question,answer,relevant_laws,reference_answer "สำนักงานสรรพากรภาค หารือ กรณีการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับรายได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม มีข้อเท็จจริงสรุปได้ คือบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ประกอบกิจการส่งออกผ้า ได้แก่ ผ้าพิมพ์ ผ้าย้อม ไปยังต่างประเทศ โดยผ่านพิธีการศุลกากร ได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ซึ่งการส่งออกผ้าดังกล่าวมี 2 ลักษณะ ดังนี้ (1) ผ้าที่ส่งออกเพื่อขายให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศโดยตรง บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ไว้เป็นยอดขายที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 (2) ผ้าที่ส่งออกเพื่อเป็นวัตถุดิบให้บริษัทในประเทศจีนผลิตหรือตัดเย็บเป็นเสื้อสำเร็จรูป และเมื่อบริษัทในประเทศจีนได้ผลิตเสร็จ บริษัทฯ จะจัดส่งสินค้าดังกล่าวไปยังลูกค้าของบริษัทฯ ในอีกประเทศหนึ่ง (ปานามา) โดยระบุผู้ส่งออกในใบตราส่งสินค้า (Bill of lading) เป็นชื่อของบริษัทฯ ซึ่งการขายเสื้อสำเร็จรูปของบริษัทฯ โดยการส่งจากประเทศจีนไปยังลูกค้าของบริษัทฯ อีกประเทศหนึ่งนั้น บริษัทฯ เข้าใจว่าการขายเช่นว่านี้ เป็นการขายนอกราชอาณาจักรที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Out of VAT Scope) และบริษัทฯ ไม่ได้นำยอดขายเสื้อสำเร็จรูปมาเป็นยอดขายที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ในแบบ ภ.พ.30 ทั้งนี้ กรณีที่บริษัทฯ ส่งออกผ้าเพื่อให้บริษัทในประเทศจีนผลิตหรือตัดเย็บเป็นเสื้อสำเร็จรูป ดังที่กล่าวข้างต้น บริษัทฯ ได้ยื่นยอดขายที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ในแบบ ภ.พ.30อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทฯ ส่งออกผ้าไปขายกรณีตาม (1) และการขายเสื้อสำเร็จรูปกรณีตาม (2) บริษัทฯ ได้รับรู้รายได้เป็นรายได้จากการขายสินค้าและนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิตามเกณฑ์สิทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากรแล้วบริษัทฯ จึง หารือว่า กรณีบริษัทฯ ส่งออกวัตถุดิบ (ผ้า) ซึ่งได้ผ่านพิธีการศุลกากรเพื่อให้บริษัทในประเทศจีนผลิตหรือตัดเย็บเป็นเสื้อสำเร็จรูป ถือว่าบริษัทฯ เป็นผู้ส่งออกได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1 แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ และภาษีซื้อจากการซื้อวัตถุดิบ (ผ้าชนิดต่าง ๆ) รวมทั้งภาษีซื้อจากค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการส่งออกวัตถุดิบนั้น บริษัทฯ มีสิทธินำมาหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรได้ใช่หรือไม่",กรณีตามข้อเท็จจริง บริษัทฯ ได้ว่าจ้างให้บริษัทในประเทศจีนผลิตหรือตัดเย็บเสื้อสำเร็จรูป โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินพิธีการศุลกากรเพื่อส่งออกผ้าให้แก่บริษัทในประเทศจีนเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหรือตัดเย็บเสื้อสำเร็จรูป ซึ่งปรากฏชื่อของบริษัทฯ เป็นผู้ส่งออกในใบตราส่งสินค้าและใบขนสินค้าขาออก เข้าลักษณะเป็นการส่งออก ตามมาตรา 77/1 (14) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบที่ได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทฯ ถูกเรียกเก็บจากการซื้อผ้าในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตหรือตัดเย็บเป็นเสื้อสำเร็จรูปในประเทศจีน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการส่งออกวัตถุดิบนั้น เป็นภาษีซื้อเนื่องจากการประกอบกิจการส่งออกวัตถุดิบที่ได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบริษัทฯ สามารถนำไปหักจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ตามมาตรา 82/3 และมาตรา 82/4 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ภาษีซื้อดังกล่าวต้องไม่เข้าลักษณะเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ตามมาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/1'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '82/5'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '80/1'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '82/4'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '82/3'}]",บริษัทฯ เป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบที่ได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 และสามารถนำภาษีซื้อมาหักจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 82/3 และมาตรา 82/4 แต่ต้องไม่เข้าลักษณะเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5. "บริษัท ก. ในฐานะผู้บริหารโครงการ และบริษัทและบริษัท ร่วมกันจัดทำโครงการประกันภัย อุบัติเหตุเอื้ออาทรตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัยที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต หรือตกเป็นผู้ทุพพลภาพถาวร โดยมีการทำสัญญาการเข้าร่วมรับประกันภัยโครงการประกันภัยอุบัติเหตุ ระหว่าง ง และผู้บริหารโครงการ โดยกำหนดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่าง ๆ ของคู่สัญญาไว้ ซึ่งผู้บริหารโครงการมีหน้าที่รวบรวมและกระจายเงินเบี้ยประกันภัยให้กับบริษัทรับประกันภัยในโครงการฯ รวมทั้งหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการบริหารโครงการกำหนด ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการที่ ก จะได้รับตามข้อตกลงในสัญญาดังกล่าว ง จะเป็นผู้กำหนด ต่อมาที่ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ มีมติให้นำเงินทุนหมุนเวียนภายใต้โครงการเบี้ยประกันภัยที่กรมและ นำส่งไปลงทุนในชื่อของ ก และจะ กระจายรายได้จากการลงทุนให้บริษัทรับประกันภัยในโครงการฯ บันทึกรับรู้เป็นรายได้ตามสัดส่วนของ แต่ละบริษัท โดยการลงทุนดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การลงทุนประกอบ ธุรกิจอื่น ซึ่งผู้บริหารโครงการได้นำไปลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินแบบเผื่อเรียก และประเภทกำหนดอายุ 1-3 เดือน และเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์เท่านั้น ผู้บริหารโครงการจึงหารือว่า จะต้องปฏิบัติ อย่างไรเกี่ยวกับภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับเงินได้จากการนำเงิน เบี้ยประกันภัยไปลงทุนในชื่อของ ก นั้น","กรณีบริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้บริหารโครงการ และบริษัท รับประกันภัยในโครงการฯ ได้ร่วมกันทำสัญญาการเข้าร่วมรับประกันภัยโครงการประกันภัยอุบัติเหตุเอื้อ อาทร ในสัญญาดังกล่าวได้กำหนดหน้าที่ของผู้บริหารโครงการไว้ โดยสัญญาดังกล่าวได้ระบุให้ผู้บริหาร โครงการมีหน้าที่ต้องกระทำตามที่คณะกรรมการบริหารกำหนดด้วย และคณะกรรมการบริหารโครงการ ประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทร ได้จัดประชุมครั้งที่ 1/2546 ที่ประชุมมีมติให้ผู้บริหารโครงการมีหน้าที่ต้อง นำเงินในโครงการประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทรไปลงทุนในชื่อของผู้บริหารโครงการ และต้องนำรายได้ที่ เกิดจากการลงทุนมากระจายให้แก่บริษัทรับประกันภัยในโครงการฯ ผู้บริหารโครงการจึงอยู่ในฐานะเป็น คู่สัญญาของบริษัทรับประกันภัยในโครงการฯ ที่จะต้องนำเงินในโครงการประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทรไป ลงทุนในชื่อของตนเองเพื่อหารายได้ที่เกิดจากการลงทุน โดยต้องนำรายได้ดังกล่าวมากระจายให้บริษัท รับประกันภัยในโครงการฯ เงินได้ที่เกิดจากเงินลงทุนดังกล่าวมีภาระภาษีดังนี้ 1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีผู้บริหารโครงการได้รับเงินได้ที่เกิดจากการนำเงินเบี้ยประกันภัยในโครงการไป ลงทุนในชื่อของผู้บริหารโครงการ ซึ่งได้รับเงินได้ดังกล่าวในชื่อของผู้บริหารโครงการ และเงินได้ ดังกล่าวถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 ผู้บริหารโครงการต้องนำเงินได้ที่เกิดจากการลงทุนก่อนการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไปรวมคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้บริหารโครงการ ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร โดยนำภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย มาเป็นเครดิตในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ผู้บริหารโครงการได้ เมื่อผู้บริหารโครงการแจ้งข้อมูลและนำส่งเงินได้ที่เกิดจากการลงทุนกระจายให้กับบริษัท รับประกันภัยในโครงการฯ เพื่อปฏิบัติตามสัญญา ผู้บริหารโครงการไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และ มีสิทธินำเงินที่จ่ายให้บริษัทรับประกันภัยในโครงการดังกล่าวมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อ เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากรได้ ส่วนบริษัทผู้รับประกันภัยในโครงการฯ ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร 2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีผู้บริหารโครงการมีรายรับที่เกิดจากการนำเงินเบี้ยประกันภัยในโครงการไปลงทุนใน ชื่อของผู้บริหารโครงการ ซึ่งได้รับรายรับดังกล่าวในชื่อของผู้บริหารโครงการ ผู้บริหารโครงการมีหน้าที่ ต้องนำรายรับดังกล่าวที่เป็นฐานภาษีซึ่งต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งได้แก่ ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือ ค่าบริการมารวมคำนวณเป็นฐานภาษีเพื่อเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2(3) และมาตรา 91/5(3) แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อผู้บริหารโครงการแจ้งข้อมูลและนำส่งรายรับซึ่งเป็นเงินได้ที่ เกิดจากการลงทุนกระจายให้กับบริษัทรับประกันภัยในโครงการฯ เพื่อปฏิบัติตามสัญญา จึงไม่ใช่ฐานภาษีที่ บริษัทรับประกันภัยในโครงการฯ ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/5(3) แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '91/2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '91/5'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65'}]",บริษัท ก. ต้องนำรายได้จากการลงทุนมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีธุรกิจเฉพาะ ขณะที่บริษัทรับประกันภัยในโครงการฯ ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล "องค์กรความร่วมมือ ระหว่างประเทศ A ประจำประเทศไทย (องค์กรฯ) ขอหารือเกี่ยวกับ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีการออกหนังสือรับรอง การหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งภาษี เงินได้หัก ณ ที่จ่ายแทน ในนามของกรม ก. มีข้อเท็จจริงสรุปได้ ดังนี้ 1. รัฐบาลต่างประเทศ A. และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ได้มีข้อตกลงสนับสนุน “โครงการ B.” โดยมีกรม ก. เป็นหน่วยปฏิบัติงานโครงการ ในการจัดซื้อสินค้าและ การใช้บริการในประเทศไทยเพื่อใช้ในการดำเนินงานโครงการ กรมฯ เป็นผู้ทรงสิทธิ์ใช้ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 0 โดยใช้งบประมาณของรัฐบาลต่างประเทศ 2. กรมฯ ได้มีหนังสือมอบอำนาจให้องค์กรฯ เป็นผู้ดำเนินการในการจัดซื้อสินค้าและการใช้ บริการโดยใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 0 แทนกรมฯ โดยให้ผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ ออกใบกำกับภาษีระบุชื่อ “กรม ก. โดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ A” โดยมี ที่ตั้งเป็นที่อยู่ของกรมฯ เป็นผู้ซื้อหรือรับบริการ 3. องค์กรฯ จึงขอทราบว่าจะต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับผู้ขายสินค้า หรือผู้ให้บริการในนามขององค์กรฯ ซึ่งจะไม่ตรงกับชื่อและที่อยู่ในใบกำกับภาษี หรือ จะต้องดำเนินการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ถูกต้องได้อย่างไร","กรณีกรมฯ เป็นหน่วยปฏิบัติงาน ในการจัดซื้อสินค้าและ การใช้บริการในประเทศไทย เพื่อใช้ ในการดำเนินงานโครงการ โดยใช้งบประมาณของรัฐบาลต่างประเทศ โดยมอบอำนาจให้ องค์กรฯ เป็นผู้ดำเนินการในการจัดซื้อสินค้าและการใช้บริการโดยใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 0 แทนกรมฯ เมื่อมีการจ่ายเงินได้ให้กับผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ กรมฯ มีหน้าที่ ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในทันทีทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินตามมาตรา 50 (4) แห่งประมวล รัษฎากร หรือ มาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี ดังนั้น หากองค์กรฯ ประสงค์จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งภาษี เงินได้หัก ณ ที่จ่าย แทนกรมฯ ก็สามารถกระทำได้ตามมาตรา 797 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยจะต้องจัดทำสัญญาแต่งตั้งตัวแทนและ มอบอำนาจให้กระทำการแทนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ องค์กรฯ จะต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นรายการภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย ในนามของกรมฯ ซึ่งถือว่าเป็นผู้จ่ายเงินได้ และองค์กรฯ จะต้องส่งมอบสำเนา แบบ ภ.ง.ด.3 แบบ ภ.ง.ด.53 และหลักฐานต้นฉบับใบเสร็จรับเงินการรับชำระภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย ของกรมสรรพากร และรายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ให้กรมฯ ไว้ด้วย รายละเอียดรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ต้องมีรายการอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (ก) ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ ซึ่งเป็นผู้ถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่าย (ข) ชื่อ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรขององค์กรฯ โดยมีข้อความว่า “ในฐานะผู้กระทำ การแทนผู้จ่ายเงินได้ตามรายชื่อที่ระบุไว้ในเอกสารนี้” (ค) ชื่อ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้จ่ายเงิน (ง) ประเภทเงินได้ จำนวนเงินที่จ่าย จำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่หักไว้แต่ละรายการ (จ) ลายมือชื่อผู้ได้รับมอบอำนาจหรือผู้กระทำการแทนผู้จ่ายเงิน","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '69 ทวิ'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}, {'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '797'}]",องค์กรฯ ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในนามของกรมฯ. การประปา ฯ หารือ กรณีการหักกลบลบหนี้จากกรณีที่ ได้ว่าจ้างบริษัท ท. จำกัด (บริษัทฯ) ให้ก่อสร้างปรับปรุงขยายตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างโครงการปรับปรุงขยายการประปา (สัญญาฯ) เนื่องจากบริษัทฯ ได้ส่งมอบงาน งวดสุดท้าย เกินระยะเวลาที่สัญญาฯ กำหนดไว้การประปาฯ จึงขอทราบว่า กรณีบริษัทฯ ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้ายเกินระยะเวลาที่สัญญาฯ กำหนดไว้ และ การประปาฯ ได้เรียกเก็บค่าปรับโดยการหักกลบลบหนี้ระหว่างค่างานงวดสุดท้ายกับค่าปรับ การประปาฯ จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย อย่างไร,กรณี การประปาฯ ชำระค่างานงวดสุดท้ายให้แก่บริษัทฯ การประกาฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนเงินค่างานงวดสุดท้ายที่ต้องจ่าย ทั้งนี้ ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '69 ทวิ'}]",การประปาฯ ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนเงินค่างานงวดสุดท้ายที่ต้องจ่าย "นาย ก. เป็นพนักงานบริษัทเป็นเวลากว่า 25 ปี มีรายได้ประจำจากเงินเดือน แต่ได้รับ ค่านายหน้าเพียงครั้งเดียวในปี 2562 จากการแนะนำให้มีการซื้อที่ดินเป็นเงิน 7,444,200 บาท และถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้แล้ว แต่นาย ก. ไม่ได้ประกอบอาชีพนายหน้า หรือทำเป็นธุรกิจเพื่อเลี้ยงชีพ โดยได้รับค่านายหน้าจากการแนะนำให้มีการซื้อที่ดินเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว นาย ก. ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ถูกต้องหรือไม่",กรณีตามข้อเท็จจริงนาย ก. ได้รับค่านายหน้าจากการแนะนำให้มีการซื้อที่ดิน หากเป็นการกระทำเพียงครั้งเดียว มิได้กระทำเพื่อหาผลกำไรหรือทำเป็นปกติธุระ ย่อมไม่เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ตามมาตรา 77/1 (5) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/1'}]",นาย ก. ไม่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หน่วยงาน ก. เป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และตามกฎหมายจัดตั้งหน่วยงาน ในการประชุมคณะกรรมการ หน่วยงาน ก. ได้จ่ายค่าเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนให้แก่คณะกรรมการที่เข้าร่วมประชุมซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยหน่วยงาน ก. ได้คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ระบุปีภาษี ระบุจำนวนเงินที่จ่าย และภาษีที่หักและนำส่งไว้ 0.00 บาท หน่วยงาน ก. หารือว่า หน่วยงาน ก. จะต้องนำเงินได้พึงประเมินที่คณะกรรมการได้รับจากผู้จ่ายเงินได้รายอื่นมารวมคำนวณกับค่าเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนที่กองทุนฯ จ่ายให้คณะกรรมการด้วย หรือไม่,หน่วยงาน ก. เป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และตามกฎหมายจัดตั้งหน่วยงาน ค่าเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนที่หน่วยงาน ก. จ่ายให้คณะกรรมการที่เข้าร่วมประชุม เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร หน่วยงาน ก. ผู้จ่ายเงินได้ มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะเงินได้พึงประเมินส่วนที่หน่วยงาน ก. จ่ายให้แก่คณะกรรมการเท่านั้น ดังนั้น หน่วยงาน ก. ผู้จ่ายเงินได้ จึงไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินที่คณะกรรมการได้รับจากผู้จ่ายเงินได้รายอื่นมารวมคำนวณกับค่าเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนที่หน่วยงาน ก. จ่ายให้คณะกรรมการแต่อย่างใด,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50 ทวิ'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}]",หน่วยงาน ก. ไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินที่คณะกรรมการได้รับจากผู้จ่ายเงินได้รายอื่นมารวมคำนวณกับค่าเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนที่จ่ายให้คณะกรรมการแต่อย่างใด บริษัทมีสวัสดิการเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรของพนักงาน โดยมอบให้พนักงานที่มีบุตรกำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในประเทศ ระดับชั้นอนุบาลและไม่สูงกว่าระดับปริญญาตรี ให้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรตามอัตราที่บริษัทกำหนด โดยบริษัทได้หักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้ดังกล่าวของพนักงานเพื่อนำส่งสรรพากรมาโดยตลอด ทั้งนี้ เพื่อความชัดเจนว่าบริษัทได้ปฏิบัติถูกต้องแล้วหรือไม่ และเพื่อตอบข้อสงสัยแก่พนักงาน บริษัทจึงขอหารือว่าเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรที่บริษัทจ่ายให้แก่พนักงาน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่พนักงานจะต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ และบริษัทมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่,กรณีพนักงานได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรจากบริษัท ถือเป็นประโยชน์เพิ่มอันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร และถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร พนักงานต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น บริษัทในฐานะผู้จ่ายเงินได้จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}]",เงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรที่บริษัทจ่ายให้แก่พนักงาน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่พนักงานจะต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และบริษัทมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีการพิจารณาความสัมพันธ์ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันตามมาตรา 71 ทวิ วรรคสอง (2) แห่งประมวลรัษฎากร ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด” นั้น คำว่า “ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน” หมายความถึงผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มผู้ถือหุ้นหลายคนรวมกันที่ถือหุ้นทับซ้อนกัน,คำว่า “ผู้ถือหุ้น” หรือ “ผู้เป็นหุ้นส่วน” ตามความในมาตรา 71 ทวิ วรรคสอง (2) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น หมายความครอบคลุมทั้งผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนรายบุคคลและผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหลายบุคคลรวมกัน,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '71 ทวิ'}]",คำว่า 'ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน' หมายความครอบคลุมทั้งผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนรายบุคคลและผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหลายบุคคลรวมกัน "1. บริษัท ไก่กา ได้รับงบลงทุนและงบดำเนินการจำนวน 1,700,000,000 บาท ให้เบิก เป็นเงินยืมโดยมีเงื่อนไขการชำระคืนรัฐบาลภายใน 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2546 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญากู้ยืมเงินกับหน่วยงานของรัฐโดยมีกำหนดชำระคืนในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 หากบริษัทฯ ไม่ชำระคืนได้ครบตามจำนวนที่กำหนด ต้องจ่ายเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดชำระหนี้จนกว่าจะชำระหนี้ครบจำนวน 2. ต่อมาบริษัทฯ ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญากู้ยืมเงินได้และคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556 และวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ปัจจุบันบริษัทฯ ยังมียอดหนี้คงค้างที่ต้องชำระคืนแก่หน่วยงานของรัฐตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ และดอกเบี้ยผิดนัด 3. มติคณะรัฐมนตรี กำหนดให้ขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินยืมของบริษัทฯ ทั้งต้นเงินยืมและดอกเบี้ย รวมทั้งดอกเบี้ยผิดนัดจากสัญญาเดิมนับแต่ปี 2563 ออกไปอีก 25 ปี (2563 ถึง 2587) และเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระคืนเงินยืม ให้มีผลนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ดังนี้ 3.1 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2569 รวมระยะเวลา 7 ปี ให้พักชำระต้นเงินและดอกเบี้ยโดยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในช่วงพักชำระหนี้ดังกล่าว ให้บริษัทฯ เฉลี่ยทยอยชำระคืนแก่หน่วยงานของรัฐในช่วงชำระคืนต้นเงินยืม 3.2 ตั้งแต่ปี 2570 ถึงปี 2582 รวมระยะเวลา 13 ปี ให้ชำระคืนต้นเงินยืมพร้อมดอกเบี้ยให้หน่วยงานของรัฐ 3.3 ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในปี 2563 ใช้อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมที่ร้อยละ 3.78 ต่อปี และปรับใช้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond Yield) อายุ 20 ปี ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2563 เป็นอัตราดอกเบี้ยใหม่ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป 3.4 ตั้งแต่ปี 2583 ถึงปี 2587 รวมระยะเวลาทยอยชำระคืนดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญาเดิม บริษัทฯ ขอหารือว่าดอกเบี้ยจ่ายที่ได้รับการพักชำระหนี้ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2569 เป็นระยะเวลา 7 ปี ในทางบัญชีทยอยรับรู้รายการดอกเบี้ยจ่ายดังกล่าวตามรอบระยะเวลาบัญชีที่เกิดภาระดอกเบี้ยจ่ายนั้นเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2582 รวมระยะเวลา 20 ปี กล่าวคือ ปี 2563 ฝ่ายบัญชีได้บันทึกรายการดอกเบี้ยจ่ายเป็นรายจ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปีได้หรือไม่",กรมสรรพากรขอเรียนว่า การรับรู้รายได้หรือรายจ่ายตามหลักเกณฑ์สิทธินั้น มีหลักสำคัญ อยู่ว่า รายได้หรือรายจ่ายนั้นต้องมีความแน่นอนที่ผู้ประกอบการมีสิทธิจะได้รับชำระหรือมีหน้าที่จะต้องจ่ายอีกทั้งยังมีจำนวนที่แน่นอนที่สามารถลงบัญชีรับรู้ได้ ซึ่งถือเป็นการรับรู้รายได้รายจ่ายที่เป็นไปตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกรณีตามข้อเท็จจริงข้างต้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่29 ธันวาคม 2563 อนุมัติให้ปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทฯ โดยกำหนดให้ขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินยืมของบริษัทฯ ทั้งต้นเงินยืมและดอกเบี้ย รวมทั้งดอกเบี้ยผิดนัดจากสัญญาเดิมนับแต่ปี 2563 ออกไปอีก 25 ปี และเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระคืนเงินยืม ให้มีผลนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไปซึ่งมีผลให้บริษัทฯ ได้รับการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกล่าวคือ เมื่อบริษัทฯ ไม่ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ในช่วงระยะเวลาพักชำระหนี้ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2569 รวมระยะเวลา 7 ปีแต่เจ้าหนี้ยังคิดดอกเบี้ยต่อไปเรื่อย ๆ ในระหว่างระยะเวลาการพักชำระหนี้ แล้วมาจ่ายดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ภายในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2570 ถึงปี 2582 รวมระยะเวลา 13 ปี ซึ่งในช่วงระยะเวลาการพักชำระหนี้บริษัทฯ ยังมีภาระผูกพันที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ตามอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ในสัญญา ดังนั้นดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาการพักชำระหนี้ จึงถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65'}]",บริษัทฯ สามารถบันทึกรายการดอกเบี้ยจ่ายเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปีได้ "สำนักงานเป็นหน่วยงานของรัฐที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติมีภารกิจในการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ โดยสำนักงานได้รับงบประมาณหมวดอุดหนุนทั่วไปจากรัฐบาลเป็นรายปี และคณะกรรมการบริหารสำนักงานได้ออกระเบียบคณะกรรมการบริหารสำนักงาน โดยมีการกำหนดเรื่องของการจ่ายเงินเพื่อการสนับสนุนหรือดำเนินโครงการของสำนักงานว่าเป็นการจ่ายเงินสนับสนุนให้หน่วยราชการ องค์กรนิติบุคคล องค์กรที่ไม่ใช่นิติบุคคล ซึ่งภายใต้การจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนหรือการดำเนินการโครงการของสำนักงาน จะมีการจัดทำข้อตกลงเพื่อการปฏิบัติงานโครงการ (MOU) เพื่อให้เกิดการยอมรับและยืนยันในสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ไม่มีสภาพบังคับตามนัยของสัญญา โดยโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนมี 2 ประเภท ได้แก่ 1. โครงการที่สนับสนุนหน่วยงาน องค์กร ภาคีเครือข่าย ในระดับพื้นที่ ในการจ่ายเงินสนับสนุนโครงการจะแบ่งจ่ายตามงวดงาน งวดเงินที่ตกลงกันไว้ และการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับการสนับสนุนจะไม่มีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย แต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้รับการสนับสนุน 2. โครงการที่สนับสนุนการปฏิบัติงานวิชาการให้กับหน่วยงาน องค์กรภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน แบ่งการจ่ายเงินสนับสนุนเป็น 3 หมวด คือ หมวดค่าดำเนินการ หมวดค่าบริหารจัดการ และหมวดค่าตอบแทน ซึ่งในหมวดค่าตอบแทน สำนักงานจะหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายร้อยละ 1 จากหัวหน้าโครงการหรือผู้รับผิดชอบหลักเท่านั้นส่วนค่าตอบแทนที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลผู้รับเงิน สำนักงานไม่ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยจะให้ผู้รับเงินสนับสนุนโครงการ หรือผู้รับผิดชอบโครงการไปดำเนินหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายเอง สำนักงานขอหารือ ดังนี้ 1. การที่สำนักงานถือว่าการให้การสนับสนุนโครงการทั้งสองประเภทที่ได้ทำเป็นข้อตกลงเพื่อการปฏิบัติงานโครงการดังกล่าว ไม่ถือว่าเป็นสัญญาจ้างทำของ ตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถูกต้องแล้วหรือไม่ 2. การที่สำนักงานถือว่าเงินสนับสนุนโครงการทั้งสองประเภทไม่ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินสนับสนุนโครงการให้กับภาคีเครือข่ายถูกต้องแล้วหรือไม่ 3. การที่สำนักงานถือว่าข้อตกลงเพื่อการปฏิบัติงานโครงการทั้งสองประเภทไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามมาตรา 104 แห่งประมวลรัษฎากร ถูกต้องแล้วหรือไม่","1. กรณีสำนักงานทำข้อตกลงเพื่อการปฏิบัติงานโครงการทั้งสองประเภทกับผู้รับการสนับสนุน โดยข้อตกลงกำหนดให้ผู้รับการสนับสนุนดำเนินงานตามรายละเอียดโครงการให้ครบถ้วนสมบูรณ์และตรงตามกำหนดเวลา โดยสำนักงานจะจ่ายเงินให้ผู้รับการสนับสนุนแต่ละงวดก็ต่อเมื่อคณะกรรมการตรวจรับผลงาน ยอมรับผลงาน และเห็นชอบให้จ่ายเงินงวดต่อไป และสำนักงานมีสิทธิระงับงานทั้งหมด หรือเพียงบางส่วน หรือบอกเลิกข้อตกลงได้ หากพิจารณาเห็นว่าผู้รับการสนับสนุนมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหรือเงื่อนไขในข้อตกลง หรือผลการดำเนินงานไม่มีคุณภาพ ข้อตกลงดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2. การจ่ายเงินสนับสนุนแก่ผู้รับเงินสนับสนุน สำนักงานมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้ 2.1 กรณีผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดาและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เงินสนับสนุนโครงการที่ผู้รับเงินได้รับจากสำนักงานอาจเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร หรือเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ได้ โดยในกรณีที่เป็นเงินได้จากการรับทำงานให้ตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร สำนักงานมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร หรือกรณีที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้รับเงินต้องมีหลักฐานในการประกอบกิจการที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ได้ประกอบกิจการในรูปแบบของการทำธุรกิจและสามารถพิสูจน์รายจ่ายในการประกอบกิจการได้ เช่น ได้จัดตั้งเป็นสำนักงานในการประกอบกิจการโดยมีอาคารสำนักงานเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือเช่าจากบุคคลอื่นโดยมีหลักฐานสัญญาเช่า มีการลงทุนด้วยการจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ มีค่าใช้จ่ายสำนักงาน มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงานในการประกอบกิจการ มีค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ เป็นต้น โดยสำนักงานมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 50 (4) แห่งประมวลรัษฎากร 2.2 กรณีผู้รับเงินเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อสำนักงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด สำนักงานมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร 3. กรณีผู้รับเงินสนับสนุนได้รับเงินค่าจ้างตามสัญญาจ้างทำของดังกล่าวจากสำนักงานถือว่าผู้ได้รับเงินสนับสนุนได้มีการให้บริการแก่สำนักงาน เงินที่ได้รับดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นค่าตอบแทนจากการให้บริการ อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/1 (10) และมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร 4. เมื่อข้อตกลงเพื่อการปฏิบัติงานโครงการทั้งสองประเภทเข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของ ผู้รับจ้างจึงมีหน้าที่ต้องเสียอากรแสตมป์ ตามลักษณะตราสาร 4. จ้างทำของ แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ในทันทีที่ทำตราสารหรือภายใน 15 วัน นับแต่วันต้องปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามมาตรา 113 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถ้าฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นรัฐบาล จะได้รับยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับสัญญาจ้างทำของตามมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '587'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/1'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '113'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '121'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '69 ทวิ'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '104'}]",1. ไม่ถูกต้อง; 2. ไม่ถูกต้อง; 3. ต้องปิดอากรแสตมป์ตามมาตรา 104 แห่งประมวลรัษฎากร "นาย ก. และนาง ข. ได้จดทะเบียนสมรสเมื่อปี พ.ศ. 2519 ต่อมา ได้ร่วมกันซื้อที่ดินรวม 3 แปลง และได้ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนทั้ง 3 แปลง ให้กับนางสาว ค. ซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายปรากฏตามหนังสือสัญญาให้เฉพาะส่วนรวมสามโฉนด (ท.ด.14 ข) ในการทำสัญญาให้ที่ดินดังกล่าว ซึ่งนาย ก. และนาง ข. ผู้ให้ร่วม ได้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว แต่ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น สำนักงานที่ดิน ได้แจ้งว่าได้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเงินได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 42 (26) แห่งประมวลรัษฎากร เพียงจำนวนยี่สิบล้านบาท นาย ก. และนาง ข. ขอทราบว่า 1. นาย ก. และนาง ข. ได้นำเงินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน โดยไม่อาจแยกได้ว่าส่วนไหนเป็นเงินส่วนตัวของนาย ก. และนาง ข. ที่แต่ละคนทำมาหาได้ภายหลังการสมรสมาซื้อที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าว ที่ดินทั้ง 3 แปลงย่อมเป็นสินสมรส ตามมาตรา 1474 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่นาย ก. และนาง ข. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันและมีส่วนเท่ากัน ตามมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น ทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสก็ถือว่าต่างฝ่ายมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมกันคนละกึ่งหนึ่งเช่นกัน ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร 2. เมื่อนาย ก. และนาง ข. ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่นางสาว ค. บุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการยกให้นั้น กรมสรรพากรถือว่าเป็นการขาย ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น ผู้ยกให้ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ จึงถือว่าเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร โดยมีหน้าที่ต้องนำราคาอสังหาริมทรัพย์ตามราคาประเมินฯ มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และถือว่านาย ก. และนาง ข. ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้และแต่ละฝ่ายได้รับเงินได้พึงประเมินคนละส่วนเท่ากัน และสามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดแจ้ง เพราะฉะนั้น นาย ก. และนาง ข. จึงต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการยกให้ที่ดินดังกล่าว ตามมาตรา 57 ฉ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ถูกต้องหรือไม่ 3. เมื่อต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ละฝ่ายจึงมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเงินได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 42 (26) แห่งประมวลรัษฎากร ในส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาท มิใช่ได้รับยกเว้นเพียงยี่สิบล้านบาท ตามการคำนวณของสำนักงานที่ดินฯ ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร","1. กรณีนาย ก. และนางข. ได้จดทะเบียนสมรสเมื่อปี พ.ศ. 2519 เป็นสามีและภริยาชอบด้วยกฎหมาย ต่อมา ได้ร่วมกันซื้อที่ดิน รวมจำนวน 3 แปลง ที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าวจึงถือเป็นสินสมรส นาย ก. และนาง ข. ย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันและมีส่วนเท่ากัน ตามมาตรา 1474 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2. กรณีนาย ก. และนาง ข. ยกที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่นางสาว ค. บุตรชอบด้วยกฎหมาย กรณีดังกล่าวถือเป็นการขายตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร นาย ก. และนาง ข. ผู้โอนจึงถือเป็นผู้มีเงินได้ตามมาตรา 41 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยถือว่านาย ก. และนาง ข. ได้รับเงินได้พึงประเมินคนละส่วนเท่ากันจากการร่วมกันขายที่ดินทั้ง 3 แปลง ซึ่งมิใช่เป็นกรณีที่มีเงินได้พึงประเมินที่มิอาจแยกได้อย่างชัดแจ้งจึงต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินจากการขายที่ดินดังกล่าวเป็นจำนวนคนละกึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 56 และมาตรา 57 ฉ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย ผู้โอนได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น และให้ผู้โอนหักภาษีไว้ในอัตราร้อยละ 5 ของเงินได้ (ราคาประเมินฯ) เฉพาะส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ดังนั้น นาย ก. และนาง ข. แต่ละฝ่ายมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท ตามมาตรา 42 (26) แห่งประมวลรัษฎากร โดยนาย ก. และนาง ข. ผู้โอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ต้องหักภาษีเงินได้เพื่อนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 5 ของราคาประเมินฯ เฉพาะในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ตามมาตรา 50 (6) แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '1375'}, {'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '1474'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '42'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '56'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '57 ฉ'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '41 ทวิ'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '52'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}]",1. ที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นสินสมรสที่นาย ก. และนาง ข. ถือครองร่วมกันคนละกึ่งหนึ่ง 2. การยกที่ดินให้บุตรถือเป็นการขายที่นาย ก. และนาง ข. ต้องแยกยื่นภาษีคนละกึ่งหนึ่ง 3. แต่ละฝ่ายมีสิทธิได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้จากการโอนที่ดินให้บุตรในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท บริษัทได้ทำสัญญาให้บริการส่วนกลางสำหรับอาคารสำนักงานและอาคารร้านค้ากิจการให้บริการอื่น ๆ แก่ผู้เช่าหรือบุคคลผู้มาใช้บริการในอาคาร สัญญาดังกล่าวถือเป็นสัญญาที่อยู่ในบังคับต้องเสียอากรแสตมป์ตามหลักเกณฑ์และลักษณะแห่งตราสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์หรือไม่ อย่างไร,กรณีบริษัทได้ทำสัญญาให้บริการส่วนกลางสำหรับอาคารสำนักงานและอาคารร้านค้า กิจการให้บริการอื่น ๆ แก่ผู้เช่าหรือบุคคลผู้มาใช้บริการในอาคาร โดยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง เช่น บริการเครื่องปรับอากาศ ลิฟต์โดยสาร การทำความสะอาด พนักงานรักษาความปลอดภัย บริการด้านสาธารณูปโภค บริการที่จอดรถ สัญญาให้บริการส่วนกลางดังกล่าว ไม่เข้าลักษณะแห่งตราสารตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น จึงไม่อยู่ในบังคับต้องปิดอากรแสตมป์ ตามมาตรา 104 แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '104'}]",บริษัทไม่ต้องเสียอากรแสตมป์สำหรับสัญญาดังกล่าว บริษัท ก. ได้ยื่นแบบ ภ.พ.30 ระบุขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงินสด โดยกรรมการบริษัท ก. ลงลายมือชื่อเป็นลายเซ็นในช่องคำรับรองข้อความที่แสดงในแบบแสดงรายการเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ในช่องการขอคืนภาษี ได้ลงลายมือชื่อเป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษ ซึ่งแตกต่างกัน การลงลายมือชื่อดังกล่าวถือว่าเป็นการลงลายมือชื่อ ที่ชอบด้วยประมวลรัษฎากรหรือไม่,มาตรา 7 แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติว่า “บรรดารายการ รายงาน หรือเอกสารอื่นซึ่งบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต้องทำยื่นนั้น ให้กรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้จัดการเป็นผู้ ลงลายมือชื่อ” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการลงลายมือชื่อตลอดจนวิธีการพิสูจน์ลายมือชื่อของผู้เป็นเจ้าของลายมือชื่อไว้เป็นการเฉพาะ ดังนั้น หากบริษัท ก. สามารถพิสูจน์ได้ว่าการลงลายมือชื่อของกรรมการบริษัท ก. ในแบบ ภ.พ.30 นั้น เป็นการลงลายมือชื่อของกรรมการบริษัท ก. ที่เป็นบุคคลคนเดียวกัน ก็ย่อมถือได้ว่า การลงลายมือชื่อนั้นเป็นการลงลายมือชื่อตามมาตรา 7 แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '7'}]",การลงลายมือชื่อถือว่าถูกต้องตามมาตรา 7 แห่งประมวลรัษฎากร หากบริษัท ก. สามารถพิสูจน์ได้ว่าลายมือชื่อทั้งสองเป็นของกรรมการคนเดียวกัน สำนักงาน ก. ขอความอนุเคราะห์ข้อมูล หลักเกณฑ์ ตลอดจนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับ การพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของนิติบุคคลที่ถือว่าเป็นบริษัทในเครือเดียวกันตามกฎหมาย ภาษีอากร,"กรณีหลักเกณฑ์แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนิติบุคคลที่ถือเป็นบริษัทในเครือ เดียวกันตามกฎหมายภาษีอากร นั้น สามารถพิจารณาได้ ดังนี้ 1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ตามนิยามมาตรา 39 แห่งประมวล รัษฎากร บัญญัติว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” หมายความว่า บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปซึ่งมีความสัมพันธ์กันในลักษณะดังต่อไปนี้ (1) ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนเกินกว่ากึ่งจำนวนผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่ง เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนเกินกว่ากึ่งจำนวนผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่ง (2) ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งมีมูลค่าเกินกว่า ร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งมีมูลค่าเกินกว่า ร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด (3) นิติบุคคลหนึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุน ทั้งหมด หรือ (4) บุคคลเกินกว่ากึ่งจำนวนกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการในนิติบุคคลหนึ่ง เป็นกรรมการหรือเป็นผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการในอีกนิติบุคคลหนึ่ง 2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน ตามมาตรา 71 ทวิ วรรคสอง บัญญัติว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์ในลักษณะ ดังต่อไปนี้ (1) นิติบุคคลหนึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด (2) ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือ โดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่ง ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด หรือ (3) นิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านทุน การจัดการ หรือการควบคุม ในลักษณะที่นิติบุคคลหนึ่งไม่อาจดำเนินการโดยอิสระจากอีกนิติบุคคลหนึ่งตามที่กำหนด โดยกฎกระทรวง” ทั้งนี้ สำนักงาน ก. สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากตัวอย่างการพิจารณาลักษณะ ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน ตามเอกสารคำอธิบายประกอบการ กรอกแบบรายงานประจำปี สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันตาม มาตรา 71 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร (Disclosure Form)","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '71 ทวิ'}]",บริษัทในเครือเดียวกันต้องมีความสัมพันธ์กันตามมาตรา 39 และ 71 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร บริษัท ก. (บริษัทฯ) ได้หารือเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการนำเข้าสินค้าที่ใช้ชื่อ C. มีข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า บริษัทฯ ได้นำเข้าสินค้าชื่อว่า “C.” เพื่อใช้ทดแทน Choline Chloride ในอาหารสัตว์ โดยมีสรรพคุณใช้เพื่อช่วยในการทำงานของตับ และป้องกันการรั่วไหลของเอนไซม์ transaminases ในอาหารสัตว์ที่ขาด Choline แต่เนื่องจาก ข. ไม่เป็นอาหารสัตว์ ที่จะต้องขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ แต่ต้องขออนุญาตนำเข้าจากกรมปศุสัตว์ ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้รับใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ ตามใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ จึงขอหารือว่า การนำเข้าสินค้าดังกล่าว เป็นการนำเข้าอาหารสัตว์ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1) (ง) และมาตรา 81 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่,กรณีบริษัทฯ เป็นผู้รับอนุญาตนำเข้าซึ่งอาหารสัตว์จากกรมปศุสัตว์ตามใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ (แบบ บ.น.ส.1) และประสงค์จะนำเข้าสินค้าชื่อ C. ซึ่งกรมปศุสัตว์แจ้งว่าสินค้าดังกล่าวได้รับยกเว้นการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ หากสินค้าดังกล่าวได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่าเป็นอาหารสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจึงได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (2) (ก) ประกอบกับมาตรา 81 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '81'}]",การนำเข้าสินค้าชื่อ C. ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (2) (ก) และมาตรา 81 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร "สภา ก. เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติวิชาชีพ ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้ สภา ก. มีฐานะเป็นนิติบุคคล สภา ก. ขอหารือ ดังนี้ 1. สภา ก. ต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร ที่จะต้องมีหน้าที่เสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือไม่ อย่างไร 2. สภา ก. ถือเป็นองค์การสถานสาธารณกุศลตามประมวลรัษฎากร บุคคลธรรมดาที่บริจาค เงินหรือทรัพย์สินให้แก่สภา ก. มีสิทธินำหลักฐานการบริจาคมาหักลดหย่อนตามประมวล รัษฎากรได้หรือไม่ อย่างไร","1. กรณีสภา ก. มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพ ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคลแต่อย่างใด 2. สภา ก. ไม่ได้รับการประกาศให้เป็นองค์การสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินและทรัพย์สินให้แก่สภา ก. จึงไม่มีสิทธิ นำหลักฐานการบริจาคมาหักลดหย่อนตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '47'}]",1. สภา ก. ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 2. บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินและทรัพย์สินให้แก่สภา ก. ไม่มีสิทธิในการนำหลักฐานการบริจาคมาหักลดหย่อนตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากร "1. นาง ก. ปัจจุบันมีสามีเป็นชาวต่างชาติชื่อ Mr.A แต่มิได้จดทะเบียนสมรส 2. กรมสรรพากรมีข้อมูล Exchange of Information จากสรรพากรต่างประเทศ (ประเทศ B) กรณีนาง ก. ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยได้รับเงินของขวัญ (Gift) ในฐานะ แฟนสาวจาก Mr.A คิดเป็นเงินบาทไทยตามอัตราซื้อถัวเฉลี่ยเงินโอนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดังนี้ 2.1 จำนวน 1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 2.2 จำนวน 8 แสนบาท เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2561 2.3 จำนวน 7 แสนบาท เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2562 3. นาง ก. แจ้งว่าได้รับเงินรายเดือนจาก Mr.A ซึ่งเป็นสามีที่มิได้จดทะเบียนสมรส เพื่อใช้สอยในครอบครัวประมาณเดือนละ 35,000 บาท โดยสําหรับปี พ.ศ. 2558 - 2559 ได้รับเงินจากสามีประมาณเดือนละ 60,000 บาท อย่างไรก็ดี ไม่เคยได้รับเงินก้อนใหญ่ แต่อย่างใด นาง ก. เดินทางไปประเทศ B ปีละสองเดือนครึ่ง และจะกลับมาอยู่ใน ประเทศไทย 4. เงินที่นาง ก. ได้รับในกรณีดังกล่าว เป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42 (28) แห่ง ประมวลรัษฎากรหรือไม่","1. กรณีนาง ก. ได้รับเงินได้ตาม 2.1 2.2 และ 2.3 ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร นาง ก. ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ จะต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา เว้นแต่กรณีดังกล่าวเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นตามบทบัญญัติ แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้ก็จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา 2. กรณีที่นาง ก. ได้แจ้งข้อเท็จจริงว่า เงินได้ตาม 2.1 2.2 และ 2.3 ที่ได้รับนั้น เป็นเงิน ค่าใช้สอยภายในครอบครัวที่ได้รับจาก Mr.A ซึ่งเป็นสามีโดยมิได้จดทะเบียนสมรสของตน แต่เนื่องจากมาตรา 42 (27) แห่งประมวลรัษฎากร แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2558 กำหนดให้เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ หรือจากการให้โดยเสน่หาจากคู่สมรสเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นเฉพาะเงินได้ในส่วน ที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น ซึ่งการได้รับยกเว้นในกรณีนี้ต้องเป็นกรณีคู่สมรส โดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ เป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนเป็นสามีภริยาถูกต้องตามกฎหมาย เงินได้ที่นาง ก. ได้รับดังกล่าว จึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42 (27) แห่งประมวลรัษฎากร แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2558 3. อย่างไรก็ดี ในบทบัญญัติมาตรา 42 (28) แห่งประมวลรัษฎากร แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2558 ได้กำหนดให้เงินได้ ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตาม โอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีจากบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินสิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น ในกรณีนี้จึงต้องพิจารณาว่าเงินได้ที่นาง ก. ได้รับจาก Mr.A ซึ่งเป็นบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้อง ตามกฎหมายนั้น เป็นเงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือไม่ โดยอาจ พิจารณาได้ 3 ประเด็น ดังนี้ 3.1 กรณีนาง ก. ได้รับเงินจาก Mr.A โดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า เป็นเงิน ค่าใช้สอย ในครอบครัว กรณีดังกล่าวจึงต้องพิจารณาในประเด็นที่ว่าเงินได้นั้นเป็นเงินได้ที่ได้รับจาก การอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือไม่ และเนื่องจากประมวลรัษฎากรซึ่งเป็น กฎหมายเฉพาะ มิได้กำหนดความหมายของ “การอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา” ไว้ ประกอบกับบทบัญญัติมาตรา 535 (3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็น บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ได้บัญญัติเกี่ยวกับกรณีการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยานั้น ท่านว่าจะถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ ก็มิได้ให้ความหมายของ “การให้โดยหน้าที่ ธรรมจรรยา” ไว้โดยเฉพาะแต่อย่างใด ดังนั้น การตีความในเรื่องนี้อาจพิจารณาตาม ความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งสรุปได้ว่า “การ อุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา” เป็นกิจหรือการประพฤติถูกธรรมที่จะต้องทำ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล หรืออุดหนุน 3.2 เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างนาง ก. และ Mr.A ซึ่งนาง ก. กล่าวอ้างว่า Mr.A เป็นสามีโดยมิได้จดทะเบียนสมรสของตน กรณีจึงมิใช่คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย การอยู่กินฉันสามีภริยาของคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายจึงเป็นไปตาม หลักพฤตินัย ซึ่งการพิสูจน์ให้ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดเป็นไปได้ยาก เพราะเป็นเรื่อง การใช้ชีวิตร่วมกันในครัวเรือน และจะต้องพิจารณาเป็นรายกรณี อย่างไรก็ดี ปัจจุบันได้มี ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของ ผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561 วางหลักเกณฑ์ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงคู่สมรส จะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน โดยประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติฉบับดังกล่าว ได้กำหนดขยายความให้คู่สมรสรวมถึงผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยไม่จดทะเบียน สมรสด้วย ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากกฎหมายภาษีอากรที่วางแนวทางปฏิบัติของกรณี คู่สมรสว่าต้องเป็นสามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ ประกาศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติฉบับดังกล่าวได้กำหนดลักษณะ ของบุคคลซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกับเจ้าพนักงานของรัฐ ให้ถือเป็นคู่สมรสไว้ดังนี้ (1) ได้ทำพิธีมงคลสมรสหรือพิธีอื่นใดในทำนองเดียวกันกับเจ้าพนักงานของรัฐ โดยมี บุคคลในครอบครัวหรือบุคคลภายนอกรับทราบว่าเป็นการอยู่กินเป็นสามีภริยากันตาม ประเพณี (2) เจ้าพนักงานของรัฐแสดงให้ปรากฏว่ามีสถานะเป็นสามีภริยากัน หรือมีพฤติการณ์ เป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปว่ามีสถานะดังกล่าว (3) ให้หมายความรวมถึงบุคคลซึ่งจดทะเบียนสมรสกับเจ้าพนักงานของรัฐและต่อมา ได้หย่าขาดจากกันตามกฎหมาย แต่ยังแสดงให้ปรากฏหรือมีพฤติการณ์ซึ่งเป็นที่รับรู้ของ สังคมทั่วไปว่ามีสถานะเป็นสามีหรือภริยากัน ดังนั้น ในชั้นนี้ หากจะให้พิจารณาในเรื่องของความสัมพันธ์ว่าบุคคลซึ่งเป็นสามีภริยากัน โดยมิได้จดทะเบียนสมรสจะมีลักษณะอย่างไร ก็อาจนำแนวทางตามประกาศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติฉบับดังกล่าวมาประกอบการ พิจารณาได้ 3.3 การพิจารณาภาระหน้าที่ของสามีภริยาซึ่งจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 3 ความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา มาตรา 1461 ได้ กำหนดว่า “มาตรา 1461 สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน” จาก บทบัญญัติดังกล่าวเมื่อนำมาพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยา ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่มีความสัมพันธ์ในลักษณะเช่นเดียวกับคู่สามีภริยาที่จดทะเบียน สมรสถูกต้องตามกฎหมาย ก็ย่อมต้องมีหน้าที่หรือมีความประสงค์ที่จะต้องช่วยเหลือ อุปการะกันตามสมควรเช่นเดียวกัน 4. จากกรณีที่กล่าวใน 3.1 3.2 และ 3.3 ข้างต้น จึงพิจารณาได้ว่า บุคคลสองคนซึ่งมี ความสัมพันธ์กันฉันสามีภรรยาในลักษณะที่เป็นคู่สมรสซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย หากจะมี “การอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา” ซึ่งหมายถึง เป็นกิจหรือการประพฤติถูกธรรม ที่จะต้องทำเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล หรืออุดหนุน ก็ย่อมมีความเป็นไปได้ โดยถือเป็นการ ช่วยเหลืออุปการะกันตามสมควรในทำนองเดียวกันกับสามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้อง ตามกฎหมาย ซึ่งอาจต้องพิจารณาเป็นรายกรณีและใช้ความระมัดระวังและรอบคอบในการ พิจารณา ดังนั้น ในกรณีของนาง ก. ซึ่งอ้างว่าได้รับเงินได้เพื่อเป็นค่าใช้สอยในครอบครัวจาก Mr.A ซึ่งเป็นสามีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากปรากฏข้อเท็จจริงและพฤติการณ์อันเชื่อได้ว่า นาง ก. และ Mr.A มีความสัมพันธ์ในลักษณะของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้ จดทะเบียนสมรส อันอาจเทียงเคียงได้กับประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติฉบับดังกล่าว กล่าวคือ ได้ทำพิธีมงคลสมรสหรือพิธีอื่นใดในทำนองเดียวกัน โดยมีบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลภายนอกรับทราบว่าเป็นการอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ตามประเพณี หรือ Mr.A มีการแสดงให้ปรากฏว่ามีสถานะเป็นสามีภริยากัน หรือมี พฤติการณ์เป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปว่ามีสถานะดังกล่าว กรณีเงินได้ที่นาง ก. ได้รับเพื่อเป็น ค่าใช้สอยในครัวเรือนจาก Mr.A ซึ่งเป็นการช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามสมควรของ ผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสดังกล่าว ย่อมเข้าลักษณะเป็นเงินได้ จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา ตามมาตรา 42 (28) แห่งประมวลรัษฎากร แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2558","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '42'}]",เงินที่นาง ก. ได้รับจาก Mr.A อาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากมีการพิสูจน์ความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง "บริษัท ก. (บริษัทฯ) ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตยางตามบัตรส่งเสริม การลงทุน โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างเริ่มทดลองการผลิตยางดังกล่าว โดยจำเป็นต้องส่งยาง ที่ผลิตภายใต้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมไปทดสอบคุณภาพในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ จะส่งให้ R&D Center ของบริษัท A. ในต่างประเทศ รวมถึงศูนย์ทดสอบของหน่วยงาน ท้องถิ่น ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้าที่กำหนดในแต่ละประเทศ เพื่อรับรองว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยได้มาตรฐานตามที่บริษัทแม่กำหนด โดยการส่งออก ไปทดสอบมี 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. ส่งออกยางไปทดสอบในต่างประเทศ แล้วนำกลับเข้ามาในประเทศไทยภายใน 1 ปี โดยของนั้นยังคงสภาพเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะใด ๆ 2. ส่งออกยางไปทดสอบในต่างประเทศ แล้วนำกลับเข้ามาในประเทศไทยภายใน 1 ปี โดยของนั้นจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะไปจากเดิม เนื่องจากถูกทำลายระหว่างขั้นตอน การ ทดสอบ 3. ส่งออกยางไปทดสอบในต่างประเทศ โดยมิได้นำของนั้นกลับเข้ามาในประเทศ เนื่องจากถูกทำลายจนสิ้นสภาพไม่อาจนำกลับเข้ามาในประเทศได้อีก จึงขอหารือกรมสรรพากร ดังนี้ 1. กรณีดังกล่าวข้างต้น บริษัทฯ จะต้องมีการรับรู้รายได้หรือไม่ อย่างไร ตามมาตรา 70 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร 2. เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานและใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาการใช้สิทธิประโยชน์ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการที่ได้รับการส่งเสริมได้อย่างถูกต้องตามประมวล รัษฎากร สำนักงานฯ ขอหารือว่า ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการอย่างไร จึงจะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 70 ตรี วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร","กรณีที่บริษัทฯ ส่งยางที่ผลิตภายใต้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมไปทดสอบคุณภาพ ในต่างประเทศ เพื่อรับรองว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยได้มาตรฐานตามที่บริษัทแม่กำหนด หากการส่งสินค้าออกไปต่างประเทศดังกล่าวเป็นการส่งให้แก่หรือตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่ สาขา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ตัวการ ตัวแทน นายจ้าง หรือลูกจ้าง สามารถพิจารณาภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ดังนี้ 1. กรณีที่เป็นการส่งสินค้าไปเป็นตัวอย่างหรือเพื่อการวิจัยโดยเฉพาะ การส่งสินค้าไปนั้น ไม่เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าในประเทศไทยตามมาตรา 70 ตรี (1) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงไม่ต้องนำมูลค่าของสินค้าที่ส่งไปเป็นตัวอย่างหรือเพื่อการวิจัยโดยเฉพาะนั้นมา รวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีที่เป็นการส่งออกสินค้าไปนอกราชอาณาจักรแล้วส่งกลับคืนเข้ามาให้ผู้ส่ง ในราชอาณาจักรภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร โดยสินค้านั้น ยังคงสภาพเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะใด ๆ ซึ่งไม่ถือเป็นการขายสินค้า ในประเทศไทยตามมาตรา 70 ตรี (4) แห่งประมวลรัษฎากร หากบริษัทฯ ได้รับรู้รายได้จาก การขายสินค้าตั้งแต่วันส่งออกไว้แล้ว บริษัทฯ สามารถปรับปรุงยอดขายตามแบบแสดง รายการภาษีที่ได้ยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งออกนั้น และนำสินค้า ที่ส่งกลับคืนดังกล่าวมาคำนวณราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65 ทวิ'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '70 ตรี'}]",1. การส่งยางไปทดสอบในต่างประเทศตามคำสั่งสำนักงานใหญ่หรือบริษัทในเครือ ไม่ถือเป็นการขายในประเทศไทย ดังนั้นไม่ต้องนำมูลค่ามาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในกรณีตัวอย่างหรือวิจัย. 2. บริษัทฯ ไม่ต้องรับรู้รายได้จากการส่งยางไปทดสอบในกรณีที่ส่งกลับในสภาพเดิม แต่ต้องพิจารณาในกรณีที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือต้องถูกทำลาย "1. นางสาว ก. และพวก ได้แก่ นาง ข. นาย ค. นาย ง. นาย จ. และนางสาว ฉ. เป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินจำนวน 4 แปลง ซึ่งมีการบรรยายส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ของ แต่ละคนไว้ในสารบัญจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดิน 2. นางสาว ก. และพวก มีความประสงค์จะให้เช่าที่ดินทั้ง 4 แปลง โดยจะทำสัญญาเช่า แยกกันคนละฉบับตามสัดส่วนที่ตนถือครองกรรมสิทธิ์ และให้ผู้เช่าหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จากเงินค่าเช่าและค่าเช่ารับล่วงหน้าที่ต้องจ่ายให้แต่ละคนตามสัญญาเช่า ซึ่งนางสาว ก. และพวก จะนำเงินที่แต่ละคนได้รับดังกล่าวไปรวมเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาในนามของแต่ละบุคคลแยกต่างหากจากกัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา กับผู้เช่าที่ดิน 3. นางสาว ก. เข้าใจว่า นางสาว ก. และพวก สามารถนำเงินค่าเช่าและค่าเช่ารับล่วงหน้าที่ แต่ละคนได้รับไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของตนเองได้ ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้เช่าจะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย พร้อมทั้ง ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่นางสาว ก. และพวก เป็นรายบุคคล โดย นางสาว ก. และพวก สามารถนำเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย และนำส่งไว้ดังกล่าวไปถือเป็น เครดิตในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของแต่ละคนได้ ความเข้าใจดังกล่าวถูกต้อง หรือไม่ อย่างไร","1. การบรรยายส่วนของที่ดินที่จะถือว่าแต่ละคนเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามส่วนของ แต่ละคนแยกต่างหากจากกันได้นั้น จะต้องมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ส่วนของใครอยู่ ตรงไหน หรือบุคคลใดถือครองที่ดินส่วนใดหรือแปลงใดไว้เป็นการเฉพาะ มีกรรมสิทธิ์ เป็นจำนวนเนื้อที่คนละเท่าใด อยู่ตรงไหนตามรูปแผนที่แสดงแนวเขตของแต่ละส่วนอย่าง ชัดแจ้ง 2. กรณีนางสาว ก. และพวก ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินจำนวน 4 แปลง โดยบรรยาย ส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ของแต่ละคนไว้ในสารบัญจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินแต่ละฉบับ ซึ่งการบรรยายส่วนดังกล่าวไม่ได้มีการกำหนดแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่า ส่วนของใครอยู่ ตรงไหน หรือบุคคลใดถือครองที่ดินส่วนใดหรือแปลงใดไว้เป็นการเฉพาะ ดังนั้น ที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นทรัพย์สินของบุคคลหลายคนรวมกัน ตามมาตรา 1356 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การจดบรรยายส่วนของนางสาว ก. และพวก ในสารบัญจดทะเบียนท้ายโฉนดที่ดินจึงเป็นเพียงการกำหนดความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ในระหว่างผู้เป็นเจ้าของรวมด้วยกันอันเป็นการยกเว้นบทสันนิษฐานของมาตรา 1357 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กำหนดให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกัน มีส่วนเท่ากันเท่านั้น หาได้เป็นผลทำให้นางสาว ก. และพวก พ้นสภาพจากการ เป็นเจ้าของรวมไม่ 3. กรณีนางสาว ก. และพวก นำที่ดินตาม 1. ออกให้เช่า เงินค่าเช่าและเงินค่าเช่า รับล่วงหน้าที่นางสาว ก. และพวก ได้รับย่อมเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) แห่งประมวลรัษฎากร นางสาว ก. และพวก ต้องนำเงินได้พึงประเมินดังกล่าว มายื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามห้างหุ้นส่วนสามัญ (ห้างฯ) ตามมาตรา 56 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร โดยห้างฯ จะต้องนำเงินได้ทั้งจำนวน มายื่นแบบแสดง รายการและชำระภาษีเงินได้ในปีที่ได้รับเงินนั้น หรือจะขอเฉลี่ยเงินค่าเช่า รับล่วงหน้าตามส่วนแห่งจำนวนปีของอายุการเช่าและชำระภาษีเงินได้จากเงินค่าเช่ารับ ล่วงหน้าที่เฉลี่ยเป็นรายปี ตามจำนวนปีของอายุการเช่าของทุกปีที่เฉลี่ย เป็นการล่วงหน้า ให้เสร็จสิ้นไปภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินนั้นตามประกาศ กระทรวงการคลัง เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ของผู้มีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สินที่ได้รับ เงินกินเปล่า เงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินค่าปลูกสร้าง เงินค่าซ่อมแซม หรือค่าแห่งอาคารหรือโรงเรือน ที่ได้รับกรรมสิทธิ์หรือเงินได้อื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน ลงวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ก็ได้ แต่นางสาว ก. และพวก ไม่อาจแยกยื่นแบบแสดงรายการในนามแต่ละบุคคลได้","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '56'}, {'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '1357'}, {'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '1356'}]",นางสาว ก. และพวก ไม่สามารถแยกยื่นแบบแสดงรายการในนามแต่ละบุคคลได้ บริษัท ก. (บริษัทฯ) ประกอบกิจการ ซื้อมาขายไปเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ นำหรือสั่งยาแผนปัจจุบันในราชอาณาจักร ขายส่งยาแผนปัจจุบัน รวมถึงนำเข้าและขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ เนื่องจากบริษัทฯ ได้นําเข้าผลิตภัณฑ์ชื่อว่า “Z.” เพื่อใช้ทดแทน วิตามินซีสังเคราะห์ในอาหารสัตว์ โดยมีสรรพคุณใช้เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันของสัตว์ปีก ทําให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้นโดยการปรับปรุงการเพิ่มจํานวนของเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยเสริมฤทธิ์ของไลโซไวม์ในการยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคในซีรัมต่อสู้กับความเครียด ปกป้องเซลล์ร่างกายจากความเครียดจากการผลิตโดยทําหน้าที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระของเซลล์ มีประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิของร่างกายในขณะที่เกิดความเครียดจากความร้อน นอกจากนี้ยังควบคุมระดับคอร์ติโคสเตอโรน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากความเครียดในสัตว์ปีก แต่เนื่องจาก Z. ไม่ได้เป็นอาหารที่จะต้องขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาหารสัตว์ แต่ต้องขออนุญาตนําเข้าจากกรมปศุสัตว์ ซึ่งบริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้นําเข้าแล้ว กรณีการนำเข้าสินค้าดังกล่าว บริษัทฯ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่,กรณีบริษัทฯ เป็นผู้รับอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะจากกรมปศุสัตว์ตามใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ (แบบ บ.น.ส.1) โดยบริษัทฯ ได้นําเข้าผลิตภัณฑ์ Z. ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์กับกรมปศุสัตว์ แต่ต้องขออนุญาตนําเข้าจากกรมปศุสัตว์ ดังนั้น หากสินค้าดังกล่าวได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่าเป็นอาหารสัตว์ตามกฎหมาย ว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ การนำเข้าสินค้าดังกล่าวย่อมได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (1) (ง) และมาตรา 81 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '81'}]",บริษัทฯ ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าสินค้าดังกล่าว กรณีที่มีการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ (จากรัฐบาล) ผู้รับใบอนุญาตจัดหา และค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จะเป็นผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และเก็บรักษาไว้ในถังเก็บรักษา ภายใต้การบริหารจัดการของผู้รับใบอนุญาตเก็บรักษาก๊าซธรรมชาติและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซ (A) โดยปริมาณที่ Shipper แต่ละรายจัดหาจะถูกผสมรวมกันภายในถังเก็บรักษา ก่อนที่จะถูกแปรสภาพเป็นก๊าซธรรมชาติเข้าสู่ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อส่งไปให้กับผู้ใช้ก๊าซของ Shipper แต่ละราย โดยในบางกรณี Shipper อาจมีการเรียก LNG เกินกว่าปริมาณที่ตนเองนำเข้า ซึ่งทางปฏิบัติสามารถจะใช้ LNG ส่วนของ Shipper รายอื่นได้ ภายใต้กระบวนการยืมและคืนภายในถังเก็บรักษา ดังนั้น การยืมและการคืน LNG ระหว่าง Shipper แต่ละรายจะต้องเสียภาษีหรือไม่,"1. Shipper แต่ละรายเป็นผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติเหลวและนำมาเก็บผสมรวมกันไว้ภายในถังเก็บรักษาภายใต้การบริหารจัดการของผู้รับใบอนุญาตเก็บรักษาก๊าซธรรมชาติและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซ โดย Shipper ที่ใช้บริการของ A จะมีการทำข้อตกลงฯ ระหว่าง Shipper กับ A ซึ่งตามข้อตกลงฯ ได้กำหนดเกี่ยวกับการยืมและการคืนก๊าซธรรมชาติเหลวระหว่าง Shipper ซึ่งการยืมหรือการคืนก๊าซธรรมชาติเหลวระหว่าง Shipper จะเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างผู้ให้ยืมและผู้ยืม โดยที่ A จะไม่มีความรับผิดใด ๆ เกี่ยวกับปริมาณ LNG นอกเหนือไปจากที่ระบุไว้ในสัญญาให้บริการสถานีแอลเอ็นจี และ Shipper ตกลงที่จะยืม หรือให้ยืมด้วยความเสี่ยงของตนเองและจะไม่มีการไล่เบี้ยกับ A ผู้ให้บริการหากเกิดความสูญเสียใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการยืมหรือให้ยืมปริมาณ LNG 2. เมื่อการยืมหรือให้ยืมปริมาณ LNG มีผลสมบูรณ์แล้ว ปริมาณ LNG ที่ยืมหรือให้ยืมจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ยืม และผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบต่อผู้ให้ยืมในการคืนปริมาณ LNG ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดคุณภาพของ LNG ซึ่งผู้ยืมและผู้ให้ยืมจะต้องร่วมกันแจ้งต่อ A ถึงข้อตกลงในการยืมหรือให้ยืม เพื่อให้ A จัดเก็บ LNG ที่ยืมในชื่อของผู้ยืม โดย LNG ที่ยืมหรือคืนจะยังคงอยู่ในสภาพของเหลว และเมื่อได้รับแจ้งจากผู้ยืม A จึงจะส่ง LNG ที่แปลงสภาพเป็นก๊าซไปให้แก่ผู้ยืม 3. กรณีการยืมและการคืน LNG ระหว่าง Shipper ผู้ใช้บริการของ A เมื่อการยืมหรือให้ยืม ตามข้อตกลงฯ มีผลสมบูรณ์แล้ว กรรมสิทธิ์ใน LNG ที่ยืมซึ่งอยู่ในสภาพของเหลวจะตกเป็นของผู้ยืม มิใช่เป็นเพียงการโอนการครอบครองเท่านั้น จึงเข้าลักษณะเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา 650 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร ที่อยู่ในบังคับ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และโดยที่ในการยืมหรือการคืน ก๊าซธรรมชาติดังกล่าว ผู้ยืมและผู้ให้ยืมสามารถทราบปริมาณของก๊าซธรรมชาติที่ส่งมอบได้แน่นอน ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจึงควรพิจารณาในทำนองเดียวกันกับกรณีการขายน้ำมันดิบหรือก๊าซ LPG โดยบรรจุใส่ตู้น้ำมันทางรถไฟหรือโดยการบรรจุใส่ถังรถบรรทุก ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อมีการส่งมอบสินค้าดังกล่าวตามมาตรา 78 (1) แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '650'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/1'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '78'}]",การยืม LNG ระหว่าง Shipper จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อมีการส่งมอบ LNG หน่วยงาน A ขอหารือเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับค่าเบี้ยประชุมที่จ่ายให้แก่กรรมการ อนุกรรมการ หรือผู้ทำงาน ตามระเบียบคณะกรรมการ ว่าต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้หรือไม่ อย่างไร โดยหน่วยงาน A เห็นว่า ค่าเบี้ยประชุมที่หน่วยงาน A ได้จ่ายให้แก่ กรรมการ อนุกรรมการ หรือผู้ทำงานนั้นเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (7) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากหน่วยงาน A เป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเช่นเดียวกับส่วนราชการทั่วไป ดังนั้น หน่วยงาน A จึงไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับค่าเบี้ยประชุมดังกล่าวแต่อย่างใด,เนื่องจากหน่วยงาน A ไม่มีฐานะเป็นส่วนราชการ ด้วยเหตุนี้ ค่าเบี้ยประชุมที่หน่วยงาน A จ่ายให้แก่คณะกรรมการจึงไม่ใช่เบี้ยประชุมที่ทางราชการเป็นผู้จ่าย ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (7) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น ค่าเบี้ยประชุมดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร หน่วยงาน A ในฐานะผู้จ่ายเงินได้เงินได้พึงประเมินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับค่าเบี้ยประชุมดังกล่าว ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '42'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}]",หน่วยงาน A มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับค่าเบี้ยประชุมดังกล่าว ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร หน่วยงานของรัฐซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นองค์กรกลางรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการสินค้าเกษตรบางอย่างของประเทศ มีอำนาจในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าเกษตรดังกล่าว ให้กู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ และจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าเกษตรดังกล่าว ตามพ.ร.บ. ของหน่วยงาน ได้นำเงินกองทุนของหน่วยงานออกให้กู้ยืมแก่เกษตรกรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับประกอบอาชีพ และให้กู้ยืมแก่สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบกิจการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรดังกล่าว โดยผู้กู้มีหน้าที่ต้องชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนในอัตราดอกเบี้ยต่ำภายในระยะเวลาที่กำหนด และดอกเบี้ยที่ได้รับจากการให้กู้ยืมเงินดังกล่าวจะนำเข้าเป็นรายได้ของกองทุนของหน่วยงาน โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตาม พ.ร.บ. ของหน่วยงาน จึงขอหารือว่า การนำเงินจากกองทุนของหน่วยงานออกให้กู้ยืมสำหรับกรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบการพาณิชย์ที่หน่วยงานต้องเสียอากรแสตมป์หรือไม่,กรณีหน่วยงานของรัฐได้ทำสัญญาให้กู้ยืมเงินโดยนำเงินจากกองทุนออกให้กู้ยืมแก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน และได้รับค่าตอบแทนจากดอกเบี้ย ซึ่งจะตกเป็นทุนในการดำเนินการของกองทุนโดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน นอกจากนี้หน่วยงานยังมีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ เช่น ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าเกษตรบางอย่าง ให้กู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าเกษตรบางอย่าง เป็นต้น กรณีนี้ สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเข้าลักษณะแห่งตราสาร 5. กู้ยืมเงิน แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ แม้ว่าหน่วยงานผู้ให้กู้ ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องเสียอากรจะเป็นองค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งกิจการของรัฐตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร แต่เนื่องจากหน่วยงานมีการใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบการพาณิชย์ ดังนั้น การทำสัญญาให้กู้ยืมเงินดังกล่าวจึงไม่ได้รับยกเว้นอากรแสตมป์ตามมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': 'บัญชีอัตราอากรแสตมป์ 5'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '121'}]",การทำสัญญาให้กู้ยืมเงินดังกล่าวต้องเสียอากรแสตมป์ตามมาตรา 5 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ "1. บริษัท ก. (บริษัทฯ) เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบ กิจการลงทุนในบริษัทย่อย (Holding Company) โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัทย่อย จำนวน หลายบริษัท รวมถึงบริษัท ข. ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในบริษัท ข. เป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 2. เนื่องจากนโยบายการบัญชีของบริษัทฯ กำหนดให้บริษัทย่อยต้องทำการประเมินมูลค่า ยุติธรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนซึ่งได้แก่ ที่ดิน อาคารเพื่อประกอบกิจการ การค้า และอาคารสำนักงาน โดยอ้างอิงจากราคาตามสภาพตลาดเพื่อให้งบการเงินสะท้อน มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทฯ ทั้งนี้ เมื่อบริษัท ข. ปฏิบัติตามนโยบายการบัญชีดังกล่าวตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป กล่าวคือ บริษัท ข. ต้องเปลี่ยนวิธีการรับรู้มูลค่า อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจากเดิมใช้วิธีราคาทุนมาเป็นวิธีมูลค่ายุติธรรม ส่งผลให้กำไร สะสมของบริษัท ข. ลดลง 3. บริษัท ข. ได้ปรับปรุงมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนใหม่อีกครั้ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ใช้วิธีประเมินมูลค่าราคายุติธรรมมาใช้ในการตีราคาทรัพย์สิน บริษัท ข. จึงมีกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้บริษัท ข. มีกำไรเพิ่มขึ้นจากการตีราคาทรัพย์สินดังกล่าว 4. บริษัท ข. จ่ายเงินปันผลจากกำไรและกำไรสะสมที่เกิดขึ้นจากการตีราคาทรัพย์สินให้แก่ บริษัทฯ และบริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น บุคคลธรรมดา 5. บริษัทฯ จึงขอหารือ ดังนี้ 5.1 กำไรของบริษัท ข. ที่เกิดจากการตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ไม่ถือเป็นกำไรทางภาษี บริษัท ข. ไม่ต้องนำกำไรดังกล่าวมารวมคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ (3) แห่งประมวลรัษฎากร ถูกต้องหรือไม่ 5.2 การจ่ายเงินปันผลจะต้องเป็นไปตามมาตรา 1201 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผลจากเงินประเภทอื่น นอกจาก เงินกำไร...” ดังนั้น หากบริษัท ข. มีเงินกำไรและกำไรสะสม แม้เงินนั้นจะเป็นกำไรทาง บัญชี บริษัท ข. ย่อมมีสิทธิจ่ายเงินปันผลจากกำไรนั้นให้แก่บริษัทฯ ได้ ถูกต้องหรือไม่ 5.3 เมื่อบริษัทฯ ได้รับเงินปันผลซึ่งจ่ายจากกำไรและกำไรสะสมที่เกิดจากการตีราคา ทรัพย์สินเพิ่มขึ้น บริษัทฯ ไม่ต้องนำเงินปันผลดังกล่าวมารวมเป็นรายได้ในการคำนวณ กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากบริษัทฯ เป็นบริษัทจดทะเบียนและถือหุ้นที่ก่อให้เกิดเงินปันผลนั้นไว้เกินกว่า สามเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นนั้นมาถึงวันมีเงินได้ดังกล่าว และไม่ได้โอนหุ้นนั้นไปก่อน สามเดือนนับแต่วันที่มีเงินได้ ถูกต้องหรือไม่ 5.4 เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งจ่ายจากกำไรส่วนที่ได้รับเงินปันผลจาก บริษัท ข. อันเกิดจากการตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งได้รับ เงินปันผลดังกล่าวจะได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่","1. กรณีตาม 5.1 บริษัท ข. ตีราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีกำไร จากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์ เข้าลักษณะเป็นการตีราคาทรัพย์สิน ตามมาตรา 65 ทวิ (3) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น บริษัท ข. ห้ามนำราคาที่ตีราคาเพิ่มขึ้น ดังกล่าวมารวมคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 2. กรณีตาม 5.2 เนื่องจากประมวลรัษฎากรไม่ได้กำหนดนิยามของคำว่า “เงินปันผล” ในการพิจารณากรณีการจ่ายเงินปันผลจึงต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1200 ถึง มาตรา 1205 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 3. กรณีตาม 5.3 บริษัท ข. ได้นำเงินกำไรจากการตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกำไรที่ยัง ไม่ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร อันเนื่องมาจาก ต้องห้ามมิให้นำราคาทรัพย์สินที่ตีราคาเพิ่มขึ้นมารวมคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ (3) แห่งประมวลรัษฎากร มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่บริษัทฯ ดังนั้น เงินปันผลดังกล่าวไม่ได้รับ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจาก วัตถุประสงค์ของการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินปันผลตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร คือ การขจัดหรือบรรเทาปัญหาการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลซ้ำซ้อน เมื่อเงินปันผลที่บริษัทฯ ได้รับ เป็นเงินปันผลที่จ่ายจากเงินกำไรจากการตีราคาทรัพย์สิน เพิ่มขึ้น อันเป็นส่วนที่บริษัท ข. ยังไม่ได้นำมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคล บริษัทฯ จึงต้องนำเงินปันผลดังกล่าวมารวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร 4. กรณีตาม 5.4 หากบริษัทฯ นำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัท ข. มารวมคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร และต่อมาได้จ่ายเงินปันผล จากกำไรสุทธิที่ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้วให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา โดยระบุในหนังสือรับรองการหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งออกให้แก่ผู้ถือหุ้น อย่างชัดเจนว่า เงินปันผลที่จ่ายนั้น จำนวนใดมาจากกำไรสุทธิที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเท่าใด ผู้ถือหุ้นดังกล่าวย่อมมีสิทธิได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวล รัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '47 ทวิ'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65 ทวิ'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65'}, {'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '1201'}]",1. บริษัท ข. ห้ามนำกำไรจากการตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมารวมคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ 2. กรณีการจ่ายเงินปันผลต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1200 ถึง มาตรา 1205 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 3. บริษัทฯ ต้องนำเงินปันผลมารวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร 4. ผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร "บริษัทจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายประเทศไทย ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอ และมีการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ บริษัทได้แต่งตั้งให้ผู้บริหารหรือพนักงานไปดำรงตำแหน่งกรรมการในบริษัทลูกในต่างประเทศ โดยจะได้รับค่าตอบแทนเงินเดือน สวัสดิการต่าง ๆ จากหน้าที่งานของบริษัทในประเทศไทย โดยผ่านบัญชีเงินฝากของผู้บริหารหรือพนักงานในประเทศไทย และค่าตอบแทนจากการเป็นกรรมการในบริษัทลูกในต่างประเทศ ตามอัตราค่าตอบแทนเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนในตำแหน่งเดียวกัน หรือเทียบเคียงของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน หรือให้เป็นไปตามข้อกำหนดในแต่ละประเทศ โดยบริษัทลูกในต่างประเทศจะจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารโดยตรง โดยผ่านบัญชีเงินฝากในต่างประเทศที่บริษัทลูกในต่างประเทศเปิดไว้ให้ บริษัทขอหารือ ดังนี้ 1. กรณีบริษัทจ่ายเงินเดือนหรือค่าตอบแทนเฉพาะที่เกิดจากหน้าที่งานของนายจ้างในประเทศไทย บริษัทมีหน้าที่นำเงินได้ที่ผู้บริหารหรือพนักงานได้รับเฉพาะที่จ่ายจากหน้าที่งานที่ทำให้นายจ้างในประเทศไทยมารวมคำนวณเป็นรายได้ เพื่อนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ใช่หรือไม่ 2. กรณีผู้บริหารหรือพนักงานที่ได้รับค่าตอบแทนจากการเป็นกรรมการในบริษัทลูกในต่างประเทศ และได้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกันกับที่ได้รับเงินได้ค่าตอบแทนเกิน 180 วัน หากผู้บริหารหรือพนักงานคนดังกล่าว ไม่ได้นำเงินค่าตอบแทนที่ได้รับดังกล่าว เข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกัน ผู้บริหารคนดังกล่าวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ใช่หรือไม่","1. กรณีบริษัทจ่ายค่าตอบแทนจากการเป็นผู้บริหารหรือพนักงานในบริษัท โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน และสวัสดิการต่าง ๆ จากหน้าที่งานของบริษัทฯ ในประเทศไทย ผ่านบัญชีเงินฝากของผู้บริหารหรือพนักงานในประเทศไทย เงินได้ดังกล่าวเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทยหรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ผู้บริหารหรือพนักงานดังกล่าว มีหน้าที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 48 (1) และมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร และบริษัทซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้ มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีบริษัทลูกในต่างประเทศจ่ายค่าตอบแทนจากการเป็นกรรมการในบริษัทลูกในต่างประเทศ ตามอัตราค่าตอบแทนโดยเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนในตำแหน่งเดียวกันหรือเทียบเคียงกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดในแต่ละประเทศ โดยบริษัทลูกในต่างประเทศจะจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารหรือพนักงานที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศโดยตรง ผ่านบัญชีเงินฝากในต่างประเทศที่บริษัทลูกในต่างประเทศเปิดไว้ให้ หากการปฏิบัติงานในต่างประเทศดังกล่าวเป็นการปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของบริษัทลูกในต่างประเทศ โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในบริษัทและมิได้ทำเพื่อประโยชน์ของบริษัท ประกอบกับบริษัทไม่มีภาระต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารหรือพนักงานที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศ ค่าตอบแทนดังกล่าวถือเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานในต่างประเทศ ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร หากผู้บริหารหรือพนักงานที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศมิได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีที่มีเงินได้ ผู้บริหารหรือพนักงานที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศไม่มีหน้าที่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่อย่างใด","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '41'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '56'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '48'}]","1. ใช่, บริษัทมีหน้าที่นำเงินได้ที่ผู้บริหารหรือพนักงานได้รับเฉพาะที่จ่ายจากหน้าที่งานที่ทำให้นายจ้างในประเทศไทยมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย. 2. ใช่, ผู้บริหารคนดังกล่าวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ." "ในการก่อตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT หรือกองทรัสต์) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง 1) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ REIT หรือกอง 1 เป็นช่องทางในการระดมเงินทุนของผู้ประกอบธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็เป็นทางเลือกในการลงทุนสำหรับผู้ลงทุน ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดตั้ง REIT หรือกอง 1 ที่นำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม แต่เนื่องจากมีข้อกำหนดห้าม REIT หรือกอง 1 ประกอบธุรกิจโรงแรมเอง จึงต้องให้ผู้ประกอบกิจการโรงแรมเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการโรงแรม โดยกำหนดค่าเช่าใน 2 ลักษณะ ได้แก่ (1) มีเฉพาะค่าเช่าคงที่ โดยไม่มีค่าเช่าที่อ้างอิงผลประกอบการของผู้เช่า (2) กำหนดค่าเช่าเป็น 2 ส่วน คือ ค่าเช่าคงที่ และค่าเช่าอ้างอิงกับผลประกอบการ ของโรงแรม เช่น (ก) กำหนดเป็นอัตรา (%) ของรายได้จากกิจการโรงแรมหักด้วยค่าใช้จ่าย เงินสำรองซ่อมแซมโรงแรมและค่าเช่าคงที่ หรือ (ข) กำหนดเป็นอัตรา (%) ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เป็นต้น ทั้งนี้ REIT หรือกอง 1 ที่ลงทุนในโรงแรมส่วนใหญ่จะกำหนดโครงสร้างค่าเช่าแบบ (2) กรณีดังกล่าวบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการโรงแรมสามารถนำค่าเช่าที่อ้างอิงจากรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ไม่เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (19) แห่งประมวลรัษฎากร ใช่หรือไม่ อย่างไร",กรณีตามข้อเท็จจริง ค่าเช่าผันแปรที่อิงกับผลประกอบการของโรงแรมตาม (2) แม้การกำหนดรายจ่ายค่าเช่าดังกล่าวจะมิได้กำหนดจากกำไรสุทธิของผู้ประกอบกิจการโรงแรมแต่เป็นการกำหนดให้ผลกำไรในรอบระยะเวลาบัญชีเป็นฐานสำหรับการจ่ายค่าเช่า เข้าลักษณะ เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (19) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบกิจการโรงแรมจึงไม่มีสิทธินำรายจ่ายดังกล่าวมาคำนวณกำไรสุทธิได้,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65 ตรี'}]",ผู้ประกอบกิจการโรงแรมไม่มีสิทธินำรายจ่ายดังกล่าวมาคำนวณกำไรสุทธิได้ หากผู้ถือหุ้นของบริษัท ล ไม่แจ้งข้อมูลรายละเอียดการถือหุ้นให้บริษัท ล ทราบซึ่งอาจทำให้บริษัท ล จัดทำรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน และมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตามมาตรา 71 ตรี วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ผิดพลาดได้ กรณีเช่นนี้ บริษัท ล จะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่,ในกรณีที่บริษัท ล ได้จัดทำรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตามมาตรา 71 ตรี วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ถูกต้องครบถ้วนโดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา 35 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '35 ตรี'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '71 ตรี'}]",บริษัท ล จะมีความผิดตามกฎหมายหากรายงานข้อมูลไม่ถูกต้องครบถ้วนโดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีบริษัท ก. จดทะเบียนนิติบุคคคล มีรายได้ แต่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และไม่ปรากฏรอบระยะเวลาบัญชี จะนับรอบระยะเวลาบัญชีอย่างไร และกรณีบริษัท ก. ไม่ยื่นรายการ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัท ก. อย่างไร,"กฎหมายกำหนดให้นิติบุคคลต้องมีรอบระยะเวลาบัญชีครบ 12 เดือน กรณีบริษัท ก. มีการจดทะเบียนนิติบุคคลโดยไม่ปรากฏการแสดงเจตนาที่จะกำหนดวันสุดท้ายหรือวันปิดรอบระยะเวลาบัญชีแรกไว้ กรณีจึงต้องถือว่ารอบระยะเวลาบัญชีแรกของบริษัท ก. คือ วันเริ่มต้นจดทะเบียนนิติบุคคลนับไปจนครบ 12 เดือน และรอบระยะเวลาบัญชีถัดไปจะสิ้นสุดทุกรอบ 12 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีรอบก่อน เว้นแต่จะมีการยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงรอบระยะเวลาบัญชีต่ออธิบดีกรมสรรพากร หรือสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชี แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ตามมาตรา 1196 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 9 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 กรณีบริษัท ก. ไม่ยื่นรายการซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ภายในระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร หากเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกเพื่อทำการตรวจสอบภาษีอากรตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร พร้อมทั้งสั่งให้บริษัท ก. นำบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบแล้ว แต่บริษัท ก. ไม่นำบัญชี เอกสารหรือหลักฐานประกอบการลงบัญชีมามอบให้เจ้าพนักงานตามหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมิน ย่อมมีอำนาจประเมินภาษีโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้","[{'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '1196'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '69'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '68'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '19'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '71'}, {'law': 'พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543', 'sections': '9'}, {'law': 'พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543', 'sections': '10'}]",รอบระยะเวลาบัญชีแรกของบริษัท ก. คือ วันเริ่มต้นจดทะเบียนนิติบุคคลนับไปจนครบ 12 เดือน และเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีค่าชุดตรวจ ATK และค่าฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้เป็นสวัสดิการของพนักงาน ถือเป็นประโยชน์เพิ่มของพนักงานที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่,ค่าชุดตรวจ ATK และค่าฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้เป็นสวัสดิการแก่พนักงานในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อตรวจหาการติดเชื้อก่อโรคโควิด-19 และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถประกอบกิจการและดำเนินการค้าหากำไรได้ตามปกติ มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของพนักงานลูกจ้างแต่อย่างไร จึงไม่ถือเป็นประโยชน์เพิ่มของพนักงานลูกจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่อย่างใด,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '56'}]",ค่าชุดตรวจ ATK และค่าฉีดวัคซีนไม่ถือเป็นประโยชน์เพิ่มของพนักงานที่จะต้องนำมารวมคำนวณในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า สถาบันได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแจ้งว่าที่อยู่ของสถาบัน ตามใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ได้แสดง ชื่อสถาบัน ตั้งอยู่ชื่ออาคาร เลขที่ (ส่วนแยกตลิ่งชัน) ถนน แขวง เขต จังหวัด แต่ในระบบ ค้นหารายชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (รายชื่อผู้ประกอบการ VAT) ทางเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ไม่มีข้อความ (ส่วนแยกตลิ่งชัน) ซึ่งสถาบันได้รับใบกำกับภาษีจากคู่ค้าที่ใช้ข้อมูลที่อยู่ของสถาบันผ่านระบบค้นหารายชื่อดังกล่าว สถาบันสามารถใช้ภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้หรือไม่,กรณีที่สถาบัน ได้รับใบกำกับภาษีที่มีรายการที่อยู่ตามมาตรา 86/4 (3) แห่งประมวลรัษฎากร คลาดเคลื่อนไปจากที่ ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษีที่สถาบันได้รับ มีรายการที่อยู่ (เลขที่อาคาร ถนน แขวง เขต จังหวัด) ซึ่งสามารถบอกตำแหน่งที่ตั้งของสถาบันได้ชัดเจน (ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ) เพียงแต่ไม่มีข้อความว่า (ส่วนแยกตลิ่งชัน) จึงถือว่า เป็นใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร สถาบันมีสิทธินำไปใช้เป็นภาษีซื้อ ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '86/4'}]",สถาบันสามารถใช้ภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ มหาวิทยาลัยเป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ เป็นผู้ให้บริการทางวิชาการดำเนินการจัดสอบแข่งขันแก่หน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง จึงหารือว่า กรณีมหาวิทยาลัยเป็นผู้รับจ้าง และทำสัญญาจ้างกับหน่วยงานภาครัฐ จะได้รับยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับสัญญาจ้างดังกล่าวหรือไม่,กรณีมหาวิทยาลัยได้ทำสัญญารับจ้างให้บริการดังกล่าว เป็นการรับทำงานให้โดยมุ่งผลสำเร็จของงาน ซึ่งเข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามลักษณะแห่งตราสาร 4. จ้างทำของ แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ แต่เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นนิติบุคคลที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ และเป็นองค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งกิจการของรัฐ ตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น หากการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยดังกล่าว มิได้ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบการพาณิชย์ มหาวิทยาลัยจะได้รับยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับสัญญาจ้างทำของดังกล่าว ตามมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '121'}]",มหาวิทยาลัยจะได้รับยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับสัญญาจ้างทำของดังกล่าวตามมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากร "ส่วนราชการจ่ายค่าถ่ายเอกสารให้แก่ร้านค้าหรือบุคคลธรรมดาเป็นรายครั้งตามใบสั่งจ้างที่ได้จ้างในแต่ละครั้ง มิได้รวมจ่ายครั้งเดียวภายในเดือน โดยดำเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ 1. ใบสั่งซื้อ/สั่งจ้าง ที่มีราคาตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1 2. ใบสั่งซื้อ/สั่งจ้าง ที่มีราคาต่ำกว่า 10,000 บาท ไม่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย จึงสอบถามว่าการปฏิบัติดังกล่าวถูกต้องหรือไม่","ส่วนราชการ เป็นองค์การของรัฐบาล ตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น กรณีส่วนราชการจ่ายค่าถ่ายเอกสารให้แก่ร้านค้าหรือบุคคลธรรมดาเป็นรายครั้งตามใบสั่งจ้างที่ได้จ้างในแต่ละครั้ง มิได้รวมจ่ายครั้งเดียวภายในเดือน เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อส่วนราชการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับดังกล่าวในคราวเดียวกันมีจำนวนตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป ส่วนราชการต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พึงประเมินที่จ่าย","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}]",การปฏิบัติดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย "กรณีหน่วยงานซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่เป็นส่วนราชการ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้มีหน้าที่สนับสนุนการดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร ได้จ่ายเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดระเบียบสายสื่อสารให้แก่ผู้รับใบอนุญาต หน่วยงานจึงขอหารือในประเด็น ดังนี้ 1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้รับใบอนุญาตซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าว ต้องเรียกเก็บและออกใบกำกับภาษีให้หน่วยงาน หรือไม่ อย่างไร 2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย การจ่ายเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าว หน่วยงานมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย อัตราร้อยละ 1 และนำส่งกรมสรรพากรหรือไม่ อย่างไร","1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากการดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร เป็นเรื่องที่หน่วยงานถือว่าเป็นภารกิจของผู้รับใบอนุญาตในการดูแลสายสื่อสารของตนเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ทั้งนี้ ไม่ว่าหน่วยงานจะมีการสนับสนุนหรือไม่ก็ตาม เงินสนับสนุนที่หน่วยงานจ่ายให้แก่ผู้รับใบอนุญาตจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของงาน การจัดระเบียบสายสื่อสารดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการให้บริการใด ๆ แก่หน่วยงาน ดังนั้น เงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าวจึงไม่ใช่ค่าตอบแทนที่ผู้รับใบอนุญาตได้รับเนื่องจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ และไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้รับใบอนุญาตจึงไม่มีหน้าที่จัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร และไม่มีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/4 แห่งประมวลรัษฎากร จากการได้รับเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากหน่วยงานดังกล่าว 2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีที่หน่วยงายจ่ายเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดระเบียบสายสื่อสารให้แก่ผู้รับใบอนุญาตที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร เงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายนั้นถือเป็นรายได้ของผู้รับใบอนุญาตที่ต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร และหน่วยงานต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '82/4'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '86'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '65'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '69 ทวิ'}]",ผู้รับใบอนุญาตไม่ต้องออกใบกำกับภาษีและไม่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่หน่วยงานต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 บริษัท ก. ได้นำเข้าโซเดียมไบคาร์บอเนต ฟีดเกรด (SODIUM BICARBONATE FEED GRADE) โดยมีสรรพคุณช่วยรักษาสมดุลของด่างและกรดในร่างกายของสัตว์บกและสัตว์ปีก ช่วยลดความเครียดในปลาโดยการกำจัดสารเป็นพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดความเป็นกรดในของเสียซึ่งเกิดจากแบคทีเรียและก่อเชื้อโรค และช่วยลดการติดเชื้อในสัตว์น้ำ ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ และบริษัท ก. เป็นผู้รับอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์จากกรมปศุสัตว์ ตามใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ (แบบ บ.น.ส.1) จึงขอหารือว่าการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเป็นการนำเข้าเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับสัตว์ ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1) (จ) และมาตรา 81 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่,กรณีบริษัท ก. เป็นผู้รับอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์จากกรมปศุสัตว์ ตามใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ (แบบ บ.น.ส.1) และประสงค์จะนำเข้าสินค้า “โซเดียมไบคาร์บอเนต ฟีดเกรด (SODIUM BICARBONATE FEED GRADE)” ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ออกใบสำคัญ แสดงว่าสินค้าดังกล่าวเป็นอาหารสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ การนำเข้าสินค้าดังกล่าวได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (2) (ก) ประกอบกับมาตรา 81 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '81'}]",การนำเข้าสินค้าดังกล่าวได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (2) (ก) และมาตรา 81 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัท ก. นำเข้าสินค้าแคลเซียมไฮโปคลอไรต์ (CALCIUM HYPOCHLORITE) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายให้กับผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ เนื่องจากสินค้าดังกล่าวมีคุณสมบัติเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในทางการประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อประโยชน์แก่การควบคุม ป้องกัน กำจัด เชื้อจุลินทรีย์ ปรสิต พืช หรือสัตว์อื่น และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุอันตราย ตามบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย แนบท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อ วัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556 บัญชี 2 ที่กรมประมงรับผิดชอบ (บัญชีรายชื่อฯ) ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่,สินค้าแคลเซียมไฮโปคลอไรต์ (CALCIUM HYPOCHLORITE) ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประกาศ ให้สินค้าดังกล่าวเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ตามบัญชีรายชื่อฯ เข้าลักษณะเป็นเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืช หรือสัตว์ เพื่อบำรุง รักษา ป้องกัน ทำลาย หรือกำจัดศัตรูหรือโรคของพืชและสัตว์ตามมาตรา 81 (1) (จ) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีบริษัทฯ นำเข้าสินค้าดังกล่าวเพื่อจำหน่ายให้กับผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ เนื่องจาก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อประโยชน์แก่การควบคุม ป้องกัน กำจัด เชื้อจุลินทรีย์ ปรสิต พืช หรือสัตว์อื่น ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '81'}]",บริษัทฯ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร สถาบันเป็นกิจการของรัฐได้มีโครงการประกวดรางวัลจริยธรรมและจรรยาบรรณดีเด่นเป็นประจำทุกปี สถาบันจึงขอหารือว่า กรณีรางวัลจริยธรรมและจรรยาบรรณดีเด่น และรางวัลในการมีส่วนร่วมสูงสุดในการโหวตรางวัลจริยธรรมและจรรยาบรรณดีเด่นที่พนักงานและหน่วยงานของสถาบันได้รับ ถือเป็นเงินได้ พึงประเมินหรือไม่ หากเป็นเงินได้พึงประเมิน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทใด และสถาบันมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับเงินรางวัลดังกล่าว หรือไม่ อย่างไร,"1. กรณีที่สถาบันมอบรางวัลให้แก่หน่วยงานของสถาบันนั้น เนื่องจากสถาบันเป็นกิจการของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล จึงเข้าลักษณะเป็น “องค์การของรัฐบาล” ตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร และไม่เข้าลักษณะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร สถาบันและหน่วยงานภายในของสถาบัน ซึ่งเป็นนิติบุคคลเดียวกันจึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแต่อย่างใด 2. กรณีที่สถาบันมอบของรางวัลให้แก่ผู้บริหาร พนักงาน หรือลูกจ้างของสถาบันซึ่งมีสัญญาจ้างแรงงานกับสถาบันทุกราย ของรางวัลดังกล่าวถือเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร และถือเป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้บริหาร พนักงาน หรือลูกจ้างของสถาบันต้องนำของรางวัลที่ได้รับดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและสถาบันผู้จ่ายเงินได้จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '2'}]",1. สถาบันเป็นกิจการของรัฐและมีฐานะเป็นนิติบุคคล จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเมื่อมอบรางวัลให้หน่วยงานภายใน. 2. รางวัลจริยธรรมและจรรยาบรรณดีเด่นถือเป็นเงินได้พึงประเมิน และสถาบันมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสำหรับเงินรางวัลดังกล่าว "บริษัทนำเข้า GELSYS OPC1 เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผสมในการผลิตอาหารสัตว์ โดยเป็นสารเพิ่มความข้น สารก่อเจล สารทำให้คงตัว และเติมแต่งเพื่อให้เกิดความข้นในอาหารสัตว์ ทำให้สัตว์เลี้ยงเจริญอาหารและกินอาหารได้มากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้ในการบริโภคสำหรับคนได้ และนำเข้าโคลีน คลอไรด์ 60% (Choline Chloride 60%) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผสมในการผลิตอาหารสัตว์ ประเภทวัตถุที่ผสมแล้ว ชนิดสารผสมล่วงหน้า (พรีมิกซ์) โดยมีสรรพคุณใช้เป็นส่วนผสมสำหรับอาหารสัตว์ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพของสัตว์ และเพื่อปรับปรุงความสามารถในการป้องกันการเจ็บป่วยของการสะสมของไขมันในตับและไตบริษัทเห็นว่า GELSYS OPC1 ไม่เป็นอาหารสัตว์ที่จะต้องขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 แต่ต้องขออนุญาตนำเข้าจากกรมปศุสัตว์ ซึ่งบริษัทเป็นผู้รับใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ตามใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ (แบบ บ.น.ส.1) ส่วนผลิตภัณฑ์โคลีน คลอไรด์ 60% (Choline Chloride 60%) ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผสมในการผลิตอาหารสัตว์ ได้ขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะกับกรมปศุสัตว์ ประเภทวัตถุที่ผสมแล้ว ชนิดสารผสมล่วงหน้า (พรีมิกซ์) บริษัทจึงขอหารือว่าการนำเข้า GELSYS OPC1 และการนำเข้าผลิตภัณฑ์โคลีน คลอไรด์ 60% (Choline Chloride 60%) ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นอาหารสัตว์ ตามมาตรา 81 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น กรณีบริษัทนำเข้าสินค้าดังกล่าว จึงได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ถูกต้องหรือไม่","1. กรณีบริษัทเป็นผู้รับอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์จากกรมปศุสัตว์ตามใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ (แบบ บ.น.ส.1) และประสงค์จะนำเข้าสินค้า GELSYS OPC1 เพื่อทำให้สัตว์เลี้ยงเจริญอาหารและกินอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ต้องขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์กับกรมปศุสัตว์ แต่ต้องขออนุญาตนำเข้าจากกรมปศุสัตว์ ดังนั้น หากสินค้าดังกล่าวได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่าเป็นอาหารสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ การนำเข้าสินค้าดังกล่าวย่อมได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (2) (ก) ประกอบกับมาตรา 81 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีบริษัทนำเข้าสินค้าโคลีน คลอไรด์ 60% (Choline Chloride 60%) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผสมในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะกับกรมปศุสัตว์ ประเภทวัตถุที่ผสมแล้ว ชนิดสารผสมล่วงหน้า (พรีมิกซ์) โดยกรมปศุสัตว์ได้ออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 แล้ว สินค้าดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นอาหารสัตว์ ตามมาตรา 81 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น กรณีบริษัทนำเข้าสินค้าดังกล่าวจึงได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '81'}]",1. หาก GELSYS OPC1 ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่าเป็นอาหารสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ การนำเข้าสินค้าดังกล่าวย่อมได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (2) (ก) ประกอบกับมาตรา 81 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร 2. โคลีน คลอไรด์ 60% จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (2) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร "บริษัทประกอบกิจการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าภายในสถานีบริการ (สถานีฯ) บริษัทเป็น ผู้ประกอบกิจการขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากมิเตอร์หัวจ่าย ตามคำขออนุมัติในแบบคำร้อง ภ.พ.07 ในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงบางกรณี ลูกค้าจะนำเงินมาชำระราคาล่วงหน้าไว้กับทางสถานีฯ จำนวนหนึ่ง เช่น 5,000 บาท และทางสถานีฯ ก็จะมอบคูปองใช้แทนเงินสด (คูปองฯ) มูลค่าฉบับละ 100 บาท ให้ไปจำนวน 50 ฉบับ ซึ่งลูกค้าจะมอบคูปองฯ ให้ผู้ใดก็ได้เพื่อนำมาใช้เติมน้ำมัน โดยไม่มีกำหนดอายุการใช้คูปองฯ โดยคูปองฯ ใช้ได้เฉพาะการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงจากทางสถานีฯ เท่านั้น และใช้ได้ตามมูลค่าคูปองฯ ไม่มีการทอนเงินส่วนต่างในการใช้แต่ละครั้ง การคิดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะขึ้นอยู่กับราคาขายปลีกในแต่ละวัน คูปองฯ ที่จำหน่ายออกไปแล้วสถานีฯ จะไม่รับคืน หรือไม่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ บริษัทฯ มีความเข้าใจว่า การจำหน่ายคูปองฯ ของสถานีฯ ถือว่าเป็นการรับชำระราคาค่าสินค้าล่วงหน้าซึ่งเกิดจุดความรับผิดทางภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จึงต้องออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ชำระราคา นำส่งภาษีขาย และผู้ชำระราคาที่เป็นผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มก็สามารถนำไปใช้เป็นภาษีซื้อของตนได้เช่นกัน โดยเมื่อผู้ซื้อนำคูปองฯ มาเติมน้ำมัน สถานีฯ ไม่จำเป็นต้องออกใบกำกับภาษีขายให้แก่ผู้ซื้ออีก หรือการจำหน่ายคูปองดังกล่าวไม่ถือเป็นการรับชำระราคาสินค้าล่วงหน้า แต่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนสิทธิการชำระราคาจากธนบัตรที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไปเป็นคูปองฯ ที่ทางสถานีฯ ออกให้แทนเงินสด สถานีฯ จึงไม่ต้องออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้นำเงินมาชำระเพื่อรับคูปองฯ ไปใช้แต่อย่างใด บริษัทฯ ขอหารือว่า ความเข้าใจของบริษัทฯ ถูกต้องหรือไม่",กรณีสถานีฯ จำหน่ายคูปองฯ ให้แก่ลูกค้าเพื่อใช้แทนเงินสด โดยมีเงื่อนไขการใช้คูปองฯ กับสินค้าที่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงภายในสถานีฯ นั้น หากการใช้คูปองฯ แทนเงินสดเพื่อซื้อสินค้าในกรณีดังกล่าวไม่ได้กำหนดสำหรับการซื้อสินค้าเฉพาะอย่างที่สามารถระบุชนิด ประเภท ปริมาณ หรือมูลค่าของสินค้าที่ทำให้ทราบและกำหนดตัวสินค้าที่แน่นอนได้ การจำหน่ายคูปองฯ ในกรณีดังกล่าวจึงไม่เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจึงยังไม่เกิดขึ้น,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/1'}]",ความเข้าใจของบริษัทฯ ถูกต้อง สถาบัน R เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น และรายได้ของสถาบันฯ ให้นำเข้าสมทบกองทุนโดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ประกอบกิจการขายวัสดุอ้างอิงทางเคมีและฟิสิกส์ เครื่องมือสอบเทียบและก๊าซพร้อมท่อ รวมถึงให้บริการสอบเทียบ จัดฝึกอบรม และให้คำปรึกษาแก่ภาครัฐและเอกชน รายได้ของสถาบันฯ ประกอบด้วย รายได้จากเงินงบประมาณ การขายสินค้าและบริการ เงินช่วยเหลือและบริจาค และรายได้อื่น ต่อมา สถาบันฯ ทำสัญญากับผู้ให้ทุนสนับสนุน เพื่อรับทุนสนับสนุนโครงการ (สัญญารับทุน) โดยที่ผู้ให้ทุนมีวัตถุประสงค์จะสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อนำผลจากการดำเนินโครงการไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของผู้ให้ทุน หรือนำไปใช้ในงานพัฒนากิจการของผู้ให้ทุน ซึ่งสัญญารับทุนฯ ดังกล่าวเป็นตราสารที่จะต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์แห่งประมวลรัษฎากร จึงขอหารือว่า กรณีที่สถาบันฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติฯ และเป็นฝ่ายที่ต้องเสียอากร จะเข้าลักษณะเป็นรัฐบาล เจ้าพนักงานผู้กระทำงานของรัฐโดยหน้าที่ บุคคลผู้กระทำการของรัฐบาล ฯลฯ ซึ่งจะได้รับยกเว้นอากรแสตมป์ตามมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่,กรณีที่สถาบันฯ เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวง A สถาบันฯ ถือเป็นองค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งกิจการของรัฐบาล ตามมาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีที่สถาบันฯ รับทุนสนับสนุนเพื่อดำเนินงาน ตามสัญญารับทุนฯ เพื่อทำการออกแบบสร้างระบบทดสอบ โดยผู้ให้ทุนมีความประสงค์ จะนำผลจากการดำเนินโครงการไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของผู้ให้ทุน หรือนำไปใช้ในงานพัฒนากิจการของผู้ให้ทุน อันถือเป็นการรับทำงานให้โดยมุ่งผลสำเร็จของงาน สัญญารับทุนฯ จึงเข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันเป็นตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ ตามลักษณะตราสาร 4. แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ โดยผู้รับจ้างซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องเสียอากรคือ สถาบันฯ ซึ่งเป็นองค์การ ของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากรายได้ของสถาบันฯ ที่ได้รับจากกิจการดังกล่าวจะนำเข้าสมทบกองทุนเพื่อใช้ในการดำเนินงานของสถาบันฯ โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และสถาบันฯ ประกอบกิจการขายวัสดุอ้างอิงทางเคมีและฟิสิกส์ เครื่องมือสอบเทียบและก๊าซพร้อมท่อ รวมถึงให้บริการสอบเทียบ จัดฝึกอบรม และให้คำปรึกษาแก่ภาครัฐและเอกชน อันเป็นการดำเนินกิจการหารายได้ในลักษณะของการประกอบธุรกิจ การดำเนินงาน ของสถาบันฯ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบการพาณิชย์ ดังนั้น สถาบันฯ จึงไม่ได้รับยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับสัญญารับทุนฯ ดังกล่าวตามมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '121'}, {'law': 'ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์', 'sections': '587'}]",สถาบันฯ จึงไม่ได้รับยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับสัญญารับทุนฯ ตามมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากร "นาย ก. เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าประเภทวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างของบริษัท ข. โดยลูกค้าจะติดต่อนาย ก. ผ่านเพจใน Facebook ซึ่งเมื่อตกลงแบบอาคาร วัสดุที่ใช้ และประเมินราคาเบื้องต้นแล้ว นาย ก. ในฐานะตัวแทนจำหน่ายจะดำเนินการออกแบบอาคารในรูป 3 มิติ เพื่อให้เห็นภาพรวมของอาคาร พร้อมทำใบเสนอราคาค่าก่อสร้างระบุวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้และค่าแรงงานส่งให้บริษัท ข. พิจารณา ซึ่งการเป็นตัวแทนจำหน่ายดังกล่าวบริษัท ข. มิได้กำหนดคุณสมบัติหรือเงื่อนไขของผู้สมัครตัวแทนจำหน่ายให้ต้องมีใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรม และตัวแทนจำหน่ายอาจว่าจ้างบุคคลอื่นในการออกแบบอาคารในรูป 3 มิติได้ เมื่อนาย ก. ออกแบบอาคารในรูป 3 มิติแล้ว ลูกค้าจะนำแบบอาคารดังกล่าวไปให้วิศวกรที่ลูกค้าเป็นผู้จัดหาทำการถอดแบบเพื่อทำแบบแปลนที่กำหนดรายละเอียดตามหลักวิศวกรรม เช่น ขนาดของเสาหรือคานที่จะใช้ก่อสร้าง และวิศวกรของลูกค้าจะเป็นผู้ลงลายมือชื่อรับรองแบบในฐานะวิศวกรโครงสร้างเพื่อใช้ขออนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานส่วนท้องถิ่น เมื่อได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างแล้วลูกค้าจะแจ้งบริษัท ข. เพื่อทำสัญญาผลิตและติดตั้งอาคารสำเร็จรูป บริษัท ข. จะนำแบบที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างแล้วมาแปลงเป็นแบบของชิ้นส่วนสำเร็จรูป เช่น เสา โครงหลังคา เป็นต้น โดยวิศวกรหรือสถาปนิกของบริษัท ข. เป็นผู้ลงลายมือชื่อรับรองแบบดังกล่าว บริษัท ข. จะทำสัญญาฯ กับลูกค้าแต่ละรายโดยตรง โดยมีนาย ก. ลงลายมือชื่อในสัญญาในฐานะตัวแทนจำหน่ายเพียงอย่างเดียว และบริษัท ข. จะเป็นผู้ผลิตและติดตั้งอาคารสำเร็จรูปทั้งหมด จัดหาแรงงานและรับผิดชอบหากมีความเสียหายเกิดขึ้น รวมถึงเป็นผู้รับชำระราคาค่าก่อสร้าง แต่ละสัญญาฯ มีการกำหนดชำระเงินและส่งมอบงานแบ่งออกเป็น 5 งวด นาย ก. จะได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 7 ถึงร้อยละ 8 ของค่างวดแต่ละงวด เป็นค่าส่งเสริมการขาย โดยบริษัท ข. จะแบ่งจ่ายเมื่อบริษัท ข. ได้รับชำระเงินจากลูกค้าแต่ละงวด ดังนั้น เงินได้ดังกล่าวถือเป็นเงินได้ประเภทใด อย่างไร",กรณีที่นาย ก. ทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าประเภทวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง กับบริษัท ข. นั้น ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง นาย ก. จะเป็นผู้ติดต่อกับลูกค้าเพื่อกำหนดแบบอาคาร วัสดุก่อสร้างที่ใช้ และราคาเบื้องต้น แล้วนาย ก. จะออกแบบอาคารในรูป 3 มิติ ซึ่งยังไม่มีการระบุรายละเอียดของโครงสร้างอาคารตามหลักวิศวกรรม พร้อมทำใบเสนอราคาค่าก่อสร้างระบุวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้และค่าแรงงานส่งให้บริษัท ข. เป็นผู้พิจารณา บริษัท ข. จะทำสัญญารับจ้างผลิตและติดตั้งอาคารสำเร็จรูปและรับชำระราคาจากลูกค้า รวมทั้งรับผิดชอบหากเกิดความเสียหายหรือชำรุดบกพร่องจากการก่อสร้าง โดยนาย ก. จะลงนามในสัญญาในฐานะตัวแทนจำหน่ายและไม่ต้องรับผิดหากเกิดความเสียหายใดกับลูกค้า และจะได้รับค่าตอบแทนเป็นส่วนแบ่งจากรายได้ของแต่ละสัญญาที่ลูกค้าตกลงทำกับบริษัท ข. กรณีจึงเห็นได้ว่า นาย ก. ทำการหาลูกค้าเพื่อให้มีการว่าจ้างผลิตและติดตั้งอาคารสำเร็จรูป โดยนาย ก. ออกแบบอาคารด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูป 3 มิติ เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพรวมของอาคาร พร้อมประเมินราคาค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าแรงงานเบื้องต้นตามราคาและเงื่อนไขที่บริษัท ข. เป็นผู้กำหนด เข้าลักษณะเป็นการกระทำการแทนบริษัท ข. จัดการให้ลูกค้าเข้าทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างและซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่ตนเองเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับบริษัท ข. อันเป็นการรับทำงานให้กับบริษัท ข. ดังนั้น เงินส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 7 ถึงร้อยละ 8 ของราคางานผลิตและติดตั้งอาคารสำเร็จรูปแต่ละสัญญา และค่าตอบแทนต่าง ๆ ในฐานะตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่นาย ก. ได้รับจึงเข้าลักษณะเป็นเงินได้จากการรับทำงานให้กับบริษัท ข. อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}]",เงินส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 7 ถึงร้อยละ 8 ของราคางานผลิตและติดตั้งอาคารสำเร็จรูปแต่ละสัญญา ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร "บริษัทประกอบกิจการโรงพยาบาลสัตว์ให้บริการเป็นสถานรักษาสัตว์ ได้มีการสั่งซื้อยาเพื่อมาใช้รักษาสัตว์ เมื่อบริษัทฯ คิดค่ารักษาสัตว์กับลูกค้า บริษัทฯ ได้แยกค่ายากับค่าบริการรักษาสัตว์ออกจากกัน บริษัทจึงขอหารือว่า 1. บริษัทจะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะค่ารักษาสัตว์ แต่จะไม่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับค่ายาที่ใช้รักษาสัตว์ ถูกต้องหรือไม่ 2. ค่าเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการรักษาสัตว์ เช่น น้ำยาล้างแผล แอลกอฮอล์ น้ำเกลือ เป็นต้น บริษัทจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าหรือไม่ 3. ค่าเวชภัณฑ์ที่ใช้สำหรับรักษาสัตว์ เช่น สำลี สายน้ำเกลือ เข็มและไหมเย็บ เป็นต้น บริษัทจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่",กรณีบริษัทประกอบกิจการโรงพยาบาลสัตว์เพื่อให้บริการรักษาสัตว์ จึงไม่จัดเป็นสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลซึ่งต้องเป็นการรักษามนุษย์เท่านั้น บริษัทจึงไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1) (ญ) แห่งประมวลรัษฎากร การให้บริการรักษาสัตว์ของบริษัท โดยได้มีการนำยาหรือเคมีภัณฑ์มาใช้ในการรักษาสัตว์ที่ป่วยด้วย ไม่ว่าบริษัทจะได้มีการแยกค่ายาหรือค่าเคมีภัณฑ์ออกจากค่าบริการรักษาสัตว์หรือไม่ก็ตาม รายรับดังกล่าวถือเป็นรายรับจากการให้บริการทั้งจำนวน บริษัทมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการดังกล่าว ตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/1'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '81'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/2'}]",บริษัทต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่ารักษาสัตว์ ค่ายา ค่าเคมีภัณฑ์ และค่าเวชภัณฑ์ทั้งหมด. กรณีเงินได้ของผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม นอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งออกใบอนุญาตโดยหน่วยงาน ก. ภายใต้อำนาจตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ดังนั้น กรณีผู้ได้รับใบอนุญาตฯ มีบริษัทหรือหน่วยงานสังกัดอยู่ แต่รับทำงานซึ่งอยู่นอกเหนือจากที่บริษัทหรือหน่วยงานมอบหมายค่าตอบแทนนั้น ถือว่าเป็นค่าตอบแทนซึ่งได้มาจากการประกอบวิชาชีพอิสระตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ใช่หรือไม่,เงินได้จากวิชาชีพอิสระตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร หมายถึง เงินได้จากวิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี และประณีตศิลปกรรม เท่านั้น ดังนั้น การให้บริการของผู้ได้รับใบอนุญาตฯ จึงไม่เป็นการให้บริการจากการประกอบวิชาชีพอิสระเงินได้ที่ผู้ได้รับใบอนุญาตฯ ได้รับดังกล่าว จึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}]",เงินได้ที่ผู้ได้รับใบอนุญาตฯ ได้รับดังกล่าวจึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร "หน่วยงาน ก. เป็นส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานอิสระมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของหน่วยงาน ข. โดยหน่วยงาน ก. ได้ประกาศรับข้อเสนอโครงการวิจัยโดยกำหนดคุณสมบัติผู้ดำเนินการวิจัยประเภทบุคคล ได้แก่ ข้าราชการหน่วยงาน ข. และลูกจ้าง และผู้ดำเนินการวิจัยเป็นหน่วยงานในสังกัดหน่วยงาน ก. ข้อเสนอโครงการวิจัยจะต้องเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน ข. สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาหน่วยงานได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด และอยู่ภายใต้การดูแลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกำกับและประเมินผลงานวิจัย ซึ่งผู้ดำเนินการวิจัยจะได้รับค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการวิจัยไม่เกิน 200,000 บาทต่อเรื่อง และหากคณะกรรมการบริหารหน่วยงาน ข. ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารการวิจัยของหน่วยงาน ข. เห็นชอบให้โครงการวิจัยนั้น เป็นโครงการวิจัยดีเด่นตามระเบียบฯ จะได้รับเงินรางวัลเพิ่มเติมไม่เกิน 100,000 บาทต่อเรื่อง โดยพิจารณาตามความยากของงานวิจัย หน่วยงาน ก. ได้บันทึกค่าใช้จ่าย จำนวน 200,000 บาท เป็นค่าตอบแทนเฉพาะงาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการกิจกรรมจัดทำงานวิจัย ทั้งนี้ ผู้วิจัยเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย เช่น ค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการสืบค้นข้อมูล ฯลฯ และค่าใช้จ่าย จำนวน 200,000 บาท ให้เบิกจ่ายในนามผู้ดำเนินการวิจัย ดังนั้น ค่าใช้จ่ายดังกล่าว ถือเป็นเงินค่าตอบแทน หรือเป็นเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยของข้าราชการผู้ดำเนินการวิจัยหรือไม่ หากเป็น จะถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทใด จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ หรือจะถือเป็นรางวัลเพื่อการศึกษาค้นคว้าในวิทยาการที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (11) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่ อย่างไร และค่างานวิจัยฯ ที่คณะกรรมการวิจัยเห็นว่างานวิจัยดังกล่าวเป็นงานวิจัยดีเด่น ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ดำเนินการวิจัยหรือไม่ หากเป็นจะถือเป็นเงินได้ประเภทใด และจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ หรือจะถือเป็นรางวัลเพื่อการศึกษาค้นคว้าในวิทยาการที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (11) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่ อย่างไร","1. กรณีค่าใช้จ่ายดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นเงินได้เนื่องมาจากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และไม่เข้าลักษณะเป็นรางวัลเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าในวิทยาการ ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (11) แห่งประมวลรัษฎากร หน่วยงาน ก. จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีค่างานวิจัยดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นรางวัลเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าในวิทยาการที่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (11) แห่งประมวลรัษฎากร หน่วยงาน ก. จึงไม่มีหน้าที่ ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '40'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '42'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '50'}]","1. ค่าใช้จ่าย 200,000 บาท ถือเป็นเงินได้เนื่องมาจากการจ้างแรงงาน ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 2. ค่างานวิจัย 100,000 บาท ถือเป็นรางวัลเพื่อการศึกษาค้นคว้า ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย" หน่วยงาน ก. มีฐานะเป็นส่วนราชการในสำนักงาน ข. สำนักงาน ข. โดยหน่วยงาน ก. ได้ดำเนินการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการเพื่อให้มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ โดยดำเนินการผ่านระบบประเมิน วิทยฐานะดิจิทัล และในการนี้ หน่วยงาน ก. โอนจ่ายค่าตอบแทนกรรมการผู้อ่าน ตรวจและประเมินผลงาน ทางวิชาการ (กรรมการฯ) ผ่านระบบ KTB Corporate Online เป็นรายครั้งในอัตราตามหลักเกณฑ์ ที่กระทรวงการคลังกำหนด ค่าตอบแทนที่กรรมการฯ ได้รับจากการอ่าน ตรวจและประเมินผลงาน เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทใดและได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่,กรณีการจ่ายเงินค่าตอบแทนการอ่าน ตรวจและประเมินผลงานทางวิชาการ เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร แต่กรณีที่หน่วยงาน ก. ได้ดำเนินการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการเพื่อให้มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการ ซึ่งต้องผ่านการประเมินแต่ละด้าน มีการตรวจประเมิน มีการให้คะแนน และมีหลักเกณฑ์กำหนด ในลักษณะทำนองเดียวกันกับการสอบที่มีลักษณะเป็นการวัดให้รู้ว่ามีความรู้หรือความสามารถแค่ไหน ดังนั้น ค่าตอบแทนที่กรรมการฯ ได้รับจากการอ่าน ตรวจและประเมินผลงาน เป็นรายครั้งในอัตราตามหลักเกณฑ์ ที่กระทรวงการคลังกำหนด เข้าลักษณะเป็นค่าสอบที่ทางราชการจ่ายให้ จึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42 (7) แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '42'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}]",ค่าตอบแทนที่กรรมการฯ ได้รับจากการอ่าน ตรวจและประเมินผลงานได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42 (7) แห่งประมวลรัษฎากร. "หน่วยงาน ก. เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติฯ มีวัตถุประสงค์ปฏิบัติการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน ข. เช่น ส่งเสริมการศึกษา วิจัย ตามข้อบังคับของหน่วยงาน ข. โดยหน่วยงาน ข. มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติฯ หน่วยงาน ก. จึงขอหารือ ดังนี้ 1. หน่วยงาน ก. จะต้องออกใบเสร็จรับเงินอย่างไร 2. กรณีหน่วยงาน ก. ออกใบเสร็จรับเงินโดยใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของหน่วยงาน ข. 2.1 หน่วยงาน ก. ต้องเสียภาษีแทนหน่วยงาน ข. หรือไม่ 2.2 หน่วยงาน ข. ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่","1. กรณีตาม 1. หน่วยงาน ก. เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติฯ หน่วยงาน ก. จึงมีฐานะเป็นหน่วยงานภายในของหน่วยงาน ข. ดังนั้น หน่วยงาน ข. จึงมีหน้าที่ออกใบรับซึ่งมีรายการอย่างน้อยตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ผู้จ่ายเงินหรือชำระราคาในทันทีทุกคราวที่หน่วยงาน ก. รับเงินหรือรับชำระราคาไม่ว่าจะมีการเรียกร้องให้ออกใบรับหรือไม่ก็ตาม 2. กรณีตาม 2. แยกพิจารณาได้ ดังนี้ 2.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคล หน่วยงาน ข. มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติฯ ไม่เข้าลักษณะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามคำนิยามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร หน่วยงาน ข. จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้แต่อย่างใด 2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีหน่วยงาน ข. โดยหน่วยงาน ก. ได้รับเงินสนับสนุนการประชุมวิชาการประจำปีจากบุคคลภายนอกหรือรับเงินค่าลงทะเบียนประชุมวิชาการจากสมาชิก หากไม่ได้กระทำการใด ๆ ให้แก่ผู้ให้เงินสนับสนุนหรือผู้ให้เงินค่าลงทะเบียนเป็นการตอบแทน และเงินดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการทางธุรกิจหรือวิชาชีพในราชอาณาจักร เงินสนับสนุนหรือเงินลงค่าทะเบียนดังกล่าวย่อมไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '39'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '105 ทวิ'}]",1. หน่วยงาน ก. ต้องออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้จ่ายเงินเมื่อรับเงิน ไม่ว่าจะมีการเรียกร้องหรือไม่. 2. หน่วยงาน ข. ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้เนื่องจากไม่มีลักษณะเป็นบริษัท 3. หน่วยงาน ข. ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเงินสนับสนุนหรือค่าลงทะเบียนประชุมวิชาการที่ได้รับ หากไม่มีการตอบแทนเป็นการขายสินค้าหรือบริการ. "บริษัท ก. ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (แบบ ภ.ง.ด.51) ฉบับปกติ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และได้ชำระภาษีดังกล่าวไว้แล้ว ต่อมาพบว่าบริษัท ก. มีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่ถูกหักไว้ระหว่างเดือนมกราคม 2562 ถึงเดือนมิถุนายน 2562 จำนวนน้อยกว่าที่ได้ใช้เครดิตไปในการยื่นแบบแสดงรายการดังกล่าว ซึ่งเมื่อคำนวณใหม่ให้ถูกต้องแล้ว ทำให้บริษัท ก. ชำระภาษีไว้ขาด รวมทั้งต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566 บริษัท ก.ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการยื่นแบบเกินกำหนดเวลาการยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2562 โดยได้ปรับปรุงประมาณการกำไรสุทธิลดลง เพื่อให้คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้วจะได้เท่ากับจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่ถูกหักไว้จริงรวมกับภาษีที่ชำระไว้แล้วตามแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับปกติ บริษัท ก. จึงไม่มีจำนวนภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม ดังนั้น กรณีที่บริษัท ก. ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับเพิ่มเติม โดยไม่มีภาษีต้องชำระ ซึ่งเป็นการยื่นแบบเกินกำหนดเวลาและได้ยื่นภายหลังการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 จะเป็นเหตุให้บริษัทฯ ไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับปกติ หรือไม่ อย่างไร",กรณีที่บริษัท ก. ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับปกติ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2562 ภายในกำหนดเวลา ถือว่าการยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับปกติมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วและบริษัทฯ จะต้องชำระภาษีให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อการยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับปกติ บริษัทฯ แสดงจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ไว้สูงกว่าจำนวนภาษีที่ถูกหักไว้จริง ทำให้บริษัทฯ ชำระภาษีไว้ขาดไป บริษัทฯ ต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ชำระไว้ขาดโดยเริ่มคำนวณเงินเพิ่มนับตั้งแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบ ภ.ง.ด.51 จนถึงวันที่ชำระภาษีครบถ้วนตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีที่บริษัทฯ ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับเพิ่มเติม โดยมีการปรับปรุงรายการต่าง ๆ ใหม่ เพื่อให้มีจำนวนภาษีที่ต้องชำระเท่ากับจำนวนภาษีที่ได้ชำระไว้แล้วนั้น ไม่เป็นเหตุให้บริษัทฯ พ้นความรับผิดเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด,"[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '27'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '67 ทวิ'}]",บริษัทฯ ยังคงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร แม้จะยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ฉบับเพิ่มเติม "บริษัทขอหารือเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีบริษัทมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามงวดที่ถึงกำหนดชำระให้แก่กรมสรรพากรโดยยังมิได้รับชำระจากผู้เช่าซื้อมาทยอยหักกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (TDR) ดังนี้ 1. บริษัทประกอบธุรกิจให้บริการทางการเงินครบวงจรสำหรับลูกค้าทุกประเภท รวมถึงธุรกิจให้เช่าซื้อซึ่งเป็นกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามงวดที่ถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้อแต่ละงวด แม้จะยังไม่ได้รับชำระค่างวดจากผู้เช่าซื้อก็ตาม รวมถึงมีหน้าที่ออกใบกำกับภาษี (แต่ยังไม่ส่งมอบให้แก่ลูกค้า) และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากร 2. ผู้เช่าซื้อจำนวนมากไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อตามงวดที่ถึงกำหนดชำระตามสัญญาเช่าซื้อ แต่บริษัทยังคงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามงวดที่ถึงกำหนดชำระให้กรมสรรพากร ต่อมามีผู้เช่าซื้อหลายรายต้องเข้าทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบริษัท (สัญญา TDR) เพื่อขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระค่าเช่าซื้อ โดยบริษัทจะตกลงผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้เช่าซื้อ เช่น นำเงินต้นที่ค้างชำระตามสัญญาเช่าซื้อมาคำนวณดอกเบี้ยใหม่ และเพิ่มจำนวนงวดที่ผู้เช่าซื้อต้องผ่อนชำระเพื่อให้ค่าเช่าซื้อในแต่ละงวดมีจำนวนลดลง เป็นต้น ทั้งนี้ สัญญา TDR ที่บริษัทได้ผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ดังกล่าว ยังคงกำหนดให้ข้อความและเงื่อนไขตามสัญญาเช่าซื้อเดิมยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไป โดยมิได้ยกเลิกสัญญาเช่าซื้อเดิมเพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระค่าเช่าซื้อเท่านั้น 3. บริษัทได้กำหนดแนวปฏิบัติในกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัท โดยบริษัทยังออกใบกำกับภาษีตามงวดที่ถึงกำหนดชำระตามปกติและยื่นแบบแสดงรายภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้กรมสรรพากรไปก่อนแล้วจะนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้เสียให้แก่กรมสรรพากรดังกล่าวมาทยอยหักกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถึงกำหนดชำระในแต่ละงวดตามสัญญา TDR ในแต่ละกรณีดังนี้ขัดต่อหลักการตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ 3.1 กรณีบริษัทนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียให้แก่กรมสรรพากรโดยยังมิได้รับชำระจากผู้เช่าซื้อมาทยอยหักกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถึงกำหนดชำระในแต่ละงวดตามสัญญา TDR โดยเริ่มหักตั้งแต่งวดแรกของสัญญา TDR ต่อเนื่องไปจนกว่าจะครบจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทชำระให้กรมสรรพากรไปก่อน และส่งมอบใบกำกับภาษีของสัญญาเช่าซื้อซึ่งบริษัทได้ออกไว้แล้วให้แก่ผู้เช่าซื้อเมื่อบริษัทได้รับชำระภาษีมูลค่าเพิ่มครบตามจำนวนที่ระบุในใบกำกับภาษีแต่ละฉบับ สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนที่เกินกว่าจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทชำระให้กรมสรรพากรไปก่อนบริษัทจะออกใบกำกับภาษีใหม่และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรเมื่อถึงกำหนดชำระตามมาตรา 78 (2) แห่งประมวลรัษฎากร 3.2 กรณีบริษัทนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียให้แก่กรมสรรพากรโดยยังมิได้รับชำระจากผู้เช่าซื้อมาทยอยหักกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถึงกำหนดชำระในแต่ละงวดตามสัญญา TDR โดยเริ่มหักงวดใดงวดหนึ่งของสัญญา TDR ต่อเนื่องไปจนกว่าจะครบกำหนดจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทชำระให้กรมสรรพากรไปก่อนและส่งมอบใบกำกับภาษีของสัญญาเช่าซื้อซึ่งบริษัทได้ออกไว้แล้วให้แก่ผู้เช่าซื้อเมื่อบริษัทได้รับชำระภาษีมูลค่าเพิ่มครบตามจำนวนที่ระบุในใบกำกับภาษีแต่ละฉบับ สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนที่เกินกว่าจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทชำระให้กรมสรรพากรไปก่อนบริษัทจะออกใบกำกับภาษีใหม่และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรเมื่อถึงกำหนดชำระตามมาตรา 78 (2) แห่งประมวลรัษฎากร 3.3 กรณีบริษัทนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียให้แก่กรมสรรพากรโดยยังมิได้รับชำระจากผู้เช่าซื้อมาทยอยหักกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถึงกำหนดชำระในแต่ละงวดตามสัญญา TDR โดยเริ่มหักงวดใดงวดหนึ่งของสัญญา TDR ต่อเนื่องไปแต่มิได้นำจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทชำระให้กรมสรรพากรไปก่อนมาใช้จนครบจำนวน เนื่องจากสัญญา TDR สิ้นสุดก่อนและส่งมอบใบกำกับภาษีของสัญญาเช่าซื้อซึ่งบริษัทได้ออกไว้แล้วให้แก่ผู้เช่าซื้อเมื่อบริษัทได้รับชำระภาษีมูลค่าเพิ่มครบตามจำนวนที่ระบุในใบกำกับภาษีแต่ละฉบับ สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนที่เกินกว่าจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทชำระให้กรมสรรพากรไปก่อนบริษัทจะออกใบกำกับภาษีใหม่และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรเมื่อถึงกำหนดชำระตามมาตรา 78 (2) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทชำระให้กรมสรรพากรไปก่อนที่เหลืออยู่ บริษัทไม่นำมาขอคืนจากกรมสรรพากร และไม่นำมาลงเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัท","1. กรณีการให้เช่าซื้อซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อถึงกำหนดชำระราคาตามงวดที่ถึงกำหนดชำระราคาแต่ละงวด เว้นแต่ได้มีการรับชำระราคาสินค้าหรือได้ออกใบกำกับภาษีก่อนถึงกำหนดชำระราคาตามงวดก็ให้ความรับผิดเกิดขึ้นตามส่วนของการกระทำนั้น ๆ และบริษัทต้องออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้เช่าซื้อทุกครั้ง เมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ตามมาตรา 78 (2) และมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น เมื่อบริษัทกับผู้เช่าซื้อได้ตกลงเปลี่ยนแปลงจำนวนงวดที่ต้องชำระใหม่ไปแล้ว ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทจึงเกิดขึ้นตามสัญญาเช่าซื้อที่มีการตกลงจำนวนงวดที่ถึงกำหนดชำระกันใหม่ ตามมาตรา 78 (2) แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีผู้เช่าซื้อค้างชำระหนี้ค่างวดและหนี้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากการเช่าซื้อ ซึ่งบริษัทได้ออกใบกำกับภาษีและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรไปแล้วตามมาตรา 82/4 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 77/1 (17) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อบริษัทตกลงกับผู้เช่าซื้อให้ชำระหนี้ค่างวดและหนี้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ยังเรียกเก็บไม่ได้ในงวดใดงวดหนึ่ง หรือหลายงวดตามข้อตกลงเปลี่ยนแปลงจำนวนงวดที่กำหนดชำระกันใหม่ บริษัทจึงไม่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของหนี้ค่างวดและหนี้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจากผู้เช่าซื้ออีก","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '86'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/1'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '82/4'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '78'}]",บริษัทไม่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของหนี้ค่างวดและหนี้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ยังเรียกเก็บไม่ได้จากผู้เช่าซื้ออีก และสามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้เสียไปแล้วมาทยอยหักกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถึงกำหนดชำระในแต่ละงวดตามสัญญา TDR ได้ นาง ก. ประกอบธุรกิจลงทุนในตราสารหนี้ ได้ทำสัญญาจัดการกองทุนส่วนบุคคลแต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้รับมอบอำนาจและเป็นผู้บริหารกองทุนส่วนบุคคล “นาง ก. โดย บลจ.” ซึ่ง บลจ. ได้ลงทุนด้วยการซื้อตั๋วแลกเงินจากบริษัทผู้ออกตั๋วและระบุชื่อ “นาง ก. โดย บลจ.” เป็นผู้ทรงตั๋วเงิน ทั้งนี้ บลจ. จะคิดค่าธรรมเนียมในการบริหารจากนาง ก. โดยเมื่อตั๋วแลกเงินครบกำหนดชำระหนี้หรือถึงกำหนดชำระเมื่อทวงถาม บริษัทผู้ออกตั๋วจะจ่ายเงินตามมูลค่าตั๋วแลกเงินพร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ซื้อตั๋วแลกเงิน และได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับกองทุนส่วนบุคคล “นาง ก. โดย บลจ.” ในอัตราร้อยละ 15.0 นาง ก. จึงหารือว่า ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนในตั๋วแลกเงินดังกล่าวต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่,กรณีตามข้อเท็จจริงที่หารือมานั้น นาง ก. ได้จัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลโดยแต่งตั้งให้ บลจ. เป็นผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล โดยได้ลงทุนซื้อตราสารหนี้ประเภทตั๋วแลกเงิน และจะได้รับเงินคืนตามมูลค่าตั๋วแลกเงินพร้อมดอกเบี้ยตามอัตราและเวลาที่กำหนด ตามสัญญาจัดการกองทุนส่วนบุคคล ประกอบกับ มาตรา 133 มาตรา 138 และมาตรา 139 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นาง ก. ในฐานะผู้มอบหมายให้ บลจ. เป็นผู้จัดการกองทุนจึงยังคงมีฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบรรดาทรัพย์สินและผลประโยชน์จากการลงทุน ดังนั้น ดอกเบี้ยจากการซื้อตั๋วแลกเงินดังกล่าวในกองทุนส่วนบุคคล ถือว่าเป็นรายรับจากการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ตามมาตรา 91/2 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ของนาง ก. ที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/5 (5) แห่งประมวลรัษฎากรและนาง ก. ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/12 แห่งประมวลรัษฎากร,"[{'law': 'พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535', 'sections': '133'}, {'law': 'พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535', 'sections': '139'}, {'law': 'พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535', 'sections': '138'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '91/2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '91/12'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '91/5'}]",นาง ก. ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนในตั๋วแลกเงิน และต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/12 แห่งประมวลรัษฎากร หน่วยงาน A หารือเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีบริษัท ก จำกัด (บริษัทฯ) ขายสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูต ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีในการผ่านพิธีการศุลกากร หน่วยงาน A จึงขอทราบแนวปฏิบัติในการออกเอกสารการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 แก่ผู้มีเอกสิทธิ์ทางการทูต ซึ่งประสงค์จะซื้อหรือนำเข้าสินค้าจากบริษัทต่าง ๆ เพื่อหน่วยงาน A จะได้ยึด เป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป,"1. บริษัทฯ เป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากต่างประเทศผ่านคลังสินค้าทัณฑ์บนของบริษัทฯ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในฐานะผู้นำเข้าในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 77/2 (2) และมาตรา 82 แห่งประมวลรัษฎากร 2. บริษัทฯ นำเข้าสินค้าและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในฐานะผู้นำเข้าสินค้าตาม 1. แล้ว ต่อมาบริษัทฯ ต้องการขายสินค้าให้แก่ผู้มีเอกสิทธิ์ทางการทูต หากผู้มีเอกสิทธิ์ทางการทูตได้ขอหนังสือรับรองการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 จากกระทรวงการต่างประเทศ ในแต่ละครั้ง ที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ เว้นแต่การซื้อกระแสไฟฟ้า น้ำประปา หรือการใช้บริการโทรศัพท์ ให้ขอหนังสือรับรองฯ เพียงครั้งแรกครั้งเดียว เพื่อนำไปแสดงต่อผู้ประกอบการ และได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 227) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การขายสินค้าหรือการให้บริการให้แก่องค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานเอกอัครราชทูต สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล องค์การระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีพันธกรณีตามความ ตกลงที่จะต้องปฏิบัติเท่าเทียมกับสถานเอกอัครราชทูต องค์การสหประชาชาติหรือทบวง การชำนัญพิเศษของสหประชาชาติหรือสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าของต่างประเทศ ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ ตามมาตรา 80/1 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 แล้ว บริษัทฯ จึงจะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1 (5) แห่งประมวลรัษฎากร","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '80/1'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '77/2'}, {'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '82'}]",บริษัทฯ สามารถออกเอกสารการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 แก่ผู้มีเอกสิทธิ์ทางการทูตได้ หากผู้มีเอกสิทธิ์ได้ขอหนังสือรับรองจากกระทรวงการต่างประเทศ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามประกาศกรมสรรพากรที่กำหนด. "บริษัทหารือว่ากรณีดังต่อไปนี้เข้าลักษณะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันหรือไม่ 1. บริษัท ก. มีผู้ถือหุ้น คือ A ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ก. ร้อยละ 15 และมีผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่ง คือ B ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ก. ร้อยละ 30 ส่วนบริษัท ข. มีผู้ถือหุ้น 3 บุคคล ได้แก่ A ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ข. ร้อยละ 20 B ซึ่งถือหุ้น ในบริษัท ข. ร้อยละ 10 และบริษัท ก. ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ข. ร้อยละ 20 2. บริษัท ก. มีผู้ถือหุ้น คือ A ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ก. ร้อยละ 15 และมีผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่ง คือ B ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ก. ร้อยละ 35 ส่วนบริษัท ข. มีผู้ถือหุ้น 3 บุคคล ได้แก่ A ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ข. ร้อยละ 25 B ซึ่งถือหุ้น ในบริษัท ข. ร้อยละ 25 และบริษัท ก. ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ข. ร้อยละ 20","1. ตามมาตรา 71 ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์กันในลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน 1.1 นิติบุคคลหนึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด 1.2 ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด 1.3 นิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านทุน การจัดการ หรือการควบคุมในลักษณะที่นิติบุคคลหนึ่งไม่อาจดำเนินการโดยอิสระจากอีกนิติบุคคลหนึ่งตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ซึ่ง ณ ขณะนี้ ยังไม่มีกฎกระทรวงกำหนดลักษณะความสัมพันธ์ดังกล่าวแต่อย่างใด 2. ในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กรมสรรพากรได้เผยแพร่คำอธิบายประกอบการกรอกแบบรายงานประจำปีสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันตามมาตรา 71 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร (Disclosure Form) บนหน้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งบริษัทสามารถใช้เป็นแนวทางประกอบการพิจารณาได้","[{'law': 'ประมวลรัษฎากร', 'sections': '71 ทวิ'}]",บริษัท ก. และบริษัท ข. ถือเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันตามมาตรา 71 ทวิ.