title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
28
181k
raw
stringlengths
39
181k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขส่งออกเดือนตุลาคมแตะ 750,016 ล้านบาท ขยายตัว 17.4 %
วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 รัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขส่งออกเดือนตุลาคมแตะ 750,016 ล้านบาท ขยายตัว 17.4 % รัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขส่งออกเดือนตุลาคมแตะ 750,016 ล้านบาท ขยายตัว 17.4 % ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 64 ขยายตัวถึง 15.7 % หนุน “ทีมไทยแลนด์” เร่งผลักดันการส่งออกไทย หลังเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน วันนี้ 23 พ.ย. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงาน ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจําเดือนตุลาคม 2564 โดยตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนตุลาคม 2564 มีมูลค่า 22,738.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (750,016 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 17.4 และหากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ทองคํา และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 12.2 สะท้อนภาพการส่งออกของไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทําให้มีคําสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าสําคัญของไทยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการบริหารนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการเติบโตทั้งในสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การส่งออก 10 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 15.7 เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ทองคํา และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 19.6 ยืนยัน ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของไทยกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นายธนกร กล่าวว่า ปัจจัยที่ทําให้การส่งออกของไทยในปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น 1) ทิศทางการค้าโลกขยายตัวต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 4 2) ค่าเงินบาทยังอยู่ในทิศทางอ่อนค่า เพิ่มความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาให้กับสินค้าไทย 3) การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลายประเทศมีการเปิดประเทศมากขึ้นส่งผลดีต่อภาคการค้า 4) ราคาน้ํามันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน อาทิ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ และ 5) มูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์การค้าชายแดนเริ่มคลี่คลาย โดยด่านการค้าสําคัญจะกลับมาเปิดดําเนินการได้อีกครั้ง สําหรับกลุ่มสินค้าที่ขยายตัวดีได้แก่ 1) สินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะข้าว ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ยางพารา น้ํามันปาล์ม น้ําตาลทราย อาหารสัตว์เลี้ยง และสิ่งปรุงรสอาหาร 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทํางานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เตาอบไมโครเวฟ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องโทรศัพท์และอุปกรณ์ 3) สินค้า เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ 4) สินค้าขั้นกลางหรือสินค้าวัตถุดิบ เช่น เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยางยานพาหนะ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และ 5) สินค้าคงทนหรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีราคาสูง เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคํา) “นายกรัฐมนตรียังสั่งการให้ “ทีมไทยแลนด์” ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และส่วนราชการไทยทุกแห่ง เร่งขับเคลื่อนสําหรับแผนส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี ตามยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมมาตรการการส่งออกในระยะถัดไป เช่น การผลักดันการส่งออกมันสําปะหลังไทยให้มีคุณภาพอันดับ 1 ของโลก ภายใต้ยุทธศาสตร์มันสําปะหลังไทยปี 2564 – 2567 เร่งรัดใช้ประโยชน์จากความตกลง RCEP หลังจากที่ไทยยื่นให้สัตยาบันแล้ว และFTA ไทยกับคู่ค้าสําคัญ ตามแนวทางของนายกรัฐมนตรีในการรักษาตลาดเดิม สร้างตลาดใหม่ และฟื้นฟูตลาดเก่าที่เสียไป เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าผลักดันการส่งออกของไทยในตลาดต่างประเทศ เพื่อหลังเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน” นายธนกรฯ กล่าว ********************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขส่งออกเดือนตุลาคมแตะ 750,016 ล้านบาท ขยายตัว 17.4 % วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 รัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขส่งออกเดือนตุลาคมแตะ 750,016 ล้านบาท ขยายตัว 17.4 % รัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขส่งออกเดือนตุลาคมแตะ 750,016 ล้านบาท ขยายตัว 17.4 % ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 64 ขยายตัวถึง 15.7 % หนุน “ทีมไทยแลนด์” เร่งผลักดันการส่งออกไทย หลังเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน วันนี้ 23 พ.ย. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงาน ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจําเดือนตุลาคม 2564 โดยตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนตุลาคม 2564 มีมูลค่า 22,738.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (750,016 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 17.4 และหากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ทองคํา และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 12.2 สะท้อนภาพการส่งออกของไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทําให้มีคําสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าสําคัญของไทยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการบริหารนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการเติบโตทั้งในสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การส่งออก 10 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 15.7 เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ทองคํา และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 19.6 ยืนยัน ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของไทยกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นายธนกร กล่าวว่า ปัจจัยที่ทําให้การส่งออกของไทยในปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น 1) ทิศทางการค้าโลกขยายตัวต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 4 2) ค่าเงินบาทยังอยู่ในทิศทางอ่อนค่า เพิ่มความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาให้กับสินค้าไทย 3) การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลายประเทศมีการเปิดประเทศมากขึ้นส่งผลดีต่อภาคการค้า 4) ราคาน้ํามันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน อาทิ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ และ 5) มูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์การค้าชายแดนเริ่มคลี่คลาย โดยด่านการค้าสําคัญจะกลับมาเปิดดําเนินการได้อีกครั้ง สําหรับกลุ่มสินค้าที่ขยายตัวดีได้แก่ 1) สินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะข้าว ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ยางพารา น้ํามันปาล์ม น้ําตาลทราย อาหารสัตว์เลี้ยง และสิ่งปรุงรสอาหาร 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทํางานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เตาอบไมโครเวฟ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องโทรศัพท์และอุปกรณ์ 3) สินค้า เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ 4) สินค้าขั้นกลางหรือสินค้าวัตถุดิบ เช่น เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยางยานพาหนะ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และ 5) สินค้าคงทนหรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีราคาสูง เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคํา) “นายกรัฐมนตรียังสั่งการให้ “ทีมไทยแลนด์” ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และส่วนราชการไทยทุกแห่ง เร่งขับเคลื่อนสําหรับแผนส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี ตามยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมมาตรการการส่งออกในระยะถัดไป เช่น การผลักดันการส่งออกมันสําปะหลังไทยให้มีคุณภาพอันดับ 1 ของโลก ภายใต้ยุทธศาสตร์มันสําปะหลังไทยปี 2564 – 2567 เร่งรัดใช้ประโยชน์จากความตกลง RCEP หลังจากที่ไทยยื่นให้สัตยาบันแล้ว และFTA ไทยกับคู่ค้าสําคัญ ตามแนวทางของนายกรัฐมนตรีในการรักษาตลาดเดิม สร้างตลาดใหม่ และฟื้นฟูตลาดเก่าที่เสียไป เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าผลักดันการส่งออกของไทยในตลาดต่างประเทศ เพื่อหลังเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน” นายธนกรฯ กล่าว ********************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48569
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ"หมอพรทิพย์" ถกข้อเสนอปฏิรูประบบรวบรวมหลักฐานทางอ้อม ใช้นิติวิทย์ช่วยพิสูจน์ป้องกันหลักฐานอ่อน นำคนผิดมาลงโทษ-ให้ความเป็นธรรมแพะ
วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ"หมอพรทิพย์" ถกข้อเสนอปฏิรูประบบรวบรวมหลักฐานทางอ้อม ใช้นิติวิทย์ช่วยพิสูจน์ป้องกันหลักฐานอ่อน นําคนผิดมาลงโทษ-ให้ความเป็นธรรมแพะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ"หมอพรทิพย์" ถกข้อเสนอปฏิรูประบบรวบรวมหลักฐานทางอ้อม ใช้นิติวิทย์ช่วยพิสูจน์ป้องกันหลักฐานอ่อน นําคนผิดมาลงโทษ-ให้ความเป็นธรรมแพะ แนะ ป.ป.ส.ทํากล่องข้อมูลดีเอ็นเอ ช่วยให้ง่าย-เร็วตรวจของกลางสาวถึงผู้ส่ง เมื่อวันที่ 29 พ.ย. เวลา 14.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือกับ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา เรื่องโครงการคืนความเป็นธรรมให้ผู้ต้องขัง โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมหารือด้วย แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ที่ตนมาเข้าพบ นายสมศักดิ์ วันนี้ ตนมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทํางานในกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ อยากให้มีกระบวนการทบทวนคดีที่ล้มเหลว ศาลไม่สั่งฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่ชัดเจนหรือเพียงพอ ทําคดีให้ครบถ้วนและมีความละเอียด โดยการใช้นิติวิทยาศาสตร์เข้าช่วย เช่น การพิสูจน์และรวบรวมหลักฐาน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทําคดี คนผิดจะได้ถูกลงโทษ รวมทั้งให้ความเป็นธรรมกับคนที่ไม่ได้ทําผิด แต่ถูกตัดสินลงโทษจําคุก โดยการรื้อฟื้นคดีเพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้หากทําได้จะถือเป็นการปฏิรูประบบรวบรวมหลักฐานทางอ้อมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของร่างพ.ร.บ.นิติวิทยาศาสตร์ ที่กระทรวงยุติธรรมกําลังร่าง อยากให้รายงานถึงความคืบหน้า เพื่อที่จะได้ดูในส่วนของเนื้อหาที่บางอย่างอาจจะทําให้ร่างฉบับดังกล่าวผ่านการพิจารณาได้ยาก และสุดท้ายที่ตนอยากเสนอแนะกับ สํานักงาน ป.ป.ส. คือการรวบรวมข้อมูลดีเอ็นเอ ทําเป็นกล่องข้อมูล ให้ตรวจสอบได้ง่ายและรวดเร็ว เวลาที่สามารถจับยาเสพติดได้ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในเรื่องดังกล่าวที่แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ เสนอมา ตนจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดําเนินการ ส่วนเรื่องการทําข้อมูลดีเอ็นเอนั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์มาก เพราะเวลามีการจับของกลางที่ส่งจากประเทศไทยไปยังต่างประเทศ บ่อยครั้งที่ไม่มีผู้ต้องหา หากเราใช้ข้อมูลดีเอ็นเอ ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ น่าจะช่วยให้สืบสาวไปยังผู้ส่งและผู้บงการได้ ดังนั้นตนจะให้ทาง สํานักงาน ป.ป.ส. ประสานกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มีการเริ่มวิจัยในเรื่องนี้อยู่บ้างแล้ว โดยข้อเสนอนี้ตนคิดว่าเข้ากับช่วงที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่กําลังจะมีผลบังคับใช้พอดี น่าจะทําให้การปราบปรามยาเสพติดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ"หมอพรทิพย์" ถกข้อเสนอปฏิรูประบบรวบรวมหลักฐานทางอ้อม ใช้นิติวิทย์ช่วยพิสูจน์ป้องกันหลักฐานอ่อน นำคนผิดมาลงโทษ-ให้ความเป็นธรรมแพะ วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ"หมอพรทิพย์" ถกข้อเสนอปฏิรูประบบรวบรวมหลักฐานทางอ้อม ใช้นิติวิทย์ช่วยพิสูจน์ป้องกันหลักฐานอ่อน นําคนผิดมาลงโทษ-ให้ความเป็นธรรมแพะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หารือ"หมอพรทิพย์" ถกข้อเสนอปฏิรูประบบรวบรวมหลักฐานทางอ้อม ใช้นิติวิทย์ช่วยพิสูจน์ป้องกันหลักฐานอ่อน นําคนผิดมาลงโทษ-ให้ความเป็นธรรมแพะ แนะ ป.ป.ส.ทํากล่องข้อมูลดีเอ็นเอ ช่วยให้ง่าย-เร็วตรวจของกลางสาวถึงผู้ส่ง เมื่อวันที่ 29 พ.ย. เวลา 14.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือกับ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา เรื่องโครงการคืนความเป็นธรรมให้ผู้ต้องขัง โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมหารือด้วย แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ที่ตนมาเข้าพบ นายสมศักดิ์ วันนี้ ตนมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทํางานในกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ อยากให้มีกระบวนการทบทวนคดีที่ล้มเหลว ศาลไม่สั่งฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่ชัดเจนหรือเพียงพอ ทําคดีให้ครบถ้วนและมีความละเอียด โดยการใช้นิติวิทยาศาสตร์เข้าช่วย เช่น การพิสูจน์และรวบรวมหลักฐาน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทําคดี คนผิดจะได้ถูกลงโทษ รวมทั้งให้ความเป็นธรรมกับคนที่ไม่ได้ทําผิด แต่ถูกตัดสินลงโทษจําคุก โดยการรื้อฟื้นคดีเพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้หากทําได้จะถือเป็นการปฏิรูประบบรวบรวมหลักฐานทางอ้อมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของร่างพ.ร.บ.นิติวิทยาศาสตร์ ที่กระทรวงยุติธรรมกําลังร่าง อยากให้รายงานถึงความคืบหน้า เพื่อที่จะได้ดูในส่วนของเนื้อหาที่บางอย่างอาจจะทําให้ร่างฉบับดังกล่าวผ่านการพิจารณาได้ยาก และสุดท้ายที่ตนอยากเสนอแนะกับ สํานักงาน ป.ป.ส. คือการรวบรวมข้อมูลดีเอ็นเอ ทําเป็นกล่องข้อมูล ให้ตรวจสอบได้ง่ายและรวดเร็ว เวลาที่สามารถจับยาเสพติดได้ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในเรื่องดังกล่าวที่แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ เสนอมา ตนจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดําเนินการ ส่วนเรื่องการทําข้อมูลดีเอ็นเอนั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์มาก เพราะเวลามีการจับของกลางที่ส่งจากประเทศไทยไปยังต่างประเทศ บ่อยครั้งที่ไม่มีผู้ต้องหา หากเราใช้ข้อมูลดีเอ็นเอ ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ น่าจะช่วยให้สืบสาวไปยังผู้ส่งและผู้บงการได้ ดังนั้นตนจะให้ทาง สํานักงาน ป.ป.ส. ประสานกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มีการเริ่มวิจัยในเรื่องนี้อยู่บ้างแล้ว โดยข้อเสนอนี้ตนคิดว่าเข้ากับช่วงที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่กําลังจะมีผลบังคับใช้พอดี น่าจะทําให้การปราบปรามยาเสพติดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48853
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน. ยัน! ระดับหนี้สาธารณะไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสี่ยงที่จะล้มละลาย
วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565 สบน. ยัน! ระดับหนี้สาธารณะไม่ได้ทําให้ประเทศไทยเสี่ยงที่จะล้มละลาย ตามที่ได้มีข่าวเผยแพร่ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับหนี้สาธารณะในประเด็นการกู้เงินของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย การชําระคืนหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ประเทศ ประเทศไทยเสี่ยงล้มละลาย ผ่านสื่อต่างๆ นั้น นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศกําลังพัฒนาจําเป็นต้องดําเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อยกระดับการพัฒนาของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้สนับสนุนโครงการลงทุนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ผ่านการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเป็นสําคัญ ทั้งนี้ ในช่วงปี 2558 – 2564 รัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ 178 โครงการ วงเงินกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ครอบคลุมทุกสาขาทั้งด้านคมนาคม สาธารณูปการ พลังงาน สังคม และการพัฒนาพื้นที่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และรัฐบาลมีแผนที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดทําแผนการบริหารหนี้สาธารณะ(แผนฯ) ระยะปานกลาง ในช่วง 5 ปี (ปี 2565 – 2569) เพื่อรองรับทิศทางการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวในอนาคต วงเงินประมาณ 840,000 ล้านบาท ในแต่ละปี สบน. ได้จัดทําแผนฯ ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่เพื่อการลงทุนและบริหารสภาพคล่อง การบริหารหนี้คงค้างเดิมเพื่อบริหารความเสี่ยง และการชําระหนี้จากงบประมาณและเงินแหล่งอื่น ซึ่งแผนฯ เป็นการดําเนินการภายใต้กลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลาง (Medium Term Debt Strategy) โดยพิจารณาความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และการปรับโครงสร้างหนี้ อีกทั้งยังต้องจัดทําภายใต้กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง และกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะอย่างเคร่งครัด โดยแผนฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีต่อไป ในการกู้เงินแต่ละครั้ง สบน. ได้พิจารณาต้นทุนการระดมทุน วงเงินกู้ รวมถึงประเภทของตราสารหนี้ที่จะออก โดยใช้เครื่องมือการกู้เงินที่หลากหลาย และพิจารณาช่วงเวลาการกู้ให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งชิงเม็ดเงินจากภาคเอกชน (Crowding Out Effect) ในประเทศ ป้องกันไม่ให้ตลาดการเงินเกิดความผันผวน ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม และไม่กระทบต่อความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต โดยที่ผ่านมา สบน. กู้เงินในประเทศเป็นหลักประมาณร้อยละ 98 จึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละปีต่ํา นอกจากนี้ มากกว่าร้อยละ 83 เป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ จึงทําให้มีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยต่ํา อีกทั้งยังมีต้นทุนการกู้เงินเฉลี่ยที่เหมาะสมที่ร้อยละ 2.35 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลกอีกด้วย อย่างไรก็ดี ภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่ปกตินับตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 รัฐบาลจําเป็นต้องช่วยเหลือภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร็ว ผ่านการดําเนินนโยบายการคลัง จึงมีความจําเป็นต้องเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal space) โดยการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะเพื่อให้สามารถรองรับกรณีการกู้เงินเพิ่มเติมสําหรับดําเนินนโยบายการคลังและแผนพัฒนาฟื้นฟูเศรษฐกิจในอนาคต อย่างไรก็ดี หากในอนาคตสถานการณ์เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ รัฐบาลสามารถทบทวนความเหมาะสมของเพดานหนี้สาธารณะได้ตามที่กําหนดไว้ใน พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยฯ) ทั้งนี้ ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชําระหนี้ (Debt affordability) โดย สบน. ได้ติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจําปีอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ประมาณการสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อรายได้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 8 และในอีก 5 ปีข้างหน้ายังคงต่ํากว่าระดับเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กําหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 10 การชําระหนี้ในแต่ละปี กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้รับจัดสรรงบชําระหนี้เพื่อนําไปชําระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ครบกําหนดชําระ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. วินัยฯ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐที่กําหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชําระหนี้อย่างพอเพียง โดยกําหนดให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ที่ร้อยละ 2.5-4.0 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปี และชําระดอกเบี้ยตามที่เกิดขึ้นจริงอย่างครบถ้วน และ สบน. ไม่ได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจําปีมาชําระหนี้แต่อย่างใด สําหรับหนี้คงค้างที่เหลือ สบน. จะดําเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อกระจายการชําระหนี้และลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพิจารณาต้นทุนและความเสี่ยงเป็นสําคัญ นอกจากนี้ บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 โดยเชื่อมั่นว่า แม้หนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะยังคงแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันและมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ต่อไป อีกทั้งคาดว่า ช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะยังคงดําเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจะส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลง นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ํามาก ประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจํานวนมาก จะทําให้ต้นทุนการกู้เงินต่ําลง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยยังคงความสามารถในการชําระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability) ดังนั้น ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่า สบน. ได้ให้ความสําคัญสูงสุดกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนการลงทุนและดําเนินมาตรการทางการคลังภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมทั้งชําระหนี้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วนตามกรอบวินัยทางการคลัง ซึ่งส่งผลให้ระดับความน่าเชื่อถือของประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและน่าลงทุน (Investment Grade) นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเชื่อมั่นความสามารถในการชําระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองด้านความมีเสถียรภาพและความโปร่งใสของฐานะการเงินการคลังของประเทศ และไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล้มละลายแต่อย่างใด สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5505
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน. ยัน! ระดับหนี้สาธารณะไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสี่ยงที่จะล้มละลาย วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565 สบน. ยัน! ระดับหนี้สาธารณะไม่ได้ทําให้ประเทศไทยเสี่ยงที่จะล้มละลาย ตามที่ได้มีข่าวเผยแพร่ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับหนี้สาธารณะในประเด็นการกู้เงินของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย การชําระคืนหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ประเทศ ประเทศไทยเสี่ยงล้มละลาย ผ่านสื่อต่างๆ นั้น นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศกําลังพัฒนาจําเป็นต้องดําเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อยกระดับการพัฒนาของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้สนับสนุนโครงการลงทุนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ผ่านการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเป็นสําคัญ ทั้งนี้ ในช่วงปี 2558 – 2564 รัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ 178 โครงการ วงเงินกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ครอบคลุมทุกสาขาทั้งด้านคมนาคม สาธารณูปการ พลังงาน สังคม และการพัฒนาพื้นที่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และรัฐบาลมีแผนที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดทําแผนการบริหารหนี้สาธารณะ(แผนฯ) ระยะปานกลาง ในช่วง 5 ปี (ปี 2565 – 2569) เพื่อรองรับทิศทางการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวในอนาคต วงเงินประมาณ 840,000 ล้านบาท ในแต่ละปี สบน. ได้จัดทําแผนฯ ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่เพื่อการลงทุนและบริหารสภาพคล่อง การบริหารหนี้คงค้างเดิมเพื่อบริหารความเสี่ยง และการชําระหนี้จากงบประมาณและเงินแหล่งอื่น ซึ่งแผนฯ เป็นการดําเนินการภายใต้กลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลาง (Medium Term Debt Strategy) โดยพิจารณาความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และการปรับโครงสร้างหนี้ อีกทั้งยังต้องจัดทําภายใต้กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง และกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะอย่างเคร่งครัด โดยแผนฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะ ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีต่อไป ในการกู้เงินแต่ละครั้ง สบน. ได้พิจารณาต้นทุนการระดมทุน วงเงินกู้ รวมถึงประเภทของตราสารหนี้ที่จะออก โดยใช้เครื่องมือการกู้เงินที่หลากหลาย และพิจารณาช่วงเวลาการกู้ให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งชิงเม็ดเงินจากภาคเอกชน (Crowding Out Effect) ในประเทศ ป้องกันไม่ให้ตลาดการเงินเกิดความผันผวน ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม และไม่กระทบต่อความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต โดยที่ผ่านมา สบน. กู้เงินในประเทศเป็นหลักประมาณร้อยละ 98 จึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละปีต่ํา นอกจากนี้ มากกว่าร้อยละ 83 เป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ จึงทําให้มีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยต่ํา อีกทั้งยังมีต้นทุนการกู้เงินเฉลี่ยที่เหมาะสมที่ร้อยละ 2.35 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลกอีกด้วย อย่างไรก็ดี ภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่ปกตินับตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 รัฐบาลจําเป็นต้องช่วยเหลือภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร็ว ผ่านการดําเนินนโยบายการคลัง จึงมีความจําเป็นต้องเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal space) โดยการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะเพื่อให้สามารถรองรับกรณีการกู้เงินเพิ่มเติมสําหรับดําเนินนโยบายการคลังและแผนพัฒนาฟื้นฟูเศรษฐกิจในอนาคต อย่างไรก็ดี หากในอนาคตสถานการณ์เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ รัฐบาลสามารถทบทวนความเหมาะสมของเพดานหนี้สาธารณะได้ตามที่กําหนดไว้ใน พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยฯ) ทั้งนี้ ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชําระหนี้ (Debt affordability) โดย สบน. ได้ติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจําปีอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ประมาณการสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อรายได้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 8 และในอีก 5 ปีข้างหน้ายังคงต่ํากว่าระดับเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กําหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 10 การชําระหนี้ในแต่ละปี กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้รับจัดสรรงบชําระหนี้เพื่อนําไปชําระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ครบกําหนดชําระ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. วินัยฯ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐที่กําหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชําระหนี้อย่างพอเพียง โดยกําหนดให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ที่ร้อยละ 2.5-4.0 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปี และชําระดอกเบี้ยตามที่เกิดขึ้นจริงอย่างครบถ้วน และ สบน. ไม่ได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจําปีมาชําระหนี้แต่อย่างใด สําหรับหนี้คงค้างที่เหลือ สบน. จะดําเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อกระจายการชําระหนี้และลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพิจารณาต้นทุนและความเสี่ยงเป็นสําคัญ นอกจากนี้ บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 โดยเชื่อมั่นว่า แม้หนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะยังคงแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันและมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ต่อไป อีกทั้งคาดว่า ช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะยังคงดําเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจะส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลง นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ํามาก ประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจํานวนมาก จะทําให้ต้นทุนการกู้เงินต่ําลง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยยังคงความสามารถในการชําระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability) ดังนั้น ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่า สบน. ได้ให้ความสําคัญสูงสุดกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนการลงทุนและดําเนินมาตรการทางการคลังภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมทั้งชําระหนี้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วนตามกรอบวินัยทางการคลัง ซึ่งส่งผลให้ระดับความน่าเชื่อถือของประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและน่าลงทุน (Investment Grade) นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเชื่อมั่นความสามารถในการชําระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองด้านความมีเสถียรภาพและความโปร่งใสของฐานะการเงินการคลังของประเทศ และไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล้มละลายแต่อย่างใด สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5505
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53702
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นบทบาทกระทรวงการคลังในการแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในการเสวนาหัวข้อ “คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ำ ให้โอกาสทุกคน”
วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 สรุปประเด็นบทบาทกระทรวงการคลังในการแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในการเสวนาหัวข้อ “คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ํา ให้โอกาสทุกคน” สรุปประเด็นบทบาทกระทรวงการคลังในการแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในการเสวนาหัวข้อ “คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ํา ให้โอกาสทุกคน” ภายในงานประชุมเสวนา “ถามมา - ตอบไป Better Thailand Open Dialogue เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า” ดร.พรชัย ฐีระเวช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบทบาทกระทรวงการคลังในการแก้ไขสถานการณ์หนี้สินของภาคครัวเรือนในการเสวนาหัวข้อ “คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ําให้โอกาสทุกคน” ภายในงานประชุมเสวนา “ถามมา - ตอบไป Better Thailand Open Dialogue เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า” จัดโดยสํานักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตเก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมีวิทยากร ได้แก่ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และมี ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดําเนินการเสวนา สรุปได้ดังนี้ ในงานเสวนาฯ ดร.พรชัย ได้แสดงมุมมองภายใต้ หัวข้อ “ภาครัฐมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนอย่างไร” โดยได้กล่าวถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําหนดให้ “ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” ซึ่งมีการจัดตั้งคณะกรรมการกํากับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) เป็นประธาน เพื่อพิจารณาและขับเคลื่อนแนวทางแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ การเป็นหนี้สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นการกู้มาเพื่อประกอบอาชีพ อย่างไรก็ดี หากจะจําแนกกลุ่มที่มีปัญหาในเรื่องการชําระหนี้สามารถแบ่งได้เป็น 6 ได้แก่ 1) กลุ่มหนี้นักเรียนหรือหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 2) กลุ่มหนี้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 3) กลุ่มหนี้บัตรเครดิตหรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล 4) กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์รถจักรยานยนต์ 5) กลุ่มหนี้นอกระบบ และ 6) กลุ่มลูกหนี้ทั่วไป ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนทั้ง 6 กลุ่มดังกล่าว ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนแนวทางหนึ่ง คือ การช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดําเนินการผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น โครงการ "สร้างงาน สร้างอาชีพ" ของธนาคารออมสิน ที่ให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบการอาชีพอิสระ เพื่อนําเงินไปลงทุน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่ใช้นวัตกรรมทางการเกษตรมาช่วยเหลือเกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดต้นทุน ทําให้เกษตรกรมีกําไรเพิ่มขึ้น เป็นต้น ในส่วนของนโยบายสําคัญที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดําเนินการในปัจจุบัน คือการแก้ไขปัญหาความยากจนให้แก่ประชาชนในระดับฐานราก โดยมีการดําเนินการที่สําคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การบูรณาการฐานข้อมูลภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างมีประสิทธิภาพ และ 2) การสร้างความตระหนักรู้ให้กับภาคครัวเรือนในการให้ความสําคัญกับการออม ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดําเนินการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ และได้เสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญแห่งชาติ พ.ศ. ... เพื่อเป็นกลไกในการจัดให้มีแหล่งเงินทุนสําหรับดูแลพี่น้องประชาชนในอนาคต สําหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนในระยะต่อไปภาครัฐจะให้ความสําคัญใน 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การสร้างภูมิคุ้มกันการเงิน โดยการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ซึ่งกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหลายหน่วยงานในการจัดทําแผนการบริหารจัดการด้านการเงินสําหรับประชาชนในทุกช่วงวัยและทุกสาขาอาชีพ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และ 2) การดูแลและกํากับการออกนโยบายที่ไม่จูงใจให้ประชาชนสร้างหนี้โดยไม่จําเป็น และหากจําเป็นต้องสร้างหนี้จะต้องเป็นหนี้ที่เป็นทุนให้สามารถสร้างรายได้กลับมาให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นการแก้ไขหนี้สินภาคครัวเรือนในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นบทบาทกระทรวงการคลังในการแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในการเสวนาหัวข้อ “คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ำ ให้โอกาสทุกคน” วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 สรุปประเด็นบทบาทกระทรวงการคลังในการแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในการเสวนาหัวข้อ “คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ํา ให้โอกาสทุกคน” สรุปประเด็นบทบาทกระทรวงการคลังในการแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในการเสวนาหัวข้อ “คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ํา ให้โอกาสทุกคน” ภายในงานประชุมเสวนา “ถามมา - ตอบไป Better Thailand Open Dialogue เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า” ดร.พรชัย ฐีระเวช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบทบาทกระทรวงการคลังในการแก้ไขสถานการณ์หนี้สินของภาคครัวเรือนในการเสวนาหัวข้อ “คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมล้ําให้โอกาสทุกคน” ภายในงานประชุมเสวนา “ถามมา - ตอบไป Better Thailand Open Dialogue เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า” จัดโดยสํานักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตเก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมีวิทยากร ได้แก่ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และมี ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดําเนินการเสวนา สรุปได้ดังนี้ ในงานเสวนาฯ ดร.พรชัย ได้แสดงมุมมองภายใต้ หัวข้อ “ภาครัฐมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนอย่างไร” โดยได้กล่าวถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําหนดให้ “ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” ซึ่งมีการจัดตั้งคณะกรรมการกํากับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) เป็นประธาน เพื่อพิจารณาและขับเคลื่อนแนวทางแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ การเป็นหนี้สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นการกู้มาเพื่อประกอบอาชีพ อย่างไรก็ดี หากจะจําแนกกลุ่มที่มีปัญหาในเรื่องการชําระหนี้สามารถแบ่งได้เป็น 6 ได้แก่ 1) กลุ่มหนี้นักเรียนหรือหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 2) กลุ่มหนี้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 3) กลุ่มหนี้บัตรเครดิตหรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล 4) กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์รถจักรยานยนต์ 5) กลุ่มหนี้นอกระบบ และ 6) กลุ่มลูกหนี้ทั่วไป ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนทั้ง 6 กลุ่มดังกล่าว ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนแนวทางหนึ่ง คือ การช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดําเนินการผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น โครงการ "สร้างงาน สร้างอาชีพ" ของธนาคารออมสิน ที่ให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบการอาชีพอิสระ เพื่อนําเงินไปลงทุน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่ใช้นวัตกรรมทางการเกษตรมาช่วยเหลือเกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดต้นทุน ทําให้เกษตรกรมีกําไรเพิ่มขึ้น เป็นต้น ในส่วนของนโยบายสําคัญที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดําเนินการในปัจจุบัน คือการแก้ไขปัญหาความยากจนให้แก่ประชาชนในระดับฐานราก โดยมีการดําเนินการที่สําคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การบูรณาการฐานข้อมูลภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างมีประสิทธิภาพ และ 2) การสร้างความตระหนักรู้ให้กับภาคครัวเรือนในการให้ความสําคัญกับการออม ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดําเนินการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ และได้เสนอร่างพระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญแห่งชาติ พ.ศ. ... เพื่อเป็นกลไกในการจัดให้มีแหล่งเงินทุนสําหรับดูแลพี่น้องประชาชนในอนาคต สําหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนในระยะต่อไปภาครัฐจะให้ความสําคัญใน 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การสร้างภูมิคุ้มกันการเงิน โดยการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ซึ่งกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหลายหน่วยงานในการจัดทําแผนการบริหารจัดการด้านการเงินสําหรับประชาชนในทุกช่วงวัยและทุกสาขาอาชีพ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และ 2) การดูแลและกํากับการออกนโยบายที่ไม่จูงใจให้ประชาชนสร้างหนี้โดยไม่จําเป็น และหากจําเป็นต้องสร้างหนี้จะต้องเป็นหนี้ที่เป็นทุนให้สามารถสร้างรายได้กลับมาให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นการแก้ไขหนี้สินภาคครัวเรือนในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3215
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิมนำกลับมาใช้ใหม่ เน้นประหยัดเวลา คุ้มค่าตามหลักวิศวกรรม สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท ซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิมนํากลับมาใช้ใหม่ เน้นประหยัดเวลา คุ้มค่าตามหลักวิศวกรรม สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีเมื่อดําเนินการแล้วเสร็จ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิม นํากลับมาใช้ใหม่ (HOT MIX In - Place Recycling แบบ RE - Paving) เพื่อให้การดําเนินงานซ่อมและปรับปรุงผิวทางเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ประหยัดเวลาและคุัมค่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิม นํากลับมาใช้ใหม่ (HOT MIX In - Place Recycling แบบ RE - Paving) เพื่อให้การดําเนินงานซ่อมและปรับปรุงผิวทางเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ประหยัดเวลา คุ้มค่าตามหลักวิศวกรรม ซึ่งเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถเปิดใช้การจราจรได้ทันที ส่งผลกระทบต่อการจราจรในพื้นที่น้อยที่สุด สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ทช. ได้ดําเนินการด้วยวิธีการซ่อมบํารุงด้วยวิธีซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิมนํากลับมาใช้ใหม่ (HOT MIX In - Place Recycling แบบ RE - Paving) บนถนนทางหลวงชนบทสาย นย. 2011 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 - บ้านพรหมณี อําเภอเมือง จังหวัดนครนายก เป็นเส้นทางที่ ทช. ได้อนุญาตให้ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ดําเนินการก่อสร้างโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 (ระยอง - แก่งคอย) ในเขตทางของ ทช. ปัจจุบันได้ดําเนินการแล้วเสร็จ ซึ่งพาดผ่านเส้นทางที่อยู่ในความดูแลของแขวงทางหลวงชนบทนครนายก จํานวน 3 สายทาง ได้แก่ ถนนทางหลวงชนบทสาย นย. 2011 กม. ที่ 0+000 - กม. ที่ 10+094 ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ถนนทางหลวงชนบทสาย นย. 2003 กม. ที่ 0+800 - กม. ที่ 4+250 ระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร และถนนทางหลวงชนบทสาย นย.2013 (ลอดผ่าน) ทั้งนี้ ทช. ได้ตรวจสอบพบว่าถนนทางหลวงชนบทสาย นย.2011 ได้รับผลกระทบจากการวางท่อก๊าซธรรมชาติ ทช. จึงได้สรุปแนวทางการซ่อมบํารุงถนนทางหลวงชนบทสาย นย. 2011 โดยกําหนดรูปแบบวิธีการซ่อมบํารุงด้วยวิธีซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิมนํากลับมาใช้ใหม่ (HOT MIX In – Place Recycling แบบ RE - Paving) ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีความคุ้มค่า ไม่ส่งผลกระทบต่อแนวท่อก๊าซที่วางอยู่ในสายทาง การดําเนินงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ประหยัดเวลา สามารถเปิดใช้การจราจรได้ทันทีเมื่อดําเนินการแล้วเสร็จ เนื่องจากสายทางดังกล่าวเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าเชื่อมระหว่างอําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก กับ อําเภอบางน้ําเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่งผลให้มีปริมาณการจราจรสูงถึง 8,300 คัน/วัน ขณะนี้โครงการดังกล่าวมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 49 คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2564 โดยใช้งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจาก ปตท. นอกจากนี้ ทช. ยังได้ดําเนินการซ่อมสร้างผิวทางแอสฟัลท์คอนกรีต โดยวิธี Pavement In - Place Recyling และปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิม นํากลับมาใช้ใหม่ ด้วยวิธี HOT MIX In - Place Recycling บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชม. 3035 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 - บ้านร้อยจันทร์ อําเภอสันป่าตอง หางดง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิมนำกลับมาใช้ใหม่ เน้นประหยัดเวลา คุ้มค่าตามหลักวิศวกรรม สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท ซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิมนํากลับมาใช้ใหม่ เน้นประหยัดเวลา คุ้มค่าตามหลักวิศวกรรม สามารถเปิดใช้งานได้ทันทีเมื่อดําเนินการแล้วเสร็จ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิม นํากลับมาใช้ใหม่ (HOT MIX In - Place Recycling แบบ RE - Paving) เพื่อให้การดําเนินงานซ่อมและปรับปรุงผิวทางเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ประหยัดเวลาและคุัมค่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิม นํากลับมาใช้ใหม่ (HOT MIX In - Place Recycling แบบ RE - Paving) เพื่อให้การดําเนินงานซ่อมและปรับปรุงผิวทางเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ประหยัดเวลา คุ้มค่าตามหลักวิศวกรรม ซึ่งเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถเปิดใช้การจราจรได้ทันที ส่งผลกระทบต่อการจราจรในพื้นที่น้อยที่สุด สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ทช. ได้ดําเนินการด้วยวิธีการซ่อมบํารุงด้วยวิธีซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิมนํากลับมาใช้ใหม่ (HOT MIX In - Place Recycling แบบ RE - Paving) บนถนนทางหลวงชนบทสาย นย. 2011 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 - บ้านพรหมณี อําเภอเมือง จังหวัดนครนายก เป็นเส้นทางที่ ทช. ได้อนุญาตให้ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ดําเนินการก่อสร้างโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 (ระยอง - แก่งคอย) ในเขตทางของ ทช. ปัจจุบันได้ดําเนินการแล้วเสร็จ ซึ่งพาดผ่านเส้นทางที่อยู่ในความดูแลของแขวงทางหลวงชนบทนครนายก จํานวน 3 สายทาง ได้แก่ ถนนทางหลวงชนบทสาย นย. 2011 กม. ที่ 0+000 - กม. ที่ 10+094 ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ถนนทางหลวงชนบทสาย นย. 2003 กม. ที่ 0+800 - กม. ที่ 4+250 ระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร และถนนทางหลวงชนบทสาย นย.2013 (ลอดผ่าน) ทั้งนี้ ทช. ได้ตรวจสอบพบว่าถนนทางหลวงชนบทสาย นย.2011 ได้รับผลกระทบจากการวางท่อก๊าซธรรมชาติ ทช. จึงได้สรุปแนวทางการซ่อมบํารุงถนนทางหลวงชนบทสาย นย. 2011 โดยกําหนดรูปแบบวิธีการซ่อมบํารุงด้วยวิธีซ่อมสร้างผิวทางลาดยางและปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิมนํากลับมาใช้ใหม่ (HOT MIX In – Place Recycling แบบ RE - Paving) ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีความคุ้มค่า ไม่ส่งผลกระทบต่อแนวท่อก๊าซที่วางอยู่ในสายทาง การดําเนินงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ประหยัดเวลา สามารถเปิดใช้การจราจรได้ทันทีเมื่อดําเนินการแล้วเสร็จ เนื่องจากสายทางดังกล่าวเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าเชื่อมระหว่างอําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก กับ อําเภอบางน้ําเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่งผลให้มีปริมาณการจราจรสูงถึง 8,300 คัน/วัน ขณะนี้โครงการดังกล่าวมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 49 คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2564 โดยใช้งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจาก ปตท. นอกจากนี้ ทช. ยังได้ดําเนินการซ่อมสร้างผิวทางแอสฟัลท์คอนกรีต โดยวิธี Pavement In - Place Recyling และปรับปรุงผิวทางลาดยางเดิม นํากลับมาใช้ใหม่ ด้วยวิธี HOT MIX In - Place Recycling บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชม. 3035 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 - บ้านร้อยจันทร์ อําเภอสันป่าตอง หางดง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนพบ มีความพึงพอใจภาพรวมการดำเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9
วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565 ผลสํารวจความคิดเห็นประชาชนพบ มีความพึงพอใจภาพรวมการดําเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9 ผลสํารวจความคิดเห็นประชาชนพบ มีความพึงพอใจภาพรวมการดําเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9 พึงพอใจโครงการคนละครึ่งมากที่สุดร้อยละ 66.9 วันที่ 29 มี.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.)รับทราบผลการสํารวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ.2565 (ครบ 2 ปี 6 เดือน) และการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่(New Normal Life) ปี 2565 โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ(สสช.) ได้สัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศจํานวน 6,970 คน ระหว่างวันที่ 5-18 มกราคม 2565 โดยพบว่าในประเด็นเรื่องการติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ประชาชนร้อยละ 83.7 ติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ร้อยละ 16.3 ไม่ติดตาม เหตุผลคือ ไม่สนใจ ไม่มีเวลาว่าง และอื่นๆ เช่น ไม่ชอบ โดยติดตามทางโทรทัศน์มากที่สุดร้อยละ 71.8 รองลงมาคือ สื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ และยูทูบ ร้อยละ 55.5 ทั้งนี้ผู้ที่มีอายุน้อยได้ติดตามจากสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าผู้มีอายุมาก และผู้มีการศึกษาสูงได้ติดตามจากสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าผู้มีการศึกษาต่ํากว่า สําหรับความพึงพอใจในภาพรวมต่อการดําเนินงานของรัฐบาล พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9 และไม่พึงพอใจเลยร้อยละ 6.3 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความพึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุดสูงกว่าภาคอื่นคือร้อยละ 57.9 และร้อยละ 54.5 ตามลําดับ ขณะที่ภาคอื่นมีประมาณร้อยละ 26-35 ส่วนความพึงพอใจต่อนโยบายของรัฐบาลนั้น นโยบายที่ประชาชนมีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โครงการคนละครึ่งร้อยละ 66.9 ,โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐร้อยละ 63.6, โครงการเราชนะ ร้อยละ 62.9, มาตรการเยียวยาแรงงานในระบบและนอกระบบร้อยละ 48.2 และโครงการประกันรายได้เกษตรกรร้อยละ 32.4 ขณะที่มาตรการเยียวยา หรือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประโยชน์ต่อประชาชน 5 อันดับแรก ได้แก่ โครงการคนละครึ่งร้อยละ 81.5,โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐร้อยละ 70,โครงการเราชนะร้อยละ 62.2,มาตรการลดค่าน้ํา ค่าไฟร้อยละ 57.2 และ โครงการ ม.33 เรารักกันร้อยละ 32.1 โดยประชาชนในเกือบทุกกลุ่มอาชีพระบุว่า โครงการคนละครึ่งมีประโยชน์ต่อคนในประเทศมากที่สุด น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ในประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ พบว่า ประชาชนเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 30.4 เชื่อมั่นระดับปานกลางร้อยละ 39.7 เชื่อมั่นในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 21.3 และไม่เชื่อมั่นเลยร้อยละ 8.6 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุดในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่นคือร้อยละ 52.8 และร้อยละ 52.2 ตามลําดับ ขณะที่ภาคอื่นมีประมาณร้อยละ 21-31 และประชาชนได้มีข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล 5 อันดับแรก ได้แก่ การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพสูงร้อยละ 17.6 ,การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มร้อยละ 10.6, การแก้ไขปัญหาโดยคํานึงถึงประชาชนเป็นหลัก รวดเร็ว ตรงจุด และโปร่งใส ร้อยละ 9 ,การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ร้อยละ 5.9 และการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร ร้อยละ 4.9 ขณะที่การปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่(New Normal Life) ปี 2565 ผลสํารวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 97.7 มีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 2.3 ไม่มีความกังวล ส่วนการปรับเปลี่ยนการใช้วิถีชีวิตเป็นแบบ New Normal Life 3 อันดับแรกได้แก่ จัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนออกจากบ้าน เช่นหน้ากากอนามัย ร้อยละ 90.4 หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัด การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ร้อยละ 64.1 และออกนอกบ้านเท่าที่จําเป็นร้อยละ 60.5 สําหรับการใช้สื่อสังคมออนไลน์และแอปพลิเคชัน ประชาชนใช้แอปพลิเคชันเกี่ยวกับติดต่อการสื่อสารและการรับข้อมูลมากที่สุดร้อยละ 81.5 เช่น ไลน์ วอตส์แอปป์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม รองลงมาแอปพลิเคชันเกี่ยวกับทางการเงินร้อยละ 70.7 และแอปพลิเคชันเกี่ยวกับความบันเทิงร้อยละ 69.7 น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ความสุขของประชาชนในภาพรวมพบว่า ประชาชนมีความสุขในภาพรวมในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 53.1 มีความสุขระดับปานกลางร้อยละ 37.3 มีความสุขในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 8.9 และไม่มีความสุขเลยร้อยละ 0.7 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความสุขในภาพรวมอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดสูงกว่าภาคอื่น(ร้อยละ 68.5) ส่วนแผนการปรับตัวรับมือหากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 มีความรุนแรงอีกครั้ง ประชาชนมีแผนการรับมือโดยปรับเปลี่ยนวิถีการดําเนินชีวิต เช่น ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้านร้อยละ 87.3 ประหยัดและใช้จ่ายน้อยลงร้อยละ 82.2 และแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจโดยการนําเงินออมออกมาใช้จ่าย ร้อยละ 25.7 สําหรับนโยบายการให้ประชาชนแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 หรือผลการตรวจโควิด 19 เพื่อเข้าสถานที่ต่างๆ มีประชาชนเห็นด้วยร้อยละ 85.1 และไม่เห็นด้วยร้อยละ 14.9
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนพบ มีความพึงพอใจภาพรวมการดำเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9 วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565 ผลสํารวจความคิดเห็นประชาชนพบ มีความพึงพอใจภาพรวมการดําเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9 ผลสํารวจความคิดเห็นประชาชนพบ มีความพึงพอใจภาพรวมการดําเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9 พึงพอใจโครงการคนละครึ่งมากที่สุดร้อยละ 66.9 วันที่ 29 มี.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.)รับทราบผลการสํารวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ.2565 (ครบ 2 ปี 6 เดือน) และการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่(New Normal Life) ปี 2565 โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ(สสช.) ได้สัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศจํานวน 6,970 คน ระหว่างวันที่ 5-18 มกราคม 2565 โดยพบว่าในประเด็นเรื่องการติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ประชาชนร้อยละ 83.7 ติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ร้อยละ 16.3 ไม่ติดตาม เหตุผลคือ ไม่สนใจ ไม่มีเวลาว่าง และอื่นๆ เช่น ไม่ชอบ โดยติดตามทางโทรทัศน์มากที่สุดร้อยละ 71.8 รองลงมาคือ สื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ และยูทูบ ร้อยละ 55.5 ทั้งนี้ผู้ที่มีอายุน้อยได้ติดตามจากสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าผู้มีอายุมาก และผู้มีการศึกษาสูงได้ติดตามจากสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าผู้มีการศึกษาต่ํากว่า สําหรับความพึงพอใจในภาพรวมต่อการดําเนินงานของรัฐบาล พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.9 พึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.9 พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 18.9 และไม่พึงพอใจเลยร้อยละ 6.3 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความพึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุดสูงกว่าภาคอื่นคือร้อยละ 57.9 และร้อยละ 54.5 ตามลําดับ ขณะที่ภาคอื่นมีประมาณร้อยละ 26-35 ส่วนความพึงพอใจต่อนโยบายของรัฐบาลนั้น นโยบายที่ประชาชนมีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โครงการคนละครึ่งร้อยละ 66.9 ,โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐร้อยละ 63.6, โครงการเราชนะ ร้อยละ 62.9, มาตรการเยียวยาแรงงานในระบบและนอกระบบร้อยละ 48.2 และโครงการประกันรายได้เกษตรกรร้อยละ 32.4 ขณะที่มาตรการเยียวยา หรือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประโยชน์ต่อประชาชน 5 อันดับแรก ได้แก่ โครงการคนละครึ่งร้อยละ 81.5,โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐร้อยละ 70,โครงการเราชนะร้อยละ 62.2,มาตรการลดค่าน้ํา ค่าไฟร้อยละ 57.2 และ โครงการ ม.33 เรารักกันร้อยละ 32.1 โดยประชาชนในเกือบทุกกลุ่มอาชีพระบุว่า โครงการคนละครึ่งมีประโยชน์ต่อคนในประเทศมากที่สุด น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ในประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ พบว่า ประชาชนเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 30.4 เชื่อมั่นระดับปานกลางร้อยละ 39.7 เชื่อมั่นในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 21.3 และไม่เชื่อมั่นเลยร้อยละ 8.6 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุดในสัดส่วนที่สูงกว่าภาคอื่นคือร้อยละ 52.8 และร้อยละ 52.2 ตามลําดับ ขณะที่ภาคอื่นมีประมาณร้อยละ 21-31 และประชาชนได้มีข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล 5 อันดับแรก ได้แก่ การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพสูงร้อยละ 17.6 ,การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มร้อยละ 10.6, การแก้ไขปัญหาโดยคํานึงถึงประชาชนเป็นหลัก รวดเร็ว ตรงจุด และโปร่งใส ร้อยละ 9 ,การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ร้อยละ 5.9 และการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร ร้อยละ 4.9 ขณะที่การปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตวิถีใหม่(New Normal Life) ปี 2565 ผลสํารวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 97.7 มีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 2.3 ไม่มีความกังวล ส่วนการปรับเปลี่ยนการใช้วิถีชีวิตเป็นแบบ New Normal Life 3 อันดับแรกได้แก่ จัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนออกจากบ้าน เช่นหน้ากากอนามัย ร้อยละ 90.4 หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัด การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ร้อยละ 64.1 และออกนอกบ้านเท่าที่จําเป็นร้อยละ 60.5 สําหรับการใช้สื่อสังคมออนไลน์และแอปพลิเคชัน ประชาชนใช้แอปพลิเคชันเกี่ยวกับติดต่อการสื่อสารและการรับข้อมูลมากที่สุดร้อยละ 81.5 เช่น ไลน์ วอตส์แอปป์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม รองลงมาแอปพลิเคชันเกี่ยวกับทางการเงินร้อยละ 70.7 และแอปพลิเคชันเกี่ยวกับความบันเทิงร้อยละ 69.7 น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ความสุขของประชาชนในภาพรวมพบว่า ประชาชนมีความสุขในภาพรวมในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 53.1 มีความสุขระดับปานกลางร้อยละ 37.3 มีความสุขในระดับน้อย-น้อยที่สุดร้อยละ 8.9 และไม่มีความสุขเลยร้อยละ 0.7 โดยภาคใต้และภาคใต้ชายแดนมีความสุขในภาพรวมอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดสูงกว่าภาคอื่น(ร้อยละ 68.5) ส่วนแผนการปรับตัวรับมือหากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 มีความรุนแรงอีกครั้ง ประชาชนมีแผนการรับมือโดยปรับเปลี่ยนวิถีการดําเนินชีวิต เช่น ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้านร้อยละ 87.3 ประหยัดและใช้จ่ายน้อยลงร้อยละ 82.2 และแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจโดยการนําเงินออมออกมาใช้จ่าย ร้อยละ 25.7 สําหรับนโยบายการให้ประชาชนแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 หรือผลการตรวจโควิด 19 เพื่อเข้าสถานที่ต่างๆ มีประชาชนเห็นด้วยร้อยละ 85.1 และไม่เห็นด้วยร้อยละ 14.9
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53081
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เชิญชวนน้อง ๆ ร่วมกิจกรรม “วันเด็ก บขส. ออนไลน์”
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 บขส. เชิญชวนน้อง ๆ ร่วมกิจกรรม “วันเด็ก บขส. ออนไลน์” ลุ้นรับของรางวัลมากมายทาง Facebook Fan Page บขส. นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจําปี 2565 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มกราคม 2565 บขส. ขอเชิญชวน น้อง ๆ ร่วมกิจกรรม “วันเด็ก บขส. ออนไลน์” ผ่านทาง Facebook Fan Page บขส. เพื่อลุ้นรับของรางวัล จํานวน 50 รางวัล โดยมีกติกาเพียงโพสต์รูปของน้อง ๆ ที่เคยไปร่วมกิจกรรมวันเด็ก ในสถานที่ต่าง ๆ หรือร่วมกิจกรรมภายในครอบครัว และใส่ #วันเด็กบขส65 กดไลก์และกดแชร์โพตส์นี้ เปิดเป็นสาธารณะ ตั้งแต่วันนี้ - 14 มกราคม 2565 เวลา 16.00 น. ทั้งนี้จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล ในวันที่ 21 มกราคม 2565 เป็นต้นไป กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า เพื่อส่งต่อความสุขให้แก่เด็ก ๆ บขส. ได้สนับสนุนของขวัญวันเด็ก ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สํานักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) โรงเรียนวัดปานประสิทธาราม โรงเรียนวัดสีล้ง และโรงเรียนวัดบางเพรียง จังหวัดสมุทรปราการ จํานวน 1,000 ชิ้น เพื่อส่งมอบความสุข และสร้างรอยยิ้มให้แก่เด็กนักเรียนที่จะเป็นกําลังสําคัญของประเทศชาติในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เชิญชวนน้อง ๆ ร่วมกิจกรรม “วันเด็ก บขส. ออนไลน์” วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 บขส. เชิญชวนน้อง ๆ ร่วมกิจกรรม “วันเด็ก บขส. ออนไลน์” ลุ้นรับของรางวัลมากมายทาง Facebook Fan Page บขส. นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจําปี 2565 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มกราคม 2565 บขส. ขอเชิญชวน น้อง ๆ ร่วมกิจกรรม “วันเด็ก บขส. ออนไลน์” ผ่านทาง Facebook Fan Page บขส. เพื่อลุ้นรับของรางวัล จํานวน 50 รางวัล โดยมีกติกาเพียงโพสต์รูปของน้อง ๆ ที่เคยไปร่วมกิจกรรมวันเด็ก ในสถานที่ต่าง ๆ หรือร่วมกิจกรรมภายในครอบครัว และใส่ #วันเด็กบขส65 กดไลก์และกดแชร์โพตส์นี้ เปิดเป็นสาธารณะ ตั้งแต่วันนี้ - 14 มกราคม 2565 เวลา 16.00 น. ทั้งนี้จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล ในวันที่ 21 มกราคม 2565 เป็นต้นไป กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า เพื่อส่งต่อความสุขให้แก่เด็ก ๆ บขส. ได้สนับสนุนของขวัญวันเด็ก ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สํานักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) โรงเรียนวัดปานประสิทธาราม โรงเรียนวัดสีล้ง และโรงเรียนวัดบางเพรียง จังหวัดสมุทรปราการ จํานวน 1,000 ชิ้น เพื่อส่งมอบความสุข และสร้างรอยยิ้มให้แก่เด็กนักเรียนที่จะเป็นกําลังสําคัญของประเทศชาติในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พล.ต.อ.อดุลย์’ ปธ.กมธ.แรงงาน วุฒิสภามอบถุงยังชีพ สู้ภัยหนาวแก่ชาวนครพนม
วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 ‘พล.ต.อ.อดุลย์’ ปธ.กมธ.แรงงาน วุฒิสภามอบถุงยังชีพ สู้ภัยหนาวแก่ชาวนครพนม ... เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ในนามโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) มูลนิธิ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้ร่วมกับ บริษัท ไอโอ-แพลนท์ส รอว์ แม็ททีเรียล จํากัด บริษัท ที ยูทิลิตี้ จํากัด และ เดอะ ลีดเดอร์ ไฮเทค ผู้ก่อตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ของชาวจังหวัดนครพนม และพืชพลังงานสุวรรณภูมิ เชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ได้มอบถุงยังชีพเพื่อสู้ลมหนาวให้แก่ประชาชนชาวจังหวัดนครพนม จํานวน 1,200 ถุง มูลค่า 500,000 บาท พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว กล่าวว่า โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่ก่อมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ทางเสียง หรือทางน้ํา เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการหมักพืชเพื่อให้พลังงาน และที่สําคัญจะเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงโรงไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโรงไฟฟ้ามีความต้องการใช้เชื้อเพลิงพืชพลังงานสุวรรณภูมิ จํานวน 240 ตัน/วัน คิดเป็นกว่า 86,400 ตัน/ปี โดยจะทําการก่อตั้งโรงไฟฟ้าทั้งหมด 4 โรงงาน ที่ ต.ขามเฒ่า อ.เมืองนครพนม ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน ต.น้ําก่ํา อ.พระธาตุพนม และ ต.นาทม อ.นาทม ซึ่งการมอบถุงยังชีพในวันนี้เป็นการมอบให้กับชุมชนที่อยู่รอบๆ โรงไฟฟ้าฯ และชมรมผู้สูงอายุเพื่อเป็นกําลังใจและแบ่งเบาภาระให้กับประชาชนในการสู้ภัยหนาวที่กําลังจะมาถึง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พล.ต.อ.อดุลย์’ ปธ.กมธ.แรงงาน วุฒิสภามอบถุงยังชีพ สู้ภัยหนาวแก่ชาวนครพนม วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 ‘พล.ต.อ.อดุลย์’ ปธ.กมธ.แรงงาน วุฒิสภามอบถุงยังชีพ สู้ภัยหนาวแก่ชาวนครพนม ... เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ในนามโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) มูลนิธิ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ได้ร่วมกับ บริษัท ไอโอ-แพลนท์ส รอว์ แม็ททีเรียล จํากัด บริษัท ที ยูทิลิตี้ จํากัด และ เดอะ ลีดเดอร์ ไฮเทค ผู้ก่อตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ของชาวจังหวัดนครพนม และพืชพลังงานสุวรรณภูมิ เชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ได้มอบถุงยังชีพเพื่อสู้ลมหนาวให้แก่ประชาชนชาวจังหวัดนครพนม จํานวน 1,200 ถุง มูลค่า 500,000 บาท พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว กล่าวว่า โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่ก่อมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ทางเสียง หรือทางน้ํา เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการหมักพืชเพื่อให้พลังงาน และที่สําคัญจะเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงโรงไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโรงไฟฟ้ามีความต้องการใช้เชื้อเพลิงพืชพลังงานสุวรรณภูมิ จํานวน 240 ตัน/วัน คิดเป็นกว่า 86,400 ตัน/ปี โดยจะทําการก่อตั้งโรงไฟฟ้าทั้งหมด 4 โรงงาน ที่ ต.ขามเฒ่า อ.เมืองนครพนม ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน ต.น้ําก่ํา อ.พระธาตุพนม และ ต.นาทม อ.นาทม ซึ่งการมอบถุงยังชีพในวันนี้เป็นการมอบให้กับชุมชนที่อยู่รอบๆ โรงไฟฟ้าฯ และชมรมผู้สูงอายุเพื่อเป็นกําลังใจและแบ่งเบาภาระให้กับประชาชนในการสู้ภัยหนาวที่กําลังจะมาถึง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48578
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจยางพาราปี 2565 แนวโน้มราคาสูงขึ้น คาดไทยส่งออกยางพาราทั่วโลกกว่า 4.218 ล้านตัน
วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ พอใจยางพาราปี 2565 แนวโน้มราคาสูงขึ้น คาดไทยส่งออกยางพาราทั่วโลกกว่า 4.218 ล้านตัน ย้ําภาคการเกษตรถือเป็นหัวใจสําคัญของประเทศ เดินหน้ากําหนดนโยบายเพื่อพัฒนาเกษตรยั่งยืน วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระตุ้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ติดตามการดําเนินงานตามโครงการของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ดูแลประชาชนทุกสาขาอาชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนพืชเกษตรและเศรษฐกิจภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน อาทิ ยางพาราไทย ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สําคัญของไทย ซึ่งข้อมูลจากการยางแห่งประเทศไทย ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 38.65 คิดเป็นการส่งออกยางพาราประมาณ 3.7 ล้านตันต่อปี ตลอดจน ในปี 2565 คาดการณ์ไทยส่งออกยางพาราไปทั่วโลกกว่า 4.218 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.03 จากปีก่อนที่ส่งออก 4.134 ล้านตัน สืบเนื่องมาจากปริมาณความต้องการใช้ยางพาราของโลกมีมากขึ้นและตัวเลขดัชนีภาคการผลิตสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกภายหลังสถานการณ์โควิด – 19 จะส่งผลสถานณ์ยางพาราเป็นไปในทิศทางที่ได้ดีขึ้น นายธนกร กล่าวว่า การที่ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้นนี้ ทําให้โครงการประกันราคายางของรัฐบาลมีความสามารถจ่ายค่าชดเชยส่วนต่างให้ประชาชนลดลง แม้ว่าจากการศึกษาพบว่าเกษตรกรสวนยางมีความพอใจในโครงการนี้ อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีได้กํากับ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดําเนินโครงการควบคู่กับโครงการประกันราคา เพื่อแก้ไขปัญหา ผลกระทบที่ส่งถึงประชาชนให้ครอบคลุมทุกมิติ และเพื่อความยั่งยืน เนื่องจากยางพารามีผลผลิตตลอดทั้งปี เมื่อผลผลิตออกเยอะจะมีผลถึงราคายาง อาทิ เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด คือการสนับสนุนการปลูกพืชผสมผสาน ควบคู่กับการวางแผนการขาย การให้เงินอุดหนุนกับเกษตรกรชาวสวนยางเพื่อเสริมสภาพคล่อง การบริหารจัดการปริมาณผลผลิตและปริมาณการใช้งานให้พอดีกัน สินเชื่อสนับสนุนชาวสวนยางเพื่อขยายกําลังการผลิตของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ร่วมกับการยางแห่งประเทศไทยดําเนินแผนงานและวางโครงสร้างพื้นฐานให้กับอุตสาหกรรมยางพารา เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับยางพารา พัฒนาและคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ในการแปรรูปยางพารา เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงวางแผนการขายและจําหน่าย ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าและเพิ่มมูลค่าให้กับยางอย่างมาก นายธนกร กล่าวต่อว่า ขอให้มั่นใจว่า ภาคการเกษตรถือเป็นหัวใจสําคัญของประเทศ อาทิ ยางพาราซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจมีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นายกรัฐมนตรีจึงได้กําหนดนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งดําเนินการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทย พร้อมเดินหน้าผลักดันเกษตรกรไทยให้เข้าถึงองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้ง ส่งเสริมกลยุทธ์การขายแบบใหม่ๆ ที่เข้าถึงผู้คนจํานวนมากผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ในแบบ New Normal ตลอดจน ส่งเสริมให้ คนรุ่นใหม่ให้เท่าทันต่อยุคดิจิทัล ศึกษาการผลิตที่สอดรับกับรูปแบบการบริโภคสมัยใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการทํางานของนายกรัฐมนตรีมาตลอด ในการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุมทุกด้าน มุ่งทํางานแก้ไขปัญหาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจยางพาราปี 2565 แนวโน้มราคาสูงขึ้น คาดไทยส่งออกยางพาราทั่วโลกกว่า 4.218 ล้านตัน วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ พอใจยางพาราปี 2565 แนวโน้มราคาสูงขึ้น คาดไทยส่งออกยางพาราทั่วโลกกว่า 4.218 ล้านตัน ย้ําภาคการเกษตรถือเป็นหัวใจสําคัญของประเทศ เดินหน้ากําหนดนโยบายเพื่อพัฒนาเกษตรยั่งยืน วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระตุ้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ติดตามการดําเนินงานตามโครงการของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ดูแลประชาชนทุกสาขาอาชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนพืชเกษตรและเศรษฐกิจภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน อาทิ ยางพาราไทย ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สําคัญของไทย ซึ่งข้อมูลจากการยางแห่งประเทศไทย ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 38.65 คิดเป็นการส่งออกยางพาราประมาณ 3.7 ล้านตันต่อปี ตลอดจน ในปี 2565 คาดการณ์ไทยส่งออกยางพาราไปทั่วโลกกว่า 4.218 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.03 จากปีก่อนที่ส่งออก 4.134 ล้านตัน สืบเนื่องมาจากปริมาณความต้องการใช้ยางพาราของโลกมีมากขึ้นและตัวเลขดัชนีภาคการผลิตสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกภายหลังสถานการณ์โควิด – 19 จะส่งผลสถานณ์ยางพาราเป็นไปในทิศทางที่ได้ดีขึ้น นายธนกร กล่าวว่า การที่ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้นนี้ ทําให้โครงการประกันราคายางของรัฐบาลมีความสามารถจ่ายค่าชดเชยส่วนต่างให้ประชาชนลดลง แม้ว่าจากการศึกษาพบว่าเกษตรกรสวนยางมีความพอใจในโครงการนี้ อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีได้กํากับ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดําเนินโครงการควบคู่กับโครงการประกันราคา เพื่อแก้ไขปัญหา ผลกระทบที่ส่งถึงประชาชนให้ครอบคลุมทุกมิติ และเพื่อความยั่งยืน เนื่องจากยางพารามีผลผลิตตลอดทั้งปี เมื่อผลผลิตออกเยอะจะมีผลถึงราคายาง อาทิ เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด คือการสนับสนุนการปลูกพืชผสมผสาน ควบคู่กับการวางแผนการขาย การให้เงินอุดหนุนกับเกษตรกรชาวสวนยางเพื่อเสริมสภาพคล่อง การบริหารจัดการปริมาณผลผลิตและปริมาณการใช้งานให้พอดีกัน สินเชื่อสนับสนุนชาวสวนยางเพื่อขยายกําลังการผลิตของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ร่วมกับการยางแห่งประเทศไทยดําเนินแผนงานและวางโครงสร้างพื้นฐานให้กับอุตสาหกรรมยางพารา เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับยางพารา พัฒนาและคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ในการแปรรูปยางพารา เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงวางแผนการขายและจําหน่าย ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าและเพิ่มมูลค่าให้กับยางอย่างมาก นายธนกร กล่าวต่อว่า ขอให้มั่นใจว่า ภาคการเกษตรถือเป็นหัวใจสําคัญของประเทศ อาทิ ยางพาราซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจมีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นายกรัฐมนตรีจึงได้กําหนดนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งดําเนินการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทย พร้อมเดินหน้าผลักดันเกษตรกรไทยให้เข้าถึงองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้ง ส่งเสริมกลยุทธ์การขายแบบใหม่ๆ ที่เข้าถึงผู้คนจํานวนมากผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ในแบบ New Normal ตลอดจน ส่งเสริมให้ คนรุ่นใหม่ให้เท่าทันต่อยุคดิจิทัล ศึกษาการผลิตที่สอดรับกับรูปแบบการบริโภคสมัยใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการทํางานของนายกรัฐมนตรีมาตลอด ในการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุมทุกด้าน มุ่งทํางานแก้ไขปัญหาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51783
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ชวนคนหางานต่างประเทศ สมัครสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานฯ ผ่าน "Smart TOEA"
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 รมว.สุชาติ ชวนคนหางานต่างประเทศ สมัครสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานฯ ผ่าน "Smart TOEA" กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน เปิดให้บริการรับชําระเงินค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กรณีคนหางานแจ้งการเดินทางด้วยตนเอง เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสําคัญของการให้บริการแก่ผู้รับบริการให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ตามนโยบายพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ที่ต้องการปรับเปลี่ยนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล และสร้างความเชื่อมั่นในการใช้เทคโนโลยี โดยได้มีการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องและปัจจุบันการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ระยะที่ 4 ได้พัฒนาแล้วเสร็จ ทําให้คนหางานสามารถยื่นคําขอส่งเงินเข้ากองทุนฯ ได้ 2 วิธี คือ ยื่นคําขอผ่านระบบ e-Service และยื่นคําขอ ณ สํานักงาน โดยมีเจ้าหน้าที่ดําเนินการผ่านระบบ e-Service แทนคนหางาน รวมทั้งสามารถชําระเงินได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ Mobile Banking , เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย จํากัด และชําระเงินสด ณ สํานักงาน ที่ยื่นคําขอส่งเงินเข้ากองทุน โดยระบบ e-Service ดังกล่าว จะเริ่มเปิดให้ใช้บริการในส่วนการสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ“กรณีคนหางานแจ้งการเดินทางด้วยตนเอง” เป็นลําดับแรก ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สําหรับผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ หากเป็นสมาชิกกองทุนฯ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่เป็นสมาชิกกองทุนฯ จะได้รับความคุ้มครอง และสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายกําหนด อาทิ กรณีถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ กรณีประสบอันตรายก่อนไปทํางานหรือขณะทํางานในต่างประเทศ กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุประสบอันตราย กรณีประสบอันตรายจนพิการ กรณีถูกส่งกลับเนื่องจากเป็นโรคต้องห้าม และกรณีประสบปัญหาจากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด “คนหางานที่เดินทางไปทํางานในต่างประเทศและประสงค์สมัครสมาชิกกองทุนฯสามารถแจ้งการเดินทางได้ทางเว็บไซต์ toea.doe.go.th ชําระเงินค่าสมัครสมาชิกกองทุนฯ ผ่าน Mobile Banking หรือเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย จํากัด รับหลักฐานใบเสร็จรับเงินและบัตรสมาชิกกองทุนฯ ผ่าน Application "Smart TOEA" หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ (e-Service) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และส่วนกรณีการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศโดยกรมการจัดหางานจัดส่ง และกรณีบริษัทจัดหางานจัดส่ง จะเปิดให้บริการในวันที่ 26 กันยายน 2565 เป็นต้นไป” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทํางานในต่างประเทศและต้องการสมัครสมาชิกกองทุน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 02 245 6710 -11 ในวันและเวลาราชการ หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ชวนคนหางานต่างประเทศ สมัครสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานฯ ผ่าน "Smart TOEA" วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 รมว.สุชาติ ชวนคนหางานต่างประเทศ สมัครสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานฯ ผ่าน "Smart TOEA" กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน เปิดให้บริการรับชําระเงินค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กรณีคนหางานแจ้งการเดินทางด้วยตนเอง เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสําคัญของการให้บริการแก่ผู้รับบริการให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ตามนโยบายพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ที่ต้องการปรับเปลี่ยนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล และสร้างความเชื่อมั่นในการใช้เทคโนโลยี โดยได้มีการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องและปัจจุบันการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ระยะที่ 4 ได้พัฒนาแล้วเสร็จ ทําให้คนหางานสามารถยื่นคําขอส่งเงินเข้ากองทุนฯ ได้ 2 วิธี คือ ยื่นคําขอผ่านระบบ e-Service และยื่นคําขอ ณ สํานักงาน โดยมีเจ้าหน้าที่ดําเนินการผ่านระบบ e-Service แทนคนหางาน รวมทั้งสามารถชําระเงินได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ Mobile Banking , เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย จํากัด และชําระเงินสด ณ สํานักงาน ที่ยื่นคําขอส่งเงินเข้ากองทุน โดยระบบ e-Service ดังกล่าว จะเริ่มเปิดให้ใช้บริการในส่วนการสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ“กรณีคนหางานแจ้งการเดินทางด้วยตนเอง” เป็นลําดับแรก ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สําหรับผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ หากเป็นสมาชิกกองทุนฯ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่เป็นสมาชิกกองทุนฯ จะได้รับความคุ้มครอง และสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายกําหนด อาทิ กรณีถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ กรณีประสบอันตรายก่อนไปทํางานหรือขณะทํางานในต่างประเทศ กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุประสบอันตราย กรณีประสบอันตรายจนพิการ กรณีถูกส่งกลับเนื่องจากเป็นโรคต้องห้าม และกรณีประสบปัญหาจากภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด “คนหางานที่เดินทางไปทํางานในต่างประเทศและประสงค์สมัครสมาชิกกองทุนฯสามารถแจ้งการเดินทางได้ทางเว็บไซต์ toea.doe.go.th ชําระเงินค่าสมัครสมาชิกกองทุนฯ ผ่าน Mobile Banking หรือเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย จํากัด รับหลักฐานใบเสร็จรับเงินและบัตรสมาชิกกองทุนฯ ผ่าน Application "Smart TOEA" หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ (e-Service) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และส่วนกรณีการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศโดยกรมการจัดหางานจัดส่ง และกรณีบริษัทจัดหางานจัดส่ง จะเปิดให้บริการในวันที่ 26 กันยายน 2565 เป็นต้นไป” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทํางานในต่างประเทศและต้องการสมัครสมาชิกกองทุน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 02 245 6710 -11 ในวันและเวลาราชการ หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยค่าน้ำ - ไฟ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน
วันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2564 มาตรการช่วยค่าน้ํา - ไฟ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน ครม. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้าและค่าน้ําประปาของประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ เป็นระยะเวลา 2 เดือน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้าและค่าน้ําประปาของประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ เป็นระยะเวลา 2 เดือน 1. มาตรการลดภาระค่าไฟฟ้าระหว่างเดือนก.ค.-ส.ค. 64 โดยใช้ฐานเดือนกุมภาพันธ์ ดังนี้ * บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150หน่วย/เดือน : ใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก - บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150หน่วย/เดือน หากน้อยกว่าหรือเท่ากับเดือน ก.พ. 64 คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริง กรณีมากกว่าเดือนก.พ. แต่ไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน ให้จ่ายเท่ากับเดือน ก.พ. 64 ระหว่าง 501-1,000 หน่วย/เดือน ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากับเดือน ก.พ. 64+ 50% ของหน่วยไฟฟ้าที่เพิ่มจากเดือน ก.พ. 64 เกิน 1,000 หน่วย/เดือน ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากับเดือน ก.พ. 64+ 70% ของหน่วยไฟฟ้าที่เพิ่มจากเดือน ก.พ. 64 โดยให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม * กิจการขนาดเล็ก(ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ใช้ไฟฟ้าฟรี 100 หน่วยแรก * กิจการขนาดกลาง ขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะ องค์กรไม่แสวงหากําไรและการสูบน้ําเพื่อการเกษตร ยกเว้นการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าต่ําสุด (Minimum Charge) จนถึงสิ้นเดือนธ.ค. 64 โดยให้จ่ายค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (demand Charge) ตามกําลังไฟฟ้าที่ใช้จ่ายจริง 2. มาตรการลดภาระค่าน้ําประปาลงร้อยละ 10 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ระยะเวลา 2 เดือน (ส.ค.-ก.ย. 64) ทั้งนี้ กรอบวงเงินสําหรับมาตรการลดค่าน้ํา-ค่าไฟฟ้า ให้กฟน. กฟภ. กปน. และกปภ. ขอรับสนับสนุนภายใต้กรอบวงเงินรวมไม่เกิน 12,000 ล้านบาท “ในส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนนั้น ได้มีประกาศให้สถานศึกษาภาครัฐพิจารณาให้ความช่วยเหลือในการให้ส่วนลดเงินบํารุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งวันนี้ ครม.ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตกรรม หารือกับสถานศึกษาในสังกัดเพื่อแนวทางการลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เป็นกรณีพิเศษ พร้อมให้ทําข้อเสนอโครงการในลักษณะรัฐร่วมสมบทภาระส่วนลดให้แก่สถานศึกษาบางส่วนเพื่อเสนอให้ครม. พิจารณาภายใน 1 สัปดาห์ รวมทั้งให้ร่วมกับกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแนวทางทางการเงินเพื่อช่วยเหลือสถานศึกษาภาคเอกชนที่ประสบปัญหาทางการเงินที่เหมาะสมด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยค่าน้ำ - ไฟ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน วันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2564 มาตรการช่วยค่าน้ํา - ไฟ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน ครม. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้าและค่าน้ําประปาของประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ เป็นระยะเวลา 2 เดือน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้าและค่าน้ําประปาของประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ เป็นระยะเวลา 2 เดือน 1. มาตรการลดภาระค่าไฟฟ้าระหว่างเดือนก.ค.-ส.ค. 64 โดยใช้ฐานเดือนกุมภาพันธ์ ดังนี้ * บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150หน่วย/เดือน : ใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก - บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150หน่วย/เดือน หากน้อยกว่าหรือเท่ากับเดือน ก.พ. 64 คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริง กรณีมากกว่าเดือนก.พ. แต่ไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน ให้จ่ายเท่ากับเดือน ก.พ. 64 ระหว่าง 501-1,000 หน่วย/เดือน ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากับเดือน ก.พ. 64+ 50% ของหน่วยไฟฟ้าที่เพิ่มจากเดือน ก.พ. 64 เกิน 1,000 หน่วย/เดือน ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากับเดือน ก.พ. 64+ 70% ของหน่วยไฟฟ้าที่เพิ่มจากเดือน ก.พ. 64 โดยให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม * กิจการขนาดเล็ก(ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ใช้ไฟฟ้าฟรี 100 หน่วยแรก * กิจการขนาดกลาง ขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะ องค์กรไม่แสวงหากําไรและการสูบน้ําเพื่อการเกษตร ยกเว้นการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าต่ําสุด (Minimum Charge) จนถึงสิ้นเดือนธ.ค. 64 โดยให้จ่ายค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (demand Charge) ตามกําลังไฟฟ้าที่ใช้จ่ายจริง 2. มาตรการลดภาระค่าน้ําประปาลงร้อยละ 10 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ระยะเวลา 2 เดือน (ส.ค.-ก.ย. 64) ทั้งนี้ กรอบวงเงินสําหรับมาตรการลดค่าน้ํา-ค่าไฟฟ้า ให้กฟน. กฟภ. กปน. และกปภ. ขอรับสนับสนุนภายใต้กรอบวงเงินรวมไม่เกิน 12,000 ล้านบาท “ในส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนนั้น ได้มีประกาศให้สถานศึกษาภาครัฐพิจารณาให้ความช่วยเหลือในการให้ส่วนลดเงินบํารุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งวันนี้ ครม.ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตกรรม หารือกับสถานศึกษาในสังกัดเพื่อแนวทางการลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เป็นกรณีพิเศษ พร้อมให้ทําข้อเสนอโครงการในลักษณะรัฐร่วมสมบทภาระส่วนลดให้แก่สถานศึกษาบางส่วนเพื่อเสนอให้ครม. พิจารณาภายใน 1 สัปดาห์ รวมทั้งให้ร่วมกับกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแนวทางทางการเงินเพื่อช่วยเหลือสถานศึกษาภาคเอกชนที่ประสบปัญหาทางการเงินที่เหมาะสมด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมทวิภาคีระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติคดีค้ามนุษย์
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565 การประชุมทวิภาคีระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติคดีค้ามนุษย์ การประชุมทวิภาคีระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติคดีค้ามนุษย์ ในวันจันทร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. พันตํารวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิด “การประชุมทวิภาคีระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ด้วยความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติคดีค้ามนุษย์” โดยมีพลตํารวจเอก ธรรมศักดิ์ วิชชาระยะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ทําหน้าที่หัวคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฝ่ายไทย ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สํานักงานอัยการสูงสุด กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับผู้แทนฝ่ายฟิลิปปินส์ ได้แก่ กระทรวงยุติธรรมฟิลิปปินส์ สํานักงานตํารวจแห่งชาติฟิลิปปินส์ สภาหน่วยงานเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (IACAT) กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ตลอดจนผู้แทนโครงการ ASEAN - ACT ประจําประเทศไทย และฟิลิปปินส์เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑๐ - ๐๑ ชั้น ๑๐ อาคารกระทรวงยุติธรรม และผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ทั้งนี้ ผู้แทนของทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนในประเด็น อาทิ สถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ขั้นตอนการสอบสวน การดําเนินคดี กลไกการส่งต่อแห่งชาติ และการแลกเปลี่ยนข้อมูล วิธีการ ระเบียบวิธี การแสวงหาข้อเท็จจริงด้านพฤติการณ์แห่งคดี ปฏิบัติการการให้ความช่วยเหลือและส่งกลับบุคคลสัญชาติไทย และแนวทางสําหรับบุคคลสัญชาติอื่น กลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูล การระบุผู้ประสานงานหลัก กลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการระบุผู้ประสานงานหลัก เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้เห็นพ้องที่จะจัดให้มีการประชุมกลุ่มย่อยกับหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อหารือในรายละเอียด เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ กลไกการส่งต่อระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะยกระดับความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ให้มีความมั่นคง มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมทวิภาคีระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติคดีค้ามนุษย์ วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565 การประชุมทวิภาคีระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติคดีค้ามนุษย์ การประชุมทวิภาคีระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ว่าด้วยความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติคดีค้ามนุษย์ ในวันจันทร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. พันตํารวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิด “การประชุมทวิภาคีระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ด้วยความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมข้ามชาติคดีค้ามนุษย์” โดยมีพลตํารวจเอก ธรรมศักดิ์ วิชชาระยะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ทําหน้าที่หัวคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฝ่ายไทย ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สํานักงานอัยการสูงสุด กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับผู้แทนฝ่ายฟิลิปปินส์ ได้แก่ กระทรวงยุติธรรมฟิลิปปินส์ สํานักงานตํารวจแห่งชาติฟิลิปปินส์ สภาหน่วยงานเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (IACAT) กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ตลอดจนผู้แทนโครงการ ASEAN - ACT ประจําประเทศไทย และฟิลิปปินส์เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑๐ - ๐๑ ชั้น ๑๐ อาคารกระทรวงยุติธรรม และผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ทั้งนี้ ผู้แทนของทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนในประเด็น อาทิ สถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ขั้นตอนการสอบสวน การดําเนินคดี กลไกการส่งต่อแห่งชาติ และการแลกเปลี่ยนข้อมูล วิธีการ ระเบียบวิธี การแสวงหาข้อเท็จจริงด้านพฤติการณ์แห่งคดี ปฏิบัติการการให้ความช่วยเหลือและส่งกลับบุคคลสัญชาติไทย และแนวทางสําหรับบุคคลสัญชาติอื่น กลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูล การระบุผู้ประสานงานหลัก กลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการระบุผู้ประสานงานหลัก เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้เห็นพ้องที่จะจัดให้มีการประชุมกลุ่มย่อยกับหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อหารือในรายละเอียด เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ กลไกการส่งต่อระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะยกระดับความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศไทย - ฟิลิปปินส์ ให้มีความมั่นคง มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57250
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี รับมอบเงินบริจาค และอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 องคมนตรี รับมอบเงินบริจาค และอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช องคมนตรี รับมอบเงินบริจาค 2 ล้านบาท น้อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 และรับมอบเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนด้วยอัตราไหลสูง เครื่องฆ่าเชื้อฟอกอากาศ เพื่อนําไปใช้ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในห้องไอซียู องคมนตรี รับมอบเงินบริจาค 2 ล้านบาท น้อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา28 กรกฎาคม 2564 และรับมอบเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนด้วยอัตราไหลสูง เครื่องฆ่าเชื้อฟอกอากาศ เพื่อนําไปใช้ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในห้องไอซียู วันนี้ (30 กรกฎาคม2564) ที่สํานักงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จ.นนทบุรีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชพร้อมด้วยนายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ รับมอบเงินบริจาคจํานวน 2 ล้านบาท จากนายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และคณะ เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา28 กรกฎาคม 2564 และสนับสนุนกิจกรรมมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นอกจากนี้ นายณัฎฐรัชช์ พรธาดาวิทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ทองขาว จํากัด และประธานกองทุนจิตอาสา ทองขาว 9 พอเพียง ได้มอบเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนด้วยอัตราการไหลสูง จํานวน 3 เครื่อง และเครื่องฆ่าเชื้อฟอกอากาศทั้งในอากาศและพื้นผิวสัมผัส และเพิ่มออกซิเจนในอากาศ จํานวน 6 เครื่อง รวมมูลค่า 859,400 บาทให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนําไปใช้ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในห้องไอซียู ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาทั้ง 2 คณะ ที่ให้สนับสนุนการดําเนินงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกล ให้เข้าถึงบริการระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ******************************* 30 กรกฎาคม 2564 *********************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี รับมอบเงินบริจาค และอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 องคมนตรี รับมอบเงินบริจาค และอุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช องคมนตรี รับมอบเงินบริจาค 2 ล้านบาท น้อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 และรับมอบเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนด้วยอัตราไหลสูง เครื่องฆ่าเชื้อฟอกอากาศ เพื่อนําไปใช้ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในห้องไอซียู องคมนตรี รับมอบเงินบริจาค 2 ล้านบาท น้อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา28 กรกฎาคม 2564 และรับมอบเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนด้วยอัตราไหลสูง เครื่องฆ่าเชื้อฟอกอากาศ เพื่อนําไปใช้ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในห้องไอซียู วันนี้ (30 กรกฎาคม2564) ที่สํานักงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จ.นนทบุรีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชพร้อมด้วยนายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ รับมอบเงินบริจาคจํานวน 2 ล้านบาท จากนายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และคณะ เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา28 กรกฎาคม 2564 และสนับสนุนกิจกรรมมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นอกจากนี้ นายณัฎฐรัชช์ พรธาดาวิทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ทองขาว จํากัด และประธานกองทุนจิตอาสา ทองขาว 9 พอเพียง ได้มอบเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนด้วยอัตราการไหลสูง จํานวน 3 เครื่อง และเครื่องฆ่าเชื้อฟอกอากาศทั้งในอากาศและพื้นผิวสัมผัส และเพิ่มออกซิเจนในอากาศ จํานวน 6 เครื่อง รวมมูลค่า 859,400 บาทให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนําไปใช้ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในห้องไอซียู ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาทั้ง 2 คณะ ที่ให้สนับสนุนการดําเนินงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกล ให้เข้าถึงบริการระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ******************************* 30 กรกฎาคม 2564 *********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอภาคประชาชน ส่งเสริมผู้หญิงในงานด้านสันติภาพและความมั่นคง มุ่งลดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้
วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอภาคประชาชน ส่งเสริมผู้หญิงในงานด้านสันติภาพและความมั่นคง มุ่งลดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ นายกฯ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอภาคประชาชน ส่งเสริมผู้หญิงในงานด้านสันติภาพและความมั่นคง มุ่งลดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ วันที่ 27 ก.พ. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับทราบและพร้อมสนับสนุนข้อคิดเห็นจากเวทีการประชุมเรื่อง “ผู้หญิง สันติภาพ และความมั่นคง (Women Peace and Security) เพื่อการพัฒนาแผนระดับชาติ” จัดโดยสถาบันวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลาย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. ที่ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมบทบาทและโอกาสของผู้หญิงในงานด้านสันติภาพและความมั่นคง ซึ่งครอบคลุมประเด็นการป้องกันความรุนแรงต่อสตรีและเด็กในทุกรูปแบบ ความเสมอภาคทางเพศ การส่งเสริมอาชีพ และการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในระดับตัดสินใจ เป็นต้น ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าว สอดคล้องกับมาตรการภายใต้ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2564-2570 ขณะเดียวกัน การพูดคุยเพื่อสันติสุขกับกลุ่ม BRN ในโอกาสต่อไป ก็จะหยิบประเด็นการลดความรุนแรงต่อเด็กและสตรีเข้าพูดคุยด้วย ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ศูนย์อํานวยการบริหารจัดการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ยกร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีฯ ซึ่งมีแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสันติภาพ อาทิ 1) กําหนดมาตรการที่จําเป็นในการให้ความคุ้มครองผู้หญิงและเด็กในพื้นที่ที่ขัดแย้งในจังหวัดใช้แดนภาคใต้ 2) สร้างผู้นําหญิงเพื่อเป็นกลไกแก้ไขความขัดแย้งในระดับชุมชนและสังคม และ 3) ให้มีตัวแทนผู้หญิงในกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อนําเสนอปัญหาของผู้หญิงในทุกระดับ ขณะเดียวกัน ยังได้กําหนดมาตรการเพื่อเพิ่มโอกาสผู้หญิงในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจระดับนโยบายด้วย อาทิ 1) กําหนดให้มีสัดส่วนของผู้หญิงในการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ/คณะทํางาน/ที่ปรึกษาคณะทํางานชุดต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยรัฐ 2) เพิ่มจํานวนผู้หญิงในการเขียนกฎหมายการกําหนดนโยบายหรือการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง เป็นต้น “นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้หญิงในการขับเคลื่อนให้เกิดสันติภาพและการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งแผนการส่งเสริมบทบาทสตรีของ ศอ.บต. ประกอบกับการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ จะเป็นกลไกสําคัญสู่เป้าหมายดังกล่าว ควบคู่ไปกับการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้กับคณะผู้แทนกลุ่ม BRN โดยฝ่ายไทยมี พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งในครั้งหน้าจะมีการนําประเด็นที่ภาคประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ เสนอแนะถึงแนวทางการลดความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการลดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี การลดความรุนแรงต่อพื้นที่สาธารณะ และลดความรุนแรงต่อพื้นที่เศรษฐกิจ เข้าสู่การพูดคุยด้วย” รองโฆษกฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอภาคประชาชน ส่งเสริมผู้หญิงในงานด้านสันติภาพและความมั่นคง มุ่งลดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอภาคประชาชน ส่งเสริมผู้หญิงในงานด้านสันติภาพและความมั่นคง มุ่งลดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ นายกฯ พร้อมสนับสนุนข้อเสนอภาคประชาชน ส่งเสริมผู้หญิงในงานด้านสันติภาพและความมั่นคง มุ่งลดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ วันที่ 27 ก.พ. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับทราบและพร้อมสนับสนุนข้อคิดเห็นจากเวทีการประชุมเรื่อง “ผู้หญิง สันติภาพ และความมั่นคง (Women Peace and Security) เพื่อการพัฒนาแผนระดับชาติ” จัดโดยสถาบันวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลาย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. ที่ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมบทบาทและโอกาสของผู้หญิงในงานด้านสันติภาพและความมั่นคง ซึ่งครอบคลุมประเด็นการป้องกันความรุนแรงต่อสตรีและเด็กในทุกรูปแบบ ความเสมอภาคทางเพศ การส่งเสริมอาชีพ และการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในระดับตัดสินใจ เป็นต้น ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าว สอดคล้องกับมาตรการภายใต้ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2564-2570 ขณะเดียวกัน การพูดคุยเพื่อสันติสุขกับกลุ่ม BRN ในโอกาสต่อไป ก็จะหยิบประเด็นการลดความรุนแรงต่อเด็กและสตรีเข้าพูดคุยด้วย ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ศูนย์อํานวยการบริหารจัดการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ยกร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีฯ ซึ่งมีแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสันติภาพ อาทิ 1) กําหนดมาตรการที่จําเป็นในการให้ความคุ้มครองผู้หญิงและเด็กในพื้นที่ที่ขัดแย้งในจังหวัดใช้แดนภาคใต้ 2) สร้างผู้นําหญิงเพื่อเป็นกลไกแก้ไขความขัดแย้งในระดับชุมชนและสังคม และ 3) ให้มีตัวแทนผู้หญิงในกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อนําเสนอปัญหาของผู้หญิงในทุกระดับ ขณะเดียวกัน ยังได้กําหนดมาตรการเพื่อเพิ่มโอกาสผู้หญิงในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจระดับนโยบายด้วย อาทิ 1) กําหนดให้มีสัดส่วนของผู้หญิงในการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ/คณะทํางาน/ที่ปรึกษาคณะทํางานชุดต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยรัฐ 2) เพิ่มจํานวนผู้หญิงในการเขียนกฎหมายการกําหนดนโยบายหรือการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง เป็นต้น “นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้หญิงในการขับเคลื่อนให้เกิดสันติภาพและการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งแผนการส่งเสริมบทบาทสตรีของ ศอ.บต. ประกอบกับการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ จะเป็นกลไกสําคัญสู่เป้าหมายดังกล่าว ควบคู่ไปกับการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้กับคณะผู้แทนกลุ่ม BRN โดยฝ่ายไทยมี พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งในครั้งหน้าจะมีการนําประเด็นที่ภาคประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ เสนอแนะถึงแนวทางการลดความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการลดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี การลดความรุนแรงต่อพื้นที่สาธารณะ และลดความรุนแรงต่อพื้นที่เศรษฐกิจ เข้าสู่การพูดคุยด้วย” รองโฆษกฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51981
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ลงนามในคำสั่งมอบสัญชาติไทยโค้ชเช และขอบคุณทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับข่าวดี WADA ปลดล็อกไทยแล้ว
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ ลงนามในคําสั่งมอบสัญชาติไทยโค้ชเช และขอบคุณทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับข่าวดี WADA ปลดล็อกไทยแล้ว นายกฯ ลงนามในคําสั่งมอบสัญชาติไทยโค้ชเช และขอบคุณทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับข่าวดี WADA ปลดล็อกไทยแล้ว วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามในคําสั่งมอบสัญชาติไทยเพิ่มเติมประจําปีตามวาระ ส่งผลให้ นายชเว ยอง ซอก หรือโค้ชเช หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ได้รับสัญชาติไทยตามร้องขอ นายธนกรฯ กล่าวว่า โค้ชเช หรือ ชื่อไทย "ชัชชัย ชเว" เป็นบุคคลที่ทําคุณประโยชน์กับวงการกีฬาเทควันโดทีมชาติไทยมาอย่างยาวนาน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของนักกีฬาเทควันโดหลายคนในโอลิมปิกเกมส์ ตั้งแต่ ปี 2547 เหรียญทองแดงโอลิมปิก ที่เอเธนส์ ประเทศกรีซ จาก เยาวภา บุรพลชัย ปี 2551 เหรียญเงินโอลิมปิก ที่ปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จาก บุตรี เผือดผ่อง ปี 2555 เหรียญทองแดงโอลิมปิก ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จาก ชนาธิป ซ้อนขํา และปี 2564 เหรียญทองโอลิมปิก ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จาก พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นายกรัฐมนตรี ร่วมยินดีกับโค้ชเช ที่ได้รับสัญชาติไทยเป็นที่เรียบร้อย ชื่นชมการทํางานที่โค้ชเชทุ่มเทให้วงการกีฬาไทยตลอดมา ขอขอบคุณที่โค้ชเชรักประเทศไทย อยากได้สัญชาติไทย และขอเป็นกําลังใจให้ โค้ชเช ทําหน้าที่ให้กับทีมนักกีฬาไทยอย่างเต็มภาคภูมิ นําชัยชนะในการแข่งขันกีฬาครั้งต่อๆ ไป เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้กับแฟนกีฬาชาวไทย ในโอกาสนี้ นายธนกรฯ กล่าวถึงอีกข่าวดีของวงการกีฬาไทย ซึ่งองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency: WADA) ได้ปลดไทยออกจากรายชื่อผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของ WADA โดยมีผลทันที ซึ่งจะทําให้นักกีฬาไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันรายการที่ WADA และคณะกรรมการโอลิมปิกสากลเป็นผู้ดูแลสามารถชักธงชาติ เพลงชาติของประเทศตนเองในการแข่งขันได้ “นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมแก้ไขปัญหาจนสําเร็จลุล่วง นับเป็นข่าวดีแก่วงการกีฬาไทย ซึ่งการปลดชื่อไทยครั้งนี้ ส่งผลสําคัญคือไทยจะมีสิทธิเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬา ซึ่งจะเป็นโอกาสในอุตสาหกรรมการกีฬาและการท่องเที่ยว ส่งผลถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต รวมทั้ง การปลดล็อคเรื่องการชักธงชาติไทยในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติจะส่งผลถึงกําลังใจของแฟนกีฬาชาวไทยด้วย” นายธนกรฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ลงนามในคำสั่งมอบสัญชาติไทยโค้ชเช และขอบคุณทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับข่าวดี WADA ปลดล็อกไทยแล้ว วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ ลงนามในคําสั่งมอบสัญชาติไทยโค้ชเช และขอบคุณทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับข่าวดี WADA ปลดล็อกไทยแล้ว นายกฯ ลงนามในคําสั่งมอบสัญชาติไทยโค้ชเช และขอบคุณทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับข่าวดี WADA ปลดล็อกไทยแล้ว วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามในคําสั่งมอบสัญชาติไทยเพิ่มเติมประจําปีตามวาระ ส่งผลให้ นายชเว ยอง ซอก หรือโค้ชเช หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ได้รับสัญชาติไทยตามร้องขอ นายธนกรฯ กล่าวว่า โค้ชเช หรือ ชื่อไทย "ชัชชัย ชเว" เป็นบุคคลที่ทําคุณประโยชน์กับวงการกีฬาเทควันโดทีมชาติไทยมาอย่างยาวนาน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของนักกีฬาเทควันโดหลายคนในโอลิมปิกเกมส์ ตั้งแต่ ปี 2547 เหรียญทองแดงโอลิมปิก ที่เอเธนส์ ประเทศกรีซ จาก เยาวภา บุรพลชัย ปี 2551 เหรียญเงินโอลิมปิก ที่ปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จาก บุตรี เผือดผ่อง ปี 2555 เหรียญทองแดงโอลิมปิก ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จาก ชนาธิป ซ้อนขํา และปี 2564 เหรียญทองโอลิมปิก ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จาก พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นายกรัฐมนตรี ร่วมยินดีกับโค้ชเช ที่ได้รับสัญชาติไทยเป็นที่เรียบร้อย ชื่นชมการทํางานที่โค้ชเชทุ่มเทให้วงการกีฬาไทยตลอดมา ขอขอบคุณที่โค้ชเชรักประเทศไทย อยากได้สัญชาติไทย และขอเป็นกําลังใจให้ โค้ชเช ทําหน้าที่ให้กับทีมนักกีฬาไทยอย่างเต็มภาคภูมิ นําชัยชนะในการแข่งขันกีฬาครั้งต่อๆ ไป เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้กับแฟนกีฬาชาวไทย ในโอกาสนี้ นายธนกรฯ กล่าวถึงอีกข่าวดีของวงการกีฬาไทย ซึ่งองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency: WADA) ได้ปลดไทยออกจากรายชื่อผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของ WADA โดยมีผลทันที ซึ่งจะทําให้นักกีฬาไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันรายการที่ WADA และคณะกรรมการโอลิมปิกสากลเป็นผู้ดูแลสามารถชักธงชาติ เพลงชาติของประเทศตนเองในการแข่งขันได้ “นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมแก้ไขปัญหาจนสําเร็จลุล่วง นับเป็นข่าวดีแก่วงการกีฬาไทย ซึ่งการปลดชื่อไทยครั้งนี้ ส่งผลสําคัญคือไทยจะมีสิทธิเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬา ซึ่งจะเป็นโอกาสในอุตสาหกรรมการกีฬาและการท่องเที่ยว ส่งผลถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต รวมทั้ง การปลดล็อคเรื่องการชักธงชาติไทยในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติจะส่งผลถึงกําลังใจของแฟนกีฬาชาวไทยด้วย” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.นี้ หลังกรุงเทพมหานครมีมาตรการผ่อนคลายให้ศูนย์การเรียนรู้เปิดให้บริการได้
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.นี้ หลังกรุงเทพมหานครมีมาตรการผ่อนคลายให้ศูนย์การเรียนรู้เปิดให้บริการได้ “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.นี้ หลังกรุงเทพมหานครมีมาตรการผ่อนคลายให้ศูนย์การเรียนรู้เปิดให้บริการได้ “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.นี้ หลังกรุงเทพมหานครมีมาตรการผ่อนคลายให้ศูนย์การเรียนรู้เปิดให้บริการได้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรุงเทพมหานคร ได้มีประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 33) ได้ประกาศให้ศูนย์การเรียนรู้สามารถเปิดดําเนินการได้ ภายใต้มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ดังนั้น “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กระทรวงวัฒนธรรม ที่อยู่ชั้น 3 หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ ขณะนี้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย. 2564 โดยเปิดให้บริการนิทรรศการถาวรทั้งหมด 6 โซน ได้แก่ เราอยู่ร่วมกัน ผูกพันหนึ่งเดียว เที่ยวไปในอาเซียน เยี่ยมเยียนครัวริมทาง เรียนรู้กลางสวน และชวนกันสร้างสรรค์ ให้ประชาชนได้เปิดประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมธรรมอาเซียนผ่านเทคโนโลยีการนําเสนอที่ทันสมัย ผู้ชมจะได้เยี่ยมชมสถานที่สําคัญของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ผ่านประตูอยู่สบายอาเซียน ทดลองสวมใส่ชุดประจําชาติอาเซียนและถ่ายภาพที่ระลึกกับฉากหลังสถานที่สําคัญของแต่ละประเทศ รวมถึงเรียนรู้การปรุงอาหารจากพ่อครัวแม่ครัวอาเซียนที่มาสร้างเมนูอาหารยอดนิยมของแต่ละประเทศ รวมทั้งเปิดพื้นที่เป็น Working space ในบรรยากาศสวนสําหรับการค้นคว้าหาข้อมูลอาเซียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันช่วงเดือน ก.ค. - ธ.ค.2564 ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนจะจัดนิทรรศการและกิจกรรมพิเศษอื่นๆเพิ่มเติมอีกด้วย โดยติดตามข้อมูลข่าวสารและสาระน่ารู้ด้านวัฒนธรรมอาเซียน รวมทั้งการเล่นเกมตอบคําถามชิงรางวัลผ่าน Facebook Fanpage และ Instagram ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งประชาชนที่ไม่สามารถมาชมนิทรรศการได้ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนอยู่ระหว่างการจัดทํา Virtual tour และวีดิทัศน์นําชมศูนย์ฯ เพื่อเผยแพร่ในช่องทางออนไลน์โดยรับชมได้ในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน เปิดให้บริการทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 10.00 - 17.00 น. โดยปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและประกาศของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.นี้ หลังกรุงเทพมหานครมีมาตรการผ่อนคลายให้ศูนย์การเรียนรู้เปิดให้บริการได้ วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.นี้ หลังกรุงเทพมหานครมีมาตรการผ่อนคลายให้ศูนย์การเรียนรู้เปิดให้บริการได้ “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.นี้ หลังกรุงเทพมหานครมีมาตรการผ่อนคลายให้ศูนย์การเรียนรู้เปิดให้บริการได้ “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.นี้ หลังกรุงเทพมหานครมีมาตรการผ่อนคลายให้ศูนย์การเรียนรู้เปิดให้บริการได้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรุงเทพมหานคร ได้มีประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 33) ได้ประกาศให้ศูนย์การเรียนรู้สามารถเปิดดําเนินการได้ ภายใต้มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ดังนั้น “ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน” กระทรวงวัฒนธรรม ที่อยู่ชั้น 3 หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ ขณะนี้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย. 2564 โดยเปิดให้บริการนิทรรศการถาวรทั้งหมด 6 โซน ได้แก่ เราอยู่ร่วมกัน ผูกพันหนึ่งเดียว เที่ยวไปในอาเซียน เยี่ยมเยียนครัวริมทาง เรียนรู้กลางสวน และชวนกันสร้างสรรค์ ให้ประชาชนได้เปิดประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมธรรมอาเซียนผ่านเทคโนโลยีการนําเสนอที่ทันสมัย ผู้ชมจะได้เยี่ยมชมสถานที่สําคัญของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ผ่านประตูอยู่สบายอาเซียน ทดลองสวมใส่ชุดประจําชาติอาเซียนและถ่ายภาพที่ระลึกกับฉากหลังสถานที่สําคัญของแต่ละประเทศ รวมถึงเรียนรู้การปรุงอาหารจากพ่อครัวแม่ครัวอาเซียนที่มาสร้างเมนูอาหารยอดนิยมของแต่ละประเทศ รวมทั้งเปิดพื้นที่เป็น Working space ในบรรยากาศสวนสําหรับการค้นคว้าหาข้อมูลอาเซียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันช่วงเดือน ก.ค. - ธ.ค.2564 ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนจะจัดนิทรรศการและกิจกรรมพิเศษอื่นๆเพิ่มเติมอีกด้วย โดยติดตามข้อมูลข่าวสารและสาระน่ารู้ด้านวัฒนธรรมอาเซียน รวมทั้งการเล่นเกมตอบคําถามชิงรางวัลผ่าน Facebook Fanpage และ Instagram ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งประชาชนที่ไม่สามารถมาชมนิทรรศการได้ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนอยู่ระหว่างการจัดทํา Virtual tour และวีดิทัศน์นําชมศูนย์ฯ เพื่อเผยแพร่ในช่องทางออนไลน์โดยรับชมได้ในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน เปิดให้บริการทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 10.00 - 17.00 น. โดยปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและประกาศของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43150
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก FATF เพิ่มบทบาทการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน เสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือการค้าการลงทุน
วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 ครม.เห็นชอบให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก FATF เพิ่มบทบาทการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน เสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือการค้าการลงทุน ครม.เห็นชอบให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก FATF เพิ่มบทบาทการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน เสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือการค้าการลงทุน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบให้ไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกของคณะทํางานเฉพาะกิจเพื่อดําเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force: FATF) ตามที่สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ซึ่งคณะทํางานเฉพาะกิจ FATF นี้ เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐบาล จัดตั้งขึ้นโดยที่ประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ G7 ในปี 2532 ปัจจุบันมีสมาชิก 39 ราย และมีเครือข่ายความร่วมมือ 9 แห่ง ในทุกภูมิภาคของโลก โดยทําหน้าที่ส่งเสริมและติดตามความคืบหน้าการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Anti-Money Laundering and Combating Financing of Terrorism: AML/CFT) การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของไทยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) และเพิ่มประสิทธิผลในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอํานาจทําลายล้างสูง รวมถึงการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินระหว่างประเทศ สําหรับกรอบระยะเวลาดําเนินการหลังจากไทยมีหนังสือแสดงเจตจํานงในการสมัครเข้าเป็นสมาชิก FATF ภายในเดือนมีนาคม 2565 แล้ว ที่ประชุมใหญ่ FATF จะพิจารณาข้อมูล เช่น ขนาด GDP ขนาดภาคธุรกิจ ขนาดประชากร อิทธิพลต่อระบบการเงินโลก และจะพิจารณาเดินทางเยือนไทยเพื่อประเมิน และภายในปี 2566 หากผลการเยือนเป็นที่น่าพอใจ ที่ประชุมใหญ่ FATF จะพิจารณาเชิญประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม FATF ในฐานะผู้สังเกตการณ์เป็นเวลา 3 ปี แล้วจะทําการประเมินเพื่อพิจารณารอบสุดท้ายในการให้สมาชิกภาพกับไทยต่อไป “การเข้าเป็นสมาชิก FATF ของไทย จะเพิ่มบทบาทการทํางานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ในเวทีระหว่างประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะประเทศที่มีการดําเนินงานตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ อันจะนําไปสูความร่วมมือระหว่างประเทศต่อไปในอนาคต” นางสาวรัชดากล่าว --------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก FATF เพิ่มบทบาทการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน เสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือการค้าการลงทุน วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 ครม.เห็นชอบให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก FATF เพิ่มบทบาทการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน เสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือการค้าการลงทุน ครม.เห็นชอบให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก FATF เพิ่มบทบาทการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน เสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือการค้าการลงทุน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบให้ไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกของคณะทํางานเฉพาะกิจเพื่อดําเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force: FATF) ตามที่สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ซึ่งคณะทํางานเฉพาะกิจ FATF นี้ เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐบาล จัดตั้งขึ้นโดยที่ประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ G7 ในปี 2532 ปัจจุบันมีสมาชิก 39 ราย และมีเครือข่ายความร่วมมือ 9 แห่ง ในทุกภูมิภาคของโลก โดยทําหน้าที่ส่งเสริมและติดตามความคืบหน้าการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Anti-Money Laundering and Combating Financing of Terrorism: AML/CFT) การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของไทยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) และเพิ่มประสิทธิผลในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอํานาจทําลายล้างสูง รวมถึงการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินระหว่างประเทศ สําหรับกรอบระยะเวลาดําเนินการหลังจากไทยมีหนังสือแสดงเจตจํานงในการสมัครเข้าเป็นสมาชิก FATF ภายในเดือนมีนาคม 2565 แล้ว ที่ประชุมใหญ่ FATF จะพิจารณาข้อมูล เช่น ขนาด GDP ขนาดภาคธุรกิจ ขนาดประชากร อิทธิพลต่อระบบการเงินโลก และจะพิจารณาเดินทางเยือนไทยเพื่อประเมิน และภายในปี 2566 หากผลการเยือนเป็นที่น่าพอใจ ที่ประชุมใหญ่ FATF จะพิจารณาเชิญประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม FATF ในฐานะผู้สังเกตการณ์เป็นเวลา 3 ปี แล้วจะทําการประเมินเพื่อพิจารณารอบสุดท้ายในการให้สมาชิกภาพกับไทยต่อไป “การเข้าเป็นสมาชิก FATF ของไทย จะเพิ่มบทบาทการทํางานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ในเวทีระหว่างประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะประเทศที่มีการดําเนินงานตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ อันจะนําไปสูความร่วมมือระหว่างประเทศต่อไปในอนาคต” นางสาวรัชดากล่าว --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52567
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2565 ผลการดําเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทําความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2 ...
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการดำเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2 วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2565 ผลการดําเนินงานโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทําความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ระยะที่ 2 ...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57596
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล ขอกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง สร้างบรรยากาศที่ดีสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยภายใต้โครงการ Phuket Sandbox
วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2564 โฆษกรัฐบาล ขอกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง สร้างบรรยากาศที่ดีสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยภายใต้โครงการ Phuket Sandbox โฆษกรัฐบาล ขอกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง สร้างบรรยากาศที่ดีสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยภายใต้โครงการ Phuket Sandbox นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มคณะราษฎรภูเก็ต และกลุ่มภูเก็ตปลดแอก ได้จัดชุมนุมขบวนคาร์ม็อบ ที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต อีกทั้งได้มีเหตุเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ชุมนุมและประชาชนในพื้นที่ภูเก็ตด้วย โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้รัฐบาลฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ให้กับแพทย์และพยาบาลนั้น ในเรื่องนี้ นายอนุชา กล่าวว่าทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงยืนยันแล้วว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่จะเข้ามาในเดือน ก.ค. นี้ จะนํามาใช้เพื่อฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เป็นกลุ่มแรกก่อนอยู่แล้ว โดยเบื้องต้นได้เตรียมฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่น้อยกว่า 5 แสนคน นอกจากนี้ วัคซีนไฟเซอร์จะได้กระจายไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยง และพื้นที่เสี่ยง โดยจะมีคณะทํางานจากทุกภาคส่วนร่วมพิจารณาดําเนินการจัดสรรวัคซีนในล็อตนี้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งพร้อมยืนยันว่าไม่มีการบังคับฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ในบุคลากรทางการแพทย์ ที่ฉีดซิโนแวคมาแล้ว 2 เข็มแต่อย่างใด นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมในเรื่องการนําเข้าวัคซีน mRNA ที่มีประสิทธิภาพ และหลากหลาย ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทุก ๆ คนอย่างเท่าเทียมกันนั้น นายอนุชายืนยันว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามกับผู้แทนบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จํากัดและไบออนเทค ในการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA จํานวน 20 ล้านโดส ซึ่งจะมีการจัดส่งในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 นี้และการทําข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ในครั้งนี้ จะทําให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งในส่วนของ mRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา, ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม, ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตร้าเซนเนก้า และล่าสุดองค์การเภสัชอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนชนิดโปรตีนซับยูนิต ซึ่งคาดว่าจะนําเข้ามาเพื่อฉีดให้กับประชาชนได้ในช่วงต้นปี 2565 และจะทําให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 หลากหลายเทคโนโลยีที่มีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน นานอนุชา กล่าวอีกว่า จากที่รัฐบาลได้เดินหน้า Phuket Sandbox เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นมา มีจํานวนนักท่องเที่ยวสะสมที่เดินทางเข้ามาภูเก็ตเกือบหนึ่งหมื่นคนแล้ว โดยเดินทางเข้ามาทางเครื่องบินมากกว่า 100 เที่ยวบิน และทราบว่าหลายสายการบินได้แจ้งความประสงค์ที่จะขยายความถี่ของเที่ยวบินต่อสัปดาห์ให้มากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของจังหวัดภูเก็ตก็ยังสามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล ขอกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง สร้างบรรยากาศที่ดีสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยภายใต้โครงการ Phuket Sandbox วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2564 โฆษกรัฐบาล ขอกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง สร้างบรรยากาศที่ดีสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยภายใต้โครงการ Phuket Sandbox โฆษกรัฐบาล ขอกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง สร้างบรรยากาศที่ดีสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยภายใต้โครงการ Phuket Sandbox นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มคณะราษฎรภูเก็ต และกลุ่มภูเก็ตปลดแอก ได้จัดชุมนุมขบวนคาร์ม็อบ ที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต อีกทั้งได้มีเหตุเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ชุมนุมและประชาชนในพื้นที่ภูเก็ตด้วย โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้รัฐบาลฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ให้กับแพทย์และพยาบาลนั้น ในเรื่องนี้ นายอนุชา กล่าวว่าทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงยืนยันแล้วว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่จะเข้ามาในเดือน ก.ค. นี้ จะนํามาใช้เพื่อฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เป็นกลุ่มแรกก่อนอยู่แล้ว โดยเบื้องต้นได้เตรียมฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่น้อยกว่า 5 แสนคน นอกจากนี้ วัคซีนไฟเซอร์จะได้กระจายไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยง และพื้นที่เสี่ยง โดยจะมีคณะทํางานจากทุกภาคส่วนร่วมพิจารณาดําเนินการจัดสรรวัคซีนในล็อตนี้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งพร้อมยืนยันว่าไม่มีการบังคับฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ในบุคลากรทางการแพทย์ ที่ฉีดซิโนแวคมาแล้ว 2 เข็มแต่อย่างใด นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมในเรื่องการนําเข้าวัคซีน mRNA ที่มีประสิทธิภาพ และหลากหลาย ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทุก ๆ คนอย่างเท่าเทียมกันนั้น นายอนุชายืนยันว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามกับผู้แทนบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จํากัดและไบออนเทค ในการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA จํานวน 20 ล้านโดส ซึ่งจะมีการจัดส่งในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 นี้และการทําข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ในครั้งนี้ จะทําให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งในส่วนของ mRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา, ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม, ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตร้าเซนเนก้า และล่าสุดองค์การเภสัชอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนชนิดโปรตีนซับยูนิต ซึ่งคาดว่าจะนําเข้ามาเพื่อฉีดให้กับประชาชนได้ในช่วงต้นปี 2565 และจะทําให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 หลากหลายเทคโนโลยีที่มีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน นานอนุชา กล่าวอีกว่า จากที่รัฐบาลได้เดินหน้า Phuket Sandbox เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นมา มีจํานวนนักท่องเที่ยวสะสมที่เดินทางเข้ามาภูเก็ตเกือบหนึ่งหมื่นคนแล้ว โดยเดินทางเข้ามาทางเครื่องบินมากกว่า 100 เที่ยวบิน และทราบว่าหลายสายการบินได้แจ้งความประสงค์ที่จะขยายความถี่ของเที่ยวบินต่อสัปดาห์ให้มากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของจังหวัดภูเก็ตก็ยังสามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. กำชับสถานบริการสาธารณสุข 37 จังหวัดเฝ้าระวังและป้องกันน้ำท่วม เหตุหลายพื้นที่ ยังมีฝนต่อเนื่อง
วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564 ปลัด สธ. กําชับสถานบริการสาธารณสุข 37 จังหวัดเฝ้าระวังและป้องกันน้ําท่วม เหตุหลายพื้นที่ ยังมีฝนต่อเนื่อง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานบริการสาธารณสุขใน 37 จังหวัดเสี่ยงน้ําหลาก ดินถล่ม น้ําล้นอ่างและล้นตลิ่ง ตามประกาศเตือนของกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ เฝ้าระวังประเมินสถานการณ์และป้องกันน้ําท่วม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานบริการสาธารณสุขใน 37 จังหวัดเสี่ยงน้ําหลาก ดินถล่ม น้ําล้นอ่างและล้นตลิ่งตามประกาศเตือนของกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ เฝ้าระวังประเมินสถานการณ์และป้องกันน้ําท่วม จัดทําแผนเผชิญเหตุหากได้รับผลกระทบ เพื่อจัดบริการทางการแพทย์ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง เหตุจากยังมีฝนตกต่อเนื่องหลายพื้นที่ ส่วนพายุ "หมาเหล่า" ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย วันนี้ (27 ตุลาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กองอํานวยการน้ําแห่งชาติได้ประเมินและคาดการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2564 มีพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังอุทกภัยรวม 37 จังหวัดประกอบด้วย เฝ้าระวังน้ําหลาก ดินถล่มดินถล่ม 15 จังหวัด, เฝ้าระวังภาวะเสี่ยงน้ําล้นอ่างเก็บน้ํา 22 จังหวัด และเฝ้าระวังระดับน้ําล้นตลิ่ง น้ําท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ํา 22 จังหวัด จึงได้กําชับให้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งในพื้นที่เตือนภัยเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์ ทั้งจากสภาพอากาศและสภาพน้ําอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและป้องกันน้ําท่วมเข้าพื้นที่ สํารองยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงจัดทําแผนเผชิญเหตุหากน้ําท่วมกระทบต่อการให้บริการ เพื่อจัดบริการทางการแพทย์ให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่อง สําหรับสถานการณ์น้ําท่วมจากพายุเตี้ยนหมู่ คมปาซุ ร่องมรสุมพาดผ่าน และน้ําล้นตลิ่ง ปัจจุบันเหลือ 16 จังหวัด มีผู้บาดเจ็บ 297 ราย เสียชีวิต 79 ราย เปิดศูนย์พักพิงเพิ่มเติม 2 แห่งที่ จ.นครราชสีมา รวมมีศูนย์พักพิง 117 แห่ง มีผู้รับบริการ 6,353 ราย สถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 175 แห่ง ส่วนใหญ่เปิดให้บริการตามปกติ มีเปิดบริการบางส่วน 17 แห่ง และปิดบริการ 10 แห่ง โดยปรับระบบบริการให้ดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ส่วนทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์ 426 ทีม ออกให้บริการประชาชนและผู้ประสบอุทกภัยรวม 516,991 ราย ประกอบด้วย เยี่ยมบ้าน 133,249 ราย แจกยาชุดเหลือผู้ประสบภัย 122,527 ราย ให้สุขศึกษา 92,769 ราย และบริการตรวจรักษา 102,691 ราย มีการประเมินสุขภาพจิต 65,675 ราย อยู่ในภาวะปกติ 65,214 ราย เครียดระดับมาก 422 ราย เสี่ยงภาวะซึมเศร้า 35 รายและเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย 4 ราย ทั้งหมดได้รับการดูแลแล้วตามระบบ "รายงานสภาพอากาศ ระบุว่าภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ ขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ํากําลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ ขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่างแล้ว คาดว่าวันนี้จะปกคลุมประเทศกัมพูชา มีแนวโน้มอ่อนกําลังลง ทําให้วันที่ 27-29 ตุลาคม ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น ส่วนพายุโซนร้อน "หมาเหล่า" ที่ปกคลุมมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศประเทศไทย แต่สถานบริการสาธาณสุขจังหวัดต่างๆ ยังต้องติดตามเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง" นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ************************************* 27 ตุลาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. กำชับสถานบริการสาธารณสุข 37 จังหวัดเฝ้าระวังและป้องกันน้ำท่วม เหตุหลายพื้นที่ ยังมีฝนต่อเนื่อง วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564 ปลัด สธ. กําชับสถานบริการสาธารณสุข 37 จังหวัดเฝ้าระวังและป้องกันน้ําท่วม เหตุหลายพื้นที่ ยังมีฝนต่อเนื่อง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานบริการสาธารณสุขใน 37 จังหวัดเสี่ยงน้ําหลาก ดินถล่ม น้ําล้นอ่างและล้นตลิ่ง ตามประกาศเตือนของกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ เฝ้าระวังประเมินสถานการณ์และป้องกันน้ําท่วม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานบริการสาธารณสุขใน 37 จังหวัดเสี่ยงน้ําหลาก ดินถล่ม น้ําล้นอ่างและล้นตลิ่งตามประกาศเตือนของกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ เฝ้าระวังประเมินสถานการณ์และป้องกันน้ําท่วม จัดทําแผนเผชิญเหตุหากได้รับผลกระทบ เพื่อจัดบริการทางการแพทย์ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง เหตุจากยังมีฝนตกต่อเนื่องหลายพื้นที่ ส่วนพายุ "หมาเหล่า" ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย วันนี้ (27 ตุลาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กองอํานวยการน้ําแห่งชาติได้ประเมินและคาดการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2564 มีพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังอุทกภัยรวม 37 จังหวัดประกอบด้วย เฝ้าระวังน้ําหลาก ดินถล่มดินถล่ม 15 จังหวัด, เฝ้าระวังภาวะเสี่ยงน้ําล้นอ่างเก็บน้ํา 22 จังหวัด และเฝ้าระวังระดับน้ําล้นตลิ่ง น้ําท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ํา 22 จังหวัด จึงได้กําชับให้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งในพื้นที่เตือนภัยเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์ ทั้งจากสภาพอากาศและสภาพน้ําอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและป้องกันน้ําท่วมเข้าพื้นที่ สํารองยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงจัดทําแผนเผชิญเหตุหากน้ําท่วมกระทบต่อการให้บริการ เพื่อจัดบริการทางการแพทย์ให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่อง สําหรับสถานการณ์น้ําท่วมจากพายุเตี้ยนหมู่ คมปาซุ ร่องมรสุมพาดผ่าน และน้ําล้นตลิ่ง ปัจจุบันเหลือ 16 จังหวัด มีผู้บาดเจ็บ 297 ราย เสียชีวิต 79 ราย เปิดศูนย์พักพิงเพิ่มเติม 2 แห่งที่ จ.นครราชสีมา รวมมีศูนย์พักพิง 117 แห่ง มีผู้รับบริการ 6,353 ราย สถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 175 แห่ง ส่วนใหญ่เปิดให้บริการตามปกติ มีเปิดบริการบางส่วน 17 แห่ง และปิดบริการ 10 แห่ง โดยปรับระบบบริการให้ดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ส่วนทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์ 426 ทีม ออกให้บริการประชาชนและผู้ประสบอุทกภัยรวม 516,991 ราย ประกอบด้วย เยี่ยมบ้าน 133,249 ราย แจกยาชุดเหลือผู้ประสบภัย 122,527 ราย ให้สุขศึกษา 92,769 ราย และบริการตรวจรักษา 102,691 ราย มีการประเมินสุขภาพจิต 65,675 ราย อยู่ในภาวะปกติ 65,214 ราย เครียดระดับมาก 422 ราย เสี่ยงภาวะซึมเศร้า 35 รายและเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย 4 ราย ทั้งหมดได้รับการดูแลแล้วตามระบบ "รายงานสภาพอากาศ ระบุว่าภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ ขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ํากําลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ ขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่างแล้ว คาดว่าวันนี้จะปกคลุมประเทศกัมพูชา มีแนวโน้มอ่อนกําลังลง ทําให้วันที่ 27-29 ตุลาคม ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น ส่วนพายุโซนร้อน "หมาเหล่า" ที่ปกคลุมมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศประเทศไทย แต่สถานบริการสาธาณสุขจังหวัดต่างๆ ยังต้องติดตามเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง" นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ************************************* 27 ตุลาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติลงนามร่าง MOU "อาเซียนกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา" หนุนส่งเสริมความร่วมมือ 36 สาขา
วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ครม. อนุมัติลงนามร่าง MOU "อาเซียนกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา" หนุนส่งเสริมความร่วมมือ 36 สาขา ..... ที่ประชุม ครม. (24 ม.ค. 65) อนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) กับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) . ร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จะเป็นกรอบในการเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย . มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับ OECD และกําหนดกรอบยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานและพัฒนาความร่วมมือในสาขาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม รวม 36 สาขา . สําหรับพิธีลงนามนั้นจะมีขึ้นในช่วงการประชุม OECD Ministerial Meeting on Southeast Asia ระหว่างวันที่ 9 - 10 ก.พ. 65 ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และมีผลบังคับใช้นับจากวันที่ลงนามเป็นระยะเวลา 5 ปี . ประโยชน์ที่ประเทศไทยและประเทศสมาชิก ASEAN จะได้รับ คือ การเข้าถึงข้อมูล ประสบการณ์ ในการจัดทํานโยบายต่าง ๆ ของ OECD และนําข้อมูลเหล่านั้น มาใช้ประกอบกับการจัดทํานโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50835 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติลงนามร่าง MOU "อาเซียนกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา" หนุนส่งเสริมความร่วมมือ 36 สาขา วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ครม. อนุมัติลงนามร่าง MOU "อาเซียนกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา" หนุนส่งเสริมความร่วมมือ 36 สาขา ..... ที่ประชุม ครม. (24 ม.ค. 65) อนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) กับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) . ร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จะเป็นกรอบในการเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย . มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับ OECD และกําหนดกรอบยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานและพัฒนาความร่วมมือในสาขาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม รวม 36 สาขา . สําหรับพิธีลงนามนั้นจะมีขึ้นในช่วงการประชุม OECD Ministerial Meeting on Southeast Asia ระหว่างวันที่ 9 - 10 ก.พ. 65 ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และมีผลบังคับใช้นับจากวันที่ลงนามเป็นระยะเวลา 5 ปี . ประโยชน์ที่ประเทศไทยและประเทศสมาชิก ASEAN จะได้รับ คือ การเข้าถึงข้อมูล ประสบการณ์ ในการจัดทํานโยบายต่าง ๆ ของ OECD และนําข้อมูลเหล่านั้น มาใช้ประกอบกับการจัดทํานโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50835 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51068
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร นำทีมกระทรวงเกษตรฯ ลุยซำสูง น้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ
วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 รมช.ประภัตร นําทีมกระทรวงเกษตรฯ ลุยซําสูง น้ําพอง จังหวัดขอนแก่น ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ รมช.ประภัตร นําทีมกระทรวงเกษตรฯ ลุยซําสูง น้ําพอง จังหวัดขอนแก่น ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร ชวนเกษตรกรปลูกฟักทอง พร้อมประกันราคารับซื้อ มั่นใจสร้างอาชีพ สร้างรายได้สู่ครัวเรือน นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการ "สานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร ณ อําเภอซําสูง และอําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่น โดยมีนายพันธุ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ และผู้นําภาคประชาชน ตลอดจนเกษตรกรในพื้นที่ให้การต้อนรับ รมช.ประภัตร เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ( Covid-19 ) เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รัฐบาล ภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรทั่วประเทศ โดยเฉพาะหลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค รวมถึงสาธารณภัยต่างๆ จึงได้มีนโยบายให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมให้กับเกษตรกร โดยร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดําเนินโครงการ “สานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร” มีวัตถุประสงค์ในการปล่อยสินเชื่อสําหรับใช้ในการประกอบอาชีพการเกษตร หรืออาชีพนอกภาคเกษตร หรือการลงทุนค้าขาย เพื่อเสริมรายได้ในครัวเรือน เน้นอาชีพที่มีตลาดรองรับชัดเจน มีการประกันราคารับซื้อผลผลิต สามารถสร้างรายได้ในระยะเวลา ไม่เกิน 6 เดือน มีผลตอบแทนเบื้องต้นเพียงพอต่อการดํารงชีพ และสามารถต่อยอดเป็นอาชีพที่มั่นคงต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งโครงการดังกล่าว มีเมนูทางเลือกให้กับเกษตรกรในด้านต่าง ๆ ทั้งเมนูอาชีพด้านปศุสัตว์ เมนูอาชีพด้านพืช และเมนูอาชีพด้านประมง โดยสามารถยื่นความประสงค์ขอกู้ตามโครงการได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ 1) ยื่นขอกู้เงินที่ธนาคาร ธ.ก.ส. สาขาที่ตนเองมีภูมิลําเนาหรือที่ตั้งของโครงการ (Walk In) และ 2) ให้ผู้ขอกู้ลงทะเบียนยื่นขอสินเชื่อผ่านช่องทาง Line Official : BAAC Family และนัดหมายผู้ขอกู้ผ่านระบบนัดหมาย โดยวงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน จํานวน 100,000 บาท แต่ต้องไม่เกินค่าใช้จ่ายและหรือค่าลงทุนจริงของลูกค้าแต่ละราย สําหรับในพื้นที่อําเภอซําสูง และอําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่นได้มีการส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ เริ่มจากการปลูกฟักทอง ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ ได้มีการเจรจาทําข้อตกลงกับบริษัทสุวรรณภูมิเมล็ดพันธุ์ จํากัด และหจก.โอ.เค. เมล็ดพันธุ์ ในการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกรไปทดลองปลูกก่อน และยังมีบริษัท ทีพีไอ โพลีน ชีวะอินทรีย์ จํากัด สนับสนุนปุ๋ยที่จําเป็นในการเพาะปลูกให้กับเกษตรกรก่อน หลังจากขายผลผลิตได้แล้วจึงจะหักต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย โดยมีผู้ประกอบการพร้อมรับซื้อฟักทองลูก ซึ่งจะเข้ามารับซื้อถึงที่ และประกันราคาที่กิโลกรัมละ 5 บาท นอกจากนี้ รมช.ประภัตร ยังได้เสนอทางเลือกให้กับเกษตรกร โดยจะนําร่องเพิ่มอีกสองเมนูทางเลือกในพื้นที่อําเภอซําสูง จังหวัดขอนแก่น 1. การเลี้ยงไก่ไข โดยจะนําแม่ไก่มาให้เกษตรกรเลี้ยง ในราคาตัวละ 200 บาท สามารถให้ผลผลิตได้ทันที โดยจะประกันราคารับซื้อไข่ไก่ไว้ที่ฟองละ 3 บาท และเมื่อเลี้ยงครบ1 ปี ก็จะมีผู้ประกอบการรับซื้อคืนในราคาตัวละ 100 บาท 2. การเลี้ยงเป็ดไข่ โดยจะนําเป็ดมาให้เกษตรกรเลี้ยง ในราคาตัวละ 150 บาท รับประกันราคารับซื้อไข่ฟองละ 4 บาท เมื่อเลี้ยงครบ1 ปี ผู้ประกอบการจะรับซื้อคืนในราคาตัวละ 75 บาท ทั้งนี้ ผลการดําเนินโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ธ.ก.ส. ได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 554 สัญญา จํานวนเงิน 49.5 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเกษตรกร ขอเข้าร่วมโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ อย่างต่อเนื่อง สําหรับในพื้นที่อําเภอซําสูง มีจํานวนเกษตรกรที่ทดลองปลูกฟักทองแล้ว 64 ราย เนื้อที่รวม 84 ไร่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร นำทีมกระทรวงเกษตรฯ ลุยซำสูง น้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 รมช.ประภัตร นําทีมกระทรวงเกษตรฯ ลุยซําสูง น้ําพอง จังหวัดขอนแก่น ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ รมช.ประภัตร นําทีมกระทรวงเกษตรฯ ลุยซําสูง น้ําพอง จังหวัดขอนแก่น ผลักดันโครงการสานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร ชวนเกษตรกรปลูกฟักทอง พร้อมประกันราคารับซื้อ มั่นใจสร้างอาชีพ สร้างรายได้สู่ครัวเรือน นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการ "สานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร ณ อําเภอซําสูง และอําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่น โดยมีนายพันธุ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ และผู้นําภาคประชาชน ตลอดจนเกษตรกรในพื้นที่ให้การต้อนรับ รมช.ประภัตร เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ( Covid-19 ) เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รัฐบาล ภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรทั่วประเทศ โดยเฉพาะหลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค รวมถึงสาธารณภัยต่างๆ จึงได้มีนโยบายให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมให้กับเกษตรกร โดยร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดําเนินโครงการ “สานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร” มีวัตถุประสงค์ในการปล่อยสินเชื่อสําหรับใช้ในการประกอบอาชีพการเกษตร หรืออาชีพนอกภาคเกษตร หรือการลงทุนค้าขาย เพื่อเสริมรายได้ในครัวเรือน เน้นอาชีพที่มีตลาดรองรับชัดเจน มีการประกันราคารับซื้อผลผลิต สามารถสร้างรายได้ในระยะเวลา ไม่เกิน 6 เดือน มีผลตอบแทนเบื้องต้นเพียงพอต่อการดํารงชีพ และสามารถต่อยอดเป็นอาชีพที่มั่นคงต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งโครงการดังกล่าว มีเมนูทางเลือกให้กับเกษตรกรในด้านต่าง ๆ ทั้งเมนูอาชีพด้านปศุสัตว์ เมนูอาชีพด้านพืช และเมนูอาชีพด้านประมง โดยสามารถยื่นความประสงค์ขอกู้ตามโครงการได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ 1) ยื่นขอกู้เงินที่ธนาคาร ธ.ก.ส. สาขาที่ตนเองมีภูมิลําเนาหรือที่ตั้งของโครงการ (Walk In) และ 2) ให้ผู้ขอกู้ลงทะเบียนยื่นขอสินเชื่อผ่านช่องทาง Line Official : BAAC Family และนัดหมายผู้ขอกู้ผ่านระบบนัดหมาย โดยวงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน จํานวน 100,000 บาท แต่ต้องไม่เกินค่าใช้จ่ายและหรือค่าลงทุนจริงของลูกค้าแต่ละราย สําหรับในพื้นที่อําเภอซําสูง และอําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่นได้มีการส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ เริ่มจากการปลูกฟักทอง ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ ได้มีการเจรจาทําข้อตกลงกับบริษัทสุวรรณภูมิเมล็ดพันธุ์ จํากัด และหจก.โอ.เค. เมล็ดพันธุ์ ในการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกรไปทดลองปลูกก่อน และยังมีบริษัท ทีพีไอ โพลีน ชีวะอินทรีย์ จํากัด สนับสนุนปุ๋ยที่จําเป็นในการเพาะปลูกให้กับเกษตรกรก่อน หลังจากขายผลผลิตได้แล้วจึงจะหักต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย โดยมีผู้ประกอบการพร้อมรับซื้อฟักทองลูก ซึ่งจะเข้ามารับซื้อถึงที่ และประกันราคาที่กิโลกรัมละ 5 บาท นอกจากนี้ รมช.ประภัตร ยังได้เสนอทางเลือกให้กับเกษตรกร โดยจะนําร่องเพิ่มอีกสองเมนูทางเลือกในพื้นที่อําเภอซําสูง จังหวัดขอนแก่น 1. การเลี้ยงไก่ไข โดยจะนําแม่ไก่มาให้เกษตรกรเลี้ยง ในราคาตัวละ 200 บาท สามารถให้ผลผลิตได้ทันที โดยจะประกันราคารับซื้อไข่ไก่ไว้ที่ฟองละ 3 บาท และเมื่อเลี้ยงครบ1 ปี ก็จะมีผู้ประกอบการรับซื้อคืนในราคาตัวละ 100 บาท 2. การเลี้ยงเป็ดไข่ โดยจะนําเป็ดมาให้เกษตรกรเลี้ยง ในราคาตัวละ 150 บาท รับประกันราคารับซื้อไข่ฟองละ 4 บาท เมื่อเลี้ยงครบ1 ปี ผู้ประกอบการจะรับซื้อคืนในราคาตัวละ 75 บาท ทั้งนี้ ผลการดําเนินโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ธ.ก.ส. ได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 554 สัญญา จํานวนเงิน 49.5 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเกษตรกร ขอเข้าร่วมโครงการสานฝันสร้างอาชีพฯ อย่างต่อเนื่อง สําหรับในพื้นที่อําเภอซําสูง มีจํานวนเกษตรกรที่ทดลองปลูกฟักทองแล้ว 64 ราย เนื้อที่รวม 84 ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดแถลงข่าวงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 วธ.เปิดแถลงข่าวงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 วธ.เปิดแถลงข่าวงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” วธ.เปิดแถลงข่าวงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” รวมเรื่องราวผ้าโบราณ ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น ผ้าไทยร่วมสมัยมาไว้ในที่เดียว โชว์แฟชั่นผ้าไทยจากดีไซเนอร์ชื่อดัง 11-14 ส.ค. 65 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน วันที่ 2 สิงหาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 “ภูษาศิลป์จากท้องถิ่นสู่สากล” โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด นายประวิช สุขุม ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายบริหารทั่วไป บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ดีไซเนอร์ นักแสดง และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายในงานแถลงข่าวเปิดวีดิทัศน์ “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” รับชมการแสดงขับร้องประสานเสียงเพลง “สมเด็จฯ” โดยกลุ่มศิลปินนักร้องแชมป์ศาลาเฉลิมกรุง และการแสดงแบบผ้าไทย ชุด “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” โดยรังสรรค์หยิบยกผ้าไทย ลายอัตลักษณ์ที่มีความโดดเด่นแสดงถึงอัตลักษณ์ของจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดมาออกแบบและตัดเย็บด้วยดีไซน์ที่สวยงามและทันสมัยในฉบับดีไซเนอร์ชื่อดังของประเทศไทย 3 คน ได้แก่ นางพิจิตราบุณยรัตพันธุ์ (แบรนด์ PICHITA) ผ้าภาคเหนือ นายศิริชัย ทหรานนท์ (แบรนด์ THEATRE) ผ้าภาคกลาง และนายอธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์ (แบรนด์ SURFACE) ผ้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงยกบูธผ้าไทยโบราณที่หาชมได้ยาก ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ผ้าไทยนวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม มาจัดแสดงโชว์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของงานภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากลฯ ถือเป็นการจัดแสดงและจําหน่ายสินค้าเกี่ยวกับผ้าไทยครั้งใหญ่แห่งปี ซึ่งงานดังกล่าวจะจัดในวันที่ 11-14 สิงหาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายอิทธิพล กล่าวว่า งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระวิริยอุตสาหะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” เป็นที่ประจักษ์มายาวนาน ประกอบกับ ครม.เห็นชอบให้วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันผ้าไทยแห่งชาติ ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับโครงการและพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ ให้ประชาชน ได้ศึกษา เกิดการอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสานผ้าไทย วธ.จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สํานักนายกรัฐมนตรี มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กระทรวงพาณิชย์ กรมหม่อนไหม กรมการพัฒนาชุมชน กรุงเทพมหานคร ศูนย์การค้าสยามพารากอน และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) จัดกิจกรรมเกี่ยวกับผ้าไทย 6 กิจกรรม ได้แก่ 1. นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ จัดแสดงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงพระวิริยอุตสาหะปฏิบัติมายาวนานกว่า 7 ทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการฟื้นฟู ส่งเสริม พัฒนา เรื่อง “ผ้าไทย” จากสิ่งทอของชาวบ้านที่เกือบสูญหายให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง และทรงเผยแพร่ความงามและคุณค่าของผ้าไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วโลก ในนิทรรศการ “ลายศิลป์แห่งเส้นไหม : มรดกไทยสู่สากล” 2. นิทรรศการวันผ้าแห่งชาติ จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวันผ้าแห่งชาติของประเทศต่างๆ อาทิ สหพันธรัฐมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวีเนีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และของไทยซึ่งตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี 3. นิทรรศการศิลปินแห่งชาติ นายมีชัย แต้สุจริยา ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (การทอผ้า) พุทธศักราช 2564 จัดแสดงผ้าทอผลงานของนายมีชัย แต้สุจริยา ที่หาชมได้ยาก จําลองบรรยายบ้านคําปุน จังหวัดอุบลราชธานี แหล่งผลิตผ้าไหมทอมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่นายมีชัย แต้สุจริยา ได้ก่อตั้งขึ้น 4. นิทรรศการผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด จัดแสดงผ้าไทยลายอัตลักษณ์ประจําจังหวัด โดย วธ.ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ค้นหาลายอัตลักษณ์ประจําจังหวัด มีทั้งที่เป็นลายโบราณ และลายที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่ของประเทศไทยที่จะมีผ้าไทยลายอัตลักษณ์ประจําจังหวัดครบทั้ง 76 จังหวัด และได้จัดทําเป็นหนังสือเพื่อเผยแพร่ความรู้ทั้งในแบบรูปเล่ม โดยจะเพิ่มเนื้อหาในเรื่องผ้าโบราณ ศิลปินแห่งชาติ ด้านการทอผ้า และออกแบบแฟชั่น ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ผ้าไทยไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมจัดทําในรูปแบบ e book ด้วย 5. นิทรรศการและการแสดงแบบผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 4 ภาค จาก 4 ดีไซเนอร์ชั้นนํา ที่มีผลงานในระดับชาติและนานาชาติ ได้แก่ 1) พิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ (แบรนด์ PICHITA) ผ้าภาคเหนือ 2) ศิริชัย ทหรานนท์ (แบรนด์ THEATRE) ผ้าภาคกลาง 3) อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์ (แบรนด์ SURFACE) ผ้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4) หิรัญกฤษฏิ์ ภัทรบริบูรณ์กุล ( แบรนด์ SANTI SUK SPACE) ผ้าภาคใต้ 6. นิทรรศการและการแสดงแบบผ้าไทยร่วมสมัย ในโครงการประกวดออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทยร่วมสมัยโครงการพัฒนาผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ โดย สํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งนี้ได้เชิญ ดีไซน์เนอร์ชั้นนํามาร่วมออกแบบ อาทิ ธีระ ฉันทสวัสดิ์ (แบรนด์ T-RA) เอก ทองประเสริฐ (แบรนด์ เอก ทองประเสริฐ์) นอกจากนิทรรศการ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ 1) การแสดง “จินตลีลาพัสตราภรณ์ : มโนราห์บัลเลต์” ที่เคยจัดขึ้นครั้งแรกจัดตั้งแต่ปี 2505 ในงานกาชาด ณ เวทีสวนอัมพร ที่สืบทอดกันมากว่า 6 ทศวรรษ ซึ่งนับเป็นการแสดงที่หาชมได้ยาก พร้อมกันนี้จะมีการขับร้องดนตรีวงเฉลิมราชย์ และการแสดง “โขน” จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จะเปิดจองบัตรให้ประชาชนทั่วไปได้สํารองที่นั่งได้ที่เว็บไซด์กระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th2) การจําหน่ายออกร้านผ้าและผลิตภัณฑ์ประเภทผ้าจากชุมชน ผู้ประกอบการ 76 จังหวัดทั่วประเทศ และนอกจากนี้ยังมีร้านบริการออกแบบ ตัดเย็บ เสื้อผ้าไทย ไว้ค่อยบริการด้วย 3) กิจกรรมการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับสินค้าเชิงวัฒนธรรมเพื่อเปิดเวทีให้กับผู้ซื้อและผู้ขายได้มาพบกัน โดยความพิเศษของการเจรจาธุรกิจภายในงานครั้งนี้ ได้จัดให้มีการเจรจาการค้าในรูปแบบ Business Pitching มิติใหม่ของการเจรจาธุรกิจ คือ การเปิดโอกาสให้ผู้ขายได้นําเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ซื้อเพื่อให้เกิดการซื้อผลงาน เปรียบเสมือนการขายธุรกิจของตัวเอง สร้างความน่าสนใจ ให้คนอยากรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับสิ่งที่เราทํา ซึ่งการ Pitch ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อย่างมาก โดยเน้นกลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีกําลังซื้อสูง (Buyer Big Lot) และมีความสนใจในผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมงาน “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” ในครั้งนี้ ซึ่งทุกท่านจะเป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนการส่งเสริม สนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากแก่ชุมชนและประเทศ รวมทั้งการยกระดับผ้าไทยสู่สากล และสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับชุมชน ผู้ประกอบการ พลิกฟื้นต่อลมหายใจให้ผ้าไทยอีกครั้ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดแถลงข่าวงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 วธ.เปิดแถลงข่าวงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 วธ.เปิดแถลงข่าวงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” วธ.เปิดแถลงข่าวงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” รวมเรื่องราวผ้าโบราณ ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น ผ้าไทยร่วมสมัยมาไว้ในที่เดียว โชว์แฟชั่นผ้าไทยจากดีไซเนอร์ชื่อดัง 11-14 ส.ค. 65 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน วันที่ 2 สิงหาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 “ภูษาศิลป์จากท้องถิ่นสู่สากล” โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด นายประวิช สุขุม ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายบริหารทั่วไป บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ดีไซเนอร์ นักแสดง และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ แฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายในงานแถลงข่าวเปิดวีดิทัศน์ “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” รับชมการแสดงขับร้องประสานเสียงเพลง “สมเด็จฯ” โดยกลุ่มศิลปินนักร้องแชมป์ศาลาเฉลิมกรุง และการแสดงแบบผ้าไทย ชุด “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” โดยรังสรรค์หยิบยกผ้าไทย ลายอัตลักษณ์ที่มีความโดดเด่นแสดงถึงอัตลักษณ์ของจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดมาออกแบบและตัดเย็บด้วยดีไซน์ที่สวยงามและทันสมัยในฉบับดีไซเนอร์ชื่อดังของประเทศไทย 3 คน ได้แก่ นางพิจิตราบุณยรัตพันธุ์ (แบรนด์ PICHITA) ผ้าภาคเหนือ นายศิริชัย ทหรานนท์ (แบรนด์ THEATRE) ผ้าภาคกลาง และนายอธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์ (แบรนด์ SURFACE) ผ้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงยกบูธผ้าไทยโบราณที่หาชมได้ยาก ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ผ้าไทยนวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม มาจัดแสดงโชว์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของงานภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากลฯ ถือเป็นการจัดแสดงและจําหน่ายสินค้าเกี่ยวกับผ้าไทยครั้งใหญ่แห่งปี ซึ่งงานดังกล่าวจะจัดในวันที่ 11-14 สิงหาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายอิทธิพล กล่าวว่า งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระวิริยอุตสาหะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” เป็นที่ประจักษ์มายาวนาน ประกอบกับ ครม.เห็นชอบให้วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันผ้าไทยแห่งชาติ ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับโครงการและพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ ให้ประชาชน ได้ศึกษา เกิดการอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสานผ้าไทย วธ.จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สํานักนายกรัฐมนตรี มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กระทรวงพาณิชย์ กรมหม่อนไหม กรมการพัฒนาชุมชน กรุงเทพมหานคร ศูนย์การค้าสยามพารากอน และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) จัดกิจกรรมเกี่ยวกับผ้าไทย 6 กิจกรรม ได้แก่ 1. นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ จัดแสดงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงพระวิริยอุตสาหะปฏิบัติมายาวนานกว่า 7 ทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการฟื้นฟู ส่งเสริม พัฒนา เรื่อง “ผ้าไทย” จากสิ่งทอของชาวบ้านที่เกือบสูญหายให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง และทรงเผยแพร่ความงามและคุณค่าของผ้าไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วโลก ในนิทรรศการ “ลายศิลป์แห่งเส้นไหม : มรดกไทยสู่สากล” 2. นิทรรศการวันผ้าแห่งชาติ จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวันผ้าแห่งชาติของประเทศต่างๆ อาทิ สหพันธรัฐมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสโลวีเนีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และของไทยซึ่งตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี 3. นิทรรศการศิลปินแห่งชาติ นายมีชัย แต้สุจริยา ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (การทอผ้า) พุทธศักราช 2564 จัดแสดงผ้าทอผลงานของนายมีชัย แต้สุจริยา ที่หาชมได้ยาก จําลองบรรยายบ้านคําปุน จังหวัดอุบลราชธานี แหล่งผลิตผ้าไหมทอมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่นายมีชัย แต้สุจริยา ได้ก่อตั้งขึ้น 4. นิทรรศการผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด จัดแสดงผ้าไทยลายอัตลักษณ์ประจําจังหวัด โดย วธ.ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ค้นหาลายอัตลักษณ์ประจําจังหวัด มีทั้งที่เป็นลายโบราณ และลายที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่ของประเทศไทยที่จะมีผ้าไทยลายอัตลักษณ์ประจําจังหวัดครบทั้ง 76 จังหวัด และได้จัดทําเป็นหนังสือเพื่อเผยแพร่ความรู้ทั้งในแบบรูปเล่ม โดยจะเพิ่มเนื้อหาในเรื่องผ้าโบราณ ศิลปินแห่งชาติ ด้านการทอผ้า และออกแบบแฟชั่น ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ผ้าไทยไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมจัดทําในรูปแบบ e book ด้วย 5. นิทรรศการและการแสดงแบบผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 4 ภาค จาก 4 ดีไซเนอร์ชั้นนํา ที่มีผลงานในระดับชาติและนานาชาติ ได้แก่ 1) พิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ (แบรนด์ PICHITA) ผ้าภาคเหนือ 2) ศิริชัย ทหรานนท์ (แบรนด์ THEATRE) ผ้าภาคกลาง 3) อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์ (แบรนด์ SURFACE) ผ้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4) หิรัญกฤษฏิ์ ภัทรบริบูรณ์กุล ( แบรนด์ SANTI SUK SPACE) ผ้าภาคใต้ 6. นิทรรศการและการแสดงแบบผ้าไทยร่วมสมัย ในโครงการประกวดออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทยร่วมสมัยโครงการพัฒนาผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ โดย สํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งนี้ได้เชิญ ดีไซน์เนอร์ชั้นนํามาร่วมออกแบบ อาทิ ธีระ ฉันทสวัสดิ์ (แบรนด์ T-RA) เอก ทองประเสริฐ (แบรนด์ เอก ทองประเสริฐ์) นอกจากนิทรรศการ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ 1) การแสดง “จินตลีลาพัสตราภรณ์ : มโนราห์บัลเลต์” ที่เคยจัดขึ้นครั้งแรกจัดตั้งแต่ปี 2505 ในงานกาชาด ณ เวทีสวนอัมพร ที่สืบทอดกันมากว่า 6 ทศวรรษ ซึ่งนับเป็นการแสดงที่หาชมได้ยาก พร้อมกันนี้จะมีการขับร้องดนตรีวงเฉลิมราชย์ และการแสดง “โขน” จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จะเปิดจองบัตรให้ประชาชนทั่วไปได้สํารองที่นั่งได้ที่เว็บไซด์กระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th2) การจําหน่ายออกร้านผ้าและผลิตภัณฑ์ประเภทผ้าจากชุมชน ผู้ประกอบการ 76 จังหวัดทั่วประเทศ และนอกจากนี้ยังมีร้านบริการออกแบบ ตัดเย็บ เสื้อผ้าไทย ไว้ค่อยบริการด้วย 3) กิจกรรมการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับสินค้าเชิงวัฒนธรรมเพื่อเปิดเวทีให้กับผู้ซื้อและผู้ขายได้มาพบกัน โดยความพิเศษของการเจรจาธุรกิจภายในงานครั้งนี้ ได้จัดให้มีการเจรจาการค้าในรูปแบบ Business Pitching มิติใหม่ของการเจรจาธุรกิจ คือ การเปิดโอกาสให้ผู้ขายได้นําเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ซื้อเพื่อให้เกิดการซื้อผลงาน เปรียบเสมือนการขายธุรกิจของตัวเอง สร้างความน่าสนใจ ให้คนอยากรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับสิ่งที่เราทํา ซึ่งการ Pitch ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อย่างมาก โดยเน้นกลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีกําลังซื้อสูง (Buyer Big Lot) และมีความสนใจในผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมงาน “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” ในครั้งนี้ ซึ่งทุกท่านจะเป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนการส่งเสริม สนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากแก่ชุมชนและประเทศ รวมทั้งการยกระดับผ้าไทยสู่สากล และสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับชุมชน ผู้ประกอบการ พลิกฟื้นต่อลมหายใจให้ผ้าไทยอีกครั้ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57552
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตร กำชับหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมใช้แผนปฏิบัติการปราบการค้ามนุษย์ ดันประเทศไทยขึ้น Tier2 ปีนี้
วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 รองนายกฯ พลเอก ประวิตร กําชับหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมใช้แผนปฏิบัติการปราบการค้ามนุษย์ ดันประเทศไทยขึ้น Tier2 ปีนี้ รองนายกฯ พลเอก ประวิตร กําชับหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมใช้แผนปฏิบัติการปราบการค้ามนุษย์ ดันประเทศไทยขึ้น Tier2 ปีนี้ วันนี้ (11 พฤษภาคม 2565) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 รวมทั้งแถลงผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทย ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้หน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้รับทราบถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน และให้เจ้าหน้าที่ได้นําแผนปฏิบัติการฯ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของแผนปฏิบัติการฯ และทํางานอย่างประสานสอดคล้องในทิศทางเดียวกันต่อไป โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย สํานักงานอัยการสูงสุด รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และองค์การระหว่างประเทศเข้าร่วมประชุมด้วย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้ย้ําว่ารัฐบาลตระหนักถึงความร้ายแรงของอาชญากรรมค้ามนุษย์ โดยประกาศให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2558 และกําหนดให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง บูรณาการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป และสร้างเครื่องมือเพื่อกําหนดทิศทางการทํางานของทุกภาคส่วนให้ประสานสอดคล้องกัน โดยได้รับการสนับสนุนทางวิชาการในการพัฒนากลไกการส่งต่อระดับชาติ มาตรฐาน และวิธีปฏิบัติ คู่มือต่าง ๆ จากองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสําคัญของความสําเร็จในวันนี้ รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 เพื่อกําหนดวิธีและขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจนให้ผู้ปฏิบัติทํางานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และนําไปสู่การยกระดับมาตรฐานการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน และพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งมุ่งหวังและเชื่อมั่นว่าแผนปฏิบัติการฯ ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือให้ผู้ปฏิบัติงานในทุกระดับได้ใช้ปฏิบัติงานในเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลต่อไป จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้แถลงผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยย้ําถึงการดําเนินงานปี 2564 จนถึงปัจจุบันว่า รัฐบาลขับเคลื่อนการดําเนินงานป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะสําคัญ 15 ข้อ ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา โดยมีผลความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม อาทิ จัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงาน และคู่มือสําหรับเจ้าหน้าที่ จัดทําแนวทางกลไกการส่งต่อระดับชาติ กําหนดให้นายจ้างต้องจัดทําสัญญาจ้างเป็นภาษาไทย และภาษาที่ลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวเข้าใจได้ การดําเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ริเริ่มโครงการสําคัญ (Flagship Project) เพิ่มเติม เพื่อยกระดับมาตรฐานการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างยั่งยืน ได้แก่ จัดทําแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือ คุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 จัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายระดับชาติ จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ ออกมาตรการเชิงรุกป้องกันเด็กจากการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการประกาศมาตรการล็อคดาวน์ส่งผลให้อาชญากรรมต่าง ๆ ลดลงทุกประเภทในช่วงปี 2563 และ 9 เดือนแรกของปี 2564 อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการในช่วงตุลาคม - ธันวาคม 2564 สามารถสืบสวนจับกุมคดีค้ามนุษย์ได้ถึง 188 คดี สูงกว่าปี 2563 โดยเฉพาะคดีทางสื่อออนไลน์ และได้ปรับรูปแบบการทํางานเป็นแบบออนไลน์ ได้แก่ การคัดแยกผู้เสียหาย การประชุมค่าสินไหมทดแทน การพิจารณาคดีของศาล เป็นต้น ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงานที่ทุ่มเททํางานอย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยหากพิจารณาจากผลการดําเนินงานที่ได้กล่าวมา แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างชัดเจนของรัฐบาลในการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างยั่งยืน ดังนั้นประเทศไทยสมควรได้รับการเลื่อนระดับเข้าสู่ Tier 2 ในปีนี้ ------------- เอกสารดาวน์โหลด : สรุปผลการดําเนินงาน ด้านป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย 1 เมษายน 2564 - 31มีนาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตร กำชับหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมใช้แผนปฏิบัติการปราบการค้ามนุษย์ ดันประเทศไทยขึ้น Tier2 ปีนี้ วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 รองนายกฯ พลเอก ประวิตร กําชับหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมใช้แผนปฏิบัติการปราบการค้ามนุษย์ ดันประเทศไทยขึ้น Tier2 ปีนี้ รองนายกฯ พลเอก ประวิตร กําชับหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมใช้แผนปฏิบัติการปราบการค้ามนุษย์ ดันประเทศไทยขึ้น Tier2 ปีนี้ วันนี้ (11 พฤษภาคม 2565) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 รวมทั้งแถลงผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทย ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้หน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้รับทราบถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน และให้เจ้าหน้าที่ได้นําแผนปฏิบัติการฯ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของแผนปฏิบัติการฯ และทํางานอย่างประสานสอดคล้องในทิศทางเดียวกันต่อไป โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย สํานักงานอัยการสูงสุด รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และองค์การระหว่างประเทศเข้าร่วมประชุมด้วย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้ย้ําว่ารัฐบาลตระหนักถึงความร้ายแรงของอาชญากรรมค้ามนุษย์ โดยประกาศให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2558 และกําหนดให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง บูรณาการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป และสร้างเครื่องมือเพื่อกําหนดทิศทางการทํางานของทุกภาคส่วนให้ประสานสอดคล้องกัน โดยได้รับการสนับสนุนทางวิชาการในการพัฒนากลไกการส่งต่อระดับชาติ มาตรฐาน และวิธีปฏิบัติ คู่มือต่าง ๆ จากองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสําคัญของความสําเร็จในวันนี้ รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 เพื่อกําหนดวิธีและขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจนให้ผู้ปฏิบัติทํางานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และนําไปสู่การยกระดับมาตรฐานการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน และพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งมุ่งหวังและเชื่อมั่นว่าแผนปฏิบัติการฯ ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือให้ผู้ปฏิบัติงานในทุกระดับได้ใช้ปฏิบัติงานในเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลต่อไป จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้แถลงผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยย้ําถึงการดําเนินงานปี 2564 จนถึงปัจจุบันว่า รัฐบาลขับเคลื่อนการดําเนินงานป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะสําคัญ 15 ข้อ ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา โดยมีผลความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม อาทิ จัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงาน และคู่มือสําหรับเจ้าหน้าที่ จัดทําแนวทางกลไกการส่งต่อระดับชาติ กําหนดให้นายจ้างต้องจัดทําสัญญาจ้างเป็นภาษาไทย และภาษาที่ลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวเข้าใจได้ การดําเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ริเริ่มโครงการสําคัญ (Flagship Project) เพิ่มเติม เพื่อยกระดับมาตรฐานการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างยั่งยืน ได้แก่ จัดทําแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือ คุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 จัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายระดับชาติ จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ ออกมาตรการเชิงรุกป้องกันเด็กจากการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการประกาศมาตรการล็อคดาวน์ส่งผลให้อาชญากรรมต่าง ๆ ลดลงทุกประเภทในช่วงปี 2563 และ 9 เดือนแรกของปี 2564 อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการในช่วงตุลาคม - ธันวาคม 2564 สามารถสืบสวนจับกุมคดีค้ามนุษย์ได้ถึง 188 คดี สูงกว่าปี 2563 โดยเฉพาะคดีทางสื่อออนไลน์ และได้ปรับรูปแบบการทํางานเป็นแบบออนไลน์ ได้แก่ การคัดแยกผู้เสียหาย การประชุมค่าสินไหมทดแทน การพิจารณาคดีของศาล เป็นต้น ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงานที่ทุ่มเททํางานอย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยหากพิจารณาจากผลการดําเนินงานที่ได้กล่าวมา แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างชัดเจนของรัฐบาลในการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างยั่งยืน ดังนั้นประเทศไทยสมควรได้รับการเลื่อนระดับเข้าสู่ Tier 2 ในปีนี้ ------------- เอกสารดาวน์โหลด : สรุปผลการดําเนินงาน ด้านป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย 1 เมษายน 2564 - 31มีนาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54462
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่ม ๒๔ มิถุนาประชาธิปไตย
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่ม ๒๔ มิถุนาประชาธิปไตย รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่ม ๒๔ มิถุนาประชาธิปไตย ในวันพุธที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ กระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือจาก กลุ่ม ๒๔ มิถุนาประชาธิปไตย เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี นําโดย นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เพื่อขอให้ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่ม ๒๔ มิถุนาประชาธิปไตย วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่ม ๒๔ มิถุนาประชาธิปไตย รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่ม ๒๔ มิถุนาประชาธิปไตย ในวันพุธที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ กระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือจาก กลุ่ม ๒๔ มิถุนาประชาธิปไตย เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี นําโดย นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เพื่อขอให้ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56054
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร หารือแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เตรียมผลักดันกรอบการทำงานให้เป็นรูปธรรม ควบคุมราคากลางให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร หารือแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เตรียมผลักดันกรอบการทํางานให้เป็นรูปธรรม ควบคุมราคากลางให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ รมช.ประภัตร หารือแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เตรียมผลักดันกรอบการทํางานให้เป็นรูปธรรม ควบคุมราคากลางให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ (วันจันทร์ที่14 มิ.ย. 64) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมหารือการวางแผนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ปี2564/2565 ณ ห้องประชุมรวงข้าว อาคารกรมการข้าว และผ่านระบบประชุมออนไลน์ (Zoom Meetings) โดยมีนายอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร อธิบดีกรมการข้าว นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ รองอธิบดีกรมการข้าว สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ศูนย์ข้าวชุมชน ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ อาทิ สมาคมรวบรวมและจําหน่ายเมล็ดพันธุ์ สมาคม ผู้ส่งออกข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวไทยและตัวแทนภาคเกษตรกรเข้าร่วม สําหรับ แผนการปลูกข้าวของกรมการข้าวนั้น ได้ประกาศไปทั้งสิ้น จํานวน 60 ล้านไร่ โดยตามหลักแล้ว ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ 15 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ รวมใช้เมล็ดพันธุ์ 900,000 ตันโดยประมาณ มีกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่สําคัญ แบ่งเป็น 5 ชนิด 1.ข้าวหอมมะลิ ตามแผนจะมีการผลักดันให้มีการเพาะปลูก 27 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 450,000 ตัน 2.ข้าวหอมไทย ตามแผนจะผลักดันให้มีการเพาะปลูกทั้งสิ้น 1.6 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 24,000 ตัน 3.ข้าวขาวชนิดพื้นนุ่ม ตามแผนจะมีการผลักดันให้เพาะปลูก 2 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 30,000 ตัน 4.ข้าวขาวชนิดพื้นแข็ง ตามแผนจะมีการผลักดันให้เพาะปลูก 17 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 205,000 ตัน 5.ข้าวเหนียว ตามแผนจะมีการผลักดันให้เพาะปลูก 17 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 205,000 ตัน ทั้งนี้ กรมการข้าวจําเป็นต้องจัดหาเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร จํานวนทั้งสิ้นกว่า 500,000 ตัน โดยแบ่งเป็น กรมการข้าวผลิตได้ในปี 2565 ประมาณ 100,000 ตัน ศูนย์ข้าวชุมชนมีกําลังการผลิตได้ 110,000 ตัน สหกรณ์ต่างๆ มีกําลังการผลิตได้ รวม 30,000 ตัน ทําให้สมาคมพ่อค้า ผู้ผลิตและรวบรวมเมล็ดพันธุ์ ต้องหาเพิ่มเติมอีก 260,000 ตัน "สําหรับแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวนั้น ตอนนี้เป็นเรื่องหลักที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ให้เข้ามา มีส่วนร่วมในการวางแผน เพื่อให้เกิดเป็นกรอบการทํางานที่ชัดเจน ซึ่งตามโครงสร้างนั้น กองวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าวจะเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์คัด และเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์หลัก โดยมีอัตราส่วนการผลิตอยู่ที่ 1 ต่อ 10 และจะนําเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์หลักส่งมอบให้กองเมล็ดพันธุ์ กรมการข้าว นําไปผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยาย โดยมีอัตราส่วนการผลิตอยู่ที่ 1 ต่อ 40 หลังจากนั้นศูนย์ข้าวชุมชน สหกรณ์ต่างๆ และสมาคมพ่อค้า ผู้ผลิตและรวบรวมเมล็ดพันธุ์ จะมารับเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายไปทําการผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จําหน่ายต่อไป โดยตนเตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกระเบียบบังคับอย่างชัดเจน ในเรื่องของเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา โดยผู้ที่ทําเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จําหน่ายนั้น จะต้องแสดงหลักฐานว่าได้รับเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายจากกรมการข้าวให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เมื่อเกิดความเสียหายจากเมล็ดพันธุ์ในบรรจุภัณฑ์ จะได้มีผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน รวมถึงสามารถควบคุมราคากลาง ให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ" รมช.ประภัตร กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร หารือแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เตรียมผลักดันกรอบการทำงานให้เป็นรูปธรรม ควบคุมราคากลางให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร หารือแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เตรียมผลักดันกรอบการทํางานให้เป็นรูปธรรม ควบคุมราคากลางให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ รมช.ประภัตร หารือแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เตรียมผลักดันกรอบการทํางานให้เป็นรูปธรรม ควบคุมราคากลางให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ (วันจันทร์ที่14 มิ.ย. 64) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมหารือการวางแผนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ปี2564/2565 ณ ห้องประชุมรวงข้าว อาคารกรมการข้าว และผ่านระบบประชุมออนไลน์ (Zoom Meetings) โดยมีนายอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร อธิบดีกรมการข้าว นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ รองอธิบดีกรมการข้าว สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ศูนย์ข้าวชุมชน ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ อาทิ สมาคมรวบรวมและจําหน่ายเมล็ดพันธุ์ สมาคม ผู้ส่งออกข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวไทยและตัวแทนภาคเกษตรกรเข้าร่วม สําหรับ แผนการปลูกข้าวของกรมการข้าวนั้น ได้ประกาศไปทั้งสิ้น จํานวน 60 ล้านไร่ โดยตามหลักแล้ว ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ 15 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ รวมใช้เมล็ดพันธุ์ 900,000 ตันโดยประมาณ มีกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่สําคัญ แบ่งเป็น 5 ชนิด 1.ข้าวหอมมะลิ ตามแผนจะมีการผลักดันให้มีการเพาะปลูก 27 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 450,000 ตัน 2.ข้าวหอมไทย ตามแผนจะผลักดันให้มีการเพาะปลูกทั้งสิ้น 1.6 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 24,000 ตัน 3.ข้าวขาวชนิดพื้นนุ่ม ตามแผนจะมีการผลักดันให้เพาะปลูก 2 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 30,000 ตัน 4.ข้าวขาวชนิดพื้นแข็ง ตามแผนจะมีการผลักดันให้เพาะปลูก 17 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 205,000 ตัน 5.ข้าวเหนียว ตามแผนจะมีการผลักดันให้เพาะปลูก 17 ล้านไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 205,000 ตัน ทั้งนี้ กรมการข้าวจําเป็นต้องจัดหาเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร จํานวนทั้งสิ้นกว่า 500,000 ตัน โดยแบ่งเป็น กรมการข้าวผลิตได้ในปี 2565 ประมาณ 100,000 ตัน ศูนย์ข้าวชุมชนมีกําลังการผลิตได้ 110,000 ตัน สหกรณ์ต่างๆ มีกําลังการผลิตได้ รวม 30,000 ตัน ทําให้สมาคมพ่อค้า ผู้ผลิตและรวบรวมเมล็ดพันธุ์ ต้องหาเพิ่มเติมอีก 260,000 ตัน "สําหรับแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวนั้น ตอนนี้เป็นเรื่องหลักที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ให้เข้ามา มีส่วนร่วมในการวางแผน เพื่อให้เกิดเป็นกรอบการทํางานที่ชัดเจน ซึ่งตามโครงสร้างนั้น กองวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าวจะเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์คัด และเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์หลัก โดยมีอัตราส่วนการผลิตอยู่ที่ 1 ต่อ 10 และจะนําเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์หลักส่งมอบให้กองเมล็ดพันธุ์ กรมการข้าว นําไปผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยาย โดยมีอัตราส่วนการผลิตอยู่ที่ 1 ต่อ 40 หลังจากนั้นศูนย์ข้าวชุมชน สหกรณ์ต่างๆ และสมาคมพ่อค้า ผู้ผลิตและรวบรวมเมล็ดพันธุ์ จะมารับเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายไปทําการผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จําหน่ายต่อไป โดยตนเตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกระเบียบบังคับอย่างชัดเจน ในเรื่องของเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา โดยผู้ที่ทําเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จําหน่ายนั้น จะต้องแสดงหลักฐานว่าได้รับเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายจากกรมการข้าวให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เมื่อเกิดความเสียหายจากเมล็ดพันธุ์ในบรรจุภัณฑ์ จะได้มีผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน รวมถึงสามารถควบคุมราคากลาง ให้เป็นมาตรฐานทั่วประเทศ" รมช.ประภัตร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42715
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. นำผู้ว่าฯ เมืองสองแคว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางการนำสายไฟฟ้าลงดินเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม สะอาด และปลอดภัยอย่างยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2565 ปลัด มท. นําผู้ว่าฯ เมืองสองแคว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางการนําสายไฟฟ้าลงดินเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม สะอาด และปลอดภัยอย่างยั่งยืน ปลัด มท. นําผู้ว่าฯ เมืองสองแคว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางการนําสายไฟฟ้าลงดินเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม สะอาด และปลอดภัยอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 65 เวลา 07.00 น. ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการนําสายไฟฟ้าลงดินเพื่อปรับปรุงทัศนียภาพของเมือง โดยมี นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นางวัชรินทร์ จิตรวิเศษ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดพิษณุโลก ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 17 นายรณรงค์ นครจินดา นายพิศิษฐ์ กิจบุญอนันต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นายปรีชา แดงแสงทอง ท้องถิ่นจังหวัดพิษณุโลก นายชิดชัย อังคะไวมงคล โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดพิษณุโลก ดร. เปรมฤดี ชามพูนท นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก ดร. ถนัดกิจ น่วมอินทร์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดพิษณุโลก และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัญหาของสายไฟฟ้าและสายสื่อสารที่พันกันยุ่งเหยิงรุงรังบนเสาไฟฟ้าโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทยและใจกลางเมืองของจังหวัดต่าง ๆ ซึ่ง รัฐบาล ภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญและมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีนโยบายและเน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ดําเนินการจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารในบริเวณสถานที่สําคัญของจังหวัด โดยที่จังหวัดพิษณุโลก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร เป็นสถานที่สําคัญของจังหวัดและประเทศไทย เป็นโบราณสถานที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคการสถาปนาเมืองพิษณุโลกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เดินทางมาสักการะองค์พระพุทธชินราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณวัด รวมถึงสถานที่สําคัญโดยรอบ เช่น พระราชวังจันทน์ วัดนางพญา ฯลฯ แต่ทว่า ภาพที่ชินตาของคนไทยและนักท่องเที่ยวที่ได้พบเห็น คือ สายไฟฟ้าและสายสื่อสารที่ระโยงระยางเป็นภาพไม่น่ามอง และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาของนักท่องเที่ยว "ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และเทศบาลนครพิษณุโลก ร่วมกับทางวัด ทําให้ทัศนียภาพบริเวณหน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่สําคัญของชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละหลายแสนคน ให้ไม่มีสภาพสายไฟฟ้าหรือสายสื่อสารที่รกรุงรัง ทั้งยังจะทําให้ระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้ามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพและมีทัศนียภาพที่สวยงาม แก้ปัญหามลพิษทางสายตา ที่บดบังสถาปัตยกรรรม" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา ด้าน ผู้แทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า ในขณะนี้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ดําเนินการจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารบริเวณด้านหน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร บริเวณถนนพุทธบูชา (หน้าวัด) และถนนจ่าการบุญ (ด้านข้างวัด) และมีแผนที่จะดําเนินการนําสายไฟฟ้าและสายสื่อสารทั้งหมดลงใต้ดิน ซึ่งได้ดําเนินการสํารวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะได้ดําเนินการนําเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการดําเนินงานโดยเร่งด่วนต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ขอให้จังหวัดพิษณุโลกบูรณาการเทศบาลนครพิษณุโลกร่วมกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร ดูแลเรื่องความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบริเวณวัด เพื่อทําให้วัดมีความสะอาด ร่มรื่น สวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นแหล่งเรียนรู้ทั้งเชิงประวัติศาสตร์และคุณธรรมจริยธรรม รวมทั้งขับเคลื่อนการนําสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดิน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ทําให้เมืองพิษณุโลกกลายเป็น “เมืองสวยไร้สาย” เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ให้เกิดความยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. นำผู้ว่าฯ เมืองสองแคว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางการนำสายไฟฟ้าลงดินเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม สะอาด และปลอดภัยอย่างยั่งยืน วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2565 ปลัด มท. นําผู้ว่าฯ เมืองสองแคว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางการนําสายไฟฟ้าลงดินเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม สะอาด และปลอดภัยอย่างยั่งยืน ปลัด มท. นําผู้ว่าฯ เมืองสองแคว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางการนําสายไฟฟ้าลงดินเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม สะอาด และปลอดภัยอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 65 เวลา 07.00 น. ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการนําสายไฟฟ้าลงดินเพื่อปรับปรุงทัศนียภาพของเมือง โดยมี นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นางวัชรินทร์ จิตรวิเศษ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดพิษณุโลก ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 17 นายรณรงค์ นครจินดา นายพิศิษฐ์ กิจบุญอนันต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นายปรีชา แดงแสงทอง ท้องถิ่นจังหวัดพิษณุโลก นายชิดชัย อังคะไวมงคล โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดพิษณุโลก ดร. เปรมฤดี ชามพูนท นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก ดร. ถนัดกิจ น่วมอินทร์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดพิษณุโลก และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัญหาของสายไฟฟ้าและสายสื่อสารที่พันกันยุ่งเหยิงรุงรังบนเสาไฟฟ้าโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทยและใจกลางเมืองของจังหวัดต่าง ๆ ซึ่ง รัฐบาล ภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญและมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีนโยบายและเน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ดําเนินการจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารในบริเวณสถานที่สําคัญของจังหวัด โดยที่จังหวัดพิษณุโลก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร เป็นสถานที่สําคัญของจังหวัดและประเทศไทย เป็นโบราณสถานที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคการสถาปนาเมืองพิษณุโลกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เดินทางมาสักการะองค์พระพุทธชินราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณวัด รวมถึงสถานที่สําคัญโดยรอบ เช่น พระราชวังจันทน์ วัดนางพญา ฯลฯ แต่ทว่า ภาพที่ชินตาของคนไทยและนักท่องเที่ยวที่ได้พบเห็น คือ สายไฟฟ้าและสายสื่อสารที่ระโยงระยางเป็นภาพไม่น่ามอง และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาของนักท่องเที่ยว "ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และเทศบาลนครพิษณุโลก ร่วมกับทางวัด ทําให้ทัศนียภาพบริเวณหน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่สําคัญของชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละหลายแสนคน ให้ไม่มีสภาพสายไฟฟ้าหรือสายสื่อสารที่รกรุงรัง ทั้งยังจะทําให้ระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้ามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพและมีทัศนียภาพที่สวยงาม แก้ปัญหามลพิษทางสายตา ที่บดบังสถาปัตยกรรรม" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา ด้าน ผู้แทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า ในขณะนี้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ดําเนินการจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารบริเวณด้านหน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร บริเวณถนนพุทธบูชา (หน้าวัด) และถนนจ่าการบุญ (ด้านข้างวัด) และมีแผนที่จะดําเนินการนําสายไฟฟ้าและสายสื่อสารทั้งหมดลงใต้ดิน ซึ่งได้ดําเนินการสํารวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะได้ดําเนินการนําเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการดําเนินงานโดยเร่งด่วนต่อไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ขอให้จังหวัดพิษณุโลกบูรณาการเทศบาลนครพิษณุโลกร่วมกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร ดูแลเรื่องความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบริเวณวัด เพื่อทําให้วัดมีความสะอาด ร่มรื่น สวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นแหล่งเรียนรู้ทั้งเชิงประวัติศาสตร์และคุณธรรมจริยธรรม รวมทั้งขับเคลื่อนการนําสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดิน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ทําให้เมืองพิษณุโลกกลายเป็น “เมืองสวยไร้สาย” เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ให้เกิดความยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55877
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม วันนี้ (29 กรกฎาคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณมิตรไมตรีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศว่าจะส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท AstraZeneca จํานวน 415,040 โดสให้แก่ประเทศไทยในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค โดยรัฐบาลไทยจะดําเนินการตามแผนกระจายวัคซีนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน บรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค และนําไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็วที่สุด การมอบวัคซีนจากสหราชอาณาจักร สะท้อนถึงความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร ตลอดจนสะท้อนบทบาทของสหราชอาณาจักรในฐานะมิตรประเทศที่มีความร่วมมือกับไทยในหลายมิติมายาวนาน โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข ที่ไทยและสหราชอาณาจักรมีความร่วมมือมาอย่างใกล้ชิดและครอบคลุมหลากหลายด้าน โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย อันได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข เร่งดําเนินตามขั้นตอนต่อไป พร้อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหราชอาณาจักร เพื่อให้การรับมอบวัคซีนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและรวดเร็วที่สุด รวมทั้งให้เตรียมแนวทางพร้อมดําเนินการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ทันทีเมื่อได้รับวัคซีน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยขอขอบคุณความสนับสนุน และความร่วมมือจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร และสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย ที่มีให้กับประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน นายอนุชาฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม นายกฯ ขอบคุณและยินดีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ให้ไทย เพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงครอบคลุม วันนี้ (29 กรกฎาคม 2564) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณมิตรไมตรีที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศว่าจะส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท AstraZeneca จํานวน 415,040 โดสให้แก่ประเทศไทยในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค โดยรัฐบาลไทยจะดําเนินการตามแผนกระจายวัคซีนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน บรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค และนําไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็วที่สุด การมอบวัคซีนจากสหราชอาณาจักร สะท้อนถึงความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร ตลอดจนสะท้อนบทบาทของสหราชอาณาจักรในฐานะมิตรประเทศที่มีความร่วมมือกับไทยในหลายมิติมายาวนาน โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข ที่ไทยและสหราชอาณาจักรมีความร่วมมือมาอย่างใกล้ชิดและครอบคลุมหลากหลายด้าน โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย อันได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข เร่งดําเนินตามขั้นตอนต่อไป พร้อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหราชอาณาจักร เพื่อให้การรับมอบวัคซีนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและรวดเร็วที่สุด รวมทั้งให้เตรียมแนวทางพร้อมดําเนินการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ทันทีเมื่อได้รับวัคซีน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยขอขอบคุณความสนับสนุน และความร่วมมือจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร และสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย ที่มีให้กับประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ปากีสถานกว่า 70 ปี พร้อมสานต่อความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา การค้าและการลงทุนอย่างรอบด้าน
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565 ​นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ปากีสถานกว่า 70 ปี พร้อมสานต่อความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา การค้าและการลงทุนอย่างรอบด้าน ​นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ปากีสถานกว่า 70 ปี พร้อมสานต่อความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา การค้าและการลงทุนอย่างรอบด้าน วันนี้ (20 มกราคม 2565) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายซาฮิบซาดา อาห์เมด คาน (H.E. Mr. Sahebzada Ahmed Khan) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีที่ได้เข้ารับตําแหน่งเอกอัครราชทูตประจําประเทศไทย ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีความสัมพันธ์ทางการทูตมาอย่างยาวนานและถือเป็นวาระครบรอบ 70 ปี เมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา พร้อมขอส่งความปรารถนาดีไปยังนายกรัฐมนตรีปากีสถาน เชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์การทํางานที่ผ่านมาของเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยไทยพร้อมดําเนินกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกับปากีสถานเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในทุกระดับต่อไป เอกอัครราชทูตปากีสถานฯ กล่าวยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาประจําการในประเทศไทย พร้อมยืนยันที่จะสานต่อและขยายความร่วมมือกับไทยอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวทางพุทธศาสนา ซึ่งเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ เล็งเห็นถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่ทั้งสองประเทศมีเอกลักษณ์ร่วมกันเพื่อฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังกล่าวชื่นชมวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลไทยที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูความร่วมมือด้านต่าง ๆ อีกทั้งได้กล่าวแสดงความยินดีต่อการเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC 2022 ของไทย เชื่อมั่นว่า การเป็นประธานของไทยจะช่วยส่งเสริมและขยายขีดความสามารถทางการค้าการลงทุนได้ทั้งภายในและภายนอกภูมิภาคต่อไป โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่สําคัญ ดังนี้ - ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ควรส่งเสริมการหารือทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี ซึ่งปากีสถานเป็นคู่ค้าที่สําคัญของไทยในเอเชียใต้ โดยควรใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต่อยอดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ในอนาคต โดยเฉพาะการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ปากีสถาน (PATHFTA) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ด้านเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ เห็นพ้องที่จะผลักดันการค้าและการลงทุนให้ขยายตัวมากขึ้น พร้อมชื่นชมโครงการ EEC ของไทยที่ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการเพิ่มมูลค่าการลงทุนในประเทศ ซึ่งปากีสถานให้ความสําคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีควบคู่กัน - ด้านการศึกษา ไทยยินดีสานต่อด้านความร่วมมือทางการศึกษา โดยเฉพาะสาขาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีที่ปากีสถานมีความชํานาญ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะประสานงานอย่างใกล้ชิดในด้านทุนการศึกษาและทุนฝึกอบรมสําหรับครูและนักเรียนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อไปศึกษาต่อที่ปากีสถานในสาขาอื่นๆ ที่สนใจนอกเหนือจากด้านศาสนา - ด้านความร่วมมือทางความมั่นคง เอกอัครราชทูตปากีสถานฯ ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวทางการรับมือที่เกิดจากภัยคุกคาม เช่น การจัดการพื้นที่บริเวณชายแดน การจัดการภัยพิบัติ ตลอดจนความร่วมมือทางกลาโหม ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นพ้องว่าทั้งสองประเทศสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อพัฒนาศักยภาพได้ ดังเช่นการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่รัฐบาลให้ความสําคัญในนโนบาย - ด้านความร่วมมือทางการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรีชื่นชมปากีสถานที่เป็นแหล่งอารยธรรมคันธาระ ซึ่งเป็นต้นกําเนิดของพุทธศิลป์และถือเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สําคัญต่อพุทธศาสนิกชนและมนุษยชาติ พร้อมขอบคุณการสนับสนุนการจัดกิจกรรมเผยแพร่วัฒนธรรมในโอกาสครบรอบ 70 ปี ซึ่งทางเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ เปิดเผยว่า ปากีสถานมีแผนการจัดนิทรรศการการแสดงศิลปะวัตถุตักศิลา-คันธาระจํานวนกว่า 100 ชิ้น มาจัดแสดงในไทย รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด ที่จะจัดสร้างที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุที่พิพิธภัณฑ์ตักศิลา โดยทั้งสองโครงการอยู่ระหว่างการเตรียมการและคาดว่าจะสามารถจัดแสดงได้ภายในเดือนมีนาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ปากีสถานกว่า 70 ปี พร้อมสานต่อความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา การค้าและการลงทุนอย่างรอบด้าน วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565 ​นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ปากีสถานกว่า 70 ปี พร้อมสานต่อความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา การค้าและการลงทุนอย่างรอบด้าน ​นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ปากีสถานกว่า 70 ปี พร้อมสานต่อความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา การค้าและการลงทุนอย่างรอบด้าน วันนี้ (20 มกราคม 2565) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายซาฮิบซาดา อาห์เมด คาน (H.E. Mr. Sahebzada Ahmed Khan) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีที่ได้เข้ารับตําแหน่งเอกอัครราชทูตประจําประเทศไทย ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีความสัมพันธ์ทางการทูตมาอย่างยาวนานและถือเป็นวาระครบรอบ 70 ปี เมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา พร้อมขอส่งความปรารถนาดีไปยังนายกรัฐมนตรีปากีสถาน เชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์การทํางานที่ผ่านมาของเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยไทยพร้อมดําเนินกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกับปากีสถานเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในทุกระดับต่อไป เอกอัครราชทูตปากีสถานฯ กล่าวยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาประจําการในประเทศไทย พร้อมยืนยันที่จะสานต่อและขยายความร่วมมือกับไทยอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวทางพุทธศาสนา ซึ่งเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ เล็งเห็นถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่ทั้งสองประเทศมีเอกลักษณ์ร่วมกันเพื่อฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังกล่าวชื่นชมวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลไทยที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูความร่วมมือด้านต่าง ๆ อีกทั้งได้กล่าวแสดงความยินดีต่อการเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC 2022 ของไทย เชื่อมั่นว่า การเป็นประธานของไทยจะช่วยส่งเสริมและขยายขีดความสามารถทางการค้าการลงทุนได้ทั้งภายในและภายนอกภูมิภาคต่อไป โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่สําคัญ ดังนี้ - ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ควรส่งเสริมการหารือทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี ซึ่งปากีสถานเป็นคู่ค้าที่สําคัญของไทยในเอเชียใต้ โดยควรใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต่อยอดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ในอนาคต โดยเฉพาะการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ปากีสถาน (PATHFTA) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ด้านเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ เห็นพ้องที่จะผลักดันการค้าและการลงทุนให้ขยายตัวมากขึ้น พร้อมชื่นชมโครงการ EEC ของไทยที่ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการเพิ่มมูลค่าการลงทุนในประเทศ ซึ่งปากีสถานให้ความสําคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีควบคู่กัน - ด้านการศึกษา ไทยยินดีสานต่อด้านความร่วมมือทางการศึกษา โดยเฉพาะสาขาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีที่ปากีสถานมีความชํานาญ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะประสานงานอย่างใกล้ชิดในด้านทุนการศึกษาและทุนฝึกอบรมสําหรับครูและนักเรียนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อไปศึกษาต่อที่ปากีสถานในสาขาอื่นๆ ที่สนใจนอกเหนือจากด้านศาสนา - ด้านความร่วมมือทางความมั่นคง เอกอัครราชทูตปากีสถานฯ ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวทางการรับมือที่เกิดจากภัยคุกคาม เช่น การจัดการพื้นที่บริเวณชายแดน การจัดการภัยพิบัติ ตลอดจนความร่วมมือทางกลาโหม ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นพ้องว่าทั้งสองประเทศสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อพัฒนาศักยภาพได้ ดังเช่นการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่รัฐบาลให้ความสําคัญในนโนบาย - ด้านความร่วมมือทางการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรีชื่นชมปากีสถานที่เป็นแหล่งอารยธรรมคันธาระ ซึ่งเป็นต้นกําเนิดของพุทธศิลป์และถือเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สําคัญต่อพุทธศาสนิกชนและมนุษยชาติ พร้อมขอบคุณการสนับสนุนการจัดกิจกรรมเผยแพร่วัฒนธรรมในโอกาสครบรอบ 70 ปี ซึ่งทางเอกอัครราชทูตปากีสถานฯ เปิดเผยว่า ปากีสถานมีแผนการจัดนิทรรศการการแสดงศิลปะวัตถุตักศิลา-คันธาระจํานวนกว่า 100 ชิ้น มาจัดแสดงในไทย รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด ที่จะจัดสร้างที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุที่พิพิธภัณฑ์ตักศิลา โดยทั้งสองโครงการอยู่ระหว่างการเตรียมการและคาดว่าจะสามารถจัดแสดงได้ภายในเดือนมีนาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50724
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เกาะติดสถานการณ์ด่านนำเข้าทางบกของจีนรับมือฤดูกาลผลไม้ไทยปี 2565
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 กระทรวงเกษตรฯ เกาะติดสถานการณ์ด่านนําเข้าทางบกของจีนรับมือฤดูกาลผลไม้ไทยปี 2565 กระทรวงเกษตรฯ เกาะติดสถานการณ์ด่านนําเข้าทางบกของจีนรับมือฤดูกาลผลไม้ไทยปี 2565 ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) สินค้าเกษตรที่ส่งออกไปยังประเทศจีนต้องมีความปลอดภัยและมั่นใจได้ว่าปลอดจากการปนเปื้อนของเชื้อโควิด ซึ่งประเทศจีนเป็นตลาดสินค้าเกษตรที่สําคัญของไทย ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดในจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จีนใช้มาตรการ Zero Covid อย่างจริงจัง โดยควบคุมทั้งคนและการขนส่งสินค้าอย่างเข้มงวด ออกมาตรการระดับชาติและระดับท้องถิ่นที่แตกต่างกันไปตามความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ ซึ่งผลไม้นําเข้าจะต้องถูกตรวจสอบอย่างรัดกุมและต้องได้รับใบรับรอง 3 ชนิด จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนจึงจะสามารถวางจําหน่ายในตลาดจีนได้ ได้แก่ ใบรับรองผ่านการตรวจสอบกักกัน ใบรับรองผลการตรวจโควิด และใบรับรองการผ่านการฆ่าเชื้อ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้สํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจํากรุงปักกิ่ง ฝ่ายเกษตร ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ฝ่ายเกษตร ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สํานักการเกษตรต่างประเทศ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บูรณาการในการติดตามและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ฝ่ายเกษตรฯ กว่างโจว ยังได้จัดทําระบบติดตามสถานการณ์ด่านนําเข้าทางบกของจีน (LandPort-Alert) และสถานการณ์ด่านต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการสามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ของจีน ได้ที่เว็บไซต์ฝ่ายเกษตรฯ กว่างโจว https://www.opsmoac.go.th/guangzhou-home หรือเข้าระบบ LandPort-Alert ผ่านลิงค์ https://landport-alert.opsmoac.go.th/ ผ่านอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด เพื่อเข้าถึงสถานการณ์ด่านนําเข้าผลไม้ไทยทางบกของจีน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เกาะติดสถานการณ์ด่านนำเข้าทางบกของจีนรับมือฤดูกาลผลไม้ไทยปี 2565 วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2565 กระทรวงเกษตรฯ เกาะติดสถานการณ์ด่านนําเข้าทางบกของจีนรับมือฤดูกาลผลไม้ไทยปี 2565 กระทรวงเกษตรฯ เกาะติดสถานการณ์ด่านนําเข้าทางบกของจีนรับมือฤดูกาลผลไม้ไทยปี 2565 ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) สินค้าเกษตรที่ส่งออกไปยังประเทศจีนต้องมีความปลอดภัยและมั่นใจได้ว่าปลอดจากการปนเปื้อนของเชื้อโควิด ซึ่งประเทศจีนเป็นตลาดสินค้าเกษตรที่สําคัญของไทย ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดในจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จีนใช้มาตรการ Zero Covid อย่างจริงจัง โดยควบคุมทั้งคนและการขนส่งสินค้าอย่างเข้มงวด ออกมาตรการระดับชาติและระดับท้องถิ่นที่แตกต่างกันไปตามความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ ซึ่งผลไม้นําเข้าจะต้องถูกตรวจสอบอย่างรัดกุมและต้องได้รับใบรับรอง 3 ชนิด จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนจึงจะสามารถวางจําหน่ายในตลาดจีนได้ ได้แก่ ใบรับรองผ่านการตรวจสอบกักกัน ใบรับรองผลการตรวจโควิด และใบรับรองการผ่านการฆ่าเชื้อ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้สํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจํากรุงปักกิ่ง ฝ่ายเกษตร ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ฝ่ายเกษตร ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สํานักการเกษตรต่างประเทศ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บูรณาการในการติดตามและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ฝ่ายเกษตรฯ กว่างโจว ยังได้จัดทําระบบติดตามสถานการณ์ด่านนําเข้าทางบกของจีน (LandPort-Alert) และสถานการณ์ด่านต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการสามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ของจีน ได้ที่เว็บไซต์ฝ่ายเกษตรฯ กว่างโจว https://www.opsmoac.go.th/guangzhou-home หรือเข้าระบบ LandPort-Alert ผ่านลิงค์ https://landport-alert.opsmoac.go.th/ ผ่านอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด เพื่อเข้าถึงสถานการณ์ด่านนําเข้าผลไม้ไทยทางบกของจีน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52957
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมธนาคารออมสินสนับสนุนเพจเฟซบุ๊กออนไลน์ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และข่าวปลอมอนุญาตใบทะเบียนพาณิชย์ ให้ศูนย์เงินกู้ นอกระบบ จำกัด ประกอบธุรกิจเงินกู้ออนไลน์
วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน 2564 โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมธนาคารออมสินสนับสนุนเพจเฟซบุ๊กออนไลน์ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และข่าวปลอมอนุญาตใบทะเบียนพาณิชย์ ให้ศูนย์เงินกู้ นอกระบบ จํากัด ประกอบธุรกิจเงินกู้ออนไลน์ โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมธนาคารออมสินสนับสนุนเพจเฟซบุ๊กออนไลน์ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และข่าวปลอมอนุญาตใบทะเบียนพาณิชย์ ให้ศูนย์เงินกู้ นอกระบบ จํากัด ประกอบธุรกิจเงินกู้ออนไลน์ นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าตามที่มีการเผยแพร่ภาพและข้อความที่ใช้เป็นสื่อโฆษณาเงินกู้นอกระบบในสื่อโซเชียลได้แก่เพจออมทรัพย์ออนไลน์,สินเชื่อไว,สินเชื่อเงินไว, SCV 44-44,กู้เงินด่วน,สินเชื่อไทย, TMPผ่อนสบาย,เงินกู้เพิ่มทุนหรือเงินกู้ทันใจ, For You,เยียวยาหรือเงินกู้ด่วนทันใจ, Thailoanเงินกู้ด่วน,เงินกู้ปลอดภัยได้นําโลโก้ธนาคารออมสินไปร่วมเป็นผู้สนับสนุนเงินกู้นอกระบบนั้นทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทีมงานฝ่ายสื่อสารองค์กรธนาคารออมสินกระทรวงการคลังได้ตรวจสอบรายละเอียดแล้วพบว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จเพจทุกเพจข้างต้นได้แอบอ้างนําโลโก้ธนาคารออมสินไปใช้ในการโฆษณาสนับสนุนเงินกู้นอกระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตการกระทําดังกล่าวเป็นการจงใจสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่าธนาคารออมสินให้การสนับสนุนเงินกู้นอกระบบเป็นการละเมิดต่อธนาคารซึ่งจะได้ดําเนินการทางกฎหมายต่อไปธนาคารขอเรียนว่าธนาคารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้มีส่วนร่วมในการดําเนินการตามโฆษณาดังที่ปรากฎในสื่อโซเชียลต่างๆแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีข่าวปลอมการแชร์รูปใบอนุญาตจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่ออกใบอนุญาตทะเบียนพาณิชย์ให้กับศูนย์เงินกู้นอกระบบจํากัดประกอบธุรกิจเงินกู้ออนไลน์นั้นโดยทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของปลอมที่มีการปลอมแปลงขึ้นมาเนื่องจากฟอนต์หรือรูปแบบของตัวเอกสารผิดจากรูปแบบตามมาตราฐานอีกทั้งตัวเอกสารจริงจะมีคิวอาร์โค้ดโดยเฉพาะของทางหน่วยงานอยู่ในตัวเอกสารด้วยรวมทั้งแหล่งที่มาของคําขอขัดแย้งกันกับสถานที่ๆได้แจ้งไว้สังเกตได้จากเอกสารดังกล่าวระบุว่าได้รับการอนุญาตจากชลบุรีแต่ตัวเลขคําขอนั้นเป็นจังหวัดปทุมธานีซึ่งตามหลักแล้วไม่สามารถเป็นไปได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆอีกทั้งขอให้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนทุกครั้งนอกจากนี้ประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง ***********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมธนาคารออมสินสนับสนุนเพจเฟซบุ๊กออนไลน์ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และข่าวปลอมอนุญาตใบทะเบียนพาณิชย์ ให้ศูนย์เงินกู้ นอกระบบ จำกัด ประกอบธุรกิจเงินกู้ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน 2564 โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมธนาคารออมสินสนับสนุนเพจเฟซบุ๊กออนไลน์ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และข่าวปลอมอนุญาตใบทะเบียนพาณิชย์ ให้ศูนย์เงินกู้ นอกระบบ จํากัด ประกอบธุรกิจเงินกู้ออนไลน์ โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมธนาคารออมสินสนับสนุนเพจเฟซบุ๊กออนไลน์ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และข่าวปลอมอนุญาตใบทะเบียนพาณิชย์ ให้ศูนย์เงินกู้ นอกระบบ จํากัด ประกอบธุรกิจเงินกู้ออนไลน์ นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าตามที่มีการเผยแพร่ภาพและข้อความที่ใช้เป็นสื่อโฆษณาเงินกู้นอกระบบในสื่อโซเชียลได้แก่เพจออมทรัพย์ออนไลน์,สินเชื่อไว,สินเชื่อเงินไว, SCV 44-44,กู้เงินด่วน,สินเชื่อไทย, TMPผ่อนสบาย,เงินกู้เพิ่มทุนหรือเงินกู้ทันใจ, For You,เยียวยาหรือเงินกู้ด่วนทันใจ, Thailoanเงินกู้ด่วน,เงินกู้ปลอดภัยได้นําโลโก้ธนาคารออมสินไปร่วมเป็นผู้สนับสนุนเงินกู้นอกระบบนั้นทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทีมงานฝ่ายสื่อสารองค์กรธนาคารออมสินกระทรวงการคลังได้ตรวจสอบรายละเอียดแล้วพบว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จเพจทุกเพจข้างต้นได้แอบอ้างนําโลโก้ธนาคารออมสินไปใช้ในการโฆษณาสนับสนุนเงินกู้นอกระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตการกระทําดังกล่าวเป็นการจงใจสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่าธนาคารออมสินให้การสนับสนุนเงินกู้นอกระบบเป็นการละเมิดต่อธนาคารซึ่งจะได้ดําเนินการทางกฎหมายต่อไปธนาคารขอเรียนว่าธนาคารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้มีส่วนร่วมในการดําเนินการตามโฆษณาดังที่ปรากฎในสื่อโซเชียลต่างๆแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีข่าวปลอมการแชร์รูปใบอนุญาตจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่ออกใบอนุญาตทะเบียนพาณิชย์ให้กับศูนย์เงินกู้นอกระบบจํากัดประกอบธุรกิจเงินกู้ออนไลน์นั้นโดยทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของปลอมที่มีการปลอมแปลงขึ้นมาเนื่องจากฟอนต์หรือรูปแบบของตัวเอกสารผิดจากรูปแบบตามมาตราฐานอีกทั้งตัวเอกสารจริงจะมีคิวอาร์โค้ดโดยเฉพาะของทางหน่วยงานอยู่ในตัวเอกสารด้วยรวมทั้งแหล่งที่มาของคําขอขัดแย้งกันกับสถานที่ๆได้แจ้งไว้สังเกตได้จากเอกสารดังกล่าวระบุว่าได้รับการอนุญาตจากชลบุรีแต่ตัวเลขคําขอนั้นเป็นจังหวัดปทุมธานีซึ่งตามหลักแล้วไม่สามารถเป็นไปได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆอีกทั้งขอให้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนทุกครั้งนอกจากนี้ประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดลดอุบัติเหตุ หวังสงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขและปลอดภัย
วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565 นายกฯ กําชับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดลดอุบัติเหตุ หวังสงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขและปลอดภัย ..... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ห่วงการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งคาดว่าประชาชนจะเริ่มทยอยออกเดินทางกลับภูมิลําเนามากที่สุดในวันพรุ่งนี้ (12 เม.ย.) จึงกําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กวดขันวินัยการจราจรทุกรูปแบบ เปิดช่องทางพิเศษเป็นระยะ ๆ เพื่อเร่งระบายปริมาณรถที่หนาแน่นในบางช่วง . รวมถึงกําชับให้ผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะ ต้องผ่านการตรวจวัดแอลกอฮอล์และสารเสพติด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และมีส่วนช่วยร่วมกันรับผิดชอบต่อชีวิตผู้โดยสารเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย พร้อมขอบคุณและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน . ขณะเดียวกันขอทุกคนร่วมกันเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในช่วงวันหยุดยาวนี้ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัวเอง Universal Prevention สูงสุด ทุกพื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรมสงกรานต์ต้องปฏิบัติตามมาตรการ Covid Free Setting อย่างเข้มข้น ทั้งนี้ ได้มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขให้เตรียมประเมินสถานการณ์โดยหวังว่า หลังเทศกาลยอดผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถควบคุมได้ #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดลดอุบัติเหตุ หวังสงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขและปลอดภัย วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565 นายกฯ กําชับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดลดอุบัติเหตุ หวังสงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขและปลอดภัย ..... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ห่วงการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งคาดว่าประชาชนจะเริ่มทยอยออกเดินทางกลับภูมิลําเนามากที่สุดในวันพรุ่งนี้ (12 เม.ย.) จึงกําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กวดขันวินัยการจราจรทุกรูปแบบ เปิดช่องทางพิเศษเป็นระยะ ๆ เพื่อเร่งระบายปริมาณรถที่หนาแน่นในบางช่วง . รวมถึงกําชับให้ผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะ ต้องผ่านการตรวจวัดแอลกอฮอล์และสารเสพติด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และมีส่วนช่วยร่วมกันรับผิดชอบต่อชีวิตผู้โดยสารเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย พร้อมขอบคุณและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน . ขณะเดียวกันขอทุกคนร่วมกันเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในช่วงวันหยุดยาวนี้ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัวเอง Universal Prevention สูงสุด ทุกพื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรมสงกรานต์ต้องปฏิบัติตามมาตรการ Covid Free Setting อย่างเข้มข้น ทั้งนี้ ได้มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขให้เตรียมประเมินสถานการณ์โดยหวังว่า หลังเทศกาลยอดผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถควบคุมได้ #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53529
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบโครงการเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท พร้อมปรับปรุงรายละเอียดโครงการทัวร์เที่ยวไทยให้สอดเหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ครม.เห็นชอบโครงการเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท พร้อมปรับปรุงรายละเอียดโครงการทัวร์เที่ยวไทยให้สอดเหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19 ครม.เห็นชอบโครงการเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท พร้อมปรับปรุงรายละเอียดโครงการทัวร์เที่ยวไทยให้สอดเหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (24 ม.ค. 65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 ม.ค. 2565 ได้อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท โดยใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. เงินกู้ฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 โดยให้มีระยะเวลาดําเนินโครงการ จากเดิมตั้งแต่เดือน ก.พ. – มิ.ย. 2565 เป็นตั้งแต่เดือน ก.พ. – ก.ค. 2565 สําหรับการดําเนินโครงการนั้น รัฐจะสนับสนุนค่าโรงแรมที่พัก คนละไม่เกิน 10 ห้อง ร้อยละ 40 ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน จํานวน 2 ล้านสิทธิ แต่ครั้งนี้ ได้ปรับลดสิทธิสําหรับบัตรค่าโดยสารเครื่องบินลงเหลือ 6 แสนสิทธิ เนื่องจากการดําเนินโครงการในระยะที่ผ่านมาในส่วนของบัตรโดยสาร ปรากฎว่าผู้ร่วมโครงการไม่ได้มีการใช้สิทธิเต็มสิทธิที่ให้อยู่แล้ว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการที่ได้รับอนุมัติครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้ประชาชนมีเกิดการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาล พร้อมกันนี้ ครม. ยังมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พิจารณากําหนดมาตรการเพิ่มเติมในการกํากับและติดตาม การดําเนินโครงการ เพื่อป้องกันการแสวงหา ประโยชน์จากการดําเนินโครงการโดยมิชอบ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว อย่างเคร่งครัด ซึ่งจะช่วยให้การดําเนินโครงการ เป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และสามารถ ตรวจสอบได้ต่อไป น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ครม. ยังได้เห็นชอบให้ ททท. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสําคัญของโครงการทัวร์เที่ยวไทย โดยปรับลดจํานวนสิทธิโครงการ จากเดิม 1 ล้านสิทธิ เป็น 2 แสนสิทธิ ทําให้กรอบวงเงินดําเนินโครงการลดลงจาก 5,000 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่เอื้ออํานวยให้มีการเดินทางเป็นหมู่คณะ และขยายระยะเวลาดําเนินโครงการ จากเดิมที่สิ้นสุดเดือนก.พ. 2565 เป็นสิ้นสุดเดือนพ.ค. 2565 พร้อมกับมอบหมายให้ ททท. กําหนดแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ โดยเคร่งครัดด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบโครงการเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท พร้อมปรับปรุงรายละเอียดโครงการทัวร์เที่ยวไทยให้สอดเหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19 วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ครม.เห็นชอบโครงการเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท พร้อมปรับปรุงรายละเอียดโครงการทัวร์เที่ยวไทยให้สอดเหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19 ครม.เห็นชอบโครงการเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท พร้อมปรับปรุงรายละเอียดโครงการทัวร์เที่ยวไทยให้สอดเหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (24 ม.ค. 65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 ม.ค. 2565 ได้อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท โดยใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. เงินกู้ฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 โดยให้มีระยะเวลาดําเนินโครงการ จากเดิมตั้งแต่เดือน ก.พ. – มิ.ย. 2565 เป็นตั้งแต่เดือน ก.พ. – ก.ค. 2565 สําหรับการดําเนินโครงการนั้น รัฐจะสนับสนุนค่าโรงแรมที่พัก คนละไม่เกิน 10 ห้อง ร้อยละ 40 ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน จํานวน 2 ล้านสิทธิ แต่ครั้งนี้ ได้ปรับลดสิทธิสําหรับบัตรค่าโดยสารเครื่องบินลงเหลือ 6 แสนสิทธิ เนื่องจากการดําเนินโครงการในระยะที่ผ่านมาในส่วนของบัตรโดยสาร ปรากฎว่าผู้ร่วมโครงการไม่ได้มีการใช้สิทธิเต็มสิทธิที่ให้อยู่แล้ว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการที่ได้รับอนุมัติครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้ประชาชนมีเกิดการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาล พร้อมกันนี้ ครม. ยังมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พิจารณากําหนดมาตรการเพิ่มเติมในการกํากับและติดตาม การดําเนินโครงการ เพื่อป้องกันการแสวงหา ประโยชน์จากการดําเนินโครงการโดยมิชอบ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว อย่างเคร่งครัด ซึ่งจะช่วยให้การดําเนินโครงการ เป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และสามารถ ตรวจสอบได้ต่อไป น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ครม. ยังได้เห็นชอบให้ ททท. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสําคัญของโครงการทัวร์เที่ยวไทย โดยปรับลดจํานวนสิทธิโครงการ จากเดิม 1 ล้านสิทธิ เป็น 2 แสนสิทธิ ทําให้กรอบวงเงินดําเนินโครงการลดลงจาก 5,000 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่เอื้ออํานวยให้มีการเดินทางเป็นหมู่คณะ และขยายระยะเวลาดําเนินโครงการ จากเดิมที่สิ้นสุดเดือนก.พ. 2565 เป็นสิ้นสุดเดือนพ.ค. 2565 พร้อมกับมอบหมายให้ ททท. กําหนดแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ โดยเคร่งครัดด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50833
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินจัดโปรแรงร่วม Thailand Smart Money ขอนแก่น กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอีสาน
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ออมสินจัดโปรแรงร่วม Thailand Smart Money ขอนแก่น กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอีสาน ออมสินจัดโปรแรงร่วม Thailand Smart Money ขอนแก่น กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอีสาน เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษดอกเบี้ยสูงสุด 10.80% ต่อปี เทียบเท่าฝากประจํา 3.00% ต่อปี ดอกเบี้ยบ้านปีแรก 0.250% สินเชื่อ SMEs ดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้เข้าร่วมงาน Thailand Smart Money ขอนแก่น ครั้งที่ 8 ที่เซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2564 อีกหนึ่งงานสําคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมได้อย่างทั่วถึง รวมถึงมีอัตราดอกเบี้ยจูงใจเพื่อคนฝากเงิน สําหรับ Thailand Smart Money ขอนแก่นปีนี้ โปรโมชันไฮไลท์เงินฝาก คือ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 108 ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 10.80% ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเท่ากับ 2.55% ต่อปี เทียบเท่าเงินฝากประจํา 3.00% ต่อปี และ สลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบมีใบสลาก) ได้ร่วมลุ้นเงินรางวัลพิเศษ 1 ล้านบาท จํานวน 20 รางวัล ซึ่งออกรางวัลพิเศษนี้ 2 ครั้ง ในวันที่ 1 ธ.ค.64 จํานวน 10 รางวัล และ วันที่ 30 ธ.ค.64 อีก 10 รางวัล นอกเหนือจากการลุ้นรางวัลสลากปกติรวม 24 ครั้ง รางวัลที่ 1 เป็นเงิน 5,000,000 บาท โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลจะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนโปรโมชันไฮไลท์ในด้านสินเชื่อประกอบด้วย สินเชื่อเคหะดอกเบี้ยพิเศษ ปีแรก 0.250% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.250% ต่อปี สินเชื่อ GSB Smooth BIZ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือลงทุนในธุรกิจอัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชําระนานสูงสุด 10 ปี วงเงินกู้สูงสุดถึง 20 ล้านบาท พร้อมด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพ โดยเฉพาะสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อ SMEs สําหรับภาคการท่องเที่ยว และโครงการสินเชื่อ SMEs มีที่มีเงิน สําหรับธุรกิจ Small SMEs รวมถึง สินเชื่อจํานําทะเบียนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ที่นําเงินไปใช้จ่ายหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่องในยามฉุกเฉิน ธนาคารออมสิน จึงขอเชิญชวนลูกค้าและประชาชนผู้สนใจ ทั้งในจังหวัดขอนแก่นและพื้นที่ใกล้เคียงเยี่ยมชมงาน Thailand Smart Money ขอนแก่น และใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ ที่บูธธนาคารออมสิน ด้วยโปรโมชันน่าสนใจส่งท้ายปี โดยทุกธุรกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ มีของที่ระลึกและรางวัลพิเศษสุดเฉพาะลูกค้าในงานเท่านั้น https://www.gsb.or.th/news/gsbpr65-2/
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินจัดโปรแรงร่วม Thailand Smart Money ขอนแก่น กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอีสาน วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ออมสินจัดโปรแรงร่วม Thailand Smart Money ขอนแก่น กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอีสาน ออมสินจัดโปรแรงร่วม Thailand Smart Money ขอนแก่น กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอีสาน เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษดอกเบี้ยสูงสุด 10.80% ต่อปี เทียบเท่าฝากประจํา 3.00% ต่อปี ดอกเบี้ยบ้านปีแรก 0.250% สินเชื่อ SMEs ดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้เข้าร่วมงาน Thailand Smart Money ขอนแก่น ครั้งที่ 8 ที่เซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2564 อีกหนึ่งงานสําคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมได้อย่างทั่วถึง รวมถึงมีอัตราดอกเบี้ยจูงใจเพื่อคนฝากเงิน สําหรับ Thailand Smart Money ขอนแก่นปีนี้ โปรโมชันไฮไลท์เงินฝาก คือ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 108 ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 10.80% ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเท่ากับ 2.55% ต่อปี เทียบเท่าเงินฝากประจํา 3.00% ต่อปี และ สลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบมีใบสลาก) ได้ร่วมลุ้นเงินรางวัลพิเศษ 1 ล้านบาท จํานวน 20 รางวัล ซึ่งออกรางวัลพิเศษนี้ 2 ครั้ง ในวันที่ 1 ธ.ค.64 จํานวน 10 รางวัล และ วันที่ 30 ธ.ค.64 อีก 10 รางวัล นอกเหนือจากการลุ้นรางวัลสลากปกติรวม 24 ครั้ง รางวัลที่ 1 เป็นเงิน 5,000,000 บาท โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลจะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนโปรโมชันไฮไลท์ในด้านสินเชื่อประกอบด้วย สินเชื่อเคหะดอกเบี้ยพิเศษ ปีแรก 0.250% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.250% ต่อปี สินเชื่อ GSB Smooth BIZ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือลงทุนในธุรกิจอัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชําระนานสูงสุด 10 ปี วงเงินกู้สูงสุดถึง 20 ล้านบาท พร้อมด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพ โดยเฉพาะสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อ SMEs สําหรับภาคการท่องเที่ยว และโครงการสินเชื่อ SMEs มีที่มีเงิน สําหรับธุรกิจ Small SMEs รวมถึง สินเชื่อจํานําทะเบียนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ที่นําเงินไปใช้จ่ายหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่องในยามฉุกเฉิน ธนาคารออมสิน จึงขอเชิญชวนลูกค้าและประชาชนผู้สนใจ ทั้งในจังหวัดขอนแก่นและพื้นที่ใกล้เคียงเยี่ยมชมงาน Thailand Smart Money ขอนแก่น และใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ ที่บูธธนาคารออมสิน ด้วยโปรโมชันน่าสนใจส่งท้ายปี โดยทุกธุรกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ มีของที่ระลึกและรางวัลพิเศษสุดเฉพาะลูกค้าในงานเท่านั้น https://www.gsb.or.th/news/gsbpr65-2/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48428
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ นโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 1/2564
วันอังคารที่ 14 กันยายน 2564 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ นโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 1/2564 ... นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับมอบหมายจากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (นปท.) ครั้งที่ 1/2564 ผ่านการประชุมทางไกลระบบ Zoom โดยมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานะ Flagship จํานวน 5 โครงการที่สําคัญของกระทรวงคมนาคมดังนี้ 1. โครงการศึกษาวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมทุนการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสําราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี 2. โครงการวางแผนแม่บทเพื่อพัฒนาท่าเรือ สํารวจออกแบบ Cruise Terminal ฝั่งอันดามัน 3. โครงการศึกษาสํารวจออกแบบท่าเรือต้นทาง (Home Port) สําหรับ Cruise Terminal อ่าวไทยตอนบน 4. โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือ เพื่อการท่องเที่ยวและบริหารจัดการภายในท่าเทียบเรือเพื่อความปลอดภัยที่ท่าเทียบเรือปากคลองจิหลาด จังหวัดกระบี่ 5. โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือ เพื่อการท่องเที่ยวและบริหารจัดการภายในท่าเทียบเรือเพื่อความปลอดภัยที่ท่าเทียบเรือท้องศาลา และท่าเทียบเรือหาดริ้น อําเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฏร์ธานี กรมเจ้าท่าได้ร่วมกับศูนย์อํานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) แก้ไขปัญหาต่าง ๆ แล้วเสร็จ ดังนี้ 1. ควบคุมเรือสําราญและกีฬา (เรือยอร์ช) ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งผลการปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 2. สนับสนุนโครงการ Phuket Sandbox 3. บูรณาแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะบริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้รื้อถอนขนํา จํานวน 465 หลัง สามารถส่งคืนพื้นที่อ่าวบ้านดอนกว่า 200,000 ไร่ ประกอบด้วย อําเภอเมืองสุราษฎร์ธานี 28,265 ไร่ อําเภอกาญจนดิษฐ์ 23,378 ไร่ อําเภอท่าฉาง 23,457 ไร่ และอําเภอไชยา 8,164 ไร่ 4. แก้ไขปัญหาการใช้ร่องน้ําเดินเรือในทะเลสาบสงขลา โดยได้แก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย และหารือร่วมหลายฝ่าย รวมทั้วสํารวจเปิดร่องน้ําสัญจรเร่งด่วน 2 ครั้ง 5. แก้ไขปัญหาระหว่างประมงพื้นบ้านกับโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยจัดทําแนวทางแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อโครงการฯ ระยะที่ 3 เกี่ยวกับการเรียกร้องการเยียวยาประมงพื้นบ้าน และนําเป็นโมเดลเพื่อเยียวยาให้กับชาวประมงต่อไป 6. การบูรณาการให้ความช่วยเหลือ กรณีเรือสันทัดสมุทรอับปาง บริเวณเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งขณะนี้ได้ดําเนินการเก็บกู้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีข้อสั่งการให้ดําเนินการขับเคลื่อนอย่างรอบคอบ โดยให้เป็นไปตามแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเลอย่างเคร่งครัดต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ นโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 1/2564 วันอังคารที่ 14 กันยายน 2564 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ นโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 1/2564 ... นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับมอบหมายจากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (นปท.) ครั้งที่ 1/2564 ผ่านการประชุมทางไกลระบบ Zoom โดยมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานะ Flagship จํานวน 5 โครงการที่สําคัญของกระทรวงคมนาคมดังนี้ 1. โครงการศึกษาวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมทุนการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสําราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี 2. โครงการวางแผนแม่บทเพื่อพัฒนาท่าเรือ สํารวจออกแบบ Cruise Terminal ฝั่งอันดามัน 3. โครงการศึกษาสํารวจออกแบบท่าเรือต้นทาง (Home Port) สําหรับ Cruise Terminal อ่าวไทยตอนบน 4. โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือ เพื่อการท่องเที่ยวและบริหารจัดการภายในท่าเทียบเรือเพื่อความปลอดภัยที่ท่าเทียบเรือปากคลองจิหลาด จังหวัดกระบี่ 5. โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือ เพื่อการท่องเที่ยวและบริหารจัดการภายในท่าเทียบเรือเพื่อความปลอดภัยที่ท่าเทียบเรือท้องศาลา และท่าเทียบเรือหาดริ้น อําเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฏร์ธานี กรมเจ้าท่าได้ร่วมกับศูนย์อํานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) แก้ไขปัญหาต่าง ๆ แล้วเสร็จ ดังนี้ 1. ควบคุมเรือสําราญและกีฬา (เรือยอร์ช) ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งผลการปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 2. สนับสนุนโครงการ Phuket Sandbox 3. บูรณาแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะบริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้รื้อถอนขนํา จํานวน 465 หลัง สามารถส่งคืนพื้นที่อ่าวบ้านดอนกว่า 200,000 ไร่ ประกอบด้วย อําเภอเมืองสุราษฎร์ธานี 28,265 ไร่ อําเภอกาญจนดิษฐ์ 23,378 ไร่ อําเภอท่าฉาง 23,457 ไร่ และอําเภอไชยา 8,164 ไร่ 4. แก้ไขปัญหาการใช้ร่องน้ําเดินเรือในทะเลสาบสงขลา โดยได้แก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย และหารือร่วมหลายฝ่าย รวมทั้วสํารวจเปิดร่องน้ําสัญจรเร่งด่วน 2 ครั้ง 5. แก้ไขปัญหาระหว่างประมงพื้นบ้านกับโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยจัดทําแนวทางแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อโครงการฯ ระยะที่ 3 เกี่ยวกับการเรียกร้องการเยียวยาประมงพื้นบ้าน และนําเป็นโมเดลเพื่อเยียวยาให้กับชาวประมงต่อไป 6. การบูรณาการให้ความช่วยเหลือ กรณีเรือสันทัดสมุทรอับปาง บริเวณเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งขณะนี้ได้ดําเนินการเก็บกู้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีข้อสั่งการให้ดําเนินการขับเคลื่อนอย่างรอบคอบ โดยให้เป็นไปตามแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเลอย่างเคร่งครัดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45809
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย ในพื้นที่จ.ตราด
วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2564 รมช.มนัญญา มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย ในพื้นที่จ.ตราด รมช.มนัญญา มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย ในพื้นที่จ.ตราด นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดตราดเพื่อมอบถุงยังชีพจํานวนทั้งสิ้น700ชุดให้กับผู้ประสบอุทกภัยและพบปะให้กําลังใจเกษตรกรประชาชนในพื้นที่จ.ตราดโดยจุดแรกเดินทางไปยังวัดเสนาณรงค์ต.ปราณีตอ.เขาสมิงเพื่อมอบถุงยังชีพพร้อมมอบชุดเมล็ดพันธุ์พืชชุดชีวภัณฑ์เห็ดเรืองแสงสิรินรัศมีปุ๋ยชีวภาพแหนแดงและปุ๋ยหมักเติมอากาศให้กับเกษตรกรผู้ประสบภัยในตําบลปราณีตตลอดจนหญ้าอาหารสัตว์พระราชทานจํานวน250ฟ่อนถุงยังชีพสําหรับสัตว์จํานวน50ชุดอาหารสัตว์TMRจํานวน200ชุดเพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ได้รับผลกระทบโดยมีนายชํานาญวิทย์เตรัตน์ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดนายประกอบเผ่าพงศ์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นายสมบัติตงเต๊ารองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรผู้บริหารหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วม จากนั้นเดินทางไปยังจุดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต.สะตออ.เขาสมิงจุดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยวัดเทพนิมิตรต.เทพนิมิตรอ.เขาสมิงเทศบาลตําบลเขาสมิงอ.เขาสมิงและจุดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต.ห้วยแร้งอ.เมืองจ.ตราดเพื่อมอบถุงยังชีพพบปะให้กําลังใจแก่เกษตรกรและประชาชน รมช.มนัญญากล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีฯมีความห่วงใยเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมในครั้งนี้จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์และตรวจเยี่ยมให้กําลังใจพร้อมมอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรและประชาชนอีกทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้บูรณาการร่วมกับจังหวัดระดมสรรพกําลังอย่างเต็มความสามารถและเร่งฟื้นฟูเยียวยาภายหลังน้ําลดพร้อมทั้งเร่งสํารวจความเสียหายเพื่อจัดสรรงบประมาณในการเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรเร่งด่วน นอกจากนี้จากการรับฟังรายงานพบว่าพื้นที่จ.ตราดสามารถทําเป็นพื้นที่แก้มลิงได้โดยขณะนี้กรมชลประทานและจังหวัดตราดกําลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดลอกแก้มลิงคลองเวฬุเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งระยะที่1ปริมาณพื้นที่900ไร่ปริมาณน้ําเก็บกัก8,640,000ล้านลบ.ม.ระยะที่2ปริมาณพื้นที่1,145ไร่ปริมาณน้ําเก็บเก็บกัก10,992,000ล้านลบ.ม.ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนสามารถนําน้ําไปใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรมอุตสาหกรรมและการอุปโภคบริโภคทําให้คนไทยมีน้ํากินน้ําใช้ได้ตลอดทั้งปี สําหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดตราดมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจํานวน3อําเภอ14ตําบล70หมู่บ้าน1,283ครัวเรือนในส่วนของผลกระทบด้านการเกษตรด้านพืชจํานวน3อําเภอได้แก่อ.เมืองตราดอ.เขาสมิงและอ.บ่อไร่15ตําบล57หมู่บ้านครัวเรือนทั้งหมด7,070ครัวเรือนพื้นที่เพาะปลูก151,016ไร่ประสบภัยจํานวน1,234ครัวเรือนพื้นที่จํานวน10,285ไร่และคาดว่าจะเสียหายอีกกว่า2,000ไร่ดังนี้ข้าว310ไร่ไม้ผลไม้ยืนต้น1,756 ไร่ด้านประมงเกษตรกร89รายพื้นที่403ไร่ด้านปศุสัตว์เกษตรกร4รายสุกร381ตัวไก่เนื้อ6,351ตัวขณะนี้อยู่ระหว่างสํารวจความเสียหายอย่างไรก็ตามกรมชลประทานได้การดําเนินการระบายน้ําจากประตูระบายน้ําเขาสมิงลงแม่น้ําตราดครบทุกบานพร้อมตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางระบายน้ําติดตามสถานการณ์น้ําในพื้นที่และการแจ้งเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้จ.ตราดมีพื้นที่ทั้งหมด1,761,875ไร่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม612,012ไร่(34.75%ของพื้นที่ทั้งหมด)เป็นพื้นที่ปลูกข้าว16,116ไร่พืชไร่18,995ไร่พืชสวน572,976ไร่เกษตรอื่นๆ3,925ไร่โดยมีพื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทาน113,764ไร่และพื้นที่เกษตรกรรมนอกเขตชลประทาน498,248ไร่โดยสถานการณ์น้ํา(ข้อมูลณวันที่14ต.ค. 2564)อ่างเก็บน้ําขนาดกลางมี7แห่งได้แก่อ่างเก็บน้ําบ้านมะนาวอ่างเก็บน้ําด่านชุมพลอ่างเก็บน้ําห้วยแร้งอ่างเก็บน้ําวังปลาหมออ่างเก็บน้ําเขาระกําอ่างเก็บน้ําคลองโสนและอ่างเก็บน้ําสะพานหินรวมความจุอ่าง185.59ล้านลบ.ม.ปริมาตรน้ํากักเก็บ201.65ล้านลบ.ม. (108.65%)ปริมาตรน้ําใช้การได้192.70ล้านลบ.ม. (109.09%)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย ในพื้นที่จ.ตราด วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2564 รมช.มนัญญา มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย ในพื้นที่จ.ตราด รมช.มนัญญา มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย ในพื้นที่จ.ตราด นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดตราดเพื่อมอบถุงยังชีพจํานวนทั้งสิ้น700ชุดให้กับผู้ประสบอุทกภัยและพบปะให้กําลังใจเกษตรกรประชาชนในพื้นที่จ.ตราดโดยจุดแรกเดินทางไปยังวัดเสนาณรงค์ต.ปราณีตอ.เขาสมิงเพื่อมอบถุงยังชีพพร้อมมอบชุดเมล็ดพันธุ์พืชชุดชีวภัณฑ์เห็ดเรืองแสงสิรินรัศมีปุ๋ยชีวภาพแหนแดงและปุ๋ยหมักเติมอากาศให้กับเกษตรกรผู้ประสบภัยในตําบลปราณีตตลอดจนหญ้าอาหารสัตว์พระราชทานจํานวน250ฟ่อนถุงยังชีพสําหรับสัตว์จํานวน50ชุดอาหารสัตว์TMRจํานวน200ชุดเพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ได้รับผลกระทบโดยมีนายชํานาญวิทย์เตรัตน์ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดนายประกอบเผ่าพงศ์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นายสมบัติตงเต๊ารองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรผู้บริหารหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วม จากนั้นเดินทางไปยังจุดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต.สะตออ.เขาสมิงจุดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยวัดเทพนิมิตรต.เทพนิมิตรอ.เขาสมิงเทศบาลตําบลเขาสมิงอ.เขาสมิงและจุดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยต.ห้วยแร้งอ.เมืองจ.ตราดเพื่อมอบถุงยังชีพพบปะให้กําลังใจแก่เกษตรกรและประชาชน รมช.มนัญญากล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีฯมีความห่วงใยเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมในครั้งนี้จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์และตรวจเยี่ยมให้กําลังใจพร้อมมอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรและประชาชนอีกทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้บูรณาการร่วมกับจังหวัดระดมสรรพกําลังอย่างเต็มความสามารถและเร่งฟื้นฟูเยียวยาภายหลังน้ําลดพร้อมทั้งเร่งสํารวจความเสียหายเพื่อจัดสรรงบประมาณในการเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรเร่งด่วน นอกจากนี้จากการรับฟังรายงานพบว่าพื้นที่จ.ตราดสามารถทําเป็นพื้นที่แก้มลิงได้โดยขณะนี้กรมชลประทานและจังหวัดตราดกําลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดลอกแก้มลิงคลองเวฬุเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งระยะที่1ปริมาณพื้นที่900ไร่ปริมาณน้ําเก็บกัก8,640,000ล้านลบ.ม.ระยะที่2ปริมาณพื้นที่1,145ไร่ปริมาณน้ําเก็บเก็บกัก10,992,000ล้านลบ.ม.ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนสามารถนําน้ําไปใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรมอุตสาหกรรมและการอุปโภคบริโภคทําให้คนไทยมีน้ํากินน้ําใช้ได้ตลอดทั้งปี สําหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดตราดมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจํานวน3อําเภอ14ตําบล70หมู่บ้าน1,283ครัวเรือนในส่วนของผลกระทบด้านการเกษตรด้านพืชจํานวน3อําเภอได้แก่อ.เมืองตราดอ.เขาสมิงและอ.บ่อไร่15ตําบล57หมู่บ้านครัวเรือนทั้งหมด7,070ครัวเรือนพื้นที่เพาะปลูก151,016ไร่ประสบภัยจํานวน1,234ครัวเรือนพื้นที่จํานวน10,285ไร่และคาดว่าจะเสียหายอีกกว่า2,000ไร่ดังนี้ข้าว310ไร่ไม้ผลไม้ยืนต้น1,756 ไร่ด้านประมงเกษตรกร89รายพื้นที่403ไร่ด้านปศุสัตว์เกษตรกร4รายสุกร381ตัวไก่เนื้อ6,351ตัวขณะนี้อยู่ระหว่างสํารวจความเสียหายอย่างไรก็ตามกรมชลประทานได้การดําเนินการระบายน้ําจากประตูระบายน้ําเขาสมิงลงแม่น้ําตราดครบทุกบานพร้อมตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางระบายน้ําติดตามสถานการณ์น้ําในพื้นที่และการแจ้งเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้จ.ตราดมีพื้นที่ทั้งหมด1,761,875ไร่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม612,012ไร่(34.75%ของพื้นที่ทั้งหมด)เป็นพื้นที่ปลูกข้าว16,116ไร่พืชไร่18,995ไร่พืชสวน572,976ไร่เกษตรอื่นๆ3,925ไร่โดยมีพื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทาน113,764ไร่และพื้นที่เกษตรกรรมนอกเขตชลประทาน498,248ไร่โดยสถานการณ์น้ํา(ข้อมูลณวันที่14ต.ค. 2564)อ่างเก็บน้ําขนาดกลางมี7แห่งได้แก่อ่างเก็บน้ําบ้านมะนาวอ่างเก็บน้ําด่านชุมพลอ่างเก็บน้ําห้วยแร้งอ่างเก็บน้ําวังปลาหมออ่างเก็บน้ําเขาระกําอ่างเก็บน้ําคลองโสนและอ่างเก็บน้ําสะพานหินรวมความจุอ่าง185.59ล้านลบ.ม.ปริมาตรน้ํากักเก็บ201.65ล้านลบ.ม. (108.65%)ปริมาตรน้ําใช้การได้192.70ล้านลบ.ม. (109.09%)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม จัดประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง ครั้งที่ 1
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม จัดประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง ครั้งที่ 1 เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลสําหรับการกําหนดชื่อสถานีรถไฟฟ้าให้เป็นไปตามหลักสากล นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง ครั้งที่ 1 เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลการให้บริการรถไฟฟ้าแต่ละโครงการที่แตกต่างกัน โดยมีผู้แทนจาก ขร. และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ที่เกี่ยวกับระบบรถไฟฟ้า เข้าร่วมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นายกิตติพันธ์ฯ กล่าวว่า ขร. เล็งเห็นความสําคัญในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อยกระดับการขนส่งทางรางให้เป็นการเดินทางที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการใช้บริการของคนทุกคนอย่างสะดวก ปลอดภัย และเท่าเทียม รวมทั้ง มีความเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งหลากรูปแบบได้ จึงได้มีแนวคิดในการที่จะกําหนดมาตรฐาน มาตรการ การเสนอแนะแนวทาง รวมถึงการกํากับและติดตามการดําเนินงานบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง และประสานการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง นายกิตติพันธ์ฯ กล่าวต่อว่า สําหรับการประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลการให้บริการรถไฟฟ้าแต่ละโครงการที่แตกต่างกัน ในเรื่องของการกําหนดการตั้งชื่อสถานีรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยแนวทางสําหรับการกําหนดชื่อและรหัสสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสาธารณะ จากการศึกษาลักษณะเฉพาะของการตั้งชื่อสถานีขนส่งสาธารณะสากล ข้อมูลความคิดเห็นของประชาชน และตัวแทนของผู้ประกอบการเดินรถในปัจจุบัน รวมถึงการวิเคราะห์หลักการและปัจจัยที่เหมาะสมในการตั้งชื่อ สามารถสรุปหลักการตั้งชื่อและกําหนดรหัสสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสาธารณะ ดังนี้ 1) ง่าย ชื่อสถานีรถไฟฟ้าจะต้องเป็นชื่อที่ง่าย และสามารถจดจําได้ง่าย 2) กระชับ ชื่อสถานีรถไฟฟ้าควรเป็นชื่อที่สั้น ได้ใจความโดยชื่อภาษาไทยควรมีความยาว ไม่เกิน 5 พยางค์และชื่อภาษาอังกฤษควรใช้ตัวอักษรไม่เกิน 15 ตัวอักษร 3) มีความยั่งยืน ชื่อสถานีควรใช้ได้อย่างตลอดระยะเวลาที่สถานียังคงเปิดให้บริการอยู่ 4) สามารถระบุตําแหน่งได้ชัดเจน ชื่อสถานีจะต้องเอื้อให้ผู้เดินทางสามารถระบุตําแหน่ง หรือ บริเวณที่ตั้งของสถานีได้อย่างชัดเจน และควรมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ตั้งสถานี 5) เฉพาะเจาะจง ชื่อสถานีจะต้องไม่ซ้ํากัน หรือสร้างความสับสนแก่ผู้ใช้บริการ 6) มีความเชื่อมโยงกัน ชื่อสถานีจะต้องสามารถสร้างความเชื่อมโยงไปใช้ในการวางแผน การเดินทาง ได้ โดยเฉพาะชื่อสถานีที่เป็นสถานีเชื่อมต่อ ควรใช้ชื่อเดียวกันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยมีการระบุความแตกต่างของเส้นทางโดยรหัสสถานี ซึ่งการกําหนดสถานีในประเทศไทย ก็จะยึดหลักการเดียวกับหลักการของสากล โดยจะมีทั้งชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งคําประกาศภายในขบวนรถเพื่อแจ้งจุดเชื่อมต่อสถานี รูปแบบป้ายสัญลักษณ์ รหัสสีกําหนดเส้นทางรถไฟฟ้า ให้มีความเป็นมาตรฐานกลาง ลดความสับสนแก่ผู้ใช้บริการและเพื่อให้หน่วยงานที่อยู่ระหว่างการดําเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าต่างๆ สามารถดําเนินการไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมโดยไม่ล่าช้า รวมทั้งเป็นกรอบในการดําเนินการกรณีงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นในอนาคตต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม จัดประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง ครั้งที่ 1 วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม จัดประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง ครั้งที่ 1 เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลสําหรับการกําหนดชื่อสถานีรถไฟฟ้าให้เป็นไปตามหลักสากล นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง ครั้งที่ 1 เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลการให้บริการรถไฟฟ้าแต่ละโครงการที่แตกต่างกัน โดยมีผู้แทนจาก ขร. และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ที่เกี่ยวกับระบบรถไฟฟ้า เข้าร่วมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นายกิตติพันธ์ฯ กล่าวว่า ขร. เล็งเห็นความสําคัญในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อยกระดับการขนส่งทางรางให้เป็นการเดินทางที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการใช้บริการของคนทุกคนอย่างสะดวก ปลอดภัย และเท่าเทียม รวมทั้ง มีความเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งหลากรูปแบบได้ จึงได้มีแนวคิดในการที่จะกําหนดมาตรฐาน มาตรการ การเสนอแนะแนวทาง รวมถึงการกํากับและติดตามการดําเนินงานบริหารจัดการระบบขนส่งทางราง และประสานการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง นายกิตติพันธ์ฯ กล่าวต่อว่า สําหรับการประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลการให้บริการรถไฟฟ้าแต่ละโครงการที่แตกต่างกัน ในเรื่องของการกําหนดการตั้งชื่อสถานีรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยแนวทางสําหรับการกําหนดชื่อและรหัสสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสาธารณะ จากการศึกษาลักษณะเฉพาะของการตั้งชื่อสถานีขนส่งสาธารณะสากล ข้อมูลความคิดเห็นของประชาชน และตัวแทนของผู้ประกอบการเดินรถในปัจจุบัน รวมถึงการวิเคราะห์หลักการและปัจจัยที่เหมาะสมในการตั้งชื่อ สามารถสรุปหลักการตั้งชื่อและกําหนดรหัสสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสาธารณะ ดังนี้ 1) ง่าย ชื่อสถานีรถไฟฟ้าจะต้องเป็นชื่อที่ง่าย และสามารถจดจําได้ง่าย 2) กระชับ ชื่อสถานีรถไฟฟ้าควรเป็นชื่อที่สั้น ได้ใจความโดยชื่อภาษาไทยควรมีความยาว ไม่เกิน 5 พยางค์และชื่อภาษาอังกฤษควรใช้ตัวอักษรไม่เกิน 15 ตัวอักษร 3) มีความยั่งยืน ชื่อสถานีควรใช้ได้อย่างตลอดระยะเวลาที่สถานียังคงเปิดให้บริการอยู่ 4) สามารถระบุตําแหน่งได้ชัดเจน ชื่อสถานีจะต้องเอื้อให้ผู้เดินทางสามารถระบุตําแหน่ง หรือ บริเวณที่ตั้งของสถานีได้อย่างชัดเจน และควรมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ตั้งสถานี 5) เฉพาะเจาะจง ชื่อสถานีจะต้องไม่ซ้ํากัน หรือสร้างความสับสนแก่ผู้ใช้บริการ 6) มีความเชื่อมโยงกัน ชื่อสถานีจะต้องสามารถสร้างความเชื่อมโยงไปใช้ในการวางแผน การเดินทาง ได้ โดยเฉพาะชื่อสถานีที่เป็นสถานีเชื่อมต่อ ควรใช้ชื่อเดียวกันทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยมีการระบุความแตกต่างของเส้นทางโดยรหัสสถานี ซึ่งการกําหนดสถานีในประเทศไทย ก็จะยึดหลักการเดียวกับหลักการของสากล โดยจะมีทั้งชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งคําประกาศภายในขบวนรถเพื่อแจ้งจุดเชื่อมต่อสถานี รูปแบบป้ายสัญลักษณ์ รหัสสีกําหนดเส้นทางรถไฟฟ้า ให้มีความเป็นมาตรฐานกลาง ลดความสับสนแก่ผู้ใช้บริการและเพื่อให้หน่วยงานที่อยู่ระหว่างการดําเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าต่างๆ สามารถดําเนินการไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมโดยไม่ล่าช้า รวมทั้งเป็นกรอบในการดําเนินการกรณีงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นในอนาคตต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43373
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมการดำเนินงาน EXIM Bank ตอบสนองนโยบาลรัฐบาล ช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย สร้างผู้ส่งออก นักลงทุนให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก เน้นย้ำให้สนับสนุนพัฒนาต่อยอดสินค้าเกษตรไทย
วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน EXIM Bank ตอบสนองนโยบาลรัฐบาล ช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย สร้างผู้ส่งออก นักลงทุนให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก เน้นย้ําให้สนับสนุนพัฒนาต่อยอดสินค้าเกษตรไทย นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน EXIM Bank ตอบสนองนโยบาลรัฐบาล ช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย สร้างผู้ส่งออก นักลงทุนให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก เน้นย้ําให้สนับสนุนพัฒนาต่อยอดสินค้าเกษตรไทยให้ส่งออกต่างประเทศมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (15 มีนาคม 2565) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และคณะผู้บริหาร EXIM Bank เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรม “การเดินทางของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย...BCG Journey” สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการมุ่งสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง “หนุนไทยไปต่างแดน” ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ที่มุ่งช่วยเหลือ สนับสนุนการสร้างผู้ส่งออก นักลงทุน ให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก โดยตอบสนองนโยบาลของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการขับเคลื่อนการพัฒนาประทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular Economy) เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง รองรับเศรษฐกิจโลก การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของโลก โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการด้วย นายกรัฐมนตรีชื่นชมการดําเนินงานของธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจของคนไทยในการส่งสินค้าออกไปต่างประเทศและการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งในเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อแหล่งเงินทุน การให้ความรู้และคําปรึกษา ตลอดจนการสนับสนุนกลุ่มคนรุ่นใหม่ Startup และ SMEs ที่มีศักยภาพให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปได้เพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อไป พร้อมเน้นย้ําให้มีการสนับสนุนพัฒนาต่อยอดในเรื่องของสินค้าด้านการเกษตรของไทยให้ส่งออกไปต่างประเทศให้มากขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ความสนใจและชื่นชมผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หัวหอมสําหรับติดหน้ากากอนามัยผลิตจากน้ํามันหัวหอมแดง ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก น้ํามูกไหล ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาเป็นสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาพ และเป็นการออกแบบผลิตโดยคนไทย โดยมี EXIM Bank สนับสนุนการสร้างผู้ส่งออก SMEs ไทย และสร้าง Bio-Circular-Green Economy ของไทยตามนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งออกไปจําหน่ายยังต่างประเทศและจําหน่ายในประเทศไทย พร้อมชื่นชมการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของคนรุ่นใหม่ที่มีความน่าสนใจ ซึ่งจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และนําสินค้าทางการเกษตรมาต่อยอดสร้างรายได้และพัฒนาสินค้าส่งออกสู่ตลาดโลกได้ สําหรับการดําเนินงานของ EXIM Bank สามารถสนับสนุนธุรกิจ BCG ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 194 โครงการ วงเงินให้สินเชื่อกว่า 57,400 ล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ของพอร์ตสินเชื่อรวมธนาคาร ร่วมเป็นกรรมการใน RE100 TCNN ตลอดจนผลักดันตลาดคาร์บอนเครดิต ลดผลกระทบของมาตรการ CBAM ต่อผู้ส่งออกไทย ---------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมการดำเนินงาน EXIM Bank ตอบสนองนโยบาลรัฐบาล ช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย สร้างผู้ส่งออก นักลงทุนให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก เน้นย้ำให้สนับสนุนพัฒนาต่อยอดสินค้าเกษตรไทย วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน EXIM Bank ตอบสนองนโยบาลรัฐบาล ช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย สร้างผู้ส่งออก นักลงทุนให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก เน้นย้ําให้สนับสนุนพัฒนาต่อยอดสินค้าเกษตรไทย นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน EXIM Bank ตอบสนองนโยบาลรัฐบาล ช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย สร้างผู้ส่งออก นักลงทุนให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก เน้นย้ําให้สนับสนุนพัฒนาต่อยอดสินค้าเกษตรไทยให้ส่งออกต่างประเทศมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (15 มีนาคม 2565) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และคณะผู้บริหาร EXIM Bank เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรม “การเดินทางของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย...BCG Journey” สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการมุ่งสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง “หนุนไทยไปต่างแดน” ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ที่มุ่งช่วยเหลือ สนับสนุนการสร้างผู้ส่งออก นักลงทุน ให้มีพื้นที่แข่งขันได้ในเวทีโลก โดยตอบสนองนโยบาลของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการขับเคลื่อนการพัฒนาประทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular Economy) เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง รองรับเศรษฐกิจโลก การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของโลก โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการด้วย นายกรัฐมนตรีชื่นชมการดําเนินงานของธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจของคนไทยในการส่งสินค้าออกไปต่างประเทศและการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งในเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อแหล่งเงินทุน การให้ความรู้และคําปรึกษา ตลอดจนการสนับสนุนกลุ่มคนรุ่นใหม่ Startup และ SMEs ที่มีศักยภาพให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปได้เพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อไป พร้อมเน้นย้ําให้มีการสนับสนุนพัฒนาต่อยอดในเรื่องของสินค้าด้านการเกษตรของไทยให้ส่งออกไปต่างประเทศให้มากขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ความสนใจและชื่นชมผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หัวหอมสําหรับติดหน้ากากอนามัยผลิตจากน้ํามันหัวหอมแดง ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก น้ํามูกไหล ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาเป็นสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาพ และเป็นการออกแบบผลิตโดยคนไทย โดยมี EXIM Bank สนับสนุนการสร้างผู้ส่งออก SMEs ไทย และสร้าง Bio-Circular-Green Economy ของไทยตามนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งออกไปจําหน่ายยังต่างประเทศและจําหน่ายในประเทศไทย พร้อมชื่นชมการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของคนรุ่นใหม่ที่มีความน่าสนใจ ซึ่งจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และนําสินค้าทางการเกษตรมาต่อยอดสร้างรายได้และพัฒนาสินค้าส่งออกสู่ตลาดโลกได้ สําหรับการดําเนินงานของ EXIM Bank สามารถสนับสนุนธุรกิจ BCG ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 194 โครงการ วงเงินให้สินเชื่อกว่า 57,400 ล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ของพอร์ตสินเชื่อรวมธนาคาร ร่วมเป็นกรรมการใน RE100 TCNN ตลอดจนผลักดันตลาดคาร์บอนเครดิต ลดผลกระทบของมาตรการ CBAM ต่อผู้ส่งออกไทย ---------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1/2565 โครงการเปิดขายใหม่เพิ่ม 227.5% ดันดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 9.1%
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1/2565 โครงการเปิดขายใหม่เพิ่ม 227.5% ดันดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 9.1% REIC ได้วางแนวทางการจัดทํา “ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)” โดยใช้ข้อมูลทั้งด้านอุปสงค์และด้านอุปทานในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย ปี 2565 คาดการณ์โดยสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5 ถึง 3.5) ปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนมกราคม 2565 ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสําคัญของไทยชะลอตัว และส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น แม้เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จากปี 2564 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อปี แต่ทุกภาคส่วนจําเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ในส่วนของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ได้วางแนวทางการจัดทํา “ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)” โดยใช้ข้อมูลทั้งด้านอุปสงค์และด้านอุปทานในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ พบว่าดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ -1.6 จากปี 2563 หรือ 77.0 โดย REIC คาดว่าปี 2565 จะมีดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)อยู่ที่ 81.2 จุด จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 9.1 ในกรณีปรับตัวย่อลงเป็น Worst Case จะอยู่ที่ 77.0 จุด ขยายตัวร้อยละ 3.4 หรือ อาจปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดไว้เป็นกรณี Best Case จะอยู่ที่ 85.4 จุด ขยายตัวร้อยละ 14.7 ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 1 ปี 2565 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเผชิญกับทั้งปัจจัยลบที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะผลกระทบจากราคาน้ํามันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อค่าครองชีพ และเพิ่มอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อ หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยพบความเคลื่อนไหวด้านอุปทาน และอุปสงค์ ที่น่าสนใจ ดังนี้ • สถานการณ์อุปทานที่อยู่อาศัยปี ไตรมาส 1 ปี 2565 ด้านอุปทาน REIC พบการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2565 มีจํานวน 6,982 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ –16.1 ซึ่งมีจํานวน 8,323 หน่วย ขณะที่มีจํานวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนจํานวน 17,543 หน่วย ลดลงร้อยละ -27.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีจํานวน 24,070 หน่วย โดยในไตรมาส 1 ปี 2565 มีการจดทะเบียนโครงการบ้านจัดสรรจํานวน 10,011 หน่วย และอาคารชุด 7,532 หน่วย ด้านอุปทานโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ไตรมาส 1 ปี 2565 มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญโดยพบว่ามีจํานวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ รวมทั้งสิ้น 31,477 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 227.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีจํานวน 9,611 หน่วย ประกอบด้วยโครงการอาคารชุดจํานวน 20,536 หน่วย ขึ้นร้อยละ 421.2 และโครงการบ้านจัดสรร 10,941 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 92.9 คิดเป็นมูลค่า 117,384 ล้านบาท ส่วนมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 161.7 เป็นมูลค่าโครงการบ้านจัดสรร 60,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 126.6 และโครงการอาคารชุด 57,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 213.0 อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมพบว่าหน่วยเหลือขายในช่วงไตรมาสแรกปี 2565 เพิ่มขึ้นจากยอดสะสมปี 2564 เล็กน้อย โดย ณ สิ้นปี 2564 มีหน่วยเหลือขายทั้งสิ้น 164,951 หน่วย ต่อมาในไตรมาส 1 ปี 2565 มีหน่วยเหลือขายสะสมทั้งสิ้น 172,244 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.42 มีมูลค่าหน่วยเหลือขายไม่แตกต่างกันนัก โดยปี 2564 มีมูลค่าหน่วยเหลือขาย 798,600 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาสแรก ปี 2565 มีมูลค่าหน่วยเหลือขาย 820,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.77 • คาดการณ์อุปทานที่อยู่อาศัย ปี 2565 “ในปี 2565 คาดการณ์อุปทานการเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 โดยอาคารชุดในสัดส่วนที่สูง เนื่องจาก Stock ที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้น บ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อบ้านมาก แต่ประเภททาวเฮ้าส์จะยังคงมีอุปทานคงเหลือในตลาดมาก อาคารชุดเริ่มฟื้นตัว จากผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและการซื้อเพื่อการลงทุนมากขึ้น โครงการที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นใหม่อาจปรับลดโปรโมชั่นลงบ้างเพื่อรักษาราคาประกาศขายให้อยู่ใกล้เคียงโครงการในปัจจุบัน” แนวโน้มในปี 2565 คาดว่าจะมีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 43,656 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.9 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 24.1 ถึง 51.7 และคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ประมาณ 79,501 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.3 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 38.8 ถึง 69.7 มีมูลค่าที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ประมาณ 413,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 88.6 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 69.8 ถึง 107.5 • สถานการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัย ไตรมาส 1 ปี 2565 ด้านสถานการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัย จากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2564 มีจํานวน 167,464 หน่วย ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจํานวน 38,954 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ร้อยละ -4.8 ประกอบด้วยโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 23,521 หน่วย โครงการอาคารชุด 15,433 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 133,681 ล้านบาท ในจํานวนดังกล่าวเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 91,539 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 42,142 ล้านบาท เป็นที่น่าสังเกตสัดส่วนหน่วย และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองในไตรมาส 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564 และเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกระดับราคา โดยระดับราคาที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดคือ ราคา 2.01-3.00 ล้านบาท รองลงมาคือระดับราคา ≤ 1.00 ล้านบาท และระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท ตามลําดับ “จํานวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ ช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 แต่ละเดือนต่ํากว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการระบาดของไวรัส COVID-19 และสงครามรัสเซียและยูเครน ซึ่งทําให้เกิดภาวะน้ํามันแพงขึ้นและค่าครองชีพสูงขึ้น แต่คาดภาพรวมทั้งปีคาดว่าจะมีการขยายตัวของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 2.0% โดยหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์จะมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2 – 4 โดยเฉพาะไตรมาส 4 จะมีการเร่งตัวของการโอนกรรมสิทธิ์เนื่องจากจะสิ้นสุดมาตการกระตุ้นจากภาครัฐ โดยหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2 – 3 ล้านบาทมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด หรือประมาณร้อยละ 23.4 รองลงมาคือ ไม่เกิน 1 ล้านบาท ประมาณร้อยละ 19.4 และราคา 3 – 5 ล้านบาท ประมาณ18.1 แต่ในภาพรวมที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการโอนกรรมสิทธิ์มากสุดถึงร้อยละ 66.7 ซึ่งเป็นระดับราคาที่สอดคล้องกับกําลังซื้อส่วนใหญ่ และเป็นระดับราคาที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” • คาดการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัย ปี 2565 สําหรับปี 2565 คาดว่าจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประมาณ 170,843 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 2.0 มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 594,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 1.7 “ ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 โดยอาคารชุดมีสัดส่วนที่สูงเนื่องจากมี Stock ที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้น บ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อบ้านมาก สังเกตได้จากในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้หน่วยขายได้ใหม่มีจํานวนประมาณ 30,443 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 137,257 ล้านบาท ขณะที่ทาวเฮ้าส์จะยังคงมีอุปทานคงเหลือในตลาดจํานวนมาก ส่วนอาคารชุดเริ่มฟื้นตัวจากผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัย และการซื้อเพื่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนใน 2 กลุ่มเป็นหลัก คือ กลุ่มไม่เกิน 1.5 ล้าน และ กลุ่ม Luxury บ้านมือสองที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และมีราคาและทําเลที่สอดคล้องกับความสามารถของกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มรายได้น้อย/ปานกลาง คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองจะขยายตัวต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะบ้านราคาต่ํา ซึ่งเป็นโอกาสสําหรับธุรกิจบ้านมือสอง” ดร.วิชัย กล่าวเพิ่มเติม • สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติไตรมาส 1 ปี 2565 และคาดดารณ์ ปี 2565 ด้านอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยของของคนต่างชาติ พบว่าหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในปี 2564 มีจํานวน 8,198 หน่วย มูลค่า 39,610 ล้านบาท สําหรับในไตรมาสแรกปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดให้คนต่างชาติ จํานวน 2,107 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 10,262 ล้านบาท โดยผู้ซื้อสัญชาติจีนมีการโอนกรรสิทธิ์สูงสุดทั้งจํานวนหน่วยและมูลค่า โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์จํานวน 949 หน่วย มูลค่า 4,570 ล้านบาท สําดับ 2 คือรัสเซีย จํานวน 134 หน่วย มูลค่า 435 ล้านบาท ลําดับ 3 สหรัฐอเมริกา จํานวน 114 หน่วย มูลค่า 344 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปี 2565 ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวังประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังคงมีผลในการฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ แม้ว่าความรุนแรงจะลดลง สภาวะการจ้างงานและการมีรายได้ของประชาชนในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการยังคงอยู่ในภาวะการฟื้นตัวช้า ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทําให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวช่วงปีที่ผ่านมา ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทําให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เป็นกําลังซื้ออาคารชุดยังคงเข้ามาในประเทศน้อยจากผลกระทบของ COVID-19 และสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียทําให้ความต้องการซื้ออาคารชุดในภาพรวมฟื้นช้า ดร.วิชัย กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1/2565 โครงการเปิดขายใหม่เพิ่ม 227.5% ดันดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 9.1% วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 1/2565 โครงการเปิดขายใหม่เพิ่ม 227.5% ดันดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 9.1% REIC ได้วางแนวทางการจัดทํา “ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)” โดยใช้ข้อมูลทั้งด้านอุปสงค์และด้านอุปทานในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย ปี 2565 คาดการณ์โดยสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5 ถึง 3.5) ปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนมกราคม 2565 ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสําคัญของไทยชะลอตัว และส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น แม้เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จากปี 2564 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อปี แต่ทุกภาคส่วนจําเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ในส่วนของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ได้วางแนวทางการจัดทํา “ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)” โดยใช้ข้อมูลทั้งด้านอุปสงค์และด้านอุปทานในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ พบว่าดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ -1.6 จากปี 2563 หรือ 77.0 โดย REIC คาดว่าปี 2565 จะมีดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)อยู่ที่ 81.2 จุด จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 9.1 ในกรณีปรับตัวย่อลงเป็น Worst Case จะอยู่ที่ 77.0 จุด ขยายตัวร้อยละ 3.4 หรือ อาจปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดไว้เป็นกรณี Best Case จะอยู่ที่ 85.4 จุด ขยายตัวร้อยละ 14.7 ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 1 ปี 2565 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเผชิญกับทั้งปัจจัยลบที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะผลกระทบจากราคาน้ํามันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อค่าครองชีพ และเพิ่มอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อ หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยพบความเคลื่อนไหวด้านอุปทาน และอุปสงค์ ที่น่าสนใจ ดังนี้ • สถานการณ์อุปทานที่อยู่อาศัยปี ไตรมาส 1 ปี 2565 ด้านอุปทาน REIC พบการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2565 มีจํานวน 6,982 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ –16.1 ซึ่งมีจํานวน 8,323 หน่วย ขณะที่มีจํานวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนจํานวน 17,543 หน่วย ลดลงร้อยละ -27.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีจํานวน 24,070 หน่วย โดยในไตรมาส 1 ปี 2565 มีการจดทะเบียนโครงการบ้านจัดสรรจํานวน 10,011 หน่วย และอาคารชุด 7,532 หน่วย ด้านอุปทานโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ไตรมาส 1 ปี 2565 มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญโดยพบว่ามีจํานวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ รวมทั้งสิ้น 31,477 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 227.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีจํานวน 9,611 หน่วย ประกอบด้วยโครงการอาคารชุดจํานวน 20,536 หน่วย ขึ้นร้อยละ 421.2 และโครงการบ้านจัดสรร 10,941 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 92.9 คิดเป็นมูลค่า 117,384 ล้านบาท ส่วนมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 161.7 เป็นมูลค่าโครงการบ้านจัดสรร 60,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 126.6 และโครงการอาคารชุด 57,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 213.0 อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมพบว่าหน่วยเหลือขายในช่วงไตรมาสแรกปี 2565 เพิ่มขึ้นจากยอดสะสมปี 2564 เล็กน้อย โดย ณ สิ้นปี 2564 มีหน่วยเหลือขายทั้งสิ้น 164,951 หน่วย ต่อมาในไตรมาส 1 ปี 2565 มีหน่วยเหลือขายสะสมทั้งสิ้น 172,244 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.42 มีมูลค่าหน่วยเหลือขายไม่แตกต่างกันนัก โดยปี 2564 มีมูลค่าหน่วยเหลือขาย 798,600 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาสแรก ปี 2565 มีมูลค่าหน่วยเหลือขาย 820,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.77 • คาดการณ์อุปทานที่อยู่อาศัย ปี 2565 “ในปี 2565 คาดการณ์อุปทานการเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 โดยอาคารชุดในสัดส่วนที่สูง เนื่องจาก Stock ที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้น บ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อบ้านมาก แต่ประเภททาวเฮ้าส์จะยังคงมีอุปทานคงเหลือในตลาดมาก อาคารชุดเริ่มฟื้นตัว จากผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและการซื้อเพื่อการลงทุนมากขึ้น โครงการที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นใหม่อาจปรับลดโปรโมชั่นลงบ้างเพื่อรักษาราคาประกาศขายให้อยู่ใกล้เคียงโครงการในปัจจุบัน” แนวโน้มในปี 2565 คาดว่าจะมีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 43,656 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.9 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 24.1 ถึง 51.7 และคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ประมาณ 79,501 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.3 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 38.8 ถึง 69.7 มีมูลค่าที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ประมาณ 413,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 88.6 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 69.8 ถึง 107.5 • สถานการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัย ไตรมาส 1 ปี 2565 ด้านสถานการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัย จากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2564 มีจํานวน 167,464 หน่วย ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจํานวน 38,954 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ร้อยละ -4.8 ประกอบด้วยโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 23,521 หน่วย โครงการอาคารชุด 15,433 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 133,681 ล้านบาท ในจํานวนดังกล่าวเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 91,539 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 42,142 ล้านบาท เป็นที่น่าสังเกตสัดส่วนหน่วย และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองในไตรมาส 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564 และเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกระดับราคา โดยระดับราคาที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดคือ ราคา 2.01-3.00 ล้านบาท รองลงมาคือระดับราคา ≤ 1.00 ล้านบาท และระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท ตามลําดับ “จํานวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ ช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 แต่ละเดือนต่ํากว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการระบาดของไวรัส COVID-19 และสงครามรัสเซียและยูเครน ซึ่งทําให้เกิดภาวะน้ํามันแพงขึ้นและค่าครองชีพสูงขึ้น แต่คาดภาพรวมทั้งปีคาดว่าจะมีการขยายตัวของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 2.0% โดยหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์จะมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2 – 4 โดยเฉพาะไตรมาส 4 จะมีการเร่งตัวของการโอนกรรมสิทธิ์เนื่องจากจะสิ้นสุดมาตการกระตุ้นจากภาครัฐ โดยหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2 – 3 ล้านบาทมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด หรือประมาณร้อยละ 23.4 รองลงมาคือ ไม่เกิน 1 ล้านบาท ประมาณร้อยละ 19.4 และราคา 3 – 5 ล้านบาท ประมาณ18.1 แต่ในภาพรวมที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการโอนกรรมสิทธิ์มากสุดถึงร้อยละ 66.7 ซึ่งเป็นระดับราคาที่สอดคล้องกับกําลังซื้อส่วนใหญ่ และเป็นระดับราคาที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” • คาดการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัย ปี 2565 สําหรับปี 2565 คาดว่าจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประมาณ 170,843 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 2.0 มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 594,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 1.7 “ ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 โดยอาคารชุดมีสัดส่วนที่สูงเนื่องจากมี Stock ที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้น บ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อบ้านมาก สังเกตได้จากในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้หน่วยขายได้ใหม่มีจํานวนประมาณ 30,443 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 137,257 ล้านบาท ขณะที่ทาวเฮ้าส์จะยังคงมีอุปทานคงเหลือในตลาดจํานวนมาก ส่วนอาคารชุดเริ่มฟื้นตัวจากผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัย และการซื้อเพื่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนใน 2 กลุ่มเป็นหลัก คือ กลุ่มไม่เกิน 1.5 ล้าน และ กลุ่ม Luxury บ้านมือสองที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และมีราคาและทําเลที่สอดคล้องกับความสามารถของกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มรายได้น้อย/ปานกลาง คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองจะขยายตัวต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะบ้านราคาต่ํา ซึ่งเป็นโอกาสสําหรับธุรกิจบ้านมือสอง” ดร.วิชัย กล่าวเพิ่มเติม • สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติไตรมาส 1 ปี 2565 และคาดดารณ์ ปี 2565 ด้านอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยของของคนต่างชาติ พบว่าหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในปี 2564 มีจํานวน 8,198 หน่วย มูลค่า 39,610 ล้านบาท สําหรับในไตรมาสแรกปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดให้คนต่างชาติ จํานวน 2,107 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 10,262 ล้านบาท โดยผู้ซื้อสัญชาติจีนมีการโอนกรรสิทธิ์สูงสุดทั้งจํานวนหน่วยและมูลค่า โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์จํานวน 949 หน่วย มูลค่า 4,570 ล้านบาท สําดับ 2 คือรัสเซีย จํานวน 134 หน่วย มูลค่า 435 ล้านบาท ลําดับ 3 สหรัฐอเมริกา จํานวน 114 หน่วย มูลค่า 344 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปี 2565 ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวังประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังคงมีผลในการฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ แม้ว่าความรุนแรงจะลดลง สภาวะการจ้างงานและการมีรายได้ของประชาชนในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการยังคงอยู่ในภาวะการฟื้นตัวช้า ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทําให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวช่วงปีที่ผ่านมา ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทําให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เป็นกําลังซื้ออาคารชุดยังคงเข้ามาในประเทศน้อยจากผลกระทบของ COVID-19 และสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียทําให้ความต้องการซื้ออาคารชุดในภาพรวมฟื้นช้า ดร.วิชัย กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54698
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.-จุฬาฯดึงคนรุ่นใหม่พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ เปิดตัว 30 ทีมผ่านรอบแรกประกวด“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม”
วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 วธ.-จุฬาฯดึงคนรุ่นใหม่พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ เปิดตัว 30 ทีมผ่านรอบแรกประกวด“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” วธ.-จุฬาฯดึงคนรุ่นใหม่พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ เปิดตัว 30 ทีมผ่านรอบแรกประกวด“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” วธ.-จุฬาฯดึงคนรุ่นใหม่พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ เปิดตัว 30 ทีมผ่านรอบแรกประกวด“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” ร่วมอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอดวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น เพื่อพัฒนาพื้นที่ สร้างงาน-รายได้สู่ชุมชนส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก วันที่ 16 มีนาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการประกวดนโยบายทางเลือกและแนวคิดริเริ่มการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม (Sustainable and Cultural Community)” และจัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” พร้อมเปิดตัวทีมผู้แข่งขันที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบแรก 30 ทีม โดยมีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา นายโกวิท ผกามาศ ผู้อํานวยการสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดีด้านการวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์นวัตกรรมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายตรีเทพ ไทยคุรุพันธ์ กรรมการผู้อํานวยการสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)และโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรมและผ่านทางระบบออนไลน์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนบนรากฐานการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ให้ความสําคัญกับการพัฒนาพื้นที่ชนบทอย่างบูรณาการ ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ รวมถึงมิติด้านวัฒนธรรม ซึ่งการดําเนินงานต่างๆ เหล่านี้ สอดคล้องกับนโยบายของวธ.ในการสืบสาน รักษาและต่อยอดโดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมในการสนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบนิเวศ เพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ภายใต้การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่ การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการส่งเสริมภาพลักษณ์และการรับรู้ถึงสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมไทย รวมถึงการส่งเสริมการส่งออกสู่ต่างประเทศ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจําเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในพื้นที่ที่เป็นผู้เข้าใจในวิถีความเป็นอยู่ รวมทั้งอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นของตนเองได้ดีที่สุด ดังนั้น โครงการประกวดนโยบายทางเลือกและแนวคิดริเริ่มการพัฒนาชุมชนยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” จึงสนับสนุนและเปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนําเสนอแนวคิดการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน โดยยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนเอง เพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม อันเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วธ.ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สถานีวิทยุแห่งจุฬาฯ จัดโครงการประกวดนโยบายทางเลือกและแนวคิดริเริ่มการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม”ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2565 เพื่อเปิดโอกาสให้แก่นักเรียน นิสิตและนักศึกษา ได้มีส่วนร่วมเสนอแนวคิดการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนและยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งโครงการฯเปิดรับสมัครนักเรียน นิสิตและนักศึกษาอายุไม่เกิน 25 ปี เข้าร่วมกิจกรรม ทีมละไม่เกิน 3 คน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2565 มีผู้สมัครกว่า 190 ทีม และมีทีมผ่านการคัดเลือกรอบแรก 30 ทีม เพื่อเข้าร่วมทํากิจกรรมโครงการฯและนําเสนอนโยบายทางเลือกและแนวคิดริเริ่ม การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการฯมีกิจกรรม อาทิ การเสวนาทางวิชาการ การบรรยายพิเศษหัวข้อต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมไทย การสร้างแบรนด์ กิจกรรมการออกแบบแนวคิดริเริ่มและนวัตกรรมด้านชุมชนยั่งยืน ทั้งนี้ จะมีพิธีปิดและมอบรางวัลในเดือนกรกฎาคม 2565 ประกอบด้วยเกียรติบัตรและเงินรางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศได้รับ 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้รับ 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้รับ 10,000 บาท และรางวัลชมเชย 2 รางวัล ได้รับรางวัลละ 5,000 บาท โดยผู้สนใจติดตามกิจกรรมโครงการฯได้ที่เฟซบุ๊กกระทรวงวัฒนธรรม เฟซบุ๊ก“เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องของเรา” เฟซบุ๊กคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และ [email protected]
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.-จุฬาฯดึงคนรุ่นใหม่พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ เปิดตัว 30 ทีมผ่านรอบแรกประกวด“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 วธ.-จุฬาฯดึงคนรุ่นใหม่พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ เปิดตัว 30 ทีมผ่านรอบแรกประกวด“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” วธ.-จุฬาฯดึงคนรุ่นใหม่พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ เปิดตัว 30 ทีมผ่านรอบแรกประกวด“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” วธ.-จุฬาฯดึงคนรุ่นใหม่พัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เผยแพร่ความรู้ผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ เปิดตัว 30 ทีมผ่านรอบแรกประกวด“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” ร่วมอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอดวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น เพื่อพัฒนาพื้นที่ สร้างงาน-รายได้สู่ชุมชนส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก วันที่ 16 มีนาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการประกวดนโยบายทางเลือกและแนวคิดริเริ่มการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม (Sustainable and Cultural Community)” และจัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” พร้อมเปิดตัวทีมผู้แข่งขันที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบแรก 30 ทีม โดยมีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา นายโกวิท ผกามาศ ผู้อํานวยการสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดีด้านการวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์นวัตกรรมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายตรีเทพ ไทยคุรุพันธ์ กรรมการผู้อํานวยการสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)และโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรมและผ่านทางระบบออนไลน์ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนบนรากฐานการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ให้ความสําคัญกับการพัฒนาพื้นที่ชนบทอย่างบูรณาการ ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ รวมถึงมิติด้านวัฒนธรรม ซึ่งการดําเนินงานต่างๆ เหล่านี้ สอดคล้องกับนโยบายของวธ.ในการสืบสาน รักษาและต่อยอดโดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมในการสนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบนิเวศ เพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ภายใต้การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่ การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการส่งเสริมภาพลักษณ์และการรับรู้ถึงสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมไทย รวมถึงการส่งเสริมการส่งออกสู่ต่างประเทศ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจําเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในพื้นที่ที่เป็นผู้เข้าใจในวิถีความเป็นอยู่ รวมทั้งอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นของตนเองได้ดีที่สุด ดังนั้น โครงการประกวดนโยบายทางเลือกและแนวคิดริเริ่มการพัฒนาชุมชนยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม” จึงสนับสนุนและเปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนําเสนอแนวคิดการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน โดยยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนเอง เพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม อันเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า วธ.ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สถานีวิทยุแห่งจุฬาฯ จัดโครงการประกวดนโยบายทางเลือกและแนวคิดริเริ่มการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ“ชุมชนยั่งยืนหวนคืนวัฒนธรรม”ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2565 เพื่อเปิดโอกาสให้แก่นักเรียน นิสิตและนักศึกษา ได้มีส่วนร่วมเสนอแนวคิดการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนและยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งโครงการฯเปิดรับสมัครนักเรียน นิสิตและนักศึกษาอายุไม่เกิน 25 ปี เข้าร่วมกิจกรรม ทีมละไม่เกิน 3 คน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2565 มีผู้สมัครกว่า 190 ทีม และมีทีมผ่านการคัดเลือกรอบแรก 30 ทีม เพื่อเข้าร่วมทํากิจกรรมโครงการฯและนําเสนอนโยบายทางเลือกและแนวคิดริเริ่ม การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการฯมีกิจกรรม อาทิ การเสวนาทางวิชาการ การบรรยายพิเศษหัวข้อต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมไทย การสร้างแบรนด์ กิจกรรมการออกแบบแนวคิดริเริ่มและนวัตกรรมด้านชุมชนยั่งยืน ทั้งนี้ จะมีพิธีปิดและมอบรางวัลในเดือนกรกฎาคม 2565 ประกอบด้วยเกียรติบัตรและเงินรางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศได้รับ 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้รับ 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้รับ 10,000 บาท และรางวัลชมเชย 2 รางวัล ได้รับรางวัลละ 5,000 บาท โดยผู้สนใจติดตามกิจกรรมโครงการฯได้ที่เฟซบุ๊กกระทรวงวัฒนธรรม เฟซบุ๊ก“เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องของเรา” เฟซบุ๊กคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และ [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52632
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ปลื้มคนไทยเที่ยวไทย “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” เดือนเดียวเงินสะพัดกว่า 5,000 ล้านบาท
วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 ​โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ปลื้มคนไทยเที่ยวไทย “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” เดือนเดียวเงินสะพัดกว่า 5,000 ล้านบาท ​โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ปลื้มคนไทยเที่ยวไทย “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” เดือนเดียวเงินสะพัดกว่า 5,000 ล้านบาท เล็งเปิดพื้นที่นําร่องท่องเที่ยวจังหวัดสีฟ้า เฟส 2-3 เพิ่มเติมปลายปีนี้-ต้นเดือนหน้า รวม 45 จังหวัด วันนี้ 23 พ.ย. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลื้มผลตอบรับหลังมาตรการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ในพื้นที่ 17 จังหวัดสีฟ้า หรือ พื้นที่นําร่องท่องเที่ยว ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวชาวไทย ตั้งแต่มีการเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เดือนตุลาคม มีประชาชนมั่นใจออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศ ผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” ทําให้มีเม็ดเงินภายในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา เข้าสู่ระบบภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการแล้วกว่า 5,186.1 ล้านบาท ยอดรวมการลงทะเบียน 909,937 คน ยอดการใช้สิทธิ์จองโรงแรมที่พัก 4,113 แห่ง คิดเป็น 1,296,872 ห้อง โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายโรงแรม/ที่พัก รวม 4,753.9 ล้านบาท และยอดการใช้จ่ายคูปองส่วนลดในร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ร้านสปา/นวด และอื่น ๆ รวม 435.6 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พ.ย. 64) รวมทั้งในช่วงเทศกาลลอยกระทง อัตราการเข้าพักในช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ในหลายพื้นที่ขยับเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 โดยเฉพาะในบางจังหวัดใกล้กรุงเทพมหานคร มีอัตราการเข้าพักในช่วงวันหยุดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 – 90 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า มีการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีจํานวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 – 21 พ.ย. 64 จํานวน 85,608 คน โดยเดินทางมาจากประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร รัสเซีย และฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน มีจํานวนผู้ยื่นขอลงทะเบียน Thailand Pass สะสมแล้วจํานวน 239,115 คน และได้รับการอนุมัติแล้ว 186,836 คน ขณะที่ ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยต่ํากว่า 7,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการควบคุมโรคควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวแก่ชาวต่างชาติได้ นายธนกร กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค. ยังเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศเพิ่มเติมในจังหวัดที่พร้อม ตามแผนการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย (Safety Entry) โดยกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมาได้มีการประชุมปฏิบัติการร่วมกับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แรงงานจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบจ. และผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อหารือถึงเปอร์เซ็นต์การฉีดวัคซีนในพื้นที่ ความพร้อมในการเปิดจังหวัด ตามแผนเร่งรัดในการรองรับการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย (Smart Entry) ซึ่งในเฟส 1 (1 – 30 พ.ย. 64) ประสบความสําเร็จในการเปิดพื้นที่นําร่องเที่ยว 17 แล้ว ต่อไปในเฟส 2 ช่วงเวลา 1 – 31 ธ.ค. 64 เตรียมแผนขยายพื้นที่นําร่องเที่ยวเพิ่มเติมอีก 16 จังหวัด รวมเป็น 33 จังหวัด และปีหน้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ยังเตรียมเปิดเพิ่มอีก 12 จังหวัด รวมเป็น 45 จังหวัด ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามความพร้อมจังหวัดและความสมัครใจของประชาชนในพื้นที่เป็นสําคัญ /////
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ปลื้มคนไทยเที่ยวไทย “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” เดือนเดียวเงินสะพัดกว่า 5,000 ล้านบาท วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2564 ​โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ปลื้มคนไทยเที่ยวไทย “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” เดือนเดียวเงินสะพัดกว่า 5,000 ล้านบาท ​โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ปลื้มคนไทยเที่ยวไทย “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” เดือนเดียวเงินสะพัดกว่า 5,000 ล้านบาท เล็งเปิดพื้นที่นําร่องท่องเที่ยวจังหวัดสีฟ้า เฟส 2-3 เพิ่มเติมปลายปีนี้-ต้นเดือนหน้า รวม 45 จังหวัด วันนี้ 23 พ.ย. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลื้มผลตอบรับหลังมาตรการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ในพื้นที่ 17 จังหวัดสีฟ้า หรือ พื้นที่นําร่องท่องเที่ยว ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวชาวไทย ตั้งแต่มีการเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เดือนตุลาคม มีประชาชนมั่นใจออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศ ผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” ทําให้มีเม็ดเงินภายในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา เข้าสู่ระบบภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการแล้วกว่า 5,186.1 ล้านบาท ยอดรวมการลงทะเบียน 909,937 คน ยอดการใช้สิทธิ์จองโรงแรมที่พัก 4,113 แห่ง คิดเป็น 1,296,872 ห้อง โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายโรงแรม/ที่พัก รวม 4,753.9 ล้านบาท และยอดการใช้จ่ายคูปองส่วนลดในร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ร้านสปา/นวด และอื่น ๆ รวม 435.6 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พ.ย. 64) รวมทั้งในช่วงเทศกาลลอยกระทง อัตราการเข้าพักในช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ในหลายพื้นที่ขยับเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 โดยเฉพาะในบางจังหวัดใกล้กรุงเทพมหานคร มีอัตราการเข้าพักในช่วงวันหยุดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 – 90 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า มีการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีจํานวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 – 21 พ.ย. 64 จํานวน 85,608 คน โดยเดินทางมาจากประเทศ 5 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร รัสเซีย และฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน มีจํานวนผู้ยื่นขอลงทะเบียน Thailand Pass สะสมแล้วจํานวน 239,115 คน และได้รับการอนุมัติแล้ว 186,836 คน ขณะที่ ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยต่ํากว่า 7,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการควบคุมโรคควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวแก่ชาวต่างชาติได้ นายธนกร กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค. ยังเตรียมความพร้อมการเปิดประเทศเพิ่มเติมในจังหวัดที่พร้อม ตามแผนการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย (Safety Entry) โดยกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมาได้มีการประชุมปฏิบัติการร่วมกับจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แรงงานจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบจ. และผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อหารือถึงเปอร์เซ็นต์การฉีดวัคซีนในพื้นที่ ความพร้อมในการเปิดจังหวัด ตามแผนเร่งรัดในการรองรับการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย (Smart Entry) ซึ่งในเฟส 1 (1 – 30 พ.ย. 64) ประสบความสําเร็จในการเปิดพื้นที่นําร่องเที่ยว 17 แล้ว ต่อไปในเฟส 2 ช่วงเวลา 1 – 31 ธ.ค. 64 เตรียมแผนขยายพื้นที่นําร่องเที่ยวเพิ่มเติมอีก 16 จังหวัด รวมเป็น 33 จังหวัด และปีหน้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ยังเตรียมเปิดเพิ่มอีก 12 จังหวัด รวมเป็น 45 จังหวัด ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามความพร้อมจังหวัดและความสมัครใจของประชาชนในพื้นที่เป็นสําคัญ /////
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves COVID-19 vaccine procurement plan for 2022
วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 Cabinet approves COVID-19 vaccine procurement plan for 2022 Cabinet approves COVID-19 vaccine procurement plan for 2022 September 28, 2021, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that the cabinet has made approval for Ministry of Public Health’s Department of Disease Control to proceed with the procurement of COVID-19 vaccines from AstraZeneca to be used in 2022, and approved the signing of contract between the Department of Disease Control and AstraZeneca, with the Department’s Director-General as signatory. According to the Government Spokesperson, with the ongoing COVID-19 situation, it is the nation’s important agenda to tackle the disease spread. Acquisition of additional COVID-19 vaccines for 2022 is, therefore, necessary. Under the plan, approx. 60 million doses of AstraZeneca vaccines will be purchased and sent to Thailand by lots. The first lot (15 million doses) will be sent in the first quarter of 2022, the second (30 million doses) in the second quarter, and the last lot (15 million doses) in the third quarter of 2022.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves COVID-19 vaccine procurement plan for 2022 วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 Cabinet approves COVID-19 vaccine procurement plan for 2022 Cabinet approves COVID-19 vaccine procurement plan for 2022 September 28, 2021, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that the cabinet has made approval for Ministry of Public Health’s Department of Disease Control to proceed with the procurement of COVID-19 vaccines from AstraZeneca to be used in 2022, and approved the signing of contract between the Department of Disease Control and AstraZeneca, with the Department’s Director-General as signatory. According to the Government Spokesperson, with the ongoing COVID-19 situation, it is the nation’s important agenda to tackle the disease spread. Acquisition of additional COVID-19 vaccines for 2022 is, therefore, necessary. Under the plan, approx. 60 million doses of AstraZeneca vaccines will be purchased and sent to Thailand by lots. The first lot (15 million doses) will be sent in the first quarter of 2022, the second (30 million doses) in the second quarter, and the last lot (15 million doses) in the third quarter of 2022.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46345
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม 2564
วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม 2564 คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม 2564 คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม 2564 --------------------------------- พี่น้องชาวไทยที่รัก วันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศที่เป็นศูนย์รวมความร่วมมือ ของประชาคมโลก เพื่อที่จะบรรเทาทุกข์และรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ของโลก จรรโลงสันติภาพ ปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลและมีคนเป็นศูนย์กลาง เพื่อจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในเดือนธันวาคม 2564 นี้ เป็นวาระครบรอบ 75 ปี ของการเป็นสมาชิกสหประชาชาติของประเทศไทย ซึ่งผมมีความยินดีที่ประเทศไทยกับสหประชาชาติมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด โดยประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นหุ้นส่วนด้านการพัฒนาที่มีความรับผิดชอบและเชื่อถือได้ของสหประชาชาติ โดยปัจจุบันทําหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผมยินดีและภูมิใจที่ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางของสหประชาชาติในภูมิภาคของเรา โดยเป็นที่ตั้งของหน่วยงานของสหประชาชาติกว่า 40 หน่วยงาน ผมขอเชิญชวนให้พวกเราเป็นเจ้าบ้านที่ดี และสนับสนุนการดําเนินงานของสหประชาชาติในประเทศไทยและในภูมิภาคต่อไป ในปีนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ โดยในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคโควิด-19 ได้ดีขึ้นแต่ภัยคุกคามต่าง ๆ ยังคงส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์และการก่อการร้าย การลิดรอนสิทธิมนุษยชน ซึ่งนําไปสู่การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติและวิกฤตด้านมนุษยธรรม ผมเชื่อว่า ความหวังที่จะมีโลกในวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงและความมุ่งมั่นของทุกประเทศในวันนี้ที่ต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับความท้าทายหลากหลายมิติ รวมทั้งร่วมกันสร้างสภาวะแวดล้อมแห่งสันติภาพ ผ่านกรอบพหุภาคีที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการส่งเสริมสิทธิและบทบาทของเยาวชนและสตรี พี่น้องชาวไทยที่รัก ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา คณะผู้แทนไทยเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 76 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อตอกย้ําบทบาทที่ “แข็งขัน สร้างสรรค์ และต่อเนื่อง”ของประเทศไทย และกระชับความสัมพันธ์กับบุคคลสําคัญในกรอบสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ชื่นชมว่าประเทศไทยมีบทบาทสําคัญต่อภารกิจของสหประชาชาติและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งในระดับทวิภาคี พหุภาคี นอกจากนี้ ผมก็ได้มีโอกาสนําเสนอการสร้าง “ความสมดุลของสรรพสิ่ง” โดยมีเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ โมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อจะต่อยอดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ในโอกาสเดียวกัน ประเทศไทยแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับมิตรประเทศ โดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข โดยเน้นให้วัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ ส่งเสริมความร่วมมือด้าน การวิจัยและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนและเวชภัณฑ์ที่สําคัญของภูมิภาค สุดท้ายนี้ ผมขอเรียนว่า สหประชาชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัวและรัฐบาลไทยพร้อมเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเยาวชน ได้ร่วมกันเป็นกําลังสําคัญในการสนับสนุนภารกิจของสหประชาชาติในการสร้างคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ และการฟื้นฟูประเทศไทยและโลกอย่างสมดุลและยั่งยืนภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป ขอบคุณครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม 2564 วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม 2564 คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม 2564 คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม 2564 --------------------------------- พี่น้องชาวไทยที่รัก วันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศที่เป็นศูนย์รวมความร่วมมือ ของประชาคมโลก เพื่อที่จะบรรเทาทุกข์และรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ของโลก จรรโลงสันติภาพ ปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลและมีคนเป็นศูนย์กลาง เพื่อจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในเดือนธันวาคม 2564 นี้ เป็นวาระครบรอบ 75 ปี ของการเป็นสมาชิกสหประชาชาติของประเทศไทย ซึ่งผมมีความยินดีที่ประเทศไทยกับสหประชาชาติมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด โดยประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นหุ้นส่วนด้านการพัฒนาที่มีความรับผิดชอบและเชื่อถือได้ของสหประชาชาติ โดยปัจจุบันทําหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผมยินดีและภูมิใจที่ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางของสหประชาชาติในภูมิภาคของเรา โดยเป็นที่ตั้งของหน่วยงานของสหประชาชาติกว่า 40 หน่วยงาน ผมขอเชิญชวนให้พวกเราเป็นเจ้าบ้านที่ดี และสนับสนุนการดําเนินงานของสหประชาชาติในประเทศไทยและในภูมิภาคต่อไป ในปีนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ โดยในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคโควิด-19 ได้ดีขึ้นแต่ภัยคุกคามต่าง ๆ ยังคงส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์และการก่อการร้าย การลิดรอนสิทธิมนุษยชน ซึ่งนําไปสู่การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติและวิกฤตด้านมนุษยธรรม ผมเชื่อว่า ความหวังที่จะมีโลกในวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงและความมุ่งมั่นของทุกประเทศในวันนี้ที่ต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับความท้าทายหลากหลายมิติ รวมทั้งร่วมกันสร้างสภาวะแวดล้อมแห่งสันติภาพ ผ่านกรอบพหุภาคีที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการส่งเสริมสิทธิและบทบาทของเยาวชนและสตรี พี่น้องชาวไทยที่รัก ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา คณะผู้แทนไทยเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 76 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อตอกย้ําบทบาทที่ “แข็งขัน สร้างสรรค์ และต่อเนื่อง”ของประเทศไทย และกระชับความสัมพันธ์กับบุคคลสําคัญในกรอบสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ชื่นชมว่าประเทศไทยมีบทบาทสําคัญต่อภารกิจของสหประชาชาติและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งในระดับทวิภาคี พหุภาคี นอกจากนี้ ผมก็ได้มีโอกาสนําเสนอการสร้าง “ความสมดุลของสรรพสิ่ง” โดยมีเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ โมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อจะต่อยอดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ในโอกาสเดียวกัน ประเทศไทยแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับมิตรประเทศ โดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข โดยเน้นให้วัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ ส่งเสริมความร่วมมือด้าน การวิจัยและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนและเวชภัณฑ์ที่สําคัญของภูมิภาค สุดท้ายนี้ ผมขอเรียนว่า สหประชาชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัวและรัฐบาลไทยพร้อมเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเยาวชน ได้ร่วมกันเป็นกําลังสําคัญในการสนับสนุนภารกิจของสหประชาชาติในการสร้างคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ และการฟื้นฟูประเทศไทยและโลกอย่างสมดุลและยั่งยืนภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การชำระคืนเงินต้นของหนี้สาธารณะมีการกำหนดกรอบการชำระในแต่ละปีอย่างไร
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564 การชําระคืนเงินต้นของหนี้สาธารณะมีการกําหนดกรอบการชําระในแต่ละปีอย่างไร กระทู้ถามของวุฒิสภา เรื่อง การบริหารจัดการหนี้สาธารณะ ถาม การชําระคืนเงินต้นของหนี้สาธารณะมีการกําหนดกรอบการชําระในแต่ละปีอย่างไร ตอบ เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ปีงบประมาณ ข้อกําหนด การชําระคืนเงินต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การชำระคืนเงินต้นของหนี้สาธารณะมีการกำหนดกรอบการชำระในแต่ละปีอย่างไร วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564 การชําระคืนเงินต้นของหนี้สาธารณะมีการกําหนดกรอบการชําระในแต่ละปีอย่างไร กระทู้ถามของวุฒิสภา เรื่อง การบริหารจัดการหนี้สาธารณะ ถาม การชําระคืนเงินต้นของหนี้สาธารณะมีการกําหนดกรอบการชําระในแต่ละปีอย่างไร ตอบ เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ปีงบประมาณ ข้อกําหนด การชําระคืนเงินต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถกคณะกรรมการคุมประพฤติ เตรียมพร้อมรับกฎหมาย JSOC เผยตั้งศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชนนำร่องแล้ว 12 แห่ง
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถกคณะกรรมการคุมประพฤติ เตรียมพร้อมรับกฎหมาย JSOC เผยตั้งศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชนนําร่องแล้ว 12 แห่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถกคณะกรรมการคุมประพฤติ เตรียมพร้อมรับกฎหมาย JSOC เผยตั้งศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชนนําร่องแล้ว 12 แห่ง เล็ง เดือน ส.ค. เปิดให้ครบทุกจังหวัด ฝากคณะกรรมการเสนอแนะมาตรการที่เป็นประโยชน์ เมื่อเวลา 13.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม มีการประชุมคณะกรรมการคุมประพฤติ โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายโฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฟฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ นางธารินี แสงสว่าง รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ นายณัฐกร จําปาทอง ผู้อํานวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ และกรรมการร่วมการประชุม นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการกระทําผิดซ้ําในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง หรือร่างกฎหมาย JSOC ขณะนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภา ถือว่ากฎหมายมีชีวิตแล้ว ไม่มีปัญหา อีกไม่นานได้ใช้แน่นอน ดังนั้นเราต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ เช่น โครงการนําอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติตตามตัว (กําไลEM) มาใช้ โดยที่ผ่านมา กรมคุมประพฤติ ได้นํา กําไล EM มาใช้พร้อมเปิดศูนย์ควบคุม EMCC ขึ้น โดยขณะนี้มีผู้ที่รับการติดกําไล EM ไปแล้ว 87,712 คน ซึ่งจากผลสํารวจประชาชน ร้อยละ 89 เห็นด้วยกับการนํากําไล EM มาใช้เพื่อป้องกันผิดซ้ํา และทําให้ผู้ใส่มีพฤติกรรมที่ดีขึ้น ซึ่งการใช้ที่ผ่านมาสามารถลดความแออัดในเรือนจํา ลดการกระทําผิดซ้ํา ประหยัดงบประมาณในการดูแลผู้ต้องขัง ผู้กระทําผิดได้รับโอกาสสู่สังคม และจะนําไปใช้กับ โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ อีกด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนได้รับการรายงานจากกรมคุมประพฤติ ว่ามีนโยบายจัดตั้งศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสนับสนุนภารกิจในการคุมความประพฤติในพื้นที่ เช่น การรับรายงานตัว เน้นการทํางานร่วมกับชุมชน อาสาสมัครคุมประพฤติและหน่วยงานภาคี เพื่อติตตามผู้ถูกคุมประพฤติและรองรับกฎหมาย JSOC ในพื้นที่ ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 12 แห่งเป็นต้นแบบ อาทิ กรุงเทพฯ อยุธยา ระยอง อุดรธานี สงขลา และภายในเดือน สิงหาคมจะเปิดให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งตรงส่วนนี้ตนอยากให้อาสาสมัครคุมประพฤติช่วยประชาสัมพันธ์งานต่างๆ ของกระทรวงยุติธรรมอีกแรงหนึ่งด้วย นอกจากนี้ตนอยากฝากคณะกรรมการทุกท่านไปดู เรื่องมาตรการต่างๆ ของแนวทางพัฒนาการดําเนินงานด้านพฤตินิสัยผู้กระทําผิด หรือมาตรการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ หากมีอะไรที่ทําเพิ่มเติมได้ก็ขอให้เสนอแนะเข้ามา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถกคณะกรรมการคุมประพฤติ เตรียมพร้อมรับกฎหมาย JSOC เผยตั้งศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชนนำร่องแล้ว 12 แห่ง วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถกคณะกรรมการคุมประพฤติ เตรียมพร้อมรับกฎหมาย JSOC เผยตั้งศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชนนําร่องแล้ว 12 แห่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถกคณะกรรมการคุมประพฤติ เตรียมพร้อมรับกฎหมาย JSOC เผยตั้งศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชนนําร่องแล้ว 12 แห่ง เล็ง เดือน ส.ค. เปิดให้ครบทุกจังหวัด ฝากคณะกรรมการเสนอแนะมาตรการที่เป็นประโยชน์ เมื่อเวลา 13.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม มีการประชุมคณะกรรมการคุมประพฤติ โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายโฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฟฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ นางธารินี แสงสว่าง รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ นายณัฐกร จําปาทอง ผู้อํานวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ และกรรมการร่วมการประชุม นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการกระทําผิดซ้ําในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง หรือร่างกฎหมาย JSOC ขณะนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภา ถือว่ากฎหมายมีชีวิตแล้ว ไม่มีปัญหา อีกไม่นานได้ใช้แน่นอน ดังนั้นเราต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ เช่น โครงการนําอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติตตามตัว (กําไลEM) มาใช้ โดยที่ผ่านมา กรมคุมประพฤติ ได้นํา กําไล EM มาใช้พร้อมเปิดศูนย์ควบคุม EMCC ขึ้น โดยขณะนี้มีผู้ที่รับการติดกําไล EM ไปแล้ว 87,712 คน ซึ่งจากผลสํารวจประชาชน ร้อยละ 89 เห็นด้วยกับการนํากําไล EM มาใช้เพื่อป้องกันผิดซ้ํา และทําให้ผู้ใส่มีพฤติกรรมที่ดีขึ้น ซึ่งการใช้ที่ผ่านมาสามารถลดความแออัดในเรือนจํา ลดการกระทําผิดซ้ํา ประหยัดงบประมาณในการดูแลผู้ต้องขัง ผู้กระทําผิดได้รับโอกาสสู่สังคม และจะนําไปใช้กับ โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ อีกด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนได้รับการรายงานจากกรมคุมประพฤติ ว่ามีนโยบายจัดตั้งศูนย์คุมประพฤติภาคประชาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสนับสนุนภารกิจในการคุมความประพฤติในพื้นที่ เช่น การรับรายงานตัว เน้นการทํางานร่วมกับชุมชน อาสาสมัครคุมประพฤติและหน่วยงานภาคี เพื่อติตตามผู้ถูกคุมประพฤติและรองรับกฎหมาย JSOC ในพื้นที่ ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 12 แห่งเป็นต้นแบบ อาทิ กรุงเทพฯ อยุธยา ระยอง อุดรธานี สงขลา และภายในเดือน สิงหาคมจะเปิดให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งตรงส่วนนี้ตนอยากให้อาสาสมัครคุมประพฤติช่วยประชาสัมพันธ์งานต่างๆ ของกระทรวงยุติธรรมอีกแรงหนึ่งด้วย นอกจากนี้ตนอยากฝากคณะกรรมการทุกท่านไปดู เรื่องมาตรการต่างๆ ของแนวทางพัฒนาการดําเนินงานด้านพฤตินิสัยผู้กระทําผิด หรือมาตรการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ หากมีอะไรที่ทําเพิ่มเติมได้ก็ขอให้เสนอแนะเข้ามา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52779
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME เตรียมเฮ! กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ เสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 2,000 ลบ. ดีเดย์เปิดรับคำขอ 17 มกราคมนี้
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565 SME เตรียมเฮ! กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ เสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา วงเงิน 2,000 ลบ. ดีเดย์เปิดรับคําขอ 17 มกราคมนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม อัดงบประมาณสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ 2,000 ล้านบาท จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 3 โครงการ อุ้มเอสเอ็มอีและลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา SME เตรียมเฮ! กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ เสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา วงเงิน 2,000 ลบ. ดีเดย์เปิดรับคําขอ 17 มกราคมนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม อัดงบประมาณสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ 2,000 ล้านบาท จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 3 โครงการ อุ้มเอสเอ็มอีและลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID -19) คาดช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มากกว่า 500 ราย เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท ช่วยรักษาการจ้างงานกว่า 3,000 ราย พร้อมเปิดรับคําขอ 17 มกราคม 2565 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการดําเนินธุรกิจของเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจ และบรรเทาผลกระทบจากภาระการชําระหนี้ของลูกหนี้ให้มีสภาพคล่อง และสามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ในช่วงภาวะวิกฤติ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เล็งเห็นถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้ออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 3 โครงการ เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีและลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ โดยจะสามารถเปิดรับคําขอได้วันที่ 17 มกราคมนี้ คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มากกว่า 500 ราย รักษาการจ้างงานได้กว่า 3,000 ราย ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กล่าวเสริมว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นนิติบุคคลและเป็นลูกหนี้ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้แก่ 1. สินเชื่อเพิ่มศักยภาพ SME สําหรับผู้ผลิตให้บริการค้าปลีกหรือค้าส่งในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG (Bio Circular Green) ใน 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรอุตสาหกรรม/กลุ่มอาหารแปรรูปที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ กลุ่มผู้ผลิต/ผู้ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 18 เดือน ดอกเบี้ย 2% ต่อปีตลอดอายุสัญญา 2.สินเชื่อ สร้างโอกาส เสริมสภาพคล่อง SME สําหรับผู้ผลิตให้บริการค้าปลีกหรือค้าส่ง เพื่อสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเงินทุนแก่เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพที่เป็นนิติบุคคลและเป็นกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้นําเงินทุนไปใช้ในการปรับปรุง ลงทุนในกิจการ ฟื้นฟู กิจการในปัจจุบัน หรือเริ่มต้นกิจการใหม่ ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป กลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง และกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โดยมีกรอบวงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายตั้งแต่ 1 แสนบาท และสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 3.สินเชื่อเพื่อฟื้นฟู SME เพื่อเป็นเงินทุนช่วยเหลือให้กับลูกค้ากลุ่มเดิมที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่มีภาระหนี้เงินต้นวงเงินกู้สินเชื่อระยะยาว (Term Loan) คงเหลืออยู่กับกองทุนได้นําเงินทุนไปใช้ในการปรับปรุง ลงทุน เงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่องในการดําเนินกิจการ หรือฟื้นฟูกิจการในปัจจุบันหรือเริ่มต้นกิจการใหม่ โดยผู้รับสินเชื่อต้องเป็นลูกหนี้ในโครงการสินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ หรือโครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สําหรับ SMEs หรือโครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน โดยมีกรอบวงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยเมื่อรวมกับภาระหนี้เงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยคงค้างของสัญญากู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ต้องไม่เกินจากวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติเดิม ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา “ทั้ง 3 โครงการสามารถติดต่อขอรับสินเชื่อได้ที่สํานักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด หรือผ่าน www.thaismefund.com และที่ www.smebank.co.th เชื่อมั่นมาตรการดังกล่าวจะเป็นส่วนสําคัญในการพยุงกลุ่มเอสเอ็มอีให้สามารถประคับประคองการดําเนินกิจการ ด้วยการเสริมสภาพคล่องสร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ โดยหวังว่าทุกๆ กิจการและสถานประกอบการจะสามารถดําเนินไปได้ปกติต่อไป” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME เตรียมเฮ! กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ เสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 2,000 ลบ. ดีเดย์เปิดรับคำขอ 17 มกราคมนี้ วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม 2565 SME เตรียมเฮ! กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ เสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา วงเงิน 2,000 ลบ. ดีเดย์เปิดรับคําขอ 17 มกราคมนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม อัดงบประมาณสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ 2,000 ล้านบาท จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 3 โครงการ อุ้มเอสเอ็มอีและลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา SME เตรียมเฮ! กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ เสิร์ฟสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา วงเงิน 2,000 ลบ. ดีเดย์เปิดรับคําขอ 17 มกราคมนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม อัดงบประมาณสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ 2,000 ล้านบาท จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 3 โครงการ อุ้มเอสเอ็มอีและลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID -19) คาดช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มากกว่า 500 ราย เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท ช่วยรักษาการจ้างงานกว่า 3,000 ราย พร้อมเปิดรับคําขอ 17 มกราคม 2565 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการดําเนินธุรกิจของเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจ และบรรเทาผลกระทบจากภาระการชําระหนี้ของลูกหนี้ให้มีสภาพคล่อง และสามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ในช่วงภาวะวิกฤติ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เล็งเห็นถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้ออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 3 โครงการ เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีและลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ โดยจะสามารถเปิดรับคําขอได้วันที่ 17 มกราคมนี้ คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มากกว่า 500 ราย รักษาการจ้างงานได้กว่า 3,000 ราย ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กล่าวเสริมว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs ที่เป็นนิติบุคคลและเป็นลูกหนี้ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้แก่ 1. สินเชื่อเพิ่มศักยภาพ SME สําหรับผู้ผลิตให้บริการค้าปลีกหรือค้าส่งในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG (Bio Circular Green) ใน 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรอุตสาหกรรม/กลุ่มอาหารแปรรูปที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ กลุ่มผู้ผลิต/ผู้ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 18 เดือน ดอกเบี้ย 2% ต่อปีตลอดอายุสัญญา 2.สินเชื่อ สร้างโอกาส เสริมสภาพคล่อง SME สําหรับผู้ผลิตให้บริการค้าปลีกหรือค้าส่ง เพื่อสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเงินทุนแก่เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพที่เป็นนิติบุคคลและเป็นกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้นําเงินทุนไปใช้ในการปรับปรุง ลงทุนในกิจการ ฟื้นฟู กิจการในปัจจุบัน หรือเริ่มต้นกิจการใหม่ ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป กลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง และกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โดยมีกรอบวงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายตั้งแต่ 1 แสนบาท และสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้น สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 3.สินเชื่อเพื่อฟื้นฟู SME เพื่อเป็นเงินทุนช่วยเหลือให้กับลูกค้ากลุ่มเดิมที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่มีภาระหนี้เงินต้นวงเงินกู้สินเชื่อระยะยาว (Term Loan) คงเหลืออยู่กับกองทุนได้นําเงินทุนไปใช้ในการปรับปรุง ลงทุน เงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่องในการดําเนินกิจการ หรือฟื้นฟูกิจการในปัจจุบันหรือเริ่มต้นกิจการใหม่ โดยผู้รับสินเชื่อต้องเป็นลูกหนี้ในโครงการสินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ หรือโครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สําหรับ SMEs หรือโครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน โดยมีกรอบวงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยเมื่อรวมกับภาระหนี้เงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยคงค้างของสัญญากู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ต้องไม่เกินจากวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติเดิม ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา “ทั้ง 3 โครงการสามารถติดต่อขอรับสินเชื่อได้ที่สํานักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด หรือผ่าน www.thaismefund.com และที่ www.smebank.co.th เชื่อมั่นมาตรการดังกล่าวจะเป็นส่วนสําคัญในการพยุงกลุ่มเอสเอ็มอีให้สามารถประคับประคองการดําเนินกิจการ ด้วยการเสริมสภาพคล่องสร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ โดยหวังว่าทุกๆ กิจการและสถานประกอบการจะสามารถดําเนินไปได้ปกติต่อไป” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50705
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กป้อม’ ส่ง ‘ธรรมศักดิ์’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผนึกกำลังทีมไทยแลนด์ เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์ มุ่งขึ้นเทียร์ 2
วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ‘บิ๊กป้อม’ ส่ง ‘ธรรมศักดิ์’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผนึกกําลังทีมไทยแลนด์ เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์ มุ่งขึ้นเทียร์ 2 ... เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 พลตํารวจเอก ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operation Procedure : SOP) การคัดแยกผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยมี พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงาน นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้แทนกระทรวงแรงงาน หน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ นางนภสร ทุ่งสุกใส ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน ร่วมบรรยายในหัวข้อ นโยบายการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ณ ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความมุ่งมั่นต่อการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และผลักดันให้ประเทศไทยกลับขึ้นสู่สถานะ เทียร์ 2 ในการจัดลําดับตามรายงานสถานการณ์การต่อต้านการค้ามนุษย์ (TIP Report) ให้ได้ในปี 2565 ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ จึงได้กําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการตามอํานาจหน้าที่และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเต็มที่ ท่านได้มอบหมายให้ผมในฐานะประธานคณะอนุกรรมการร่วมว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ไทย – สหรัฐอเมริกา (ฝ่ายไทย) เร่งขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากในปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจําปี 2564 (TIP Report 2021) โดยประเทศไทยได้รับการจัดระดับให้อยู่ ใน Tier 2 Watch list ทําให้ประเทศไทยต้องเร่งดําเนินการยกระดับการดําเนินการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ สหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานการประเมินผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์กลางปี ประจําปี ค.ศ. 2022 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยได้กล่าวถึงพัฒนาการที่สําคัญ ในเรื่องการจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เพื่อให้ที่พักพิงและบริการแก่บุคคลที่อาจเป็นผู้เสียหายก่อนการคัดแยก การแก้ไขกฎกระทรวงแรงงานซึ่งกําหนดให้นายจ้างทําสัญญาจ้างในภาษาที่ลูกจ้างเข้าใจ และการยกระดับศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ของกระทรวงแรงงาน ขึ้นเป็นหน่วยงานระดับกอง และข้อท้าทายที่รัฐบาลไทยต้องเร่งดําเนินการในเรื่อง การจัดทําแนวปฏิบัติสําหรับเจ้าหน้าที่ในการดําเนินการตามมาตรา 6/1 ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้กําหนดให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เป็นวาระแห่งชาติ และให้เร่งการดําเนินการตามข้อเสนอแนะใน TIP Report ของสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยกลับขึ้นสู่ สถานะ Tier 2 ในปี 2565 อาทิ การยกระดับฝ่ายศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ขึ้นเป็นสํานักงานเลขานุการศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานซึ่งเป็นหน่วยงานถาวรเทียบเท่ากอง การอบรมพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง การออกกฎกระทรวงแรงงานให้ใช้สัญญาจ้างแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ 4 ภาษา การจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (ดอนเมือง) และในวันนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operation Procedure : SOP) และนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้สํานักเลขานุการศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ดําเนินการจัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ ซึ่งเป็นการจัดทําขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติ ในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการบังคับใช้แรงงาน ซึ่งการมีขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติ (SOP) จะเป็นกลไกสําคัญที่จะยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถคัดแยกผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และส่งต่อคดีที่อาจเกิดขึ้นไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับมาตรฐานขั้นต่ําในกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ค.ศ. 2000 (TVPA) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับในรายงานการค้ามนุษย์เพื่อมุ่งสู่ระดับ Tier 2 “ผมขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่จะร่วมกันผนึกกําลังกับทุกภาคส่วน เป็นทีม Thailand ในการขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์ ขจัดการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ในประเทศไทย และเพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ําของสหรัฐฯ และได้รับการจัดอันดับในรายงานการค้ามนุษย์เพื่อมุ่งสู่ระดับ Tier 2 ” พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวในท้ายสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กป้อม’ ส่ง ‘ธรรมศักดิ์’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผนึกกำลังทีมไทยแลนด์ เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์ มุ่งขึ้นเทียร์ 2 วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ‘บิ๊กป้อม’ ส่ง ‘ธรรมศักดิ์’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผนึกกําลังทีมไทยแลนด์ เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์ มุ่งขึ้นเทียร์ 2 ... เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 พลตํารวจเอก ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานกล่าวเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operation Procedure : SOP) การคัดแยกผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยมี พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงาน นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้แทนกระทรวงแรงงาน หน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ นางนภสร ทุ่งสุกใส ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน ร่วมบรรยายในหัวข้อ นโยบายการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ณ ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความมุ่งมั่นต่อการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และผลักดันให้ประเทศไทยกลับขึ้นสู่สถานะ เทียร์ 2 ในการจัดลําดับตามรายงานสถานการณ์การต่อต้านการค้ามนุษย์ (TIP Report) ให้ได้ในปี 2565 ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ จึงได้กําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการตามอํานาจหน้าที่และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเต็มที่ ท่านได้มอบหมายให้ผมในฐานะประธานคณะอนุกรรมการร่วมว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ไทย – สหรัฐอเมริกา (ฝ่ายไทย) เร่งขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากในปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจําปี 2564 (TIP Report 2021) โดยประเทศไทยได้รับการจัดระดับให้อยู่ ใน Tier 2 Watch list ทําให้ประเทศไทยต้องเร่งดําเนินการยกระดับการดําเนินการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ สหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานการประเมินผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์กลางปี ประจําปี ค.ศ. 2022 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยได้กล่าวถึงพัฒนาการที่สําคัญ ในเรื่องการจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เพื่อให้ที่พักพิงและบริการแก่บุคคลที่อาจเป็นผู้เสียหายก่อนการคัดแยก การแก้ไขกฎกระทรวงแรงงานซึ่งกําหนดให้นายจ้างทําสัญญาจ้างในภาษาที่ลูกจ้างเข้าใจ และการยกระดับศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ของกระทรวงแรงงาน ขึ้นเป็นหน่วยงานระดับกอง และข้อท้าทายที่รัฐบาลไทยต้องเร่งดําเนินการในเรื่อง การจัดทําแนวปฏิบัติสําหรับเจ้าหน้าที่ในการดําเนินการตามมาตรา 6/1 ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้กําหนดให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เป็นวาระแห่งชาติ และให้เร่งการดําเนินการตามข้อเสนอแนะใน TIP Report ของสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยกลับขึ้นสู่ สถานะ Tier 2 ในปี 2565 อาทิ การยกระดับฝ่ายศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ขึ้นเป็นสํานักงานเลขานุการศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานซึ่งเป็นหน่วยงานถาวรเทียบเท่ากอง การอบรมพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง การออกกฎกระทรวงแรงงานให้ใช้สัญญาจ้างแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ 4 ภาษา การจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (ดอนเมือง) และในวันนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operation Procedure : SOP) และนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้สํานักเลขานุการศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ดําเนินการจัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ ซึ่งเป็นการจัดทําขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติ ในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการบังคับใช้แรงงาน ซึ่งการมีขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติ (SOP) จะเป็นกลไกสําคัญที่จะยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถคัดแยกผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และส่งต่อคดีที่อาจเกิดขึ้นไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับมาตรฐานขั้นต่ําในกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ค.ศ. 2000 (TVPA) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับในรายงานการค้ามนุษย์เพื่อมุ่งสู่ระดับ Tier 2 “ผมขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่จะร่วมกันผนึกกําลังกับทุกภาคส่วน เป็นทีม Thailand ในการขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์ ขจัดการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ในประเทศไทย และเพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ําของสหรัฐฯ และได้รับการจัดอันดับในรายงานการค้ามนุษย์เพื่อมุ่งสู่ระดับ Tier 2 ” พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52028
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ำมันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน
วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ํามันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ํามันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 11.20 น. ที่ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 1/2565 ถึงกรณีปัญหาราคาน้ํามันและจะมีการทบทวนปรับโครงสร้างภาษีน้ํามันหรือไม่ว่า เมื่อวานนี้ (8 ก.พ. 65) ได้มีการหารือแล้ว โดยขอให้รอการชี้แจงให้ทราบในรายละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ เห็นได้ว่ารัฐบาลมีแผนเรื่องกองทุนน้ํามัน การเตรียมวงเงินกู้ไว้สําหรับที่จะชดเชย โดยกองทุนน้ํามันก็ติดลบอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเตรียมรองรับปัญหาเรื่องของแก๊สในหลายมิติด้วยกัน ซึ่งสาเหตุไม่ได้มาจากเรา แต่มาจากต้นทุนพลังงาน ที่เราพึ่งพาวัตถุดิบที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้น ต้องไปเปรียบเทียบดูจากประเทศรอบบ้าน และในภูมิภาคว่าเป็นอย่างไร ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มไหน หลายประเทศอาจจะถูกกว่าไทย เพราะเขามีแหล่งพลังงานในประเทศ เรื่องนี้ขอให้รออีกนิดหนึ่ง เพราะการดูแลไม่ใช่ดูแลคนกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญกับคนที่มีรายได้ไม่มากอยู่แล้ว ทุกคนต้องช่วยกัน เรื่องสถานการณ์พลังงานยังติดพันอีกมากและไม่ใช่ระยะเวลาสั้น รัฐบาลต้องหาวิธีการที่เหมาะสม จะเห็นได้ว่ามีการควบคุมราคาไม่ให้เกิน 30 บาท อีกทั้งจะมีการพิจารณาเรื่องภาษีต่าง ๆ เช่น ภาษีสรรพสามิต ด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่าลืมว่าถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ จะทําให้รายได้ของรัฐลดลงไปมาก มีผลกระทบอื่น ๆ หรือเปล่า จะลดได้แค่ไหนอย่างไร ก็ต้องฟังเสียงจากหลายฝ่าย เดือนหนึ่งประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท ถ้าระยะยาว 6 เดือน ก็ประมาณ 18,000 กว่าล้านบาท เป็นตัวเลขคร่าว ๆ เฉพาะเรื่องน้ํามัน แล้วยังมีเรื่องแก๊สอีก รัฐบาลพยายามจะตรึงราคาให้มากที่สุด จึงขอให้เข้าใจด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า จะขอร้องสมาคมรถบรรทุกด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลทําความเข้าใจมาโดยตลอด เมื่อวานนี้ผู้ชุมนุมมีความเข้าใจไปแล้วส่วนหนึ่ง ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญวิกฤติหลายด้านด้วยกัน และไม่เคยมีรัฐบาลไหนเจอมาก่อน ที่พร้อม ๆ กันอย่างนี้ ตั้งแต่โควิด-19 ราคาน้ํามัน ราคาพลังงาน การแข่งขันทางการค้า ความมั่นคงในภูมิภาค ความขัดแย้งทางทะเล การแข่งขันการลงทุน การย้ายฐาน ประเทศไทยมีศักยภาพมากมาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีพยายามพูดคุยกับต่างประเทศที่เดินทางมาไทย เขาก็ชื่นชมประเทศไทยทุกเรื่อง ทั้งเรื่องการบริหารโควิด-19 ภาคเอกชนชื่นชมในการดูแลช่วยเหลือให้ไม่ต้องปิดโรงงาน ในส่วนแรงงานก็ได้รับการเยียวยา ดูแลเรื่องการฉีดวัคซีนต่าง ๆ เขาบอกว่าของเขาไม่มีแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เกิดในประเทศไทย ฉะนั้นสิ่งดี ๆ ก็เกิดขึ้นมาก ดังนั้น ขอร้องสื่อให้ออกสิ่งดี ๆ ไปด้วย ส่วนสิ่งที่เป็นปัญหาก็ดําเนินการแก้ไข นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียว ถือได้ว่าเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของไทย และได้มีการต่อขยายมา ในอดีตเส้นแรกต้องลงทุนกับภาครัฐอย่างเดียว ในปัจจุบันมีการลงทุนรูปแบบ PPP ยืนยันว่า ไม่เอื้อผลประโยชน์ใครทั้งสิ้น ผลประโยชน์เป็นไปเพื่อประชาชนและประเทศชาติ โดยต้องหาแนวทางไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ และย้ําว่า คณะรัฐมนตรีไม่มีความขัดแย้งกันทั้งสิ้น ทุกคนมีความเห็น นายกรัฐมนตรีฟังทุกคน ขึ้นกับเหตุและผลและข้อกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งฝ่ายกฎหมายจะไปพิจารณาและมีคําชี้แจงอยู่แล้ว รัฐบาลกําลังแก้ไขปัญหาอยู่ คณะรัฐมนตรีจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็สามารถชี้แจงได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ำมันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ํามันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน นายกรัฐมนตรีเผย รัฐบาลพยายามตรึงราคาน้ํามันให้มากที่สุด พร้อมหาวิธีการที่เหมาะสม มาดูแลประชาชน วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 11.20 น. ที่ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 1/2565 ถึงกรณีปัญหาราคาน้ํามันและจะมีการทบทวนปรับโครงสร้างภาษีน้ํามันหรือไม่ว่า เมื่อวานนี้ (8 ก.พ. 65) ได้มีการหารือแล้ว โดยขอให้รอการชี้แจงให้ทราบในรายละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ เห็นได้ว่ารัฐบาลมีแผนเรื่องกองทุนน้ํามัน การเตรียมวงเงินกู้ไว้สําหรับที่จะชดเชย โดยกองทุนน้ํามันก็ติดลบอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเตรียมรองรับปัญหาเรื่องของแก๊สในหลายมิติด้วยกัน ซึ่งสาเหตุไม่ได้มาจากเรา แต่มาจากต้นทุนพลังงาน ที่เราพึ่งพาวัตถุดิบที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้น ต้องไปเปรียบเทียบดูจากประเทศรอบบ้าน และในภูมิภาคว่าเป็นอย่างไร ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มไหน หลายประเทศอาจจะถูกกว่าไทย เพราะเขามีแหล่งพลังงานในประเทศ เรื่องนี้ขอให้รออีกนิดหนึ่ง เพราะการดูแลไม่ใช่ดูแลคนกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญกับคนที่มีรายได้ไม่มากอยู่แล้ว ทุกคนต้องช่วยกัน เรื่องสถานการณ์พลังงานยังติดพันอีกมากและไม่ใช่ระยะเวลาสั้น รัฐบาลต้องหาวิธีการที่เหมาะสม จะเห็นได้ว่ามีการควบคุมราคาไม่ให้เกิน 30 บาท อีกทั้งจะมีการพิจารณาเรื่องภาษีต่าง ๆ เช่น ภาษีสรรพสามิต ด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่าลืมว่าถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ จะทําให้รายได้ของรัฐลดลงไปมาก มีผลกระทบอื่น ๆ หรือเปล่า จะลดได้แค่ไหนอย่างไร ก็ต้องฟังเสียงจากหลายฝ่าย เดือนหนึ่งประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท ถ้าระยะยาว 6 เดือน ก็ประมาณ 18,000 กว่าล้านบาท เป็นตัวเลขคร่าว ๆ เฉพาะเรื่องน้ํามัน แล้วยังมีเรื่องแก๊สอีก รัฐบาลพยายามจะตรึงราคาให้มากที่สุด จึงขอให้เข้าใจด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า จะขอร้องสมาคมรถบรรทุกด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลทําความเข้าใจมาโดยตลอด เมื่อวานนี้ผู้ชุมนุมมีความเข้าใจไปแล้วส่วนหนึ่ง ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญวิกฤติหลายด้านด้วยกัน และไม่เคยมีรัฐบาลไหนเจอมาก่อน ที่พร้อม ๆ กันอย่างนี้ ตั้งแต่โควิด-19 ราคาน้ํามัน ราคาพลังงาน การแข่งขันทางการค้า ความมั่นคงในภูมิภาค ความขัดแย้งทางทะเล การแข่งขันการลงทุน การย้ายฐาน ประเทศไทยมีศักยภาพมากมาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีพยายามพูดคุยกับต่างประเทศที่เดินทางมาไทย เขาก็ชื่นชมประเทศไทยทุกเรื่อง ทั้งเรื่องการบริหารโควิด-19 ภาคเอกชนชื่นชมในการดูแลช่วยเหลือให้ไม่ต้องปิดโรงงาน ในส่วนแรงงานก็ได้รับการเยียวยา ดูแลเรื่องการฉีดวัคซีนต่าง ๆ เขาบอกว่าของเขาไม่มีแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เกิดในประเทศไทย ฉะนั้นสิ่งดี ๆ ก็เกิดขึ้นมาก ดังนั้น ขอร้องสื่อให้ออกสิ่งดี ๆ ไปด้วย ส่วนสิ่งที่เป็นปัญหาก็ดําเนินการแก้ไข นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียว ถือได้ว่าเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของไทย และได้มีการต่อขยายมา ในอดีตเส้นแรกต้องลงทุนกับภาครัฐอย่างเดียว ในปัจจุบันมีการลงทุนรูปแบบ PPP ยืนยันว่า ไม่เอื้อผลประโยชน์ใครทั้งสิ้น ผลประโยชน์เป็นไปเพื่อประชาชนและประเทศชาติ โดยต้องหาแนวทางไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ และย้ําว่า คณะรัฐมนตรีไม่มีความขัดแย้งกันทั้งสิ้น ทุกคนมีความเห็น นายกรัฐมนตรีฟังทุกคน ขึ้นกับเหตุและผลและข้อกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งฝ่ายกฎหมายจะไปพิจารณาและมีคําชี้แจงอยู่แล้ว รัฐบาลกําลังแก้ไขปัญหาอยู่ คณะรัฐมนตรีจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็สามารถชี้แจงได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51390
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 2 ตุลาคม 2564
วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 2 ตุลาคม 2564 พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ 16 จังหวัด การจราจรผ่านไม่ได้ 39 แห่ง นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบให้หน่วยงานในสังกัด เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างทันท่วงที พร้อมติดตามข้อมูลปริมาณและทิศทางน้ําอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบเส้นทางการสัญจรที่จะได้รับผลกระทบ รวมทั้งวางแผนการดําเนินงานและการบริหารจัดการ การจัดหาเส้นทางเลี่ยง และประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนทราบล่วงหน้า เพื่อผู้ใช้เส้นทางสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย นั้น ทั้งนี้ จึงได้สั่งการให้โดยหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมดําเนินการตามแผนป้องกันสาธารณภัยอย่างเคร่งครัด และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยกรณีที่น้ําท่วมสูงได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือนพร้อมเร่งระบายน้ํา กรณีถนนหรือสะพานขาด ชํารุด ได้เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์เชื่อมทาง สําหรับกรณีดินไหล่เขาข้างทาง สไลด์ ได้นําเครื่องจักรเขาเกลี่ยดินออกจากเส้นทาง พร้อมวางแท่งแบริเออร์ กระสอบทราย และกําแพงดินเพื่อชะลอน้ํา และจัดทําแผนที่ทางเลี่ยงเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้กรมทางหลวง (ทล.) ยังได้ช่วยขนย้ายประชาชนและสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย แจกจ่ายอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค และช่วยล้างทําความสะอาดเก็บกวาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนในพื้นที่น้ําลด สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 2 ตุลาคม 2564 เวลา 13.00 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ และสะพานชํารุด จํานวน 16 จังหวัด ( 58 สายทาง 112 แห่ง) โดยการจราจรผ่านไม่ได้ 39 แห่ง ดังนี้ 1. จังหวัดชัยภูมิ (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง) - ทล.201 บ้านลี่ - สี่แยกโรงต้ม ช่วง กม. ที่ 115+800 - 125+000 ระดับน้ําสูง 30 ซม. - ทล.2179 จัตุรัส - บําเหน็จณรงค์ ช่วง กม. ที่ 0+225 - 0+250 น้ํากัดเซาะคอสะพาน - ทล.225 หนองบัวระเหว - ชัยภูมิ ช่วง กม. ที่ 236+950 น้ํากัดเซาะคอสะพาน 2. จังหวัดขอนแก่น (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง) - ทล.2065 พล - ลําชี ช่วง กม. ที่ 33+000 - 34+500 ระดับน้ําสูง 20 ซม. 3. จังหวัดนนทบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 16+950 ระดับน้ําสูง 20 - 25 ซม. ใช้จุดกลับรถต่างระดับบางใหญ่ที่ กม. 18+500 แทนแทน - ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 17+000 ระดับน้ําสูง 20 - 25 ซม. ใช้จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางไผ่ที่ กม. 16+600 ทดแทน 4. จังหวัดสระบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.1 หนองแค - หินกอง ช่วง กม. ที่ 85+143 (ทางลอดใต้สะพานระพีพัฒน์ทั้ง 2 ฝั่ง) ระดับน้ําสูง 40 ซม. - ทล.3020 พระพุทธบาท - หนองโคน ช่วง กม. ที่ 7+301 คอสะพานหนองโคนถูกน้ํากัดเซาะชํารุด 5. จังหวัดอ่างทอง (การจราจรผ่านไม่ได้ 4 แห่ง) - ทล.33 นาคู - ป่าโมก ช่วง กม. ที่ 36+000 - 36+200 (จุดกลับรถใต้สะพานฝั่งป่าโมก) ระดับน้ําสูง 40 ซม. - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 32+607 (จุดกลับรถคลองกะท่อ) ระดับน้ําสูง 135 ซม. - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 39+843 (จุดกลับรถวัดดอกไม้) ระดับน้ําสูง 55 ซม. - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 43+719 (จุดกลับรถหลวงปู่ทวด) ระดับน้ําสูง 75 ซม. 6. จังหวัดสุโขทัย (การจราจรผ่านไม่ได้ 4 แห่ง) - ทล.12 ตอนเมืองเก่า - สุโขทัย ช่วงกม. ที่ 168+200 - 171+002 ด้านซ้ายทาง ระดับน้ําสูง 25 ซม. การจราจรผ่านไม่ได้ เดินทางจากตากไปพิษณุโลกให้ใช้ทางเลี่ยง ทล.12 ที่ กม. 163+543 แยกบ้านนาเลี้ยวทาง 1272 แทน - ทล.101 คลองโพธิ์ - ท่าช้าง ช่วง กม. ที่ 79+969 - 82+200 ระดับน้ําสูง 20 ซม. - ทล.125 แจกัน - บ้านสวน ช่วง กม. ที่ 14+450 - 19+400 ด้านซ้ายทาง ระดับน้ําสูง 15 ซม. - ทล.1347 วัดโคก - สระบัว ช่วง กม. ที่ 0+000 - 5+284 เป็นช่วง ๆ ระดับน้ําสูง 10 ซม. 7. จังหวัดลพบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 6 แห่ง) - ทล.205 คลองห้วยไผ่ - เทศบาลลํานารายณ์ ช่วง กม. ที่ 68+000 - 71+000 ระดับน้ําสูง 40 ซม. เดินทางไปลพบุรีใช้ ทล.2 หรือ ทล.21 แทน - ทล.205 เทศบาลลํานารายณ์ - ช่องสําราญ ช่วง กม. ที่ 80+700 - 81+200 ระดับน้ําสูง 60 ซม. - ทล.2243 บัวชุม - สี่แยกบัวชุม ช่วง กม. ที่ 0+340 สะพานทรุดตัว - ทล.2243 บัวชุม - สี่แยกบัวชุม ช่วง กม. ที่ 0+800 - 2+500 ระดับน้ําสูง 50 ซม. - ทล.2243 บัวชุม - สี่แยกบัวชุม ช่วง กม. ที่ 1+400 ทางขาด ระดับน้ําสูง 40 ซม. ทางขาดใช้ทางเลี่ยงเข้าหมู่บ้านแทน - ทล.3024 บ้านหมี่ - เขาช่องลม ช่วง กม. ที่ 7+300 - 13+300 ระดับน้ําสูง 150 ซม. 8. จังหวัดกําแพงเพชร (การจราจรผ่านไม่ได้ 7 แห่ง) - ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 419+036 (จุดกลับรถคลองพะยอม) ระดับน้ําสูง 200 ซม. - ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 432+030 (จุดกลับรถคลองสุวรรณ) ระดับน้ําสูง 150 ซม. - ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 431+701 (จุดกลับรถคลองสุวรรณ) ระดับน้ําสูง 70 ซม. - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 432+030 ดินสไลด์ - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 87+415 ดินสไลด์ - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 83+220 ดินสไลด์ - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 89+100 ดินสไลด์ 9. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง) - ทล.347 บางกระสั้น - บางปะหัน ช่วง กม. ที่ 40+860 (จุดกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) ระดับน้ําสูง 40 ซม. - ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 10+940 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง 155 ซม. - ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 11+100 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง 155 ซม. 10. จังหวัดสุพรรณบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.33 สุพรรณบุรี - นาคู ช่วง กม. ที่ 9+886 สะพานคลองทับน้ํา ระดับน้ําสูง 55 ซม. - ทล.340 สาลี - สุพรรณบุรี ช่วง กม. ที่ 59+674 สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม ระดับน้ําสูง 100 ซม. 11. จังหวัดนครสวรรค์ (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.1 บ้านหว้า - วังไผ่ ช่วง กม. ที่ 339+600 ใต้สะพานเดชาติวงศ์ ระดับน้ําสูง 120 ซม. - ทล.1072 ลาดยาว - เขาขนกัน ช่วง กม. ที่ 44+665 คอสะพานทรุดตัว ใช้ทางเลี่ยงเดินทางจากอําเภอลาดยาว ทางหลวงหมายเลข 1072 ช่วง กม. ที่ 22+300 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 3013 กม. ที่ 42+900 เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3473 12. จังหวัดอุทัยธานี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.3319 บันไดสามขั้น - ทัพทัน กม. ที่ 17+675 - 19+100 ระดับน้ําสูง 60 ซม. - ทล.3456 หนองกระดี่ - คลองข่อย ช่วง กม. ที่ 3+604 สะพานโคกหม้อ ระดับน้ําสูง 70 ซม. ใช้ทางเลี่ยงท้องถิ่น 13. จังหวัดตาก (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง) - ทล.1175 ห้วยส้มป๋อย - เจดีย์ยุทธหัตถี ช่วง กม. ที่ 55+300 คันทางทรุดตัว ใช้ทางเลี่ยง ทล.12 แทนเดินทางไปอําเภอบ้านตาก ทั้งนี้ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย พร้อมปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 2 ตุลาคม 2564 วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 2 ตุลาคม 2564 พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ 16 จังหวัด การจราจรผ่านไม่ได้ 39 แห่ง นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบให้หน่วยงานในสังกัด เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างทันท่วงที พร้อมติดตามข้อมูลปริมาณและทิศทางน้ําอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบเส้นทางการสัญจรที่จะได้รับผลกระทบ รวมทั้งวางแผนการดําเนินงานและการบริหารจัดการ การจัดหาเส้นทางเลี่ยง และประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนทราบล่วงหน้า เพื่อผู้ใช้เส้นทางสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย นั้น ทั้งนี้ จึงได้สั่งการให้โดยหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมดําเนินการตามแผนป้องกันสาธารณภัยอย่างเคร่งครัด และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยกรณีที่น้ําท่วมสูงได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือนพร้อมเร่งระบายน้ํา กรณีถนนหรือสะพานขาด ชํารุด ได้เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์เชื่อมทาง สําหรับกรณีดินไหล่เขาข้างทาง สไลด์ ได้นําเครื่องจักรเขาเกลี่ยดินออกจากเส้นทาง พร้อมวางแท่งแบริเออร์ กระสอบทราย และกําแพงดินเพื่อชะลอน้ํา และจัดทําแผนที่ทางเลี่ยงเส้นทางที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้กรมทางหลวง (ทล.) ยังได้ช่วยขนย้ายประชาชนและสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย แจกจ่ายอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค และช่วยล้างทําความสะอาดเก็บกวาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนในพื้นที่น้ําลด สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 2 ตุลาคม 2564 เวลา 13.00 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ และสะพานชํารุด จํานวน 16 จังหวัด ( 58 สายทาง 112 แห่ง) โดยการจราจรผ่านไม่ได้ 39 แห่ง ดังนี้ 1. จังหวัดชัยภูมิ (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง) - ทล.201 บ้านลี่ - สี่แยกโรงต้ม ช่วง กม. ที่ 115+800 - 125+000 ระดับน้ําสูง 30 ซม. - ทล.2179 จัตุรัส - บําเหน็จณรงค์ ช่วง กม. ที่ 0+225 - 0+250 น้ํากัดเซาะคอสะพาน - ทล.225 หนองบัวระเหว - ชัยภูมิ ช่วง กม. ที่ 236+950 น้ํากัดเซาะคอสะพาน 2. จังหวัดขอนแก่น (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง) - ทล.2065 พล - ลําชี ช่วง กม. ที่ 33+000 - 34+500 ระดับน้ําสูง 20 ซม. 3. จังหวัดนนทบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 16+950 ระดับน้ําสูง 20 - 25 ซม. ใช้จุดกลับรถต่างระดับบางใหญ่ที่ กม. 18+500 แทนแทน - ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 17+000 ระดับน้ําสูง 20 - 25 ซม. ใช้จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางไผ่ที่ กม. 16+600 ทดแทน 4. จังหวัดสระบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.1 หนองแค - หินกอง ช่วง กม. ที่ 85+143 (ทางลอดใต้สะพานระพีพัฒน์ทั้ง 2 ฝั่ง) ระดับน้ําสูง 40 ซม. - ทล.3020 พระพุทธบาท - หนองโคน ช่วง กม. ที่ 7+301 คอสะพานหนองโคนถูกน้ํากัดเซาะชํารุด 5. จังหวัดอ่างทอง (การจราจรผ่านไม่ได้ 4 แห่ง) - ทล.33 นาคู - ป่าโมก ช่วง กม. ที่ 36+000 - 36+200 (จุดกลับรถใต้สะพานฝั่งป่าโมก) ระดับน้ําสูง 40 ซม. - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 32+607 (จุดกลับรถคลองกะท่อ) ระดับน้ําสูง 135 ซม. - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 39+843 (จุดกลับรถวัดดอกไม้) ระดับน้ําสูง 55 ซม. - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 43+719 (จุดกลับรถหลวงปู่ทวด) ระดับน้ําสูง 75 ซม. 6. จังหวัดสุโขทัย (การจราจรผ่านไม่ได้ 4 แห่ง) - ทล.12 ตอนเมืองเก่า - สุโขทัย ช่วงกม. ที่ 168+200 - 171+002 ด้านซ้ายทาง ระดับน้ําสูง 25 ซม. การจราจรผ่านไม่ได้ เดินทางจากตากไปพิษณุโลกให้ใช้ทางเลี่ยง ทล.12 ที่ กม. 163+543 แยกบ้านนาเลี้ยวทาง 1272 แทน - ทล.101 คลองโพธิ์ - ท่าช้าง ช่วง กม. ที่ 79+969 - 82+200 ระดับน้ําสูง 20 ซม. - ทล.125 แจกัน - บ้านสวน ช่วง กม. ที่ 14+450 - 19+400 ด้านซ้ายทาง ระดับน้ําสูง 15 ซม. - ทล.1347 วัดโคก - สระบัว ช่วง กม. ที่ 0+000 - 5+284 เป็นช่วง ๆ ระดับน้ําสูง 10 ซม. 7. จังหวัดลพบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 6 แห่ง) - ทล.205 คลองห้วยไผ่ - เทศบาลลํานารายณ์ ช่วง กม. ที่ 68+000 - 71+000 ระดับน้ําสูง 40 ซม. เดินทางไปลพบุรีใช้ ทล.2 หรือ ทล.21 แทน - ทล.205 เทศบาลลํานารายณ์ - ช่องสําราญ ช่วง กม. ที่ 80+700 - 81+200 ระดับน้ําสูง 60 ซม. - ทล.2243 บัวชุม - สี่แยกบัวชุม ช่วง กม. ที่ 0+340 สะพานทรุดตัว - ทล.2243 บัวชุม - สี่แยกบัวชุม ช่วง กม. ที่ 0+800 - 2+500 ระดับน้ําสูง 50 ซม. - ทล.2243 บัวชุม - สี่แยกบัวชุม ช่วง กม. ที่ 1+400 ทางขาด ระดับน้ําสูง 40 ซม. ทางขาดใช้ทางเลี่ยงเข้าหมู่บ้านแทน - ทล.3024 บ้านหมี่ - เขาช่องลม ช่วง กม. ที่ 7+300 - 13+300 ระดับน้ําสูง 150 ซม. 8. จังหวัดกําแพงเพชร (การจราจรผ่านไม่ได้ 7 แห่ง) - ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 419+036 (จุดกลับรถคลองพะยอม) ระดับน้ําสูง 200 ซม. - ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 432+030 (จุดกลับรถคลองสุวรรณ) ระดับน้ําสูง 150 ซม. - ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 431+701 (จุดกลับรถคลองสุวรรณ) ระดับน้ําสูง 70 ซม. - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 432+030 ดินสไลด์ - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 87+415 ดินสไลด์ - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 83+220 ดินสไลด์ - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 89+100 ดินสไลด์ 9. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง) - ทล.347 บางกระสั้น - บางปะหัน ช่วง กม. ที่ 40+860 (จุดกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) ระดับน้ําสูง 40 ซม. - ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 10+940 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง 155 ซม. - ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 11+100 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง 155 ซม. 10. จังหวัดสุพรรณบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.33 สุพรรณบุรี - นาคู ช่วง กม. ที่ 9+886 สะพานคลองทับน้ํา ระดับน้ําสูง 55 ซม. - ทล.340 สาลี - สุพรรณบุรี ช่วง กม. ที่ 59+674 สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม ระดับน้ําสูง 100 ซม. 11. จังหวัดนครสวรรค์ (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.1 บ้านหว้า - วังไผ่ ช่วง กม. ที่ 339+600 ใต้สะพานเดชาติวงศ์ ระดับน้ําสูง 120 ซม. - ทล.1072 ลาดยาว - เขาขนกัน ช่วง กม. ที่ 44+665 คอสะพานทรุดตัว ใช้ทางเลี่ยงเดินทางจากอําเภอลาดยาว ทางหลวงหมายเลข 1072 ช่วง กม. ที่ 22+300 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 3013 กม. ที่ 42+900 เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3473 12. จังหวัดอุทัยธานี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง) - ทล.3319 บันไดสามขั้น - ทัพทัน กม. ที่ 17+675 - 19+100 ระดับน้ําสูง 60 ซม. - ทล.3456 หนองกระดี่ - คลองข่อย ช่วง กม. ที่ 3+604 สะพานโคกหม้อ ระดับน้ําสูง 70 ซม. ใช้ทางเลี่ยงท้องถิ่น 13. จังหวัดตาก (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง) - ทล.1175 ห้วยส้มป๋อย - เจดีย์ยุทธหัตถี ช่วง กม. ที่ 55+300 คันทางทรุดตัว ใช้ทางเลี่ยง ทล.12 แทนเดินทางไปอําเภอบ้านตาก ทั้งนี้ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย พร้อมปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46502
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” รมว.แรงงาน ส่ง ที่ปรึกษาฯ “ธิวัลรัตน์” ขึ้นเชียงราย มอบเงินแก่ทายาทลูกจ้างที่เสียชีวิต เหตุเรือบรรทุกน้ำมันระเบิดกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 “สุชาติ” รมว.แรงงาน ส่ง ที่ปรึกษาฯ “ธิวัลรัตน์” ขึ้นเชียงราย มอบเงินแก่ทายาทลูกจ้างที่เสียชีวิต เหตุเรือบรรทุกน้ํามันระเบิดกลางแม่น้ําเจ้าพระยา ... เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) ในการนี้ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม ได้มอบหมายให้ นางเบญจวรรณ แสงแผ้ว ผู้ตรวจราชการกรม สํานักงานประกันสังคม ร่วมลงพื้นที่ในตําบลท่าก๊อ อําเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เพื่อมอบสิทธิประโยชน์เงินทดแทนกรณีลูกจ้างเสียชีวิตให้กับทายาทนายประสิทธิ์ สุภัทร์วัน ลูกจ้างที่เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้เรือบรรทุกน้ํามันระเบิด กลางแม่น้ําเจ้าพระยา บริเวณท่าเทียบเรือใกล้ป้อมพระจุล สะพาน 2 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงความห่วงใยและเสียใจ ต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ และกําชับให้กระทรวงแรงงานเร่งให้ความช่วยเหลือญาติของลูกจ้างที่เสียชีวิต โดยด่วน ในวันนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ดิฉันเดินทาง มามอบสิทธิประโยชน์เงินทดแทนกรณีเสียชีวิตเนื่องจากการทํางานให้แก่ทายาท ของ นายประสิทธิ์ สุภัทร์วัน ถึงบ้านในตําบลท่าก๊อ อําเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยทายาทจะได้รับ ค่าทําศพ 50,000 บาท เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต 1,680,000 บาท เงินบําเหน็จชราภาพ 219,064.60 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,949,064.60 บาท ดิฉันในนามของกระทรวงแรงงาน และสํานักงานประกันสังคม พร้อมดูแลลูกจ้าง ผู้ประกันตน รวมถึงทายาทของผู้เสียชีวิตที่ประสบเหตุ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วน และเข้าถึง ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน เปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” รมว.แรงงาน ส่ง ที่ปรึกษาฯ “ธิวัลรัตน์” ขึ้นเชียงราย มอบเงินแก่ทายาทลูกจ้างที่เสียชีวิต เหตุเรือบรรทุกน้ำมันระเบิดกลางแม่น้ำเจ้าพระยา วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 “สุชาติ” รมว.แรงงาน ส่ง ที่ปรึกษาฯ “ธิวัลรัตน์” ขึ้นเชียงราย มอบเงินแก่ทายาทลูกจ้างที่เสียชีวิต เหตุเรือบรรทุกน้ํามันระเบิดกลางแม่น้ําเจ้าพระยา ... เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) ในการนี้ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม ได้มอบหมายให้ นางเบญจวรรณ แสงแผ้ว ผู้ตรวจราชการกรม สํานักงานประกันสังคม ร่วมลงพื้นที่ในตําบลท่าก๊อ อําเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เพื่อมอบสิทธิประโยชน์เงินทดแทนกรณีลูกจ้างเสียชีวิตให้กับทายาทนายประสิทธิ์ สุภัทร์วัน ลูกจ้างที่เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้เรือบรรทุกน้ํามันระเบิด กลางแม่น้ําเจ้าพระยา บริเวณท่าเทียบเรือใกล้ป้อมพระจุล สะพาน 2 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงความห่วงใยและเสียใจ ต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ และกําชับให้กระทรวงแรงงานเร่งให้ความช่วยเหลือญาติของลูกจ้างที่เสียชีวิต โดยด่วน ในวันนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ดิฉันเดินทาง มามอบสิทธิประโยชน์เงินทดแทนกรณีเสียชีวิตเนื่องจากการทํางานให้แก่ทายาท ของ นายประสิทธิ์ สุภัทร์วัน ถึงบ้านในตําบลท่าก๊อ อําเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยทายาทจะได้รับ ค่าทําศพ 50,000 บาท เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต 1,680,000 บาท เงินบําเหน็จชราภาพ 219,064.60 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,949,064.60 บาท ดิฉันในนามของกระทรวงแรงงาน และสํานักงานประกันสังคม พร้อมดูแลลูกจ้าง ผู้ประกันตน รวมถึงทายาทของผู้เสียชีวิตที่ประสบเหตุ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วน และเข้าถึง ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน เปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องชะลอการเรียกเงินคืน จากกลุ่มผู้ประกอบการที่ทำผิดเงื่อนไขโครงการ "เราชนะ"
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องชะลอการเรียกเงินคืน จากกลุ่มผู้ประกอบการที่ทําผิดเงื่อนไขโครงการ "เราชนะ" สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ขอชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องชะลอการเรียกเงินคืน จากกลุ่มผู้ประกอบการที่ทําผิดเงื่อนไขโครงการเราชนะ ดังนี้ โครงการเราชนะ (โครงการฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือด้วยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ระลอกใหม่ โดยในการเข้าร่วมโครงการฯ สํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้จัดทําหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และความยินยอม (หลักเกณฑ์ฯ) สําหรับผู้ประกอบการและประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ เผยแพร่หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวในเว็บไซต์เราชนะ (www.เราชนะ.com) เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ได้รับทราบและเข้าใจหลักเกณฑ์ฯ ในการเข้าร่วมโครงการฯ และจะต้องให้ความยินยอมที่จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวก่อนเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ เมื่อประชาชนและผู้ประกอบการได้ให้คํายินยอมที่จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ ในขั้นตอนการสมัครแล้ว ประชาชนจะได้รับวงเงินสิทธิช่วยเหลือจํานวนไม่เกิน 9,000 บาท ตลอดโครงการ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และบัตรประจําตัวประชาชน และสามารถใช้สิทธิเพื่อชําระค่าสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขายหรือรับบริการกันจริงผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” หรือเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) ของผู้ประกอบการร้านค้าที่ได้สมัครและให้คํายินยอมในการเข้าร่วมโครงการแล้วจํานวน 1.3 ล้านราย ซึ่งกระทรวงการคลังจะได้โอนเงินให้ผู้ประกอบการโดยตรงในวันถัดไปตามยอดธุรกรรมการใช้จ่าย สํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนและออกแถลงข่าวกระทรวงการคลังขอความร่วมมือให้ประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ มาโดยตลอด เพื่อควบคุมและป้องกันการกระทําผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การรับแลกวงเงินสิทธิเป็นเงินสด เป็นต้น นอกจากนี้ ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปแจ้งเบาะแสการกระทําที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ โดยมีประชาชนแจ้งเบาะแสให้ทราบมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อสํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้รับการแจ้งเบาะแสหรือตรวจพบความผิดปกติของธุรกรรมที่เข้าข่ายฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ จะดําเนินการระงับสิทธิชั่วคราวการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับภาครัฐ และแจ้งให้ผู้ประกอบการติดต่อกลับเพื่อชี้แจงโต้แจ้ง ภายใน 14 วัน ซึ่งเมื่อครบกําหนดแล้ว จะได้นําเอกสารชี้แจงโต้แย้งของผู้ประกอบการเข้าสู่การพิจารณาตามกระบวนการในการตรวจสอบการดําเนินการที่เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ ได้มีการแต่งตั้งคณะทํางานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสําหรับโครงการเราชนะ (คณะทํางานฯ) ที่มีองค์ประกอบคณะทํางานฯ จากหน่วยงานภายนอก เช่น สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และกรมบัญชีกลาง เพื่อตรวจสอบ พิจารณา และวินิจฉัยข้อมูลของผู้เข้าร่วมโครงการฯ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการฯ ให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดําเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย เมื่อคณะทํางานฯ ได้ติดตามตรวจสอบและพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ประกอบการกระทําการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวจริง หรือกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ชี้แจงโต้แย้งพร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาที่กําหนด จะมีหนังสือประทับตราแจ้งผลวินิจฉัยและขอให้ชําระเงินคืนให้แก่โครงการฯ และผู้ประกอบการสามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือประทับตรา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนดังกล่าวนี้ ที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้ออกหนังสือประทับตราแจ้งผู้ประกอบการ จํานวน 2,099 ราย เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 ทั้งนี้ เมื่อพ้นกําหนดเวลาอุทธรณ์แล้ว กรณีไม่มีการชี้แจงหรือไม่ส่งข้อมูลหลักฐานประกอบการอุทธรณ์ หรือไม่มีการชําระเงินคืนให้แก่โครงการฯ รวมถึงกรณีอุทธรณ์มาแต่คณะทํางานฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ายังมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ ก็จะมีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการอีกครั้ง ดังนั้น สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ส่งหนังสืออุทธรณ์ ขอให้เร่งดําเนินการส่งคําอุทธรณ์หรือข้อมูลหลักฐานชี้แจงให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อนําสู่กระบวนการพิจารณาของคณะทํางานฯ และกระบวนการเรียกร้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องชะลอการเรียกเงินคืน จากกลุ่มผู้ประกอบการที่ทำผิดเงื่อนไขโครงการ "เราชนะ" วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องชะลอการเรียกเงินคืน จากกลุ่มผู้ประกอบการที่ทําผิดเงื่อนไขโครงการ "เราชนะ" สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ขอชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องชะลอการเรียกเงินคืน จากกลุ่มผู้ประกอบการที่ทําผิดเงื่อนไขโครงการเราชนะ ดังนี้ โครงการเราชนะ (โครงการฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือด้วยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ระลอกใหม่ โดยในการเข้าร่วมโครงการฯ สํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้จัดทําหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และความยินยอม (หลักเกณฑ์ฯ) สําหรับผู้ประกอบการและประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ เผยแพร่หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวในเว็บไซต์เราชนะ (www.เราชนะ.com) เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ได้รับทราบและเข้าใจหลักเกณฑ์ฯ ในการเข้าร่วมโครงการฯ และจะต้องให้ความยินยอมที่จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวก่อนเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ เมื่อประชาชนและผู้ประกอบการได้ให้คํายินยอมที่จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ ในขั้นตอนการสมัครแล้ว ประชาชนจะได้รับวงเงินสิทธิช่วยเหลือจํานวนไม่เกิน 9,000 บาท ตลอดโครงการ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และบัตรประจําตัวประชาชน และสามารถใช้สิทธิเพื่อชําระค่าสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขายหรือรับบริการกันจริงผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” หรือเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) ของผู้ประกอบการร้านค้าที่ได้สมัครและให้คํายินยอมในการเข้าร่วมโครงการแล้วจํานวน 1.3 ล้านราย ซึ่งกระทรวงการคลังจะได้โอนเงินให้ผู้ประกอบการโดยตรงในวันถัดไปตามยอดธุรกรรมการใช้จ่าย สํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนและออกแถลงข่าวกระทรวงการคลังขอความร่วมมือให้ประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ มาโดยตลอด เพื่อควบคุมและป้องกันการกระทําผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การรับแลกวงเงินสิทธิเป็นเงินสด เป็นต้น นอกจากนี้ ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปแจ้งเบาะแสการกระทําที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ โดยมีประชาชนแจ้งเบาะแสให้ทราบมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อสํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้รับการแจ้งเบาะแสหรือตรวจพบความผิดปกติของธุรกรรมที่เข้าข่ายฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ จะดําเนินการระงับสิทธิชั่วคราวการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับภาครัฐ และแจ้งให้ผู้ประกอบการติดต่อกลับเพื่อชี้แจงโต้แจ้ง ภายใน 14 วัน ซึ่งเมื่อครบกําหนดแล้ว จะได้นําเอกสารชี้แจงโต้แย้งของผู้ประกอบการเข้าสู่การพิจารณาตามกระบวนการในการตรวจสอบการดําเนินการที่เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ ได้มีการแต่งตั้งคณะทํางานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสําหรับโครงการเราชนะ (คณะทํางานฯ) ที่มีองค์ประกอบคณะทํางานฯ จากหน่วยงานภายนอก เช่น สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และกรมบัญชีกลาง เพื่อตรวจสอบ พิจารณา และวินิจฉัยข้อมูลของผู้เข้าร่วมโครงการฯ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการฯ ให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดําเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย เมื่อคณะทํางานฯ ได้ติดตามตรวจสอบและพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ประกอบการกระทําการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวจริง หรือกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ชี้แจงโต้แย้งพร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาที่กําหนด จะมีหนังสือประทับตราแจ้งผลวินิจฉัยและขอให้ชําระเงินคืนให้แก่โครงการฯ และผู้ประกอบการสามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือประทับตรา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนดังกล่าวนี้ ที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้ออกหนังสือประทับตราแจ้งผู้ประกอบการ จํานวน 2,099 ราย เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 ทั้งนี้ เมื่อพ้นกําหนดเวลาอุทธรณ์แล้ว กรณีไม่มีการชี้แจงหรือไม่ส่งข้อมูลหลักฐานประกอบการอุทธรณ์ หรือไม่มีการชําระเงินคืนให้แก่โครงการฯ รวมถึงกรณีอุทธรณ์มาแต่คณะทํางานฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ายังมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ ก็จะมีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการอีกครั้ง ดังนั้น สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ส่งหนังสืออุทธรณ์ ขอให้เร่งดําเนินการส่งคําอุทธรณ์หรือข้อมูลหลักฐานชี้แจงให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อนําสู่กระบวนการพิจารณาของคณะทํางานฯ และกระบวนการเรียกร้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” อย่าขู่ รัฐบาลพร้อมชี้แจงในสภาฯ ย้ำไทยยกระดับป้องกัน ASF เป็นวาระแห่งชาติปี 62 สามารถชะลอผลกระทบโรคระบาดในสัตว์
วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2565 โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” อย่าขู่ รัฐบาลพร้อมชี้แจงในสภาฯ ย้ําไทยยกระดับป้องกัน ASF เป็นวาระแห่งชาติปี 62 สามารถชะลอผลกระทบโรคระบาดในสัตว์ โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” อย่าขู่ รัฐบาลพร้อมชี้แจงในสภาฯ ย้ําไทยยกระดับป้องกัน ASF เป็นวาระแห่งชาติปี 62 สามารถชะลอผลกระทบโรคระบาดในสัตว์ หากปกปิดข้อมูลหรือไม่ดําเนินการเลย เชื่อว่าผู้บริโภคและอุตสาหกรรมหมูของไทยจะได้รับผลกระทบเสียหายมากกว่านี้ วันที่ 13 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอหิวาต์แอฟริกา (ASF) ในสุกรและปัญหาราคาสุกรแพงว่า รัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีมาตรการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการระบาดของโรค ASF ในสุกรทันทีที่ได้รับรายงานครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียที่ประเทศจีน เมื่อปี 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ดําเนินการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคในสัตว์ทันที และยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน รวมวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว 5 ครั้งกว่า 1,547 ล้านบาท เพื่อระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรค AFS ในสุกร นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังสนับสนุนภาครัฐและสถาบันการศึกษา ที่จะร่วมมือกันพัฒนาวัคซีนเพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งหากสําเร็จไทยจะเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกในการผลิตวัคซีนรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาด้วย นายธนกร กล่าวอีกว่า คณะทํางานด้านวิชาการในการป้องกัน ควบคุมและกําจัดโรค ASF ในสุกร จัดทําแผนควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Contingency Plan)และแนวเวชปฏิบัติของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Clinical Practice Guideline) มีการจัดตั้ง War Room ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนมาตรการ เตรียมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการในการตรวจวินิจฉัย และซ้อมแผนรับมือโรคฯ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมนําข้อมูลการระบาดที่ประเทศจีนและเวียดนามมาทําแผนที่ความเสี่ยงด้วยวิธีการ Spatial Multi-Criteria Decision Analysis (S-MCDA) เพื่อใช้ระบุพื้นที่เสี่ยงในการดําเนินการเฝ้าระวังทางอาการทางคลินิก รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ X-Ray เคาะประตูบ้าน เฝ้าระวังทางอาการ ขึ้นทะเบียนและประเมินความเสี่ยงด้วยแอพลิเคชัน อี-สมาร์ทพลัส พร้อมให้คําแนะนําความรู้เรื่องโรคและการป้องกัน ขณะเดียวกัน ก็สร้างความรับรู้และความเข้าใจให้แก่เกษตรกร ทราบว่าโรค ASF ในสุกรเป็นโรคระบาดร้ายแรงในสุกร ทําให้มีอัตราการตายสูง แต่ไม่ติดต่อสู่คน เนื้อสุกรสามารถบริโภคได้ ทั้งนี้ ภาคเอกชนเข้าใจสถานการณ์ที่ไทยได้มีการเปิดเผย การพบโรค ASF ในไทยเป็นอย่างดี โดยรองประธานหอการค้าไทยมั่นใจว่า จะไม่กระทบกับความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของสินค้าไทย รวมทั้งการซื้อ-ขาย ส่งออก หรือ การบริโภคเนื้อหมู เพราะทราบดีว่าสามารถพบและมีโอกาสในการเกิดโรคระบาดในสัตว์ ซึ่งประเทศไทยเองยังมีพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์บังคับ พ.ศ. 2558 ที่มีการกําหนดมาตรการเยียวยาเกษตรกร การชดเชย รวมถึงวิธีปฏิบัติทําลายซากสัตว์ที่ชัดเจน “นายกรัฐมนตรีใส่ใจตั้งแต่ต้น ที่ผ่านมาได้กําชับหน่วยงานเฝ้าระวังและควบคุมการลักลอบนําสัตว์ข้ามพรมแดน การเคลื่อนย้ายสัตว์ข้ามพื้นที่ รวมทั้งการเยียวยาให้แก่เจ้าของฟาร์มรายย่อย จากมาตรการทําลายสัตว์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรค ทําให้ไทยสามารถป้องกันความรุนแรงโรค ASF ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศมีการระบาดของโรคไปแล้ว โดยคํานึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชน และรักษาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหมู ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ส่งออกเป็นอันดับ 2 ของไทย ดังนั้น พรรคเพื่อไทยไม่จําเป็นต้องออกมาขู่ หากจะนําเรื่องเข้าหารือในสภาฯ ก็สามารถดําเนินการได้ รัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพร้อมชี้แจงในสภาฯ อยู่แล้ว ยืนยันว่าไม่จําเป็นต้องปกปิดข้อมูลใด ๆ แต่ต้องไม่ใช่ว่า ฝ่ายค้านสร้างความสับสนไว้ แต่พอได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากรัฐบาลแล้ว กลับไม่ไปอธิบายให้ประชาชนเข้าใจในข้อมูลผิด ๆ ที่ตัวเองพูดไว้ แบบนั้นถือว่าไม่รับผิดชอบการกระทําของตัวเอง” นายธนกร กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” อย่าขู่ รัฐบาลพร้อมชี้แจงในสภาฯ ย้ำไทยยกระดับป้องกัน ASF เป็นวาระแห่งชาติปี 62 สามารถชะลอผลกระทบโรคระบาดในสัตว์ วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2565 โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” อย่าขู่ รัฐบาลพร้อมชี้แจงในสภาฯ ย้ําไทยยกระดับป้องกัน ASF เป็นวาระแห่งชาติปี 62 สามารถชะลอผลกระทบโรคระบาดในสัตว์ โฆษกรัฐบาลสวน “เพื่อไทย” อย่าขู่ รัฐบาลพร้อมชี้แจงในสภาฯ ย้ําไทยยกระดับป้องกัน ASF เป็นวาระแห่งชาติปี 62 สามารถชะลอผลกระทบโรคระบาดในสัตว์ หากปกปิดข้อมูลหรือไม่ดําเนินการเลย เชื่อว่าผู้บริโภคและอุตสาหกรรมหมูของไทยจะได้รับผลกระทบเสียหายมากกว่านี้ วันที่ 13 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอหิวาต์แอฟริกา (ASF) ในสุกรและปัญหาราคาสุกรแพงว่า รัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีมาตรการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการระบาดของโรค ASF ในสุกรทันทีที่ได้รับรายงานครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียที่ประเทศจีน เมื่อปี 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้ดําเนินการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคในสัตว์ทันที และยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน รวมวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว 5 ครั้งกว่า 1,547 ล้านบาท เพื่อระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรค AFS ในสุกร นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังสนับสนุนภาครัฐและสถาบันการศึกษา ที่จะร่วมมือกันพัฒนาวัคซีนเพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งหากสําเร็จไทยจะเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกในการผลิตวัคซีนรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาด้วย นายธนกร กล่าวอีกว่า คณะทํางานด้านวิชาการในการป้องกัน ควบคุมและกําจัดโรค ASF ในสุกร จัดทําแผนควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Contingency Plan)และแนวเวชปฏิบัติของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Clinical Practice Guideline) มีการจัดตั้ง War Room ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนมาตรการ เตรียมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการในการตรวจวินิจฉัย และซ้อมแผนรับมือโรคฯ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมนําข้อมูลการระบาดที่ประเทศจีนและเวียดนามมาทําแผนที่ความเสี่ยงด้วยวิธีการ Spatial Multi-Criteria Decision Analysis (S-MCDA) เพื่อใช้ระบุพื้นที่เสี่ยงในการดําเนินการเฝ้าระวังทางอาการทางคลินิก รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ X-Ray เคาะประตูบ้าน เฝ้าระวังทางอาการ ขึ้นทะเบียนและประเมินความเสี่ยงด้วยแอพลิเคชัน อี-สมาร์ทพลัส พร้อมให้คําแนะนําความรู้เรื่องโรคและการป้องกัน ขณะเดียวกัน ก็สร้างความรับรู้และความเข้าใจให้แก่เกษตรกร ทราบว่าโรค ASF ในสุกรเป็นโรคระบาดร้ายแรงในสุกร ทําให้มีอัตราการตายสูง แต่ไม่ติดต่อสู่คน เนื้อสุกรสามารถบริโภคได้ ทั้งนี้ ภาคเอกชนเข้าใจสถานการณ์ที่ไทยได้มีการเปิดเผย การพบโรค ASF ในไทยเป็นอย่างดี โดยรองประธานหอการค้าไทยมั่นใจว่า จะไม่กระทบกับความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของสินค้าไทย รวมทั้งการซื้อ-ขาย ส่งออก หรือ การบริโภคเนื้อหมู เพราะทราบดีว่าสามารถพบและมีโอกาสในการเกิดโรคระบาดในสัตว์ ซึ่งประเทศไทยเองยังมีพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์บังคับ พ.ศ. 2558 ที่มีการกําหนดมาตรการเยียวยาเกษตรกร การชดเชย รวมถึงวิธีปฏิบัติทําลายซากสัตว์ที่ชัดเจน “นายกรัฐมนตรีใส่ใจตั้งแต่ต้น ที่ผ่านมาได้กําชับหน่วยงานเฝ้าระวังและควบคุมการลักลอบนําสัตว์ข้ามพรมแดน การเคลื่อนย้ายสัตว์ข้ามพื้นที่ รวมทั้งการเยียวยาให้แก่เจ้าของฟาร์มรายย่อย จากมาตรการทําลายสัตว์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรค ทําให้ไทยสามารถป้องกันความรุนแรงโรค ASF ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศมีการระบาดของโรคไปแล้ว โดยคํานึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชน และรักษาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหมู ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ส่งออกเป็นอันดับ 2 ของไทย ดังนั้น พรรคเพื่อไทยไม่จําเป็นต้องออกมาขู่ หากจะนําเรื่องเข้าหารือในสภาฯ ก็สามารถดําเนินการได้ รัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพร้อมชี้แจงในสภาฯ อยู่แล้ว ยืนยันว่าไม่จําเป็นต้องปกปิดข้อมูลใด ๆ แต่ต้องไม่ใช่ว่า ฝ่ายค้านสร้างความสับสนไว้ แต่พอได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากรัฐบาลแล้ว กลับไม่ไปอธิบายให้ประชาชนเข้าใจในข้อมูลผิด ๆ ที่ตัวเองพูดไว้ แบบนั้นถือว่าไม่รับผิดชอบการกระทําของตัวเอง” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50478
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดกวช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565 บอร์ดกวช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี บอร์ดกวช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และเตรียมเสนอให้ “นาค” เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติประเภทสัตว์ในตํานาน บอร์ดกวช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และเตรียมเสนอให้ “นาค” เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติประเภทสัตว์ในตํานาน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) ในฐานะรองประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ครั้งที่ 5/2565 โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมฯ ที่ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรมและระบบประชุมทางไกลออนไลน์ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร ตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยต่อบทบาทการดําเนินงานของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และทรงให้ความสําคัญต่อการจัดการเอกสารจดหมายเหตุประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุในฐานะมรดกทางประวัติศาสตร์ พระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านจดหมายเหตุทั้งในและต่างประเทศ ทรงบันทึกข้อมูลในรูปแบบต่างๆด้วยพระองค์เองแล้วทรงนําพระราชนิพนธ์มาเผยแพร่เพื่อการศึกษาทั้งพระราชทานพระราชดําริประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานจดหมายเหตุ จึงน้อมเกล้าฯถวายพระราชสมัญญาที่เหมาะสมแด่พระองค์ เผยแผ่พระเกียรติคุณให้แผ่ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมการฯ มีรมว.วธ. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ อดีตรมว.วธ.และศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ เป็นที่ปรึกษา นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานอนุกรรมการฯ ส่วนอนุกรรมการฯประกอบด้วยอธิบดีกรมศิลปากร ศิลปินแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหารสํานักหอสมุดแห่งชาติ สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์และสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองข้อมูลเพื่อการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาและดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาฯให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ อีกทั้งที่ประชุมได้ให้วธ.โดยกรมศิลปากรจัดทําโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ อาทิ พิธีถวายพระราชสมัญญาฯ จัดสัมมนาระดับชาติ ประกาศยกย่องจดหมายเหตุที่บันทึกโดยชาวต่างชาติ และจัดทําหนังสือที่ระลึกโดยคัดเลือกเอกสารจดหมายเหตุเรื่องสําคัญนําเสนอในรูปแบบเรื่องสั้น 70 เรื่อง นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันที่ประชุมได้หารือเรื่องที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติมีมติเสนอให้“นาค”เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติประเภทสัตว์ในตํานาน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบเสนอให้“นาค”เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติประเภทสัตว์ในตํานาน เนื่องจาก “นาค” มีความเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตและดํารงอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานและเกี่ยวข้องกับสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้ประเทศไทยจะรับวัฒนธรรมเรื่อง“นาค” มาจากประเทศอินเดีย แต่ไทยได้นํามาปรับ สร้างสรรค์และต่อยอดโดยสื่อออกมาผ่านขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและพิธีกรรมต่างๆ งานวรรณกรรม ศิลปะและสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามีอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย อีกทั้งปัจจุบันมีการนําเรื่อง “นาค”ไปต่อยอด“Soft Power”ความเป็นไทยมากมาย เช่น ละคร ภาพยนตร์โดยมีการเผยแพร่ไปสู่สังคมโลกและผู้แทนคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้ประสานสํานักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรให้เขียนภาพต้นแบบ“นาค”เพื่อให้คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติและคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติพิจารณาก่อนที่จะนําเสนอข้อมูลและภาพต้นแบบ “นาค” เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรายงานผลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมรับฟังการเสวนา“ประเด็นการแต่งตั้งศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่าย) ประจําปี 2564” โดยที่ประชุมได้ให้สวธ.นําข้อเสนอจากการเสวนาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาในการปรับปรุงคณะอนุกรรมการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติและกระบวนการพิจารณาคัดเลือกศิลปินแห่งชาติต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดกวช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565 บอร์ดกวช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี บอร์ดกวช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และเตรียมเสนอให้ “นาค” เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติประเภทสัตว์ในตํานาน บอร์ดกวช. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และเตรียมเสนอให้ “นาค” เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติประเภทสัตว์ในตํานาน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) ในฐานะรองประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ครั้งที่ 5/2565 โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมฯ ที่ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรมและระบบประชุมทางไกลออนไลน์ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร ตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยต่อบทบาทการดําเนินงานของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และทรงให้ความสําคัญต่อการจัดการเอกสารจดหมายเหตุประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุในฐานะมรดกทางประวัติศาสตร์ พระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านจดหมายเหตุทั้งในและต่างประเทศ ทรงบันทึกข้อมูลในรูปแบบต่างๆด้วยพระองค์เองแล้วทรงนําพระราชนิพนธ์มาเผยแพร่เพื่อการศึกษาทั้งพระราชทานพระราชดําริประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานจดหมายเหตุ จึงน้อมเกล้าฯถวายพระราชสมัญญาที่เหมาะสมแด่พระองค์ เผยแผ่พระเกียรติคุณให้แผ่ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมการฯ มีรมว.วธ. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ อดีตรมว.วธ.และศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ เป็นที่ปรึกษา นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานอนุกรรมการฯ ส่วนอนุกรรมการฯประกอบด้วยอธิบดีกรมศิลปากร ศิลปินแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหารสํานักหอสมุดแห่งชาติ สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์และสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองข้อมูลเพื่อการดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาและดําเนินงานถวายพระราชสมัญญาฯให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ อีกทั้งที่ประชุมได้ให้วธ.โดยกรมศิลปากรจัดทําโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ อาทิ พิธีถวายพระราชสมัญญาฯ จัดสัมมนาระดับชาติ ประกาศยกย่องจดหมายเหตุที่บันทึกโดยชาวต่างชาติ และจัดทําหนังสือที่ระลึกโดยคัดเลือกเอกสารจดหมายเหตุเรื่องสําคัญนําเสนอในรูปแบบเรื่องสั้น 70 เรื่อง นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันที่ประชุมได้หารือเรื่องที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติมีมติเสนอให้“นาค”เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติประเภทสัตว์ในตํานาน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบเสนอให้“นาค”เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติประเภทสัตว์ในตํานาน เนื่องจาก “นาค” มีความเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตและดํารงอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานและเกี่ยวข้องกับสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้ประเทศไทยจะรับวัฒนธรรมเรื่อง“นาค” มาจากประเทศอินเดีย แต่ไทยได้นํามาปรับ สร้างสรรค์และต่อยอดโดยสื่อออกมาผ่านขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและพิธีกรรมต่างๆ งานวรรณกรรม ศิลปะและสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามีอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย อีกทั้งปัจจุบันมีการนําเรื่อง “นาค”ไปต่อยอด“Soft Power”ความเป็นไทยมากมาย เช่น ละคร ภาพยนตร์โดยมีการเผยแพร่ไปสู่สังคมโลกและผู้แทนคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้ประสานสํานักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรให้เขียนภาพต้นแบบ“นาค”เพื่อให้คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติและคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติพิจารณาก่อนที่จะนําเสนอข้อมูลและภาพต้นแบบ “นาค” เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรายงานผลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมรับฟังการเสวนา“ประเด็นการแต่งตั้งศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่าย) ประจําปี 2564” โดยที่ประชุมได้ให้สวธ.นําข้อเสนอจากการเสวนาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาในการปรับปรุงคณะอนุกรรมการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติและกระบวนการพิจารณาคัดเลือกศิลปินแห่งชาติต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55545
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม สั่งกรมบังคับคดี เพิ่มกำหนดการไกล่เกลี่ยหนี้สิน ให้ได้ลงพื้นที่เพิ่มอีก 1 จังหวัด หวังเร่งแบ่งเบาภาระประชาชน ตั้งใจลงเองทุกจังหวัด จี้ เร่งจัดให้ครอบคลุม
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 รมว.ยุติธรรม สั่งกรมบังคับคดี เพิ่มกําหนดการไกล่เกลี่ยหนี้สิน ให้ได้ลงพื้นที่เพิ่มอีก 1 จังหวัด หวังเร่งแบ่งเบาภาระประชาชน ตั้งใจลงเองทุกจังหวัด จี้ เร่งจัดให้ครอบคลุม รมว.ยุติธรรม ฟิตจัด สั่งกรมบังคับคดี เพิ่มกําหนดการไกล่เกลี่ยหนี้สิน ให้ได้ลงพื้นที่เพิ่มอีก 1 จังหวัด หวังเร่งแบ่งเบาภาระประชาชน ตั้งใจลงเองทุกจังหวัด จี้ เร่งจัดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่หลังประชาชนทั่วประเทศเรียกร้อง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามงานการไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน โดยมี นางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี นางสุจิตรา แก้วไกร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้บริหารกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า อยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปทําการบ้านว่า งานไกล่เกลี่ยหนี้สิน ที่จัดมาแล้ว 4 ครั้ง ต้องมีอะไรปรับแก้หรือไม่ เพราะจากที่ดําเนินการมา ประชาชน ให้ความสนใจเป็นอย่างดีมากขึ้นเป็นลําดับ จึงขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ทํางานหนักอย่างต่อเนื่อง นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากกําหนดการจัดงานไกล่เกลี่ยหนี้สิน จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 28 เมษายน ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ตนอยากให้เพิ่มอีกหนึ่งจังหวัดใกล้เคียง ในวันที่ 29 เมษายน เพราะตนอยากให้เร่งช่วยเหลือประชาชน ให้ได้มากที่สุด จึงขอให้ไปเพิ่มกําหนดการมาอีก 1 จังหวัด พร้อมขอให้ปรับรูปแบบการจัดงาน อาทิ บอร์ดภายในงาน ที่นําเสนอแต่ของกรม ก็อยากให้เพิ่มเป็นความรู้เรื่องกฎหมาย JSOC กองทุนยุติธรรม หรือ การเยียวยาประชาชน ซึ่งนอกจากการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินแล้ว เรายังมีการจัดงานให้ความรู้เกี่ยวกับพืชกระท่อม ของ ป.ป.ส. เพื่อให้พืชกระท่อมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน "ผมอยากให้ผู้นําท้องถิ่น ช่วยประสานประชาชน และช่วยประชาสัมพันธ์ให้รู้งานของกระทรวงยุติธรรม เพราะเราต้องการให้ประชาชนรู้ว่า เราทํางานอย่างหนัก เพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน ดังนั้น จากนี้ ขอให้รีบเลือกจังหวัด และแจ้งลูกหนี้ กับเจ้าหนี้ ให้เข้าร่วมงานโดยเร็ว เพราะผม อยากช่วยลงไปทุกจังหวัดที่จัดงาน ซึ่งประชาชนทั่วประเทศต้องการและเรียกร้องอยากให้จัดงานในทุกพื้นที่ โดยที่ผ่านมาเราจัดไปแล้ว 4 ครั้ง ช่วยเหลือลูกหนี้ไปแล้วเกือบ 6,000 คน มูลค่าทุนทรัพย์ 1,477 ล้านบาท" รมว.ยุติธรรม กล่าว ขณะที่ อธิบดีกรมบังคับคดี รายงานว่า จากที่จัดงานมา ได้มองเห็นการจัดโซน ระหว่าง การเสวนา และช่องไกล่เกลี่ย ถ้าแยกกัน จะสะดวกกว่า ส่วนจังหวัด ที่อยากให้เพิ่ม ในวันที่ 29 เมษายน นี้ ได้มองว่า จังหวัดลําปาง มีความเหมาะสม แต่ก็มีความกังวลว่า เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ที่ไม่ได้อยู่ในจังหวัด อาจจะเดินทางมาไม่ได้ ซึ่งอาจจะมีแค่คนในจังหวัดเท่านั้น แต่ก็จะเร่งโทรศัพท์ไปประสานอย่างเร่งด่วน /////////
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม สั่งกรมบังคับคดี เพิ่มกำหนดการไกล่เกลี่ยหนี้สิน ให้ได้ลงพื้นที่เพิ่มอีก 1 จังหวัด หวังเร่งแบ่งเบาภาระประชาชน ตั้งใจลงเองทุกจังหวัด จี้ เร่งจัดให้ครอบคลุม วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 รมว.ยุติธรรม สั่งกรมบังคับคดี เพิ่มกําหนดการไกล่เกลี่ยหนี้สิน ให้ได้ลงพื้นที่เพิ่มอีก 1 จังหวัด หวังเร่งแบ่งเบาภาระประชาชน ตั้งใจลงเองทุกจังหวัด จี้ เร่งจัดให้ครอบคลุม รมว.ยุติธรรม ฟิตจัด สั่งกรมบังคับคดี เพิ่มกําหนดการไกล่เกลี่ยหนี้สิน ให้ได้ลงพื้นที่เพิ่มอีก 1 จังหวัด หวังเร่งแบ่งเบาภาระประชาชน ตั้งใจลงเองทุกจังหวัด จี้ เร่งจัดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่หลังประชาชนทั่วประเทศเรียกร้อง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมติดตามงานการไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน โดยมี นางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี นางสุจิตรา แก้วไกร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้บริหารกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า อยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปทําการบ้านว่า งานไกล่เกลี่ยหนี้สิน ที่จัดมาแล้ว 4 ครั้ง ต้องมีอะไรปรับแก้หรือไม่ เพราะจากที่ดําเนินการมา ประชาชน ให้ความสนใจเป็นอย่างดีมากขึ้นเป็นลําดับ จึงขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ทํางานหนักอย่างต่อเนื่อง นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากกําหนดการจัดงานไกล่เกลี่ยหนี้สิน จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 28 เมษายน ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ตนอยากให้เพิ่มอีกหนึ่งจังหวัดใกล้เคียง ในวันที่ 29 เมษายน เพราะตนอยากให้เร่งช่วยเหลือประชาชน ให้ได้มากที่สุด จึงขอให้ไปเพิ่มกําหนดการมาอีก 1 จังหวัด พร้อมขอให้ปรับรูปแบบการจัดงาน อาทิ บอร์ดภายในงาน ที่นําเสนอแต่ของกรม ก็อยากให้เพิ่มเป็นความรู้เรื่องกฎหมาย JSOC กองทุนยุติธรรม หรือ การเยียวยาประชาชน ซึ่งนอกจากการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินแล้ว เรายังมีการจัดงานให้ความรู้เกี่ยวกับพืชกระท่อม ของ ป.ป.ส. เพื่อให้พืชกระท่อมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน "ผมอยากให้ผู้นําท้องถิ่น ช่วยประสานประชาชน และช่วยประชาสัมพันธ์ให้รู้งานของกระทรวงยุติธรรม เพราะเราต้องการให้ประชาชนรู้ว่า เราทํางานอย่างหนัก เพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน ดังนั้น จากนี้ ขอให้รีบเลือกจังหวัด และแจ้งลูกหนี้ กับเจ้าหนี้ ให้เข้าร่วมงานโดยเร็ว เพราะผม อยากช่วยลงไปทุกจังหวัดที่จัดงาน ซึ่งประชาชนทั่วประเทศต้องการและเรียกร้องอยากให้จัดงานในทุกพื้นที่ โดยที่ผ่านมาเราจัดไปแล้ว 4 ครั้ง ช่วยเหลือลูกหนี้ไปแล้วเกือบ 6,000 คน มูลค่าทุนทรัพย์ 1,477 ล้านบาท" รมว.ยุติธรรม กล่าว ขณะที่ อธิบดีกรมบังคับคดี รายงานว่า จากที่จัดงานมา ได้มองเห็นการจัดโซน ระหว่าง การเสวนา และช่องไกล่เกลี่ย ถ้าแยกกัน จะสะดวกกว่า ส่วนจังหวัด ที่อยากให้เพิ่ม ในวันที่ 29 เมษายน นี้ ได้มองว่า จังหวัดลําปาง มีความเหมาะสม แต่ก็มีความกังวลว่า เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ที่ไม่ได้อยู่ในจังหวัด อาจจะเดินทางมาไม่ได้ ซึ่งอาจจะมีแค่คนในจังหวัดเท่านั้น แต่ก็จะเร่งโทรศัพท์ไปประสานอย่างเร่งด่วน /////////
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53704
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือนคนไทยที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศศึกษาข้อมูล/ข้อห้ามให้ดี หลังพบถูกส่งกลับ/จับกุมหลายกรณี
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 รัฐบาลเตือนคนไทยที่กําลังจะเดินทางไปต่างประเทศศึกษาข้อมูล/ข้อห้ามให้ดี หลังพบถูกส่งกลับ/จับกุมหลายกรณี รัฐบาลเตือนคนไทยที่กําลังจะเดินทางไปต่างประเทศศึกษาข้อมูล/ข้อห้ามให้ดี หลังพบถูกส่งกลับ/จับกุมหลายกรณี วันนี้(20ส.ค.65)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศให้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเทศนั้นๆให้ดีก่อนเดินทางเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาระหว่างเดินทางซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศรายงานว่าช่วงที่ผ่านมามีคนไทยถูกส่งตัวกลับประเทศหรือถูกจับกุมตัวดําเนินคดีในต่างประเทศในหลายกรณีดังนี้ 1.ช่วง2-3สัปดาห์ที่ผ่านมาทางการเกาหลีใต้ได้ปฏิเสธการเข้าเมืองของคนไทย2เที่ยวบินในเวลาใกล้เคียงกันรวมถึงมีกรณีปลีกย่อยเกี่ยวกับปฏิเสธการเข้าเมืองอีกจํานวนมากเนื่องจากพิจารณาจากหลักฐานและข้อมูลแล้วเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่คนไทยเหล่านี้น่าจะมุ่งลักลอบทํางานอย่างผิดกฎหมายซึ่งการลักลอบเข้าประเทศเกาหลีใต้มีโทษทั้งปรับและจําคุกอย่างไรก็ตามผู้ที่พํานักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายไม่ต้องโทษคดีอาญาและได้รับวัคซีนป้องกันโควิดเข็มที่สามภายในวันที่30เมษายน2565หากเดินทางออกจากเกาหลีใต้ภายในวันที่31ตุลาคม2565จะได้รับการยกเว้นค่าปรับและไม่ถูกบรรจุชื่อในบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าเกาหลีใต้โดยสามารถไปรายงานตัวที่สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองล่วงหน้าอย่างน้อย3วันก่อนการเดินทาง 2.การนํากัญชาออกนอกประเทศเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากเพราะกฎหมายในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันคนไทยที่นํากัญชากัญชงหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของพืชชนิดดังกล่าวติดตัวขณะเดินทางไปยังประเทศที่กฎหมายห้ามอาจถูกลงโทษตามกฎหมายของประเทศนั้นๆโดยโทษมีตั้งแต่การปรับเงินเนรเทศจําคุกตลอดชีวิตไปจนถึงประหารชีวิตจึงขอย้ําเตือนให้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษของแต่ละประเทศอย่างละเอียดก่อนการเดินทาง 3.กรณีที่ประสงค์ไปทํางานในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันออกกลางเช่นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออีกาตาร์โอมานและบาห์เรนขอให้ระวังการชักชวนจากนายหน้าหรือกลุ่มแม่แท็กที่มักจะชวนให้ไปทํางานประเภทนวดแผนไทย/สปาโดยอ้างว่าไม่ต้องแสดงหลักฐานหนังสือเดินทางและวีซ่าและสามารถเดินทางเข้าช่องทางปกติที่มีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลหรือมีเงื่อนไขการทํางานหรือให้ผลตอบแทนที่ดีจนผิดปกติ การเข้าไปทํางานผ่านช่องทางรูปแบบนี้จะไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายใดๆและไม่สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและเงินชดเชยได้หากถูกโกงสัญญาจ้างงานถูกทําร้ายร่างกายถูกบังคับค้าประเวณีหรือถูกกักบริเวณเนื่องจากเป็นการลักลอบทํางานโดยใช้วีซ่าผิดประเภท “นายกรัฐมนตรีฝากให้เน้นย้ําว่าคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศขอให้ตรวจสอบเรื่องแนวปฏิบัติและข้อกฎหมายของประเทศนั้นๆให้ดีไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือไปทํางานและขอให้เคารพกฎหมายและกฎระเบียบท้องถิ่นสําหรับผู้ที่จะไปทํางานขอให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทํางานและรายละเอียดสัญญาว่าจ้างให้รอบคอบจะได้ไม่ถูกหลอกหรือเอาเปรียบทั้งนี้ประชาชนที่มีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่กระทรวงการต่างประเทศหรือหากประสบปัญหาในต่างประเทศติดต่อสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ไทยในประเทศนั้นๆหรือช่องทางออนไลน์เช่นเว็บไซต์หรือเฟซบุครวมถึงติดต่อCall Centerกรมการกงสุลหมายเลข02 572 8442ได้ตลอด24ชม.”นางสาวรัชดากล่าว —————
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือนคนไทยที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศศึกษาข้อมูล/ข้อห้ามให้ดี หลังพบถูกส่งกลับ/จับกุมหลายกรณี วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 รัฐบาลเตือนคนไทยที่กําลังจะเดินทางไปต่างประเทศศึกษาข้อมูล/ข้อห้ามให้ดี หลังพบถูกส่งกลับ/จับกุมหลายกรณี รัฐบาลเตือนคนไทยที่กําลังจะเดินทางไปต่างประเทศศึกษาข้อมูล/ข้อห้ามให้ดี หลังพบถูกส่งกลับ/จับกุมหลายกรณี วันนี้(20ส.ค.65)นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศให้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเทศนั้นๆให้ดีก่อนเดินทางเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาระหว่างเดินทางซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศรายงานว่าช่วงที่ผ่านมามีคนไทยถูกส่งตัวกลับประเทศหรือถูกจับกุมตัวดําเนินคดีในต่างประเทศในหลายกรณีดังนี้ 1.ช่วง2-3สัปดาห์ที่ผ่านมาทางการเกาหลีใต้ได้ปฏิเสธการเข้าเมืองของคนไทย2เที่ยวบินในเวลาใกล้เคียงกันรวมถึงมีกรณีปลีกย่อยเกี่ยวกับปฏิเสธการเข้าเมืองอีกจํานวนมากเนื่องจากพิจารณาจากหลักฐานและข้อมูลแล้วเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่คนไทยเหล่านี้น่าจะมุ่งลักลอบทํางานอย่างผิดกฎหมายซึ่งการลักลอบเข้าประเทศเกาหลีใต้มีโทษทั้งปรับและจําคุกอย่างไรก็ตามผู้ที่พํานักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายไม่ต้องโทษคดีอาญาและได้รับวัคซีนป้องกันโควิดเข็มที่สามภายในวันที่30เมษายน2565หากเดินทางออกจากเกาหลีใต้ภายในวันที่31ตุลาคม2565จะได้รับการยกเว้นค่าปรับและไม่ถูกบรรจุชื่อในบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าเกาหลีใต้โดยสามารถไปรายงานตัวที่สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองล่วงหน้าอย่างน้อย3วันก่อนการเดินทาง 2.การนํากัญชาออกนอกประเทศเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากเพราะกฎหมายในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันคนไทยที่นํากัญชากัญชงหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของพืชชนิดดังกล่าวติดตัวขณะเดินทางไปยังประเทศที่กฎหมายห้ามอาจถูกลงโทษตามกฎหมายของประเทศนั้นๆโดยโทษมีตั้งแต่การปรับเงินเนรเทศจําคุกตลอดชีวิตไปจนถึงประหารชีวิตจึงขอย้ําเตือนให้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษของแต่ละประเทศอย่างละเอียดก่อนการเดินทาง 3.กรณีที่ประสงค์ไปทํางานในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันออกกลางเช่นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออีกาตาร์โอมานและบาห์เรนขอให้ระวังการชักชวนจากนายหน้าหรือกลุ่มแม่แท็กที่มักจะชวนให้ไปทํางานประเภทนวดแผนไทย/สปาโดยอ้างว่าไม่ต้องแสดงหลักฐานหนังสือเดินทางและวีซ่าและสามารถเดินทางเข้าช่องทางปกติที่มีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลหรือมีเงื่อนไขการทํางานหรือให้ผลตอบแทนที่ดีจนผิดปกติ การเข้าไปทํางานผ่านช่องทางรูปแบบนี้จะไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายใดๆและไม่สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและเงินชดเชยได้หากถูกโกงสัญญาจ้างงานถูกทําร้ายร่างกายถูกบังคับค้าประเวณีหรือถูกกักบริเวณเนื่องจากเป็นการลักลอบทํางานโดยใช้วีซ่าผิดประเภท “นายกรัฐมนตรีฝากให้เน้นย้ําว่าคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศขอให้ตรวจสอบเรื่องแนวปฏิบัติและข้อกฎหมายของประเทศนั้นๆให้ดีไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือไปทํางานและขอให้เคารพกฎหมายและกฎระเบียบท้องถิ่นสําหรับผู้ที่จะไปทํางานขอให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทํางานและรายละเอียดสัญญาว่าจ้างให้รอบคอบจะได้ไม่ถูกหลอกหรือเอาเปรียบทั้งนี้ประชาชนที่มีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่กระทรวงการต่างประเทศหรือหากประสบปัญหาในต่างประเทศติดต่อสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ไทยในประเทศนั้นๆหรือช่องทางออนไลน์เช่นเว็บไซต์หรือเฟซบุครวมถึงติดต่อCall Centerกรมการกงสุลหมายเลข02 572 8442ได้ตลอด24ชม.”นางสาวรัชดากล่าว —————
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แนะ ก.วัฒนธรรม-ก.ท่องเที่ยวฯ นำศักยภาพ Soft Power ของไทย มาพัฒนาต่อยอด ร่วมกันขับเคลื่อนสร้างอาชีพ รายได้ระดับท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ แนะ ก.วัฒนธรรม-ก.ท่องเที่ยวฯ นําศักยภาพ Soft Power ของไทย มาพัฒนาต่อยอด ร่วมกันขับเคลื่อนสร้างอาชีพ รายได้ระดับท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย นายกฯ แนะ ก.วัฒนธรรม-ก.ท่องเที่ยวฯ นําศักยภาพ Soft Power ของไทย มาพัฒนาต่อยอด ร่วมกันขับเคลื่อนสร้างอาชีพ รายได้ระดับท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยตามนโยบายรัฐบาล วันนี้ (8 ก.พ.65) เวลา 08.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ประจําปี 2565” (Thailand Tourism Festival: TTF 2022) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 22 กุมภาพันธ์ 2565 ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ภายใต้แนวคิด “เที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” โดยเป็นการนําเสนอการพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย แบบ Amazing New Chapters และเปิดปีท่องเที่ยวไทย 2565 Amazing ยิ่งกว่าเดิม ด้วยแนวทาง “ปลอดภัย ประทับใจและแตกต่าง” โดยนําผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคเข้าร่วม นําเสนอภูมิปัญญา วัฒนธรรม ประเพณี อาหาร วิถีชุมชนด้วยการสาธิต พร้อมทั้งนําเสนอเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวใหม่ ๆ โดยใช้มาตรการ Covid Free Event แบบ New Normal เน้นความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานตามมาตรการของรัฐบาล หวังกระตุ้นการท่องเที่ยวตลาดในประเทศปี 2565 ให้เกิดรายได้หมุนเวียนกว่า 680,700 ล้านบาท นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการการจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์งานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (CCPOT GRAND EXPOSITION) ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้น 5 วัน ระหว่างวันที่ 16 – 20 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการ การจําหน่ายสินค้า การสาธิตผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม และการเจรจาธุรกิจ เพื่อให้ชุมชนและผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมได้ใช้งานนี้เป็นเวทีในการขยายโอกาสทางการตลาด พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในประชาคมโลก ด้วยการพัฒนาบนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและยุทธศาสตร์ชาติ มุ่งพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลาง ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างรายได้ให้ประชาชนให้เพียงพอต่อการดํารงชีวิตโดยใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นแกนขับเคลื่อนสําคัญ รวมถึงกิจกรรมและธุรกิจชุมชนที่มีศักยภาพและโอกาสที่ก่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพ ตลอดจนการอนุรักษ์สืบสานต่อยอดรากวัฒนธรรมไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และนางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นําเยี่ยมชมนิทรรศการ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ชมกิจกรรมย่อย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย และผลิตภัณฑ์ศิลปะมรดกวัฒนธรรม และการสาธิตการจําหน่ายสินค้า Online ในรูปแบบ Virtual Exhibition บนจอ Touch Screen โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบบัตรเชิญร่วมงาน “งานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย : CCPOT GRAND EXPOSITION” และมอบของที่ระลึกแก่นายกรัฐมนตรีด้วย นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําการจัดงานให้ดําเนินการภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด พร้อมขอให้กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการการทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการมุ่งเน้นนําศักยภาพ Soft Power ที่ประเทศไทยมีอยู่ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย ฯลฯ มาพัฒนาต่อยอดร่วมกันขับเคลื่อนสร้างอาชีพและรายได้ในระดับท้องถิ่น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างยั่งยืน รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้าภูมิปัญญาของไทยนํามาขยายตลาดจําหน่ายผ่านระบบออนไลน์ ทําให้สามารถเพิ่มมูลค่าและปริมาณมาณได้มากขึ้นตลอดจนเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายและตรงกับความต้องการของตลาด อีกทั้งยังแนะนําให้มีการประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้ประชาชนที่มีพื้นที่ที่เหมาะสม ปลูกดอกบัว โดยเฉพาะสายพันธุ์ “บัวฉลองขวัญ” เพราะมีดอกที่สวยงามสามารถนํามาทําประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งนําไปบูชาพระและประดับใส่แจกันได้สวยงาม และยังเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย เหมาะกับสภาพภูมิอากาศประเทศไทย โดยบัวฉลองขวัญ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่สวยงาม และผู้ที่พัฒนาผสมพันธุ์บัวสายพันธุ์นี้ขึ้นมาเป็นคนไทย ผ่านการประกวดและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีระดับโลกมาแล้ว ------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แนะ ก.วัฒนธรรม-ก.ท่องเที่ยวฯ นำศักยภาพ Soft Power ของไทย มาพัฒนาต่อยอด ร่วมกันขับเคลื่อนสร้างอาชีพ รายได้ระดับท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ แนะ ก.วัฒนธรรม-ก.ท่องเที่ยวฯ นําศักยภาพ Soft Power ของไทย มาพัฒนาต่อยอด ร่วมกันขับเคลื่อนสร้างอาชีพ รายได้ระดับท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย นายกฯ แนะ ก.วัฒนธรรม-ก.ท่องเที่ยวฯ นําศักยภาพ Soft Power ของไทย มาพัฒนาต่อยอด ร่วมกันขับเคลื่อนสร้างอาชีพ รายได้ระดับท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยตามนโยบายรัฐบาล วันนี้ (8 ก.พ.65) เวลา 08.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ประจําปี 2565” (Thailand Tourism Festival: TTF 2022) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 22 กุมภาพันธ์ 2565 ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ภายใต้แนวคิด “เที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” โดยเป็นการนําเสนอการพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย แบบ Amazing New Chapters และเปิดปีท่องเที่ยวไทย 2565 Amazing ยิ่งกว่าเดิม ด้วยแนวทาง “ปลอดภัย ประทับใจและแตกต่าง” โดยนําผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคเข้าร่วม นําเสนอภูมิปัญญา วัฒนธรรม ประเพณี อาหาร วิถีชุมชนด้วยการสาธิต พร้อมทั้งนําเสนอเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวใหม่ ๆ โดยใช้มาตรการ Covid Free Event แบบ New Normal เน้นความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานตามมาตรการของรัฐบาล หวังกระตุ้นการท่องเที่ยวตลาดในประเทศปี 2565 ให้เกิดรายได้หมุนเวียนกว่า 680,700 ล้านบาท นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการการจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์งานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (CCPOT GRAND EXPOSITION) ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้น 5 วัน ระหว่างวันที่ 16 – 20 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการ การจําหน่ายสินค้า การสาธิตผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม และการเจรจาธุรกิจ เพื่อให้ชุมชนและผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมได้ใช้งานนี้เป็นเวทีในการขยายโอกาสทางการตลาด พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในประชาคมโลก ด้วยการพัฒนาบนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและยุทธศาสตร์ชาติ มุ่งพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลาง ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างรายได้ให้ประชาชนให้เพียงพอต่อการดํารงชีวิตโดยใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นแกนขับเคลื่อนสําคัญ รวมถึงกิจกรรมและธุรกิจชุมชนที่มีศักยภาพและโอกาสที่ก่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพ ตลอดจนการอนุรักษ์สืบสานต่อยอดรากวัฒนธรรมไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และนางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นําเยี่ยมชมนิทรรศการ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ชมกิจกรรมย่อย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย และผลิตภัณฑ์ศิลปะมรดกวัฒนธรรม และการสาธิตการจําหน่ายสินค้า Online ในรูปแบบ Virtual Exhibition บนจอ Touch Screen โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบบัตรเชิญร่วมงาน “งานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย : CCPOT GRAND EXPOSITION” และมอบของที่ระลึกแก่นายกรัฐมนตรีด้วย นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําการจัดงานให้ดําเนินการภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด พร้อมขอให้กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการการทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการมุ่งเน้นนําศักยภาพ Soft Power ที่ประเทศไทยมีอยู่ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย ฯลฯ มาพัฒนาต่อยอดร่วมกันขับเคลื่อนสร้างอาชีพและรายได้ในระดับท้องถิ่น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างยั่งยืน รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้าภูมิปัญญาของไทยนํามาขยายตลาดจําหน่ายผ่านระบบออนไลน์ ทําให้สามารถเพิ่มมูลค่าและปริมาณมาณได้มากขึ้นตลอดจนเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายและตรงกับความต้องการของตลาด อีกทั้งยังแนะนําให้มีการประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้ประชาชนที่มีพื้นที่ที่เหมาะสม ปลูกดอกบัว โดยเฉพาะสายพันธุ์ “บัวฉลองขวัญ” เพราะมีดอกที่สวยงามสามารถนํามาทําประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งนําไปบูชาพระและประดับใส่แจกันได้สวยงาม และยังเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย เหมาะกับสภาพภูมิอากาศประเทศไทย โดยบัวฉลองขวัญ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่สวยงาม และผู้ที่พัฒนาผสมพันธุ์บัวสายพันธุ์นี้ขึ้นมาเป็นคนไทย ผ่านการประกวดและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีระดับโลกมาแล้ว ------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51346
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เร่งทำถุงยังชีพเพิ่ม ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด -19
วันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 รมว.พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด เร่งทําถุงยังชีพเพิ่ม ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด -19 รมว.พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด เร่งทําถุงยังชีพเพิ่ม ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด -19 วันนี้ (25 ส.ค. 64) เวลา 09.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. รับมอบเครื่องอุปโภคและบริโภค มูลค่า 285,600 บาท จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด โดยมีนางสาวศิริพร ไชยสุต รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายยุทธศาสตร์ เอเชียแปฃิฟิค เป็นผู้แทนมอบ เพื่อให้ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. นําไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นายจุติ กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้ส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทุกประเทศในขณะนี้เกิดวิกฤติเหมือนกันหมด กระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงและจําเป็นต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนจัดทําถุงยังชีพนําเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นไปมอบให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และวันนี้ กระทรวง พม. ได้รับบริจาคเครื่องอุปโภคและบริโภค มีมูลค่าถึง 285,600 บาท จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด เพื่อนําไปแจกจ่ายช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่กําลังประสบปัญหาเดือดร้อน และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด ได้มาเป็นเครือข่าย เป็นผู้สนับสนุนของกระทรวง พม. ซึ่งตนขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในขณะนี้เราขาดแคลนสิ่งของจํานวนมากในการนําไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยสิ่งของที่ท่านนํามามอบให้กระทรวง พม. ในวันนี้ ตนขอยืนยันว่าของทุกชิ้นจะนําไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้ขาดแคลน และจะไม่ให้ตกหล่น โดยจะถูกนําไปแจกจ่ายช่วยเหลือให้ถึงยังกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันกระทรวง พม. ได้ไปสํารวจความต้องการถุงยังชีพของประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ กทม. ซึ่งมีความต้องการประมาณ 17,000 ราย แต่ขณะนี้ เรามี 7,000 ถุงยังชีพ แต่เรายังคงขาดแคลน จึงต้องพยายามหามาเติมให้ได้ ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันบริจาคเงิน สิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อาหาร และยารักษาโรค เป็นต้น เพื่อนําไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่กําลังประสบปัญหาเดือดร้อนและความยากลําบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. โทร. 0 2659 6476 และศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เร่งทำถุงยังชีพเพิ่ม ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด -19 วันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 รมว.พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด เร่งทําถุงยังชีพเพิ่ม ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด -19 รมว.พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด เร่งทําถุงยังชีพเพิ่ม ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด -19 วันนี้ (25 ส.ค. 64) เวลา 09.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. รับมอบเครื่องอุปโภคและบริโภค มูลค่า 285,600 บาท จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด โดยมีนางสาวศิริพร ไชยสุต รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายยุทธศาสตร์ เอเชียแปฃิฟิค เป็นผู้แทนมอบ เพื่อให้ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. นําไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม. นายจุติ กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้ส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทุกประเทศในขณะนี้เกิดวิกฤติเหมือนกันหมด กระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงและจําเป็นต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนจัดทําถุงยังชีพนําเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นไปมอบให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และวันนี้ กระทรวง พม. ได้รับบริจาคเครื่องอุปโภคและบริโภค มีมูลค่าถึง 285,600 บาท จากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด เพื่อนําไปแจกจ่ายช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่กําลังประสบปัญหาเดือดร้อน และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสํารวจและผลิต จํากัด ได้มาเป็นเครือข่าย เป็นผู้สนับสนุนของกระทรวง พม. ซึ่งตนขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในขณะนี้เราขาดแคลนสิ่งของจํานวนมากในการนําไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยสิ่งของที่ท่านนํามามอบให้กระทรวง พม. ในวันนี้ ตนขอยืนยันว่าของทุกชิ้นจะนําไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้ขาดแคลน และจะไม่ให้ตกหล่น โดยจะถูกนําไปแจกจ่ายช่วยเหลือให้ถึงยังกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันกระทรวง พม. ได้ไปสํารวจความต้องการถุงยังชีพของประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ กทม. ซึ่งมีความต้องการประมาณ 17,000 ราย แต่ขณะนี้ เรามี 7,000 ถุงยังชีพ แต่เรายังคงขาดแคลน จึงต้องพยายามหามาเติมให้ได้ ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันบริจาคเงิน สิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อาหาร และยารักษาโรค เป็นต้น เพื่อนําไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่กําลังประสบปัญหาเดือดร้อนและความยากลําบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. โทร. 0 2659 6476 และศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45134
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกรัฐมนตรี มอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นผู้แทน ไปมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว อส.ทพ.วัฎจักร พรหมนุ้ย ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส"
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2564 "นายกรัฐมนตรี มอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นผู้แทน ไปมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว อส.ทพ.วัฎจักร พรหมนุ้ย ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส" พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้แทนมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว อส.ทพ. วัฎจักร พรหมนุ้ย ที่เสียชีวิต จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส จํานวน 30,000 บาท ณ วัดควนยาว ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช โดยมี นางวันดี พรหมนุ้ย มารดาของผู้เสียชีวิต เป็นผู้รับมอบ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต โดยมี นางอนุรี วิศิษฎ์วงศ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย นายสนั่น สนธิเมือง ปลัดจังหวัดนครศรีธรรมราช และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกรัฐมนตรี มอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นผู้แทน ไปมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว อส.ทพ.วัฎจักร พรหมนุ้ย ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส" วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2564 "นายกรัฐมนตรี มอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นผู้แทน ไปมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว อส.ทพ.วัฎจักร พรหมนุ้ย ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส" พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้แทนมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว อส.ทพ. วัฎจักร พรหมนุ้ย ที่เสียชีวิต จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส จํานวน 30,000 บาท ณ วัดควนยาว ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช โดยมี นางวันดี พรหมนุ้ย มารดาของผู้เสียชีวิต เป็นผู้รับมอบ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต โดยมี นางอนุรี วิศิษฎ์วงศ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย นายสนั่น สนธิเมือง ปลัดจังหวัดนครศรีธรรมราช และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46518
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม คว้า 2 รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปี 2563"
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 "สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม คว้า 2 รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจําปี 2563" สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 7 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จํานวน 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ ระดับดี และรางวัลประกาศเกียรติคุณด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด ระดับดีเด่น โดย พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นรับรางวัล ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล สําหรับการได้รับรางวัลในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติงานด้านการตรวจสอบภายในที่เป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบภายในและจรรยาบรรณ การปฏิบัติงานตรวจสอบภายในที่กระทรวงการคลังกําหนด และด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด แสดงให้เห็นถึงการบริหารงานอย่างมีคุณธรรม ชัดเจน รอบคอบ โปร่งใส มีมาตรการควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดและความเสียหายหรือเกิดการทุจริตภายในสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งส่งผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล และเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานภายนอกกระทรวงกลาโหม #กลาโหม135ปี #สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม #กองบัญชาการกองทัพไทย #กองทัพบก #กองทัพเรือ #กองทัพอากาศ #สํานักงานตํารวจแห่งชาติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม คว้า 2 รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปี 2563" วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 "สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม คว้า 2 รางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจําปี 2563" สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 7 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จํานวน 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ ระดับดี และรางวัลประกาศเกียรติคุณด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด ระดับดีเด่น โดย พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นรับรางวัล ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล สําหรับการได้รับรางวัลในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติงานด้านการตรวจสอบภายในที่เป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบภายในและจรรยาบรรณ การปฏิบัติงานตรวจสอบภายในที่กระทรวงการคลังกําหนด และด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด แสดงให้เห็นถึงการบริหารงานอย่างมีคุณธรรม ชัดเจน รอบคอบ โปร่งใส มีมาตรการควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดและความเสียหายหรือเกิดการทุจริตภายในสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งส่งผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล และเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานภายนอกกระทรวงกลาโหม #กลาโหม135ปี #สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม #กองบัญชาการกองทัพไทย #กองทัพบก #กองทัพเรือ #กองทัพอากาศ #สํานักงานตํารวจแห่งชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51316
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแอบอ้างใช้เครื่องหมายราชการและชื่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 การแอบอ้างใช้เครื่องหมายราชการและชื่อสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ แถลงการณ์สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เรื่อง การแอบอ้างใช้เครื่องหมายราชการและชื่อสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นส่วนราชการภายใต้สังกัดของกระทรวงการคลังได้ดําเนินการตรวจพบว่ามีบุคคลนําตราสัญลักษณ์ของสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและนําชื่อสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจไปใช้เป็นการส่วนบุคคล โดยเผยแพร่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั้งในช่องทางเฟซบุ๊ก และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจขอเรียนว่า การนําตราสัญลักษณ์อันเป็นเครื่องหมายราชการของสํานักงานหรือนําชื่อของสํานักงานไปใช้เป็นการส่วนบุคคลอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมาย ในการนี้ จึงเห็นควรประกาศให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวมถึงประชาชนได้ทราบว่า สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจจะนําเครื่องหมายราชการหรือชื่อสํานักงานไปใช้เฉพาะในกรณีงานทางราชการของสํานักงาน หรือการมอบหมายงานอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ ตามกฎหมาย และกรณีการนําตราสัญลักษณ์หรือชื่อของสํานักงานไปใช้เป็นการส่วนบุคคลดังกล่าวนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับงานทางราชการของสํานักงานแต่ประการใด นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจจะได้ดําเนินการตรวจสอบการกระทําดังกล่าวของบุคคลว่าเข้าข่ายต้องดําเนินการในทางคดี รวมถึงทําให้เกิดความเสียหายต่อภาครัฐเพียงใด เพื่อจะดําเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป ในการนี้หากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือประชาชนเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการนําตราสัญลักษณ์อันเป็นเครื่องหมายราชการหรือชื่อสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจไปโดยมิได้รับอนุญาต ใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะควร หรือมีข้อสงสัยอื่นใด ขอได้โปรดแจ้งสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้โดยตรงผ่านทางช่องทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail: [email protected]) หรือเบอร์โทรศัพท์ ๐ ๒๒๙๘ ๕๘๘๐ - ๗ ประกาศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแอบอ้างใช้เครื่องหมายราชการและชื่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 การแอบอ้างใช้เครื่องหมายราชการและชื่อสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ แถลงการณ์สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เรื่อง การแอบอ้างใช้เครื่องหมายราชการและชื่อสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นส่วนราชการภายใต้สังกัดของกระทรวงการคลังได้ดําเนินการตรวจพบว่ามีบุคคลนําตราสัญลักษณ์ของสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและนําชื่อสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจไปใช้เป็นการส่วนบุคคล โดยเผยแพร่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั้งในช่องทางเฟซบุ๊ก และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจขอเรียนว่า การนําตราสัญลักษณ์อันเป็นเครื่องหมายราชการของสํานักงานหรือนําชื่อของสํานักงานไปใช้เป็นการส่วนบุคคลอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมาย ในการนี้ จึงเห็นควรประกาศให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวมถึงประชาชนได้ทราบว่า สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจจะนําเครื่องหมายราชการหรือชื่อสํานักงานไปใช้เฉพาะในกรณีงานทางราชการของสํานักงาน หรือการมอบหมายงานอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ ตามกฎหมาย และกรณีการนําตราสัญลักษณ์หรือชื่อของสํานักงานไปใช้เป็นการส่วนบุคคลดังกล่าวนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับงานทางราชการของสํานักงานแต่ประการใด นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจจะได้ดําเนินการตรวจสอบการกระทําดังกล่าวของบุคคลว่าเข้าข่ายต้องดําเนินการในทางคดี รวมถึงทําให้เกิดความเสียหายต่อภาครัฐเพียงใด เพื่อจะดําเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป ในการนี้หากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือประชาชนเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการนําตราสัญลักษณ์อันเป็นเครื่องหมายราชการหรือชื่อสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจไปโดยมิได้รับอนุญาต ใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะควร หรือมีข้อสงสัยอื่นใด ขอได้โปรดแจ้งสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้โดยตรงผ่านทางช่องทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail: [email protected]) หรือเบอร์โทรศัพท์ ๐ ๒๒๙๘ ๕๘๘๐ - ๗ ประกาศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา นำประชาชนชาวชัยนาทร่วมกิจกรรมจิตอาสา เพิ่มมูลค่าผักตบชวา รักษาแหล่งน้ำสรรพยา เฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา ในหลวง ร.10
วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565 รมต.อนุชา นําประชาชนชาวชัยนาทร่วมกิจกรรมจิตอาสา เพิ่มมูลค่าผักตบชวา รักษาแหล่งน้ําสรรพยา เฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา ในหลวง ร.10 รมต.อนุชา นําประชาชนชาวชัยนาทร่วมกิจกรรมจิตอาสา เพิ่มมูลค่าผักตบชวา รักษาแหล่งน้ําสรรพยา เฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา ในหลวง ร.10 วันนี้ (24 กรกฎาคม 2565) เวลา 10.00 น. ณ เทศบาลตําบลบางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะข้าราชการ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโครงการ "ดีพร้อมจิตอาสา เพิ่มมูลค่าผักตบชวา รักษาแหล่งน้ําสรรพยา" ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 3 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมี นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ดร.ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และจิตอาสาในพื้นที่ จ.ชัยนาท กว่า 250 คน ร่วมกิจกรรม รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอดศาสตร์พระราชา และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นหลักในการบําบัดทุกข์และบํารุงสุขให้ประชาชน และต่อยอดการดําเนินงานของหน่วยพระราชทานและประชาชนจิตอาสาพระราชทานให้เป็นแบบอย่างการบําเพ็ญสาธารณะประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาล นําโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําหนดเป็นนโยบายหลักในการปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศชาติ และเป็นโอกาสดีที่ประชาชนชาว จ.ชัยนาท ได้ร่วมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา และได้แสดงความจงรักภักดีผ่านการทํากิจกรรมจิตอาสาเพื่อพัฒนาและสร้างคุณประโยชน์ให้ชุมชน ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ DIPROM (ดีพร้อม) ได้ดําเนินกิจกรรมจิตอาสามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนได้ร่วมทํากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สอดคล้องกับการพัฒนาพื้นที่ และช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของคนในชุมชน อาทิ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การขุดลอกคูคลองระบายน้ํา การปลูกป่า การดูแลรักษาความสะอาดชุมชน เป็นต้น สําหรับในพื้นที่ จ.ชัยนาท ซึ่งมีผักตบชวาเป็นวัชพืชอยู่เป็นจํานวนมาก การจัดกิจกรรมครั้งนี้มีส่วนช่วยให้ชุมชนมีแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผักตบชวา โดยนํามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ครัวเรือน และช่วยลดมลพิษ ตามแนวทางการพัฒนา BCG ของรัฐบาล ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้สนับสนุนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย การรวบรวมผักตบชวา การคัดแยกผักตบชวา กระบวนการตากแห้ง และการแปรรูปผักตบชวา และได้สนับสนุนเครื่องจักรให้กับผู้ประกอบการชุมชนในพื้นที่ จํานวน 5 เครื่อง ...................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา นำประชาชนชาวชัยนาทร่วมกิจกรรมจิตอาสา เพิ่มมูลค่าผักตบชวา รักษาแหล่งน้ำสรรพยา เฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา ในหลวง ร.10 วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565 รมต.อนุชา นําประชาชนชาวชัยนาทร่วมกิจกรรมจิตอาสา เพิ่มมูลค่าผักตบชวา รักษาแหล่งน้ําสรรพยา เฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา ในหลวง ร.10 รมต.อนุชา นําประชาชนชาวชัยนาทร่วมกิจกรรมจิตอาสา เพิ่มมูลค่าผักตบชวา รักษาแหล่งน้ําสรรพยา เฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา ในหลวง ร.10 วันนี้ (24 กรกฎาคม 2565) เวลา 10.00 น. ณ เทศบาลตําบลบางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะข้าราชการ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโครงการ "ดีพร้อมจิตอาสา เพิ่มมูลค่าผักตบชวา รักษาแหล่งน้ําสรรพยา" ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 3 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมี นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ดร.ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และจิตอาสาในพื้นที่ จ.ชัยนาท กว่า 250 คน ร่วมกิจกรรม รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอดศาสตร์พระราชา และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นหลักในการบําบัดทุกข์และบํารุงสุขให้ประชาชน และต่อยอดการดําเนินงานของหน่วยพระราชทานและประชาชนจิตอาสาพระราชทานให้เป็นแบบอย่างการบําเพ็ญสาธารณะประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาล นําโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําหนดเป็นนโยบายหลักในการปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศชาติ และเป็นโอกาสดีที่ประชาชนชาว จ.ชัยนาท ได้ร่วมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา และได้แสดงความจงรักภักดีผ่านการทํากิจกรรมจิตอาสาเพื่อพัฒนาและสร้างคุณประโยชน์ให้ชุมชน ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ DIPROM (ดีพร้อม) ได้ดําเนินกิจกรรมจิตอาสามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนได้ร่วมทํากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สอดคล้องกับการพัฒนาพื้นที่ และช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของคนในชุมชน อาทิ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การขุดลอกคูคลองระบายน้ํา การปลูกป่า การดูแลรักษาความสะอาดชุมชน เป็นต้น สําหรับในพื้นที่ จ.ชัยนาท ซึ่งมีผักตบชวาเป็นวัชพืชอยู่เป็นจํานวนมาก การจัดกิจกรรมครั้งนี้มีส่วนช่วยให้ชุมชนมีแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผักตบชวา โดยนํามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ครัวเรือน และช่วยลดมลพิษ ตามแนวทางการพัฒนา BCG ของรัฐบาล ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้สนับสนุนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย การรวบรวมผักตบชวา การคัดแยกผักตบชวา กระบวนการตากแห้ง และการแปรรูปผักตบชวา และได้สนับสนุนเครื่องจักรให้กับผู้ประกอบการชุมชนในพื้นที่ จํานวน 5 เครื่อง ...................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามไพลิน สุโขทัย สนับสนุนอุปกรณ์ตามนโยบายรัฐบาล พร้อมให้กำลังใจแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่
วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามไพลิน สุโขทัย สนับสนุนอุปกรณ์ตามนโยบายรัฐบาล พร้อมให้กําลังใจแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามไพลิน สุโขทัย สนับสนุนอุปกรณ์ตามนโยบายรัฐบาล พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ กําชับจัดการระบบให้ดี ใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นทางเลือกรักษาผู้ป่วยไม่มีอาการ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่โรงพยาบาลสนามไพลิน จ.สุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายสมชาติ จิตอดุลย์การ ทีมฟุตบอล ฒ.หัวหมาก มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ ถุงมือยาง หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 เฟสชิว ชุดPPE ให้แก่สํานักงานสาธารณสุข จ.สุโขทัย โดยมี นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ นายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.สุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ ร่วมงาน จากนั้นนายสมศักดิ์ได้เดินตรวจเยี่ยมดูความเรียบร้อยของโรงพยาบาลสนามเพื่อให้กําลังใจแก่แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ โดยนายสมศักดิ์ ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมกันทํางาน และกําชับเกี่ยวกับการจัดการระบบต่างๆต้องทําให้ดี โดยเฉพาะระบบระบายอากาศ รวมทั้งช่วงนี้เป็นฤดูฝนจะมีปัญหาเรื่องยุงและแมลง จึงต้องมีการหามุ้งให้เพียงพอ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการใช้ยาฟ้าทะลายโจรมาเป็นทางเลือกในการรักษาอาการผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ ซึ่งในขณะนี้ฟ้าทะลายโจรอาจจะขาดแคลน แต่ตนได้เร่งให้เรือนจําทั่วประเทศปลูกและขยายพันธุ์ เชื่อว่าอีกระยะหนึ่ง ก็จะไม่ขาดแคลนแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามไพลิน สุโขทัย สนับสนุนอุปกรณ์ตามนโยบายรัฐบาล พร้อมให้กำลังใจแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามไพลิน สุโขทัย สนับสนุนอุปกรณ์ตามนโยบายรัฐบาล พร้อมให้กําลังใจแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามไพลิน สุโขทัย สนับสนุนอุปกรณ์ตามนโยบายรัฐบาล พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ กําชับจัดการระบบให้ดี ใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นทางเลือกรักษาผู้ป่วยไม่มีอาการ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่โรงพยาบาลสนามไพลิน จ.สุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายสมชาติ จิตอดุลย์การ ทีมฟุตบอล ฒ.หัวหมาก มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ ถุงมือยาง หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 เฟสชิว ชุดPPE ให้แก่สํานักงานสาธารณสุข จ.สุโขทัย โดยมี นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ นายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.สุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ ร่วมงาน จากนั้นนายสมศักดิ์ได้เดินตรวจเยี่ยมดูความเรียบร้อยของโรงพยาบาลสนามเพื่อให้กําลังใจแก่แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ โดยนายสมศักดิ์ ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมกันทํางาน และกําชับเกี่ยวกับการจัดการระบบต่างๆต้องทําให้ดี โดยเฉพาะระบบระบายอากาศ รวมทั้งช่วงนี้เป็นฤดูฝนจะมีปัญหาเรื่องยุงและแมลง จึงต้องมีการหามุ้งให้เพียงพอ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการใช้ยาฟ้าทะลายโจรมาเป็นทางเลือกในการรักษาอาการผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ ซึ่งในขณะนี้ฟ้าทะลายโจรอาจจะขาดแคลน แต่ตนได้เร่งให้เรือนจําทั่วประเทศปลูกและขยายพันธุ์ เชื่อว่าอีกระยะหนึ่ง ก็จะไม่ขาดแคลนแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44083
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใย กำชับกรมชลฯ-สทนช.-ฝ่ายปกครอง-หน่วยงานในพื้นที่ บูรณาการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบพายุโซนร้อน “มู่หลาน” ป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจไม่ให้เกิดน้ำท่วมขัง
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใย กําชับกรมชลฯ-สทนช.-ฝ่ายปกครอง-หน่วยงานในพื้นที่ บูรณาการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบพายุโซนร้อน “มู่หลาน” ป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจไม่ให้เกิดน้ําท่วมขัง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใย กําชับกรมชลฯ-สทนช.-ฝ่ายปกครอง-หน่วยงานในพื้นที่ บูรณาการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบพายุโซนร้อน “มู่หลาน” รวมทั้งป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจไม่ให้เกิดน้ําท่วมขัง วันที่ 11 สิงหาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “มู่หลาน” ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา พายุโซนร้อน “มู่หลาน” ซึ่งจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลํา และขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในวันนี้ (11 ส.ค. 65) ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน ทําให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ตั้งแต่วันที่ 11-13 ส.ค. 65 บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกของประเทศไทย จึงขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม อาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ําไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย “นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กรมชลประทาน สทนช. ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่ ได้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด ให้เฝ้าระวังพื้นที่ เฝ้าระวังสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และน้ําท่วมขัง เตรียมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์น้ําจากฝนตกหนักต่อเนื่องและสะสมจากพายุโซนร้อน ‘มู่หลาน’ และมรสุมพาดผ่านในพื้นที่ประเทศไทยช่วง 11-13 ส.ค. ประกอบกับการระบายน้ําจากเขื่อนเจ้าพระยา และน้ําทะเลหนุนสูงในช่วง 10-16 ส.ค. ย้ําให้เตรียมพร้อมบริหารจัดการน้ําให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดน้ําท่วม รวมทั้งลดผลกระทบจากสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นตรวจสอบความมั่นคงอาคารป้องกันริมแม่น้ํา และเสริมคันบริเวณจุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ําริมแม่น้ํา ประชาสัมพันธ์ข้อมูล แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมน้ํานอกแนวคันกั้นน้ํา แนวเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ําถาวร (แนวฟันหลอ) และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ําริมแม่น้ําทราบล่วงหน้า เตรียมความพร้อมของเครื่องจักรเครื่องมือ เพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือ บรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยได้ทันที เพราะสิ่งที่สําคัญที่สุดคือชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใย กำชับกรมชลฯ-สทนช.-ฝ่ายปกครอง-หน่วยงานในพื้นที่ บูรณาการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบพายุโซนร้อน “มู่หลาน” ป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจไม่ให้เกิดน้ำท่วมขัง วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใย กําชับกรมชลฯ-สทนช.-ฝ่ายปกครอง-หน่วยงานในพื้นที่ บูรณาการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบพายุโซนร้อน “มู่หลาน” ป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจไม่ให้เกิดน้ําท่วมขัง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใย กําชับกรมชลฯ-สทนช.-ฝ่ายปกครอง-หน่วยงานในพื้นที่ บูรณาการช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบพายุโซนร้อน “มู่หลาน” รวมทั้งป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจไม่ให้เกิดน้ําท่วมขัง วันที่ 11 สิงหาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “มู่หลาน” ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา พายุโซนร้อน “มู่หลาน” ซึ่งจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลํา และขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในวันนี้ (11 ส.ค. 65) ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน ทําให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ตั้งแต่วันที่ 11-13 ส.ค. 65 บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกของประเทศไทย จึงขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม อาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ําไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย “นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กรมชลประทาน สทนช. ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่ ได้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด ให้เฝ้าระวังพื้นที่ เฝ้าระวังสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และน้ําท่วมขัง เตรียมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์น้ําจากฝนตกหนักต่อเนื่องและสะสมจากพายุโซนร้อน ‘มู่หลาน’ และมรสุมพาดผ่านในพื้นที่ประเทศไทยช่วง 11-13 ส.ค. ประกอบกับการระบายน้ําจากเขื่อนเจ้าพระยา และน้ําทะเลหนุนสูงในช่วง 10-16 ส.ค. ย้ําให้เตรียมพร้อมบริหารจัดการน้ําให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดน้ําท่วม รวมทั้งลดผลกระทบจากสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นตรวจสอบความมั่นคงอาคารป้องกันริมแม่น้ํา และเสริมคันบริเวณจุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ําริมแม่น้ํา ประชาสัมพันธ์ข้อมูล แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมน้ํานอกแนวคันกั้นน้ํา แนวเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ําถาวร (แนวฟันหลอ) และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ําริมแม่น้ําทราบล่วงหน้า เตรียมความพร้อมของเครื่องจักรเครื่องมือ เพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือ บรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยได้ทันที เพราะสิ่งที่สําคัญที่สุดคือชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บวท. ลงนามสัญญาร่วมกับ Collins Aerospace
วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2565 บวท. ลงนามสัญญาร่วมกับ Collins Aerospace ให้บริการข่ายสื่อสารข้อมูลสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมขยายความร่วมมือรองรับอุตสาหกรรมการบินในอนาคต นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า บวท. และ Collins Aerospace ได้ร่วมกันให้บริการข่ายสื่อสารข้อมูลสายการบิน (Airlines Operational Communication) ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่าง ระบบบนเครื่องบิน กับ ระบบภาคพื้นดินของสายการบิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านข่ายสื่อสาร VHF (VHF Air-Ground Data Link) โดยมีการลงนามสัญญามาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งสัญญาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในกันยายน 2565 จึงได้จัดทําสัญญาฉบับใหม่ขึ้น คือ Agreement for the Operation of GLOBALink/Asia VHF-Air Ground Data Link Network and FOMAX System and Related Services at Sites in Asia Pacific โดยสัญญาฉบับใหม่นี้ครอบคลุมทั้งการให้บริการ Data Link เดิม และ FOMAX (Flight Operation Maintenance Exchanger) ซึ่งเป็นการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Internet) สําหรับเครื่องบินรุ่นใหม่ เช่น Airbus A320 Airbus A330 ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ Secure Server Router (SSR) เพื่อรับส่งข้อมูลกับระบบภาคพื้นผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ส่วนระบบภาคพื้นก็ต้องมีการติดตั้งระบบ Ground FOMAX ทั้งนี้ พิธีลงนามสัญญาจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ณ สํานักงานใหญ่ ทุ่งมหาเมฆ นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการข่ายสื่อสารข้อมูลสายการบินนี้ มีระบบประมวลผลกลาง หรือ Network Operation Center ตั้งอยู่ที่บวท. สํานักงานใหญ่ ทุ่งมหาเมฆ และมีสถานีวิทยุสื่อสารตั้งอยู่ ณ สนามบิน ครอบคลุมเส้นทางบินในประเทศไทย และประเทศในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน เวียดนาม เมียนมาร์ มองโกเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งในปี 2565 นี้ มีแผนจะขยายพื้นที่การให้บริการข่ายสื่อสารทั้งในประเทศที่เดิมให้บริการอยู่แล้ว และจะขยายไปยังปากีสถาน เนปาล ศรีลังกา มัลดีฟส์ อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บวท. ลงนามสัญญาร่วมกับ Collins Aerospace วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2565 บวท. ลงนามสัญญาร่วมกับ Collins Aerospace ให้บริการข่ายสื่อสารข้อมูลสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมขยายความร่วมมือรองรับอุตสาหกรรมการบินในอนาคต นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า บวท. และ Collins Aerospace ได้ร่วมกันให้บริการข่ายสื่อสารข้อมูลสายการบิน (Airlines Operational Communication) ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่าง ระบบบนเครื่องบิน กับ ระบบภาคพื้นดินของสายการบิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านข่ายสื่อสาร VHF (VHF Air-Ground Data Link) โดยมีการลงนามสัญญามาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งสัญญาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในกันยายน 2565 จึงได้จัดทําสัญญาฉบับใหม่ขึ้น คือ Agreement for the Operation of GLOBALink/Asia VHF-Air Ground Data Link Network and FOMAX System and Related Services at Sites in Asia Pacific โดยสัญญาฉบับใหม่นี้ครอบคลุมทั้งการให้บริการ Data Link เดิม และ FOMAX (Flight Operation Maintenance Exchanger) ซึ่งเป็นการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Internet) สําหรับเครื่องบินรุ่นใหม่ เช่น Airbus A320 Airbus A330 ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ Secure Server Router (SSR) เพื่อรับส่งข้อมูลกับระบบภาคพื้นผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ส่วนระบบภาคพื้นก็ต้องมีการติดตั้งระบบ Ground FOMAX ทั้งนี้ พิธีลงนามสัญญาจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ณ สํานักงานใหญ่ ทุ่งมหาเมฆ นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการข่ายสื่อสารข้อมูลสายการบินนี้ มีระบบประมวลผลกลาง หรือ Network Operation Center ตั้งอยู่ที่บวท. สํานักงานใหญ่ ทุ่งมหาเมฆ และมีสถานีวิทยุสื่อสารตั้งอยู่ ณ สนามบิน ครอบคลุมเส้นทางบินในประเทศไทย และประเทศในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน เวียดนาม เมียนมาร์ มองโกเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งในปี 2565 นี้ มีแผนจะขยายพื้นที่การให้บริการข่ายสื่อสารทั้งในประเทศที่เดิมให้บริการอยู่แล้ว และจะขยายไปยังปากีสถาน เนปาล ศรีลังกา มัลดีฟส์ อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56502
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ณ ท้องสนามหลวง
วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 มท.1 และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ณ ท้องสนามหลวง มท.1 และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ณ ท้องสนามหลวง วันนี้ (3 มิ.ย. 65) เวลา 07.00 น. ณ บริเวณท้องสนามหลวง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางแว่นฟ้า ทองศรี คู่สมรส นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางกัลยา บุญญามณี คู่สมรส นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทําบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ประจําปีพุทธศักราช 2565 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พุทธศักราช 2521 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 ณ พระที่นั่งอัมพรสถานต่อมาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการได้โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีสําคัญต่างๆ ตลอดจนพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งปวงเพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ราษฎร โดยมิได้ทรงเหน็ดเหนื่อยและย่อท้อแต่อย่างใด ดั่งพระราชดํารัสเปิดงานวันสตรีไทย ประจําปี 2562 ความว่า “...ข้าพเจ้ามีความตั้งมั่นที่จะสนองพระเดชพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเหมือนดั่งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด และแผ่ขยายพระบารมีแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี...” สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงใส่พระราชหฤทัยในสุขทุกข์ของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับเป็นพระราชภารกิจสําคัญที่จะดูแลประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลําบากเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ซึ่งเริ่มรุนแรงขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 นั้น ได้โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณและพระราชทานความช่วยเหลือในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถุงยังชีพ หน้ากากอนามัย และสิ่งของอื่นๆ ที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดหาและพระราชทานไปยังโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ และชุมชนแออัด รวมทั้งทรงเย็บหน้ากากผ้าด้วยพระองค์เอง ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างรู้สึกสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อม สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงพระวิริยอุตสาหะปฏิบัติพระราชกรณียกิจยาวนานกว่า6ทศวรรษในการพัฒนาส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” จากสิ่งทอของชาวบ้านที่เกือบสูญหายให้กลับมาเป็นอาภรณ์อันทรงคุณค่า เป็น“มรดกแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น”ที่คนไทยและคนทั่วโลกยอมรับถึงคุณค่าและความงดงามอันประเมินค่ามิได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ณ ท้องสนามหลวง วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 มท.1 และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ณ ท้องสนามหลวง มท.1 และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ร่วมกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ณ ท้องสนามหลวง วันนี้ (3 มิ.ย. 65) เวลา 07.00 น. ณ บริเวณท้องสนามหลวง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางแว่นฟ้า ทองศรี คู่สมรส นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางกัลยา บุญญามณี คู่สมรส นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทําบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ประจําปีพุทธศักราช 2565 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พุทธศักราช 2521 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 ณ พระที่นั่งอัมพรสถานต่อมาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการได้โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีสําคัญต่างๆ ตลอดจนพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งปวงเพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ราษฎร โดยมิได้ทรงเหน็ดเหนื่อยและย่อท้อแต่อย่างใด ดั่งพระราชดํารัสเปิดงานวันสตรีไทย ประจําปี 2562 ความว่า “...ข้าพเจ้ามีความตั้งมั่นที่จะสนองพระเดชพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเหมือนดั่งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด และแผ่ขยายพระบารมีแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี...” สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงใส่พระราชหฤทัยในสุขทุกข์ของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับเป็นพระราชภารกิจสําคัญที่จะดูแลประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลําบากเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ซึ่งเริ่มรุนแรงขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 นั้น ได้โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณและพระราชทานความช่วยเหลือในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถุงยังชีพ หน้ากากอนามัย และสิ่งของอื่นๆ ที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดหาและพระราชทานไปยังโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ และชุมชนแออัด รวมทั้งทรงเย็บหน้ากากผ้าด้วยพระองค์เอง ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างรู้สึกสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อม สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงพระวิริยอุตสาหะปฏิบัติพระราชกรณียกิจยาวนานกว่า6ทศวรรษในการพัฒนาส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” จากสิ่งทอของชาวบ้านที่เกือบสูญหายให้กลับมาเป็นอาภรณ์อันทรงคุณค่า เป็น“มรดกแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น”ที่คนไทยและคนทั่วโลกยอมรับถึงคุณค่าและความงดงามอันประเมินค่ามิได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55353
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อันดับความสามารถในการแข่งขันไทย ดีขึ้น 1 อันดับ
วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม 2564 อันดับความสามารถในการแข่งขันไทย ดีขึ้น 1 อันดับ วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดยสถาบันการจัดการนานาชาติ หรือ IMD ประจําปีนี้ ดีขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับที่ 28 จาก 64 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก และอยู่ในลําดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยมีอันดับที่ดีขึ้นใน 3 ด้าน คือ ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ เป็นผลจากความโปร่งใสในการดําเนินงานของภาครัฐและการเร่งรัดปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกิจ ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เป็นผลจากการสนับสนุนการจ้างงานและพัฒนาบุคลากร และด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการสาธารณูปโภค เทคโนโลยีและการศึกษา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อันดับความสามารถในการแข่งขันไทย ดีขึ้น 1 อันดับ วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม 2564 อันดับความสามารถในการแข่งขันไทย ดีขึ้น 1 อันดับ วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดยสถาบันการจัดการนานาชาติ หรือ IMD ประจําปีนี้ ดีขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับที่ 28 จาก 64 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก และอยู่ในลําดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยมีอันดับที่ดีขึ้นใน 3 ด้าน คือ ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ เป็นผลจากความโปร่งใสในการดําเนินงานของภาครัฐและการเร่งรัดปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกิจ ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เป็นผลจากการสนับสนุนการจ้างงานและพัฒนาบุคลากร และด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการสาธารณูปโภค เทคโนโลยีและการศึกษา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43335
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันดูแลประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งเน้นใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ย้ำเสถียรภาพการคลังของประเทศยังแข็งแกร่ง เสถียรภาพเศรษฐกิจยังเข้มแข็งขับเคลื่อนได้ คาดการขยายตัวภาคการส่งออกไทยปีนี้จะอยู่ที่ 5-10%
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2565 รัฐบาลยืนยันดูแลประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งเน้นใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ย้ําเสถียรภาพการคลังของประเทศยังแข็งแกร่ง เสถียรภาพเศรษฐกิจยังเข้มแข็งขับเคลื่อนได้ คาดการขยายตัวภาคการส่งออกไทยปีนี้จะอยู่ที่ 5-10% รัฐบาลยืนยันดูแลประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งเน้นใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ย้ําเสถียรภาพการคลังของประเทศยังแข็งแกร่ง เสถียรภาพเศรษฐกิจยังเข้มแข็งขับเคลื่อนได้ คาดการขยายตัวภาคการส่งออกไทยปีนี้จะอยู่ที่ 5-10% วันนี้ (27 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสําคัญกับการดูแลช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ควบคู่กับทําให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าได้ รวมถึงออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านต่าง ๆ ทั้งด้านพลังงานและเชื้อเพลิง ค่าครองชีพ ด้านขนส่ง แรงงานและนายจ้าง โดยมุ่งเน้นให้การใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ และอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการที่เป็นไปอย่างมีระบบ มีแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน ทําให้ขณะนี้ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศไทยยังมีเสถียรภาพที่เข้มแข็ง โดยเสถียรภาพด้านการคลังดูได้จากการบริหารรายได้และรายจ่ายของภาครัฐ ซึ่งฐานะทางการคลังของรัฐบาลตัวเลขล่าสุดใน 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 – กุมภาพันธ์ 2565) ระดับอัตราเงินคงคลังปลายงวดอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงตามดุลเงินสดที่ขาดดุลอยู่ในขณะนี้และเป็นไปตามดุลงบประมาณ นายธนกรกล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 901,414 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 1,429,194 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จํานวน 394,465 ล้านบาท ซึ่งในปี 2565 ได้ตั้งงบประมาณขาดดุลไว้ที่ 700,000 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลังปลายงวด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีจํานวนทั้งสิ้น 418,588 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับที่รัฐบาลได้มีการกําหนดสภาพคล่องไว้อยู่ที่ประมาณ 400,000 – 500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพพียงพอ ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลคาดจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดคือ 2.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ทุนสํารองระหว่างประเทศในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ยังมีความเข้มแข็งอยู่ที่ประมาณ 245,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับสูงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ นายธนกรกล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันเสถียรภาพทางด้านราคา ซึ่งดูจากอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีผู้บริโภคนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงาน โดยเดือนมกราคม อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% และเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อประมาณ 5% แต่หากดูอัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมเรื่องพลังงานกับอาหารสด อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 0.5 ในเดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มที่ 1.8 ซึ่งรัฐบาลก็ได้เข้ามาดูแลช่วยเหลือประชาชนระยะสั้นในการลดต้นทุน และการช่วยเหลือค่าครองชีพต่าง ๆ ผ่าน 10 มาตรการสําคัญโดยพุ่งเป้าเน้นช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง พร้อมมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะต่อไป ส่วนอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ปรับตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของแรงงานรวม ซึ่งเป็นผลมาจากที่รัฐบาลได้มีการผ่อนคลายมาตรการและเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา รวมไปถึงการดําเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ผู้ประกอบการด้านโรงแรมสามารถกลับมาเริ่มดําเนินกิจการและรักษาการจ้างงานได้ รวมทั้งประชาชนมีความมั่นใจที่จะเดินทางมากขึ้นภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ การค้าขายระหว่างประเทศทั้งการนําเข้า-ส่งออกของประเทศไทยทั้งในปี 2563 และปี 2564 แม้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะผลกระทบ Global supply chain disruption ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งเรื่องของวัตถุดิบ อุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อภาคการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตสินค้า การขนส่ง ไปจนถึงผู้บริโภค ทําให้เกิดการชะลอตัวในการผลิตในปี 2563 แต่จากที่มีการป้องกันระดับโรงงาน คือ Factory quarantine ทําให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยลําดับ และส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยปี 2564 ปรับตัวดีขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตในมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐประมาณ 17 – 20% ซึ่งในปีนี้คาดว่าตัวเลขการขยายตัวของภาคการส่งออกของไทยจะอยู่ที่ 5 – 10% นายธนกรกล่าวอีกว่า จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง พบว่าปัจจัยสําคัญที่ทําให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้คือภาคเกษตร และการค้าขายชายแดน ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านในรอบอาเซียนยังคงพึ่งพาสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ ทั้งนี้ ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญในปี 2565 คือภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐทั้งการใช้จ่ายงบประมาณปี 2565 และการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงในส่วนของภาคเอกชนที่ได้มีการระดมทุน โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ทั้งบริษัทที่อยู่ในตลาดและนอกตลาดในปี 2564 ที่มีอยู่เป็นจํานวนมาก จึงทําให้ภาคการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุน ทั้งค่ายรถเดิมที่มีอยู่และค่ายรถใหม่ แสดงให้เห็นได้ว่าภาคเอกชนยังมีการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่สําคัญด้วย .....................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันดูแลประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งเน้นใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ย้ำเสถียรภาพการคลังของประเทศยังแข็งแกร่ง เสถียรภาพเศรษฐกิจยังเข้มแข็งขับเคลื่อนได้ คาดการขยายตัวภาคการส่งออกไทยปีนี้จะอยู่ที่ 5-10% วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2565 รัฐบาลยืนยันดูแลประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งเน้นใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ย้ําเสถียรภาพการคลังของประเทศยังแข็งแกร่ง เสถียรภาพเศรษฐกิจยังเข้มแข็งขับเคลื่อนได้ คาดการขยายตัวภาคการส่งออกไทยปีนี้จะอยู่ที่ 5-10% รัฐบาลยืนยันดูแลประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งเน้นใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ย้ําเสถียรภาพการคลังของประเทศยังแข็งแกร่ง เสถียรภาพเศรษฐกิจยังเข้มแข็งขับเคลื่อนได้ คาดการขยายตัวภาคการส่งออกไทยปีนี้จะอยู่ที่ 5-10% วันนี้ (27 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสําคัญกับการดูแลช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ควบคู่กับทําให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าได้ รวมถึงออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านต่าง ๆ ทั้งด้านพลังงานและเชื้อเพลิง ค่าครองชีพ ด้านขนส่ง แรงงานและนายจ้าง โดยมุ่งเน้นให้การใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ และอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการที่เป็นไปอย่างมีระบบ มีแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน ทําให้ขณะนี้ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศไทยยังมีเสถียรภาพที่เข้มแข็ง โดยเสถียรภาพด้านการคลังดูได้จากการบริหารรายได้และรายจ่ายของภาครัฐ ซึ่งฐานะทางการคลังของรัฐบาลตัวเลขล่าสุดใน 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 – กุมภาพันธ์ 2565) ระดับอัตราเงินคงคลังปลายงวดอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงตามดุลเงินสดที่ขาดดุลอยู่ในขณะนี้และเป็นไปตามดุลงบประมาณ นายธนกรกล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 901,414 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 1,429,194 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จํานวน 394,465 ล้านบาท ซึ่งในปี 2565 ได้ตั้งงบประมาณขาดดุลไว้ที่ 700,000 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลังปลายงวด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีจํานวนทั้งสิ้น 418,588 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับที่รัฐบาลได้มีการกําหนดสภาพคล่องไว้อยู่ที่ประมาณ 400,000 – 500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพพียงพอ ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลคาดจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดคือ 2.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ทุนสํารองระหว่างประเทศในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ยังมีความเข้มแข็งอยู่ที่ประมาณ 245,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับสูงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ นายธนกรกล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันเสถียรภาพทางด้านราคา ซึ่งดูจากอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีผู้บริโภคนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงาน โดยเดือนมกราคม อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% และเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อประมาณ 5% แต่หากดูอัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมเรื่องพลังงานกับอาหารสด อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 0.5 ในเดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มที่ 1.8 ซึ่งรัฐบาลก็ได้เข้ามาดูแลช่วยเหลือประชาชนระยะสั้นในการลดต้นทุน และการช่วยเหลือค่าครองชีพต่าง ๆ ผ่าน 10 มาตรการสําคัญโดยพุ่งเป้าเน้นช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง พร้อมมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะต่อไป ส่วนอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ปรับตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของแรงงานรวม ซึ่งเป็นผลมาจากที่รัฐบาลได้มีการผ่อนคลายมาตรการและเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา รวมไปถึงการดําเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ผู้ประกอบการด้านโรงแรมสามารถกลับมาเริ่มดําเนินกิจการและรักษาการจ้างงานได้ รวมทั้งประชาชนมีความมั่นใจที่จะเดินทางมากขึ้นภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ การค้าขายระหว่างประเทศทั้งการนําเข้า-ส่งออกของประเทศไทยทั้งในปี 2563 และปี 2564 แม้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะผลกระทบ Global supply chain disruption ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งเรื่องของวัตถุดิบ อุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อภาคการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตสินค้า การขนส่ง ไปจนถึงผู้บริโภค ทําให้เกิดการชะลอตัวในการผลิตในปี 2563 แต่จากที่มีการป้องกันระดับโรงงาน คือ Factory quarantine ทําให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยลําดับ และส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยปี 2564 ปรับตัวดีขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตในมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐประมาณ 17 – 20% ซึ่งในปีนี้คาดว่าตัวเลขการขยายตัวของภาคการส่งออกของไทยจะอยู่ที่ 5 – 10% นายธนกรกล่าวอีกว่า จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง พบว่าปัจจัยสําคัญที่ทําให้เศรษฐกิจไทยยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้คือภาคเกษตร และการค้าขายชายแดน ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านในรอบอาเซียนยังคงพึ่งพาสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ ทั้งนี้ ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญในปี 2565 คือภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐทั้งการใช้จ่ายงบประมาณปี 2565 และการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงในส่วนของภาคเอกชนที่ได้มีการระดมทุน โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ทั้งบริษัทที่อยู่ในตลาดและนอกตลาดในปี 2564 ที่มีอยู่เป็นจํานวนมาก จึงทําให้ภาคการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุน ทั้งค่ายรถเดิมที่มีอยู่และค่ายรถใหม่ แสดงให้เห็นได้ว่าภาคเอกชนยังมีการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่สําคัญด้วย .....................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐหนุน “เกษตรแปลงใหญ่” ลดต้นทุน - เพิ่มผลผลิต - เชื่อมโยงตลาด สร้างรายได้ทะลุ 7 หมื่นล้าน
วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 รัฐหนุน “เกษตรแปลงใหญ่” ลดต้นทุน - เพิ่มผลผลิต - เชื่อมโยงตลาด สร้างรายได้ทะลุ 7 หมื่นล้าน ..... กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแก่เกษตรกร โดยมีการส่งเสริมและพัฒนา เช่น วิเคราะห์จัดทําแผนรายแปลง แผนธุรกิจ ถ่ายทอดองค์ความรู้การบริหารจัดการกลุ่ม การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จนถึงการเชื่อมโยงตลาด โดยผลการดําเนินการ ปี 2559 – ปัจจุบัน มีการรับรองแปลงใหญ่ 8,918 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 8.36 ล้านไร่ เกษตรกร 496,090 ราย เกิดผลสัมฤทธิ์ คือ ลดต้นทุนได้ 31,145.73 ล้านบาท เพิ่มผลผลิต 40,429.37 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าเพิ่ม 71,575.10 ล้านบาท . ส่งเสริมการเชื่อมโยงตลาด เช่น Contact Farming สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตลาด Modern Trade รับซื้อผลผลิต 921 แปลง ตลาดอื่นในท้องถิ่น เช่น โรงงานแปรรูป 8,045 แปลง ตลาดออนไลน์ 489 แปลง โดยแปลงใหญ่ 1 แปลง สามารถเชื่อมโยงตลาดได้หลายรูปแบบ สําหรับปี 2565 มีแปลงที่ได้รับรอง 737 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 785,246 ไร่ เกษตรกร 26,004 ราย พร้อมดําเนินการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร 547 แปลง เพื่อพัฒนาเกษตรกรสู่การเป็น Smart Farmer สร้างความเข้มแข็งแก่กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐหนุน “เกษตรแปลงใหญ่” ลดต้นทุน - เพิ่มผลผลิต - เชื่อมโยงตลาด สร้างรายได้ทะลุ 7 หมื่นล้าน วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 รัฐหนุน “เกษตรแปลงใหญ่” ลดต้นทุน - เพิ่มผลผลิต - เชื่อมโยงตลาด สร้างรายได้ทะลุ 7 หมื่นล้าน ..... กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแก่เกษตรกร โดยมีการส่งเสริมและพัฒนา เช่น วิเคราะห์จัดทําแผนรายแปลง แผนธุรกิจ ถ่ายทอดองค์ความรู้การบริหารจัดการกลุ่ม การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จนถึงการเชื่อมโยงตลาด โดยผลการดําเนินการ ปี 2559 – ปัจจุบัน มีการรับรองแปลงใหญ่ 8,918 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 8.36 ล้านไร่ เกษตรกร 496,090 ราย เกิดผลสัมฤทธิ์ คือ ลดต้นทุนได้ 31,145.73 ล้านบาท เพิ่มผลผลิต 40,429.37 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าเพิ่ม 71,575.10 ล้านบาท . ส่งเสริมการเชื่อมโยงตลาด เช่น Contact Farming สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตลาด Modern Trade รับซื้อผลผลิต 921 แปลง ตลาดอื่นในท้องถิ่น เช่น โรงงานแปรรูป 8,045 แปลง ตลาดออนไลน์ 489 แปลง โดยแปลงใหญ่ 1 แปลง สามารถเชื่อมโยงตลาดได้หลายรูปแบบ สําหรับปี 2565 มีแปลงที่ได้รับรอง 737 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 785,246 ไร่ เกษตรกร 26,004 ราย พร้อมดําเนินการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร 547 แปลง เพื่อพัฒนาเกษตรกรสู่การเป็น Smart Farmer สร้างความเข้มแข็งแก่กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54864
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เคาะ 338.80 ล้านบาท พัฒนากลุ่มจังหวัดอันดามัน รองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565 ครม. เคาะ 338.80 ล้านบาท พัฒนากลุ่มจังหวัดอันดามัน รองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ครม. เคาะ 338.80 ล้านบาท พัฒนากลุ่มจังหวัดอันดามัน รองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ วันที่ 14 มิถุนายน 2565 นาย ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี อนุมัติ วงเงินจํานวน 338.80 ล้านบาท ใ ห้กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (จังหวัดสตูล ตรัง ภูเก็ต พังงา และกระบี่) จํานวน 6 โครงการ รายละเอียด ดังนี้ 1. โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมเกาะหลีเป๊ะรองรับการท่องเที่ยวนานาชาติ จังหวัดสตูล โดยเป็นการปรับปรุงอาคารของโรงพยาบาลเสริมสร้างสุขภาพตําบลบ้านเกาะหลีเป๊ะ ให้สามารถรองรับประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งเป็นการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์วงเงิน 80.75 ล้านบาท 2. โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์ฟื้นฟูพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก จังหวัดตรัง เป็นการปรับปรุงศูนย์เรียนรู้ อนุรักษ์ฟื้นฟูพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก จังหวัดตรังให้มีความทันสมัยและดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผสมผสาน รวมทั้งปรับปรุงศูนย์อนุบาลสัตว์น้ําด้วย วงเงิน 68.80 ล้านบาท 3. โครงการ Phuket Health Sandbox จังหวัดภูเก็ต เป็นการจัดทําแพลตฟอร์มออนไลน์สําหรับให้บริการด้านสุขภาพ ทั้งการให้คําปรึกษา เรียกรถพยาบาล ดูประวัติการรักษาของตนเอง รวมทั้งการจัดตั้ง Digital Health Post เพื่อ เป็นจุดสําหรับตรวจสุขภาพเบื้องต้นและพบหมอทางออนไลน์ด้วย วงเงิน 25.25 ล้านบาท 4. โครงการศูนย์กลางการท่องเที่ยวและนันทนาการชายฝั่งแห่งเมืองพังงา จังหวัดพังงา เป็นการก่อสร้างอาคารศูนย์กลางการท่องเที่ยวและลานกิจกรรมนันทนาการ เช่น ลานกิจกรรม ทางวิ่ง ทางเท้า เป็นต้น เพื่อให้เป็นสถานที่รองรับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนและนักท่องเที่ยวด้วย วงเงิน 80.00 ล้านบาท 5. โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือโดยสาร – ท่องเที่ยวปากคลองจิหลาด จังหวัดกระบี่ เป็นการปรับปรุงท่าเทียบเรือและอาคารที่ใช้สําหรับรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกที่ครบครัน รวมทั้งรองรับต่อผู้ใช้บริการทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ใช้บริการที่เป็นผู้พิการ วงเงิน 35.00 ล้านบาท 6. โครงการพัฒนาแหล่งสปาวารีบําบัดน้ําพุร้อนคลองท่อมเมืองสปา จังหวัดกระบี่ เป็นการปรับปรุงและพัฒนาสปาวารีบําบัดน้ําพุร้อนคลองท่อมให้มีภูมิทัศน์ที่สะอาด สวยงาม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงให้ยังคงมีสภาพเดิมเป็นไปตามธรรมชาติด้วย วงเงิน 49.00 ล้านบาท โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงทั้ง 6 โครงการว่า ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์ที่ใกล้เคียงกัน คือ เพื่อรองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยในช่วงฤดูท่องเที่ยว (Low season) ตั้งแต่พฤษภาคม- กันยายน 65 นี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 500,000 คน/เดือน สูงกว่าเป้าหมายก่อนนั้นตั้งไว้เพียง 300,000 คน/เดือน และในช่วงฤดูท่องเที่ยว (high season) ตั้งแต่ปลายตุลาคม-ธันวาคม 65 นี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 1,000,000 คน/เดือน โดยจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยผ่านโครงการต่างๆ เหล่านี้ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย ซึ่งเป็นการดําเนินตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้แล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 64 ในการประชุม ครม. สัญจร จังหวัดกระบี่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เคาะ 338.80 ล้านบาท พัฒนากลุ่มจังหวัดอันดามัน รองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565 ครม. เคาะ 338.80 ล้านบาท พัฒนากลุ่มจังหวัดอันดามัน รองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ครม. เคาะ 338.80 ล้านบาท พัฒนากลุ่มจังหวัดอันดามัน รองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ วันที่ 14 มิถุนายน 2565 นาย ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี อนุมัติ วงเงินจํานวน 338.80 ล้านบาท ใ ห้กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (จังหวัดสตูล ตรัง ภูเก็ต พังงา และกระบี่) จํานวน 6 โครงการ รายละเอียด ดังนี้ 1. โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมเกาะหลีเป๊ะรองรับการท่องเที่ยวนานาชาติ จังหวัดสตูล โดยเป็นการปรับปรุงอาคารของโรงพยาบาลเสริมสร้างสุขภาพตําบลบ้านเกาะหลีเป๊ะ ให้สามารถรองรับประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งเป็นการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์วงเงิน 80.75 ล้านบาท 2. โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์ฟื้นฟูพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก จังหวัดตรัง เป็นการปรับปรุงศูนย์เรียนรู้ อนุรักษ์ฟื้นฟูพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก จังหวัดตรังให้มีความทันสมัยและดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผสมผสาน รวมทั้งปรับปรุงศูนย์อนุบาลสัตว์น้ําด้วย วงเงิน 68.80 ล้านบาท 3. โครงการ Phuket Health Sandbox จังหวัดภูเก็ต เป็นการจัดทําแพลตฟอร์มออนไลน์สําหรับให้บริการด้านสุขภาพ ทั้งการให้คําปรึกษา เรียกรถพยาบาล ดูประวัติการรักษาของตนเอง รวมทั้งการจัดตั้ง Digital Health Post เพื่อ เป็นจุดสําหรับตรวจสุขภาพเบื้องต้นและพบหมอทางออนไลน์ด้วย วงเงิน 25.25 ล้านบาท 4. โครงการศูนย์กลางการท่องเที่ยวและนันทนาการชายฝั่งแห่งเมืองพังงา จังหวัดพังงา เป็นการก่อสร้างอาคารศูนย์กลางการท่องเที่ยวและลานกิจกรรมนันทนาการ เช่น ลานกิจกรรม ทางวิ่ง ทางเท้า เป็นต้น เพื่อให้เป็นสถานที่รองรับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนและนักท่องเที่ยวด้วย วงเงิน 80.00 ล้านบาท 5. โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือโดยสาร – ท่องเที่ยวปากคลองจิหลาด จังหวัดกระบี่ เป็นการปรับปรุงท่าเทียบเรือและอาคารที่ใช้สําหรับรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกที่ครบครัน รวมทั้งรองรับต่อผู้ใช้บริการทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ใช้บริการที่เป็นผู้พิการ วงเงิน 35.00 ล้านบาท 6. โครงการพัฒนาแหล่งสปาวารีบําบัดน้ําพุร้อนคลองท่อมเมืองสปา จังหวัดกระบี่ เป็นการปรับปรุงและพัฒนาสปาวารีบําบัดน้ําพุร้อนคลองท่อมให้มีภูมิทัศน์ที่สะอาด สวยงาม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงให้ยังคงมีสภาพเดิมเป็นไปตามธรรมชาติด้วย วงเงิน 49.00 ล้านบาท โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงทั้ง 6 โครงการว่า ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์ที่ใกล้เคียงกัน คือ เพื่อรองรับและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยในช่วงฤดูท่องเที่ยว (Low season) ตั้งแต่พฤษภาคม- กันยายน 65 นี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 500,000 คน/เดือน สูงกว่าเป้าหมายก่อนนั้นตั้งไว้เพียง 300,000 คน/เดือน และในช่วงฤดูท่องเที่ยว (high season) ตั้งแต่ปลายตุลาคม-ธันวาคม 65 นี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 1,000,000 คน/เดือน โดยจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยผ่านโครงการต่างๆ เหล่านี้ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย ซึ่งเป็นการดําเนินตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้แล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 64 ในการประชุม ครม. สัญจร จังหวัดกระบี่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55700
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างไทย - ตุรกี
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างไทย - ตุรกี ... นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ H.E. Mrs. Serap Ersoy เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจําประเทศไทยและคณะ เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง และหารือในประเด็นความร่วมมือระหว่างกันด้านการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งแผนงานและนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายศรันย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากกรมเจ้าท่า และกองการต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมหารือ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกันด้านการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งหารือถึงบทบาทคมนาคมขนส่งของไทยที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนผ่านความเชื่อมโยงภายในประเทศและระหว่างภูมิภาค เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคอาเซียน โดยมีโครงการสําคัญ ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มจังหวัดพื้นที่ EEC ของประเทศไทย โดยการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก รวมทั้งการขยายเส้นทางทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 เพื่อเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 การบูรณาการระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟทั่วประเทศ (Motorway and Railway Master Plan : MR-MAP) โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (Landbridge ชุมพร - ระนอง) การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ซึ่งเปิดรับการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ แผนพัฒนาระบบรางของประเทศไทยทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าในกรุงเทพและปริมณฑล การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เชิญชวนให้นักลงทุนตุรกีที่สนใจมาร่วมลงทุนในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ในส่วนสาธารณรัฐตุรกีมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านคมนาคม เพื่อพัฒนาระบบขนส่งในประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ โดยตุรกีมีที่ตั้งด้านยุทธศาสตร์เชื่อมระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป และได้นําเสนอประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่มีความสําคัญของตุรกี ซึ่งตุรกีมีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือในด้านดังกล่าว เพื่อเป็นประโยชน์กับโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ของไทย และได้ขอความอนุเคราะห์ข้อมูลด้านการจัดซื้อจัดจ้างของไทย เพื่อนักลงทุนตุรกีสามารถเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้สาธารณรัฐตุรกีได้ให้ความสนใจการลงทุนอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ความร่วมมือด้านพาณิชย์นาวี และการขนส่งทางอากาศระหว่างไทย - ตุรกี ทั้งนี้ ประเทศไทยและตุรกีอยู่ระหว่างพิจารณาความตกลงด้านพาณิชย์นาวีและสิทธิการบินระหว่างประเทศ เพื่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐตุรกีต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างไทย - ตุรกี วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างไทย - ตุรกี ... นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้ H.E. Mrs. Serap Ersoy เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจําประเทศไทยและคณะ เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง และหารือในประเด็นความร่วมมือระหว่างกันด้านการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งแผนงานและนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายศรันย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากกรมเจ้าท่า และกองการต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมหารือ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกันด้านการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งหารือถึงบทบาทคมนาคมขนส่งของไทยที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนผ่านความเชื่อมโยงภายในประเทศและระหว่างภูมิภาค เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคอาเซียน โดยมีโครงการสําคัญ ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มจังหวัดพื้นที่ EEC ของประเทศไทย โดยการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก รวมทั้งการขยายเส้นทางทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 เพื่อเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 การบูรณาการระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟทั่วประเทศ (Motorway and Railway Master Plan : MR-MAP) โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน (Landbridge ชุมพร - ระนอง) การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ซึ่งเปิดรับการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ แผนพัฒนาระบบรางของประเทศไทยทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าในกรุงเทพและปริมณฑล การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เชิญชวนให้นักลงทุนตุรกีที่สนใจมาร่วมลงทุนในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ในส่วนสาธารณรัฐตุรกีมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านคมนาคม เพื่อพัฒนาระบบขนส่งในประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ โดยตุรกีมีที่ตั้งด้านยุทธศาสตร์เชื่อมระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป และได้นําเสนอประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่มีความสําคัญของตุรกี ซึ่งตุรกีมีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือในด้านดังกล่าว เพื่อเป็นประโยชน์กับโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ของไทย และได้ขอความอนุเคราะห์ข้อมูลด้านการจัดซื้อจัดจ้างของไทย เพื่อนักลงทุนตุรกีสามารถเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้สาธารณรัฐตุรกีได้ให้ความสนใจการลงทุนอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ความร่วมมือด้านพาณิชย์นาวี และการขนส่งทางอากาศระหว่างไทย - ตุรกี ทั้งนี้ ประเทศไทยและตุรกีอยู่ระหว่างพิจารณาความตกลงด้านพาณิชย์นาวีและสิทธิการบินระหว่างประเทศ เพื่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐตุรกีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เผยอาคารกลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ จ.พังงาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนธ.ค.2564
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 รมว.วธ.เผยอาคารกลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ จ.พังงาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนธ.ค.2564 รมว.วธ.เผยอาคารกลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ จ.พังงาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนธ.ค.2564 รมว.วธ.เผยอาคารกลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ จ.พังงาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนธ.ค.2564 เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์-แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงอย่างยั่งยืน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ 5/2564 ผ่านการประชุมออนไลน์ระบบ Zoom ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม โดยที่ประชุมได้รับรายงานจากสํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(สป.วธ.)เกี่ยวกับความคืบหน้าการดําเนินโครงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัย สึนามิ ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อเป็นสถานที่ที่รําลึกเหตุการณ์และการเฝ้าระวังเหตุการณ์พิบัติภัยแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งแต่เดิมคนไทยไม่เคยประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาก่อน ทั้งยังเป็นสถานที่เก็บหลักฐานของเหตุการณ์และยังแสดงถึงความร่วมมือของคนไทย และคนทั่วโลก ที่เดินทางมาร่วมรําลึกทุกปี รวมทั้งเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยเป็นศูนย์รวมกิจกรรมเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงอย่างยั่งยืน ขณะนี้การดําเนินการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิและงานปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบเสร็จสมบูรณ์แล้วและสป.วธ.อยู่ระหว่างจัดทําแผนดําเนินงานและบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดให้ประชาชนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯได้ในเดือนธันวาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิสร้างบนพื้นที่กว่า 5 ไร่ โดยอาคารจัดแสดงหลักเป็นอาคารชั้นเดียว ด้านหน้าออกแบบเป็นเส้นโค้งในรูปแบบของคลื่น และมีช่องเปิดรับแสงเป็นทรงกลมแบบฟองคลื่นกระจายตามความยาวของอาคารทําให้ภายในอาคาร เกิดที่ว่างคล้ายท้องคลื่นยาวตลอดห้องจัดแสดง โดยมีหอเตือนภัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องมือประมงพื้นบ้าน เป็นแลนด์มาร์กที่ให้ผู้มาเยี่ยมเยียนสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพได้โดยรอบและพื้นที่โครงการฯแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ส่วนจัดแสดงภายนอกอาคาร จัดแสดงเรือประมง 2 ลํา ที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดพาเข้ามาจากชายฝั่งเหลือร่องรอยยังคงเป็นวัตถุพยานที่สําคัญของเหตุการณ์ในครั้งนั้น 2.ส่วนบริการ ภายในมีพื้นที่สําหรับเจ้าหน้าที่ให้บริการข้อมูล ส่วนขายของที่ระลึก ห้องน้ําบริการประชาชน โดยมีห้องมัลติมีเดียจัดฉายวิดีทัศน์เกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยสึนามิ เป็นการนําเข้าสู่เนื้อหาการจัดแสดงนิทรรศการ 3.ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ ประกอบด้วยพื้นที่จัดแสดงที่ร้อยเรียงเรื่องราวประกอบวัตถุจัดแสดงซึ่งเก็บรวบรวมจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่เกิดขึ้นในไทยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 โดยลําดับของการจัดแสดงโซนที่ 1 สัณฐานของบ้านน้ําเค็ม โซนที่ 2 เรื่องเล่าจากผู้ประสบภัย โซนที่ 3 ความรู้เบื้องต้นธรรมชาติของสึนามิ โซนที่ 4 เล่าเรื่องจากวัตถุ โซนที่ 5 และ 6 เป็นเรื่องราวต่อเนื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากภัยพิบัติในด้านการเรียนรู้และป้องกัน ส่วนสุดท้ายโซนที่ 7 เป็นบ้านพื้นที่ที่เปิดให้ชุมชนสามารถเข้าใช้สอยในกิจกรรมของชุมชน และ4.พื้นที่สนับสนุนอื่นๆ เช่น ลานจอดรถและพื้นที่ภูมิทัศน์โดยรอบอาคาร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เผยอาคารกลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ จ.พังงาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนธ.ค.2564 วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 รมว.วธ.เผยอาคารกลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ จ.พังงาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนธ.ค.2564 รมว.วธ.เผยอาคารกลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ จ.พังงาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนธ.ค.2564 รมว.วธ.เผยอาคารกลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ จ.พังงาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในเดือนธ.ค.2564 เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์-แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงอย่างยั่งยืน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ 5/2564 ผ่านการประชุมออนไลน์ระบบ Zoom ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม โดยที่ประชุมได้รับรายงานจากสํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(สป.วธ.)เกี่ยวกับความคืบหน้าการดําเนินโครงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัย สึนามิ ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อเป็นสถานที่ที่รําลึกเหตุการณ์และการเฝ้าระวังเหตุการณ์พิบัติภัยแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งแต่เดิมคนไทยไม่เคยประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาก่อน ทั้งยังเป็นสถานที่เก็บหลักฐานของเหตุการณ์และยังแสดงถึงความร่วมมือของคนไทย และคนทั่วโลก ที่เดินทางมาร่วมรําลึกทุกปี รวมทั้งเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยเป็นศูนย์รวมกิจกรรมเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงอย่างยั่งยืน ขณะนี้การดําเนินการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิและงานปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบเสร็จสมบูรณ์แล้วและสป.วธ.อยู่ระหว่างจัดทําแผนดําเนินงานและบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดให้ประชาชนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯได้ในเดือนธันวาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิสร้างบนพื้นที่กว่า 5 ไร่ โดยอาคารจัดแสดงหลักเป็นอาคารชั้นเดียว ด้านหน้าออกแบบเป็นเส้นโค้งในรูปแบบของคลื่น และมีช่องเปิดรับแสงเป็นทรงกลมแบบฟองคลื่นกระจายตามความยาวของอาคารทําให้ภายในอาคาร เกิดที่ว่างคล้ายท้องคลื่นยาวตลอดห้องจัดแสดง โดยมีหอเตือนภัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องมือประมงพื้นบ้าน เป็นแลนด์มาร์กที่ให้ผู้มาเยี่ยมเยียนสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพได้โดยรอบและพื้นที่โครงการฯแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ส่วนจัดแสดงภายนอกอาคาร จัดแสดงเรือประมง 2 ลํา ที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดพาเข้ามาจากชายฝั่งเหลือร่องรอยยังคงเป็นวัตถุพยานที่สําคัญของเหตุการณ์ในครั้งนั้น 2.ส่วนบริการ ภายในมีพื้นที่สําหรับเจ้าหน้าที่ให้บริการข้อมูล ส่วนขายของที่ระลึก ห้องน้ําบริการประชาชน โดยมีห้องมัลติมีเดียจัดฉายวิดีทัศน์เกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยสึนามิ เป็นการนําเข้าสู่เนื้อหาการจัดแสดงนิทรรศการ 3.ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ ประกอบด้วยพื้นที่จัดแสดงที่ร้อยเรียงเรื่องราวประกอบวัตถุจัดแสดงซึ่งเก็บรวบรวมจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่เกิดขึ้นในไทยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 โดยลําดับของการจัดแสดงโซนที่ 1 สัณฐานของบ้านน้ําเค็ม โซนที่ 2 เรื่องเล่าจากผู้ประสบภัย โซนที่ 3 ความรู้เบื้องต้นธรรมชาติของสึนามิ โซนที่ 4 เล่าเรื่องจากวัตถุ โซนที่ 5 และ 6 เป็นเรื่องราวต่อเนื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากภัยพิบัติในด้านการเรียนรู้และป้องกัน ส่วนสุดท้ายโซนที่ 7 เป็นบ้านพื้นที่ที่เปิดให้ชุมชนสามารถเข้าใช้สอยในกิจกรรมของชุมชน และ4.พื้นที่สนับสนุนอื่นๆ เช่น ลานจอดรถและพื้นที่ภูมิทัศน์โดยรอบอาคาร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42711
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจง ครม.ไม่ได้มีมติให้ยกเลิกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ใน รพ.เอกชน
วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565 โฆษกรัฐบาลแจง ครม.ไม่ได้มีมติให้ยกเลิกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ใน รพ.เอกชน โฆษกรัฐบาลแจง ครม.ไม่ได้มีมติให้ยกเลิกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ใน รพ.เอกชน เป็นเพียงข้อเสนอของหน่วยงาน และ ครม.ให้นํากลับไปพิจารณาโดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนสูงสุด ยืนยันรัฐบาลมีนโยบายดูแลคนไทยที่คนที่ติดโควิด-19 ฟรี วันนี้ 4 มกราคม 2565นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีมีการมีการเผยแพร่ผ่านโซเซียลมีเดียระบุว่า “ครม.มีมติให้ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนโควิด หากตรวจเจอโควิดจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วแต่ติดเชื้อจะต้องใช้สิทธิ์ตามสถานพยาบาลที่มีสิทธิ์ (ประกันสังคม หรือบัตรทอง) หากจะพักรักษาใน Hospital หรือ รพ.เอกชนจะต้องออกค่าใช้จ่ายเอง หรือใช้ประกันเอกชนที่ตนมี นอกจากนี้ ครม.ยังพิจารณาปรับเกณฑ์ให้ผู้มีอการน้อย หรือไม่ผ่านเกณฑ์การรักษาในโรงพยาบาล ให้กักตัวรักษาที่บ้าน หรือ Community Isolation ในทุกจังหวัด” นายธนกรฯ ขอยืนยันว่าข้อความที่เผยแพร่ดังกล่าว เป็นเพียงข้อเสนอของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 ได้มีมติให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องนี้ไปพิจารณาความจําเป็นเหมาะสมและกรอบเวลาในการให้การใช้สิทธิ UCEP กลับเข้าสู่ระบบปกติ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 โดยคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนก่อนดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ดังนั้น ในขณะนี้การดําเนินการทุกอย่างยังคงเดิม ไม่มีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น นายธนกร ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญสูงสุดในการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน ปัจจุบัน ผู้ป่วยโควิด-19 ทุกสิทธิ สามารถเข้ารับการรักษาได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลในส่วนนี้เอง ประชาชนไม่ต้องจ่าย ทั้งนี้ ห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ป่วย ยืนยันรัฐบาลดูแลให้สิทธิ์ประโยชน์ครอบคลุมทุกกรณี ทั้งในโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน โรงพยาบาลสนาม และการรักษาตัวที่บ้าน ขอให้ประชาชนอย่าวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว รัฐบาลมีนโยบายดูแลคนไทยทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ---------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจง ครม.ไม่ได้มีมติให้ยกเลิกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ใน รพ.เอกชน วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565 โฆษกรัฐบาลแจง ครม.ไม่ได้มีมติให้ยกเลิกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ใน รพ.เอกชน โฆษกรัฐบาลแจง ครม.ไม่ได้มีมติให้ยกเลิกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ใน รพ.เอกชน เป็นเพียงข้อเสนอของหน่วยงาน และ ครม.ให้นํากลับไปพิจารณาโดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนสูงสุด ยืนยันรัฐบาลมีนโยบายดูแลคนไทยที่คนที่ติดโควิด-19 ฟรี วันนี้ 4 มกราคม 2565นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีมีการมีการเผยแพร่ผ่านโซเซียลมีเดียระบุว่า “ครม.มีมติให้ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนโควิด หากตรวจเจอโควิดจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วแต่ติดเชื้อจะต้องใช้สิทธิ์ตามสถานพยาบาลที่มีสิทธิ์ (ประกันสังคม หรือบัตรทอง) หากจะพักรักษาใน Hospital หรือ รพ.เอกชนจะต้องออกค่าใช้จ่ายเอง หรือใช้ประกันเอกชนที่ตนมี นอกจากนี้ ครม.ยังพิจารณาปรับเกณฑ์ให้ผู้มีอการน้อย หรือไม่ผ่านเกณฑ์การรักษาในโรงพยาบาล ให้กักตัวรักษาที่บ้าน หรือ Community Isolation ในทุกจังหวัด” นายธนกรฯ ขอยืนยันว่าข้อความที่เผยแพร่ดังกล่าว เป็นเพียงข้อเสนอของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 ได้มีมติให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องนี้ไปพิจารณาความจําเป็นเหมาะสมและกรอบเวลาในการให้การใช้สิทธิ UCEP กลับเข้าสู่ระบบปกติ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 โดยคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนก่อนดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ดังนั้น ในขณะนี้การดําเนินการทุกอย่างยังคงเดิม ไม่มีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น นายธนกร ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญสูงสุดในการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน ปัจจุบัน ผู้ป่วยโควิด-19 ทุกสิทธิ สามารถเข้ารับการรักษาได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลในส่วนนี้เอง ประชาชนไม่ต้องจ่าย ทั้งนี้ ห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ป่วย ยืนยันรัฐบาลดูแลให้สิทธิ์ประโยชน์ครอบคลุมทุกกรณี ทั้งในโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน โรงพยาบาลสนาม และการรักษาตัวที่บ้าน ขอให้ประชาชนอย่าวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว รัฐบาลมีนโยบายดูแลคนไทยทุกคนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ---------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดมาตรการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการเพิ่มเติม ! เพิ่มทุกสิทธิ ม.33 ม.39 ม.40 เพิ่มประเภทกิจการเป็น 9 สาขา ขยายพื้นที่คลุม 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 1 เดือน
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม 2564 เปิดมาตรการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการเพิ่มเติม ! เพิ่มทุกสิทธิ ม.33 ม.39 ม.40 เพิ่มประเภทกิจการเป็น 9 สาขา ขยายพื้นที่คลุม 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 1 เดือน เปิดมาตรการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการเพิ่มเติม ! เพิ่มทุกสิทธิ ม.33 ม.39 ม.40 -เพิ่มประเภทกิจการเป็น 9 สาขา -ขยายพื้นที่คลุม 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ระยะเวลา 1 เดือน วันนี้ 13 กรกฎาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากข้อกําหนดฉบับที่ 27 เพื่อลดผลกระทบในระยะสั้นสําหรับกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการทั้งในและนอกระบบประกันสังคม โดยเป็นการทดแทนมาตรการช่วยเหลือตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ 1 เดือน รายละเอียดดังนี้ 1. ขยายพื้นที่ จากเดิม 6 จังหวัด กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร เพิ่มเติม 4 จังหวัด นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงชลา โดยเป็น 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 2 เพิ่มประเภทกิจการรวม 9 สาขา จากเดิม 4 หมวดกิจการ ได้แก่ (1) ก่อสร้าง (2) ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร (3) ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ (4) กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ ตามที่สํานักงานประกันสังคมกําหนด เพิ่ม 5 หมวดกิจกรรม ได้แก่ (5) ขายส่งและการขายปลีก ซ่อมยานยนต์ (6) ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า (7) กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน (8) กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และ (9) ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 3. รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ ในระบบประกันสังคม ตามมาตรา33 - นายจ้างและผู้ประกอบการ รัฐบาลยังคงจ่ายให้นายจ้างตามจํานวนลูกจ้าง 3,000 บาท/หัว/สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คน - ลูกจ้าง จ่ายเพิ่มเป็น 2,500 บาท/คน จากที่ลูกจ้างจะได้รับตามมาตรการช่วยเหลือเดิมเพียง 2,000 บาท/คน ซึ่งเมื่อรวมกับจ่ายชดเชยเยียวยาร้อยละ 50 ของรายได้ให้ลูกจ้าง สูงสุดไม่เกิน7,500 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ทําให้ผู้ประกันตน ม.33 สัญชาติไทย จะได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐไม่เกิน 10,000 บาท/คน เพิ่มสิทธิให้ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ที่ประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/คน สําหรับผู้ที่อยู่นอกระบบม. 33 อาชีพอิสระ ขอให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม (ม.40) ภายในเดือน ก.ค. 64 เพื่อจะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/คน นอกระบบประกันสังคม กลุ่มผู้ประกอบการ/นายจ้าง กรณีมีลูกจ้าง ให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม (ม.33) ภายในเดือน ก.ค. 64 เพื่อที่นายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือตามจํานวนลูกจ้าง 3,000 บาท/หัว/สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คน ขณะเดียวกันลูกจ้างสัญชาติไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท/คน กรณีที่ไม่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ภายในเดือนก.ค. จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/คน ขยายมาตราการช่วยเหลือเดิมให้เฉพาะผู้ประกอบการในหมวดร้านอาหาร เครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่งที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม ได้รับการช่วยเหลือ 3,000 บาท เท่านั้น สําหรับผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ - ขยายให้ความช่วยเหลือจากเดิมเฉพาะหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่ม เป็น 5 กลุ่ม ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้าน OTOP ร้านค้าทั่วไป ร้านค่าบริการและกิจการขนส่งสาธารณะ (ไม่รวมกิจการขนาดใหญ่) กรณีที่มีลูกจ้าง ขอให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคมภายในเดือน ก.ค. 64 เพื่อนายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือตามจํานวนลูกจ้าง 3,000 บาท/คน/สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คนและลูกจ้างสัญชาติไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท/คน กรณีที่ไม่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันสังคม (ม.40) ภายในเดือน ก.ค. 64 เพื่อจะได้รับเงินในอัตรา 5,000 บาทต่อคน โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงกรอบวงเงินสําหรับมาตรการช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการว่า จํานวนท 30,000 ล้านบาท สําหรับมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินและลูกหนี้สถาบันการเงินนั้น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย จะหารือกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อดําเนินมาตรการผ่อนปรนการชําระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยหรือการเลื่อนงวดการชําระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินด้วย ซึ่งหลังจากนี้ ครม. ยังมีจะพิจารณามาตรการช่วยเหลือในระยะต่อไปโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศต่อไปด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดมาตรการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการเพิ่มเติม ! เพิ่มทุกสิทธิ ม.33 ม.39 ม.40 เพิ่มประเภทกิจการเป็น 9 สาขา ขยายพื้นที่คลุม 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 1 เดือน วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม 2564 เปิดมาตรการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการเพิ่มเติม ! เพิ่มทุกสิทธิ ม.33 ม.39 ม.40 เพิ่มประเภทกิจการเป็น 9 สาขา ขยายพื้นที่คลุม 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 1 เดือน เปิดมาตรการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการเพิ่มเติม ! เพิ่มทุกสิทธิ ม.33 ม.39 ม.40 -เพิ่มประเภทกิจการเป็น 9 สาขา -ขยายพื้นที่คลุม 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ระยะเวลา 1 เดือน วันนี้ 13 กรกฎาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากข้อกําหนดฉบับที่ 27 เพื่อลดผลกระทบในระยะสั้นสําหรับกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการทั้งในและนอกระบบประกันสังคม โดยเป็นการทดแทนมาตรการช่วยเหลือตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ 1 เดือน รายละเอียดดังนี้ 1. ขยายพื้นที่ จากเดิม 6 จังหวัด กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร เพิ่มเติม 4 จังหวัด นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงชลา โดยเป็น 10 จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 2 เพิ่มประเภทกิจการรวม 9 สาขา จากเดิม 4 หมวดกิจการ ได้แก่ (1) ก่อสร้าง (2) ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร (3) ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ (4) กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ ตามที่สํานักงานประกันสังคมกําหนด เพิ่ม 5 หมวดกิจกรรม ได้แก่ (5) ขายส่งและการขายปลีก ซ่อมยานยนต์ (6) ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า (7) กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน (8) กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และ (9) ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 3. รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ ในระบบประกันสังคม ตามมาตรา33 - นายจ้างและผู้ประกอบการ รัฐบาลยังคงจ่ายให้นายจ้างตามจํานวนลูกจ้าง 3,000 บาท/หัว/สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คน - ลูกจ้าง จ่ายเพิ่มเป็น 2,500 บาท/คน จากที่ลูกจ้างจะได้รับตามมาตรการช่วยเหลือเดิมเพียง 2,000 บาท/คน ซึ่งเมื่อรวมกับจ่ายชดเชยเยียวยาร้อยละ 50 ของรายได้ให้ลูกจ้าง สูงสุดไม่เกิน7,500 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ทําให้ผู้ประกันตน ม.33 สัญชาติไทย จะได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐไม่เกิน 10,000 บาท/คน เพิ่มสิทธิให้ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ที่ประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/คน สําหรับผู้ที่อยู่นอกระบบม. 33 อาชีพอิสระ ขอให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม (ม.40) ภายในเดือน ก.ค. 64 เพื่อจะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/คน นอกระบบประกันสังคม กลุ่มผู้ประกอบการ/นายจ้าง กรณีมีลูกจ้าง ให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม (ม.33) ภายในเดือน ก.ค. 64 เพื่อที่นายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือตามจํานวนลูกจ้าง 3,000 บาท/หัว/สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คน ขณะเดียวกันลูกจ้างสัญชาติไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท/คน กรณีที่ไม่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ภายในเดือนก.ค. จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/คน ขยายมาตราการช่วยเหลือเดิมให้เฉพาะผู้ประกอบการในหมวดร้านอาหาร เครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่งที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม ได้รับการช่วยเหลือ 3,000 บาท เท่านั้น สําหรับผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ - ขยายให้ความช่วยเหลือจากเดิมเฉพาะหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่ม เป็น 5 กลุ่ม ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้าน OTOP ร้านค้าทั่วไป ร้านค่าบริการและกิจการขนส่งสาธารณะ (ไม่รวมกิจการขนาดใหญ่) กรณีที่มีลูกจ้าง ขอให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคมภายในเดือน ก.ค. 64 เพื่อนายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือตามจํานวนลูกจ้าง 3,000 บาท/คน/สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คนและลูกจ้างสัญชาติไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท/คน กรณีที่ไม่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันสังคม (ม.40) ภายในเดือน ก.ค. 64 เพื่อจะได้รับเงินในอัตรา 5,000 บาทต่อคน โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงกรอบวงเงินสําหรับมาตรการช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการว่า จํานวนท 30,000 ล้านบาท สําหรับมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินและลูกหนี้สถาบันการเงินนั้น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย จะหารือกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อดําเนินมาตรการผ่อนปรนการชําระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยหรือการเลื่อนงวดการชําระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินด้วย ซึ่งหลังจากนี้ ครม. ยังมีจะพิจารณามาตรการช่วยเหลือในระยะต่อไปโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศต่อไปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43716
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือกรมการท่องเที่ยว Up skill แรงงานขานรับนโยบายรัฐเที่ยวด้วยกัน
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือกรมการท่องเที่ยว Up skill แรงงานขานรับนโยบายรัฐเที่ยวด้วยกัน เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 นายประทีป ทรงลํายอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางสาวอาภากร ว่องเขตกร ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการท่องเที่ยว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือกรมการท่องเที่ยว Up skill แรงงานขานรับนโยบายรัฐเที่ยวด้วยกัน วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือกรมการท่องเที่ยว Up skill แรงงานขานรับนโยบายรัฐเที่ยวด้วยกัน เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 นายประทีป ทรงลํายอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางสาวอาภากร ว่องเขตกร ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการท่องเที่ยว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58471
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รองฯ จุรินทร์ รับหนังสือจากเครือข่ายสตรี เนื่องในวันต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีสากล เตรียมเสนอครม. ให้เป็นวาระแห่งชาติ
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ​รองฯ จุรินทร์ รับหนังสือจากเครือข่ายสตรี เนื่องในวันต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีสากล เตรียมเสนอครม. ให้เป็นวาระแห่งชาติ ​รองฯ จุรินทร์ รับหนังสือจากเครือข่ายสตรี เนื่องในวันต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีสากล เตรียมเสนอครม. ให้เป็นวาระแห่งชาติ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ ที่อาคารรัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ได้รับมอบหนังสือจากตัวแทนเครือข่ายสตรี ข้อเสนอต่อรัฐบาลในการป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี เนื่องในวันต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีสากล 25 พฤศจิกายน ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ได้กล่าวว่า ในฐานะประธาน กยส. ซึ่งมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นฝ่ายเลขานุการ ตนให้ความสําคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของการขจัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ซึ่งถือเป็นประเด็นที่เราร่วมมือร่วมใจกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เอ็นจีโอ กลุ่มสตรีต่าง ๆ แก้ไขปัญหากันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ที่น่าเป็นห่วง คือ ตัวเลขของการกระทําความรุนแรงต่อเด็กและสตรีไม่ได้ลดลง ขณะเดียวกันเรื่องเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมแค่ประมาณ 10% ของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องช่วยกันคลี่คลายปัญหานี้ต่อไป และในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการทําต้นเรื่องทั้งหมดในการดําเนินการเสนอเรื่อง เรื่องการป้องกันและแก้ไขการข่มขืนกระทําชําเราและการล่วงละเมิดทางเพศเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งได้ผ่านกระบวนการกลั่นกรองและกําลังขัดเกลาข้อความ ถัดจากนี้ตนจะพยายามผลักดันเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อกําหนดให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติต่อไปเพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงความสําคัญในการร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ให้สําเร็จลุล่วง และต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะลดระดับของความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและทุกเรื่องได้อย่างไร นางสาวรัชดา ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภายใต้การกําหนดให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ จะครอบคลุมการทํางานในหลายมิติและกลุ่มสังคม รวมถึงการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย อาทิ การปรับหลักสูตรการสอนเพศวิถีให้มีความเข้าใจง่าย การบูรณาการหลักสูตรการป้องกันตนเองในวิชาเรียน การขจัดทัศนคติที่ผิด ๆ ต่อเพศหญิง การพัฒนาแนวทางปฏิบัติในเรื่องการสอบถามข้อเท็จจริงต่อผู้เสียหาย การเพิ่มและปรับปรุงกฎหมายคดีความผิดทางเพศ การกําหนดโทษทางวินัยร้ายแรงแก่ครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ล่วงละเมิดทางเพศ การกําหนดสัดส่วนของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นสตรีไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม เป็นต้น ..................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รองฯ จุรินทร์ รับหนังสือจากเครือข่ายสตรี เนื่องในวันต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีสากล เตรียมเสนอครม. ให้เป็นวาระแห่งชาติ วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ​รองฯ จุรินทร์ รับหนังสือจากเครือข่ายสตรี เนื่องในวันต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีสากล เตรียมเสนอครม. ให้เป็นวาระแห่งชาติ ​รองฯ จุรินทร์ รับหนังสือจากเครือข่ายสตรี เนื่องในวันต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีสากล เตรียมเสนอครม. ให้เป็นวาระแห่งชาติ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ ที่อาคารรัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ได้รับมอบหนังสือจากตัวแทนเครือข่ายสตรี ข้อเสนอต่อรัฐบาลในการป้องกันและแก้ปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี เนื่องในวันต่อต้านความรุนแรงต่อสตรีสากล 25 พฤศจิกายน ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ได้กล่าวว่า ในฐานะประธาน กยส. ซึ่งมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นฝ่ายเลขานุการ ตนให้ความสําคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของการขจัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ซึ่งถือเป็นประเด็นที่เราร่วมมือร่วมใจกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เอ็นจีโอ กลุ่มสตรีต่าง ๆ แก้ไขปัญหากันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ที่น่าเป็นห่วง คือ ตัวเลขของการกระทําความรุนแรงต่อเด็กและสตรีไม่ได้ลดลง ขณะเดียวกันเรื่องเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมแค่ประมาณ 10% ของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องช่วยกันคลี่คลายปัญหานี้ต่อไป และในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการทําต้นเรื่องทั้งหมดในการดําเนินการเสนอเรื่อง เรื่องการป้องกันและแก้ไขการข่มขืนกระทําชําเราและการล่วงละเมิดทางเพศเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งได้ผ่านกระบวนการกลั่นกรองและกําลังขัดเกลาข้อความ ถัดจากนี้ตนจะพยายามผลักดันเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อกําหนดให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติต่อไปเพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงความสําคัญในการร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ให้สําเร็จลุล่วง และต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะลดระดับของความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและทุกเรื่องได้อย่างไร นางสาวรัชดา ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภายใต้การกําหนดให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ จะครอบคลุมการทํางานในหลายมิติและกลุ่มสังคม รวมถึงการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย อาทิ การปรับหลักสูตรการสอนเพศวิถีให้มีความเข้าใจง่าย การบูรณาการหลักสูตรการป้องกันตนเองในวิชาเรียน การขจัดทัศนคติที่ผิด ๆ ต่อเพศหญิง การพัฒนาแนวทางปฏิบัติในเรื่องการสอบถามข้อเท็จจริงต่อผู้เสียหาย การเพิ่มและปรับปรุงกฎหมายคดีความผิดทางเพศ การกําหนดโทษทางวินัยร้ายแรงแก่ครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ล่วงละเมิดทางเพศ การกําหนดสัดส่วนของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นสตรีไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม เป็นต้น ..................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48650
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ชื่นชมแรงงานไทยที่ทำงานต่างประเทศ มอบอธิบดีกกจ. ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแรงงานก่อนเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าประเทศฟินแลนด์ และประเทศสวีเดน
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564 รมว.แรงงาน ชื่นชมแรงงานไทยที่ทํางานต่างประเทศ มอบอธิบดีกกจ. ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจแรงงานก่อนเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าประเทศฟินแลนด์ และประเทศสวีเดน วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแรงงานไทย จํานวน 384 คน ก่อนเดินทางไปทํางานเก็บผลไม้ป่า และทํางานในตําแหน่งคนงานตามฤดูกาล (Seasonal Work) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ตน ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจแรงงานไทยที่กําลังจะเดินทางไปทํางานเก็บผลไม้ป่า และทํางานในตําแหน่งคนงานตามฤดูกาล (Seasonal Work) ในประเทศฟินแลนด์ และประเทศสวีเดน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ สําหรับวันนี้ มีแรงงานเดินทาง จํานวน 384 คน แบ่งเป็นฟินแลนด์ จํานวน 296 คน สวีเดน จํานวน 88 คน ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางด้วยเครื่องบินของสายการบิน QATAR AIRWAYS เที่ยวบิน QR 833 นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า ท่านรัฐมนตรี สุชาติ ยังฝากแสดงความห่วงใยและมอบคํากล่าวให้กําลังใจแก่แรงงานไทยที่จะเดินทางว่า ขอให้ทุกคนตั้งใจทํางาน ตั้งใจเรียนรู้ และดูแลสุขภาพให้ดี หากรู้จักเก็บออม เมื่อกลับมาจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้ตนเองและครอบครัวได้ นอกจากนี้ขอให้ทุกคนภูมิใจในตัวเอง ในสถานการณ์ที่ประเทศอยู่ในช่วงวิกฤตินี้ ทุกคนคือฮีโร่ ที่นํารายได้กลับเข้าสู่ประเทศไทย “สําหรับฤดูกาลเก็บผลไม้ป่าปี 2021 มีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์และสวีเดน จํานวน 8,200 คน โดยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ จํานวน 3,000 คน เดินทางแล้ว 1,112 คน และเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดน จํานวน 5,200 คน เดินทางแล้ว 833 คนซึ่งจะทยอยเดินทางตั้งแต่ต้นเดือน ไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 จนครบจํานวนตามเป้าหมาย ทั้งนี้ คนหางานที่ต้องการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 หรือเว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas" อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ชื่นชมแรงงานไทยที่ทำงานต่างประเทศ มอบอธิบดีกกจ. ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแรงงานก่อนเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าประเทศฟินแลนด์ และประเทศสวีเดน วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564 รมว.แรงงาน ชื่นชมแรงงานไทยที่ทํางานต่างประเทศ มอบอธิบดีกกจ. ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจแรงงานก่อนเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าประเทศฟินแลนด์ และประเทศสวีเดน วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแรงงานไทย จํานวน 384 คน ก่อนเดินทางไปทํางานเก็บผลไม้ป่า และทํางานในตําแหน่งคนงานตามฤดูกาล (Seasonal Work) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ตน ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจแรงงานไทยที่กําลังจะเดินทางไปทํางานเก็บผลไม้ป่า และทํางานในตําแหน่งคนงานตามฤดูกาล (Seasonal Work) ในประเทศฟินแลนด์ และประเทศสวีเดน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ สําหรับวันนี้ มีแรงงานเดินทาง จํานวน 384 คน แบ่งเป็นฟินแลนด์ จํานวน 296 คน สวีเดน จํานวน 88 คน ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางด้วยเครื่องบินของสายการบิน QATAR AIRWAYS เที่ยวบิน QR 833 นายไพโรจน์ กล่าวต่อว่า ท่านรัฐมนตรี สุชาติ ยังฝากแสดงความห่วงใยและมอบคํากล่าวให้กําลังใจแก่แรงงานไทยที่จะเดินทางว่า ขอให้ทุกคนตั้งใจทํางาน ตั้งใจเรียนรู้ และดูแลสุขภาพให้ดี หากรู้จักเก็บออม เมื่อกลับมาจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้ตนเองและครอบครัวได้ นอกจากนี้ขอให้ทุกคนภูมิใจในตัวเอง ในสถานการณ์ที่ประเทศอยู่ในช่วงวิกฤตินี้ ทุกคนคือฮีโร่ ที่นํารายได้กลับเข้าสู่ประเทศไทย “สําหรับฤดูกาลเก็บผลไม้ป่าปี 2021 มีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์และสวีเดน จํานวน 8,200 คน โดยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ จํานวน 3,000 คน เดินทางแล้ว 1,112 คน และเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดน จํานวน 5,200 คน เดินทางแล้ว 833 คนซึ่งจะทยอยเดินทางตั้งแต่ต้นเดือน ไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 จนครบจํานวนตามเป้าหมาย ทั้งนี้ คนหางานที่ต้องการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 หรือเว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas" อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 หนุนโรงเรียนสังกัด อปท. ร่วมพัฒนาทักษะทางสมอง (EF) ของเด็ก เพื่อสร้างอนาคตของชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 มท.1 หนุนโรงเรียนสังกัด อปท. ร่วมพัฒนาทักษะทางสมอง (EF) ของเด็ก เพื่อสร้างอนาคตของชาติ มท.1 หนุนโรงเรียนสังกัด อปท. ร่วมพัฒนาทักษะทางสมอง (EF) ของเด็ก เพื่อสร้างอนาคตของชาติ วันนี้ (19 พ.ค. 65) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บําบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ ได้แก่ นายนิยม เวชกามา พันตํารวจเอก วิชย์สัณห์ บุญณรงค์ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ร้อยตํารวจตรี มณฑล โพธิ์คาย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันตํารวจเอก หญิง ศิพร โกวิท นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น และคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้แก่ นางสุภาวดี หาญเมธ นางธิดา พิทักษ์สินสุข ในโอกาสเดินทางศึกษาดูงาน เรื่อง “การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง (EF)” โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นางอณุสรา ชื่นทรวง ผู้อํานวยการสํานักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร นายชัยณรงค์ วาสนะสมสิทธิ์ รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา กล่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บําบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร โดยคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย ได้ดําเนินการศึกษาแนวทางการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้กับเด็กตั้งแต่ปฐมวัยพร้อมจัดทํารายงานการศึกษาพบว่า โดยพบว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติด หากแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จะไม่มีทางสําเร็จได้อย่างยั่งยืน จึงได้มีความคิดในการจะทําอย่างไรที่จะสามารถแก้ไขที่ต้นเหตุ นั่นคือ “คน” ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้กับ “เด็กปฐมวัย” โดยมีพื้นที่ต้นแบบ 4 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดปัตตานี และจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมทั้งทําการขยายผลในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดระยอง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่มีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นจุดเริ่มต้น เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นพื้นที่ที่ใกล้ชิดกับเด็ก ครอบครัว และชุมชนมากที่สุด โดยการแต่งตั้งคณะทํางานพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง (EF) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัยระดับจังหวัด โดยมีองค์ประกอบเป็นส่วนราชการในพื้นที่จังหวัด และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยคณะทํางานชุดนี้ ต้องมีการจัดการประชุมอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยพบกับสภาพปัญหาทางสังคมในหลากหลายด้าน ทั้งปัญหายาเสพติด อุบัติเหตุทางถนน เด็กติดเกม ดังนั้น ในการขับเคลื่อนการทํางานเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หากแก้ปัญหาตามสถานการณ์ จะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งไม่สามารถทําให้เกิดการแก้ปัญหาได้สําเร็จและยั่งยืนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาสําคัญที่ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ครอบครัว ดังนั้น การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุผ่าน “การส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย” นับเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่จะทําให้เกิดการสร้างเด็กเพื่อสร้างชาติ กล่าวคือ เมื่อเราพัฒนา EF ให้กับเด็กตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะทําให้เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม โดยกระทรวงมหาดไทย ขอขอบคุณคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บําบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ริเริ่มส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศชาติ โดยในขณะนี้เรามีพื้นที่และจังหวัดต้นแบบแล้ว ซึ่งเห็นสมควรที่จะได้ขยายผล นําผลสําเร็จที่ได้จากการดําเนินการพื้นที่ต้นแบบไปขยายผลในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยยินดีน้อมรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ มาขับเคลื่อนขยายผลให้เกิดความต่อเนื่องยั่งยืน โดยในส่วนของคณะทํางานในระดับจังหวัด ขอให้ใช้กลไกคณะอนุกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยระดับจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอนุกรรมการ แต่งตั้งคณะทํางานส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย นอกจากนี้ การขับเคลื่อนแนวทางการส่งเสริมทักษะสมอง (EF) นี้ถือเป็นการลด Demand ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ “การส่งเสริมทักษะสมอง (EF) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย เป็นเรื่องสําคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ถ้าเด็กคิดเป็น มีวิธีคิดที่เป็นระบบ พัฒนาทักษะทางสมองในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น จะเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาด้านสมองและสติปัญญาของเด็ก อันเป็นการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพในการพัฒนาสังคมไทยในอนาคตอย่างยั่งยืน” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 หนุนโรงเรียนสังกัด อปท. ร่วมพัฒนาทักษะทางสมอง (EF) ของเด็ก เพื่อสร้างอนาคตของชาติ วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 มท.1 หนุนโรงเรียนสังกัด อปท. ร่วมพัฒนาทักษะทางสมอง (EF) ของเด็ก เพื่อสร้างอนาคตของชาติ มท.1 หนุนโรงเรียนสังกัด อปท. ร่วมพัฒนาทักษะทางสมอง (EF) ของเด็ก เพื่อสร้างอนาคตของชาติ วันนี้ (19 พ.ค. 65) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บําบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ ได้แก่ นายนิยม เวชกามา พันตํารวจเอก วิชย์สัณห์ บุญณรงค์ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ร้อยตํารวจตรี มณฑล โพธิ์คาย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันตํารวจเอก หญิง ศิพร โกวิท นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น และคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้แก่ นางสุภาวดี หาญเมธ นางธิดา พิทักษ์สินสุข ในโอกาสเดินทางศึกษาดูงาน เรื่อง “การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง (EF)” โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นางอณุสรา ชื่นทรวง ผู้อํานวยการสํานักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร นายชัยณรงค์ วาสนะสมสิทธิ์ รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา กล่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บําบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร โดยคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย ได้ดําเนินการศึกษาแนวทางการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้กับเด็กตั้งแต่ปฐมวัยพร้อมจัดทํารายงานการศึกษาพบว่า โดยพบว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติด หากแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จะไม่มีทางสําเร็จได้อย่างยั่งยืน จึงได้มีความคิดในการจะทําอย่างไรที่จะสามารถแก้ไขที่ต้นเหตุ นั่นคือ “คน” ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้กับ “เด็กปฐมวัย” โดยมีพื้นที่ต้นแบบ 4 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดปัตตานี และจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมทั้งทําการขยายผลในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดระยอง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่มีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นจุดเริ่มต้น เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นพื้นที่ที่ใกล้ชิดกับเด็ก ครอบครัว และชุมชนมากที่สุด โดยการแต่งตั้งคณะทํางานพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมทักษะสมอง (EF) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัยระดับจังหวัด โดยมีองค์ประกอบเป็นส่วนราชการในพื้นที่จังหวัด และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยคณะทํางานชุดนี้ ต้องมีการจัดการประชุมอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยพบกับสภาพปัญหาทางสังคมในหลากหลายด้าน ทั้งปัญหายาเสพติด อุบัติเหตุทางถนน เด็กติดเกม ดังนั้น ในการขับเคลื่อนการทํางานเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หากแก้ปัญหาตามสถานการณ์ จะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งไม่สามารถทําให้เกิดการแก้ปัญหาได้สําเร็จและยั่งยืนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาสําคัญที่ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ครอบครัว ดังนั้น การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุผ่าน “การส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย” นับเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่จะทําให้เกิดการสร้างเด็กเพื่อสร้างชาติ กล่าวคือ เมื่อเราพัฒนา EF ให้กับเด็กตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะทําให้เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม โดยกระทรวงมหาดไทย ขอขอบคุณคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บําบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ริเริ่มส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศชาติ โดยในขณะนี้เรามีพื้นที่และจังหวัดต้นแบบแล้ว ซึ่งเห็นสมควรที่จะได้ขยายผล นําผลสําเร็จที่ได้จากการดําเนินการพื้นที่ต้นแบบไปขยายผลในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยยินดีน้อมรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ มาขับเคลื่อนขยายผลให้เกิดความต่อเนื่องยั่งยืน โดยในส่วนของคณะทํางานในระดับจังหวัด ขอให้ใช้กลไกคณะอนุกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยระดับจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอนุกรรมการ แต่งตั้งคณะทํางานส่งเสริมทักษะสมอง EF เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย นอกจากนี้ การขับเคลื่อนแนวทางการส่งเสริมทักษะสมอง (EF) นี้ถือเป็นการลด Demand ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ “การส่งเสริมทักษะสมอง (EF) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดตั้งแต่ปฐมวัย เป็นเรื่องสําคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ถ้าเด็กคิดเป็น มีวิธีคิดที่เป็นระบบ พัฒนาทักษะทางสมองในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น จะเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาด้านสมองและสติปัญญาของเด็ก อันเป็นการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพในการพัฒนาสังคมไทยในอนาคตอย่างยั่งยืน” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทพัฒนาเส้นทางสนับสนุนการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเล (Thailand Riviera) จังหวัดสงขลา เริ่มก่อสร้างถนนสาย สข.4009 กว่า 10 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จกลางปี 2566
วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2565 กรมทางหลวงชนบทพัฒนาเส้นทางสนับสนุนการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเล (Thailand Riviera) จังหวัดสงขลา เริ่มก่อสร้างถนนสาย สข.4009 กว่า 10 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จกลางปี 2566 กรมทางหลวงชนบทพัฒนาเส้นทางสนับสนุนการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเล (Thailand Riviera) จังหวัดสงขลา เริ่มก่อสร้างถนนสาย สข.4009 กว่า 10 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จกลางปี 2566 เตรียมพร้อมรองรับโครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาในอนาคต กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เริ่มเข้าพื้นที่ดําเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย สข.4009 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4083 - บ้านกระแสสินธุ์ อําเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ระยะทาง 10.310 กิโลเมตร พัฒนาเส้นทางส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและเชิงวัฒนธรรมในชุมชนท้องถิ่นริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา เชื่อมต่อเส้นทางในโครงข่ายสนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาในอนาคต ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อโครงข่ายการคมนาคมแบบบูรณาการ เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะดวกและปลอดภัย รองรับปริมาณการขนส่งและการเดินทางในอนาคต นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการพัฒนาทางหลวงชนบทสนับสนุนแผนพัฒนาการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย (Thailand Riviera) เพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในภาพรวมของประเทศ นําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ตลอดแนวเส้นทาง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดสมุทรปราการไปจนถึงจังหวัดนราธิวาส ดังนั้น เพื่อให้การพัฒนาเส้นทางในโครงข่ายตามแผนดังกล่าวมีความต่อเนื่อง สามารถรองรับปริมาณการขนส่งและการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ตลอดจนช่วยอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่นบริเวณพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ทช. จึงได้ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบท สาย สข.4009 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4083 - บ้านกระแสสินธุ์ อําเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการบริเวณ กม. ที่ 0+000 เลียบตามแนวชายฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบสงขลา ไปสิ้นสุดโครงการบริเวณ กม. ที่ 10+655 รวมระยะทาง 10.310 กิโลเมตร ซึ่งก่อสร้างเป็นถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีตขนาด 2 ช่องจราจร ความกว้าง 7 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 1 - 2.50 เมตร พร้อมขยายความกว้างของสะพาน จํานวน 2 แห่ง ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างในบริเวณชุมชนและดําเนินงานด้านความปลอดภัยตลอดเส้นทาง โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 124 ล้านบาท และปัจจุบันอยู่ระหว่างเริ่มดําเนินการก่อสร้างซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทพัฒนาเส้นทางสนับสนุนการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเล (Thailand Riviera) จังหวัดสงขลา เริ่มก่อสร้างถนนสาย สข.4009 กว่า 10 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จกลางปี 2566 วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2565 กรมทางหลวงชนบทพัฒนาเส้นทางสนับสนุนการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเล (Thailand Riviera) จังหวัดสงขลา เริ่มก่อสร้างถนนสาย สข.4009 กว่า 10 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จกลางปี 2566 กรมทางหลวงชนบทพัฒนาเส้นทางสนับสนุนการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเล (Thailand Riviera) จังหวัดสงขลา เริ่มก่อสร้างถนนสาย สข.4009 กว่า 10 กิโลเมตร คาดแล้วเสร็จกลางปี 2566 เตรียมพร้อมรองรับโครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาในอนาคต กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เริ่มเข้าพื้นที่ดําเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย สข.4009 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4083 - บ้านกระแสสินธุ์ อําเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ระยะทาง 10.310 กิโลเมตร พัฒนาเส้นทางส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและเชิงวัฒนธรรมในชุมชนท้องถิ่นริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา เชื่อมต่อเส้นทางในโครงข่ายสนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาในอนาคต ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อโครงข่ายการคมนาคมแบบบูรณาการ เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะดวกและปลอดภัย รองรับปริมาณการขนส่งและการเดินทางในอนาคต นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการพัฒนาทางหลวงชนบทสนับสนุนแผนพัฒนาการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย (Thailand Riviera) เพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในภาพรวมของประเทศ นําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ตลอดแนวเส้นทาง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดสมุทรปราการไปจนถึงจังหวัดนราธิวาส ดังนั้น เพื่อให้การพัฒนาเส้นทางในโครงข่ายตามแผนดังกล่าวมีความต่อเนื่อง สามารถรองรับปริมาณการขนส่งและการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ตลอดจนช่วยอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่นบริเวณพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ทช. จึงได้ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบท สาย สข.4009 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4083 - บ้านกระแสสินธุ์ อําเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการบริเวณ กม. ที่ 0+000 เลียบตามแนวชายฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบสงขลา ไปสิ้นสุดโครงการบริเวณ กม. ที่ 10+655 รวมระยะทาง 10.310 กิโลเมตร ซึ่งก่อสร้างเป็นถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีตขนาด 2 ช่องจราจร ความกว้าง 7 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 1 - 2.50 เมตร พร้อมขยายความกว้างของสะพาน จํานวน 2 แห่ง ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างในบริเวณชุมชนและดําเนินงานด้านความปลอดภัยตลอดเส้นทาง โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 124 ล้านบาท และปัจจุบันอยู่ระหว่างเริ่มดําเนินการก่อสร้างซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบนโยบายด้านการอยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล ภายใต้โครงการบ้านเคหะสุขเกษม
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบนโยบายด้านการอยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล ภายใต้โครงการบ้านเคหะสุขเกษม คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบนโยบายด้านการอยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล ภายใต้โครงการบ้านเคหะสุขเกษม คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบนโยบายด้านการอยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล ภายใต้โครงการบ้านเคหะสุขเกษม ณ โครงการบ้านเคหะสุขเกษม อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ (ผ่านระบบ Video Conference) วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 14.00 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ******************************** รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด พี่น้องประชาชน สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่เข้าร่วมโครงการในวันนี้ ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบกันในวันนี้ เป็นสิ่งที่นายกฯ คาดหวังรอรอคอยมาโดยตลอดที่ได้มอบหมายนโยบายลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดําเนินการมาอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง วันนี้มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มากล่าวกับพวกเรา ในเรื่องนโยบายของรัฐบาลในด้านการอยู่อาศัย และการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล คงทราบดีอยู่แล้วว่า รัฐบาลมีความห่วงใยและใส่ใจในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคงในระยะยาว เราต้องสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกันในสังคม สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ ตลอดจนสร้างความมั่นคงทางด้านที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน เรามีเป้าหมายให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยโดยทั่วกัน ภายในปี 2579 เป็นโครงการระยะยาวที่มีความต่อเนื่องไป เรื่อย ๆ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับพี่น้องประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง ให้ได้มีโอกาสเท่าเทียมกันในการเป็นเจ้าของที่พักอาศัย ที่เป็นผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมาแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการบ้านเคหะสุขประชา โครงการฟื้นฟูชุมชนเมืองดินแดง โครงการบ้านของเราก้าวไปด้วยกัน บ้านริมคลอง เป็นต้น เพื่อมุ่งช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น มีหลักประกันสังคมและมีความมั่นคงในชีวิต อันจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ทั้งนี้ ผมขอชื่นชมทุกภาคส่วนที่ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยและขยายผลการดําเนินงานไปสู่กลุ่มเป้าหมายอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ข้าราชการเกษียณ พนักงานบริษัท และประชาชนทั่วไปที่มีอายุไม่ต่ํากว่า 55 ปี หรืออายุ 60 ปีขึ้นไป ได้มีโอกาสและมีความเท่าเทียมในการเข้าถึงสวัดิการของรัฐ โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัย ตามมาตรการการสร้างที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุของรัฐบาล มาตรการนี้ส่งเสริมการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีความเหมาะสมและมีสิ่งอํานวยความสะดวกเป็นการเฉพาะให้กับผู้สูงอายุ นอกจากนี้ เรายังต้องคํานึงถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีอุปกรณ์ใช้สอยที่เหมาะสม และอยู่ในการดูแลของแพทย์และพยาบาล ตลอดจนที่อยู่อาศัยต้องมีความมั่นคงแข็งแรง มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีสาธารณูปโภคที่เหมาะสมเพียงพอต่อการอยู่อาศัย ตลอดจนมีระบบบริหารจัดการการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพผมเห็นว่าแนวคิดในการจัดทําโครงการบ้านเคหะสุขเกษม จึงเป็นโครงการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ ตอบโจทย์มาตรการดังกล่าว และยังเป็นการช่วยเหลือประชาชนด้านที่อยู่อาศัยได้อย่างเหมาะสม ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย และสอดคล้องกับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุของประเทศ เป็นการเตรียมความพร้อมด้านที่อยู่อาศัย และรองรับผู้สูงอายุที่จะมีจํานวนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพื่อให้มีความมั่นคงในการอยู่อาศัยด้านสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม และมีความสุขในการอยู่อาศัยในช่วงวัยสูงอายุ วันนี้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้สูงอายุในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านที่อยู่อาศัยและสุขภาพ ตลอดจนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางต่างๆ ให้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง แข็งแรง ในระดับราคาที่รับภาระได้ รวมทั้ง มีอาชีพที่ส่งเสริมเศรษฐกิจครอบครัวและชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ถ้าท่านติดตามดูรัฐบาลมีนโยบายหลายเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนหรือหนี้ต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน การแก้ปัญหาความยากจนรายครัวเรือนแบบพุ่งเป้า ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลทั้งสิ้น ที่จะทําให้ครบทุกกลุ่มกิจกรรมให้ประชาชนได้เข้าถึง หลายอย่างกําลังเดินหน้าไป เพราะฉะนั้น ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นโยบายแบบนี้ที่ได้กําหนดลงไป รัฐบาลกําลังพยายามอย่างเต็มที่ด้วยความมุ่งมั่น ขอให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการสืบสานอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมีความสุขตามพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เพียงพอ มีรายได้ที่เหมาะสม และการดําเนินการต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อประชาชนทั้งสิ้น ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เราต้องดําเนินการด้วยความสุจริต โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ผลประโยชน์ต้องเป็นของประชาชนโดยรวมทั่วกันอย่างเป็นธรรม หากไม่ร่วมมือกันทําคงไม่มาถึงวันนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะร่วมมือกันต่อไปในอนาคตไม่ว่าใครจะเป็นใครจะอยู่ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้จะสืบสานต่อไป สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ และข้าราชการทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ส่วนราชการ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจที่ร่วมมือกันทํางานตามนโยบายของรัฐบาลนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ และได้มีการขับเคลื่อนมาตามลําดับ ในการดําเนินโครงการบ้านเคหะสุขเกษม ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ปลอดภัย และมีความสุข ขออํานวยพรให้ประสบผลสําเร็จตามที่มุ่งหวังทุกประการ ขอให้ประสบความสําเร็จในเรื่องนี้ต่อไป ขอบคุณครับ ****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบนโยบายด้านการอยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล ภายใต้โครงการบ้านเคหะสุขเกษม วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบนโยบายด้านการอยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล ภายใต้โครงการบ้านเคหะสุขเกษม คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบนโยบายด้านการอยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล ภายใต้โครงการบ้านเคหะสุขเกษม คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบนโยบายด้านการอยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล ภายใต้โครงการบ้านเคหะสุขเกษม ณ โครงการบ้านเคหะสุขเกษม อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ (ผ่านระบบ Video Conference) วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 14.00 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ******************************** รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด พี่น้องประชาชน สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่เข้าร่วมโครงการในวันนี้ ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบกันในวันนี้ เป็นสิ่งที่นายกฯ คาดหวังรอรอคอยมาโดยตลอดที่ได้มอบหมายนโยบายลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดําเนินการมาอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง วันนี้มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มากล่าวกับพวกเรา ในเรื่องนโยบายของรัฐบาลในด้านการอยู่อาศัย และการดูแลผู้สูงอายุของรัฐบาล คงทราบดีอยู่แล้วว่า รัฐบาลมีความห่วงใยและใส่ใจในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคงในระยะยาว เราต้องสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกันในสังคม สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ ตลอดจนสร้างความมั่นคงทางด้านที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน เรามีเป้าหมายให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยโดยทั่วกัน ภายในปี 2579 เป็นโครงการระยะยาวที่มีความต่อเนื่องไป เรื่อย ๆ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับพี่น้องประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง ให้ได้มีโอกาสเท่าเทียมกันในการเป็นเจ้าของที่พักอาศัย ที่เป็นผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมาแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการบ้านเคหะสุขประชา โครงการฟื้นฟูชุมชนเมืองดินแดง โครงการบ้านของเราก้าวไปด้วยกัน บ้านริมคลอง เป็นต้น เพื่อมุ่งช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น มีหลักประกันสังคมและมีความมั่นคงในชีวิต อันจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ทั้งนี้ ผมขอชื่นชมทุกภาคส่วนที่ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยและขยายผลการดําเนินงานไปสู่กลุ่มเป้าหมายอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ข้าราชการเกษียณ พนักงานบริษัท และประชาชนทั่วไปที่มีอายุไม่ต่ํากว่า 55 ปี หรืออายุ 60 ปีขึ้นไป ได้มีโอกาสและมีความเท่าเทียมในการเข้าถึงสวัดิการของรัฐ โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัย ตามมาตรการการสร้างที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุของรัฐบาล มาตรการนี้ส่งเสริมการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีความเหมาะสมและมีสิ่งอํานวยความสะดวกเป็นการเฉพาะให้กับผู้สูงอายุ นอกจากนี้ เรายังต้องคํานึงถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีอุปกรณ์ใช้สอยที่เหมาะสม และอยู่ในการดูแลของแพทย์และพยาบาล ตลอดจนที่อยู่อาศัยต้องมีความมั่นคงแข็งแรง มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีสาธารณูปโภคที่เหมาะสมเพียงพอต่อการอยู่อาศัย ตลอดจนมีระบบบริหารจัดการการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพผมเห็นว่าแนวคิดในการจัดทําโครงการบ้านเคหะสุขเกษม จึงเป็นโครงการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ ตอบโจทย์มาตรการดังกล่าว และยังเป็นการช่วยเหลือประชาชนด้านที่อยู่อาศัยได้อย่างเหมาะสม ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย และสอดคล้องกับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุของประเทศ เป็นการเตรียมความพร้อมด้านที่อยู่อาศัย และรองรับผู้สูงอายุที่จะมีจํานวนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เพื่อให้มีความมั่นคงในการอยู่อาศัยด้านสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม และมีความสุขในการอยู่อาศัยในช่วงวัยสูงอายุ วันนี้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้สูงอายุในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านที่อยู่อาศัยและสุขภาพ ตลอดจนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางต่างๆ ให้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง แข็งแรง ในระดับราคาที่รับภาระได้ รวมทั้ง มีอาชีพที่ส่งเสริมเศรษฐกิจครอบครัวและชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ถ้าท่านติดตามดูรัฐบาลมีนโยบายหลายเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนหรือหนี้ต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน การแก้ปัญหาความยากจนรายครัวเรือนแบบพุ่งเป้า ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลทั้งสิ้น ที่จะทําให้ครบทุกกลุ่มกิจกรรมให้ประชาชนได้เข้าถึง หลายอย่างกําลังเดินหน้าไป เพราะฉะนั้น ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นโยบายแบบนี้ที่ได้กําหนดลงไป รัฐบาลกําลังพยายามอย่างเต็มที่ด้วยความมุ่งมั่น ขอให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการสืบสานอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมีความสุขตามพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เพียงพอ มีรายได้ที่เหมาะสม และการดําเนินการต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อประชาชนทั้งสิ้น ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เราต้องดําเนินการด้วยความสุจริต โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ผลประโยชน์ต้องเป็นของประชาชนโดยรวมทั่วกันอย่างเป็นธรรม หากไม่ร่วมมือกันทําคงไม่มาถึงวันนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะร่วมมือกันต่อไปในอนาคตไม่ว่าใครจะเป็นใครจะอยู่ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้จะสืบสานต่อไป สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ และข้าราชการทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ส่วนราชการ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจที่ร่วมมือกันทํางานตามนโยบายของรัฐบาลนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ และได้มีการขับเคลื่อนมาตามลําดับ ในการดําเนินโครงการบ้านเคหะสุขเกษม ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ปลอดภัย และมีความสุข ขออํานวยพรให้ประสบผลสําเร็จตามที่มุ่งหวังทุกประการ ขอให้ประสบความสําเร็จในเรื่องนี้ต่อไป ขอบคุณครับ ****************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52036
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. ชวนสมาชิกรับ e-Statement ชูแนวคิดลดใช้กระดาษ ตอบสนองนโยบายรัฐลดโลกร้อน
วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 กบข. ชวนสมาชิกรับ e-Statement ชูแนวคิดลดใช้กระดาษ ตอบสนองนโยบายรัฐลดโลกร้อน กบข. เชิญชวนสมาชิกลงทะเบียนขอรับใบแจ้งยอดเงินสมาชิกรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Statement ชูแนวคิดลดการใช้กระดาษ หวังช่วยลดโลกร้อน ตามแนวทางรัฐบาล พร้อมดึงเทคโนโลยีเข้าช่วยในการทํางานทุกมิติ ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ขอเชิญชวนให้สมาชิกลงทะเบียนแสดงความประสงค์ขอรับใบแจ้งยอดเงินสมาชิกรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Statement ซึ่งจะทําให้สมาชิกได้รับใบแจ้งยอดเงินได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอรับใบแจ้งยอดแบบกระดาษจากหน่วยงานต้นสังกัด ทั้งยังเป็นการลดระยะเวลาการจัดพิมพ์ การขนส่ง และการนําส่งไปยังหน่วยงานย่อยต่าง ๆ และยังเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่สมาชิกเพราะสามารถดูข้อมูลใบแจ้งยอดเงินได้ผ่านทุกแพลตฟอร์มของ กบข. ทั้ง ทางอีเมล, LINE กบข., My GPF Application และ My GPF Website โดยสมาชิกที่ลงทะเบียนรับ e-Statement ภายใน 31 ธันวาคม 2564 จะได้รับใบแจ้งยอดเงินเป็นไฟล์ .pdf ในช่วงเดือนมกราคม 2565 ล่าสุด กบข. ได้จัดกิจกรรม “ลง ลุ้น รับ”ชวนสมาชิก กบข. ลงทะเบียนขอรับ e-Statement ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2564 มีสิทธิ์ลุ้นรับส่วนลด Lazada 50 บาท จํานวน 1,000 รางวัลโดยสมาชิกสามารถลงทะเบียนขอรับ e-Statement ได้ 4 ช่องทาง ดังนี้ 1. LINE กบข. @gpfcommunity เข้าเมนู "ลงทะเบียนรับ e-Statement" 2. My GPF Application เข้าเมนู “บัญชีของฉัน” คลิกเลือก "ดาวน์โหลด/e-Statement" 3. My GPF Website เข้าเมนู “บัญชีของฉัน” คลิกเลือก "ดาวน์โหลด/e-Statement" และ 4. เว็บไซต์ กบข. www.gpf.or.th อนึ่ง นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา กบข. ได้เริ่มจัดส่งe-Statementให้แก่สมาชิกที่ลงทะเบียนแสดงความประสงค์ โดย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2564 มีสมาชิกแจ้งขอรับ e-Statement จํานวน 524,503 ราย หรือคิดเป็น 45% ของสมาชิกทั้งหมด โดย กบข. ได้ดําเนินมาตรการทยอยลดการใช้กระดาษ มุ่งเน้นการนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน เพื่อลดปริมาณการใช้กระดาษโดยไม่จําเป็น และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint)ที่เป็นส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก ทําให้เกิดภาวะโลกร้อน ถือเป็นการตอบสนองนโยบายภาครัฐ ตามที่รัฐบาลได้เข้าร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 นอกจากนี้ กบข. ยังนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทํางานและสื่อสารกับพนักงาน รวมทั้งใช้ รับ-ส่งข้อมูลกับสมาชิกหรือส่วนราชการ เช่น การใช้งานแอป กบข. (My GPF Application) LINE กบข. การนําส่งเงินรายเดือนผ่านระบบ MCS Web เป็นต้น เพื่อที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้มาตรการทยอยลดการใช้กระดาษเกิดผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.12 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 31ต.ค. 2564) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน :ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. ชวนสมาชิกรับ e-Statement ชูแนวคิดลดใช้กระดาษ ตอบสนองนโยบายรัฐลดโลกร้อน วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 กบข. ชวนสมาชิกรับ e-Statement ชูแนวคิดลดใช้กระดาษ ตอบสนองนโยบายรัฐลดโลกร้อน กบข. เชิญชวนสมาชิกลงทะเบียนขอรับใบแจ้งยอดเงินสมาชิกรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Statement ชูแนวคิดลดการใช้กระดาษ หวังช่วยลดโลกร้อน ตามแนวทางรัฐบาล พร้อมดึงเทคโนโลยีเข้าช่วยในการทํางานทุกมิติ ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ขอเชิญชวนให้สมาชิกลงทะเบียนแสดงความประสงค์ขอรับใบแจ้งยอดเงินสมาชิกรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Statement ซึ่งจะทําให้สมาชิกได้รับใบแจ้งยอดเงินได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอรับใบแจ้งยอดแบบกระดาษจากหน่วยงานต้นสังกัด ทั้งยังเป็นการลดระยะเวลาการจัดพิมพ์ การขนส่ง และการนําส่งไปยังหน่วยงานย่อยต่าง ๆ และยังเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่สมาชิกเพราะสามารถดูข้อมูลใบแจ้งยอดเงินได้ผ่านทุกแพลตฟอร์มของ กบข. ทั้ง ทางอีเมล, LINE กบข., My GPF Application และ My GPF Website โดยสมาชิกที่ลงทะเบียนรับ e-Statement ภายใน 31 ธันวาคม 2564 จะได้รับใบแจ้งยอดเงินเป็นไฟล์ .pdf ในช่วงเดือนมกราคม 2565 ล่าสุด กบข. ได้จัดกิจกรรม “ลง ลุ้น รับ”ชวนสมาชิก กบข. ลงทะเบียนขอรับ e-Statement ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2564 มีสิทธิ์ลุ้นรับส่วนลด Lazada 50 บาท จํานวน 1,000 รางวัลโดยสมาชิกสามารถลงทะเบียนขอรับ e-Statement ได้ 4 ช่องทาง ดังนี้ 1. LINE กบข. @gpfcommunity เข้าเมนู "ลงทะเบียนรับ e-Statement" 2. My GPF Application เข้าเมนู “บัญชีของฉัน” คลิกเลือก "ดาวน์โหลด/e-Statement" 3. My GPF Website เข้าเมนู “บัญชีของฉัน” คลิกเลือก "ดาวน์โหลด/e-Statement" และ 4. เว็บไซต์ กบข. www.gpf.or.th อนึ่ง นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา กบข. ได้เริ่มจัดส่งe-Statementให้แก่สมาชิกที่ลงทะเบียนแสดงความประสงค์ โดย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2564 มีสมาชิกแจ้งขอรับ e-Statement จํานวน 524,503 ราย หรือคิดเป็น 45% ของสมาชิกทั้งหมด โดย กบข. ได้ดําเนินมาตรการทยอยลดการใช้กระดาษ มุ่งเน้นการนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน เพื่อลดปริมาณการใช้กระดาษโดยไม่จําเป็น และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint)ที่เป็นส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก ทําให้เกิดภาวะโลกร้อน ถือเป็นการตอบสนองนโยบายภาครัฐ ตามที่รัฐบาลได้เข้าร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 นอกจากนี้ กบข. ยังนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทํางานและสื่อสารกับพนักงาน รวมทั้งใช้ รับ-ส่งข้อมูลกับสมาชิกหรือส่วนราชการ เช่น การใช้งานแอป กบข. (My GPF Application) LINE กบข. การนําส่งเงินรายเดือนผ่านระบบ MCS Web เป็นต้น เพื่อที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้มาตรการทยอยลดการใช้กระดาษเกิดผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.12 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 31ต.ค. 2564) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน :ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48968
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ประกาศชะลอดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ฟ้องร้องลูกหนี้ NPL จากเหตุโควิด 19
วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 ออมสิน ประกาศชะลอดําเนินการทางกฎหมาย ไม่ฟ้องร้องลูกหนี้ NPL จากเหตุโควิด 19 ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อการชําระหนี้ของลูกหนี้ธนาคารออมสิน โดยธนาคารจะชะลอการดําเนินการทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs ตั้งแต่บัดนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อการชําระหนี้ของลูกหนี้ธนาคารออมสิน แม้ว่าที่ผ่านมาธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแล้วก็ตาม แต่ยังมีลูกหนี้ส่วนหนึ่งที่ผลกระทบจากโควิด 19 ทําให้ต้องขาดรายได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จากการปิดกิจการ ถูกเลิกจ้าง หรือมีรายได้ลดลง จึงไม่สามารถชําระหนี้ได้ ซึ่งธนาคารตระหนักถึงสภาพปัญหาที่ลูกหนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ความยากลําบากที่เกิดขึ้น จึงตั้งใจช่วยเหลือไม่ให้ต้องกังวลเรื่องคดีความ โดยธนาคารจะชะลอการดําเนินการทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs ตั้งแต่บัดนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ มาตรการชะลอ/ผ่อนปรนการดําเนินการทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโควิด 19 ครั้งนี้ จัดทําขึ้นเพื่อช่วยลดภาระลูกหนี้ที่กลายเป็น NPLs ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ประกอบด้วยสินเชื่อ 4 ประเภท ได้แก่ 1) สินเชื่อบุคคล-รายย่อย 2) สินเชื่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย 3) สินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา และ 4) สินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยธนาคารจะชะลอการฟ้องคดีต่อศาลไว้จนถึงสิ้นปี 2564 ซึ่งรวมถึงลูกหนี้ที่มีการทําสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นศาล และมีการผ่อนชําระดีมาอย่างต่อเนื่อง แต่มาเริ่มค้างชําระในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 - 31 กรกฎาคม 2564 ธนาคารจะชะลอการดําเนินการทางกฎหมาย (ไม่ฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์ ไม่ขายทอดตลาด และไม่ฟ้องล้มละลาย) แล้วแต่กรณีตามสถานะของลูกหนี้แต่ละราย อนึ่ง การประกาศชะลอดําเนินการทางการกฎหมายครั้งนี้ เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข และกลายเป็น NPLs ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เท่านั้น และจะเป็นมาตรการที่ดําเนินการเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีการขยายระยะเวลาดําเนินการอีกในอนาคต ธนาคารจึงขอแนะนําให้ลูกหนี้ที่ประสบปัญหา โปรดติดต่อธนาคารออมสินสาขาเจ้าของบัญชีเงินกู้ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ประกาศชะลอดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ฟ้องร้องลูกหนี้ NPL จากเหตุโควิด 19 วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 ออมสิน ประกาศชะลอดําเนินการทางกฎหมาย ไม่ฟ้องร้องลูกหนี้ NPL จากเหตุโควิด 19 ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อการชําระหนี้ของลูกหนี้ธนาคารออมสิน โดยธนาคารจะชะลอการดําเนินการทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs ตั้งแต่บัดนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อการชําระหนี้ของลูกหนี้ธนาคารออมสิน แม้ว่าที่ผ่านมาธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแล้วก็ตาม แต่ยังมีลูกหนี้ส่วนหนึ่งที่ผลกระทบจากโควิด 19 ทําให้ต้องขาดรายได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จากการปิดกิจการ ถูกเลิกจ้าง หรือมีรายได้ลดลง จึงไม่สามารถชําระหนี้ได้ ซึ่งธนาคารตระหนักถึงสภาพปัญหาที่ลูกหนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ความยากลําบากที่เกิดขึ้น จึงตั้งใจช่วยเหลือไม่ให้ต้องกังวลเรื่องคดีความ โดยธนาคารจะชะลอการดําเนินการทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs ตั้งแต่บัดนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ มาตรการชะลอ/ผ่อนปรนการดําเนินการทางกฎหมายต่อลูกหนี้ NPLs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโควิด 19 ครั้งนี้ จัดทําขึ้นเพื่อช่วยลดภาระลูกหนี้ที่กลายเป็น NPLs ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ประกอบด้วยสินเชื่อ 4 ประเภท ได้แก่ 1) สินเชื่อบุคคล-รายย่อย 2) สินเชื่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย 3) สินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา และ 4) สินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยธนาคารจะชะลอการฟ้องคดีต่อศาลไว้จนถึงสิ้นปี 2564 ซึ่งรวมถึงลูกหนี้ที่มีการทําสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นศาล และมีการผ่อนชําระดีมาอย่างต่อเนื่อง แต่มาเริ่มค้างชําระในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 - 31 กรกฎาคม 2564 ธนาคารจะชะลอการดําเนินการทางกฎหมาย (ไม่ฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์ ไม่ขายทอดตลาด และไม่ฟ้องล้มละลาย) แล้วแต่กรณีตามสถานะของลูกหนี้แต่ละราย อนึ่ง การประกาศชะลอดําเนินการทางการกฎหมายครั้งนี้ เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข และกลายเป็น NPLs ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เท่านั้น และจะเป็นมาตรการที่ดําเนินการเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีการขยายระยะเวลาดําเนินการอีกในอนาคต ธนาคารจึงขอแนะนําให้ลูกหนี้ที่ประสบปัญหา โปรดติดต่อธนาคารออมสินสาขาเจ้าของบัญชีเงินกู้ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45478
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 สธ. เผยหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน กระทรวงสาธารณสุข เผยหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ย้ําวัคซีนที่นําเข้ามามีความปลอดภัย จากรายงานการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ ยืนยันวัคซีนสูตรไขว้สามารถฉีดในหญิงตั้งครรภ์ได้ ผลข้างเคียงหลังรับวัคซีนไม่ต่างจากคนทั่วไปแ กระทรวงสาธารณสุข เผยหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ย้ําวัคซีนที่นําเข้ามามีความปลอดภัย จากรายงานการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ ยืนยันวัคซีนสูตรไขว้สามารถฉีดในหญิงตั้งครรภ์ได้ ผลข้างเคียงหลังรับวัคซีนไม่ต่างจากคนทั่วไปและหายเองได้ วันนี้ (19 ตุลาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธาณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมสุขภาพ และโฆษกกรมอนามัย แถลงข่าว การติดเชื้อโควิด 19 และผลการรณรงค์ฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ ว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด พบว่าสัดส่วนการเสียชีวิต สูงขึ้นกว่าภาวะปกติถึง 50-60% และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในหลายประเทศ โดยในยุโรปและสหรัฐอเมริกา พบประมาณ 25% สําหรับประเทศไทย ตั้งแต่ ต.ค. 2563 - ก.ย. 2564 มีหญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตทั้งหมด 192 ราย ในจํานวนนี้เสียชีวิตจากโควิด 19 ถึง 78 ราย คิดเป็น 38% ซึ่งถือว่าสูงมาก สําหรับช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ 1 เม.ย. - 16 ต.ค. 2564 มีหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด 19 จํานวน 4,778 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกทม. ปริมณฑล และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทารกติดเชื้อจากมารดา 226 ราย หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิต 95 ราย ทารกที่อยู่ในครรภ์เสียชีวิต 46 ราย กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งฉีดวัคซีนให้หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนก.ค. 2564 ตั้งเป้าหมาย 1 แสนคน ขณะนี้ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว 7.5 หมื่นคน เข็มสอง 5.1 หมื่นคน และได้รับการกระตุ้นเข็ม 3 จํานวน 526 คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ตั้งครรภ์ ภาพรวมผลหลังการรณรงค์ฉีดวัคซีนในระดับเขตสุขภาพ พบว่า ภาคตะวันออกฉีดได้สูงสุด 40% และภาคกลาง อาทิ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ได้กว่า 30% ส่วนภาคอีสานฉีดได้เพียง 10-20% “จํานวนหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ที่ต้องได้รับวัคซีนมีประมาณ 3 แสนราย ขณะนี้ฉีดได้เพียง 7.5 หมื่นราย หรือประมาณ 25% จึงต้องเร่งรณรงค์ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น เนื่องจากพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อประมาณ 95% ไม่ได้รับวัคซีน เป็นสาเหตุทําให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต จึงขอให้หญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฉีดวัคซีนได้ฟรีที่สถานบริการของรัฐใกล้บ้าน หรือคลินิกฝากครรภ์ สําหรับหญิงให้นมบุตรสามารถฉีดวัคซีนได้ไม่มีผลต่อน้ํานม และประโยชน์จากการฉีดวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงหรือผลข้างเคียง” นายแพทย์เอกชัยกล่าว นายแพทย์เอกชัยกล่าวต่อว่า จากผลสํารวจอนามัยโพล หญิงตั้งครรภ์กับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ระหว่างวันที่ 15 - 29 ก.ย. 2564 จากหญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศ 1,165 คน พบว่า 98% ฝากครรภ์แล้ว อยู่ร่วมกับสมาชิกในบ้านมากกว่า 2 คนขึ้นไป โดยครึ่งหนึ่งไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย 60% ตั้งใจจะฉีดวัคซีน ส่วนที่เหลือยังลังเล โดย 1 ใน 3มีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ผลข้างเคียง ไม่มั่นใจประสิทธิภาพ ส่วนที่เหลือเป็นเหตุผลอื่น เช่น ไม่ทราบว่า จะไปฉีดที่ไหน ไม่มีเวลา เป็นต้น ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ สมาคมโรคติดเชื้อฯ และกระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลตรงกันว่าจากรายงานการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ ยืนยันวัคซีนสูตรไขว้สามารถฉีดในหญิงตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ผลข้างเคียงไม่ต่างจากคนทั่วไปและหายเองได้ เช่น ปวดศีรษะ ไข้เล็กน้อย อ่อนเพลีย เป็นต้น สําหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องออกไปทํางานนอกบ้าน หรืออยู่ร่วมกับผู้อื่น ขอให้ป้องกันตนเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention)สวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่างเมื่อเข้าที่ชุมชน ล้างมือ ออกจากบ้านเท่าที่จําเป็น แยกรับประทานอาหาร และทําความสะอาดจุดสัมผัสร่วมในบ้าน ส่วนกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง และป้องกันตนเองขั้นสูงสุดเช่นกัน ************************************19 ตุลาคม 2564 ********************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 สธ. เผยหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน กระทรวงสาธารณสุข เผยหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ย้ําวัคซีนที่นําเข้ามามีความปลอดภัย จากรายงานการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ ยืนยันวัคซีนสูตรไขว้สามารถฉีดในหญิงตั้งครรภ์ได้ ผลข้างเคียงหลังรับวัคซีนไม่ต่างจากคนทั่วไปแ กระทรวงสาธารณสุข เผยหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ย้ําวัคซีนที่นําเข้ามามีความปลอดภัย จากรายงานการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ ยืนยันวัคซีนสูตรไขว้สามารถฉีดในหญิงตั้งครรภ์ได้ ผลข้างเคียงหลังรับวัคซีนไม่ต่างจากคนทั่วไปและหายเองได้ วันนี้ (19 ตุลาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธาณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมสุขภาพ และโฆษกกรมอนามัย แถลงข่าว การติดเชื้อโควิด 19 และผลการรณรงค์ฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ ว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด พบว่าสัดส่วนการเสียชีวิต สูงขึ้นกว่าภาวะปกติถึง 50-60% และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในหลายประเทศ โดยในยุโรปและสหรัฐอเมริกา พบประมาณ 25% สําหรับประเทศไทย ตั้งแต่ ต.ค. 2563 - ก.ย. 2564 มีหญิงตั้งครรภ์เสียชีวิตทั้งหมด 192 ราย ในจํานวนนี้เสียชีวิตจากโควิด 19 ถึง 78 ราย คิดเป็น 38% ซึ่งถือว่าสูงมาก สําหรับช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ 1 เม.ย. - 16 ต.ค. 2564 มีหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด 19 จํานวน 4,778 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกทม. ปริมณฑล และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทารกติดเชื้อจากมารดา 226 ราย หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิต 95 ราย ทารกที่อยู่ในครรภ์เสียชีวิต 46 ราย กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งฉีดวัคซีนให้หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนก.ค. 2564 ตั้งเป้าหมาย 1 แสนคน ขณะนี้ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว 7.5 หมื่นคน เข็มสอง 5.1 หมื่นคน และได้รับการกระตุ้นเข็ม 3 จํานวน 526 คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ตั้งครรภ์ ภาพรวมผลหลังการรณรงค์ฉีดวัคซีนในระดับเขตสุขภาพ พบว่า ภาคตะวันออกฉีดได้สูงสุด 40% และภาคกลาง อาทิ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ได้กว่า 30% ส่วนภาคอีสานฉีดได้เพียง 10-20% “จํานวนหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ที่ต้องได้รับวัคซีนมีประมาณ 3 แสนราย ขณะนี้ฉีดได้เพียง 7.5 หมื่นราย หรือประมาณ 25% จึงต้องเร่งรณรงค์ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น เนื่องจากพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อประมาณ 95% ไม่ได้รับวัคซีน เป็นสาเหตุทําให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต จึงขอให้หญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฉีดวัคซีนได้ฟรีที่สถานบริการของรัฐใกล้บ้าน หรือคลินิกฝากครรภ์ สําหรับหญิงให้นมบุตรสามารถฉีดวัคซีนได้ไม่มีผลต่อน้ํานม และประโยชน์จากการฉีดวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงหรือผลข้างเคียง” นายแพทย์เอกชัยกล่าว นายแพทย์เอกชัยกล่าวต่อว่า จากผลสํารวจอนามัยโพล หญิงตั้งครรภ์กับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ระหว่างวันที่ 15 - 29 ก.ย. 2564 จากหญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศ 1,165 คน พบว่า 98% ฝากครรภ์แล้ว อยู่ร่วมกับสมาชิกในบ้านมากกว่า 2 คนขึ้นไป โดยครึ่งหนึ่งไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย 60% ตั้งใจจะฉีดวัคซีน ส่วนที่เหลือยังลังเล โดย 1 ใน 3มีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ผลข้างเคียง ไม่มั่นใจประสิทธิภาพ ส่วนที่เหลือเป็นเหตุผลอื่น เช่น ไม่ทราบว่า จะไปฉีดที่ไหน ไม่มีเวลา เป็นต้น ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ สมาคมโรคติดเชื้อฯ และกระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลตรงกันว่าจากรายงานการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ ยืนยันวัคซีนสูตรไขว้สามารถฉีดในหญิงตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ผลข้างเคียงไม่ต่างจากคนทั่วไปและหายเองได้ เช่น ปวดศีรษะ ไข้เล็กน้อย อ่อนเพลีย เป็นต้น สําหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องออกไปทํางานนอกบ้าน หรืออยู่ร่วมกับผู้อื่น ขอให้ป้องกันตนเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention)สวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่างเมื่อเข้าที่ชุมชน ล้างมือ ออกจากบ้านเท่าที่จําเป็น แยกรับประทานอาหาร และทําความสะอาดจุดสัมผัสร่วมในบ้าน ส่วนกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง และป้องกันตนเองขั้นสูงสุดเช่นกัน ************************************19 ตุลาคม 2564 ********************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (ASEAN-U.S. Special Summit)
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565 นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (ASEAN-U.S. Special Summit) นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (ASEAN-U.S. Special Summit) นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (ASEAN-U.S. Special Summit) วันนี้ (12 พฤษภาคม 2565) เวลา 05.55 น. เวลาประเทศไทย (หรือเท่ากับ วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 เวลา 18.55 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสหรัฐอเมริกา) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางถึง กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีภารกิจสําคัญ ได้แก่ ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ํา ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นเจ้าภาพสําหรับผู้นําอาเซียนที่ทําเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ และร่วมการประชุมหารือระหว่างผู้นําอาเซียนกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้ง ร่วมกําหนดการที่ฝ่ายสหรัฐฯ เชิญผู้นําอาเซียนพบหารือกับผู้แทนระดับสูงของสหรัฐฯ ได้แก่ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้นํารัฐสภา และผู้นําภาคเอกชน ในส่วนของการหารือในโอกาสต่าง ๆ จะเน้นเรื่องการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเติบโตอย่างยั่งยืนของภูมิภาคในยุคหลังโควิด-19 อาทิ ความมั่นคงด้านสาธารณสุข การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความร่วมมือทางทะเล การค้าการลงทุน ห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาด้านดิจิทัล เทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาทุนมนุษย์ และ การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ ที่สําคัญ โดยเน้นย้ําความเป็นแกนกลางของอาเซียน และการส่งเสริมบรรยากาศที่ดีเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งยังยืนในภูมิภาค โดยประเด็นหลักที่นายกรัฐมนตรีที่จะนําเสนอในการประชุมครั้งนี้ คือ ส่งเสริมให้สหรัฐฯ มีบทบาทที่สร้างสรรค์ในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค Next Normal การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืน และการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2520 และได้ยกระดับเป็นหุ้นส่วน เชิงยุทธศาสตร์เมื่อปี 2558 ทั้งสองฝ่ายดําเนินความร่วมมือที่ครอบคลุม 3 เสาของประชาคมอาเซียน ทั้งด้านการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนการบูรณาการและการพัฒนา ในภูมิภาคให้ก้าวหน้า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (ASEAN-U.S. Special Summit) วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565 นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (ASEAN-U.S. Special Summit) นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (ASEAN-U.S. Special Summit) นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน พร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ (ASEAN-U.S. Special Summit) วันนี้ (12 พฤษภาคม 2565) เวลา 05.55 น. เวลาประเทศไทย (หรือเท่ากับ วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 เวลา 18.55 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสหรัฐอเมริกา) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางถึง กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีภารกิจสําคัญ ได้แก่ ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ํา ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นเจ้าภาพสําหรับผู้นําอาเซียนที่ทําเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ และร่วมการประชุมหารือระหว่างผู้นําอาเซียนกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้ง ร่วมกําหนดการที่ฝ่ายสหรัฐฯ เชิญผู้นําอาเซียนพบหารือกับผู้แทนระดับสูงของสหรัฐฯ ได้แก่ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้นํารัฐสภา และผู้นําภาคเอกชน ในส่วนของการหารือในโอกาสต่าง ๆ จะเน้นเรื่องการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเติบโตอย่างยั่งยืนของภูมิภาคในยุคหลังโควิด-19 อาทิ ความมั่นคงด้านสาธารณสุข การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความร่วมมือทางทะเล การค้าการลงทุน ห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาด้านดิจิทัล เทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาทุนมนุษย์ และ การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ ที่สําคัญ โดยเน้นย้ําความเป็นแกนกลางของอาเซียน และการส่งเสริมบรรยากาศที่ดีเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งยังยืนในภูมิภาค โดยประเด็นหลักที่นายกรัฐมนตรีที่จะนําเสนอในการประชุมครั้งนี้ คือ ส่งเสริมให้สหรัฐฯ มีบทบาทที่สร้างสรรค์ในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค Next Normal การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืน และการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2520 และได้ยกระดับเป็นหุ้นส่วน เชิงยุทธศาสตร์เมื่อปี 2558 ทั้งสองฝ่ายดําเนินความร่วมมือที่ครอบคลุม 3 เสาของประชาคมอาเซียน ทั้งด้านการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนการบูรณาการและการพัฒนา ในภูมิภาคให้ก้าวหน้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.4%พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่-เน้นย้ำมาตรการป้องกันเชื้อทุกช่องทาง
วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 ​สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.4%พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่-เน้นย้ํามาตรการป้องกันเชื้อทุกช่องทาง นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผยภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถาน ในวันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 09.30 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 36/2564 โดยมี นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และห้องประชุม 1 ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผยภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจําและทัณฑสถาน พบรักษาหายสะสม 94.4% ผู้ติดเชื้อที่ยังรักษาต่ํากว่า 2 พันรายต่อเนื่อง นายวัลลภ เปิดเผยว่า สถิติผู้ติดเชื้อของกรมราชทัณฑ์ ปัจจุบัน มีเรือนจําสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาดจํานวน 122 แห่ง เรือนจําสีแดงที่พบการแพร่ระบาด 10 แห่ง มีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว 34,767 ราย หรือกว่า 94.4% ของจํานวนผู้ติดเชื้อสะสม ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ ทั้งสิ้น 1,752 ราย ซึ่งต่ํากว่า 2 พันรายเป็นวันที่สองแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีผู้ติดเชื่อที่ยังรักษาอยู่ 1,075 ราย ซึ่งคาดว่าจะหายเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายงานผู้เสียชีวิตสะสม 44 ราย หรือ 0.1% ของจํานวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด ซึ่งจะพบว่าแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครเริ่มลดลง แม้จะมีเรือนจําที่พบการแพร่ระบาดแห่งใหม่ แต่สถานการณ์ยังคงอยู่ในการควบคุม และมีการระบาดเพียงบางแดนเท่านั้น ซึ่งทุกแห่งได้ตรวจคัดแยกผู้ต้องขังติดเชื้อเพื่อให้ได้รับการรักษา การแยกกลุ่มเสี่ยงจากผู้ต้องขังกลุ่มอื่นตามแผนการดําเนินการอย่างเป็นระบบ รวมถึงการจัดเตรียมยา เวชภัณฑ์ และตั้งโรงพยาบาลสนามในเรือนจําเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายวัลลภ กล่าวต่อว่า การจัดสรรวัคซีนของกรมราชทัณฑ์ ในวันนี้จะได้รับวัคซีนเพิ่มเติมจากกรมควบคุมโรคอีก 10,000 โดส เพื่อฉีดแก่ผู้ต้องขังเป็นเข็มที่ 2 ตามกําหนดระยะเวลา และเป็นเข็มแรกในเรือนจําสีขาวในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทําให้ยอดรวมวัคซีนของกรมราชทัณฑ์ มีทั้งสิ้น 86,877 โดส ซึ่งได้ดําเนินการฉีดให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจําและทัณฑสถานไปแล้ว 46 แห่ง สําหรับเรือนจําและทัณฑสถานแห่งอื่นๆ กรมราชทัณฑ์ยังอยู่ระหว่างประสานกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอรับวัคซีนเพิ่มเติมจนกว่าจะครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน ได้เน้นย้ําการจัดการเรือนจํา/ทัณฑสถานทุกแห่งให้มีมาตรฐานด้านการป้องกันเชื้ออย่างเป็นระบบ รวมถึงมีแผนการเผชิญเหตุและจัดเตรียมพื้นที่ในการจัดทําโรงพยาบาลสนามเรือนจําให้พร้อมรับการแพร่ระบาด โดยเฉพาะในสภาวะที่ภายนอกยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน ที่ได้ร่วมกันต่อสู้กับการแพร่ระบาด จนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในหลายพื้นที่ และขอให้ทุกคนได้ทําหน้าที่อย่างเข้มแข็งต่อไป ส่วนในเรือนจํา/ทัณฑสถานที่ยังไม่พบการแพร่ระบาด ต้องพยายามปิดจุดแพร่เชื้อทุกช่องทาง และรักษามาตรการป้องกันเชื้ออย่างเคร่งครัด ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ขณะที่สถานะเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อยังคงรักษาตัวอยู่ 1 ราย รวมผู้ติดเชื้อหายป่วยแล้วทั้งสิ้น 92 ราย จากทั้งหมด 93 ราย หรือคิดเป็น 98% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ขณะที่สถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีสถานะรวม 40 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง หรือคิดเป็น 71% อีก 16 แห่งอยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 7 แห่ง หมดสถานะ 4 แห่ง และติดเชื้อ 5 แห่ง ด้านสถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน เพิ่มขึ้น 4 ราย เป็นจํานวน 110 ราย จากทั้งหมด 4,378 ราย หรือคิดเป็น 2.5% ขณะที่การฉีดวัคซีนของเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็นจํานวน 3,367 ราย หรือ 76% ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 4,411 ราย นอกจากนี้กรมพินิจฯ ยังได้เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ทุกคนยกระดับและเข้มงวดกวดขันในการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ยกเว้นกรณีที่มีเหตุจําเป็นเร่งด่วนหรือฉุกเฉินให้รีบเเจ้งแก่ผู้บังคับบัญชา และจัดทําไทม์ไลน์การเดินทาง ตลอดจนให้ทบทวนแนวทางการจัดเวรยามของเจ้าหน้าที่ในสถานที่ควบคุม เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.4%พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่-เน้นย้ำมาตรการป้องกันเชื้อทุกช่องทาง วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 ​สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.4%พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่-เน้นย้ํามาตรการป้องกันเชื้อทุกช่องทาง นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผยภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถาน ในวันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 09.30 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 36/2564 โดยมี นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และห้องประชุม 1 ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผยภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจําและทัณฑสถาน พบรักษาหายสะสม 94.4% ผู้ติดเชื้อที่ยังรักษาต่ํากว่า 2 พันรายต่อเนื่อง นายวัลลภ เปิดเผยว่า สถิติผู้ติดเชื้อของกรมราชทัณฑ์ ปัจจุบัน มีเรือนจําสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาดจํานวน 122 แห่ง เรือนจําสีแดงที่พบการแพร่ระบาด 10 แห่ง มีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว 34,767 ราย หรือกว่า 94.4% ของจํานวนผู้ติดเชื้อสะสม ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ ทั้งสิ้น 1,752 ราย ซึ่งต่ํากว่า 2 พันรายเป็นวันที่สองแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีผู้ติดเชื่อที่ยังรักษาอยู่ 1,075 ราย ซึ่งคาดว่าจะหายเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายงานผู้เสียชีวิตสะสม 44 ราย หรือ 0.1% ของจํานวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด ซึ่งจะพบว่าแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครเริ่มลดลง แม้จะมีเรือนจําที่พบการแพร่ระบาดแห่งใหม่ แต่สถานการณ์ยังคงอยู่ในการควบคุม และมีการระบาดเพียงบางแดนเท่านั้น ซึ่งทุกแห่งได้ตรวจคัดแยกผู้ต้องขังติดเชื้อเพื่อให้ได้รับการรักษา การแยกกลุ่มเสี่ยงจากผู้ต้องขังกลุ่มอื่นตามแผนการดําเนินการอย่างเป็นระบบ รวมถึงการจัดเตรียมยา เวชภัณฑ์ และตั้งโรงพยาบาลสนามในเรือนจําเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายวัลลภ กล่าวต่อว่า การจัดสรรวัคซีนของกรมราชทัณฑ์ ในวันนี้จะได้รับวัคซีนเพิ่มเติมจากกรมควบคุมโรคอีก 10,000 โดส เพื่อฉีดแก่ผู้ต้องขังเป็นเข็มที่ 2 ตามกําหนดระยะเวลา และเป็นเข็มแรกในเรือนจําสีขาวในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทําให้ยอดรวมวัคซีนของกรมราชทัณฑ์ มีทั้งสิ้น 86,877 โดส ซึ่งได้ดําเนินการฉีดให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจําและทัณฑสถานไปแล้ว 46 แห่ง สําหรับเรือนจําและทัณฑสถานแห่งอื่นๆ กรมราชทัณฑ์ยังอยู่ระหว่างประสานกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอรับวัคซีนเพิ่มเติมจนกว่าจะครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน ได้เน้นย้ําการจัดการเรือนจํา/ทัณฑสถานทุกแห่งให้มีมาตรฐานด้านการป้องกันเชื้ออย่างเป็นระบบ รวมถึงมีแผนการเผชิญเหตุและจัดเตรียมพื้นที่ในการจัดทําโรงพยาบาลสนามเรือนจําให้พร้อมรับการแพร่ระบาด โดยเฉพาะในสภาวะที่ภายนอกยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน ที่ได้ร่วมกันต่อสู้กับการแพร่ระบาด จนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในหลายพื้นที่ และขอให้ทุกคนได้ทําหน้าที่อย่างเข้มแข็งต่อไป ส่วนในเรือนจํา/ทัณฑสถานที่ยังไม่พบการแพร่ระบาด ต้องพยายามปิดจุดแพร่เชื้อทุกช่องทาง และรักษามาตรการป้องกันเชื้ออย่างเคร่งครัด ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ขณะที่สถานะเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อยังคงรักษาตัวอยู่ 1 ราย รวมผู้ติดเชื้อหายป่วยแล้วทั้งสิ้น 92 ราย จากทั้งหมด 93 ราย หรือคิดเป็น 98% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ขณะที่สถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีสถานะรวม 40 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง หรือคิดเป็น 71% อีก 16 แห่งอยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 7 แห่ง หมดสถานะ 4 แห่ง และติดเชื้อ 5 แห่ง ด้านสถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน เพิ่มขึ้น 4 ราย เป็นจํานวน 110 ราย จากทั้งหมด 4,378 ราย หรือคิดเป็น 2.5% ขณะที่การฉีดวัคซีนของเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็นจํานวน 3,367 ราย หรือ 76% ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 4,411 ราย นอกจากนี้กรมพินิจฯ ยังได้เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ทุกคนยกระดับและเข้มงวดกวดขันในการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ยกเว้นกรณีที่มีเหตุจําเป็นเร่งด่วนหรือฉุกเฉินให้รีบเเจ้งแก่ผู้บังคับบัญชา และจัดทําไทม์ไลน์การเดินทาง ตลอดจนให้ทบทวนแนวทางการจัดเวรยามของเจ้าหน้าที่ในสถานที่ควบคุม เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43472
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชา - กัญชง ณ นครนิวยอร์ก เตรียมออกแนวทางให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชนไทย ป้องกันผลกระทบทางสังคม
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2565 ปลัด พม. ศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชา - กัญชง ณ นครนิวยอร์ก เตรียมออกแนวทางให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชนไทย ป้องกันผลกระทบทางสังคม ปลัด พม. ศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชา - กัญชง ณ นครนิวยอร์ก เตรียมออกแนวทางให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชนไทย ป้องกันผลกระทบทางสังคม วันที่ 8 ก.ค. 65นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เยี่ยมชมร้านค้าจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชาในนครนิวยอร์ก ระหว่างการเข้าร่วมประชุมหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจําปี 2565 (High-level Political Forum on Sustainable Development: HLPF2022) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 15 กรกฎาคม 2565 ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นางพัชรี กล่าวว่า ตนได้รับแต่งตั้งจากประธานคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพืชกัญชาและกัญชงให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการด้านการให้ความรู้แก่เยาวชนและประชาชนเพื่อป้องกันผลกระทบทางสังคม อีกทั้งภารกิจในการดูแล ปกป้อง คุ้มครองเด็กและเยาวชนของกระทรวง พม. ตนจึงมีความสนใจศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชาและกัญชงของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ จากการเยี่ยมชมร้านค้าจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชาในนครนิวยอร์ก พบว่ามีผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกอม เยลลี่ แคปซูล รวมทั้งผลิตภัณฑ์รูปแบบเม็ดและผง ซึ่งอาจใช้กิน ดื่ม สูบ หรือวิธีการอื่นได้ โดยได้เปิดจําหน่ายอย่างเสรีให้แก่ประชาชนทั่วไปที่แสดงหลักฐานว่ามีอายุ 21 ปีขึ้นไป นางพัชรีกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ จากการพูดคุยกับผู้ขายทําให้ทราบว่า เด็กและเยาวชนที่อายุต่ํากว่า 21 ปี ยังสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชาได้ไม่ยาก หากซื้อผ่านผู้ที่อายุผ่านเกณฑ์หรือมีความสนิทสนมกับผู้ขาย ซึ่งในประเด็นนี้ ทําให้ตนมีความห่วงกังวลต่อเด็กและเยาวชนไทยอยู่พอสมควร เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากกัญชามีความหลากหลาย เด็กและเยาวชนจึงสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยผู้ปกครองอาจไม่ทราบ นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ดี ตนจะได้รวบรวมประโยชน์และโทษ การเข้าถึง รูปแบบการใช้ รวมถึงผลกระทบทางสังคมที่อาจเกิดจากการใช้พืชกัญชาและกัญชง เพื่อหารือกับคณะอนุกรรมการฯ เพื่อจัดทําเป็นแนวทางการให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ได้รู้เท่าทัน และสามารถใช้พืชกัญชาและกัญชงให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษ รวมถึงวางแนวทางในการดูแลเด็ก เยาวชน และครอบครัวที่อาจได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวในอนาคตต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชา - กัญชง ณ นครนิวยอร์ก เตรียมออกแนวทางให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชนไทย ป้องกันผลกระทบทางสังคม วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2565 ปลัด พม. ศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชา - กัญชง ณ นครนิวยอร์ก เตรียมออกแนวทางให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชนไทย ป้องกันผลกระทบทางสังคม ปลัด พม. ศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชา - กัญชง ณ นครนิวยอร์ก เตรียมออกแนวทางให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชนไทย ป้องกันผลกระทบทางสังคม วันที่ 8 ก.ค. 65นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เยี่ยมชมร้านค้าจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชาในนครนิวยอร์ก ระหว่างการเข้าร่วมประชุมหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจําปี 2565 (High-level Political Forum on Sustainable Development: HLPF2022) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 15 กรกฎาคม 2565 ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นางพัชรี กล่าวว่า ตนได้รับแต่งตั้งจากประธานคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพืชกัญชาและกัญชงให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการด้านการให้ความรู้แก่เยาวชนและประชาชนเพื่อป้องกันผลกระทบทางสังคม อีกทั้งภารกิจในการดูแล ปกป้อง คุ้มครองเด็กและเยาวชนของกระทรวง พม. ตนจึงมีความสนใจศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชาและกัญชงของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ จากการเยี่ยมชมร้านค้าจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชาในนครนิวยอร์ก พบว่ามีผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกอม เยลลี่ แคปซูล รวมทั้งผลิตภัณฑ์รูปแบบเม็ดและผง ซึ่งอาจใช้กิน ดื่ม สูบ หรือวิธีการอื่นได้ โดยได้เปิดจําหน่ายอย่างเสรีให้แก่ประชาชนทั่วไปที่แสดงหลักฐานว่ามีอายุ 21 ปีขึ้นไป นางพัชรีกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ จากการพูดคุยกับผู้ขายทําให้ทราบว่า เด็กและเยาวชนที่อายุต่ํากว่า 21 ปี ยังสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชาได้ไม่ยาก หากซื้อผ่านผู้ที่อายุผ่านเกณฑ์หรือมีความสนิทสนมกับผู้ขาย ซึ่งในประเด็นนี้ ทําให้ตนมีความห่วงกังวลต่อเด็กและเยาวชนไทยอยู่พอสมควร เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากกัญชามีความหลากหลาย เด็กและเยาวชนจึงสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยผู้ปกครองอาจไม่ทราบ นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ดี ตนจะได้รวบรวมประโยชน์และโทษ การเข้าถึง รูปแบบการใช้ รวมถึงผลกระทบทางสังคมที่อาจเกิดจากการใช้พืชกัญชาและกัญชง เพื่อหารือกับคณะอนุกรรมการฯ เพื่อจัดทําเป็นแนวทางการให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ได้รู้เท่าทัน และสามารถใช้พืชกัญชาและกัญชงให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษ รวมถึงวางแนวทางในการดูแลเด็ก เยาวชน และครอบครัวที่อาจได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวในอนาคตต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56750
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM pleased with tangible progress of labor cooperation between Thailand and Saudi Arabia
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 PM pleased with tangible progress of labor cooperation between Thailand and Saudi Arabia PM pleased with tangible progress of labor cooperation between Thailand and Saudi Arabia March 18, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha is pleased with the tangible progress of labor cooperation between Thailand and Saudi Arabia, following the historic visit of Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha to Saudi Arabia to revive Thailand-Saudi Arabia relations in 30 years, which has led to bilateral dialogues in various dimensions. According to the Government Spokesperson, the Government, through Ministry of Labor, has continued to push forward labor cooperation with Saudi Arabia with an aim to send Thai workers to the country the soonest. On March 15, 2022, representatives of the Ministry of Labor met with Dr. Adnan Abdullah M. Alnuim, Deputy Minister for International Affairs of Saudi Arabia and the delegation at the Amari Watergate Hotel Bangkok. The meeting formed a good vision to strengthen international relations and labor cooperation. Thailand is pleased that Saudi Arabia is interested in restoring labor relations and ready to open the country to accept Thai workers to work in Saudi Arabia. The Agreements on labor recruitment have also been finalized and the signing of the Agreements will take place at the end of this month. Ministry of Labor also reported that over 1,000 Thai workers have affirmed their wish to be recruited in Saudi Arabia through the registration via an e-service system on the website: https://toea.doe.go.th. Their qualifications and skills will be checked to match with Saudi Arabia’s demand.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM pleased with tangible progress of labor cooperation between Thailand and Saudi Arabia วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 PM pleased with tangible progress of labor cooperation between Thailand and Saudi Arabia PM pleased with tangible progress of labor cooperation between Thailand and Saudi Arabia March 18, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha is pleased with the tangible progress of labor cooperation between Thailand and Saudi Arabia, following the historic visit of Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha to Saudi Arabia to revive Thailand-Saudi Arabia relations in 30 years, which has led to bilateral dialogues in various dimensions. According to the Government Spokesperson, the Government, through Ministry of Labor, has continued to push forward labor cooperation with Saudi Arabia with an aim to send Thai workers to the country the soonest. On March 15, 2022, representatives of the Ministry of Labor met with Dr. Adnan Abdullah M. Alnuim, Deputy Minister for International Affairs of Saudi Arabia and the delegation at the Amari Watergate Hotel Bangkok. The meeting formed a good vision to strengthen international relations and labor cooperation. Thailand is pleased that Saudi Arabia is interested in restoring labor relations and ready to open the country to accept Thai workers to work in Saudi Arabia. The Agreements on labor recruitment have also been finalized and the signing of the Agreements will take place at the end of this month. Ministry of Labor also reported that over 1,000 Thai workers have affirmed their wish to be recruited in Saudi Arabia through the registration via an e-service system on the website: https://toea.doe.go.th. Their qualifications and skills will be checked to match with Saudi Arabia’s demand.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52700
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร เปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี – สกิน จังหวัดเชียงราย
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร เปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี – สกิน จังหวัดเชียงราย รมช.ประภัตร เปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี – สกิน จังหวัดเชียงราย ชื่นชมการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนเกษตรกรจังหวัดเชียงราย รับมือสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม 26 มิ.ย.64 - นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่บริเวณคอกกลางเครือข่ายโคเนื้อล้านนา ตําบลสันมะเค็ด อําเภอพาน จังหวัดเชียงรายโดยเป็นประธานพิธีเปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี - สกิน (Lumpk Skin Disesae)ในโค - กระบือ พร้อมมอบเวชภัณฑ์อาหารสัตว์ ยารักษาสัตว์ป่วยตามอาการ ยากําจัดแมลง และหญ้าแห้งอาหารสัตว์ ให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ และเยี่ยมชมการบริหารจัดการคอกกลางเครือข่ายโคเนื้อล้านนา โดยมีนายภาษเดช หงส์ลดารมภ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ตลอดจนผู้นําภาคประชาชนเข้าร่วม "ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมแรง ร่วมใจ รับมือสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม และขอให้รักษามาตรฐานนี้ต่อไป การ์ดอย่าตกขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กําลังพิจารณาดําเนินการของบกลาง และจะนําเข้าครม. โดยเร็วที่สุด เพื่อให้กรมปศุสัตว์มีงบประมาณในการสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 5 ล้านโดส เพื่อใช้ในการควบคุมโรคลัมปี – สกิน นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเสนอต่ออธิบดีกรมบัญชีกลางและปลัดกระทรวงการคลังเพื่อปรับปรุงระเบียบการจ่ายเงินเยียวยากรณีโค -กระบือ เสียชีวิต โดยอัตราเงินเยียวยาใหม่ จะเยียวยาโคต่ําสุด 13,000 บาทต่อตัว สูงสุด 35,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยาต่ําสุด 16,000 บาทต่อตัว สูงสุด 41,000 บาทต่อตัวและยังจะให้เพิ่มการเยียวยาจากเดิมให้เกษตรกรเจ้าของโค-กระบือ ตามจริง แต่ไม่เกินรายละ 2 ตัว จะปรับเป็น 5 ตัวต่อราย" รมช.ประภัตร กล่าว โอกาสนี้รมช.ประภัตรยังได้แนะนําโครงการประกันโค - กระบือ ของกรมปศุสัตว์ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยจ่ายเบี้ยเพียงเดือนละ 100 บาท จ่ายทั้งสิ้น 4 เดือน คุ้มครองการตายทุกกรณี จ่ายเงิน 30000 บาทต่อตัว และโครงการเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ํา ล้านละร้อย โดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มให้ได้ 7 คน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ทําเกษตรกรรม มีตลาดรองรับผลผลิต ก็สามารถยื่นกู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ระยะเวลากู้ 3 ปี หากเกษตรกรสนใจโครงการดังกล่าว สามารถติดต่อขอคําแนะนําเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานปศุสัตว์หรือธกส. ในพื้นที่ จังหวัดเชียงรายมีจํานวนโค ประมาณ 50,000 ตัว มีเกษตรกรได้รับผลกระทบแล้ว 83 ราย โคเนื้อป่วยสะสม 621 ตัว เสียชีวิตแล้ว 15 ตัว รักษาหายแล้ว 56 ตัว ในพื้นที่ 10 อําเภอ 22 ตําบล 56 หมู่บ้าน (ข้อมูล ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2564)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ประภัตร เปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี – สกิน จังหวัดเชียงราย วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน 2564 รมช.ประภัตร เปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี – สกิน จังหวัดเชียงราย รมช.ประภัตร เปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี – สกิน จังหวัดเชียงราย ชื่นชมการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนเกษตรกรจังหวัดเชียงราย รับมือสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม 26 มิ.ย.64 - นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่บริเวณคอกกลางเครือข่ายโคเนื้อล้านนา ตําบลสันมะเค็ด อําเภอพาน จังหวัดเชียงรายโดยเป็นประธานพิธีเปิดโครงการรณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคลัมปี - สกิน (Lumpk Skin Disesae)ในโค - กระบือ พร้อมมอบเวชภัณฑ์อาหารสัตว์ ยารักษาสัตว์ป่วยตามอาการ ยากําจัดแมลง และหญ้าแห้งอาหารสัตว์ ให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ และเยี่ยมชมการบริหารจัดการคอกกลางเครือข่ายโคเนื้อล้านนา โดยมีนายภาษเดช หงส์ลดารมภ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ตลอดจนผู้นําภาคประชาชนเข้าร่วม "ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมแรง ร่วมใจ รับมือสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม และขอให้รักษามาตรฐานนี้ต่อไป การ์ดอย่าตกขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กําลังพิจารณาดําเนินการของบกลาง และจะนําเข้าครม. โดยเร็วที่สุด เพื่อให้กรมปศุสัตว์มีงบประมาณในการสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 5 ล้านโดส เพื่อใช้ในการควบคุมโรคลัมปี – สกิน นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเสนอต่ออธิบดีกรมบัญชีกลางและปลัดกระทรวงการคลังเพื่อปรับปรุงระเบียบการจ่ายเงินเยียวยากรณีโค -กระบือ เสียชีวิต โดยอัตราเงินเยียวยาใหม่ จะเยียวยาโคต่ําสุด 13,000 บาทต่อตัว สูงสุด 35,000 บาทต่อตัว กระบือเยียวยาต่ําสุด 16,000 บาทต่อตัว สูงสุด 41,000 บาทต่อตัวและยังจะให้เพิ่มการเยียวยาจากเดิมให้เกษตรกรเจ้าของโค-กระบือ ตามจริง แต่ไม่เกินรายละ 2 ตัว จะปรับเป็น 5 ตัวต่อราย" รมช.ประภัตร กล่าว โอกาสนี้รมช.ประภัตรยังได้แนะนําโครงการประกันโค - กระบือ ของกรมปศุสัตว์ ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยจ่ายเบี้ยเพียงเดือนละ 100 บาท จ่ายทั้งสิ้น 4 เดือน คุ้มครองการตายทุกกรณี จ่ายเงิน 30000 บาทต่อตัว และโครงการเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ํา ล้านละร้อย โดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มให้ได้ 7 คน จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน ทําเกษตรกรรม มีตลาดรองรับผลผลิต ก็สามารถยื่นกู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ระยะเวลากู้ 3 ปี หากเกษตรกรสนใจโครงการดังกล่าว สามารถติดต่อขอคําแนะนําเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานปศุสัตว์หรือธกส. ในพื้นที่ จังหวัดเชียงรายมีจํานวนโค ประมาณ 50,000 ตัว มีเกษตรกรได้รับผลกระทบแล้ว 83 ราย โคเนื้อป่วยสะสม 621 ตัว เสียชีวิตแล้ว 15 ตัว รักษาหายแล้ว 56 ตัว ในพื้นที่ 10 อําเภอ 22 ตําบล 56 หมู่บ้าน (ข้อมูล ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2564)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดำรถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5”
วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดํารถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5” ... นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดํารถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5” ณ สํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอําเภอกันทรลักษ์ โดยมีนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้บริหาร พนักงาน เจ้าหน้าที่สํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอําเภอกันทรลักษ์ สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการคมนาคมขนส่งและจราจร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันลดปัญหามลพิษทางอากาศซึ่งเกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยที่ผ่านมาสํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอําเภอกันทรลักษ์ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินการตรวจควันดํารถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อให้ค่าฝุ่นละอองเป็นไปตามมาตรฐานที่กําหนด และไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน ซึ่งในปีงบประมาณ 2564 ขบ. ได้ดําเนินการตรวจควันดํารถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศแล้ว จํานวน 255,379 คัน พบรถที่มีค่าควันดําเกินกําหนด และพ่นห้ามใช้ จํานวน 1,922 คัน สําหรับกิจกรรมในวันนี้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วยการส่งภาพรถบรรทุกและรถโดยสารควันดําที่สังเกตเห็นหมายเลขทะเบียนชัดเจนไปที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน โทร. 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ สํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถสวย หมวดอักษร กน “ก้าวหน้ามั่งมี ป้ายทะเบียนดี ศรีสะเกษ” จึงขอเชิญชวนผ้สนใจร่วมประมูลผ่านทางเว็บไซต์ www.tabienrod.com หรือติดต่อลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลได้ที่ฝ่ายทะเบียนรถ สํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ และสํานักงานขนส่งสาขาอําเภอกันทรลักษ์ ในวันและเวลาราชการ โดยเงินรายได้จากการประมูลนําไปใช้ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน รวมทั้งสนับสนุนเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนผู้ใช้บริการ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารอําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และมอบสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้บริการของบริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) พร้อมตรวจเยี่ยมและให้กําลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยกําชับให้เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด อาทิ การทําความสะอาดภายในรถโดยสารและบริเวณสถานี โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เว้นระยะที่นั่งผู้โดยสารป้องกันการสัมผัสใกล้ชิด คัดกรองผู้โดยสารก่อนเข้าสถานี ตลอดจนขอความร่วมมือผู้โดยสารเช็กอินแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” และพนักงานต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการให้บริการ รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้รถโดยสารสาธารณะรุ่นใหม่ทดแทนรถรุ่นเดิมที่หมดอายุการใช้งาน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารในขณะเดินทาง อีกทั้งรถรุ่นใหม่มีระบบการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นพลังงานสะอาด จะช่วยลดมลพิษและทําให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนในการขนส่ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดำรถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5” วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดํารถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5” ... นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “การตรวจวัดค่าควันดํารถยนต์และรถบรรทุก ตามมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5” ณ สํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอําเภอกันทรลักษ์ โดยมีนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ผู้บริหาร พนักงาน เจ้าหน้าที่สํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอําเภอกันทรลักษ์ สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการคมนาคมขนส่งและจราจร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันลดปัญหามลพิษทางอากาศซึ่งเกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยที่ผ่านมาสํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ สาขาอําเภอกันทรลักษ์ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินการตรวจควันดํารถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อให้ค่าฝุ่นละอองเป็นไปตามมาตรฐานที่กําหนด และไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน ซึ่งในปีงบประมาณ 2564 ขบ. ได้ดําเนินการตรวจควันดํารถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศแล้ว จํานวน 255,379 คัน พบรถที่มีค่าควันดําเกินกําหนด และพ่นห้ามใช้ จํานวน 1,922 คัน สําหรับกิจกรรมในวันนี้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วยการส่งภาพรถบรรทุกและรถโดยสารควันดําที่สังเกตเห็นหมายเลขทะเบียนชัดเจนไปที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน โทร. 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ สํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ ได้จัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถสวย หมวดอักษร กน “ก้าวหน้ามั่งมี ป้ายทะเบียนดี ศรีสะเกษ” จึงขอเชิญชวนผ้สนใจร่วมประมูลผ่านทางเว็บไซต์ www.tabienrod.com หรือติดต่อลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลได้ที่ฝ่ายทะเบียนรถ สํานักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ และสํานักงานขนส่งสาขาอําเภอกันทรลักษ์ ในวันและเวลาราชการ โดยเงินรายได้จากการประมูลนําไปใช้ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน รวมทั้งสนับสนุนเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนผู้ใช้บริการ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารอําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และมอบสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้บริการของบริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) พร้อมตรวจเยี่ยมและให้กําลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยกําชับให้เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด อาทิ การทําความสะอาดภายในรถโดยสารและบริเวณสถานี โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เว้นระยะที่นั่งผู้โดยสารป้องกันการสัมผัสใกล้ชิด คัดกรองผู้โดยสารก่อนเข้าสถานี ตลอดจนขอความร่วมมือผู้โดยสารเช็กอินแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” และพนักงานต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการให้บริการ รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้รถโดยสารสาธารณะรุ่นใหม่ทดแทนรถรุ่นเดิมที่หมดอายุการใช้งาน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารในขณะเดินทาง อีกทั้งรถรุ่นใหม่มีระบบการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นพลังงานสะอาด จะช่วยลดมลพิษและทําให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนในการขนส่ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54823
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Statement by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the Retreat Session of the 13th Asia-Europe Meeting (ASEM Issues/ International and R
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2564 Statement by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the Retreat Session of the 13th Asia-Europe Meeting (ASEM Issues/ International and R Statement by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the Retreat Session of the 13th Asia-Europe Meeting (ASEM Issues/ International and Regional Issues) on Friday, 26 November 2021 Statement by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha(Ret.) Prime Ministerof the Kingdom ofThailand at theRetreat Sessionof the 13thAsia-Europe Meeting (ASEM Issues/ International and Regional Issues) on Friday, 26 November 2021 * * * * * Mr. Chair, Your Majesty, Excellencies, Aristotle, the ancient Greek philosopher, oncewrotethat “moral virtue is a mean between two vices, the one being excess, the other deficiency”.This concept is not limited to just the field of morality and ethics, but can also be applied to development policy and the management of economic growth. I believe that we all recognise the extreme lack of balance in the world and in the ways of humankind today. We do not have to look far to see this. We just have to look around us: the air that we breathe; the water that we drink; the food that we eat; the extreme climate events that were not the norm before -- indeed, they were infrequent – but have now become the norm; the gap between the haves and havenots, both between people and countries, is ever-widening; and today, as we enter the digital age, where competitive advantage is based on knowledge and information, which are things that the majority of people have insufficient and unequal access to. It should be clear that the imbalance in the world will become more intense in all areas if nothing is done to change or remedy this. Important questions that we need to ask are therefore:how are we going to ensure balance in the post-COVID-19 world; and how are we going to manage the changes of the “Next Normal” world in order to prevent crises of this scale and consequence from happening? I see two great changes that we need to carefully manage so as to create balance, as follows: Firstis the evolving global geopolitical landscape.Conflicts between the major powers have created imbalances in international relations.I wish to see all countries join hands in creating a truly conducive and enabling environment for cooperation.ASEM is indeed a platform where we can engage in discussions to reduce conflicts on the basis of international rules as well as the equal participation of all countries, no matter their size or economic heft. We do not wish to see miscalculation escalate into full-blown confrontation at the regional or global level. I thus wish to reiterate thatmultilateral dialogue based on equal partnership and the principle of the 3Ms, that is, mutual trust, mutual respect and mutual benefit, is essential for ASEM to thrive in the “Next Normal”. Secondis climate change. The year 2020 was the hottest year on record for Asia and Europe. This phenomenon has, in turn, caused more intense and frequent natural disasters, pandemics, resource depletion, and food insecurity. All of this is a result of the imbalance between economic development and nature.I am of the view that ASEM, comprising countries that are diverse both economically and socially, shouldsupport one another in addressing the climate crisis through intensified cooperation on the exchange of green technology, enhancing green finance to aid the transition towards the use of clean energy, and reducing unnecessary energy use, all of which I spoke about at COP26. On Thailand’s part, we have adopted the Bio-Circular-Green, or BCG, ecnomic model to advance our economy in a way that will safeguard both the ecosystem and human security. This is Thailand’s national development agenda. It will also be incorporated as one priority agenda item under Thailand’s Chairmanship of APEC next year. The BCG economic model prioritises the balance across all sectors in the economy and society in a concrete manner so that economic growth and development are sustainable, secure and inclusive. The instability of global geopolitics as well as environmental degradation and thedeterioration of living conditions for many that I have touched on are all man-made. Humankind, therefore, has the noble duty to rectify the mistakes that it has made.I believe that changing the way we do things is a matter of changing our mindset about how we share this earth as well as raising awareness about the need to ensure a balance of all things. It will not be easy, but it can and must be done, for the survival of our planet and humanity. Thank you. Sawasdee krub. * * * * * * * * * * *
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Statement by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the Retreat Session of the 13th Asia-Europe Meeting (ASEM Issues/ International and R วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2564 Statement by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the Retreat Session of the 13th Asia-Europe Meeting (ASEM Issues/ International and R Statement by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand at the Retreat Session of the 13th Asia-Europe Meeting (ASEM Issues/ International and Regional Issues) on Friday, 26 November 2021 Statement by H.E. Gen. Prayut Chan-o-cha(Ret.) Prime Ministerof the Kingdom ofThailand at theRetreat Sessionof the 13thAsia-Europe Meeting (ASEM Issues/ International and Regional Issues) on Friday, 26 November 2021 * * * * * Mr. Chair, Your Majesty, Excellencies, Aristotle, the ancient Greek philosopher, oncewrotethat “moral virtue is a mean between two vices, the one being excess, the other deficiency”.This concept is not limited to just the field of morality and ethics, but can also be applied to development policy and the management of economic growth. I believe that we all recognise the extreme lack of balance in the world and in the ways of humankind today. We do not have to look far to see this. We just have to look around us: the air that we breathe; the water that we drink; the food that we eat; the extreme climate events that were not the norm before -- indeed, they were infrequent – but have now become the norm; the gap between the haves and havenots, both between people and countries, is ever-widening; and today, as we enter the digital age, where competitive advantage is based on knowledge and information, which are things that the majority of people have insufficient and unequal access to. It should be clear that the imbalance in the world will become more intense in all areas if nothing is done to change or remedy this. Important questions that we need to ask are therefore:how are we going to ensure balance in the post-COVID-19 world; and how are we going to manage the changes of the “Next Normal” world in order to prevent crises of this scale and consequence from happening? I see two great changes that we need to carefully manage so as to create balance, as follows: Firstis the evolving global geopolitical landscape.Conflicts between the major powers have created imbalances in international relations.I wish to see all countries join hands in creating a truly conducive and enabling environment for cooperation.ASEM is indeed a platform where we can engage in discussions to reduce conflicts on the basis of international rules as well as the equal participation of all countries, no matter their size or economic heft. We do not wish to see miscalculation escalate into full-blown confrontation at the regional or global level. I thus wish to reiterate thatmultilateral dialogue based on equal partnership and the principle of the 3Ms, that is, mutual trust, mutual respect and mutual benefit, is essential for ASEM to thrive in the “Next Normal”. Secondis climate change. The year 2020 was the hottest year on record for Asia and Europe. This phenomenon has, in turn, caused more intense and frequent natural disasters, pandemics, resource depletion, and food insecurity. All of this is a result of the imbalance between economic development and nature.I am of the view that ASEM, comprising countries that are diverse both economically and socially, shouldsupport one another in addressing the climate crisis through intensified cooperation on the exchange of green technology, enhancing green finance to aid the transition towards the use of clean energy, and reducing unnecessary energy use, all of which I spoke about at COP26. On Thailand’s part, we have adopted the Bio-Circular-Green, or BCG, ecnomic model to advance our economy in a way that will safeguard both the ecosystem and human security. This is Thailand’s national development agenda. It will also be incorporated as one priority agenda item under Thailand’s Chairmanship of APEC next year. The BCG economic model prioritises the balance across all sectors in the economy and society in a concrete manner so that economic growth and development are sustainable, secure and inclusive. The instability of global geopolitics as well as environmental degradation and thedeterioration of living conditions for many that I have touched on are all man-made. Humankind, therefore, has the noble duty to rectify the mistakes that it has made.I believe that changing the way we do things is a matter of changing our mindset about how we share this earth as well as raising awareness about the need to ensure a balance of all things. It will not be easy, but it can and must be done, for the survival of our planet and humanity. Thank you. Sawasdee krub. * * * * * * * * * * *
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48909
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว ธ.ออมสิน ปล่อย “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan)” ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม วงเงิน 5,000 ลบ.
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ครม. ไฟเขียว ธ.ออมสิน ปล่อย “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan)” ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม วงเงิน 5,000 ลบ. ..... ที่ประชุม ครม. (26 ก.ค. 65) เห็นชอบโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) Re-Open ธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรม วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 . มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องที่เพียงพอ เพื่อนําเงินไปปรับปรุงซ่อมแซมสถานประกอบกิจการ หรือลงทุนในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องอบผ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรม เป็นต้น . โดยธนาคารออมสินจะให้สินเชื่อโดยตรงกับผู้ประกอบการ วงเงินสินเชื่อไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะเวลาปลอดชําระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี กรณีที่มีระยะเวลาการกู้ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 - 2 ร้อยละ 1.99 ต่อปี, ปีที่ 3-7 อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารกําหนด มีหลักทรัพย์ค้ําประกันเต็มวงเงิน หรือหลักทรัพย์ค้ําประกันร่วมกับ บสย. หรือ บสย. ค้ําประกันเต็มวงเงิน ระยะเวลาการขอยื่นสินเชื่อเริ่มตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบ - 30 ก.ย. 65 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อในโครงการจะหมด . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57281 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว ธ.ออมสิน ปล่อย “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan)” ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม วงเงิน 5,000 ลบ. วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ครม. ไฟเขียว ธ.ออมสิน ปล่อย “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan)” ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม วงเงิน 5,000 ลบ. ..... ที่ประชุม ครม. (26 ก.ค. 65) เห็นชอบโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) Re-Open ธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรม วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 . มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องที่เพียงพอ เพื่อนําเงินไปปรับปรุงซ่อมแซมสถานประกอบกิจการ หรือลงทุนในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องอบผ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรม เป็นต้น . โดยธนาคารออมสินจะให้สินเชื่อโดยตรงกับผู้ประกอบการ วงเงินสินเชื่อไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะเวลาปลอดชําระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี กรณีที่มีระยะเวลาการกู้ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 - 2 ร้อยละ 1.99 ต่อปี, ปีที่ 3-7 อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารกําหนด มีหลักทรัพย์ค้ําประกันเต็มวงเงิน หรือหลักทรัพย์ค้ําประกันร่วมกับ บสย. หรือ บสย. ค้ําประกันเต็มวงเงิน ระยะเวลาการขอยื่นสินเชื่อเริ่มตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบ - 30 ก.ย. 65 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อในโครงการจะหมด . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57281 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่ รวมพลังกลับมาพัฒนาบ้านเกิด
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565 ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่ รวมพลังกลับมาพัฒนาบ้านเกิด ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่ ที่มีพลังกาย พลังใจ พลังความคิดสร้างสรรค์ และความรักต่อถิ่นฐานบ้านเกิด มาร่วมพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนภายใต้หลัก BCG โดยนําองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ชูต้นแบบ New Gen Hug บ้านเกิด ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่ ที่มีพลังกาย พลังใจ พลังความคิดสร้างสรรค์ และความรักต่อถิ่นฐานบ้านเกิด มาร่วมพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนภายใต้หลัก BCG โดยนําองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ชูต้นแบบ New Gen Hug บ้านเกิด ที่มีแนวทางการพัฒนาธุรกิจที่ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจในชุมชน สร้างโอกาสให้กับผู้สูงอายุในท้องถิ่นได้มีงานทํา มีรายได้และความสุข โดย ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนสานฝันการพัฒนา เพื่อยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยสู่สังคมที่ภาคภูมิ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมบูธและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายมนูญ ทนะวัง ผู้ชนะเลิศจากการประกวดโครงการ New Gen Hug บ้านเกิด ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวการกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของคนรุ่นใหม่ ที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม การเข้าไปช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และความเข้มแข็งให้กับคนในชุมชนรวมถึงการเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างในการพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน ภายใต้หลัก BCG โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. และนายณรงค์ ขันติวิริยะกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. ร่วมให้ข้อมูล ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า รัฐบาลโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กําหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน จึงได้สั่งการและมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน 8 แนวทาง ได้แก่ 1. การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 2. การกําหนดให้การไกล่เกลี่ยและการปรับโครงสร้างหนี้เป็นวาระของประเทศ และให้ทุก SFIs เร่งกําหนดวิธีปฏิบัติและแนวนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 3. การแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 4. การแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการ 5. การปรับลดและทบทวนโครงสร้างและเพดานอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 6. การแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 7. การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อยและ SMEs และ 8. การปรับปรุงขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอื้อให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ร่วมกับ ธปท. SFIs และธนาคารพาณิชย์ ดําเนินโครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน เพื่อให้คําปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางปรับธุรกิจและมาตรการต่าง ๆ ให้กับลูกหนี้เป็นรายกรณี ทั้งนี้ ธ.ก.ส. นอกจากดําเนินงานตามแนวทางที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และผู้ประกอบการด้านการเกษตร โดยให้คําปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางปรับธุรกิจ การปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระและการเติมทุนให้เพียงพอต่อการขยายงานแล้ว ในส่วนของแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต และถูกเลิกจ้าง รวมถึงบัณฑิตจบใหม่ที่ยังไม่มีงานทํา ซึ่งบางส่วนย้ายกลับภูมิลําเนา เพื่อแสวงหาแนวทางในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ก็ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสําคัญ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความรู้ ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมและการตลาด มีประสบการณ์ที่จะเข้ามาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรกรรม จึงควรสนับสนุนต่อยอดให้เป็นหัวขบวนในการสร้างธุรกิจชุมชน เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจฐานราก จึงถือเป็นบทบาทสําคัญที่ ธ.ก.ส. จะต้องเข้าไปขับเคลื่อน ด้านนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลําบากในช่วงที่ผ่านมา ธ.ก.ส. พบว่า มีคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ มีพลังกาย พลังใจและความรักที่มีต่อถิ่นฐานบ้านเกิด พวกเขาเหล่านี้กําลังสร้างความยั่งยืนให้ชุมชนของตนเองทีละน้อยโดยไม่ย่อท้อ สิ่งที่พวกเขาทําล้วนเป็นแรงบันดาลใจที่ดี ให้กับคนอีกหลายคนที่กําลังเผชิญภาวะวิกฤติในขณะนี้ ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ร่วมจุดประกาย ในการค้นหาคนหนุ่มสาวเหล่านี้ผ่าน “โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด” และถือเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญที่สร้างสรรค์ให้เกิดแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับหลัก BCG Economy Model ทั้งทางด้านเกษตรกรรมยั่งยืน (เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่) เกษตรเทคโนโลยี (เกษตรแปลงใหญ่ เกษตรอุตสาหกรรม เกษตรไฮเทค) เกษตรแปรรูป (การแปรรูปเพิ่มมูลค่าผลผลิต และบริการทางการเกษตร) และเกษตรท่องเที่ยวชุมชน ธ.ก.ส. พร้อมให้การสนับสนุนแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ที่จะนํามาพัฒนาต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการเชื่อมโยงกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน มาเติมเต็มองค์ความรู้และด้านการตลาดและเติมทุนเพื่อนําไปใช้ในการขยายธุรกิจ ผ่านโครงการสินเชื่อนวัตกรรมดีมีทุน สานฝันสร้างอาชีพ และสินเชื่อเพื่อการพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ในอัตราดอกเบี้ยต่ําและเงื่อนไขที่ผ่อนปรน เพื่อสร้างโอกาสให้คนหนุ่มสาวในการเข้ามาร่วมพัฒนาภาคเกษตรกรรม ทดแทนคนรุ่นพ่อแม่ที่มีอายุสูงขึ้นและถือเป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการเกษตรของไทยสู่เวทีการค้าโลก ทั้งนี้ ในส่วนของคุณมนูญ ทนะวัง ผู้ชนะเลิศจากการประกวดโครงการ New Gen Hug บ้านเกิด ถือเป็นต้นแบบของคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งมั่นในการพัฒนาบ้านเกิด จนนําไปสู่การสร้างอาชีพ สร้างผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีความแตกต่างและโดดเด่น ที่เชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวชุมชน ทําให้คนในพื้นที่โดยเฉพาะผู้สูงอายุมีงานทํา สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชุมชน ด้านนายมนูญ ทนะวัง เจ้าของ Cocoa Valley อ.ปัว จ.น่าน กล่าวว่า หลังเรียนจบคณะบริหารธุรกิจ สาขาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยบูรพา และทํางานบริษัทแท่นขุดเจาะน้ํามัน ซึ่งเป็นบริษัทของอเมริกาที่ชลบุรีประมาณ 16 ปี เริ่มรู้สึกว่าความสุขในชีวิตไม่ใช่การมีเงินเยอะ ๆ อีกต่อไป จึงพาครอบครัวกลับบ้านเกิดที่ จ.น่าน เพื่อค้นหาสิ่งที่ตอบโจทย์ความสุขที่แท้จริง และได้เริ่มพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่พ่อแม่มอบให้ มาเป็นสวนโกโก้ที่ปลูกแบบอินทรีย์ และมีการแปรรูปด้วยตนเอง เพื่อให้เป็นช็อกโกแลตแท้ฝีมือคนไทย และพัฒนาไปเป็นเมนูขนมและเครื่องดื่ม เช่น ช็อกโกแลต โกโก้แบบผง ชงดื่ม ขนมที่มีโกโก้เป็นส่วนประกอบ น้ําโกโก้สด รวมถึงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เวชสําอางจากไขมันโกโก้ เช่น ครีมบํารุงผิว สครับผิวจากโกโก้ รวมไปถึงนําเปลือกโกโก้ไปทําสีย้อมผ้า ล่าสุดผลิตภัณฑ์ช็อกโกแล็ตขมิ้นชันได้รับรางวัลเหรียญเงิน (Silver Medal) สาขา Food Industry และสครับโกโก้ เม็ดบีทธรรมชาติ ได้รับรางวัลเหรียญทอง (Gold Medal) สาขา health/medical ในงานประชุมวิชาการและการประกวดสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมระดับโลก 15 TH International of Inventions and Innovations Intarg 2022 จาก Internation Federation of Inventors Association : IFIA และ World Invention Intellectual Property Association : WIIPA ณ ประเทศโปแลนด์ นอกจากนี้ ได้มีการเชื่อมโยงธุรกิจไปสู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ มีการเปิดคาเฟ่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาชิมผลผลิตจากสวนโกโก้ การทํา รีสอร์ทเพื่อเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งวิธีทํางานและการพัฒนาของมนูญจะตั้งโจทย์ว่า ใครได้ประโยชน์บ้างนอกจากตัวเรา ทําให้งานทุกอย่าง ๆ ที่ทําช่วยสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสังคมคู่ขนานไปด้วย มนูญเน้นการสร้างความสุขและการมีส่วนร่วมในชุมชน โดยการเชิญชวนผู้สูงอายุที่ไม่มีงานทํา มาร่วมคัดแยกเปลือกและเนื้อโกโก้แทนการใช้เครื่องจักร เพื่อให้คนเฒ่าคนแก่ในชุมชนมีกิจกรรมและมีรายได้เลี้ยงชีพโดยไม่ต้องพึ่งลูกหลาน สร้างความสุขให้ผู้สูงอายุที่มองเห็นคุณค่าในตัวเอง รวมถึงการปลูกโกโก้เป็นพืชแซมในสวนและส่งขายให้กับคาเฟ่ เพื่อเป็นรายได้เสริม เป็นต้น ทั้งนี้ หมุดหมายที่จะก้าวต่อไป คือสร้างพื้นที่ป่าจังหวัดน่านให้กลับมาเขียวขจี เพื่อลดปัญหาโลกร้อนและการขาดแคลนน้ําที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตหากไม่มีป่า เพราะสิ่งนี้คือ ประโยชน์และความสุขที่ทุกคนจะได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม และนี่คือคําตอบของ New Gen Hug บ้านเกิดที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยสู่สังคมที่ภาคภูมิ Better Life , Better Community , Better Pride
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่ รวมพลังกลับมาพัฒนาบ้านเกิด วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565 ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่ รวมพลังกลับมาพัฒนาบ้านเกิด ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่ ที่มีพลังกาย พลังใจ พลังความคิดสร้างสรรค์ และความรักต่อถิ่นฐานบ้านเกิด มาร่วมพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนภายใต้หลัก BCG โดยนําองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ชูต้นแบบ New Gen Hug บ้านเกิด ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่ ที่มีพลังกาย พลังใจ พลังความคิดสร้างสรรค์ และความรักต่อถิ่นฐานบ้านเกิด มาร่วมพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนภายใต้หลัก BCG โดยนําองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ชูต้นแบบ New Gen Hug บ้านเกิด ที่มีแนวทางการพัฒนาธุรกิจที่ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจในชุมชน สร้างโอกาสให้กับผู้สูงอายุในท้องถิ่นได้มีงานทํา มีรายได้และความสุข โดย ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนสานฝันการพัฒนา เพื่อยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยสู่สังคมที่ภาคภูมิ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมบูธและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายมนูญ ทนะวัง ผู้ชนะเลิศจากการประกวดโครงการ New Gen Hug บ้านเกิด ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวการกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของคนรุ่นใหม่ ที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม การเข้าไปช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และความเข้มแข็งให้กับคนในชุมชนรวมถึงการเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างในการพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน ภายใต้หลัก BCG โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. และนายณรงค์ ขันติวิริยะกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. ร่วมให้ข้อมูล ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า รัฐบาลโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กําหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน จึงได้สั่งการและมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน 8 แนวทาง ได้แก่ 1. การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 2. การกําหนดให้การไกล่เกลี่ยและการปรับโครงสร้างหนี้เป็นวาระของประเทศ และให้ทุก SFIs เร่งกําหนดวิธีปฏิบัติและแนวนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 3. การแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 4. การแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการ 5. การปรับลดและทบทวนโครงสร้างและเพดานอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 6. การแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 7. การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อยและ SMEs และ 8. การปรับปรุงขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอื้อให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ร่วมกับ ธปท. SFIs และธนาคารพาณิชย์ ดําเนินโครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน เพื่อให้คําปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางปรับธุรกิจและมาตรการต่าง ๆ ให้กับลูกหนี้เป็นรายกรณี ทั้งนี้ ธ.ก.ส. นอกจากดําเนินงานตามแนวทางที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และผู้ประกอบการด้านการเกษตร โดยให้คําปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางปรับธุรกิจ การปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระและการเติมทุนให้เพียงพอต่อการขยายงานแล้ว ในส่วนของแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต และถูกเลิกจ้าง รวมถึงบัณฑิตจบใหม่ที่ยังไม่มีงานทํา ซึ่งบางส่วนย้ายกลับภูมิลําเนา เพื่อแสวงหาแนวทางในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ก็ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสําคัญ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความรู้ ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมและการตลาด มีประสบการณ์ที่จะเข้ามาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรกรรม จึงควรสนับสนุนต่อยอดให้เป็นหัวขบวนในการสร้างธุรกิจชุมชน เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจฐานราก จึงถือเป็นบทบาทสําคัญที่ ธ.ก.ส. จะต้องเข้าไปขับเคลื่อน ด้านนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลําบากในช่วงที่ผ่านมา ธ.ก.ส. พบว่า มีคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ มีพลังกาย พลังใจและความรักที่มีต่อถิ่นฐานบ้านเกิด พวกเขาเหล่านี้กําลังสร้างความยั่งยืนให้ชุมชนของตนเองทีละน้อยโดยไม่ย่อท้อ สิ่งที่พวกเขาทําล้วนเป็นแรงบันดาลใจที่ดี ให้กับคนอีกหลายคนที่กําลังเผชิญภาวะวิกฤติในขณะนี้ ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ร่วมจุดประกาย ในการค้นหาคนหนุ่มสาวเหล่านี้ผ่าน “โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด” และถือเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญที่สร้างสรรค์ให้เกิดแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับหลัก BCG Economy Model ทั้งทางด้านเกษตรกรรมยั่งยืน (เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่) เกษตรเทคโนโลยี (เกษตรแปลงใหญ่ เกษตรอุตสาหกรรม เกษตรไฮเทค) เกษตรแปรรูป (การแปรรูปเพิ่มมูลค่าผลผลิต และบริการทางการเกษตร) และเกษตรท่องเที่ยวชุมชน ธ.ก.ส. พร้อมให้การสนับสนุนแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ที่จะนํามาพัฒนาต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการเชื่อมโยงกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน มาเติมเต็มองค์ความรู้และด้านการตลาดและเติมทุนเพื่อนําไปใช้ในการขยายธุรกิจ ผ่านโครงการสินเชื่อนวัตกรรมดีมีทุน สานฝันสร้างอาชีพ และสินเชื่อเพื่อการพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ในอัตราดอกเบี้ยต่ําและเงื่อนไขที่ผ่อนปรน เพื่อสร้างโอกาสให้คนหนุ่มสาวในการเข้ามาร่วมพัฒนาภาคเกษตรกรรม ทดแทนคนรุ่นพ่อแม่ที่มีอายุสูงขึ้นและถือเป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการเกษตรของไทยสู่เวทีการค้าโลก ทั้งนี้ ในส่วนของคุณมนูญ ทนะวัง ผู้ชนะเลิศจากการประกวดโครงการ New Gen Hug บ้านเกิด ถือเป็นต้นแบบของคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งมั่นในการพัฒนาบ้านเกิด จนนําไปสู่การสร้างอาชีพ สร้างผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีความแตกต่างและโดดเด่น ที่เชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวชุมชน ทําให้คนในพื้นที่โดยเฉพาะผู้สูงอายุมีงานทํา สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชุมชน ด้านนายมนูญ ทนะวัง เจ้าของ Cocoa Valley อ.ปัว จ.น่าน กล่าวว่า หลังเรียนจบคณะบริหารธุรกิจ สาขาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยบูรพา และทํางานบริษัทแท่นขุดเจาะน้ํามัน ซึ่งเป็นบริษัทของอเมริกาที่ชลบุรีประมาณ 16 ปี เริ่มรู้สึกว่าความสุขในชีวิตไม่ใช่การมีเงินเยอะ ๆ อีกต่อไป จึงพาครอบครัวกลับบ้านเกิดที่ จ.น่าน เพื่อค้นหาสิ่งที่ตอบโจทย์ความสุขที่แท้จริง และได้เริ่มพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่พ่อแม่มอบให้ มาเป็นสวนโกโก้ที่ปลูกแบบอินทรีย์ และมีการแปรรูปด้วยตนเอง เพื่อให้เป็นช็อกโกแลตแท้ฝีมือคนไทย และพัฒนาไปเป็นเมนูขนมและเครื่องดื่ม เช่น ช็อกโกแลต โกโก้แบบผง ชงดื่ม ขนมที่มีโกโก้เป็นส่วนประกอบ น้ําโกโก้สด รวมถึงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เวชสําอางจากไขมันโกโก้ เช่น ครีมบํารุงผิว สครับผิวจากโกโก้ รวมไปถึงนําเปลือกโกโก้ไปทําสีย้อมผ้า ล่าสุดผลิตภัณฑ์ช็อกโกแล็ตขมิ้นชันได้รับรางวัลเหรียญเงิน (Silver Medal) สาขา Food Industry และสครับโกโก้ เม็ดบีทธรรมชาติ ได้รับรางวัลเหรียญทอง (Gold Medal) สาขา health/medical ในงานประชุมวิชาการและการประกวดสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมระดับโลก 15 TH International of Inventions and Innovations Intarg 2022 จาก Internation Federation of Inventors Association : IFIA และ World Invention Intellectual Property Association : WIIPA ณ ประเทศโปแลนด์ นอกจากนี้ ได้มีการเชื่อมโยงธุรกิจไปสู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ มีการเปิดคาเฟ่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาชิมผลผลิตจากสวนโกโก้ การทํา รีสอร์ทเพื่อเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งวิธีทํางานและการพัฒนาของมนูญจะตั้งโจทย์ว่า ใครได้ประโยชน์บ้างนอกจากตัวเรา ทําให้งานทุกอย่าง ๆ ที่ทําช่วยสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสังคมคู่ขนานไปด้วย มนูญเน้นการสร้างความสุขและการมีส่วนร่วมในชุมชน โดยการเชิญชวนผู้สูงอายุที่ไม่มีงานทํา มาร่วมคัดแยกเปลือกและเนื้อโกโก้แทนการใช้เครื่องจักร เพื่อให้คนเฒ่าคนแก่ในชุมชนมีกิจกรรมและมีรายได้เลี้ยงชีพโดยไม่ต้องพึ่งลูกหลาน สร้างความสุขให้ผู้สูงอายุที่มองเห็นคุณค่าในตัวเอง รวมถึงการปลูกโกโก้เป็นพืชแซมในสวนและส่งขายให้กับคาเฟ่ เพื่อเป็นรายได้เสริม เป็นต้น ทั้งนี้ หมุดหมายที่จะก้าวต่อไป คือสร้างพื้นที่ป่าจังหวัดน่านให้กลับมาเขียวขจี เพื่อลดปัญหาโลกร้อนและการขาดแคลนน้ําที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตหากไม่มีป่า เพราะสิ่งนี้คือ ประโยชน์และความสุขที่ทุกคนจะได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม และนี่คือคําตอบของ New Gen Hug บ้านเกิดที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยสู่สังคมที่ภาคภูมิ Better Life , Better Community , Better Pride
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อดีตลูกจ้าง JSL ซึ้งใจรมว.สุชาติ เทรนบาริสต้าสร้างอาชีพใหม่ ช่วยเหลือเต็มที่
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 อดีตลูกจ้าง JSL ซึ้งใจรมว.สุชาติ เทรนบาริสต้าสร้างอาชีพใหม่ ช่วยเหลือเต็มที่ อดีตลูกจ้าง JSL จํานวน 25 คน เตรียมเข้าอบรมบาริสตามืออาชีพ 1-5 สิงหาคมนี้ ณ วิทยาลัยการแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ขานรับข้อสั่งการรมว.แรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ช่วยเหลือพนักงานสร้างอาชีพใหม่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อดีตลูกจ้าง JSL ซึ้งใจรมว.สุชาติ เทรนบาริสต้าสร้างอาชีพใหม่ ช่วยเหลือเต็มที่ วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 อดีตลูกจ้าง JSL ซึ้งใจรมว.สุชาติ เทรนบาริสต้าสร้างอาชีพใหม่ ช่วยเหลือเต็มที่ อดีตลูกจ้าง JSL จํานวน 25 คน เตรียมเข้าอบรมบาริสตามืออาชีพ 1-5 สิงหาคมนี้ ณ วิทยาลัยการแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ขานรับข้อสั่งการรมว.แรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ช่วยเหลือพนักงานสร้างอาชีพใหม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57406
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.หนุนแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันของ วธ. ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้”
วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 วธ.หนุนแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันของ วธ. ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” วธ.หนุนแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันของ วธ. ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” วธ.หนุนแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันของ วธ. ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” กระบี่เมืองศิลปะ ชุมชนยลวิถี-อาหารที่ภูเก็ต เปิดพิพิธภัณฑ์ฯสึนามิ พังงา เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแลนด์มาร์คแห่งใหม่ สร้างรายได้เข้าประเทศหลังโควิด นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2564 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนองและสตูล) ที่โรงแรม โซฟิเทล กระบี่ โภคีธารา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท ต.หนองทะเล อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ เมื่อเร็วๆนี้ว่า ที่ประชุมรับทราบวีดิทัศน์และการดําเนินงานขับเคลื่อนแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันตามที่วธ.เสนอ ซึ่งกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ประกอบด้วยจังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมด้วยมนต์เสน่ห์ของ“Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” และมีโครงสร้าง พื้นฐานรองรับการท่องเที่ยว จึงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายวัฒนธรรมจัดทําแผนสนับสนุนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน พ.ศ. 2562 – 2565 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามนโยบายรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับแผนสนับสนุนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ ฝั่งอันดามัน พ.ศ. 2562 – 2565 ดําเนินการ 2 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย 1). พัฒนาสินค้าและกิจกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ดําเนินการ เช่น การผลักดันให้จังหวัดกระบี่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย การปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปะ ถนนศิลปะ ถนนประติมากรรม จัดเทศกาลศิลปะ 150 ปี กระบี่เมืองศิลปะยกระดับเทศกาลประเพณี สู่การท่องเที่ยวระดับชาติและนานาชาติ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม และ2). ส่งเสริมสนับสนุนศิลปิน อัตลักษณ์ และวิถีชุมชนท้องถิ่น มีการจัดกิจกรรม “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” การส่งเสริมศิลปินพื้นบ้าน เครือข่ายวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมบันเทิง การสร้างสรรค์การแปรรูปอาหารท้องถิ่น ของฝาก ของที่ระลึก รวมถึงนําเสนอวัฒนธรรมอาหารภูเก็ตผ่านเกมออนไลน์ Phuket Cooking Fever ต่อยอดเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหารของยูเนสโก และการให้บริการด้วยเสน่ห์ความเป็นไทยและเป็นเจ้าบ้านที่ดี และด้านที่ 2. เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพต้นทุนมนุษย์เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย 1).พัฒนาแหล่งศิลปวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยบูรณะโบราณสถานสําคัญ ปรับปรุงหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดตรัง การพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง การพัฒนาพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ บ้านน้ําเค็ม จังหวัดพังงา เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดพังงา และ๒). ขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนแม่บทคุณธรรมแห่งชาติโดยการส่งเสริม ศาสนสถานทุกศาสนา โดยจัดกิจกรรมเป็น “ศูนย์เรียนรู้ คู่คุณธรรม” นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ วธ.ยังขับเคลื่อนการทําคอนเทนต์ ผลิตภาพยนตร์ ละคร เพลง จากจุดแข็งด้าน “Soft power” ความเป็นไทยของประเทศไทย โดยคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” จากชุมชน 228 แห่งทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในทุกมิติ อาทิ ชุมชนแหลมสัก ชุมชนนาหมื่นศรี ชุมชนบ้านสามช่องเหนือ ชุมชนวัดมงคลนิมิต ชุมชนบ้านหงาว และชุมชนบ้านผัง 7 อีกทั้งวธ.ได้จัดทํา Mobile Application “เที่ยวเท่ๆ เสน่ห์เมืองไทย” นําเสนอข้อมูลด้านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และธรรมชาติ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะเป็นพื้นที่ต้นแบบในการฟื้นฟูเยียวยาเศรษฐกิจฐานรากด้วยมิติวัฒนธรรมหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่เคยลดลง 70 - 80 เปอร์เซ็นต์ให้กลับมาสูงกว่า 6 แสนล้านบาทต่อปีอีกครั้ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.หนุนแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันของ วธ. ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 วธ.หนุนแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันของ วธ. ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” วธ.หนุนแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันของ วธ. ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” วธ.หนุนแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันของ วธ. ด้วยมนต์เสน่ห์ของ “Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” กระบี่เมืองศิลปะ ชุมชนยลวิถี-อาหารที่ภูเก็ต เปิดพิพิธภัณฑ์ฯสึนามิ พังงา เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแลนด์มาร์คแห่งใหม่ สร้างรายได้เข้าประเทศหลังโควิด นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2564 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนองและสตูล) ที่โรงแรม โซฟิเทล กระบี่ โภคีธารา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท ต.หนองทะเล อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ เมื่อเร็วๆนี้ว่า ที่ประชุมรับทราบวีดิทัศน์และการดําเนินงานขับเคลื่อนแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรมในเขตภาคใต้ฝั่งอันดามันตามที่วธ.เสนอ ซึ่งกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ประกอบด้วยจังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมด้วยมนต์เสน่ห์ของ“Andaman Paradise หรือ มรกตเมืองใต้” และมีโครงสร้าง พื้นฐานรองรับการท่องเที่ยว จึงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายวัฒนธรรมจัดทําแผนสนับสนุนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน พ.ศ. 2562 – 2565 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามนโยบายรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับแผนสนับสนุนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ ฝั่งอันดามัน พ.ศ. 2562 – 2565 ดําเนินการ 2 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย 1). พัฒนาสินค้าและกิจกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ดําเนินการ เช่น การผลักดันให้จังหวัดกระบี่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย การปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปะ ถนนศิลปะ ถนนประติมากรรม จัดเทศกาลศิลปะ 150 ปี กระบี่เมืองศิลปะยกระดับเทศกาลประเพณี สู่การท่องเที่ยวระดับชาติและนานาชาติ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม และ2). ส่งเสริมสนับสนุนศิลปิน อัตลักษณ์ และวิถีชุมชนท้องถิ่น มีการจัดกิจกรรม “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” การส่งเสริมศิลปินพื้นบ้าน เครือข่ายวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมบันเทิง การสร้างสรรค์การแปรรูปอาหารท้องถิ่น ของฝาก ของที่ระลึก รวมถึงนําเสนอวัฒนธรรมอาหารภูเก็ตผ่านเกมออนไลน์ Phuket Cooking Fever ต่อยอดเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหารของยูเนสโก และการให้บริการด้วยเสน่ห์ความเป็นไทยและเป็นเจ้าบ้านที่ดี และด้านที่ 2. เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพต้นทุนมนุษย์เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบด้วย 1).พัฒนาแหล่งศิลปวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยบูรณะโบราณสถานสําคัญ ปรับปรุงหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดตรัง การพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง การพัฒนาพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งธรณีพิบัติภัยสึนามิ บ้านน้ําเค็ม จังหวัดพังงา เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดพังงา และ๒). ขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนแม่บทคุณธรรมแห่งชาติโดยการส่งเสริม ศาสนสถานทุกศาสนา โดยจัดกิจกรรมเป็น “ศูนย์เรียนรู้ คู่คุณธรรม” นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ วธ.ยังขับเคลื่อนการทําคอนเทนต์ ผลิตภาพยนตร์ ละคร เพลง จากจุดแข็งด้าน “Soft power” ความเป็นไทยของประเทศไทย โดยคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” จากชุมชน 228 แห่งทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในทุกมิติ อาทิ ชุมชนแหลมสัก ชุมชนนาหมื่นศรี ชุมชนบ้านสามช่องเหนือ ชุมชนวัดมงคลนิมิต ชุมชนบ้านหงาว และชุมชนบ้านผัง 7 อีกทั้งวธ.ได้จัดทํา Mobile Application “เที่ยวเท่ๆ เสน่ห์เมืองไทย” นําเสนอข้อมูลด้านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และธรรมชาติ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะเป็นพื้นที่ต้นแบบในการฟื้นฟูเยียวยาเศรษฐกิจฐานรากด้วยมิติวัฒนธรรมหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่เคยลดลง 70 - 80 เปอร์เซ็นต์ให้กลับมาสูงกว่า 6 แสนล้านบาทต่อปีอีกครั้ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48965
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ดึงเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพประมวลผลกองเรือไทย เร่งขับเคลื่อนพาณิชย์นาวีไทยรองรับตลาดขนส่งทางน้ำขยายตัว
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 กรมเจ้าท่า ดึงเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพประมวลผลกองเรือไทย เร่งขับเคลื่อนพาณิชย์นาวีไทยรองรับตลาดขนส่งทางน้ําขยายตัว ... “กรมเจ้าท่า” เร่งพัฒนาศักยภาพกองเรือไทย อัพเดทข้อมูลสอดรับสถานการณ์ปัจจุบันตามมาตรฐานสากลด้วยเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประมวลผลกองเรือแบบบูรณาการ แสดงผลผ่านเว็บไซต์ สร้างความเชื่อมั่นในกิจการพาณิชย์นาวีของไทย รับทิศทางการขยายตัวขนส่งทางน้ําของไทย สะท้อนปริมาณการขนส่งทางน้ําช่วงวิกฤติ โควิด 19 ที่เติบโตสูงกว่าสถานการณ์ปกติ และเร่งส่งเสริมกองเรือไทยตามแผนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านวิชาการ กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีแผนพัฒนาท่าเรือน้ําลึกในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมกิจกรรมด้านการค้าและการท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ที่ผ่านมาร้อยละ 80 ของการขนส่งสินค้า อาศัยการขนส่งทางน้ํา เนื่องจากมีต้นทุนต่ําและสามารถ ขนสินค้าได้ในปริมาณมากเมื่อเทียบกับการขนส่งในรูปแบบอื่น ประกอบกับประเทศไทยมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์การขนส่ง เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมี 23 จังหวัด ซึ่งมีพื้นที่ติดทะเล สามารถใช้ประโยชน์จากทะเลในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร โดยการขยายตัวของภาคการขนส่ง ทําให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid 19) พบว่ามีปริมาณการขนส่งทางน้ําเพิ่มมากขึ้น เรือนับว่าเป็นยานพาหนะที่มีบทบาทสําคัญในการขนส่ง โดยขนาดของกองเรือสะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถด้านการขนส่งของประเทศ กรมเจ้าท่าได้วางนโยบายเพื่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย โดยยกระดับให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ตลอดจนจัดระบบข้อมูลของกองเรือพาณิชย์นาวีไทยให้มีความทันสมัย เพื่อกํากับดูแลกองเรือให้มีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน กรมเจ้าท่า โดยสํานักมาตรฐานทะเบียนเรือ ได้นําเทคโนโลยีมาใช้ประมวลผลและจัดการข้อมูลกองเรือ ภายใต้ระบบบูรณาการข้อมูลกิจการทางทะเล (Thai Integrated Shipping Information System : THISIS) ซึ่งสามารถแสดงผลผ่าน Dashboard ให้เห็นโครงสร้างของกองเรือไทย เรือที่อยู่ในบัญชีสีขาว (White list) บนเว็บไซต์ของกรมเจ้าท่า ในหัวข้อ MD White list โดยสามารถแสดงข้อมูลกองเรือ (Fleet Info) จําแนกจํานวนที่มีใบอนุญาตและเรือที่ใบอนุญาตขาดอายุ รวมถึงสามารถจําแนกตามขนาดเรือ เขตการเดินเรือ ทั้งในเขตลําน้ํา อ่าวไทย ทะเลอันดามัน และเรือที่เดินต่างประเทศ ขณะเดียวกัน Dashboard สามารถแสดงจํานวนเรือในมิติความปลอดภัย เช่น เรือที่ติดตั้งระบบแสดงตนอัติโนมัติ (AIS) เรือที่มีขนาดความยาวเกิน 165 ฟุต ซึ่งต้องใช้เจ้าพนักงานนําร่อง เป็นต้น ตลอดจนสามารถจําแนกเรือตามประเภทการใช้ อาทิ เรือประมง เรือบรรทุกสินค้า และเรือโดยสาร ได้ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2565 ประเทศไทยมีกองเรือจํานวน 81,880 ลํา โดยมีสัดส่วนเรือประมง ร้อยละ 69 เรือโดยสาร ร้อยละ 10 เรือสินค้า ร้อยละ 3 และเรืออื่น ๆ ร้อยละ 18 โดยเป็นเรือที่เดินภายในประเทศ จํานวน 81,494 ลํา เรือเดินระหว่างประเทศ จํานวน 386 ลํา ซึ่งการใช้ประโยชน์จากระบบบูรณาการข้อมูลกิจการทางทะเล (Thai Integrated Shipping Information System : THISIS) ทําให้ข้อมูลกองเรือมีความทันสมัย เป็นปัจจุบัน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และกรมเจ้าท่าสามารถประเมินสถานการณ์ของกองเรือไทยได้อย่างถูกต้อง และนําไปใช้ในการกําหนดทิศทางรวมถึงมาตรการในการส่งเสริมกองเรือไทยให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ดึงเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพประมวลผลกองเรือไทย เร่งขับเคลื่อนพาณิชย์นาวีไทยรองรับตลาดขนส่งทางน้ำขยายตัว วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 กรมเจ้าท่า ดึงเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพประมวลผลกองเรือไทย เร่งขับเคลื่อนพาณิชย์นาวีไทยรองรับตลาดขนส่งทางน้ําขยายตัว ... “กรมเจ้าท่า” เร่งพัฒนาศักยภาพกองเรือไทย อัพเดทข้อมูลสอดรับสถานการณ์ปัจจุบันตามมาตรฐานสากลด้วยเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประมวลผลกองเรือแบบบูรณาการ แสดงผลผ่านเว็บไซต์ สร้างความเชื่อมั่นในกิจการพาณิชย์นาวีของไทย รับทิศทางการขยายตัวขนส่งทางน้ําของไทย สะท้อนปริมาณการขนส่งทางน้ําช่วงวิกฤติ โควิด 19 ที่เติบโตสูงกว่าสถานการณ์ปกติ และเร่งส่งเสริมกองเรือไทยตามแผนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านวิชาการ กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีแผนพัฒนาท่าเรือน้ําลึกในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมกิจกรรมด้านการค้าและการท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ที่ผ่านมาร้อยละ 80 ของการขนส่งสินค้า อาศัยการขนส่งทางน้ํา เนื่องจากมีต้นทุนต่ําและสามารถ ขนสินค้าได้ในปริมาณมากเมื่อเทียบกับการขนส่งในรูปแบบอื่น ประกอบกับประเทศไทยมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์การขนส่ง เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมี 23 จังหวัด ซึ่งมีพื้นที่ติดทะเล สามารถใช้ประโยชน์จากทะเลในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร โดยการขยายตัวของภาคการขนส่ง ทําให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid 19) พบว่ามีปริมาณการขนส่งทางน้ําเพิ่มมากขึ้น เรือนับว่าเป็นยานพาหนะที่มีบทบาทสําคัญในการขนส่ง โดยขนาดของกองเรือสะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถด้านการขนส่งของประเทศ กรมเจ้าท่าได้วางนโยบายเพื่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย โดยยกระดับให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ตลอดจนจัดระบบข้อมูลของกองเรือพาณิชย์นาวีไทยให้มีความทันสมัย เพื่อกํากับดูแลกองเรือให้มีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน กรมเจ้าท่า โดยสํานักมาตรฐานทะเบียนเรือ ได้นําเทคโนโลยีมาใช้ประมวลผลและจัดการข้อมูลกองเรือ ภายใต้ระบบบูรณาการข้อมูลกิจการทางทะเล (Thai Integrated Shipping Information System : THISIS) ซึ่งสามารถแสดงผลผ่าน Dashboard ให้เห็นโครงสร้างของกองเรือไทย เรือที่อยู่ในบัญชีสีขาว (White list) บนเว็บไซต์ของกรมเจ้าท่า ในหัวข้อ MD White list โดยสามารถแสดงข้อมูลกองเรือ (Fleet Info) จําแนกจํานวนที่มีใบอนุญาตและเรือที่ใบอนุญาตขาดอายุ รวมถึงสามารถจําแนกตามขนาดเรือ เขตการเดินเรือ ทั้งในเขตลําน้ํา อ่าวไทย ทะเลอันดามัน และเรือที่เดินต่างประเทศ ขณะเดียวกัน Dashboard สามารถแสดงจํานวนเรือในมิติความปลอดภัย เช่น เรือที่ติดตั้งระบบแสดงตนอัติโนมัติ (AIS) เรือที่มีขนาดความยาวเกิน 165 ฟุต ซึ่งต้องใช้เจ้าพนักงานนําร่อง เป็นต้น ตลอดจนสามารถจําแนกเรือตามประเภทการใช้ อาทิ เรือประมง เรือบรรทุกสินค้า และเรือโดยสาร ได้ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2565 ประเทศไทยมีกองเรือจํานวน 81,880 ลํา โดยมีสัดส่วนเรือประมง ร้อยละ 69 เรือโดยสาร ร้อยละ 10 เรือสินค้า ร้อยละ 3 และเรืออื่น ๆ ร้อยละ 18 โดยเป็นเรือที่เดินภายในประเทศ จํานวน 81,494 ลํา เรือเดินระหว่างประเทศ จํานวน 386 ลํา ซึ่งการใช้ประโยชน์จากระบบบูรณาการข้อมูลกิจการทางทะเล (Thai Integrated Shipping Information System : THISIS) ทําให้ข้อมูลกองเรือมีความทันสมัย เป็นปัจจุบัน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และกรมเจ้าท่าสามารถประเมินสถานการณ์ของกองเรือไทยได้อย่างถูกต้อง และนําไปใช้ในการกําหนดทิศทางรวมถึงมาตรการในการส่งเสริมกองเรือไทยให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย มอบความห่วงใยประชาชน สงกรานต์' 65 ขับรถ-รดน้ำขอพรอย่างปลอดภัย เปิดสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565 มหาดไทย มอบความห่วงใยประชาชน สงกรานต์' 65 ขับรถ-รดน้ําขอพรอย่างปลอดภัย เปิดสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง ปลัดกระทรวงมหาดไทยเผยทุกจังหวัดทั่วประเทศส่งมอบความสุขพี่น้องประชาชนต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ 2565 บูรณาการพื้นที่ดูแล-อํานวยความสะดวกเดินทางปลอดภัย ร่วมกิจกรรมสืบสานประเพณีอันดีงามห่างไกลโควิด-19 พร้อมเปิดสายด่วนศูนย์ดํารงธรรม 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง ปลัดกระทรวงมหาดไทยเผยทุกจังหวัดทั่วประเทศส่งมอบความสุขพี่น้องประชาชนต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ 2565 บูรณาการพื้นที่ดูแล-อํานวยความสะดวกเดินทางปลอดภัย ร่วมกิจกรรมสืบสานประเพณีอันดีงามห่างไกลโควิด-19 พร้อมเปิดสายด่วนศูนย์ดํารงธรรม 1567 แสตนบายรับเรื่องและประสานเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง วันนี้ (12 เม.ย. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้อํานวยพรให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนมีความสุข ร่วมกันรักษาวัฒนธรรมอันดีงาม อันเป็นรากเหง้าของคนในชาติ รากเหง้าที่ทําให้พวกเรามีความภาคภูมิใจและช่วยกันสร้างความรักสามัคคี ดูแลประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้อวยพรให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้มีความสุขร่วมกับสมาชิกในครอบครัว ใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง สืบสานประเพณีสงกรานต์อันดีงามด้วยการรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นช่วงเทศกาลแห่งความสุข ความอบอุ่น และความปลอดภัย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2565 ซึ่งเป็นวันหยุดต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามแผนบูรณาการลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” โดยเฉพาะในช่วงระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2565 ซึ่งมีพี่น้องประชาชนเดินทางสัญจรเป็นจํานวนมาก โดยทุกจังหวัดได้สั่งการและประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งเส้นทางในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท บริหารจัดการถนนที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซม ทั้งเครื่องจักร และอุปกรณ์ต่าง ๆ หยุดปฏิบัติงาน และติดตั้งเครื่องหมาย/สัญลักษณ์เตือนให้มีความชัดเจน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน พร้อมทั้งใช้กลไกศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด/อําเภอ ทั้งหน่วยวิชาการ หน่วยให้คําปรึกษา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนบุคลากรสแตนบายมอนิเตอร์ติดตามความปลอดภัยทางถนนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน และได้สั่งการให้ส่วนราชการในระดับพื้นที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งมูลนิธิ สมาคมต่าง ๆ จัดตั้งด่านอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ทั้งบนเส้นทางหลักและเส้นทางรองทั่วประเทศ พร้อมจุดบริการตรวจ ATK เพื่อหาเชื้อโควิด-19 ให้กับพี่น้องประชาชนที่เดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 ซึ่งอาจจะส่งผลทําให้พี่น้องประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง และสําหรับในพื้นที่ถนนในชุมชน ฝ่ายปกครอง ได้ใช้กลไกทั้งท้องที่ คือ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดตั้ง “ด่านชุมชน” เฝ้าระวัง ตรวจตรา ป้องปราม และตักเตือนบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน เน้นลดพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุทางถนน คือ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกําหนด นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ในด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทรวงมหาดไทยได้กําชับและติดตามการดําเนินงานโดยให้ทุกจังหวัดและอําเภอร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดดําเนินการตรวจตราการจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมโรคแบบบูรณาการตามข้อกําหนดฯ ฉบับล่าสุด และแนวปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting ในพื้นที่จัดงาน รณรงค์สร้างการรับรู้ปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคลขั้นสูงสุด Universal Prevention และ DMHTA อย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนไม่สาดน้ําใส่กัน แต่ยังคงไว้ซึ่งการสืบสานประเพณีที่ดีงามของคนไทย เช่น รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ หรือรดน้ําสงกรานต์กันด้วยความระมัดระวัง เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ห้ามจัดกิจกรรมปาร์ตี้โฟม ประแป้ง ดื่ม หรือจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 อาจมีความเข้มงวดกวดขัน ทําให้พี่น้องประชาชนยุ่งยากลําบากบ้าง แต่ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพี่น้องประชาชนทุกคน “อย่างไรก็ดี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 นี้ กระทรวงมหาดไทยขอส่งมอบความสุขให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ได้ใช้ชีวิตในวันหยุดต่อเนื่องร่วมกับสมาชิกในครอบครัวด้วยความรัก ความสุข ความอบอุ่น ความห่วงใยซึ่งกันและกัน ขับรถด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท เอื้ออาทรต่อผู้ใช้ทางร่วมกัน หากง่วงก็หยุดพัก เหนื่อยก็หยุดพัก พร้อมทั้งปฏิบัติตามมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นสิ่งใดที่เป็นอันตราย หรือต้องการขอความช่วยเหลือในทุกเรื่อง สามารถโทรสายด่วนศูนย์ดํารงธรรม 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ จิตอาสา และอาสาสมัคร เข้าให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย มอบความห่วงใยประชาชน สงกรานต์' 65 ขับรถ-รดน้ำขอพรอย่างปลอดภัย เปิดสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565 มหาดไทย มอบความห่วงใยประชาชน สงกรานต์' 65 ขับรถ-รดน้ําขอพรอย่างปลอดภัย เปิดสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง ปลัดกระทรวงมหาดไทยเผยทุกจังหวัดทั่วประเทศส่งมอบความสุขพี่น้องประชาชนต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ 2565 บูรณาการพื้นที่ดูแล-อํานวยความสะดวกเดินทางปลอดภัย ร่วมกิจกรรมสืบสานประเพณีอันดีงามห่างไกลโควิด-19 พร้อมเปิดสายด่วนศูนย์ดํารงธรรม 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง ปลัดกระทรวงมหาดไทยเผยทุกจังหวัดทั่วประเทศส่งมอบความสุขพี่น้องประชาชนต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ 2565 บูรณาการพื้นที่ดูแล-อํานวยความสะดวกเดินทางปลอดภัย ร่วมกิจกรรมสืบสานประเพณีอันดีงามห่างไกลโควิด-19 พร้อมเปิดสายด่วนศูนย์ดํารงธรรม 1567 แสตนบายรับเรื่องและประสานเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง วันนี้ (12 เม.ย. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้อํานวยพรให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนมีความสุข ร่วมกันรักษาวัฒนธรรมอันดีงาม อันเป็นรากเหง้าของคนในชาติ รากเหง้าที่ทําให้พวกเรามีความภาคภูมิใจและช่วยกันสร้างความรักสามัคคี ดูแลประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้อวยพรให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้มีความสุขร่วมกับสมาชิกในครอบครัว ใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง สืบสานประเพณีสงกรานต์อันดีงามด้วยการรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นช่วงเทศกาลแห่งความสุข ความอบอุ่น และความปลอดภัย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2565 ซึ่งเป็นวันหยุดต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามแผนบูรณาการลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” โดยเฉพาะในช่วงระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2565 ซึ่งมีพี่น้องประชาชนเดินทางสัญจรเป็นจํานวนมาก โดยทุกจังหวัดได้สั่งการและประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งเส้นทางในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท บริหารจัดการถนนที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซม ทั้งเครื่องจักร และอุปกรณ์ต่าง ๆ หยุดปฏิบัติงาน และติดตั้งเครื่องหมาย/สัญลักษณ์เตือนให้มีความชัดเจน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน พร้อมทั้งใช้กลไกศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด/อําเภอ ทั้งหน่วยวิชาการ หน่วยให้คําปรึกษา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนบุคลากรสแตนบายมอนิเตอร์ติดตามความปลอดภัยทางถนนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน และได้สั่งการให้ส่วนราชการในระดับพื้นที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งมูลนิธิ สมาคมต่าง ๆ จัดตั้งด่านอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ทั้งบนเส้นทางหลักและเส้นทางรองทั่วประเทศ พร้อมจุดบริการตรวจ ATK เพื่อหาเชื้อโควิด-19 ให้กับพี่น้องประชาชนที่เดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 ซึ่งอาจจะส่งผลทําให้พี่น้องประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง และสําหรับในพื้นที่ถนนในชุมชน ฝ่ายปกครอง ได้ใช้กลไกทั้งท้องที่ คือ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดตั้ง “ด่านชุมชน” เฝ้าระวัง ตรวจตรา ป้องปราม และตักเตือนบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน เน้นลดพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุทางถนน คือ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกําหนด นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ในด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทรวงมหาดไทยได้กําชับและติดตามการดําเนินงานโดยให้ทุกจังหวัดและอําเภอร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดดําเนินการตรวจตราการจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมโรคแบบบูรณาการตามข้อกําหนดฯ ฉบับล่าสุด และแนวปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting ในพื้นที่จัดงาน รณรงค์สร้างการรับรู้ปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคลขั้นสูงสุด Universal Prevention และ DMHTA อย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนไม่สาดน้ําใส่กัน แต่ยังคงไว้ซึ่งการสืบสานประเพณีที่ดีงามของคนไทย เช่น รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ หรือรดน้ําสงกรานต์กันด้วยความระมัดระวัง เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ห้ามจัดกิจกรรมปาร์ตี้โฟม ประแป้ง ดื่ม หรือจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 อาจมีความเข้มงวดกวดขัน ทําให้พี่น้องประชาชนยุ่งยากลําบากบ้าง แต่ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพี่น้องประชาชนทุกคน “อย่างไรก็ดี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 นี้ กระทรวงมหาดไทยขอส่งมอบความสุขให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ได้ใช้ชีวิตในวันหยุดต่อเนื่องร่วมกับสมาชิกในครอบครัวด้วยความรัก ความสุข ความอบอุ่น ความห่วงใยซึ่งกันและกัน ขับรถด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท เอื้ออาทรต่อผู้ใช้ทางร่วมกัน หากง่วงก็หยุดพัก เหนื่อยก็หยุดพัก พร้อมทั้งปฏิบัติตามมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นสิ่งใดที่เป็นอันตราย หรือต้องการขอความช่วยเหลือในทุกเรื่อง สามารถโทรสายด่วนศูนย์ดํารงธรรม 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ จิตอาสา และอาสาสมัคร เข้าให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน อำนวยความสะดวกประชาชน
วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 อนุมัติยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน อํานวยความสะดวกประชาชน วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลอํานวยความสะดวก ลดขั้นตอน และลดค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีให้แก่ประชาชน โดยอนุมัติร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการยื่นรายการแบบ คําร้อง คําขอ หรือเอกสารอื่นใดตามประมวลรัษฎากรบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกําหนดให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษี และเอกสารอื่นๆ แก่กรมสรรพากรผ่าน Application Programming Interface หรือ API และระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นได้ โดยให้มีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้มีหน้าที่เสียภาษี ผู้นําส่งภาษี ผู้ประกอบการจดทะเบียน ที่สามารถระบุตัวตนเจ้าของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ และเมื่อดําเนินการเสร็จแล้วจะได้รับหลักฐานเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมสรรพากรลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์รับรองแล้วด้วย “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน อำนวยความสะดวกประชาชน วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 อนุมัติยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน อํานวยความสะดวกประชาชน วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลอํานวยความสะดวก ลดขั้นตอน และลดค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีให้แก่ประชาชน โดยอนุมัติร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการยื่นรายการแบบ คําร้อง คําขอ หรือเอกสารอื่นใดตามประมวลรัษฎากรบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกําหนดให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษี และเอกสารอื่นๆ แก่กรมสรรพากรผ่าน Application Programming Interface หรือ API และระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นได้ โดยให้มีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้มีหน้าที่เสียภาษี ผู้นําส่งภาษี ผู้ประกอบการจดทะเบียน ที่สามารถระบุตัวตนเจ้าของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ และเมื่อดําเนินการเสร็จแล้วจะได้รับหลักฐานเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมสรรพากรลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์รับรองแล้วด้วย “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมปรับรายงานโควิด 19 เฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรักษาใน รพ. แนะ 3 กลุ่มยังต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 สธ. เตรียมปรับรายงานโควิด 19 เฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรักษาใน รพ. แนะ 3 กลุ่มยังต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 อยู่ในช่วงขาลง เตรียมปรับระบบรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ แนะไม่จําเป็นต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ยกเว้น 3 กลุ่ม คือ เมื่อมีอาการ ผู้ดูแลกลุ่มเสี่ยงสูง กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด19 อยู่ในช่วงขาลง เตรียมปรับระบบรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล ตั้งแต่1 มิ.ย.นี้ แนะไม่จําเป็นต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ยกเว้น 3 กลุ่ม คือ เมื่อมีอาการผู้ดูแลกลุ่มเสี่ยงสูง และผู้อยู่ในสถานที่/กิจกรรมที่รวมตัวคนจํานวนมาก วันนี้ (30 พฤษภาคม 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อํานวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด19 ว่าสถานการณ์โรคโควิด 19 ทั้งผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิต ลดลงอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมอยู่ในช่วงระยะขาลงทั้งประเทศและดีกว่าสถานการณ์ที่เคยคาดการณ์ไว้ สําหรับผู้เสียชีวิตยังเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งครึ่งหนึ่งไม่ได้ฉีดวัคซีน จึงต้องรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตสูงฉีดวัคซีนทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้นเพื่อลดการเสียชีวิต ขณะนี้ยังคงเตือนภัยโควิด19 ในระดับ 3 กลุ่มเสี่ยงต่างๆ ไม่เข้าสถานที่เสี่ยงเช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ ในสัปดาห์นี้ผู้เชี่ยวชาญจะมีการหารือเรื่องการพิจารณาการปรับลดระดับการเตือนภัย อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือทุกคนช่วยกันป้องกันไม่ให้กลับมาเกิดการระบาดเป็นวงกว้างอีก โดยสวมหน้ากาก เว้นระยะห่างและล้างมือเช่นเดิม "ขณะนี้ประเทศไทยสถานการณ์ลดลงคล้ายกับประเทศอื่นในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหลายประเทศปรับระบบรายงานจากรายวันเป็นรายสัปดาห์ หรือรายงานเฉพาะการเสียชีวิต ดังนั้น ตั้งแต่วันที่1 มิถุนายน 2565ซึ่งประเทศไทยมีการปรับมาตรการเพื่อผ่อนคลายมากขึ้น จะมีการปรับระบบการรายงานจํานวนผู้ติดเชื้อเป็นการรายงานเฉพาะจํานวนผู้ป่วยที่มีอาการและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นระบบเฝ้าระวังในโรคที่ความรุนแรงลดลงแล้ว" นพ.จักรรัฐกล่าว นพ.จักรรัฐกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาได้กําหนดให้โรคโควิด19 เป็นโรคติดต่ออันตราย จึงต้องมีการค้นหาผู้ที่ติดเชื้อด้วยการตรวจRT-PCR และ ATK แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น มีการปรับการรายงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์โดยเน้นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ดังนั้น การตรวจATK เป็นประจําทุกสัปดาห์จึงไม่จําเป็น โดยจะตรวจเป็นประจําใน 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้ที่มีอาการ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นต้น 2.ผู้ดูแลใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยงสูง คือ ผู้ดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน และ 3.ผู้อยู่ในสถานที่หรือกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันจํานวนมากและเสี่ยงแพร่ระบาด เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ พนักงานยังต้องตรวจเป็นประจําทุกสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ทั้งนี้ เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น อาจพบการระบาดหรือการติดเชื้อเป็นวงกว้างได้พอสมควร ดังนั้น กลุ่มเสี่ยงสูงเช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ยังต้องเข้มมาตรการ2U คือ การป้องกันส่วนบุคคล (Universal Prevention) และการฉีดวัคซีน(Universal Vaccination) เพราะหากติดเชื้ออาจมีอาการหนักได้ ส่วนสถานที่เสี่ยงต้องเข้มมาตรการด้วย เช่น พนักงานผับ บาร์ คาราโอเกะ ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ทําตามมาตรการ COVID Free Setting ตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยง การระบายอากาศ เป็นต้น ********************************************* 30 พฤษภาคม 2565 *********************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมปรับรายงานโควิด 19 เฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรักษาใน รพ. แนะ 3 กลุ่มยังต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 สธ. เตรียมปรับรายงานโควิด 19 เฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรักษาใน รพ. แนะ 3 กลุ่มยังต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 อยู่ในช่วงขาลง เตรียมปรับระบบรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ แนะไม่จําเป็นต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ยกเว้น 3 กลุ่ม คือ เมื่อมีอาการ ผู้ดูแลกลุ่มเสี่ยงสูง กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด19 อยู่ในช่วงขาลง เตรียมปรับระบบรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล ตั้งแต่1 มิ.ย.นี้ แนะไม่จําเป็นต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ยกเว้น 3 กลุ่ม คือ เมื่อมีอาการผู้ดูแลกลุ่มเสี่ยงสูง และผู้อยู่ในสถานที่/กิจกรรมที่รวมตัวคนจํานวนมาก วันนี้ (30 พฤษภาคม 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อํานวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด19 ว่าสถานการณ์โรคโควิด 19 ทั้งผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิต ลดลงอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมอยู่ในช่วงระยะขาลงทั้งประเทศและดีกว่าสถานการณ์ที่เคยคาดการณ์ไว้ สําหรับผู้เสียชีวิตยังเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งครึ่งหนึ่งไม่ได้ฉีดวัคซีน จึงต้องรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตสูงฉีดวัคซีนทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้นเพื่อลดการเสียชีวิต ขณะนี้ยังคงเตือนภัยโควิด19 ในระดับ 3 กลุ่มเสี่ยงต่างๆ ไม่เข้าสถานที่เสี่ยงเช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ ในสัปดาห์นี้ผู้เชี่ยวชาญจะมีการหารือเรื่องการพิจารณาการปรับลดระดับการเตือนภัย อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือทุกคนช่วยกันป้องกันไม่ให้กลับมาเกิดการระบาดเป็นวงกว้างอีก โดยสวมหน้ากาก เว้นระยะห่างและล้างมือเช่นเดิม "ขณะนี้ประเทศไทยสถานการณ์ลดลงคล้ายกับประเทศอื่นในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหลายประเทศปรับระบบรายงานจากรายวันเป็นรายสัปดาห์ หรือรายงานเฉพาะการเสียชีวิต ดังนั้น ตั้งแต่วันที่1 มิถุนายน 2565ซึ่งประเทศไทยมีการปรับมาตรการเพื่อผ่อนคลายมากขึ้น จะมีการปรับระบบการรายงานจํานวนผู้ติดเชื้อเป็นการรายงานเฉพาะจํานวนผู้ป่วยที่มีอาการและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นระบบเฝ้าระวังในโรคที่ความรุนแรงลดลงแล้ว" นพ.จักรรัฐกล่าว นพ.จักรรัฐกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาได้กําหนดให้โรคโควิด19 เป็นโรคติดต่ออันตราย จึงต้องมีการค้นหาผู้ที่ติดเชื้อด้วยการตรวจRT-PCR และ ATK แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น มีการปรับการรายงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์โดยเน้นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ดังนั้น การตรวจATK เป็นประจําทุกสัปดาห์จึงไม่จําเป็น โดยจะตรวจเป็นประจําใน 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้ที่มีอาการ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นต้น 2.ผู้ดูแลใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยงสูง คือ ผู้ดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน และ 3.ผู้อยู่ในสถานที่หรือกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันจํานวนมากและเสี่ยงแพร่ระบาด เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ พนักงานยังต้องตรวจเป็นประจําทุกสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ทั้งนี้ เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น อาจพบการระบาดหรือการติดเชื้อเป็นวงกว้างได้พอสมควร ดังนั้น กลุ่มเสี่ยงสูงเช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ยังต้องเข้มมาตรการ2U คือ การป้องกันส่วนบุคคล (Universal Prevention) และการฉีดวัคซีน(Universal Vaccination) เพราะหากติดเชื้ออาจมีอาการหนักได้ ส่วนสถานที่เสี่ยงต้องเข้มมาตรการด้วย เช่น พนักงานผับ บาร์ คาราโอเกะ ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ทําตามมาตรการ COVID Free Setting ตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยง การระบายอากาศ เป็นต้น ********************************************* 30 พฤษภาคม 2565 *********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-2 รมต.“อุตฯ-แรงงาน” ควงแขนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนฯ บ.ฟุตบอลไทย ย่านหนองจอก เดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สถานประกอบการ
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564 2 รมต.“อุตฯ-แรงงาน” ควงแขนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนฯ บ.ฟุตบอลไทย ย่านหนองจอก เดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สถานประกอบการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและ ให้กําลังใจผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์ฉีดวัคซีน บริษัท โรงงานฟุตบอลไทย สปอร์ตติ้ง กู๊ดส์ จํากัด ย่านหนองจอก ตั้งเป้าฉีดให้ได้วันละ 1,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกันตนมาตรา33ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ศูนย์ฉีดวัคซีนบริษัทโรงงานฟุตบอลไทยสปอร์ตติ้งกู๊ดส์จํากัดย่านหนองจอกตั้งเป้าฉีดให้ได้วันละ1,000คนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้โรงงานในสถานประกอบการและทําให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้โดยเร็ว นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกันตนมาตรา33ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มาฉีดวัคซีนโควิด-19รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ณศูนย์ฉีดวัคซีนบริษัทโรงงานฟุตบอลไทยสปอร์ตติ้งกู๊ดส์จํากัดถนนฉลองกรุงเขตหนองจอกกทม.โดยมีนายกฤชนนท์อัยยปัญญาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนางสาวสุชาดาแทนทรัพย์โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมนายวีริศอัมระปาลผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพร้อมคณะร่วมตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ด้วยโดยมีนายกมลโชคไพบูลย์กิจประธานกรรมการบริษัทโรงงานฟุตบอลไทยฯผู้ประกอบการและผู้นําสหภาพแรงงานภายในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังให้การต้อนรับ จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมคณะได้ การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรมที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา33 “ในส่วนของการฉีดวัคซีนให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรมขณะนี้มีความก้าวหน้าไปมากซึ่งวัคซีนที่ได้มาจะพยายามฉีดให้ได้ตามแผนที่วางไว้โดยมุ่งเป้าไปที่นิคมอุตสาหกรรมที่มีแรงงานภาคอุตสาหกรรมอยู่จํานวนมากเป็นลําดับแรกซึ่งตามแผนที่วางไว้จะกระจายไปตามศูนย์ฉีดวัคซีนในนิคมฯ27แห่งโดยหากได้รับวัคซีนมาครบตามจํานวนที่ได้ลงทะเบียนไว้ก็จะดําเนินการร่วมกับกระทรวงแรงงานเพื่อฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา33โดยเป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรมทั้งที่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและนอกนิคมอุตสาหกรรมจํานวนประมาณ3.3ล้านคนโดยเป็นแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมจํานวน850,000คน ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมีความตั้งใจช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในสถานประกอบกิจการโรงงานขณะเดียวกันยังตั้งเป้าสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรมเพื่อทําให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วให้ภาคธุรกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้โดยเร็วทั้งนี้ขณะนี้มีโรงงานที่ประเมินตนเองผ่านThai Stop Covid Plusตามที่กระทรวงฯขอความร่วมมือแล้วรวมกว่า8,565โรงงาน”นายสุริยะฯกล่าว ด้านนายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าเบื้องต้นกระทรวงแรงงาน ได้กําหนดจัดฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา33ในพื้นที่กรุงเทพมหานครจากสถานประกอบการจํานวน24,000กว่าแห่งทั่วกรุงเทพฯตั้งแต่วันที่7 -26มิ.ย.64ซึ่งสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่1-12ได้จัดเตรียมสถานที่แพทย์พยาบาลเภสัชกรอุปกรณ์ทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม23แห่งโดยมีศักยภาพในการฉีดได้วันละ50,000คน(ทั้ง12ศูนย์)ซึ่งทุกศูนย์ฯให้บริการระหว่างเวลา08.00 – 17.00น. อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันที่7-11และ14มิถุนายน2564ที่ผ่านมามีผู้ประกันตนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วทั้งสิ้นจํานวน235,188คนคิดเป็นร้อยละ85.05จากเป้าหมายที่ตั้งไว้วันละ50,000คน6วันจะต้องฉีดได้300,000คน สําหรับโรงงานฟุตบอลไทยได้อนุญาตให้สํานักงานประกันสังคมเข้าใช้พื้นที่ให้บริการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา33ในเขตกทม.สําหรับผู้ประกันตนในเขตลาดกระบังและเขตหนองจอกโดยเป็น1ใน45ศูนย์ฉีดวัคซีนที่มีเป้าหมายฉีดให้ได้วันละ1,000คน #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม#รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน#กระทรวงอุตสาหกรรม#สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สถานประกอบการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-2 รมต.“อุตฯ-แรงงาน” ควงแขนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนฯ บ.ฟุตบอลไทย ย่านหนองจอก เดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สถานประกอบการ วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564 2 รมต.“อุตฯ-แรงงาน” ควงแขนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนฯ บ.ฟุตบอลไทย ย่านหนองจอก เดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สถานประกอบการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและ ให้กําลังใจผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ศูนย์ฉีดวัคซีน บริษัท โรงงานฟุตบอลไทย สปอร์ตติ้ง กู๊ดส์ จํากัด ย่านหนองจอก ตั้งเป้าฉีดให้ได้วันละ 1,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกันตนมาตรา33ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ศูนย์ฉีดวัคซีนบริษัทโรงงานฟุตบอลไทยสปอร์ตติ้งกู๊ดส์จํากัดย่านหนองจอกตั้งเป้าฉีดให้ได้วันละ1,000คนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้โรงงานในสถานประกอบการและทําให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้โดยเร็ว นายสุริยะจึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกันตนมาตรา33ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มาฉีดวัคซีนโควิด-19รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ณศูนย์ฉีดวัคซีนบริษัทโรงงานฟุตบอลไทยสปอร์ตติ้งกู๊ดส์จํากัดถนนฉลองกรุงเขตหนองจอกกทม.โดยมีนายกฤชนนท์อัยยปัญญาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนางสาวสุชาดาแทนทรัพย์โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมนายวีริศอัมระปาลผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพร้อมคณะร่วมตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ด้วยโดยมีนายกมลโชคไพบูลย์กิจประธานกรรมการบริษัทโรงงานฟุตบอลไทยฯผู้ประกอบการและผู้นําสหภาพแรงงานภายในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังให้การต้อนรับ จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมคณะได้ การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรมที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา33 “ในส่วนของการฉีดวัคซีนให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรมขณะนี้มีความก้าวหน้าไปมากซึ่งวัคซีนที่ได้มาจะพยายามฉีดให้ได้ตามแผนที่วางไว้โดยมุ่งเป้าไปที่นิคมอุตสาหกรรมที่มีแรงงานภาคอุตสาหกรรมอยู่จํานวนมากเป็นลําดับแรกซึ่งตามแผนที่วางไว้จะกระจายไปตามศูนย์ฉีดวัคซีนในนิคมฯ27แห่งโดยหากได้รับวัคซีนมาครบตามจํานวนที่ได้ลงทะเบียนไว้ก็จะดําเนินการร่วมกับกระทรวงแรงงานเพื่อฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา33โดยเป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรมทั้งที่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและนอกนิคมอุตสาหกรรมจํานวนประมาณ3.3ล้านคนโดยเป็นแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมจํานวน850,000คน ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมีความตั้งใจช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในสถานประกอบกิจการโรงงานขณะเดียวกันยังตั้งเป้าสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้แก่แรงงานภาคอุตสาหกรรมเพื่อทําให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วให้ภาคธุรกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้โดยเร็วทั้งนี้ขณะนี้มีโรงงานที่ประเมินตนเองผ่านThai Stop Covid Plusตามที่กระทรวงฯขอความร่วมมือแล้วรวมกว่า8,565โรงงาน”นายสุริยะฯกล่าว ด้านนายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าเบื้องต้นกระทรวงแรงงาน ได้กําหนดจัดฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา33ในพื้นที่กรุงเทพมหานครจากสถานประกอบการจํานวน24,000กว่าแห่งทั่วกรุงเทพฯตั้งแต่วันที่7 -26มิ.ย.64ซึ่งสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่1-12ได้จัดเตรียมสถานที่แพทย์พยาบาลเภสัชกรอุปกรณ์ทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม23แห่งโดยมีศักยภาพในการฉีดได้วันละ50,000คน(ทั้ง12ศูนย์)ซึ่งทุกศูนย์ฯให้บริการระหว่างเวลา08.00 – 17.00น. อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันที่7-11และ14มิถุนายน2564ที่ผ่านมามีผู้ประกันตนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วทั้งสิ้นจํานวน235,188คนคิดเป็นร้อยละ85.05จากเป้าหมายที่ตั้งไว้วันละ50,000คน6วันจะต้องฉีดได้300,000คน สําหรับโรงงานฟุตบอลไทยได้อนุญาตให้สํานักงานประกันสังคมเข้าใช้พื้นที่ให้บริการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา33ในเขตกทม.สําหรับผู้ประกันตนในเขตลาดกระบังและเขตหนองจอกโดยเป็น1ใน45ศูนย์ฉีดวัคซีนที่มีเป้าหมายฉีดให้ได้วันละ1,000คน #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม#รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน#กระทรวงอุตสาหกรรม#สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สถานประกอบการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42798
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 18 กรกฏาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 7 ราย
วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 18 กรกฏาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 7 ราย ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 18 กรกฏาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 7 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 1 เพศหญิง อายุ 39 ปี 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 205 เพศชาย อายุ 39 ปี 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 4 เพศหญิง อายุ 60 ปี (ปัจจุบันองค์การ ให้พนักงานดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่ทําความสะอาด ท่าปล่อยรถท่าเรือคลองเตย) 4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 84 เพศชาย อายุ 23 ปี 5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 519 เพศหญิง อายุ 26 ปี 6) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย A2 เพศชาย อายุ 30 ปี 7) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 140 เพศหญิง อายุ 38 ปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 18 กรกฏาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 7 ราย วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 18 กรกฏาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 7 ราย ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 18 กรกฏาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 7 ราย 1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 1 เพศหญิง อายุ 39 ปี 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 205 เพศชาย อายุ 39 ปี 3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 4 เพศหญิง อายุ 60 ปี (ปัจจุบันองค์การ ให้พนักงานดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่ทําความสะอาด ท่าปล่อยรถท่าเรือคลองเตย) 4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 84 เพศชาย อายุ 23 ปี 5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 519 เพศหญิง อายุ 26 ปี 6) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย A2 เพศชาย อายุ 30 ปี 7) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 140 เพศหญิง อายุ 38 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43866
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ปลื้มยอดผู้เข้าชมไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนทะลุครึ่งล้าน
วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2564 “ชัยวุฒิ” ปลื้มยอดผู้เข้าชมไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนทะลุครึ่งล้าน “ชัยวุฒิ” ปลื้มยอดผู้เข้าชมไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนทะลุครึ่งล้าน “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสปลื้มผลงาน“ไทยแลนด์พาวิลเลียน”ในงานเวิลด์เอ็กซ์โป2020ดูไบดึงดูดยอดผู้เข้าชมกว่า5แสนคนติดท็อป5ได้รับความนิยมสูงสุดเผยวานนี้(5ธ.ค. 64)เป็นประธานเปิดงานวันชาติไทยInternational Dayเทิดพระเกียรติฯ นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม(ดีอีเอส)กล่าว่าจากการเข้าร่วมงานเวิลด์เอ็กซ์โป2020ดูไบหลังเปิดการจัดแสดงอาคารแสดงประเทศไทย(ไทยแลนด์พาวิลเลี่ยน)ผ่านไปราว2เดือนล่าสุดมีจํานวนผู้เข้าชมแล้วมากกว่า5แสนคนและติดอันดับท็อป5ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากจํานวนประเทศที่เข้าร่วมงาน192ประเทศรวมถึงมียอดคนเเชร์คลิปในโซเชียลมากเป็นอันดับ1ของโลก ทั้งนี้การจัดงานในส่วนของไทยเเลนด์พาวิลเลี่ยนได้นําเสนอโดยแนวคิด“การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future)โดยจะเป็นกุญแจสําคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีอีกทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศสู่สายตานักลงทุนทั่วโลกผ่านความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขณะเดียวกันก็นําเสนอเอกลักษณ์และความเป็นไทยซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสําคัญที่สร้างความตื่นตาตื่นใจและได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้เข้าชมทั่วทุกมุมโลก สําหรับการจัดแสดงนิทรรศการมี4องค์ประกอบ ได้แก่Thai Mobility (ประวัติศาสตร์) Mobility of Life (การสร้างชาติ) Mobility of The Future (เทคโนโลยีโลกอนาคต)และHeart of Mobility (ความประทับใจที่ต่างชาติหลงใหล) นายชัยวุฒิกล่าวว่าวานนี้(5ธ.ค.64)ยังได้เป็นประธานเปิดงานวันชาติไทยInternational Dayเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ในงานเวิลด์เอ็กซ์โป2020โดยมีดร.ธานีบินอาเหม็ดอัลเซยูดีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศเป็นผู้เเทนรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้เข้าร่วมฉลองกับประเทศไทยด้วย พร้อมกันนี้ได้เป็นผู้เเทนไทยนําคณะข้าราชการทูตานุทูตเเละทีมงานนักเเสดงไทยรวมถึงประชาชนคนไทยที่อาศัยอยู่ณเมืองดูไบร่วมกันน้อมลํารึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร “คนไทยควรภูมิใจในความเป็นชาติไทยตั้งแต่เปิดงานเวิลด์เอ็กซ์โปฯเมื่อเดือนตุลาคมอาคารไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนได้รับความนิยมมีคนมาเยี่ยมชมมากที่สุดลําดับต้นๆของงานรวมถึงสิ่งที่น่ายินดีอีกอย่างหนึ่งก็คืออาหารไทยเป็นที่นิยมมากทําให้ร้านอาหารไทยที่อาคารเเสดงประเทศไทยในเเต่ละวันก็ขายดีมีคนมาต่อคิวทานเป็นจํานวนมาก ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่ท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาต้องการสร้างประเทศไทยให้เป็นฮับของการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งทางด้านการค้าการลงทุนการเเพทย์การเกษตรพลังงาน นวัตกรรม ดิจิทัลเเละการท่องเที่ยว”นายชัยวุฒิกล่าว *************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ปลื้มยอดผู้เข้าชมไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนทะลุครึ่งล้าน วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2564 “ชัยวุฒิ” ปลื้มยอดผู้เข้าชมไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนทะลุครึ่งล้าน “ชัยวุฒิ” ปลื้มยอดผู้เข้าชมไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนทะลุครึ่งล้าน “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสปลื้มผลงาน“ไทยแลนด์พาวิลเลียน”ในงานเวิลด์เอ็กซ์โป2020ดูไบดึงดูดยอดผู้เข้าชมกว่า5แสนคนติดท็อป5ได้รับความนิยมสูงสุดเผยวานนี้(5ธ.ค. 64)เป็นประธานเปิดงานวันชาติไทยInternational Dayเทิดพระเกียรติฯ นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม(ดีอีเอส)กล่าว่าจากการเข้าร่วมงานเวิลด์เอ็กซ์โป2020ดูไบหลังเปิดการจัดแสดงอาคารแสดงประเทศไทย(ไทยแลนด์พาวิลเลี่ยน)ผ่านไปราว2เดือนล่าสุดมีจํานวนผู้เข้าชมแล้วมากกว่า5แสนคนและติดอันดับท็อป5ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากจํานวนประเทศที่เข้าร่วมงาน192ประเทศรวมถึงมียอดคนเเชร์คลิปในโซเชียลมากเป็นอันดับ1ของโลก ทั้งนี้การจัดงานในส่วนของไทยเเลนด์พาวิลเลี่ยนได้นําเสนอโดยแนวคิด“การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future)โดยจะเป็นกุญแจสําคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีอีกทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศสู่สายตานักลงทุนทั่วโลกผ่านความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขณะเดียวกันก็นําเสนอเอกลักษณ์และความเป็นไทยซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสําคัญที่สร้างความตื่นตาตื่นใจและได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้เข้าชมทั่วทุกมุมโลก สําหรับการจัดแสดงนิทรรศการมี4องค์ประกอบ ได้แก่Thai Mobility (ประวัติศาสตร์) Mobility of Life (การสร้างชาติ) Mobility of The Future (เทคโนโลยีโลกอนาคต)และHeart of Mobility (ความประทับใจที่ต่างชาติหลงใหล) นายชัยวุฒิกล่าวว่าวานนี้(5ธ.ค.64)ยังได้เป็นประธานเปิดงานวันชาติไทยInternational Dayเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ในงานเวิลด์เอ็กซ์โป2020โดยมีดร.ธานีบินอาเหม็ดอัลเซยูดีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศเป็นผู้เเทนรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้เข้าร่วมฉลองกับประเทศไทยด้วย พร้อมกันนี้ได้เป็นผู้เเทนไทยนําคณะข้าราชการทูตานุทูตเเละทีมงานนักเเสดงไทยรวมถึงประชาชนคนไทยที่อาศัยอยู่ณเมืองดูไบร่วมกันน้อมลํารึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร “คนไทยควรภูมิใจในความเป็นชาติไทยตั้งแต่เปิดงานเวิลด์เอ็กซ์โปฯเมื่อเดือนตุลาคมอาคารไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนได้รับความนิยมมีคนมาเยี่ยมชมมากที่สุดลําดับต้นๆของงานรวมถึงสิ่งที่น่ายินดีอีกอย่างหนึ่งก็คืออาหารไทยเป็นที่นิยมมากทําให้ร้านอาหารไทยที่อาคารเเสดงประเทศไทยในเเต่ละวันก็ขายดีมีคนมาต่อคิวทานเป็นจํานวนมาก ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่ท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาต้องการสร้างประเทศไทยให้เป็นฮับของการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งทางด้านการค้าการลงทุนการเเพทย์การเกษตรพลังงาน นวัตกรรม ดิจิทัลเเละการท่องเที่ยว”นายชัยวุฒิกล่าว *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49160