detail Design) รวมทั้งการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA และ IEE) และการจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ​ 1. การก่อสร้างพื้นที่หลังท่าส่วนขยาย (ลานวางตู้ 1 และ 2) พื้นที่ใช้งานรวม 46,200 ตารางเมตร สามารถรองรับตู้สินค้า 320,258 ที.อี.ยู. ​ 2. การก่อสร้างท่าเทียบเรือ 3 (เชื่อมกับท่าเทียบเรือ 2) และลานวางตู้สินค้า 3 รองรับเรือขนาด 12,000 เดทเวทตัน จํานวน 2 ลํา พื้นที่ใช้งานรวม 72,600 ตารางเมตร สามารถรองรับตู้สินค้าได้ 499,266 ที.อี.ยู. คาดว่าการพัฒนาระยะที่ 1 และ 2 จะแล้วเสร็จ ในปี 2569 และ ปี 2583 ตามลําดับ ​ ทั้งนี้ เพื่อผลักดัน ทรน. ให้เป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตก (Western Gateway) รองรับการขนส่งสินค้าทางทะเลเชื่อมโยงกับกลุ่ม BIMSTEC ภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่ SEC ของรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สังกัดกระทรวงคมนาคม จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ครั้งที่ 2 วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สังกัดกระทรวงคมนาคม จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ครั้งที่ 2 โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือระนองและโครงการท่าเทียบเรือแห่งที่ 3 ท่าเรือระนอง (ทรน.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สังกัดกระทรวงคมนาคม จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ครั้งที่ 2 ต่อการจัดทําร่างรายงานและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือระนองและโครงการท่าเทียบเรือแห่งที่ 3 ท่าเรือระนอง (ทรน.) ระหว่างวันที่ 27-28 ธันวาคม 2564 โดยมีนายสมชาย เหมทอง ผู้ช่วยผู้อํานวยการ กทท. สายบริหารสินทรัพย์และพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วย เรือโท กิตติคุณ จารุวัฒนายนต์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ กทท. สายวิศวกรรม นายศุภฤกษ์ ปิณฑะดิษ ผู้จัดการท่าเรือระนอง และพนักงาน กทท. เข้าร่วมการประชุมฯ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในรายงานรายละเอียดโครงการในรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ได้แก่ การจัดการของเสีย การตรวจวัดคุณภาพน้ํา อากาศ เสียง ความสั่นสะเทือน ปริมาณการจราจร เป็นต้น โดยมีนายบุญชัย สมใจ ปลัดจังหวัดระนอง หน่วยงานราชการ เอกชน ประชาชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จํานวน 130 คน เข้าร่วมประชุม ณ เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อ. เมือง จ.ระนอง ทั้งนี้ ข้อคิดเห็นที่ได้จากการรับฟังในครั้งนี้จะนํามาปรับและเพิ่มเติมข้อมูลในรายงานฯ เพื่อให้สอดคล้องและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ​ โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือระนองและโครงการท่าเทียบเรือแห่งที่ 3 ของ ทรน. เป็นการพัฒนาศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการขยายการให้บริการของ ทรน. ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาสํารวจออกแบบ (Detail Design) รวมทั้งการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA และ IEE) และการจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ​ 1. การก่อสร้างพื้นที่หลังท่าส่วนขยาย (ลานวางตู้ 1 และ 2) พื้นที่ใช้งานรวม 46,200 ตารางเมตร สามารถรองรับตู้สินค้า 320,258 ที.อี.ยู. ​ 2. การก่อสร้างท่าเทียบเรือ 3 (เชื่อมกับท่าเทียบเรือ 2) และลานวางตู้สินค้า 3 รองรับเรือขนาด 12,000 เดทเวทตัน จํานวน 2 ลํา พื้นที่ใช้งานรวม 72,600 ตารางเมตร สามารถรองรับตู้สินค้าได้ 499,266 ที.อี.ยู. คาดว่าการพัฒนาระยะที่ 1 และ 2 จะแล้วเสร็จ ในปี 2569 และ ปี 2583 ตามลําดับ ​ ทั้งนี้ เพื่อผลักดัน ทรน. ให้เป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตก (Western Gateway) รองรับการขนส่งสินค้าทางทะเลเชื่อมโยงกับกลุ่ม BIMSTEC ภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่ SEC ของรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49987
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอผนึกพันธมิตรจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day
วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 บีโอไอผนึกพันธมิตรจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day บีโอไอผนึกพันธมิตรจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day บีโอไอผนึกพันธมิตรจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)(ที่ 6 จากซ้าย) ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA)(ที่ 7 จากซ้าย) และนายศรัณย์ สุตันติวรคุณ นายกสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA)(ที่ 5 จากซ้าย) แถลงข่าวงานมหกรรม BCG Startup Investment Day โดยมีหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมงาน ได้แก่ DEPA, NXPO, NSTDA, CUE, RUN, SET และ Innospace ซึ่งงานจะจัดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2565ในรูปแบบ Hybrid Event ทั้งออนไลน์และออนกราวด์ ณ ศูนย์ประชุมซีอาเซียน ชั้น 10 อาคารซีดับเบิ้ลยูทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอผนึกพันธมิตรจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 บีโอไอผนึกพันธมิตรจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day บีโอไอผนึกพันธมิตรจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day บีโอไอผนึกพันธมิตรจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)(ที่ 6 จากซ้าย) ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA)(ที่ 7 จากซ้าย) และนายศรัณย์ สุตันติวรคุณ นายกสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA)(ที่ 5 จากซ้าย) แถลงข่าวงานมหกรรม BCG Startup Investment Day โดยมีหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมงาน ได้แก่ DEPA, NXPO, NSTDA, CUE, RUN, SET และ Innospace ซึ่งงานจะจัดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2565ในรูปแบบ Hybrid Event ทั้งออนไลน์และออนกราวด์ ณ ศูนย์ประชุมซีอาเซียน ชั้น 10 อาคารซีดับเบิ้ลยูทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52447
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดยอด! GainingEdge จัดอันดับกรุงเทพฯ เต็ง 1 “ธุรกิจ MICE” ในเอเชียแปซิฟิก และอันดับ 6 ของโลก
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 สุดยอด! GainingEdge จัดอันดับกรุงเทพฯ เต็ง 1 “ธุรกิจ MICE” ในเอเชียแปซิฟิก และอันดับ 6 ของโลก ..... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยินดีที่กรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิกที่สามารถดึงงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศได้สูงสุด จากผลรายงานวิจัยประจําปี “Leveraging Intellectual Capital” ซึ่งเป็นการวัดอันดับการใช้ประโยชน์จากทุนทางปัญญาของแต่ละประเทศ จัดทําโดยบริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศด้านการจัดประชุม GainingEdge เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา . โดยกรุงเทพฯ สามารถดึงงานประชุมมาจัดในประเทศได้มากถึง 123 งาน ทั้งที่มีบุคลากรเข้าเป็นกรรมการบริหารสมาคมระหว่างประเทศ 194 สมาคม คิดเป็นอัตราการใช้ประโยชน์ (Harnessing Ratio) ถึง 63.4 % ทําให้กรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 ของเอเชียแปซิฟิกและเป็นอันดับ 6 ของโลก . ทั้งนี้ จากการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิก (APEC) ระดับผู้นํา รวมถึงการประชุมที่เกี่ยวข้องในเดือน พ.ย. 65 จะเป็นโอกาสสําคัญที่จะช่วยดึงการจัดงานต่าง ๆ เข้ามาในประเทศได้เพิ่มขึ้น . สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน. หรือ TCEB) คาดการณ์ว่าหากผลักดันการจัดประชุมให้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ในปี 65 จะมีจํานวนนักเดินทาง MICE มากกว่า 6 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้รวมกว่า 28,400 ล้านบาท และยังต่อเนื่องไปถึงปีหน้า . นายกฯ พร้อมสนับสนุนภาคบริการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม MICE ของไทยในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดยอด! GainingEdge จัดอันดับกรุงเทพฯ เต็ง 1 “ธุรกิจ MICE” ในเอเชียแปซิฟิก และอันดับ 6 ของโลก วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 สุดยอด! GainingEdge จัดอันดับกรุงเทพฯ เต็ง 1 “ธุรกิจ MICE” ในเอเชียแปซิฟิก และอันดับ 6 ของโลก ..... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยินดีที่กรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิกที่สามารถดึงงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศได้สูงสุด จากผลรายงานวิจัยประจําปี “Leveraging Intellectual Capital” ซึ่งเป็นการวัดอันดับการใช้ประโยชน์จากทุนทางปัญญาของแต่ละประเทศ จัดทําโดยบริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศด้านการจัดประชุม GainingEdge เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา . โดยกรุงเทพฯ สามารถดึงงานประชุมมาจัดในประเทศได้มากถึง 123 งาน ทั้งที่มีบุคลากรเข้าเป็นกรรมการบริหารสมาคมระหว่างประเทศ 194 สมาคม คิดเป็นอัตราการใช้ประโยชน์ (Harnessing Ratio) ถึง 63.4 % ทําให้กรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 ของเอเชียแปซิฟิกและเป็นอันดับ 6 ของโลก . ทั้งนี้ จากการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิก (APEC) ระดับผู้นํา รวมถึงการประชุมที่เกี่ยวข้องในเดือน พ.ย. 65 จะเป็นโอกาสสําคัญที่จะช่วยดึงการจัดงานต่าง ๆ เข้ามาในประเทศได้เพิ่มขึ้น . สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน. หรือ TCEB) คาดการณ์ว่าหากผลักดันการจัดประชุมให้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ในปี 65 จะมีจํานวนนักเดินทาง MICE มากกว่า 6 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้รวมกว่า 28,400 ล้านบาท และยังต่อเนื่องไปถึงปีหน้า . นายกฯ พร้อมสนับสนุนภาคบริการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม MICE ของไทยในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57918
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เปลี่ยนโฉมกรุงเทพมหานคร "Amazing Natural Park" เพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ (9 พ.ย. 64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรีฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานจากกระทรวงการคลังถึงความคืบหน้าโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อพ.ศ. 2534 ในการพัฒนาพื้นที่โรงงานยาสูบเดิม ในเนื้อที่ประมาณ 450 ไร่ ให้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ สวนน้ํา เนื้อที่ 130 ไร่ และ สวนป่า เนื้อที่ 320 ไร่ โดนพื้นที่ส่วนน้ําได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในการนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสด็จร่วมพิธีเปิด เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2557 สําหรับพื้นที่สวนป่า ได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 พื้นที่ 61 ไร่ ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 12 สิงหาคม 2559 พร้อมมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ สวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 อยู่ระหว่างการดําเนินการก่อสร้าง ในพื้นที่ 259 ไร่ โดยมีการลงนาม MOU ระหว่างกรมธนารักษ์ และกองทัพบก เพื่อเริ่มดําเนินการจัดสร้างโครงการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 ซึ่งได้แบ่งพื้นที่ก่อสร้างออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนมี่ 1 มีพื้นที่ 160 ไร่ และส่วนมี 2 มีพื้นที่ 103 ไร่ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมให้บริการในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทั้งนี้ การออกแบบสวนป่าเบญจกิติระยะที่ 2 และระยะที่ 3 พื้นที่ 259 ไร่ อยู่ภายใต้แนวคิดเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการปลูกป่าในใจคน ด้วยการส่งเสริมสวนป่าเบญจกิติให้เป็นสวนป่าสําหรับคนเมือง ด้วยพื้นที่สวนสาธารณะที่มีความหลากหลาย ตอบสนองการใช้งานหลายรูปแบบ อาทิ อัฒจันทร์กลางแจ้งขนาดใหญ่ อัฒจันทร์ อาคารพิพิธภัณฑ์ ลานกิจกรรมแปลงนาสาธิต พื้นที่ออกกําลังกาย ทั้งอาคารกีฬาในร่ม เส้นทางปั่นจักรยาน และเส้นทางวิ่ง เป็นต้น สวนป่าเบญจกิติยังมีการใช้พืชพันธุ์ที่หลากหลาย โดยมีพันธุ์ไม้หายากกว่า 350 ชนิด และมีไม้ดอกสวยงาม ที่ออกดอกตามฤดูกาล ทําให้เป็นสวนป่าที่มีสีสันและมีชีวิตชีวาตลอดทั้งปี ทั้งนี้ โครงการสวนป่าเบญจกิติระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ยังได้มีโครงการเชื่อมต่อสวนสาธารณะบริเวณใกล้เคียงกันในใจกลางเมือง กทม. บริเวนณย่านสุขุมวิท อาทิ สวนลุมพินี เพื่อเป็นการเชื่อมโยงชุมชนเมือง ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของคนในชุมชนอีกด้วย เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงนิเวศในเมืองที่จะส่งผลต่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียวอื่น ๆ ใน กทม. ต่อไป ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวน คณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมและตรวจความพร้อมก่อนเปิดสวนเบญจกิติอย่างเป็นทางการพร้อมเสนอแนวทางการปลูกพันธุ์ไม้ที่หลากหลาย เพื่อสร้างสีสันให้เมือง การจัดให้มีพี้นที่สําหรับสัตว์เลี้ยง ที่จอดรถ การเชื่องโยงการกับการเดินทางสาธารณะ รวมทั้งติดตั้งสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับผู้พิการ รวมทั้งกล้องวงจรปิด เพื่อดูแลความปลอดภัย ซึ่งในอนาคต จะมีการเชื่อมโยงกับสวนลุมพินี และสวนสาธารณะอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันด้วย ซึ่งจะเป็นการปรับโฉมกรุงเทพมหานคร ให้เป็นเมือง Amazing Natural Park ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ปลื้มโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” คืบหน้าคาดเปิดใช้ 12 ส.ค.65 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เปลี่ยนโฉมกรุงเทพมหานคร "Amazing Natural Park" เพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ (9 พ.ย. 64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรีฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานจากกระทรวงการคลังถึงความคืบหน้าโครงการ “สวนป่าเบญจกิติ” ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อพ.ศ. 2534 ในการพัฒนาพื้นที่โรงงานยาสูบเดิม ในเนื้อที่ประมาณ 450 ไร่ ให้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ สวนน้ํา เนื้อที่ 130 ไร่ และ สวนป่า เนื้อที่ 320 ไร่ โดนพื้นที่ส่วนน้ําได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในการนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสด็จร่วมพิธีเปิด เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2557 สําหรับพื้นที่สวนป่า ได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 พื้นที่ 61 ไร่ ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 12 สิงหาคม 2559 พร้อมมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ สวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 อยู่ระหว่างการดําเนินการก่อสร้าง ในพื้นที่ 259 ไร่ โดยมีการลงนาม MOU ระหว่างกรมธนารักษ์ และกองทัพบก เพื่อเริ่มดําเนินการจัดสร้างโครงการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 ซึ่งได้แบ่งพื้นที่ก่อสร้างออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนมี่ 1 มีพื้นที่ 160 ไร่ และส่วนมี 2 มีพื้นที่ 103 ไร่ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมให้บริการในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทั้งนี้ การออกแบบสวนป่าเบญจกิติระยะที่ 2 และระยะที่ 3 พื้นที่ 259 ไร่ อยู่ภายใต้แนวคิดเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการปลูกป่าในใจคน ด้วยการส่งเสริมสวนป่าเบญจกิติให้เป็นสวนป่าสําหรับคนเมือง ด้วยพื้นที่สวนสาธารณะที่มีความหลากหลาย ตอบสนองการใช้งานหลายรูปแบบ อาทิ อัฒจันทร์กลางแจ้งขนาดใหญ่ อัฒจันทร์ อาคารพิพิธภัณฑ์ ลานกิจกรรมแปลงนาสาธิต พื้นที่ออกกําลังกาย ทั้งอาคารกีฬาในร่ม เส้นทางปั่นจักรยาน และเส้นทางวิ่ง เป็นต้น สวนป่าเบญจกิติยังมีการใช้พืชพันธุ์ที่หลากหลาย โดยมีพันธุ์ไม้หายากกว่า 350 ชนิด และมีไม้ดอกสวยงาม ที่ออกดอกตามฤดูกาล ทําให้เป็นสวนป่าที่มีสีสันและมีชีวิตชีวาตลอดทั้งปี ทั้งนี้ โครงการสวนป่าเบญจกิติระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ยังได้มีโครงการเชื่อมต่อสวนสาธารณะบริเวณใกล้เคียงกันในใจกลางเมือง กทม. บริเวนณย่านสุขุมวิท อาทิ สวนลุมพินี เพื่อเป็นการเชื่อมโยงชุมชนเมือง ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของคนในชุมชนอีกด้วย เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงนิเวศในเมืองที่จะส่งผลต่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียวอื่น ๆ ใน กทม. ต่อไป ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวน คณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมและตรวจความพร้อมก่อนเปิดสวนเบญจกิติอย่างเป็นทางการพร้อมเสนอแนวทางการปลูกพันธุ์ไม้ที่หลากหลาย เพื่อสร้างสีสันให้เมือง การจัดให้มีพี้นที่สําหรับสัตว์เลี้ยง ที่จอดรถ การเชื่องโยงการกับการเดินทางสาธารณะ รวมทั้งติดตั้งสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับผู้พิการ รวมทั้งกล้องวงจรปิด เพื่อดูแลความปลอดภัย ซึ่งในอนาคต จะมีการเชื่อมโยงกับสวนลุมพินี และสวนสาธารณะอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันด้วย ซึ่งจะเป็นการปรับโฉมกรุงเทพมหานคร ให้เป็นเมือง Amazing Natural Park ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47996
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.เฮ้ง ส่งแรงงานไทยทำงานภาคเกษตรรัฐอิสราเอล ต่อเนื่องร่วม 4 พันคน
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2565 ​รมว.เฮ้ง ส่งแรงงานไทยทํางานภาคเกษตรรัฐอิสราเอล ต่อเนื่องร่วม 4 พันคน วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในปี 2565 กระทรวงแรงงานจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรรัฐอิสราเอลแล้วทั้งสิ้น 3,759 คน โดยวันนี้มีแรงงานไทย จํานวน 266 คน เดินทางไปทํางานภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย - อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers: TIC) แบ่งเป็นเพศชาย 265 คน และเพศหญิง 1 คน ด้วยเครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่ LY 084 ของสายการบินแอล อัล อิสราเอล แอร์ไลน์ จํานวน 148 คน และ เที่ยวบิน ที่ EY407 เพื่อต่อเครื่องเที่ยวบิน EY598 ของสายการบิน เอทิฮัด แอร์เวย์ จํานวน 118 คน ซึ่งแรงงานทั้งหมดได้ผ่านการอบรมคนหางานก่อนการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศและในเดือนกรกฎาคมนี้กรมการจัดหางานยังมีแผนการจัดส่งรวมตลอดเดือน ประมาณ 370 คน โดยแรงงานไทยจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกล หรือประมาณ 54,852 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 11 ก.ค. 65) ซึ่งหากทํางานจนครบสัญญาจ้างงานสูงสุด 5 ปี 3 เดือน จะมีรายได้มากกว่า 3 ล้านบาทต่อคน “ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประเทศไทยได้รับโควตาจัดส่งแรงงานฯ จํานวน 6,800 คน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ได้โควตาในการจัดส่ง 5,000 คน เนื่องจากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งแรงงานไทยยังมีทักษะและความรับผิดชอบ เป็นที่ต้องการของนายจ้างในรัฐอิสราเอลจนมีความต้องจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยนอกจากงานภาคเกษตรแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ยังมีนโยบายที่จะขยายตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรม ในรัฐอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับแรงงานไทยที่มีฝีมือ มีศักยภาพ และต้องการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางาน ในฐานะโฆษกกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน มอบหมายตนตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแรงงานไทย จํานวน 266 คน ที่เข้ารับการอบรมก่อนเดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย - อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers: TIC) ณ ห้องอบรมคนหางานก่อนเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ชั้น 11 อาคารสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 โดยโฆษกกรมการจัดหางาน ได้มอบโอวาทแก่แรงงานไทยให้มีความขยัน ความตั้งใจในการทํางาน ให้คิดเสมอว่าแม้งานจะหนักแต่เป็นการสู้เพื่อตัวเองและครอบครัวก็จะผ่านพ้นไปได้ และเมื่อเดินทางกลับมาจะมีรายได้ ความรู้และประสบการณ์เป็นทุนให้ตนเอง สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้ต่อไป สําหรับผู้สนใจไปทํางานต่างประเทศสามารถติดตามข่าวสารการประกาศรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseasและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.เฮ้ง ส่งแรงงานไทยทำงานภาคเกษตรรัฐอิสราเอล ต่อเนื่องร่วม 4 พันคน วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2565 ​รมว.เฮ้ง ส่งแรงงานไทยทํางานภาคเกษตรรัฐอิสราเอล ต่อเนื่องร่วม 4 พันคน วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในปี 2565 กระทรวงแรงงานจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรรัฐอิสราเอลแล้วทั้งสิ้น 3,759 คน โดยวันนี้มีแรงงานไทย จํานวน 266 คน เดินทางไปทํางานภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย - อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers: TIC) แบ่งเป็นเพศชาย 265 คน และเพศหญิง 1 คน ด้วยเครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่ LY 084 ของสายการบินแอล อัล อิสราเอล แอร์ไลน์ จํานวน 148 คน และ เที่ยวบิน ที่ EY407 เพื่อต่อเครื่องเที่ยวบิน EY598 ของสายการบิน เอทิฮัด แอร์เวย์ จํานวน 118 คน ซึ่งแรงงานทั้งหมดได้ผ่านการอบรมคนหางานก่อนการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศและในเดือนกรกฎาคมนี้กรมการจัดหางานยังมีแผนการจัดส่งรวมตลอดเดือน ประมาณ 370 คน โดยแรงงานไทยจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกล หรือประมาณ 54,852 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 11 ก.ค. 65) ซึ่งหากทํางานจนครบสัญญาจ้างงานสูงสุด 5 ปี 3 เดือน จะมีรายได้มากกว่า 3 ล้านบาทต่อคน “ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประเทศไทยได้รับโควตาจัดส่งแรงงานฯ จํานวน 6,800 คน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ได้โควตาในการจัดส่ง 5,000 คน เนื่องจากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งแรงงานไทยยังมีทักษะและความรับผิดชอบ เป็นที่ต้องการของนายจ้างในรัฐอิสราเอลจนมีความต้องจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยนอกจากงานภาคเกษตรแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ยังมีนโยบายที่จะขยายตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรม ในรัฐอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับแรงงานไทยที่มีฝีมือ มีศักยภาพ และต้องการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางาน ในฐานะโฆษกกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน มอบหมายตนตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแรงงานไทย จํานวน 266 คน ที่เข้ารับการอบรมก่อนเดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย - อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers: TIC) ณ ห้องอบรมคนหางานก่อนเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ชั้น 11 อาคารสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 โดยโฆษกกรมการจัดหางาน ได้มอบโอวาทแก่แรงงานไทยให้มีความขยัน ความตั้งใจในการทํางาน ให้คิดเสมอว่าแม้งานจะหนักแต่เป็นการสู้เพื่อตัวเองและครอบครัวก็จะผ่านพ้นไปได้ และเมื่อเดินทางกลับมาจะมีรายได้ ความรู้และประสบการณ์เป็นทุนให้ตนเอง สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้ต่อไป สําหรับผู้สนใจไปทํางานต่างประเทศสามารถติดตามข่าวสารการประกาศรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseasและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56791
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตฯ อิสราเอลประจำประเทศไทยเข้าพบ
วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตฯ อิสราเอลประจําประเทศไทยเข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตฯ อิสราเอลประจําประเทศไทยเข้าพบ รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตฯ อิสราเอลประจําประเทศไทยเข้าพบ วันนี้ (26 เมษายน 2565) เวลา 16.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นางออร์นา ซากิฟ (Ms.Orna Sagiv) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทยและคณะ เข้าพบเพื่อเข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับหน้าที่และร่วมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือระหว่างไทยกับอิสราเอล ด้านการแบ่งปันความรู้เทคโนโลยีขั้นสูง และความสามารถทางดิจิทัลในกระบวนการผลิต โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตฯ อิสราเอลประจำประเทศไทยเข้าพบ วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตฯ อิสราเอลประจําประเทศไทยเข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตฯ อิสราเอลประจําประเทศไทยเข้าพบ รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้เอกอัครราชทูตฯ อิสราเอลประจําประเทศไทยเข้าพบ วันนี้ (26 เมษายน 2565) เวลา 16.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นางออร์นา ซากิฟ (Ms.Orna Sagiv) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทยและคณะ เข้าพบเพื่อเข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับหน้าที่และร่วมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือระหว่างไทยกับอิสราเอล ด้านการแบ่งปันความรู้เทคโนโลยีขั้นสูง และความสามารถทางดิจิทัลในกระบวนการผลิต โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53962
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบนโนบายดีอีเอส-ปณท ใช้ดิจิทัลช่วยคนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั่วถึง-เท่าเทียม
วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 นายกฯ มอบนโนบายดีอีเอส-ปณท ใช้ดิจิทัลช่วยคนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั่วถึง-เท่าเทียม นายกฯ มอบนโนบายดีอีเอส-ปณท ใช้ดิจิทัลช่วยคนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั่วถึง-เท่าเทียม “พล.อ.ประยุทธ์”นายกรัฐมตรีนําคณะพร้อมด้วยรมว.ดีอีเอสและกจญ.ไปรษณีย์ไทยลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมจ.สิงห์บุรีมอบนโยบายนําเทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขให้มีความทันสมัย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม วันนี้(20ต.ค.64)พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรีร่วมกับนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เพื่อติดตามและตรวจเยี่ยมสถานการณ์อุทกภัยพร้อมมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัยน้ําท่วมโดยในโอกาสนี้ได้เป็นประธานเปิดโครงการ“ส่งสุขภาพดีให้คนไทย#จากใจไปรษณีย์ไทยDelivers Wellness”ณวิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรีต.บางพุทธาอ.เมืองจ.สิงห์บุรีและตรวจเยี่ยมโครงการนําร่องการใช้โดรนนําส่งยาและเวชภัณฑ์ไปยังบ้านผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่น้ําท่วมมีข้อจํากัดในการขนส่งทางภาคพื้นดิน พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและมอบหมายนโยบายให้ทุกหน่วยงานร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนสําคัญในการบูรณาการและสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขให้มีความทันสมัย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมแม้ในสถานการณ์ที่มีขีดจํากัดด้านการขนส่งอย่างเช่นกรณีภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือการแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้ความพร้อมของเครือข่ายให้บริการของไปรษณีย์ไทยที่มีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของความพร้อมด้านระบบโลจิสติกส์ของประเทศขณะที่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่รัฐบาลลงทุนไว้ให้อย่างต่อเนื่องทําให้เกิดการเชื่อมโยงโลจิสติกส์ทั้งเชิงกายภาพและดิจิทัลรองรับการเดินหน้าด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัลของประเทศไทย “เรายังมีการต่อยอดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี5Gมาผนวกเข้ากับความพร้อมของโครงข่ายโลจิสติกส์มาสนับสนุนระบบสาธารณสุขมาสู่การควบคุมแจกจ่ายยาผ่านโดรนซึ่งจากวันนี้ทางไปรษณีย์ไทยก็น่าจะขยายการจัดส่งไปยังพื้นที่อื่นๆที่มีข้อจํากัดต่อไป”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว ทั้งนี้รัฐบาลจะส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลรวมทั้ง5Gต่อไปโดยให้ภาคส่วนต่างๆบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งแผนเงินแผนงานแผนคนเพื่อนําศักยภาพของเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนการเดินหน้าประเทศไทยในด้านต่างๆตลอดจนเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาภัยธรรมชาติเพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ต่างๆให้มากที่สุด “ขอชื่นชมกระทรวงดิจิทัลฯและไปรษณีย์ไทยที่มีการลงพื้นที่จริงและทดลองนําร่องในครั้งนี้เปิดมิติใหม่ของการสื่อสารและการขนส่งของไทยให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งลดภาระลดระยะเวลาและการส่งสิ่งของมีความปลอดภัยได้เร็วขึ้นและทําให้การสื่อสารและขนส่งของประเทศก้าวหน้าเข้าสู่สังคมดิจิทัลได้อย่างยั่งยืนทั้งนี้รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเข้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลมาหลายปีต่อเนื่องซึ่งรวมถึง5Gและการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรัฐบาลยืนยันว่าจะสานต่อสิ่งเหล่านี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุดและรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในยุคโลกหลังโควิด”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่ากระทรวงฯตอบรับนโยบายโดยการใช้ศักยภาพในการขนส่งและเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกครัวเรือนในประเทศของบริษัทไปรษณีย์ไทยจํากัดในสังกัดดีอีเอสซึ่งเป็นผู้ให้ยริการโลจิสติกส์ครบวงจรและมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศโดยดําเนินการมาตั้งแต่มีสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดและปัจจุบันขยายผลมาให้บริการไปยังพื้นที่ซึ่งประสบอุทกภัยน้ําท่วม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา“โดรน”ซึ่งเป็นอุปกรณ๋เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความแม่นยําระยะไกลสนับสนุนภารกิจในการเป็นยานพาหนะจัดส่งยารวมถึงอุปกรณ์ที่จําเป็นให้ถึงบ้านผู้ป่วย ทั้งนี้สถิติการให้บริการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ทางไปรษณีย์ตั้งแต่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19ในปี63 -64มีปริมาณงานเฉลี่ย48,178ชิ้น/เดือน(ข้อมูลก.ย. 64ปริมาณรวม1,011,746ชิ้น) สําหรับการให้บริการในพื้นที่สิงห์บุรีซึ่งประสบอุทกภัยมีการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ให้แก่ผู้ป่วยรพ.อินทร์บุรีจ.สิงห์บุรีและจัดส่งน้ํายาล้างไตถึงที่อยู่ผู้ป่วยของรพ.อินทร์บุรีจ.สิงห์บุรี ดร.ดนันท์สุภัทรพันธ์กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไปรษณีย์ไทยจํากัดกล่าวว่าไปรษณีย์ไทยพร้อมดําเนินการสอดรับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงฯจากการริเริ่มเป็นผู้ขนส่งยาจากโรงพยาบาลถึงบ้านผู้ป่วยเป็นรายแรกของไทยให้บริการขนส่งไปยังโรงพยาบาลกว่า400แห่งเพื่อให้ผู้ป่วยในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ***********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ มอบนโนบายดีอีเอส-ปณท ใช้ดิจิทัลช่วยคนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั่วถึง-เท่าเทียม วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 นายกฯ มอบนโนบายดีอีเอส-ปณท ใช้ดิจิทัลช่วยคนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั่วถึง-เท่าเทียม นายกฯ มอบนโนบายดีอีเอส-ปณท ใช้ดิจิทัลช่วยคนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั่วถึง-เท่าเทียม “พล.อ.ประยุทธ์”นายกรัฐมตรีนําคณะพร้อมด้วยรมว.ดีอีเอสและกจญ.ไปรษณีย์ไทยลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมจ.สิงห์บุรีมอบนโยบายนําเทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขให้มีความทันสมัย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม วันนี้(20ต.ค.64)พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรีร่วมกับนายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เพื่อติดตามและตรวจเยี่ยมสถานการณ์อุทกภัยพร้อมมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัยน้ําท่วมโดยในโอกาสนี้ได้เป็นประธานเปิดโครงการ“ส่งสุขภาพดีให้คนไทย#จากใจไปรษณีย์ไทยDelivers Wellness”ณวิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรีต.บางพุทธาอ.เมืองจ.สิงห์บุรีและตรวจเยี่ยมโครงการนําร่องการใช้โดรนนําส่งยาและเวชภัณฑ์ไปยังบ้านผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่น้ําท่วมมีข้อจํากัดในการขนส่งทางภาคพื้นดิน พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและมอบหมายนโยบายให้ทุกหน่วยงานร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนสําคัญในการบูรณาการและสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขให้มีความทันสมัย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมแม้ในสถานการณ์ที่มีขีดจํากัดด้านการขนส่งอย่างเช่นกรณีภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือการแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้ความพร้อมของเครือข่ายให้บริการของไปรษณีย์ไทยที่มีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของความพร้อมด้านระบบโลจิสติกส์ของประเทศขณะที่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่รัฐบาลลงทุนไว้ให้อย่างต่อเนื่องทําให้เกิดการเชื่อมโยงโลจิสติกส์ทั้งเชิงกายภาพและดิจิทัลรองรับการเดินหน้าด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัลของประเทศไทย “เรายังมีการต่อยอดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี5Gมาผนวกเข้ากับความพร้อมของโครงข่ายโลจิสติกส์มาสนับสนุนระบบสาธารณสุขมาสู่การควบคุมแจกจ่ายยาผ่านโดรนซึ่งจากวันนี้ทางไปรษณีย์ไทยก็น่าจะขยายการจัดส่งไปยังพื้นที่อื่นๆที่มีข้อจํากัดต่อไป”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว ทั้งนี้รัฐบาลจะส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลรวมทั้ง5Gต่อไปโดยให้ภาคส่วนต่างๆบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งแผนเงินแผนงานแผนคนเพื่อนําศักยภาพของเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนการเดินหน้าประเทศไทยในด้านต่างๆตลอดจนเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาภัยธรรมชาติเพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ต่างๆให้มากที่สุด “ขอชื่นชมกระทรวงดิจิทัลฯและไปรษณีย์ไทยที่มีการลงพื้นที่จริงและทดลองนําร่องในครั้งนี้เปิดมิติใหม่ของการสื่อสารและการขนส่งของไทยให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งลดภาระลดระยะเวลาและการส่งสิ่งของมีความปลอดภัยได้เร็วขึ้นและทําให้การสื่อสารและขนส่งของประเทศก้าวหน้าเข้าสู่สังคมดิจิทัลได้อย่างยั่งยืนทั้งนี้รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเข้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลมาหลายปีต่อเนื่องซึ่งรวมถึง5Gและการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรัฐบาลยืนยันว่าจะสานต่อสิ่งเหล่านี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุดและรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในยุคโลกหลังโควิด”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่ากระทรวงฯตอบรับนโยบายโดยการใช้ศักยภาพในการขนส่งและเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกครัวเรือนในประเทศของบริษัทไปรษณีย์ไทยจํากัดในสังกัดดีอีเอสซึ่งเป็นผู้ให้ยริการโลจิสติกส์ครบวงจรและมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศโดยดําเนินการมาตั้งแต่มีสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดและปัจจุบันขยายผลมาให้บริการไปยังพื้นที่ซึ่งประสบอุทกภัยน้ําท่วม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา“โดรน”ซึ่งเป็นอุปกรณ๋เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความแม่นยําระยะไกลสนับสนุนภารกิจในการเป็นยานพาหนะจัดส่งยารวมถึงอุปกรณ์ที่จําเป็นให้ถึงบ้านผู้ป่วย ทั้งนี้สถิติการให้บริการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ทางไปรษณีย์ตั้งแต่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19ในปี63 -64มีปริมาณงานเฉลี่ย48,178ชิ้น/เดือน(ข้อมูลก.ย. 64ปริมาณรวม1,011,746ชิ้น) สําหรับการให้บริการในพื้นที่สิงห์บุรีซึ่งประสบอุทกภัยมีการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ให้แก่ผู้ป่วยรพ.อินทร์บุรีจ.สิงห์บุรีและจัดส่งน้ํายาล้างไตถึงที่อยู่ผู้ป่วยของรพ.อินทร์บุรีจ.สิงห์บุรี ดร.ดนันท์สุภัทรพันธ์กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไปรษณีย์ไทยจํากัดกล่าวว่าไปรษณีย์ไทยพร้อมดําเนินการสอดรับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงฯจากการริเริ่มเป็นผู้ขนส่งยาจากโรงพยาบาลถึงบ้านผู้ป่วยเป็นรายแรกของไทยให้บริการขนส่งไปยังโรงพยาบาลกว่า400แห่งเพื่อให้ผู้ป่วยในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47255
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจฝ่าโควิด-19
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 มาตรการลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจฝ่าโควิด-19 วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลออกมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 51 ล้านคน ประกอบด้วย โครงการเพิ่มกําลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยเพิ่มวงเงินใช้จ่ายจํานวน 200 บาท/คน/เดือน เป็นเวลา 6 เดือน /โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 รัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดโครงการ และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ กระตุ้นการบริโภคของผู้มีกําลังซื้อ ไปยังผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยวงเงินใช้จ่ายจะนํามาคํานวณสิทธิวงเงินคืนในรูปแบบ e-Voucher ไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ทั้งนี้คาดว่าทั้ง 4 โครงการจะเริ่มใช้จ่ายได้ในช่วงเดือน ก.ค. – ธ.ค. 64 ช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจฝ่าโควิด-19 วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 มาตรการลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจฝ่าโควิด-19 วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลออกมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 51 ล้านคน ประกอบด้วย โครงการเพิ่มกําลังซื้อแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยเพิ่มวงเงินใช้จ่ายจํานวน 200 บาท/คน/เดือน เป็นเวลา 6 เดือน /โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 รัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดโครงการ และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ กระตุ้นการบริโภคของผู้มีกําลังซื้อ ไปยังผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยวงเงินใช้จ่ายจะนํามาคํานวณสิทธิวงเงินคืนในรูปแบบ e-Voucher ไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ทั้งนี้คาดว่าทั้ง 4 โครงการจะเริ่มใช้จ่ายได้ในช่วงเดือน ก.ค. – ธ.ค. 64 ช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทำงานพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทํางานพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทํางานพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ ในวันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางอรัญญา ทองน้ําตะโก รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ โดยมีคณะผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะทํางานฯ เข้าร่วม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยที่ประชุมรับทราบผลการตรวจคัดกรองเอกสารการสมัครขอรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ในภาพรวมของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสมัครขอรับรองมาตรฐานฯ จํานวน ๖๘ หน่วยงาน ผ่านการคัดกรองเอกสารการสมัครขอรับรองมาตรฐานฯ จํานวน ๑๙ หน่วยงาน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันวางแผนเพื่อเตรียมการตรวจประเมิน (Site Visit) ของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งผ่านการคัดกรองเอกสาร จํานวน ๓ หน่วยงาน ประกอบด้วย ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม สํานักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ และสํานักงานยุติธรรมจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งกําหนดตรวจประเมินฯ ในเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ๒๕๖๕ พร้อมทั้งพิจารณาวางแผน เตรียมการพัฒนา และยกระดับหน่วยงานที่ยังไม่ผ่านการคัดกรองเอกสาร ทั้งนี้ ประธานที่ประชุมได้กล่าวว่า ท่านปลัดกระทรวงยุติธรรมรับทราบผลการคัดกรองใบสมัครขอรับมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๕ แล้ว และฝากขอบคุณในความร่วมมือร่วมใจของทุกหน่วยงาน ในโอกาสนี้ ขอแสดงความยินดีกับหน่วยงานที่ผ่านการคัดกรองใบสมัคร และสําหรับหน่วยงานที่ยังไม่ผ่านการคัดกรองฯ ขอให้นําข้อแนะนําที่ได้รับจากผู้ตรวจประเมินมาเป็นโอกาสในการปรับปรุง และพัฒนา เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการสมัครขอรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก ในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และเน้นย้ําว่า “สิ่งที่อยู่เหนือกว่ารางวัล คือ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมได้มอบบริการที่ดีอะไรให้แก่ประชาชน”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทำงานพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทํางานพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทํางานพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ ในวันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางอรัญญา ทองน้ําตะโก รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ โดยมีคณะผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะทํางานฯ เข้าร่วม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยที่ประชุมรับทราบผลการตรวจคัดกรองเอกสารการสมัครขอรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ในภาพรวมของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสมัครขอรับรองมาตรฐานฯ จํานวน ๖๘ หน่วยงาน ผ่านการคัดกรองเอกสารการสมัครขอรับรองมาตรฐานฯ จํานวน ๑๙ หน่วยงาน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันวางแผนเพื่อเตรียมการตรวจประเมิน (Site Visit) ของหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งผ่านการคัดกรองเอกสาร จํานวน ๓ หน่วยงาน ประกอบด้วย ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม สํานักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ และสํานักงานยุติธรรมจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งกําหนดตรวจประเมินฯ ในเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ๒๕๖๕ พร้อมทั้งพิจารณาวางแผน เตรียมการพัฒนา และยกระดับหน่วยงานที่ยังไม่ผ่านการคัดกรองเอกสาร ทั้งนี้ ประธานที่ประชุมได้กล่าวว่า ท่านปลัดกระทรวงยุติธรรมรับทราบผลการคัดกรองใบสมัครขอรับมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๕ แล้ว และฝากขอบคุณในความร่วมมือร่วมใจของทุกหน่วยงาน ในโอกาสนี้ ขอแสดงความยินดีกับหน่วยงานที่ผ่านการคัดกรองใบสมัคร และสําหรับหน่วยงานที่ยังไม่ผ่านการคัดกรองฯ ขอให้นําข้อแนะนําที่ได้รับจากผู้ตรวจประเมินมาเป็นโอกาสในการปรับปรุง และพัฒนา เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการสมัครขอรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก ในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และเน้นย้ําว่า “สิ่งที่อยู่เหนือกว่ารางวัล คือ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมได้มอบบริการที่ดีอะไรให้แก่ประชาชน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.วัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทยของเมืองลับแล
วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564 ปลัดวธ.วัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทยของเมืองลับแล ปลัดวธ.วัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทยของเมืองลับแล วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทยของเมืองลับแล การสาธิตและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชุมชน ร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT ของดีเมืองลับแลและเข้าชมถ้ําลับแล โดยมีนายสหวิช อภิชัยวิศรุตกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ นายเจษฎา ศรุติสุด นายกเทศมนตรีตําบลศรีพนมมาศ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ วัฒนธรรมจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่และชาวชุมชนคุณธรรมฯเมืองลับแลเข้าร่วม ณ ประตูเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยได้รับเกียรติจากนางทัศนีย์ ผลชานิโก รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ร่วมในการลงพื้นที่ เพื่อสนับสนุน การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างการรับรู้อย่างทั่วถึง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.วัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทยของเมืองลับแล วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564 ปลัดวธ.วัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทยของเมืองลับแล ปลัดวธ.วัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทยของเมืองลับแล วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล สุดยอดชุมชนต้นแบบ "เที่ยวชุมชน ยลวิถี" ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงแบบผ้าไทยของเมืองลับแล การสาธิตและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชุมชน ร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT ของดีเมืองลับแลและเข้าชมถ้ําลับแล โดยมีนายสหวิช อภิชัยวิศรุตกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ นายเจษฎา ศรุติสุด นายกเทศมนตรีตําบลศรีพนมมาศ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ วัฒนธรรมจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่และชาวชุมชนคุณธรรมฯเมืองลับแลเข้าร่วม ณ ประตูเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยได้รับเกียรติจากนางทัศนีย์ ผลชานิโก รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ร่วมในการลงพื้นที่ เพื่อสนับสนุน การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างการรับรู้อย่างทั่วถึง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47477
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเสนอ 3 แนวทางสร้างอาเซียนเข้มแข็ง
วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564 นายกรัฐมนตรีเสนอ 3 แนวทางสร้างอาเซียนเข้มแข็ง วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 39 เสนอ 3 แนวทางสําคัญต่อที่ประชุม ได้แก่ เพิ่มพูนความสัมพันธ์กับภาคีภายนอกให้มากยิ่งขึ้น โดยรักษาความเป็นเอกภาพเพื่อขยายโอกาสและสร้างพลังในการผลักดันวาระที่เป็นประโยชน์ต่ออาเซียน ร่วมกันส่งเสียงที่ชัดเจนและสอดคล้องกัน เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกต่าง ๆ ที่อาเซียนมีบทบาทนํา โดยใช้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก เป็นเครื่องมือสนับสนุนให้มหาอํานาจมีปฏิสัมพันธ์กับภูมิภาคอาเซียนอย่างสร้างสรรค์ และอาเซียนควรร่วมเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถแสวงหาจุดร่วมในเรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาคได้ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเสนอ 3 แนวทางสร้างอาเซียนเข้มแข็ง วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564 นายกรัฐมนตรีเสนอ 3 แนวทางสร้างอาเซียนเข้มแข็ง วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 39 เสนอ 3 แนวทางสําคัญต่อที่ประชุม ได้แก่ เพิ่มพูนความสัมพันธ์กับภาคีภายนอกให้มากยิ่งขึ้น โดยรักษาความเป็นเอกภาพเพื่อขยายโอกาสและสร้างพลังในการผลักดันวาระที่เป็นประโยชน์ต่ออาเซียน ร่วมกันส่งเสียงที่ชัดเจนและสอดคล้องกัน เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกต่าง ๆ ที่อาเซียนมีบทบาทนํา โดยใช้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก เป็นเครื่องมือสนับสนุนให้มหาอํานาจมีปฏิสัมพันธ์กับภูมิภาคอาเซียนอย่างสร้างสรรค์ และอาเซียนควรร่วมเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถแสวงหาจุดร่วมในเรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาคได้ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47460
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ประชุม ทีม One Home จ.พิษณุโลก เร่งแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564 รมว.พม. ประชุม ทีม One Home จ.พิษณุโลก เร่งแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ รมว.พม. ประชุม ทีม One Home จ.พิษณุโลก เร่งแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 64นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยภายหลังการประชุมการติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานการขับเคลื่อนตามภารกิจกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ของจังหวัดพิษณุโลก ครั้งที่ 2/2564 ร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก และหัวหน้าหน่วยงาน ทีม One Home พม. จังหวัดพิษณุโลก ว่า ที่ประชุมมีการรายงานเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ตามแผนการพัฒนาระบบรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งคาดว่าจะทําให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแนวเขตที่ดินการรถไฟจังหวัดพิษณุโลกทั้งสองฝั่งของทางรถไฟรวม 11 สถานี ได้รับผลกระทบ จํานวน 11 ชุมชน รวม 1,907 หลังคาเรือน ซึ่งขณะนี้ กระทรวง พม. โดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ได้ดําเนินกระบวนการสํารวจพบผู้เดือดร้อน จํานวน 261 หลังคาเรือน และใช้กระบวนการขับเคลื่อนแบบมีส่วนร่วมกับผู้เดือดร้อน เพื่อแก้ไขปัญาหาที่อยู่อาศัยดังกล่าว ทั้งนี้ มีการเตรียมแผนรองรับไว้ช่วยเหลือแล้ว โดยใช้รูปแบบของโครงการบ้านมั่นคงของ พอช. และโครงการบ้านเคหะสุขประชาของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ซึ่งแบ่งออกเป็น 1) ทําสัญญาเช่าบนที่ดินเดิมกับการรถไฟฯ ระยะยาว 30 ปี และ 2) ย้ายไปยังที่ดินใหม่ ไม่ไกลจากที่ดินเดิมภายในระยะทาง 5 กิโลเมตร ทั้งนี้ ได้กําชับให้ พอช. เร่งสํารวจผู้เดือดร้อนเพิ่มเติม ทําความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการและผลกระทบที่เกิดขึ้น และหาแนวทางข้อเสนอการปรับปรุงที่อยู่อาศัยร่วมกับชุมชน นายจุติกล่าวต่อไปว่า เรื่องการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างมีประสิทธิภาพ จะใช้ข้อมูลจากสมุดพกครอบครัวที่มีข้อมูลในมิติต่างๆ ของกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง แม่เลี้ยงเดี่ยว และคนด้อยโอกาส ทําให้ทราบปัญหาและความต้องการ เพื่อให้ความช่วยเหลือต่างๆ อย่างเร่งด่วน โดยคาดว่าจะสามารถเก็บข้อมูลทั้งจังหวัดพิษณุโลกภายในเดือนพฤศจิกายน 2564 สําหรับกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยวจะให้การส่งเสริมอาชีพทักษะพิเศษที่หุ่นยนต์ทําไม่ได้ อาทิ Hair Specialist ที่เป็นมากกว่าช่างทําผม แต่มีความสามารถทําผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมจากพืชสมุนไพรเพื่อมูลค่าเพิ่ม โดยจะส่งเสริมให้กลุ่มเปราะบางในนิคมสร้างตนเองปลูกพืชสมุนไพรเป็นวัตถุดิบ จากนั้น จะส่งให้ พอช. นําไปทําเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงาม แล้วจะส่งขายไปยังตลาดของ กคช. ที่มีผู้อยู่อาศัยจํานวนหลายแสนครอบครัวในโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ จะสนับสนุนอาชีพ เชฟ (Chef) ทําอาหาร โดยจะเปิดสอนหลักสูตร Master Chef จํานวน 2 รุ่น ภายในปี 2564 และอีก 5 รุ่น ในปี 2565 รวมทั้งเปิดสอนหลักสูตรบาร์เทนดี้ นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องการช่วยเหลือเด็ก โดยเฉพาะเด็กชาติพันธุ์จะสนับสนุนให้มีโอกาสได้เข้าเรียนในกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายพัฒนาให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักการเกษตรสมัยใหม่ และช่างสมัยใหม่ สําหรับเด็กออทิสติก จะให้ อปท. ทุกแห่ง ลงพื้นที่สํารวจข้อมูลครอบครัวเด็กออทิสติก เพื่อทําแผนที่ทางสังคมสําหรับให้ความช่วยเหลือต่างๆ ต่อไป อีกทั้งสํารวจจํานวนครูที่มีความพร้อม เป็นครูจิตวิทยาที่สามารถดูแลเด็กออทิสติกได้ ในโรงเรียนร่วมทั้ง 461 แห่ง นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้ทุกตําบลมีห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ โดยดึงสภาเด็กและเยาวชนเข้ามาช่วยด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ประชุม ทีม One Home จ.พิษณุโลก เร่งแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564 รมว.พม. ประชุม ทีม One Home จ.พิษณุโลก เร่งแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ รมว.พม. ประชุม ทีม One Home จ.พิษณุโลก เร่งแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 64นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยภายหลังการประชุมการติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานการขับเคลื่อนตามภารกิจกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ของจังหวัดพิษณุโลก ครั้งที่ 2/2564 ร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก และหัวหน้าหน่วยงาน ทีม One Home พม. จังหวัดพิษณุโลก ว่า ที่ประชุมมีการรายงานเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ตามแผนการพัฒนาระบบรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งคาดว่าจะทําให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแนวเขตที่ดินการรถไฟจังหวัดพิษณุโลกทั้งสองฝั่งของทางรถไฟรวม 11 สถานี ได้รับผลกระทบ จํานวน 11 ชุมชน รวม 1,907 หลังคาเรือน ซึ่งขณะนี้ กระทรวง พม. โดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ได้ดําเนินกระบวนการสํารวจพบผู้เดือดร้อน จํานวน 261 หลังคาเรือน และใช้กระบวนการขับเคลื่อนแบบมีส่วนร่วมกับผู้เดือดร้อน เพื่อแก้ไขปัญาหาที่อยู่อาศัยดังกล่าว ทั้งนี้ มีการเตรียมแผนรองรับไว้ช่วยเหลือแล้ว โดยใช้รูปแบบของโครงการบ้านมั่นคงของ พอช. และโครงการบ้านเคหะสุขประชาของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ซึ่งแบ่งออกเป็น 1) ทําสัญญาเช่าบนที่ดินเดิมกับการรถไฟฯ ระยะยาว 30 ปี และ 2) ย้ายไปยังที่ดินใหม่ ไม่ไกลจากที่ดินเดิมภายในระยะทาง 5 กิโลเมตร ทั้งนี้ ได้กําชับให้ พอช. เร่งสํารวจผู้เดือดร้อนเพิ่มเติม ทําความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการและผลกระทบที่เกิดขึ้น และหาแนวทางข้อเสนอการปรับปรุงที่อยู่อาศัยร่วมกับชุมชน นายจุติกล่าวต่อไปว่า เรื่องการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างมีประสิทธิภาพ จะใช้ข้อมูลจากสมุดพกครอบครัวที่มีข้อมูลในมิติต่างๆ ของกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง แม่เลี้ยงเดี่ยว และคนด้อยโอกาส ทําให้ทราบปัญหาและความต้องการ เพื่อให้ความช่วยเหลือต่างๆ อย่างเร่งด่วน โดยคาดว่าจะสามารถเก็บข้อมูลทั้งจังหวัดพิษณุโลกภายในเดือนพฤศจิกายน 2564 สําหรับกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยวจะให้การส่งเสริมอาชีพทักษะพิเศษที่หุ่นยนต์ทําไม่ได้ อาทิ Hair Specialist ที่เป็นมากกว่าช่างทําผม แต่มีความสามารถทําผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมจากพืชสมุนไพรเพื่อมูลค่าเพิ่ม โดยจะส่งเสริมให้กลุ่มเปราะบางในนิคมสร้างตนเองปลูกพืชสมุนไพรเป็นวัตถุดิบ จากนั้น จะส่งให้ พอช. นําไปทําเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงาม แล้วจะส่งขายไปยังตลาดของ กคช. ที่มีผู้อยู่อาศัยจํานวนหลายแสนครอบครัวในโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ จะสนับสนุนอาชีพ เชฟ (Chef) ทําอาหาร โดยจะเปิดสอนหลักสูตร Master Chef จํานวน 2 รุ่น ภายในปี 2564 และอีก 5 รุ่น ในปี 2565 รวมทั้งเปิดสอนหลักสูตรบาร์เทนดี้ นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องการช่วยเหลือเด็ก โดยเฉพาะเด็กชาติพันธุ์จะสนับสนุนให้มีโอกาสได้เข้าเรียนในกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายพัฒนาให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักการเกษตรสมัยใหม่ และช่างสมัยใหม่ สําหรับเด็กออทิสติก จะให้ อปท. ทุกแห่ง ลงพื้นที่สํารวจข้อมูลครอบครัวเด็กออทิสติก เพื่อทําแผนที่ทางสังคมสําหรับให้ความช่วยเหลือต่างๆ ต่อไป อีกทั้งสํารวจจํานวนครูที่มีความพร้อม เป็นครูจิตวิทยาที่สามารถดูแลเด็กออทิสติกได้ ในโรงเรียนร่วมทั้ง 461 แห่ง นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้ทุกตําบลมีห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ โดยดึงสภาเด็กและเยาวชนเข้ามาช่วยด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย กิจกรรมในงานศพเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด 19 ได้
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 สธ. เผย กิจกรรมในงานศพเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด 19 ได้ กระทรวงสาธารณสุขพบการจัดกิจกรรมในงานศพ อาทิ รับประทานอาหาร ดื่มเหล้าร่วมกัน ทําให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด 19 ได้ ย้ํา ต้องสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หากป่วยไม่ควรร่วมงาน ส่วนช่วงน้ําหลากให้ระมัดระวังการเล่นน้ําด้วยกันอาจสัมผัสน้ํามูกน้ําลายจนติดเชื้อได้ วันนี้ (25 ตุลาคม2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท ผู้อํานวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรคแถลงข่าวสถานการณ์โควิด 19 และการฉีดวัคซีน ว่า สถานการณ์โควิด 19 วันนี้มีผู้ป่วยรักษาหาย 9,589 ราย ผู้ติดเชื้อใหม่ 8,675 ราย เสียชีวิต 44 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มโรคเรื้อรังถึง 95% ขอให้กลุ่มดังกล่าวเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อลดป่วยหนักและเสียชีวิต สําหรับการติดเชื้อใน กทม. และปริมณฑลขณะนี้ลดลงสอดคล้องกับภาพรรวมประเทศ พื้นที่ชายแดนใต้ยังมีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 23% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องเร่งรัดการฉีดวัคซีน จัดทีมเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อด้วยชุดตรวจATK เพื่อแยกผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว สีเหลือง และสีแดงเข้าสู่ระบบรักษา และเพิ่มจํานวนเตียงให้เพียงพอ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้นําศาสนาและประชาชนเป็นอย่างดี นายแพทย์เฉวตสรร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่น่าสนใจ ของการติดและแพร่เชื้อโควิด 19 คือกิจกรรมงานศพซึ่งกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เชิงรุก ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 19 ตุลาคม 2564มีผู้ติดเชื้อ 747 ราย เช่น จ.จันทบุรี มีผู้ที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับงานศพ 153 ราย, อุบลราชธานี 119 ราย,ปราจีนบุรี 79 ราย, อุดรธานี 72 ราย, สระแก้ว 39 ราย เป็นต้น โดยกิจกรรมเสี่ยง คือ การรับประทานอาหารร่วมกัน, การดื่มสุราและใช้แก้วน้ําร่วมกัน, สวมหน้ากากอนามัยผิดวิธีหรือไม่สวมหน้ากากอนามัย, เล่นพนัน, การพักค้างแรมร่วมกับเจ้าภาพ รวมถึงการเข้าร่วมงานทั้งที่มีอาการป่วย ขอให้ผู้ไปร่วมงานเว้นระยะห่าง ไม่ถอดหน้ากากอนามัย ไม่ควรดื่มสุราร่วมกันเพราะจะทําให้เกิดความใกล้ชิดและหย่อนยานการระมัดระวังตัวจนเกิดการแพร่กระจายเชื้อระหว่างพูดคุยหรือไอจามได้ ส่วนความกังวลของเชื้อโควิคสายพันธุ์เดลต้า พลัส ในช่วง 28 วันที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญได้ติดตามการติดเชื้อในประเทศอังกฤษพบว่าเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 6% ของสายพันธุ์อื่นๆ การแพร่ระบาดส่วนใหญ่ยังคงเป็นสายพันธุ์เดิมโดยกระทรวงสาธารณสุขมีระบบเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลเพิ่มเติมตลอดเวลา ขอให้ประชาชนอย่ากังวล เนื่องจาก องค์การอนามัยโลกยังไม่มีการยกระดับของสายพันธุ์ ที่ผ่านมาประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อจากสายพันธุ์เดลต้า พลัส เพียง 1 ราย และไม่มีรายอื่นที่เกี่ยวเนื่อง “ในช่วงที่น้ําหลากอาจพบการติดเชื้อโควิด 19 เป็นกลุ่มก้อนจากการเล่นน้ํา เนื่องจากมีการใกล้ชิด พูดคุย สัมผัสสารคัดหลั่ง น้ํามูก น้ําลาย หรือติดจากคนในครอบครัวที่ติดเชื้อแต่มีอาการน้อยและนําไปแพร่โรคได้” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว สําหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 24 ตุลาคม2564 สะสม 70,505,802 โดส ฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้วจํานวน 39,999,692 ราย เข็มที่ 2 จํานวน 28,372,531 ราย เข็ม 3 จํานวน 2,133,579 ราย เฉพาะวันที่ 24 ตุลาคม ฉีดได้เพิ่ม 226,178 โดส การฉีดวัคซีนในพื้นที่นําร่องการท่องเที่ยว 17 จังหวัด ภาพรวมอยู่ที่ 76.2% โดย กทม.ฉีดได้เกิน 100% รองลงมาคือภูเก็ต 82.7% ชลบุรี 79.3% สมุทรปราการ 72.4% ส่วนจังหวัดอื่นๆ เกิน 50%สําหรับการฉีดวัคซีนนักเรียนขณะนี้ได้ฉีดไปแล้ว1,605,391 ราย หากผู้ปกครองประสงค์ให้บุตรหลานฉีดวัคซีนเพิ่มเติมขอให้ติดต่อที่โรงเรียนเพื่อรวบรวมรายชื่อรับการจัดสรรวัคซีนต่อไป ******************************** 25 ตุลาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย กิจกรรมในงานศพเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด 19 ได้ วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 สธ. เผย กิจกรรมในงานศพเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด 19 ได้ กระทรวงสาธารณสุขพบการจัดกิจกรรมในงานศพ อาทิ รับประทานอาหาร ดื่มเหล้าร่วมกัน ทําให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด 19 ได้ ย้ํา ต้องสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หากป่วยไม่ควรร่วมงาน ส่วนช่วงน้ําหลากให้ระมัดระวังการเล่นน้ําด้วยกันอาจสัมผัสน้ํามูกน้ําลายจนติดเชื้อได้ วันนี้ (25 ตุลาคม2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท ผู้อํานวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรคแถลงข่าวสถานการณ์โควิด 19 และการฉีดวัคซีน ว่า สถานการณ์โควิด 19 วันนี้มีผู้ป่วยรักษาหาย 9,589 ราย ผู้ติดเชื้อใหม่ 8,675 ราย เสียชีวิต 44 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มโรคเรื้อรังถึง 95% ขอให้กลุ่มดังกล่าวเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อลดป่วยหนักและเสียชีวิต สําหรับการติดเชื้อใน กทม. และปริมณฑลขณะนี้ลดลงสอดคล้องกับภาพรรวมประเทศ พื้นที่ชายแดนใต้ยังมีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 23% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องเร่งรัดการฉีดวัคซีน จัดทีมเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อด้วยชุดตรวจATK เพื่อแยกผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว สีเหลือง และสีแดงเข้าสู่ระบบรักษา และเพิ่มจํานวนเตียงให้เพียงพอ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้นําศาสนาและประชาชนเป็นอย่างดี นายแพทย์เฉวตสรร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่น่าสนใจ ของการติดและแพร่เชื้อโควิด 19 คือกิจกรรมงานศพซึ่งกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เชิงรุก ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 19 ตุลาคม 2564มีผู้ติดเชื้อ 747 ราย เช่น จ.จันทบุรี มีผู้ที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับงานศพ 153 ราย, อุบลราชธานี 119 ราย,ปราจีนบุรี 79 ราย, อุดรธานี 72 ราย, สระแก้ว 39 ราย เป็นต้น โดยกิจกรรมเสี่ยง คือ การรับประทานอาหารร่วมกัน, การดื่มสุราและใช้แก้วน้ําร่วมกัน, สวมหน้ากากอนามัยผิดวิธีหรือไม่สวมหน้ากากอนามัย, เล่นพนัน, การพักค้างแรมร่วมกับเจ้าภาพ รวมถึงการเข้าร่วมงานทั้งที่มีอาการป่วย ขอให้ผู้ไปร่วมงานเว้นระยะห่าง ไม่ถอดหน้ากากอนามัย ไม่ควรดื่มสุราร่วมกันเพราะจะทําให้เกิดความใกล้ชิดและหย่อนยานการระมัดระวังตัวจนเกิดการแพร่กระจายเชื้อระหว่างพูดคุยหรือไอจามได้ ส่วนความกังวลของเชื้อโควิคสายพันธุ์เดลต้า พลัส ในช่วง 28 วันที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญได้ติดตามการติดเชื้อในประเทศอังกฤษพบว่าเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 6% ของสายพันธุ์อื่นๆ การแพร่ระบาดส่วนใหญ่ยังคงเป็นสายพันธุ์เดิมโดยกระทรวงสาธารณสุขมีระบบเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลเพิ่มเติมตลอดเวลา ขอให้ประชาชนอย่ากังวล เนื่องจาก องค์การอนามัยโลกยังไม่มีการยกระดับของสายพันธุ์ ที่ผ่านมาประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อจากสายพันธุ์เดลต้า พลัส เพียง 1 ราย และไม่มีรายอื่นที่เกี่ยวเนื่อง “ในช่วงที่น้ําหลากอาจพบการติดเชื้อโควิด 19 เป็นกลุ่มก้อนจากการเล่นน้ํา เนื่องจากมีการใกล้ชิด พูดคุย สัมผัสสารคัดหลั่ง น้ํามูก น้ําลาย หรือติดจากคนในครอบครัวที่ติดเชื้อแต่มีอาการน้อยและนําไปแพร่โรคได้” นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว สําหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 24 ตุลาคม2564 สะสม 70,505,802 โดส ฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้วจํานวน 39,999,692 ราย เข็มที่ 2 จํานวน 28,372,531 ราย เข็ม 3 จํานวน 2,133,579 ราย เฉพาะวันที่ 24 ตุลาคม ฉีดได้เพิ่ม 226,178 โดส การฉีดวัคซีนในพื้นที่นําร่องการท่องเที่ยว 17 จังหวัด ภาพรวมอยู่ที่ 76.2% โดย กทม.ฉีดได้เกิน 100% รองลงมาคือภูเก็ต 82.7% ชลบุรี 79.3% สมุทรปราการ 72.4% ส่วนจังหวัดอื่นๆ เกิน 50%สําหรับการฉีดวัคซีนนักเรียนขณะนี้ได้ฉีดไปแล้ว1,605,391 ราย หากผู้ปกครองประสงค์ให้บุตรหลานฉีดวัคซีนเพิ่มเติมขอให้ติดต่อที่โรงเรียนเพื่อรวบรวมรายชื่อรับการจัดสรรวัคซีนต่อไป ******************************** 25 ตุลาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47365
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส พบข่าวปลอมเงินกู้-ค่าแรงคนสนใจมาก
วันเสาร์ที่ 15 มกราคม 2565 ดีอีเอส พบข่าวปลอมเงินกู้-ค่าแรงคนสนใจมาก ดีอีเอส พบข่าวปลอมเงินกู้-ค่าแรงคนสนใจมาก กระทรวงดิจิทัลฯสรุปสถานการณ์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์พบเฟคนิวส์อ้างชื่อสถาบันการเงินเปิดให้กู้เงินแบบให้เปล่า-ผ่อนต่ําและข่าวลวงเรื่องแรงงานติดTop 10ข่าวปลอมคนสนใจสูงสุด นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ประชาชนให้ความสําคัญกับปัญหาปากท้องและรายได้ครัวเรือนส่งผลให้มีการสร้างและเผยแพร่ข่าวปลอมโดยใช้ประโยชน์จากความกังวลของประชาชนในเรื่องดังกล่าวเพื่อดึงดูดความสนใจและลวงให้มีการส่งต่อข่าวปลอมเพื่อเข้าถึงคนในวงกว้าง โดยพบว่าเริ่มมีความถี่ของข่าวปลอมที่อ้างชื่อสถาบันการเงินว่ามีโปรแกรมเงินกู้เงื่อนไขพิเศษที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริงและยังพบข่าวปลอมในประเด็นที่เกี่ยวกับแรงงานและค่าแรงอีกด้วยซึ่งทั้งสองเรื่องติดอันดับข่าวปลอมที่มีคนสนใจจํานวนมาก ทั้งนี้ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจําสัปดาห์ระหว่างวันที่7-13ม.ค. 65โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม.พบว่าข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด10อันดับแรกได้แก่อันดับ1มัสยิดกลายเป็นสาขาของธนาคารอิสลาม1,000แห่งทั่วประเทศอันดับ2ใช้นิ้วหัวแม่มือจิกร่องระหว่างปากและใต้จมูกช่วยคนที่วูบหมดสติให้ฟื้นคืนอันดับ3มุสลิมไทยได้เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารอิสลามทุกคนสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องใช้หนี้คืนได้อันดับ4บขส.หยุดเดินรถทุกเส้นทางทั่วประเทศไทยอันดับ5ธ.ออมสินให้กู้ซื้อบ้าน1ล้านบาทผ่อนคืนเดือนละ10บาท อันดับ6รักษาอาการเจ็บตาด้วยตนเองโดยใช้น้ํานมแม่หยอดตาอันดับ7กรมการจัดหางานจัดให้คนว่างงานหรือหารายได้เสริมเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อรับเงินแสนอันดับ8นายกฯสั่งล็อกดาวน์5จังหวัดมีความเสี่ยงสูงอันดับ9ไมโครเวฟปล่อยคลื่นวิทยุออกมาขณะอุ่นอาหารทําให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพและอันดับ10ลูกจ้างทดลองงานหากใช้สิทธิลาป่วยจะไม่ได้รับเงินค่าจ้างในวันที่ลาป่วย สําหรับในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมีข้อความเข้ามาทั้งสิ้น11,529,633ข้อความโดยจากการคัดกรองมีข้อความที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ(Verify)จํานวน202ข้อความรวมเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ91เรื่องในจํานวนนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับโควิด35เรื่อง “อยากขอความร่วมมือจากประชาชนเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียลควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87”นางสาวนพวรรณกล่าว **************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส พบข่าวปลอมเงินกู้-ค่าแรงคนสนใจมาก วันเสาร์ที่ 15 มกราคม 2565 ดีอีเอส พบข่าวปลอมเงินกู้-ค่าแรงคนสนใจมาก ดีอีเอส พบข่าวปลอมเงินกู้-ค่าแรงคนสนใจมาก กระทรวงดิจิทัลฯสรุปสถานการณ์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์พบเฟคนิวส์อ้างชื่อสถาบันการเงินเปิดให้กู้เงินแบบให้เปล่า-ผ่อนต่ําและข่าวลวงเรื่องแรงงานติดTop 10ข่าวปลอมคนสนใจสูงสุด นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ประชาชนให้ความสําคัญกับปัญหาปากท้องและรายได้ครัวเรือนส่งผลให้มีการสร้างและเผยแพร่ข่าวปลอมโดยใช้ประโยชน์จากความกังวลของประชาชนในเรื่องดังกล่าวเพื่อดึงดูดความสนใจและลวงให้มีการส่งต่อข่าวปลอมเพื่อเข้าถึงคนในวงกว้าง โดยพบว่าเริ่มมีความถี่ของข่าวปลอมที่อ้างชื่อสถาบันการเงินว่ามีโปรแกรมเงินกู้เงื่อนไขพิเศษที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริงและยังพบข่าวปลอมในประเด็นที่เกี่ยวกับแรงงานและค่าแรงอีกด้วยซึ่งทั้งสองเรื่องติดอันดับข่าวปลอมที่มีคนสนใจจํานวนมาก ทั้งนี้ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจําสัปดาห์ระหว่างวันที่7-13ม.ค. 65โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม.พบว่าข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด10อันดับแรกได้แก่อันดับ1มัสยิดกลายเป็นสาขาของธนาคารอิสลาม1,000แห่งทั่วประเทศอันดับ2ใช้นิ้วหัวแม่มือจิกร่องระหว่างปากและใต้จมูกช่วยคนที่วูบหมดสติให้ฟื้นคืนอันดับ3มุสลิมไทยได้เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารอิสลามทุกคนสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องใช้หนี้คืนได้อันดับ4บขส.หยุดเดินรถทุกเส้นทางทั่วประเทศไทยอันดับ5ธ.ออมสินให้กู้ซื้อบ้าน1ล้านบาทผ่อนคืนเดือนละ10บาท อันดับ6รักษาอาการเจ็บตาด้วยตนเองโดยใช้น้ํานมแม่หยอดตาอันดับ7กรมการจัดหางานจัดให้คนว่างงานหรือหารายได้เสริมเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อรับเงินแสนอันดับ8นายกฯสั่งล็อกดาวน์5จังหวัดมีความเสี่ยงสูงอันดับ9ไมโครเวฟปล่อยคลื่นวิทยุออกมาขณะอุ่นอาหารทําให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพและอันดับ10ลูกจ้างทดลองงานหากใช้สิทธิลาป่วยจะไม่ได้รับเงินค่าจ้างในวันที่ลาป่วย สําหรับในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมีข้อความเข้ามาทั้งสิ้น11,529,633ข้อความโดยจากการคัดกรองมีข้อความที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ(Verify)จํานวน202ข้อความรวมเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ91เรื่องในจํานวนนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับโควิด35เรื่อง “อยากขอความร่วมมือจากประชาชนเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียลควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87”นางสาวนพวรรณกล่าว **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Future Herb: Kratom 2021
วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 Future Herb: Kratom 2021 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้สนใจร่วมการสัมมนาออนไลน์ “พืชกระท่อม การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ และแนวทางการใช้ประโยชน์” Future Herb: Kratom 2021 หากท่านเป็นผู้ประกอบการ นักธุรกิจเกษตร และบุคคลทั่วไปที่สนใจเกี่ยวกับ - สมบัติของพืชกระท่อม - แนวทางการใช้ประโยชน์ - การพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับพืชกระท่อม ท่านไม่ควรพลาดงานนี้ !!! กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้สนใจร่วมการสัมมนาออนไลน์ “พืชกระท่อม การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ และแนวทางการใช้ประโยชน์” เพื่อรับทราบข้อมูลความรู้ ความก้าวหน้าด้านการวิจัยและการประยุกต์ใช้ประโยชน์ของพืชกระท่อม ตลอดจนขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาด เพื่อประโยชน์ในการเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการไทยในการยกระดับผลิตภัณฑ์แปรรูปให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภคได้ในเชิงพาณิชย์ งานจัดขึ้นในวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 – 12.00 น. สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี ได้ที่ Link: https://tinyurl.com/4vr273vj #กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม #DIProm #diprom2021 #FutureHerb #kratom2021 FB IAID --> https://www.facebook.com/iaid.dip
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Future Herb: Kratom 2021 วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 Future Herb: Kratom 2021 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้สนใจร่วมการสัมมนาออนไลน์ “พืชกระท่อม การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ และแนวทางการใช้ประโยชน์” Future Herb: Kratom 2021 หากท่านเป็นผู้ประกอบการ นักธุรกิจเกษตร และบุคคลทั่วไปที่สนใจเกี่ยวกับ - สมบัติของพืชกระท่อม - แนวทางการใช้ประโยชน์ - การพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับพืชกระท่อม ท่านไม่ควรพลาดงานนี้ !!! กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้สนใจร่วมการสัมมนาออนไลน์ “พืชกระท่อม การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ และแนวทางการใช้ประโยชน์” เพื่อรับทราบข้อมูลความรู้ ความก้าวหน้าด้านการวิจัยและการประยุกต์ใช้ประโยชน์ของพืชกระท่อม ตลอดจนขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาด เพื่อประโยชน์ในการเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการไทยในการยกระดับผลิตภัณฑ์แปรรูปให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภคได้ในเชิงพาณิชย์ งานจัดขึ้นในวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 – 12.00 น. สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี ได้ที่ Link: https://tinyurl.com/4vr273vj #กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม #DIProm #diprom2021 #FutureHerb #kratom2021 FB IAID --> https://www.facebook.com/iaid.dip
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47381
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วมงาน Money Expo เชียงใหม่ ครั้งที่ 16
วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2564 ธ.ก.ส. ร่วมงาน Money Expo เชียงใหม่ ครั้งที่ 16 ธ.ก.ส. นําผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค สินเชื่อนวัตกรรมดีมีเงินทุน พร้อมจัดแคมเปญสุดพิเศษ ละของที่ระลึกมากมาย ในงาน Money Expo เชียงใหม่ ครั้งที่ 16 ณ เชียงใหม่ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา เชียงใหม่ 12–14 พฤศจิกายนนี้ นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้นําผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสินเชื่อต่าง ๆ เปิดให้บริการภายในงาน อาทิเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคซึ่งเป็นเงินฝากที่ได้รับดอกเบี้ยและรางวัลในระดับจังหวัดปีละ 2 ครั้ง โดยฝากทุก ๆ 2,000 บาท ติดต่อกันทุก ๆ 3 เดือน จะได้รับสิทธิ์จับรางวัล 1 สิทธิ์ และเมื่อมียอดฝากคงเหลือทุก ๆ 10,000 บาท ฝากติดต่อกันทุก ๆ 7 เดือนจะได้รับสิทธิ์จับรางวัลระดับประเทศปีละ 1 ครั้ง พิเศษเมื่อฝากติดต่อกัน 10 เดือน จะได้รับเพิ่มอีก 1 สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีเงินฝาก A-Savingsบัญชีเงินฝาก Digital ดอกเบี้ยร้อยละ 0.45 ต่อปี เงินฝากผู้สูงอายุ Senior Savings สําหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปี หากยอดเงินฝากคงเหลือตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป รับดอกเบี้ยร้อยละ 0.45ต่อปี ฝากได้คนละ 1 บัญชี สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทเงินฝากออมทรัพย์พิเศษเปิดบัญชี 10,000 บาท และครั้งต่อไปฝากเงินขั้นต่ํา 1,000 บาท รับดอกเบี้ยร้อยละ 0.45ต่อปี ไม่เสียภาษีเงินฝากประจําปลอดภาษี 24 เดือนฝากตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือนรับดอกเบี้ยร้อยละ 1.30ต่อปี เงินฝากสงเคราะห์ชีวิต ธ.ก.ส. เพิ่มรัก 2 12/10 ธกส ทวีรัก 99 และ ธกส รักคุณ สมัครใช้บริการแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobileเพื่อให้การโอนเงินบนมือถือสะดวกรวดเร็วและง่ายเพียงปลายนิ้วบริการ SMS Alertบริการ BAAC Connectรวมถึงการให้บริการยืนยันตัวตนผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (e – KYC) เพื่อรองรับการให้บริการธุรกรรมออนไลน์ในอนาคต นายไพศาลกล่าวอีกว่า สําหรับด้านสินเชื่อ ธ.ก.ส. มีบริการให้คําปรึกษาที่หลากหลายเช่น สินเชื่อ นวัตกรรมดีมีเงินทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหรือค่าลงทุนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในลักษณะSmart Farmerอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปีสินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพการเกษตรหรือค้าขายเพื่อเลี้ยงชีพวงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อรายอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4ต่อปีเป็นต้นพิเศษ!พบกับแคมเปญ “สวัสดีทวีโชค”สําหรับลูกค้าใหม่ เพียงเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคฝากเงินตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป คงยอดไว้ 3 เดือนแคมเปญ “สมัครกรมธรรม์ ธกส รักคุณ สะสมแต้มแลกของรางวัลกับ A-Rewards” หรือแคมเปญ “Scan ปั๊บ รับฟรี 2 ต่อ”รับฟรีของที่ระลึกมากมายภายในงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วมงาน Money Expo เชียงใหม่ ครั้งที่ 16 วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2564 ธ.ก.ส. ร่วมงาน Money Expo เชียงใหม่ ครั้งที่ 16 ธ.ก.ส. นําผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค สินเชื่อนวัตกรรมดีมีเงินทุน พร้อมจัดแคมเปญสุดพิเศษ ละของที่ระลึกมากมาย ในงาน Money Expo เชียงใหม่ ครั้งที่ 16 ณ เชียงใหม่ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา เชียงใหม่ 12–14 พฤศจิกายนนี้ นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้นําผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสินเชื่อต่าง ๆ เปิดให้บริการภายในงาน อาทิเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคซึ่งเป็นเงินฝากที่ได้รับดอกเบี้ยและรางวัลในระดับจังหวัดปีละ 2 ครั้ง โดยฝากทุก ๆ 2,000 บาท ติดต่อกันทุก ๆ 3 เดือน จะได้รับสิทธิ์จับรางวัล 1 สิทธิ์ และเมื่อมียอดฝากคงเหลือทุก ๆ 10,000 บาท ฝากติดต่อกันทุก ๆ 7 เดือนจะได้รับสิทธิ์จับรางวัลระดับประเทศปีละ 1 ครั้ง พิเศษเมื่อฝากติดต่อกัน 10 เดือน จะได้รับเพิ่มอีก 1 สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีเงินฝาก A-Savingsบัญชีเงินฝาก Digital ดอกเบี้ยร้อยละ 0.45 ต่อปี เงินฝากผู้สูงอายุ Senior Savings สําหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปี หากยอดเงินฝากคงเหลือตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป รับดอกเบี้ยร้อยละ 0.45ต่อปี ฝากได้คนละ 1 บัญชี สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาทเงินฝากออมทรัพย์พิเศษเปิดบัญชี 10,000 บาท และครั้งต่อไปฝากเงินขั้นต่ํา 1,000 บาท รับดอกเบี้ยร้อยละ 0.45ต่อปี ไม่เสียภาษีเงินฝากประจําปลอดภาษี 24 เดือนฝากตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือนรับดอกเบี้ยร้อยละ 1.30ต่อปี เงินฝากสงเคราะห์ชีวิต ธ.ก.ส. เพิ่มรัก 2 12/10 ธกส ทวีรัก 99 และ ธกส รักคุณ สมัครใช้บริการแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobileเพื่อให้การโอนเงินบนมือถือสะดวกรวดเร็วและง่ายเพียงปลายนิ้วบริการ SMS Alertบริการ BAAC Connectรวมถึงการให้บริการยืนยันตัวตนผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (e – KYC) เพื่อรองรับการให้บริการธุรกรรมออนไลน์ในอนาคต นายไพศาลกล่าวอีกว่า สําหรับด้านสินเชื่อ ธ.ก.ส. มีบริการให้คําปรึกษาที่หลากหลายเช่น สินเชื่อ นวัตกรรมดีมีเงินทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหรือค่าลงทุนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในลักษณะSmart Farmerอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปีสินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพการเกษตรหรือค้าขายเพื่อเลี้ยงชีพวงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อรายอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4ต่อปีเป็นต้นพิเศษ!พบกับแคมเปญ “สวัสดีทวีโชค”สําหรับลูกค้าใหม่ เพียงเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคฝากเงินตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป คงยอดไว้ 3 เดือนแคมเปญ “สมัครกรมธรรม์ ธกส รักคุณ สะสมแต้มแลกของรางวัลกับ A-Rewards” หรือแคมเปญ “Scan ปั๊บ รับฟรี 2 ต่อ”รับฟรีของที่ระลึกมากมายภายในงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 28 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 6 ราย​
วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 28 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 6 ราย​ ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 28 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 6 ราย​ 1)​ พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 45 เพศชาย อายุ 55 ปี 2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 45 เพศชาย อายุ 54 ปี 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 206 เพศหญิง อายุ 28 ปี 4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 206 เพศหญิง อายุ 21 ปี 5) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 2 เพศชาย อายุ 43 ปี 6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 93 เพศหญิง อายุ 33 ปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 28 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 6 ราย​ วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 28 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 6 ราย​ ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 28 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 6 ราย​ 1)​ พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 45 เพศชาย อายุ 55 ปี 2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 45 เพศชาย อายุ 54 ปี 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 206 เพศหญิง อายุ 28 ปี 4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 206 เพศหญิง อายุ 21 ปี 5) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 2 เพศชาย อายุ 43 ปี 6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 93 เพศหญิง อายุ 33 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มกระตุ้น กลุ่มเด็ก 12 - 17 ปี ผ่านระบบการศึกษา เริ่ม พ.ค. นี้
วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565 เตรียมฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มกระตุ้น กลุ่มเด็ก 12 - 17 ปี ผ่านระบบการศึกษา เริ่ม พ.ค. นี้ ..... กรมควบคุมโรค เตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มอายุ 12-17 ปี (ชั้นม.1 - 6) ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็มแล้ว ให้เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ เป็นเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 และต้องมีระยะห่างจากเข็มที่สอง 4 - 6 เดือนขึ้นไป เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นการฉีดเข็มกระตุ้นผ่านระบบการศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมเปิดเทอมภาคเรียนที่ 1/2565 โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ และจะเริ่มฉีดพร้อมกันทั่วประเทศช่วงต้นเดือนพ.ค. 65 . สําหรับกลุ่มนักเรียนนอกระบบการศึกษา เช่น Home School การจัดการเรียนการสอนที่บ้าน กลุ่มเด็กที่มีโรคประจําตัว 7 กลุ่มโรค 1.โรคอ้วน 2.โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง 3.หัวใจและหลอดเลือด 4.ไตวายเรื้อรัง 5.มะเร็งและภูมิคุ้มกันต่ํา 6.เบาหวาน 7.โรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการช้า ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนผ่านระบบสถานพยาบาล . หากผู้เข้ารับวัคซีนมีเงื่อนไขเฉพาะ หรือมีข้อจํากัดในการรับวัคซีนผ่านระบบการศึกษาให้เข้ารับวัคซีนผ่านระบบสถานพยาบาล โดยให้หน่วยบริการฉีดสามารถพิจารณาฉีดวัคซีนตามดุลพินิจของแพทย์ คําแนะนําจากบริษัทผู้ผลิต ความสมัครใจของผู้ปกครองและผู้รับวัคซีน #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มกระตุ้น กลุ่มเด็ก 12 - 17 ปี ผ่านระบบการศึกษา เริ่ม พ.ค. นี้ วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565 เตรียมฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มกระตุ้น กลุ่มเด็ก 12 - 17 ปี ผ่านระบบการศึกษา เริ่ม พ.ค. นี้ ..... กรมควบคุมโรค เตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มอายุ 12-17 ปี (ชั้นม.1 - 6) ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็มแล้ว ให้เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ เป็นเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 และต้องมีระยะห่างจากเข็มที่สอง 4 - 6 เดือนขึ้นไป เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นการฉีดเข็มกระตุ้นผ่านระบบการศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมเปิดเทอมภาคเรียนที่ 1/2565 โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ และจะเริ่มฉีดพร้อมกันทั่วประเทศช่วงต้นเดือนพ.ค. 65 . สําหรับกลุ่มนักเรียนนอกระบบการศึกษา เช่น Home School การจัดการเรียนการสอนที่บ้าน กลุ่มเด็กที่มีโรคประจําตัว 7 กลุ่มโรค 1.โรคอ้วน 2.โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง 3.หัวใจและหลอดเลือด 4.ไตวายเรื้อรัง 5.มะเร็งและภูมิคุ้มกันต่ํา 6.เบาหวาน 7.โรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการช้า ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนผ่านระบบสถานพยาบาล . หากผู้เข้ารับวัคซีนมีเงื่อนไขเฉพาะ หรือมีข้อจํากัดในการรับวัคซีนผ่านระบบการศึกษาให้เข้ารับวัคซีนผ่านระบบสถานพยาบาล โดยให้หน่วยบริการฉีดสามารถพิจารณาฉีดวัคซีนตามดุลพินิจของแพทย์ คําแนะนําจากบริษัทผู้ผลิต ความสมัครใจของผู้ปกครองและผู้รับวัคซีน #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53700
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือรองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้บริหารสูงสุดของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประสานความร่วมมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาฐานราก การจัดการมลพิษพลาสติก และขยะทะเล
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565 นายกฯ หารือรองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้บริหารสูงสุดของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประสานความร่วมมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาฐานราก การจัดการมลพิษพลาสติก และขยะทะเล นายกฯ หารือรองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้บริหารสูงสุดของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประสานความร่วมมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาฐานราก การจัดการมลพิษพลาสติก และขยะทะเล วันนี้ (31 มีนาคม 2565) เวลา 9.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายอาคิม สไตเนอร์ (Mr. Achim Steiner) รองเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้บริหารสูงสุดของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมกับหัวหน้าสํานักงาน UNDP ในภูมิภาค ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมรองเลขาธิการฯ ที่มีบทบาทแข็งขันในการขับเคลื่อน การพัฒนาที่ยั่งยืนมากว่า 30 ปี และยินดีที่ทราบว่า รองเลขาธิการฯ มีประสบการณ์ทํางานเกี่ยวกับประเทศไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง สําหรับประเทศไทยได้ให้ความสําคัญเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทาง เพื่อนําประเทศไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ไทยมีเป้าหมายส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุมโดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสอดคล้องและส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) เป็นวาระสําคัญในฐานะเจ้าภาพเอเปคในปีนี้ ไทยพร้อมสนับสนุนการทํางานของ UNDP อย่างเต็มที่ และเชื่อมั่นว่าสหประชาชาติ และ UNDP จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ในการตอบสนองต่อความท้าทายของโลกในปัจจุบันได้ รองเลขาธิการฯ ยินดีที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ เป็นโอกาสอันดีที่จะได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับ UNDP ในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยรองเลขาธิการฯ กล่าวว่า ไทยและ UNDP มีความร่วมมือกันมายาวนาน และชื่นชมไทยที่มีบทบาทสําคัญในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเวทีระหว่างประเทศ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่ประเทศต่างๆ มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการส่งเสริมแนวทางการพัฒนาที่ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งรองเลขาธิการฯ แสดงความประทับใจและชื่นชมว่าเป็นแนวทางที่เป็นแบบอย่างในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถนําไปปรับใช้และปฏิบัติได้จริงในหลายประเทศ โดยรองเลขาธิการฯ ได้ชื่นชมบทบาทผู้นําของนายกรัฐมนตรีในการให้ความสําคัญกับการพัฒนาฐานราก และมุ่งแก้ปัญหาในประเด็นสําคัญดังกล่าว โดยการแก้ไขความยากจนและการลดความเหลื่อมล้ําเป็นเรื่องที่ UNDP มุ่งแก้ไขมาอย่างยาวนาน ซึ่ง รองเลขาธิการฯ มองว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศยิ่งทําให้เห็นความสําคัญของความร่วมมือแบบพหุภาคี โดยไทยนับเป็นประเทศที่ ให้ความสําคัญในการเพิ่มพูนความร่วมมือเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจน รวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน UNDP จึงประสงค์ร่วมมือกับไทยในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีและรองเลขาธิการฯ เห็นพ้องกันว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สําหรับไทย UNDP ได้สนับสนุนการพัฒนาประเทศของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการสนับสนุนไทยในการดําเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) และ SDGs ในปัจจุบัน พร้อมยังยินดีที่มีการรับรองแผนงานซีพีดี (Country Programme Document: CPD) ของ UNDP ในประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2569) เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือตามแผนงานฯ จะนําพาประเทศไทยไปสู่ 3 เป้าหมาย คือ การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาคน และการก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาในประเด็นสําคัญ ๆ ได้แก่ รายได้และการลดความเหลื่อมล้ํา การพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา สุขภาพ และการเข้าถึงการบริการของภาครัฐ ด้านความร่วมมือการจัดการมลพิษพลาสติกระดับโลก ทั้งสองต่างเห็นพ้องว่ามลพิษพลาสติกและขยะทะเลเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องให้ความสําคัญ การจัดการปัญหามลพิษพลาสติกอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกประเทศและทุกภาคส่วน เพราะแต่ละประเทศมีขีดความสามารถที่แตกต่างกัน จึงจําเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนและสนับสนุนองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมแก่กัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยดําเนินการร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาชนในทุกระดับ โดยอาศัยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ส่งเสริมการลดใช้พลาสติก และสนับสนุนการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน ตั้งเป้านําขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ร้อยละ 100 ภายในปี 2570 นายกรัฐมนตรีขอบคุณ UNDP ที่ร่วมมือกับหน่วยงานของไทยเพื่อส่งเสริมการแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรมในการจัดการขยะ ผ่านโครงการธนาคารขยะชุมชน ซึ่งช่วยการบูรณาการความพยายามของภาคส่วนต่างๆ ในการจัดการขยะ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับขยะตามแนวนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งรองเลขาธิการฯ ชื่นชมไทยที่ให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว และผลักดันเป็นวาระสําคัญระดับภูมิภาค โดยยินดีสานต่อความร่วมมือกับรัฐบาลและหน่วยงานของไทย เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือรองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้บริหารสูงสุดของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประสานความร่วมมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาฐานราก การจัดการมลพิษพลาสติก และขยะทะเล วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565 นายกฯ หารือรองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้บริหารสูงสุดของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประสานความร่วมมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาฐานราก การจัดการมลพิษพลาสติก และขยะทะเล นายกฯ หารือรองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้บริหารสูงสุดของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประสานความร่วมมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาฐานราก การจัดการมลพิษพลาสติก และขยะทะเล วันนี้ (31 มีนาคม 2565) เวลา 9.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายอาคิม สไตเนอร์ (Mr. Achim Steiner) รองเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้บริหารสูงสุดของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมกับหัวหน้าสํานักงาน UNDP ในภูมิภาค ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมรองเลขาธิการฯ ที่มีบทบาทแข็งขันในการขับเคลื่อน การพัฒนาที่ยั่งยืนมากว่า 30 ปี และยินดีที่ทราบว่า รองเลขาธิการฯ มีประสบการณ์ทํางานเกี่ยวกับประเทศไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง สําหรับประเทศไทยได้ให้ความสําคัญเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทาง เพื่อนําประเทศไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ไทยมีเป้าหมายส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุมโดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสอดคล้องและส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) เป็นวาระสําคัญในฐานะเจ้าภาพเอเปคในปีนี้ ไทยพร้อมสนับสนุนการทํางานของ UNDP อย่างเต็มที่ และเชื่อมั่นว่าสหประชาชาติ และ UNDP จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ในการตอบสนองต่อความท้าทายของโลกในปัจจุบันได้ รองเลขาธิการฯ ยินดีที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ เป็นโอกาสอันดีที่จะได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับ UNDP ในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยรองเลขาธิการฯ กล่าวว่า ไทยและ UNDP มีความร่วมมือกันมายาวนาน และชื่นชมไทยที่มีบทบาทสําคัญในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเวทีระหว่างประเทศ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่ประเทศต่างๆ มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการส่งเสริมแนวทางการพัฒนาที่ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งรองเลขาธิการฯ แสดงความประทับใจและชื่นชมว่าเป็นแนวทางที่เป็นแบบอย่างในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถนําไปปรับใช้และปฏิบัติได้จริงในหลายประเทศ โดยรองเลขาธิการฯ ได้ชื่นชมบทบาทผู้นําของนายกรัฐมนตรีในการให้ความสําคัญกับการพัฒนาฐานราก และมุ่งแก้ปัญหาในประเด็นสําคัญดังกล่าว โดยการแก้ไขความยากจนและการลดความเหลื่อมล้ําเป็นเรื่องที่ UNDP มุ่งแก้ไขมาอย่างยาวนาน ซึ่ง รองเลขาธิการฯ มองว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศยิ่งทําให้เห็นความสําคัญของความร่วมมือแบบพหุภาคี โดยไทยนับเป็นประเทศที่ ให้ความสําคัญในการเพิ่มพูนความร่วมมือเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจน รวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน UNDP จึงประสงค์ร่วมมือกับไทยในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีและรองเลขาธิการฯ เห็นพ้องกันว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สําหรับไทย UNDP ได้สนับสนุนการพัฒนาประเทศของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการสนับสนุนไทยในการดําเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) และ SDGs ในปัจจุบัน พร้อมยังยินดีที่มีการรับรองแผนงานซีพีดี (Country Programme Document: CPD) ของ UNDP ในประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2569) เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือตามแผนงานฯ จะนําพาประเทศไทยไปสู่ 3 เป้าหมาย คือ การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาคน และการก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาในประเด็นสําคัญ ๆ ได้แก่ รายได้และการลดความเหลื่อมล้ํา การพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา สุขภาพ และการเข้าถึงการบริการของภาครัฐ ด้านความร่วมมือการจัดการมลพิษพลาสติกระดับโลก ทั้งสองต่างเห็นพ้องว่ามลพิษพลาสติกและขยะทะเลเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องให้ความสําคัญ การจัดการปัญหามลพิษพลาสติกอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกประเทศและทุกภาคส่วน เพราะแต่ละประเทศมีขีดความสามารถที่แตกต่างกัน จึงจําเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนและสนับสนุนองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมแก่กัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยดําเนินการร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาชนในทุกระดับ โดยอาศัยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ส่งเสริมการลดใช้พลาสติก และสนับสนุนการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน ตั้งเป้านําขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ร้อยละ 100 ภายในปี 2570 นายกรัฐมนตรีขอบคุณ UNDP ที่ร่วมมือกับหน่วยงานของไทยเพื่อส่งเสริมการแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรมในการจัดการขยะ ผ่านโครงการธนาคารขยะชุมชน ซึ่งช่วยการบูรณาการความพยายามของภาคส่วนต่างๆ ในการจัดการขยะ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับขยะตามแนวนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งรองเลขาธิการฯ ชื่นชมไทยที่ให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว และผลักดันเป็นวาระสําคัญระดับภูมิภาค โดยยินดีสานต่อความร่วมมือกับรัฐบาลและหน่วยงานของไทย เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์ เร่งฉีดกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า มีชุมชนเป็นฐานการทำงาน
วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564 เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์ เร่งฉีดกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า มีชุมชนเป็นฐานการทํางาน เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์เร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า 70% โดยใช้ศูนย์สู้ภัยโควิด 19 ชุมชนเป็นฐานนํากลุ่มเป้าหมายเข้ารับการฉีดวัคซีน ทั้งมอบรางวัล ประกาศเกียรติคุณเพื่อกระตุ้นให้แต่ละอําเภอทําให้สําเร็จ เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์เร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า 70% โดยใช้ศูนย์สู้ภัยโควิด 19ชุมชนเป็นฐานนํากลุ่มเป้าหมายเข้ารับการฉีดวัคซีน ทั้งมอบรางวัล ประกาศเกียรติคุณเพื่อกระตุ้นให้แต่ละอําเภอทําให้สําเร็จ ล่าสุดยอดการฉีดในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าฉีดในกลุ่มอื่น ๆ ต่อให้เกิดความครอบคลุม นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ประเด็นการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในพื้นที่ ว่า เขตสุขภาพที่ 12 ดูแลในเขตภาคใต้ตอนล่าง 7 จังหวัด ในจํานวนนี้เป็นจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดถึง 4 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ สงขลา จึงต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีน ในกลุ่มเสี่ยง 608ให้ได้ 70% ตามเป้าหมายที่วางไว้เพื่อลดการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 และเพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีน หรือเรียกว่าศูนย์สู้ภัยโควิด 19 ชุมชน ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลพื้นฐานในชุมชน มีบทบาทในการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 แบบครบวงจร เฝ้าระวังบุคคลเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง คัดกรองกลุ่มเสี่ยงในชุมชนด้วยATK โดยทํางานร่วมกันเป็นเครือข่ายตั้งแต่ระดับปฐมภูมิถึงตติยะภูมิ และใช้กลไก 3 หมอที่มีอยู่ นายแพทย์สุเทพกล่าวต่อว่า สําหรับการฉีดวัคซีนในเขตสุขภาพที่ 12 ได้เพิ่มการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ให้มากที่สุด ด้วยการนําวัคซีนไปฉีดให้กับประชาชนถึง รพ.สต. ส่วนผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงหรือผู้สูงอายุที่เดินทางลําบากจะมีบุคลากรการแพทย์ไปฉีดวัคซีนให้ถึงบ้าน มุ่งเป้าการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 608 โดยกระตุ้นให้แต่ละอําเภอฉีดให้ได้ตามเป้าหมาย ด้วยการมอบรางวัล และประกาศเกียรติคุณ ที่ฉีดวัคซีนได้ 70% เพื่อเป็นขวัญกําลังใจและเป็นแรงผลักดันให้พื้นที่อื่นๆ เร่งรัดตามมา เมื่อแต่ละอําเภอสามารถดําเนินการสําเร็จจะทําให้ภาพรวมการฉีดวัคซีนของจังหวัด และเขตสุขภาพเกิดความครอบคลุม ล่าสุดการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นชัดเจนข้อมูลถึงวันที่ 2 กันยายน 2564 เขตสุขภาพที่ 12 ได้ฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ไปแล้ว 523,547 คน คิดเป็น49.65%ในจํานวนนี้เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 352,956 คน คิดเป็น 55.71% ของผู้สูงอายุทั้งหมด ซึ่งผลดีการการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมคือ จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ หรือหากมีประชาชนติดเชื้อโควิด 19จะช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ มีอําเภอที่บรรลุเป้าหมายฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมผู้สูงอายุเกิน 70% แล้วได้แก่ จ.สงขลา อ.นาหม่อม อ.นาทวี อ.เมืองสงขลา อ.ควนเนียง อ.หอยโข่งอ.หาดใหญ่ อ.สิงหนคร อ.บางกล่ํา / จ.ยะลา อ.เบตง อ.เมืองยะลา / จ.ปัตตานี อ.ไม้แก่น อ.เมืองปัตตานี อ.โคกโพธิ์/ จ.นราธิวาส อ.เมืองนราธิวาส อ.สุคิริน อ.สุไหงโก-ลก / จ.ตรัง อ.เมืองตรัง/ จ.พัทลุง อ.เมืองพัทลุง อ.ตะโหมด อ.เขาชัยสน อ.บางแก้ว / จ.สตูล อ.มะนัง *********************************** 5 กันยายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์ เร่งฉีดกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า มีชุมชนเป็นฐานการทำงาน วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564 เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์ เร่งฉีดกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า มีชุมชนเป็นฐานการทํางาน เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์เร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า 70% โดยใช้ศูนย์สู้ภัยโควิด 19 ชุมชนเป็นฐานนํากลุ่มเป้าหมายเข้ารับการฉีดวัคซีน ทั้งมอบรางวัล ประกาศเกียรติคุณเพื่อกระตุ้นให้แต่ละอําเภอทําให้สําเร็จ เขตสุขภาพที่ 12 ปรับกลยุทธ์เร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ให้ได้ตามเป้า 70% โดยใช้ศูนย์สู้ภัยโควิด 19ชุมชนเป็นฐานนํากลุ่มเป้าหมายเข้ารับการฉีดวัคซีน ทั้งมอบรางวัล ประกาศเกียรติคุณเพื่อกระตุ้นให้แต่ละอําเภอทําให้สําเร็จ ล่าสุดยอดการฉีดในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าฉีดในกลุ่มอื่น ๆ ต่อให้เกิดความครอบคลุม นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ประเด็นการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในพื้นที่ ว่า เขตสุขภาพที่ 12 ดูแลในเขตภาคใต้ตอนล่าง 7 จังหวัด ในจํานวนนี้เป็นจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดถึง 4 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ สงขลา จึงต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีน ในกลุ่มเสี่ยง 608ให้ได้ 70% ตามเป้าหมายที่วางไว้เพื่อลดการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 และเพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีน หรือเรียกว่าศูนย์สู้ภัยโควิด 19 ชุมชน ซึ่งเป็นศูนย์รวมข้อมูลพื้นฐานในชุมชน มีบทบาทในการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 แบบครบวงจร เฝ้าระวังบุคคลเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง คัดกรองกลุ่มเสี่ยงในชุมชนด้วยATK โดยทํางานร่วมกันเป็นเครือข่ายตั้งแต่ระดับปฐมภูมิถึงตติยะภูมิ และใช้กลไก 3 หมอที่มีอยู่ นายแพทย์สุเทพกล่าวต่อว่า สําหรับการฉีดวัคซีนในเขตสุขภาพที่ 12 ได้เพิ่มการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ให้มากที่สุด ด้วยการนําวัคซีนไปฉีดให้กับประชาชนถึง รพ.สต. ส่วนผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงหรือผู้สูงอายุที่เดินทางลําบากจะมีบุคลากรการแพทย์ไปฉีดวัคซีนให้ถึงบ้าน มุ่งเป้าการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 608 โดยกระตุ้นให้แต่ละอําเภอฉีดให้ได้ตามเป้าหมาย ด้วยการมอบรางวัล และประกาศเกียรติคุณ ที่ฉีดวัคซีนได้ 70% เพื่อเป็นขวัญกําลังใจและเป็นแรงผลักดันให้พื้นที่อื่นๆ เร่งรัดตามมา เมื่อแต่ละอําเภอสามารถดําเนินการสําเร็จจะทําให้ภาพรวมการฉีดวัคซีนของจังหวัด และเขตสุขภาพเกิดความครอบคลุม ล่าสุดการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นชัดเจนข้อมูลถึงวันที่ 2 กันยายน 2564 เขตสุขภาพที่ 12 ได้ฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 ไปแล้ว 523,547 คน คิดเป็น49.65%ในจํานวนนี้เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 352,956 คน คิดเป็น 55.71% ของผู้สูงอายุทั้งหมด ซึ่งผลดีการการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมคือ จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในพื้นที่ หรือหากมีประชาชนติดเชื้อโควิด 19จะช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ มีอําเภอที่บรรลุเป้าหมายฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมผู้สูงอายุเกิน 70% แล้วได้แก่ จ.สงขลา อ.นาหม่อม อ.นาทวี อ.เมืองสงขลา อ.ควนเนียง อ.หอยโข่งอ.หาดใหญ่ อ.สิงหนคร อ.บางกล่ํา / จ.ยะลา อ.เบตง อ.เมืองยะลา / จ.ปัตตานี อ.ไม้แก่น อ.เมืองปัตตานี อ.โคกโพธิ์/ จ.นราธิวาส อ.เมืองนราธิวาส อ.สุคิริน อ.สุไหงโก-ลก / จ.ตรัง อ.เมืองตรัง/ จ.พัทลุง อ.เมืองพัทลุง อ.ตะโหมด อ.เขาชัยสน อ.บางแก้ว / จ.สตูล อ.มะนัง *********************************** 5 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45539
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดยอด! ผลงาน “ไกล่เกลี่ยหนี้สิน” ตามนโยบายนายกฯ 60 ครั้ง ช่วยเหลือ ปชช. 48,523 ราย มูลค่าทุนทรัพย์กว่าหมื่นล้านบาท
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565 สุดยอด! ผลงาน “ไกล่เกลี่ยหนี้สิน” ตามนโยบายนายกฯ 60 ครั้ง ช่วยเหลือ ปชช. 48,523 ราย มูลค่าทุนทรัพย์กว่าหมื่นล้านบาท ..... ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ข้อมูลล่าสุดพบว่า “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สิน หนี้ครัวเรือน” ทั้ง 60 ครั้งที่ผ่านมา ภาพรวมมีลูกหนี้ขอไกล่เกลี่ยแล้ว 51,145 ราย และไกล่เกลี่ยสําเร็จ 48,523 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.87 รวมทุนทรัพย์กว่า 10,162 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องคดีของประชาชนได้ราว 4,358 ล้านบาท . โดยมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือนฯ ทั่วประเทศ ยังเหลืออีก 17 ครั้ง ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในเดือนส.ค. 65 ดังนั้น รัฐบาลขอเชิญชวน ปชช. ที่เป็นหนี้ กยศ. บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรถยนต์ที่มีคดีพิพาทก่อนฟ้องและหลังศาลมีคําพิพากษา ร่วมงานมหกรรมดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ . -สายด่วนยุติธรรม 1111 ก ด77 -กรมบังคับคดี 02 881 4999 -สายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 -ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 02 881 4840 -กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 0 2141 2768 ถึง 73 #ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุดยอด! ผลงาน “ไกล่เกลี่ยหนี้สิน” ตามนโยบายนายกฯ 60 ครั้ง ช่วยเหลือ ปชช. 48,523 ราย มูลค่าทุนทรัพย์กว่าหมื่นล้านบาท วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565 สุดยอด! ผลงาน “ไกล่เกลี่ยหนี้สิน” ตามนโยบายนายกฯ 60 ครั้ง ช่วยเหลือ ปชช. 48,523 ราย มูลค่าทุนทรัพย์กว่าหมื่นล้านบาท ..... ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ข้อมูลล่าสุดพบว่า “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สิน หนี้ครัวเรือน” ทั้ง 60 ครั้งที่ผ่านมา ภาพรวมมีลูกหนี้ขอไกล่เกลี่ยแล้ว 51,145 ราย และไกล่เกลี่ยสําเร็จ 48,523 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.87 รวมทุนทรัพย์กว่า 10,162 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องคดีของประชาชนได้ราว 4,358 ล้านบาท . โดยมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือนฯ ทั่วประเทศ ยังเหลืออีก 17 ครั้ง ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในเดือนส.ค. 65 ดังนั้น รัฐบาลขอเชิญชวน ปชช. ที่เป็นหนี้ กยศ. บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรถยนต์ที่มีคดีพิพาทก่อนฟ้องและหลังศาลมีคําพิพากษา ร่วมงานมหกรรมดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ . -สายด่วนยุติธรรม 1111 ก ด77 -กรมบังคับคดี 02 881 4999 -สายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 -ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 02 881 4840 -กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 0 2141 2768 ถึง 73 #ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ยืนยัน รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนโควิดสำหรับประชาชนในไทยทุกคน
วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม 2564 “อนุทิน” ยืนยัน รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนโควิดสําหรับประชาชนในไทยทุกคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันรัฐบาลจะจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนในประเทศไทยทุกคน มอบกรมควบคุมโรคเร่งเจรจาต่อรองกับแอสตร้าไทยแลนด์ ให้ได้วัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันรัฐบาลจะจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนในประเทศไทยทุกคน มอบกรมควบคุมโรคเร่งเจรจาต่อรองกับแอสตร้าไทยแลนด์ ให้ได้วัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุด วันนี้ (17 กรกฎาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการจัดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่สถานีกลางบางซื่อว่า วันนี้ได้มาติดตามการฉีดวัคซีนที่นี้ซึ่งเปิดบริการฉีดวัคซีนให้ประชาชนต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 55 แล้ว (ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม -16 กรกฎาคม 2564) ด้วยอัตรากําลังแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกรและเจ้าหน้าที่สนับสนุนวันละ 420 คน ให้บริการฉีดวัคซีนไปแล้ว 819,011โดส พร้อมกําชับให้เร่งรัดดําเนินการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจําตัว 7 กลุ่มโรคและหญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้เกิดภูมิต้านทาน ลดการเจ็บป่วยรุนแรง ลดอัตราการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด นายอนุทิน กล่าวว่า สําหรับแผนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในช่วงที่มีการระบาดของโรครุนแรงนี้ ได้มีข้อสั่งการ ให้สลับชนิดการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับการเสนอจากคณะกรรมการวิชาการที่ประกอบด้วยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลวิธีการบริหารจัดการวัคซีน ที่ได้ทําการศึกษาวิจัยวิธีการฉีดวัคซีนซิโนแวคสลับกับแอสตร้าเซนเนก้า ทําให้เกิดภูมิต้านทานในระยะเวลาอันสั้น มีประโยชน์ต่อประชาชนในการรับมือกับสายพันธุ์เดลต้า ฝ่ายนโยบายได้พิจารณาว่าเป็นประโยชน์กับประชาชนสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการระบาดรุนแรงจึงได้รับแนวทางมาดําเนินการ ในส่วนของการจัดหาวัคซีน กรมควบคุมโรคในฐานะคู่สัญญากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จํากัด ได้เจรจาต่อรองอย่างต่อเนื่องให้ผู้ผลิตที่จะจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ประเทศไทยมากที่สุด เร็วที่สุด โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดรุนแรงขณะนี้ โดยได้ตั้งคณะทํางานในการเจรจากับผู้ผลิต “รัฐบาลไทยจะจัดหาวัคซีนและฉีดให้กับคนในประเทศไทยจนครบทุกคน จนกว่าโรคโควิดจะหมดไปหรือจนกลายเป็นโรคประจําถิ่น” นายอนุทินกล่าว ***************************************** 17 กรกฎาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ยืนยัน รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนโควิดสำหรับประชาชนในไทยทุกคน วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม 2564 “อนุทิน” ยืนยัน รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนโควิดสําหรับประชาชนในไทยทุกคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันรัฐบาลจะจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนในประเทศไทยทุกคน มอบกรมควบคุมโรคเร่งเจรจาต่อรองกับแอสตร้าไทยแลนด์ ให้ได้วัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันรัฐบาลจะจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนในประเทศไทยทุกคน มอบกรมควบคุมโรคเร่งเจรจาต่อรองกับแอสตร้าไทยแลนด์ ให้ได้วัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุด วันนี้ (17 กรกฎาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการจัดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่สถานีกลางบางซื่อว่า วันนี้ได้มาติดตามการฉีดวัคซีนที่นี้ซึ่งเปิดบริการฉีดวัคซีนให้ประชาชนต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 55 แล้ว (ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม -16 กรกฎาคม 2564) ด้วยอัตรากําลังแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกรและเจ้าหน้าที่สนับสนุนวันละ 420 คน ให้บริการฉีดวัคซีนไปแล้ว 819,011โดส พร้อมกําชับให้เร่งรัดดําเนินการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจําตัว 7 กลุ่มโรคและหญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้เกิดภูมิต้านทาน ลดการเจ็บป่วยรุนแรง ลดอัตราการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด นายอนุทิน กล่าวว่า สําหรับแผนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในช่วงที่มีการระบาดของโรครุนแรงนี้ ได้มีข้อสั่งการ ให้สลับชนิดการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับการเสนอจากคณะกรรมการวิชาการที่ประกอบด้วยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลวิธีการบริหารจัดการวัคซีน ที่ได้ทําการศึกษาวิจัยวิธีการฉีดวัคซีนซิโนแวคสลับกับแอสตร้าเซนเนก้า ทําให้เกิดภูมิต้านทานในระยะเวลาอันสั้น มีประโยชน์ต่อประชาชนในการรับมือกับสายพันธุ์เดลต้า ฝ่ายนโยบายได้พิจารณาว่าเป็นประโยชน์กับประชาชนสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการระบาดรุนแรงจึงได้รับแนวทางมาดําเนินการ ในส่วนของการจัดหาวัคซีน กรมควบคุมโรคในฐานะคู่สัญญากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จํากัด ได้เจรจาต่อรองอย่างต่อเนื่องให้ผู้ผลิตที่จะจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ประเทศไทยมากที่สุด เร็วที่สุด โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดรุนแรงขณะนี้ โดยได้ตั้งคณะทํางานในการเจรจากับผู้ผลิต “รัฐบาลไทยจะจัดหาวัคซีนและฉีดให้กับคนในประเทศไทยจนครบทุกคน จนกว่าโรคโควิดจะหมดไปหรือจนกลายเป็นโรคประจําถิ่น” นายอนุทินกล่าว ***************************************** 17 กรกฎาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ การประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ การประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45473
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.กระจายวัคซีนโควิดถึง รพ.สต. เพิ่มความสะดวกรับเข็มกระตุ้น ย้ำช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้
วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565 สธ.กระจายวัคซีนโควิดถึง รพ.สต. เพิ่มความสะดวกรับเข็มกระตุ้น ย้ําช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 พบแนวโน้มผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในการคาดการณ์ ย้ําสงกรานต์ต้องเข้มมาตรการเพื่อลดการติดเชื้อ พร้อมขอลูกหลานพาผู้สูงอายุมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 พบแนวโน้มผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในการคาดการณ์ ย้ําสงกรานต์ต้องเข้มมาตรการเพื่อลดการติดเชื้อ พร้อมขอลูกหลานพาผู้สูงอายุมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ โดยกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส ถึงระดับ รพ.สต. เพิ่มความสะดวกการเข้ารับวัคซีน แนะเด็กมัธยม 12-17 ปี ฉีดเข็มกระตุ้นก่อนเปิดเทอม เลือกได้ทั้งเต็มโดสหรือครึ่งโดส วันนี้ (12 เมษายน 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าว การคาดการณ์สถานการณ์โควิด 19หลังสงกรานต์ ว่า ขณะนี้ทั่วโลกยังมีการติดเชื้อโควิด 19 สูง จึงยังต้องระมัดระวัง โดยหลายประเทศที่ควบคุมได้ดีมีการผ่อนคลายมาตรการ เริ่มกลับมามีผู้เสียชีวิตในอัตราที่สูงมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปและประเทศเกาหลีใต้สําหรับประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ย 14 วัน ประมาณ 2 หมื่นกว่าราย ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช้าๆ จึงยังต้องเข้มมาตรการป้องกันการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ทั้งหมดยังเป็นไปตามระดับการคาดการณ์ ที่มีการร่วมมือของประชาชนอยู่ในระดับที่ดี หากคงมาตรการต่างๆ ไว้ได้ก็จะควบคุมการระบาดได้อย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม หลังเทศกาลสงกรานต์ หากมีการรวมตัวทํากิจกรรมโดยไม่เว้นระยะห่าง หรือหย่อนมาตรการ ก็อาจมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ สําหรับผู้เสียชีวิตยังเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจําตัว และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ดังนั้น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งก่อนเดินทาง ระหว่างเทศกาล และช่วงเดินทางกลับ ขอให้ประชาชนป้องกันตนเองทั้งจากโควิด 19 และอุบัติเหตุ โดยก่อนเดินทางต้องทําตนเองให้ปราศจากเชื้อ (Self Clean Up) ตรวจ ATK ก่อนเดินทาง ระหว่างสงกรานต์ขอให้เข้มมาตรการป้องกันตนเองตลอดเวลา ผู้สูงอายุควรรับวัคซีนให้ครบก่อนร่วมกิจกรรมและหลังเทศกาล ให้สังเกตอาการตนเอง 7 วัน หากมีอาการของระบบทางเดินหายใจ ควรตรวจ ATK หลีกเลี่ยงพบปะผู้คนจํานวนมาก ทํางานที่บ้านตามความเหมาะสม ส่วนการลดอุบัติเหตุให้ใช้มาตรการ 3 ม. 3 ด่าน นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทําให้ผู้สูงอายุไม่ได้รับวัคซีน คือ 1.การเดินทางไปรับวัคซีนลําบาก 2.กลัวผลข้างเคียง และ 3.ลังเลที่จะฉีดเข็มกระตุ้น ดังนั้น ช่วงสงกรานต์ที่ลูกหลานกลับภูมิลําเนา ขอให้ถือโอกาสพาผู้สูงอายุ ญาติผู้ใหญ่ที่บ้านไปรับวัคซีนที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกระจายวัคซีนทั้งไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าไปถึง รพ.สต. เพื่อให้ใกล้บ้านที่สุด โดยวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส เป็นรุ่นฝาสีเทาซึ่งเหมาะกับการนําไปฉีดที่รพ.สต. เนื่องจากไม่ต้องผสมน้ําเกลือก่อนฉีด และสามารถเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานขึ้นจาก 4 สัปดาห์ เป็น 8-10 สัปดาห์ ซึ่งการฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มขึ้น จะช่วยลดการติดเชื้อและการเสียชีวิตได้มากขึ้น ส่วนกลุ่มเด็กมัธยมศึกษาอายุ 12-17 ปี ขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ต้องมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นแล้วเช่นกัน จึงแนะนําให้รับวัคซีนก่อนเปิดเทอมช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยสามารถเลือกรับได้ทั้งแบบเต็มโดสหรือครึ่งโดสซึ่งทั้งสองแบบมีประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิคุ้มกันไม่แตกต่างกัน แต่การฉีดครึ่งโดสจะมีผลข้างเคียงจากวัคซีนน้อยกว่าโดยกลุ่มเด็กที่สุขภาพปกติ จะฉีดโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ส่วนกลุ่มเด็กป่วยสามารถรับบริการในโรงพยาบาลที่รักษาได้ขณะที่เด็กประถมศึกษาอายุ 5-11 ปี ฉีดเข็มแรกไปแล้ว จะฉีดเข็มสองห่างจากเข็มแรกประมาณ 8 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการเร่งรัดฉีดเพื่อรองรับการเปิดเทอมต่อไป ************************************** 12 เมษายน 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.กระจายวัคซีนโควิดถึง รพ.สต. เพิ่มความสะดวกรับเข็มกระตุ้น ย้ำช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565 สธ.กระจายวัคซีนโควิดถึง รพ.สต. เพิ่มความสะดวกรับเข็มกระตุ้น ย้ําช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 พบแนวโน้มผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในการคาดการณ์ ย้ําสงกรานต์ต้องเข้มมาตรการเพื่อลดการติดเชื้อ พร้อมขอลูกหลานพาผู้สูงอายุมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 พบแนวโน้มผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในการคาดการณ์ ย้ําสงกรานต์ต้องเข้มมาตรการเพื่อลดการติดเชื้อ พร้อมขอลูกหลานพาผู้สูงอายุมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ โดยกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส ถึงระดับ รพ.สต. เพิ่มความสะดวกการเข้ารับวัคซีน แนะเด็กมัธยม 12-17 ปี ฉีดเข็มกระตุ้นก่อนเปิดเทอม เลือกได้ทั้งเต็มโดสหรือครึ่งโดส วันนี้ (12 เมษายน 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าว การคาดการณ์สถานการณ์โควิด 19หลังสงกรานต์ ว่า ขณะนี้ทั่วโลกยังมีการติดเชื้อโควิด 19 สูง จึงยังต้องระมัดระวัง โดยหลายประเทศที่ควบคุมได้ดีมีการผ่อนคลายมาตรการ เริ่มกลับมามีผู้เสียชีวิตในอัตราที่สูงมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปและประเทศเกาหลีใต้สําหรับประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ย 14 วัน ประมาณ 2 หมื่นกว่าราย ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช้าๆ จึงยังต้องเข้มมาตรการป้องกันการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ทั้งหมดยังเป็นไปตามระดับการคาดการณ์ ที่มีการร่วมมือของประชาชนอยู่ในระดับที่ดี หากคงมาตรการต่างๆ ไว้ได้ก็จะควบคุมการระบาดได้อย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม หลังเทศกาลสงกรานต์ หากมีการรวมตัวทํากิจกรรมโดยไม่เว้นระยะห่าง หรือหย่อนมาตรการ ก็อาจมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ สําหรับผู้เสียชีวิตยังเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจําตัว และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ดังนั้น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งก่อนเดินทาง ระหว่างเทศกาล และช่วงเดินทางกลับ ขอให้ประชาชนป้องกันตนเองทั้งจากโควิด 19 และอุบัติเหตุ โดยก่อนเดินทางต้องทําตนเองให้ปราศจากเชื้อ (Self Clean Up) ตรวจ ATK ก่อนเดินทาง ระหว่างสงกรานต์ขอให้เข้มมาตรการป้องกันตนเองตลอดเวลา ผู้สูงอายุควรรับวัคซีนให้ครบก่อนร่วมกิจกรรมและหลังเทศกาล ให้สังเกตอาการตนเอง 7 วัน หากมีอาการของระบบทางเดินหายใจ ควรตรวจ ATK หลีกเลี่ยงพบปะผู้คนจํานวนมาก ทํางานที่บ้านตามความเหมาะสม ส่วนการลดอุบัติเหตุให้ใช้มาตรการ 3 ม. 3 ด่าน นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทําให้ผู้สูงอายุไม่ได้รับวัคซีน คือ 1.การเดินทางไปรับวัคซีนลําบาก 2.กลัวผลข้างเคียง และ 3.ลังเลที่จะฉีดเข็มกระตุ้น ดังนั้น ช่วงสงกรานต์ที่ลูกหลานกลับภูมิลําเนา ขอให้ถือโอกาสพาผู้สูงอายุ ญาติผู้ใหญ่ที่บ้านไปรับวัคซีนที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกระจายวัคซีนทั้งไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าไปถึง รพ.สต. เพื่อให้ใกล้บ้านที่สุด โดยวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส เป็นรุ่นฝาสีเทาซึ่งเหมาะกับการนําไปฉีดที่รพ.สต. เนื่องจากไม่ต้องผสมน้ําเกลือก่อนฉีด และสามารถเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานขึ้นจาก 4 สัปดาห์ เป็น 8-10 สัปดาห์ ซึ่งการฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มขึ้น จะช่วยลดการติดเชื้อและการเสียชีวิตได้มากขึ้น ส่วนกลุ่มเด็กมัธยมศึกษาอายุ 12-17 ปี ขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ต้องมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นแล้วเช่นกัน จึงแนะนําให้รับวัคซีนก่อนเปิดเทอมช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยสามารถเลือกรับได้ทั้งแบบเต็มโดสหรือครึ่งโดสซึ่งทั้งสองแบบมีประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิคุ้มกันไม่แตกต่างกัน แต่การฉีดครึ่งโดสจะมีผลข้างเคียงจากวัคซีนน้อยกว่าโดยกลุ่มเด็กที่สุขภาพปกติ จะฉีดโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ส่วนกลุ่มเด็กป่วยสามารถรับบริการในโรงพยาบาลที่รักษาได้ขณะที่เด็กประถมศึกษาอายุ 5-11 ปี ฉีดเข็มแรกไปแล้ว จะฉีดเข็มสองห่างจากเข็มแรกประมาณ 8 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการเร่งรัดฉีดเพื่อรองรับการเปิดเทอมต่อไป ************************************** 12 เมษายน 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Meet & Greet “Thailand Moving Together กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง”
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Meet & Greet “Thailand Moving Together กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง” ในวันที่ 16 มิถุนายน 2565 ณ ห้องฟินิกซ์ 1 - 6 อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในงาน Meet & Greet “Thailand Moving Together กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง” โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ และมี นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสิรภพ ดวงสอดศรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้าน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมาคมต่าง ๆ และตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยวและภาคการขนส่ง รวมทั้ง ภาคประชาชน เข้าร่วมงานดังกล่าว ในวันที่ 16 มิถุนายน 2565 ณ ห้องฟินิกซ์ 1 - 6 อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข กระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม ได้ประสานความร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเตรียมความพร้อมรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย โดยกระทรวงคมนาคมได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ณ สถานีกลางบางซื่อ ปัจจุบันได้ให้บริการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 20 ล้านโดส ซึ่งเป็นผลให้ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ แม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่กระทรวงคมนาคมไม่ได้หยุดหรือชะลอการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เนื่องจากเห็นถึงความจําเป็น ที่จะต้องเตรียมความพร้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ รองรับการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยภายหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญครอบคลุมพื้นที่ สามารถรองรับความต้องการของประชาชนและส่งผลต่อยอดเชื่อมโยงเครือข่ายในระดับประเทศ โดยกระทรวงคมนาคมได้เตรียมความพร้อมภายหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายในทุกมิติของการเดินทางแบ่งเป็น 2 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1. การเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IATA คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการบินของไทยจะกลับสู่ภาวะปกติในปี 2567 และผู้โดยสารจะเติบโตถึง 200 ล้านคนต่อปี ในปี 2574 โดยอุตสาหกรรมการบินของไทยจะเติบโตเป็นอันดับ 9 ของโลก นับตั้งแต่มีมาตรการเปิดประเทศ ปริมาณผู้โดยสารต่างชาติต่อเดือนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มสูงขึ้นจาก 270,000 คนต่อเดือน ในช่วงต้นปี 2565 เป็นกว่า 1 ล้านคน ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากการคาดการณ์ในปี 2565 จะมีจํานวนผู้โดยสารเดินทางโดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กว่า 22 ล้านคน นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทยประมาณ 6 ล้านคน โดยค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อคนตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะอยู่ที่ประมาณคนละ 48,000 บาท จะก่อให้เกิดเม็ดเงินที่เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศ สูงถึง 326,000 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 565,450 ล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งจะทําให้เกิดผลประโยชน์ทวีคูณทางเศรษฐกิจถึง 1.34 ล้านล้านบาท ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้กระทรวงคมนาคมได้มีการเตรียมความพร้อมแล้วในทุกมิติเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ปัจจุบันท่าอากาศยานเกือบทุกแห่งมีความพร้อมแล้วสําหรับการรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีการเตรียมความพร้อม Slot รองรับเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นจากมาตการเปิดประเทศในท่าอากาศยานหลัก การเตรียมความพร้อมระบบ Self Check-in ที่ท่าอากาศยาน เพื่อลดการสัมผัสตามมาตรการสาธารณสุข รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผู้โดยสารและลดแถวคอย Check-in และเตรียมความพร้อมตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ ยังได้กําชับกรมการขนส่งทางบกให้ส่งผู้ตรวจการกรมลงพื้นที่ตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะและรถแท็กซี่ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่าอากาศยาน สถานีขนส่งผู้โดยสารให้มีความพร้อมในการบริการผู้โดยสาร ส่วนการเดินรถโดยสารประจําทางเส้นทางระหว่างประเทศ บขส. ได้เปิดเดินรถระหว่างประเทศไทย - สปป.ลาว จํานวน 9 เส้นทาง ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา 2. การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้ดําเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคู่ขนานกันทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศ ซึ่งแต่ละโครงการมีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก ขณะที่หลายโครงการเป็นการลงทุนต่อเนื่อง ต้องใช้เวลาในการดําเนินการ นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมมีแผนที่จะลงทุนในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนพัฒนางานคมนาคมครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งสรุปการดําเนินงานที่ผ่านมาได้ดังนี้ มิติการเดินทางทางราง การพัฒนาระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และชานเมือง ซึ่งเป็นหัวใจการแก้ปัญหาการจราจรติดขัดและลดปัญหามลพิษ ซึ่งตามแผนแม่บทการพัฒนามีทั้งหมด 14 สี 27 เส้นทาง ระยะทาง 554 กิโลเมตร ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วจํานวน 7 สี 11 เส้นทาง รวมระยะทาง 212 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 4 สี 4 เส้นทาง รวมระยะทาง 114 กิโลเมตร ได้แก่ 1) สายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี คาดว่าจะเปิดให้บริการเดือนกรกฎาคม 2566 2) สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง คาดว่าจะเปิดให้บริการเดือนเมษายน 2566 3) สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี คาดว่าจะเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2568 และ 4) แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ช่วงพญาไท - ดอนเมือง ตามแผนจะเปิดให้บริการเดือนมกราคม 2571 การพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้วางแผนการลงทุนเพื่อพัฒนารถไฟทางคู่ในโครงข่ายทางรถไฟ ดังนี้ 1) เร่งรัดการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ให้แล้วเสร็จ ประกอบด้วย เส้นทางลพบุรี - ปากน้ําโพ นครปฐม - หัวหิน หัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ และประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร 2) เริ่มงานการก่อสร้าง ทางรถไฟสายใหม่ ประกอบด้วย เส้นทางเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ และบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม และ 3) การเสนอขออนุมัติโครงการทางคู่ ระยะที่ 2 อีก 7 เส้นทาง ระยะทาง 1,483 กิโลเมตร จะทําให้ประเทศไทยจะมีเส้นทางรถไฟทางคู่มากกว่า 3,200 กิโลเมตร ทั่วประเทศ การพัฒนารถไฟความเร็วสูง (High Speed Rail) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางของประชาชนและเชื่อมต่อประเทศไทยกับประเทศอื่นในภูมิภาค ในปี 2565 กระทรวงคมนาคมกําลังเร่งดําเนินการ ดังนี้ 1) โครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ - นครราชสีมา 2) โครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงที่ 2 นครราชสีมา - หนองคาย และ 3) รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) มิติการเดินทางทางถนน กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาการคมนาคมขนส่งทางถนนที่สําคัญ ประกอบด้วย 1) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) 2) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81) ทั้ง 2 โครงการจะเร่งรัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จในปี 2565 และเริ่มหาเอกชนร่วมลงทุนพัฒนาและบริหารที่พักริมทาง เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้บางส่วนในปี 2566 มิติการเดินทางทางน้ํา โครงการพัฒนาท่าเรือที่สําคัญของประเทศไทย จํานวน 2 ท่าเรือ ประกอบด้วย 1) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F เมื่อพัฒนาแล้วจะเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบังจาก 11 ล้านตู้ต่อปี เป็น 18 ล้านตู้ต่อปี คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2568 และ 2) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ปัจจุบันอยู่ระหว่างดําเนินการถมทะเล โดยจะเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือจาก 16 ล้านตันต่อปี เป็น 31 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2569 มิติการเดินทางทางอากาศ โครงการพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางอากาศที่สําคัญ จํานวน 2 โครงการ ประกอบด้วย ประกอบด้วย 1) การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ดําเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร หรือ SAT-1 เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันได้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการ และ 2) โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา ขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบัน 3 ล้านคนต่อปี ให้ได้ 15.9 ล้านคนต่อปี ในปี 2567 ช่วยรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้เตรียมความพร้อมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมของประเทศสําหรับอนาคต ประกอบด้วย 1) โครงการ MR-MAP เป็นการพัฒนาแนวโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองคู่ขนานไปกับโครงข่ายรถไฟทางคู่ ประกอบด้วย 10 เส้นทาง แบ่งเป็นแนวเหนือใต้ 3 เส้นทาง แนวตะวันออก - ตะวันตก 6 เส้นทาง และแนววงแหวนอีก 1 เส้นทาง 2) โครงการ Landbridge ชุมพร - ระนอง กระทรวงคมนาคมได้ทําการศึกษาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน ที่จังหวัดชุมพรและระนอง ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการขนส่งเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดของช่องแคบมะละกา และจะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางน้ําที่สําคัญของภูมิภาคอาเซียน ทําให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางน้ําที่สําคัญ และ 3) การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งทางทะเล อยู่ระหว่างดําเนินโครงการการจัดตั้งสายเดินเรือแห่งชาติ โดยรูปแบบในการดําเนินการรัฐบาลจะร่วมกับภาคเอกชนในการจัดตั้งสายเดินเรือของไทยขึ้น โดยรัฐบาลจะอํานวยความสะดวกพร้อมให้สิทธิพิเศษในการจัดตั้งและดําเนินการเพื่อให้กองเรือไทยสามารถแข่งขันได้ และเป็นเครื่องมือในการขนส่งสินค้าของไทยทั้งการนําเข้าและส่งออก เพื่อสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนต่อไป ท้ายนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขที่ได้เปิดเวทีรับฟังความเห็นจากตัวแทนสมาคม ผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวและภาคการขนส่ง รวมทั้งภาคประชาชน เพื่อรวบรวมความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการวางแผนสนับสนุนการดําเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม ซึ่งกระทรวงคมนาคมพร้อมนําความเห็นที่เป็นประโยชน์ไปปรับการดําเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Meet & Greet “Thailand Moving Together กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง” วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Meet & Greet “Thailand Moving Together กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง” ในวันที่ 16 มิถุนายน 2565 ณ ห้องฟินิกซ์ 1 - 6 อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในงาน Meet & Greet “Thailand Moving Together กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง” โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ และมี นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสิรภพ ดวงสอดศรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้าน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมาคมต่าง ๆ และตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยวและภาคการขนส่ง รวมทั้ง ภาคประชาชน เข้าร่วมงานดังกล่าว ในวันที่ 16 มิถุนายน 2565 ณ ห้องฟินิกซ์ 1 - 6 อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข กระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม ได้ประสานความร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเตรียมความพร้อมรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย โดยกระทรวงคมนาคมได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ณ สถานีกลางบางซื่อ ปัจจุบันได้ให้บริการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 20 ล้านโดส ซึ่งเป็นผลให้ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ แม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่กระทรวงคมนาคมไม่ได้หยุดหรือชะลอการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เนื่องจากเห็นถึงความจําเป็น ที่จะต้องเตรียมความพร้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ รองรับการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยภายหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญครอบคลุมพื้นที่ สามารถรองรับความต้องการของประชาชนและส่งผลต่อยอดเชื่อมโยงเครือข่ายในระดับประเทศ โดยกระทรวงคมนาคมได้เตรียมความพร้อมภายหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายในทุกมิติของการเดินทางแบ่งเป็น 2 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1. การเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IATA คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการบินของไทยจะกลับสู่ภาวะปกติในปี 2567 และผู้โดยสารจะเติบโตถึง 200 ล้านคนต่อปี ในปี 2574 โดยอุตสาหกรรมการบินของไทยจะเติบโตเป็นอันดับ 9 ของโลก นับตั้งแต่มีมาตรการเปิดประเทศ ปริมาณผู้โดยสารต่างชาติต่อเดือนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มสูงขึ้นจาก 270,000 คนต่อเดือน ในช่วงต้นปี 2565 เป็นกว่า 1 ล้านคน ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากการคาดการณ์ในปี 2565 จะมีจํานวนผู้โดยสารเดินทางโดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กว่า 22 ล้านคน นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทยประมาณ 6 ล้านคน โดยค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อคนตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะอยู่ที่ประมาณคนละ 48,000 บาท จะก่อให้เกิดเม็ดเงินที่เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศ สูงถึง 326,000 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 565,450 ล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งจะทําให้เกิดผลประโยชน์ทวีคูณทางเศรษฐกิจถึง 1.34 ล้านล้านบาท ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้กระทรวงคมนาคมได้มีการเตรียมความพร้อมแล้วในทุกมิติเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ปัจจุบันท่าอากาศยานเกือบทุกแห่งมีความพร้อมแล้วสําหรับการรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีการเตรียมความพร้อม Slot รองรับเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นจากมาตการเปิดประเทศในท่าอากาศยานหลัก การเตรียมความพร้อมระบบ Self Check-in ที่ท่าอากาศยาน เพื่อลดการสัมผัสตามมาตรการสาธารณสุข รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผู้โดยสารและลดแถวคอย Check-in และเตรียมความพร้อมตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ ยังได้กําชับกรมการขนส่งทางบกให้ส่งผู้ตรวจการกรมลงพื้นที่ตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะและรถแท็กซี่ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่าอากาศยาน สถานีขนส่งผู้โดยสารให้มีความพร้อมในการบริการผู้โดยสาร ส่วนการเดินรถโดยสารประจําทางเส้นทางระหว่างประเทศ บขส. ได้เปิดเดินรถระหว่างประเทศไทย - สปป.ลาว จํานวน 9 เส้นทาง ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา 2. การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้ดําเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคู่ขนานกันทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศ ซึ่งแต่ละโครงการมีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก ขณะที่หลายโครงการเป็นการลงทุนต่อเนื่อง ต้องใช้เวลาในการดําเนินการ นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมมีแผนที่จะลงทุนในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนพัฒนางานคมนาคมครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งสรุปการดําเนินงานที่ผ่านมาได้ดังนี้ มิติการเดินทางทางราง การพัฒนาระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และชานเมือง ซึ่งเป็นหัวใจการแก้ปัญหาการจราจรติดขัดและลดปัญหามลพิษ ซึ่งตามแผนแม่บทการพัฒนามีทั้งหมด 14 สี 27 เส้นทาง ระยะทาง 554 กิโลเมตร ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วจํานวน 7 สี 11 เส้นทาง รวมระยะทาง 212 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 4 สี 4 เส้นทาง รวมระยะทาง 114 กิโลเมตร ได้แก่ 1) สายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี คาดว่าจะเปิดให้บริการเดือนกรกฎาคม 2566 2) สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง คาดว่าจะเปิดให้บริการเดือนเมษายน 2566 3) สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี คาดว่าจะเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2568 และ 4) แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ช่วงพญาไท - ดอนเมือง ตามแผนจะเปิดให้บริการเดือนมกราคม 2571 การพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้วางแผนการลงทุนเพื่อพัฒนารถไฟทางคู่ในโครงข่ายทางรถไฟ ดังนี้ 1) เร่งรัดการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ให้แล้วเสร็จ ประกอบด้วย เส้นทางลพบุรี - ปากน้ําโพ นครปฐม - หัวหิน หัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ และประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร 2) เริ่มงานการก่อสร้าง ทางรถไฟสายใหม่ ประกอบด้วย เส้นทางเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ และบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม และ 3) การเสนอขออนุมัติโครงการทางคู่ ระยะที่ 2 อีก 7 เส้นทาง ระยะทาง 1,483 กิโลเมตร จะทําให้ประเทศไทยจะมีเส้นทางรถไฟทางคู่มากกว่า 3,200 กิโลเมตร ทั่วประเทศ การพัฒนารถไฟความเร็วสูง (High Speed Rail) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางของประชาชนและเชื่อมต่อประเทศไทยกับประเทศอื่นในภูมิภาค ในปี 2565 กระทรวงคมนาคมกําลังเร่งดําเนินการ ดังนี้ 1) โครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ - นครราชสีมา 2) โครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงที่ 2 นครราชสีมา - หนองคาย และ 3) รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) มิติการเดินทางทางถนน กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาการคมนาคมขนส่งทางถนนที่สําคัญ ประกอบด้วย 1) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) 2) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81) ทั้ง 2 โครงการจะเร่งรัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จในปี 2565 และเริ่มหาเอกชนร่วมลงทุนพัฒนาและบริหารที่พักริมทาง เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้บางส่วนในปี 2566 มิติการเดินทางทางน้ํา โครงการพัฒนาท่าเรือที่สําคัญของประเทศไทย จํานวน 2 ท่าเรือ ประกอบด้วย 1) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F เมื่อพัฒนาแล้วจะเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบังจาก 11 ล้านตู้ต่อปี เป็น 18 ล้านตู้ต่อปี คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2568 และ 2) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ปัจจุบันอยู่ระหว่างดําเนินการถมทะเล โดยจะเพิ่มขีดความสามารถท่าเรือจาก 16 ล้านตันต่อปี เป็น 31 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2569 มิติการเดินทางทางอากาศ โครงการพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางอากาศที่สําคัญ จํานวน 2 โครงการ ประกอบด้วย ประกอบด้วย 1) การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ดําเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร หรือ SAT-1 เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันได้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการ และ 2) โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา ขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบัน 3 ล้านคนต่อปี ให้ได้ 15.9 ล้านคนต่อปี ในปี 2567 ช่วยรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้เตรียมความพร้อมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมของประเทศสําหรับอนาคต ประกอบด้วย 1) โครงการ MR-MAP เป็นการพัฒนาแนวโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองคู่ขนานไปกับโครงข่ายรถไฟทางคู่ ประกอบด้วย 10 เส้นทาง แบ่งเป็นแนวเหนือใต้ 3 เส้นทาง แนวตะวันออก - ตะวันตก 6 เส้นทาง และแนววงแหวนอีก 1 เส้นทาง 2) โครงการ Landbridge ชุมพร - ระนอง กระทรวงคมนาคมได้ทําการศึกษาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน ที่จังหวัดชุมพรและระนอง ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการขนส่งเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดของช่องแคบมะละกา และจะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางน้ําที่สําคัญของภูมิภาคอาเซียน ทําให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางน้ําที่สําคัญ และ 3) การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งทางทะเล อยู่ระหว่างดําเนินโครงการการจัดตั้งสายเดินเรือแห่งชาติ โดยรูปแบบในการดําเนินการรัฐบาลจะร่วมกับภาคเอกชนในการจัดตั้งสายเดินเรือของไทยขึ้น โดยรัฐบาลจะอํานวยความสะดวกพร้อมให้สิทธิพิเศษในการจัดตั้งและดําเนินการเพื่อให้กองเรือไทยสามารถแข่งขันได้ และเป็นเครื่องมือในการขนส่งสินค้าของไทยทั้งการนําเข้าและส่งออก เพื่อสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนต่อไป ท้ายนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขที่ได้เปิดเวทีรับฟังความเห็นจากตัวแทนสมาคม ผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวและภาคการขนส่ง รวมทั้งภาคประชาชน เพื่อรวบรวมความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการวางแผนสนับสนุนการดําเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม ซึ่งกระทรวงคมนาคมพร้อมนําความเห็นที่เป็นประโยชน์ไปปรับการดําเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. เฮ้งขานรับนโยบายนายก เร่งส่งแรงงานไทยทำงานภาคเกษตรรัฐอิสราเอล
วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 รมว. เฮ้งขานรับนโยบายนายก เร่งส่งแรงงานไทยทํางานภาคเกษตรรัฐอิสราเอล วันที่ 23 พ.ย. 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวให้โอวาทและให้กําลังใจแก่แรงงานไทย 120 คน ก่อนเดินทางทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ TIC ณ ด่านตรวจคนหางาน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานร่วมคณะ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้มีกําหนดส่งแรงงานไทย จํานวน 120 คน แบ่งเป็นเพศชาย 115 คน และเพศหญิง 5 คน ทํางานภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย - อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers: TIC) โดยแรงงานไทยดังกล่าวจะเดินทาง ไปทํางานกับนายจ้างในกิจการภาคเกษตร ได้แก่ ทําสวนดอกไม้ ปลูกกระบองเพชร ปลูกมะเขือเทศ กล้วย แตงโม และฟักทอง รวมทั้งในกิจการปศุสัตว์ ได้แก่ เลี้ยงวัว หมู ไก่ และผึ้ง มีระยะเวลาการจ้างงานครั้งแรก 2 ปีและสามารถต่อสัญญาจ้างได้อีก 3 ปี 3 เดือน รวมเป็นไม่เกิน 5 ปี 3 ทั้งหมดจะเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสาร เที่ยวบินที่ LY 082 ของสายการบินแอล อัล อิสราเอล แอร์ไลน์ จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังกรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล “รัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมแรงงานไทยให้เดินทางไปทํางานต่างประเทศ เพื่อการมีงานทํา นํารายได้เข้าประเทศ และฝากกําลังใจผ่านผมมาถึงพี่น้องแรงงานไทย ขอให้ทุกคนปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด มีความขยัน อดทนตั้งใจทํางาน ปฏิบัติตนตามกฎหมายของอิสราเอล ไม่ยุ่งเกี่ยวกับ ยาเสพติด สิ่งของมึนเมาและการพนัน รู้จักเก็บออมส่งเงินให้ครอบครัว และเรียนรู้ประสบการณ์ทางเกษตรที่ได้รับจากการทํางาน เพื่อกลับมาพัฒนาประเทศและประกอบอาชีพของตนเองภายหลังจากครบสัญญาต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน มีกระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใสตั้งแต่การรับสมัคร การสัมภาษณ์ การทําสัญญาจ้างงาน และการตรวจสอบจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแรงงานไทยเองก็มีความชํานาญในการทํางานภาคเกษตรเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันมีแรงงานไทยเดินทางไปทํางานภาคเกษตรอยู่ในรัฐอิสราเอล ทั้งสิ้น 25,000 คน และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประเทศไทยได้รับโควตาจัดส่งแรงงานฯ จํานวน 6,500 คน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ได้โควตาในการจัดส่ง 5,000 คน อย่างไรก็ดีนายจ้างอิสราเอลแจ้งความต้องการจ้างแรงงานไทยเพิ่มจากโควตา ปีที่ผ่านมาจึงจัดส่งแรงงานไทยไปทั้งสิ้น จํานวน 6,011 คน ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีนายจ้างในต่างประเทศมีความเชื่อมั่นในฝีมือและศักยภาพของแรงงานไทย “ในปีนี้ PIBA ขอให้ฝ่ายไทยจัดส่งแรงงานช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2565 จํานวน 2,500 คน ซึ่งกรมการจัดหางานมีแผนการจัดส่ง 4 เที่ยวบินต่อเดือน ๆ ละประมาณ 600 คน โดยแรงงานไทยจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกล หรือประมาณ 56,021 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ทั้งนี้ ผู้สนใจไปทํางานต่างประเทศสามารถติดตามข่าวสารการประกาศรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. เฮ้งขานรับนโยบายนายก เร่งส่งแรงงานไทยทำงานภาคเกษตรรัฐอิสราเอล วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 รมว. เฮ้งขานรับนโยบายนายก เร่งส่งแรงงานไทยทํางานภาคเกษตรรัฐอิสราเอล วันที่ 23 พ.ย. 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวให้โอวาทและให้กําลังใจแก่แรงงานไทย 120 คน ก่อนเดินทางทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ TIC ณ ด่านตรวจคนหางาน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานร่วมคณะ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้มีกําหนดส่งแรงงานไทย จํานวน 120 คน แบ่งเป็นเพศชาย 115 คน และเพศหญิง 5 คน ทํางานภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย - อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers: TIC) โดยแรงงานไทยดังกล่าวจะเดินทาง ไปทํางานกับนายจ้างในกิจการภาคเกษตร ได้แก่ ทําสวนดอกไม้ ปลูกกระบองเพชร ปลูกมะเขือเทศ กล้วย แตงโม และฟักทอง รวมทั้งในกิจการปศุสัตว์ ได้แก่ เลี้ยงวัว หมู ไก่ และผึ้ง มีระยะเวลาการจ้างงานครั้งแรก 2 ปีและสามารถต่อสัญญาจ้างได้อีก 3 ปี 3 เดือน รวมเป็นไม่เกิน 5 ปี 3 ทั้งหมดจะเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสาร เที่ยวบินที่ LY 082 ของสายการบินแอล อัล อิสราเอล แอร์ไลน์ จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังกรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล “รัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมแรงงานไทยให้เดินทางไปทํางานต่างประเทศ เพื่อการมีงานทํา นํารายได้เข้าประเทศ และฝากกําลังใจผ่านผมมาถึงพี่น้องแรงงานไทย ขอให้ทุกคนปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด มีความขยัน อดทนตั้งใจทํางาน ปฏิบัติตนตามกฎหมายของอิสราเอล ไม่ยุ่งเกี่ยวกับ ยาเสพติด สิ่งของมึนเมาและการพนัน รู้จักเก็บออมส่งเงินให้ครอบครัว และเรียนรู้ประสบการณ์ทางเกษตรที่ได้รับจากการทํางาน เพื่อกลับมาพัฒนาประเทศและประกอบอาชีพของตนเองภายหลังจากครบสัญญาต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน มีกระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใสตั้งแต่การรับสมัคร การสัมภาษณ์ การทําสัญญาจ้างงาน และการตรวจสอบจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแรงงานไทยเองก็มีความชํานาญในการทํางานภาคเกษตรเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันมีแรงงานไทยเดินทางไปทํางานภาคเกษตรอยู่ในรัฐอิสราเอล ทั้งสิ้น 25,000 คน และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประเทศไทยได้รับโควตาจัดส่งแรงงานฯ จํานวน 6,500 คน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ได้โควตาในการจัดส่ง 5,000 คน อย่างไรก็ดีนายจ้างอิสราเอลแจ้งความต้องการจ้างแรงงานไทยเพิ่มจากโควตา ปีที่ผ่านมาจึงจัดส่งแรงงานไทยไปทั้งสิ้น จํานวน 6,011 คน ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีนายจ้างในต่างประเทศมีความเชื่อมั่นในฝีมือและศักยภาพของแรงงานไทย “ในปีนี้ PIBA ขอให้ฝ่ายไทยจัดส่งแรงงานช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2565 จํานวน 2,500 คน ซึ่งกรมการจัดหางานมีแผนการจัดส่ง 4 เที่ยวบินต่อเดือน ๆ ละประมาณ 600 คน โดยแรงงานไทยจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกล หรือประมาณ 56,021 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ทั้งนี้ ผู้สนใจไปทํางานต่างประเทศสามารถติดตามข่าวสารการประกาศรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48585